❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 10 P.4] 11/5/2019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 10 P.4] 11/5/2019  (อ่าน 39417 ครั้ง)

ออฟไลน์ JAMNIN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------







นรินทร์เป็นครูโรงเรียนประถมเล็กๆ ในเชียงใหม่
วันหนึ่งข้างบ้านของเขามีคนย้ายมาใหม่
เพื่อนบ้านชาวฮ่องกงคนนี้ทำให้ชีวิตเรียบง่ายของครูรินเปลี่ยนไปอย่างไม่คาดฝัน
ใครจะนึกล่ะว่า ตัวเองจะต้องเข้าไปพัวพันกับ...มาเฟีย!



*บุคคลและสถานที่ในเรื่องเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน*




นรินทร์อาศัยอยู่ในบ้านไม้เล็กๆ ในเขตโรงเรียน

บ้านข้างๆ ที่อยู่ใกล้กับบ้านของเขามีคนย้ายมาอยู่ใหม่

เป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ย้อมผมบลอนด์ ตาดุๆ และไม่มีใครรู้ที่มาที่ไป

คนที่ตอนแรกแสนจะเย็นชา แต่ไปๆ มาๆ กลับไม่ใช่เสียอย่างนั้น

ถึงอย่างไรก็ตาม ตัวตนที่แท้จริงของเขานั้น...ก็ยิ่งใหญ่และน่าหวาดหวั่นอยู่ดี



#รินรักล้นใจ



twitter : @jamlinin






 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:


(18/7/2017) แก้ไขชื่อเรื่อง จาก เพื่อ ให้ รัก ริน  เป็น ริน รัก ล้น ใจ





สารบัญ

บทนำ+ตอนที่ 1 ครูริน
ตอนที่ 2 เพื่อนบ้านคนใหม่
ตอนที่ 3 เพื่อนบ้านที่น่าสงสัย
ตอนที่ 4 ความช่วยเหลือ
ตอนที่ 5 ยามเย็น
ตอนที่ 6 รอยยิ้ม





Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-05-2019 18:01:09 โดย JAMNIN »

ออฟไลน์ JAMNIN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: ริน รัก ล้น ใจ [บทนำ 24/5/2017]
«ตอบ #1 เมื่อ24-05-2017 20:32:38 »

บทนำ


นัยน์ตาคู่สวยมีแววสับสนและหวาดหวั่นเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ


ภาพบ้านเมืองที่ไม่คุ้นเคยทำให้ภายในใจอันหนาวเหน็บยิ่งเคว้งคว้างเป็นทวีคูณ


แผ่นดินฮ่องกง...


ประเทศที่เพิ่งเคยมาเหยียบเป็นครั้งแรก ไม่ใช่ในฐานะนักท่องเที่ยว แต่อยู่ในสถานะที่จำต้องยอมรับอย่างไม่เต็มใจ 


นรินทร์ไม่เคยคิดฝันเลยว่าคนธรรมดาอย่างเขาจะต้องมาพัวพันกับเรื่องแบบนี้




...ถ้าเกิดวันนั้นเขาไม่เข้าไปทำความรู้จักตั้งแต่ทีแรก







...ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ อัลวิน จาง











1


ครูริน



อากาศหลังฝนตกใหม่ๆ เย็นสบาย กลิ่นดินลอยฟุ้งให้ความรู้สึกสดชื่น ต้นไม้ใบหญ้ามีหยดน้ำเกาะพราว เสียงกบร้องประสานดังไปทั่ว แต่ไม่สามารถมองเห็นแหล่งกำเนิดเสียงได้ซักตัว ด้วยกลมกลืนไปกับธรรมชาติโดยรอบ


ขาเรียวภายใต้กางเกงยีนส์สีซีดก้าวเท้าไปตามทางที่ปกคลุมด้วยเศษใบไม้แห้งทับถมกัน เมื่อเหยียบย่ำจึงเป็นเสียงกรอบแกรบปนเปกับเสียงน้ำบนพื้นแฉะๆ


นรินทร์ หรือครูรินที่เด็กๆ และชาวบ้านแถวนี้เรียกกันกำลังเดินเลียบทางข้างตึกเรียนไม้สองชั้นทาสีฟ้าสดใส เพื่อตรงไปยังบ้านพักครูด้านหลังซึ่งเป็นที่พักของเขา


บนหลังแบกเป้ใบใหญ่ สองมือหิ้วถุงใส่ของหลายอย่าง คุณครูหนุ่มเพิ่งกลับมาจากการไปเยี่ยมบ้านในวันหยุดราชการยาวสี่วัน จะว่าไปก็เพิ่งได้กลับบ้านในรอบสามเดือน มารดาเลยให้ของกินกลับมาเยอะแยะไปหมด


ใช้เวลาไม่นานนรินทร์ก็มาถึงบ้านไม้ค่อนข้างเก่า ก็เป็นบ้านพักครูในเขตรั้วโรงเรียนนี่นะ แต่ถึงจะขนาดเล็กและเวลาเดินมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดอยู่บ้างก็ยังสะอาดสะอ้านและใช้อยู่อาศัยได้


ไม่ทันจะขึ้นบ้าน ร่างโปร่งบางของนรินทร์ก็ชะงักกึก เนื่องจากสายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างผลุบๆ โผล่ๆ อยู่หลังโอ่งน้ำที่ตั้งอยู่ใต้ถุนบ้าน


ถ้าดูไม่ผิด เป็นเหมือน...หัวสีดำของใครซักคน


แทนที่จะตื่นตกใจเพราะร่างที่แอบอยู่หลังโอ่งอาจจะเป็นขโมยซักคนซึ่งใช้โอกาสเจ้าของบ้านไม่อยู่เข้ามาขโมยของ แต่สำหรับคนที่อาศัยอยู่มาปีกว่านั้นรู้ดีว่าคือใคร ริมฝีบางบางจึงขยับเป็นรอยยิ้ม แล้วดวงตาก็เป็นประกายขบขัน   


"ไม่ต้องแอบเลย" เสียงนุ่มทุ้มส่งออกไปพร้อมกับหัวเราะหึๆ


หัวเล็กๆ นั่นหดหายไปจนมองไม่เห็น ช้าไปแล้ว ถ้าคิดจะแอบให้เนียนตั้งแต่แรกก็ไม่ควรลุกลี้ลุกลนจนทำให้เขาเห็นเต็มสองตา


พอเห็นว่าคนโดนจับได้ยังไม่ออกมาแต่โดยดีนรินทร์จึงแกล้งขมวดคิ้ว ตีหน้าโหด "ออกมาซะดีๆ!" ทำเสียงเข้มข่มขู่ "ครูจะนับแค่ถึงสาม หนึ่ง สอง..."


ไม่ต้องให้นับถึงสาม ร่างเล็กป้อมก็ถลาออกมาจากที่กำบัง เพียงแต่ไม่ใช่หลังโอ่งน้ำ แต่เป็นหลังเก้าอี้หวายตัวใหญ่ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกัน


"เนม" นรินทร์เลิกคิ้ว เรียกชื่อเด็กชายตัวตุ้ยนุ้ยที่ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม ถ้าเทียบกับเด็กคนอื่น เนมเป็นเด็กนิสัยดีและเรียบร้อยที่สุด คงจะกลัวครูเลยรีบออกมาโดยไม่รู้ว่าเป้าหมายของเขาไม่ใช่ตัวเอง


คุณครูหนุ่มขำอยู่ในใจ แต่ยังไม่คลายมาดดุ เปิดโปงเป้าหมายตัวจริง "โม เห็นแล้วว่าแอบอยู่ตรงนั้น หลบไปก็ไม่พ้นหรอก!" ย่างสามขุมเข้าไป ก่อนถึงโอ่งแค่นิดเดียวใบหน้าเล็กๆ น่ารักของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็โผล่ออกมา ยิ้มแหะๆ จนเห็นฟันหลอ


"ครูรินเก่งจัง!"


ทำมาเป็นชมนะยัยตัวเปี๊ยก 


นรินทร์ส่ายหัว วางของในมือลงกับพื้น แล้วปัดหยากไย่ออกจากผมม้าเต่อๆ ของเด็กหญิงตัวเล็ก นี่ไปเล่นซนที่ไหนมาก่อนเนี่ย มอมแมมจริงๆ


แต่เดี๋ยวนะ...


คุณครูหนุ่มนิ่งคิด ถ้าเกิดเด็กสองคนอยู่ที่นี่ล่ะก็ จะต้องมีอีก...


หมับ!!


ไม่เหนือไปจากการคาดการ น้ำหนักบางอย่างก็โถมมาที่เอวจนคนที่ยังไม่ได้ตั้งตัวเซไปสองก้าว 


"แปะครูรินได้แล้ว!!" ร้องตะโกนเสียงดัง สองมือกอดเอวคุณครูแน่น ...แบบนี้เรียกว่าแปะตรงไหนไอ้หนู


นรินทร์แกะตัวเด็กผอมแห้งออกจากตัว มองหน้าเด็กผู้ชายที่สูงสุดในกลุ่มแล้วก็ได้แต่คิดว่าคนนำรายการซ่อนแอบคุณครูคงไม่พ้นเด็กแสบที่ชื่อจันคนนี้


"ครูรินต้องเป็นคนหาอีกตา" เด็กหญิงว่า ตาเป็นประกาย


"หือ?"


"ก็ซ่อนแอบไง"


คำตอบจากปากเล็กๆ ทำเอาคนเป็นครูรีบปฏิเสธ "พอเลย! ครูไม่เล่น"


"ขี้โกง! แพ้แล้วไม่รับ!" จันโวยวายทันทีเมื่อคุณครูคิดจะเบี้ยว


"น้อยๆ หน่อย ครูเล่นตั้งแต่ตอนแรกซะที่ไหน" 


"อ้าว! ก็ครูเป็นคนหาไม่ใช่เหรอ" เจ้าเด็กจันทำเป็นตีมึน ก่อนจะร้องโอ้ยออกมาเพราะโดนนรินทร์บีบจมูกด้วยความหมั่นไส้


"ครูเพิ่งกลับมาก็เห็นพวกเธอทำอะไรลับๆ ล่อๆ ก็ต้องหาสิ"


"ข้ออ้างทั้งน้านนน!!" จันร้อง แล้วทำทีเป็นกอดอกเชิดหน้าด้วยท่าทีเหนือกว่า "งั้นก็เริ่มเล่นตอนนี้สิ ผมยอมให้เล่นด้วยก็ได้"


ตบหัวมันซักทีดีไหม เด็กอะไรกวนชะมัด


"ไม่เอา ครูตัวใหญ่ แอบไปก็ไม่มิด" เขาอ้างส่งๆ ไป


"ครูรินตัวเล็กจะตาย พ่อหนูยังตัวใหญ่กว่าตั้งเยอะ" เด็กหญิงแย้ง


อยากจะสั่งสอนไปว่าอย่างเขาถึงแม้จะผอมไปหน่อยแต่ส่วนสูงก็มาตรฐานชายไทย ใช้คำว่าตัวเล็กไม่ได้หรอกนะ แต่ก็ขี้เกียจพูดให้เจ้าเด็กพวกนี้เถียงต่อ


"ซื้อขนมมาฝาก จะกินไหม" ในสถานการณ์นี้เปลี่ยนเรื่องเป็นทางออกที่ดีที่สุด


"กินนน!!!" เจ้าเนมตัวอ้วนชูมือคนแรก


"เอาไปแบ่งกัน ครูไปเก็บของก่อนล่ะ" ยื่นถุงขนมให้ แต่มือเล็กป้อมยังไม่ทันคว้าก็ยกถุงให้สูงขึ้นเสียก่อน "ทำไงก่อน"


"ขอบคุณค้าบบบ!!" เด็กสามคนพนมมือไหว้อย่างรู้งาน ถุงขนมเลยตกเป็นของเจ้าพวกนี้ไปโดยปริยาย


พอความสนใจไปอยู่ที่ขนม นรินทร์จึงได้โอกาสปลีกตัวขึ้นมาบนบ้าน วางถุงข้าวของต่างๆ ไว้ที่เก้าอี้ไม้เพื่อรอเก็บเข้าที่เข้าทางทีหลัง ก่อนเดินไปเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท อากาศเย็นๆ อย่างนี้ไม่จำเป็นต้องเปิดพัดลม มือเรียวรูดซิบกระเป๋าเป้เอาเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซักออกมา จะว่าไปฝนก็หยุดตกแล้ว แต่แดดยังไม่ออกซักที 


ในขณะที่กำลังคิดว่าจะซักผ้าดีหรือไม่ เสียงแหลมๆ ก็ตะโกนถาม


"ครูริน ลังกระดาษหายไปไหนแล้ว ไม่มีที่แอบ!"


"นี่เล่นซ่อนแอบกันต่อแล้วเหรอ กินขนมหมดแล้วหรือไง ห้ามกินไปเล่นไปนะ!" เขาเตือน ชะโงกหน้าออกไปดูทางหน้าต่าง จากมุมนี้มองไม่เห็นเด็กๆ จึงไม่รู้ว่าฝ่าฝืนคำที่เคยสอนไปหรือเปล่า 


"ขนมน่ะมันต้องเก็บไว้กินหลายๆ วัน!" เสียงของจันว่า


"คิดอย่างนั้นได้ก็ดี" 


"แล้วลังกระดาษ!?" ไม่วายถามอีกรอบ


"เอาไปให้ป้าจิ๊บชั่งกิโลขายแล้ว" นรินทร์ตอบ


"บู่ววว!!" ไม่ต้องเห็นหน้าก็รู้ว่าเจ้าพวกนั้นต้องทำปากพองลมด้วยความไม่พอใจอยู่แน่


"ตรงบ้านครูก็รู้กันทุกซอกทุกมุมแล้วไม่ใช่เหรอ ที่ซ่อนที่อื่นสิ" เขาแนะนำ จากนั้นไม่นานเสียงพูดคุยและเสียงฝีเท้าก็ค่อยๆ ห่างออกไป










ตอนจะเข้ามหาวิทยาลัยนรินทร์ตั้งใจไว้ว่าอยากเรียนคณะอักษรศาสตร์ แต่ผลประกาศออกมาเขากลับติดอันดับสามที่เลือกไป นั่นก็คือคณะศึกษาศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ พอได้สัมผัสกับสายวิชาชีพนี้...นรินทร์คิดว่าเขาพอใจกับมัน จนสุดท้ายก็ตกหลุมรักอาชีพครูเข้าจริงๆ เมื่อได้ไปทำค่ายอาสาให้กับเด็กชาวเขาในถิ่นทุรกันดาร


นรินทร์ไม่ใช่พ่อพระ แต่จะมีใครบ้างที่ไม่รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจกับรอยยิ้มและความสุขบนใบหน้าเด็กๆ เมื่อเราไปแบ่งปันน้ำใจให้


สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคำขอบคุณ


...แต่ทุกคนที่เคยไปสัมผัสล้วนรับรู้ได้ว่าเราได้อะไรที่มีค่ามากกว่านั้นกลับคืนมา


นรินทร์ชอบสอนหนังสือ และดีใจทุกครั้งที่เด็กๆ เอาความรู้ที่เขาให้ไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน


พอเรียนจบ นรินทร์ก็ได้เป็นครูที่โรงเรียนประถมเล็กๆ ในอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่แห่งนี้ แถวนี้ห่างออกมาจากตัวเมือง พื้นที่โดยรอบยังพัฒนาไม่เยอะ แต่ดีกว่าค่ายซึ่งเขาติดใจจนอาสาไปอีกสองสามครั้งอยู่มาก น้ำ ไฟ สัญญาณโทรศัพท์เขาถึง เดินทางด้วยรถยนต์ได้ไม่ติดขัด


ย่างเข้าปีที่สองที่สอนอยู่ที่นี่ อย่าให้โม้เลยว่าเขาเป็นที่รักของเด็กทุกคน เด็กๆ น่ะติดครูรินยิ่งกว่าอะไรดี


โดยเฉพาะเด็กสามคนที่มีบ้านอยู่ใกล้บ้านพักครูของเขา


เด็กหญิงตัวเล็กสุด ชื่อโม อายุหกขวบ นิสัยซุกซนไม่สมกับเป็นเด็กผู้หญิงเท่าไหร่เพราะคลุกคลีอยู่กับเด็กผู้ชายเป็นส่วนมาก ถึงจะตัวกะเปี๊ยกอย่างนี้แต่ไม่ยอมให้ใครรังแกได้ทั้งนั้น พร้อมสู้ขาดใจถ้ามีคนแกล้ง แต่ก็มีมุมขี้แงอยู่พอสมควร นรินทร์เคยนั่งปลอบให้เจ้าตัวหยุดร้องไห้เป็นชั่วโมงหลังจากไปซัดกับเพื่อนที่มีปัญหากันมา


เด็กชายตัวจ้ำม่ำ...เนม อายุเจ็ดขวบ ตัวขาวแก้มป่องเป็นซาลาเปาจนเคยคิดว่าจะต้องจำกัดขนม แต่พอเห็นตาใสๆ และรอยยิ้มตอนให้ขนมไปแล้วก็ใจอ่อนทุกที เป็นเด็กที่ชักจูงได้ง่าย ชอบเล่นอะไรตามเพื่อนๆ ถึงไหนถึงกัน โดยพื้นเพมีนิสัยเรียบร้อย ไม่ดื้อ เชื่อฟังคำสั่งของเขาเป็นอย่างดี   


พี่ใหญ่สุด จัน อายุแปดขวบ เจ้าเด็กตัวดื้อที่เป็นจอมวายร้ายอย่างแท้จริง ชอบเล่นอะไรแผลงๆ เป็นหัวโจกของแก๊ง แหย่คนนู้นคนนี้ไปเรื่อยโดยเฉพาะโมน้องเล็ก เดิมทีแสบกว่านี้เยอะ แต่โดนครูรินขัดเกลานิสัยด้วยคำสั่งสอนและไม้เรียวมาหลายครั้งหลายหนจนลดความอวดกล้าลงได้โข


ตอนแรกนรินทร์หัวปั่นกับเด็กสามคนนี้มาก ไปๆ มาๆ จึงค่อยคุ้นชิน เพราะเจอกันทุกวัน อีกทั้งวันเสาร์อาทิตย์ก็ยังชอบมาขลุกอยู่บ้านเขา ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง


ถือเป็นเรื่องที่ดี เวลามีเจ้าพวกนี้อยู่ด้วยทำให้...ไม่เหงา


บ้านเกิดนรินทร์อยู่ลำพูน แม้เป็นจังหวัดติดกับเชียงใหม่ก็ไม่ค่อยได้กลับไปหาพ่อแม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่ติดต่อกันทางโทรศัพท์ซะมากกว่า



ครูรินในวันหยุดไม่ต่างไปจากเด็กมหาลัย ด้วยมีใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ดูเด็กกว่าอายุจริง นัยน์ตาสีดำที่แผงแววอารมณ์ดี และจะแปรเปลี่ยนเป็นดุอยู่เสมอเมื่อมีเด็กดื้อ จมูกโด่งรั้น ปากบาง เขาค่อนข้างเป็นที่นิยมตอนเป็นนักศึกษา มีสาวๆ มาขายขนมจีบให้เสมอ แต่ส่วนใหญ่ก็ถูกปฏิเสธด้วยรอยยิ้มสุภาพ เคยมีแฟนมาแล้วสองคน แต่หลังจากจบปีสามก็โสดสนิทมาจนถึงทุกวันนี้


ชายหนุ่มอายุยี่สิบสี่อยู่ในชุดเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่เพิ่งเปลี่ยนให้ใส่สบายก้าวเท้าลงมาจากบ้าน ถือตะกร้าผ้าเพื่อจะนำมาซัก ในตอนที่กำลังสวมรองเท้าเขาก็พบกับ...กลุ่มก้อนบางอย่าง


กลุ่มก้อนซึ่งเป็นเด็กสามคนกำลังสุมหัวกันเหมือนปรึกษาความลับระดับชาติ นรินทร์เลยไม่รีรอที่จะเข้าไปแอบฟัง


"ตัวใหญ่ มีกล้ามด้วย"


"น่ากลัวจัง" เนมว่า


"ผมสีเหลืองๆ อย่างกะซูเปอร์ไซย่า ปล่อยพลังคลื่นเต่า!" โมทำท่าปล่อยพลังเลียนแบบการ์ตูนต่อสู้ชื่อดังทั้งที่ตัวเองเป็นผู้หญิงแท้ๆ


"ไม่เห็นเหมือนเลย ฉันว่าเหมือนมาเฟียมากกว่า" จันตีหน้าขรึมให้ดูจริงจัง


"คุยไรกัน?"


นรินทร์โพลงถามออกไป จนเด็กๆ สะดุ้ง กลุ่มก้อนสลาย


"โถ่ ตกใจหมด" เป็นจันที่ตอบครูรินคนแรก "มีคนมาอยู่บ้านป้าชุ่ม"


สงสัยว่าเด็กพวกนี้คงเล่นซ่อนแอบกันไปถึงบ้านป้าชุ่ม บ้านแถวนี้ตั้งอยู่ห่างกันไม่เหมือนตึกในเมือง บ้านป้าชุ่มที่จันว่าอยู่ใกล้กับบ้านพักของเขามากที่สุด แต่ป้าชุ่มซึ่งอยู่คนเดียวมาตลอดย้ายออกไปทำงานในตัวเมือง บ้านหลังนั้นจึงไม่น่ามีคนอาศัยอยู่


"ใคร?"


"ไม่รู้ครับ เนมไม่เคยเห็นหน้าเลย"


"เขาดูแปลกมากอ่ะครู" จันบอก


เด็กๆ แย่งกันบรรยายลักษณะคนที่พวกเขาเพิ่งไปเห็นมา จากที่ฟังนรินทร์คิดว่าผู้ชายคนนั้นคงเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ แต่น้ำเสียงของเจ้าพวกนี้ฟังดูทั้งตื่นเต้นทั้งสงสัยเหมือนคนคนนั้นแตกต่างออกไปจากชาวบ้านธรรมดา สุดท้ายครูรินจึงตกลงกับเด็กๆ ว่าจะไปดูคนที่มาอยู่บ้านป้าชุ่มด้วยกัน









สี่ชีวิตหยุดอยู่ห่างจากบ้านป้าชุ่มไม่ไกล


เด็กทั้งสามคนโผล่หัวจากพุ่มไม้ซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวเพื่อสังเกตการณ์ ทำอย่างกับสายสืบ นรินทร์ทำหน้าระอา ทั้งที่ควรไปทักทายเพื่อนบ้านคนใหม่ให้เหมือนคนปกติทั่วไป เห็นแก่ความระแวดระวังเกินเหตุของเด็กๆ เขาจึงไม่อยากห้ามอะไร


เพื่อนบ้านคนใหม่นอนอยู่บนเปลซึ่งผูกอยู่กับเสาบ้าน ใช้แขนรองศีรษะเอาไว้ ผมของเขาเป็นสีบลอนด์ซีดจนเกือบขาว ร่างสูงใหญ่นั้นพลิกตัวหันมาทำให้นรินทร์เห็นว่าคนคนนั้นหน้าตาดีสุดๆ


"ผมของเขาเป็นสีขาวมากกว่า" เจ้าเด็กเนมออกความเห็น


"ผมหงอกเต็มหัวเลย แก่แล้วเหรอ" โมสงสัย


"โง่หรือเปล่า หน้ายังหนุ่มอยู่เลย" จันไม่พลาดที่จะว่าน้อง


"เป็นฝรั่งเหรอ แม่เนมบอกว่าฝรั่งมีผมสีอ่อน"


"ไม่ใช่ฝรั่งหรอก หน้าอย่างนี้คนเอเชีย" นรินทร์ว่า สงสารเพื่อนบ้านคนใหม่จริงๆ ที่โดนเด็กวิจารณ์กันใหญ่


เนมทำหน้างง "เอเชีย คืออะไรครับ" 


"เอเชียเป็นชื่อทวีปน่ะ"


"อ๋อออ!"


พอจันลากเสียงยาว คนอื่นๆ ก็พยักหน้ารับรู้ตาม ครูรินยกนิ้วโป้งเป็นเชิงบอกว่าเยี่ยม ก่อนหันไปมองผู้ชายคนนั้นต่อ โดยไม่รู้ว่าเนมแอบเขยิบเข้าไปกระซิบกระซาบกับจัน


"ทวีปคืออะไรอ่ะ"


พี่ใหญ่ส่ายหัว "ไม่รู้เหมือนกัน"


"อ้าว!?" โมหน้าเหวอกับคำตอบจัน


เจ้าเด็กจันทำปากจิ๊จ๊ะ "เดี๋ยวโตขึ้นก็รู้เองน่า" แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งมีชีวิตตัวยาวที่มีเป็นร้อยขาเคลื่อนไหวอยู่ที่ปลายเท้า เด็กชายหน้าซีด ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเจอสัตว์ชนิดเดียวที่กลัวในระยะประชิด น้ำเสียงแปดหลอดจึงแผดกล้า "ตะ...ตะขาบ ว้ากกก!!!"


ตะโกนลั่นไปทั่วยังไม่พอ ร่างผอมๆ ยังผลักทุกสิ่งที่ขวางหน้าก่อนจะวิ่งเผ่นแน่บออกไป บังเอิญว่าคนที่ขวางอยู่เป็นนรินทร์พอดี คุณครูหนุ่มจึงเซออกมานอกพุ่มไม้ พร้อมๆ กับเด็กอีกสองคนที่ตกใจกระโดดโหยงออกมาเหมือนกัน


เสียงดังๆ นี้เองทำให้เพื่อนบ้านคนใหม่หันขวับมาทางนี้


ต้องโทษสายตาที่ดีไปของนรินทร์ เขาเห็นแววตาไม่ไว้ใจจ้องเขม็งมาอย่างชัดเจน จนทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มแห้งๆ ส่งไปให้ ซึ่งยังไงก็ดูมีพิรุธ



...เป็นการพบหน้ากันครั้งแรกที่ประหลาดสิ้นดี










TBC



---------------------------------------------

สวัสดีค่ะทุกๆ คน


แนะนำตัวกันก่อน ชื่อ ขนุน นะคะ นามปากกา JAMNIN เรียกเราว่าแจมนินก็ได้

ขอฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วยนะคะ // โค้ง


ปล. ใครใจดีเห็นคำผิดช่วยเตือนด้วยนะคะ เพราะนี่ชอบพิมพ์ตกๆ หล่นๆ ไม่ก็สะกดผิดประจำ เหะๆ  :hao5:
 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-07-2017 15:19:02 โดย JAMNIN »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: ► เพื่อให้รักริน ◄ [บทนำ 24/5/2017]
«ตอบ #2 เมื่อ24-05-2017 20:47:48 »

น่าอ่าน
คุณครูน่ารัก พวกเด็ก ๆ ก็น่ารัก

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4
Re: ► เพื่อให้รักริน ◄ [บทนำ 24/5/2017]
«ตอบ #3 เมื่อ24-05-2017 23:54:26 »

 :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ JAMNIN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: ► ริน รัก ล้น ใจ ◄ [บทที่ 2 14/7/2017]
«ตอบ #4 เมื่อ14-07-2017 18:27:42 »

2

เพื่อนบ้านคนใหม่


แสงอาทิตย์อ่อนๆ ยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้ห้องพักครูเล็กๆ แห่งนี้ดูมีชีวิตชีวา โมบายสีสันสดใสที่ห้อยอยู่หน้าประตูส่ายไปมาตามกระแสลมส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งรื่นหู


กระเป๋าใส่เอกสารสีน้ำตาลถูกวางบนโต๊ะไม้โดยคุณครูหนุ่ม เสียงนุ่มทุ้มฮัมเพลงที่กำลังฮิตในช่วงนี้เป็นทำนองด้วยใบหน้าสดชื่น ไม่มีร่องรอยความง่วงอยู่ซักนิดโดยไม่ต้องพึ่งกาแฟแม้จะยังเป็นเวลาเช้าอยู่มาก


ด้วยความที่บ้านอยู่ภายในเขตรั้วโรงเรียนและตื่นเช้าจนเป็นนิสัย นรินทร์จะเป็นคนแรกที่มาถึงโรงเรียน เขาเลยไปขอปั๊มกุญแจมาจากภารโรงอีกหนึ่งชุดและอาสาเป็นคนเปิดห้องแทน


กุญแจพวงโตที่ใช้ไขห้องเรียนทุกห้องในตึกนอนนิ่งอยู่ข้างกระเป๋าบ่งบอกว่าเขาจัดการภารกิจยามเช้านี้เสร็จเรียบร้อยไปหนึ่งอย่าง


นรินทร์จัดการเติมน้ำให้กับพลูด่างในขวดน้ำเหลือใช้ที่แกะสลักเป็นกระถางแบบง่ายๆ โดยฝีมือนักเรียนซึ่งติดอยู่ตามหน้าต่างห้องด้วยใบหน้าอมยิ้มน้อยๆ


เสร็จแล้วครูหนุ่มก็กลับมานั่งยังโต๊ะประจำ แกะถุงน้ำเต้าหู้ใส่เครื่องเยอะแบบพิเศษ เน้นวุ้นเยอะๆ เทใส่ถ้วย หยิบปาท่องโก๋สีเหลืองนวลน่ากินเข้าปากเคี้ยวหงับๆ


จัดการน้ำเต้าหู้ไปได้ครึ่งถ้วย เสียงทักทายก็ดังมาจากหน้าประตู


"สวัสดียามเช้าจ้า"


เจ้าของเสียงชัดถ้อยชัดคำเป็นหญิงสาวร่างอวบในชุดเสื้อเชิ้ตสีเขียวอ่อน กระโปรงสีน้ำเงินเข้มสุภาพ เกล้าผมเป็นหางม้าด้านหลังแบบที่นรินทร์เห็นจนชินตา


"วันนี้มาเช้านะพี่เมย์" ริมฝีปากของนรินทร์วาดเป็นรอยยิ้มทักทาย


ใบหน้าเอิบอิ่มของคุณครูเมธินีไม่ได้เคลือบด้วยเครื่องสำอางหนา เพียงแค่ทาแป้งฝุ่นบางๆ กับลิปมันให้ริมฝีปากแวววาวเล็กน้อย แค่นั้นใบหน้าก็ผ่องใสดูดี เธอก้าวเข้ามาแล้วก็วางกระเป๋าบนโต๊ะข้างๆ นรินทร์


"หยุดยาวไปสี่วันเติมพลังจนเต็ม วันนี้เลยตื่นเช้ามาดูแสงแรกของวันซักหน่อย" ครูเมย์ว่าเสียงกลั้วหัวเราะ


"วันหยุดเอาแต่นอนล่ะสิ" นรินทร์แซว


แม้ว่านับตามอายุแล้ว เมธินีจะแก้กว่านรินทร์สองปีกว่า แต่คุณครูทั้งคู่ก็คุยเล่นเหมือนเป็นเพื่อนกันตามปกติ 


"นอน ดูซีรีย์ ทำงานบ้านก็หมดเวลาแล้ว สี่วันเหมือนจะนานแต่ก็แป๊บเดียวเอง" เธอบ่นน้อยๆ


นรินทร์พยักหน้า กลืนปาท่องโก๋ "ผมเห็นด้วย งานบ้านดูดเวลามากๆ"


"ผู้ชายแท้ๆ อยู่บ้านคนเดียวไม่ต้องทำมากหรอก"


"บ้านผมสะอาดนะครับพี่"


"แหนะ มีสาวที่ไหนมาจัดการให้หรือเปล่า" ครูเมย์ลองแหย่


"สาวๆ ที่มาบ้านผมมีแต่เจ้าโมคนเดียวแหละ" นรินทร์หัวเราะ


ว่าไปนั่น เด็กหญิงโมมีหรือจะมาทำความสะอาดบ้านให้เขา มีแต่จะทำให้เละกว่าเดิมสิไม่ว่า


"อ้อ น้องโม ปอหนึ่ง เป็นสาวจริงด้วย" เมธินียังรับมุก ก่อนถามต่อ "กลับไปเยี่ยมบ้านมา เป็นยังไงบ้าง"


"คุณพ่อคุณแม่สบายดี ให้ของกินกลับมาเยอะมาก เอาไว้ถ้าผมกินไม่หมดจะเอามาให้พี่ช่วยกิน"


"เดี๋ยวเหอะ เห็นพี่เป็นที่กำจัดของเหลือหรือไง"


"ล้อเล่นครับ" ครูรินยังคงหัวเราะอารมณ์ดี หยิบถุงของฝากที่หยิบติดมือออกจากบ้านส่งให้ ปากก็พูด "ถุงนี้ขนม แล้วก็นี่ แก้วเซรามิก ซื้อมาฝาก เห็นบ่นว่านักเรียนทำแก้วกาแฟแตกไปเมื่ออาทิตย์ก่อน"


"ขอบคุณมากค่ะครูรินรูปหล่อ" เมธินียิ้มแย้มทำเป็นชมขณะรับของฝากจากนรินทร์ "อุ้ย! ลายสวยจัง ถูกใจจริงๆ"


"ผมว่า พี่อย่าให้เด็กต่ำกว่าปอสี่ชงกาแฟให้อีกเลย แก้วจะได้ไม่แตกอีก"


"แหม ไม่ผิดกฎหมายแรงงานซักหน่อย" ครูเมย์ว่าขำๆ


"ตำรวจไม่จับหรอกครับ แต่ผู้ปกครองจะมาเฉ่งเอาสิ ถ้านักเรียนโดนแก้วบาดใครจะรับผิดชอบ ไหนจะน้ำร้อนลวกอีกล่ะ ต้องดูแลความปลอดภัยด้วย" คนอายุน้อยกว่าเทศน์


ถ้าเป็นที่อื่นผู้น้อยเคารพผู้ใหญ่ มีหรือจะพูดจาสั่งสอนได้ แต่เรื่องนี้ใช้ไม่ได้กับโรงเรียนเล็กๆ แห่งนี้ที่มีครูอยู่ไม่กี่คน โดยเฉพาะนรินทร์กับเมธินีที่สนิทกันมาก มีอะไรก็พูดกันตรงๆ ไม่มีใครถือสาเอาความ


"ก็ได้ๆ เอาซะพี่รู้สึกผิดเลย ต่อไปไม่ทำอีกแล้ว" ครูเมย์สัญญาแต่โดยดี


"พี่ทานข้าวเช้ามายัง" นรินทร์ถาม ยกน้ำเต้าหู้ขึ้นดื่ม


"เรียบร้อยแล้วจ้ะ บอกแล้วว่าวันนี้ตื่นเช้าจริง" เมธินีจัดแจงสมุดบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ ก่อนจะเพิ่งนึกบางอย่างออก "เอ้อ! ได้ข่าวมาว่าบ้านป้าชุ่มมีคนมาอยู่ใหม่เหรอ"


นรินทร์เลิกคิ้ว เมธินีรู้ข่าวไวเสียจริง ขนาดเขาถ้าเด็กๆ ไม่ตามไปดูก็คงยังไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าบ้านข้างๆ มีคนมาอยู่ "ได้ข่าวมาจากไหนล่ะ"


"เจอแม่น้องเนมที่ร้านข้าวต้มเมื่อเช้า เขาเล่าให้ฟัง"


"อ้อ" 


"รินเจอหรือยัง" ครูเมย์ถาม


"เจอแล้ว มาอยู่คนเดียวมั้ง" ครูรินตอบ ไม่อยากจะบอกว่าเจอกันครั้งแรกก็ไปทำลับๆ ล่อๆ ที่หน้าบ้านเขาเลย


"ผู้หญิงผู้ชาย" ครูเมย์ถามรายละเอียด


"ผู้ชาย เป็นคนต่างชาติด้วย"


เมธินีตาโต ท่าทางดูสนอกสนใจขึ้นมาทันที "จริงอะ หล่อมั้ย อายุเท่าไหร่ "


นรินทร์กระแอม ผู้หญิงนี่ดูจะสนใจข้อมูลว่าหล่อหรือไม่ก่อนเสมอ


"ผมหล่อกว่า" นรินทร์ยักคิ้ว ยิงมุกอย่างไม่มีคำว่าอาย


เมธินีแกล้งทำหน้าเอือมระอาส่งมาให้


ครูรินขำกิ๊ก ก่อนจะยอมบอกดีๆ "หน้าตาดีสุดๆ นึกว่าดารา น่าจะเป็นคนจีนมั้งถ้าให้ผมทาย ส่วนอายุเดายาก น่าจะประมาณผมนี่แหละ" ครูรินเล่า ก่อนจะหน้าตึงขึ้นมานิดหน่อย พูดอุบอิบ "แต่ถึงจะดูดีแค่ไหน ให้เลือกได้ก็ไม่อยากไปสุงสิงด้วยซักเท่าไหร่"


"อ้าว ซะงั้น" เมธินีสังเกตเห็นท่าทีนรินทร์ก็รู้แกว "พูดอย่างนี้แสดงว่าไปคุยกับเขามาแล้วล่ะสิ เจออะไรมาล่ะ"


คุณครูหนุ่มพยักหน้า ใบหน้ายังคงบูดบึ้ง


นึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อเย็นวาน...









หลังจากนรินทร์ส่งยิ้มแห้งๆ และตะโกนขอโทษเพื่อนบ้านคนใหม่ที่โดนรบกวนการนอนกลางวัน เขาก็ต้อนเนมกับโมกลับบ้าน ส่วนเจ้าตัวต้นเรื่องไม่รู้วิ่งโร่หายไปไหนแล้ว


ตกเย็น เด็กๆ ก็กลับบ้านกลับช่องไปกันหมด ทิ้งให้ครูรินอยู่คนเดียว คิดไปคิดมานรินทร์จึงลุกขึ้นมาเข้าครัว รื้อวัตถุดิบในตู้เย็นออกมาเตรียมพร้อม ก่อนเอากระทะตั้งไฟแล้วใส่หัวกะทิลงไป


ความประทับใจแรกเป็นสิ่งสำคัญเสมอ


แต่ความประทับใจแรกของเพื่อนบ้านคนใหม่ที่มีต่อเขาคงเข้าขั้นติดลบ ต้องกู้หน้าเสียหน่อย ถึงจะไม่รู้ว่าชายคนนั้นจะอาศัยอยู่บ้านป้าชุ่มนานหรือเปล่า แต่ยังไงก็อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง ผูกมิตรไว้ก่อนไม่มีอะไรเสียหาย


ทำกับข้าวไปให้นี่แหละ


วิธีผูกมิตรประสาชาวบ้าน


พอเห็นว่ากะทิเคี่ยวจนแตกมันเรียบร้อย นรินทร์ก็ใส่น้ำพริกแกงเผ็ดเป็นขั้นตอนที่สอง


อย่าคิดว่าผู้ชายทำกับข้าวไม่เป็น ผู้ชายที่แยกตัวมาอยู่คนเดียวตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัยอย่างเขาบอกเลยว่าทำอาหารได้เก่งกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก เป็นเพราะว่าติดรสชาติอาหารฝีมือแม่มาก กินอาหารที่อื่นก็ไม่ถูกปาก ครูรินเลยแก้ปัญหาด้วยการกลับบ้านไปทีก็เอาตัวเองไปเป็นลูกมือแม่ในครัว ขอให้แม่ถ่ายทอดเคล็ดลับวิชาให้เอาไว้ทำกินเองยาม (หาอาหารถูกปาก) ยาก


ไปๆ มาๆ เขาก็ทำกับข้าวได้คล่องแคล่ว ทำไว้กินเองได้ ทำให้เด็กนักเรียนกินก็ดี แถมยังประหยัดกว่าออกไปหาซื้อข้างนอก


ไม่นานแกงเผ็ดไก่ใส่มะเขือเปราะก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ ส่งกลิ่นหอมฉุย ครูรินจัดแจงแบ่งใส่กล่องทัพเพอร์แวร์ อีกส่วนใส่ชามเอาไว้กินเอง


ไม่กี่นาทีต่อมานรินทร์ก็มายืนอยู่หน้าบ้านที่เพิ่งมาเมื่อตอนบ่าย ภายในบ้านมืดสนิท ไม่มีแสงไฟเล็ดลอดออกมา


นรินทร์ขมวดคิ้ว ตามองกล่องบรรจุแกงในมือ ไหนๆ อุตส่าห์ทำกับข้าวมาแล้วก็อยากให้เพื่อนบ้านลองชิมดู เก็บเอาไว้เขาก็กินไม่หมด จริงๆ จะแช่เย็นเอาไว้เป็นมื้อเช้าก็ได้ แต่กินอะไรซ้ำๆ มันเบื่อนี่หว่า


หรือแกงมื้อนี้จะเป็นหมันซะแล้ว


เสียงจิ้งหรีดเรไรเริ่มขับขาน ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ เพราะเป็นเวลาพระอาทิตย์ตกดิน


เขายังไม่ตัดสินว่าไม่มีคนอยู่บ้านเสียทีเดียว ครูรินเดินเข้าไปใกล้ตัวบ้านมากกว่าเดิม ด้อมๆ มองๆ สังเกตการณ์... 


"คุณทำอะไร"



นรินทร์สะดุ้งโหยง เมื่อสมองกำลังคิดว่าจะลองเคาะประตูดู จู่ๆ น้ำเสียงเย็นเยียบก็ดังขึ้น เขารีบหันขวับไปมองด้านหลัง


คนที่เขาต้องการมาผูกมิตรด้วยยืนอยู่ตรงนั้น


เงาร่างสูงใหญ่มองเห็นหน้าได้เลือนๆ ด้วยมีอุปสรรคเป็นความมืดยามหัวค่ำก้าวเข้ามา เดินเลยผ่านนรินทร์ไป ก่อนจะ...


แป๊ะ!


เสียงกดสวิทช์ไฟดังขึ้น ทันใดไฟหน้าบ้านก็สว่างพรึบ


คุณครูหนุ่มจึงได้โอกาสเห็นเพื่อนบ้านคนใหม่ในระยะใกล้อย่างชัดๆ นรินทร์รีบกวาดตามอง สังเกตอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว


ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีอย่างร้ายกาจ นัยน์ตาสีเข้มคมกริบ คิ้วเข้มพาดเฉียงทำให้เค้าหน้าดูคมเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ผมสีบลอนด์อ่อนตัดเป็นทรงสุภาพ ปล่อยไว้ยุ่งๆ ไม่ได้เซ็ทเป็นทรง ทว่าก็ไม่ได้ลดทอนความดูดีมหาศาลของเขา รูปร่างสูงใหญ่ สูงกว่านรินทร์เป็นสิบเซ็นได้ ไม่รู้จะสูงไปไหน ขนาดอยู่ในชุดเสื้อยืดธรรมดายังมีมาดอย่างกับนายแบบ


ตอนบ่ายคนคนนี้นอนอยู่บนเปลเลยเห็นรูปร่างหน้าตาไม่ชัดเท่านี้ อีกทั้งยังอยู่ไกล พอมาเห็นตรงหน้าแบบนี้จึงทำให้ครูรินรู้สึกตะลึง


ไม่คิดว่าในที่ค่อนข้างชนบทแบบนี้จะมีคนที่หล่อขนาดนี้มาปรากฏตัวอยู่ได้


"คุณมีอะไรหรือเปล่า" เห็นเขายืนนิ่งไม่พูดไม่จา คนตรงหน้าก็ถามขึ้นอีกรอบ


ฮะ!?


นรินทร์คืนสติกลับมา


เมื่อกี้...ชายคนนี้พูดเป็นภาษาอังกฤษ


จะว่าไปประโยคแรกที่ทำเอาเขาตกอกตกใจก็ภาษาอังกฤษนี่หว่า


หมอนี่ไม่ใช่คนไทย?


ครูรินคิด ต้องไม่ใช่คนไทยแน่ ไม่งั้นคงพูดเป็นภาษาไทยไปแล้ว


ว่าแต่...


คนต่างชาติมาทำอะไรที่บ้านป้าชุ่มวะ?


หัวคิดหาคำตอบที่สงสัยขณะยืนเป็นบื้อใบ้ เรียกให้ตาคมๆ มองนิ่งมาที่เขา ตาคู่นั้นเหมือนมีอำนาจบางอย่างที่ทำให้นรินทร์ลนลานขึ้นมาทันที


"อะ...เอ่อ" แม้ในใจจะยังสงสัยอย่างหนัก แต่ปากก็ต้องพูดอะไรซักอย่างก่อน ภาษาอังกฤษผุดขึ้นในหัวอย่างเร็วจี๋ ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองจากสมองเขาก็หลุดออกไปว่า "เอ้อ ออกไปข้างนอกมาหรือครับ ผมนึกว่าจะไม่เจอคุณซะแล้ว"


ยังดีที่แกรมมาถูก...


ถุย! ไม่ใช่สิ


ถามอะไรโง่ๆ นะไอ้ริน!


เห็นชัดๆ ว่าหมอนี่เพิ่งเดินกลับมา ก็ต้องออกไปข้างนอกอยู่แล้วสิ จะให้วาร์ปออกมาจากข้างในบ้านหรือไง!


แต่เรื่องนี้จะด่าตัวเองไม่มีสมองก็ไม่ได้ เขายังงงงวยไม่หาย จึงคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี อีกอย่าง เขากับชายคนนี้ก็ยังไม่รู้จักกัน ถ้าเปลี่ยนเป็นเจอชาวบ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตา เขาคงถามว่าไปไหนมาเป็นประโยคคลาสสิกที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแทน


คิ้วเข้มของคนตรงหน้าเริ่มขยับมาชิดกันจนหน้าดุกว่าเดิม


เงียบ ไม่ตอบอะไรกลับ


หลังจากสำนึกได้ว่าตัวเองเด๋อด๋าไปแค่ไหน นรินทร์ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า แท้จริงควรจะแนะนำตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก


คนจบเอกภาษาอังกฤษมาเลยได้งัดเอาวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนออกมาปัดฝุ่น


"คุณคงแปลกใจ ขอโทษครับที่พูดอะไรแปลกๆ" เขาแก้ตัวไปก่อน แล้วค่อยวนเข้าเรื่อง "ผมชื่อนรินทร์ เรียกว่ารินก็ได้ ผมเป็นครู สอนอยู่ที่โรงเรียนประถมตรงนั้นเอง แล้วบ้านผมก็อยู่ติดกับคุณ บ้านผมอยู่ตรงนู้น" ชี้มือไปที่บ้านตัวเองประกอบคำพูด ปั้นหน้าให้ดูมีมาด ฉีกยิ้มส่งไปให้อย่างเป็นมิตร "พอดีเห็นว่าคุณมาอยู่ใหม่เลยมาทักทายน่ะครับ"


เงียบ...


พอฟังเขาอธิบายจบ อีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบนิ่งอย่างกับหุ่นขี้ผึ้ง ไม่พูดอะไรออกมาซักอย่าง


ครูรินอึกอัก ต้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ "แล้วเอ่อ...คุณ ไม่ทราบว่าคุณชื่อ..."


"อัลวิน" น้ำเสียงทุ้มต่ำบอกสั้นๆ


แค่นี้!?


ไม่คิดจะแนะนำตัวเพิ่มเติมเลยหรือ ทีเขายังพูดซะยาว


"ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณอัลวิน" นรินทร์ว่าไปตามไดอะล็อก ยิ้มแย้มเหมือนยินดีเสียเต็มประดา


เงียบ...


แล้วจะยังไงต่อ คุณอัลวินเล่นไม่ต่อคำแบบนี้ ทั้งยังมีท่าทีเฉยชาเหมือนไม่อยากจะเสวนากับเขาอีกต่างหาก


นรินทร์พยายามคิดหาสาเหตุ


อ้อ หรือจะไม่พอใจ... 


"ผมต้องขอโทษคุณด้วยกับเหตุการณ์เมื่อบ่าย ที่ผมกับเด็กๆ มาเสียงดังรบกวน" เขาขอโทษขอโพย ก่อนชี้แจงเหตุผล "พวกเด็กๆ แกอยู่ละแวกนี้ เวลาเล่นก็เล่นไปทั่ว เดิมบ้านนี้ไม่มีคนอยู่ เด็กๆ ก็มาเล่นแถบนี้ประจำ ไม่รู้ว่าคุณเพิ่งเข้ามาอยู่ ไม่ได้ตั้งใจเสียงดังทำให้คุณตื่น"


ก็ยังคงเงียบ...


นรินทร์เริ่มรู้สึกประหม่า เก้ๆ กังๆ


หรือที่เขามายืนพล่ามอยู่นี่จะเป็นการรบกวนอีกฝ่ายอีกรอบ บางทีคุณอัลวินเพิ่งย้ายมาอาจจะอยากพักผ่อนเงียบๆ 


"ผมทำแกงเผ็ดไก่มาให้" ครูรินเลยรีบเข้าประเด็นที่ทำให้เขามายืนอยู่ตรงนี้ "คุณมาอยู่ไทยนานหรือยังครับ เคยกินหรือยัง"


ไม่ตอบ...


"อ่า งั้นก็ลองทานดูแล้วกันนะครับ" เขายื่นกล่องทัพเพอร์แวร์ให้


ไม่อยากคุยก็ไม่เป็นไร รีบๆ รับไปซักที เขาจะได้ไสหัวกลับบ้าน


อัลวินปรายตามองกล่องในมือนรินทร์ นิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนริมฝีปากหยักจะอ้าปากพูด "ขอโทษด้วย ผมไม่รับอะไรจากคนแปลกหน้า"


นรินทร์ชะงักกึก


ในที่สุดเขาก็ได้รับการโต้ตอบ แต่ใจความในประโยคนี่สิ โคตรจะไร้เยื่อใย


"อะ...เอ่อ" เขาพูดต่อไม่ออก


แปลกหน้าตรงไหนวะ บ้านอยู่ติดกัน แนะนำตัวไปแล้วด้วยนะโว้ย! 


"คุณเป็นครูใช่ไหม" คาดไม่ถึงว่าอัลวินจะยิงคำถามมาต่อ แต่อีกฝ่ายไม่เว้นช่องให้เขาตอบ ว่าต่อทันที "เด็กๆ พวกนั้นอยู่ในการดูแลของคุณใช่ไหม คุณดูแลยังไงถึงปล่อยให้ไปทำความเดือดร้อนให้คนอื่น"


นรินทร์ถึงกับยิ้มค้าง ตั้งรับไม่ทัน ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะพูดออกมาแบบนี้


"คุณควรควบคุมเด็กให้ดีกว่านี้ อย่าให้ไปส่งเสียงดังรบกวนใครได้อีก"


ครูรินพะงาบปาก แต่ก็ไม่มีคำพูดใดๆ เล็ดลอดออกมา


ให้ตาย! พูดเหมือนเด็กของเขาไปทำเสียงโหวกเหวกโวยวายไม่หยุด ก็แค่เผลอร้องเสียงดังไปแป๊บเดียว หมอนี่ถึงกับเอามาพูดอย่างนี้เลยเราะ!


"แล้วก็...พื้นที่บริเวณนี้เป็นอาณาเขตบ้านของผม ผมไม่ชอบให้ใครเข้ามารุกล้ำ ช่วยบอกเด็กพวกนั้นให้ไปเล่นที่อื่นด้วย"


นรินทร์หน้าตึงไปหมด


ยัง ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น...


ร่างสูงใหญ่กอดอก กล่าวต่อเสียงเยียบเย็น "อีกอย่าง คุณเองก็เหมือนกัน ทีหลังอย่าไปทำลับๆ ล่อๆ หน้าบ้านคนอื่น นอกจากจะเสียมารยาทแล้ว หากไม่ใช่บ้านคนรู้จัก คุณจะโดนเข้าใจผิดไปว่าเป็นโจรเป็นขโมยได้"   


นรินทร์ถึงกับต้องระงับสีหน้าไม่ให้แสดงความไม่พอใจออกไป ทั้งๆ ที่ข้างในใจเดือดปุดๆ


หมอนี่ไม่ไว้หน้าคนที่เพิ่งรู้จักบ้างเลยหรือ ทั้งยังเป็นคนบ้านข้างๆ ติดกันที่อาจต้องไปมาหาสู่กันในอนาคต ไม่คิดจะผูกมิตรแล้วยังจะตัดมิตรกันตั้งแต่วันแรกที่เจอ


ใจเย็นไว้ เย็นไว้ไอ้ริน


อัลวินเป็นชาวต่างชาติ อาจเคยชินกับการพูดตรงๆ


อย่าไปถือสามาก


แล้วยังขนาดตัวที่แตกต่างกันขนาดนี้ ถ้าออกอาการฮึดฮัดใส่ แล้วอีกฝ่ายไม่พอใจ ซัดเขาขึ้นมาก็มีแต่เละกับเละ อย่าไปทำให้เป็นเรื่องเลย


"ผมต้องขอโทษด้วย" นรินทร์กัดฟันพูด


"อื้ม" อัลวินรับคำเป็นเสียงในลำคอ นัยน์ตาสีเข้มมองหน้าเขาอย่างเฉยเมย ว่าเรียบๆ "คุณมีอะไรอีกไหม"


นี่เป็นคำไล่กลายๆ ใช่ไหม


"...ผมทำกับข้าวมาให้ คุณจะไม่ลองกินจริงหรือ"


ครูรินตัดสินใจทำตัวญาติดีด้วยอีกหน่อย เผื่อว่าอัลวินจะได้เห็นความตั้งใจจริงในการพยายามผูกมิตรของเขา แม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะแทบเป็นไปไม่ได้เลยก็เถอะ


"ขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่ผมรับไว้ไม่ได้ คุณเอากลับไปเถอะ"


หมอนี่พูดเหมือนจะถนอมน้ำใจเขามากขึ้น แต่ดูๆ แล้วเหมือนจะเป็นการตัดบทเสียมากกว่า


"อ่า...โอเค" นรินทร์ยอมแพ้


เอากลับก็เอากลับวะ


ถึงจะโดนพูดหักหน้า เขาก็ยังอยากมีมารยาทจนถึงนาทีสุดท้าย จะกล่าวสวัสดียามค่ำตามธรรมเนียมที่ศึกษามา แต่ไม่ทันจะหลุดคำว่ากู๊ด ไอ้คนต่างชาติหัวทองก็หันหลังกลับ เดินขึ้นบ้านไปเสียแล้ว


ไม่อยู่ฟังจนจบ ไม่มีแม้แต่จะกล่าวลาซักนิด


ทิ้งให้คนบ้านข้างๆ อย่างนรินทร์เกาหัว อารมณ์บูด ท่ามกลางเสียงจิ้งหรีดเรไรและลมเย็นๆ ที่พัดมายามกลางคืน










"เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้อะพี่"


"โห ดูท่าอัลวินอะไรนั่นคงไม่อยากทำความรู้จักกับรินจริงๆ นั่นแหละ" เมธินีออกความเห็นเมื่อนรินทร์เล่าจบ


ครูรินพยักหน้า ก่อนจะคิ้วขมวด ว่าเสียงเครียด "ผมอยากรู้จริงๆ ว่าเขาเป็นใคร"


"ก็รู้แล้วหนิว่าชื่ออัลวิน"


"ไม่ใช่แบบนั้นสิพี่" นรินทร์แย้ง 


เมธินีเอียงคอ ถามกลับ "แล้วยังไง"


"เขาเป็นคนต่างชาติ พูดภาษาไทยก็ไม่ได้ แต่ย้ายมาอยู่คนเดียวในบ้านเก่าๆ เล็กๆ ในที่ห่างหัวเมืองแบบนี้ มันแปลกๆ" นรินทร์ว่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย


ครูเมย์ส่ายหัวยิ้มๆ กับท่าทางจริงจังเสียเหลือเกินของคนอายุน้อยกว่า


"เป็นนักท่องเที่ยวหรือเปล่า บางทีอาจจะอยากอยู่แบบสโลไลฟ์" เธอว่า


"นักท่องเที่ยว แต่ไม่เป็นมิตรกับคนท้องถิ่นเอาซะเลยเนี่ยนะ" คนช่างวิเคราะห์โต้กลับทันใด


"เอ ก็จริงอยู่" เมธินีลากเสียง "แล้วทำไมไม่ถามเขาว่ามาที่นี่ทำไม"


"ตลกเหรอพี่ แค่นี้เขาก็จะกินหัวผมอยู่แล้ว" นรินทร์ว่า คิดไปถึงเพื่อนบ้านคนใหม่แล้วก็ทำหน้าแหยง แล้วกล่าวเสริม "ตัวก็ใหญ่ หน้าก็ดุ คำพูดคำจาก็เย็นชาเสียจริง ใครจะไปกล้าถาม"


"คราวหน้ายังมี บ้านอยู่ติดกัน ถ้าเขายังไม่ย้ายไปไหนในเร็วๆ นี้ เดี๋ยวก็คงมีโอกาสได้คุยกันอีก" เมธินีกล่าว


ครูรินได้แต่หัวเราะเหอะๆ

 





















 
TBC

กลับมาต่อแล้วววว ขอโทษนะคะที่หายไปนาน (มาก)

ครูรินเป็นคนใจเย็นค่ะ ฝึกมาเยอะจากเด็กๆ อีกทั้งโดยพื้นเพเป็นคนไม่สู้คน ไม่ชอบถือสาเอาความอะไรกับใครมาก ไม่งั้นคงไม่ทำตัวเป็นคนไทยน้ำใจงาม สยามเมืองยิ้มอย่างนี้ ฮ่า






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-07-2017 17:39:42 โดย JAMNIN »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
โถถถถ พ่อคุณเย็นชาได้อีก ว่าแต่มาทำอะไรหนอ

ออฟไลน์ JAMNIN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 3 15/7/2017]
«ตอบ #6 เมื่อ15-07-2017 18:50:59 »

3


เพื่อนบ้านที่น่าสงสัย





ผ่านไปอึดใจเดียววันเวลาก็วนมาถึงวันหยุดสุดสัปดาห์อีกรอบ นรินทร์ตื่นประมาณแปดโมง สายกว่าปกติเพราะไม่ต้องไปทำงาน นอนนิ่งๆ บนเตียงปรับความคิดชั่วครู ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำอาบน้ำแปรงฟัน


ขณะแต่งตัวกับทานอาหารเช้าก็นั่งนึกรายการของที่ต้องซื้อเข้าบ้านไปด้วย


ทุกวันเสาร์ต้นเดือน นรินทร์จะเข้าไปทำธุระและซื้อของในตัวเมือง โดยเขามักจะติดรถไปกับลุงขาม ลุงในละแวกนี้ที่สนิทกัน ด้วยลุงขามต้องเข้าเมืองไปรับของมาขายต่อทุกอาทิตย์อยู่แล้ว


นรินทร์ผูกเชือกรองเท้าผ้าใบ เช็คดูว่าเอากระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือติดตัวมาเรียบร้อย เตรียมตัวเดินไปขึ้นรถที่บ้านลุงขามอย่างทุกที แต่แล้วเสียงเรียกเข้ามือถือก็ดังขึ้น เป็นลุงขามนั่นเองที่โทรมาบอกว่าให้ไปขึ้นรถที่บ้านป้าชุ่มแทน เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ


ลุงขามไปทำอะไรที่บ้านป้าชุ่มกัน ก็ตอนนี้บ้านนั้นกลายเป็นที่อยู่ของผู้ชายชาวต่างชาติผมบลอนด์หน้าดุไปแล้ว


นรินทร์ไม่ได้สนทนาพาทีกับอัลวินอีกตั้งแต่โดนตัดเยื่อใยเมื่อวันนั้น เขาเห็นหน้าอีกคนเพียงแค่ครั้งเดียวตอนเดินผ่านบ้านป้าชุ่มโดยบังเอิญ ทว่าตอนนั้นอัลวินไม่เห็นเขา ครูรินก็ไม่ได้คิดจะทักทาย ทำเพียงแค่เดินผ่านเลยไป


หวังว่าคราวนี้อัลวินคงไม่โผล่ออกมาต่อว่าเขาอีกหรอกนะที่เข้ามาในอาณาเขตบ้านตัวเองอีกครั้ง


"อรุณสวัสดิ์ครับลุงขาม" นรินทร์ยกมือไหว้ชายวัยกลางคนผิวคล้ำที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ข้างรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่


"สวัสดีครับครูริน"


"ทำไมลุงมาอยู่นี่ละครับ" นรินทร์ถามข้อข้องใจทันที


"คุณอัลวิน ที่มาอยู่บ้านนี้เขาจ้างให้ลุงไปรับไปส่งตอนเข้าเมืองน่ะครู"


"หือ?"


"ครูคงยังไม่รู้สิ คนฮ่องกง ชื่ออัลวิน เขามาเช่าบ้านยายชุ่มอยู่"


คำขยายความจากลุงขามจึงทำให้นรินทร์ถึงบางอ้อว่าเพื่อนบ้านคนใหม่เป็นคนฮ่องกงนั่นเอง ถึงว่าพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว สำเนียงดีอีกต่างหาก


"ผมรู้แล้วครับ เคยคุยกันหนหนึ่ง" นรินทร์ว่า เอียงคองงๆ "สงสัยก็แต่เขามาจ้างลุง เขาพูดไทยได้เหรอครับ" 


"ไม่ใช่หรอกครู" ลุงขามโบกไม้โบกมือปฏิเสธ "ตอนย้ายมาครั้งแรกคุณเขามีล่ามมาด้วย ตอนมาคุยกับลุงก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน จู่ๆ ก็มีคนต่างชาติมาจ้างให้ขับรถรับส่ง พูดไทยก็ไม่ได้ แต่ดูๆ แล้วเห็นว่าบุคลิกท่าทางดี มีสง่าราศีลุงเลยรับ อ้อ เขาจ้างให้เมียลุงทำอาหารส่งให้กินทุกวันด้วย" 


นรินทร์ย่นคิ้ว ลุงขามนี่ไว้ใจคนง่ายจริงๆ


ถึงหมอนั่นจะบุคลิกดีก็จริง แต่ก็น่าสงสัยสุดๆ


เป็นคนฮ่องกง อยู่ๆ ก็โผล่มาอยู่แถบนี้ตัวคนเดียว มีล่ามมาเจรจากับชาวบ้านจ้างให้ทำนู่นทำนี่ให้


โคตรแปลก...


"เขามาอยู่ที่นี่ทำไมหรือครับ" นรินทร์ถาม


"ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน" ลุงขามพูดยิ้มๆ ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบ "ให้ลุงเดานะ ลุงว่าเขาเป็นคนรวยๆ ที่อาจหนีอะไรบางอย่างมา แล้วใช้ที่นี่เป็นที่พัก" เสียงของลุงขามเบาลงจนทำให้เรื่องที่พูดดูเป็นเรื่องลับห้ามแพร่งพราย จนครูรินต้องเอาหูไปฟังใกล้ๆ "เห็นหน้านิ่งๆ ขรึมๆ อย่างนี้คงไม่พ้น..."


ผู้ก่อการร้ายข้ามชาติชัวร์!


"อกหักแน่ๆ หนีสาวมาพักใจ" ลุงขามขยิบตา


นรินทร์ขำพรืด หน้าอัลวินผุดขึ้นในความคิดทันใด


ตาดุๆ ไม่ยิ้มแย้ม ท่าทีเย็นชา...


เออแฮะ... ดูท่าทางแล้วก็อาจจะเป็นไปได้ โดนสาวหักอกมา ฮ่าๆๆ


นึกแล้วเขาก็ขำไม่หยุด ลุงขามช่างคิดนะเนี่ย


"แล้วเขาจะมาอยู่นานหรือเปล่าลุง" นรินทร์ถามต่อ


"ไม่รู้สิครู อยู่นานก็ดี ค่าอาหารแต่ละมื้อที่ให้ก็ไม่น้อย ขนาดลุงว่ามันมากเกิน คุณเขาก็ยืนยันจะให้เท่านี้"


ฟังแล้วนรินทร์ก็ยิ้ม กล่าวสัพยอก "ผมนึกว่าลุงจะบอกว่า คุณเขาคงอยู่จนกว่าแผลในใจจะดีขึ้น"


"อุ้ย ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ขอให้ทำใจได้ไวๆ ล่ะครับ ไม่ต้องอยู่นานก็ได้" ลุงขามว่า


คุยกันได้เท่านั้น เสียงเปิดประตูบ้านก็ดังขึ้น ทำให้ครูรินกับลุงขามหยุดสนทนา


คนที่ตกเป็นประเด็นเดินออกมาจากตัวบ้าน ร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงยีนส์ นรินทร์มองด้วยความอิจฉา พอแต่งตัวอย่างนี้เหมือนกับหลุดออกมาจากแมกกาซีน ผมสีบลอนด์ซีดหวีเปิดหน้าผากขึ้นไปจนเห็นโครงหน้าชัดเจน ทวงท่ายามเดินมั่นคง มีความมั่นใจ


ใบหน้าหล่อเหลายังคงเฉยชา


ในตอนนั้น นรินทร์ก็รู้สึกขึ้นมาว่าอัลวินมีอะไรบางอย่างในตัวซึ่งทำให้ชายหนุ่มไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป


ราวกับ...มีอำนาจเหนือกว่าคนอื่น


อาจเป็นเพราะตาคมคู่นั้นที่ดุดันราวกับแววตาของราชสีห์ ดวงตาที่มองมายังนรินทร์นิ่งๆ แต่เหมือนกับมีคำถามอันกดดันส่งออกมาว่าเขามาทำอะไรที่นี่


ครูรินส่งยิ้มไปให้ "สวัสดียามเช้าครับคุณอัลวิน ผมขอติดรถไปด้วยนะ คุณคงไม่ว่าอะไร"







บรรยากาศภายในรถเงียบ...เงียบมาก ลุงขามที่ปกติเป็นคนอัธยาศัยดีคุยกับนรินทร์อยู่ตลอดไม่ได้ชวนคุย คงเป็นเพราะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ อีกทั้งยังเกรงใจชาวต่างชาติที่นั่งยังเก้าอี้ข้างคนขับ ครูรินเองที่นั่งด้านหลังคนเดียวตรงแค็บกระบะก็เลยพลอยไม่รู้จะพูดอะไรไปด้วย ส่วนอัลวินนั้น...สังเกตจากหน้าราบเรียบก็เหมือนไม่อยากให้คำพูดใดๆ หลุดออกจากปากอยู่แล้ว   


อึดอัดชะมัด


"ผมขอเปิดเพลงได้มั้ยครับ" นรินทร์เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ


"โอ้ ตามสบายครับครู"


พอคนขับรถอนุญาต ครูรินก็ถามเป็นภาษาอังกฤษอีกครั้ง เขาเห็นอัลวินเพียงแค่ปรายตามองเขาผ่านกระจกมองหลัง ไม่ได้พูดอะไรอีกตามเคย


ไม่ว่าอะไร งั้นเขาทึกทักไปเองแล้วกันว่าอีกฝ่ายไม่ขัดข้อง


ครูรินล้วงโทรศัพท์ออกมาเปิดเพลง เสียงเพลงดังขึ้นลั่นรถด้วยความที่นรินทร์ตั้งค่าระดับเสียงดังสุดเอาไว้ จากความเงียบสงบกลายเป็นมีเสียงเพลงดังสนั่นเข้ามาแทนที่ คนเปิดเพลงเลยสะดุ้งน้อยๆ แล้วรีบลดเสียงให้เบาลง


เพลงฮิตในไทยเล่นไปเรื่อยๆ เขาเลื่อนดูเพลงในลิสต์ ในเครื่องเขาส่วนใหญ่มีแต่เพลงไทย ครูรินจิ้มเข้าแอปพลิเคชันชื่อดัง เลือกเพลงสากลเปิดแทน เพื่อที่ว่าคนต่างชาติในรถจะได้ฟังออก


เมื่อมีเพลงเปิดคลอก็ช่วยคลายบรรยากาศอึดอัดไปได้บ้าง ฟังไปได้ไม่เท่าไหร่ คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็หันหน้ามามองเพียงชั่วแวบเดียว แต่ครูรินดันเห็นเข้าจะๆ


นัยน์ตาสีเข้มฉายแววคล้ายกับไม่สบอารมณ์ สบตากับเขาเต็มๆ


นรินทร์เผลอกลั้นหายใจ


โห โคตรดุ


ไม่อยากให้เปิดเพลงก็บอกกันดีๆ สิ ไม่เห็นต้องประหยัดคำพูดขนาดนี้เลย


"โอ๊ะ ลืมชาร์ตแบตนี่นา เดี๋ยวแบตไม่พอถึงตอนเย็น ปิดเพลงดีกว่า" ครูรินทำทีพูดขึ้นลอยๆ เป็นภาษาอังกฤษ เด็กอนุบาลยังรู้เลยว่าพูดให้ใครฟัง แล้วกดปิดเพลงอย่างสงบเสงี่ยม


ในรถกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ยังดีที่มีเสียงแอร์เบาๆ ไม่งั้นคงอาจได้ยินเสียงหายใจก็เป็นได้ สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ที่เห็นมาจนเบื่อไม่ชวนให้น่ามองวิวทิวทัศน์ ผู้ร่วมทางก็เอาแต่เงียบ นรินทร์เลยปิดเปลือกตาลง พิงตัวไปกับกระจกข้างหลัง แสร้งทำเป็นหลับไปให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องทนนั่งนิ่งๆ ด้วยความอึดอัด


แต่แล้วเขาก็เผลอหลับไปจริงๆ


รู้ตัวอีกทีรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ก็แล่นมาถึงในตัวเมืองแล้ว


นรินทร์เหยียดแข้งเหยียดขา บิดตัวสองสามทีแก้เมื่อย อยู่ๆ ก็อยากรู้ขึ้นมาว่าจุดหมายปลายทางของอัลวินคือที่ไหน จะเข้าเมืองมาทำอะไรกัน


ไม่ต้องสงสัยนาน เมื่ออีกไม่กี่นาทีต่อมาลุงขามก็ตบไฟเลี้ยว ขับรถเข้ามาจอดหน้าภัตตาคารแห่งหนึ่ง


มากินอาหารเนี่ยนะ?


อัลวินปลดเข็มขัดนิรภัยออก ค่อมหัวให้ลุงขามเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเป็นภาษาไทยสำเนียงใกล้เคียงกับต้นฉบับมาก "ขอบคุณ"


นรินทร์ถึงกับตาโต มองคนฮ่องกงที่เพิ่งพูดไทยเปิดประตูรถลงไปอย่างอึ้งๆ


อัลวินพูดไทยชัดมาก และที่ชวนตะลึงก็คือ...ท่าทางสุภาพเมื่อครู่


มีมารยาทกับผู้ใหญ่เหมือนกันนี่หว่า ทีกับเขาล่ะไม่เคยแยแสสักนิด


"แล้วครูรินลงไหนครับ" ลุงขามถามขึ้น


"อ้อ" นรินทร์หยุดคิดนิดหน่อย "ผมลงตรงนี้เลยก็ได้ครับ"


จากตรงนี้ไปก็ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้าที่เขาต้องการมาเดินซื้อของ ลุงขามจะได้ไม่ต้องวนไปส่ง เพราะเขาจำได้ว่าธุระของลุงขามต้องไปยังถนนคนละเส้น


"ขอบคุณมากครับที่มาส่ง นี่ครับลุง ค่ารถ"


"โอ้ย อีกแล้วเหรอครูริน ลุงบอกหลายครั้งหลายหนแล้วว่าไม่ต้อง คนกันเอง"


"ลุงก็ไม่คิดตังค์ผมมาตั้งหลายครั้งแล้ว เกรงใจจะแย่ รับไปเถอะครับ" นรินทร์คะยั้นคะยอ


"งั้นครูรินเอาไปให้คุณอัลวินเถอะ เขาเป็นคนออกค่าน้ำมันทั้งหมด" ลุงขามว่า


นรินทร์นิ่งไป เอาไปให้อัลวินงั้นหรือ...


จะดีหรือวะ...


นรินทร์ลงจากรถ ก่อนเห็นว่าอัลวินยังไม่ได้เข้าไปในร้าน ร่างสูงใหญ่ยืนคุยอยู่กับชายอีกคนซึ่งดูแล้วน่าจะอยู่ในวัยเดียวกัน


อ้อ ที่แท้ก็มากินข้าวกับเพื่อน


สุดท้ายนรินทร์ก็ตัดสินใจเดินเข้าไป "ขอโทษที่ขัดจังหวะครับ"


คนที่คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของอัลวินหันขวับมามองเขา คนคนนี้ตัวสูงเกือบเท่าอัลวินแต่รูปร่างเล็กกว่า ครูรินมองกลับแล้วก็แอบรู้สึกแหยงๆ ในใจ


ใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้หล่อชวนตะลึงอย่างอัลวิน แต่เรียบนิ่งอย่างกับปลาตายไม่แตกต่างกันซักนิด


"เอ่อ คุณอัลวิน" ครูรินเอ่ยขึ้นกับคนข้างบ้าน "ผมช่วยออกค่าน้ำมันครับ"


"ไม่ต้อง" อัลวินตอบกลับในทันทีด้วยเสียงเรียบๆ


"เอาไปเถอะครับ"


ถ้านรินทร์มองไม่ผิด ดวงตาคู่คมของอีกฝ่ายมีร่องรอยเบื่อหน่ายเล็กน้อย แล้วคนสูงกว่าก็ว่าอีกรอบ


"ไม่ต้อง"


สั้น ห้วน กระชับ บ่งบอกว่าต่อให้นรินทร์ตื้อแค่ไหนก็ไม่ยินยอมเปลี่ยนใจ


นรินทร์ลอบถอนใจ คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้


อีกฝ่ายไม่ยอมรับเงินเขา ครูรินก็ไม่อยากคิดมาก ช่างมันก็ได้วะ ถือว่าได้นั่งรถฟรี


"งั้นก็ขอบคุณมากครับ ผมขอตัว"











 
พอแผ่นหลังบางในชุดเสื้อยืดสีเข้มห่างออกไปนอกเหนือระยะที่จะได้ยินแล้ว คนที่ยืนอยู่ข้างอัลวินก็เอ่ยถามเป็นภาษาจีนกวางตุ้ง ขณะสายตายังไม่ละไปจากผู้ซึ่งเดินออกไป


"ใครหรือ"


ได้ยินคำถาม อัลวินจึงมองตามไปยังคนที่โดนสงสัยเล็กน้อย นึกไปถึงใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ดูแล้วยังไม่น่าจบปริญญาได้ แต่แท้จริงแล้วอยู่ในวัยทำงาน


คนที่มีเด็กรายล้อมอยู่ตลอดเวลา


ครูรินไม่มีทางรู้ว่าช่วงเย็นที่เขาออกมานั่งทำอะไรจุกจิกนอกบ้านโดยมีเด็กๆ ตัวแสบอีกสามคนมาเล่นป่วนให้คนเป็นครูต้องคอยปรามเป็นระยะๆ ตกอยู่ในสายตาของคนข้างบ้านแทบทุกวัน


"คนที่อยู่บ้านข้างๆ" น้ำเสียงทุ้มต่ำตอบ คิดคำอธิบายอีกฝ่ายอยู่อึดใจ ก่อนกล่าวผ่านๆ อย่างไม่ใส่ใจ "เป็นครู พูดมาก ไม่มีภัยอะไร"


คนฟังได้ยินอย่างนี้ จึงได้เลิกจ้องเขม็ง แต่มิวายเอ่ย


"นายรู้ใช่ไหมว่าไม่ควร..."


"ไม่ควรสุงสิงกับใคร ฉันรู้ ไม่ต้องให้นายมาย้ำ" นัยน์ตาคมตวัดมองวูบอย่างไม่พอใจเท่าไหร่ ขณะเดินเข้าไปในภัตตาคาร


พนักงานออกมายิ้มแย้มต้อนรับ แล้วเชิญคนทั้งคู่ไปยังโต๊ะที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว


เมื่อนั่งลง สั่งอาหารเสร็จเรียบร้อย ชายผมดำจึงกล่าวขึ้น


"นี่ยาครีมที่ฝากซื้อ เป็นอะไรมากหรือเปล่า"


"แค่ผื่นแดง น่าจะแพ้อะไรซักอย่าง ไม่น้ำก็แมลง"


"ให้ย้ายที่อยู่ไหม"


"ไม่ต้อง อย่าทำอะไรยุ่งยาก" อัลวินตักเตือน "แค่นี้ฉันอยู่ได้"


อีกฝ่ายก้มหัวรับคำ ก่อนหยิบเอกสารบางอย่างออกมาจากกระเป๋าหนังส่งให้อัลวิน


"คืบหน้าแค่นี้?" เพียงแค่กวาดตาดูไม่เท่าไหร่ก็ว่าขึ้น


"งัดข้อกับนายหมอนั่นก็ต้องระวังตัวแจ"


อัลวินพยักหน้ารับ ไม่ได้กล่าวอะไรขึ้นเสริม นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นแววครุ่นคิดอย่างจริงจัง


ภายในใจชายผู้เป็นคนหาเอกสารมาแทบไม่รู้เลยว่าจะแก้ปัญหาเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ด้วยวิธีการใด


ทั้งคู่ตระหนักดีว่าต่อไปจะหนักหนากว่านี้ เสี่ยงกว่านี้ แต่คนตรงข้ามก็ยังคงความเยือกเย็นเอาไว้ได้อย่างทุกที ใบหน้าหล่อเหลานิ่งเฉย ในคณะที่สมองค่อยๆ ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ไม่รีบร้อน


ชายผมดำนิ่งสงบ รอคอยคำสั่ง ด้วยรู้ดีแก่ใจว่า...


คนอย่างอัลวิน จาง ไม่มีวันเจอทางตัน
















ฝนที่ตกพร่ำมาทั้งคืนหยุดลงแล้ว ทำให้อากาศยามเช้าแสนสดชื่นและเย็นฉ่ำ แสงอาทิตย์กระทบกับหยดน้ำที่เกาะพราวบนใบหญ้า เสียงนกร้องดังแว่ว หากมีจินตนาการแล้วอาจได้ยินเป็นทำนองเพลง


วันนี้นรินทร์พิถีพิถันในการแต่งตัวมากเป็นพิเศษ เขาอยู่ในชุดเสื้อพื้นเมืองสีขาวปักลายดอกหญ้า สวมกางเกงขายาวสีน้ำตาลที่ชาวบ้านเรียกติดปากว่าเตี่ยว ผมเส้นเล็กหวีเป็นทรงเรียบร้อยกว่าปกติ ใบหน้าเกลี้ยงเกลายิ้มแย้มผ่องใส


ผู้ปกครองที่มาส่งลูกหลานเข้าโรงเรียนต่างเอ่ยปากชมเปาะด้วยความชื่นชมระคนเอ็นดู


ธงไตรรงค์ปลิวสะบัดอยู่บนยอดเสาเมื่อเพลงชาติจบ มีนักเรียนกล่าวนำสวดมนต์ จากนั้นครูใหญ่ก็ขึ้นพูดอบรม


เมื่อกิจกรรมยามเช้าจบลงที่เวลาแปดโมงยี่สิบ เหล่าเด็กๆ จะต้องขึ้นห้องเรียน แต่วันนี้แตกต่างออกไปจากเดิม เด็กๆ ตั้งแถวเดินไปยังห้องประชุมที่เป็นหลังคาโดมเปิดโล่งแทน


วันพฤหัสบดีของเดือนมิถุนายนเป็นวันไหว้ครู


หลังจากครูใหญ่ก้าวขึ้นเวทีจุดธูปเทียน นมัสการพระพุทธรูปที่แท่นหมู่บูชาเสร็จ พิธีการก็เริ่มขึ้น มีการสวดมนต์ จากนั้นก็เจิมหนังสือเพื่อความเป็นสิริมงคล


ครูรินนั่งยังเก้าอี้หน้าเวที สีหน้าอิ่มเอิม นัยน์ตาคู่สวยเป็นประกายความสุข


นักเรียนหญิงชั้นปอหกแต่งกายเรียบร้อยถูกระเบียบเป็นผู้นำบทสวดคำกล่าวไหว้ครูทำนองสรภัญญะ เสียงใสๆ ขึ้นต้นอย่างไพเราะเสียงดังฟังชัด


"...ปาเจราจริยาโหนติ  คุณุตตรานุสาสกา..."
   

ข้าขอประณตน้อมสักการ...
บูรพคณาจารย์ผู้กอรปประโยชน์ศึกษา...



เสียงเด็กๆ นับร้อยร้องรับพร้อมเพรียงกัน เกิดเป็นเสียงกังวานก้องโดยไม่ต้องใช้เครื่องขยายเสียงใดๆ นักเรียนทุกคนต่างยืนตัวตรงนิ่ง ตั้งใจอ้าปากร้องตามคนนำ ทำนองเป็นจังหวะจะโคนไพเราะกว่าบทเพลงอื่นใดในความคิดของนรินทร์


ก่อเกิดบรรยากาศเปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์


ครูรินมองภาพที่มีมนต์เสน่ห์ตรงหน้า ริมฝีปากบางคลี่เป็นรอยยิ้มกว้างอย่างปลื้มปิติ ซึมซับความตั้งใจของเด็กๆ สลักลึกลงในใจ ในอกอุ่นวาบ เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจของคนเป็นครู


ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี ประโยชน์ทวี...
แก่ชาติและประเทศไทยเทอญฯ...


"...ปัญญาวุฒิกเร เต เต ทินโนวาเท นมามิหัง..."


บทสวดไหว้ครูจบลง ตามต่อมาด้วยคำปฏิญาณตน เสียงดังฮึกเหิม


เราคนไทย ใจกตัญญ รู้คุณชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
เรานักเรียน จะต้องประพฤติตนให้อยู่ในระเบียบวินัยของโรงเรียน
เรานักเรียน จะต้องไม่ทำตนให้เป็นที่เดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น


โต๊ะตัวยาวข้างเวทีมีพานไหว้ครูวางเรียงกันสวยสดงดงาม แม้บางพานจะปักดอกไม้เบี้ยว บางพานจะปักธูปเทียนเอียงกะเท่เร่ ก็ไม่มีครูคนไหนว่า กลับมองว่าสวยที่สุดเพราะเป็นฝีมือของลูกศิษย์


ตัวแทนนักเรียนของแต่ละห้องเข้าแถวเรียงกันไปหยิบพานของห้องตัวเอง


นรินทร์อมยิ้มมองเจ้าจัน ลูกศิษย์ห้องของเขาถือพานธูปเทียนเดินเข้ามาใกล้ คุกเข่าลง แล้วเดินเข่าเข้ามาด้วยท่าทางขยุกขยิกเหมือนเจ้าตัวจะไม่ถนัด ครูรินเลยแอบหัวเราะกึกๆ ภาวนาให้เจ้าเด็กแสบไม่เสียการทรงตัวล้มลงไปเสียก่อน


ในที่สุดจันก็ส่งพานถึงมือเขาโดยที่ไม่คว่ำได้สำเร็จ ก่อนจะก้มลงกราบอย่างคล่องแคล่วตามลำดับที่เคยซักซ้อมมาก่อน


เงยหน้าขึ้นมายิ้มแป้น พนมมือไหว้ "ขอให้ครูรินใจดี เลิกบ่นนะค้าบบบ"


นรินทร์ปากกระตุก เจ้าเด็กคนนี้นี่นะ ทำเอาเขาหายซึ้งเลย


เขากวักมือให้จันเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะยื่นมือไปลูบหัวเล็กๆ


แล้วโยกไปมาอย่างหมั่นเขี้ยว


"จะให้ครูเลิกบ่น ก็ต้องเป็นเด็กดีก่อน เลิกดื้อ เลิกซน ทำได้ไหม" เขาแกล้งถาม


"ของง่ายๆ!" เจ้าจันว่า


"แล้วจะรอดู" นรินทร์หัวเราะ ก้มหน้าลงไปใกล้ๆ นักเรียนตัวผอม ก่อนจะกล่าวอวยพร "ครูขอให้จันเรียนเก่งๆ เป็นเด็กดีของคุณพ่อคุณแม่ เป็นศิษย์ที่ดีของคุณครู"


"แล้วยายล่ะ" จันทวง


ครูรินยิ้ม ด้วยรู้จักครอบครัวของจันเป็นอย่างดี พ่อแม่ของจันทำงานอยู่ต่างจังหวัด นานๆ ทีจะกลับมาหาลูก พวกเขาฝากจันไว้ให้ยายดูแล ในบ้านเล็กๆ เลยมีจันอยู่กับคุณยายแค่สองคน


"เป็นหลานที่ดีของคุณยายด้วย" ครูรินว่า 


"ค้าบบบ!" จันรับคำเสียงดัง 


หลังจบพิธีการทั้งหมด คุณครูก็พานักเรียนแยกย้ายกลับไปตามห้องเรียน แล้วถึงเป็นพิธีเล็กๆ ระหว่างคุณครูกับลูกศิษย์


เด็กๆ ต่อแถวเอาดอกเข็มช่อเล็กๆ กับธูปเทียนเข้ามาไหว้ครูทีละคนๆ นรินทร์ลูบหัวและอวยพรให้กับนักเรียนห้องของเขาด้วยความปรารถนาดีจนครบทุกคน







ครูรินยิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดีทั้งวันด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ เขากลับมาบ้านในตอนเย็นพร้อมกับถุงใส่ดอกไม้ของเด็กๆ หนึ่งถุงใหญ่ ยังไม่ทันได้ทำอะไรต่อเสียงเล็กๆ อันคุ้นเคยก็ดังมาจากหน้าบ้าน


"ครูรินนน!"


เสียงฝีเท้าดังตึงตัง มาพร้อมกับการปรากฏตัวของสามแสบ จัน เนม โม


เด็กทั้งสามมาหาเขาเร็วกว่าทุกวัน ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อนักเรียนยับๆ เพราะเล่นซนมาทั้งวันเป็นชุดธรรมดาอยู่บ้านเลยด้วยซ้ำ   


"ปลาปีก้ากินพาราโหนติ" มาถึงจันก็ร้องเป็นเพลงเสียงเพี้ยนๆ ทำนองปาเจราจริยาโหนติ คาดว่าจะคิดเนื้อร้องขึ้นมาเอง


"ครูริน หนูมาไหว้ครูริน" เด็กหญิงโมชูไม้ชูมือ


"วันนี้เป็นวันครูใหญ่ ท้องฟ้าแจ่มใสพาใจสุขสันต์" จันร้องเพลงที่แปลงขึ้นอีกแล้วเต้นไปด้วย


"ผมก็มาไหว้ครูริน" เด็กชายเนมว่า


"ครูบาอาจารย์ที่ท่านประทานความรู้มาให้ อยากกินผัดไท แคบหมูกรอบกรอบ โรตี" ส่วนจันยังไม่หยุดร้อง เอาเพลงที่เปิดคลอทั้งพักกลางวันมามั่วเนื้อร้องซะเสียหาย


"จัน หยุดร้องเพลงก่อน" ครูรินแทบกุมขมับ พูดปรามเจ้าตัวแสบ ก่อนเอ่ยเสียงนิ่มขึ้น "โมกับเนม จะมาไหว้ครูหรือ"


โมอยู่ปอหนึ่ง เนมอยู่ปอสอง ไม่ได้เรียนกับครูรินที่สอนอยู่ปอสามอย่างจัน เลยยังไม่ได้ไหว้เขาที่โรงเรียน ไม่นึกเลยว่าเจ้าเด็กพวกนี้จะยังไม่ลืม เลิกเรียนก็ตรงรี่มาบ้านเขาเลยทีเดียว


"ใช่ค่ะ หนูเอาดอกเข็มกับหญ้าแพรกมาให้"


"เนมเอาข้าวตอกกับดอกมะเขือมาด้วย"


ร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงกับร่างตุ้ยนุ้ยของเด็กชายเอาของที่ว่ามาให้ครูริน ของสี่อย่างล้วนเป็นสัญลักษณ์วันไหว้ครู คาดว่าผู้ปกครองคงหามาให้เด็กๆ นำมาไหว้เขา เจ้าพวกนี้คงไม่รู้ด้วยตัวเองหรอก แต่นรินทร์ก็ยังใจพองโตที่เด็กๆ เอามาให้ เขายิ้มอย่างดีใจ


เนมกับโมพนมมือไหว้ นรินทร์กล่าวอวยพรให้ยาว


"รู้หรือเปล่าว่าดอกเข็ม หญ้าแพรก ข้าวตอก และดอกมะเขือหมายความว่ายังไง" เขาถามเด็กๆ


"รู้ๆ ผมรู้!" จันยกมืออย่างกระตือรือร้น ก่อนจะร่าย "หญ้าแพรกเอาไว้คลุมดิน ข้าวตอกเอาไว้กิน!"


"ครูหมายถึงความหมาย ไม่ใช่เอาไว้ทำอะไร" นรินทร์ส่ายหน้า 


"ความหมายอะไร" จันยังคงไม่เข้าใจ


ครูรินยิ้มๆ ว่าแล้วว่าต้องไม่รู้ เขาเริ่มเล่าให้เด็กๆ ฟัง "การไหว้ครู ที่ต้องเอาดอกเข็ม หญ้าแพรก ข้าวตอก กับดอกมะเขือมาไหว้ ล้วนมีความหมายแฝงอยู่" เขาอธิบาย "ดอกเข็ม จะเห็นว่าเวลายังไม่บานจะเป็นดอกแหลมๆ ใช่ไหม แสดงถึงว่าครูต้องการสอนให้นักเรียนรู้จักคิด วิเคราะห์ เป็นคนฉลาดหลักแหลม ส่วนหญ้าแพรก เป็นหญ้าที่ทนความแห้งแล้งได้ ถึงเราจะไม่ได้รดน้ำ ไปเดินเหยียบมัน หญ้าแพรกก็ยังไม่ตาย แถมเวลาที่ได้รับน้ำ ก็จะแตกยอด เจริญงอกงาม ก็เหมือนกับครูที่ต้องเข้มแข็ง ถึงเด็กๆ จะดื้อแค่ไหนก็ไม่ยอมแพ้ และต้องสอนให้เด็กๆ มีความอดทนด้วย" 


"อย่างนี้นี่เอง!" จันพยักหน้าหงึกหงัก


"แล้วดอกมะเขือล่ะคะ"


"โมเห็นดอกมะเขือที่อยู่บนต้นไหม ดอกของมันจะโน้มลงมาเสมอ แสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน"


"แล้วข้าวตอก?" จันถามบ้าง


"ข้าวตอกคือเมล็ดขาวสารที่เอาไปคั่ว เวลาข้าวโดนความร้อนก็จะพองตัวแตกออกมา มีกลิ่นหอม"


"แตกเหมือนเมล็ดต้อยติ่งเหรอ" เนมตาโต


"อืม คล้ายๆ กันมั้ง เมล็ดต้อยติ่งเอาไปใส่น้ำก็จะแตก ส่วนข้าวพอโดนความร้อนถึงจะแตก เรียกว่าข้าวตอก" ครูรินว่า "ก็เหมือนกับการที่ครูต้องสอนหนังสือให้เด็กๆ จากเดิมที่ไม่มีความรู้ ให้เด็กๆ เปลี่ยนแปลงเป็นคนมีวิชาความรู้เอาไปใช้ในการดำรงชีวิต"


"ครูจะเอาหนูไปคั่วเหรอ ก็ร้อนแย่สิ" โมถามตาใส่


"ไม่ใช่สิ อ่า...ครูก็แค่เปรียบเทียบกัน"


"ไม่เห็นเข้าใจเลย" 


"อื้ม" ครูรินนิ่งคิด อธิบายยากจัง เด็กๆ ยังเล็กอยู่ ไม่รู้จักการเปรียบเปรยเสียด้วย เขาเลยได้แต่พูดว่า "เดี๋ยวโตขึ้นก็เข้าใจเอง"


"ยายก็ชอบพูดแบบนี้ แล้วต้องโตขนาดไหนถึงจะเข้าใจ" จันบ่นอุบ


"แต่ละคนจะเข้าใจช้าเข้าใจเร็วไม่เท่ากัน ถ้าอยากเข้าใจเร็วๆ ก็อ่านหนังสือให้มากๆ" นรินทร์ถือโอกาสสั่งสอน


"แล้วคนที่อ่านหนังสือไม่ออก เขาก็ไม่เข้าใจสิ" จันแย้งขึ้นมา


ครูรินถึงกับต้องอึ้งไปชั่วครู่ ถึงจะค่อยคิดหาวิธีแก้ไขคำพูดตัวเอง ให้เจ้าเด็กช่างถามอย่างจันเข้าใจ


และแล้วเสียงหัวเราะใสๆ สลับกับเสียงห้ามปรามของคนเป็นครูก็ดังขึ้นจากบ้านไม้หลังเล็กอย่างทุกที


































TBC




ตอนเด็กๆ จำได้ว่าเราชอบร้องเพลงปาเจรามาก วันครูวนมาทีไร กลับบ้านมาก็ยังร้องไม่หยุด ทำนองมันไพเราะ แอบอิจฉาคนที่ได้นำร้องบนเวทีด้วยนะ แบบคิดว่าเราก็ร้องเพราะจะตายแต่ทำไมไม่ได้รับเลือกบ้าง โตมาคิดๆ ดูแล้วก็ตลกตัวเอง หลงตัวเองชะมัด ฮ่าาาา


 

 
 
 
 
 
 




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-07-2017 12:46:57 โดย JAMNIN »

ออฟไลน์ Vi-o-let

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คุณอัลวินเป็นใครกันแน่เนี่ยยย

ออฟไลน์ JAMNIN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
4


ความช่วยเหลือ



"เขมทัต"


"มาค้าบ!"


"จิรวิน"


เงียบ


"จิรวิน"


นรินทร์เงยหน้าขึ้นมาจากใบเช็คชื่อเมื่อไม่มีเสียงขานรับอย่างกระตือรือร้นอย่างทุกวัน ก่อนมองไปยังโต๊ะตัวหน้าริมหน้าต่างที่วันนี้ว่างเปล่า ไม่มีตัวผอมแห้งของเจ้าตัวแสบ


เจ้าจันไม่มาเรียน


หรือว่าจะป่วย


ตอนเย็นคงต้องแวะไปหาที่บ้านจันซักหน่อย ถึงจะแสบไปนิด แต่จันไม่ใช่เด็กขี้เกียจจนอิดออดไม่มาเรียน ถ้าป่วยจะได้ไปเยี่ยมไข้ ดูอาการด้วยว่าเป็นหนักหรือเปล่า


ครูรินเขียนลงไปท้ายชื่อเด็กชายจิรวินว่า ป. ก็คือป่วย ก่อนจะไล่ชื่อเด็กคนถัดไป


เช็คชื่อครบทุกคนแล้ว เขาก็หยิบแปรงลบกระดานลบวันที่บนกระดานดำ ก่อนจะใช้ช็อกสีขาวเขียนลายมือตัวบรรจงลงไปใหม่


วันจันทร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕xx


"เอาล่ะ หยิบหนังสือขึ้นมา เปิดไปหน้ายี่สิบ ครูจะทบทวนที่เรียนไปครั้งที่แล้วก่อนนะ..."


แล้วการเรียนการสอนในคาบแรกก็เริ่มต้นขึ้น








นรินทร์รีบทานอาหารกลางวันในห้องพักครูด้วยความรวดเร็ว เนื่องจากเขาเป็นเวรต้องลงไปเดินตรวจตราและดูแลเด็กๆ ยามพักกลางวัน


"ผมลงไปดูเด็กก่อนนะพี่" เขากล่าวกับครูเมธินีที่ยังทานข้าวไม่เสร็จ


"เอาฝรั่งหน่อยมั้ย" ครูเมย์ยื่นจานผลไม้มาให้


"อื้ม หวานดีนะพี่" นรินทร์ว่าหลังจากหยิบขึ้นมากินหนึ่งชิ้น ก่อนจะหยิบอีกชิ้นเข้าปาก ดื่มน้ำในแก้วเซรามิกล้างปาก แล้วเดินออกมาจากห้อง


เสียงเด็กๆ เล่นกันดังเจี๊ยวจ๊าว สนามหญ้าของโรงเรียนมีเด็กผู้ชายเตะฟุตบอลกันอยู่ท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆ ของประเทศไทย ที่นรินทร์เห็นแล้วก็เป็นห่วงว่าเด็กๆ อาจจะเป็นลมแดด แต่ก็ห้ามไม่ให้เล่นไม่ได้ จึงได้แต่กวาดตามองเป็นระยะๆ เผื่อมีใครเป็นอะไรจะได้เข้าไปช่วยเหลือได้ทัน ในขณะที่เด็กผู้หญิงจับกลุ่มกันเล่นกระโดดยางอยู่ใต้ร่มเงาของต้นทองกวาว บางส่วนก็นั่งอยู่ตรงระเบียงชั้นหนึ่งของตึกเรียน เล่นหมากเก็บกัน


นรินทร์เดินไปทั่ว หยุดคุยกับนักเรียนบ้าง แวะเข้าไปตักเตือนบ้าง เข้าไปช่วยเด็กๆ ชมรมเกษตรย้ายกระถางต้นไม้ที่โรงเรือนขนาดเล็กท้ายโรงเรียน ก่อนจะเดินเอื่อยๆ ออกมา


"นายขอเล่นเองนะ!!"


เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น เรียกความสนใจให้นรินทร์รีบเข้าไปดู ก่อนจะพบว่าเป็นกลุ่มเด็กที่เขารู้จักเป็นอย่างดี


เด็กพวกนี้อยู่ปอสี่ เมื่อปีที่แล้วตอนอยู่ปอสามนรินทร์เป็นครูประจำชั้น


เด็กชายหญิงเจ็ดแปดคนยืนกันเป็นกลุ่ม ประชันหน้ากับเด็กผู้ชายใส่แว่นคนหนึ่งที่ยืนอยู่คนเดียว 


"เกิดอะไรขึ้น ขม ยอด!" นรินทร์ตัดสินใจเรียกชื่อเด็กผู้ชายตัวโตสุดที่ยืนอยู่หน้ากลุ่มเด็กๆ กับเด็กชายผู้ยืนอยู่อีกฝากเดี่ยวๆ เนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อ ดวงตาใต้กรอบแว่นแดงก่ำ


"ไอ้ยอดมันขอผมเล่นซ่อนแอบ" เด็กที่ชื่อขมตอบ


นรินทร์ขมวดคิ้ว "แล้วไม่ให้เพื่อเล่นด้วยเหรอ"


"ให้เล่นแล้ว!"


"แล้วทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ"


"ก็ไอ้ยอดน่ะสิ โดนแปะต้องเป็นใหม่ก็ไม่ยอมเป็น" ขมว่าด้วยใบหน้าหงุดหงิด โดยมีคนอื่นข้างหลังพยักหน้า


นรินทร์มองดูท่าทีเด็กๆ แล้วจึงหันไปหายอดบ้าง ก่อนถาม "ทำไมไม่ยอมเป็นล่ะยอด ตามกติกาเล่นซ่อนแอบ ถ้าคนหาโดนแปะก็ต้องเป็นคนหาใหม่อีกตาไม่ใช่เหรอ"


"ไม่ยอมเป็นแล้ว!" ยอดตะโกนเสียงดัง ใบหน้าแสดงความโมโห


ครูรินเห็นสถานการณ์ไม่ปกติจึงทำหน้าดุ "เรื่องมันเป็นยังไงมาไง ใครจะเล่าให้ครูฟังได้บ้าง"


เด็กกลุ่มใหญ่ไม่มีใครพูด ก่อนจะมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มที่นรินทร์รู้ว่าเป็นหัวหน้าห้องกล่าวขึ้นมาอย่างอึกอัก "คะ...ครูริน"


นรินทร์คลายสีหน้าลงเพื่อไม่ให้เด็กหญิงกลัว "เล่าให้ครูฟังหน่อย"


"พวกเราเล่นกันอยู่ก่อน แล้วยอดก็มาขอเล่นด้วย ขมไม่ให้เล่น แต่ยอดตื้อ ขมเลยให้ยอดเป็นคนหา ขมบอกให้เพื่อนๆ ช่วยกันแปะยอด ให้ยอดเป็นคนหาทุกตา" เด็กหญิงเล่า


"ไอ้ขี้ฟ้อง!" ขมคำราม


เด็กหญิงตกใจรีบวิ่งมาหลบข้างหลังครูริน แล้วโผล่หน้ามาพูด "เราพูดความจริง เราห้ามนายแล้ว แกล้งเพื่อนไม่ดี!"


"ยอดเป็นคนหามากี่ตาแล้ว" ครูรินถาม


"ห้า...หก หนูไม่รู้"


นรินทร์ถอนหายใจ แสดงว่าหลายตา ยอดจะโมโหก็ไม่แปลก เขาเข้าไปหาเด็กชายใส่แว่น ใช้มือลูบหัว ค่อยๆ คลายมือที่กำแน่นของยอดออก


เด็กชายยอดเข้ากับเพื่อนๆ ไม่ได้


นรินทร์รู้ถึงความจริงข้อนี้ตอนย่างเข้าเดือนที่สองที่เขาสอนเด็กๆ กลุ่มนี้เมื่อปีก่อน


ยอดเป็นเด็กที่มีบุคลิกค่อนข้างแตกต่างไปจากเด็กคนอื่นๆ ครูรินไม่ใช้คำว่ายอดเป็นเด็กแปลกๆ เพราะรู้ดีว่าเด็กแต่ละคนก็มีการแสดงออกไม่เหมือนกัน ยอดค่อนข้างหัวช้า ไม่ค่อยพูดจากับใครก่อน ถ้ามีคนพูดด้วยถึงจะคุยตอบ แต่เพื่อนๆ บอกว่ายอดพูดไม่รู้เรื่อง


เพื่อนๆ เริ่มไม่คุยกับยอด พอนานเข้าก็ไม่ยอมเล่นกับยอดด้วย มีการกลั่นแกล้งและล้อเลียนเกิดขึ้น   


เมื่อครูรินทราบเรื่อง จึงเข้าไปคุยกับยอด แล้วถึงรู้ว่าไม่ใช่ยอดคุยกับเพื่อนๆ ไม่รู้เรื่อง แต่เด็กชายมีความสนใจแตกต่างจากเด็กๆ คนอื่นในวัยเดียวกัน จึงไม่รู้จะคุยกับเพื่อนอย่างไร ยอดไม่ดูการ์ตูน ไม่เล่นเกม เด็กชายชอบดูแผนที่ ชอบศึกษาเส้นทาง วันหยุดพ่อแม่จะพายอดไปเที่ยวที่ต่างๆ


ถึงยอดจะหัวช้าเรื่องการเรียน แต่ถ้าถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ หรือให้บอกชื่อประเทศต่างๆ เด็กคนนี้รู้ดีกว่าครูรินเสียอีก


ด้วยเหตุนี้จึงเกิดปัญหา...


คนเรามักจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนที่ตนเองคิดว่าไม่ปกติ


นรินทร์ย่อมเคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน ตอนประถมเขาจำไม่ได้ว่ามีหรือเปล่า แต่ตอนเขาเรียนมัธยม ไม่ว่าจะเป็นมอต้นหรือมอปลาย จะมีคนหนึ่งในห้องที่ไม่มีใครคบ คนคนนี้มักจะมีบุคลิกผิดแปลกไปจากคนอื่นๆ โดนเพื่อนตราหน้าว่าเป็นคนแปลกๆ ไม่มีใครเข้าไปยุ่งด้วย ถึงจะมีบางคนที่ไม่ได้คิดเช่นนั้น เข้าไปพูดคุยกับเพื่อนคนนั้น แต่ไม่นานก็ต้องถอยห่างออกมา เพราะกลัวจะโดนคนส่วนใหญ่ในห้องเหมารวมไปว่าเป็นพวกแปลกแยกเช่นเดียวกัน 


ในตอนนั้น นรินทร์ก็เป็นคนที่ตามกระแสสังคมของคนส่วนใหญ่


เขาเคยคิดในมุมมองของคนที่เพื่อนไม่คบ คงเหงา เสียใจ โดดเดี่ยว เขาเคยสงสารเพื่อนคนนั้น แต่ความรู้สึกเช่นนี้ก็ค่อยๆ หายไป


พอจบออกมาทำงาน เจอปัญหานี้กับเด็กนักเรียนของตัวเอง นรินทร์ถึงตระหนักได้


ยากเหลือเกินที่จะเปลี่ยนความคิดใครได้ เขาอาจจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทำตัวเหมือนตอนมัธยม ไม่สนใจ ไม่ยุ่งเกี่ยวก็ได้


แต่นรินทร์ไม่ยอมปล่อยให้เรื่องแบบนี้ผ่านเลยไปอีกแล้ว ในเมื่อเขาเป็นครู เป็นคนสอนสั่ง ปลูกฝังความคิดให้กับเด็กๆ เขาจะต้องสอนให้เด็กๆ เข้าใจเพื่อนให้ได้


ครูรินค่อยๆ อธิบายให้เด็กๆ เปิดใจยอมรับ


เรื่องเริ่มดีขึ้น เพื่อนๆ เริ่มคุยกับยอด ยอมให้ยอดเล่นด้วย กว่าจะถึงขั้นนี้ครูรินต้องพยายามอย่างหนัก


ทว่าก็ยังมีบางคนที่ต่อต้าน


เด็กชายขมไม่ชอบยอด ด้วยความที่ตัวใหญ่ เป็นหัวโจก จึงมีอำนาจสั่งให้เพื่อนแกล้งคนที่ไม่ชอบขี้หน้าได้


"ขม แกล้งเพื่อนจริงหรือเปล่า" นรินทร์มองหน้าเด็กชายตัวใหญ่ ถามเจ้าตัวอีกทีโดยไม่รีบตัดสินจากคำพูดของเด็กหญิง


"ผมเปล่า" ขมไม่สบตาครูริน


"ขม..."


"ก็ได้ ก็ได้ ผมแกล้งมัน ก็ไม่อยากให้มันมาเล่นด้วยนี่!"


"ทำไมถึงไม่อยากให้ยอดเล่นด้วยล่ะ"


"ก็..." เด็กชายอึกอัก หาเหตุผล "ผมไม่ชอบมัน"


"ขม นั่นไม่ใช่เหตุผล ขมต้องคิดถึงใจเขาใจเราบ้าง ถ้าขมเป็นยอด ขมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ขมจะเสียใจไหมที่โดนเพื่อนไม่ชอบ ขมแค่อยากเล่นกับเพื่อนๆ ขมจะน้อยใจไหมถ้าเพื่อนไม่ให้เล่นด้วย ขมจะโมโหไหมถ้าโดนเพื่อนๆ หลายคนรุมแกล้ง"


นรินทร์เว้นจังหวะ มองท่าทางขมไปด้วย เขาไม่ต้องการให้เด็กชายตัวโตตอบ เขาแค่พยายามให้ขมคิดตาม แล้วมองไปยังเด็กคนอื่น


"พวกเราก็เหมือนกัน ไม่ควรแกล้งเพื่อน เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ กติกาในโรงเรียน ไม่แกล้งเพื่อน ไม่ทะเลาะกัน ทุกคนจะได้มีความสุข"


เด็กๆ ต่างพากันก้มหน้า


เสียงออดดังขึ้นบ่งบอกว่าหมดเวลาพักกลางวัน


ใจจริงนรินทร์อยากจะสั่งสอนให้มากกว่านี้ แต่จะเบียดบังเวลาเรียนของเด็กๆ จนไปเข้าเรียนคาบต่อไปสาย


"ทำผิดก็ต้องขอโทษ ขอโทษเพื่อนนะ" ครูรินบอก


"ขอโทษนะยอด" เด็กหญิงหัวหน้าห้องบอกเป็นคนแรก


"ขอโทษ" แล้วเพื่อนๆ จึงค่อยๆ บอกเสียงอ่อย


"ขอโทษแล้วกัน" ขมกล่าว เหมือนพูดไปงั้นๆ


นรินทร์เข้าใจดีว่าปัญหานี้ยังไม่คลี่คลาย แต่ทุกอย่างต้องใช้เวลา ขมยอมขอโทษยอด แม้จะดูไม่ค่อยเต็มใจแต่ก็ถือว่าเริ่มดีขึ้นแล้ว


"ไม่เป็นไรแล้วนะยอด อย่าโกรธเพื่อนๆ เลยนะ" นรินทร์บอกกับเด็กชายตัวเล็กใส่แว่นที่ดูหายโมโหแล้ว แต่ยังคงตาแดงๆ "เพื่อนขอโทษแล้ว ให้อภัยเพื่อนนะ"


ยอดพยักหน้าเบาๆ นรินทร์ยิ้มให้ ก่อนบอกกับเด็กๆ


"เอาล่ะ ไปเรียนกันได้แล้ว"










นรินทร์เดินผ่านหน้าบ้านอัลวินเพื่อจะไปยังบ้านของจัน มีรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน เขาไม่เคยเห็นรถคันนี้มาก่อน คงไม่ใช่รถคนแถวนี้


อาจจะมีใครมาหาอัลวิน เพื่อนหน้าตายคนนั้นหรือเปล่านะ


แล้วนี่จะไปยุ่งเรื่องคนอื่นทำไมเนี่ย ครูรินส่ายหน้ากับตัวเอง เลิกมองไปยังบ้านอัลวิน แล้วเดินต่อ


เมื่อมาถึงบ้านจัน ยายแจ่ม คุณยายของจันออกมาต้อนรับ


"ครูริน มาๆ เข้ามาก่อน" หญิงร่างเล็กวัยห้าสิบกว่าว่า แล้วเดินนำนรินทร์เข้าไปในบ้าน


"ผมเห็นว่าจันไม่มาโรงเรียนเลยมาหา ไม่สบายหรือเปล่าครับ"


"เมื่อเช้ามันบ่นปวดหัว ยายเลยไม่ให้มันไปเรียน"


"ไม่เป็นไรครับ ป่วยให้นอนพักอยู่บ้านดีแล้ว วันนี้ก็ไม่มีการบ้านอะไร"


นรินทร์ได้ยินเสียงโทรทัศน์ และเมื่อมองไปจึงเห็นคนที่บอกว่าป่วยนอนบนโซฟา กอดหมอนดูการ์ตูนตาแป๋ว


เจ้าจันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเมื่อเห็นตัวการ์ตูนทำอะไรตลกๆ ก็ดูสนุกสนานเหมือนทุกที ไหนว่าป่วย


"อ้าว ครูริน" จันหันมาเห็นเขาก็ร้องทัก "มาทำไม"


นรินทร์กอดอก ตีหน้าโหด "มาดูเด็กป่วยที่ดูการ์ตูนอย่างสบายใจ"


"ก็มันสนุก" 


ครูรินเลิกคิ้ว "ไหนว่าปวดหัว ไม่นอนพักหรือไง"


"หายแล้ว" จันว่า ก่อนจะพูดเสียงมั่นอกมั่นใจ "ถึงป่วยอยู่ก็ดูการ์ตูนได้ ผมนอนดู ไม่ได้นั่งดูซักหน่อย"


ดูมัน ทำมาเป็นโมเมว่านอนพักกับนอนดูการ์ตูนทดแทนกันได้


"หายแล้วก็ดี อย่าดูการ์ตูนมาก อ่านอังกฤษหน้าคำศัพท์บทที่สามด้วย เดี๋ยวเรียนไม่ทันเพื่อน" คุณครูสั่ง


"เรียนทันอยู่แล้ว ผมเก่ง"


นรินทร์หัวเราะหึๆ ไอ้เด็กขี้โม้เอ้ย


"งั้นครูไปแล้วนะ"


เห็นว่าไม่เป็นอะไรแล้วก็กลับล่ะ พรุ่งนี้เจ้าเด็กนี่คงไปโรงเรียนตามปกติ


"มาแค่นี้เหรอ" จันถาม


"ก็แค่นี้น่ะสิ" ครูรินว่า จันเลยยกมือไหว้สวัสดี นรินทร์กล่าวลายายแจ่มแล้วเดินกลับบ้าน


โมกับเนมไม่มาป่วน สงสัยมีการบ้านเยอะ หรือไม่ก็เล่นอยู่ที่บ้านตัวเอง


นรินทร์เปิดคอมพิวเตอร์เข้าอินเทอร์เน็ต เขาเปิดอีเมลดูก็พบว่าได้รับงานใหม่ นอกจากสอนหนังสือเด็กๆ ครูรินยังชอบอ่านหนังสือเขียนหนังสืออีกด้วย จึงรับงานแปลบทความจากภาษาอังกฤษเป็นไทยเป็นรายได้เสริม


ไม่มีการบ้านต้องตรวจ เขาจึงทำงานแปลทันที พอจมอยู่กับหน้าคอมพิวเตอร์ มือพิมพ์งานไปด้วยก็เหมือนตัดตัวเองออกจากสิ่งภายนอก เขาแปลไป เปิดดิกชันนารีไปพลาง หยุดพักเรียบเรียงภาษาไปพลาง กว่าจะหันไปมองนาฬิกาอีกทีเข็มก็ชี้ไปยังเลขสิบเอ็ด ห้าทุ่มแล้วหรือนี่


นรินทร์เซฟงาน ปิดคอม ก่อนลุกจากเก้าอี้ไปอาบน้ำ


ขณะเช็ดผมอยู่ยายของจันก็โทรเข้ามา ครูรินหยิบขึ้นมากดรับสาย


"ฮัลโหลครับ"


"ครูริน!" เสียงคุณยายตื่นตระหนกมาก "ไอ้จันมันเป็นอะไรก็ไม่รู้!"


นรินทร์ตกอกตกใจตามไปแล้ว "เป็นอะไรครับ!?"


"น้ำลายไหลไม่หยุด เรียกก็ไม่ตื่น!" ยายแจ่มเสียงสั่น "ทำไงดี!"


"คุณยายใจเย็นๆ นะครับ" นรินทร์ปลอบ แม้ตัวเองจะตกใจเหมือนกันที่ได้ยินเช่นนี้ เขาพูดเร็วปรือ "ผมจะไปหาเดี๋ยวนี้เลยครับ!"


ไม่ทันคิดอะไร นรินทร์ก็รีบวิ่งออกจากบ้าน ฝ่าความมืดยามกลางคืนตรงไปยังบ้านของจัน ไปถึงประตูบ้านก็เปิดอยู่เหมือนเปิดรอเขาไว้แล้ว


"จัน จัน ตื่นสิลูก!"


ในห้องนอน คุณยายเขย่าแขนเล็กๆ อย่างร้อนรนและทำอะไรไม่ถูก


นรินทร์เห็นอาการของจันแล้วก็ตื่นตระหนก เจ้าเด็กที่เมื่อเย็นยังยิ้มแย้มคุยกับเขาได้อย่างดี บัดนี้กลับนอนไม่ได้สติ ที่มุมปากมีน้ำลายใสๆ ไหลย้อยลงมาจนผ้าปูหมอนเปียกชุ่มเป็นดวง มุมปากและคิ้วกระตุกถี่


ครูรินรีบปรี่เข้าไปช่วยยายแจ่มเรียกอีกเสียง แต่จันก็ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว


"อาการชัก!" เขาพูดอย่างเสียขวัญ


"ตายแล้ว ทำไงดี" คุณยายหันซ้ายหันขวา "ช้อน ต้องเอาช้อนให้มันกัด"


"ไม่ ไม่ต้องครับยาย ถ้ายิ่งใส่จะทำให้อาเจียนหรือสำลักได้"


ครูรินคิด พยายามตั้งสติ ต้องพา...ต้องพาจันไปโรงพยาบาล!


แต่เกือบเที่ยงคืนใครจะพาจันไปโรงพยาบาลได้ เขาเองก็ไม่มีรถยนต์เสียด้วย


"คุณยายตั้งสติก่อนครับ ต้องพาจันไปโรงพยาบาล เดี๋ยวผมตามคนมาช่วย!" นรินทร์ว่าก้าวขาจะออกจากบ้าน ยังดีที่สมองไม่โล่งจนเกินไปจึงหันไปสั่งกับยายแจ่ม "ยายเตรียมบัตรประชาชนของจันด้วยนะครับ เดี๋ยวผมมา!"


คงต้องไปรบกวนลุงขาม


สองขารีบวิ่งอย่างเร็วรี่ จากบ้านจันไปประมาณสี่ร้อยเมตรจึงจะถึงบ้านลุงขาม ดึกดื่นค่อนคืน บ้านลุงขามปิดสนิท ไม่เปิดไฟซักดวง ด้วยความร้อนใจครูรินจึงตะโกนเรียกอย่างไม่เกรงใจ ทว่าไม่มีใครตอบรับ โทรเข้าเบอร์บ้านก็ไม่มีคนรับ โทรเข้ามือถือก็ปิดเครื่องไปแล้ว หรือลุงขามกับเมียจะไม่อยู่


ทำไงดี ทำไงดี นรินทร์กระสับกระส่าย


เขาเป็นห่วงลูกศิษย์เป็นอย่างมาก กลัวว่าถ้าไม่รีบพาจันไปหาหมอให้เร็วที่สุดเด็กชายจะเป็นอะไรไป 


ต้องไปขอให้คนอื่นช่วย ครูรินพยายามนึกว่าเขาสนิทกับใครพอที่จะไปรบกวนยามวิกาลได้อีก


มีคนรู้จักที่มีรถยนต์แต่บ้านอยู่ห่างออกไปอีก ขืนวิ่งไปเสียเวลาแย่ เขาต้องกลับไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่บ้านขี่ไปขอความช่วยเหลือคงจะประหยัดเวลาได้มากกว่า


พื้นที่แถบนี้มีต้นไม้เยอะ อากาศตอนกลางคืนจึงหนาวเย็น แต่ใบหน้านรินทร์มีเหงื่อเกาะพราว เกิดจากการที่รีบวิ่งไปมาและความร้อนรนในใจ


ละแวกนี้ตอนดึกๆ ไม่ค่อยมีแสงไฟ พอใกล้ถึงบ้านอัลวินทางจึงสว่างขึ้น ไฟในบ้านยังเปิดอยู่ เจ้าของบ้านคงยังไม่นอน ครูรินมองปราดไปแวบเดียว รถยนต์คันเดียวกับที่เห็นในตอนเย็นยังจอดอยู่


นรินทร์หยุดกึก หรือว่าจะลองไปขอให้อัลวินช่วย...


ไม่ได้สนิทกันซักนิด รบกวนแย่


แต่ไม่ลองก็ไม่รู้...ถ้าอัลวินยอมช่วยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขี่รถไปอีก


ในขณะที่ความคิดในใจเถียงกันอยู่ เขาก็พุ่งตรงไปเคาะประตูบ้านปังๆ แล้ว


ไม่กี่วินาทีต่อมา ประตูบ้านก็เปิดออกกว้าง พร้อมกับเจ้าของบ้านที่มองมาด้วยสีหน้าไม่ต้อนรับ จ้องมองเขาด้วยสายตาคมกริบ คิ้วขมวดเป็นปม


มาเคาะประตูปังๆ ในยามนี้ ใครจะเปิดประตูทำหน้าชื่นบานใส่ แต่เพราะคนที่ถูกรบกวนเป็นอัลวินด้วยล่ะมั้ง หน้าปกติก็แสนเย็นชาอยู่แล้วตอนนี้ยิ่งเย็นเยียบไปกว่าเก่า


นรินทร์กลืนน้ำลาย


"คุณอย่าเพิ่งว่าอะไรผมนะ ขอร้องล่ะ" เขาพูดประโยคนี้ออกไปก่อนโดยที่หอบเล็กๆ ด้วยความเหนื่อย รีบอธิบายสถานการณ์ "พอดีว่าลูกศิษย์ผมป่วย เป็น..." คำว่าชักภาษาอังกฤษคืออะไรวะ นึกไม่ออก เขาหัวหมุนติ้ว "คือว่า...อาการตอนนี้แย่มาก ต้องพาไปโรงพยาบาลด่วนเลย แต่ผมไม่มีรถยนต์ ไปหาลุงขามจะให้ช่วยพาไปลุงขามก็ไม่อยู่ ผมจะไปหาคนอื่น แต่บ้านก็อยู่ไกลออกไปอีก พอเห็นว่าคุณมีรถ..."


"หยุดพูดก่อน" อัลวินปราม


นรินทร์เห็นท่าทีอีกฝ่ายก็ใจเสีย "ผมรู้ว่ามันแย่มากที่มารบกวนคุณตอนนี้ แต่ขอร้อง ผมไม่อยากให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ คุณช่วยพาลูกศิษย์ผม..."


"คุณ หยุดพูดก่อน" อัลวินว่าซ้ำอีกรอบ


นรินทร์หยุดปาก คอตก


เขาคงต้องไปขอร้องคนอื่นซะแล้ว


"ผมคิดว่าผมเข้าใจแล้ว คุณไม่ต้องเสียเวลาอธิบายไปมากกว่านี้ คุณรอแป๊บนึง ผมไปเอากุญแจรถ"


นรินทร์เงยหน้าขึ้นมา ตาโต มองแผ่นหลังกว้างที่หายเข้าไปในบ้าน อึดใจเดียวไฟในบ้านก็ดับลง อัลวินออกมา ก้าวยาวๆ ไปเปิดประตูรถ รถยนต์คันนี้คงเป็นของอัลวิน


"ขึ้นรถสิคุณ" อัลวินเรียกคนที่ยังยืนนิ่งอยู่


"เอ่อ...ครับ"


รถเทียบท่าหน้าบ้านจัน ครูรินรีบลงไปอุ้มเด็กแปดขวบที่ยังไม่ได้สติเข้าไปยังเบาะหลังโดยมีอัลวินเปิดประตูให้ คุณยายตามมานั่งข้างหลังให้จันนอนหนุนตัก ส่วนนรินทร์นั่งข้างหน้า คอยบอกทางให้อัลวินที่เป็นคนขับไปเรื่อยๆ จนถึงโรงพยาบาล









จันปลอดภัยแล้ว...


จันหยุดชักตั้งแต่ขับรถไปได้ครึ่งทาง พอมาถึงโรงพยาบาล พยาบาลก็ซักถามอาการจันกับนรินทร์และคุณยาย ปรากฏว่าต้องให้จันนอนโรงพยาบาลเพื่อดูอาการต่อไป


ยายแจ่มกับครูรินเดินตามรถเข็ญที่เข็ญจันไปพักในห้องพักรวม เขามองใบหน้าที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลาซึ่งเต็มไปด้วยความสงสารหลานของคุณยาย ก่อนจะหันมามองจันที่หลับสนิท รู้สึกอาดูรอยู่ไม่น้อย


เด็กสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์อย่างจันไม่น่าชักขึ้นมาได้เลย


นรินทร์ลูบหัวจันเบาๆ ก่อนจะบอกกับยายแจ่ม "จันไม่เป็นไรแล้ว คุณยายไม่ต้องเป็นห่วง ผมออกไปหาคุณอัลวินก่อนนะครับ"


คุณยายพยักหน้ารับ นรินทร์จึงออกมาจากห้องพักผู้ป่วยรวม มองหาคนขับรถมาส่งที่คงจะยังรออยู่แถวนี้


"ขอบคุณมากนะครับ" นรินทร์กล่าว ทิ้งตัวนั่งยังเก้าอี้หน้าห้องพักข้างๆ อัลวินที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว


คนตัวใหญ่เพียงหันมามองเงียบๆ


พอเรื่องชวนให้ตระหนกผ่านพ้นไป ครูรินก็เกิดกระอักกระอ่วนขึ้นมาที่ไปรบกวนอัลวิน ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นคนต่างชาติเพิ่งมาอยู่ใหม่ ยังไม่คุ้นชินกับถนนหนทาง แต่ต้องให้ขับรถตอนดึกๆ ดื่นๆ มาโรงพยาบาล แล้วยังต้องให้มานั่งรอจนถึงป่านนี้


อีกอย่าง...จากการพบหน้ากันครั้งที่ผ่านมา เขาก็มองอัลวินในแง่ลบไปแล้ว พอได้อีกฝ่ายยื่นมือมาช่วยเหลืออย่างนี้ก็ทำให้ครูรินแอบละอายใจ


"คุณกลับไปก่อนก็ได้นะ" นรินทร์พูดเสียงเบา


"แล้วคุณจะกลับยังไง" อัลวินถามเสียงเรียบ


"เดี๋ยว..." นรินทร์นิ่งคิด เกาแก้มเก้อๆ "เดี๋ยวตอนเช้า ค่อยออกไปหน้าโรงพยาบาลโบกรถกลับ"


ดวงตาสีเข้มมองมาอย่างดุๆ คล้ายจะบอกว่าความคิดของเขามันไม่เข้าท่าซักนิดทำให้นรินทร์มองอย่างเกรงๆ ก่อนที่อัลวินจะเอ่ย "ผมจำทางกลับไม่ได้"


"อ่า..."


ครูรินกระพริบตาปริบๆ เขาลืมไปเสียสนิท ตอนขามาเขาเป็นคนบอกทาง แล้วขากลับจะปล่อยให้อัลวินกลับไปคนเดียวได้ยังไง


"งั้นเดี๋ยวผมเข้าไปถามคุณยายก่อนว่าจะเอายังไง" นรินทร์เตรียมจะลุกออกจากเก้าอี้ แต่อัลวินพูดขึ้นมาก่อน


"ไม่ต้องรีบก็ได้ รอให้เด็กตื่นก่อน"


นรินทร์ไม่กล้าเถียงต่อ เขาเคยบอกไปแล้วว่าอีกฝ่ายให้ความรู้สึกบางอย่างที่ดูมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่น และตอนนี้เขาก็กำลังรู้สึกว่าต้องทำตามที่อัลวินบอก


เวลาตีสองครึ่งในโรงพยาบาลนั้นแสนเงียบสงบ พนังสีขาวสะอาดกับกลิ่นยาแตะจมูกยิ่งทำให้สถานที่นี้ดูเงียบเหงาวังเวง


"เด็กคนนั้นชื่อจันครับ" อยู่ๆ นรินทร์ก็พูดขึ้น "อายุแปดขวบ เรียนอยู่ปอสาม เป็นเด็กแสบน่าดูเลยล่ะ ชอบเล่นซนไปเรื่อยจนผมต้องคอยห้าม"


อะไรบางอย่างทำให้ครูรินอยากเล่าเรื่องของจันขึ้นมา เขามองคนฟัง อัลวินนั่งนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ออกอาการรำคาญ ไม่ได้ดูง่วงนอน ไม่รู้ว่าฟังเขาอยู่หรือเปล่า แต่นรินทร์ก็ยังเล่าต่อ


"เห็นชอบเล่นไปวันๆ อย่างนี้ คนอื่นอาจจะคิดว่าจันเรียนไม่เก่ง แต่เปล่าเลย เวลาเรียนเด็กคนนี้ตั้งใจเรียนมาก ตั้งใจที่สุดในห้องแล้วมั้ง ช่างซักช่างถามแล้วก็คิดตามเร็วมาก ฉลาด หัวไว" เล่าถึงตรงนี้นัยน์ตาของครูรินก็สั่นระริกเล็กน้อย "ผมเคยอ่านเจอมา เขาบอกว่าถ้าชักแล้วสมองจะถูกทำลาย ผมกลัวว่าจันจะโง่ลงหรือเปล่า"


อัลวินไม่ได้ออกความเห็นอะไร สบตากับเขานิ่งๆ แววตาไม่ดุเหมือนอย่างเคย


นรินทร์ยิ้มบางๆ เป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าๆ "แต่ถึงจะโง่ลงก็แค่นิดเดียวแหละครับ ยังไงเด็กนั่นก็หัวดีจะตายไป" ครูรินไม่ได้มองหน้าอัลวินแล้ว เขามองตรงไปยังข้างหน้า ยังพูดต่อเรื่อยๆ  "จันอยู่กับยายแค่สองคน พ่อแม่ทำงานอยู่ต่างจังหวัด จันรักยายมาก บอกว่าจะตั้งใจเรียน จะได้ทำงานดีๆ เก็บตังค์ไว้เลี้ยงยายบ้าง เออใช่ เด็กคนนี้ดื้อเฉพาะตอนอยู่กับผมแล้วก็เพื่อนๆ พออยู่กับยายล่ะเงียบกริบ เลือกปฏิบัติน่าดู"


อัลวินปล่อยให้คนเป็นครูกล่าวถึงศิษย์รักต่อไปโดยไม่ได้พูดขัด ดวงตาฉายแววที่ไม่มีใครอ่านออก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


ไม่นานเสียงนุ่มทุ้มก็เงียบไป...


พอรอบตัวกลับมาเงียบสงบ อัลวินจึงเอียงหน้ามามอง ก็พบว่าคนที่พูดไม่หยุดเมื่อครู่เผลอหลับไปแล้ว


นรินทร์หลับโดยพิงหัวไว้กับผนังด้านหลัง ดวงหน้าขาวดูอ่อนเพลีย คิ้วขมวดเล็กน้อยเหมือนไม่สบายตัว ครูรินขยับยุกยิกจนได้ท่านั่งที่สบายขึ้น คิ้วเรียวค่อยๆ คลายออก


อัลวินมองหน้าคนข้างๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงเพื่อพักสายตาบ้าง แต่ประสาทการรับรู้ยังคงตื่นตัว ไม่ได้หลับไปอย่างที่ควรจะเป็น








-------------------------------

อาการชักนี่เราเคยเจอมากับตัวเลยค่ะ บางคนเป็นโรคลมชัก จู่ๆ ก็ชักขึ้นมาโดยไม่มีอาการอะไรบ่งบอกเลย ทำเอาผู้ปกครองตกอกตกใจ แต่ชักเพียงครั้งเดียวไม่ได้ทำให้โง่ลงมากนะ บางคนเหมือนไม่เป็นอะไรเลย อ้างอิงจากที่เราเคยเจอมา

ใช่แล้ว ไม่ต้องห่วงว่าจันจะเป็นอะไรไป เรารักเด็กคนนี้ เราจะไม่ใจร้ายกับตัวละครที่เรารัก (แน่เหรอแก?)

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และยอดวิวค่ะ รักกก



ออฟไลน์ JAMNIN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0

5
 
 
ยามเย็น
 

 
"แล้วตอนนี้จันเป็นอย่างไรบ้าง" เมธินีถามออกมาเมื่อฟังนรินทร์เล่าเหตุการณ์อย่างละเอียดยิบจบ ขนาดฟังยังตกใจไม่น้อย ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าเธอประสบเจอเด็กมีอาการชักตอนเกือบเที่ยงคืน ตัวเองจะทำอย่างไร
 
 
"ไม่เป็นไรแล้ว นอนดูอาการที่โรงพยาบาลถึงเย็นนี้ ถ้าไม่มีอะไรก็ให้กลับมาอยู่บ้านตามปกติ แล้วต้องช่วยๆ กันดูว่ามีอาการชักอีกรอบหรือเปล่า ถ้ามีก็ต้องไปให้หมอตรวจ อาจให้กินยากันชัก" ครูรินอธิบาย ก่อนจะหาวหวอดออกมาจนน้ำตาซึม
 
 
เมื่อคืนเผลอกลับไปที่เก้าอี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ จำได้ว่ากำลังเล่าเรื่องจันอยู่แท้ๆ
 
 
ยายแจ่มมาสะกิดปลุกตอนตีสามกว่าๆ เห็นว่าพอเขาออกจากห้องมาไม่นานจันก็รู้สึกตัวตื่น แล้วก็หลับต่อด้วยความง่วง คุณยายบอกว่าจะอยู่เฝ้าจัน ให้ครูรินกับอัลวินกลับไปก่อนได้เลยไม่ต้องเป็นห่วง
 
 
กลับมาถึงบ้านนรินทร์ก็นอนไม่ค่อยหลับ พลิกไปพลิกมาจนใกล้รุ่งสางถึงได้เคลิ้มหลับไปเพราะความอ่อนเพลีย ส่งผลให้ตื่นสายกว่าปกติจนเมธินีต้องโทรตาม
 
 
"น่าสงสารจันจริงๆ" ครูเมย์ว่าแล้วถอนหายใจ "ดีนะที่บ้านจันอยู่ใกล้ริน เด็กประถมอยู่กับยายแค่สองคนเวลามีเรื่องอะไรขึ้นมาก็ลำบากแย่ นี่ถ้าไม่ได้รินไปช่วยตามคนก็ไม่รู้ว่ายายแจ่มจะไปหาคนช่วยเหลือได้ยังไง ทิ้งจันให้อยู่บ้านคนเดียวก็ไม่ได้อีก"
 
 
"ตอนนั้นผมก็แทบไม่มีสติว่าจะไปหาใครเหมือนกัน เห็นบ้านคุณอัลวินมีรถก็เลยรีบไปเรียก"
 
 
"จะว่าไปคุณอัลวินก็ดีเหมือนกันนะ ตัดสินใจเร็ว เห็นว่าเดือดร้อนก็ช่วยเหลือทันที ฟังจากที่รินเล่าครั้งแรก นึกว่าจะเป็นคนแล้งน้ำใจซะอีก" เมธินีออกความเห็น
 
 
"ผมก็กลัวว่าเขาจะไม่ช่วย" ครูรินหัวเราะแหะๆ อย่างรู้สึกผิด "สงสัยตัดสินจากที่เขาชอบทำหน้าดุมากเกินไป"
 
 
นรินทร์นึกไปถึงตอนที่อัลวินนั่งฟังเขาเงียบๆ ที่หน้าห้องพักรวม แค่มีคนรับฟังสิ่งที่เราพูด แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมาก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ พลอยให้เขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มสนิทใจกับอัลวินมากขึ้น
 
 
"นิสัยคนมันต้องดูกันยาวๆ" เมธินีเปรย
 
 
"จริงพี่จริง" ครูรินเห็นด้วย ก่อนจะส่งยิ้มกว้างให้ "อย่างพี่เมย์รู้จักมาปีกว่า ผมก็รู้ว่าพี่นิสัยดี๊ดี"
 
 
ครูเมย์เหล่มอง "ประชดเปล่าเนี่ย"
 
 
"ผมพูดจริง" นรินทร์อมยิ้มยืนยัน มือเอื้อมไปหยิบซองคุกกี้บนโต๊ะคุณครูสาวอย่างเนียนๆ "ไม่หวงของกินด้วย ใช่มั้ย"
 
 
"อยากกินก็เอาไปเถอะ ไม่ต้องชมหรอก" เมธินีว่าง่ายๆ "กินกับกาแฟสิ ง่วงไม่ใช่เหรอ"
 
 
"จริงด้วย" นรินทร์ลุกไปยังมุมห้องที่มีโต๊ะวางกระติกน้ำร้อน และพวกเครื่องดื่มเป็นซอง ขณะใช้ช้อนคนผงกาแฟให้ละลาย เขาก็งึมงำ "แต่ผมก็ยังแปลกใจอยู่ดีว่าอัลวินมาทำอะไรแถวนี้"
 
 
"อยากรู้นักก็ถามซะสิ" ครูเมย์เชียร์
 
 
นรินทร์ทำหน้าครุ่นคิด ยกแก้วกาแฟขึ้นมาเป่าไล่ความร้อนไปด้วย ก่อนจะพยักหน้า "อื้ม เอาไว้ถ้ามีโอกาสเหมาะๆ จะถาม"
 
 
 
 
 
 
"สวัสดีตอนเย็นครับ" ริมฝีปากนรินทร์แย้มเป็นรอยยิ้มกว้างส่งไปให้คนในบ้านที่มาเปิดประตูให้หลังจากเขาเคาะเรียก
 
 
อัลวินมองมาด้วยสีหน้าราบเรียบ คงจะสงสัยว่าเขามาทำอะไรที่บ้านตัวเองอีกแล้ว นรินทร์จึงขยับตำแหน่งยืนเล็กน้อย ให้มีช่องว่างเพื่อที่อัลวินจะได้เห็นว่าไม่ได้มีแค่เขาเพียงคนเดียวที่มาหา แต่มีร่างเล็กๆ ของยายแจ่มอีกหนึ่งคน
 
 
"พอดีว่า คุณยายเขาอยากจะมาขอบคุณคุณน่ะครับ ผมเลยมาเป็นล่ามให้" ครูรินบอก
 
 
พอได้ยินอย่างนั้น อัลวินก็โค้งหัวให้ยายแจ่ม
 
 
คุณยายยิ้มแล้วพูดกับอัลวิน โดยมีครูรินคอยแปลให้ฟัง
 
 
"ยายบอกว่า ขอบคุณมากที่ช่วยขับรถไปส่ง คุณใจดีมาก ถ้าไม่ได้คุณก็คงไม่รู้จะให้ใครช่วยเหลือ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ต้องให้นั่งรอที่โรงพยาบาลตั้งนาน"
 
 
"ไม่เป็นไร" อัลวินกล่าวอย่างสุภาพ
 
 
"ยายเขาอยากเลี้ยงข้าวคุณเป็นการตอบแทน จะเข้าไปเลี้ยงร้านอาหารดีๆ ในเมือง คุณสะดวกหรือเปล่าครับ"
 
 
"ไม่ต้องหรอก" อัลวินตอบทันที
 
 
ยายแจ่มจับแขนครูรินให้ช่วยพูด ดูอยากจะเลี้ยงข้าวอัลวินให้ได้
 
 
"ให้ยายเลี้ยงข้าวเถอะครับ" นรินทร์พยายามโน้มน้าว "คุณให้ความช่วยเหลือ ยายเขาก็อยากตอบแทนอะไรคุณบ้าง"
 
 
หญิงอายุห้าสิบกว่ามองมาที่อัลวินอย่างขอร้อง
 
 
อัลวินเงียบไป มองหน้านรินทร์สลับกับคุณยาย นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า "งั้นเลี้ยงข้าวก็ได้ แต่ไม่ต้องไปไกลถึงในเมืองหรอก กินอะไรง่ายๆ ก็พอ"
 
 
พอรู้ว่าอัลวินตกลงคุณยายก็ยิ้มออกมา
 
 
"ถ้าอย่างนั้นยายเขาอยากทำกับข้าวให้คุณทานด้วยตัวเอง เย็นพรุ่งนี้คุณว่างไหมครับ พอดีวันนี้ยังไม่ได้ออกไปจ่ายตลาด เดี๋ยวพรุ่งนี้ยายแกจะซื้อของดีๆ มาทำสุดฝีมือ"
 
 
"อื้ม ผมว่าง"
 
 
"คุณอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม"
 
 
"ไม่มี ผมกินอะไรก็ได้" อัลวินว่า
 
 
นรินทร์ยิ้ม "โอเค งั้นเย็นพรุ่งนี้ผมจะมาตามคุณที่บ้านนะ ขอบคุณมากครับ"
 
 
 
 
 
 
 
กับข้าวหลากหลายชนิดใส่ชามเรียงอยู่บนโตกไม้ ข้างโตกมีกระติบทรงสูงใส่ข้าวเหนียวพร้อมรับประทาน นรินทร์แนะนำยายแจ่มให้ทำอาหารที่กินง่ายๆ รสชาติกลางๆ ไม่เผ็ดมาก ถึงอัลวินจะบอกว่ากินอะไรก็ได้ แต่อาหารคนจีนก็ไม่เหมือนบ้านเรา ถ้าเป็นอาหารที่มีกลิ่นหรือรสจัดมากเกินไปครูรินกลัวว่าอัลวินจะกินไม่ได้เอา
 
 
"นั่งกับพื้นคุณสะดวกหรือเปล่าครับ" นรินทร์ถาม
 
 
"นั่งได้ ไม่เป็นไร"
 
 
"งั้นคุณนั่งตรงนี้เลยครับ"
 
 
นรินทร์ลอบยิ้ม มองคนตัวใหญ่ที่มีมาดผู้ดีอยู่เต็มเปี่ยมลงไปนั่งบนเสื่อที่พื้นข้างๆ ยายแจ่มโดยไม่โต้แย้งอะไร ก่อนจะชะเง้อหาเจ้าเด็กที่กลับมาจากโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว "จัน มากินข้าวได้แล้ว" ครูรินเรียก
 
 
ร่างผอมแห้งของเด็กชายวิ่งมาโดยถือขันเงินใส่น้ำดื่มมาด้วย หลักจากได้สติขึ้นมาที่โรงพยาบาล จันก็นอนหลับต่อยาวสิบชั่วโมง เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนสายๆ ของอีกวัน จันก็กลับมาเป็นปกติ ร่าเริงสดใส ช่างพูดจา ไม่มีอาการผิดแปลกไปจากเดิมแม้แต่น้อย ถือเป็นเรื่องดีมากๆ
 
 
ครูรินจัดแจงหยิบจานพร้อมกับช้อนส้อมแจกจ่ายให้ทุกคน ส่วนใหญ่ยายแจ่มกับจันชอบใช้มือเปิบ แต่พอมีแขกมาจึงใช้ช้อนส้อมทาน
 
 
พออัลวินตักข้าวเข้าปากคำแรกยายแจ่มก็มองมาอย่างลุ้นๆ นรินทร์จึงรับหน้าที่ถามให้
 
 
"อร่อยไหมครับ"
 
 
คนผมบลอนด์พยักหน้า
 
 
"ยายทำก็ต้องอร่อยอยู่แล้ว" จันยิ้มร่า
 
 
"เด็กนี่ชมยายตัวเองน่ะคุณ" ครูรินก็ยังอุตส่าห์แปลให้
 
 
ยายแจ่มชวนอัลวินคุยนู่นนี่ตามประสา นรินทร์ก็เป็นคนรับส่งถ้อยคำอย่างคล่องแคล่วไม่มีบกพร่อง อัลวินไม่ได้พูดน้อยเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากเหมือนอย่างเคย คุณยายถามไถ่อะไรมาก็ตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ
 
 
"แล้วพ่อหนุ่มมาอยู่แถวนี้ มาทำอะไรเหรอ"
 
 
คำถามจากยายแจ่มทำเอานรินทร์ชะงัก เขาก็สงสัยมาตลอดแต่ไม่กล้าถาม ดีจริงๆ ที่คุณยายเป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นมาแทน
 
 
"ยายถามว่าคุณมาอยู่แถวนี้ มาทำอะไร"
 
 
"มาพักผ่อน" อัลวินตอบสั้นๆ ไม่ได้หยุดคิดหรือแสดงท่าทางผิดปกติอะไรออกมาซักนิด
 
 
นรินทร์เอียงคอ ไม่จริงน่า เขาไม่เชื่อ!
 
 
ตัวตนของอัลวินทำให้เขาสงสัยว่ามันต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลัง ไม่ใช่คนที่จะมาพักผ่อนใกล้ชิดธรรมชาติเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป
 
 
"มองทำไมน่ะคุณ"
 
 
คนถูกทักสะดุ้ง รู้สึกประดักประเดิดที่เผลอจ้องหน้าอัลวินอย่างฉงนใจนานไปหน่อย
 
 
"ผมก็แค่คิดว่าคุณหล่อจัง" ครูรินแก้ตัว
 
 
แต่ก็เป็นคำแก้ตัวที่ไม่ได้ผ่านจากสมองเท่าไหร่ พูดไปแล้วก็อยากเอาคำพูดตนเองคืนกลับมา
 
 
แต่อัลวินก็หล่อมากจริงๆ หรือว่าเพราะสมองคิดอย่างนี้อยู่นะ ถึงได้หลุดปากออกไป
 
 
"หือ?"
 
 
"เอ่อ เห็นคนหน้าตาดีก็อยากจะชมใช่ไหมล่ะ ฮ่ะๆ" นรินทร์ยิ้มแห้งๆ
 
 
ยังดีที่อัลวินไม่ได้ตอบอะไรกลับมาให้เขารู้สึกอายไปมากกว่าเก่า ครูรินตักข้าวคำโตเข้าปากเคี้ยวทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ 
 
 
"แล้วคุณจะอยู่นานเท่าไหร่เหรอครับ" ครูรินถามต่อ อันนี้คุณยายไม่ได้ถาม แต่เขาอยากรู้ด้วยตัวเอง
 
 
"ซักสองสามเดือน" อัลวินว่าเรียบๆ
 
 
"มาพักผ่อนนานจัง" นรินทร์เผลอพูด
 
 
อัลวินหันมาจ้องหน้าเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง สบตากับเขาเหมือนจะอ่านจากสายตาว่าเขาหมายความว่ายังไงกันแน่
 
 
"งั้น...งั้น คุณมานานขนาดนี้ก็ต้องออกไปเที่ยวเยอะๆ" ครูรินพยายามเบี่ยงประเด็น "ไม่รู้จะไปไหนก็ถามผมได้นะ"
 
 
"อื้ม"
 
 
เสียงคุณยายพูดขึ้นอีก นรินทร์แปลให้ "ยายว่าถ้าคุณขาดเหลืออะไรก็บอกได้ ยายเต็มใจช่วยเหลือตลอด"
 
 
"ขอบคุณ"
 
 
"แต๊งกิ้ว แปลว่าขอบคุณ คำนี้ผมฟังออก" จันโพลงขึ้นมาอย่างดีใจขณะข้าวยังเต็มปาก ฟังคนผมทองกับครูรินพูดภาษาอังกฤษใส่กันตั้งนานก็เพิ่งรู้เรื่องคำแรกนี่แหละ
 
 
"กินข้าวให้หมดคำก่อนสิแล้วค่อยพูด เดี๋ยวสำลัก" นรินทร์เตือน
 
 
"ค้าบ!" เจ้าเด็กแสบรับคำพร้อมกับเคี้ยวข้าวไปด้วย
 
 
"ยังอีก" ครูรินส่งสายตาดุๆ ไปให้
 
 
จันตาโตก่อนจะกลืนข้าว "โอ๊ะ! ผมลืมไป"
 
 
"ให้ตายสิ จงใจลืมใช่ไหม" นรินทร์อดใจไม่ไหวต้องเอื้อมมือไปโยกหัวเกรียนๆ
 
 
จันหัวเราะกึกๆ ตักข้าวคำใหม่เข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ
 
 
"พ่อหนุ่มทำงานอะไรล่ะ" ยายแจ่มถาม นรินทร์อยากจะยกนิ้วโป้งส่งให้ยายเป็นเชิงว่าเยี่ยมยอด เขาก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน
 
 
"ผมทำธุรกิจ" อัลวินตอบกว้างๆ ไม่ได้ระบุเจาะจงว่าธุรกิจอะไร ชวนให้นรินทร์อยากรู้ลึกกว่านี้ แต่ก็ไม่กล้าถามซอกแซกมาก เกรงว่าจะได้รับสายตาเย็นยะเยือกกลับมา
 
 
ครูรินหันไปเห็นจันหยิบข้าวเหนียวขึ้นมาปั้นเล่น ปั้นอยู่นานสองนานก็ไม่เอาเขาปากเสียที สนุกเข้าไปใหญ่
 
 
"จัน กินดีๆ สิ อย่าเล่นของกิน"
 
 
"ไม่เล่นแล้วก็ได้" เด็กชายยอมหยุดปั้น ยิ้มหวานให้ แล้วส่งข้าวเหนียวพอดีคำที่ผ่านขี้มือมาเป็นนาทีจ่อปากครูริน "คำนี้ให้ครูรินแล้วกัน"
 
 
"ซึ้งใจจัง"
 
 
"ครูรินกินนะ อ้าม!"
 
 
นรินทร์ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ออกจะเหี้ยมไปหน่อย จับข้อมือผอมๆ ที่ถือข้าวอยู่ แล้วดันกลับไปให้ยัดข้าวใส่ปากคนปั้นเสียเอง "ปั้นเองก็กินเอง!"
 
 
ยายแจ่มหัวเราะ ก่อนจะหันมาตักกับข้าวใส่จานของอัลวิน
 
 
"พ่อหนุ่มลองนี่ดู อร่อยนะ" คุณยายว่า
 
 
อัลวินตักทานก่อนจะพยักหน้าให้ยายแจ่ม
 
 
"ผมตักบ้างผมตักบ้าง!" จันกระดี๊กระด๊า รีบใช้ช้อนตักกับข้าวใส่จานอัลวินเลียนแบบคุณยายบ้าง "อันนี้ผมชอบกินมาก อร่อย กินเยอะๆ นะค้าบ"
 
 
จันชอบอกชอบใจ ตักให้อัลวินติดๆ กันถึงสามช้อนพูนๆ จนครูรินต้องรีบห้าม
 
 
"พอแล้วๆ คุณอัลวินเขาจะกินหมดไหม"
 
 
อัลวินมองจานตัวเองที่อยู่ๆ ก็มีกับข้าวเพิ่มขึ้นมาเยอะแยะ เงยหน้าขึ้นเห็นนรินทร์พูดกับเด็กชาย สลับกันพูดไม่หยุดหย่อน ฟังไม่รู้เรื่องหรอกว่าพูดอะไรกัน แต่เดาจากน้ำเสียงแล้วคาดว่าน่าจะเถียงกันอยู่
 
 
สีหน้าคุณครูหนุ่มดูจนใจจะเถียงกับเด็กดื้อ แต่ไม่นานก็หลุดยิ้มออกมา
 
 
ถ้าจะทำให้เด็กเชื่อฟังก็ต้องตีหน้าโหดๆ หน่อยสิ เผลอหลุดยิ้มออกมาอย่างนี้แล้วเด็กที่ไหนจะกลัว
 
 
อัลวินคิดในใจ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามุมปากของตนเองโค้งขึ้นมานิดๆ เพียงเสี้ยววินาที
 
 
พอจัดการอาหารมื้อนี้เสร็จทุกคนก็อิ่มแปล้ ยายแจ่มใช้ให้จันไปยกขันน้ำมาอีกใบให้อัลวิน
 
 
"เป็นน้ำดื่มน่ะครับ กระดกดื่มได้เลย" นรินทร์บอกขึ้นเมื่อรู้ว่าคนต่างชาติคงไม่คุ้นกับการกินน้ำจากขันเงิน
 
 
"ขอบคุณสำหรับอาหาร" อัลวินว่า
 
 
"ผมกับยายต้องขอบคุณอีกทีนะครับที่ช่วย" ครูรินบอก แล้วยายแจ่มก็เสริมขึ้นมา "ถ้าคุณว่าง ยายก็อยากให้คุณมาทานข้าวด้วยกันบ่อยๆ"
 
 
อัลวินยิ้มรับน้อยๆ ทำให้นรินทร์นิ่งค้างไป
 
 
เพิ่งเห็นอีกฝ่ายยิ้มเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้
 
 
พอยิ้มแล้วหน้าก็ดูกระด้างน้อยลงตั้งเยอะ พอไม่ทำหน้านิ่งๆ ตาดุๆ อย่างเก่าแล้วยิ่งทำให้ใบหน้าคมคายของอัลวินดูดีขึ้นเป็นอย่างมาก
 
 
"เอ่อ...คุณจะกลับเลยไหม"
 
 
อัลวินพยักหน้า
 
 
"งั้นเดินกลับพร้อมผมเลยแล้วกัน" นรินทร์ว่า ก่อนจะสวัสดียายแจ่ม
 
 
"ครูรินจะกลับแล้วเหรอ" จันร้องถาม
 
 
"กลับแล้ว"
 
 
"ผมไปด้วย!" จันเกาะเอวนรินทร์ ทำท่าจะตามไปเล่นที่บ้านครูรินด้วย
 
 
"ทำการบ้านของวันที่หยุดไปเสร็จหรือยัง" ครูรินเบรกจันเอาไว้ก่อน
 
 
"เดี๋ยวค่อยทำก็ได้นี่นา" จันต่อรอง
 
 
"ไม่ต้องเลย มีการบ้านต้องรีบทำให้เสร็จ อย่าให้เป็นดินพอกหางหมู"
 
 
จันฟังแล้วก็แกล้งทำจมูกหมู ร้องอู๊ดๆ จนครูรินส่งมะเหงกเบาๆ ไปให้หนึ่งที
 
 
"ไปทำการบ้านได้แล้ว"
 
 
จันถึงได้ยอมโบกมือให้ "ก็ได้ บ๊ายบายครูริน"
 
 
เมื่อร่ำลากันเสร็จเรียบร้อย นรินทร์กับอัลวินก็เดินออกมาจากบ้านจัน
 
 
ยามนี้เป็นเวลาตะวันเริ่มลับขอบฟ้า ท้องนภาถูกย้อมด้วยสีส้มแดง เงาสีดำของคนสองคนทอดยาวบนผืนดิน เงาหนึ่งใหญ่กว่า อีกเงาเล็กกว่า
 
 
ครูรินเหลือบมองคนที่เดินอยู่ข้างๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น "ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ"
 
 
"อะไร" อัลวินถามกลับ ไม่ได้หันมามองเขา
 
 
"คิดๆ ดูแล้วผมกับจันพูดเยอะมากๆ คุณ...รำคาญหรือเปล่า" พอพูดออกไปอย่างนี้คนตัวใหญ่กว่าถึงได้หันมาจ้องด้วยใบหน้าเรียบเฉย นรินทร์ละล่ำละลัก "คือ...ถ้ารำคาญคุณก็บอกได้นะ ผมรู้ตัวว่าพูดมาก แล้วยังเป็นภาษาที่คุณไม่เข้าใจอีก"
 
 
"ไม่รำคาญ" เสียงอัลวินไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
 
 
"จริงเหรอครับ" นรินทร์มิวายถามย้ำ
 
 
ตอนนั้นยังบอกกับเขาว่าห้ามรบกวน ห้ามส่งเสียงดังอยู่เลย พอกินข้าวด้วยกันแล้วเขาพูดมากเกินไปก็เลยกังวลขึ้นมาว่าอีกฝ่ายจะไม่ชอบใจหรือเปล่า
 
 
อัลวินปรายตามอง "หรือคุณอยากให้ผมตอบว่าใช่"
 
 
"ไม่ ไม่ๆ" นรินทร์รีบปฏิเสธ "คุณตอบว่าไม่น่ะดีแล้ว"
 
 
ไม่รู้ว่าเขาหูแว่วไปเองหรือเปล่า เหมือนจะได้ยินอัลวินส่งเสียงหึในลำคอ
 
 
ไม่น่าใช่...หรือถ้าใช่ก็ไม่น่าจะเป็นเสียงหัวเราะ
 
 
ลมเย็นๆ พัดมากระทบใบหน้า ท้องฟ้าเริ่มโดนความมืดกลืนกิน เมื่อเดินผ่านมาจนถึงจุดหนึ่งที่มีอะไรน่าสนใจนรินทร์ก็เปรยขึ้น
 
 
"คุณได้กลิ่นอะไรไหมครับ"
 
 
"กลิ่นหอมๆ ดอกไม้เหรอ" อัลวินคาดเดา มองคนถามก็เห็นว่ากำลังอมยิ้มน้อยๆ อยู่ จึงกลับคำ "หรือไม่ใช่ ขามาไม่เห็นได้กลิ่น"
 
 
"คุณเข้าใจถูกแล้วครับ" นรินทร์ว่า นึกชมในใจที่อัลวินจำได้ด้วยว่าตอนขาไปบ้านจันไม่มีกลิ่นหอมๆ นี้ เขาแจกแจง "เป็นกลิ่นของ Tuberose หรือดอกหอมไก๋ เอ้อ หอมไก๋เป็นภาษาที่เรียกกันเฉพาะคนภาคนี้ ถ้าชื่อไทยจริงๆ เรียกว่าดอกซ่อนกลิ่น"
 
 
"ดอกซ่อนกลิ่น" อัลวินทวนเป็นภาษาไทย ออกเสียงได้ใกล้เคียงกับนรินทร์มาก "Tuberose ที่จีนก็มี ผมรู้จัก แต่ไม่เคยเห็นดอกจริงๆ"
 
 
"นี่ไง ต้นนี้ครับ"
 
 
นรินทร์พาอัลวินเดินลัดเลาะเข้าไปข้างทาง จึงเห็นต้นไม้กอเล็กๆ ที่มีดอกไม้สีขาวบานสะพรั่ง
 
 
"ผมว่าเจ้าดอกนี่น่าอัศจรรย์มาก ตอนกลางวันจะไม่มีกลิ่น ดอกจะบานแล้วเริ่มมีกลิ่นหอมตั้งแต่ตอนเย็นเรื่อยไปตลอดทั้งคืน" นรินทร์เล่า
 
 
"อย่างนี้เอง เดินผ่านครั้งแรกเลยไม่ได้กลิ่น"
 
 
นรินทร์พยักหน้า ก่อนใช้นิ้วแตะกลีบสีขาวเรียวเล็กบอบบางเล่น "ผมอยากเอาไปปลูกที่ในบ้าน ตอนกลางคืนจะได้มีกลิ่นหอม แต่เสียดายว่าเขาห้ามปลูก"
 
 
"ทำไมล่ะ" อัลวินถาม
 
 
"คนโบราณเขานิยมใช้ดอกซ่อนกลิ่นในพิธีศพน่ะครับ ถ้าจะเอามาปลูกในบ้านถือว่าไม่เป็นมงคล ความเชื่อนี้เลยสืบต่อกันมา"
 
 
"คนก็แค่ตั้งข้อจำกัดขึ้นมาเอง จริงๆ แล้วมันก็เป็นแค่ดอกไม้" อัลวินว่า
 
 
"ซ่อนกลิ่นมีความหมายไม่ดีด้วย" นรินทร์เล่าต่อ มองดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ที่ถูกตีความไปในเชิงโศกเศร้าอย่างเสียดาย "หมายถึงความพลัดพราก จากลา"
 
 
"ความหมายของดอกไม้ ใครเป็นคนคิดขึ้นมาก็ไม่รู้" อัลวินกล่าว มองดอกไม้ด้วยท่าทีเฉยๆ "ถ้าคุณอยากปลูกก็ไม่เห็นต้องไปสนใจ"
 
 
ครูรินยิ้มๆ "นั่นสินะครับ"
 
 
นรินทร์ไม่ได้เด็ดดอกซ่อนกลิ่นออกมาจากต้น ให้มันได้เบ่งบานเผยกลิ่นหอมอยู่บนต้นต่อไป
 
 
พวกเขาออกเดินต่อ และแล้วก็มาถึงบ้านของอัลวิน
 
 
"ราตรีสวัสดิ์ครับ" นรินทร์กล่าวลา
 
 
"ราตรีสวัสดิ์" อัลวินเอ่ยเช่นกัน
 
 
 
 
 
 
 
ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างไม้บานใหญ่ให้ลมพัดระบาย ตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศอย่างที่คุ้นชินมาตลอด
 
 
จากหน้าต่างบานนี้สามารถมองออกไปเห็นบ้านของนรินทร์ได้อย่างพอดิบพอดี
 
 
เวลากลางวันอย่างนี้บ้านของคุณครูหนุ่มปิดสนิท เจ้าของบ้านกำลังสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียน
 
 
อัลวินทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้หวายซึ่งเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่มีอยู่ในบ้านยายชุ่มอยู่แล้วตั้งแต่เขามาขอเช่า ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนาที่เพิ่งสั่งซื้อมาขึ้นถือ เอนหลังพิงพนัก แล้วเปิดหน้าที่คั่นไว้อ่านต่อ
 
 
โทรศัพท์ที่เปิดระบบสั่นเอาไว้สั่นครืดคราดอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยข้างๆ เขากดรับในทันทีโดยไม่ได้มองเสียก่อนว่าใครโทรมา
 
 
เพราะคนที่รู้เบอร์โทรเครื่องนี้มีแค่คนเดียว
 
 
คำรายงานความคืบหน้าส่งผ่านมาตามสาย อัลวินตอบรับสั้นๆ เมื่อไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เขาก็เตรียมจะกดวางสาย แต่ปลายสายถามขึ้นเสียก่อน
 
 
"มาอยู่เฉยๆ ทั้งวันแบบนี้ไม่เบื่อบ้างเหรอ เดิมทีนายแทบไม่มีเวลาว่าง"
 
 
"ช่วงนี้มีอะไรทำแล้ว" อัลวินตอบพลางพลิกหน้ากระดาษไปด้วย "ฉันจะศึกษาภาษาเพิ่ม"
 
 
"เอาไว้ติดต่องาน? แค่หกภาษายังไม่พอหรือไง" น้ำเสียงอีกฝ่ายแสดงความแปลกใจเล็กน้อย แล้วถาม "ภาษาอะไรล่ะ"
 
 
อัลวินกวาดตาอ่านตัวอักษรในหนังสือ ตอบสั้นๆ คล้ายว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร
 
 
 
"ภาษาไทย"
 
 
 
 
 


 
----------------------------------------

คนเหนือในเรื่องนี้พูดภาษาเหนือกันนะคะ แต่เพราะว่ายัยเขียนเป็นคนภาคกลางแต่กำเนิด อู้กำเมืองไม่ได้แม้แต่นิด ในนิยายเลยเป็นภาษากลางไป จะได้อ่านรู้เรื่องโดยทั่วกันด้วย (ไม่ใช่ข้ออ้างซักนิด...)
 
 
เราจะได้ยินภาษาเหนือก็จากหนังจากละคร โดยส่วนตัวแล้วชอบลักษณะการพูด ชอบสำเนียงมาก นุ่มนวล อ่อนโยน แล้วก็คิดให้ครูรินพูดช้าๆ เนิบๆ ยิ่งคิดว่าพูดลงท้ายด้วยเจ้า เจ้า ด้วยแล้วยิ่งน่ารักมากเลย ฮรึก
 
 
 
 
 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 5 P.1] 25/7/2017
« ตอบ #9 เมื่อ: 25-07-2017 10:39:49 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 5 P.1] 25/7/2017
«ตอบ #10 เมื่อ28-07-2017 01:20:17 »

ชอบมากเลยค่ะ ภาษาที่เขียนดีมาก ๆ อ่านแล้วไม่สะดุดเลย
ชอบครูรินมาก ๆ อบอุ่น ใจดี ร่าเริง มีน้ำใจ ที่สำคัญ ความเป็นคุณครูสูงมาก
อัลวิน หล่อเท่ห์ เป็นคนจิตใจดี ที่แสดงออกแบบเย็นชา แต่ก็คงเพราะภาระหน้าที่ที่มี
ชอบความเป็นครูริน ที่เข้ากับใคร ๆ ได้ดี เป็นคนที่ถ้าได้อยู่ด้วย คงมีความสุขน่าดู
ขนาดอัลวิน ตีหน้าเย็นชาขนาดนี้ เห็นนะว่าแอบถูกใจครูรินของเรานิด ๆ แล้วใช่ไหม >///<
ตอนล่าสุดนี่ คุยกับครูรินเยอะมากขึ้นแล้ว มีการบอกราตรีสวัสดิ์กันด้วย น่ารักขึ้นเยอะเลย
แล้วจะให้ครูรินสอนภาษาไทยเหรอจ้ะ แสดงว่า อยากรู้ใช่ไหมล่ะ ว่าครูรินคุยสนุกสนานกับลูกศิษย์ว่าอะไร
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากค่ะ นี่อยากรู้มาก ว่าทำไมเปิดเรื่องมา ครูรินถึงไปโผล่ที่ฮ่องกงได้
แล้วต้องไปอยู่ในสถานะอะไร ไปรู้ความลับอะไรของอัลวินเข้า แล้วอัลวินกำลังทำอะไรอยู่
แสดงว่าเนื้อหาส่วนใหญ่จะอยู่ที่ฮ่องกงหรือเปล่า แอบเสียดายบรรยากาศทางเหนือนิด ๆ
อยากรู้ว่าเขาจะชอบกันตอนไหน ยังไง แล้วโมเม้นท์หวาน ๆ ของคุณอัลวินจะมีบ้างไหม 555
แต่ที่แน่ ๆ ขอให้เรื่องนี้ไม่มีดราม่านะคะ ถ้ามีก็อย่าเยอะน้า ไม่ค่อยถูกกับดราม่าเลยค่ะ  :m17:
เห็นเรื่องเกี่ยวข้องกับมาเฟียทีไร แอบกลัวดราม่าทุกทีเลย แหะ ๆ
รอตอนต่อไปนะคะ เราชอบเรื่องนี้มาก เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 5 P.1] 25/7/2017
«ตอบ #11 เมื่อ28-07-2017 10:25:34 »

เรื่องก็ดูเนิบ ๆ ตามประสาชาวเหนืออยู่นะคะ ฮา

ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 5 P.1] 25/7/2017
«ตอบ #12 เมื่อ28-07-2017 10:42:43 »

สนุกมากกกกกกก ภาษาเขียนสวยเข้าใจง่าย
ชอบบุคลิกตัวละคร น่ารัก พระเอกก็เท่ ติดตามค่ะ มาต่อไวๆน้าาา

ออฟไลน์ forphang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 5 P.1] 25/7/2017
«ตอบ #13 เมื่อ28-07-2017 23:36:00 »

เห็นเรื่องนี้ถูกโพสต์แนะนำอยู่เลยเข้ามาอ่านค่ะ คิดว่าแต่งไปเยอะแล้วซะอีก
แต่แค่5 ตอนก็สนุกแล้วอย่างที่เค้าแนะนำมา
อัลวินตอนแรกดูเย็นชามากกกก นี่ถ้าเป็นเราคงจะไม่ชวนคุยต่อแน่ๆ ถือว่าครูรินเป็นคนโคตรอดทน
เดาเอาว่าถ้าเป็นคนอื่นมาขอความช่วยเหลืออัลวินอาจจะไม่ได้ช่วยอย่างนี้อ่ะ
แต่นี่เป็นครูข้างบ้านที่บอกว่าเห็นเล่นกับเด็กทุกวัน คือตัวเองเห็นสิ่งพวกนั้นตลอด เห็นความผูกพันธ์งี้
มันอาจจะทำให้รู้สึกดีไปโดยไม่รู้ตัว วรั้ยยย ตอนกินข้าวก็เริ่มยิ้มเริ่มหัวเราะแล้ว

 :mew3: :mew3:

ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1678
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 5 P.1] 25/7/2017
«ตอบ #14 เมื่อ29-07-2017 02:02:00 »

ชอบคะ รอตอนต่อไปอยู่นะ :L1:

ออฟไลน์ arjanlai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 5 P.1] 25/7/2017
«ตอบ #15 เมื่อ29-07-2017 07:26:05 »

 :L1: อ่านง่ายๆ จัดหน้าดูสะอาดดี สนุกครับ

ออฟไลน์ JAMNIN

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
«ตอบ #16 เมื่อ29-07-2017 12:02:43 »

6


รอยยิ้ม



นรินทร์ตักข้าวเหนียวร้อนๆ ใส่บาตรพระ วางกระทงใบตองใส่คั่วหน่อไม้ที่เพิ่งทำเสร็จมาใหม่ๆ ตามลงไป ก่อนจะประนมมือรับพร


วันนี้นรินทร์ตื่นขึ้นมาก็รีบล้างหน้าล้างตา เข้าครัวหุงข้าว ทำกับข้าวมาตักบาตร


ครูรินใส่บาตรอาทิตย์ละวัน ไม่ได้กำหนดว่าเป็นวันไหน แล้วแต่วันที่สะดวกหรือวันที่ขยันทำอาหารเช้าด้วยตัวเอง


เมื่อพระสงฆ์ออกเดินไปแล้ว นรินทร์จึงวางถาดอาหารไว้ยังเก้าอี้ที่เอาออกมาวางตั้งไว้ จะได้ไม่ต้องถือถาดในขณะที่รอพระสงฆ์รูปต่อไป


ตอนนั้นเอง ในกรอบสายตาที่มองทอดไปยังถนนก็ปรากฏคนคนหนึ่งขึ้น


อัลวินอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีดำ เผยให้เห็นกล้ามแขนขนาดกำลังพอดี มีผ้าขนหนูพาดอยู่ที่คอ ผมสีบลอนด์เสยขึ้นไปลวกๆ แต่ยิ่งทำให้คนที่กำลังวิ่งเหยาะๆ ด้วยท่วงท่าทะมัดทะแมงมาทางนี้ดูฮอตระเบิดระเบ้อ


ยิ่งมองนรินทร์ก็ยิ่งอิจฉาผู้ชายคนนี้ แค่ออกไปวิ่งจำเป็นต้องดูดีขนาดนี้ไหม


อัลวินวิ่งมาใกล้นรินทร์ก็ผ่อนฝีเท้าลง ผงกหัวให้เป็นการทักทาย นรินทร์ยิ้มรับก่อนจะเอ่ยทักบ้าง


"ออกไปวิ่งแต่เช้าเลย ตื่นเช้าจังนะครับ"


"คุณก็เหมือนกัน"


อัลวินไม่ได้ยิ้มตอบกลับมา แต่เพียงแค่อีกฝ่ายต่อบทสนทนาก็ทำให้นรินทร์รู้สึกว่าการปราศรัยสำเร็จผลแล้ว


"ผมเป็นครูนี่นา ต้องตื่นเช้าเป็นธรรมดา" นรินทร์ว่ายิ้มๆ


"โรงเรียนเคารพธงชาติแปดโมงไม่ใช่เหรอ" อัลวินย้อนถามพร้อมกับก้าวเหยาะๆ มาหยุดตรงหน้าเขา


"คุณรู้ด้วยเหรอ"


"ผมได้ยินเพลงชาติไทยทุกวัน"


"จริงด้วยสิครับ บ้านคุณอยู่แค่นี้เอง" นรินทร์ว่า บ้านของอัลวินก็ถือว่าอยู่ติดๆ กับโรงเรียนจึงไม่แปลกที่ได้ยินเสียงเด็กๆ เคารพธงชาติ "แต่เป็นครูก็ต้องไปถึงก่อนเคารพธงชาติอยู่แล้วครับ อีกอย่างผมชอบตื่นก่อน เลยไปถึงก่อนเวลามากๆ จนรับหน้าที่ไปเปิดห้องเรียนแทนภารโรงแล้ว" เขาบอก


"คุณออกมาตักบาตร?" อัลวินเห็นถาดอาหารวางอยู่


"ใช่ครับ" นรินทร์หยักหน้า ก่อนจะสงสัย "ที่ฮ่องกงส่วนใหญ่นับถือศาสนาอะไรกันเหรอครับ"


"ส่วนใหญ่นับถือพุทธกับคริสต์"


"พุทธนิกายมหายานใช่ไหม" เขาถาม แล้วเปรยต่อ "ผมเคยรู้มาว่าแถบประเทศจีนนับถือต่างจากประเทศไทย คนไทยจะนับถือนิการเถรวาทกัน"


"ใช่ ผมก็นับถือพุทธนิกายมหายาน" อัลวินว่า


"คุณมาใส่บาตรด้วยกันได้ไหม" นรินทร์ชวน 


"ผมไม่มีอะไรมาใส่เลย"


"มาใส่กับผมก็ได้นะ" เขาแสดงน้ำใจ


"ไม่เป็นไร คุณใส่เถอะ" อัลวินปฏิเสธ "พระมาแล้ว"


พระภิกษุเดินอย่างสำรวมเข้ามา นรินทร์ถอดรองเท้า หยิบถาดอาหารขึ้นมาถือรอไว้ 


อัลวินมองนรินทร์ใส่บาตรจนเสร็จ ก่อนจะพนมมือเคารพตาม


"คุณเคยเข้าวัดที่ไทยหรือยังครับ"


เห็นว่าอัลวินยังไม่ได้รีบกลับเข้าบ้านตัวเอง นรินทร์จึงชวนคุยขึ้นมา


"ยัง ผมไม่รู้ว่าเข้าวัดที่ไทยต้องปฏิบัติตัวยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าแตกต่างกับที่จีนไหม เลยยังไม่ได้ไป" อัลวินให้เหตุผล


พอได้ยินอีกฝ่ายว่ามาอย่างนี้ ทำให้คนไทยแท้ๆ เกิดอยากจะแนะนำคนต่างชาติขึ้นมา


ถึงแม้ว่านรินทร์จะไม่ค่อยเชื่อว่าอัลวินมาพักผ่อนจริงๆ ก็ตาม แต่ในเมื่อเจ้าตัวบอกกับปากเองว่ามาพักผ่อน ถึงกับมาเช่าบ้านอาศัยอยู่แถบนี้ด้วยตัวเอง ไหนๆ แล้วก็น่าจะได้ลองสัมผัสกับวิถีชีวิตคนไทยในด้านพระพุทธศาสนาดู 


และถึงแม้เขาจะไม่รู้ที่มาที่ไปของอัลวิน แต่ตามความรู้สึกของเขาแล้วอีกฝ่ายไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ 


"ถ้างั้นให้ผมพาไปไหม" 


เห็นว่าอัลวินก็เป็นเพื่อนบ้านข้างๆ ที่ดูท่าว่าจะไม่รู้จักคนไทยคนอื่นนอกจากเขา ลุงขาม ยายแจ่ม แล้วก็จัน นรินทร์จึงเสนอตัวขึ้นมา


"ไม่ต้องหรอก รบกวนคุณเปล่าๆ"


"ไม่รบกวนหรอกครับ ผมเต็มใจ"



เมื่อเห็นว่านรินทร์กล่าวอย่างใจกว้าง อัลวินจึงนิ่งคิดอยู่วูบหนึ่ง และแล้วจึงค่อยเอ่ยปากตอบรับ "งั้นก็รบกวนคุณด้วย"


นรินทร์อมยิ้ม


ตั้งแต่ที่อัลวินช่วยจันไว้คราวนั้น ก็เหมือนว่าจะเปิดใจให้กับเขามากกว่าเดิม ไม่ได้ทำหน้าดุหรือแสดงตัวตนแต่ด้านเย็นชาให้เห็นเพียงอย่างเดียวอีก คนตรงหน้าสนทนากับเขามากขึ้น เจอหน้ากันก็ทักทายตามประสา


ถึงบางทีจะให้ความรู้สึกเข้าถึงยากอยู่บ้าง แต่นรินทร์ก็คิดว่าเขาคุยกับอัลวินได้โดยไม่ต้องเกร็งแล้ว


"งั้นพรุ่งนี้คุณสะดวกไหม เป็นวันเสาร์พอดี ผมไม่ได้ไปทำงานเลยว่างทั้งวัน" นรินทร์เสนอวัน


"อื้ม ได้"


"เข้าไปในเมืองดีไหมครับ มีวัดเก่าแก่น่าไปชม" นรินทร์ถามความเห็น 


"ผมยังไงก็ได้" อัลวินยกหน้าที่ให้คนเสนอตัวเป็นไกด์เฉพาะกิจหมาดๆ ตัดสินใจ









วันรุ่งขึ้น


นรินทร์ใส่เสื้อม่อฮ่อมคอจีน กางเกงขายาวสีดำ สวมรองเท้าผ้าใบคู่ใจ เป็นเพราะว่าเขาตัวไม่ใหญ่ ส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรพอดีไม่ขาดไม่เกิน จึงดูแล้วราวกับเด็กหนุ่มหน้าใสวัยเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย 


ครูรินรูดซิบกระเป๋าให้สนิท ใกล้ถึงเวลาที่นัดกับอัลวินเอาไว้แล้ว


แต่แล้วเสียงนกร้องแว่วๆ ก็ถูกกลบด้วยเสียงคุยเล่น เสียงหัวเราะคิกคัก


เสียงมาก่อนตัวอีกตามเคย...


นรินทร์ลงจากบ้าน ก็เห็นร่างเล็กๆ ของเด็กสามคนเจ้าประจำกำลังวิ่งเล่นอยู่หน้าบ้าน


"วันนี้ครูจะออกไปข้างนอกนะ" ครูรินบอกกับเด็กๆ แล้วกำชับ "เล่นอยู่แถวนี้ได้แต่ห้ามซนมาก ห้ามเล่นอะไรพาดโผน ไม่มีใครคอยดู เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุเอา"


"อ้าว! ครูรินไปไหน" เจ้าเด็กจันร้องถาม


"จะเข้าเมืองไปไหว้พระกับคุณอัลวิน"


ได้ยินคำว่าเข้าเมืองเท่านั้น เด็กๆ ก็ตาลุกวาว


"ครูรินไปเที่ยวเหรอครับ" เนมถาม


"น่าสนุกจัง!" โมว่า เข้าวัดมันน่าสนุกตรงไหนเนี่ยยัยหนู


"ผมไปด้วยยย!" จันรีบเกาะแข้งเกาะขา 


"ให้พวกเราไปด้วยน้า น้าๆๆ" แล้วก็ประสานเสียงกันใหญ่


"ไม่ได้หรอก" ครูรินว่าฉับ เด็กๆ ทำหน้าขัดใจทันที เขาเลยบอก "ถ้าครูไปคนเดียวยังพาไปได้ แต่นี่ไปกับคุณอัลวิน"


"ทำไมไม่ได้ล่ะ" จันถาม


"ครูไปรถคุณอัลวิน ถ้าพวกเราไปด้วยไม่รู้ว่าจะรบกวนเขาหรือเปล่า"


"ไม่รบกวนหรอก" เด็กหญิงตัวเปี๊ยกว่า


"ให้เนมไปด้วยน้า" คนนี้มาแนวอ้อน


"ครูรินยังไม่ลองถามคุณอัลวินเลย" เจ้าจันพูด


นรินทร์ครุ่นคิด ถ้าเจ้าพวกนี้ไปด้วยคงวุ่นวายแน่ๆ


ให้ไปด้วยไม่ได้หรอก


ต้องปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ปฏิเสธ...







"เอ่อ...คุณอัลวิน"


ไหนบอกว่าจะปฏิเสธไง


แล้วทำไมถึงกลายเป็นว่าเขาต้องมายืนส่งยิ้มแห้งๆ อยู่หน้าบ้านอัลวินอย่างนี้ไปได้


อัลวินมองเด็กๆ ทั้งสามคนที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนยืนอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่ข้างๆ ครูริน แล้วสายตาจึงวกกลับมามองคนเป็นครู ก่อนแสดงสีหน้าขอคำอธิบาย


"เอ่อ...คุณจะสะดวกไหมถ้าให้เด็กๆ ไปด้วย" ครูรินถาม


สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับลูกตื้อของเจ้าพวกนี้


สายตาสามคู่จับจ้องไปยังคนตัวสูงผมบลอนด์ คนที่เป็นผู้ตัดสินว่างานนี้จะได้ไปหรือไม่ได้ไปอย่างคาดหวัง ทำหน้าซื่อตาใสส่งให้อัลวินกันอย่างสามัคคี ครูรินมองพฤติกรรมเด็กในปกครองแล้วก็ได้แต่แอบหัวเราะในใจ


นี่ถ้าพูดภาษาอังกฤษได้กันคงมิวายออดอ้อนขอร้องอัลวินอย่างเต็มที่ ไม่มีความเกรงกลัวหน้านิ่งๆ เป็นแน่แท้ 


และในที่สุดอัลวินก็ว่าขึ้นมาสั้นๆ


"ก็ได้"


ครูรินหลุดยิ้ม ดูท่าเด็กๆ จะเรียกคะแนนสงสารได้ผล


"ขอบคุณนะครับ" นรินทร์เอ่ยกับอัลวิน ก่อนจะบอกกับเด็กๆ "คุณอัลวินอนุญาตแล้ว"


"เย้!" สามหน่อกระโดดกันตัวลอย ผิดกับเด็กเรียบร้อยเมื่อกี้ลิบลับ 


"เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งดีใจไป" ครูรินรีบห้าม "โมกับเนมกลับไปขอพ่อแม่ก่อน จันก็ด้วย ไปขอคุณยายว่าไปได้ไหม"


"ยายให้ไปอยู่แล้ว" จันว่า


"ช่าย แม่หนูให้ไปอยู่แล้ว" โมยืนยัน


"อย่าคิดเองเออเอง ไปถามให้เรียบร้อยก่อน" ครูรินโบกมือให้เด็กๆ แยกย้ายกันไปถามผู้ปกครองให้เรียบร้อย


เด็กๆ สลายตัว เพียงไม่กี่นาทีต่อมาก็วิ่งกลับมาด้วยสีหน้าเบิกบาน ยิ้มแป้นอย่างนี้มีหรือจะไม่ได้ไป


"มีข้อตกลงก่อนไป พวกเราต้องสัญญาว่าจะรักษาข้อตกลงครูถึงให้ไป" นรินทร์ตั้งกฎ เด็กๆ รอฟังอย่างตั้งใจ "หนึ่ง ห้ามดื้อห้ามซน ครูบอกอะไรก็ต้องเชื่อฟังคำสั่ง สอง ห้ามวิ่งไปไหนโดยที่ไม่บอกครู คนเยอะเดี๋ยวหลงกันตามหาไม่เจอ สาม ห้ามทำความเดือดร้อนให้คนอื่น เป็นต้นว่าส่งเสียงดังเกินไปจนรบกวนคนอื่น เข้าใจไหม" ครูรินร่ายยาว


"มีแต่ข้อห้ามทั้งน้านนน!" เจ้าจันร้อง


"มันก็แน่นอนอยู่แล้ว" นรินทร์ว่า "สัญญามาก่อน"


เด็กๆ ต่างขานรับคำสัญญากันเป็นมั่นเป็นเหมาะ นรินทร์ยิ้มพอใจ


"ห้ามผิดสัญญาเด็ดขาดนะ ไม่งั้นคราวหลังครูจะไม่ใจอ่อนให้ไปด้วยอีก" เขาขู่ไว้ก่อน


"ไม่ใช่ครูรินซักหน่อย คุณอัลวินเป็นคนให้พวกเราไปต่างหาก" จันยังแย้งคนเป็นครูได้ตลอด


จึงโดนครูรินโยกหัวไปตามระเบียบ


"ไปกันเถอะครับ ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา" นรินทร์หันไปกล่าวขอโทษอัลวิน


อีกฝ่ายไม่ได้ว่าอะไรตอบกลับ เพียงแค่พยักหน้าแล้วเดินนำไปที่รถ


รถยนต์คันนี้เช่ามา เป็นรถที่ใหม่และกว้างขวาง ครูรินต้อนเด็กๆ ขึ้นรถ จัดการคาดเข็มขัดนิรภัยให้ทุกคนเพื่อความปลอดภัย ก่อนจะขึ้นมานั่งข้างคนขับ


แล้วทริปเล็กๆ ในวันนี้ก็เริ่มต้นขึ้น






นรินทร์บอกทางอัลวินให้มายังวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่เป็นอันดับแรก เขาพาคนต่างชาติกับเด็กๆ เข้าไปชมจิตรกรรมฝาผนังในวิหารหลวง เป็นภาพที่เล่าประวัติพระยามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่ ก่อนไปชมเจดีย์ช้างล้อมทรงระฆังล้านนาซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และเข้าไปไหว้พระแก้วขาว พระพุทธรูปซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวเมือง


อัลวินยังคงดูโดดเด่นสะดุดตาแม้อยู่ท่ามกลางผู้คนหมู่มาก ใบหน้าหล่อเหลาคมคายมองชมสถานที่ต่างๆ ในวัด และคอยพยักหน้าตามเมื่อนรินทร์เล่าบรรยาย


ครูรินเกิดและโตที่ลำพูน ไม่ใช่คนเชียงใหม่แท้ๆ บางเรื่องก็ไม่รู้ประวัติเรื่องราว เลยอาศัยอ่านตามแผ่นป้ายแล้วพูดให้อัลวินกับเด็กๆ ฟังเอา


เมื่อเที่ยวชมวัดแรกโดยทั่วแล้ว ก็ขับรถออกมาแวะรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารขึ้นชื่อ แล้วจึงย้ายขบวนมายังอีกวัดหนึ่ง


ครูรินจูงมือเด็กๆ เข้าไปไหว้พระในวิหาร เขานำอัลวินจุดธูปเทียน แล้วนำเทียนไปตั้ง นรินทร์พยายามตั้งเทียนอยู่สองสามทีก็ยังตั้งไม่ได้เพราะมือไม่นิ่งพอ พ่ายแพ้ให้กับคนต่างชาติที่ทำสำเร็จในครั้งเดียว


"คุณมือนิ่งดีจัง" นรินทร์ชม


"ผมฝึกมาเยอะ"


"ฝึกตั้งเทียนเนี่ยนะครับ"


"ฝึกยิงปืน" อัลวินว่าเสียงเรียบ


"หือ?"


"ยิงที่สนามยิงปืน เวลาว่างๆ น่ะ"


นรินทร์ร้องอ้อเป็นอันว่าเข้าใจ เคยได้ยินว่าการยิงปืนก็เป็นกีฬา เป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่ง หรือบางคนก็ฝึกไว้เผื่อใช้ป้องกันตัว


ส่วนเขาเคยยิงปืนแค่ตอนเรียน รด. เมื่อตอนมอปลายเท่านั้นแหละ


ครูรินถือธูปสามดอกเดินมาหาเด็กๆ 


"พวกเราไหว้ด้วยกันกับครูแล้วกัน"


เขากลัวเจ้าพวกนี่ทำธูปร้อนๆ จี้โดนตัวเองหรือคนอื่นเข้า จึงให้ไหว้พร้อมกันกับตัวเอง ครูรินประกบมือเข้ากับมือเล็กๆ แล้วพนมไหว้ ให้เด็กๆ อธิษฐานทีละคนจนครบ และเมื่อนำธูปไปปักที่กระถางเสร็จ นรินทร์ก็แจกจ่ายกระดาษทองคำเปลวให้เด็กๆ ปิดทองพระพุทธรูป


"ค่อยๆ เปิดกระดาษนะ แล้วจับมุมกระดาษอย่างนี้"


"อ๊ะ!"


ไม่ทันที่ครูรินจะสอนเสร็จ โมก็ทำทองคำเปลวแผ่นบางข้างในปลิวตกพื้นไปแล้ว พอ แกะอีกแผ่นก็ปลิวหายไปอีก


เด็กหญิงจึงเริ่มเบะปาก "ของโมหมดแล้ว"


"เอ้านี่ เอาของครูไป"


สุดท้ายนรินทร์ก็ต้องจับมือเจ้าเปี๊ยกให้ปิดทองได้อย่างลุล่วง


หันไปอีกทีก็เห็นจันหยิบกระบอกเซียมซีขึ้นมาเขย่าเสียงดัง เจ้าตัวแสบเขย่าอย่างเมามัน ซึ่งนรินทร์ดูแล้วก็คิดว่ามันคงจบลงในแบบที่...


พลัก!


กระบอกเทคว่ำ ไม้เซียมซีทุกอันกระจายเต็มพื้น


ว่าแล้วเชียว อายไหมล่ะนั่น?


จันทำหน้าเหมือนโลกจะแตก ครูรินขำ แล้วเข้าไปช่วยจันเก็บเซียมซี 


"คุณลองเสี่ยงเซียมซีดูไหม" นรินทร์ชวนอัลวินหลังจากอีกคนยืนมองเขาเสี่ยงเสร็จ


"ไม่ล่ะ"


"ไหนๆ แล้วก็ลองหน่อยสิครับ"


"ลองดูก็ได้" 


นรินทร์หยิบใบเซียมซีของตัวเองและของอัลวินออกมา ก่อนที่ทุกคนจะออกมานอกวิหาร


เด็กๆ นั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ส่วนผู้ใหญ่คนหนึ่งก็กำลังให้ความสำคัญกับใบเซียมซี โดยมีอีกคนรอฟัง


"อืม..."   


อัลวินมองครูรินที่ทำหน้าดำคร่ำเครียดขณะพยายามตีความหมายข้อความในใบเซียมซีอย่างจริงจัง


"ใบเซียมซีจะเขียนคำทำนายเป็นกลอนน่ะครับ" นรินทร์อ่านใบของอัลวิน บ่นพึมพำ "ใบนี้แปลยากจัง"


คำนี้มันแปลว่าอะไรล่ะเนี่ย ไหนจะต้องแปลไทยเป็นไทย และยังต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษอีก คนไทยก็ใช่ว่าจะอ่านกลอนรู้เรื่องกันทุกคนนะ


"ถ้าแปลไม่ออกก็ไม่ต้องก็ได้" อัลวินว่า "ผมจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่แตกต่างกัน"


นรินทร์เงยหน้าขึ้น "คุณไม่เชื่อเรื่องดวงชะตาเหรอ"


"ผมไม่ค่อนสนใจเรื่องนี้เท่าไหร่"


"แปลกจัง คนจีนถือเรื่องนี้กันไม่ใช่เหรอครับ"


"ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอก" อัลวินตอบ


"สำหรับผมดูไว้ก็ไม่เสียหาย บางทีก็อยากรู้ว่าเราจะได้คำทำนายแบบไหน" นรินทร์ว่ายิ้มๆ แล้วโคลงหัว "ผมก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง อย่างช่วงไหนถ้ารู้สึกซวยๆ พอได้คำทำนายไม่ดี ผมก็จะเห็นด้วย แล้วต้องรีบไปทำบุญสะเดาะเคราะห์"


"แล้วถ้าคุณได้คำทำนายที่ดี?"


"ผมก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดี เลยมีกำลังใจทำสิ่งต่างๆ ชีวิตช่วงนั้นเลยพลอยดีไปด้วยตามคำบอกล่ะมั้งครับ" นรินทร์เล่าแล้วก็หัวเราะ


"ใบนี้เป็นยังไง" อัลวินชี้ใบเซียมซีในมือเขา


"ใบนี้แปลง่ายหน่อย ทำนายออกมาว่ากลางๆ ครับ ไม่ดีไม่แย่" นรินทร์ว่า "ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องโชคลาง แต่ผมเชื่อเรื่องบุญบาปนะ ผมคิดว่าถ้าเราทำสิ่งดีๆ ก็จะได้รับอะไรดีๆ ตอบแทน"


"ผมคิดว่าเมื่อเราทำอะไรลงไปแล้วก็จะได้รับผลของมัน เรื่องนี้ผมไม่ได้เอามาคิดกับหลักศาสนา" อัลวินกล่าว


นรินทร์คิดตามแล้วก็พยักหน้า


ถ้าตั้งใจอ่านหนังสือก็จะสอบติด ถ้าตั้งใจทำงาน งานก็จะออกมาดี ถ้าดูแลตัวเอง กินอาหารที่มีประโยชน์ สุขภาพร่างกายก็จะแข็งแรง ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน


"อื้ม แต่ผมก็ยังคิดอยู่ว่าบางอย่างก็ผูกกับเรื่องบุญบาป ยกตัวอย่างนะ คนฆ่าหมูเป็นอาชีพสุจริต ไม่ได้ไปทำให้ใครเดือนร้อน แต่ก็เป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ผมว่าบาปกรรมที่ไปฆ่ามันก็จะติดตัวคนทำไปอยู่ดี"


"ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่เลือกอาชีพตัวเองได้" น้ำเสียงอัลวินไม่แสดงอารมณ์ "บางครั้งก็ต้องทำสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าผิด"


นรินทร์ไม่ได้จับสังเกตเพราะเดิมทีอีกคนก็พูดด้วยเสียงเช่นนี้มาโดยตลอด ขณะคุยกับอัลวิน ตาก็จับจ้องอยู่ที่เด็กๆ ว่าเล่นซนกันหรือเปล่า จึงไม่ได้เห็นนัยน์ตาสีเข้มที่ว่างเปล่ากว่าทุกครั้ง


"แล้วสมมติว่าคุณต้องทำผิด คุณกลัวว่าสิ่งไม่ดีจะย้อนกลับเข้าหาหรือเปล่า" นรินทร์ตั้งคำถาม


"อนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ผมไม่กลัวสิ่งที่ยังมาไม่ถึงหรอก"







ไกด์เฉพาะกิจอย่างนรินทร์นำลูกทัวร์ไหว้พระอีกหนึ่งวัด เรียกได้ว่าเป็นทริปทำบุญอย่างแท้จริง เมื่อไหว้พระเสร็จก็ไปให้อาหารปลาในสระของวัด


เด็กๆ กำเม็ดอาหารปลาแล้วโยนลงไปในสระ เสียงน้ำแตกกระจาย ปลาตัวใหญ่นับไม่ถ้วนว่ายกรูขึ้นมาฮุบอาหาร เพียงไม่กี่วินาทีก็กินหมด


"ปลามันแย่งกันกินใหญ่เลย" เนมเกาะขอบรั้ว ชะโงกหน้ามอง


สามหน่อโปรยอาหารลงไปเรื่อยๆ ดูสนุกสนานกันดี


"ใกล้หมดถุงแล้ว" โมเอ่ย นรินทร์พับปากถุงอาหารลงให้เด็กๆ หยิบกันง่ายๆ


"ทำไมปลาต้องแย่งกันกินขนาดนี้" จันว่า


"ในสระมีปลาเยอะมาก อาหารเลยไม่พอมั้ง แต่ครูว่าคนก็มาให้อาหารมันเยอะแล้วนะ อาจจะเป็นสัญชาตญาณที่เห็นอาหารแล้วต้องกิน" ครูรินเดาเอา


"โอโห ปลาพวกนี้ตะกละเหมือนเนมเลย" จันหัวเราะคิกๆ พาดพิงไปถึงเด็กชายแก้มยุ้ย


"เนมไม่ได้ตะกละนะ" เจ้าตัวเถียง


"อ้วนขนาดนี้ยังไม่ยอมรับ" เจ้าเด็กตัวแสบจิ้มพุงเนมจึกๆ


"เนมไม่อ้วนนะ"


"อ้วน!"


"ไม่อ้วน!"


"อ้วน!"


"หยุด! หยุดเถียงกันเลย" ครูรินห้าม จับเด็กสองคนแยกกัน ก่อนที่เจ้าจันจะแกล้งน้องไปมากกว่านี้


เนมยังคงทำหน้าบูด แต่แล้วก็หายวับไปเมื่อได้ยืนเสียงรถขายไอศรีมขับผ่านมา 


"กินไอติมกันไหม" ครูรินเห็นหน้าเด็กๆ ก็รู้ทัน เลยเอ่ยถาม


"กินครับ!" เนมตอบคนแรก


"เห็นไหม ตะกละจริงด้วย" จันได้ทีว่าต่อ


"เลิกว่าน้อง" ครูรินส่งสายตาดุ "หรือว่าจันจะไม่กิน"


"กินสิค้าบ!"


"ไปล้างมือกันก่อน"


ให้อาหารปลาเสร็จพอดี เด็กๆ วิ่งไปล้างมือที่ก๊อกน้ำใกล้ๆ แล้วถลาไปเกาะรถขายไอศรีม 


"เอารสอะไร" ครูรินถาม จะหยิบให้ แต่ดูเหมือนจะไม่ต้องแล้วเมื่อเด็กๆ ปีนข้างตู้แล้วล้วงมือหยิบรสที่ต้องการเองได้อย่างคล่องแคล่ว


"คุณเอาด้วยไหมครับ" นรินทร์จึงถามคนตัวโตที่เดินตามหลังมาแทน


"มีรสกาแฟหรือเปล่า"


กินรสที่เข้ากับบุคลิกจริงๆ นรินทร์นึกขันในใจ


"เอ ดูเหมือนจะไม่มีนะครับ"


"งั้นเอาช็อกโกแลตก็ได้"


คราวนี้เขาหลุดยิ้ม นึกว่าจะไม่กินซะอีก









ตอนขับรถกลับ เด็กๆ ที่ใช้พลังงานในการพูดมาทั้งวันก็หลับสนิท เอนตัวซบกันดูเป็นก้อนๆ เป็นภาพที่น่ารักน่าหมั่นเขี้ยวดี นรินทร์เห็นแล้วจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเก็บเอาไว้


"คุณนอนก็ได้นะ" อัลวินว่าขึ้น


"หือ" นรินทร์ส่ายหัว "จะให้คุณขับรถส่วนผมหลับได้ยังไง"


"เห็นคุณดูแลเด็กพวกนี้มาทั้งวัน"


ได้ยินอัลวินบอกอย่างนี้ นรินทร์ก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา


จะว่ายังไงดี...แค่ประโยคเรียบๆ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะหลุดมาจากคนที่ดูเย็นชาอย่างอีกฝ่ายได้


แล้วก็ทำให้...เขารู้สึกดีล่ะมั้ง


"แค่นี้เล็กน้อยครับ รับมือกับเด็กๆ ผมชินยิ่งกว่าอะไร" นรินทร์ยิ้ม แล้วหันไปมองคนขับ "แล้วคุณโอเคไหม บางทีเด็กๆ ก็วุ่นวายไปบ้าง"


นรินทร์ถามทำนองนี้อีกรอบ เพราะส่วนใหญ่ผู้ชายในวัยนี้คงไม่อยากอยู่กับเด็กๆ ที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวทั้งวัน เขาจึงยังคงกังวลอยู่ดีว่าอัลวินจะรำคาญ 


"ผมโอเค" คนขับรถว่าเรียบๆ ก่อนจะบอก "เด็กๆ ถ้าไม่วุ่นวายก็ไม่ใช่เด็กสิ"


คำกล่าวหน้าตายของอัลวินทำเอานรินทร์หัวเราะออกมา "ผมไม่คิดว่าคุณจะเล่นมุก"


อัลวินเลิกคิ้ว "ผมเล่นมุกงั้นหรือ"


"อ่าว ไม่ใช่มุกเหรอครับ" นรินทร์เอียงหัว "แต่ผมขำนะ"


"คุณเส้นตื้นไปเอง"


"คุณต่างหากที่เส้นลึก"


นับว่านรินทร์พัฒนาความกล้ามากขึ้น กล้าพูดอย่างนี้กับอัลวิน


"ผมคิดว่าผมปกติ" อัลวินบอก


"อืม..." นรินทร์ลากเสียง ก่อนจะยอมผงกหัวเบาๆ "คุณเส้นลึกไม่มากก็ได้" เขาแก้คำพูดตัวเองก่อนหน้า แล้วยิ้ม "เพราะวันนี้ผมเห็นคุณยิ้ม...สี่ครั้ง"


เดี๋ยวนะ...นี่เขานับครั้งด้วยหรือนี่!


หลุดพูดออกไปเองแล้วก็ตกใจเอง


จะไปสังเกตละเอียดทำไมขนาดนี้ น่าอายชะมัด!


คนที่กำลังประณามตัวเองในใจรีบหันหน้าเข้าหากระจก ไม่กล้ามองหน้าอัลวินต่อ ทำเป็นมองวิวข้างนอกแทน


นรินทร์จึงพลาดที่จะนับรอยยิ้มครั้งที่ห้า...


คนขับรถมองทางข้างหน้าเป็นปกติ ที่มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม






----------------------------------

#รินรักล้นใจ

   
ขอบคุณคุณ jeaby@_@ และ TIKA_n มากนะคะที่เขียนแนะนำในกระทู้แนะนำให้ ดีใจจัง เป็นกำลังใจให้เรามากๆ เลยค่ะ /กระโดดกอด


ขอบคุณทุกยอดวิวและคอมเมนต์นะคะ รักกก


ออฟไลน์ TIKA_n

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +308/-4
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
«ตอบ #17 เมื่อ29-07-2017 12:44:37 »

หวาย ยิ้มตั้ง 5 ครั้งแน่ะ ครูริน หันมาดูยิ้มครั้งที่ 5 ก่อนสิคะ  :-[
ความสัมพันธ์ พัฒนาดีขึ้นมาก ๆ เลย อัลวิน มีมุมน่ารักอ่ะ กินไอติมช็อคโกแลตด้วย
ครูริน อัธยาศัยดี มีน้ำใจ และจริงใจขนาดนี้ ไม่แปลกที่อัลวินจะยอมเปิดใจด้วยมากขึ้น
เดี๋ยวนี้ มีกล้าต่อปากต่อคำแล้วนะครูริน ชอบเวลาทั้งคู่คุยกัน ดูเข้ากันได้ดี
เด็กสามแสบนี่น่ารักจัง ถึงจะแก่นเซี้ยวแต่ก็เชื่อฟังคุณครูดี
อยู่กับครูริน เหมือนอัลวินได้ผ่อนคลายเรื่องในชีวิตของตัวเอง
อาชีพที่เลือกไม่ได้ คงทำให้อัลวิน ไม่เคยได้หาความสุขให้ตัวเองเลยสินะ
รอตอนต่อไปนะคะ ชอบมาก ๆ เลย ขอบคุณคนเขียนค่ะ  :กอด1:


ออฟไลน์ jeaby@_@

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +454/-3
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
«ตอบ #18 เมื่อ29-07-2017 17:33:26 »

มาเเล้วๆๆๆๆ
อัลวินเท่มาก เเอบสงสารเรื่องส่วนตัว คงเปนมาเฟียเพราะสืบทอดรึป่าว

รินน่ารักมากๆ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 5 P.1] 25/7/2017
«ตอบ #19 เมื่อ29-07-2017 17:40:07 »

รอออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 5 P.1] 25/7/2017
« ตอบ #19 เมื่อ: 29-07-2017 17:40:07 »





ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
«ตอบ #20 เมื่อ29-07-2017 18:02:01 »

รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
«ตอบ #21 เมื่อ30-07-2017 08:35:48 »

ตามมาจากกระทู้แนะนำครับสนุกมากเลย รอติดตามตอนต่อไปอยู่นะครับ

ออฟไลน์ Ta_ii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
«ตอบ #22 เมื่อ30-07-2017 10:35:34 »

เข้ามาติดตามจากกระทู้แนะนำ การดำเนินเรื่องถึงจะดูเอื่อยๆเนิบๆแต่เรารู้สึกว่ามันมีเสน่มากเลย ได้กลิ่นอายของทางเหนือ

เด็กๆนี่เป็นอีกบทบาทคอยสร้างสีสันให้เรื่องเลย น่ารักกันมากๆ ซนๆแบบนี้เราชอบ  o13

มารอติดตามเป็นแฟนคลับเรื่องนี้แล้ว จะดูซิว่าหนุ่มลำพูนจะทำให้คนหน้านิ่งยิ้มได้อีกซักกี่ครั้ง อีกหน่อยอาจจะนับไม่ไหว ฮ่าาๆๆ :mew1:

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
«ตอบ #23 เมื่อ30-07-2017 20:42:55 »

 :pig4::pig4::pig4::pig4::pig4:

ออฟไลน์ namngern

  • Flowers need to bloom
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-2
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
«ตอบ #24 เมื่อ30-07-2017 22:54:51 »

สนุกมากค่ะ อ่านเพลินเลย
คนฮ่องกงเนี่ยะ หล่อๆเยอะจริงๆเลยนะคะ555
เริ่มสนใจกันมากขึ้น เริ่มเข้าไปใกล้อีกคน
อยากรู้มากว่า เพราะอะไรที่ทำให้ครูรินต้องไปฮ่องกง

ออฟไลน์ swoooaa

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
«ตอบ #25 เมื่อ01-08-2017 12:08:32 »

สนุกมากเลย รอตอนต่อไปน้าาา :impress2:

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
«ตอบ #26 เมื่อ01-08-2017 14:43:26 »

 :pig4:   เริ่มมีพัฒนาการเล็กๆ น้อยๆ มาร่วมกันตามว่าทำไมครูรินสุดแสนใจดีได้ไปฮ่องกง  :katai3:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
«ตอบ #27 เมื่อ01-08-2017 20:36:53 »

 :3123: :pig4: :3123:

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
«ตอบ #28 เมื่อ02-08-2017 21:47:58 »

ครูรินน่ารักจัง ไม่แปลกใจเลยทำไมใครๆก็ชอบครูริน

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1090
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
«ตอบ #29 เมื่อ02-08-2017 23:17:29 »

เนื้อเรื่องน่ารัก น่าลุ้นค่ะ
ความสัมพันธ์เริ่มพัฒนาไปทีละน้อย
เด็กๆก็เป็นตัวช่วยที่ดีเหมือนกันนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด