[H.E.A.R.T.] R. Rabid หัวใจคลั่งรัก
Part 10# Pie ไม่อยากเป็นแค่เพื่อน
“มึงโอเคใช่มั้ย” เพลิงถามหลังจากที่เราสองคนนั่งกันอยู่ในรถ
ตอนนี้เพลิงสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วแต่ยังไม่ได้ขับออกไปไหน ส่วนไทยมุงทั้งหลายก็มองมาจากที่ไกลๆ แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้มากนักเพราะรู้ว่าเพลิงกำลังอารมณ์ไม่ดี แล้วฟิล์มรถคันนี้ก็ทึบมากจนไม่สามารถมองทะลุถึงข้างในได้
“อืม เราโอเค” ถึงจะตอบแบบนั้นแต่ผมกลับรู้สึกตรงกันข้าม ผมรู้สึกแย่มากจนแว้บหนึ่งคิดว่าอยากจะหายจากโลกนี้ไปซะ
ป่านนี้เรื่องที่เดือนด่าผมคงจะรู้กันทั่วทั้งมหา’ลัย แล้วหลังจากนี้ผมจะมีหน้าไปเรียนได้ยังไง ผมทนไม่ได้หรอกนะที่ต้องตกเป็นเป้าสายตาแล้วก็ถูกนินทาไม่ว่าจะต่อหน้าหรือว่าลับหลัง ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมเครียดจัดจนกำหมัดแน่น เล็บที่ค่อนข้างยาวเพราะไม่ได้ตัดมาสักพักเลยจิกเข้าที่มือ ผมไม่รู้สึกเจ็บและไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด จนกระทั่งเพลิงยื่นมือมาจับที่มือของผมเอาไว้
“ไม่ต้องกลัว กูจะปกป้องมึงเอง” สิ้นเสียงนั้นน้ำตาของผมมันก็ไหลออกมา วินาทีนั้นความรู้สึกร้อยพันมันประเดประดังเข้ามาจนเอ่อล้นในใจของผม ความเครียดที่กำลังสะสมจวบจนจะระเบิดได้สลายหายไป แต่ก็ดูเหมือนว่าเพลิงจะไม่เข้าใจเลยรีบดึงตัวผมเข้าไปกอด
“ก็บอกว่าไม่ต้องกลัวไงเล่า ถ้ายัยนั่นหรือใครกล้ามาทำร้ายมึงอีกกูไม่เอามันไว้แน่...บ้าเอ๊ย แล้วนี่มึงจะยิ่งร้องไห้ทำไมวะเนี่ย” ถึงคำพูดของเพลิงจะดูเหมือนหัวเสียและเกรี้ยวกราด แต่ความจริงแล้วเพลิงกลับกังวลและทำอะไรไม่ถูกมากกว่า
“ฮึ่ก...ขะ...ขอบใจมากนะ...ถ้าวันนี้ไม่มีนาย...เรา...ฮึ่ก...คงจะแย่กว่านี้แน่ๆ” ผมพยายามฝืนพูดทั้งที่กำลังสะอื้น เมื่อกี้ผมมันทั้งกากและอ่อนแอจนช่วยเหลือตัวเองแทบไม่ได้ แต่ว่าแค่คำขอบคุณผมต้องพูดมันให้ได้ ผมขอบคุณเพลิงจากใจที่เข้ามาช่วยปกป้องผม
“อะไรเล่า ที่แท้มึงก็ร้องไห้เพราะเรื่องนี้เองหรอ” น้ำเสียงของเพลิงดูโล่งใจ ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบที่ศีรษะของผมไปมา ผมรู้สึกว่าวันนี้เพลิงอ่อนโยนต่างจากปกติมากๆ จนหัวใจของผมถึงกับเต้นแรงขึ้นมาเลย
“ระ...เรา...เราโอเคแล้วล่ะเพลิง” และก่อนที่เพลิงจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวนี้ ผมก็รีบขืนตัวออกมาแล้วกลับไปนั่งอย่างเรียบร้อยที่เก้าอี้
“มีที่ที่อยากไปมั้ย บอกมาเลยไม่ต้องเกรงใจ กูจะพามึงไปทุกที่เลย” เพลิงพูดราวกับรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร
ใช่แล้ว ผมไม่อยากอยู่ที่นี่ อยากไปให้ไกลจากตรงนี้ ไม่อยากเจอหน้าใครและไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น จะไปที่ไหนก็ได้ ไปอยู่นานหลายๆ วัน นานมากพอจนผมลืมหรือเลิกใส่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้
“ถ้าหาก...เราอยากไปทะเล...” ผมพูดด้วยเสียงอ้อมแอ้ม ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะผมไม่แน่ใจว่าเพลิงจะสามารถพาผมไปได้มั้ย มันจะไกลเกินไปรึเปล่า
ส่วนถ้าถามว่าทำไมผมถึงอยากไปทะเล นั่นก็เป็นเพราะว่าผมยังไม่เคยเห็นแล้วก็ไม่เคยไปเลยสักครั้งในชีวิต หากได้มองเห็นอะไรใหม่ๆ อยู่ในบรรยากาศที่แตกต่างจากเดิม มันก็อาจจะเยียวยาความรู้สึกแย่ๆ ให้หายไปก็ได้
“ไม่มีปัญหา กูบอกแล้วไงว่าถ้ามึงอยากไปไหนกูก็จะพามึงไปทุกที่” เพลิงยกมือขึ้นมาวางบนศีรษะของผม ผมจึงยิ้มให้เพลิงทั้งที่ไม่คิดว่าวันนี้ผมยังจะยิ้มออกมาได้อีก ก่อนที่เพลิงจะขับรถออกไปโดยที่ต่อสายหาใครคนหนึ่งไปด้วย
“ฮัลโหล ตอนนี้ผมกำลังจะไปบ้านพักที่หัวหินนะพี่ภู บอกคนไปทำความสะอาดแล้วก็เปิดบ้านไว้รอหน่อยดิ...ไม่ได้ไปเล่น จะไปนั่งทำวิจัยแล้วก็คิดโปรเจคจบ...จะตามมาคุมเลยมั้ยล่ะถ้าไม่เชื่อ...ไม่รู้ดิ กลับวันไหนเดี๋ยวบอกอีกที แค่นี้นะ ผมขับรถก่อน” แล้วเพลิงก็วางสายไป ท่าทางที่โกหกได้อย่างลื่นไหลทำเอาผมอดที่จะทึ่งไม่ได้ แต่อีกใจนึงก็ชักหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน ที่ผ่านมาผมคิดว่าตัวเองต้องเคยโดนเพลิงหลอกหลายเรื่องแน่ๆ
“บ้านที่หัวหินปกติไม่มีใครอยู่หรอ” ผมชวนเพลิงคุย คงเป็นเพราะรถเงียบเกินไปตั้งแต่ที่เพลิงวางสายจากพี่ชายล่ะมั้ง
“อืม ปกติกูกับคนที่บ้านก็จะอยู่กันที่กรุงเทพนี่แหละ”
แล้วเพลิงก็เล่าต่อว่า บ้านหลังนี้พี่ชายคนโตของเพลิงซื้อไว้เมื่อช่วงวาเลนไทน์ที่ผ่านมา เห็นว่าเป็นสถานที่ที่พี่ชายขอคบกับแฟนและแต่งงานกัน ที่นั่นมีแต่ความทรงจำอันสวยงามและอบอวลไปด้วยความรัก แถมบรรยากาศก็ดีมากเหมาะแก่การมาพักผ่อน พี่ชายของเพลิงเลยตัดสินใจซื้อเอาไว้เพราะคงจะได้ไปอีกหลายครั้ง ถึงแม้ราคาจะสูงเอาเรื่องเพราะเป็นที่ติดทะเล แต่ถ้าเทียบกับความรู้สึกยังไงมันก็คุ้ม
“ฟังดูแล้วโรแมนติกจังเลยเนอะ พี่ชายของนายคงจะรักแฟนน่าดูเลย” ถึงแม้จะไม่เคยเห็น แต่จากคำบอกเล่าพี่ชายของเพลิงต้องรักแฟนมากแน่ๆ ทำเอาผมอดที่จะรู้สึกอิจฉาขึ้นมาไม่ได้ ถ้าผมมีแฟนที่รักผมมากแบบนั้นก็คงจะดีสินะ
“เออ รักมากเลยล่ะ มึงเชื่อปะว่าก่อนหน้านี้กูไม่เคยเชื่อในความรักเลยนะ แต่ตอนนี้ความเชื่อของกูมันได้เปลี่ยนไปแล้ว” ขณะนี้รถกำลังติดไฟแดงอยู่พอดี เพราะงั้นเพลิงจึงได้หันมาทางนี้แล้วจ้องเข้ามาในดวงตาของผม ซึ่งผมก็รู้สึกยินดีด้วยจากใจจนอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“นี่ถ้าพี่ชายของนายรู้ว่า ได้ทำให้มุมมองความรักของนายเปลี่ยนไป พี่ชายของนายคงจะดีใจมากๆ เลยเนอะ” ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นของผมเพลิงก็ไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ถอนหายใจออกมาแล้วหันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาขับรถเหมือนเดิม
นี่เพลิงเป็นอะไรไป? หรือว่าผมพูดอะไรผิดไปงั้นหรอ?
แต่ถึงจะพยายามถามตัวเองเท่าไหร่ผมก็ไม่ได้คำตอบ แถมความง่วงยังถามหาจนผมค่อยๆ จมสู่ห้วงนิทรา เพลิงที่สังเกตเห็นจึงกดสวิตช์ด้านข้างเพื่อปรับเลื่อนเบาะให้เอนราบ ผมก็พึ่งรู้วันนี้นี่แหละว่ารถราคาแพงมันมีระบบภายในที่ต่างจากรถธรรมดา ก็นึกว่าแพงเพราะตราสัญลักษณ์กับชื่อแบรนด์ซะอีก
เกือบ 3 ชั่วโมงหลังจากนั้นผมถึงได้ตื่นขึ้นมา ซึ่งผมก็พบว่าตัวเองได้มาถึงบ้านพักที่หัวหินเป็นที่เรียบร้อย บ้านหลังนี้เป็นบ้านสไตล์วินเทจที่ตั้งอยู่ริมทะเล หลังใหญ่พอสมควรเพราะน่าจะมีหลายห้อง เป็นบ้านที่สวยงามเหมาะแก่การมาพักผ่อนเพราะบรรยากาศดีมากจริงๆ
“บ้านสวยมากเลย”
“คิดแล้วว่ามึงต้องชอบ เข้าไปดูข้างในกัน” เพลิงพูดจบก็เดินนำผมเข้าไปในบ้าน โดยที่สองมือของเพลิงก็ถือถุงเสื้อผ้าแล้วก็ของใช้ที่แวะซื้อก่อนเข้ามา เพลิงไม่รู้ว่าผมจะอยู่กี่วันเลยซื้อมาซะเยอะ แถมพอจะให้เงินก็ยังไม่ยอมรับไว้อีก
“ที่บ้านนี้มี 6 ห้อง มึงอยากนอนห้องไหนเลือกได้ตามสบาย อ้อ แล้วก็เลือกของใช้กับเสื้อผ้าเข้าไปด้วยนะ” ผมรู้สึกงงเล็กน้อยว่าทำไมเพลิงไม่ให้ผมหยิบของทั้งหมดเข้าไปในห้องเลย จะให้ผมเลือกไปทำไม แต่เพลิงก็เดินเข้าไปในห้องครัวที่อยู่ไม่ไกลซะก่อน เพราะงั้นผมเลยไม่มีโอกาสที่จะได้ถาม
ผมหันไปเลือกเสื้อผ้ากับของใช้แล้วเดินเข้าไปในห้องห้องหนึ่งที่มองเห็นวิวทะเลชัดที่สุด แถมยังสามารถเปิดประตูที่เป็นกระจกออกไปเดินเล่นที่ชายหาดและรับลมทะเลได้เลย ก่อนที่ผมจะเดินสำรวจห้องพร้อมกับเก็บข้าวของเครื่องใช้ให้เข้าที่ ซึ่งพอผ่านไปสัก 5 นาทีเพลิงก็เดินเข้ามาหาผม
“หิวรึยัง กับข้าวเสร็จแล้วนะ”
“หืม? นี่นายเข้าครัวไปทำกับข้าวงั้นหรอเพลิง” ผมถามด้วยความแปลกใจ รู้สึกเซอร์ไพรส์มากที่คนอย่างเพลิงทำกับข้าวเป็น แถมยังทำให้ผมกินด้วยอีกต่างหาก รู้สึกดีใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเลยแฮะ
แต่ถึงผมจะคิดอย่างนั้น...
“มึงจะบ้ารึไง ถ้ากูทำกับข้าวครัวคงไหม้บ้านคงวอดกันพอดี คิดอะไรปัญญาอ่อน” เพลิงส่ายหน้าไปมา ส่วนผมก็หน้าจ๋อยไปตามระเบียบน่ะสิที่ดีใจเก้อ
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ เห็นเมื่อกี้นายเดินเข้าไปในครัวนี่นา”
“กูเดินไปเช็คไงว่าแม่บ้านทำกับข้าวไว้ให้รึเปล่า”
“อ๋อ” ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง
“ให้ตายสิ นี่กูคิดว่าวันนี้จะใจดีกับมึงแล้วนะ แต่จู่ๆ ดันมาถามอะไรแบบนี้กูก็เผลอลืมตัวน่ะสิ เฮ้ออออ ช่างเถอะไปกินข้าวกันมึง กูยกอาหารไปที่โต๊ะแล้ว” เพลิงพูดจบก็กอดคอผมออกไป ซึ่งผมก็ไม่ได้พูดอะไร แค่เดินตามไปอย่างเดียวเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้ทำไมผมถึงได้แอบอมยิ้มออกมา
ที่โต๊ะอาหารมีกับข้าวอยู่ 3 อย่างพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ แต่ละอย่างมีวัตถุดิบหลักเป็นของทะเลที่สดใหม่ รสชาติหวานล้ำและเนื้อแน่นมากกว่าที่เคยกินครั้งไหนๆ ทำเอามือนี้ผมเจริญอาหารมากกว่าปกติทั้งที่ไม่คิดว่าจะมีอารมณ์กินเลยด้วยซ้ำ
“ขอบใจนายมากนะ อาหารอร่อยมากๆ เลย”
“กูไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ถ้าจะขอบคุณก็ไปขอบคุณแม่บ้านนู่น”
“เราไม่ได้หมายถึงเฉพาะเรื่องอาหาร แต่เราหมายถึงทุกอย่าง เราดีใจมากนะที่ตอนนี้มีนายอยู่ด้วย” ทันทีที่ผมพูดจบเพลิงก็ดูจะอึ้งๆ ไป แถมใบหูก็แดงเถือกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“กะ...ก็แค่เรื่องจิ๊บจ๊อยน่า อ่า...ไปเดินเล่นข้างนอกกันมั้ย ตรงชายหาด...แบบว่า...บรรยากาศมันน่าจะดี” ผมไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เพลิงถึงได้พูดตะกุกตะกัก แถมส่วนที่แดงก็ยังไม่ใช่เพียงแค่ใบหูแล้ว แต่ใบหน้าก็ยังแดงจัดแทบจะไม่ต่างกันเลยด้วยซ้ำ
“ก็ดีเหมือนกัน งั้นเราไปกันเลยมั้ย”
“อืม” เพลิงพยักหน้าแล้วลุกขึ้นเก็บจานชามไปวางไว้ที่ซิงค์ ซึ่งจานชามพวกนี้พวกผมไม่ต้องล้าง พรุ่งนี้ตอนเช้าแม่บ้านจะเข้ามาจัดการพร้อมทำกับข้าวไว้ให้พวกเรา
ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ซึ่งไม่ถือว่าดึกมากสำหรับกรุงเทพ แต่สำหรับที่นี่คงจะถือว่าดึกเลยล่ะเพราะเงียบสงบเอามากๆ เสียงอย่างเดียวที่มีคือเสียงคลื่นที่เคลื่อนตัวเข้ามากระทบชายฝั่ง น้ำเย็นๆ กับทรายนุ่มๆ ที่เท้าของผมสัมผัสได้ให้ความรู้สึกที่สดชื่นและผ่อนคลายจากความเครียดที่สะสมมาทั้งวัน
ผมกับเพลิงไม่ได้คุยอะไรกันมาก แค่เดินไปด้วยกันเรื่อยๆ โดยหันไปมองหน้ากันเป็นครั้งคราวและส่งยิ้มให้กันบ้าง แต่น่าแปลกที่เราสองคนกลับเหมือนว่าได้รู้จักกันมากขึ้น ระยะห่างได้แคบลง จนกระทั่งกุมมือกันตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ผมรู้แต่ว่ามือคู่นี้ของเพลิงช่างอบอุ่น แต่ในขณะเดียวกันก็แข็งแรงมากพอที่จะสามารถปกป้องผมได้
หลังจากที่เดินเล่นด้วยกันร่วมชั่วโมงผมกับเพลิงก็กลับเข้าบ้าน ต่างคนต่างไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็มานั่งคุยกันที่หน้าประตูกระจกของห้องผม ชมวิวทิวทัศน์ข้างหน้าพร้อมรับลมเย็นๆ ที่พัดผ่านมาเป็นระรอก
“เราขออยู่ที่นี่จนถึงวันอาทิตย์เลยได้มั้ย” วันนี้เป็นวันพุธเพราะงั้นวันพรุ่งนี้กับวันศุกร์ก็ต้องขาดเรียน ด้วยความที่เป็นเด็กทุนผมจึงไม่เคยทำตัวเหลวไหลแบบนี้มาก่อน แต่ว่าตอนนี้ผมไม่พร้อมที่จะกลับไปจริงๆ แล้วผมก็ปิดมือถือเพื่อตัดขาดจากทุกๆ คนอีกด้วย มีแค่อินน์คนเดียวที่ผมส่งข้อความไปบอกว่าขอหลบไปทำใจสักพัก หากพร้อมเมื่อไหร่แล้วผมจะกลับไปเรียน
“มึงจะอยู่ที่นี่กี่วันก็ได้ จะอยู่ทั้งเดือนก็ไม่มีปัญหา กูจะอยู่ข้างๆ มึงเอง” เพลิงวางมือลงที่ศีรษะของผมแล้วยิ้มออกมาบางๆ ผมรู้สึกตื้นตันเอามากๆ จนอดที่จะน้ำตาซึมออกมาไม่ได้
“ขอบใจนะ แต่ว่าอยู่ทั้งเดือนคงไม่ไหว คงโดนไล่ออกกันทั้งคู่กันพอดี”
“นั่นสินะ แค่วันจันทร์กูยังไม่กลับบ้านพี่กูได้ตามมาลากคอแน่ๆ” แล้วผมกับเพลิงก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนที่เราสองคนจะนั่งมองคลื่นและรับลมทะเลอีกสักพัก เมื่อคิดว่าดึกมากแล้วเพลิงจึงได้ลุกขึ้นแล้วก็ชวนผมกลับเข้าไปข้างใน
“ฝันดีแล้วกัน ถ้ามีอะไรหรือนอนไม่หลับก็เรียกกูได้ตลอดเลยนะ กูอยู่ห้องข้างๆ นี่แหละ” เพลิงพูดจบก็เดินออกไปจากห้อง ผมที่ถึงแม้จะยังรู้สึกงงๆ แต่ก็เดินออกไปส่งแต่โดยดี
“เอ่อ...อืม...ฝันดีเหมือนกัน” อะไรกัน ผมก็นึกว่าเพลิงจะนอนกับผมที่ห้องนี้ซะอีก
“เป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น หรือมึงยังคิดมากเรื่องที่ถูกยัยนั่นด่าอยู่” เพลิงถามผมด้วยความเป็นห่วง จะเป็นอะไรมั้ยนะถ้าผมจะขอใช้ประโยชน์จากตรงนั้น ก็ผมยังไม่อยากแยกกับเพลิงนี่นา
“ปะ...เปล่าหรอก แต่ว่า...เราไม่อยากนอนคนเดียว นายช่วยนอนเป็นเพื่อนเราหน่อยได้มั้ย” ผมพูดด้วยความประหม่า แถมยังก้มหน้าลงต่ำซะจนมองไม่เห็นว่าเพลิงกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่
“...” เพลิงไม่ยอมตอบอะไรได้แต่นิ่งเงียบ ผมเลยอายนิดๆ แถมยังรู้สึกผิดที่เอาแต่คิดจะรบกวนเพลิงเลยว่าจะบอกไม่เป็นไร
“คือ...”
“ถ้าแค่เพื่อนกูไม่นอน”
“หา?”
“กูไม่อยากเป็นแค่เพื่อนของมึง” เพลิงมองเข้ามาในดวงตาของผมอย่างจริงจัง แต่ผมไม่เข้าใจความหมายนั้นเลยขมวดคิ้วด้วยความงุนงง เพราะผมกับเพลิงก็ไม่ได้เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วนี่นา เราสองคนเป็นแค่เซ็กส์เฟรนด์ หรือว่าบางทีเพลิงอาจจะอยากเลื่อนขั้นไปมากกว่านั้น?
จากเซ็กส์เฟรนด์เป็นเพื่อน ถ้างั้นจากเพื่อนก็ต้องเป็น...?
“เราให้นายเป็นเพื่อนสนิทเลยก็ได้” เท่านั้นแหละเพลิงก็แยกเขี้ยวใส่ผม แล้วใช้นิ้วจิ้มที่หน้าผากจนหน้าผมหงายทันที
“เพื่อนสนิทบ้านมึงแม่งเอากันได้ด้วยรึไง!”
“ถ้างั้นแล้วนายอยากจะเป็นอะไรกับเราล่ะ ทาสกับเจ้านายงั้นหรอ”
“โว้ยยยยย! ชักไปกันใหญ่แล้วนะมึงนี่!” คราวนี้เพลิงเอามือตบหน้าผากตัวเอง ดูท่าทางหงุดหงิดราวกับว่าผมพูดไม่ได้ดั่งใจ
ก็ผมจะรู้มั้ยล่ะว่าเพลิงอยากจะเป็นอะไรกับผม ผมไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่ค่อยได้เข้าสังคม แล้วก็ไม่ค่อยได้คุยกับใคร เพราะงั้นผมเดาใจเพลิงไม่ถูกหรอกนะ ทำไมถึงไม่ยอมพูดให้มันชัดๆ ไปเลยก็ไม่รู้
“ช่างแม่งเถอะ เอาเป็นว่าถ้าอยากให้นอนเป็นเพื่อนกูจะนอนด้วยก็ได้” เพลิงพูดจบก็จัดการปิดประตูแล้วจูงมือผมขึ้นไปนอนบนเตียง
หลังจากที่ปิดไฟและห่มผ้าขึ้นมาจนเกือบถึงคอแล้วเพลิงก็กอดผมเอาไว้ พอผมเงยหน้าขึ้นไปเพลิงก็ก้มหน้าลงมาจุ๊บเบาๆ ที่หน้าผาก แต่ผมก็ยังลืมตาอยู่อย่างนั้นจนเพลิงต้องเอ่ยปากถาม
“เป็นอะไร ทำไมยังไม่ยอมนอนอีก”
“คือ...ปกติมันไม่ใช่แบบนี้”
“แล้วปกติที่มึงว่ามันคือแบบไหน”
“ก็...นายจะต้อง...เอ่อ...ทำ...ก่อน...” ยิ่งพูดเสียงของผมก็ยิ่งเบาลงเรื่อยๆ แถมยังอู้อี้ด้วยจนเพลิงไม่น่าจะฟังรู้เรื่อง เพราะงั้นผมเลยตัดสินใจถามออกไปอีกครั้ง
“วันนี้จะไม่ทำหรอเพลิง”
“หา?” เพลิงทำหน้างงไปแว้บหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจเลยถอนหายใจออกมา สีหน้าของเพลิงตอนนี้ดูเหลืออดกับผมยังไงก็ไม่รู้
“มึงนี่น้า กูก็อุตส่าห์ฝืนอ่อนโยนทำตัวเป็นคนดีแทบตาย แต่สุดท้ายกูก็ต้องกลับมาเป็นดีแตกเหมือนเดิมจนได้” เพลิงพูดจบก็พลิกตัวขึ้นมาคร่อมผมเอาไว้ จากนั้นก็จัดการถอดเสื้อผ้าของผมออกไปโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น
“มึงเป็นคนยั่วกูเองนะ จะมาโทษกูทีหลังไม่ได้นะเว่ย” คำพูดของเพลิงเหมือนเป็นคำเตือนครั้งสุดท้าย หากผมเปลี่ยนใจตอนนี้เพลิงก็อาจจะหยุดทัน แต่นอกจากจะไม่ห้ามผมยังยื่นสองมือขึ้นไปโอบรอบลำคอของเพลิงเอาไว้อีกต่างหาก
“เราไม่โทษนายหรอก แล้วนายก็ไม่ต้องฝืนอ่อนโยนกับเราด้วย” เมื่อได้ยินแบบนั้นเพลิงก็ไม่ทนอีกต่อไป แล้วก็ก้มหน้าลงมาจูบที่ริมฝีปากของผมทันที
จูบนี้ไม่ได้มีความอ่อนโยน ยังคงรุนแรงและดุดันเหมือนเดิม แต่ผมกลับรู้สึกชอบ ยินดี และเต็มใจ ซึ่งผมก็ไม่ได้หมายถึงเรื่องจูบอย่างเดียว ผมหมายถึงเรื่องที่กำลังจะกลายเป็นของเพลิงด้วยเช่นกัน...
2BC
ฮัลโหลวววว สวัสดีค่า Rabid ตอนที่ 10 ก็จบลงไปเรียบร้อยแล้วน้า ตอนนี้มาเลยวันที่นัดไว้ไปชม.กว่าๆ ซึ่งเราก็ต้องขอโทษจริงๆค่าเพราะทำโอทีกว่าจะถึงบ้านก็เที่ยงคืนกว่าเลย ฮือออออ
แล้วเพื่อเป็นการไถ่โทษเค้าเลยตัดของตอนหน้ามาใส่ตอนนี้ให้ยาวมากขึ้น ซึ่งก็หวังว่าจะชื่นชอบตอนนี้กันนะคะ มีหลายรส หลายอารมณ์ หลายรสชาติ โดยเฉพาะความหวานที่ชาตินึงจะได้เห็นจากอีตาเพลิงสักที 55555
ส่วนตอนหน้าอย่างเร็ววันอาทิตย์ หรืออย่างช้าวันจันทร์เจอกันค่า ดึกๆเหมือนเดิมนะที่ร้าก บ๊ายบายยยยยย
(29 มิ.ย. 61)