Chapter 11
คุณพ่อทิ้งเงินในบัญชีก้อนใหญ่ไว้ให้ผมมากพอที่จะใช้จนเรียนจบ แต่ผมก็คงไม่สามารถใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยได้อีก ผมขายสัญญาหอพักทิ้งไปแล้วกลับมาอยู่บ้าน ญาติๆที่ชลบุรียินดีจะช่วยเหลือเรื่องเงินทองให้ผมเต็มที่ คุณลุงของผมเป็นนายตำรวจใหญ่ฐานะค่อนข้างร่ำรวย ท่านเสนอที่จะส่งผมเรียนต่อ แต่ผมก็ปฏิเสธไปเพราะไม่อยากรบกวนใคร
“ ถ้าผมไม่เป็นแบบนี้ ผมก็คงจะช่วยคุณหมอได้นะครับ ”
“ ช่วยเรื่องอะไร? เรื่องเงินน่ะเหรอ? ไม่จำเป็นหรอก ถึงฉันจะไม่ร่ำรวยแบบนาย แต่ฉันก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งเงินของนายหรอกนะ คนรวยคิดว่าคนอื่นต้องการเงินมากขนาดไหนกัน? สำหรับฉันแค่พออยู่พอกินก็พอแล้ว ”
“ ผมขอโทษครับที่ผมคิดแบบนั้น ผมแค่... ”
“ ขอโทษทำไม? นายคงจะชินกับการใช้เงินมากมายเท่านั้นเอง ”
“ คงงั้นมั้งครับ ”
“ เอาเถอะ มีเงินให้ใช้ก็ดีแล้ว ”
“ เอ่อ คุณหมอครับ คือผมมีเรื่องจะบอก ”
“ เรื่องอะไรเหรอ? ”
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ เรื่องที่คุณพ่อของหมอป่วย ที่จริงผมรู้นานแล้วครับ ”
“ ว่าไงนะ แล้วทำไมนายไม่บอกฉัน? ”
ผมทำสีหน้าไม่พอใจใส่แวมทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
“ ท่านขอไว้ว่าอย่าบอกคุณหมอครับ ”
“ ฮะ? นายหมายความว่าคุณพ่อมองเห็นนายงั้นเหรอ? ”
“ ใช่ครับ ท่านมองเห็นผมแต่แกล้งทำเป็นไม่เห็น ”
“ ทำไมคุณพ่อถึงต้องทำแบบนี้ด้วย? ”
“ คุณหมอเคยได้ยินเรื่องที่ว่าคนใกล้ตายมักจะมองเห็นผีมั๊ยครับ? อย่างที่คุณพ่อท่านบอกว่าไม่อยากให้คุณหมอเป็นห่วง ท่านเลยแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นผม ”
“ เหอะ งั้นฉันก็คงเป็นคนใกล้ตายสินะ ”
“ คุณหมอทำไมพูดแบบนี้ครับ? คุณหมอโกรธผมเหรอ? ”
“ ใช่ มีฉันคนเดียวสินะที่ไม่รู้เรื่อง ทำไมต้องปิดบังกันด้วย ถ้านายบอกฉัน ฉันจะได้มีเวลาใส่ใจคุณพ่อมากกว่านี้ ”
“ ไม่มีใครอยากให้คนที่เรารักรู้สึกไม่สบายใจหรอกครับ ”
“ ... ”
“ เอ่อ ผมหมายถึงท่านคงไม่อยากให้หมอบีมรู้สึกไม่สบายใจครับ ”
“ อืม นายไม่ผิดหรอก ”
“ แต่คุณหมอโกรธผม ”
“ เปล่า ฉันอยากอยู่คนเดียว ”
“ คุณหมอ ”
แวมทำหน้าเศร้าพยายามที่จะเดินเข้ามาหาผม
“ ฉันบอกว่าอยากอยู่คนเดียวไง ”
“ คุณหมอไล่ผมเหรอครับ? ”
“ อืม ”
ผมตอบโดยพยายามไม่มองแววตาน่าเศร้าๆของคนตรงหน้า
“ ก็ได้ครับ ผมไปก็ได้ ”
แล้วเขาก็หายวับไปทันที
ผมโกรธที่ผมเป็นคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทำไมต้องปิดบังกันด้วย ผมควรรับรู้เรื่องนี้มากที่สุดไม่ใช่เหรอ?
ผมได้แต่คิดทบทวนอยู่นาน พออารมณ์โกรธเริ่มบรรเทาลง ก็เริ่มที่จะเข้าใจ คุณพ่อคงไม่อยากให้ผมเป็นกังวล แวมก็เช่นกัน ผมไม่น่าไล่เขาเลย
“ แวม อยู่รึเปล่า? ”
ผมเรียกหาแวมดังๆ คิดว่าเขาน่าจะได้ยินเพราะเขาคงอยู่กับผมตลอด ไม่น่าจะไปไหน
แต่เขาไม่ปรากฏตัวออกมาเลย
“ แวม นายหายไปไหน? ออกมาได้แล้ว ฉันขอโทษที่ไล่นายไปนะ ออกมาสิ ”
เงียบ...
ไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆกลับมา เขาคงจะโกรธผมมาก ความใจร้อนทำให้ผมพลาดอีกแล้ว
การหายไปครั้งนี้ของแวมเป็นการหายไปที่ยาวนานสำหรับผมมาก เขาหายไป 2 วันแล้ว เขาเคยอยู่กับผมตลอดเวลา แต่ตอนนี้ผมต้องใช้ชีวิตแบบเหงาๆคนเดียว
“ แวม นายหายไปไหนนะ? กลับมาเถอะขอร้อง ”
เขาอาจจะโกรธผมจริงๆ หรือไม่แวมก็อาจจะกลับเข้าร่างไปแล้วก็ได้ พอคิดได้ดังนั้นผมก็เริ่มรู้สึกเศร้าขึ้นมา นี่ผมต้องใช้ชีวิตคนเดียวแล้วจริงๆใช่มั๊ย?
บ๊อกๆ บ๊อกๆ
“ ไงชาเย็น เห่าแบบนี้หิวข้าวแล้วล่ะสิ นี่ฉันซื้อข้าวผัดใส่หมูเยอะๆของโปรดแกมาด้วยนะ ”
เจ้าชาเย็นเป็นหมาที่ชอบกินเนื้อหมูมาก กินทุกอย่างที่ใส่หมู แต่ถ้าวันไหนเอาอาหารที่ไม่มีหมูให้กินมันก็จะเมินอาหารจานนั้นทันที
“ เอ่า ทำไมไม่กินล่ะ ไม่ชอบเหรอ? งั้นวางไว้นี่นะ ถ้าหิวก็มากินเองละกัน ”
บ๊อกๆ
“ ตอนนี้ก็เหลือเราสองคนแล้วนะ ไม่สิ อย่างแกต้องเรียกเป็นตัวนี่นา ช่างเถอะ เอาเป็นว่าฉันรักแกมากนะเจ้าหมาน้อย อย่าจากฉันไปไหนล่ะ ฉันเหงานะรู้มั๊ย เฮ้อ ไม่รู้เจ้าของอีกคนของแกจะเป็นยังไงบ้าง ป่านนี้เขาจะอยู่ไหนกันนะ ”
ผมอุ้มชาเย็นขึ้นมากอด หนักจริงๆเลยเจ้าหมาตัวนี้ ตัวมันเริ่มโตขึ้นแล้ว อีกหน่อยก็คงอุ้มไม่ได้แล้วล่ะ
“ ให้ตายเถอะ คิดถึงว่ะ ”
คืนนี้ผมอ่านหนังสือจนดึกดื่นเช่นเคย มองนาฬิกาก็ใกล้จะเที่ยวคืนแล้ว เริ่มง่วงแล้วสิ ไม่มีคนคอยเฝ้าเวลาอ่านหนังสือแล้วรู้สึกไม่อยากอ่านต่อเอาซะเลย ผมตัดสินใจปิดหนังสือเพื่อเตรียมเข้านอน คืนนี้อากาศค่อนข้างเย็น คงหลับสบายน่าดู
พอผมปิดไฟแล้วรู้สึกวังเวงแปลกๆ คืนนี้เป็นคืนข้างขึ้น พระจันทร์ค่อนข้างสว่างทำให้มองเห็นสิ่งของต่างๆในตอนปิดไฟได้ลางๆ ผมมองเห็นผ้าม่านปลิวไสวและมีแสงจันทร์สาดส่องเข้ามา แต่ทว่า ผมปิดหน้าต่างไปแล้วนะ!
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น และเหมือนใครคนนั้นกำลังพยายามบิดลูกบิดประตูห้องอยู่ด้านนอก ดีนะที่ผมล็อคประตูแล้ว แต่ใครกันล่ะจะมาหาผมดึกขนาดนี้ แถมผมก็ล็อคประตูเข้าบ้านแล้วด้วย ขโมยงั้นเหรอ?
หรือว่าจะเป็น...ผี
พอคิดได้ดังนั้นผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที ถึงผมจะคลุกคลีกับผีตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นผีตัวอื่นที่ไม่ใช่แวมผมก็กลัวนะ กลัวมากด้วย
“ อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย จะทำบุญไปให้ ”
ผมพูดอย่างหวาดหวั่น แต่เสียงบิดลูกบิดประตูยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ ผ้าม่านก็ปลิวไสวอยู่เช่นเดิม ตอนนี้ผมกลัวมาก ขนลุกซู่ไปหมด ผมตัดสินใจสลัดความกลัวทิ้งแล้ววิ่งไปเปิดไฟอย่างรวดเร็ว
พอหลอดไฟถูกเปิด แสงสว่างทำให้ทุกอย่างเงียบลง ผ้าม่านอยู่นิ่ง ไม่มีเสียงบิดกลอนประตูแล้ว
“ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ครับคุณหมอ ”
แวมโผล่มากระซิบข้างหูผมจากด้านหลัง ผมตกใจเล็กน้อย หันหลังไปเจอเขาผมก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจทันที
“ นายหายไปไหนมา ฉันคิดว่าฉันจะไม่ได้เจอนายแล้วรู้มั๊ย ”
“ ผมก็แค่แกล้งหายไปเพื่อมาเซอร์ไพซ์วันเกิดหมอนี่ไงครับ ”
“ วันเกิดฉันพรุ่งนี้ต่างหากล่ะ ”
“ คุณหมอดูนาฬิกาสิครับ ”
ผมหันไปมองนาฬิกาแขวนที่ติดอยู่ข้างผนังก็ปรากฏเวลาเที่ยงคืนหนึ่งนาที นี่เขามาตรงเวลาเป๊ะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
“ เห็นมั๊ยครับว่าวันนี้วันเกิดหมอแล้ว และผมเป็นคนแรกที่มาแฮปหมอนะครับ ถึงจะไม่มีเค้กก็เถอะ ”
“ ฮึก... ”
“ คุณหมอร้องไห้ทำไมครับ ”
แวมทำหน้าตกใจเมื่อเห็นผมร้องไห้ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ แต่น้ำตามันไหลออกมาเอง ผมคิดถึงพ่อ
“ ทุกปีคุณพ่อจะเป็นคนมาอวยพรวันเกิดฉันเป็นคนแรก ท่านจะมาเคาะประตูห้องฉันหลังเที่ยงคืนแบบที่นายทำ พร้อมกับมีเค้กวันเกิดมาให้ฉันเป่า แต่ปีนี้ไม่มีแล้ว ฮือ ”
ผมพูดด้วยน้ำตา
“ อย่าร้องสิครับคุณหมอ ปีนี้ผมมาอวยพรคนแรกนี่ไง คุณหมอยังมีผมอยู่นะครับ ”
“ ว่าแต่นายรู้วันเกิดฉันได้ยังไง? ”
“ เอาเป็นว่าผมรู้แล้วกัน เลิกร้องไห้ได้แล้วนะครับ ”
ผมพยายามกลั้นน้ำตาแล้วส่งยิ้มบางๆให้เขา
“ อืม ช่างเถอะ ขอบใจนะที่เข้ามาในชีวิตฉัน อย่างน้อยวันเกิดปีนี้ฉันก็มีนายอยู่ด้วย ”
“ ผมต่างหากล่ะที่ต้องขอบคุณคุณหมอ ที่อนุญาตให้ผมเข้ามาในชีวิต ”
ผมโผลเข้ากอดแวมจนลืมคิดไปว่าเขาเป็นวิญญาณ ทำให้เสียหลักไปข้างหน้าเล็กน้อย แต่เจ้าตัวกับหัวเราะซะงั้น
“ จะแต๊ะอั๋งผมเหรอครับหมอ? ”
“ บ้า ”
“ ทำไมต้องหน้าแดงด้วยล่ะครับ ”
“ ใครหน้าแดง? เปล่าซะหน่อย ”
ว่าแล้วผมก็เดินหนีไปทิ้งตัวลงที่นอนทันที ผมแอบกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ไม่ให้เขาเห็น
“ คุณหมอยิ้มแล้ว อย่าร้องไห้อีกเลยนะครับ ”
“ ใครอนุญาตให้นายขึ้นมาบนเตียงฉันเนี่ย ”
เผลอแป๊ปเดียว อยู่ดีๆแวมก็โผล่มานอนข้างๆผมแล้ว
“ วันนี้ผมขอนอนบนเตียงด้วยแล้วกัน ยังไงผมก็ทำอะไรหมอไม่ได้หรอกครับ ”
“ ไม่เอา ลงไปเลย ”
“ ไม่ลง ”
เขาตอบหน้าตาเฉย ไม่มีทีท่าว่าจะยอมฟังผมเลยสักนิด
“ เฮ้อ แล้วแต่เลยละกัน ”
“ ขอบคุณครับ ”
แล้วเขาก็เอาแต่นอนจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้นจนผมนอนไม่หลับ
“ นี่ จะจ้องกันอีกนานมั๊ย? ”
“ อืม ก็หมอน่ารักนี่ครับ ”
ชมกันซึ่งๆหน้าแบบนี้เลยเหรอ? ผมมองแววตาคมนั่นที่จ้องมาแล้วรู้สึกเขินจนทำอะไรไม่ถูก ผมต้องผลิกตัวหนีไปอีกทางเพื่อหลบสายตา
“ ถ้าผมมีเค้กวันเกิดให้หมอก็คงจะดีกว่านี้ ”
น้ำเสียงเศร้าๆนั่นทำให้ผมพลิกตัวกลับไปหาเขาอีกครั้ง
“ ไม่เป็นไรหรอกน่า ดีซะอีก ฉันจะได้ไม่อ้วน ”
พอได้ยินแบบนั้นแวมก็หลุดยิ้มทันที
“ คุณหมอโชคดีจริงๆนะครับที่ได้รับเค้กวันเกิดจากคุณพ่อทุกๆปี เท่าที่จำความได้ พ่อกับแม่ของผมไม่เคยอวยพรวันเกิดผมเลย พวกท่านไม่ค่อยมีเวลาให้ผมหรอกครับ ท่านจะถามว่าผมอยากได้อะไรแล้วก็โอนเงินเข้าบัญชีของผมแค่นั้น ”
เอ่า ทำไมเข้าโหมดดราม่าอีกแล้วล่ะ
“ ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมนายถึงเป็นเด็กมีปัญหา ”
“ เด็กมีปัญหา? ”
“ ฉันหมายถึงเมื่อก่อนน่ะ แต่ช่างมันเถอะ พ่อแม่นายรักนายมากนะ วันที่นายโดนยิงพ่อนายเขาเสียใจมากรู้มั๊ย? ”
“ ไม่เห็นโรงศพไม่หลั่งน้ำตาน่ะสิครับ ผมโตมาเพราะได้แม่นมเลี้ยงดู พ่อแม่ของผมแทบจะไม่มีเวลามาสนใจผมเลยด้วยซ้ำ ”
“ อย่าพูดแบบนั้นสิ เอาเป็นว่าตอนนี้นายมีฉันอยู่นี่ไง อย่าเศร้าไปเลยน่า ”
“ นั่นสินะครับ ผมกะว่าจะมาทำให้คุณหมอหายเศร้า ทำไมมาเศร้าเองซะงั้น ”
“ แต่ฉันยังไม่หายโกรธนายหรอกนะที่นายหายไปตั้ง 2 วัน รู้มั๊ยว่าฉัน... ”
“ คิดถึง? ”
“ ... ”
“ คิดถึงผมก็บอกสิครับ ผมรู้นะ ผมอยู่กับหมอตลอดเวลา อยากออกมาหาใจแทบขาด แต่ต้องคอยหลบ แถมต้องไม่ให้เจ้าชาเย็นเห็นอีก ”
“ ไม่รู้แหละ ฉันโกรธนายแล้ว ”
“ ผมขอโทษนะครับ หายโกรธผมนะ ”
แวมค่อยๆยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆผมมากขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ใบหน้าเราห่างกันไม่ถึงสองเซนอยู่แล้ว ผมมองแววตาที่จ้องมาแล้วใจสั่นจนต้องหลับตาเพื่อตั้งสติ
“ นี่ถ้าผมไม่ใช่วิญญาณ ผมคงปล้ำหมอไปแล้วนะเนี่ย ”
แวมผละตัวออกไป ผมลืมตาขึ้นมาก็เห็นเขายิ้มดีใจที่แกล้งผมได้
“ ถ้านายไม่ใช่วิญญาณฉันก็คงจะถีบนายตกเตียงได้น่ะสิ ”
“ คุณหมอไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ ”
“ รู้ได้ไง ”
“ ก็ดูเมื่อกี้สิ หลับตาพริ้มเชียวนะครับ เสียดายจังที่ผมทำต่อไม่ได้ ”
“ ไอ้บ้า โว้ยยย ลงไปจากเตียงเลยนะ ไอ้ผีโรคจิต ”
“ ฮ่าๆ ผมไม่แกล้งแล้วครับ ”
ผมค้อนใส่คนตรงหน้าแล้วพริกตัวหนีทันที คืนนี้กว่าจะข่มตาหลับได้ เพราะไอ้ผีโรคจิตนี่แท้ๆเลย กวนประสาทผมอยู่นั่นแหละ คราวหลังจะไม่ให้นอนบนเตียงด้วยแล้ว
วันนี้ที่โรงอาหาร ผมได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาวๆอีกแล้ว อย่างกับตอนที่เจอแวมไม่มีผิด แต่ตอนนี้แวมนั่งอยู่ข้างๆผมโดยที่ผมมองเห็นเขาคนเดียว แล้วนี่ดาราหรือเดือนคณะไหนโผล่มาอีกล่ะเนี่ย หนวกหูจริงๆเลย
ผมรู้แล้วว่าต้นเหตุของเสียงมาจากใคร หนุ่มหล่อสองคนกำลังเดินมาพร้อมกับร้องเพลงวันเกิด ใต้เมฆถือเค้กก้อนใหญ่ที่จุดเทียนเรียบร้อยแล้วไว้ในมือ เขาเดินมาพร้อมกับนาคิมด้วย ไม่น่าล่ะทำไมสาวๆถึงกรี๊ดดังนัก
“ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู... ”
ทั้งสองคนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมและเสียงกรี๊ดก็เริ่มเงียบลงเปลี่ยนเป็นเสียงฮือฮาแทน
“ แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะหมอบีม ”
“ มีความสุขมากๆนะครับ ”
“ รู้ได้ไงครับว่าวันนี้วันเกิดผม? ”
ใต้เมฆเอี้ยวตัวมากระซิบข้างหูผมเพื่อตอบคำถาม
“ ไอ้แวมมันบอก ”
คนที่โรงอาหารต่างไม่ได้ยินว่าใต้เมฆพูดอะไรก็ซุ๊บซิ๊บกันใหญ่ คงจะคิดไปต่างๆนาๆ
ผมหันไปหาแวมเขาก็พยักหน้ารับ
“ นี่เค้กวันเกิดของคุณหมอครับ ถึงผมจะไม่ได้เป็นคนให้ด้วยตัวเองก็เถอะ ”
“ ขอบใจนะ ”
ผมหันไปขอบใจแวม ใต้เมฆกับนาคิมมองหน้ากันแล้วก็เข้าใจทันทีว่าผมคุยกับใคร
“ เป่าเค้กสิ ”
ใต้เมฆบอกให้ผมรีบเป่าเค้กก่อนที่เทียนจะละลายจนหมด
ผมหลับตาอธิฐานบางอย่างลงไปก่อนจะเป่าจนเทียนดับรวดเดียวทุกเล่ม
“ คุณหมออธิฐานอะไรครับ? ”
“ ไม่บอกหรอก ถ้าบอกเดี๋ยวมันจะไม่เป็นจริง ”
...ความจริงแล้วผมอธิฐานขอให้แวมเข้าร่างได้แค่นั้นเอง...
“ แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู... เอ่า ”
ไอ้ก่อกับไอ้เกื้อเดินถือเค้กมาด้วยเช่นกัน แต่พอมาถึงแล้วเจอสองคนนี้ไอ้ก่อก็ชักสีหน้าอารมณ์เสียทันที ไอ้เกื้อก็ดูเกร็งๆเอาแต่ก้มหน้าก้มตา
ผมมองบรรยากาศกดดันตรงหน้าแล้วรีบเป่าเค้กในมือไอ้ก่อเพื่อเปลี่ยนเรื่อง
“ ขอบใจนะเว้ยพวกมึง ”
“ อะไรวะ พวกกูไปเอาเค้กแป๊ปเดียวแม่งโดนตัดหน้าซะแล้ว ”
ไอ้ก่อบ่นอย่างหงุดหงิด
“ มาช้าเองช่วยไม่ได้ ”
ใต้เมฆทำเหมือนพูดลอยๆไม่ได้หันมองไอ้ก่อ เป็นการกวนตีนที่น่าหมั่นไส้มาก
“ เอ่อ กินเค้กกันดีกว่า มาๆๆ ”
ผมรีบชวนทุกคนกินเค้ก แต่ก็ไม่มีใครกินเลยสักคน
“ มึงกินเลย กูแดกไม่ลงละ ”
ว่าจบไอ้ก่อก็เดินหนีไป
“ กูก็ด้วย ”
ใต้เมฆก็ไปอีกคน
เอาแล้วไง เหลือนาคิมกับไอ้เกื้อแล้วสิ สองคนนี้จะยังไงกันนะ
“ แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะหมอบีม ผมไปก่อนนะครับ ”
ไอ้เกื้อหันมาบอกผมแล้วรีบเดินหนีไป ผมเหลือบมองนาคิมที่มองตามไอ้เกื้อจนลับสายตาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“ ผมไปแล้วนะหมอ กินไม่หมดก็เอากลับไปกินที่บ้านนะครับ ”
นาคิมพูดจบก็เดินหนีไปเป็นคนสุดท้าย
ผมหันไปมองหน้าแวมแล้วส่ายหัวอย่างเอือมๆ
“ นี่ฉันต้องกินคนเดียวหมดนี่ใช่มั๊ย? ”
“ ใช่แล้วครับหมอ ฮ่าๆ ”
“ ยังจะหัวเราะอีก มาช่วยกินเลย ”
“ ผมกินได้ที่ไหนกันล่ะ ”
เฮ้อ ผมตักเค้กเข้าปากจนอิ่มก็ยังไม่ถึงครึ่งก้อนเลย สงสัยต้องเก็บกลับบ้านอย่างที่นาคิมว่าแล้วล่ะมั๊ง
“ หมอบีม ตื่นได้แล้ว สายแล้วครับ ”
แวมยังคงปลุกผมไปเรียนเช่นทุกวัน แต่วันนี้ไม่มีเรียนโว้ยยย
“ วันนี้อาจารย์ยกเลิกคลาส นายจำไม่ได้รึไง? ”
ผมบอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเพราะอยากนอนต่อ
“ ผมลืมไปเลย ขอโทษครับ ”
“ อืม ”
แล้วผมก็หลับตาลงอีกครั้ง
“ คุณหมอครับ ไปเที่ยวกัน ”
“ เที่ยวไหน? ”
ผมงัวเงียตอบแบบยังไม่ลืมตาลุกจากเตียง
“ แล้วแต่หมอเลยครับ ผมอยากไปเที่ยว ที่ไหนก็ได้ หมออุตส่าห์มีวันหยุดทั้งที นะครับๆๆ ”
“ เฮ้อ ”
ผมลุกจากเตียงมามองหน้าแวม เห็นแววตาอ้อนวอนนั่นแล้วก็ปฏิเสธไม่ลงจริงๆ
“ อาบน้ำแป๊ป ”
“ สวนสนุก? ”
วันนี้ผมนึกสนุกอยากพาแวมมาเที่ยวดรีมเวิลด์ มาล่าสุดก็ตอนผมอยู่ประถมนู้น ตอนนั้นผมแทบไม่ได้เล่นเครื่องเล่นอะไรเลย เพราะผมเป็นเด็กที่มีนิสัยขี้กลัวมาก ผมว่าความคิดที่จะออกมาเที่ยวก็ดีเหมือนกันนะ ปลดปล่อยความเครียดซะบ้าง พาไอ้ผีคุณชายนี่ออกมาเปิดหูเปิดตาด้วย ตอนเด็กๆพ่อแม่เขาคงไม่พามาเล่นที่แบบนี้หรอก
เป็นอย่างที่ผมคาดไว้จริงๆด้วย แวมไม่เคยมาที่นี่ เขาทำหน้าตื่นเต้นมากตั้งแต่เดินเข้าประตูมาแล้ว เป็นผีก็ดีที่เข้ามาได้เลยโดยไม่ต้องซื้อบัตร
ผมเลือกขึ้นเครื่องเล่นเคเบิลคาร์เป็นอันดับแรก มันเป็นกระเช้าลอยฟ้าที่นั่งชมวิวเพื่อที่จะมองเห็นได้ว่าเครื่องเล่นอะไรอยู่ตรงไหน
“ ทำไมขึ้นมาแล้วมันน่ากลัวขนาดนี้วะ ”
ผมได้แต่หลับตาปี๋เพราะมันสูงมาก ขาสั่นไปหมดแล้ว ตอนดูอยู่ข้างล่างไม่เห็นจะน่ากลัวอะไรเลย พอขึ้นมาเล่นเองเท่านั้นแหละ แทบจะเป็นลม
“ คุณหมอกลัวความสูงเหรอครับ? ”
“ นายไม่กลัวรึไง? ดูข้างล่างนั่นสิ ดูๆๆ หวาดเสียวชะมัด ”
“ ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหนเลย ”
แวมทำหน้าตาเฉย มองวิวทิวทัศน์อย่างชิลๆ
และเครื่องเล่นอันต่อไปที่ผมจะเล่นคือไวกิ้งนั่นเองครับ เห็นคนเล่นที่ลงไปเมื่อกี้กรี๊ดเสียงดังสนั่นเหลือเกิน ดูซิว่าจะขนาดไหนกันเชียว มีที่นั่งให้เลือกตั้งแต่ชั้นอนุบาลยันที่นั่งชั้นมหาลัย นั่งชั้นมหาลัยเลยแล้วกัน
“ อ๊ากกกกกกก ช่วยด้วย ไม่เอาแล้วๆ อ๊ากกกกก ”
ผมกรีดร้องสุดเสียงด้วยความหวาดเสียว เวลาไอ้เรือผีนี่มันแกว่งขึ้นสูงที่สุดผมรู้สึกเหมือนหัวใจหลุดไปอยู่ที่ตาตุ่ม เคว้งคว้างเหมือนล่องลอยบนท้องฟ้าแล้วถูกปล่อยให้ตกลงมาอย่างน่ากลัว
แวมยืนมองผมอยู่ข้างล่างแล้วยังหัวเราะอีก เหอะ ถ้าได้ขึ้นมาแล้วจะรู้สึก
“ ไหวมั๊ยครับเนี่ย? ”
“ ยังจะถามอีก ดูหน้าด้วย ”
ผมเอามือชี้หน้าตัวเอง ซึ่งสภาพตอนนี้ผมว่าดูไม่ได้แล้วล่ะ
“ ไปเล่นบ้านผีสิงกัน ผมอยากเล่น ”
“ ไม่เอา นายเข้าไปคนเดียวดิ กลัว ”
“ กลัวทำไมครับ มีผมอยู่นี่ทั้งคน ”
“ นายเป็นผีจะกลัวอะไรล่ะ ”
“ นะครับหมอ นะๆๆ ”
โอ้ย ทำตัวขี้อ้อนอีกแล้ว แววตาแบบนี้มันปฏิเสธไม่ลงจริงๆนะเนี่ย
“ ก็ได้ๆ ”
พอเข้ามาในบ้านผีสิง บรรยากาศไม่ได้เงียบวังเวงอย่างที่ผมคิด แต่มันกลับมีเสียงกรี๊ด เสียงเอฟเฟคครึกโครม กดประสาทไปอีกแบบ ทั้งเสียงซาวด์หมาหอน เสียงตุ๊กแก มีตุ๊กแกปลอมด้วย น่าขยะแขยงสุดๆ โว้ย ผีแหกปากเสียงดังชะมัด ตกใจหมด
“ หมอครับ เดินต่อดิ ”
แวมหันมาบอกผม
“ ไม่เอา กลัว ”
“ ไม่ต้องกลัวครับ เดินตามผมมา ”
พอมาถึงจุดที่มีผีอยู่ในกรงมันจะเด้งตัวมาหลอกให้คนตกใจเมื่อเดินผ่าน ผมไม่กล้าผ่านกรงนั่นเลย ถึงผมจะรู้ว่ามันเป็นผีปลอมก็เถอะ
“ เอ่าน้อง เดินสิครับ ”
ผู้ชายข้างหลังสะกิดไหล่ผมให้เดินต่อ
“ ไปก่อนเลยครับ ”
ผมหลีกทางให้เขา
“ กลัวเหรอ? มานี่ พี่พาไป ”
ว่าแล้วเขาก็ดึงมือผมให้เดินตามไปทันที ด้วยสัญชาติญาณความกลัวผมจึงเกาะแขนพี่คนนั้นไว้แน่นจนถึงทางออก
“ ขอบคุณนะครับ ”
“ ไม่เป็นไรครับ ”
พี่เขายิ้มให้แล้วก็เดินจากไป
“ หน้าบึ้งอีกแล้วนะ ”
ผมหันไปพูดกับแวมที่หน้าบึ้งตึงตั้งแต่ออกมาจากบ้านผีสิงแล้ว
“ ก็หมอไปจับมือผู้ชายคนนั้นทำไมล่ะครับ? ”
“ ก็คนมันกลัวนี่นา ”
“ ผมก็แค่น้อยใจที่ผมทำแบบนั้นไม่ได้ ”
“ ดราม่าทำไมเนี่ย มาทางนี้ๆ หาไรสนุกๆเล่นดีกว่า ”
ผมยิ้มให้เขา เขาก็พยักหน้าแล้วเดินตามมาจนได้
ผมเล่นเครื่องเล่นไปหลายอย่างจนเหนื่อยล้าสุดๆ เครื่องเล่นที่น่ากลัวที่สุดผมยกให้เฮอร์ริเคนเลย ตับไตใส้พุงนี่แทบจะพันกันหมดแล้วเนี่ย ผมแวะพักกินเคเอฟซีเพื่อตากแอร์เย็นๆ จากนั้นจึงไปเล่นเครื่องเล่นต่อ และปิดท้ายด้วยการดูหนัง4D
“ เฮ้อออ วันนี้เหนื่อยเป็นบ้าเลย นายว่ามั๊ย? ”
หลังจากกลับบ้านมาผมก็ทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างเหน็ดเหนื่อย
“ ผมไม่รู้สึกเหนื่อยเลยนะครับ ”
“ นั่นสิ นายจะรู้สึกเหนื่อยได้ไงล่ะ ”
“ หมอบีม ชาเย็นหิวข้าวแล้วนะ ”
“ จริงด้วย ”
ผมลุกจากโซฟาแล้วเอาข้าวกล่องที่ซื้อมาเทใส่จานให้เจ้าหมาน้อยกิน
“ ชาเย็นอ้วนแล้วนะครับเนี่ย สงสัยจะกินเยอะ ”
“ นั่นสิ โตไปจะเป็นหมูรึเปล่าเนี่ย? ฮ่าๆ ”
ผมกับแวมนั่งดูเจ้าหมาน้อยเคี้ยวข้าวตุ้ยๆอยู่อย่างนั้น
“ ขอบคุณนะครับหมอ ที่พาผมไปเที่ยววันนี้ ผมไม่เคยไปสวนสนุกมาก่อนเลย ”
“ ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ฉันก็สนุกมากๆเลยล่ะ ”
วันนี้ผมมีความสุขมาก ไม่ได้ทำอะไรแบบนี้มานานแล้ว ผมมองหน้าคนที่อยู่ข้างๆแล้วนึกขอบคุณเขาในใจที่เข้ามาเติมสีสันในชีวิตผม ทำให้ผมมีความสุขและไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
---------------------------------------
ผมอยากให้แวมเข้าร่างแล้วเหมือนกัน
ใกล้แล้วล่ะครับ -_-
รักคนอ่าน ขอบคุณทุกคอมเมนต์ครับ