.
.
.
เกิดช่องว่างระหว่างการสนทนาครั้งมโหฬาร อะไรคือสิ่งที่ทำให้พี่พูดด้วยความมั่นใจขนาดนั้น มองอยู่ตลอดงั้นเหรอ? มองใครวะ? ไอ้โป้ย? พี่เปี๊ยก? หรือว่า...ผม? -- สายตาแบบไหนที่พี่ใช้มองผมกัน ทุกครั้งก็เห็นแต่สายตาเย่อหยิ่งจ้องจะงับหัวกันเท่านั้น แล้วมองในความหมายแบบไหนกัน ประเมินงานว่าควรจะไล่ออกดีหรือไม่งั้นเหรอ? หรือดูความประพฤติว่าสมควรเพิ่มเงินเดือนหรือไม่ใช่มั้ย?
แต่ให้ตายเหอะ!!
ก่อนจะมานั่งคิดเรื่องมองหรือไม่อย่างไร ผมควรจะประหลาดใจกับการสนทนาที่ไม่มีการกวนตีนใส่กันในครั้งนี้มากกว่า แถมยังมีการแจกยิ้มอันแสนหายากให้ผมอีกต่างหาก รอยยิ้มก็ช่างจะอ่อนโยนเหลือเกินจนน่าขนลุก! นี่มันวันอะไรกันเนี่ย -- ไม่สิ! ต้องเป็นผลพวงมาจากเมื่อวานแน่ๆ แค่โดนผมจิ้มไปทีสองทีทำให้พี่เปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้เลยรึ พระเจ้า! แสดงว่าพี่ปูนเป็นฝ่ายรับน่ะสิ พี่ชอบโดนยิ้มโดยหนอนน้อยน่ารักงั้นสิใช่มั้ย!!
ไม่ว่าจะทำยังไงผมก็นึกเรื่องเมื่อคืนวานไม่ออก เรียกว่าไม่มีหลงเหลืออยู่ในความทรงจำเลยจะดีกว่า ผมไปปลุกปล้ำพี่ปูนอีท่าไหน กระชากขาพี่ปูนอ้า หรือว่าพลิกร่างล่ำให้โก้งโค้ง แล้วผมใส่ถุงยางได้ยังไง... ฉิบหาย!! ถุงยาง -- ผมไม่เห็นของที่ว่าตกหล่นที่ไหนเลยด้วยซ้ำแม้แต่ในถังขยะ นี่ผมเล่นของสดกับพี่ปูนเลยรึเนี่ย บ้าจริงๆ พี่ปูนคงไม่ท้องหรอกนะ...ฮ่าๆๆ มึงบ้าแล้วไอ้ลุง
“ลุง!”
เสียงพี่ปูนเจาะลูกโป่งในหัวของผมแตกอีกครั้ง แต่คราวนี้ด้วยเสียงที่ห้วนเข้มกว่าเดิม ผมยืนตัวตรงแหน่วมองรอบตัวที่บรรยากาศเปลี่ยนไป เบื้องหน้าคือผู้หญิงสองคนที่กำลังมองมาด้วยความสงสัย กับหนึ่งหนุ่มร่างใหญ่ที่จ้องจะแดกหัวผมอยู่ในตอนนี้
ซวยแล้วไง ผมมัวแต่เพ้อจนมาถึงนี่ได้ไงวะ
“เดี๋ยวตามคุณหนิงไปถ่ายรูปนะ พี่จะอยู่คุยรายละเอียดกับคุณฝนที่นี่”
ผมพยักหน้าอย่างมึนๆ แต่ก็รับคำจากเจ้านายแล้วเดินตามพี่ผู้หญิงที่แลดูสุภาพเรียบร้อยไปตามทาง ผมมองไปรอบตัวที่ดูร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่สวนกลาง ก็ดูเหมาะกับร้านนวดแผนไทยที่กำลังจะเปิดคอร์สบำรุงความงามด้วยธรรมชาติน่ะนะ เนื้อที่ขนาดพอเหมาะ โล่งโปร่งสบาย น่ามาลองใช้บริการดูสักครั้งแต่ติดที่ว่าราคานั้นคงเหมาะสมกับผู้มีอันจะกินมากกว่า
คุณหนิงแนะนำสถานที่สำคัญที่ต้องการให้เป็นจุดสนใจของแผ่นพับที่ใช้โปรโมทครั้งนี้ อีกทั้งยังมีป้ายแวนิลและป้ายตั้งโฆษณา ผมกระชับกล้องดิจิตอลดีเอสแอลอาร์คู่ใจที่ทุบกระปุกหมูซื้อมาไว้มั่น ก่อนจะถ่ายกราดไปยังจุดที่น่าสนใจไม่ยั้ง ผมหามุมที่ดึงดูดที่สุด วัดแสงให้พอเหมาะก่อนจะรัวชัตเตอร์ เปลี่ยนเป็นเลนส์ไวด์เพื่อถ่ายบรรยากาศได้กว้างขึ้นบ้างในบางมุม ต้องขอบคุณคุณหนิงเหลือเกินที่ไม่จ้ำจี้จ้ำไชเหมือนลูกค้าบางเจ้า เธอปล่อยให้ผมเลือกมุม เลือกสัดส่วนได้ตามต้องการ โดยเพียงแค่แนะนำว่าต้องการนำเสนอในส่วนไหนเท่านั้น
“คุณพัทลุงเป็นช่างภาพประจำบริษัทหรือคะ?” ผมจะเหมาเอาว่าเป็นคำชมแล้วกันเมื่อเลื่อนภาพในจอให้คุณหนิงดูไปเรื่อยๆ มีสามสี่รูปที่ออกปากว่าชอบมากเป็นพิเศษ
“ผมเป็นกราฟิกดีไซน์เนอร์ครับ แต่เล่นกล้องเป็นบ้างก็เลยรับจ๊อบพิเศษบางครั้ง” เมื่อครบหมดทุกรูป คุณหนิงก็แสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา เป็นอันว่าการถ่ายรูปสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้ “ถ้ามีตรงไหนที่ต้องการนำเสนออีกก็บอกนะครับ แล้วทางเราจะส่งไฟล์รูปภาพให้ เผื่อทางร้านจะอัพขึ้นเว็บไซต์”
“ขอบคุณนะคะ ถ่ายออกมาได้สวยมากเลยค่ะ ที่จริงหนิงก็ลองถ่ายไว้บ้างแต่ออกมามันก็ดูไม่ดีพอ”
“มันอยู่ที่แสงแล้วก็องค์ประกอบด้วยครับ แต่ถ้าเป็นผมก็จะคำนวณไปถึงขั้นตอนออกแบบเลย บางครั้งเราก็ต้องใช้หลายรูปเพื่อมารวมกันให้เป็นรูปเดียวที่โดดเด่น”
“ถ้างั้นคุณฝนก็เลือกถูกบริษัทแล้วสินะคะ” คุณหนิงเผยยิ้มน่ามอง
“ร้านการะบุหนิงจะไม่ผิดหวังแน่ครับ” ผมให้คำมั่นพร้อมรอยยิ้มตอบ แล้วคุณหนิงก็ขอตัวเพื่อไปทำงานต่อปล่อยให้ผมยืนเช็คภาพอีกครั้งตามลำพัง
“ที่นี่ร่มรื่นนะครับ” เสียงคุ้นหูดังแว่วมา ทำเอาผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นหมาน้อยน่ารักที่หูกระดิกเมื่อได้ยินเสียงเจ้านาย สองตาผมพุ่งตรงไปยังผู้ชายตัวสูงที่เดิมชมสถานที่พร้อมกับเจ้าของงาน
ผมไม่ได้เห็นมาดนี้ของพี่ปูนบ่อยๆ จะเรียกว่ามาดฉอเลาะก็คงได้ เพราะรอยยิ้มที่ผู้หญิงทั่วประเทศคงยกคะแนนให้เต็มร้อยนั้นดูหว่านเสน่ห์แบบเสแสร้งมากมายในสายตาผม แถมช่วงเวลาอยู่กับลูกค้าแบบนี้แหละที่พี่ปูนจะพูดจาดีจนน่าดึงลิ้นออกมาผ่า แต่ก็นั่นแหละ! ใช่ว่าคนอื่นจะมองพี่ปูนแบบที่ผมมอง
แชะ!เพียงภาพเดียวที่ผมยกกล้องขึ้นถ่ายอย่างเผลอไผล ผมเบนสายตามาดูภาพที่ปรากฏที่จอ ผู้ชายคนนี้น่ะเหรอ? ผู้ชายคนนี้จริงๆใช่มั้ยที่ผมล่วงเกินไปด้วยความขาดสติ ทั้งรูปร่าง หน้าตาและฐานะ ไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่คนอย่างผมจะเอื้อมถึงได้เลยแม้แต่น้อย แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะต้องถึงกับใช้คำว่าอาจเอื้อมหรอก เพราะมันไม่ได้อยู่ที่ผมตัดสินใจ...ผมเพียงอยากเสนอความรับผิดชอบ และการตัดสินใจว่าจะโน้มยอดสูงลงเกลี่ยดินอย่างผมหรือเปล่านั้นอยู่ที่พี่ปูนต่างหาก
“หิวข้าวรึเปล่า?”
“อะไรนะครับ?” ผมหันหน้าจากหน้าต่างข้างเพื่อหันมามองคนที่ตั้งคำถามกับผมมากเกินกว่าปกติ พี่ปูนเหลือบมองผมเป็นระยะด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“พี่ถามว่าหิวข้าวรึเปล่า เห็นคิ้วขมวดเป็นปมเลย” พี่ปูนถามซ้ำอีกครั้ง พร้อมกับใช้นิ้วจิ้มหว่างคิ้วตัวเองเพื่อเน้นย้ำไปด้วย “แวะกินอะไรก่อนมั้ย?”
“...ผม”
“กินอะไรล่ะ ข้างทางได้มั้ย?”
“หนังหน้าผมเหมือนคุณชายที่ต้องกินของขึ้นห้างเหรอครับ” ผมแทบจะตบปากตัวเองที่หลุดวาจายอกย้อนให้อีกฝ่ายตวัดสายตาฉับกลับมา “เอ่อ...ผมหมายความว่าอะไรก็ได้ครับพี่”
“แกนี่มันจริงๆเลยนะ” พี่ปูนส่ายหัวไปมาเหมือนไม่อยากจะถือโทษอะไร “งั้นกินข้าวแกงแล้วกันนะ ถึงจะเป็นข้างทางแต่รสชาติเด็ดมาก”
การแนะนำของพี่ปูนทำให้ผมเผลอมองด้วยสายตาเคลือบแคลง และมันก็ดันไปผสานเข้ากับดวงตาคมของพี่ปูนเสียอย่างนั้น “ทำไม? พี่ชอบกินร้านข้างทางนะบอกเลย”
“ก็ไม่ได้พูดอะไรซะหน่อย แค่คิดว่าพี่น่าจะชอบกินอะไรที่มันหรูหราไฮโซ”
“หน้าพี่เหมือนคุณชายที่ต้องกินแต่ของขึ้นห้างรึไง”
น่าน! โดนย้อนเข้าให้แล้วไงไอ้ลุง
“อะครับ -- จะพาผมไปร้านไหนก็ตามสบายพี่เลย” ผมยกมือยอมแพ้ จากหางตาผมเห็นพี่ปูนเหยียดยิ้มเล็กน้อย
แล้วเราก็มาจบลงที่ร้านข้าวแกงริมทางอย่างที่ว่า มีรถหลายคันหลายสภาพจอดเป็นแถวปิดหน้าร้านจนหาช่องเดินแทรกแทบไม่ได้ ด้านหน้าร้านมีป้ายข้อความที่โปรโมทร้านด้วยลายมือไก่เขี่ย สีที่ใช้นั้นนั้นซีดจางไปตามสภาพแผ่นไม้
‘ของดีริมทาง อร่อยสุดในสยามประเทศ ไม่ลองแล้วจะเสียใจไปสามชาติ’ช่างเป็นการโอ้อวดสรรพคุณได้ทะลุทะลวงตับไตอย่างมาก ซึ่งดูจากสภาพร้านที่เป็นเพิงไม้โครง กับป้าที่คาดว่าจะเป็นเจ้าของร้านในรูปลักษณ์ชาวบ้านสุดๆ ที่มีจุดเด่นที่ริมฝีปากแดงแปร๊ด ผมไม่เข้าใจเลยว่าอิเจ๊นี่ไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหน
ผมเดินตามพี่ปูนไปยังด้านหน้าโต๊ะยาวที่มีถาดอาหารกับหม้อแกงมากมายนับสิบ มีการเวียนเอาไปอุ่นเป็นระยะเพื่อให้ไม่เย็นชืด ดูจากปริมาณลูกค้าที่ยืนด้านหน้าแล้วคงพอบอกได้ว่าอิเจ๊ไม่ได้อวดอ้างเกินจริงไปสักเท่าไหร่ พี่ปูนชะโงกมองจนทั่วก่อนจะหันมาสั่งความกับผมที่ยังดูงงๆ
“พี่เอาพะแนงหมู กุนเชียงแล้วก็ไข่ดาวด้วยนะ เอ้านี่ พี่เลี้ยง” พี่ปูนพูดจบก็ส่งเงินให้ผมหนึ่งร้อยบาท แล้วไอ้คุณชายก็เดินจากไปเพื่อหาที่นั่ง ทิ้งให้ผมผจญชะตากรรมคนเดียว
“คนต่อไป! เอ้า! ไอ้หนุ่มเอาอะไรอย่าชักช้า ป้าขายดีมากเห็นมั้ย”
ผมอยากจะส่งค้อนประหลับประเหลือกให้อิเจ๊มาก แต่จากคนที่ยืนรอกับทัพพีในมือเจ๊ทำให้ผมรีบสั่งออกไป เมื่อชำระเงินเสร็จผมก็เดินกลับไปหาพี่ปูนที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ เมื่อเห็นผมวางจานข้าวลงตรงหน้าพี่แกก็วางมือถือลงและเริ่มกินทันที ผมสอดส่ายสายตาไปรอบๆ เพื่อหาน้ำดื่มแล้วก็พบว่ามันอยู่ในคูลเลอร์ขนาดใหญ่ พร้อมกับแก้วน้ำพลาสติกสีสดใสจำนวนมากที่วางอยู่ด้านข้าง
“น้ำครับพี่” ผมยื่นแก้วน้ำวางให้ด้านหน้าพี่ปูนที่ผงกหัวรับรู้ พร้อมกับส่งเงินทอนและกระดาษเช็ดปากให้ “ทิชชู่ครับพี่”
“ขอบใจ”
แล้วเราก็เริ่มกินกัน และนั่นก็ทำให้ผมรู้ว่าอิเจ๊ไม่ได้โฆษณาเกินจริงแต่อย่างใด มันอร่อยจนผมนึกเสียดายจริงๆ ถ้าพลาดไป ผมไม่เคยเห็นข้าวแกงร้านไหนทำพะแนงได้สมกับที่เป็นพะแนงมานานแล้ว มันทั้งเข้มข้นและน้ำก็ขลุกขลิกกำลังดี กุนเชียงก็ไม่แห้งแข็ง ไข่ดาวก็เป็นน้ำตาลในนิดๆ ขนาดพริกน้ำปลายังรสชาติดีไม่จืดจางด้วย
“คือมันเด็ดมากอ่ะพี่ปูน!” ทั้งที่ข้าวยังเต็มปากแต่ผมก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้ ผมเชื่อแล้วครับเจ๊ว่าของเจ๊อร่อยสุดในสยามประเทศ “พี่รู้จักร้านนี้ได้ไงอ่ะ”
“หลงทางผ่านมา” พี่ปูนพูดง่ายๆ ข้าวยังเคี้ยวไม่หมดปากเหมือนผมนั่นแหละ แต่แลดูไม่อุบาทเหมือนกันเท่านั้น “เห็นคนเยอะเลยลองแวะกิน”
“อร่อยมากอ่ะพี่ ราคาก็ไม่แพงด้วย”
พี่ปูนกินหมดก่อนตามด้วยการกระดกน้ำลงคอรวดเดียวหมดแก้ว ผมที่เห็นท่าว่าพี่แกคงจะกระหายน้ำพอดูจึงขอแก้วเปล่าจากพี่ปูนเพื่อลุกไปกดน้ำมาให้อีกครั้ง ผมส่งแก้วคืนพี่แกด้วยรอยยิ้มผิดกับพี่ปูนที่มองผมด้วยสีหน้าปั้นยาก
“เป็นอะไรของแกวะลุง?”
“เอ่อ...ก็ผมอยากบริการพี่บ้าง” ผมอ้อมแอ้มตอบ และคิดถึงโอกาสที่ต้องการมาทั้งวัน ถ้าผมไม่พูดตอนนี้จะได้มีโอกาสอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ “เอ่อ...แล้วตอนนี้...เอ่อ...ร่างกายพี่เป็นไงบ้างหลังจากที่ผม...เอ่อ....”
พี่ปูนตีหน้างงไปสักแป๊บก่อนที่จะลากเสียงยาวอย่างเข้าใจคำถามในที่สุด “ก็ปกติดีแล้ว แกทำพี่ปวดสะโพกน่าดู”
“ผมทำพี่แรงขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมนี่อยากจะทิ้งช้อนแล้วซุกหน้าลงกับฝ่ามือเพื่อปกปิดความอาย ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองจะรุนแรงในเรื่องเซ็กส์ได้ขนาดนี้ ทั้งที่กับแฟนคนก่อนๆ ยังบอกราวกับนัดกันมาว่าผมออกจะอ่อนโยน ทะนุถนอมพวกเธอแค่ไหน
“สองรอบเลยนะคิดว่ามันขนาดไหนล่ะ พี่ไม่เตะคืนก็บุญแล้ว”
แม้พี่ปูนดูจะโมโหนิดๆ แต่มันกลับทำให้ผมอายหนักยิ่งกว่าเดิม ส...สองรอบเสียด้วย แสดงว่าผมคงติดใจร่างกายพี่ปูนอย่างหนักแน่ๆ ต่อไปนี้ผมคงต้องระวังตัวในการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มากกว่าเดิมแล้ว ไม่อย่างนั้นอาจเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาอีกก็ได้ ผมวางช้อนส้อมในมือลง ความหิวหายไปจนเกลี้ยงทั้งที่ยังกินได้ไม่หมดจาน ผมยกมือไหว้พี่ปูนอย่างขออภัยจากใจจริง
“เฮ้ย! ไม่ต้องไหว้ พี่ไม่ถือสาหรอกเรื่องแค่นี้เอง อีกอย่างแกก็ไม่รู้ตัวดัวย”
คำพูดที่เหมือนอยากให้เรื่องมันผ่านเลยไปทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมา พี่ปูนช่างใจกว้างเหลือเกิน มันทำให้ผมรู้สึกแย่ที่เคยคิดหมั่นไส้พี่เขาอยู่หลายปี แต่ในเมื่อผมเป็นลูกผู้ชาย พ่อสอนให้ผมกล้าทำกล้ารับ ถึงแม้จะบอกว่าผมไม่มีสติก็เถอะ แต่ผมก็ทำการปลุกปล้ำพี่ปูนไปแล้ว
“พี่ปูนครับ” ผมแทบจะลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อเอื้อมมือไปฉุดรั้งมือพี่ปูนมากุมไว้ “
ผมจะรับผิดชอบพี่เองครับ!!”
ผมก็ไม่ได้หวังว่าพี่ปูนจะทำหน้าเอียงอายแล้วก็พยักหน้ายอมรับหรอกนะ แต่การชักมือกลับแล้วบรรจงฟาดลงมาเต็มกบาลผมนั้นก็ไม่ได้อยู่ในความคิดด้วยเหมือนกัน พี่ปูนโกรธจนแทบจะกินหัวผมได้อยู่แล้วตอนที่ผุดลุกขึ้นออกจากร้านไป มันเหมือนว่าทุกอย่างรอบตัวผมเงียบสงัด และเมื่อหันไปมองรอบร้านก็พบกับสายตาหลายคู่ที่จ้องตอบกลับมา เวรของกรรม! ผมทำได้แค่หัวเราะแหะๆ แล้วรีบเก็บของวิ่งออกจากร้านตามพี่ปูนไปติดๆ
ผมยืนทำตัวไม่ถูกเล็กน้อยอยู่หน้ารถพี่ปูน แต่ก็ตัดสินใจโกออนต่อไปโดยการเปิดประตูรถเข้าไปนั่งอย่างกล้าหาญ พี่ปูนเงียบจนน่ากลัว ผมนี่ใจหดเหลือเท่าเมล็ดถั่วเมื่อพี่ปูนหันมาพร้อมแดกผมด้วยเสียงอันดังลั่นห้องโดยสาร
“
แกคิดว่าทำอะไรอยู่วะ รับผิดชอบบ้าบออะไร!!”
“
ก็ผมปล้ำพี่ พี่เป็นเมียผมแล้วผมก็ต้องรับผิดชอบ!!” ผมก็สวนออกไปด้วยเสียงดังดุจเดียวกัน
ความเงียบเข้าครอบงำ พี่ปูนอ้าปากค้าง หน้าเหวอจนหมดภาพลักษณ์เซ็กซี่กายในใจผมไปจนเกลี้ยง ดวงตาคมกระพริบปริบๆ คล้ายกับพยายามประมวลข้อความที่ผมได้โพล่งออกไป ผมจ้องนัยน์ตาดำขลับตรงหน้าแน่วแน่ มันสื่อออกหลากหลายอารมณ์จนผมไม่แน่ใจว่าพี่ปูนรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ แต่เมื่อแววตาไหวระริกครั้งสุดท้ายพร้อมกับรอยยิ้มเหยียดน้อยๆ ที่แสนจะดูดีเผยออกมา พี่ปูนก็ดูสงบลงอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ
“เอาจริงเหรอวะพัทลุง”
“จริงสิพี่! ผมเป็นลูกผู้ชาย ผมทำอะไรไปผมรับผิดชอบ” พี่ปูนดูคล้ายจะขบขันกับการยืดอกรับผิดชอบของผม “พี่ขำทำไมอ่ะ? ไม่เชื่อใจผมเหรอ”
“เปล่าๆ” คำปฏิเสธของพี่ปูนช่างขัดกับร่อยรอยที่มุมปากอย่างเห็นได้ชัด และก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรออกไปอีก ฝ่ามือใหญ่ก็ตบลงบนบ่าผมป้าบๆ ด้วยเรี่ยวแรงที่เกินมนุษย์มนา ทำเอาผมไหล่ลู่ตกอย่างช่วยไม่ได้
“ต่อไปนี้ก็ดูแลพี่อย่างดีนะน้องลุง”
คราวนี้ผมเป็นฝ่ายอ้าปากค้างบ้าง ใจมันเต้นตึกตักกับการปลดปล่อยความรู้สึกหนักอึ้งที่มีมาสองวัน ในที่สุดผมก็ไม่ต้องรู้สึกผิดกับการล่วงเกินพี่ปูนอีกต่อไป มันทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างโล่งอกที่สุดที่ไม่ถูกปฏิเสธอีกครั้ง ผมยิ้มให้พี่ปูน เป็นรอยยิ้มที่กว้างอย่างที่ไม่เคยยิ้มให้มาก่อน
“หึหึ ...เด็กดี”
พี่ปูนยิ้มบ้างพร้อมกับโยกหัวผมไปมา ผมว่าผมชอบจริงๆ นะ เหมือนรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กที่กำลังถูกพี่ชายเอ็นดู มันจั๊กจี้ที่หัวใจยังไงก็บอกไม่ถูก...แต่ผมชอบจัง
พี่ปูนถอยรถออกจากที่จอดเพื่อมุ่งหน้ากลับบริษัท รอยยิ้มผมกับพี่ปูนยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก แม้รอยยิ้มของพี่แกจะดูเจ้าเล่ห์จนน่าหวาดระแวงก็เถอะ แต่สำหรับยิ้มของผมในตอนนี้นั้นหาใช่ยิ้มปิติยินดีเหมือนเมื่อห้านาทีที่แล้วแต่อย่างใด แต่มันเป็นยิ้มกลบเกลื่อนความเจ็บต่างหาก
ผมแอบลูบไหล่ข้างที่โดนตบเบาๆ มันยังเจ็บยิบๆ เหมือนมีมดนับพันตัวผลัดกันกัดผมอยู่ข้างใน พี่ปูนแม่งมือหนักเกินกว่าที่คาดไว้มาก แต่ถ้าจะวิเคราะห์จากกล้ามเนื้อของมันก็นับว่าสมเหตุสมผล แล้วงี้ถ้าเกิดเหตุการณ์ทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้นมา มันมิตบผมกระเด็นติดกำแพงเลยรึไง
แค่คิดผมก็ห่อตัวด้วยความหนาวจับขั้วหัวใจ...เห็นทีว่าผมคงต้องเริ่มออกกำลังกายเพื่อเตรียมพร้อมรับมือรับตีนพี่ปูนไว้บ้างแล้ว
TBC.