♥‿♥ THE SWAN : เก๋ เริ่ด เชิด หงส์ ♥‿♥ ตอนที่ 23 : HUG , 23/01/18 **
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♥‿♥ THE SWAN : เก๋ เริ่ด เชิด หงส์ ♥‿♥ ตอนที่ 23 : HUG , 23/01/18 **  (อ่าน 30573 ครั้ง)

ออฟไลน์ bliss diary

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
    ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
    เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
    กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


    ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
    http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

    ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
    http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

    ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

    1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
    2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
    หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
    หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
    และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
    3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
    4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
    5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
    6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
    7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
          7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
          7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
          7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
                - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
    8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
    9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
    10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
    11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
    บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
    นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
    12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
    13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
    14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
    15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
    (1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
    (2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
    16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
    17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
    18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ




    ♥‿♥ Intro ♥‿♥


    หนึ่งชั่วโมงของคลาสยาวไปจนแทบจะไม่พัก ก็ผมโมโหที่นายเพชรดูเหมือนจะจงใจแกล้งผม แถมยังมีภาพที่ถูกโพลต์ลงเพจนั่นอีก ผมเลยระบายอารมณ์ออกมาด้วยการจัดเต็มในคลาสมวยไปเลย สายตาผมหันกลับมามองไอ้คนที่เรียนเบสิคมวยไทยอีกครั้ง
    ดูแล้วสกิลต่อยมวยของนายนั่นยังห่างชั้นกับผมมาก

    เซ็งเว้ย
    จะเจอกันอะไรทั้งวี่ทั้งวัน! ว่าแล้วผมก็สะบัดหน้าหนี แล้วเดินไปที่ห้องอาบน้ำ


    วันนี้ผมอาบน้ำไม่นานเพราะอยากรีบกลับ ไม่อยากจะอยู่นี่นานเท่าไหร่ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็รีบเดินมาที่ลานจอดรถเพื่อขึ้นรถจะขับกลับคอนโด แต่พอเห็นรถสีขาวที่จอดอยู่ข้างบีเอ็มดับบลิวคันสีแดง ก็รู้สึกหงุดหงิดในใจขึ้นมามากกว่าเดิม

    รถของพี่ภัทร แฟนเก่าผมที่เพิ่งมาโวยวายเมื่อไม่กี่วันยังไงล่ะครับ  เดินยังไม่ทันจะถึงรถ คนที่นั่งอยู่ในรถสีขาวก็เปิดประตูแล้วเดินตรงเข้ามาหาผม

    “อะไรอีกครับ” ผมว่าไปอย่างหงุดหงิด

    “พี่จะมาขอคืนดีกับเรา” พูดจบเขาก็เดินเข้ามาจับแขนผม

    ก็อารมณ์ไม่ค่อยดีมาทั้งวันแล้ว กะจะมาต่อยมวยให้หายหงุดหงิดซะหน่อย แต่ดันมาเจออะไรแบบนี้เข้า ผมก็เบรคแตกเหมือนกัน

    “พี่แม่งพูดไม่รู้เรื่องว่ะ” ผมพยายามสะบัดมือของพี่ภัทรออก

    แต่ยังไม่ทันจะได้ออกแรง พี่ภัทรก็ปลิวออกจากตัวผมด้วยแรงผลักของคนที่มาใหม่


    ‘นายเพชร’


    “เห้ย อะไรของมึงวะ” พี่ภัทรพุ่งเข้าใส่นายนั่นทันทีที่ตั้งหลักได้

    “แล้วมึงอะไร” นายเพชรนั่นก็ไม่ยอม กระชากคอเสื้อพี่ภัทรเต็มกำมือ แล้วสองคนนั้นก็ซัดกัน

    ไม่สิ ต้องเรียกว่านายเพชรกำลังโดนพี่ภัทรซัดเข้าให้ ผมยืนกุมขมับ แล้วถอนหายใจกับภาพตรงหน้า
    พร้อมกับถามตัวเองว่า ‘แล้วพวกมึงสองคนนี้อะไร’


    แต่ก่อนที่จะมีใครซักคนตาย ผมเลยต้องเข้าไปช่วยนายเพชรก่อน ผมทิ้งสัมภาระลงพื้นแล้วกระโดดเข้าไปห้าม

    “เห้ย พี่ภัทรหยุด” พูดแล้วไม่ยอมหยุด เลยต้องออกแรง ดึงตัวพี่ภัทรออกมาแล้วศอกใส่ไปทีนึงให้ได้สติ

    พี่ภัทรกุมท้องตัวเอง แล้วขยับไปยืนพิงรถ ส่วนนายเพชรนอนกุมหน้าอยู่ที่พื้น

    “พี่ภัทรกลับไปเถอะครับ แค่นี้ก็วุ่นวายมากพอแล้ว” ผมพูดไล่ ก่อนจะเดินไปประคองนายเพชรให้ลุกขึ้น

    “เป็นไงบ้างคุณ”

    ผมประคองนายนั่นขึ้นไปนั่งบนรถ แล้วเดินกลับมาหยิบสัมภาระที่โยนทิ้งไว้เมื่อกี้แล้วใช้ผ้าเช็ดตัวซับเลือดให้เขาไปก่อน ระหว่างนั้นพี่ภัทรก็ขับรถออกไปอย่างเร็ว ผมมองตามแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว แล้วหันกลับมาจ้องหน้านายเพชร พร้อมกับชี้นิ้วอย่างคาดโทษ เอาเถอะเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาต่อว่าใคร ผมต้องรีบขับรถพาเขาไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด


    ระหว่างที่นายเพชรเข้าไปทำแผล ผมก็โทรหาไอ้มิวเล่าเรื่องให้มันฟัง แล้วก็บอกให้มันไปจัดการพี่ภัทรให้ผมด้วย
    ก็ไม่รู้ว่ามันจะจัดการยังไงหรอกครับ บอกไปงั้น

    ครู่ใหญ่...นายเพชรก็เดินออกมาในสภาพสะบักสะบอม มีผ้าก๊อซแปะบนใบหน้า

    เห็นละหงุดหงิดไม่หาย

    เขาเดินเข้ามานั่งข้างผม ในระหว่างนั่งรอรับยาก็ไม่มีใครพูดอะไรกัน จนสุดท้ายนายนั่นก็เป็นคนพูดขึ้นมาก่อน

    “คุณชื่อเล่นว่า หงส์ หรอ” ผมเหลือบมองคนด้านข้างหน้านิ่ง เจ้าของใบหน้าที่แสนจะสะบักสะบอมส่งยิ้มมาให้

    “ใช่เวลาเล่นป่ะ” ผมพูดเสียงนิ่งใส่ คนด้านข้างหุบยิ้มแล้วหลุบตามองพื้น “ทำไมต้องพุ่งตัวเข้ามายุ่ง”
    ถ้านายเพชรไม่เข้ามา เราสองคนก็คงไม่ต้องหอบกันมาโรงพยาบาล

    “ ก็ไอ้นั่นมันรังแกคุณ” เขาพูดตอบเสียงนิ่ง

    “แล้วเป็นไง สู้เค้าได้มั้ยล่ะ......ไม่เป็นมวย แล้วยังไปหาเรื่องชาวบ้าน”

    ผมนั่งจ้องนายนั่นราวกับกำลังพิพากษาความผิด ลำพังตัวผม ทำไมผมจะเอาตัวรอดจากพี่ภัทรไม่ได้
    นี่ดันพาคนอื่นมาซวยด้วย เฮ้อ

    พ่อฮีโร่หน้าแหก!!

    คนที่ถูกจ้องอยู่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยแววตาเศร้า

    “ไม่เอาแบบนี้แล้วนะเว่ย เพชร!!”

    ผมพูดจริงจัง

    แต่ทันทีที่พูดจบ นายนั่นกลับยิ้มกว้างออกมา แววตาเศร้าเมื่อครู่ มีประกายวิบวับ
    ผมพูดอะไรผิดไปตรงไหนวะ!

    “คุณว่ายังไงนะ” เขายิ้ม ทั้งที่กำลังเจ็บตัว และกำลังโดนผมด่านะเว่ย

    “ไม่เอาแบบนี้แล้วนะเพชร” ผมพูดบอกอีกครั้งด้วยเสียงที่แข็งขึ้น แล้วนั่นก็ทำให้เขายิ้มกว้างออกมากว่าเดิม

    “อยากให้คุณเรียกผมแบบนี้บ่อยๆ ว่ะ”

    “ฮะ” คำพูดของเขาทำให้ผมไม่ค่อยเข้าใจ

    “คุณ…
    …ผมจีบคุณนะ”




    Share This Topic To FaceBook
    « แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-01-2018 20:14:11 โดย bliss diary »

    ออฟไลน์ bliss diary

    • เป็ดประถม
    • *
    • กระทู้: 62
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
    Re: + THE SWAN + + เก๋ เริ่ด เชิด หงส์ +
    «ตอบ #1 เมื่อ09-06-2017 22:57:26 »

    THE SWAN
    เก๋ เริ่ด เชิด หงส์ 1
    Material Boy


    06:13

    อรุณสวัสดิ์เช้าวันจันทร์ที่แสนสดใสครับ

    วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก ในฐานะนิสิตปี 3 ที่เรียน BBA อย่างผมจึงตื่นเช้าเป็นพิเศษ แล้วใช้เวลาส่วนมากไปกับการอาบน้ำ แต่งตัว แต่งหน้า เซ็ทผม ให้เป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว

    อ๊ะ!! แต่งหน้าของผมหมายถึงการลงครีมบำรุง ครีมกันแดด บีบีหรือรองพื้นบางเบา ให้หน้าตาดูสดชื่น ผิวพรรณสุขภาพดี ตามแบบฉบับของผู้ชายที่ดูแลตัวเองอ่ะครับ

    ผมไม่ลืมหยิบสเปรย์น้ำแร่สูตรดูแลผิวบอบบางขวดสีขาวขึ้นมาฉีดพรมทั่วใบหน้า เพื่อให้เครื่องสำอางค์เซ็ตตัว พร้อมกับให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหน้า เพราะว่าวันนี้คงจะต้องออกไปเจอศึกหนักทั้งวัน

    จัดการในส่วนของใบหน้าและเส้นผมอยู่ร่วมชั่วโมงกว่า ก็ได้เวลาหยิบชุดนิสิตสุดเนี้ยบที่ผมหยิบมาวางไว้บนเตียงนอนขึ้นมาสวม มือเรียวของผมปลดชุดคลุมอาบน้ำสีขาวที่คลุมร่างโปร่งออก พร้อมกับหยิบน้ำหอมขวดสีทองกลิ่น Coconut Passion มาฉีดพรมให้ทั่วร่างกาย

    น้ำหอมกลิ่นที่ใครก็ต่างบอกว่ามันหอมเหมือนขนมหวาน ได้กลิ่นแล้วรู้สึกอยากกิน

    ก็แน่ล่ะครับ ผมมันน่ากินนิ  : )

    รอให้น้ำหอมซึมเข้าสู่ผิวเรียบร้อย กางเกงในตัวบางสีขาว Calvin Klein ถูกสวมขึ้นมาพร้อมกับการจัดทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางในแบบที่มันควรจะเป็น จากนั้นผมก็บรรจงสวมเสื้อเชิ๊ตสีขาวที่ขนาดใหญ่กว่าตัวผมเล็กน้อย พร้อมกับติดกระดุมทีละเม็ด ไล่จากล่างขึ้นบน และไม่ลืมที่จะเว้นสองเม็ดบนเอาไว้

    ไม่ช้าสแลคสีดำขนาดพอดีตัวก็ถูกสอดเข้ามาผ่านขาล่าง เรื่อยขึ้นมาถึงเอว ซิบกางเกงถูกรูดปิดอย่างระมัดระวังพร้อมกับติดกระดุมเพื่อความเรียบร้อยตามมา



    ผมเดินไปที่กระจกบานใหญ่ข้างโต๊ะเครื่องแป้ง เช็คความเรียบร้อยของตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง

    เส้นผมสีดำขลับ ถูกไดร์ตรง พร้อมกับเซ็ทลงมาให้ปรกหน้าผากเล็กน้อย

    เครื่องสำอางค์บนใบหน้าที่ประทินผิวอย่างลงตัว ชวนให้คิ้วสีดำที่หนาพอประมาณเรียงตัวเป็นระเบียบโดดเด่นอยู่เหนือดวงตากลมโต รับกับสันจมูกคมที่ไม่โด่งมากจนเกินไป ปากกระจับสีชมพูระเรื่อ ฉีกยิ้มโชว์ฟันขาวสะอาดเรียงตัวเป็นระเบียบ

    เชิ๊ตสีขาวความยาวพอดีถูกปล่อยชายออกนอกกางเกงสแลคสีดำที่ขายาวไม่เกินข้อเท้า

    “Fine” ผมพูดกับคนในกระจก

    เชื่อว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดีของผม

    กระเป๋าหลุยส์ใบโตบรรจุสิ่งของที่ต้องใช้ระหว่างวันถูกหยิบขึ้นมาสะพายบนไหล่ซ้าย

    ก่อนที่เปิดประตูห้องบานใหญ่จะถูกเปิดออก ผมก้าวออกจากห้องด้วยความมั่นใจ



    หลายคนคงคิดว่าผมเป็นพวก Material Boy (Girl) หรือพวกวัตถุนิยม อะไรอย่างนั้นใช่มั้ยครับ
    แน่นอนว่าคุณคิดถูก

    บางคนอาจจะไม่ชอบผม บางคนหมั่นไส้ บางคนรำคาญ บางคนบอกว่าผมเยอะ
    แต่ในเมื่อผมไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แล้วผมก็อยู่ในที่ที่เหมาะสมของผม
    ผมว่าชีวิต…มันก็ยังไปต่อได้ในแบบของมันครับ




    ลิฟต์ที่อยู่ถัดจากห้องนอนของผมถูกเปิดออกจากการสัมผัสเมื่อครู่ ไม่ช้ามันก็พาผมลงมาที่ชั้น 1

    อาหารเช้าเรียบง่าย ไข่ดาว ไส้กรอก พร้อมด้วยชาเอิร์ลเกรย์จากอังกฤษ ถูกจัดเตรียมบนโต๊ะอาหาร

    ผมใช้เวลาไม่นานกับการกินอาหารเช้า ก็จวนได้เวลาออกจากบ้านไปมหาวิทยาลัย




    “วีรินทร์ ไปเรียนแล้วหรอลูก”

    เสียงมักเดินทางมาไวกว่าแสงเสมอ แต่เธอไม่ใช่แสงครับ

    เพราะเธอคือแม่ของผมเอง

    ส่วน วีรินทร์ ที่แปลว่า ผู้กล้าที่ยิ่งใหญ่ คือชื่อของผมเองครับ

    ‘วีรินทร์ กวินทราพัฒน์’

    ลูกชายที่ถอดแบบมาจากแม่แทบทุกกระเบียดนิ้ว

    ถึงแม้ว่าชื่อของผมจะเหมือนผู้หญิง ทั้งชื่อจริงและชื่อเล่น แต่ผมก็ไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่

    เพราะที่เป็นอยู่ ก็แทบไม่ต่าง



     
    ผมยิ้มกว้างให้แม่ พร้อมกับลุกขึ้นเดินเข้าไปหาท่าน

    “ครับแม่ สัปดาห์นี้ผมคงพักที่คอนโดนะครับ ไม่ได้กลับบ้าน”

    “แล้วอย่างงี้แม่ก็เหงาแย่เลยนะสิ”

    แม่ทำหน้าเศร้าลงเล็กน้อย เห็นอย่างนั้นผมจึงรีบโผเข้าไปกอดอ้อนแม่

    “ไม่เหงาหรอกค้าบ แม่ก็มีวีวิศอยู่ทั้งคน”

    วีวิศคือน้องชายตัวแสบของผมเอง มันเรียนมอปลายโรงเรียนชื่อดัง ไว้มีโอกาสผมจะพามาแนะนำ

    “เจ้าวีวิศก็แต่อ่านหนังสือเตรียมเข้ามหา’ลัย แม่ชวนไปไหนก็ไม่ยอมไป รายนั้นไม่มีเวลาให้แม่หรอก ชิ”

    แม่ทำหน้างอนลูกชายตัวดี เห็นแล้วก็อดยิ้มขำไม่ได้ครับ ก็แม่ผมดันเป็นประเภทชอบออกไปทานข้าวนอกบ้าน ชอบชวนไป
    ดินเนอร์ท่ามกลางแสงไฟอยู่เป็นประจำ ผมเลยแอบคิดว่าบางครั้งวีวิศมันก็คงอยากมีมุมที่ไปกับเพื่อน หรือว่าไปกับแฟนบ้าง

    ส่วนผมน่ะหรอชิงไปอยู่คอนโดก่อนแล้วค้าบบ

    “ก็ดีกว่ามันติดสาว แล้วไม่กลับบ้านนะครับแม่” ปลอบใจคุณแม่สุดที่รักซะหน่อย

    “เหมือนเราใช่มั้ยล่ะ ถึงได้ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องตัวเอง”

    อ้าว ไหงงั้นละเนี่ย ผมก็ค้างคอนโดที่แม่ซื้อให้เปล่าหว่า

    “โหยย เปล่าซะหน่อยครับแม่…ไม่เอาละพูดกับแม่นาน เดี๋ยวสาย ผมไปแล้วนะค๊าบ”

    ผมกอดหอมแก้มแม่ให้หนำใจอีกครั้ง ก่อนจะบอกลา แล้วคว้ากระเป๋าใบโตเดินตรงมายังโรงจอดรถ





    BMW สีแดง สดใส จอดประจำการรอผมอย่างเตรียมพร้อม ไม่ได้ขับไปมหาวิทยาลัยนาน

    ท่าทางเจ้า ‘เรดเวลเวต (Red Velvet)’ คงจะคิดถึงมหา’ลัยไม่น้อยไปกว่าผมแน่นอน

    ผมวางกระเป๋าลงบนที่นั่งข้างคนขับ คาดเข็มขัดนิรภัยให้ตัวเองเสร็จสรรพ

    แล้วเหยียบคันเร่งนำเจ้ารถคันโปรดมุ่งหน้าเข้าเมืองทันที




    “I want something just like this...Doo-doo-doo, doo-doo-doo”

    ผมร้องเพลงคลอไปกับเสียงเพลงบนรถ มันช่างเหมาะกับเช้าที่เพอร์เฟคซะจริงๆ

    ผมชะลอเล็กน้อยมองซ้าย มองขวา แล้วเลี้ยวซ้ายออกจากถนนในหมู่บ้าน




    ‘ปั๊ก ครืดดดดดดด’

    “เห้ยย” ผมอุทานเสียงดัง ความตกใจสั่งเท้าขวาให้เหยียบเบรคจนหน้าทิ่ม

    เมื่อรถจอดสนิทผมจึงเงยหน้าขึ้นจากพวกมาลัย ทำให้เห็นบิ๊คไบค์สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ด้านหน้ารถผม   

    คนขับในชุดสีดำ สวมหมวกกันน็อคปิดหน้า กำลังลงจากรถและดูเหมือนจะเดินมาที่เรดเวลเวตของผม




    ‘ปึก ปึก ปึก’

    เสียงเคาะกระจกรถดังขึ้น เขาทำท่าชี้นิ้วเหมือนกับบอกให้เปิดกระจกลง

    ผมกดกระจกลงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วก็เชิดหน้าขึ้นมองคนที่ยังคงสวมหมวกกันน็อคอยู่

    “เป็นอะไรมาก...”

    “ขับรถแบบนี้ ได้ใบขับขี่มาได้ยังไง” เพราะเขาคือคนที่ทำลายวันดีๆ ของผม มันจึงไม่มีเหตุผลที่ผมจะพูดดีกับเขา และถ้าผมเป็นอะไรมากขึ้นมา คนอย่างนั้นจะสามารถรับผิดชอบชีวิตผมได้หรอ

    “คือว่าผม…”

    “ไม่ต้องพูด” มือเรียวของผมยกขึ้นปรามคนตรงหน้า แล้วชิงถามต่อ “รถมีประกันมั้ย”

    “มีครับ ว่าแต่คุณจะไม่ลง…”

    “ให้ประกันเคลียร์”

    ว่าจบผมก็กดกระจกขึ้นเพื่อจบการสนทนา แล้วมองสำรวจรอบๆ รถตัวเองผ่านกระจกมองข้าง ซึ่งเจ้าเรดเวลเวตของผมก็ดูจะไม่ได้เสียหายอะไรมากนัก มีเพียงกระจกมองข้างนี่แหละที่บิดงอผิดรูปไป

    ผมโทรแจ้งประกัน แล้วโทรบอกที่บ้านให้ส่งคนมารอเคลียร์

    เพราะผมจะรีบไปมหา’ลัย




    กระเป๋าหลุยส์ใบโตถูกหยิบขึ้นมาคาดไว้บนไหล่ซ้ายอีกครั้ง ขณะผมก้าวลงจากรถเพื่อไปโบกแท็กซี่

    กริ๊ง กริ๊ง

    ระหว่างนั้นโทรศัพท์เครื่องสีแดงในมือของผมก็ส่งเสียงร้อง พร้อมแสดงชื่อคนโทรเข้าบนหน้าจอ

    “ฮัลโหลมิว” ผมรับสายด้วยเสียงนิ่งเจือหงุดหงิด

    ‘อยู่ไหนแล้ววะ’ ปลายสายพูดถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ

    “หน้าหมู่บ้านว่ะ พอดีมีเรื่องนิดหน่อย”

    ผมยกมืออีกข้างขึ้นปาดเหงื่อ แล้วบ่นอุบในใจ
    อากาศเมืองไทยนี่ก็ร้อนซะจริง แค่ออกแดดแปปเดียว เม็ดเหงื่อก็ผุดขึ้นตามไรผมซะละ
    เซ็งโว้ย

    ‘ฮะ เกิดเรื่องไรขึ้น’ น้ำเสียงไอ้มิวเปลี่ยนไปเล็กน้อย

    “มีพวกแว๊นซ์ขับมอ’ไซค์มาชนรถกูว่ะ”

     “เชี่ย!!” แรงกระชากทำเอาผมตัวเซไปเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับล้ม

    ตอนนี้โทรศัพท์ของผมถูกกระชากไปอยู่ในมือของ…

    “คุณครับ!! ผมไม่ใช่แว๊นซ์”

    ผมหันหลังกลับไปมองเจ้าของเสียงทุ้มผู้ที่เพิ่งทำลายวันดีๆ แถมยังกระชากมือถือของผมไปอีก

    ตอนนี้เขากำลังพูดกับไอ้มิว เพื่อบอกว่าตัวเองไม่ใช่แว๊นซ์ ก่อนที่เขาจะกดตัดสายไป




    ผมมองการกระทำคนตรงหน้านิ่งๆ แล้วไล่มองหัวจรดเท้า จนผมกับเขาจ้องหน้ากัน

    หน้าเด็กกว่าที่คิดแฮะ

    ตอนแรกคิดเอาไว้ว่าคงเป็นลุงแก่ หัวล้าน หนวดหงอก ตีนกาพรึ่บ ฟันดำ สกปรก ตัวเหม็น

    แต่ไหงพอถอดหมวกกันน็อคออกมา กลับผิดคาดซะงั้น

    ผมมองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง “ไม่ใช่แว๊นซ์ แต่ขับมอ’ไซค์เฉี่ยวรถคนอื่น”

    “รบกวนคุณช่วยไปศึกษาคำว่า แว๊นซ์มาใหม่นะครับ…” เขาทำท่าถอนหายใจเบอร์แรงใส่ผม

    …ผม ไม่ ใช่ แว๊นซ์” คนตรงหน้าจ้องผมตาเขม็ง

    ผมเข้าใจนะครับ ว่าผมหน้าตาดี ใครเห็น ก็อยากจะจ้องมอง

    แค่คำว่าแว๊นซ์ จะเดือดร้อนอะไรขนาดนั้น

    ผมคว่ำปากแล้วเหลือกตาใส่คนตรงหน้าพร้อมกับไหวไหล่นิดหน่อย

    พอนึกได้ว่าตัวเองดูกำลังจะเล่นมากไป ผมก็ดึงสติกลับคืนมา แล้วบอกตัวเองว่า Keep Look…

    “ถ้าไม่ใช่ก็หัดมีมารยาทกับคนอื่นด้วยนะครับ คุณแว๊นซ์” คนไม่มีมารยาทแบบนี้ ต้องเจอผม

    ผมกระชากโทรศัพท์ที่อยู่ในมือเขากลับคืนมา แล้วจ้องตามองแรงตอบไป

    “ผมไม่ใช่แว๊นซ์ครับ คุณเหวี่ยง” คนตรงหน้ายังคงยืนยันคำเดิม โดยการพูดเน้นเสียงทีละคำ

    แถมมันยังเติมฉายา ‘คุณเหวี่ยง’ ให้ผมเพิ่มมาอีกด้วย

    หมดเวลาต่อล้อต่อเถียงกับคนบ้าอย่างไอ้แว๊นซ์นี่ “Fine” ผมพูดพร้อมยักไหล่เบาๆ




    จะว่าไปนายนี่ก็ไม่ได้ดูเป็นแว๊นซ์หรอกครับ รถมอเตอร์ไซค์ที่เขาขับก็ราคาแพงพอที่จะซื้อรถยนต์ได้

    แล้วยิ่งพอถอดหมวกกันน็อคออกมา หน้าตาเขาก็ดูสะอาดสะอ้านดี ขาวตี๋ พิมพ์นิยม

    ส่วนความสูง คงสูงกว่าผมสัก 6-7 เซน น่าจะประมาณ 180 มั้ง

    ภาพรวมก็โอเค แต่มารยาทแย่

    สรุปที่ผมเรียกเขาว่า ‘เด็กแว๊นซ์’ ก็แค่คุยโทรศัพท์กับเพื่อน แล้วก็พูดให้มันดูสะใจแค่นั้นเอง

    แต่ไหงไอ้บ้านี่ถึงได้โมโหถึงขั้นกระชากโทรศัพท์กันขนาดนี้

    “คุณจะไปไหนครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นทันที เมื่อเห็นผมทำท่าจะโบกแท็กซี่ เขาขยับเข้าประชิดตัวผมมากขึ้น

    ผมเหล่มองด้วยหางตาพร้อมรีบถอยตัวออกห่าง ผมไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้ตัว

    เดี๋ยวเขาจะได้กลิ่น Coconut Passion แล้วอยากกินผมขึ้นมาอีกคน

    แค่คิดภาพต้องมีอะไรกับนายนี่ ก็ขนลุกละ อึ๋ยทุเรศจัง คิดอะไรอยู่วีรินทร์!! ตกปากตามอายุ!!

    “ไปเรียน…แต่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวจะมีคนขับรถที่บ้านมาเคลียร์กับคุณ” ผมไม่ได้หันไปมองเขา
    ประกอบกับเป็นจังหวะที่แท็กซี่มาพอดิบพอดี

    ผมเลยรีบเปิดประตูรถขึ้นไป

    ก่อนก้าวขาเข้าไปในรถ ก็เกิดรู้สึกว่าอยากจะกวนประสาทคนอีกสักครั้งเป็นการส่งท้าย

    “คุณ เด็ก แว๊นซ์” ผมพูดว่าช้าๆ ชัดๆ แลยกนิ้วชี้ ชี้หน้าเขา ก่อนจะปิดประตูแท็กซี่หนีไป




    เหตุผลที่ผมเลือกที่จะอยู่คอนโดในช่วงเปิดเทอม ก็เพราะว่าผมนั่งอยู่บนแท็กซี่คันนี้มามากว่าชั่วโมงครึ่งแล้วครับ
    แต่ก็ยังไม่ถึงมหาวิทยาลัยซะที มันทำให้ผมรู้สึกช่วงเวลาที่รถติด เป็นช่วงเวลาที่ไร้ประโยชน์

    การอยู่คอนโดใกล้มหาวิทยาลัยจึงเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ สำหรับคนอย่างผมครับ




    10:29

    สายไปชั่วโมงกว่า…ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีมากกกกกกกกสำหรับการเข้าเรียนในวันแรกกับวิชาเลือกเสรี ที่นิสิตทั่วมหาวิทยาลัยต่างแย่งกันลง แล้วผมก็เป็น 1 ใน 60 ผู้โชคดีจากจำนวนนิสิตนับพันที่อยากจะลงเรียนวิชานี้ และนั่นคือเหตุผลที่ผมไม่อยากสาย เพราะถ้าคุณสาย คุณอาจจะโดนเด้งโดยไม่รู้ตัว

    ผมเดินเนียนๆ เข้ามาในห้องสโลปขนาดไม่ใหญ่มาก อาจารย์ที่สอนอยู่หน้าห้องกำลังสอนอย่างออกรสออกชาติ ด้วยเหตุนี้อาจารย์จึงไม่ได้สนใจผมที่มาสายมากนัก

    ผมรีบตรงเข้าไปหา ‘ไอ้มิว’ เพื่อนรัก ที่จองที่นั่งเอาไว้ให้ทางด้านหลังห้อง

    “เป็นไงบ้างวะมึง” ทันทีที่ผมนั่งลง ไอ้มิวที่กำลังตั้งใจเรียนอยู่ ก็หันมากระซิบถาม

    “เชี่ยแว๊นซ์นั่นแม่งกวนตีน ขับรถเฉี่ยวรถกูแล้วยังกร่าง” ผมพูดตอบพลางถอนหายใจออกมา

    คิดแล้วโมโหไม่หาย มีที่ไหนมาขับรถเฉี่ยวเขา แล้วยังกระชากทรัพย์สินคนอื่นไป!!

    “แม่งกร่างยังไงวะ” ไอ้มิวทำหน้าสงสัย

    “กระชากมือถือกู ตอนที่กูคุยกับมึงไง” คนอะไรไม่มีมารยาท ไม่รู้ว่าเติบโตมาในสังคมแบบไหน

    “แต่มึงก็ไปว่าแม่งก่อนถูกป่ะ” แล้วนั่นมึงจะขำทำไมวะมิว กูกำลังโมโห

    “มิว มึงเป็นเพื่อนใคร” ผมดึงหน้าแล้วมองบนใส่มัน

    “เออ กูเพื่อนมึง แต่บางทีก็แหม มึงก็หัดใจเย็นลงบ้าง นิสัยมึงจะได้สวยเหมือนหน้า เหมือนชื่อของมึงไง”

    มันไม่พูดเปล่าครับ มันยื่นมือมาเชยคางผม หันซ้ายที ขวาที แล้วหลับตาพริ้มใส่อย่างกวนตีน

    เล่นอะไรให้เกียรติความดึงหน้าของกูในตอนนี้ด้วย!!

    “ว่าแต่ เสียงไอ้เหี้ยนั่นตอนบอกกูว่าไม่ใช่เด็กแว๊นซ์ก็ดูหล่อดีเหมือนกันนะ แล้วหน้าตาแม่งเป็นไงวะ” แล้วไอ้เชี่ยมิวก็ยิ้มกรุ้มกริ่มใส่ผมพร้อมขยิบตาทีนึง

    “ก็โอเค สูง ขาวตี๋ ทั่วไป…

    …เห้ย! มึงบ้าป่ะ ปล่อยหน้ากู” ผมปัดมือไอ้มิวออกจากคางผม แล้วนึกหงุดหงิดตัวเอง ตอบแม่งทำไม

    ไอ้มิวยิ้มล้อ

    ผมเลิกสนใจไอ้มิวแล้วหันไปสนใจอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่หน้าห้องดีกว่า

    เปิดเรียนวันแรก ต้องขนาดนี้เลยหรอ

    “ว่าแต่อาจารย์ให้ทำไรวะ กูมาสายไปตั้งชั่วโมงกว่า”

    “อาจารย์ให้จับบัดดี้” มิวพูดตอบเสียงใส แล้วส่งยิ้มมา

    นี่คือข้อดีและเสน่ห์ของไอ้มิวครับ มันเป็นคนที่ขี้เล่น ยิ้มเก่ง มีรอยยิ้มที่จริงใจ ใจเย็น อารมณ์ดีอยู่เสมอ

    เวลาผมของขึ้น มันจะมักจะคอยเอาลงอยู่เสมอ หมายถึงว่าผมเวลาหัวร้อนนะครับ ไม่ใช่ขึ้นแบบนั้น

    ซึ่งนิสัยของมัน…ค่อนข้างจะตรงข้ามกับผมในหลายประการ




     “ดีเลย งั้นกูคู่กับมึง” ผมยิ้มหวานหมู ชิลสัสเลยกู

    “ไม่ได้เว่ย อาจารย์เค้าให้จับฉลากเอา มึงเห็นกระป๋องสีขาวหน้าห้องป่ะ” ว่าแล้วมันก็ชี้นิ้วไปหน้าห้อง

    “อาฮะ” ผมพยักหน้า แล้วเบนสายตามองหน้าตาจริงจังของมิว

    “ในนั้นจะมีฉลากอยู่ เป็นรูปสัตว์ ถ้ามึงจับได้สัตว์ตัวไหน มึงก็ไปหาคนที่จับได้เหมือนมึงให้เจอ…

    …นั่นแหละคู่บัดดี้ของมึง” ไอ้มิวอธิบายกระซิบกระซาบ

    “แล้วมึงจับได้ตัวไรวะ”

    มิวขยับตัวเหมือนหาอะไรบางอย่าง ก่อนที่มันจะหยิบกระดาษใบเล็กออกมาจากกระเป๋ากางเกง

    มิวลอบมองผม สลับกับมองอาจารย์หน้าห้อง

    “อีแร้ง”

    ผมถึงกับหลุดขำเสียงดัง

    “ยี้ เชี่ยมิว เชี่ย กรุ๊ปแร้งกินศพ ยี้” ผมจิ้มแขนไอ้มิวแล้วผลักตัวมันออกไปไกลๆ ด้วยท่าทางรังเกียจ
    ไม่คิดว่าอาจารย์จะช่างสรรหาสัตว์แปลกขนาดนี้ ทีแรกผมก็นึกว่าจะเป็น หมู หมา กา ไก่ อะไรแบบนั้น

    “หยุดเลยสัส ถ้ามึงจับได้ตัวเหี้ยนะ กูจะหัวเราะเข้าให้”

    ฮะ มีตัวเหี้ยด้วยหรอวะ!! ผมเบิกตากว้างขึ้นทันทีที่ได้ยิน

    “มึงอำกูละสัสมิว…ว่าแต่จับบัดดี้ไปทำไม ซื้อของเทคให้งี้หรอ…งั้นกูฝากมึงซื้อ”

    “เปล่า มึงนี่ขี้ฝากเนอะ เอะอะใช้กูตลอด สัส

    คืออาจารย์บอกว่าตั้งแต่คาบหน้าเป็นต้นไป มึงต้องนั่งคู่บัดดี้มึง ทำงานคู่กัน มีโปรคเจคคู่กันไรงี้”

    “แล้วต้องเอากันด้วยป่ะ” ผมถามหน้าตาย แล้วกระพริบตาวิ้งใส่มันทีนึง

    “มึงอยากเอาก็เอา ถุ๊ย!


    …นี่อ่ะหรอคำพูดของ ‘วีรินทร์ ที่ใครๆ ก็หลงรัก’…อยากจะเอากับบัดดี้เฉย”


    แล้วนั่นใครให้มึงเอาคำขวัญส่วนตัวของกูมาใช้วะ หึ แล้วไอ้มิวทำท่าทางรังเกียจผมบ้าง

    “หยุด สัสมิว” ผมตีแขนมันด้วยความหมั่นไส้ในท่าทาง

    “นี่สรุปว่าอาจารย์เค้ากะจะให้เป็นคู่บัดดี้ หรือให้เป็นคู่ผัวเมียวะ”

    ถ้าจะต้องใช้ชีวิตร่วมกันขนาดนี้ มีหวังได้เอากันแบบที่ผมคิดไว้แหงๆ

    “แน่ะ ไอ้เชี่ยวีรินทร์ มึงวกเข้าเรื่องนี้อีกแล้วนะคร้าบบบ…

    …ทำไมวันนี้มึงดูพูดถึงแต่เรื่องเอาๆ อย่าบอกนะว่าเพราะไอ้แว๊นซ์มอ’ไซค์นั่น”

    มองบน ผมมองบนใส่ไอ้มิวอย่างไม่มีคำพูดใดใด

    ผมยังคงยืนยันคำเดิม แค่คิดภาพต้องมีอะไรกับนายนั่น ก็ขนลุกไปหมดละ

    เห้ย แล้วกูจะคิดตามทำไม


    “เออ กูพอ!! แล้วคนไหนบัดดี้มึงวะมิว เห็นยัง” ผมตัดบทแล้วดึงสติตัวเองด้วยการถามถึงบัดดี้ไอ้มิว

    ไอ้มิวพยักเพยิศมองหาบัดดี้ของมัน แต่ดันโดนอาจารย์เอ็ดซะก่อน

    “นิสิตอย่าเพิ่งคุยกันนะคะ ตั้งใจฟังก่อน เดี๋ยวอาจารย์จะมีงานให้ทำท้ายคาบ”




    หลังจากเลิกเรียนไอ้มิวก็ใจดีพาผมไปจับฉลากกับอาจารย์ที่หน้าห้อง พร้อมช่วยผมอธิบายเหตุผลให้อาจารย์ฟังว่าอุบัติเหตุรถชน
    เลยมาเข้าเรียนสาย ซึ่งอาจารย์ก็ใจดีไม่ได้ว่าอะไร

    ผมหยิกสลากใบสุดท้ายขึ้นมาไว้ในมือ แต่เอ๊ะ! ไม่ใช่ใบสุดท้ายนี่หว่า

    ยังเหลือฉลากอีกหนึ่งใบ ที่ยังไม่มีใครมาจับ

    แปลกจัง มีคนมาสายกว่าผมอีกหรอเนี่ย ทั้งที่วิชานี้คนแย่งกันเรียนกันทั้งมหาวิทยาลัย




    ระหว่างทางเดินไปโรงอาหาร เราต้องเดินผ่านลานจอดรถมอ’ไซค์ที่อยู่ริมสนามหญ้า และก่อนที่ผมกำลังจะเป็นลมแดด
    สายตาเหยี่ยวของผมก็ดันไปสะดุดกับอะไรบางอย่างเข้า

    ผมรู้สึกคุ้นตา จนต้องชะงักไปชั่วครู่

    บิ๊คไบค์สีดำจดอยู่ตรงนั้น

    ผมรีบบอกตัวเองว่า ไม่ใช่มั้ง!!


    “มึงจับได้ตัวอะไรวะ” มิวสะกดผม ทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิดฟุ้งซ่าน

    เออว่ะ! ยังไม่ได้เปิดดูเลย

    ผมหยิบฉลากในกระเป๋าขึ้นมาดู แล้วพูดตอบไอ้มิว

    “หงส์”




    to be continued


    สวัสดีค้าบ บลิสนะครับ **นักเขียนหน้าใหม่ในเล้าเป็ด
    ฝากเนื้อฝากตัว ฝากวีรินทร์ ด้วยนะครับบ

    :) :)


    « แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-12-2017 10:27:00 โดย bliss diary »

    ออฟไลน์ bliss diary

    • เป็ดประถม
    • *
    • กระทู้: 62
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
    THE SWAN
    เก๋ เริ่ด เชิด หงส์ 2
    Boxing


    20:15

    ในช่วงบ่ายผมเข้าเรียนวิชาบังคับของคณะจนหัวสมองมึนตึ๊บไปหมด หลังจากนั้นไอ้มิวก็ชวนกึ่งบังคับให้ผมไปดูหนังน้องหมาน้องแมวเป็นเพื่อนมัน ระหว่างดูหนังไอ้มิวก็ร้องห่มร้องไห้เป้นวรรคเป็นเวรให้กับมิตรภาพของสัตว์หมาแมว ส่วนผมก็กึ่งหลับกึ่งตื่นครับ ดูหนังเสร็จเราสองคนก็ดับความหิวด้วยอาหารญี่ปุ่น และซูชิจัดเต็ม ก่อนที่ไอ้มิวจะขับรถมาส่งผมที่ยิมค่ายมวยแถวสาทรเพื่อเป็นการตอบแทนที่ผมยอมดูหนังกับมัน

    วันนี้ผมมีคลาสเรียนมวยไทยครับ
    นั่นจึงเป็นเหตุผลที่วันนี้กระเป๋าของผมมันตุงและใหญ่เป็นพิเศษ
    คงไม่อยากจะเชื่อใช่มั้ยละครับ…ว่าคนอย่างผมจะเรียนมวยไทย แถมผมยังเรียนมาปีกว่าละน้า
    อยากจะบอกว่าเรื่องงานบู๊ เป็นงานถนัดของผมเลยแหละ

    นี่ยังไม่รวมที่ชอบเล่นบีบีกัน ยิงปืน ยิงธนู เจ็ทสกี ปีนเขา และอีกสารพัดกิจกรรมนะครับ
    ซึ่งมันดูขัดกับลุคของผมอะดิ…ใครๆ ก็บอกแบบนั้น หะหะ

    “มึงไม่ลงไปต่อยมวยกับกูจริงหรอวะมิว” ผมหน้าหงิกทันทีที่ไอ้มิวบอกว่าจะแค่ขับรถมาส่ง
    วันนี้มันไปเรียนกับผมไม่ได้ ด้วยเหตุผลที่ว่า

    “วันนี้สมชายมีโอกาสจะคลอดว่ะ กูต้องรีบกลับบ้านไปดูอาการ”

    ก็ตั้งแต่ออกจากโรงหนังที่บ้านมิวก็โทรมาบอกว่า ‘ไอ้สมชาย’

    นางแมวที่มันเลี้ยงดูเหมือนจะใกล้คลอดเต็มทน ให้มันรีบกลับบ้านไปสแตนบาย

    หลังจากนั้นไอ้มิวก็มีอาการกระวนกระวายจนแทบอยู่ไม่สุข ดีหน่อยว่าค่ายมวยที่ผมมาเรียนเป็นทางกลับบ้านของมันพอดี มันถึงได้ยอมมาส่งผมตามสัญญา ไม่งั้นมันคงให้ผมนั่งแท็กซี่มาเองเป็นแน่

    “โอเค งั้นกูฝากกำลังใจไปให้สมชาย ขอให้คลอดง่าย ขอให้ลูกนางแข็งแรงเหมือนนาง” พูดจบผมก็ตบบ่าไอ้มิวปุปุเพื่อให้กำลังใจมันรวมถึงส่งกำลังใจไปให้นางแมวสมชายที่จะคลอดในคืนนี้

    ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆ เลยว่า แมวของมันก็เพศเมีย แต่มันดันตั้งชื่อว่า ‘สมชาย’
    แล้วพอถามเหตุผล มันก็บอกว่าตอนแรกเข้าใจว่าแมวเป็นเพศผู้
    แถมท่าทางยังดูขึงขังสมเชิงชาย มันเลยตั้งชื่อแมวว่าสมชาย

    แต่ไปๆ มาๆ น้องแมวดันท้องขึ้นมาซะงั้น
    ความเลยกระจ่างว่าแมวสมชายของไอ้มิวนั้นเป็นเพศเมีย

    “ขอบใจมากมึง ไงวันนี้ก็ฝากต่อยมวยแทนกูด้วย” มิวพูดตอบผมแล้วยิ้มรับ


    ผมใช้เวลาเปลี่ยนชุดและเก็บของเข้าล็อคเกอร์ไม่นานนักก็ได้เวลาเริ่มคลาส

    ผมหยิบนวมมวยส่วนตัวทีเตรียมมาเอง พร้อมด้วยโทรศัพท์มือถือ

    และผ้าขนหนูผืนบางติดมือมาด้วยเพื่อไว้ใช้ซับเหงื่อในช่วงพักครับ



    “สวัสดีครับครู” ผมทักทายครูมะขาม ครูมวยคนโปรดของผมกับไอ้มิวครับ
    ครูมะขามเป็นครูมวยตัวเล็กผิวเข้ม แต่ร่างกายและพละกำลังแข็งแรงมาก
    ที่สำคัญสอนสนุกสุดๆ ด้วยครับ 

    “อ้าว วันนี้ทำไมมาคนเดียวล่ะ” ครูพูดถามทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามาคนเดียว

    “ก็ไอ้มิวมันต้องกลับไปดูแมวคลอดลูกครับ มันเลยทิ้งให้ผมมาคนเดียว” ผมทำหน้าหงอยใส่ครู

    “ฮ่าา ไปไป อย่ามาดราม่า ไปวอร์มก่อนเลยเรา”

    จากนั้นผมก็เริ่มวอร์มร่างกายเหมือนทุกครั้งของการเริ่มคลาส
    ด้วยการวิ่งรอบเวทีมวย 20 รอบ
    ต่อด้วยกระโดดเชือก 5 นาที
    ซิทอัพ 30 ครั้ง
    และปิดท้ายด้วยการยืดเส้นยืดสายก่อนเริ่มจริงครับ

    “โอเค พร้อมรึยัง” ครูมะขามพูดถามขณะที่กำลังพันเชือกที่มือให้ผม

    “แน่นอนครับครู หายไปสองอาทิตย์คันไม้คันมือจะแย่”
    ผมยักคิ้วหน่อยๆ แล้วมองสำรวจไปโดยรอบ
    เห็นคนที่เรียนคลาสกลุ่มใหญ่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของค่ายมวย
    ส่วนผมคลาสแบบส่วนตัวจึงเรียนบนเวทีมวยครับ

    “อยากจะรู้จริงๆ ว่าคนที่มันคันไม้คันมือ แรงมันจะดีซักแค่ไหน หึหึ”
    นวมสีแดงที่ผมเตรียมมาเอง ถูกสวมเข้าทับมือของผมหลังจากครูมะขามพูดจบ

    ผมเดินนำครูขึ้นไปบนเวที เตรียมพร้อมสำหรับหนึ่งชั่วโมงที่สุดมันส์ต่อจากนี้

    “กรี้ดด มีคนเป็นลมค่ะ” เสียงดังมาจากคลาสกลุ่มใหญ่ฟากโน้น คนในคลาสนั้นแตกตื่นกันใหญ่

    “ท่าทางจะเป็นผู้หญิงที่มาเรียนใหม่นะครับ” ผมพูดกับครูแล้วหันมองไปทางต้นเสียง
    แต่ผิดคาดว่ะ

    ชายรูปร่างสูงใหญ่ ถูกแบกออกมานอนแผ่พร้อมกับทีมปฐมพยาบาลที่กำลังวิ่งเข้าไป
    “ผู้ชายตัวโตเลยล่ะ ฮ่าๆๆ” ครูพูดขึ้นพลางหัวเราะ

    จะว่าไปคนที่เป็นลมดูคุ้นตายังไงชอบกลแฮะ เหมือนผมเคยเจอที่ไหนมาก่อน
    ผมสงสัยได้ไม่นานก็ถูกไล่ความสงสัยออกด้วยหมัดหนักของครูมะขามที่ซัดเข้ามาใส่นวมของผม
    นั่นเป็นสัญญาณว่า ศึกครั้งนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

    ด้วยความที่ผมเรียนมวยไทยมาปีกว่าจนเรียนรู้ได้แทบทุกกระบวนท่าแล้ว ช่วงหลังที่มาเรียนจึงเป็นการประลองของจริงกันไปเลย ทั้งกับครูมะขามบ้าง ทั้งกับไอ้มิว หรือกับคนอื่นที่มาเรียนบ้าง



    ผมกับครูลากยาวกันไปยกละหลายนาที ระหว่างนั้นก็มีพักยกเล็กๆ บ้าง เพื่อให้หายใจหายคอโล่งขึ้น จนถึงช่วงพักใหญ่ 10 นาที ผมถึงได้ลงจากเวทีมาหยิบผ้าขนหนูซับเหงื่อ แล้วเช็คโทรศัพท์ว่ามีใครติดต่อเข้ามามั้ย ก่อนจะเดินไปบริเวณประตูทางเข้าเพื่อหยิบน้ำเปล่ามาดื่มแก้กระหาย

    ผมหยิบน้ำเปล่าออกมาจากตู้น้ำแล้วยกขึ้นกระดกเดี๋ยวนั้นเลย
    แล้วผมก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่อยู่ไม่ไกลจากตู้น้ำ


    “หึ” ผมหัวเราะในลำคอแล้วเดินตรงเข้าไปทันที
    มิน่าล่ะผมถึงรู้สึกคุ้นหน้าคนที่เป็นลม เพราะมันไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ
    ไอ้คุณแว๊นซ์ขาวตี๋เมื่อเช้านั่นเอง

    ผมสาวเท้าเข้าไปแล้วหยุดยืนมองร่างสูงที่นั่งพิงผนังอยู่กับพื้น
    ในมือของเขาถือยาดมเอาไว้ไม่ห่าง
    หน้าเขาซีดมาก ดูๆ ไปก็น่าสงสารเหมือนกันแฮะ

    แล้วร่างสูงก็เงยหน้าขึ้นมองผมพร้อมกระพริบตาปริบๆ

    “โลกกลมนะครับ” แน่นอนว่าเขาจำผมได้ถึงได้ทักออกมาแบบนี้
    ก็แน่สิครับ ผมมันคนหน้าตาดี ใครๆ ก็ต้องจำได้…ผมไม่แปลกใจ

    “คนอะไร…ขับรถก็เฉี่ยวรถ ต่อยมวยก็เป็นลม” ผมพูดเย้ยแล้วตีหน้านิ่งใส่

    “แล้วคนอะไรครับ ปากคมยังกับกรรไกร” นายนั่นพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ดูหมดแรงจริงๆ
    ผมไม่สนใจต่อล้อต่อเถียงกับเขา แต่เหลือบไปมองคลาสมวยที่นายคนนี้เรียน

    ดูเหมือนว่าวันนี้เขาคงจะไม่ได้กลับเข้าไปร่วมคลาสอีก
    เพราะคนในคลาสต่างเรียนกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
    แต่นายนี่เป็นลมเลยต้องมานั่งดมยาดมอยู่ตรงนี้
    โถ่ น่าสงสาร แค่คลาสเริ่มต้นก็ไม่ไหวซะละ

    ผมเดินกลับมาที่ตู้น้ำอีกครั้ง ก่อนจะหยิบขวดน้ำมาไว้ในมือ แล้วเดินกลับไปหานายแว๊นซ์หน้าซีด

    “อะ” ผมส่งขวดน้ำให้เขา นายนั่นทำหน้างงหน่อยๆ แต่ก็ยอมรับไปแต่โดยดี

    “ให้ผมหรอ” เจ้าตัวพูดถามพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น
    คาดว่าคงจะไม่แน่ใจว่าผมยื่นให้ทำไม เขาอาจจะคิดว่าผมให้เขาช่วยแกะให้ผมละมั้ง

    “แล้วแต่จะคิด” ผมยักไหล่แล้วออกมา




    22:19

    กว่าผมจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ปาไปสี่ทุ่มแล้ว เมื่อออกมาจากห้องน้ำก็พบว่ายิมปิดแล้วครับ คนทะยอยกลับบ้านกันไปหมดละ ตอนนี้เหลือแค่ลุงยามคนเดียวเท่านั้นที่กำลังรอปิดประตู เห็นดังนั้นผมจึงรีบสะพายกระเป๋าใบโตไว้บนไหล่ซ้ายแล้วเดินออกมาข้างหน้ายิม เพื่อก็พบว่า

    ฝนตกหนัก
    แล้วผมจะกลับยังไงวะเนี่ย รถก็ไม่ได้ขับมา ยิมมวยก็ดันอยู่ในซอยลึก

    ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเปิดแอพเพื่อเรียกแท็กซี่ แต่ผ่านไปเกือบสิบนาทีก็ไม่มีแท็กซี่ซักคัน
    “เอาไงดีวะ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง แล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ

    ขณะนี้ไฟทุกดวงในยิมได้ถูกปิดลงหมดแล้ว มีเพียงไฟจากลานจอดรถด้านหน้าที่ส่องสว่างอยู่

    “ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนมั้ยครับ” ผมหันมองตามเสียงนั้นทันที

    ผีรึเปล่าวะเนี่ย
    ผู้ชายร่างสูงในชุดผ้าร่มสีดำสำหรับออกกำลังกาย
    สวมรองเท้าแตะ สะพายกระเป๋าเป้ ในมือถือขวดน้ำ
    กำลังเดินตรงเข้ามาหาผม

    “ไม่ต้องอ่ะ” ผมพูดตอบ พร้อมหันหลังให้นายนั่นทันที

    “บรรยากาศมันน่ากลัวนะคุณ อยู่คนเดียวไหวหรอ”
    เสียงทุ้มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง

    “ไม่กลัวผี” ผมเบือนหน้าออกมามองฝนตก

    “เปล่าครับ ผมไม่ได้หมายถึงผี”

    ผมยืนกอดอกนิ่ง ทำทีเป็นไม่สนใจ
    แล้วเขาหมายถึงอะไรวะ? ผมเก็บความสงสัยไว้ในใจแต่ไม่ได้แสดงท่าที

    “ผมหมายถึงคน…” อ้าว ได้ยินที่กูคิดเฉย!

    “หน้าตาสวยๆ แบบนี้อยู่คนเดียวมันอันตรายนะครับ”
    พูดจบนายแว๊นซ์นั่นก็โผล่โพร่งขึ้นมายืนหน้าผม

    ผมถ่อยห่างเล็กน้อย แล้วส่ายหน้า “อยู่กับคุณน่าจะอันตรายกว่า”
    นายนี่ท่าทางก็ไม่ได้ดูน่าไว้วางใจขนาดนั้น “คุณกลับไปเลยก็ได้นะ”

    คนที่ยังยืนอยู่ตรงหน้าคลี่ยิ้มนิดหน่อย

    “ผมยังกลับไม่ได้หรอกครับ คุณลืมแล้วหรอว่าผมขับมอ’ไซค์น่ะ”

    “นั่นสิ เป็นพวกแว๊นซ์นิ” เกือบลืมไปเลยว่านายนี่เป็นพวกแว๊นซ์มอ’ไซค์ ซึ่งผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย

    “น่ะ ยังไม่หยุดอีก” เขามองมาที่ผมแล้วขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่พอใจหน่อยๆ
    แต่น่าจะแค่หน่อยเดียว เพราะสังเกตมุมปากของเขายังเผลอเจือรอยยิ้มบางอยู่
    ส่วนนิ้วชี้ที่ชี้หน้าผมในตอนนี้ก็ดูเหมือนจะเล่นเสียมากกว่า

    ผมเลิกสนใจคนตรงหน้าแล้วถอยไปนั่งไขว่ห้างกระดิกเท้าบนม้านั่งที่วางอยู่ไม่ไกล
    เพื่อป้องกันนายนั่นมาก่อนกวนผมจึงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมานั่งจิ้มเล่น


    “คุณ” เข้าไม่เลิกยุ่งกับผมซะที แถมยังเรียกอยู่นั่นอ่ะ!
    ตอนนี้ร่างสูงเดินลงมานั่งข้างผม นั่นทำให้ผมขยับตัวออกเล็กน้อย

    รำคาญ!

    ผมเงียบ

    นิ้วโป้งยังคงสไลด์จอโทรศัพท์กดไลค์อินสตราแกรมต่อไปอย่างไม่หวาดหวั่น


    “คุณครับ” จะเรียกอะไรนักหนา
    ผมเหลือบมองเขาเป็นการตอบรับ แล้วเบนสายตากลับมาจดจ้องกับโทรศัพท์

    “คุณ คุณ คุณ” รอบนี้ไม่เรียกเฉยๆ เขาเอาหน้าเข้ามาใกล้ผมแล้วแลบลิ้นปลิ้นตาใส่
    ท่าทางจะบ้า

    “นั่งเงียบๆ ก็ไม่มีใครว่าเป็นใบ้นะ” เมื่อเห็นว่าผมไม่เล่นด้วย เขาเลยเงียบไป


    นายนั่นนั่งเงียบไปพักใหญ่ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี
    เพราะแค่เสียงฝนตกกระทบพื้นปูนผมก็รำคาญจะแย่
    เขาหยิบขวดน้ำที่ถือติดมือมาด้วยขึ้นมาดื่ม แล้ววางมันลง
    จะใช่น้ำที่ผมซื้อให้รึเปล่านะ

    ว่าแต่ ผมจะไปแอบสังเกตนายนั่นทำไมล่ะเนี่ย
    ไร้สาระ

    “คือ…ผมแค่จะขอโทษที่วันนี้ขับรถเฉี่ยวรถคุณ แล้วก็ที่เสียมารยาทกับคุณ”
    นั่งเงียบอยู่ดีๆ คนด้านข้างก็พูดขึ้นมาเฉย
    น้ำเสียงของเขานิ่ง ดูจริงจัง
    และดูเหมือนเขาจะไม่ได้มองมาที่ผม
    แต่มองออกไปข้างนอกเสียมากกว่า

    “แล้วก็จะขอบคุณที่ซื้อน้ำให้ด้วย”
    ในมือของเขาถือขวดน้ำที่ใกล้จะหมด ขึ้นมาแกว่งไปมา

    ดี รู้จักมีมารยาทบ้าง หัดขอบคุณและขอโทษให้เป็น หึหึ!

    เขาก็หันหน้ากลับมามองผม ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมมองเขาอยู่
    พอรู้ตัวว่าผมสบตากับนายแว๊นซ์นั่นอย่างจัง ทำให้ผมรีบเบือนหน้าหนีทันที

    “อืม” ผมตอบรับในลำคอ แล้วก้มลงไปกดโทรศัพท์อีกครั้ง

    ส่วนคนด้านข้างยังคงพูดต่อ “แล้วคุณจะไม่ขอโทษผมหรอ ที่เรียกผมว่าแว๊นซ์”
    แหนะ ทำดีหวังผลนี่หว่า

    ผมปรายตาขึ้นมองเขา แล้วตอบกลับไปทันที “ไม่ขอโทษ ไม่ได้รู้สึกผิด”
    ผมห้าวไปรึเปล่าวะ ถึงแม้ปกติผมจะพูดตรงแต่ก็ไม่ได้โผงผางขนาดนี้
    แอบเห็นเค้าลูบหน้าตัวเองแล้วลอบถอนหายใจออกมายาวๆ

    “ยอมเลย” เสียงทุ้มพูดกับตัวเองแต่มันก็ดังพอที่จะทำให้ผมได้ยิน

    แต่ผมเลือกที่จะทำเป็นไม่ใส่ใจ
    ผมกับเขากลับเข้าสู่สถานการณ์เงียบอีกครั้ง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมอยากให้เป็น และมันควรจะเป็น



    ครู่ใหญ่ฝนห่าที่ตกลงมาจากฟ้าก็ได้ฤกษ์หยุดตกซะที
    ผมสะพายกระเป๋าหลุยส์ใบโต แล้วลุกขึ้นเตรียมเดินออกไปปากซอยเพื่อโบกแท็กซี่

    แต่กลับถูกใครบางคนร้องทักเอาไว้ “เห้ย คุณจะไปไหนอ่ะ”

    ก็ฝนหยุดแล้ว จะนั่งอยู่ทำซากอะไรไม่ทราบ “ก็กลับบ้านดิ จะนอนนี่อ่อ”

    ผมรีบเดินออกจากยิมมวย แต่ก็ได้ยินเสียงฝีท้าวก้าวหนักๆ เดินตามมา
    ได้โปรดปล่อยกูไปซะที

    “แล้วคุณกลับยังไงครับ” ผมไม่สนใจหันไปมองคนที่เดินตามมา

    แต่ก็พูดตอบกลับไป เผื่อเขาจะเลิกถามแล้วแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน
    “แท็กซี่”

    “แต่ผมไม่เห็นแท็กซี่ซักคันเลยนะครับ”

    “จะเดินไปเรียกปากซอย” ว่าแล้วผมก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

    แต่นายนั่นกลับกระโดดมาขวางหน้าผมเอาไว้
    “ให้ผมไปส่งดีกว่า หน้าสวยๆ แถมยังดูรวยๆ แบบนี้ เดี๋ยวก็โดนข่มขืนแล้วฆ่าหรอกคุณ”

    เน้นเหลือเกินนะ หน้าสวยๆ ดูรวยๆ เนี่ย
    จะตามสร้างความรำคาญให้ผมไปถึงไหน แถมยังมาพูดจาปากไม่ดีใส่อีก
    “ไม่” ผมยืนกราน แล้วเดินจ้ำต่อไป

    “งั้นก็ถือซะว่าเป็นการตอบแทนที่คุณเลี้ยงน้ำผม
    จะได้ไม่ติดค้างกัน แล้วไม่ต้องเจอกันอีกไง”

    หืมมม คำพูดนี้น่าสนใจ ทำเอาผมถึงกับหยุดเดิน

    ‘จะได้ไม่ติดค้างกัน แล้วไม่ต้องเจอกันอีก’

    ผมซื้อน้ำให้นายนั่นก็ถือเป็นบุญคุณ แล้วถ้าเขายังไม่ได้ตอบแทนผม
    เราก็คงต้องวนเวียนในกงเกวียนกำเกวียนของกันและกัน
    ถ้านี่จะเป็นการตอบแทนบุญคุณแล้วหายกัน
    …ก็ไม่เลว

    “ไม่อยากเป็นสก๊อย” นี่สินะ ความกู!!

    “โอ๊ยย ฮ่าาา…สก๊อยอะไรกันคุณ แค่ไปส่งหน้าปากซอยเอง ไม่มีใครเค้าเห็นหรอก”
    ผมแอบได้ยินนายนั่นกลั้นหัวเราะ

    เอาล่ะครับ ที่เขาพูดก็ถูก ผมจะเลิกต่อปากต่อคำ
    ก็แค่ซ้อนมอ’ไซค์ไปหน้าปากซอย มันจะได้ทดแทนบุญคุณกันให้หมด แล้วจะได้ไม่ต้องเจอกันอีก
    คิดได้แบบนั้นผมจึงยอมเดินกลับไปขึ้นรถกับเขาโดยดี

    “อ่ะ นี่ของคุณ” คนตรงหน้าพูดพลางยื่นหมวกกันน็อคสีดำใบเล็กมาให้ผม

    ผมเลิกคิ้วขึ้นทำหน้าสงสัย “ไปแค่ปากซอยแค่เนี้ย ไม่ต้องใส่ก็ได้มั้ง”

    “ไม่ได้หรอกครับ ปลอดภัยไว้ก่อน…มา ผมใส่ให้”
    พูดจบเขาก็เอาหมวกกันน็อคมาวางแหมะลงบนหัวผม
    แล้วใช้มือติดสายรัดคางให้ผมอย่างเบามือ

    ด้วยความที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
    ผมเลยยอมยืนนิ่งให้เขาสวมหมวกกันน็อคให้อย่างง่ายดาย
    แล้วดูสายตาที่เขามองมาที่ผมสิ
    กูไม่ได้เคลิ้ม กูแค่หลบไม่ทัน

    จากนั้นเขาก็ขึ้นไปนั่งคล่อมรถ แล้วสตาร์ทเครื่อง
    ก่อนจะเรียกให้ผมขึ้นไป “ขึ้นมาเลยครับ”

    ผมยืนนิ่ง แล้วใช้ความคิด
    “เอาขาเหยียบตรงนั้นเอาไว้ แล้วก็ยกตัวขึ้น จับไหล่ผมไว้ก็ได้ แล้วก็ก้าวขึ้นมานั่งเลยครับ…
    …ส่งกระเป๋าคุณมาก่อนสิ จะได้สะดวกขึ้น”

    “อ๋อ โอเค” ผมตอบรับแล้วถอดกระเป๋าส่งไป เขารับหลุยส์ใบโตไปคล้องคาดไหล่ไว้
    ปกติแล้วผมก็ทะมัดทะแมง ทำอะไรสายบู๊ก็ได้ตลอดนะครับ
    แต่วันนี้แค่ขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ง่ายๆ ทำไมต้องกระแดะขึ้นไม่ได้ด้วยวะ
    งงชิบ

    “เห้ยยย” จะออกรถคิดจะบอกกันซักคำมั้ยเนี่ย
    นายนั่นเล่นออกรถไปทั้งที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัว แบบนี้ก็เกือบหงายหลังสิครับ
    ดีนะที่ผมคว้าไหล่ของเขาไว้ได้ทัน เกือบตกมอ’ไซค์แล้วมั้ยล่ะ

    ต่อจากนั้นมือหนาๆ ก็เอื้อมมาแกะมือผมออกจากไหล่พร้อมกับดึงให้ไปเกาะไว้ที่เอว
    ผมรีบชักมือกลับเพราะไม่ชอบให้ใครมาโดนตัว
    แต่ไม่เป็นผล

    เพราะนายนั่นกุมมือผมเอาไว้แน่น แถมยังกดไว้ที่เอวของเบาไม่ปล่อย
    นายจะขับรถมือเดียวไม่ได้นะเว่ย!
    เพราะงี้ใช่มั้ยถึงได้ขับรถเฉี่ยวรถผมเมื่อเช้า

    ผมเห็นปากซอยอยู่ไม่ไกลก็รู้สึกดีใจแล้วเตรียมตัวลง
    “หมดบุญคุณ หมดกรรมกันซะทีเนอะ”
    ผมพูดขึ้นทันทีที่รถของนายนั่นขับมาถึงหน้าปากซอย

    “หึหึหึ ใครบอกล่ะครับ ว่าผมจะปล่อยคุณลงตรงนี้” เขาหัวเราะร้าย

    แล้วเขาก็ขับผ่านหน้าปากซอยไปอย่างหน้าตาเฉย
    พร้อมทั้งเร่งความเร็วรถตอนออกถนนใหญ่ไปอีก

    “เห้ย จะพาไปไหน”
    ผมตะโกนเสียงดังอีกทั้งพยายามกระชากมือที่เกาะเอวเขาอยู่ให้หลุด
    แต่ไม่เป็นผลอีกนั่นแหละ
    เพราะเมื่อเขาออกแรงกุมมือผมแน่นขึ้น ผมจึงดึงมือกลับมาไม่ได้

    “ผมก็จะไปส่งคุณที่บ้านยังไงล่ะครับ”

    “ไม่ต้อง” ผมตะโกนเสียงดัง แล้วขยับหน้าเข้าไปให้ใกล้เขายิ่งขึ้น
    เพราะตอนนี้…ด้วยความเร็วรถ ด้วยลมที่ปะทะเข้ากับหน้า
    ทำให้เสียงของเราดูเบาลง

    “กระเป๋าคุณก็อยู่บนไหล่ผม มือของคุณก็อยู่ในมือของผม…
    …ก็คิดเอาเองละกันนะครับ” พูดจบนายนั่นก็ถูมือผมไปมา

    ทุเรศ

    สัมผัสจากมือหนาๆ ชวนให้ผมอยากจะรีบดึงมือตัวเองกลับมาให้เร็วที่สุด
    …แต่ทำไม่ได้

    “ว่าไงครับ บ้านคุณอยู่ตรงที่เรารถชนกันเมื่อเช้าใช่ป่ะ”

    “ไม่ วันนี้กลับคอนโด” ผมพูดโพล่งออกไปอย่างหงุดหงิดใจ

    “แล้วคอนโดที่ไหนครับ ผมจะได้ไปส่งได้ถูก”
    น้ำเสียงทุ้มเจือเสียงขำพูดออกมาราวกับกำลังยั่วโมโหผม

    “ทำไมต้องบอก” ผมตอบกลับไปอย่างกระแทกเสียง

    “ถ้าไม่บอกก็อยู่กันอย่างงี้ทั้งคืน”

    “อโศก”

    “ก็แค่นี้”
    เออ จบ


    ด้วยความที่ตอนนี้เวลาปาไปห้าทุ่มกว่าแล้วรถในกรุงเทพเลยไม่ค่อยติดสักเท่าไหร่ นายนี่จึงได้ขับรถพาผมกลับคอนโดแล่นฉิวตลอดทาง
    ลมเย็นที่พัดเข้ามากระทบหน้าชวนให้รู้สึกผ่อนคลายได้ไม่น้อย
    ถ้าไม่ติดตรงที่ผมถูกจับมือเอาไว้แน่น ซึ่งพอคิดแล้วก็ได้แต่ขยะแขยงขนลุกขนพอง เหมือนถูกบังคับให้กินหนอนชาเขียว

    เขาก็ขับรถมือเดียวตลอดทาง แถมดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่ได้อาบน้ำซะด้วยหลังจากที่ต่อยมวยเสร็จ
    เนื้อตัวดูถึงได้ดูเหนียวเหนอะหนะชอบกล
    แต่เอาเถอะเพราะว่าผมตัวหอม เลยทำให้ไม่ได้กลิ่นเหม็นจากนายแว๊นซ์สักเท่าไหร่



    เขาใช้เวลาขับรถไม่นานก็มาจอดส่งผมหน้าล็อบบี้คอนโดผมรีบกระโดดลงจากรถ
    แล้วใช้ช่วงเวลาที่เขาเผลอดึงเอากระเป๋าตัวเองกลับมาเป็นของตัวเอง
    ท่าทางจะต้องส่งร้านทำความสะอาดกระเป๋าเป็นแน่
    เพราะลูกรักของผมคงได้เชื้อสกปรกจากไอ้คนไม่อาบน้ำนี่

    “จะไม่ขอบคุณผมซักคำหรอครับคุณ”
    คนที่นั่งคล่อมอยู่บนมอ’ไซค์ยักคิ้วใส่ผมหนึ่งที

    “ไม่ ไม่ได้ขอให้มาส่ง” ว่าแล้วผมก็รีบสะบัดตูดเดินเข้าคอนโดเลย


    “คุณ”
    “คุณ”
    “คุณณณณณ” ผมได้ยินนายนั่นตะโกนเรียกไล่หลังตามมา

    จะอะไรกันนักกันหนากับกูวะ
    แต่ผมไม่ได้สนใจ
    ขอให้ชาตินี้อย่าได้เจอกันอีกเลย



    ‘ว๊ากกกก’
    อย่าบอกนะว่าที่นายแว๊นซ์เรียกผมเมื่อตะกี้
    เป็นเพราะว่าผม


    ลืมถอดหมวกกันน็อคคืนเขา
    ไหงงั้นวะเนี่ย!!!




    ///“ไม่ยอมขอบคุณ เดี๋ยวจะทวงคืนให้ครบแบบทบต้น ทบดอกเลยคอยดู หึหึ”


    **To Be Continued**


    « แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-12-2017 10:30:08 โดย bliss diary »

    ออฟไลน์ bliss diary

    • เป็ดประถม
    • *
    • กระทู้: 62
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
    THE SWAN
    เก๋ เริ่ด เชิด หงส์ 3
    Diamond


    08:22
    วีรินทร์ ผู้น่าสงสาร…

    เกือบหนึ่งสัปดาห์เต็มที่ผมต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างคนที่ไม่มีรถขับ
    นึกแล้วมันก็อดโมโหไม่ได้ ถ้านายแว๊นซ์นั่นไม่ขับรถมาเฉี่ยวรถผม
    ผมก็คงไม่ต้องมาเบียดเสียดกับผู้คนบนรถไฟฟ้าในยามเช้าแบบนี้หรอกครับ

    ถ้าถามว่า Red Velvet ของผมซ่อมเสร็จรึยัง มันก็เสร็จตั้งแต่สามวันแรกแล้วละครับ
    ถ้าเป็นปกติลุงคนขับรถที่บ้านก็คงจะขับมาจอดไว้ที่คอนโดเรียบร้อยแล้วละครับ
    แต่รอบนี้คุณแม่คนสวยของผมดันเกิดเหงาอะไรขึ้นมาไม่รู้ ถึงได้บอกให้ผมกลับบ้านไปรับรถเอง
    ซึ่งตั้งแต่เปิดเทอม ผมก็ยังไม่มีเวลาว่างกลับบ้านเลย ก็มันมีอะไรให้ทำเยอะแยะไปหมด
    ผมถึงได้ต้องใช้บริการขนส่งมวลชนอันน่าอภิรมย์ของประเทศกรุงเทพอย่างนี้ไปก่อน
    ฉะนั้น ตำแหน่ง ‘วีรินทร์ที่ใครใครก็หลงรัก’ จึงตกไป
    …กลายเป็น ‘วีรินทร์ผู้น่าสงสาร’ แทน


    09:01

    บรรยากาศในห้องเรียนวันนี้คึกคักมากเป็นพิเศษ
    ผมเดินเข้ามาช้าๆ พร้อมกับสังเกตสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
    นิสิตในห้องต่างกำลังพากันเสียงดังโหวกเหวกโวยวาย
    โต๊ะเลคเชอร์ถูกจัดวางไว้เป็นคู่พร้อมกับภาพของสัตว์โลกน่ารักที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ

    ไอ้มิวบอกไว้ว่าสัปดาห์นี้อาจารย์จะให้นั่งเป็นคู่ ตามที่ได้จับฉลากไป…ซึ่งก็คงจะเป็นอย่างนี้เอง
    พอเริ่มเข้าใจความวุ่นวายตรงหน้า ผมก็มองหาไอ้มิวเพื่อนรัก แล้วเดินตรงเข้าไปหามัน

    ไอ้มิวนั่งอยู่ตรงกลางห้องครับ มันหน้ามุ่ยกอดรูปอีแร้งไว้ในอกราวกับกำลังซ่อน
    “เชี่ยมิว ทำไมมึงทำหน้าแบบนั้น” ผมพูดพลางกลั้นขำครับ

    “พูดมากนะอีหงส์” มิวมันค้อนใส่ผม
    ก็แหงสิครับ กลุ่มอื่นได้รูป หมา แมว หมี ไก่ อะไรก็ว่าไป
    มันโคตรซวย ได้สัตว์แปลกแถมยังไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่

    “นี่มึงว่ากูหรือว่ากลุ่มกูวะ” ผมพูดถามแล้วนั่งลงเก้าอี้ข้างมิวที่ยังว่างอยู่…คู่ของมันยังไม่มาครับ

    “ว่ามึงแหละ…หงส์”
    ป๊าบ จบคำพูดนั้น ผมก็ตีไหล่มันเบาๆ เป็นการสั่งสอนซะเลย

    “บอกแล้วไง อย่าเรียกชื่อเล่นกู!!”

    ***‘หงส์’***เป็นชื่อเล่นของผมเองครับ คุณแม่ตั้งชื่อนี้เอาไว้เพราะเข้าใจว่าตัวเองได้ลูกสาว
    แต่พอผมเกิดมาเป็นผู้ชาย แม่เลยยืนยันว่าจะตั้งชื่อ ‘หงส์’ เหมือนเดิม
    ผมก็เลยกลายเป็นคนที่มีชื่อเล่นและชื่อจริงเป็นผู้หญิงอย่างนี้ 

    “ก็น่ารักดีออก” ไอ้มิวหันมายิ้มล้อ

    “น่ารักบ้าไรล่ะ กูว่ามันหญิงเกินเบอร์ไปนิด”

    “เอาน่า กูว่ามันก็เข้ากับมึงนะ หะหะ” แหนะมันยังมีหน้ามาหัวเราะอีก

    “กูไม่คุยกับมึงละสัส กูไปหากลุ่มกูก่อน บัยยยยส์” ไม่อยู่ให้มันล้อหรอกครับ
    ผมก็เบ้ปากใส่มันทีนึงแล้วรีบลุกเดินหาคู่ของตัวเอง

    เอ…อยู่ตรงไหนหว่า++
    เชี่ย!! อยู่หน้าห้อง แถวแรก แถมยังตรงหน้าอาจารย์อีก
    ปกติผมก็ไม่ใช่คนชอบนั่งหน้าเท่าไหร่ แต่ก็เอาเถอะ นั่งไหนก็นั่งไป ไม่ได้สำคัญอะไรนัก 

    ว่าแล้วผมก็วางกระเป๋าลงบนเก้าอี้แล้วนั่งแหมะลงไป
    เล่นไอจีก็แล้ว คุยไลน์กับเพื่อนก็แล้ว ทวิตเตอร์ก็ไถจนหมดฟีดส์ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีใครมานั่งข้างผม

    จนอาจารย์เข้ามาในคลาสและเริ่มเช็คชื่อ
    “อาจารย์จะเช็คชื่อเป็นคู่ตามกลุ่มรูปสัตว์นะคะ”
    แหมน่ารักเชียวครับ มีกลุ่มรูปสัตว์เหมือนเด็กอนุบาล

    ผมละสายตาจากโทรศัพท์แล้ววางมันลงไว้บนโต๊ะ พร้อมกับมองไปรอบห้อง
    …ทุกคนมีคู่กันหมดแล้ว ผมเขินนิดหน่อยที่ต้องนั่งหน้าห้องเป็นเป้าสายตา แถมยังไม่มีคู่อีก
    แต่ก็เอาเถอะ ทำนิ่งเอาไว้ละกัน

    “แมว สุนัข ไก่ เป็ด วัว ลิง แร้ง เลียงผา…”

    “…หงส์” อ้าว กลุ่มกูนี่หว่า

    “มาครับ” ผมยกมือขึ้น

    เพียงลำพัง

    “อ้าว ทำไมหงส์อยู่ตัวคนเดียวละลูก” นั่นไง ตอบยังไงดีทีนี้
    แล้วอาจารย์ก็เดินเข้ามาหาผม อาจจะเพราะนั่งหน้าสุดด้วยมั้งเลยสะดวกที่อาจารย์จะเข้าหา

    “เอ่อ คู่ผมยังไม่มาเลยครับ” ผมพูดตอบแล้วส่งยิ้มไป

    “เอ๊ะ นิสิตยังมาไม่ครบหรอคะเนี่ย”


    “มาครับอาจารย์” เสียงดังตะโกนมาจากประตูทางเข้า
    เรียกความสนใจจากทุกคนภายในห้องให้จ้องมองไป

    ‘หูยยยยยยยยยย’ เสียงอื้ออึงดังขึ้นหลังจากที่ทุกคนได้เห็นเจ้าของเสียง

    ชายร่างสูง ขาวตี๋ ในชุดนิสิตยืนเด่นอยู่ตรงประตู

    “หึ้ยย หล่ออะแกรรร” เสียงน้องผู้หญิงปีหนึ่งด้านหลังผมพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น
    ผมเหลือบไปมองเธอนิดหน่อย น้องเขาแลดูจะเก็บอาการไม่อยู่จนต้องพูดกับเพื่อน

    …อืม พวกเธออยู่กลุ่ม ‘แรด’ ครับ

    ผมเลิกสนใจน้องผู้หญิงด้านหลัง แล้วหันมาสนใจความคิดของตัวเองที่มันตะโกนดังลั่นว่า…
    ‘เกลียดความบังเอิญนี้จัง’
    คนที่ยืนอยู่ตรงประตูคงจะหล่อมากกว่านี้ ถ้าเขาไม่ใช่
    ‘นายแว๊นซ์’


    ร่างสูงโปร่งเดินตรงมาที่โต๊ะของเขา ซึ่งอยู่ข้างผม แล้วยกมือขึ้นไหว้อาจารย์
    สายตากว่า 60 คู่ยังจ้องมองเขาอยู่

    “นิสิตอยู่กลุ่มหงส์ใช่มั้ยคะ”

    “ครับอาจารย์” นายนั่นยิ้มกว้างเรียกคะแนนกับอาจารย์
    เขาไม่ลืมที่จะหันไปส่งยิ้มให้เพื่อนนิสิตทั่วห้อง แล้วนั่นก็เรียกเสียง ‘วี๊ดว้าย’ ภายในห้องให้ดังขึ้นอีกครั้ง

    เจ้าของรอยยิ้มที่สะกดใจคนในคลาส ส่งยิ้มมาให้ผมเป็นคนสุดท้าย
    …แต่มันไม่สะกดใจผมหรอกนะ

    ผมมองบนใส่เขาจนตาเหลือก

    “ครูก็นึกว่ากลุ่มหงส์ จะต้องอยู่ตัวคนเดียวซะแล้ว”

    “คู่ของผมน่ารักซะขนาดนี้ ผมจะปล่อยให้เค้าอยู่คนเดียวได้ยังไงละครับ”

    ‘วี้วววววววววววว’ ‘อร้ายยยยยยยย’ เสียงวี๊ดว้ายของเหล่าสิงสาราสัตว์ในห้องดังขึ้นอีกครั้ง
    ดวงตาเจ้าเล่ห์ขยิบตาใส่ผม

    มึงบ้ามาก พูดอะไรออกไป!
    ผมหงุดหงิดในใจเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มเอาไว้ เพื่อภาพลักษณ์ที่ดูดี ++

    “นั่งลง” ผมพูดกับเขาแบบไม่ออกเสียง นายแว๊นซ์ยอมนั่งลงแต่โดยดี

    “นิสิตจำไว้นะคะว่าคู่ของเรามีความสำคัญมาก เพราะอาจารย์จะมอบหมายงานให้ทำเป็นคู่
    …ตลอดเทอมนี้ นิสิตดังนั้นต้องสร้างสัมพันธ์อันดีต่อกันไว้ค่ะ”

    /Veerin: มึง กูไม่โอเค!

    /Mew: ใจเย็นมึง เค้าก็แค่แซวเล่นมั้ง

    /Veerin: ไม่ใช่อย่างงั้นเว่ย

    /Mew: แล้วมันยังไงวะ



    “ความบังเอิญมันมีแค่สองครั้งเท่านั้นแหละครับ”
    ผมละสายตาขึ้นจากจอโทรศัพท์แล้วเหล่ตามองคนด้านข้าง ที่กำลังยื่นหน้ายื่นตาเข้ามาใกล้ผม

    “อะไร” ผมตอบกลับเสียงแข็ง

    “ถ้าความบังเอิญมีมากกว่าสองครั้ง มันเรียกว่า...”

    “พอ” อย่ามาเพ้อ ผมรีบเบรคทันที

    “เราจะพูดกันดีๆ ไม่ได้เลยอ่อ” นายแว๊นซ์นั่นทำเสียงสอง

    “ทำไมต้องพูดกันดีๆ” ผมถามกลับอย่างไม่เข้าใจ
    ก็ต่างคนต่างอยู่ไปสิ มันไม่มีหรอกความบังเอิญ ไม่มีหรอกพรหมลิขิต
    เอ๊ะ นายบ้านั่นยังไม่ทันได้พูดว่า ‘พรหมลิขิต’ เลยนี่หว่า

    “ก็เราอยู่กลุ่มเดียวกัน ต้องทำงานด้วยกันทั้งเทอมเลยนะครับ” เขาพูดตอบ

    “เออว่ะ” แล้วผมก็ดันเผลอตอบรับไปโดยที่ยังไม่ทันได้คิด

    “เพราะงั้นเรามาทำความรู้จักกันดีกว่าครับ…
    …ผมชื่อเพชร เรียนอยู่ปีสาม คณะวิศวะ” นายเพชรยิ้มแฉ่ง ส่วนผมก็แค่พยักเพยิศหน้ารับ

    ชื่อ ‘เพชร’ งั้นหรอ. อืม…ก็เชยดี

    “เพชรหรือกรวด” สงสัยผมจะเผลอคิดดังไปหน่อย มันเลยออกมาเป็นเสียง

    “อ้าวไหงงั้นอ่ะ…ว่าแต่คุณชื่ออะไรครับ”

    “จะถามอะไรนักหนา ตั้งใจเรียนดิ๊”

    “ก็คุณไม่ยอมบอกชื่อตัวเองอ่า” นายเพชรทำเสียงงอแง แล้วทำหน้ามุ่ย ซึ่งมันน่าถีบมากกว่าน่ารัก

    “ชื่อวีรินทร์ อยู่ BBA ปีสาม จบนะ” ผมตอบเพื่อปัดความรำคาญ แล้วหันมาสนใจจดเลคเชอร์ที่อาจารย์กำลังสอน

    “ชื่อน่ารักซะด้วย”

    ถึงแม้ว่าคนด้านข้างมันจะพยายามเหลือบมองมาที่ผมบ่อยแค่ไหนก็ตาม แต่ผมก็นิ่งใส่เขา
    ความอดทนของผมแข็งแกร่งเยี่ยงหินผา เพราะสามารถทนมาได้จนเกือบหมดคาบ

    10 นาทีสุดท้าย…ก่อนเที่ยง อาจารย์ได้แจกการบ้านสำหรับทุกกลุ่ม
    “ให้นิสิตแต่ละกลุ่ม เลือกสถานที่ท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานครหรือปริมณฑล
    โดยสถานที่นั้นจะต้องสอดคล้องกับสัตว์ประจำกลุ่ม พร้อมกับเดินทางไปเที่ยวจริง
    แล้วทำรีวิวท่องเที่ยวและนำมา Present หน้าห้องในสัปดาห์หน้า ใช้เวลากลุ่มละ 5 นาที”
    ก็นั่นแหละครับ นายเพชรมันอ่านออกเสียงให้ผมฟังหมดแล้ว


    “โคตรซวย” ผมบ่นอุบเป็นหมีกินผึ้งตั้งแต่เดินออกจากคลาสจนมานั่งโง่อยู่ในโรงอาหาร
    กูก็ยังไม่เลิกบ่นครับ!

    “มึงคิดมากไปเปล่า เค้าอาจจะไม่ได้เลวร้าย” คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามพูดตอบพลางตักข้าวเข้าปาก

    “ไม่ได้เลวร้าย แต่มันกวนตีน…
    …มึงคิดดูนะ ขับรถเฉี่ยวรถกู ไปต่อยมวยก็ยังเจอ แถมยังเป็นบ้าขับรถไปส่งกูถึงคอนโด
    …แล้ววันนี้ยังมาเรียนวิชาเดียวกัน ได้คู่กันอีก มึงคิดว่าไงล่ะมิว
    นึกว่าจะหมดเวรหมดกรรมกันไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว
    เรื่องที่เจอนายนั่นผมอัพเดตให้ไอ้มิวฟังทุกวัน มันรู้ทุกเรื่อง

    “กูคิดว่ามันคือพรหมลิขิตว่ะ”

    “ปัญญาอ่อน” ผมถอนหายใจใส่มิว แล้วนั่งกอดอกนิ่ง ข้าวเขิ้วไม่กินครับ กินไม่ลง

    “เอาน่ามึง อย่าไปใส่ใจมาก ปกติกูไม่เห็นมึงใส่ใจใครแบบนี้เลย
    …มึงรู้ตัวมั้ย ว่ามึงเอาแต่บ่นเรื่องนี้ จนหน้าเยินหมดแล้วเนี่ย”

    “มึงว่าไงนะ หน้ากูเยินหรอ ตายละ ชิบหาย!”
    ผมคว้ากระเป๋าใบโตปรี่ไปที่ห้องน้ำ
    แล้วจัดแจงใบหน้าตัวเองใหม่ด้วยเครื่องสำอางค์ในกระเป๋าทันที


    22:22

    เวลาสวย สงสัยจะมีใครคิดถึงผม…ซึ่งก็น่าจะเป็นคุณแม่
    กินข้าวเย็นกับไอ้มิวเสร็จ เลยอ้อนให้มันขับรถมาส่งที่คอนโด
    ซึ่งวันนี้ไอ้มิวก็ใจดียอมมาส่งผมที่คอนโด
    แลกกับการที่ผมต้องชื่นชมภาพน้องแมวตัวน้อยของมันที่เพิ่งลืมตามาดูโลกครับ
    ก็โอเค น่ารักดี ไว้มีโอกาสจะไปเล่นด้วย

    “แต๊งกิ้วมากมึง เจอกันพรุ่งนี้”

    “เจอกันมึง”
    ผมขอบคุณไอ้มิวแล้วหยิบเอากล่องอาหารคลีนที่ผมซื้อติดมือกลับมาไว้สำหรับเป็นอาหารเช้า
    แล้วสะพายกระเป๋าใบโต ก้าวลงจากรถมิว


    ผมเปิดประตูเข้าคอนโดเดินผ่านล็อบบี้แอร์เย็นฉ่ำ
    ไม่ลืมที่จะชำเลืองมองตัวเองในกระจกใสบานโต ที่พอจะมองเห็นเงาตัวเองในนั้นได้
    ผมไม่ได้สนใจคนที่นั่งอยู่ในล็อบบี้ เพราะกำลังชื่นชมตัวเอง
    ดึกแล้วแต่ก็ยังดูดี
    ‘Fine’

     “คุณ” หื้ม ท่าทางจะหูฝาด ผมเดินต่อไปอย่างไม่สนใจ

    “คุณ…

    …คุณวีรินทร์” เสียงแม่งโคตรคุ้น ผมภาวนาให้มันไม่ใช่ แต่พอแม่งเรียกชื่อ ผมเลยต้องหยุด

    เจ้าของรอยยิ้มที่เรียกเสียงกรี้ดเมื่อช่วงเช้า แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ผมต้อง…
    มองบนใส่อย่างไม่ต้องคิดมาก
    มันจะอะไรกันนักกันหนากับผมวะเนี่ย

    “ยามปล่อยให้พวกแว๊นซ์เข้ามาในคอนโดได้ไง” บ่นพึมพำแต่ก็ดังพอที่จะทำให้คนตรงหน้าได้ยิน

    “ผมไม่ใช่พวกแว๊นซ์ครับ ผมชื่อเพชร” ร่างสูงทำหน้าทะเล้นฉายแววกวนตีน
    แล้ว…กูต้องรู้?
    ผมยืนกอดอกพร้อมเหลือบมองหลอดไฟด้านบน

    “ผมมาคุยงานน่ะ”

    “งานอะไร” เสียงเหวี่ยงระดับ 50

    “งานวันนี้ไง คู่หงส์ของเรา”

    “ไว้คุยที่มหาลัย วันหลังได้ป่ะ” กูอยากจะอาบน้ำมากแล้วครับสัส

    “คุยตอนนี้เลยไม่ได้หรอ”

    “มันดึกแล้ว ใครจะมีอารมณ์มาคุยงาน” ผมตอบไปงั้น

    “ไม่มีอารมณ์คุยงาน แล้วมีอารมณ์อะไรหรอ” นายเพชรนั่นยิ้มเจ้าเล่ห์

    “ทุเรศ” ผมว่าโพล่งไป

    “อะไรครับ ผมยังไม่ทันได้คิดอะไรซะหน่อย แค่ถามดีๆ”

    “ไร้สาระว่ะ” ว่าแล้วผมก็หันหลังกลับแล้วรีบเดินไปหน้าลิฟต์

    “เห้ยคุณ เดี๋ยวก่อน” นายนั่นตะโกนตามหลังมา พร้อมกับวิ่งมาตัดหน้าผม ผมไม่สนใจเขา แล้วรีบกดลิฟต์

    โชคดีเป็นของผม ลิฟต์มาอย่างเร็ว ผมก้าวเท้าเข้าไปในลิฟต์ แล้วรีบกดชั้นของตัวเอง

    แต่ดูเหมือนว่าโชคดีของผม จะเป็นช่วงเวลาที่สั้นไปหน่อยเพราะตอนนี้แม่งโคตรโชคร้าย
    นายเพชรเดินเข้ามาในลิฟต์กับผม แถมยังกดปิดประตูเป็นที่เรียบร้อย 
    ไอ้บ้านั่นมองมาที่ผมแล้วยิ้มกว้าง ส่วนผมก็ทำเป็นไม่สนใจตามเคย
    แต่ก็เห็นอยู่ดีนั่นแหละครับ ลิฟต์มันเป็นกระจก


    ลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้น 30 ทันทีที่ประตูที่เปิดออก ผมก็รีบสาวเท้าเดินออกมาอย่างไม่สนใจอะไร
    ผมยอมรับว่าผมคงพลาดเอง อาจจะเพราะเริ่มง่วงเลยไม่ทันได้คิด
    ที่ผมปล่อยให้นายเพชรเดินตามขึ้นมา จนตอนนี้ถึงประตูหน้าห้องแล้ว

    นิ้วเรียวของผมวางลงบนหน้าจอเครื่องสแกนเพื่อเปิดประตู
    “คุณ” ผมว่าเสียงนิ่ง

    “ครับ” ส่วนนายนั่นก็ยิ้มโรคจิต

    “จะตามมาทำไม” ผมชักไม่ค่อยพอใจ เขาคุกคามชีวิตผมมากเกินไปแล้ว

    “ก็ตามมาเอาหมวกกันน็อคไงครับ ครั้งก่อนคุณไม่ได้คืนผมอ่า” เขากระพริบตาปริบแล้วยิ้มล้อ
    เออว่ะ! ผมลืมคืนของเขาจริงๆ

    “อืม งั้นก็รอตรงนี้”

    ว่าแล้วผมก็เปิดประตูห้องก่อนจะเดินตรงไปยังห้องรับแขก วางของในมือไว้บนโต๊ะ
    หยิบหมวกกันน็อคใบสีดำที่ทำให้ผมรำคาญสายตามาหลายวันออกไปส่งคืนเจ้าของ
    เขายืนรออยู่หน้าห้อง พอผมเปิดประตูแล้วส่งคืนให้ เขาก็ยิ้มรับ

    “ได้ของคืนแล้ว ก็กลับได้ละนะ”


    ‘ปัง’
    ผมปิดประตูเสียงดัง ถือเป็นการไล่!

    ‘กริ๊ง’
    แล้วเขาก็กดกริ่งทันที

    “ไรนักหนาวะ” ผมสูดลมหายใจแล้วเปิดประตูอีกรอบ

    “ขอไลน์คุณหน่อยดิ” นายเพชรพูดพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ของเขามา
    ไอโฟน 7 สีดำด้านไม่ใส่เคส
    ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย แต่ก็ยอมให้ไปแต่โดยดี
    สงสัยใช่มั้ยล่ะครับ ว่าทำไมง่าย
    คำตอบเดียวเลย คือ ‘รำคาญ’ อยากพักผ่อน อยากนอน อยากจะไปอาบน้ำแร่ แช่น้ำนม ทาครีมบำรุงผิวจะแย่แล้ว
    ผมพิมพ์ไลน์ไอดีตัวเอง แล้วส่งโทรศัพท์คืนให้นายเพชรไป ดูเหมือนเขาก็จะงงเหมือนกันว่าทำไมถึงง่ายดายจัง
    ผมใช้จังหวะที่เขางงปิดประตูกระแทกหน้าเขาอีกรอบ


    ผมถอดรองเท้าวางไว้ในตู้เก็บรองเท้า พร้อมกับถอดถุงเท้าในตะกร้าถุงเท้า
    แล้วถอดเสื้อ ถอดกางเกง แล้วก็กางเกงในออก
    ผมหยิบเอาชุดคลุมอาบน้ำสีขาวมาคลุมตัวเอาไว้

    ระหว่างที่เดินเข้าไปเตรียมอ่างอาบน้ำเพื่อแช่ทำความสะอาดผิวให้รู้สึกผ่อนคลาย


    ‘กริ๊ง’ เอาอีกละ เสียงกริ่งที่ผมไม่อยากได้ยินดังขึ้นอีกครั้ง นี่นายเพชรนั่นยังไม่ไปผุดไปเกิดอีกหรอวะ!

    ผมผูกเชือกผ้าคลุมอาบน้ำเข้าด้วยกันอย่างหลวมๆ แล้วเดินกลับมาที่ประตูหน้าห้องอีกครั้ง
    จอเล็กข้างประตูโชว์ภาพคนที่ยืนอยู่ด้านนอก ในมือของเขาถือหมวกกันน็อคเอาไว้
    ผมเอื้อมมือไปสัมผัสที่ปุ่ม แล้วพูดถามออกไป “อะไรอีก”

    “คุณ…ผมลงไม่ได้ ผมไม่มีการ์ด” เขาพูดตอบแล้วมองมาที่กล้อง พร้อมทำหน้าตาน่าสงสาร

    “เรื่องเยอะ” ว่าแล้วผมก็เปิดประตูออก เพื่อที่จะลงไปส่งคนตรงหน้า

    “เห้ย” นายเพชรผงะแล้วถอยออกไปเล็กน้อย เขามือไม้อ่อนทำหมวกกันน็อคในมือหล่นลงพื้น

    ตกใจอะไร!

    เขารีบก้มลงไปหยิบหมวกกันน็อคขึ้นมา
    “คือ คือ คือผมไม่มีการ์ดอ่ะครับ เลย เลยลงไม่ได้”
    คนตรงหน้าพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก ดูแปลกไป แถมยังไม่สบตาทั้งที่ปกติจ้องผมแทบจะกิน

    “รู้ละ เดี๋ยวไปส่ง” อย่างที่บอกครับ ผมขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง อะไรๆ ก็เลยง่ายไปหมด

    “ไม่ได้นะ” เขาพูดห้ามทันที

    ถ้าไม่ให้กูไปส่ง แล้วมึงจะลงยังไงไม่ทราบครับ! ผมย่นคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย
    ตอนนี้เขากำลังมองมาที่ผม ดวงตาคู่นั้นมองไล่จากใบหน้าของผมลงไป

     “คุณโป๊อยู่”

    ผมก้มมองร่างของตัวเองตามเขา แล้วแสยะยิ้มเบาๆ
    “ถ้าอย่างงี้เรียกโป๊”
    “แล้วอย่างงี้จะเรียกว่า…”

    พูดจบ
    ผมก็บรรจงเอามือเรียวทำท่าจะปลดสายคาดเอวที่ผูกไว้อย่างหลวมออก
    นายเพชรเบิ่งตากว้าง เขายืนแข็งทื่อแล้วหน้าซีดเหมือนวันที่ต่อยมวย
    คนตรงหน้าจ้องมองมือผม
    แล้วนายนั่นก็รีบเอามือสองข้างของเขามาจับไหล่ผม แล้วหมุนร่างผมให้หันหลังกลับ

    “คุณเข้าไปอาบน้ำให้เสร็จก่อนเลยครับ ผมรอได้” ร่างสูงผลักไหล่ผมให้เดินเข้าไปข้างใน

    “เดี๋ยวผมนั่งรอตรงนี้ ไม่ดื้อ ไม่ซนครับ”
    ส่วนเขาก็เดินเจียมเนื้อเจียมตัว ไปนั่งสงบอยู่ตรงโต๊ะกินข้าว ผมเห็นเขาลอบถอนหายใจแรง

    ตลกดีแฮะ นายเพชรนั่นตามกวนผมมาทั้งวัน บทจะอ่อนด๋อยก็ง่ายซะอย่างงี้เลย
    ผมยกยิ้มมุมปากแล้วส่ายหัว
    ให้นายนั่นรอตรงนี้ก็คงไม่เป็นไรมั้ง เพราะผมก็อยากจะอาบน้ำมากแล้วเหมือนกัน 

    ผมเดินกลับเข้ามาที่ห้องนอนแล้วตรงไปยังห้องอาบน้ำ
    มือเรียวปลดชุดคลุมออกแล้วลงไปแช่อยู่ในอ่าง พลางนึกภาพเหตุการณ์เมื่อครู่
    / ‘ถ้าอย่างงี้เรียกโป๊
    …แล้วอย่างงี้จะเรียกว่า’

    “ทำไรลงไปวะวีรินทร์”

    ผมยิ้มขำกับตัวเองที่แกล้งนายนั่นได้สำเร็จ
    ไม่รู้ว่าตอนนั้นผมคิดอะไรอยู่
    ทั้งที่ปกติผมจะไม่เล่นอะไรแบบนี้กับคนแปลกหน้าหรือคนที่ผมไม่สนิท

    แปลกจัง!!


    **To Be Continued**


    « แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-12-2017 10:20:29 โดย bliss diary »

    ออฟไลน์ bliss diary

    • เป็ดประถม
    • *
    • กระทู้: 62
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
    THE SWAN
    เก๋ เริ่ด เชิด หงส์ 4
    Morning


    23:39

    ไม่รู้ว่าใช้เวลานอนแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำนานแค่ไหน แต่คงนานพอที่จะทำให้รู้สึกสบายตัวแล้วก็สดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
    จนเกือบลืมไปว่ามีคนแปลกหน้านั่งรออยู่อีกห้องนึง ทาครีมบำรุงผิว เป่าผมให้แห้ง แล้วก็แต่งตัวให้เสร็จ
    ผมก็ได้เวลาออกจากห้องอาบน้ำเพื่อจะลงไปส่งนายเพชรที่ด้านล่างคอนโด

    แต่พอเปิดประตูออกมาข้างนอกกลับพบว่านายนั่น หลับไปแล้ว…
    เขาฟุบหน้าลงบนโต๊ะกินข้าว ในมือขวายังกำโทรศัพท์เครื่องสีดำไว้อยู่
    ด้านข้างของเขามีหมวกกันน็อคที่ผมเพิ่งคืนให้วางอยู่ไม่ห่าง
    ดูเหมือนว่านายนั่นคงจะหลับไป ทั้งที่ยังเล่นโทรศัพท์อยู่นั่นแหละ

    “คุณ
    ...เห้ย คุณ” ผมเรียกเบาๆ

    แต่ท่าทางนายเพชรจะเป็นคนหลับลึกน่าดูนะครับ เขาไม่ยอมตื่น
    ถ้าเป็นผมนะ แค่ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินผ่านก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้ว

    “คุณ…
    คุณ
    นายแว๊นซ์” ก็ยังนิ่ง
    เห็นทีว่าเรียกด้วยเสียงอย่างเดียวคงไม่ได้ผล ลองเปลี่ยนเป็นใช้นิ้วจิ้มที่ไหล่ดูบ้าง จิ้มไปจิ้มมา...
    จิ้มจนไหล่แข็งของเขาจะเหลวละ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่านายนั่นจะรู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย
    ภาพตรงหน้าชวนให้ผมสงสัยว่า นี่เขาหลับหรือตาย?

    ผมเปลี่ยนจากการจิ้ม เป็นลองเขย่าแขนดูบ้าง  เชรดด ได้ผลครับ
    นายเพชรขยับตัว...เล็กน้อย แล้วก็หลับต่อ!!
    ให้มันได้อย่างงี้สิ

    “ปลุกยากชะมัด แดกยานอนหลับเข้าไปรึไงวะ”


    ‘กริ๊ง กริ๊ง’
    ระหว่างที่กำลังคิดหาทางปลุกไอ้ขี้เซา เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังออกมาจากในห้องนอน
    ผมเดินกลับเข้าไปหยิบเจ้าเครื่องสีแดงออกมาเพื่อรับสาย
    แล้วก็เดินกลับมายืนที่เดิมตรงที่นายเพชรหลับอยู่

    “ฮัลโหลมึง” ผมพูดรับสาย เดาไม่ยากหรอกครับว่าใครที่โทรเข้ามา

    “กูจะโทรมาชวนมึงไปต่อยมวยพรุ่งนี้ กูไลน์มาตั้งนานละ มึงแม่งไม่ตอบ”
    ไอ้คนในสายบ่นใหญ่...
    ก็แหงสิ ผมแช่น้ำฟินๆอยู่ ไม่ได้เอามือถือเข้าไปเล่นด้วยนี่นา

    “โทษทีกูอาบน้ำอยู่ พรุ่งนี้ช่ะ...งั้นกูจะได้เตรียมชุดกับนวมไป
    แต่แม่งกูไม่มีรถว่ะ ต้องแบกของขึ้นรถไฟฟ้าหรอวะ”
    พอนึกสภาพตัวเองที่ต้องแบกข้าวของพะรุงะรังขึ้นรถไฟฟ้าตอนเช้า
    ก็เกิดท้อใจขึ้นมาทันที

    “มึงก็เรียกอูเบอร์ หรือไม่ก็แท็กซี่ดิวะ”

    “ตอนเช้าแม่งไม่ค่อยมี กูขี้เกียจรอ” เรื่องใจร้อนนี่ต้องยกให้ผมเลยแหละ
    รอนิด รอหน่อย ใจมันจะขาดให้ได้

    “เออ เดี๋ยวกูเรียกให้ จะให้รถเค้าไปจอดรอมึงที่หน้าคอนโดแต่เช้าเลยครับสัส”
    ไอ้มิวพูดด้วยน้ำเสียงประชด แต่ผมไม่สนใจหรอก
    แล้วไงใครแคร์ กูสบายซะอย่าง ดังนั้นมันต้องเรียกรถให้ผม

    //“คุณณณณ”

    “เสียงใครวะ” แล้วไอ้คนในสายแม่งก็เปลี่ยนน้ำเสียงทันที

    “ได้ยินด้วยหรอ” ผมแกล้งถามดู

    “เออ ไม่ใช่เสียงมึง เพราะเสียงมึงแหลม
    ...เสียงผู้ชาย!!
    อีหงส์ บอกกูมาซะดีๆ มึงอยู่กับใคร”
    แล้วมันก็บังคับข่มขู่ด้วยการเรียกชื่อเล่นผม แถมยังใส่คำว่าอีมาอีก

    “กูจะไม่บอกมึงก็เพราะมึงเรียกกูว่าอีหงส์นี่แหละ อีมิว!!”

    “ขอโทษค้าบเพ่ บอกมานะครับคุณวีรินทร์”

    “จะใครล่ะ ก็ไอ้แว๊นซ์ที่ขับรถเฉี่ยวรถกูวันนั้นไง” ผมพูดบอกไป
    ส่วนสายตาก็ไล่มองคนที่นอนหลับอยู่
    แม่งจะมาละเมออะไรตอนนี้วะ

    “หื้มมมมมมม คู่กลุ่มหงส์ของมึงวันนี้อะนะ” ไอ้มิวเสียงสูง เหมือนไม่อยากจะเชื่อ

    “เออ นั่นแหละ”

    “หื้มมมมม มึงทำให้กูไม่อยากจะเชื่อนะเนี่ย” เสียงแม่งยังคงสูงกว่าตึกมหานคร

    “กูก็ไม่อยากเชื่อ” ผมตอบไปตามความจริง ปกติผมก็ไม่ได้ยอมให้คนที่ไม่สนิทเข้ามาในห้อง

    “มีไรที่กูยังไม่รู้ป่ะ” ไอ้มิวยังคงซักไซร้ผมไม่หยุด

    //“คุณณณณ” ส่วนไอ้นี่ก็เอาแต่ละเมอเรียก 'คุณ' 'คุณ' อยู่ได้

    ตอนกูปลุกล่ะไม่ยอมตื่น พอกูคุยโทรศัพท์นี่ละเมอดีจัง

    “เงียบดิ๊” เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะตบปากนายนั่นไปทีนึง
    ก็เล่นนอนละเมอเพ้อภพแถมยังเผยอปากออกมาอีก น่าตบชะมัด

    “มึงว่ากูหรอ” คนในสายพูดถามผม

    “เปล่าๆ กูว่าไอ้เชี่ยนี่ เออมิวไว้คุยกันนะ กูขอไปปลุกแม่งก่อน” พูดจบผมก็วางสายแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ

    ผมยืนเฉยๆ มองนายเพชรหลับสบายอยู่แปปนึง
    เขานอนฟุบบนโต๊ะก็จริง แต่เอียงหน้าโชว์สันจมูก ทำให้เห็นสันจมูกโด่งชัดเจนขึ้น
    แต่ผมไม่ได้พิศวาสอะไรหรอกนะ ผมกำลังคิดอะไรได้ต่างหาก

    “นี่แหนะ” ว่าแล้วก็จัดการดีดนิ้วลงบนปลายจมูกของคนที่มันหลับอย่างเต็มแรง
    ได้ผลทันตาครับ นายเพชรสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที

    “โอ๊ย เจ็บนะ” เขาพูดเสียงงัวเงีย แล้วลูบจมูกตัวเองป้อยๆ จมูกใสที่โดดดีดเต็มแรงปรากฏรอยแดงให้เห็นชัด
    คนหน้ายู่มองมาที่ผมอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

    “ก็ปลุกไม่ตื่นเอง” ผมยักไหล่ใส่เขานึงแล้วรีบไล่ “กลับได้แล้ว เดี๋ยวลงไปส่ง”

    นายเพชรลูบหน้าตัวเองอีกครั้งเหมือนกำลังเรียกสติ เขาปรือตามองพร้อมกับยิ้มหวานส่งมาที่ผม
    “ขอเข้าห้องน้ำหน่อยดิ”

    ได้คืบจะเอาศอก!
    “ล็อบบี้” แค่ให้นั่งรอนั่งหลับในห้องนี้ก็มากพอแล้ว คำตอบสั้นๆ ของผม ทำให้ภายในเวลาเพียงไม่ถึงสองนาที
    นายเพชรก็ถูกลากคอลงมาปล่อยทิ้งที่ล็อบบี้ จากนั้นผมก็เดินสะบัดตูดกลับขึ้นห้องทันที
    ...คงไม่ต้องบอกลาอะไร เพราะผมไม่ได้เชิญเขามา


    08:15

    เช้านี้ผมเลือกใช้กระเป๋าหนังสีดำใบขนาดกลางของ Prada เพราะคิดว่ามันใหญ่แล้ว
    แต่มันก็ยังใหญ่ไม่พอที่จะบรรจุนวมต่อยมวยคู่สีแดงนี้ลงไปได้
    ผมเลยตัดสินใจใช้ถุงผ้าธรรมดาสีครีมแล้วใส่นวมลงไปในนั้นแทน
    ส่วนปราด้าใบใหญ่ก็ยังคงห้อยอยู่บนไหล่เช่นเคยครับ
    ผมใส่พวกเสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว เครื่องสำอางค์ ชีทเรียน สายชาร์จแบต หูฟังและอื่นๆ
    พะรุงพะรังชะมัด

    ยิ่งมายืนเช็คความเรียบร้อยตัวเองหน้ากระจกยิ่งรู้สึกว่า...เข้าใกล้คำว่าบ้าหอบฟางเข้าไปทุกที...
    ไม่ได้การละ ต้องรีบกลับไปเอารถมาขับ! แต่เอาเถอะ ดูๆไปมันก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรขนาดนั้น

    “รถที่มึงเรียกให้มารับกู ถึงไหนแล้ววะ” ผมพูดกับคนในโทรศัพท์ ก่อนจะทิ้งตัว นั่งลงบนโซฟานุ่มที่ล็อบบี้

    “ยังเรียกไม่ได้เลยว่ะ ตอนเช้าแถวคอนโดมึงแม่งไม่มีจริงด้วย” มิวตอบเสียงแห้ง

    นั่นไง ผมว่าแล้ว !!

    “เห็นป่ะ จะเอาไงละทีนี้”

    “เออน่า วางสายก่อน เดี๋ยวกูลองเรียกดูอีกรอบ” พูดจบสายก็ถูกตัดไป

    ระหว่างที่นั่งรอรถแบบไม่รู้ว่ามันจะมาเมื่อไหร่ ผมก็นั่งมองอะไรไปเรื่อย คนในคอนโดหลายคนกำลังออกไปทำงาน
    บางคนก็ขับรถผ่านหน้าล็อบบี้ไป บางคนก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าที่อยู่ตรงหน้าโครงการ บางคนก็ดูเหมือนจะมีแฟนมารับ

    แฟนงั้นหรอ...ผมยังไม่อยากมีหรอก อยู่เป็นโสดให้คนเสียดายเล่นแบบนี้แหละ ดีจะตายไป
    พอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเริ่มคิดไรเรื่อยเปื่อยแล้ว
    ผมก็เรียกสติกลับคืนมา แล้วก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือขวาอีกครั้ง

    08:39 จวนจะ 9 โมงแล้ว แต่มิวก็ยังเรียกรถมารับผมไม่ได้
    น่าเบื่อชะมัด ไม่น่าฝากความหวังไว้กับมันเลย ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์สีแดงแจ๊สเปลือยเคสขึ้นมาเข้าแอพเพื่อลองเรียกรถดู
    แต่ก็อย่างว่าแหละครับ เวลานี้ย่านนี้ มันก็เรียกยาก ผมพอเข้าใจ

    .

    .

    “ปะคุณ เดี๋ยวผมไปส่ง” น้ำสียงทุ้มนั่น เรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นจากจอสี่เหลี่ยม
    แล้วต้องย่นคิ้วเข้าหากันเป็นเครื่องหมายคำถามด้วยความฉงน
    นายนี่มายืนอยู่ตรงนี้ เวลานี้ได้ยังไง

    “Morning ครับ” นายเพชรส่งยิ้มให้ แล้วทวนคำถาม “ว่าไงครับ ให้ผมไปส่งมั้ย”

    แน่นอนครับ ผมปฏิเสธคนตรงหน้าไปแบบไม่ต้องคิด
    “ไม่อ่ะ”

    “ของก็เยอะ รถก็ไม่มี ยังทำเล่นตัวอีก”

    “เหอะ” ผมตอบรับสั้นๆ แล้วเบือนหน้าไปทางอื่น

    “อะไรกันคุณ เมื่อคืนยังใจดีให้ผมนั่งรอในห้องอยู่เลย
    ไหงตอนเช้ากลายเป็นคนแปลกหน้ากันแล้วล่ะ” เจ้าของเสียงพูดจบก็นั่งลงข้างผม

    ผมไม่ได้หันมองนะครับ แต่รู้สึกได้ว่าโซฟามันยวบลง
    “เมื่อคืนแค่เหนียวตัว อยากอาบน้ำ” ผมพูดตอบไป พร้อมขยับตัวออกห่าง

    “คนอะไรหน้าก็หวาน แต่ปากร้ายชะมัด”
    แม้ผมจะไม่ได้มองนายนั่น แต่ผมก็สัมผัสได้ว่าเขาจ้องผมอยู่

    “ถ้าจะมากวน ก็รีบแว๊นซ์ไปมหา’ลัยเหอะไป”

     .

    .

    “ผมไม่ได้มากวน แต่ผมมารับคุณไปเรียน”

    คนด้านข้างพูดเสียงเรียบ คำพูดของเขาทำให้ผมแอบคิดตามหน่อยๆ
    มารับทำไม?

    “จริงๆ นะคุณ” นายเพชรย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    “งั้นหรอ” พูดจบก็เหลือบมองนายนั่นด้วยหางตา

    “ก็เห็นว่าคุณจะไปต่อยมวย ของก็เยอะ แล้วยังไม่มีรถ เลยมารับไปด้วยกัน”

    ทำไมเขารู้รายละเอียด งั้นเมื่อคืนก็แปลว่า
    “แย่ว่ะ แกล้งหลับ แล้วแอบฟังคุยโทสับ?” ผมสะบัดหน้ากลับมาต่อว่าแล้วถามนายเพชร

    เขายิ้มแห้ง แล้วทำท่าเกาหัว
    “ก็เปล่าซะหน่อย”

    “ไม่มีมารยาทตลอดเวลา” ผมกระแทกเสียงใส่ ก่อนจะรีบลุกขึ้นทำท่าจะเดินหนี
    แต่ไอ้บ้านี่กลับคว้าข้อมือผมเอาไว้
    แล้วมืออีกข้างของเขาก็ดึงเอาสัมภาระที่ผมสะพายไว้บนไหล่ ไปถือไว้เองซะหมด

    “ไหนๆ คุณก็หาว่าผมไม่มีมารยาทละ งั้นขอเสียมารยาทอีกซักครั้งละกัน” เขาลุกขึ้นแล้วเอาตัวมาดันหลังผมให้เดินนำหน้า

    “ไม่ไปเว้ย” ผมพยายามจะสะบัดแขนออกจากมือเขา
    แต่ดูเหมือนว่านายนั่นจะไม่ได้สนใจเลย เขาดันตัวผมหนักขึ้น
    แล้วยังเอาหน้าอกมาเบียดหลังผมจนต้องเดินตามแรงดัน

    แถมตอนนี้นายเพชรยังหันไปยิ้มให้ยามผู้หญิงที่ยืนทำหน้าที่คอยเปิดประตูตรงหน้าล็อบบี้อีกด้วย
    “ผมมารับวีรินทร์ไปเรียนอ่ะครับ แต่วันนี้เธอซน ไม่อยากไปเรียน เลยต้องบังคับ”
    นายเพชรพูดกับยามที่ตอนแรกมองมาทางเราด้วยความสงสัย
    แต่พอได้ยินดังนั้นพี่ยามแกก็เปิดประตูแล้วโค้งหัวให้นายนั่นอย่างง่ายดาย

    “ไม่ใช่นะครับ” ผมเถียงเสียงแข็ง

    “ไม่ดื้อสิครับ” ดื้อห่าไร ไม่ต้องมาทำเสียงสองใส่กู แล้วเสือกโปรยยิ้มให้ยาม

    สัส!
    “ก็บอกว่าไม่ไป ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง” โมโหจนต้องขึ้นเสียงใส่

    “คุณ...มันจะเก้าโมงแล้ว เดี๋ยวก็ไปเรียนไม่ทันกันพอดี…แล้วไหนล่ะ ไอ้รถที่เพื่อนคุณจะเรียกมารับอ่ะ ไม่เห็นจะมีซักคัน”
    นายนั่นก็ขึ้นเสียงใส่ผม แถมยังพูดยาวเป็นชุด

    “เรื่องของเราป่ะ”

    “ก็เรื่องของเราไง”
    เราในที่นี้หมายถึงตัวผมครับ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ

    “หมายถึง...นี่” ผมใช้มืออีกข้างที่ยังเป็นอิสระอยู่ ชี้เข้าหาตัวเอง
    เพื่อบอกว่า ‘เรา’ หมายถึงผมคนเดียว

    “เรื่องของคุณหรอ” นายเพชรย้อนถาม

    “เออ” ทำไมเขาต้องมาทำให้รู้สึกหงุดหงิดแต่เช้า

    นายนั่นยักคิ้วข้างเดียวแล้วพูดขึ้น “เรื่องของคุณ ก็เรื่องของผมอ่ะ”
    หมายความว่ายังไงวะ พูดบ้าไรของแม่งเนี่ย!!

    “มันจะเป็นเรื่องของคุณได้ไงวะ” ผมขึ้นเสียงใส่อีกรอบ

    ตอนนี้ผมกับนายนั่นยืนเถียงกันอยู่ข้างรถมอเตอร์ไซค์คันสีดำที่จอดอยู่ด้านหน้า
    มือของเขายังกำแขนผมแน่นจนเริ่มเห็นรอยแดง ส่วนสัมภาระของผม นายเพชรยังคงถือเอาไว้ด้วยมืออีกข้าง

    “ก็…
    …ก็ผมขับรถเฉี่ยวรถคุณ ทำให้คุณไม่มีรถขับ ผมก็เลยต้องรับผิดชอบ”

    “ประกันก็เคลียร์จบไปแล้ว จะรับผิดชอบทำไม ถ้าจะรับผิดชอบ ก็ช่วยรับผิดชอบด้วยการไปไกลๆเหอะ”
    ผมจ้องหน้าคนที่สูงกว่าด้วยสีหน้าจริงจัง มันขำหรือไงวะ ทำไมนายนั่นถึงได้ส่งยิ้มน่าถีบกลับมา

    เขาโน้มตัวเพื่อก้มหน้าลงมาใกล้ๆหน้าผมแล้วเอาหมวกกันน็อคใบที่ผมเพิ่งคืนเขาไปเมื่อคืนสวมลงบนหัวของผม
    รู้ตัวอีกทีนายเพชรนั่นล็อคสายรัดคางเสร็จเรียบร้อยแล้ว

    โถ่เว้ย!! ทำไมกูไม่ผลักมัน แล้วเดินหนีไปวะปล่อยให้คนอื่นมาจัดแจงชีวิตอยู่ได้
    เมื่อคนตรงหน้าเห็นว่าผมไม่ขัดขืนอะไรแล้ว
    เขาจึงรีบขึ้นไปคล่อมบนมอเตอร์ไซค์แล้วสวมหมวกกันน็อคให้ตัวเอง
    ก่อนจะสตาร์ทเครื่องและหันมาพูดกับผมที่ยังคงยืนมองอยู่

    “ขึ้นรถซะ ถ้าไม่อยากไปเรียนสายไปมากกว่านี้”
    นั่นคือเขากำลังสั่งผม?

    “ไม่” ผมปฏิเสธเสียงแข็ง

    “งั้นก็เตรียมบอกลา Prada ของคุณได้เลย” เขาขู่ผม นายนั่นยิ้มร้าย แล้วชี้ไปที่กระเป๋าของผม
    เขาสะพายมันคาดไหล่ไว้ แล้วหันกระเป๋าไปวางไว้บนตัก

    “แม่งเอ้ย” ผมสบถกับตัวเอง แล้วถอนหายใจฟึดฟัด ก่อนจะยอมก้าวขึ้นมานั่งบนรถของนายเพชรด้วยความหงุดหงิดใจ

    “เกาะเอวผมไว้แน่นๆ นะคุณ” พูดจบนายนั่นก็บิดรถออกไปทันที จนผมแทบจะหงายหลัง ดีนะเกาะเอวเขาไว้ได้ทัน
    นี่มันคงเป็นแผนการของนายเพชรจอมกวนประสาทนี่สินะ


    แว๊นซ์มอเตอร์ไซค์มันก็เร็วดีอยู่หรอกนะครับ แต่ผมไม่ได้อยากเป็นสก๊อย แล้วก็ไม่ได้อยากจะเอาหนังมาหุ้มเหล็ก
    ในความรู้สึกผมแม้จะสวมหมวกกันน็อคแล้ว แต่มันก็ยังดูไม่ค่อยปลอดภัยอยู่ดี

    นายเพชรเริ่มชะลอความเร็วลงเมื่อบิ๊กไบค์สีดำแกร่งกำลังวิ่งเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย
    มันคงจะดีกว่านี้มาก ถ้านายคนขับจอดส่งผมหน้ามหา’ลัย ไม่ใช่ขับฝ่าฝูงชนเข้ามาจนจะถึงหน้าตึกคณะของผมแบบนี้

    ผมหยิบมือถือที่มันสั่น*..ครืด..ครืด* ในกระเป๋ากางเกงออกมากดรับสาย
    ส่วนมืออีกข้างก็ยังเกาะเอวนายนั่นไว้เพราะขืนแม่งเกิดบ้าเร่งสปีดขึ้นมา
    ผมได้ตกรถ แล้วอายคนทั้งมหา’ลัยกันพอดี

    “เออ” ผมรับสายสั้นๆ...ถ้าไอ้มิวเรียกรถมารับผมได้แต่แรก ผมก็คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาวะจำยอมแบบนี้

    “นี่มึงอยู่ไหนวะ รถที่กูเรียกไปรับมึง เค้าบอกเค้าถึงนานแล้วนะเว่ย”

    มึงคงไม่รู้สินะมิว ว่าเพื่อนของมึงถูกลากมาเป็นสก๊อยมอ’ไซค์ “ไม่มาพรุ่งนี้เลยล่ะรถมึงน่ะ กูถึงมอแล้วสัส”

    “ฮะ มึงมายังไง ทำไมถึงเร็วจังวะ” เสียงมิวดูตกใจ

    “เดี๋ยวมึงก็รู้” ผมกดวางสายแล้วยัดโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม
    รู้ตัวอีกทีนายเพชรก็ขับมอ’ไซค์คันใหญ่มาจอดหน้าตึกคณะผมแล้ว
    แล้วถ้าไม่ได้คิดไปเอง เกือบทุกสายตาของนิสิตแถวนี้กำลังมองมาทางผม
    ก็แหงสิครับ ตรงนี้เขาห้ามรถเข้ามา มีแผงกั้นไว้ดิบดีด้วย
    ..ผมรู้สึกอายที่ต้องทำผิดกฏ
    อายที่ต้องเป็นสก๊อยจำยอม
    แล้วก็อายที่ต้องมากับนายบ้านี่

    ทันทีที่รถจอดสนิท ผมก็รีบวาดขาแล้วก้าวลงจากรถทันที
    เชี่ย! ทำไมกูชำนาญ คล่องปรื้ด เป็นไปไม่ได้หรอก เคยขึ้นแค่สองครั้ง
    ผมรีบจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่พร้อมกับถอดหมวกกันน็อคเขวี้ยงใส่ไอ้คนขับรถ
    แล้วรีบเดินหนีออกมา


    สายตาทุกคนยังคงมองมาที่ผมกับนายเพชร นั่นทำให้ผมรีบกวาดสายตามองรอบๆ หวังว่าจะไม่มีคนรู้จักยืนอยู่แถวนี้
    ไอ้มิวที่ยืนดูดกาแฟอยู่หน้าสตาบัค กำลังมองมาที่ผม และแน่นอนมันเห็นแล้ว
    ตอนนี้มันย่นคิ้วเข้าหากันแล้วส่ายหัวไปมา ราวกับกำลังตั้งคำถาม

    ผมรีบเดินเข้าไปหามันทันที
    “กูรู้ว่ามึงจะตั้งคำถาม” ผมพูดกับไอ้คนที่ยืนอยู่หน้าสตาบัค
    ก่อนจะผลักประตูเปิดเข้าไปในร้าน

    “ชาเขียวปั่นแก้วกลางครับ” แล้วก็สั่งด้วยคำพูดง่ายๆ ตามประสาคนไม่เคยจำชื่อเมนูยาวๆอย่างที่พนักงานเสิร์ฟชอบพูดได้
    ส่วนไอ้มิว มันเดินตามหลังมาแล้ววางสัมภาระลงบนโต๊ะด้านหลัง มันนั่งกระดิกเท้ารอผมอยู่ แต่ก็ยังจ้องผมไม่วางตา

    “อ้าว กระเป๋าตังค์” พอจะหยิบหากระเป๋าตังค์กลับพบว่าตัวเองเดินมาตัวเปล่า

    โอ้ย ผมลืมกระเป๋าไว้กับนายเพชร!!! ทั้ง Prada ทั้งถุงผ้าใส่นวม
    พอนึกได้ก็รีบวิ่งออกมาดูตรงที่นายนั่นขับรถมาส่ง ปรากฏว่าเขาไม่อยู่แล้ว
    แต่เอาเถอะ เดี๋ยวนายเพชรก็คงหาทางเอามาคืนผมเองแหละ เพราะขนาดไปรอที่คอนโดหลายชั่วโมง ก็ทำมาแล้ว


    ผมกลับเข้ามาในสตาบัคอีกครั้ง แล้วมาปล้นเงินไอ้มิวไปจ่าย
    ก่อนจะรับชาเขียวแก้วกลางมาไว้ในมือ เดินหยิบหลอดกับทิชชู่ให้เสร็จสรรพ
    แล้วเดินเข้าไปหาไปเพื่อนที่นั่งรออยู่พร้อมกับตอบคำถามของมันทั้งหมด


    “อืมมม...เมื่อคืนบุกถึงห้อง แล้วยังมารอรับตอนเช้า...
    …กูว่า...ไม่ธรรมดาแล้วว่ะ” ไอ้มิวหลิ่วตามองมาที่ผมอย่างศาลพิพากษา

    “เออ” ผมตอบรับสั้นๆ

    “แล้วทำไมมึงยอม” คำถามที่มิวถาม ทำให้ผมเงียบไปครู่หนึ่ง

    ผมมองออกไปนอกร้าน แล้วใช้ความคิด

    “ไม่ใช่ว่ากูยอมนะ...
    …แต่
    แต่ไม่รู้ว่ะ”
    คิดไม่ออกเว้ย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ผมไม่ได้คิดอ่ะ  ผมแค่ใช้ชีวิตแบบไม่ใช้สมอง เวลาอยู่กับนายนั่น

    “แล้วถ้ามันจีบมึง...”

    “เพ้อเจ้อสัส” ผมขัดขึ้นทันที

    “แต่มึงก็ซ้อนมอ’ไซค์แม่งมาแล้ว” แล้วไอ้มิวก็สวนกลับพร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่ม

    “แล้วคนทั้งมหา’ลัยก็เป็นพยานให้มึงแล้ว” เจ้าของรอยยิ้มร้ายยื่นโทรศัพท์ของมันมาให้ผม


    ภาพบนจอสี่เหลี่ยมที่เปิดแอพเฟซบุ๊กในตอนนี้ มี 2 ภาพด้วยกัน
    ภาพแรกเป็นภาพที่ผมนั่งซ้อนรถนายเพชรอยู่
    ส่วนภาพสองเป็นภาพที่ผมกำลังโยนหมวกกันน็อคไปให้นายนั่นรับ

    ‘เพจชี้เป้าคนหล่อในมหา’ลัย’
    ‘ก็ไม่รู้ว่าทำไมเช้านี้ หนุ่มหล่อหาตัวจับยาก ‘เพชร’ วิศวะ ปี 3
    ถึงได้ขับบิ๊กไบค์คันโปรดมาส่งหนุ่มหน้าหวาน
    ‘วีรินทร์’ BBA ปี 3 ถึงหน้าตึกคณะบัญชีได้นะค๊า’

    “อืม......จ่ะ” ผมส่งโทรศัพท์คืนให้ไอ้มิวแล้วลอบถอนหายใจอย่างเอือมๆ
    โซเชียลสมัยนี้แม่งโคตรเร็ว ถึงจะชินกับการโดนถ่ายรูปลงเพจแบบนี้บ่อยๆ  แต่ก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน.

    ..มันบอกไม่ถูก ว่ารู้สึกยังไง

    “เชี่ย ไม่ใช่แค่ในรูปว่ะ ตัวเป็นๆ เดินมานั่นแล้ว” ไอ้มิวชี้ออกไปที่นอกร้าน ผู้ชายร่างสูงในชุดนิสิตที่ดูเนี้ยบเกินเด็กวิศวะ
    ถือกระเป๋า Prada พร้อมกับถุงผ้าอีกใบนึง...เดินตรงมาทางนี้

    นายนั่นยังคงเป็นตัวเรียกสายตาผู้คนได้ตามเคยเขาเปิดประตูร้านแล้วเดินตรงมาที่โต๊ะของผม
    พร้อมกับวางของในมือลงบนโต๊ะ

    “ขี้ลืมนะคุณ” เสียงทุ้มพูดขึ้นแล้วยิ้มมุมปาก

    “เหรอ” ผมตอบสั้นๆ แล้วเบือนหน้าหนี

    “เหนื่อยอ่ะ เดินตามหาคุณตั้งนาน หิวน้ำด้วย ขอกินได้ป่าว”
    ว่าแล้วนายเพชรก็ชี้มาที่แก้วชาเขียวปั่นของผม ผมสะบัดหน้ากลับมาจ้องมองเขา
    แบบนี้ก็ได้หรอ

    “เป็นขอทานรึไง มาขอคนอื่นกิน”

    “ถ้าเป็นขอทาน แล้วคุณจะให้กินรึเปล่าละครับ” นายนั่นตอบกวนตีน

    “ถ้ากล้ากิน ก็แล้วแต่” 
    พอผมพูดจบนายเพชรก็ยกแก้วชาเขียวปั่นของผมขึ้นมาดูดอย่างไม่รอช้า
    กูแค่ประชดป่ะวะ

    ผมถลึงตาใส่ร่างสูง ก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง แล้วคว้าเอากระเป๋าตัวเองลุกขึ้น
    “มิว ไปเรียน” ผมสะกิดเรียกไอ้มิวที่นั่งมองเหตุการณ์ตาไม่กระพริบออกมา

    ผมได้ยินเสียงตะโกนเรียกตามหลัง***‘คุณ คุณ’***

    ก็คำติดปากของนายนั่น ไม่รู้จะเรียกอะไรนักหนา
    แต่ครั้งนี้ผมมั่นใจละ ว่าผมไม่ได้ลืมอะไรหรือไม่ได้หยิบอะไรของเขามา
    ผมเลยไม่สนใจะหันกลับไปมอง


    **To Be Continued**

    น้องเพชรก็จะเรียก'คุณ' จนกว่าคุณจะยอมรับรักน้องเพชรไงล๊าา
    เหนื่อยหน่อยนะเพชรงานนี้ เพราะคุณของเพชร คงจะไม่ง่ายเท่าไหร่ อิอิ

    « แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-12-2017 10:22:10 โดย bliss diary »

    ออฟไลน์ bliss diary

    • เป็ดประถม
    • *
    • กระทู้: 62
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
    THE SWAN
    เก๋ เริ่ด เชิด หงส์ 5
    First Trip


    00:11

    เป็นอีกสัปดาห์ที่เวลาผ่านไปโคตรเร็ว เผลอแปปเดียวคืนวันศุกร์ก็มาถึง
    หลังจากที่ผมนัดไปทำสปากับคุณแม่คนสวยเมื่อช่วงเย็น โดยมีไอ้วีวิศน้องชายหัวเกรียนตัวแสบที่เพิ่งเลิกจากเรียน รด. ติดสอยห้อยตามไปด้วย ตอนนี้ผมก็นั่งจิบไวน์บนโซฟาตัวโปรดริมระเบียงพร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศสุดโรแมนติกจากแสงไฟบนยอดตึกสูงระฟ้าในกรุงเทพฯ ด้วยลมเย็นสบายที่พัดมากระทบผิวบวกด้วยกลิ่นหอมวานิลลาจากน้ำมันหอมระเหยยิ่งช่วยทำให้รู้สึกดีมากขึ้นไปอีก

    ระหว่างที่ผมกำลังฟินได้ที่ โทรศัพท์เครื่องสีแดงที่วางอยู่ไม่ห่างก็ดังขึ้นผมก้มมองสายเข้าที่โทรจากไลน์
    แสดงชื่อที่ผมไม่คุ้นเคย
    ‘Petch’
    แต่พออ่าน ก็พอจะรู้ได้ว่าเป็นใคร

    ผมกดตัดสายไปในครั้งแรกที่เขาโทรเข้ามา เพราะไม่อยากให้บรรยากาศที่กำลังได้ที่ต้องเสียไปจากการกดรับสายนายคนนั้น
    แต่นายเพชรก็ทำให้ผมได้เรียนรู้แล้วว่า เขาเป็นคนที่ดันทุรัง ทำอะไรต้องทำให้สุด
    เหมือนกับที่เขากำลังโทรเข้ามากวนผมเป็นสายที่ 3 ในตอนนี้
    ผมกดรับสายพร้อมกับข่มความรู้สึกไม่ค่อยพอใจเอาไว้ ด้วยว่าก่อนหน้านี้ผมยังรู้สึกดีกับค่ำคืนนี้อยู่เลย
    เพราะฉะนั้นผมไม่ควรขุ่นเคืองใจเพียงเพราะนายเพชรโทรเข้ามา

    “ว่า” ผมรับสายเสียงนิ่ง พร้อมสายตาที่ยังคงกวาดมองวิวสวยจากแสงไฟ
    “คุณณณณ...กว่าจะรับสายผม”
    ผมหน้ามุ่ยขึ้นหน่อยนึงพอได้ยินประโยคทักทายจากฝ่ายโน้น
    “แล้วจะทำตัวเสียมารยาท โทรเข้ามาตอนดึกทำไมไม่ทราบ”
    “โอเค โอเค ขอโทษค้าบ...ผมจะโทรมาคุยเรื่องงาน” นายเพชรเสียงอ่อนลง
    “ไม่โทรตอนกลางวัน” ผมพูดตำหนิพลางหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบ
     “ผมยุ่งทั้งวันอ่ะคุณ อีกอย่างพรุ่งนี้วันเสาร์แล้ว เลยต้องรีบโทรมาตอนนี้”
    “อืม งั้นก็ว่ามาเลย”
    “พรุ่งนี้คุณว่างเปล่า จะได้ไปทำงานกัน” งานวิชาที่ให้พวกเราไปเที่ยวอ่ะครับ
    “ว่างนะ ว่าแต่คุณว่าไปไหนดีอ่ะ รู้ป่ะที่ไหนมีหงส์” ผมพูดถามพลางใช้ความคิด
    อาจารย์ให้ไปเที่ยวสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับชื่อกลุ่ม แล้วผมจะไปเที่ยวยังไงให้เจอหงส์ในกรุงเทพฯ
    ถ้าเป็นอยู่ที่ลอนดอนว่าไปอย่าง..

    “ผมก็ยังนึกไม่ออกอ่ะคุณ ผมว่าจะลองหาข้อมูลดู แล้วพรุ่งนี้เรานัดกันแต่เช้า”
    “ก็โอเคนะ...ไปที่ที่ไม่ลำบากนะคุณ ไม่ร้อน ไม่กันดารแต่ก็ไม่วุ่นวาย”
    “เอิ่ม...ก็ได้ครับ งั้นพรุ่งนี้ 9 โมง ผมไปรับคุณที่คอนโด”
    “นัดเจอที่อื่นก็ได้ป่ะ”
    “คอนโดคุณแหละง่ายสุดแล้วครับ กลางเมืองดี.
    ..แล้วถ้าคุณช้า ผมจะได้นั่งรอที่ล็อบบี้แอร์เย็นๆ”
    “พูดเยอะ แค่นี้นะ”
    ผมวางโทรศัพท์ลงด้านข้าง แล้วหันมาสนใจแก้วไวน์ในมือก่อนจะยกขึ้นมากระดกจนหมดแก้ว


    ‘กริ๊ง’
    เสียงกดกริ่งหน้าประตูชวนให้สงสัยว่าใครมาหาดึกดื่นขนาดนี้
    ถ้าจะพูดถึงคนที่มีคีย์การ์ดแล้วขึ้นมาบนนี้ได้ ก็น่าจะมีแค่คนในครอบครัว
    แต่ก็เพิ่งเจอกันไปเมื่อช่วงเย็น...

    ผมเดินตรงมาที่ประตูหน้าห้อง แล้วกดจอมอนิเตอร์เพื่อดูว่าใครคือผู้มาเยือน ไม่ช้าภาพก็ปรากฏขึ้นบนจอ
    ถ้าเป็นเมื่อปีที่แล้ว ผมคงดีใจจนยิ้มกว้างที่ผู้ชายคนนี้ยืนอยู่หน้าห้อง
    แต่ในวันนี้ ผมกลับไม่ยินดียินร้ายอะไร แค่รู้สึกสงสัยเสียมากกว่าว่าเขาขึ้นมาบนนี้ได้ยังไง
    ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปิดประตูห้องด้วยสีหน้านิ่ง

    “มาทำไมครับ” คำทักทายสำหรับคนที่ไม่ได้เจอกันเกือบปี
    “พี่คิดถึงหงส์” ร่างสูงตรงหน้าที่สวมเสื้อเชิ๊ตสีขาวพอดีตัว
    ชายเสื้อหลุดออกนอกกางเกงสแล็คสีน้ำเงิน หน้าของเขาแดงก่ำ ดูก็รู้ว่าถูกกล่อมด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์

    “ไม่ต้องมาเรียกชื่อนี้” คุยกันไม่ถึงสองประโยค
    เขาก็ทำให้ผมขึ้นเสียงใส่ได้อย่างไม่รู้สึกผิด
    “หงส์เกลียด” ผมเน้นคำพูด กระแทกใส่หน้าเขา

    “ทำไมล่ะหงส์ เมื่อก่อนหงส์ยังชอบให้พี่เรียกชื่อนี้อยู่เลย...
    หงส์เคยบอกด้วย ว่ายอมให้พี่ภัทรเรียกน้องหงส์คนเดียว”
    พี่ภัทร ผู้ชายที่ทำให้ผมแม่งเกลียดชื่อตัวเอง

    “นั่นมันเมื่อก่อนครับ ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว”
    พูดจบแล้วผมก็เบือนหน้าหนี ไม่อยากจะมองเขา

    “แต่สำหรับพี่ หงส์ยังเป็นที่หนึ่งในใจพี่เหมือนเดิมนะ”

    “หงส์เป็นที่หนึ่งในใจพี่ แล้วใครเป็นที่สอง ที่สาม ที่สี่บ้างล่ะ”
    พอได้ยินประโยคนี้ ยิ่งทำให้ความรู้สึกของผมเมื่อปีที่แล้วมันชัดเจนขึ้น

    พี่ภัทร แฟนคนแรกของผม ตอนนั้นผมอยู่ม.4 ส่วนพี่ภัทรอยู่ม.6
    เราคบกันตั้งแต่เรียนมอปลาย จนผมเข้ามหา’ลัยขึ้นปี 2 ผมไม่ค่อยชอบให้ใครเรียกผมว่า ‘หงส์’ แม้แต่คนในครอบครัวผมเอง
    เพราะผมรู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับผม แต่พี่ภัทรทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็น ‘หงส์’ จริงๆ
    ผมยอมและชอบให้พี่ภัทรเรียกชื่อนี้ แค่คนเดียว

    แล้วจุดแตกหักมันก็มาถึงในช่วงเวลานั้น ผมจับได้ว่า
    ‘ผมเป็นที่หนึ่งในใจพี่ภัทร เพราะพี่ภัทร มีที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า เต็มไปหมด’
    จากหงส์ผู้สูงสง่า ก็กลายเป็นควายที่โง่เขลาทันที!!


    “พี่ลืมหงส์ไม่ได้” คนตรงหน้ายังคงพร่ำเพ้อ
    “พอเหอะพี่ ทุเรศว่ะ”
    “แต่พี่คิดถึงหงส์จริงๆนะ” พูดจบพี่ภัทรก็โผเข้ากอดผม ก่อนจะรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆจนผมเริ่มหายใจไม่ออก
    ร่างสูงอาศัยความที่ตัวใหญ่กว่าผลักผมเข้ามาในห้องเพื่อหวังจะทำอะไรที่มากกว่านั้น
    พอผมตั้งสติได้ ผมก็ใช้วิชามวยไทยที่เรียนมาตอกกลับพี่ภัทรทันที
    ทั้งศอก เข่า หมัด พี่ภัทรลงไปนอนกองอยู่กับพื้นหน้าห้องด้วยความสะบักสะบอม
    “โอ้ยย หงส์ ทำไมหงส์รุนแรง ทำพี่ทำไม”
    “ก็เพราะพี่แหละครับ ทำให้หงส์เป็นแบบนี้...
    …ที่หงส์เปิดประตูออกมา ไม่ใช่เพราะหงส์อยากเจอพี่หรอกนะแต่เพราะหงส์อยากรู้ว่า พี่ขึ้นมาบนนี้ได้ยังไง
    ขอคีย์การ์ดหงส์คืนด้วย!!”
    พูดจบผมก็ก้มลงไปดึงคีย์การ์ดในกระเป๋ากางเกงของคนที่นอนกุมท้องตัวเอง
    “พี่แม่งโคตรโง่ ที่ทำแบบนั้นกับหงส์”

    ‘ปัง’
    ผมปิดประตูเสียงดัง พร้อมล็อคประตูทันที


    ผมพาตัวเองกลับมานั่งจิบไวน์อยู่ในมุมเดิมแล้วนึกถึงเรื่องอดีต
    พี่ภัทร ไม่ใช่คนเลว แต่พี่ภัทร แค่นอกใจ

    ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ไม่แรงนักจากไวน์สองแก้วทำให้ผมเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้

    เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับแสงแดดที่แยงตาผม เมื่อเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ก็บอกเวลา

    07:15

    ยังเช้าอยู่เลย แต่ก็คงนอนต่อไม่ได้แล้ว ผมเลยลุกขึ้นไปล้างหน้า แปรงฟัน ก่อนจะกดลิฟต์ลงไปที่ชั้นสระว่ายน้ำ

    ผมสลัดความมึนหัวออกไปด้วยการว่ายนำ้อยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ว่ายน้ำเสร็จก็เปลี่ยนมานอนรับลมอยู่ริมสระแทน
    แต่ก่อนจะนอนลงบนเตียงก็สังเกตว่าแดดเริ่มแรงขึ้น ทำให้ผมต้องหยิบแว่นกันแดดทรงสวยที่ติดมือมาด้วยขึ้นมาสวม จากนั้นชุดคลุมอาบน้ำสีแดงเลือดนกก็ถูกหยิบขึ้นมาสวมทับกางเกงว่ายน้ำเพื่อปกปิดร่างกาย
    ผมนอนหลับตาฟังเพลงสบายๆ อยู่ครู่หนึ่ง เพลงที่กำลังฟังเพลินก็เงียบลง
    พร้อมกับเสียงแจ้งเตือนว่ามีคนโทรเข้า

    ผมไม่ได้ลืมตาขึ้นมองว่าใครโทรมา แต่กดรับสายจาก Airpods
    “ฮัลโหล”
    “วีรินทร์ แม่ให้ลุงชัย ขับรถไปจอดไว้ให้ที่คอนโดแล้วนะลูก” แม่ผมโทรเข้ามา
    “ขอบคุณนะครับแม่” ผมตอบกลับด้วยความดีใจ
    เมื่อวานที่เจอแม่ ผมได้คุยกับแม่ว่าไม่มีเวลากลับไปเอารถที่บ้าน เลยต้องรบกวนแม่ให้ลุงคนขับรถช่วยขับรถมาส่งให้

    ผมคุยกับแม่ไม่นานแล้วก็วางสายไป ก่อนจะกดรับสายซ้อนที่รออยู่
    “ฮัลโหล”
    “มึง คู่มึงไปเที่ยวไหนกันวะ” ไอ้มิวครับ ไอ้นี่โทรเข้ามาทุกวันเป็นกิจวัตร
    วันไหนแม่งไม่ได้โทรหาผม แลดูมันจะอยู่ไม่เป็นสุข
    “เออว่ะ กูก็ยังไม่รู้เลย เมื่อคืนคู่กูแม่งโทรหากูแล้วบอกจะลองหาดู” ผมตอบไป
    “แต่ของมึงยังง่ายไง ของคู่กูนี่สิ ไม่ต้องเที่ยวสุสาน เที่ยวเมรุหรอวะ” ไอ้มิวตัดพ้อ
    “ฮ่าๆ แต่ของมึงยากจริงสัส คู่ของมึงว่าไงล่ะ”
    “จะว่าไงล่ะ บอกให้กูคิดไง สัส”
    “สู้ๆ มึง...เออมิว เมื่อคืนพี่ภัทรมาหากูที่ห้องว่ะ”

    ผมตัดสินใจเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ไอ้มิวฟัง เพราะปกติก็เล่าให้มันฟังทุกเรื่องอยู่แล้ว
    “เห้ย จริงป่ะเนี่ย แล้วมึงยังไงวะ” มิวดูตกใจ เสียงสูงเชียว
    “กูก็ไม่ยังไง แม่งพยายามจะอะไรกู แต่กูเป็นมวยเลยจัดไปหลายดอก ฮ่าๆ”
    “มึงไม่สงสารพี่เค้าหรอวะ”
    “สงสารกูเนี่ยไอสัส แดกไวน์อยู่ดีๆ เสือกมีมารผจญ”
    “แต่ทุกอย่างก็โอเคใช่เปล่า” ไอ้มิวถามน้ำเสียงจริงจัง
    “โอเคมึง ไม่ต้องห่วง ไม่มีไร”
    “ยังไงมึงก็เข้าวัดเข้าวา ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พี่เค้า จะได้ไม่มากวนมึงอีก”
    “เออ กูจะลองดู ฮ่าๆ ไว้คุยกันมึง บาย”

    วางสายจากไอ้มิวปุ๊บ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกรอบ รอบนี้เป็นเสียงจากไลน์ครับ!
    “ฮัลโหล” ผมยังคงรับสายโดยไม่ลืมตาขึ้นมามอง
    “คุณ ผมถึงแล้วนะ” เสียงทุ้มที่ดูสดใสพูดบอก
    “หื้ม ทำไมมาเช้าจัง” ผมถามกลับเพราะนี่น่าจะยังไม่ถึงเวลานัด
    “ก็มารอคุณไง”
    “เอ่อ งั้นรอนานหน่อยนะ”
    “ผมรอได้”
    หลังจากวางสายผมก็ลืมตาขึ้นมองเวลาจากหน้าจอโทรศัพท์
    08:13
    ว่าแล้วก็ขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวดีกว่า


    09:00

    วันนี้ผมอาบน้ำแต่งตัวเร็วมากเป็นพิเศษ เพราะไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนไม่ตรงเวลา
    ผมแต่งตัวง่ายๆ สบายๆ ครับ ไม่ได้เยอะอะไร ไม่ได้เซ็ทผมด้วยซ้ำ ลงมาด้านล่างเจอนายเพชรนั่งทำหน้ากวนตีนอยู่ล็อบบี้
    นายเพชรสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์สีดำ รองเท้าผ้าใบรุ่นยอดฮิตสีดำ
    เกือบจะดูดีแล้วเชียวถ้าผมไม่เหลือบมองตัวเองในกระจกแล้วเห็นว่า
    ผมแต่งตัวเหมือนกับนายนั่นเป๊ะ!
    แม้แต่รองเท้ายังยี่ห้อและรุ่นเดียวกัน แค่คนละไซส์

    “อรุณสวัสดิ์ครับคุณ ตรงเวลาเป๊ะเลย” ร่างสูงลุกขึ้นจากโซฟา แล้วก้มมองนาฬิกาบนข้อมือ
    ส่วนผมกำลังเสียเซลฟ์ที่แต่งตัวซ้ำอยู่ เลยไม่ได้สนใจนายนั่น
    ในหัวผมตอนนี้กำลังคิดว่าจะไปเปลี่ยนชุดใหม่
    “เห้ยคุณ เราแต่งตัวเหมือนกันเลยว่ะ” คนที่มายืนอยู่ข้างผม หัวเราะเสียงดัง
    แล้วมองตัวเองในกระจก ก่อนจะหันมายิ้มกว้างให้ผม
    นายนั่นดูจะภูมิใจมากเป็นพิเศษ
    “ขอไปเปลี่ยนชุดแปป” ผมหน้ามุ่ยแล้วทำท่าจะเดินกลับขึ้นไปข้างบน
    แต่มือหนาของนายเพชรก็คว้าไหล่ผมไว้ แล้วดึงตัวผมกลับ
    “อะไรกันคุณ เปลี่ยนทำไม เหมือนกันก็ดีแล้ว” คนตรงหน้ายังคงยิ้มกว้าง 
    “ไม่ชอบแต่งตัวซ้ำกับใคร” ผมตอบไปอย่างเหวี่ยงๆ แล้วมองบนใส่
    “ก็จะได้ดูเป็นทีมเดียวกันไงคุณ”
    “ใครอยากเป็นทีมเดียวกับคุณ” ผมบ่นอุบอิบกับตัวเอง
    “แต่ก็ทีมเดียวกันแล้ว ไม่เห็นจะเป็นไรเลย” พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังมีหน้ามาตบไหล่ผมปุๆ
    “ก็ไม่ชอบอ่ะ” ผมยังคงยืนกราน ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่ชอบแต่งตัวซ้ำกับใคร เข้าใจมั้ยวะ!
    “แต่ผมชอบนะ”
    “ชอบบ้าอะไร” ผมสวนกลับไปด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
    “ชอบคุณ...”
    ฮะ!!
    เงียบ
    เขานิ่ง ผมนิ่ง

    แดกจุด

    “เอ่อ ผมหมายถึงชอบที่คุณแต่งตัวแบบนี้...ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกคุณ มันดีแล้ว”
    “จริงๆ น้า” เป็นเสียงสองที่ฟังแล้วอยากจะอ๊วกมากครับ
    เอาเถอะ ไม่เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยน เสียเวลา...
    “ไม่เปลี่ยนก็ได้ แต่ต้องเอารถยนต์ไปนะ ไม่นั่งมอ’ไซค์ ไม่ได้แต่งตัวมาเป็นสก๊อย”
    “ครับ” นายนั่นตอบรับอย่างว่าง่าย แล้วเดินตามผมมาที่รถโดยดี


    วันนี้ผมแต่งตัวโคตรเบา
    เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ ในมือถือกระเป๋าเงิน โทรศัพท์มือถือ
    ไม่มีกระเป๋าพะรุงพะรัง หรือเครื่องสำอางค์ใดใด
    .
    .
    .
    .
    เพราะทุกอย่างอยู่บนรถ
    แม่ผมเตรียมมาให้จากบ้านแล้วยังไงล่ะครับ


    ผมถามนายเพชรเรื่องสถานที่ที่เราจะไปกันในวันนี้ ส่วนนายนั่นก็เอาแต่ต่อรองเรื่องจะขอขับรถเอง
    ทีแรกผมก็ไม่ยอม เขาเลยยกใบขับขี่ขึ้นมาโชว์ พร้อมดึงดันจะเป็นคนขับเอง พอเห็นว่ายืนตากแดดเถียงกันไปก็ไม่ได้ประโยชน์
    ผมเลยกระทืบเท้าใส่เขาทีนึง แล้วเดินขึ้นมานั่งฝั่งด้านข้างคนขับ
    นายเพชรดี๊ด๊าที่ตัวเองได้เป็นคนขับ ผมเห็นแล้วรู้สึกรำคาญลูกตาเลยหยิบแว่นกันแดดมาสวม ก่อนจะเบือนหน้าหนีออกนอกหน้าต่าง

    คนขับรถขับออกมาจากคอนโดอย่างนิ่มๆ ผมแอบหันไปสังเกตเขาบ้างเป็นระยะ ตอนนี้เขาหยิบแว่นกันแดดของตัวเองมาสวมเช่นกัน ดูเหมือนว่านายนั่นจะใช้อุปกรณ์ในรถของผมได้อย่างคุ้นเคยเลยทีเดียว เขาต่อบลูทูธจากโทรศัพท์มือถือแล้วเปิดเพลงที่เข้ากับบรรยากาศเช้าวันเสาร์ให้ผมฟัง

    จังหวะการออกตัว การขับขี่ และการเบรคของเขาทำให้ผมรู้สึกวางใจไม่น้อย เขาขับได้ดีกว่าที่ผมคิด มันนิ่ม เงียบ คงที่ แล้วก็ดูปลอดภัย

    ผมเลิกสนใจคนด้านข้างแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายคลิปรถบนถนนลง IG Story พร้อมกับใส่แคปชั่นว่า On My Way
    ครู่ใหญ่รถคันสวยของผมก็วิ่งมาในย่านพระนคร ก่อนที่คนด้านข้างจะชะลอความเร็วลง

    “ถึงแล้วหรอ” ผมพูดถามเมื่อเห็นเขาทำท่าจะจอด แต่มองออกไปด้านนอกกลับไม่เห็นจะมีหงส์ซักกะตัว
    “เดี๋ยวกินข้าวเช้าก่อน ผมรู้คุณยังไม่ได้ทานอะไรมา” คนด้านข้างถอยรถเข้าจอดอย่างชำนาญ
    เขาพูดตอบผมแต่ตามองกระจกหลัง ส่วนมือก็บิดพวงมาลัย ท่าทางดูตั้งใจ...

    “รู้ได้ยังไง” ผมถามแล้วมองนายนั่นถอยรถ
    “คุณอาบน้ำแต่งตัวนาน คงจะไม่มีเวลาทานอะไรตอนเช้าหรอกครับ”
    พูดจบร่างสูงที่ถอยรถเสร็จพอดี ก็ถอดแว่นออก เขาหันมายิ้มให้ผม
    ผมมองเขานิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป
    แล้วมือหนาก็เอื้อมมาปลดเข็มขัดนิรภัยออกให้ผม พร้อมกับร่างของเขาที่เอี้ยวมา นายนี่เป็นคนมือไวเหมือนกันแฮะ
    “ไปกันครับ”
    หน้าคมที่อยู่ห่างหน้าผมไม่มาก เงยขึ้นมาหลังจากปลดเข็มขัดนิรภัยให้ผมเสร็จ
    เขาจ้องหน้าผมใกล้ๆ จนทำให้ผมต้องผละตัวเองออกห่าง


    ผมเดินตามหลังนายเพชรอยู่ไม่ห่าง แต่ดูท่าทางเขาจะไม่ค่อยไว้ใจผมสักเท่าไหร่ เพราะเขาหันกลับมามองผมเป็นระยะๆ
    เราสองคนก็มาหยุดยืนอยู่หน้าร้านกาแฟโบราณแห่งหนึ่ง บรรยากาศภายในดูคลาสสิค
    ผมเงยหน้ามองป้ายชื่อด้านหน้าก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาทันที เห็นหลายคนมากินแล้วถ่ายรูปลงโซเชียลกัน แต่ผมยังไม่เคยมีโอกาสมา

    คนในร้านไม่เยอะมาก อาจจะเพราะเริ่มสายแล้ว จึงพอมีโต๊ะว่างให้เรา
    ร่างสูงเดินนำผมเข้าไปข้างในแล้วเลือกโต๊ะที่อยู่ติดผนัง ก่อนจะเรียกให้ผมนั่งลงข้างเขา โต๊ะนี้มีเก้าอี้สองตัววางอยู่ข้างกันในลักษณะที่ไม่ทำให้รู้สึกน่าอึดอัดมากนัก
    ผมจึงยอมนั่งลง โดยไม่ได้ขยับเก้าอี้ใดๆ

    “ที่นี่มีไรกินบ้างอ่ะ” ผมพูดถามพร้อมกับหันมองบรรยากาศรอบร้าน
    “เมนูขึ้นชื่อก็ไข่กระทะครับ ทีเด็ดเลย”
    “อืม เอาไข่กระทะก็ได้ แล้วก็โกโก้เย็น”
    ผมเลือกเมนูง่ายๆ ช่วงเช้าไม่ได้รู้สึกอยากจะกินอะไรมากเป็นพิเศษ
    “ครับ” นายเพชรตอบรับ ก่อนจะเดินไปสั่งอาหารและเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์

    รอไม่นาน ไข่กระทะและโกโก้เย็น 2 ชุดก็ถูกวางลงบนโต๊ะ
    “ทำไมสั่งเหมือนกัน” ผมถามนิ่งๆ แล้วก้มมองจานของตัวเองสลับกับของเขา
    “ก็ชอบเหมือนกัน” นายเพชรพูดตอบ เขาไม่ได้สนใจมองผม
    เขาหยิบกล้อง mirrorless ในเป้ที่เขาสะพายติดตัวขึ้นมาถ่ายภาพอาหาร
    ก่อนจะหันไปถ่ายบรรยากาศภายในร้าน แล้วก็จบลงด้วยการถ่ายรูปผม

    “เห้ย ไม่เอา คุณไม่ถ่าย” ผมเสียงดังขึ้น แล้วพยายามแย่งกล้องมาลบรูป
    “ถ่ายไปแล้ว” นายนั่นยิ้มแล้วเอากล้องไปซ่อนไว้ด้านหลัง
    ทำให้ผมต้องพยายามยื้อสุดตัว จนเริ่มรู้สึกเมื่อย
    ผมหยุดแย่งทันทีที่รู้สึกว่าตัวเองเริ่ม เหงื่อออก!
    นายเพชรแลบลิ้นปลิ้นตา แล้วหัวเราะสะใจที่ผมแย่งกล้องในมือเขาไม่สำเร็จ

    ผมมองบน แล้วหันมาสนใจไข่กระทะตรงหน้า แน่นอนว่า IG Story ของผมได้บันทึกภาพอาหารเช้ามื้อนี้เป็นที่เรียบร้อย


    เราสองคนใช้เวลากับอาหารมื้อนี้กันอย่างเงียบๆ นายนั่นชวนผมคุยสัพเพเหระบ้าง ผมก็ตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง
    จนเวลาผ่านไปไม่นาน เราก็กินเสร็จเรียบร้อย

    ผมหยิบกระเป๋าตังค์แล้วยื่นแบงก์พันส่งไปให้คนด้านข้าง
    “อะไรหรอคุณ” นายเพชรเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองกลับมาอย่างสงสัย
    “ค่าอาหารเช้า”
    “ฮะ ไม่เป็นไรคุณ ผมเลี้ยง” เขายิ้มอย่าง งงๆ
    ผมสิควรจะงง ว่าจะมาเลี้ยงกันทำไม

    “เลี้ยงทำไม จ่ายเองได้” ว่าแล้วผมก็ยื่นเงินใส่มือเขา แต่นายเพชรถอยมือกลับ
    “ผอมอย่างคุณ ผมเลี้ยงไหวน่า”
    ผมเป็นพวกขี้รำคาญครับ ถ้าให้แล้วไม่รับก็ไม่ตื้อ
    “ป๋าว่างั้น” ผมพูดพลางลุกขึ้น แล้วเก็บเงินใส่กระเป๋าตังค์
    นายเพชรยักคิ้วให้ผมทีนึง แล้วส่งยิ้มมุมปากมา


    ผมกับนายเพชรกลับมานั่งบนรถพร้อมกับสวมแว่นกันแดดของใครของมัน เขายังคงชวนคุยเรื่องอาหารเช้าเมื่อครู่ พร้อมกับแนะนำเมนูโน้นนี้อีกมากมาย แถมยังพูดอีกว่า ถ้าติดใจวันหลังจะพาไปกินอีกหลายๆ ที่ เขาจะเลี้ยงผมเอง

    ผมก็พยักหน้ารับไปงั้น แต่ในใจกลับถามว่า ‘ใครขอ’
     

    นายคนขับรถ ขับรถต่อไปอีกไม่นานก็ถึงสถานที่ที่เขาบอกว่าจะพาผมมาในวันนี้
     ‘วัดหงส์รัตนาราม’
    “นี่แหละคุณ ที่ผมจะพามาวันนี้” ร่างสูงพูดหลังจากจอดรถเป็นที่เรียบร้อย
    “เข้าใจคิดนะ” ก็ยอมรับว่านายเพชรฉลาดครับ ในเมื่อกรุงเทพมันหาที่ที่มีหงส์ยากเย็นนัก ก็พามาสถานที่ที่ชื่อหงส์แทน
    จะเป็นไรไป 

    นายเพชรเดินนำผมไปที่อุโบสถ โดยถอดรองเท้าไว้ข้างนอก แล้วเดินเข้าไปข้างในอย่างสำรวม เราเดินเข้าไปกราบพระ จากนั้นเขาก็ถ่ายรูปนิดหน่อย พอถ่ายเสร็จคนด้านข้างก็หันมาพูดกับผม
    “นั่งสมาธิกัน” ว่าแล้วร่างสูงก็นั่งลง แล้วประสานมือไว้บนตักให้ผมดู
    ก่อนจะหลับตาลงสนิทผมมองตาม แล้วก็ยอมทำตามเขาอย่างขัดไม่ได้

    ลมเย็นเอื่อยกับบรรยากาศที่เงียบสงบ ทำให้รู้สึกดีไม่น้อยไม่กว่าบรรยากาศเมื่อคืนเลยครับ
    ถ้าไม่รู้สึกเมื่อยขา อะไรๆคงจะดีกว่านี้

    ครู่ใหญ่ คนด้านข้างก็สะกิดชวนผมออกมาจากอุโบสถ แล้วเดินไปยังสระน้ำมนต์ นายเพชรเล่าประวัติความเป็นมาต่างๆให้ผมฟังอย่างคนที่รู้จริง แล้วก็พาผมสรงน้ำพระประจำวันเกิด ผมเกิดวันเสาร์ ส่วนเขาเกิดวันศุกร์

    เราเดินรอบวัด ถ่ายเก็บบรรยากาศโดยรอบ เมื่อเสร็จแล้วก็เดินกลับมาที่หน้าอุโบสถอีกครั้ง ดูเหมือนว่านายนี่จะมีความธรรมะธัมโมอยู่เหมือนกัน ถึงได้คิดพามาวัด

    ผมยืนถ่ายรูปวัดโดยใช้โทรศัพท์ตัวเอง ขณะที่นายนั่นเดินไปคุยกับใครสักคน
    เด็กผู้หญิงที่น่าจะยังเรียนอยู่แค่ม.ต้น เดินกลับมาพร้อมเขา
    เขายื่นกล้องให้เด็กคนนั้น แล้วเดินกลับมาหาผม

    “ถ่ายรูปคู่กันคุณ” เขายิ้มเรียบๆ ส่งมาให้ผม
    “ไม่ถ่ายอ่ะ” ผมส่ายหัวแล้วปฏิเสธทันที
    “แต่เรามาทำงานนะคุณ เดี๋ยวอาจารย์ไม่รู้ว่าเรามาด้วยกัน”
    “อือ อือ” ผมพยักหน้ารับอย่างปฏิเสธไม่ได้

    “ยิ้มนะค้า” น้องที่นายเพชรใช้ให้ถ่ายรูปพูดบอก ผมยิ้มแหยๆ แล้วขยับตัวออกห่างนิดหน่อย
    “พี่ตัวเล็กขยับเข้ามาอีกก็ได้ค่ะ ยืนห่างจังเลย อุตส่าห์ใส่ชุดคู่กัน” น้องเขาบอก  ชุดคู่อะไรกันล่ะน้อง!! ผมอยากจะบ้า
    แล้วนายนั่นก็หันมองผม ก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้ จนไหล่ชนกัน
    “ยิ้มหน่อยสิคุณ ทำหน้าเหมือนถูกบังคับให้มา” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วคิดถึงทุ่งดอกลาเวนเดอร์เอาไว้
    ก่อนจะฉีกยิ้มออกมาอย่างสดใส ด้วยจิตใจที่ปลอมเปลือก

    ถ่ายรูปเสร็จ ก็ถือเป็นการเสร็จสิ้นภารกิจในวันนี้
    ผมเดินกลับมาที่รถ โดยที่เดินนำหน้านายนั่นอยู่ ระหว่างทางเขาก็เรียกผมด้วยคำเดิมๆ
    “คุณ คุณณณณ”

    ผมหันกลับไปมอง พร้อมกำลังจะด่าว่าเสียงดังทำไม
    แต่นายเพชรดันเอาหน้าเข้ามาใกล้ผม แล้วยกโทรศัพท์ของเขาขึ้นมาถ่ายเซลฟี่
    เขากดชัตเตอร์เร็วมาก ถ่ายได้ 2-3 รูป เห็นจะได้ ทำไมนายนี่ชอบถ่ายรูป แบบไม่ให้ผมได้ตั้งตัว
    ว่าแล้วผมก็พยายามจะยื้อโทรศัพท์จากมือเขากลับมาลบรูปอีกครั้ง ครั้งที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้

    แต่อย่างที่บอกครับ นายนั่นเป็นพวกมือไว
    เขาเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง แล้ววิ่งหนีผมนำไปที่รถเรียบร้อย

    “เฮ้อ” ผมถอนหายใจกับตัวเองแล้วเดินตามนายเพชร
    รู้สึกเอือมระอาอย่างบอกไม่ถูก

    “แน่จริงก็ตามให้ทันสิคุณณณ” เขายังมีหน้าหันกลับมาท้าให้ผมวิ่งตามอีก

    กูไม่แน่จริงเว้ย!

    ผมได้แต่เดินช้าๆ มองไอ้คนขายาว ที่วิ่งนำหน้าผมไปอย่างร่าเริง ไม่รู้นายนั่นคิดอะไร โตๆ กันแล้ว เล่นเป็นเด็กไปได้


    **To Be Continued**

    น้องเพชรมันร้าย มือไวแถมยังแอบเนียน
    พาหนูวีรินทร์มาทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขันโดยไม่รู้ตัว
    ส่วนหงส์ เอ้ยวีรินทร์ของเรา ก็เฉลยมาแล้วว่าทำไมไม่ชอบให้ใครเรียกชื่อเล่น
    เพราะได้รับตำแหน่งที่หนึ่งในใจพี่ภัทรนี่เอง
    แล้วเวลาอยู่กับนายเพชรเนี่ย ทำโวยวายไปงั้นรึเปล่า
    เดี๋ยวจะแพ้ทางคนกวนตีนโดยไม่รู้ตัว


    « แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-12-2017 10:22:36 โดย bliss diary »

    ออฟไลน์ bliss diary

    • เป็ดประถม
    • *
    • กระทู้: 62
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
    THE SWAN
    เก๋ เริ่ด เชิด หงส์ 6
    Jeep


    14:52

    ณ ร้านกาแฟริมแม่น้ำเจ้าพระยา

    หลังจากที่หยิบ MacBook ขึ้นมาวางบนโต๊ะได้ครู่หนึ่ง ผมก็มองสำรวจบรรยากาศโดยรอบ ก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจกับเจ้าหน้าจอขนาด 13” แล้วเปิดโปรแกรม Keynote เพื่อเตรียมที่จะทำพรีเซ้นต์

    ผมหยิบชาเขียวเย็นแก้วใหญ่ที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมาดูดเรียกพลัง ก่อนจะวางมันกลับลงไปที่เดิม แล้วเงยหน้าขึ้นมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าก้มตาจดจ่อกับจอโทรศัพท์เครื่องสี่เหลี่ยมสีดำด้าน

    หัวคิ้วหนาสีดำเข้มของเขาผูกเข้าหากันอย่างคนใช้สมาธิ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าสิ่งที่เขากำลังสนใจคืองานที่จะพรีเซ้นต์
    ไม่ใช่...
    ‘ROV’
    นายเพชรกำลังติดเกมส์อย่างหนักครับ

    แต่การที่ผมกำลังมองคนฝั่งตรงข้าม มันก็ไม่ได้แปลว่าผมสนใจอะไรในตัวนายนั่นหรอกนะครับ เพราะตั้งแต่นั่งอยู่ตรงนี้กันมาประมาณครึ่งชั่วโมง ผมก็เพิ่งเงยหน้ามองเขาก็ตอนนี้แหละ และนั่นทำให้ผมสังเกตเห็นการแต่งตัวของเขาที่แปลกออกไป
    นายเพชรสวมเสื้อเชิ๊ตสีฟ้าลายใบไม้ กางเกงขาสั้นสีขาว รองเท้าหนังมีพู่สีน้ำตาล
    ลุคนี้ทำให้เข้าดูสบายตาเหมือนกันแฮะ
    ผมพอจะดูออกว่าเขาใส่แบรนด์อะไรตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ผมขี้เกียจบรรยาย

    อืม...ผมให้ความสนใจกับคนตรงหน้ามากเกินไปแล้ว
    รู้สึกว่าก็ไม่ได้จรรโลงใจสักเท่าไหร่
    เลยชะเง้อมองหาไอ้ตัวต้นเหตุ ที่ทำให้ผมกับนายเพชรต้องมานั่งกันอยู่ตรงนี้

    ไอ้มิว!!

    ผู้เป็นเจ้าของไอเดียในการชวนกึ่งบังคงให้ผมมานั่งทำงานที่ร้านกาแฟริมน้ำ ด้วยเหตุผลที่ว่า บรรยากาศดีๆ จะช่วยให้สมองปลอดโปร่งคิดงานได้ดีขึ้น

    แหม...งานที่อาจารย์สั่งก็ไม่ได้ยากเย็นซะหน่อย คิดในส้วมยังคิดออกเลยเหอะ แต่ก็เอาเถอะครับ รำคาญที่มันคะยั้นคะยอนักหนา เลยยอมมา ไอ้มิวนัดผมเป็นดิบเป็นดีในเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง ส่งโลเคชั่นมาให้เรียบร้อย
    แถมมันยังบังคับให้ผมลากไอ้สมาชิกในกลุ่มมาด้วย

    นายเพชรที่งอแงผ่านทางไลน์อยากจะนัดผมออกมาทำงานข้างนอกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอรู้ว่ามีเพื่อนผมชวนออกมา เลยยิ่งรีบตกปากรับคำในทันที
    .
    .
    ลำพังตัวผม คงไม่คิดพิศวาสโทรชวนนายเพชรออกมานั่งบื้อทื่ออยู่ตรงนี้แน่นอน


    แต่ตอนนี้จะบ่ายสามแล้ว ก็ยังไม่เห็นทีท่าว่าไอ้มิวจะปรากฏตัว

    “คุณณณ” แล้วคนฝั่งตรงข้ามก็เรียกขึ้นในขณะที่ผมกำลังกดโทรหาไอ้มิวอีกครั้ง

    “ฮะ” ผมตอบรับ

    “เริ่มทำงานกันเลยมั้ย” เขาพูดพร้อมกับวางมือถือของตัวเองลงบนโต๊ะ

    “เล่นเกมส์เสร็จแล้วว่างั้น” ผมมองที่โทรศัพท์ของเขา มันถูกล็อคหน้าจอเรียบร้อย

    “ผมพร้อมนานแล้วเหอะ รอแต่เพื่อนของคุณอะแหละ”

    “เออ โทรไปก็ไม่รับ” ผมตัดสายไอ้มิวแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องรอละ เริ่มเลยก็ได้”

    หลังจากนั้นผมกับนายนั่นก็เปลี่ยนมาคุยเรื่องงาน บรรยากาศดูจริงจังครับ เหมือนกำลังสอนเทรดหุ้นอะไรอย่างงั้น...เขาส่งภาพจากกล้องเข้ามาที่คอมให้ผมเลือกรูป แล้วก็ช่วยกันเขียนข้อมูลที่น่าสนใจที่จะเอาไปนำเสนอ


    15:34

    กริ๊ง

    เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นเบี่ยนเบนความสนใจ ผมยกมันขึ้นมารับสายทันที

    “มิว มึงอยู่ไหนแล้ววะ”

    “ถึงละเนี่ย แม่งรถโคตรติด”

    “เลทสัส มึงเข้ามาในร้านเลยนะ กูรออยู่เป็นชั่วโมงละ”

    “มึงนั่งอยู่ตรงไหนวะ”

    “ตรงกระจกวิวแม่น้ำอ่ะ...มึงเป็นคนบอกให้นั่งนี่ไม่ใช่รึไง”

    “เออ กูลืม เดี๋ยวกูเข้าไปละ เจอกันเว่ย”

    ไม่นานไอ้มิวก็มาถึง มันชะเง้อมองหาผมอยู่หน้าร้าน ก่อนจะเดินตรงเข้ามาแล้ววางสัมภาระลงบนเก้าอี้ข้างผม
    ไอ้มิวส่งยิ้มหวานมาให้เป็นการทักทาย พร้อมกับหันไปมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

    นายเพชรดูจะไม่ได้สนใจการมาถึงของไอ้มิวเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่รับรู้เลยด้วยซ้ำ เขาจดจ่อกับหน้าจอคอมแล้วก็ทำหน้าเครียด

    ...นั่นทำให้ผมเริ่มจับสังเกตได้ว่า ถ้านายเพชรมีสมาธิกับอะไรมากๆ
    เขาจะไม่สนใจสิ่งอื่นรอบข้างเลย



    พอเห็นว่าคนตรงข้ามไม่ได้สนใจอะไรเลย ไอ้มิวมันเลยลากแขนผมมาที่เค้าน์เตอร์  เพื่อสั่งเครื่องดื่ม ระหว่างที่ยืนรอคิวมันก็ชวนคุยตามประสาคนพูดมาก

    “หล่อดีนะ” พูดกับผมแต่มองไปยังอีกคนที่นั่งอยู่โต๊ะ

    “กูอะนะ” กวนตีนมันไปงั้น รู้แหละว่ามันจะชมใคร

    “กูหมายถึงไอ้เด็กแว๊นช์ของมึงเว่ย...แต่วันนี้แม่งก็ไม่ได้แต่งตัวดูแว๊นซ์นะ”

    “เหรอ” ผมยืนกอดอกหน้านิ่ง แล้วมองไอ้มิวที่กำลังจะพูดเพ้อเจ้อต่อ

    “ดูๆ ไป ก็แต่งตัวหรูหรา สมฐานะมึงนะวีรินทร์
    ...ในห้องกูเห็นไกลๆ เพิ่งจะได้เห็นใกล้ๆ ก็วันนี้
    ...กูไม่แปลกใจละ ที่มึงยอมให้แม่งขึ้นห้อง” นั่นไง เพ้อเจ้อแบบที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด

    “พูดเชี่ยไรวะมิว” ผมด่ามันพร้อมกับหยิกแขนมันไปทีนึง

    “กูไม่แซวก็ได้ แหม แหม ทำเขินนะครัช”

    “เขินบ้าอะไร มึงเลิกพูดมากดิ๊” พูดจบผมก็ผลักหลังไอ้มิวที่ยิ้มร้าย ให้เข้าไปสั่งเครื่องดื่ม ส่วนผมก็ถอยออกมารอด้านข้าง

    พอได้เครื่องดื่มที่สั่งไว้ ประกอบด้วย คาปูชิโน่เย็นหนึ่งแก้วใหญ่และจานขนมอีกประมาณ 3-4 อย่าง ผมก็เดินนำไอ้มิวกลับมาที่โต๊ะ
    ถือของกินกันเต็มมือขนาดนี้ก็ไม่รู้ว่ามันไปหิวโหยมาจากไหน
    มาถึงที่โต๊ะพากันวางจานขนมเสียงดัง รอบนี้นายเพชรเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้มิว
     
    “สวัสดีครับ” คนที่นั่งอยู่ก่อนกล่าวทักทายคนมาใหม่

    นายนั่นส่งยิ้มให้มิวอีกครั้ง พร้อมกับที่ไอ้มิวตอบรับ “ดีครับ เรามิวนะ”

    “เราเพชรครับ” 
    มีมารยาทก็เป็นแฮะ แล้วทำไมทีกับผมถึงได้ถ่อยจังวะ!

    “ดี รู้จักกันละเนอะ” ผมพูดแทรกพร้อมเบะปากแล้วนั่งลง สองคนนั้นพยักหน้ารับ

    “แล้วคู่ของมิวล่ะ” นายเพชรเป็นฝ่ายถาม

    “ของเราแยกกันทำอ่า แบ่งงานกัน แล้วก็ส่งสไลด์ใน Google Drive อ่ะ”

    คำตอบของไอ้มิว ก็ทำให้ผมสะบัดปลายจมูก เงยหน้าขึ้นมองมันทันที
    “อ้าว คู่มึงแยกกันทำ แล้วทำไมมึงให้กูชวนคู่กูมาวะ”
    ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ตอนแรกนึกว่ามันจะพาคู่ของมันมาด้วย

    “ก็...
    ...ก็ กูอยากรู้จักเพชร” ไอ้มิวพูดตอบแล้วขยิบตาให้ผมทีนึง

    ผมทำหน้ายักษ์ใส่มันพร้อมกับเบะปากอีกครั้ง “เหอะ”

    กูรู้หรอกนะว่ามึงอยากจะมาทำอะไร!
    “มาๆ มากินขนมกับกูดีกว่า”

    ไอ้มิวยิ้มกว้างแล้วนั่งลงข้างผม ก่อนจะแจกจ่ายขนมให้ผมกับนายเพชร แต่ก็ไม่มีใครสนใจกินกับมันหรอกครับ ปล่อยให้มันแดกไปอย่างเงียบๆ ระหว่างนั้นผมกับนายนั่นก็ทำงานกันต่อ



    พักใหญ่เลยกว่าไอ้มิวมันจะกินเสร็จ
    พอกินอิ่มเท่านั้น มันก็หยิบโทรศัพท์ที่เสียบสายชาร์จกับพาวเวอแบงก์ขึ้นมา
    แล้วกดหน้าจอเข้าเกมส์เกมส์นึงที่ทำให้นายเพชรฝั่งตรงข้ามหูตั้งทันที
    ...สุดท้ายไอ้สองคนนั้นมันก็ย้ายไปนั่งข้างกัน แล้วก็ชวนกันเข้าทีม

    ดี!!!!!



    ครึ่งชั่วโมงที่สองคนนั้นหายเข้าไปในโลกของสงคราม ผมได้โอกาสเสียบหูฟังแล้วฟังเพลงไปด้วยระหว่างทำงาน
    รู้สึกเพลินกว่าเยอะ พอนายเพชรกลับมา ผมก็ทำงานจนจวนจะเสร็จแล้ว

    “คุณสุดยอดอ่า ใกล้เสร็จแล้ว” คนตรงข้ามที่เดินมานั่งข้างผมพูดขึ้นพร้อมกับถอดหูฟังผมออก

    “เออดิ” ผมพูดตอบไปอย่างไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาทำ แล้วเพ่งหน้าจอแต่งสไลด์ต่อ
    พอได้อยู่ในโลกของการตกแต่ง Presentation แล้ว มันก็เพลินดีเหมือนกัน

    “มาเดี๋ยวผมทำต่อให้คุณจะได้พัก” ว่าแล้วนายนั่นก็ดึงคอมผมไปไว้หน้าตัวเองเฉย

    “มาทำต่อให้กูบ้างดิ กูจะได้พัก”

    ผมกำลังอ้าปากด่าไอ้มิว แต่ดันมีคนแย่งพูดซะก่อน
    “ไว้กูทำของกลุ่มกูเสร็จ เดี๋ยวช่วยมึงทำ” นายเพชรเป็นคนตอบ

    “มึงเยี่ยมมากเพชรเพื่อนรัก”

    เดี๋ยวนะ กูงง!! (รอบที่เท่าไหร่ของวันแล้ว) ครึ่งชั่วโมงที่หายไปเล่นเกมส์ กลับมาอีกทีสรรพนามเปลี่ยน แถมยังกลายเป็นเพื่อนรักกันเลยหรอวะ



    ระหว่างที่ผมกำลังนั่งมองสองคนนั้นคุยกันด้วยความงง นายเพชรก็อาศัยจังหวะนี้ถือวิสาสะหยิบหูฟังอีกข้างของผมที่เขาเพิ่งถอดออกเมื่อกี้ ไปเสียบใส่หูตัวเอง แถมยังขยับตัวเข้ามานั่งใกล้ๆ ผมอีกด้วย

    ผมหันไปค้อนใส่แต่แม่งก็ทำเนียน ไม่รู้ไม่ชี้
    ทำเป็นหยิบกาแฟขึ้นมาดูด แล้วย่นคิ้วโฟกัสที่จอคอม!!

    พอเหลือบมองอีกทางนึง ไอ้ฝั่งตรงข้ามก็ทำท่าเปิดคอมแต่มันทำลอยหน้าลอยตาส่งสีหน้ายิ้มล้อแบบไม่สบตาผม
    เอาที่พวกท่านสบายใจ

    นั่งอยู่ใครอยู่มันได้ไม่นาน นายเพชรก็สะกิดไหล่ผมที่กำลังนั่งมองวิวแม่น้ำอยู่
    ผมหันไปมองเขา ก่อนที่คนด้านข้างจะเลื่อนคอมมาวางตรงหน้าผมแล้วชี้ที่จอ

    ‘คุณ..
    ฟังเพลงนี้ดิ่’

    พออ่านข้อความบนจอในใจเสร็จ นายเพชรก็กดเปลี่ยนเพลง
    ผมเอาศอกวางบนโต๊ะแล้วเอามือท้าวคาง พร้อมกับเลื่อนสายตากลับไปมองวิวแม่น้ำต่อ



    ...อยากรู้จัก อยากให้เธอรู้จัก อยากเป็นคนรักเธอ อยากให้เธอได้หันมอง
    แบบว่าฉันคนธรรมดา ไม่่ใจร้าย ถ้าลองได้คบจะดูแลเธออย่างดี

    ความรู้สึก เธอคือคนพิเศษ อยากให้ลองรักดู อยากให้รู้ว่ารักเป็น
    ก็เลยร้องมาเป็นทำนอง ชา ดี ดา ถ้าได้เป็นแฟนจะดูแลเธออย่างดี

    เพราะคิดว่ารักเธอหมดตัว เธอคงต้องใจอ่อน ถ้างั้นฉันถามเธอสักครั้ง

    ขยับเข้ามาได้ไหม ขยับมาใกล้กัน ขยับความสัมพันธ์
    มารักกับฉันนะเธอ

    ลองคบลองดูกันไหม เขย่าให้หัวใจ เต้นตรงกัน
    เธอจะมีแต่ความสุข เธอจะมีแต่ฉัน ที่รัก เธอ...



    ผมพอจะรู้ว่าคนด้านข้าง นั่งมองผมตั้งแต่เพลงเริ่ม ส่วนผมก็ไม่ได้สนใจเขามาก มองวิวอะไรไปเรื่อย
    เพลงที่นายเพชรเปิดก็เพราะดีครับ ชิลดีเข้ากับบรรยากาศ

    โชคดีที่ไอ้มิวกำลังโฟกัสอยู่กับงานของมัน เลยไม่ได้สนใจพวกเรามากนัก
    ไม่งั้นละก็....

    ตอนนี้เพลงจบแล้ว แต่นายนั่นยังมองผมไม่จบ ผมเหลือบมองเขานิดหน่อย แล้วพิมพ์ข้อความลงไปบนจอคอม

    ‘มองอยู่นั่น...
    ทำงานต่อดิ๊!’

    ผมสะกิดให้นายนั่นมองจอ แล้วเลื่อนคอมกลับไปตั้งตรงหน้าเขา นายเพชรยิ้มบ้าอะไรไม่หยุด ไม่หย่อน
    เสียสติ

    เห็นแบบนั้นผมเลยถอดหูฟังออก แล้วหยิบโทรศัพท์ก่อนจะลุกขึ้น กะว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แล้วเดินไปสูดอากาศข้างนอกซะหน่อย
    เขามองมาที่ผมทันทีแล้วเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม ผมชี้มือไปทางแม่น้ำเป็นการบอกเขา



    “ขยับเข้ามาได้ไหม ขยับมาใกล้กัน ขยับความสัมพันธ์มารักกับฉันนะเธอ”

    “เพลงไรวะ ติดหูจัง” ผมบ่นกับตัวเองหลังจากที่ยืนฮัมเพลงอยู่ริมน้ำมาสักพัก
    ลมเย็นๆ กับวิวสวยๆ ตอนพระอาทิตย์ใกล้จะตกแบบนี้ก็รู้สึกดีไปอีกแบบ

    ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปอัพ IG Story ซะหน่อย มือขวากดชัตเตอร์ถ่ายภาพวิวแม่น้ำแล้วก็พิมพ์แคปชั่นสั้นๆ
    แล้วผมก็เปลี่ยนใจ ลบภาพนั้นออก ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปมองร้านกาแฟ

    ถ่ายรูปวิวร้านกาแฟ ที่มีคนเสื้อฟ้านั่งอยู่ติดกระจก แล้วใส่แคปชั่น
    พร้อมกับกดอัพลง IG ปกติแทน

    ‘ขยับเข้ามาได้ไหม ขยับมาใกล้กัน’



    วันจันทร์ - 11:45

    กลุ่มของผมได้นำเสนองานเป็นกลุ่มสุดท้าย ตอนนี้ผมกับนายเพชรยืนถือไมค์กันคนละตัวอยู่หน้าห้อง เราตกลงกันว่าผมจะเป็นคนพูดเปิดแล้วก็นำเสนอในส่วนแรก ส่วนนายเพชรจะนำเสนอในส่วนหลังไปจนถึงพูดปิด

    “กลุ่มของเราคือกลุ่มหงส์ครับ...
    …เราสองคนจึงเลือกที่จะไปเที่ยวที่วัด
    ที่มีชื่อว่า วัดหงส์รัตนาราม” ระหว่างที่ผมพูด นายนั่นก็ช่วยกดสไลด์ให้เรื่อยๆ

    “ในส่วนของผมนะครับ จะเล่าถึงความเป็นมาของวัดนี้ครับ”
    ทันทีที่ผมพูดจบ คนด้านข้างก็พูดต่อ และทันทีที่เขาเริ่มพูด
    เสียงทุ้มๆนั้นก็เรียกสายตาของเพื่อนในห้อง ให้มองมาหน้าห้องได้อย่างไม่น่าเชื่อ
    .
    .
    “สุดท้ายนี้ ก็เป็นภาพบรรยากาศที่ผมเก็บมาฝากทุกคนนะครับ”

    เหมือนกับว่าเมื่อวาน เราจะไม่ได้ทำสไลด์ในส่วนนี้กัน แล้วทำไมจู่ๆ ถึงมีส่วนของภาพบรรยากาศเพิ่มเข้ามาวะ??
    จะเพิ่มอะไร ทำไมไม่บอกกันเลย!!

    ทันที่นายเพชรกดสไลด์โชว์ภาพขึ้นมา ผมก็เบิกตากว้าง แล้วตกใจในระดับนึง ภาพผมที่ถูกแอบถ่ายจากด้านหลัง ตั้งแต่ตอนเดินเข้าวัด
    ตอนไปนั่งสมาธิ
    ตอนไปที่บ่อน้ำมนต์
    จนถึงตอนสุดท้ายที่เดินออกมา

    คนด้านข้างพูดบรรยายภาพผมไปเรื่อยๆ และดูเหมือนคนในห้องจะชอบเสียด้วย
    เป็นอย่างนั้นก็ดีแล้วครับ หวังว่ามันคงไม่มีอะไรเซอร์ไพร้ส์
    ผมยิ้มกว้างให้เพื่อนในห้องที่ฮือฮากับรูปถ่าย แล้วแอบหันไปมองจิกนายนั่น

    “เอาล่ะครับ มาถึงภาพสุดท้ายของกลุ่มเรานะครับ”

    เขาพูดกับอาจารย์และเพื่อนในห้อง ก่อนจะหันมามองผม
    ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หวังว่ามันจะไม่มีอะไรที่ทำให้ต้องขายหน้า
    นายเพชรกดเลื่อนสไลด์ถัดมา โชว์ภาพบนหน้าจอ

    “...เพราะหงส์มันต้องอยู่เป็นคู่” เขาพูดออกไมค์ แต่ตามองมาทางผม

    ภาพที่เขายกกล้องโทรศัพท์ขึ้นมาเซลฟี่ ขณะกำลังเดินออกจากวัด
    ผมเพิ่งได้เห็นภาพนี้เป็นครั้งแรก หน้าของผมกับเขาใกล้กันมาก
    คนด้านข้างยิ้มกวน ส่วนผมกำลังทำหน้าเหวอ

    เสียงกรี้ด ฮือฮา ดังทั่วห้อง แหงสิครับ รูปมันดูซะขนาดนั้น

    “ขอบคุณมากครับ”
    แล้วนายเพชรก็พูดปิดการนำเสนอ พร้อมกับจูงแขนผมที่ยืนนิ่งอยู่บนเวทีลงมา
    หลังจากนำเสนอเสร็จ ผมก็ถือกระเป๋า สะบัดตูดออกจากห้องทันที
    .
    .
    .
    .
    .
    .

    20:12

    และแน่นอน ตกเย็นภาพคู่ที่อยู่บนสไลด์ก็ถูกคนในห้องถ่ายไป แล้วส่งให้เพจ

    ‘ชี้เป้าคนหล่อในมหา’ลัย’
    ด้วยแคปชั่นที่ว่า ‘มันชักจะมีอะไรในกอไผ่’
    วีรินทร์ BBA ปี 3 , เพชร วิศวะ ปี 3

    ทันทีที่ผมเห็นภาพ ไอ้มิวก็โทรเข้ามาราวกับรู้ หึ!

    “มึงเห็นรูปในเพจรึยังจ๊ะคนสวย”เสียงกวนตีนพูดส่งมา

    “เห็นแล้วสัส ฝีมือมึงใช่มั้ย” ผมพูดถามเสียงแข็ง

    “อะไร๊ กูไม่รู้เรื่อง....”

    “เชี่ยมิว มึงแม่ง”

    “กูอะรายยยยยยครับ ว่ามาซิ”

    “กูรู้นะ ว่ามึงแอบไปสนิทกับเพชร”

    “หื้มมม เดี๋ยวนี้เรียกชื่อด้วยเว้ย เอาเว้ยเพื่อนกู”

    “กูยังเป็นเพื่อนมึงอยู่หรอสัส กูนึกว่ามึงกลายเป็นเพื่อนแม่งไปแล้ว”

    “โถถ ทำน้อยใจกูไปได้เพื่อน กูแค่จะโทรมาแซวมึงน่ะ”

    “เพ้อเจ้อมึงอ่ะ ทิ้งให้กูมาเรียนมวยคนเดียว แล้วยังปากดี แค่นี้นะกูจะไปต่อยมวย”

    ผมกดวางสายของไอ้มิวแล้วไปวิ่งวอร์มร่างกาย ปกติผมต้องมาเรียนกับไอ้มิวถูกมั้ยครับ แต่พักหลังมันชักเหลวไหล ไม่ยอมมาเรียน ปล่อยให้ผมมาคนเดียว

    หนึ่งชั่วโมงของคลาสยาวไปจนแทบจะไม่พัก ก็ผมโมโหที่นายเพชรดูเหมือนจะจงใจแกล้งผม แถมยังมีภาพที่ถูกโพลต์ลงเพจนั่นอีก ผมเลยระบายอารมณ์ออกมาด้วยการจัดเต็มในคลาสมวยไปเลย จนครูฝึกถึงกับถามผมในตอนเลิกคลาสว่า

    “วันนี้ไปโกรธอะไรมาเนี่ย”

    “โกรธไอ้บ้านั่น” ผมพูดตอบครูแล้วชี้ไปยังไอ้คนที่กำลังเรียนอยู่อีกคลาส

    “มันทำไรให้ล่ะ จีบเรารึ”

    “บ้าหรอครับครู” ผมสะบัดหน้ามองครูหน้ายุ่ง แล้วทำท่างอนเหมือนเด็ก พอสนิทกับครูแล้ว อะไรๆ มันก็ชิลครับ

    “ล้อเล่นน่า แต่ทำไมทำหน้าจริงจังขนาดนั้น...เอ๊ะ หรือว่าเขาจีบลูกศิษย์ครูจริงๆ”

    “ถ้าครูยังไม่เลิก ครั้งหน้าผมจะเปลี่ยนคนสอนนะครับ” ผมขู่กลับบ้าง

    “เห้ยๆ ไม่ได้นะ โหดเว้ยไอ้เด็กคนนี้ ครูไม่กวนละ ไว้เจอกันครั้งหน้า”

    “สวัสดีครับครู” ผมยกมือขึ้นไหว้ ส่วนครูก็ตบไหล่ผมปุๆ

    สายตาผมหันกลับมามองไอ้คนที่เรียนเบสิคมวยไทยอีกครั้ง
    ดูแล้วสกิลต่อยมวยของนายนั่นยังห่างกับผมมาก
    เซ็งเว้ย จะเจอกันอะไรทั้งวี่ทั้งวัน! ว่าแล้วผมก็สะบัดหน้าหนี แล้วเดินไปที่ห้องอาบน้ำ



    วันนี้ผมอาบน้ำไม่นานเพราะอยากรีบกลับ ไม่อยากจะอยู่นี่นานเท่าไหร่ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็รีบเดินมาที่ลานจอดรถเพื่อขึ้นรถจะขับกลับคอนโด แต่พอเห็นรถสีขาวที่จอดอยู่ข้างบีเอ็มดับบลิวคันสีแดง ก็รู้สึกหงุดหงิดในใจขึ้นมามากกว่าเดิม รถของพี่ภัทร แฟนเก่าผมที่เพิ่งมาโวยวายเมื่อไม่กี่วันยังไงล่ะครับ  เดินยังไม่ทันจะถึงรถ คนที่นั่งอยู่ในรถสีขาวก็เปิดประตูแล้วเดินตรงเข้ามาหาผม

    “อะไรอีกครับ” ผมว่าไปอย่างหงุดหงิด

    “พี่จะมาขอคืนดีกับหงส์” พูดจบเขาก็เดินเข้ามาจับแขนผม

    ก็อารมณ์ไม่ค่อยดีมาทั้งวันแล้ว กะจะมาต่อยมวยให้หายหงุดหงิดซะหน่อย
    แต่ดันมาเจออะไรแบบนี้เข้า ผมก็เบรคแตกเหมือนกัน

    “พี่แม่งพูดไม่รู้เรื่องว่ะ” ผมพยายามสะบัดมือของพี่ภัทรออก

    แต่ยังไม่ทันจะได้ออกแรง พี่ภัทรก็ปลิวออกจากตัวผม
    ด้วยแรงผลักของคนที่มาใหม่

    ‘นายเพชร’

    “เห้ย อะไรของมึงวะ” พี่ภัทรพุ่งเข้าใส่นายนั่นทันทีที่ตั้งหลักได้

    “แล้วมึงอะไร” นายเพชรนั่นก็ไม่ยอม กระชากคอเสื้อพี่ภัทรเต็มกำมือ
    แล้วสองคนนั้นก็ซัดกัน

    ไม่สิ ต้องเรียกว่านายเพชรกำลังโดนพี่ภัทรซัดเข้าให้ ผมยืนกุมขมับ แล้วถอนหายใจกับภาพตรงหน้า
    พร้อมกับถามตัวเองว่า ‘แล้วพวกมึงสองคนนี้อะไร’

    แต่ก่อนที่จะมีใครซักคนตาย ผมเลยต้องเข้าไปช่วยนายเพชรก่อน ผมทิ้งสัมภาระลงพื้นแล้วกระโดดเข้าไปห้าม
    “เห้ย พี่ภัทรหยุด” พูดแล้วไม่ยอมหยุด เลยต้องออกแรง ดึงตัวพี่ภัทรออกมา
    แล้วศอกใส่ไปทีนึงให้ได้สติ

    พี่ภัทรกุมท้องตัวเอง แล้วขยับไปยืนพิงรถ ส่วนนายเพชรนอนกุมหน้าอยู่ที่พื้น

    “พี่ภัทรกลับไปเถอะครับ แค่นี้ก็วุ่นวายมากพอแล้ว” ผมพูดไล่ ก่อนจะเดินไปประคองนายเพชรให้ลุกขึ้น “เป็นไงบ้างคุณ”

    ผมประคองนายนั่นขึ้นไปนั่งบนรถ แล้วเดินกลับมาหยิบสัมภาระที่โยนทิ้งไว้เมื่อกี้แล้วใช้ผ้าเช็ดตัวซับเลือดให้เขาไปก่อน
    ระหว่างนั้นพี่ภัทรก็ขับรถออกไปอย่างเร็ว ผมมองตามแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว

    แล้วหันกลับมาจ้องหน้านายเพชร พร้อมกับชี้นิ้วอย่างคาดโทษ เอาเถอะเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาต่อว่าใคร ผมต้องรีบขับรถพาเขาไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด



    ระหว่างที่นายเพชรเข้าไปทำแผล ผมก็โทรหาไอ้มิวเล่าเรื่องให้มันฟัง แล้วก็บอกให้มันไปจัดการพี่ภัทรให้ผมด้วย ก็ไม่รู้ว่ามันจะจัดการยังไงหรอกครับ บอกไปงั้น

    ครู่ใหญ่...นายเพชรก็เดินออกมาในสภาพสะบักสะบอม มีผ้าก๊อซแปะบนใบหน้า
    เห็นละหงุดหงิดไม่หาย

    เขาเดินเข้ามานั่งข้างผม ในระหว่างนั่งรอรับยาก็ไม่มีใครพูดอะไรกัน
    จนสุดท้ายนายนั่นก็เป็นคนพูดขึ้นมาก่อน

    “คุณชื่อเล่นว่าหงส์หรอ” ผมเหลือบมองคนด้านข้างหน้านิ่ง เจ้าของใบหน้าที่แสนจะสะบักสะบอมส่งยิ้มมาให้

    “ใช่เวลาเล่นป่ะ” ผมพูดเสียงนิ่งใส่ คนด้านข้างหุบยิ้มแล้วหลุบตามองพื้น “ทำไมต้องพุ่งตัวเข้ามายุ่ง”
    ถ้านายเพชรไม่เข้ามา เราสองคนก็คงไม่ต้องหอบกันมาโรงพยาบาล

    “ ก็ไอ้นั่นมันรังแกคุณ” เขาพูดตอบเสียงนิ่ง

    “แล้วเป็นไง สู้เค้าได้มั้ยล่ะ......ไม่เป็นมวย แล้วยังไปหาเรื่องชาวบ้าน”
    ผมนั่งจ้องนายนั่นราวกับกำลังพิพากษาความผิด ลำพังตัวผม ทำไมผมจะเอาตัวรอดจากพี่ภัทรไม่ได้
    นี่ดันพาคนอื่นมาซวยด้วย เฮ้อ

    พ่อฮีโร่หน้าแหก!!

    คนที่ถูกจ้องอยู่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยแววตาเศร้า

    “ไม่เอาแบบนี้แล้วนะเว่ย เพชร!!”

    ผมพูดจริงจัง

    แต่ทันทีที่พูดจบ นายนั่นกลับยิ้มกว้างออกมา แววตาเศร้าเมื่อครู่ มีประกายวิบวับ
    ผมพูดอะไรผิดไปตรงไหนวะ!

    “คุณว่ายังไงนะ” เขายิ้ม ทั้งที่กำลังเจ็บตัว และกำลังโดนผมด่านะเว่ย

    “ไม่เอาแบบนี้แล้วนะเพชร” ผมพูดบอกอีกครั้งด้วยเสียงที่แข็งขึ้น แล้วนั่นก็ทำให้เขายิ้มกว้างออกมากว่าเดิม

    “อยากให้คุณเรียกผมแบบนี้บ่อยๆ ว่ะ”

    “ฮะ” คำพูดของเขาทำให้ผมไม่ค่อยเข้าใจ


    “คุณ…
    …ผมจีบคุณนะ”



    นิ่ง

    คำพูดของเขาทำให้ผมนิ่ง
    นิ่งอยู่นาน จนเจ้าของดวงตาดำแต่ช้ำเพราะโดนต่อยขยับเข้าใกล้มากๆ แต่ผมกลับไม่ขยับหนีไปไหน

    เขามองจ้องมาที่ผม มันดูจริงจัง จนทำให้ผมไม่กล้าคิดว่า เขากำลังพูดเล่นอยู่รึเปล่า
    ผมไม่มั่นใจว่าตัวเองควรแสดงท่าทียังไง


    ท้องไส้ผมปั่นป่วน
    แต่ก็อย่างว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนมาพูดอะไรแบบนี้

    ผมเลยเรียกสติได้เร็วหน่อย คิดได้ปุ๊ปก็เสยผมตัวเองแก้เขินปั๊บ

    จะเรียกว่าเขินก็ไม่ใช่ป่ะวะ แค่ทำตัวไม่ถูก

    เรียกว่าอึ้ง ละกัน


    “ผมอยากได้ยินคุณเรียกผมว่าเพชรบ่อยๆ” เขาพูดประโยคนี้ออกมาอีกรอบ

    แต่มันก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับการจะจีบอยู่ดี
    เอาเถอะ เลิกอึ้ง


    ผมคว้ากระเป๋ามาสะพายไว้บนไหล่แล้วลุกเดินออกมา
    พร้อมกับเสยผมตัวเองเรียกความมั่นใจอีกรอบ

    ได้ยินเสียงนายเพชรรีบวิ่งตามมา
    แต่ก็นั่นแหละครับ
    ผมเลือกที่จะไม่หันกลับไปสนใจเขาเหมือนทุกครั้ง


    **To Be Continued**

    เอาแล้ว พ่อพระเอกของเรา ฮีโร่เว้ยงานนี้ แต่ฮีโร่หน้าแหก
    ไม่เป็นมวยแต่ดั๊นเข้าไปช่วยเค้า 55555 ทั้งสงสารทั้งเอ็นดู
    ออกตัวแรงซะขนาดนี้ วีรินทร์จะต้านอยู่มั้ยลูก เอ๊ะ หรือหนูแอบมีใจให้เพชรไปแล้วน๊าา

    ><
    « แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-12-2017 10:54:50 โดย bliss diary »

    ออฟไลน์ เปลว แว๊บแว๊บ

    • เป็ดมัธยม
    • *
    • กระทู้: 113
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
    ฮืออออ น่ารักมาเลยค่ะ รอตอนต่อไปนะ สนุกมากๆๆๆๆ

    ออฟไลน์ sirin_chadada

    • เป็ดAphrodite
    • *
    • กระทู้: 4110
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
    ที่จริงก็หวั่นไหวอยู่ลึก ๆ (แบบลึกมากกก) สินะหงส์ ฮา

    ออฟไลน์ bliss diary

    • เป็ดประถม
    • *
    • กระทู้: 62
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
    ฮืออออ น่ารักมาเลยค่ะ รอตอนต่อไปนะ สนุกมากๆๆๆๆ


    เย้ๆๆ ขอบคุณที่ติดตามนะค้าบบ  :impress2:

    CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

    ประกาศที่สำคัญ


    ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
    https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



    รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
    https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



    สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
    https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






    ออฟไลน์ เจเจจัง

    • เป็ดมัธยม
    • *
    • กระทู้: 185
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
    พระเอกน่ารัก ชอบอ่ะ

    ออฟไลน์ bliss diary

    • เป็ดประถม
    • *
    • กระทู้: 62
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
    ที่จริงก็หวั่นไหวอยู่ลึก ๆ (แบบลึกมากกก) สินะหงส์ ฮา

    55555 ลึกมากจริงๆ

    ออฟไลน์ bliss diary

    • เป็ดประถม
    • *
    • กระทู้: 62
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
    พระเอกน่ารัก ชอบอ่ะ

      :mew1: :mew1:

    รักเพชรน้อยๆ แต่รักนานๆน้าา

    ออฟไลน์ mmello07

    • เป็ดมัธยม
    • *
    • กระทู้: 164
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
    เข้ามาเป็นกองหนุนพ่อพระเอกค่ะ สู้นะเพชรเอ้ย :laugh:

    ออฟไลน์ t2007

    • เป็ดHermes
    • *
    • กระทู้: 2400
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
    หงส์  สวย รวย หยิ่ง ชอบอ่ะ ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบสังคม รวมทั้งรั่ว บู๊เก่งด้วย รวมเป็นหงส์ได้น่ารักมาก ส่วนเพชรก็น่ารัก ที่สู้ด

    ออฟไลน์ bliss diary

    • เป็ดประถม
    • *
    • กระทู้: 62
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
    เข้ามาเป็นกองหนุนพ่อพระเอกค่ะ สู้นะเพชรเอ้ย :laugh:

    เย้ เพชรมีกองเชียร์แล้ววๆๆๆๆ  :mew1: :mew1:

    ออฟไลน์ bliss diary

    • เป็ดประถม
    • *
    • กระทู้: 62
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
    THE SWAN
    เก๋ เริ่ด เชิด หงส์ 7
    Smile
     

    15:45

    “ใจคอมึงจะไม่ไปเยี่ยมไอ้เพชรหน่อยหรอวีรินทร์”
    “แล้วใจคอมึงจะพูดประโยคนี้อีกกี่รอบ”
    “กูก็จะพูด จนกว่ามึงจะยอมไปเยี่ยมไอ้เพชรอ่ะ”
    “ทำไมกูต้องไป”
    “ก็เพชรมันปกป้องมึงนะเว่ย มันถึงต้องเจ็บตัวแบบนี้”
    “กูก็พาไปโรงพยาบาลแล้วไง”

    บทสนทนาประโยคเดิมๆ ระหว่างผมกับไอ้มิว ที่มันบังคบให้ผมไปเยี่ยมนายเพชรตั้งแต่เมื่อวาน
    มาจนถึงวันนี้ช่วงหลังเลิกเรียน มันก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ
    วิชาช่วงบ่ายของวันพุ​ธเป็นวิชากฏหมายเพื่อธุรกิจเบื้องต้น (Intro Business Law) ครับ
    ถ้าถามว่าปวดหัวกับการจำกฏหมายในห้องเรียนมากแค่ไหน
    ต้องบอกว่าปวดหัวกับคำพูดของไอ้มิวหนักมากกว่านั้นสองเท่า
    ตอนนี้ผมเลยได้แต่สาวเท้าเดินหนีมันไป
    แต่คนอย่างไอ้มิวไม่มีทางที่มันจะละทิ้งความพยายามง่ายๆ
    มันวิ่งตามผมแล้วมาพูดกดดันผมต่อ

    “แต่มึงควรแสดงน้ำใจมากกว่านี้นะเว่ยหงส์...อย่างน้อยเพชรมันก็จีบมึงอยู่”
    “ให้กูไปเยี่ยมคนที่จีบกูอยู่ ว่างั้น”
    “เอ๊า เออๆ ก็ถ้าไม่ไปในฐานะคนที่ถูกจีบ ก็ในฐานะเพื่อนร่วมโลกก็ได้”
    “มึงนี่คะยั้นคะยอกูจังเลยนะมิว”
    “ก็เออดิ กูเชียร์คนนี้”
    “บ้าบอ”

    “มึงจะไปดีๆ หรือจะให้กูอุ้มไป”
    พูดจบไอ้มิวก็เดินมาขวางหน้าผมไว้ มันมองมาอย่างจริงจัง จนผมแอบขำ
    “แน่จริงก็อุ้ม” ผมท้ามัน
    ไอ้มิวไม่รอช้า ย่อตัวลงทำท่าจะอุ้มผมจริง ผมมองมันแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว

    “เชี่ยมิว ถ้ามึงจะจริงจังขนาดนี้ กูยอมไปกับมึงก็ได้ สัส”
    ผมตบไหล่มันไปทีนึง แล้วผลักตัวมันออก
    ได้ยินแบบนั้นไอ้มิวก็ยิ้มตาลุกวาว แล้วก็ปรบไม้ปรบมือชื่นชมผมใหญ่
    นายเพชรคงจะดีใจมากกกกก ที่รู้ว่าผมไปเยี่ยมเขาเพราะถูกเพื่อนบังคับไป

    แต่จะว่าไปหลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ได้ถามไถ่อะไรนายเพชรอีกเลย
    ส่วนเขาก็เงียบไป ไม่ได้ไลน์หรือโทรมาบ่นอะไรให้ผมรำคาญอีก
    ก็แอบรู้สึกว่านายนั่นหายไปเหมือนกัน


    ผมกับไอ้มิวเดินมาขึ้นรถโดยสารภายในมหาวิทยาลัยจากหน้าคณะบัญชีเพื่อไปลงที่คณะวิศวะ แต่ช่วงเวลานี้คนจะเยอะหน่อย
    เราสองคนเลยได้ยืนเบียดกันอยู่ที่ริมประตู
    จะว่าไปก็ไม่ค่อยได้ใช้บริการรถโดยสารนี่สักเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ผมจะขับรถไปไหนมาไหนมากกว่า
    แต่วันนี้เดินทางข้ามคณะอยู่กันไม่ไกลนักเลยขึ้นลองดู
    เบียดเสียดอยู่ประมาณ 5 นาที รถก็วิ่งช้าๆ มาจอดหน้าคณะวิศวะ
    ผมถูกไอ้มิวผลักให้ลงแล้วมันก็เดินตามลงมา

    “ตามกูมา” ไอ้เพื่อนตัวดีพูดบอกขณะที่ผมกำลังยืนมองตึกวิศวะอย่างสำรวจ
    “มึงรู้หรอว่าต้องไปตรงไหน” ก็ตอนที่ตอบรับไอ้มิวว่าจะยอมมา
    แอบคิดในใจว่ามันคงพาผมมารอมั่วๆ ซั่วๆ ยังไงก็คงไม่ได้เจอนายเพชรหรอก
    แต่หน้าไอ้มิวตอนนี้ มันดูเหมือนมีจุดหมาย แถมยังเดินนำผมดุ่มๆ
    “รู้สิ กูรู้ว่าไอ้เพชรเรียนห้องไหน”
    แย่ละ!!


    ระหว่างทางเดินเข้าคณะวิศวะมีสวนหย่อม แล้วก็มีโต๊ะให้นิสิตนั่งเล่นหลายโต๊ะ
    ทำให้มีคนมองผมบ้าง ไม่บ้างสิ เรียกได้ว่าเยอะพอสมควร
    นิสิตที่นั่งอยู่แถวนี้ก็หันมองผมกันทั้งนั้น
    ก็เวลาถูกคนมอง มันดูออกไม่ยากนิครับ บางคนสะกิดเพื่อนเลยก็มี
    ผมค่อนข้างชินแล้ว เลยไม่ค่อยประหม่าเท่าไหร่
    มีบางคนยิ้มให้ ผมก็ยิ้มรับตามมารยาท
    พวกเขาอาจจะเคยเห็นผมจากเพจต่างๆ หรือไม่ก็ฟอลโล่ไอจีผมอยู่ก็เป็นได้
    และมันคงจะไม่แปลกที่จะมีคนเข้ามาทักทาย

    “น้องวีรินทร์ครับ พี่ขอถ่ายรูปด้วยได้มั้ยครับ”
    ผู้ชายร่างท้วมสวมเสื้อช็อป ไว้หนวดไว้เคราเดินเข้ามาหาผม
    เขาทำให้ผมหยุดเดิน และไอ้มิวที่เดินนำอยู่ก็หันกลับมาแล้วยิ้มเผล่
    “ได้ครับ” ผมยิ้มให้พี่เขาและพยักหน้ารับ
    แล้วพี่เขาก็เดินมายืนด้านข้าง พร้อมกับยกมือถือขึ้นมาเซลฟี่
    “พี่ขอมินิฮาร์ทด้วยนะ” ว่าแล้วพี่แกก็ยกมือขึ้นทำท่ามินิฮาร์ท
    ขอขนาดนี้ผมก็คงต้องยกขึ้นมาทำตามบ้างครับ

    ถ่ายรูปกับพี่แกไป 4-5 รูป ผมก็ยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณ แล้วขอตัวเดินต่อ
    ส่วนไอ้มิวก็แซวผมตามประสา
    “ฮอทจริงๆ นะมึงงงงง”
    “แน่นอน มึงลืมหรอว่ากูใคร” ผมยักคิ้วให้มัน
    ส่วนมันก็ส่ายหน้าให้ผมแล้วแดกดัน “ค่ะ วีรินทร์คนสวย ที่ใครๆ ก็หลงรัก”


    ไอ้มิวก็เดินนำผมมาที่บริเวณลิฟต์ ก่อนจะกดลิฟต์ขึ้นไปที่ชั้น 7
    “มึง เราต้องขึ้นไปถึงหน้าห้องเลยอ่อ”
    “ใช่ดิ่ เดี๋ยวมึงไม่เจอเพชรทำไง”
    “เฮ้อ บ้าบอ” พูดได้แค่นี้แหละครับตอนนี้

    ผมเลิกสนใจไอ้มิวแล้วหยิบมือถือขึ้นมาเล่นไปเรื่อย
    จะว่าไปวันนี้แทบจะยังไม่ได้จับโทรศัพท์เลย มิวมันคงกลัวว่าผมจะเล่นมือถือละเดินหลง
    เลยเอามือมาจูงแขนผมแล้วเดินนำไปตรงเก้าอี้แถวหน้าห้องเรียน

    ระหว่างนั้นผมก็เข้าไอจีดูภาพแฟชั่นของแบรนด์เสื้อผ้าโน้นนี้ไปเรื่อย
    ก่อนที่แอพจะแจ้งเตือนว่ามีคนแท็กภาพเข้ามา ผมกดดูการแจ้งเตือนแล้วยิ้มขำออกมาเบาๆ

    “มึงๆ พี่คนเมื่อกี้อัพรูปแล้วว่ะ” ว่าแล้วก็ยื่นโทรศัพท์ให้ไอ้คนข้างๆ ดู
    ไอ้มิวที่กำลังตอบไลน์ใครสักคนอยู่ เงยหน้าขึ้นมาแล้วขำก๊าก
    “เชี่ยย น่ารักสัส” มันอุทานออกมาแล้วตบไหล่ผมปุๆ

    ภาพมินิฮาร์ทเมื่อครู่ ถูกพี่แกเอาไปแต่งเพิ่มใส่มงกุฏราชินีให้ผม
    แล้วใส่หมวกลายเสือดาวให้ตัวเอง ตรงนิ้วรูปมินิฮาร์ทถูกเติมลงด้วยหัวใจสีแดง
    แถมยังมีขีดสีชมพูสองขีดเหมือนกับเขินเติมเข้ามาที่ข้างแก้มของทั้งคู่ด้วย
    “ชื่อไอจีอ่านว่าไงวะ” ดูรูปเสร็จผมก็มาสะดุดกับชื่อไอจีพี่แก

    ‘kumpun_beawbeaw_cutecute’
     
    “คำปุณ เบี้ยวเบี้ยว คิ้วคิ้ว หรอวะ”
    ผมอ่านแล้วหันไปมองไอ้มิวที่กำลังพยายามสะกด
    “เบี้ยวแล้วมันคิ้ว ยังไงอ่ะมิว”
    “กำปั้น แบ๊วแบ๊ว คิ้วคิ้ว รึป่าวมึง”ไอ้มิวพูดบอกผม ซึ่งก็น่าจะใช่แบบที่มันว่า
    “เออ เมคเซ้นส์” พูดจบผมก็กดไลค์แล้วเม้นภาพยิ้มตอบกลับไป


    ระหว่างนั้นประตูห้องสโลปใหญ่ก็เปิดออก พร้อมกับนิสิตวิศวะนับร้อยเดินกรูกันออกมา
    โหห คนเยอะมาก

    ผมรีบเก็บโทรศัพท์เข้าไว้ในกระเป๋ากางเกง แล้วหยิบกระเป๋าหลุยส์สะพายบ่นบ่า
    ส่วนไอ้มิวลุกขึ้นชะเง้อมองนายเพชรคอยาวเป็นยีราฟแล้ว

    “มึง คนเยอะมาก กลับมั้ย” ผมสะกิดแขนเพื่อนแล้วชวนมันกลับ
    ไอ้นั่นตีแขนผมแล้วเหลือบมองมา “กลับบ้าอะไร มาถึงขั้นนี้ละ”
    “คนมองกูอ่ะ”
    “มึงสวย”

    สวยบ้าสวยบออะไร มานั่งอยู่หน้าห้องเรียนเขา แถมยังมาจากคณะอื่นกันอีก
    ไม่มองสิแปลก แถมบางคนก็ยิ้มให้อีกแล้ว

    ไหนบอกว่าไม่ประหม่าเวลาคนมองไง ว่าแล้วผมก็ฮึบเรียกความมั่นใจ
    แล้วยิ้มอ่อนๆ ตอบพวกเขาไป
    ในใจตอนนี้เริ่มรู้สึกหวั่นๆ
    นายเพชรจะต้องหลงตัวเองขั้นสุดแน่ๆ ที่ผมมาหาถึงที่คณะ

    ไอ้มิวนะไอ้มิว!


    “เจอแล้วๆ” ไอ้มิวสะกิดแขนผมอีกรอบแล้วชี้ไป
    นายเพชรกำลังเดินออกมาทางนี้
    ท่ามกลางนิสิตนับร้อย

    ไอ้มิวก็เสือกตะโกนออกมาเสียงดัง

    “เพชร วิศวะปี 3 ครับ หงส์ BBA ปี 3 มารอค้าบบบบ”


    เท่านั้นแหละครับ ร้อยทั้งร้อยหันพรึ่บมาทางนี้เป็นตาเดียวกันทันที!!
    “ฮิ้วววววววววววววววววว” พร้อมกับเสียงแซวที่ดังขึ้น


    นายเพชรคอตั้ง มองออกมาตามเสียงเรียก พอเขาเห็นผมเขาก็ยิ้มกว้าง
    ส่วนไอ้มิวตัวดีมันอาศัยจังหวะที่ผมเอ๋อ หยิบกระเป๋าตัวเองบนเก้าอี้
    แล้วแม่งก็วิ่งลงบันไดหนีไฟที่อยู่ไม่ไกลหายตัวไป
    ทิ้งให้ผมตกเป็นเป้าสายตานิสิตวิศวะนับร้อยอยู่คนเดียว
     
    รู้สึกตัวชาอย่างบอกไม่ถูก

    นายเพชรรีบวิ่งเข้ามาหาผม เป็นจังหวะที่ผมได้สติพอดี


    ผมสาวเท้าเดินหนีออกมาจากตรงนั้น
    จนมาถึงบริเวณประตูบันไดหนีไฟที่ไอ้มิวตัวดีมันเปิดค้างไว้
    ผมเข้ามาข้างในแล้วเดินลงบันไดเพื่อจะไปชั้น 1
    ในนี้ร้อนมากครับ แทบจะไม่มีอากาศหายใจ
    แต่พอผมได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตามมาทางด้านหลัง
    นั่นทำให้ผมรีบเดินให้เร็วขึ้น แต่มันก็คงไม่เร็วไปกว่าคนที่วิ่ง


    นายเพชรวิ่งมาขวางหน้าผมไว้ เขาเอามือทั้งสองข้างจับไหล่ผมเพื่อไม่ให้ผมหนี
    ร่างสูงมองมาที่ผมแล้วยิ้มกรุ้มกริ่ม
    ด้านหลังเขามีตัวเลขบอกว่าตอนนี้เราอยู่ที่ชั้น 5

    “ยิ้มบ้าไร” ผมมองบนใส่เขาแล้วพูดถามเสียงเหวี่ยง
    ทั้งหงุดหงิดที่ไอ้มิวมันตะโกนเรียกคน
    แล้วยังต้องมาหงุดหงิดที่นายนี่ลอยหน้าลอยตาใส่แบบนี้
    “ยิ้มให้คุณไง” นายนั่นพูดตอบ ก่อนจะสบตาผมแล้วก็ขยับเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น

    “ไม่ต้องมายิ้ม...”
    “ก็บอกให้หยุดยิ้มแบบนี้ไง”   
    ทำไมเขาต้องมองผมด้วยสายตาแบบนี้ แถมยังยิ้มแบบนี้อยู่อีก
    โดนด่าแล้วยังไม่รู้ตัวหรือไง...

    “เพชร บอกให้หยุดยิ้ม แล้วก็เลิกมองเราด้วยสายตาแบบนี้”
    ผมตวาดเสียงดังใส่เขา
    แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลย แถมยังทำหน้าตากวนตีนตอบด้วย
    “วันก่อนผมบอกคุณว่า ผมอยากให้คุณเรียกผมว่าเพชรบ่อยๆ”
    เขาพูดเสียงนุ่ม แล้วขยับหน้าลงมาใกล้ผมมากขึ้น
    นายเพชรจ้องตาผม ส่วนผมก็ไม่หลบสายตาเขาแถมยังมองตอบ
    ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่ะ

    คนที่สูงกว่าไม่ทิ้งระยะให้ผมได้ใช้ความคิดนาน แล้วเขาก็พูดต่อ
    “วันนี้ผมจะบอกคุณว่า เวลาคุณเขินแล้วแม่งโคตรน่ารัก”
    พูดจบคนตรงหน้าก็ขยับตัวเข้ามาจนชิด
    มือหนาที่จับไหล่เอาไว้เปลี่ยนมาเป็นโอบเอวผมแทน

    ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังกลั้นหายใจ
    มือผมสั่น ผมเริ่มเหงื่อแตก
    มันรู้สึกเหมือนกับว่าหายใจไม่ออก

    ผมค่อยๆ หลับตาลงในระหว่างที่นายเพชรกำลังโน้มหน้าเข้ามา
    กระเป๋าหลุยส์ที่สะพายอยู่บนไหล่ ถูกทิ้งลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก

    แล้วทุกอย่างมันก็เงียบสงัดไป

    -วิ้ง วิ้ง-



    ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผม ผมรู้แต่ว่าตัวเองหายใจไม่ออก รู้ตัวอีกที ก็ตอนที่รู้สึกหนาว
    “คุณเป็นยังไงบ้าง” 
    เสียงทุ้มพูดทันทีที่ผมลืมตาขึ้นมอง เขาที่นั่งอยู่รีบลุกขึ้นมาแล้วกุมมือผมเอาไว้ ผมมองเขาด้วยความสงสัย
    ก่อนจะมองไปรอบๆ อย่างสำรวจ แล้วก็รู้สึกได้ว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงนุ่ม
    ในห้องพยาบาล

    “คุณเป็นลม”
    ฮะ ผมเนี่ยนะเป็นลม!! ไม่อยากจะเชื่อ ผมร่างกายแข็งแรง ผมออกกำลังกาย
    กินอาหารครบ 5 หมู่ พักผ่อนเพียงพอตลอด ทำไมผมถึงได้เป็นลม

    “จริงหรอ”
    “จริงครับ ผมตกใจแทบแย่ รีบอุ้มคุณมาห้องพยาบาล” นายเพชรยังคงทำหน้าตื่น
    “เฮ้อ” ผมถอนหายใจแล้วหลับตาลง มันรู้สึกปวดหัวยังไงไม่รู้ครับ

    “คุณพักก่อนนะครับ ถ้าไม่ดีขึ้นเดี๋ยวผมพาไปโรงพยาบาล” นายเพชรพูดพร้อมกับกุมมือผมเอาไว้

    ตอนนี้ผมไม่มีแรงจะมาสะบัดไม้สะบัดมือหนีเขาหรอก ครู่หนึ่งผมก็หลับไปอีกครั้ง



    20:15

    สุดท้ายเขาก็บังคับผมมาโรงพยาบาลอยู่ดีครับ ด้วยเหตุผลร้อยแปดที่เขายกมา
    ทำให้ผมปฏิเสธไม่ได้ นายเพชรอาสาขับรถให้ผม แล้วก็พาผมหาหมอเสร็จสรรพ
    ตอนนี้เรากำลังรอรับยาและจ่ายเงิน ซึ่งผมกับเขานั่งอยู่ที่เดิมเหมือนวันก่อนเป๊ะ

    เดจาวู~

    “คุณโอเครึยัง” คนด้านข้างหันมาถามผม
    ก่อนหน้านี้เรานั่งเงียบไม่มีใครคุยอะไรกันมาครู่ใหญ่
    “ดีขึ้นละ หมอก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมากอ่ะ” ผมตอบเสียงเรียบแล้วมองหน้าเขา
    นายเพชรแสดงสีหน้ากังวล ถึงแม้ว่าหมอจะบอกว่าผมไม่ได้เป็นอะไรเลย
    แต่เขาก็ยังคงทำหน้าแบบนั้น ทำมาตั้งแต่ตอนอยู่ในห้องพยาบาล
    “แน่ใจนะคุณ ว่าดีขึ้นแล้ว”
    “อื้มม” ผมพยักหน้าพร้อมกับตอบรับในลำคอ แล้วเราก็พากันเงียบอีกครั้ง
    เขาละสายตาจากผม มองลอยๆ ไปยังเค้าน์เตอร์ สีเป็นหน้ากังวล
    แต่ผมยังคงจ้องหน้าเขาอยู่

    “เพชร”

    “ครับ” คนด้านข้างตอบรับ แล้วหันกลับมามองผม
    “ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วย” พอผมพูดจบ เจ้าของใบหน้ายุ่ง ก็ยิ่งทำหน้าทำตายุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่
    เห็นแล้วมันอยากจะคลายปมบนหน้าเขาออกจริงๆ

    ว่าแล้วผมก็ยกมือขึ้น ก่อนจะวางนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ลงบนหัวคิ้วของเขาทั้งสองข้าง
    เขามองตามมือผม อย่างคนไม่เข้าใจว่าผมจะทำอะไร

    นิ้วเรียวของผมค่อยๆ คลายปมคิ้วของเขาที่ขมวดอยู่ออก แล้วนวดวนไปมา
    ผมเพิ่งได้สังเกตรอยช้ำบนหน้าเขา มันจางลงไปพอสมควร แต่ก็ยังทิ้งรอยไว้บ้าง
    ต้องมามองใกล้ๆ ถึงจะเห็น ตอนนี้หน้าผมคงเข้าใกล้หน้าเขามากสินะ

    คลายปมคิ้วหนาที่ผูกโบว์เสร็จเรียบร้อย ผมก็ละมือออกแล้วส่งยิ้มบางๆ ให้เขา
    เจ้าของหน้าคมคลี่ยิ้มส่งตอบกลับมา
    แบบนี้ค่อยน่าดูหน่อย

    เขาอาศัยจังหวะที่หน้าเราห่างกันไม่มากในการพูดถามผมเสียงเบา
    “แล้วว...คุณ...ให้ผมจีบคุณได้รึยัง”

    ผมถอยหน้าออกมานิดหน่อย แล้วหุบยิ้มลงพร้อมกับสูดหายใจเข้าเต็มปอด
    “ห้ามได้ด้วยหรอ” ผมตอบกลับเสียงเบา ไม่ได้หันไปมองหน้าเขา

    พูดจบผมก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปเหมือนครั้งก่อน
    .
    .
    .
    แต่ครั้งนี้ผมหันกลับไปมองเขา
    ภาพที่เห็นคือเพชรกำกำปั้น แล้วชูขึ้นมาตรงอก เขาดูดีใจมาก
    “เยสส!!” 
    คนที่นั่งอยู่พูดกับตัวเอง ไม่นานเพชรก็ลุกเดินตามผมมา

    ผมเดินนำเขา ส่วนเพชรเดินตามหลังอยู่ไม่ห่าง
    รู้ตัวอีกที ผมก็เริ่มรู้สึกเมื่อยหน้า
    พอเอามือจับหน้าตัวเองก็สัมผัสได้ว่า...ผมกำลังอมยิ้มอยู่


    ระหว่างทางกลับคอนโด ผมกับเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกัน
    ไม่ได้พูดอะไรกันเลยจริงๆ ครับ
    แต่กลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร

    ผมอมยิ้ม แล้วพอเหลือบมองคนที่ขับรถอยู่ผ่านกระจกมองข้าง
    ก็เห็นว่าเขากำลังอมยิ้มอยู่เหมือนกัน

    อาจจะเป็นเพราะว่าเพลงที่เพชรกำลังเปิดเป็นเพลงที่น่ารักมั้ง
    เราสองคนเลยยิ้มตามเพลงไป...

    อยากขยับเข้าไปใกล้เธอ อยากรู้จักตั้งแต่ได้เจอ ใจฉันสั่นเมื่อได้ยินเสียงเธอ
    ตั้งแต่วันแรกเจอ ก็เผลอเอาไปคิดละเมอ

    พอรู้จักก็อยากจะทักทาย แต่พอไม่เจอแล้วใจก็วุ่นวาย เธอหายไปก็ห่วงเธอแทบตาย
    จะเป็นเช่นไร ตรงนั้นมีใครดูแลอยู่หรือไม่ ก็ไม่รู้


    เพลงคุ้นหูที่มันทำให้ใจเต้นแรงแปลกๆ



    ระหว่างทางเขาแวะซื้อโจ๊กให้ผมไว้กินก่อนกินยาด้วย
    ไม่นานเพชรก็ขับรถมาส่งผมถึงที่คอนโด

    “แน่ใจนะว่าคุณอยู่คนเดียวได้” เขาถามอีกครั้ง ขณะที่ผมมาส่งเขาหน้าล็อบบี้
    “ได้ดิ ก็อยู่คนเดียวมาตลอด”
    “แต่วันนี้คุณไม่สบาย”
    “ดีขึ้นแล้วว”
    “ถ้ามีอะไรรีบโทรหาผม โอเคนะ”
    “อื้มม” ผมพยักหน้ารับ

    “งั้นผมกลับแล้วนะครับ” คนตรงหน้ายกมือขึ้นมาโบกให้ผม
    “ว่าแต่จะกลับยังไงอ่ะ”
    “ก็แท็กซี่มั้งครับ” เขายิ้ม
    “รถคุณล่ะ”
    “จอดอยู่มหา’ลัยอยู่เลยครับ”
    “จริงด้วย” เพราะเขามารถผมตั้งแต่แรก

    “แต่คุณไม่ต้องห่วงผมนะ ผมกลับได้อยู่แล้ว สบ๊าย”
    เพชรยกมือขึ้นมาแบออกสองข้าง แล้วส่งยิ้มทะเล้น
    “ใครห่วง” ผมมองบนทำไม่รู้ไม่ชี้

    “คนแถวนี้แหละครับ...แต่เค้าดันปากแข็งไปหน่อย”
    คนตัวสูงกอดอกพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ผม

    วันนี้เพชรแกล้งผมด้วยการยืนประชิดตัวหลายรอบแล้ว

    ถึงเวลาเอาคืน!

    “แล้วคุณเพชรรู้ได้ยังไงล่ะครับ ว่าคนแถวนี้
    ...ปากแข็ง”
    รอบนี้ผมเป็นฝ่ายเดินเข้าหาเขาบ้าง จนเราแทบจะยืนตัวชิดติดกัน
    ตอนนี้ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเพชร แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่

    “ผม ผม...รู้ก็แล้วกัน” เขาพูดตอบเสียงตะกุกตะกัก

    “คุณเพชรจะไม่พูดแบบนี้นะครับ ถ้าคุณเพชร...
    …เคย...” ว่าแล้วก็กัดปากแล้วเผยอใส่เขาเสียหน่อย
    เพชรยืนตัวแข็งทื่อ แล้วค่อยๆ ขยับออกห่างผม

    “พอเลย!” เขาเอานิ้วชี้มาวางบนสันจมูกของผมแล้วพูดเสียงแข็ง
    “ป่วยอยู่ไม่ใช่รึไง...
    ..รีบขึ้นห้องไปพักผ่อนเลยนะ
    อย่าลืมกินโจ๊กที่ผมซื้อให้ แล้วกินยาด้วย”
    เพชรตัดบท แล้วจับไหล่ผมให้กลับหลังหันแถมยังผลักให้ผมเดิน
    ผมยกนิ้วทำท่าโอเคที่ด้านหลังเพื่อตอบเขาไป

    “ฝันดีนะคุณ” ร่างสูงด้านหลังตะโกนมา ผมพยักหน้ารับแต่ไม่ได้กลับไปมอง
     

    ผมไม่อยากให้เขารู้

    ...ว่าผมกำลังหุบยิ้มไม่ได้



    **To Be Continued**
    « แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-12-2017 10:23:02 โดย bliss diary »

    ออฟไลน์ sirin_chadada

    • เป็ดAphrodite
    • *
    • กระทู้: 4110
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
    แหม ปากว่าไม่ แต่มุมปากยกยิ้มนี่ยังไงจ๊ะแม่คุณ

    ออฟไลน์ mmello07

    • เป็ดมัธยม
    • *
    • กระทู้: 164
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
    เอาแล้วววว หงส์เริ่มหวั่นไหวพลังอ้อยของชายเพชรซะแล้ว ส่วนเพชรเจอหงส์กัดปากใส่นิดหน่อยใจบางหมดละม้าง

    ตอนนี้ขอยกความดีความชอบให้มิว o13

    ออฟไลน์ rogerr

    • เป็ดHestia
    • *
    • กระทู้: 834
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
    เรื่องน่ารักดี คาแรกเตอร์พระเอกนายเอกน่ารัก เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะ

    CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






    ออฟไลน์ bliss diary

    • เป็ดประถม
    • *
    • กระทู้: 62
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
    หงส์  สวย รวย หยิ่ง ชอบอ่ะ ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบสังคม รวมทั้งรั่ว บู๊เก่งด้วย รวมเป็นหงส์ได้น่ารักมาก ส่วนเพชรก็น่ารัก ที่สู้ด

     :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

    ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

    • เป็ดApollo
    • *
    • กระทู้: 7518
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

    ออฟไลน์ insomniac

    • เป็ดแสนดี
    • เป็ดHephaestus
    • *
    • กระทู้: 1482
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
    น่ารักเน้อะ

    ออฟไลน์ bliss diary

    • เป็ดประถม
    • *
    • กระทู้: 62
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1

    ออฟไลน์ pktherabbit

    • เป็ดเด็กช่าง
    • *
    • กระทู้: 207
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

    ออฟไลน์ kong6336

    • เป็ดมหาวิทยาลัย
    • *
    • กระทู้: 416
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
    น่าร๊ากกกกกกกกก

    นายเอกก็หงส์สมชื่อเลย

     :hao7: :katai2-1:

    ออฟไลน์ Leenboy

    • เป็ดEros
    • *
    • กระทู้: 3095
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

    ออฟไลน์ bliss diary

    • เป็ดประถม
    • *
    • กระทู้: 62
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
    แหม ปากว่าไม่ แต่มุมปากยกยิ้มนี่ยังไงจ๊ะแม่คุณ

    นั่นสิหงส์ยังไง555

    ออฟไลน์ whistle

    • เป็ดHestia
    • *
    • กระทู้: 766
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4

    ออฟไลน์ bliss diary

    • เป็ดประถม
    • *
    • กระทู้: 62
    • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1

     

    สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


    สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
    สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด