6
รอยยิ้ม
นรินทร์ตักข้าวเหนียวร้อนๆ ใส่บาตรพระ วางกระทงใบตองใส่คั่วหน่อไม้ที่เพิ่งทำเสร็จมาใหม่ๆ ตามลงไป ก่อนจะประนมมือรับพร
วันนี้นรินทร์ตื่นขึ้นมาก็รีบล้างหน้าล้างตา เข้าครัวหุงข้าว ทำกับข้าวมาตักบาตร
ครูรินใส่บาตรอาทิตย์ละวัน ไม่ได้กำหนดว่าเป็นวันไหน แล้วแต่วันที่สะดวกหรือวันที่ขยันทำอาหารเช้าด้วยตัวเอง
เมื่อพระสงฆ์ออกเดินไปแล้ว นรินทร์จึงวางถาดอาหารไว้ยังเก้าอี้ที่เอาออกมาวางตั้งไว้ จะได้ไม่ต้องถือถาดในขณะที่รอพระสงฆ์รูปต่อไป
ตอนนั้นเอง ในกรอบสายตาที่มองทอดไปยังถนนก็ปรากฏคนคนหนึ่งขึ้น
อัลวินอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีดำ เผยให้เห็นกล้ามแขนขนาดกำลังพอดี มีผ้าขนหนูพาดอยู่ที่คอ ผมสีบลอนด์เสยขึ้นไปลวกๆ แต่ยิ่งทำให้คนที่กำลังวิ่งเหยาะๆ ด้วยท่วงท่าทะมัดทะแมงมาทางนี้ดูฮอตระเบิดระเบ้อ
ยิ่งมองนรินทร์ก็ยิ่งอิจฉาผู้ชายคนนี้ แค่ออกไปวิ่งจำเป็นต้องดูดีขนาดนี้ไหม
อัลวินวิ่งมาใกล้นรินทร์ก็ผ่อนฝีเท้าลง ผงกหัวให้เป็นการทักทาย นรินทร์ยิ้มรับก่อนจะเอ่ยทักบ้าง
"ออกไปวิ่งแต่เช้าเลย ตื่นเช้าจังนะครับ"
"คุณก็เหมือนกัน"
อัลวินไม่ได้ยิ้มตอบกลับมา แต่เพียงแค่อีกฝ่ายต่อบทสนทนาก็ทำให้นรินทร์รู้สึกว่าการปราศรัยสำเร็จผลแล้ว
"ผมเป็นครูนี่นา ต้องตื่นเช้าเป็นธรรมดา" นรินทร์ว่ายิ้มๆ
"โรงเรียนเคารพธงชาติแปดโมงไม่ใช่เหรอ" อัลวินย้อนถามพร้อมกับก้าวเหยาะๆ มาหยุดตรงหน้าเขา
"คุณรู้ด้วยเหรอ"
"ผมได้ยินเพลงชาติไทยทุกวัน"
"จริงด้วยสิครับ บ้านคุณอยู่แค่นี้เอง" นรินทร์ว่า บ้านของอัลวินก็ถือว่าอยู่ติดๆ กับโรงเรียนจึงไม่แปลกที่ได้ยินเสียงเด็กๆ เคารพธงชาติ "แต่เป็นครูก็ต้องไปถึงก่อนเคารพธงชาติอยู่แล้วครับ อีกอย่างผมชอบตื่นก่อน เลยไปถึงก่อนเวลามากๆ จนรับหน้าที่ไปเปิดห้องเรียนแทนภารโรงแล้ว" เขาบอก
"คุณออกมาตักบาตร?" อัลวินเห็นถาดอาหารวางอยู่
"ใช่ครับ" นรินทร์หยักหน้า ก่อนจะสงสัย "ที่ฮ่องกงส่วนใหญ่นับถือศาสนาอะไรกันเหรอครับ"
"ส่วนใหญ่นับถือพุทธกับคริสต์"
"พุทธนิกายมหายานใช่ไหม" เขาถาม แล้วเปรยต่อ "ผมเคยรู้มาว่าแถบประเทศจีนนับถือต่างจากประเทศไทย คนไทยจะนับถือนิการเถรวาทกัน"
"ใช่ ผมก็นับถือพุทธนิกายมหายาน" อัลวินว่า
"คุณมาใส่บาตรด้วยกันได้ไหม" นรินทร์ชวน
"ผมไม่มีอะไรมาใส่เลย"
"มาใส่กับผมก็ได้นะ" เขาแสดงน้ำใจ
"ไม่เป็นไร คุณใส่เถอะ" อัลวินปฏิเสธ "พระมาแล้ว"
พระภิกษุเดินอย่างสำรวมเข้ามา นรินทร์ถอดรองเท้า หยิบถาดอาหารขึ้นมาถือรอไว้
อัลวินมองนรินทร์ใส่บาตรจนเสร็จ ก่อนจะพนมมือเคารพตาม
"คุณเคยเข้าวัดที่ไทยหรือยังครับ"
เห็นว่าอัลวินยังไม่ได้รีบกลับเข้าบ้านตัวเอง นรินทร์จึงชวนคุยขึ้นมา
"ยัง ผมไม่รู้ว่าเข้าวัดที่ไทยต้องปฏิบัติตัวยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าแตกต่างกับที่จีนไหม เลยยังไม่ได้ไป" อัลวินให้เหตุผล
พอได้ยินอีกฝ่ายว่ามาอย่างนี้ ทำให้คนไทยแท้ๆ เกิดอยากจะแนะนำคนต่างชาติขึ้นมา
ถึงแม้ว่านรินทร์จะไม่ค่อยเชื่อว่าอัลวินมาพักผ่อนจริงๆ ก็ตาม แต่ในเมื่อเจ้าตัวบอกกับปากเองว่ามาพักผ่อน ถึงกับมาเช่าบ้านอาศัยอยู่แถบนี้ด้วยตัวเอง ไหนๆ แล้วก็น่าจะได้ลองสัมผัสกับวิถีชีวิตคนไทยในด้านพระพุทธศาสนาดู
และถึงแม้เขาจะไม่รู้ที่มาที่ไปของอัลวิน แต่ตามความรู้สึกของเขาแล้วอีกฝ่ายไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เข้าไปยุ่งเกี่ยวได้
"ถ้างั้นให้ผมพาไปไหม"
เห็นว่าอัลวินก็เป็นเพื่อนบ้านข้างๆ ที่ดูท่าว่าจะไม่รู้จักคนไทยคนอื่นนอกจากเขา ลุงขาม ยายแจ่ม แล้วก็จัน นรินทร์จึงเสนอตัวขึ้นมา
"ไม่ต้องหรอก รบกวนคุณเปล่าๆ"
"ไม่รบกวนหรอกครับ ผมเต็มใจ"
เมื่อเห็นว่านรินทร์กล่าวอย่างใจกว้าง อัลวินจึงนิ่งคิดอยู่วูบหนึ่ง และแล้วจึงค่อยเอ่ยปากตอบรับ "งั้นก็รบกวนคุณด้วย"
นรินทร์อมยิ้ม
ตั้งแต่ที่อัลวินช่วยจันไว้คราวนั้น ก็เหมือนว่าจะเปิดใจให้กับเขามากกว่าเดิม ไม่ได้ทำหน้าดุหรือแสดงตัวตนแต่ด้านเย็นชาให้เห็นเพียงอย่างเดียวอีก คนตรงหน้าสนทนากับเขามากขึ้น เจอหน้ากันก็ทักทายตามประสา
ถึงบางทีจะให้ความรู้สึกเข้าถึงยากอยู่บ้าง แต่นรินทร์ก็คิดว่าเขาคุยกับอัลวินได้โดยไม่ต้องเกร็งแล้ว
"งั้นพรุ่งนี้คุณสะดวกไหม เป็นวันเสาร์พอดี ผมไม่ได้ไปทำงานเลยว่างทั้งวัน" นรินทร์เสนอวัน
"อื้ม ได้"
"เข้าไปในเมืองดีไหมครับ มีวัดเก่าแก่น่าไปชม" นรินทร์ถามความเห็น
"ผมยังไงก็ได้" อัลวินยกหน้าที่ให้คนเสนอตัวเป็นไกด์เฉพาะกิจหมาดๆ ตัดสินใจ
วันรุ่งขึ้น
นรินทร์ใส่เสื้อม่อฮ่อมคอจีน กางเกงขายาวสีดำ สวมรองเท้าผ้าใบคู่ใจ เป็นเพราะว่าเขาตัวไม่ใหญ่ ส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรพอดีไม่ขาดไม่เกิน จึงดูแล้วราวกับเด็กหนุ่มหน้าใสวัยเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย
ครูรินรูดซิบกระเป๋าให้สนิท ใกล้ถึงเวลาที่นัดกับอัลวินเอาไว้แล้ว
แต่แล้วเสียงนกร้องแว่วๆ ก็ถูกกลบด้วยเสียงคุยเล่น เสียงหัวเราะคิกคัก
เสียงมาก่อนตัวอีกตามเคย...
นรินทร์ลงจากบ้าน ก็เห็นร่างเล็กๆ ของเด็กสามคนเจ้าประจำกำลังวิ่งเล่นอยู่หน้าบ้าน
"วันนี้ครูจะออกไปข้างนอกนะ" ครูรินบอกกับเด็กๆ แล้วกำชับ "เล่นอยู่แถวนี้ได้แต่ห้ามซนมาก ห้ามเล่นอะไรพาดโผน ไม่มีใครคอยดู เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุเอา"
"อ้าว! ครูรินไปไหน" เจ้าเด็กจันร้องถาม
"จะเข้าเมืองไปไหว้พระกับคุณอัลวิน"
ได้ยินคำว่าเข้าเมืองเท่านั้น เด็กๆ ก็ตาลุกวาว
"ครูรินไปเที่ยวเหรอครับ" เนมถาม
"น่าสนุกจัง!" โมว่า เข้าวัดมันน่าสนุกตรงไหนเนี่ยยัยหนู
"ผมไปด้วยยย!" จันรีบเกาะแข้งเกาะขา
"ให้พวกเราไปด้วยน้า น้าๆๆ" แล้วก็ประสานเสียงกันใหญ่
"ไม่ได้หรอก" ครูรินว่าฉับ เด็กๆ ทำหน้าขัดใจทันที เขาเลยบอก "ถ้าครูไปคนเดียวยังพาไปได้ แต่นี่ไปกับคุณอัลวิน"
"ทำไมไม่ได้ล่ะ" จันถาม
"ครูไปรถคุณอัลวิน ถ้าพวกเราไปด้วยไม่รู้ว่าจะรบกวนเขาหรือเปล่า"
"ไม่รบกวนหรอก" เด็กหญิงตัวเปี๊ยกว่า
"ให้เนมไปด้วยน้า" คนนี้มาแนวอ้อน
"ครูรินยังไม่ลองถามคุณอัลวินเลย" เจ้าจันพูด
นรินทร์ครุ่นคิด ถ้าเจ้าพวกนี้ไปด้วยคงวุ่นวายแน่ๆ
ให้ไปด้วยไม่ได้หรอก
ต้องปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ปฏิเสธ...
"เอ่อ...คุณอัลวิน"
ไหนบอกว่าจะปฏิเสธไง
แล้วทำไมถึงกลายเป็นว่าเขาต้องมายืนส่งยิ้มแห้งๆ อยู่หน้าบ้านอัลวินอย่างนี้ไปได้
อัลวินมองเด็กๆ ทั้งสามคนที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนยืนอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่ข้างๆ ครูริน แล้วสายตาจึงวกกลับมามองคนเป็นครู ก่อนแสดงสีหน้าขอคำอธิบาย
"เอ่อ...คุณจะสะดวกไหมถ้าให้เด็กๆ ไปด้วย" ครูรินถาม
สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับลูกตื้อของเจ้าพวกนี้
สายตาสามคู่จับจ้องไปยังคนตัวสูงผมบลอนด์ คนที่เป็นผู้ตัดสินว่างานนี้จะได้ไปหรือไม่ได้ไปอย่างคาดหวัง ทำหน้าซื่อตาใสส่งให้อัลวินกันอย่างสามัคคี ครูรินมองพฤติกรรมเด็กในปกครองแล้วก็ได้แต่แอบหัวเราะในใจ
นี่ถ้าพูดภาษาอังกฤษได้กันคงมิวายออดอ้อนขอร้องอัลวินอย่างเต็มที่ ไม่มีความเกรงกลัวหน้านิ่งๆ เป็นแน่แท้
และในที่สุดอัลวินก็ว่าขึ้นมาสั้นๆ
"ก็ได้"
ครูรินหลุดยิ้ม ดูท่าเด็กๆ จะเรียกคะแนนสงสารได้ผล
"ขอบคุณนะครับ" นรินทร์เอ่ยกับอัลวิน ก่อนจะบอกกับเด็กๆ "คุณอัลวินอนุญาตแล้ว"
"เย้!" สามหน่อกระโดดกันตัวลอย ผิดกับเด็กเรียบร้อยเมื่อกี้ลิบลับ
"เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งดีใจไป" ครูรินรีบห้าม "โมกับเนมกลับไปขอพ่อแม่ก่อน จันก็ด้วย ไปขอคุณยายว่าไปได้ไหม"
"ยายให้ไปอยู่แล้ว" จันว่า
"ช่าย แม่หนูให้ไปอยู่แล้ว" โมยืนยัน
"อย่าคิดเองเออเอง ไปถามให้เรียบร้อยก่อน" ครูรินโบกมือให้เด็กๆ แยกย้ายกันไปถามผู้ปกครองให้เรียบร้อย
เด็กๆ สลายตัว เพียงไม่กี่นาทีต่อมาก็วิ่งกลับมาด้วยสีหน้าเบิกบาน ยิ้มแป้นอย่างนี้มีหรือจะไม่ได้ไป
"มีข้อตกลงก่อนไป พวกเราต้องสัญญาว่าจะรักษาข้อตกลงครูถึงให้ไป" นรินทร์ตั้งกฎ เด็กๆ รอฟังอย่างตั้งใจ "หนึ่ง ห้ามดื้อห้ามซน ครูบอกอะไรก็ต้องเชื่อฟังคำสั่ง สอง ห้ามวิ่งไปไหนโดยที่ไม่บอกครู คนเยอะเดี๋ยวหลงกันตามหาไม่เจอ สาม ห้ามทำความเดือดร้อนให้คนอื่น เป็นต้นว่าส่งเสียงดังเกินไปจนรบกวนคนอื่น เข้าใจไหม" ครูรินร่ายยาว
"มีแต่ข้อห้ามทั้งน้านนน!" เจ้าจันร้อง
"มันก็แน่นอนอยู่แล้ว" นรินทร์ว่า "สัญญามาก่อน"
เด็กๆ ต่างขานรับคำสัญญากันเป็นมั่นเป็นเหมาะ นรินทร์ยิ้มพอใจ
"ห้ามผิดสัญญาเด็ดขาดนะ ไม่งั้นคราวหลังครูจะไม่ใจอ่อนให้ไปด้วยอีก" เขาขู่ไว้ก่อน
"ไม่ใช่ครูรินซักหน่อย คุณอัลวินเป็นคนให้พวกเราไปต่างหาก" จันยังแย้งคนเป็นครูได้ตลอด
จึงโดนครูรินโยกหัวไปตามระเบียบ
"ไปกันเถอะครับ ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา" นรินทร์หันไปกล่าวขอโทษอัลวิน
อีกฝ่ายไม่ได้ว่าอะไรตอบกลับ เพียงแค่พยักหน้าแล้วเดินนำไปที่รถ
รถยนต์คันนี้เช่ามา เป็นรถที่ใหม่และกว้างขวาง ครูรินต้อนเด็กๆ ขึ้นรถ จัดการคาดเข็มขัดนิรภัยให้ทุกคนเพื่อความปลอดภัย ก่อนจะขึ้นมานั่งข้างคนขับ
แล้วทริปเล็กๆ ในวันนี้ก็เริ่มต้นขึ้น
นรินทร์บอกทางอัลวินให้มายังวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่เป็นอันดับแรก เขาพาคนต่างชาติกับเด็กๆ เข้าไปชมจิตรกรรมฝาผนังในวิหารหลวง เป็นภาพที่เล่าประวัติพระยามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่ ก่อนไปชมเจดีย์ช้างล้อมทรงระฆังล้านนาซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และเข้าไปไหว้พระแก้วขาว พระพุทธรูปซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวเมือง
อัลวินยังคงดูโดดเด่นสะดุดตาแม้อยู่ท่ามกลางผู้คนหมู่มาก ใบหน้าหล่อเหลาคมคายมองชมสถานที่ต่างๆ ในวัด และคอยพยักหน้าตามเมื่อนรินทร์เล่าบรรยาย
ครูรินเกิดและโตที่ลำพูน ไม่ใช่คนเชียงใหม่แท้ๆ บางเรื่องก็ไม่รู้ประวัติเรื่องราว เลยอาศัยอ่านตามแผ่นป้ายแล้วพูดให้อัลวินกับเด็กๆ ฟังเอา
เมื่อเที่ยวชมวัดแรกโดยทั่วแล้ว ก็ขับรถออกมาแวะรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารขึ้นชื่อ แล้วจึงย้ายขบวนมายังอีกวัดหนึ่ง
ครูรินจูงมือเด็กๆ เข้าไปไหว้พระในวิหาร เขานำอัลวินจุดธูปเทียน แล้วนำเทียนไปตั้ง นรินทร์พยายามตั้งเทียนอยู่สองสามทีก็ยังตั้งไม่ได้เพราะมือไม่นิ่งพอ พ่ายแพ้ให้กับคนต่างชาติที่ทำสำเร็จในครั้งเดียว
"คุณมือนิ่งดีจัง" นรินทร์ชม
"ผมฝึกมาเยอะ"
"ฝึกตั้งเทียนเนี่ยนะครับ"
"ฝึกยิงปืน" อัลวินว่าเสียงเรียบ
"หือ?"
"ยิงที่สนามยิงปืน เวลาว่างๆ น่ะ"
นรินทร์ร้องอ้อเป็นอันว่าเข้าใจ เคยได้ยินว่าการยิงปืนก็เป็นกีฬา เป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่ง หรือบางคนก็ฝึกไว้เผื่อใช้ป้องกันตัว
ส่วนเขาเคยยิงปืนแค่ตอนเรียน รด. เมื่อตอนมอปลายเท่านั้นแหละ
ครูรินถือธูปสามดอกเดินมาหาเด็กๆ
"พวกเราไหว้ด้วยกันกับครูแล้วกัน"
เขากลัวเจ้าพวกนี่ทำธูปร้อนๆ จี้โดนตัวเองหรือคนอื่นเข้า จึงให้ไหว้พร้อมกันกับตัวเอง ครูรินประกบมือเข้ากับมือเล็กๆ แล้วพนมไหว้ ให้เด็กๆ อธิษฐานทีละคนจนครบ และเมื่อนำธูปไปปักที่กระถางเสร็จ นรินทร์ก็แจกจ่ายกระดาษทองคำเปลวให้เด็กๆ ปิดทองพระพุทธรูป
"ค่อยๆ เปิดกระดาษนะ แล้วจับมุมกระดาษอย่างนี้"
"อ๊ะ!"
ไม่ทันที่ครูรินจะสอนเสร็จ โมก็ทำทองคำเปลวแผ่นบางข้างในปลิวตกพื้นไปแล้ว พอ แกะอีกแผ่นก็ปลิวหายไปอีก
เด็กหญิงจึงเริ่มเบะปาก "ของโมหมดแล้ว"
"เอ้านี่ เอาของครูไป"
สุดท้ายนรินทร์ก็ต้องจับมือเจ้าเปี๊ยกให้ปิดทองได้อย่างลุล่วง
หันไปอีกทีก็เห็นจันหยิบกระบอกเซียมซีขึ้นมาเขย่าเสียงดัง เจ้าตัวแสบเขย่าอย่างเมามัน ซึ่งนรินทร์ดูแล้วก็คิดว่ามันคงจบลงในแบบที่...
พลัก!
กระบอกเทคว่ำ ไม้เซียมซีทุกอันกระจายเต็มพื้น
ว่าแล้วเชียว อายไหมล่ะนั่น?
จันทำหน้าเหมือนโลกจะแตก ครูรินขำ แล้วเข้าไปช่วยจันเก็บเซียมซี
"คุณลองเสี่ยงเซียมซีดูไหม" นรินทร์ชวนอัลวินหลังจากอีกคนยืนมองเขาเสี่ยงเสร็จ
"ไม่ล่ะ"
"ไหนๆ แล้วก็ลองหน่อยสิครับ"
"ลองดูก็ได้"
นรินทร์หยิบใบเซียมซีของตัวเองและของอัลวินออกมา ก่อนที่ทุกคนจะออกมานอกวิหาร
เด็กๆ นั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ส่วนผู้ใหญ่คนหนึ่งก็กำลังให้ความสำคัญกับใบเซียมซี โดยมีอีกคนรอฟัง
"อืม..."
อัลวินมองครูรินที่ทำหน้าดำคร่ำเครียดขณะพยายามตีความหมายข้อความในใบเซียมซีอย่างจริงจัง
"ใบเซียมซีจะเขียนคำทำนายเป็นกลอนน่ะครับ" นรินทร์อ่านใบของอัลวิน บ่นพึมพำ "ใบนี้แปลยากจัง"
คำนี้มันแปลว่าอะไรล่ะเนี่ย ไหนจะต้องแปลไทยเป็นไทย และยังต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษอีก คนไทยก็ใช่ว่าจะอ่านกลอนรู้เรื่องกันทุกคนนะ
"ถ้าแปลไม่ออกก็ไม่ต้องก็ได้" อัลวินว่า "ผมจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่แตกต่างกัน"
นรินทร์เงยหน้าขึ้น "คุณไม่เชื่อเรื่องดวงชะตาเหรอ"
"ผมไม่ค่อนสนใจเรื่องนี้เท่าไหร่"
"แปลกจัง คนจีนถือเรื่องนี้กันไม่ใช่เหรอครับ"
"ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอก" อัลวินตอบ
"สำหรับผมดูไว้ก็ไม่เสียหาย บางทีก็อยากรู้ว่าเราจะได้คำทำนายแบบไหน" นรินทร์ว่ายิ้มๆ แล้วโคลงหัว "ผมก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง อย่างช่วงไหนถ้ารู้สึกซวยๆ พอได้คำทำนายไม่ดี ผมก็จะเห็นด้วย แล้วต้องรีบไปทำบุญสะเดาะเคราะห์"
"แล้วถ้าคุณได้คำทำนายที่ดี?"
"ผมก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดี เลยมีกำลังใจทำสิ่งต่างๆ ชีวิตช่วงนั้นเลยพลอยดีไปด้วยตามคำบอกล่ะมั้งครับ" นรินทร์เล่าแล้วก็หัวเราะ
"ใบนี้เป็นยังไง" อัลวินชี้ใบเซียมซีในมือเขา
"ใบนี้แปลง่ายหน่อย ทำนายออกมาว่ากลางๆ ครับ ไม่ดีไม่แย่" นรินทร์ว่า "ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องโชคลาง แต่ผมเชื่อเรื่องบุญบาปนะ ผมคิดว่าถ้าเราทำสิ่งดีๆ ก็จะได้รับอะไรดีๆ ตอบแทน"
"ผมคิดว่าเมื่อเราทำอะไรลงไปแล้วก็จะได้รับผลของมัน เรื่องนี้ผมไม่ได้เอามาคิดกับหลักศาสนา" อัลวินกล่าว
นรินทร์คิดตามแล้วก็พยักหน้า
ถ้าตั้งใจอ่านหนังสือก็จะสอบติด ถ้าตั้งใจทำงาน งานก็จะออกมาดี ถ้าดูแลตัวเอง กินอาหารที่มีประโยชน์ สุขภาพร่างกายก็จะแข็งแรง ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน
"อื้ม แต่ผมก็ยังคิดอยู่ว่าบางอย่างก็ผูกกับเรื่องบุญบาป ยกตัวอย่างนะ คนฆ่าหมูเป็นอาชีพสุจริต ไม่ได้ไปทำให้ใครเดือนร้อน แต่ก็เป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ผมว่าบาปกรรมที่ไปฆ่ามันก็จะติดตัวคนทำไปอยู่ดี"
"ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่เลือกอาชีพตัวเองได้" น้ำเสียงอัลวินไม่แสดงอารมณ์ "บางครั้งก็ต้องทำสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าผิด"
นรินทร์ไม่ได้จับสังเกตเพราะเดิมทีอีกคนก็พูดด้วยเสียงเช่นนี้มาโดยตลอด ขณะคุยกับอัลวิน ตาก็จับจ้องอยู่ที่เด็กๆ ว่าเล่นซนกันหรือเปล่า จึงไม่ได้เห็นนัยน์ตาสีเข้มที่ว่างเปล่ากว่าทุกครั้ง
"แล้วสมมติว่าคุณต้องทำผิด คุณกลัวว่าสิ่งไม่ดีจะย้อนกลับเข้าหาหรือเปล่า" นรินทร์ตั้งคำถาม
"อนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ผมไม่กลัวสิ่งที่ยังมาไม่ถึงหรอก"
ไกด์เฉพาะกิจอย่างนรินทร์นำลูกทัวร์ไหว้พระอีกหนึ่งวัด เรียกได้ว่าเป็นทริปทำบุญอย่างแท้จริง เมื่อไหว้พระเสร็จก็ไปให้อาหารปลาในสระของวัด
เด็กๆ กำเม็ดอาหารปลาแล้วโยนลงไปในสระ เสียงน้ำแตกกระจาย ปลาตัวใหญ่นับไม่ถ้วนว่ายกรูขึ้นมาฮุบอาหาร เพียงไม่กี่วินาทีก็กินหมด
"ปลามันแย่งกันกินใหญ่เลย" เนมเกาะขอบรั้ว ชะโงกหน้ามอง
สามหน่อโปรยอาหารลงไปเรื่อยๆ ดูสนุกสนานกันดี
"ใกล้หมดถุงแล้ว" โมเอ่ย นรินทร์พับปากถุงอาหารลงให้เด็กๆ หยิบกันง่ายๆ
"ทำไมปลาต้องแย่งกันกินขนาดนี้" จันว่า
"ในสระมีปลาเยอะมาก อาหารเลยไม่พอมั้ง แต่ครูว่าคนก็มาให้อาหารมันเยอะแล้วนะ อาจจะเป็นสัญชาตญาณที่เห็นอาหารแล้วต้องกิน" ครูรินเดาเอา
"โอโห ปลาพวกนี้ตะกละเหมือนเนมเลย" จันหัวเราะคิกๆ พาดพิงไปถึงเด็กชายแก้มยุ้ย
"เนมไม่ได้ตะกละนะ" เจ้าตัวเถียง
"อ้วนขนาดนี้ยังไม่ยอมรับ" เจ้าเด็กตัวแสบจิ้มพุงเนมจึกๆ
"เนมไม่อ้วนนะ"
"อ้วน!"
"ไม่อ้วน!"
"อ้วน!"
"หยุด! หยุดเถียงกันเลย" ครูรินห้าม จับเด็กสองคนแยกกัน ก่อนที่เจ้าจันจะแกล้งน้องไปมากกว่านี้
เนมยังคงทำหน้าบูด แต่แล้วก็หายวับไปเมื่อได้ยืนเสียงรถขายไอศรีมขับผ่านมา
"กินไอติมกันไหม" ครูรินเห็นหน้าเด็กๆ ก็รู้ทัน เลยเอ่ยถาม
"กินครับ!" เนมตอบคนแรก
"เห็นไหม ตะกละจริงด้วย" จันได้ทีว่าต่อ
"เลิกว่าน้อง" ครูรินส่งสายตาดุ "หรือว่าจันจะไม่กิน"
"กินสิค้าบ!"
"ไปล้างมือกันก่อน"
ให้อาหารปลาเสร็จพอดี เด็กๆ วิ่งไปล้างมือที่ก๊อกน้ำใกล้ๆ แล้วถลาไปเกาะรถขายไอศรีม
"เอารสอะไร" ครูรินถาม จะหยิบให้ แต่ดูเหมือนจะไม่ต้องแล้วเมื่อเด็กๆ ปีนข้างตู้แล้วล้วงมือหยิบรสที่ต้องการเองได้อย่างคล่องแคล่ว
"คุณเอาด้วยไหมครับ" นรินทร์จึงถามคนตัวโตที่เดินตามหลังมาแทน
"มีรสกาแฟหรือเปล่า"
กินรสที่เข้ากับบุคลิกจริงๆ นรินทร์นึกขันในใจ
"เอ ดูเหมือนจะไม่มีนะครับ"
"งั้นเอาช็อกโกแลตก็ได้"
คราวนี้เขาหลุดยิ้ม นึกว่าจะไม่กินซะอีก
ตอนขับรถกลับ เด็กๆ ที่ใช้พลังงานในการพูดมาทั้งวันก็หลับสนิท เอนตัวซบกันดูเป็นก้อนๆ เป็นภาพที่น่ารักน่าหมั่นเขี้ยวดี นรินทร์เห็นแล้วจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเก็บเอาไว้
"คุณนอนก็ได้นะ" อัลวินว่าขึ้น
"หือ" นรินทร์ส่ายหัว "จะให้คุณขับรถส่วนผมหลับได้ยังไง"
"เห็นคุณดูแลเด็กพวกนี้มาทั้งวัน"
ได้ยินอัลวินบอกอย่างนี้ นรินทร์ก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา
จะว่ายังไงดี...แค่ประโยคเรียบๆ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะหลุดมาจากคนที่ดูเย็นชาอย่างอีกฝ่ายได้
แล้วก็ทำให้...เขารู้สึกดีล่ะมั้ง
"แค่นี้เล็กน้อยครับ รับมือกับเด็กๆ ผมชินยิ่งกว่าอะไร" นรินทร์ยิ้ม แล้วหันไปมองคนขับ "แล้วคุณโอเคไหม บางทีเด็กๆ ก็วุ่นวายไปบ้าง"
นรินทร์ถามทำนองนี้อีกรอบ เพราะส่วนใหญ่ผู้ชายในวัยนี้คงไม่อยากอยู่กับเด็กๆ ที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวทั้งวัน เขาจึงยังคงกังวลอยู่ดีว่าอัลวินจะรำคาญ
"ผมโอเค" คนขับรถว่าเรียบๆ ก่อนจะบอก "เด็กๆ ถ้าไม่วุ่นวายก็ไม่ใช่เด็กสิ"
คำกล่าวหน้าตายของอัลวินทำเอานรินทร์หัวเราะออกมา "ผมไม่คิดว่าคุณจะเล่นมุก"
อัลวินเลิกคิ้ว "ผมเล่นมุกงั้นหรือ"
"อ่าว ไม่ใช่มุกเหรอครับ" นรินทร์เอียงหัว "แต่ผมขำนะ"
"คุณเส้นตื้นไปเอง"
"คุณต่างหากที่เส้นลึก"
นับว่านรินทร์พัฒนาความกล้ามากขึ้น กล้าพูดอย่างนี้กับอัลวิน
"ผมคิดว่าผมปกติ" อัลวินบอก
"อืม..." นรินทร์ลากเสียง ก่อนจะยอมผงกหัวเบาๆ "คุณเส้นลึกไม่มากก็ได้" เขาแก้คำพูดตัวเองก่อนหน้า แล้วยิ้ม
"เพราะวันนี้ผมเห็นคุณยิ้ม...สี่ครั้ง"
เดี๋ยวนะ...นี่เขานับครั้งด้วยหรือนี่!
หลุดพูดออกไปเองแล้วก็ตกใจเอง
จะไปสังเกตละเอียดทำไมขนาดนี้ น่าอายชะมัด!
คนที่กำลังประณามตัวเองในใจรีบหันหน้าเข้าหากระจก ไม่กล้ามองหน้าอัลวินต่อ ทำเป็นมองวิวข้างนอกแทน
นรินทร์จึงพลาดที่จะนับรอยยิ้มครั้งที่ห้า...
คนขับรถมองทางข้างหน้าเป็นปกติ ที่มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
----------------------------------
#รินรักล้นใจ
ขอบคุณคุณ jeaby@_@ และ TIKA_n มากนะคะที่เขียนแนะนำในกระทู้แนะนำให้ ดีใจจัง เป็นกำลังใจให้เรามากๆ เลยค่ะ /กระโดดกอด
ขอบคุณทุกยอดวิวและคอมเมนต์นะคะ รักกก