พิมพ์หน้านี้ - ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 10 P.4] 11/5/2019

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: JAMNIN ที่ 24-05-2017 20:27:09

หัวข้อ: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 10 P.4] 11/5/2019
เริ่มหัวข้อโดย: JAMNIN ที่ 24-05-2017 20:27:09
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------







นรินทร์เป็นครูโรงเรียนประถมเล็กๆ ในเชียงใหม่
วันหนึ่งข้างบ้านของเขามีคนย้ายมาใหม่
เพื่อนบ้านชาวฮ่องกงคนนี้ทำให้ชีวิตเรียบง่ายของครูรินเปลี่ยนไปอย่างไม่คาดฝัน
ใครจะนึกล่ะว่า ตัวเองจะต้องเข้าไปพัวพันกับ...มาเฟีย!



*บุคคลและสถานที่ในเรื่องเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน*




นรินทร์อาศัยอยู่ในบ้านไม้เล็กๆ ในเขตโรงเรียน

บ้านข้างๆ ที่อยู่ใกล้กับบ้านของเขามีคนย้ายมาอยู่ใหม่

เป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ย้อมผมบลอนด์ ตาดุๆ และไม่มีใครรู้ที่มาที่ไป

คนที่ตอนแรกแสนจะเย็นชา แต่ไปๆ มาๆ กลับไม่ใช่เสียอย่างนั้น

ถึงอย่างไรก็ตาม ตัวตนที่แท้จริงของเขานั้น...ก็ยิ่งใหญ่และน่าหวาดหวั่นอยู่ดี



#รินรักล้นใจ



twitter : @jamlinin






 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:


(18/7/2017) แก้ไขชื่อเรื่อง จาก เพื่อ ให้ รัก ริน  เป็น ริน รัก ล้น ใจ





สารบัญ

บทนำ+ตอนที่ 1 ครูริน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60042.msg3640885#msg3640885)
ตอนที่ 2 เพื่อนบ้านคนใหม่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60042.msg3672122#msg3672122)
ตอนที่ 3 เพื่อนบ้านที่น่าสงสัย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60042.msg3672639#msg3672639)
ตอนที่ 4 ความช่วยเหลือ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60042.msg3677009#msg3677009)
ตอนที่ 5 ยามเย็น (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60042.msg3678076#msg3678076)
ตอนที่ 6 รอยยิ้ม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60042.msg3680232#msg3680232)





หัวข้อ: Re: ริน รัก ล้น ใจ [บทนำ 24/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: JAMNIN ที่ 24-05-2017 20:32:38
บทนำ


นัยน์ตาคู่สวยมีแววสับสนและหวาดหวั่นเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ


ภาพบ้านเมืองที่ไม่คุ้นเคยทำให้ภายในใจอันหนาวเหน็บยิ่งเคว้งคว้างเป็นทวีคูณ


แผ่นดินฮ่องกง...


ประเทศที่เพิ่งเคยมาเหยียบเป็นครั้งแรก ไม่ใช่ในฐานะนักท่องเที่ยว แต่อยู่ในสถานะที่จำต้องยอมรับอย่างไม่เต็มใจ 


นรินทร์ไม่เคยคิดฝันเลยว่าคนธรรมดาอย่างเขาจะต้องมาพัวพันกับเรื่องแบบนี้




...ถ้าเกิดวันนั้นเขาไม่เข้าไปทำความรู้จักตั้งแต่ทีแรก







...ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ อัลวิน จาง











1


ครูริน



อากาศหลังฝนตกใหม่ๆ เย็นสบาย กลิ่นดินลอยฟุ้งให้ความรู้สึกสดชื่น ต้นไม้ใบหญ้ามีหยดน้ำเกาะพราว เสียงกบร้องประสานดังไปทั่ว แต่ไม่สามารถมองเห็นแหล่งกำเนิดเสียงได้ซักตัว ด้วยกลมกลืนไปกับธรรมชาติโดยรอบ


ขาเรียวภายใต้กางเกงยีนส์สีซีดก้าวเท้าไปตามทางที่ปกคลุมด้วยเศษใบไม้แห้งทับถมกัน เมื่อเหยียบย่ำจึงเป็นเสียงกรอบแกรบปนเปกับเสียงน้ำบนพื้นแฉะๆ


นรินทร์ หรือครูรินที่เด็กๆ และชาวบ้านแถวนี้เรียกกันกำลังเดินเลียบทางข้างตึกเรียนไม้สองชั้นทาสีฟ้าสดใส เพื่อตรงไปยังบ้านพักครูด้านหลังซึ่งเป็นที่พักของเขา


บนหลังแบกเป้ใบใหญ่ สองมือหิ้วถุงใส่ของหลายอย่าง คุณครูหนุ่มเพิ่งกลับมาจากการไปเยี่ยมบ้านในวันหยุดราชการยาวสี่วัน จะว่าไปก็เพิ่งได้กลับบ้านในรอบสามเดือน มารดาเลยให้ของกินกลับมาเยอะแยะไปหมด


ใช้เวลาไม่นานนรินทร์ก็มาถึงบ้านไม้ค่อนข้างเก่า ก็เป็นบ้านพักครูในเขตรั้วโรงเรียนนี่นะ แต่ถึงจะขนาดเล็กและเวลาเดินมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดอยู่บ้างก็ยังสะอาดสะอ้านและใช้อยู่อาศัยได้


ไม่ทันจะขึ้นบ้าน ร่างโปร่งบางของนรินทร์ก็ชะงักกึก เนื่องจากสายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างผลุบๆ โผล่ๆ อยู่หลังโอ่งน้ำที่ตั้งอยู่ใต้ถุนบ้าน


ถ้าดูไม่ผิด เป็นเหมือน...หัวสีดำของใครซักคน


แทนที่จะตื่นตกใจเพราะร่างที่แอบอยู่หลังโอ่งอาจจะเป็นขโมยซักคนซึ่งใช้โอกาสเจ้าของบ้านไม่อยู่เข้ามาขโมยของ แต่สำหรับคนที่อาศัยอยู่มาปีกว่านั้นรู้ดีว่าคือใคร ริมฝีบางบางจึงขยับเป็นรอยยิ้ม แล้วดวงตาก็เป็นประกายขบขัน   


"ไม่ต้องแอบเลย" เสียงนุ่มทุ้มส่งออกไปพร้อมกับหัวเราะหึๆ


หัวเล็กๆ นั่นหดหายไปจนมองไม่เห็น ช้าไปแล้ว ถ้าคิดจะแอบให้เนียนตั้งแต่แรกก็ไม่ควรลุกลี้ลุกลนจนทำให้เขาเห็นเต็มสองตา


พอเห็นว่าคนโดนจับได้ยังไม่ออกมาแต่โดยดีนรินทร์จึงแกล้งขมวดคิ้ว ตีหน้าโหด "ออกมาซะดีๆ!" ทำเสียงเข้มข่มขู่ "ครูจะนับแค่ถึงสาม หนึ่ง สอง..."


ไม่ต้องให้นับถึงสาม ร่างเล็กป้อมก็ถลาออกมาจากที่กำบัง เพียงแต่ไม่ใช่หลังโอ่งน้ำ แต่เป็นหลังเก้าอี้หวายตัวใหญ่ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกัน


"เนม" นรินทร์เลิกคิ้ว เรียกชื่อเด็กชายตัวตุ้ยนุ้ยที่ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม ถ้าเทียบกับเด็กคนอื่น เนมเป็นเด็กนิสัยดีและเรียบร้อยที่สุด คงจะกลัวครูเลยรีบออกมาโดยไม่รู้ว่าเป้าหมายของเขาไม่ใช่ตัวเอง


คุณครูหนุ่มขำอยู่ในใจ แต่ยังไม่คลายมาดดุ เปิดโปงเป้าหมายตัวจริง "โม เห็นแล้วว่าแอบอยู่ตรงนั้น หลบไปก็ไม่พ้นหรอก!" ย่างสามขุมเข้าไป ก่อนถึงโอ่งแค่นิดเดียวใบหน้าเล็กๆ น่ารักของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็โผล่ออกมา ยิ้มแหะๆ จนเห็นฟันหลอ


"ครูรินเก่งจัง!"


ทำมาเป็นชมนะยัยตัวเปี๊ยก 


นรินทร์ส่ายหัว วางของในมือลงกับพื้น แล้วปัดหยากไย่ออกจากผมม้าเต่อๆ ของเด็กหญิงตัวเล็ก นี่ไปเล่นซนที่ไหนมาก่อนเนี่ย มอมแมมจริงๆ


แต่เดี๋ยวนะ...


คุณครูหนุ่มนิ่งคิด ถ้าเกิดเด็กสองคนอยู่ที่นี่ล่ะก็ จะต้องมีอีก...


หมับ!!


ไม่เหนือไปจากการคาดการ น้ำหนักบางอย่างก็โถมมาที่เอวจนคนที่ยังไม่ได้ตั้งตัวเซไปสองก้าว 


"แปะครูรินได้แล้ว!!" ร้องตะโกนเสียงดัง สองมือกอดเอวคุณครูแน่น ...แบบนี้เรียกว่าแปะตรงไหนไอ้หนู


นรินทร์แกะตัวเด็กผอมแห้งออกจากตัว มองหน้าเด็กผู้ชายที่สูงสุดในกลุ่มแล้วก็ได้แต่คิดว่าคนนำรายการซ่อนแอบคุณครูคงไม่พ้นเด็กแสบที่ชื่อจันคนนี้


"ครูรินต้องเป็นคนหาอีกตา" เด็กหญิงว่า ตาเป็นประกาย


"หือ?"


"ก็ซ่อนแอบไง"


คำตอบจากปากเล็กๆ ทำเอาคนเป็นครูรีบปฏิเสธ "พอเลย! ครูไม่เล่น"


"ขี้โกง! แพ้แล้วไม่รับ!" จันโวยวายทันทีเมื่อคุณครูคิดจะเบี้ยว


"น้อยๆ หน่อย ครูเล่นตั้งแต่ตอนแรกซะที่ไหน" 


"อ้าว! ก็ครูเป็นคนหาไม่ใช่เหรอ" เจ้าเด็กจันทำเป็นตีมึน ก่อนจะร้องโอ้ยออกมาเพราะโดนนรินทร์บีบจมูกด้วยความหมั่นไส้


"ครูเพิ่งกลับมาก็เห็นพวกเธอทำอะไรลับๆ ล่อๆ ก็ต้องหาสิ"


"ข้ออ้างทั้งน้านนน!!" จันร้อง แล้วทำทีเป็นกอดอกเชิดหน้าด้วยท่าทีเหนือกว่า "งั้นก็เริ่มเล่นตอนนี้สิ ผมยอมให้เล่นด้วยก็ได้"


ตบหัวมันซักทีดีไหม เด็กอะไรกวนชะมัด


"ไม่เอา ครูตัวใหญ่ แอบไปก็ไม่มิด" เขาอ้างส่งๆ ไป


"ครูรินตัวเล็กจะตาย พ่อหนูยังตัวใหญ่กว่าตั้งเยอะ" เด็กหญิงแย้ง


อยากจะสั่งสอนไปว่าอย่างเขาถึงแม้จะผอมไปหน่อยแต่ส่วนสูงก็มาตรฐานชายไทย ใช้คำว่าตัวเล็กไม่ได้หรอกนะ แต่ก็ขี้เกียจพูดให้เจ้าเด็กพวกนี้เถียงต่อ


"ซื้อขนมมาฝาก จะกินไหม" ในสถานการณ์นี้เปลี่ยนเรื่องเป็นทางออกที่ดีที่สุด


"กินนน!!!" เจ้าเนมตัวอ้วนชูมือคนแรก


"เอาไปแบ่งกัน ครูไปเก็บของก่อนล่ะ" ยื่นถุงขนมให้ แต่มือเล็กป้อมยังไม่ทันคว้าก็ยกถุงให้สูงขึ้นเสียก่อน "ทำไงก่อน"


"ขอบคุณค้าบบบ!!" เด็กสามคนพนมมือไหว้อย่างรู้งาน ถุงขนมเลยตกเป็นของเจ้าพวกนี้ไปโดยปริยาย


พอความสนใจไปอยู่ที่ขนม นรินทร์จึงได้โอกาสปลีกตัวขึ้นมาบนบ้าน วางถุงข้าวของต่างๆ ไว้ที่เก้าอี้ไม้เพื่อรอเก็บเข้าที่เข้าทางทีหลัง ก่อนเดินไปเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท อากาศเย็นๆ อย่างนี้ไม่จำเป็นต้องเปิดพัดลม มือเรียวรูดซิบกระเป๋าเป้เอาเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซักออกมา จะว่าไปฝนก็หยุดตกแล้ว แต่แดดยังไม่ออกซักที 


ในขณะที่กำลังคิดว่าจะซักผ้าดีหรือไม่ เสียงแหลมๆ ก็ตะโกนถาม


"ครูริน ลังกระดาษหายไปไหนแล้ว ไม่มีที่แอบ!"


"นี่เล่นซ่อนแอบกันต่อแล้วเหรอ กินขนมหมดแล้วหรือไง ห้ามกินไปเล่นไปนะ!" เขาเตือน ชะโงกหน้าออกไปดูทางหน้าต่าง จากมุมนี้มองไม่เห็นเด็กๆ จึงไม่รู้ว่าฝ่าฝืนคำที่เคยสอนไปหรือเปล่า 


"ขนมน่ะมันต้องเก็บไว้กินหลายๆ วัน!" เสียงของจันว่า


"คิดอย่างนั้นได้ก็ดี" 


"แล้วลังกระดาษ!?" ไม่วายถามอีกรอบ


"เอาไปให้ป้าจิ๊บชั่งกิโลขายแล้ว" นรินทร์ตอบ


"บู่ววว!!" ไม่ต้องเห็นหน้าก็รู้ว่าเจ้าพวกนั้นต้องทำปากพองลมด้วยความไม่พอใจอยู่แน่


"ตรงบ้านครูก็รู้กันทุกซอกทุกมุมแล้วไม่ใช่เหรอ ที่ซ่อนที่อื่นสิ" เขาแนะนำ จากนั้นไม่นานเสียงพูดคุยและเสียงฝีเท้าก็ค่อยๆ ห่างออกไป










ตอนจะเข้ามหาวิทยาลัยนรินทร์ตั้งใจไว้ว่าอยากเรียนคณะอักษรศาสตร์ แต่ผลประกาศออกมาเขากลับติดอันดับสามที่เลือกไป นั่นก็คือคณะศึกษาศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ พอได้สัมผัสกับสายวิชาชีพนี้...นรินทร์คิดว่าเขาพอใจกับมัน จนสุดท้ายก็ตกหลุมรักอาชีพครูเข้าจริงๆ เมื่อได้ไปทำค่ายอาสาให้กับเด็กชาวเขาในถิ่นทุรกันดาร


นรินทร์ไม่ใช่พ่อพระ แต่จะมีใครบ้างที่ไม่รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจกับรอยยิ้มและความสุขบนใบหน้าเด็กๆ เมื่อเราไปแบ่งปันน้ำใจให้


สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคำขอบคุณ


...แต่ทุกคนที่เคยไปสัมผัสล้วนรับรู้ได้ว่าเราได้อะไรที่มีค่ามากกว่านั้นกลับคืนมา


นรินทร์ชอบสอนหนังสือ และดีใจทุกครั้งที่เด็กๆ เอาความรู้ที่เขาให้ไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน


พอเรียนจบ นรินทร์ก็ได้เป็นครูที่โรงเรียนประถมเล็กๆ ในอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่แห่งนี้ แถวนี้ห่างออกมาจากตัวเมือง พื้นที่โดยรอบยังพัฒนาไม่เยอะ แต่ดีกว่าค่ายซึ่งเขาติดใจจนอาสาไปอีกสองสามครั้งอยู่มาก น้ำ ไฟ สัญญาณโทรศัพท์เขาถึง เดินทางด้วยรถยนต์ได้ไม่ติดขัด


ย่างเข้าปีที่สองที่สอนอยู่ที่นี่ อย่าให้โม้เลยว่าเขาเป็นที่รักของเด็กทุกคน เด็กๆ น่ะติดครูรินยิ่งกว่าอะไรดี


โดยเฉพาะเด็กสามคนที่มีบ้านอยู่ใกล้บ้านพักครูของเขา


เด็กหญิงตัวเล็กสุด ชื่อโม อายุหกขวบ นิสัยซุกซนไม่สมกับเป็นเด็กผู้หญิงเท่าไหร่เพราะคลุกคลีอยู่กับเด็กผู้ชายเป็นส่วนมาก ถึงจะตัวกะเปี๊ยกอย่างนี้แต่ไม่ยอมให้ใครรังแกได้ทั้งนั้น พร้อมสู้ขาดใจถ้ามีคนแกล้ง แต่ก็มีมุมขี้แงอยู่พอสมควร นรินทร์เคยนั่งปลอบให้เจ้าตัวหยุดร้องไห้เป็นชั่วโมงหลังจากไปซัดกับเพื่อนที่มีปัญหากันมา


เด็กชายตัวจ้ำม่ำ...เนม อายุเจ็ดขวบ ตัวขาวแก้มป่องเป็นซาลาเปาจนเคยคิดว่าจะต้องจำกัดขนม แต่พอเห็นตาใสๆ และรอยยิ้มตอนให้ขนมไปแล้วก็ใจอ่อนทุกที เป็นเด็กที่ชักจูงได้ง่าย ชอบเล่นอะไรตามเพื่อนๆ ถึงไหนถึงกัน โดยพื้นเพมีนิสัยเรียบร้อย ไม่ดื้อ เชื่อฟังคำสั่งของเขาเป็นอย่างดี   


พี่ใหญ่สุด จัน อายุแปดขวบ เจ้าเด็กตัวดื้อที่เป็นจอมวายร้ายอย่างแท้จริง ชอบเล่นอะไรแผลงๆ เป็นหัวโจกของแก๊ง แหย่คนนู้นคนนี้ไปเรื่อยโดยเฉพาะโมน้องเล็ก เดิมทีแสบกว่านี้เยอะ แต่โดนครูรินขัดเกลานิสัยด้วยคำสั่งสอนและไม้เรียวมาหลายครั้งหลายหนจนลดความอวดกล้าลงได้โข


ตอนแรกนรินทร์หัวปั่นกับเด็กสามคนนี้มาก ไปๆ มาๆ จึงค่อยคุ้นชิน เพราะเจอกันทุกวัน อีกทั้งวันเสาร์อาทิตย์ก็ยังชอบมาขลุกอยู่บ้านเขา ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง


ถือเป็นเรื่องที่ดี เวลามีเจ้าพวกนี้อยู่ด้วยทำให้...ไม่เหงา


บ้านเกิดนรินทร์อยู่ลำพูน แม้เป็นจังหวัดติดกับเชียงใหม่ก็ไม่ค่อยได้กลับไปหาพ่อแม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่ติดต่อกันทางโทรศัพท์ซะมากกว่า



ครูรินในวันหยุดไม่ต่างไปจากเด็กมหาลัย ด้วยมีใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ดูเด็กกว่าอายุจริง นัยน์ตาสีดำที่แผงแววอารมณ์ดี และจะแปรเปลี่ยนเป็นดุอยู่เสมอเมื่อมีเด็กดื้อ จมูกโด่งรั้น ปากบาง เขาค่อนข้างเป็นที่นิยมตอนเป็นนักศึกษา มีสาวๆ มาขายขนมจีบให้เสมอ แต่ส่วนใหญ่ก็ถูกปฏิเสธด้วยรอยยิ้มสุภาพ เคยมีแฟนมาแล้วสองคน แต่หลังจากจบปีสามก็โสดสนิทมาจนถึงทุกวันนี้


ชายหนุ่มอายุยี่สิบสี่อยู่ในชุดเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่เพิ่งเปลี่ยนให้ใส่สบายก้าวเท้าลงมาจากบ้าน ถือตะกร้าผ้าเพื่อจะนำมาซัก ในตอนที่กำลังสวมรองเท้าเขาก็พบกับ...กลุ่มก้อนบางอย่าง


กลุ่มก้อนซึ่งเป็นเด็กสามคนกำลังสุมหัวกันเหมือนปรึกษาความลับระดับชาติ นรินทร์เลยไม่รีรอที่จะเข้าไปแอบฟัง


"ตัวใหญ่ มีกล้ามด้วย"


"น่ากลัวจัง" เนมว่า


"ผมสีเหลืองๆ อย่างกะซูเปอร์ไซย่า ปล่อยพลังคลื่นเต่า!" โมทำท่าปล่อยพลังเลียนแบบการ์ตูนต่อสู้ชื่อดังทั้งที่ตัวเองเป็นผู้หญิงแท้ๆ


"ไม่เห็นเหมือนเลย ฉันว่าเหมือนมาเฟียมากกว่า" จันตีหน้าขรึมให้ดูจริงจัง


"คุยไรกัน?"


นรินทร์โพลงถามออกไป จนเด็กๆ สะดุ้ง กลุ่มก้อนสลาย


"โถ่ ตกใจหมด" เป็นจันที่ตอบครูรินคนแรก "มีคนมาอยู่บ้านป้าชุ่ม"


สงสัยว่าเด็กพวกนี้คงเล่นซ่อนแอบกันไปถึงบ้านป้าชุ่ม บ้านแถวนี้ตั้งอยู่ห่างกันไม่เหมือนตึกในเมือง บ้านป้าชุ่มที่จันว่าอยู่ใกล้กับบ้านพักของเขามากที่สุด แต่ป้าชุ่มซึ่งอยู่คนเดียวมาตลอดย้ายออกไปทำงานในตัวเมือง บ้านหลังนั้นจึงไม่น่ามีคนอาศัยอยู่


"ใคร?"


"ไม่รู้ครับ เนมไม่เคยเห็นหน้าเลย"


"เขาดูแปลกมากอ่ะครู" จันบอก


เด็กๆ แย่งกันบรรยายลักษณะคนที่พวกเขาเพิ่งไปเห็นมา จากที่ฟังนรินทร์คิดว่าผู้ชายคนนั้นคงเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ แต่น้ำเสียงของเจ้าพวกนี้ฟังดูทั้งตื่นเต้นทั้งสงสัยเหมือนคนคนนั้นแตกต่างออกไปจากชาวบ้านธรรมดา สุดท้ายครูรินจึงตกลงกับเด็กๆ ว่าจะไปดูคนที่มาอยู่บ้านป้าชุ่มด้วยกัน









สี่ชีวิตหยุดอยู่ห่างจากบ้านป้าชุ่มไม่ไกล


เด็กทั้งสามคนโผล่หัวจากพุ่มไม้ซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวเพื่อสังเกตการณ์ ทำอย่างกับสายสืบ นรินทร์ทำหน้าระอา ทั้งที่ควรไปทักทายเพื่อนบ้านคนใหม่ให้เหมือนคนปกติทั่วไป เห็นแก่ความระแวดระวังเกินเหตุของเด็กๆ เขาจึงไม่อยากห้ามอะไร


เพื่อนบ้านคนใหม่นอนอยู่บนเปลซึ่งผูกอยู่กับเสาบ้าน ใช้แขนรองศีรษะเอาไว้ ผมของเขาเป็นสีบลอนด์ซีดจนเกือบขาว ร่างสูงใหญ่นั้นพลิกตัวหันมาทำให้นรินทร์เห็นว่าคนคนนั้นหน้าตาดีสุดๆ


"ผมของเขาเป็นสีขาวมากกว่า" เจ้าเด็กเนมออกความเห็น


"ผมหงอกเต็มหัวเลย แก่แล้วเหรอ" โมสงสัย


"โง่หรือเปล่า หน้ายังหนุ่มอยู่เลย" จันไม่พลาดที่จะว่าน้อง


"เป็นฝรั่งเหรอ แม่เนมบอกว่าฝรั่งมีผมสีอ่อน"


"ไม่ใช่ฝรั่งหรอก หน้าอย่างนี้คนเอเชีย" นรินทร์ว่า สงสารเพื่อนบ้านคนใหม่จริงๆ ที่โดนเด็กวิจารณ์กันใหญ่


เนมทำหน้างง "เอเชีย คืออะไรครับ" 


"เอเชียเป็นชื่อทวีปน่ะ"


"อ๋อออ!"


พอจันลากเสียงยาว คนอื่นๆ ก็พยักหน้ารับรู้ตาม ครูรินยกนิ้วโป้งเป็นเชิงบอกว่าเยี่ยม ก่อนหันไปมองผู้ชายคนนั้นต่อ โดยไม่รู้ว่าเนมแอบเขยิบเข้าไปกระซิบกระซาบกับจัน


"ทวีปคืออะไรอ่ะ"


พี่ใหญ่ส่ายหัว "ไม่รู้เหมือนกัน"


"อ้าว!?" โมหน้าเหวอกับคำตอบจัน


เจ้าเด็กจันทำปากจิ๊จ๊ะ "เดี๋ยวโตขึ้นก็รู้เองน่า" แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งมีชีวิตตัวยาวที่มีเป็นร้อยขาเคลื่อนไหวอยู่ที่ปลายเท้า เด็กชายหน้าซีด ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเจอสัตว์ชนิดเดียวที่กลัวในระยะประชิด น้ำเสียงแปดหลอดจึงแผดกล้า "ตะ...ตะขาบ ว้ากกก!!!"


ตะโกนลั่นไปทั่วยังไม่พอ ร่างผอมๆ ยังผลักทุกสิ่งที่ขวางหน้าก่อนจะวิ่งเผ่นแน่บออกไป บังเอิญว่าคนที่ขวางอยู่เป็นนรินทร์พอดี คุณครูหนุ่มจึงเซออกมานอกพุ่มไม้ พร้อมๆ กับเด็กอีกสองคนที่ตกใจกระโดดโหยงออกมาเหมือนกัน


เสียงดังๆ นี้เองทำให้เพื่อนบ้านคนใหม่หันขวับมาทางนี้


ต้องโทษสายตาที่ดีไปของนรินทร์ เขาเห็นแววตาไม่ไว้ใจจ้องเขม็งมาอย่างชัดเจน จนทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มแห้งๆ ส่งไปให้ ซึ่งยังไงก็ดูมีพิรุธ



...เป็นการพบหน้ากันครั้งแรกที่ประหลาดสิ้นดี










TBC



---------------------------------------------

สวัสดีค่ะทุกๆ คน


แนะนำตัวกันก่อน ชื่อ ขนุน นะคะ นามปากกา JAMNIN เรียกเราว่าแจมนินก็ได้

ขอฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วยนะคะ // โค้ง


ปล. ใครใจดีเห็นคำผิดช่วยเตือนด้วยนะคะ เพราะนี่ชอบพิมพ์ตกๆ หล่นๆ ไม่ก็สะกดผิดประจำ เหะๆ  :hao5:
 

หัวข้อ: Re: ► เพื่อให้รักริน ◄ [บทนำ 24/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-05-2017 20:47:48
น่าอ่าน
คุณครูน่ารัก พวกเด็ก ๆ ก็น่ารัก
หัวข้อ: Re: ► เพื่อให้รักริน ◄ [บทนำ 24/5/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 24-05-2017 23:54:26
 :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: ► ริน รัก ล้น ใจ ◄ [บทที่ 2 14/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: JAMNIN ที่ 14-07-2017 18:27:42
2

เพื่อนบ้านคนใหม่


แสงอาทิตย์อ่อนๆ ยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้ห้องพักครูเล็กๆ แห่งนี้ดูมีชีวิตชีวา โมบายสีสันสดใสที่ห้อยอยู่หน้าประตูส่ายไปมาตามกระแสลมส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งรื่นหู


กระเป๋าใส่เอกสารสีน้ำตาลถูกวางบนโต๊ะไม้โดยคุณครูหนุ่ม เสียงนุ่มทุ้มฮัมเพลงที่กำลังฮิตในช่วงนี้เป็นทำนองด้วยใบหน้าสดชื่น ไม่มีร่องรอยความง่วงอยู่ซักนิดโดยไม่ต้องพึ่งกาแฟแม้จะยังเป็นเวลาเช้าอยู่มาก


ด้วยความที่บ้านอยู่ภายในเขตรั้วโรงเรียนและตื่นเช้าจนเป็นนิสัย นรินทร์จะเป็นคนแรกที่มาถึงโรงเรียน เขาเลยไปขอปั๊มกุญแจมาจากภารโรงอีกหนึ่งชุดและอาสาเป็นคนเปิดห้องแทน


กุญแจพวงโตที่ใช้ไขห้องเรียนทุกห้องในตึกนอนนิ่งอยู่ข้างกระเป๋าบ่งบอกว่าเขาจัดการภารกิจยามเช้านี้เสร็จเรียบร้อยไปหนึ่งอย่าง


นรินทร์จัดการเติมน้ำให้กับพลูด่างในขวดน้ำเหลือใช้ที่แกะสลักเป็นกระถางแบบง่ายๆ โดยฝีมือนักเรียนซึ่งติดอยู่ตามหน้าต่างห้องด้วยใบหน้าอมยิ้มน้อยๆ


เสร็จแล้วครูหนุ่มก็กลับมานั่งยังโต๊ะประจำ แกะถุงน้ำเต้าหู้ใส่เครื่องเยอะแบบพิเศษ เน้นวุ้นเยอะๆ เทใส่ถ้วย หยิบปาท่องโก๋สีเหลืองนวลน่ากินเข้าปากเคี้ยวหงับๆ


จัดการน้ำเต้าหู้ไปได้ครึ่งถ้วย เสียงทักทายก็ดังมาจากหน้าประตู


"สวัสดียามเช้าจ้า"


เจ้าของเสียงชัดถ้อยชัดคำเป็นหญิงสาวร่างอวบในชุดเสื้อเชิ้ตสีเขียวอ่อน กระโปรงสีน้ำเงินเข้มสุภาพ เกล้าผมเป็นหางม้าด้านหลังแบบที่นรินทร์เห็นจนชินตา


"วันนี้มาเช้านะพี่เมย์" ริมฝีปากของนรินทร์วาดเป็นรอยยิ้มทักทาย


ใบหน้าเอิบอิ่มของคุณครูเมธินีไม่ได้เคลือบด้วยเครื่องสำอางหนา เพียงแค่ทาแป้งฝุ่นบางๆ กับลิปมันให้ริมฝีปากแวววาวเล็กน้อย แค่นั้นใบหน้าก็ผ่องใสดูดี เธอก้าวเข้ามาแล้วก็วางกระเป๋าบนโต๊ะข้างๆ นรินทร์


"หยุดยาวไปสี่วันเติมพลังจนเต็ม วันนี้เลยตื่นเช้ามาดูแสงแรกของวันซักหน่อย" ครูเมย์ว่าเสียงกลั้วหัวเราะ


"วันหยุดเอาแต่นอนล่ะสิ" นรินทร์แซว


แม้ว่านับตามอายุแล้ว เมธินีจะแก้กว่านรินทร์สองปีกว่า แต่คุณครูทั้งคู่ก็คุยเล่นเหมือนเป็นเพื่อนกันตามปกติ 


"นอน ดูซีรีย์ ทำงานบ้านก็หมดเวลาแล้ว สี่วันเหมือนจะนานแต่ก็แป๊บเดียวเอง" เธอบ่นน้อยๆ


นรินทร์พยักหน้า กลืนปาท่องโก๋ "ผมเห็นด้วย งานบ้านดูดเวลามากๆ"


"ผู้ชายแท้ๆ อยู่บ้านคนเดียวไม่ต้องทำมากหรอก"


"บ้านผมสะอาดนะครับพี่"


"แหนะ มีสาวที่ไหนมาจัดการให้หรือเปล่า" ครูเมย์ลองแหย่


"สาวๆ ที่มาบ้านผมมีแต่เจ้าโมคนเดียวแหละ" นรินทร์หัวเราะ


ว่าไปนั่น เด็กหญิงโมมีหรือจะมาทำความสะอาดบ้านให้เขา มีแต่จะทำให้เละกว่าเดิมสิไม่ว่า


"อ้อ น้องโม ปอหนึ่ง เป็นสาวจริงด้วย" เมธินียังรับมุก ก่อนถามต่อ "กลับไปเยี่ยมบ้านมา เป็นยังไงบ้าง"


"คุณพ่อคุณแม่สบายดี ให้ของกินกลับมาเยอะมาก เอาไว้ถ้าผมกินไม่หมดจะเอามาให้พี่ช่วยกิน"


"เดี๋ยวเหอะ เห็นพี่เป็นที่กำจัดของเหลือหรือไง"


"ล้อเล่นครับ" ครูรินยังคงหัวเราะอารมณ์ดี หยิบถุงของฝากที่หยิบติดมือออกจากบ้านส่งให้ ปากก็พูด "ถุงนี้ขนม แล้วก็นี่ แก้วเซรามิก ซื้อมาฝาก เห็นบ่นว่านักเรียนทำแก้วกาแฟแตกไปเมื่ออาทิตย์ก่อน"


"ขอบคุณมากค่ะครูรินรูปหล่อ" เมธินียิ้มแย้มทำเป็นชมขณะรับของฝากจากนรินทร์ "อุ้ย! ลายสวยจัง ถูกใจจริงๆ"


"ผมว่า พี่อย่าให้เด็กต่ำกว่าปอสี่ชงกาแฟให้อีกเลย แก้วจะได้ไม่แตกอีก"


"แหม ไม่ผิดกฎหมายแรงงานซักหน่อย" ครูเมย์ว่าขำๆ


"ตำรวจไม่จับหรอกครับ แต่ผู้ปกครองจะมาเฉ่งเอาสิ ถ้านักเรียนโดนแก้วบาดใครจะรับผิดชอบ ไหนจะน้ำร้อนลวกอีกล่ะ ต้องดูแลความปลอดภัยด้วย" คนอายุน้อยกว่าเทศน์


ถ้าเป็นที่อื่นผู้น้อยเคารพผู้ใหญ่ มีหรือจะพูดจาสั่งสอนได้ แต่เรื่องนี้ใช้ไม่ได้กับโรงเรียนเล็กๆ แห่งนี้ที่มีครูอยู่ไม่กี่คน โดยเฉพาะนรินทร์กับเมธินีที่สนิทกันมาก มีอะไรก็พูดกันตรงๆ ไม่มีใครถือสาเอาความ


"ก็ได้ๆ เอาซะพี่รู้สึกผิดเลย ต่อไปไม่ทำอีกแล้ว" ครูเมย์สัญญาแต่โดยดี


"พี่ทานข้าวเช้ามายัง" นรินทร์ถาม ยกน้ำเต้าหู้ขึ้นดื่ม


"เรียบร้อยแล้วจ้ะ บอกแล้วว่าวันนี้ตื่นเช้าจริง" เมธินีจัดแจงสมุดบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ ก่อนจะเพิ่งนึกบางอย่างออก "เอ้อ! ได้ข่าวมาว่าบ้านป้าชุ่มมีคนมาอยู่ใหม่เหรอ"


นรินทร์เลิกคิ้ว เมธินีรู้ข่าวไวเสียจริง ขนาดเขาถ้าเด็กๆ ไม่ตามไปดูก็คงยังไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าบ้านข้างๆ มีคนมาอยู่ "ได้ข่าวมาจากไหนล่ะ"


"เจอแม่น้องเนมที่ร้านข้าวต้มเมื่อเช้า เขาเล่าให้ฟัง"


"อ้อ" 


"รินเจอหรือยัง" ครูเมย์ถาม


"เจอแล้ว มาอยู่คนเดียวมั้ง" ครูรินตอบ ไม่อยากจะบอกว่าเจอกันครั้งแรกก็ไปทำลับๆ ล่อๆ ที่หน้าบ้านเขาเลย


"ผู้หญิงผู้ชาย" ครูเมย์ถามรายละเอียด


"ผู้ชาย เป็นคนต่างชาติด้วย"


เมธินีตาโต ท่าทางดูสนอกสนใจขึ้นมาทันที "จริงอะ หล่อมั้ย อายุเท่าไหร่ "


นรินทร์กระแอม ผู้หญิงนี่ดูจะสนใจข้อมูลว่าหล่อหรือไม่ก่อนเสมอ


"ผมหล่อกว่า" นรินทร์ยักคิ้ว ยิงมุกอย่างไม่มีคำว่าอาย


เมธินีแกล้งทำหน้าเอือมระอาส่งมาให้


ครูรินขำกิ๊ก ก่อนจะยอมบอกดีๆ "หน้าตาดีสุดๆ นึกว่าดารา น่าจะเป็นคนจีนมั้งถ้าให้ผมทาย ส่วนอายุเดายาก น่าจะประมาณผมนี่แหละ" ครูรินเล่า ก่อนจะหน้าตึงขึ้นมานิดหน่อย พูดอุบอิบ "แต่ถึงจะดูดีแค่ไหน ให้เลือกได้ก็ไม่อยากไปสุงสิงด้วยซักเท่าไหร่"


"อ้าว ซะงั้น" เมธินีสังเกตเห็นท่าทีนรินทร์ก็รู้แกว "พูดอย่างนี้แสดงว่าไปคุยกับเขามาแล้วล่ะสิ เจออะไรมาล่ะ"


คุณครูหนุ่มพยักหน้า ใบหน้ายังคงบูดบึ้ง


นึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อเย็นวาน...









หลังจากนรินทร์ส่งยิ้มแห้งๆ และตะโกนขอโทษเพื่อนบ้านคนใหม่ที่โดนรบกวนการนอนกลางวัน เขาก็ต้อนเนมกับโมกลับบ้าน ส่วนเจ้าตัวต้นเรื่องไม่รู้วิ่งโร่หายไปไหนแล้ว


ตกเย็น เด็กๆ ก็กลับบ้านกลับช่องไปกันหมด ทิ้งให้ครูรินอยู่คนเดียว คิดไปคิดมานรินทร์จึงลุกขึ้นมาเข้าครัว รื้อวัตถุดิบในตู้เย็นออกมาเตรียมพร้อม ก่อนเอากระทะตั้งไฟแล้วใส่หัวกะทิลงไป


ความประทับใจแรกเป็นสิ่งสำคัญเสมอ


แต่ความประทับใจแรกของเพื่อนบ้านคนใหม่ที่มีต่อเขาคงเข้าขั้นติดลบ ต้องกู้หน้าเสียหน่อย ถึงจะไม่รู้ว่าชายคนนั้นจะอาศัยอยู่บ้านป้าชุ่มนานหรือเปล่า แต่ยังไงก็อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง ผูกมิตรไว้ก่อนไม่มีอะไรเสียหาย


ทำกับข้าวไปให้นี่แหละ


วิธีผูกมิตรประสาชาวบ้าน


พอเห็นว่ากะทิเคี่ยวจนแตกมันเรียบร้อย นรินทร์ก็ใส่น้ำพริกแกงเผ็ดเป็นขั้นตอนที่สอง


อย่าคิดว่าผู้ชายทำกับข้าวไม่เป็น ผู้ชายที่แยกตัวมาอยู่คนเดียวตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัยอย่างเขาบอกเลยว่าทำอาหารได้เก่งกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก เป็นเพราะว่าติดรสชาติอาหารฝีมือแม่มาก กินอาหารที่อื่นก็ไม่ถูกปาก ครูรินเลยแก้ปัญหาด้วยการกลับบ้านไปทีก็เอาตัวเองไปเป็นลูกมือแม่ในครัว ขอให้แม่ถ่ายทอดเคล็ดลับวิชาให้เอาไว้ทำกินเองยาม (หาอาหารถูกปาก) ยาก


ไปๆ มาๆ เขาก็ทำกับข้าวได้คล่องแคล่ว ทำไว้กินเองได้ ทำให้เด็กนักเรียนกินก็ดี แถมยังประหยัดกว่าออกไปหาซื้อข้างนอก


ไม่นานแกงเผ็ดไก่ใส่มะเขือเปราะก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ ส่งกลิ่นหอมฉุย ครูรินจัดแจงแบ่งใส่กล่องทัพเพอร์แวร์ อีกส่วนใส่ชามเอาไว้กินเอง


ไม่กี่นาทีต่อมานรินทร์ก็มายืนอยู่หน้าบ้านที่เพิ่งมาเมื่อตอนบ่าย ภายในบ้านมืดสนิท ไม่มีแสงไฟเล็ดลอดออกมา


นรินทร์ขมวดคิ้ว ตามองกล่องบรรจุแกงในมือ ไหนๆ อุตส่าห์ทำกับข้าวมาแล้วก็อยากให้เพื่อนบ้านลองชิมดู เก็บเอาไว้เขาก็กินไม่หมด จริงๆ จะแช่เย็นเอาไว้เป็นมื้อเช้าก็ได้ แต่กินอะไรซ้ำๆ มันเบื่อนี่หว่า


หรือแกงมื้อนี้จะเป็นหมันซะแล้ว


เสียงจิ้งหรีดเรไรเริ่มขับขาน ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ เพราะเป็นเวลาพระอาทิตย์ตกดิน


เขายังไม่ตัดสินว่าไม่มีคนอยู่บ้านเสียทีเดียว ครูรินเดินเข้าไปใกล้ตัวบ้านมากกว่าเดิม ด้อมๆ มองๆ สังเกตการณ์... 


"คุณทำอะไร"



นรินทร์สะดุ้งโหยง เมื่อสมองกำลังคิดว่าจะลองเคาะประตูดู จู่ๆ น้ำเสียงเย็นเยียบก็ดังขึ้น เขารีบหันขวับไปมองด้านหลัง


คนที่เขาต้องการมาผูกมิตรด้วยยืนอยู่ตรงนั้น


เงาร่างสูงใหญ่มองเห็นหน้าได้เลือนๆ ด้วยมีอุปสรรคเป็นความมืดยามหัวค่ำก้าวเข้ามา เดินเลยผ่านนรินทร์ไป ก่อนจะ...


แป๊ะ!


เสียงกดสวิทช์ไฟดังขึ้น ทันใดไฟหน้าบ้านก็สว่างพรึบ


คุณครูหนุ่มจึงได้โอกาสเห็นเพื่อนบ้านคนใหม่ในระยะใกล้อย่างชัดๆ นรินทร์รีบกวาดตามอง สังเกตอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว


ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีอย่างร้ายกาจ นัยน์ตาสีเข้มคมกริบ คิ้วเข้มพาดเฉียงทำให้เค้าหน้าดูคมเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ผมสีบลอนด์อ่อนตัดเป็นทรงสุภาพ ปล่อยไว้ยุ่งๆ ไม่ได้เซ็ทเป็นทรง ทว่าก็ไม่ได้ลดทอนความดูดีมหาศาลของเขา รูปร่างสูงใหญ่ สูงกว่านรินทร์เป็นสิบเซ็นได้ ไม่รู้จะสูงไปไหน ขนาดอยู่ในชุดเสื้อยืดธรรมดายังมีมาดอย่างกับนายแบบ


ตอนบ่ายคนคนนี้นอนอยู่บนเปลเลยเห็นรูปร่างหน้าตาไม่ชัดเท่านี้ อีกทั้งยังอยู่ไกล พอมาเห็นตรงหน้าแบบนี้จึงทำให้ครูรินรู้สึกตะลึง


ไม่คิดว่าในที่ค่อนข้างชนบทแบบนี้จะมีคนที่หล่อขนาดนี้มาปรากฏตัวอยู่ได้


"คุณมีอะไรหรือเปล่า" เห็นเขายืนนิ่งไม่พูดไม่จา คนตรงหน้าก็ถามขึ้นอีกรอบ


ฮะ!?


นรินทร์คืนสติกลับมา


เมื่อกี้...ชายคนนี้พูดเป็นภาษาอังกฤษ


จะว่าไปประโยคแรกที่ทำเอาเขาตกอกตกใจก็ภาษาอังกฤษนี่หว่า


หมอนี่ไม่ใช่คนไทย?


ครูรินคิด ต้องไม่ใช่คนไทยแน่ ไม่งั้นคงพูดเป็นภาษาไทยไปแล้ว


ว่าแต่...


คนต่างชาติมาทำอะไรที่บ้านป้าชุ่มวะ?


หัวคิดหาคำตอบที่สงสัยขณะยืนเป็นบื้อใบ้ เรียกให้ตาคมๆ มองนิ่งมาที่เขา ตาคู่นั้นเหมือนมีอำนาจบางอย่างที่ทำให้นรินทร์ลนลานขึ้นมาทันที


"อะ...เอ่อ" แม้ในใจจะยังสงสัยอย่างหนัก แต่ปากก็ต้องพูดอะไรซักอย่างก่อน ภาษาอังกฤษผุดขึ้นในหัวอย่างเร็วจี๋ ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองจากสมองเขาก็หลุดออกไปว่า "เอ้อ ออกไปข้างนอกมาหรือครับ ผมนึกว่าจะไม่เจอคุณซะแล้ว"


ยังดีที่แกรมมาถูก...


ถุย! ไม่ใช่สิ


ถามอะไรโง่ๆ นะไอ้ริน!


เห็นชัดๆ ว่าหมอนี่เพิ่งเดินกลับมา ก็ต้องออกไปข้างนอกอยู่แล้วสิ จะให้วาร์ปออกมาจากข้างในบ้านหรือไง!


แต่เรื่องนี้จะด่าตัวเองไม่มีสมองก็ไม่ได้ เขายังงงงวยไม่หาย จึงคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี อีกอย่าง เขากับชายคนนี้ก็ยังไม่รู้จักกัน ถ้าเปลี่ยนเป็นเจอชาวบ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตา เขาคงถามว่าไปไหนมาเป็นประโยคคลาสสิกที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแทน


คิ้วเข้มของคนตรงหน้าเริ่มขยับมาชิดกันจนหน้าดุกว่าเดิม


เงียบ ไม่ตอบอะไรกลับ


หลังจากสำนึกได้ว่าตัวเองเด๋อด๋าไปแค่ไหน นรินทร์ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า แท้จริงควรจะแนะนำตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก


คนจบเอกภาษาอังกฤษมาเลยได้งัดเอาวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนออกมาปัดฝุ่น


"คุณคงแปลกใจ ขอโทษครับที่พูดอะไรแปลกๆ" เขาแก้ตัวไปก่อน แล้วค่อยวนเข้าเรื่อง "ผมชื่อนรินทร์ เรียกว่ารินก็ได้ ผมเป็นครู สอนอยู่ที่โรงเรียนประถมตรงนั้นเอง แล้วบ้านผมก็อยู่ติดกับคุณ บ้านผมอยู่ตรงนู้น" ชี้มือไปที่บ้านตัวเองประกอบคำพูด ปั้นหน้าให้ดูมีมาด ฉีกยิ้มส่งไปให้อย่างเป็นมิตร "พอดีเห็นว่าคุณมาอยู่ใหม่เลยมาทักทายน่ะครับ"


เงียบ...


พอฟังเขาอธิบายจบ อีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบนิ่งอย่างกับหุ่นขี้ผึ้ง ไม่พูดอะไรออกมาซักอย่าง


ครูรินอึกอัก ต้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ "แล้วเอ่อ...คุณ ไม่ทราบว่าคุณชื่อ..."


"อัลวิน" น้ำเสียงทุ้มต่ำบอกสั้นๆ


แค่นี้!?


ไม่คิดจะแนะนำตัวเพิ่มเติมเลยหรือ ทีเขายังพูดซะยาว


"ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณอัลวิน" นรินทร์ว่าไปตามไดอะล็อก ยิ้มแย้มเหมือนยินดีเสียเต็มประดา


เงียบ...


แล้วจะยังไงต่อ คุณอัลวินเล่นไม่ต่อคำแบบนี้ ทั้งยังมีท่าทีเฉยชาเหมือนไม่อยากจะเสวนากับเขาอีกต่างหาก


นรินทร์พยายามคิดหาสาเหตุ


อ้อ หรือจะไม่พอใจ... 


"ผมต้องขอโทษคุณด้วยกับเหตุการณ์เมื่อบ่าย ที่ผมกับเด็กๆ มาเสียงดังรบกวน" เขาขอโทษขอโพย ก่อนชี้แจงเหตุผล "พวกเด็กๆ แกอยู่ละแวกนี้ เวลาเล่นก็เล่นไปทั่ว เดิมบ้านนี้ไม่มีคนอยู่ เด็กๆ ก็มาเล่นแถบนี้ประจำ ไม่รู้ว่าคุณเพิ่งเข้ามาอยู่ ไม่ได้ตั้งใจเสียงดังทำให้คุณตื่น"


ก็ยังคงเงียบ...


นรินทร์เริ่มรู้สึกประหม่า เก้ๆ กังๆ


หรือที่เขามายืนพล่ามอยู่นี่จะเป็นการรบกวนอีกฝ่ายอีกรอบ บางทีคุณอัลวินเพิ่งย้ายมาอาจจะอยากพักผ่อนเงียบๆ 


"ผมทำแกงเผ็ดไก่มาให้" ครูรินเลยรีบเข้าประเด็นที่ทำให้เขามายืนอยู่ตรงนี้ "คุณมาอยู่ไทยนานหรือยังครับ เคยกินหรือยัง"


ไม่ตอบ...


"อ่า งั้นก็ลองทานดูแล้วกันนะครับ" เขายื่นกล่องทัพเพอร์แวร์ให้


ไม่อยากคุยก็ไม่เป็นไร รีบๆ รับไปซักที เขาจะได้ไสหัวกลับบ้าน


อัลวินปรายตามองกล่องในมือนรินทร์ นิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนริมฝีปากหยักจะอ้าปากพูด "ขอโทษด้วย ผมไม่รับอะไรจากคนแปลกหน้า"


นรินทร์ชะงักกึก


ในที่สุดเขาก็ได้รับการโต้ตอบ แต่ใจความในประโยคนี่สิ โคตรจะไร้เยื่อใย


"อะ...เอ่อ" เขาพูดต่อไม่ออก


แปลกหน้าตรงไหนวะ บ้านอยู่ติดกัน แนะนำตัวไปแล้วด้วยนะโว้ย! 


"คุณเป็นครูใช่ไหม" คาดไม่ถึงว่าอัลวินจะยิงคำถามมาต่อ แต่อีกฝ่ายไม่เว้นช่องให้เขาตอบ ว่าต่อทันที "เด็กๆ พวกนั้นอยู่ในการดูแลของคุณใช่ไหม คุณดูแลยังไงถึงปล่อยให้ไปทำความเดือดร้อนให้คนอื่น"


นรินทร์ถึงกับยิ้มค้าง ตั้งรับไม่ทัน ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะพูดออกมาแบบนี้


"คุณควรควบคุมเด็กให้ดีกว่านี้ อย่าให้ไปส่งเสียงดังรบกวนใครได้อีก"


ครูรินพะงาบปาก แต่ก็ไม่มีคำพูดใดๆ เล็ดลอดออกมา


ให้ตาย! พูดเหมือนเด็กของเขาไปทำเสียงโหวกเหวกโวยวายไม่หยุด ก็แค่เผลอร้องเสียงดังไปแป๊บเดียว หมอนี่ถึงกับเอามาพูดอย่างนี้เลยเราะ!


"แล้วก็...พื้นที่บริเวณนี้เป็นอาณาเขตบ้านของผม ผมไม่ชอบให้ใครเข้ามารุกล้ำ ช่วยบอกเด็กพวกนั้นให้ไปเล่นที่อื่นด้วย"


นรินทร์หน้าตึงไปหมด


ยัง ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น...


ร่างสูงใหญ่กอดอก กล่าวต่อเสียงเยียบเย็น "อีกอย่าง คุณเองก็เหมือนกัน ทีหลังอย่าไปทำลับๆ ล่อๆ หน้าบ้านคนอื่น นอกจากจะเสียมารยาทแล้ว หากไม่ใช่บ้านคนรู้จัก คุณจะโดนเข้าใจผิดไปว่าเป็นโจรเป็นขโมยได้"   


นรินทร์ถึงกับต้องระงับสีหน้าไม่ให้แสดงความไม่พอใจออกไป ทั้งๆ ที่ข้างในใจเดือดปุดๆ


หมอนี่ไม่ไว้หน้าคนที่เพิ่งรู้จักบ้างเลยหรือ ทั้งยังเป็นคนบ้านข้างๆ ติดกันที่อาจต้องไปมาหาสู่กันในอนาคต ไม่คิดจะผูกมิตรแล้วยังจะตัดมิตรกันตั้งแต่วันแรกที่เจอ


ใจเย็นไว้ เย็นไว้ไอ้ริน


อัลวินเป็นชาวต่างชาติ อาจเคยชินกับการพูดตรงๆ


อย่าไปถือสามาก


แล้วยังขนาดตัวที่แตกต่างกันขนาดนี้ ถ้าออกอาการฮึดฮัดใส่ แล้วอีกฝ่ายไม่พอใจ ซัดเขาขึ้นมาก็มีแต่เละกับเละ อย่าไปทำให้เป็นเรื่องเลย


"ผมต้องขอโทษด้วย" นรินทร์กัดฟันพูด


"อื้ม" อัลวินรับคำเป็นเสียงในลำคอ นัยน์ตาสีเข้มมองหน้าเขาอย่างเฉยเมย ว่าเรียบๆ "คุณมีอะไรอีกไหม"


นี่เป็นคำไล่กลายๆ ใช่ไหม


"...ผมทำกับข้าวมาให้ คุณจะไม่ลองกินจริงหรือ"


ครูรินตัดสินใจทำตัวญาติดีด้วยอีกหน่อย เผื่อว่าอัลวินจะได้เห็นความตั้งใจจริงในการพยายามผูกมิตรของเขา แม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะแทบเป็นไปไม่ได้เลยก็เถอะ


"ขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่ผมรับไว้ไม่ได้ คุณเอากลับไปเถอะ"


หมอนี่พูดเหมือนจะถนอมน้ำใจเขามากขึ้น แต่ดูๆ แล้วเหมือนจะเป็นการตัดบทเสียมากกว่า


"อ่า...โอเค" นรินทร์ยอมแพ้


เอากลับก็เอากลับวะ


ถึงจะโดนพูดหักหน้า เขาก็ยังอยากมีมารยาทจนถึงนาทีสุดท้าย จะกล่าวสวัสดียามค่ำตามธรรมเนียมที่ศึกษามา แต่ไม่ทันจะหลุดคำว่ากู๊ด ไอ้คนต่างชาติหัวทองก็หันหลังกลับ เดินขึ้นบ้านไปเสียแล้ว


ไม่อยู่ฟังจนจบ ไม่มีแม้แต่จะกล่าวลาซักนิด


ทิ้งให้คนบ้านข้างๆ อย่างนรินทร์เกาหัว อารมณ์บูด ท่ามกลางเสียงจิ้งหรีดเรไรและลมเย็นๆ ที่พัดมายามกลางคืน










"เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้อะพี่"


"โห ดูท่าอัลวินอะไรนั่นคงไม่อยากทำความรู้จักกับรินจริงๆ นั่นแหละ" เมธินีออกความเห็นเมื่อนรินทร์เล่าจบ


ครูรินพยักหน้า ก่อนจะคิ้วขมวด ว่าเสียงเครียด "ผมอยากรู้จริงๆ ว่าเขาเป็นใคร"


"ก็รู้แล้วหนิว่าชื่ออัลวิน"


"ไม่ใช่แบบนั้นสิพี่" นรินทร์แย้ง 


เมธินีเอียงคอ ถามกลับ "แล้วยังไง"


"เขาเป็นคนต่างชาติ พูดภาษาไทยก็ไม่ได้ แต่ย้ายมาอยู่คนเดียวในบ้านเก่าๆ เล็กๆ ในที่ห่างหัวเมืองแบบนี้ มันแปลกๆ" นรินทร์ว่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย


ครูเมย์ส่ายหัวยิ้มๆ กับท่าทางจริงจังเสียเหลือเกินของคนอายุน้อยกว่า


"เป็นนักท่องเที่ยวหรือเปล่า บางทีอาจจะอยากอยู่แบบสโลไลฟ์" เธอว่า


"นักท่องเที่ยว แต่ไม่เป็นมิตรกับคนท้องถิ่นเอาซะเลยเนี่ยนะ" คนช่างวิเคราะห์โต้กลับทันใด


"เอ ก็จริงอยู่" เมธินีลากเสียง "แล้วทำไมไม่ถามเขาว่ามาที่นี่ทำไม"


"ตลกเหรอพี่ แค่นี้เขาก็จะกินหัวผมอยู่แล้ว" นรินทร์ว่า คิดไปถึงเพื่อนบ้านคนใหม่แล้วก็ทำหน้าแหยง แล้วกล่าวเสริม "ตัวก็ใหญ่ หน้าก็ดุ คำพูดคำจาก็เย็นชาเสียจริง ใครจะไปกล้าถาม"


"คราวหน้ายังมี บ้านอยู่ติดกัน ถ้าเขายังไม่ย้ายไปไหนในเร็วๆ นี้ เดี๋ยวก็คงมีโอกาสได้คุยกันอีก" เมธินีกล่าว


ครูรินได้แต่หัวเราะเหอะๆ

 





















 
TBC

กลับมาต่อแล้วววว ขอโทษนะคะที่หายไปนาน (มาก)

ครูรินเป็นคนใจเย็นค่ะ ฝึกมาเยอะจากเด็กๆ อีกทั้งโดยพื้นเพเป็นคนไม่สู้คน ไม่ชอบถือสาเอาความอะไรกับใครมาก ไม่งั้นคงไม่ทำตัวเป็นคนไทยน้ำใจงาม สยามเมืองยิ้มอย่างนี้ ฮ่า






หัวข้อ: Re: ► เพื่อ ให้ รัก ริน ◄ [บทที่ 1 14/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 14-07-2017 19:50:27
โถถถถ พ่อคุณเย็นชาได้อีก ว่าแต่มาทำอะไรหนอ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 3 15/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: JAMNIN ที่ 15-07-2017 18:50:59
3


เพื่อนบ้านที่น่าสงสัย





ผ่านไปอึดใจเดียววันเวลาก็วนมาถึงวันหยุดสุดสัปดาห์อีกรอบ นรินทร์ตื่นประมาณแปดโมง สายกว่าปกติเพราะไม่ต้องไปทำงาน นอนนิ่งๆ บนเตียงปรับความคิดชั่วครู ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำอาบน้ำแปรงฟัน


ขณะแต่งตัวกับทานอาหารเช้าก็นั่งนึกรายการของที่ต้องซื้อเข้าบ้านไปด้วย


ทุกวันเสาร์ต้นเดือน นรินทร์จะเข้าไปทำธุระและซื้อของในตัวเมือง โดยเขามักจะติดรถไปกับลุงขาม ลุงในละแวกนี้ที่สนิทกัน ด้วยลุงขามต้องเข้าเมืองไปรับของมาขายต่อทุกอาทิตย์อยู่แล้ว


นรินทร์ผูกเชือกรองเท้าผ้าใบ เช็คดูว่าเอากระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือติดตัวมาเรียบร้อย เตรียมตัวเดินไปขึ้นรถที่บ้านลุงขามอย่างทุกที แต่แล้วเสียงเรียกเข้ามือถือก็ดังขึ้น เป็นลุงขามนั่นเองที่โทรมาบอกว่าให้ไปขึ้นรถที่บ้านป้าชุ่มแทน เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ


ลุงขามไปทำอะไรที่บ้านป้าชุ่มกัน ก็ตอนนี้บ้านนั้นกลายเป็นที่อยู่ของผู้ชายชาวต่างชาติผมบลอนด์หน้าดุไปแล้ว


นรินทร์ไม่ได้สนทนาพาทีกับอัลวินอีกตั้งแต่โดนตัดเยื่อใยเมื่อวันนั้น เขาเห็นหน้าอีกคนเพียงแค่ครั้งเดียวตอนเดินผ่านบ้านป้าชุ่มโดยบังเอิญ ทว่าตอนนั้นอัลวินไม่เห็นเขา ครูรินก็ไม่ได้คิดจะทักทาย ทำเพียงแค่เดินผ่านเลยไป


หวังว่าคราวนี้อัลวินคงไม่โผล่ออกมาต่อว่าเขาอีกหรอกนะที่เข้ามาในอาณาเขตบ้านตัวเองอีกครั้ง


"อรุณสวัสดิ์ครับลุงขาม" นรินทร์ยกมือไหว้ชายวัยกลางคนผิวคล้ำที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ข้างรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่


"สวัสดีครับครูริน"


"ทำไมลุงมาอยู่นี่ละครับ" นรินทร์ถามข้อข้องใจทันที


"คุณอัลวิน ที่มาอยู่บ้านนี้เขาจ้างให้ลุงไปรับไปส่งตอนเข้าเมืองน่ะครู"


"หือ?"


"ครูคงยังไม่รู้สิ คนฮ่องกง ชื่ออัลวิน เขามาเช่าบ้านยายชุ่มอยู่"


คำขยายความจากลุงขามจึงทำให้นรินทร์ถึงบางอ้อว่าเพื่อนบ้านคนใหม่เป็นคนฮ่องกงนั่นเอง ถึงว่าพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว สำเนียงดีอีกต่างหาก


"ผมรู้แล้วครับ เคยคุยกันหนหนึ่ง" นรินทร์ว่า เอียงคองงๆ "สงสัยก็แต่เขามาจ้างลุง เขาพูดไทยได้เหรอครับ" 


"ไม่ใช่หรอกครู" ลุงขามโบกไม้โบกมือปฏิเสธ "ตอนย้ายมาครั้งแรกคุณเขามีล่ามมาด้วย ตอนมาคุยกับลุงก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน จู่ๆ ก็มีคนต่างชาติมาจ้างให้ขับรถรับส่ง พูดไทยก็ไม่ได้ แต่ดูๆ แล้วเห็นว่าบุคลิกท่าทางดี มีสง่าราศีลุงเลยรับ อ้อ เขาจ้างให้เมียลุงทำอาหารส่งให้กินทุกวันด้วย" 


นรินทร์ย่นคิ้ว ลุงขามนี่ไว้ใจคนง่ายจริงๆ


ถึงหมอนั่นจะบุคลิกดีก็จริง แต่ก็น่าสงสัยสุดๆ


เป็นคนฮ่องกง อยู่ๆ ก็โผล่มาอยู่แถบนี้ตัวคนเดียว มีล่ามมาเจรจากับชาวบ้านจ้างให้ทำนู่นทำนี่ให้


โคตรแปลก...


"เขามาอยู่ที่นี่ทำไมหรือครับ" นรินทร์ถาม


"ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน" ลุงขามพูดยิ้มๆ ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบ "ให้ลุงเดานะ ลุงว่าเขาเป็นคนรวยๆ ที่อาจหนีอะไรบางอย่างมา แล้วใช้ที่นี่เป็นที่พัก" เสียงของลุงขามเบาลงจนทำให้เรื่องที่พูดดูเป็นเรื่องลับห้ามแพร่งพราย จนครูรินต้องเอาหูไปฟังใกล้ๆ "เห็นหน้านิ่งๆ ขรึมๆ อย่างนี้คงไม่พ้น..."


ผู้ก่อการร้ายข้ามชาติชัวร์!


"อกหักแน่ๆ หนีสาวมาพักใจ" ลุงขามขยิบตา


นรินทร์ขำพรืด หน้าอัลวินผุดขึ้นในความคิดทันใด


ตาดุๆ ไม่ยิ้มแย้ม ท่าทีเย็นชา...


เออแฮะ... ดูท่าทางแล้วก็อาจจะเป็นไปได้ โดนสาวหักอกมา ฮ่าๆๆ


นึกแล้วเขาก็ขำไม่หยุด ลุงขามช่างคิดนะเนี่ย


"แล้วเขาจะมาอยู่นานหรือเปล่าลุง" นรินทร์ถามต่อ


"ไม่รู้สิครู อยู่นานก็ดี ค่าอาหารแต่ละมื้อที่ให้ก็ไม่น้อย ขนาดลุงว่ามันมากเกิน คุณเขาก็ยืนยันจะให้เท่านี้"


ฟังแล้วนรินทร์ก็ยิ้ม กล่าวสัพยอก "ผมนึกว่าลุงจะบอกว่า คุณเขาคงอยู่จนกว่าแผลในใจจะดีขึ้น"


"อุ้ย ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ขอให้ทำใจได้ไวๆ ล่ะครับ ไม่ต้องอยู่นานก็ได้" ลุงขามว่า


คุยกันได้เท่านั้น เสียงเปิดประตูบ้านก็ดังขึ้น ทำให้ครูรินกับลุงขามหยุดสนทนา


คนที่ตกเป็นประเด็นเดินออกมาจากตัวบ้าน ร่างสูงใหญ่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงยีนส์ นรินทร์มองด้วยความอิจฉา พอแต่งตัวอย่างนี้เหมือนกับหลุดออกมาจากแมกกาซีน ผมสีบลอนด์ซีดหวีเปิดหน้าผากขึ้นไปจนเห็นโครงหน้าชัดเจน ทวงท่ายามเดินมั่นคง มีความมั่นใจ


ใบหน้าหล่อเหลายังคงเฉยชา


ในตอนนั้น นรินทร์ก็รู้สึกขึ้นมาว่าอัลวินมีอะไรบางอย่างในตัวซึ่งทำให้ชายหนุ่มไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป


ราวกับ...มีอำนาจเหนือกว่าคนอื่น


อาจเป็นเพราะตาคมคู่นั้นที่ดุดันราวกับแววตาของราชสีห์ ดวงตาที่มองมายังนรินทร์นิ่งๆ แต่เหมือนกับมีคำถามอันกดดันส่งออกมาว่าเขามาทำอะไรที่นี่


ครูรินส่งยิ้มไปให้ "สวัสดียามเช้าครับคุณอัลวิน ผมขอติดรถไปด้วยนะ คุณคงไม่ว่าอะไร"







บรรยากาศภายในรถเงียบ...เงียบมาก ลุงขามที่ปกติเป็นคนอัธยาศัยดีคุยกับนรินทร์อยู่ตลอดไม่ได้ชวนคุย คงเป็นเพราะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ อีกทั้งยังเกรงใจชาวต่างชาติที่นั่งยังเก้าอี้ข้างคนขับ ครูรินเองที่นั่งด้านหลังคนเดียวตรงแค็บกระบะก็เลยพลอยไม่รู้จะพูดอะไรไปด้วย ส่วนอัลวินนั้น...สังเกตจากหน้าราบเรียบก็เหมือนไม่อยากให้คำพูดใดๆ หลุดออกจากปากอยู่แล้ว   


อึดอัดชะมัด


"ผมขอเปิดเพลงได้มั้ยครับ" นรินทร์เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ


"โอ้ ตามสบายครับครู"


พอคนขับรถอนุญาต ครูรินก็ถามเป็นภาษาอังกฤษอีกครั้ง เขาเห็นอัลวินเพียงแค่ปรายตามองเขาผ่านกระจกมองหลัง ไม่ได้พูดอะไรอีกตามเคย


ไม่ว่าอะไร งั้นเขาทึกทักไปเองแล้วกันว่าอีกฝ่ายไม่ขัดข้อง


ครูรินล้วงโทรศัพท์ออกมาเปิดเพลง เสียงเพลงดังขึ้นลั่นรถด้วยความที่นรินทร์ตั้งค่าระดับเสียงดังสุดเอาไว้ จากความเงียบสงบกลายเป็นมีเสียงเพลงดังสนั่นเข้ามาแทนที่ คนเปิดเพลงเลยสะดุ้งน้อยๆ แล้วรีบลดเสียงให้เบาลง


เพลงฮิตในไทยเล่นไปเรื่อยๆ เขาเลื่อนดูเพลงในลิสต์ ในเครื่องเขาส่วนใหญ่มีแต่เพลงไทย ครูรินจิ้มเข้าแอปพลิเคชันชื่อดัง เลือกเพลงสากลเปิดแทน เพื่อที่ว่าคนต่างชาติในรถจะได้ฟังออก


เมื่อมีเพลงเปิดคลอก็ช่วยคลายบรรยากาศอึดอัดไปได้บ้าง ฟังไปได้ไม่เท่าไหร่ คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็หันหน้ามามองเพียงชั่วแวบเดียว แต่ครูรินดันเห็นเข้าจะๆ


นัยน์ตาสีเข้มฉายแววคล้ายกับไม่สบอารมณ์ สบตากับเขาเต็มๆ


นรินทร์เผลอกลั้นหายใจ


โห โคตรดุ


ไม่อยากให้เปิดเพลงก็บอกกันดีๆ สิ ไม่เห็นต้องประหยัดคำพูดขนาดนี้เลย


"โอ๊ะ ลืมชาร์ตแบตนี่นา เดี๋ยวแบตไม่พอถึงตอนเย็น ปิดเพลงดีกว่า" ครูรินทำทีพูดขึ้นลอยๆ เป็นภาษาอังกฤษ เด็กอนุบาลยังรู้เลยว่าพูดให้ใครฟัง แล้วกดปิดเพลงอย่างสงบเสงี่ยม


ในรถกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ยังดีที่มีเสียงแอร์เบาๆ ไม่งั้นคงอาจได้ยินเสียงหายใจก็เป็นได้ สองข้างทางมีแต่ต้นไม้ที่เห็นมาจนเบื่อไม่ชวนให้น่ามองวิวทิวทัศน์ ผู้ร่วมทางก็เอาแต่เงียบ นรินทร์เลยปิดเปลือกตาลง พิงตัวไปกับกระจกข้างหลัง แสร้งทำเป็นหลับไปให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องทนนั่งนิ่งๆ ด้วยความอึดอัด


แต่แล้วเขาก็เผลอหลับไปจริงๆ


รู้ตัวอีกทีรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ก็แล่นมาถึงในตัวเมืองแล้ว


นรินทร์เหยียดแข้งเหยียดขา บิดตัวสองสามทีแก้เมื่อย อยู่ๆ ก็อยากรู้ขึ้นมาว่าจุดหมายปลายทางของอัลวินคือที่ไหน จะเข้าเมืองมาทำอะไรกัน


ไม่ต้องสงสัยนาน เมื่ออีกไม่กี่นาทีต่อมาลุงขามก็ตบไฟเลี้ยว ขับรถเข้ามาจอดหน้าภัตตาคารแห่งหนึ่ง


มากินอาหารเนี่ยนะ?


อัลวินปลดเข็มขัดนิรภัยออก ค่อมหัวให้ลุงขามเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเป็นภาษาไทยสำเนียงใกล้เคียงกับต้นฉบับมาก "ขอบคุณ"


นรินทร์ถึงกับตาโต มองคนฮ่องกงที่เพิ่งพูดไทยเปิดประตูรถลงไปอย่างอึ้งๆ


อัลวินพูดไทยชัดมาก และที่ชวนตะลึงก็คือ...ท่าทางสุภาพเมื่อครู่


มีมารยาทกับผู้ใหญ่เหมือนกันนี่หว่า ทีกับเขาล่ะไม่เคยแยแสสักนิด


"แล้วครูรินลงไหนครับ" ลุงขามถามขึ้น


"อ้อ" นรินทร์หยุดคิดนิดหน่อย "ผมลงตรงนี้เลยก็ได้ครับ"


จากตรงนี้ไปก็ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้าที่เขาต้องการมาเดินซื้อของ ลุงขามจะได้ไม่ต้องวนไปส่ง เพราะเขาจำได้ว่าธุระของลุงขามต้องไปยังถนนคนละเส้น


"ขอบคุณมากครับที่มาส่ง นี่ครับลุง ค่ารถ"


"โอ้ย อีกแล้วเหรอครูริน ลุงบอกหลายครั้งหลายหนแล้วว่าไม่ต้อง คนกันเอง"


"ลุงก็ไม่คิดตังค์ผมมาตั้งหลายครั้งแล้ว เกรงใจจะแย่ รับไปเถอะครับ" นรินทร์คะยั้นคะยอ


"งั้นครูรินเอาไปให้คุณอัลวินเถอะ เขาเป็นคนออกค่าน้ำมันทั้งหมด" ลุงขามว่า


นรินทร์นิ่งไป เอาไปให้อัลวินงั้นหรือ...


จะดีหรือวะ...


นรินทร์ลงจากรถ ก่อนเห็นว่าอัลวินยังไม่ได้เข้าไปในร้าน ร่างสูงใหญ่ยืนคุยอยู่กับชายอีกคนซึ่งดูแล้วน่าจะอยู่ในวัยเดียวกัน


อ้อ ที่แท้ก็มากินข้าวกับเพื่อน


สุดท้ายนรินทร์ก็ตัดสินใจเดินเข้าไป "ขอโทษที่ขัดจังหวะครับ"


คนที่คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของอัลวินหันขวับมามองเขา คนคนนี้ตัวสูงเกือบเท่าอัลวินแต่รูปร่างเล็กกว่า ครูรินมองกลับแล้วก็แอบรู้สึกแหยงๆ ในใจ


ใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้หล่อชวนตะลึงอย่างอัลวิน แต่เรียบนิ่งอย่างกับปลาตายไม่แตกต่างกันซักนิด


"เอ่อ คุณอัลวิน" ครูรินเอ่ยขึ้นกับคนข้างบ้าน "ผมช่วยออกค่าน้ำมันครับ"


"ไม่ต้อง" อัลวินตอบกลับในทันทีด้วยเสียงเรียบๆ


"เอาไปเถอะครับ"


ถ้านรินทร์มองไม่ผิด ดวงตาคู่คมของอีกฝ่ายมีร่องรอยเบื่อหน่ายเล็กน้อย แล้วคนสูงกว่าก็ว่าอีกรอบ


"ไม่ต้อง"


สั้น ห้วน กระชับ บ่งบอกว่าต่อให้นรินทร์ตื้อแค่ไหนก็ไม่ยินยอมเปลี่ยนใจ


นรินทร์ลอบถอนใจ คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้


อีกฝ่ายไม่ยอมรับเงินเขา ครูรินก็ไม่อยากคิดมาก ช่างมันก็ได้วะ ถือว่าได้นั่งรถฟรี


"งั้นก็ขอบคุณมากครับ ผมขอตัว"











 
พอแผ่นหลังบางในชุดเสื้อยืดสีเข้มห่างออกไปนอกเหนือระยะที่จะได้ยินแล้ว คนที่ยืนอยู่ข้างอัลวินก็เอ่ยถามเป็นภาษาจีนกวางตุ้ง ขณะสายตายังไม่ละไปจากผู้ซึ่งเดินออกไป


"ใครหรือ"


ได้ยินคำถาม อัลวินจึงมองตามไปยังคนที่โดนสงสัยเล็กน้อย นึกไปถึงใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ดูแล้วยังไม่น่าจบปริญญาได้ แต่แท้จริงแล้วอยู่ในวัยทำงาน


คนที่มีเด็กรายล้อมอยู่ตลอดเวลา


ครูรินไม่มีทางรู้ว่าช่วงเย็นที่เขาออกมานั่งทำอะไรจุกจิกนอกบ้านโดยมีเด็กๆ ตัวแสบอีกสามคนมาเล่นป่วนให้คนเป็นครูต้องคอยปรามเป็นระยะๆ ตกอยู่ในสายตาของคนข้างบ้านแทบทุกวัน


"คนที่อยู่บ้านข้างๆ" น้ำเสียงทุ้มต่ำตอบ คิดคำอธิบายอีกฝ่ายอยู่อึดใจ ก่อนกล่าวผ่านๆ อย่างไม่ใส่ใจ "เป็นครู พูดมาก ไม่มีภัยอะไร"


คนฟังได้ยินอย่างนี้ จึงได้เลิกจ้องเขม็ง แต่มิวายเอ่ย


"นายรู้ใช่ไหมว่าไม่ควร..."


"ไม่ควรสุงสิงกับใคร ฉันรู้ ไม่ต้องให้นายมาย้ำ" นัยน์ตาคมตวัดมองวูบอย่างไม่พอใจเท่าไหร่ ขณะเดินเข้าไปในภัตตาคาร


พนักงานออกมายิ้มแย้มต้อนรับ แล้วเชิญคนทั้งคู่ไปยังโต๊ะที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว


เมื่อนั่งลง สั่งอาหารเสร็จเรียบร้อย ชายผมดำจึงกล่าวขึ้น


"นี่ยาครีมที่ฝากซื้อ เป็นอะไรมากหรือเปล่า"


"แค่ผื่นแดง น่าจะแพ้อะไรซักอย่าง ไม่น้ำก็แมลง"


"ให้ย้ายที่อยู่ไหม"


"ไม่ต้อง อย่าทำอะไรยุ่งยาก" อัลวินตักเตือน "แค่นี้ฉันอยู่ได้"


อีกฝ่ายก้มหัวรับคำ ก่อนหยิบเอกสารบางอย่างออกมาจากกระเป๋าหนังส่งให้อัลวิน


"คืบหน้าแค่นี้?" เพียงแค่กวาดตาดูไม่เท่าไหร่ก็ว่าขึ้น


"งัดข้อกับนายหมอนั่นก็ต้องระวังตัวแจ"


อัลวินพยักหน้ารับ ไม่ได้กล่าวอะไรขึ้นเสริม นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นแววครุ่นคิดอย่างจริงจัง


ภายในใจชายผู้เป็นคนหาเอกสารมาแทบไม่รู้เลยว่าจะแก้ปัญหาเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ด้วยวิธีการใด


ทั้งคู่ตระหนักดีว่าต่อไปจะหนักหนากว่านี้ เสี่ยงกว่านี้ แต่คนตรงข้ามก็ยังคงความเยือกเย็นเอาไว้ได้อย่างทุกที ใบหน้าหล่อเหลานิ่งเฉย ในคณะที่สมองค่อยๆ ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ไม่รีบร้อน


ชายผมดำนิ่งสงบ รอคอยคำสั่ง ด้วยรู้ดีแก่ใจว่า...


คนอย่างอัลวิน จาง ไม่มีวันเจอทางตัน
















ฝนที่ตกพร่ำมาทั้งคืนหยุดลงแล้ว ทำให้อากาศยามเช้าแสนสดชื่นและเย็นฉ่ำ แสงอาทิตย์กระทบกับหยดน้ำที่เกาะพราวบนใบหญ้า เสียงนกร้องดังแว่ว หากมีจินตนาการแล้วอาจได้ยินเป็นทำนองเพลง


วันนี้นรินทร์พิถีพิถันในการแต่งตัวมากเป็นพิเศษ เขาอยู่ในชุดเสื้อพื้นเมืองสีขาวปักลายดอกหญ้า สวมกางเกงขายาวสีน้ำตาลที่ชาวบ้านเรียกติดปากว่าเตี่ยว ผมเส้นเล็กหวีเป็นทรงเรียบร้อยกว่าปกติ ใบหน้าเกลี้ยงเกลายิ้มแย้มผ่องใส


ผู้ปกครองที่มาส่งลูกหลานเข้าโรงเรียนต่างเอ่ยปากชมเปาะด้วยความชื่นชมระคนเอ็นดู


ธงไตรรงค์ปลิวสะบัดอยู่บนยอดเสาเมื่อเพลงชาติจบ มีนักเรียนกล่าวนำสวดมนต์ จากนั้นครูใหญ่ก็ขึ้นพูดอบรม


เมื่อกิจกรรมยามเช้าจบลงที่เวลาแปดโมงยี่สิบ เหล่าเด็กๆ จะต้องขึ้นห้องเรียน แต่วันนี้แตกต่างออกไปจากเดิม เด็กๆ ตั้งแถวเดินไปยังห้องประชุมที่เป็นหลังคาโดมเปิดโล่งแทน


วันพฤหัสบดีของเดือนมิถุนายนเป็นวันไหว้ครู


หลังจากครูใหญ่ก้าวขึ้นเวทีจุดธูปเทียน นมัสการพระพุทธรูปที่แท่นหมู่บูชาเสร็จ พิธีการก็เริ่มขึ้น มีการสวดมนต์ จากนั้นก็เจิมหนังสือเพื่อความเป็นสิริมงคล


ครูรินนั่งยังเก้าอี้หน้าเวที สีหน้าอิ่มเอิม นัยน์ตาคู่สวยเป็นประกายความสุข


นักเรียนหญิงชั้นปอหกแต่งกายเรียบร้อยถูกระเบียบเป็นผู้นำบทสวดคำกล่าวไหว้ครูทำนองสรภัญญะ เสียงใสๆ ขึ้นต้นอย่างไพเราะเสียงดังฟังชัด


"...ปาเจราจริยาโหนติ  คุณุตตรานุสาสกา..."
   

ข้าขอประณตน้อมสักการ...
บูรพคณาจารย์ผู้กอรปประโยชน์ศึกษา...



เสียงเด็กๆ นับร้อยร้องรับพร้อมเพรียงกัน เกิดเป็นเสียงกังวานก้องโดยไม่ต้องใช้เครื่องขยายเสียงใดๆ นักเรียนทุกคนต่างยืนตัวตรงนิ่ง ตั้งใจอ้าปากร้องตามคนนำ ทำนองเป็นจังหวะจะโคนไพเราะกว่าบทเพลงอื่นใดในความคิดของนรินทร์


ก่อเกิดบรรยากาศเปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์


ครูรินมองภาพที่มีมนต์เสน่ห์ตรงหน้า ริมฝีปากบางคลี่เป็นรอยยิ้มกว้างอย่างปลื้มปิติ ซึมซับความตั้งใจของเด็กๆ สลักลึกลงในใจ ในอกอุ่นวาบ เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจของคนเป็นครู


ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี ประโยชน์ทวี...
แก่ชาติและประเทศไทยเทอญฯ...


"...ปัญญาวุฒิกเร เต เต ทินโนวาเท นมามิหัง..."


บทสวดไหว้ครูจบลง ตามต่อมาด้วยคำปฏิญาณตน เสียงดังฮึกเหิม


เราคนไทย ใจกตัญญ รู้คุณชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
เรานักเรียน จะต้องประพฤติตนให้อยู่ในระเบียบวินัยของโรงเรียน
เรานักเรียน จะต้องไม่ทำตนให้เป็นที่เดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น


โต๊ะตัวยาวข้างเวทีมีพานไหว้ครูวางเรียงกันสวยสดงดงาม แม้บางพานจะปักดอกไม้เบี้ยว บางพานจะปักธูปเทียนเอียงกะเท่เร่ ก็ไม่มีครูคนไหนว่า กลับมองว่าสวยที่สุดเพราะเป็นฝีมือของลูกศิษย์


ตัวแทนนักเรียนของแต่ละห้องเข้าแถวเรียงกันไปหยิบพานของห้องตัวเอง


นรินทร์อมยิ้มมองเจ้าจัน ลูกศิษย์ห้องของเขาถือพานธูปเทียนเดินเข้ามาใกล้ คุกเข่าลง แล้วเดินเข่าเข้ามาด้วยท่าทางขยุกขยิกเหมือนเจ้าตัวจะไม่ถนัด ครูรินเลยแอบหัวเราะกึกๆ ภาวนาให้เจ้าเด็กแสบไม่เสียการทรงตัวล้มลงไปเสียก่อน


ในที่สุดจันก็ส่งพานถึงมือเขาโดยที่ไม่คว่ำได้สำเร็จ ก่อนจะก้มลงกราบอย่างคล่องแคล่วตามลำดับที่เคยซักซ้อมมาก่อน


เงยหน้าขึ้นมายิ้มแป้น พนมมือไหว้ "ขอให้ครูรินใจดี เลิกบ่นนะค้าบบบ"


นรินทร์ปากกระตุก เจ้าเด็กคนนี้นี่นะ ทำเอาเขาหายซึ้งเลย


เขากวักมือให้จันเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะยื่นมือไปลูบหัวเล็กๆ


แล้วโยกไปมาอย่างหมั่นเขี้ยว


"จะให้ครูเลิกบ่น ก็ต้องเป็นเด็กดีก่อน เลิกดื้อ เลิกซน ทำได้ไหม" เขาแกล้งถาม


"ของง่ายๆ!" เจ้าจันว่า


"แล้วจะรอดู" นรินทร์หัวเราะ ก้มหน้าลงไปใกล้ๆ นักเรียนตัวผอม ก่อนจะกล่าวอวยพร "ครูขอให้จันเรียนเก่งๆ เป็นเด็กดีของคุณพ่อคุณแม่ เป็นศิษย์ที่ดีของคุณครู"


"แล้วยายล่ะ" จันทวง


ครูรินยิ้ม ด้วยรู้จักครอบครัวของจันเป็นอย่างดี พ่อแม่ของจันทำงานอยู่ต่างจังหวัด นานๆ ทีจะกลับมาหาลูก พวกเขาฝากจันไว้ให้ยายดูแล ในบ้านเล็กๆ เลยมีจันอยู่กับคุณยายแค่สองคน


"เป็นหลานที่ดีของคุณยายด้วย" ครูรินว่า 


"ค้าบบบ!" จันรับคำเสียงดัง 


หลังจบพิธีการทั้งหมด คุณครูก็พานักเรียนแยกย้ายกลับไปตามห้องเรียน แล้วถึงเป็นพิธีเล็กๆ ระหว่างคุณครูกับลูกศิษย์


เด็กๆ ต่อแถวเอาดอกเข็มช่อเล็กๆ กับธูปเทียนเข้ามาไหว้ครูทีละคนๆ นรินทร์ลูบหัวและอวยพรให้กับนักเรียนห้องของเขาด้วยความปรารถนาดีจนครบทุกคน







ครูรินยิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดีทั้งวันด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ เขากลับมาบ้านในตอนเย็นพร้อมกับถุงใส่ดอกไม้ของเด็กๆ หนึ่งถุงใหญ่ ยังไม่ทันได้ทำอะไรต่อเสียงเล็กๆ อันคุ้นเคยก็ดังมาจากหน้าบ้าน


"ครูรินนน!"


เสียงฝีเท้าดังตึงตัง มาพร้อมกับการปรากฏตัวของสามแสบ จัน เนม โม


เด็กทั้งสามมาหาเขาเร็วกว่าทุกวัน ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อนักเรียนยับๆ เพราะเล่นซนมาทั้งวันเป็นชุดธรรมดาอยู่บ้านเลยด้วยซ้ำ   


"ปลาปีก้ากินพาราโหนติ" มาถึงจันก็ร้องเป็นเพลงเสียงเพี้ยนๆ ทำนองปาเจราจริยาโหนติ คาดว่าจะคิดเนื้อร้องขึ้นมาเอง


"ครูริน หนูมาไหว้ครูริน" เด็กหญิงโมชูไม้ชูมือ


"วันนี้เป็นวันครูใหญ่ ท้องฟ้าแจ่มใสพาใจสุขสันต์" จันร้องเพลงที่แปลงขึ้นอีกแล้วเต้นไปด้วย


"ผมก็มาไหว้ครูริน" เด็กชายเนมว่า


"ครูบาอาจารย์ที่ท่านประทานความรู้มาให้ อยากกินผัดไท แคบหมูกรอบกรอบ โรตี" ส่วนจันยังไม่หยุดร้อง เอาเพลงที่เปิดคลอทั้งพักกลางวันมามั่วเนื้อร้องซะเสียหาย


"จัน หยุดร้องเพลงก่อน" ครูรินแทบกุมขมับ พูดปรามเจ้าตัวแสบ ก่อนเอ่ยเสียงนิ่มขึ้น "โมกับเนม จะมาไหว้ครูหรือ"


โมอยู่ปอหนึ่ง เนมอยู่ปอสอง ไม่ได้เรียนกับครูรินที่สอนอยู่ปอสามอย่างจัน เลยยังไม่ได้ไหว้เขาที่โรงเรียน ไม่นึกเลยว่าเจ้าเด็กพวกนี้จะยังไม่ลืม เลิกเรียนก็ตรงรี่มาบ้านเขาเลยทีเดียว


"ใช่ค่ะ หนูเอาดอกเข็มกับหญ้าแพรกมาให้"


"เนมเอาข้าวตอกกับดอกมะเขือมาด้วย"


ร่างเล็กๆ ของเด็กหญิงกับร่างตุ้ยนุ้ยของเด็กชายเอาของที่ว่ามาให้ครูริน ของสี่อย่างล้วนเป็นสัญลักษณ์วันไหว้ครู คาดว่าผู้ปกครองคงหามาให้เด็กๆ นำมาไหว้เขา เจ้าพวกนี้คงไม่รู้ด้วยตัวเองหรอก แต่นรินทร์ก็ยังใจพองโตที่เด็กๆ เอามาให้ เขายิ้มอย่างดีใจ


เนมกับโมพนมมือไหว้ นรินทร์กล่าวอวยพรให้ยาว


"รู้หรือเปล่าว่าดอกเข็ม หญ้าแพรก ข้าวตอก และดอกมะเขือหมายความว่ายังไง" เขาถามเด็กๆ


"รู้ๆ ผมรู้!" จันยกมืออย่างกระตือรือร้น ก่อนจะร่าย "หญ้าแพรกเอาไว้คลุมดิน ข้าวตอกเอาไว้กิน!"


"ครูหมายถึงความหมาย ไม่ใช่เอาไว้ทำอะไร" นรินทร์ส่ายหน้า 


"ความหมายอะไร" จันยังคงไม่เข้าใจ


ครูรินยิ้มๆ ว่าแล้วว่าต้องไม่รู้ เขาเริ่มเล่าให้เด็กๆ ฟัง "การไหว้ครู ที่ต้องเอาดอกเข็ม หญ้าแพรก ข้าวตอก กับดอกมะเขือมาไหว้ ล้วนมีความหมายแฝงอยู่" เขาอธิบาย "ดอกเข็ม จะเห็นว่าเวลายังไม่บานจะเป็นดอกแหลมๆ ใช่ไหม แสดงถึงว่าครูต้องการสอนให้นักเรียนรู้จักคิด วิเคราะห์ เป็นคนฉลาดหลักแหลม ส่วนหญ้าแพรก เป็นหญ้าที่ทนความแห้งแล้งได้ ถึงเราจะไม่ได้รดน้ำ ไปเดินเหยียบมัน หญ้าแพรกก็ยังไม่ตาย แถมเวลาที่ได้รับน้ำ ก็จะแตกยอด เจริญงอกงาม ก็เหมือนกับครูที่ต้องเข้มแข็ง ถึงเด็กๆ จะดื้อแค่ไหนก็ไม่ยอมแพ้ และต้องสอนให้เด็กๆ มีความอดทนด้วย" 


"อย่างนี้นี่เอง!" จันพยักหน้าหงึกหงัก


"แล้วดอกมะเขือล่ะคะ"


"โมเห็นดอกมะเขือที่อยู่บนต้นไหม ดอกของมันจะโน้มลงมาเสมอ แสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน"


"แล้วข้าวตอก?" จันถามบ้าง


"ข้าวตอกคือเมล็ดขาวสารที่เอาไปคั่ว เวลาข้าวโดนความร้อนก็จะพองตัวแตกออกมา มีกลิ่นหอม"


"แตกเหมือนเมล็ดต้อยติ่งเหรอ" เนมตาโต


"อืม คล้ายๆ กันมั้ง เมล็ดต้อยติ่งเอาไปใส่น้ำก็จะแตก ส่วนข้าวพอโดนความร้อนถึงจะแตก เรียกว่าข้าวตอก" ครูรินว่า "ก็เหมือนกับการที่ครูต้องสอนหนังสือให้เด็กๆ จากเดิมที่ไม่มีความรู้ ให้เด็กๆ เปลี่ยนแปลงเป็นคนมีวิชาความรู้เอาไปใช้ในการดำรงชีวิต"


"ครูจะเอาหนูไปคั่วเหรอ ก็ร้อนแย่สิ" โมถามตาใส่


"ไม่ใช่สิ อ่า...ครูก็แค่เปรียบเทียบกัน"


"ไม่เห็นเข้าใจเลย" 


"อื้ม" ครูรินนิ่งคิด อธิบายยากจัง เด็กๆ ยังเล็กอยู่ ไม่รู้จักการเปรียบเปรยเสียด้วย เขาเลยได้แต่พูดว่า "เดี๋ยวโตขึ้นก็เข้าใจเอง"


"ยายก็ชอบพูดแบบนี้ แล้วต้องโตขนาดไหนถึงจะเข้าใจ" จันบ่นอุบ


"แต่ละคนจะเข้าใจช้าเข้าใจเร็วไม่เท่ากัน ถ้าอยากเข้าใจเร็วๆ ก็อ่านหนังสือให้มากๆ" นรินทร์ถือโอกาสสั่งสอน


"แล้วคนที่อ่านหนังสือไม่ออก เขาก็ไม่เข้าใจสิ" จันแย้งขึ้นมา


ครูรินถึงกับต้องอึ้งไปชั่วครู่ ถึงจะค่อยคิดหาวิธีแก้ไขคำพูดตัวเอง ให้เจ้าเด็กช่างถามอย่างจันเข้าใจ


และแล้วเสียงหัวเราะใสๆ สลับกับเสียงห้ามปรามของคนเป็นครูก็ดังขึ้นจากบ้านไม้หลังเล็กอย่างทุกที


































TBC




ตอนเด็กๆ จำได้ว่าเราชอบร้องเพลงปาเจรามาก วันครูวนมาทีไร กลับบ้านมาก็ยังร้องไม่หยุด ทำนองมันไพเราะ แอบอิจฉาคนที่ได้นำร้องบนเวทีด้วยนะ แบบคิดว่าเราก็ร้องเพราะจะตายแต่ทำไมไม่ได้รับเลือกบ้าง โตมาคิดๆ ดูแล้วก็ตลกตัวเอง หลงตัวเองชะมัด ฮ่าาาา


 

 
 
 
 
 
 




หัวข้อ: Re: ❥ เพื่อ ให้ รัก ริน [บทที่ 2 15/7/2017]
เริ่มหัวข้อโดย: Vi-o-let ที่ 16-07-2017 11:22:22
คุณอัลวินเป็นใครกันแน่เนี่ยยย
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 4 P.1] 23/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: JAMNIN ที่ 23-07-2017 12:48:25
4


ความช่วยเหลือ



"เขมทัต"


"มาค้าบ!"


"จิรวิน"


เงียบ


"จิรวิน"


นรินทร์เงยหน้าขึ้นมาจากใบเช็คชื่อเมื่อไม่มีเสียงขานรับอย่างกระตือรือร้นอย่างทุกวัน ก่อนมองไปยังโต๊ะตัวหน้าริมหน้าต่างที่วันนี้ว่างเปล่า ไม่มีตัวผอมแห้งของเจ้าตัวแสบ


เจ้าจันไม่มาเรียน


หรือว่าจะป่วย


ตอนเย็นคงต้องแวะไปหาที่บ้านจันซักหน่อย ถึงจะแสบไปนิด แต่จันไม่ใช่เด็กขี้เกียจจนอิดออดไม่มาเรียน ถ้าป่วยจะได้ไปเยี่ยมไข้ ดูอาการด้วยว่าเป็นหนักหรือเปล่า


ครูรินเขียนลงไปท้ายชื่อเด็กชายจิรวินว่า ป. ก็คือป่วย ก่อนจะไล่ชื่อเด็กคนถัดไป


เช็คชื่อครบทุกคนแล้ว เขาก็หยิบแปรงลบกระดานลบวันที่บนกระดานดำ ก่อนจะใช้ช็อกสีขาวเขียนลายมือตัวบรรจงลงไปใหม่


วันจันทร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕xx


"เอาล่ะ หยิบหนังสือขึ้นมา เปิดไปหน้ายี่สิบ ครูจะทบทวนที่เรียนไปครั้งที่แล้วก่อนนะ..."


แล้วการเรียนการสอนในคาบแรกก็เริ่มต้นขึ้น








นรินทร์รีบทานอาหารกลางวันในห้องพักครูด้วยความรวดเร็ว เนื่องจากเขาเป็นเวรต้องลงไปเดินตรวจตราและดูแลเด็กๆ ยามพักกลางวัน


"ผมลงไปดูเด็กก่อนนะพี่" เขากล่าวกับครูเมธินีที่ยังทานข้าวไม่เสร็จ


"เอาฝรั่งหน่อยมั้ย" ครูเมย์ยื่นจานผลไม้มาให้


"อื้ม หวานดีนะพี่" นรินทร์ว่าหลังจากหยิบขึ้นมากินหนึ่งชิ้น ก่อนจะหยิบอีกชิ้นเข้าปาก ดื่มน้ำในแก้วเซรามิกล้างปาก แล้วเดินออกมาจากห้อง


เสียงเด็กๆ เล่นกันดังเจี๊ยวจ๊าว สนามหญ้าของโรงเรียนมีเด็กผู้ชายเตะฟุตบอลกันอยู่ท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆ ของประเทศไทย ที่นรินทร์เห็นแล้วก็เป็นห่วงว่าเด็กๆ อาจจะเป็นลมแดด แต่ก็ห้ามไม่ให้เล่นไม่ได้ จึงได้แต่กวาดตามองเป็นระยะๆ เผื่อมีใครเป็นอะไรจะได้เข้าไปช่วยเหลือได้ทัน ในขณะที่เด็กผู้หญิงจับกลุ่มกันเล่นกระโดดยางอยู่ใต้ร่มเงาของต้นทองกวาว บางส่วนก็นั่งอยู่ตรงระเบียงชั้นหนึ่งของตึกเรียน เล่นหมากเก็บกัน


นรินทร์เดินไปทั่ว หยุดคุยกับนักเรียนบ้าง แวะเข้าไปตักเตือนบ้าง เข้าไปช่วยเด็กๆ ชมรมเกษตรย้ายกระถางต้นไม้ที่โรงเรือนขนาดเล็กท้ายโรงเรียน ก่อนจะเดินเอื่อยๆ ออกมา


"นายขอเล่นเองนะ!!"


เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น เรียกความสนใจให้นรินทร์รีบเข้าไปดู ก่อนจะพบว่าเป็นกลุ่มเด็กที่เขารู้จักเป็นอย่างดี


เด็กพวกนี้อยู่ปอสี่ เมื่อปีที่แล้วตอนอยู่ปอสามนรินทร์เป็นครูประจำชั้น


เด็กชายหญิงเจ็ดแปดคนยืนกันเป็นกลุ่ม ประชันหน้ากับเด็กผู้ชายใส่แว่นคนหนึ่งที่ยืนอยู่คนเดียว 


"เกิดอะไรขึ้น ขม ยอด!" นรินทร์ตัดสินใจเรียกชื่อเด็กผู้ชายตัวโตสุดที่ยืนอยู่หน้ากลุ่มเด็กๆ กับเด็กชายผู้ยืนอยู่อีกฝากเดี่ยวๆ เนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อ ดวงตาใต้กรอบแว่นแดงก่ำ


"ไอ้ยอดมันขอผมเล่นซ่อนแอบ" เด็กที่ชื่อขมตอบ


นรินทร์ขมวดคิ้ว "แล้วไม่ให้เพื่อเล่นด้วยเหรอ"


"ให้เล่นแล้ว!"


"แล้วทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ"


"ก็ไอ้ยอดน่ะสิ โดนแปะต้องเป็นใหม่ก็ไม่ยอมเป็น" ขมว่าด้วยใบหน้าหงุดหงิด โดยมีคนอื่นข้างหลังพยักหน้า


นรินทร์มองดูท่าทีเด็กๆ แล้วจึงหันไปหายอดบ้าง ก่อนถาม "ทำไมไม่ยอมเป็นล่ะยอด ตามกติกาเล่นซ่อนแอบ ถ้าคนหาโดนแปะก็ต้องเป็นคนหาใหม่อีกตาไม่ใช่เหรอ"


"ไม่ยอมเป็นแล้ว!" ยอดตะโกนเสียงดัง ใบหน้าแสดงความโมโห


ครูรินเห็นสถานการณ์ไม่ปกติจึงทำหน้าดุ "เรื่องมันเป็นยังไงมาไง ใครจะเล่าให้ครูฟังได้บ้าง"


เด็กกลุ่มใหญ่ไม่มีใครพูด ก่อนจะมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มที่นรินทร์รู้ว่าเป็นหัวหน้าห้องกล่าวขึ้นมาอย่างอึกอัก "คะ...ครูริน"


นรินทร์คลายสีหน้าลงเพื่อไม่ให้เด็กหญิงกลัว "เล่าให้ครูฟังหน่อย"


"พวกเราเล่นกันอยู่ก่อน แล้วยอดก็มาขอเล่นด้วย ขมไม่ให้เล่น แต่ยอดตื้อ ขมเลยให้ยอดเป็นคนหา ขมบอกให้เพื่อนๆ ช่วยกันแปะยอด ให้ยอดเป็นคนหาทุกตา" เด็กหญิงเล่า


"ไอ้ขี้ฟ้อง!" ขมคำราม


เด็กหญิงตกใจรีบวิ่งมาหลบข้างหลังครูริน แล้วโผล่หน้ามาพูด "เราพูดความจริง เราห้ามนายแล้ว แกล้งเพื่อนไม่ดี!"


"ยอดเป็นคนหามากี่ตาแล้ว" ครูรินถาม


"ห้า...หก หนูไม่รู้"


นรินทร์ถอนหายใจ แสดงว่าหลายตา ยอดจะโมโหก็ไม่แปลก เขาเข้าไปหาเด็กชายใส่แว่น ใช้มือลูบหัว ค่อยๆ คลายมือที่กำแน่นของยอดออก


เด็กชายยอดเข้ากับเพื่อนๆ ไม่ได้


นรินทร์รู้ถึงความจริงข้อนี้ตอนย่างเข้าเดือนที่สองที่เขาสอนเด็กๆ กลุ่มนี้เมื่อปีก่อน


ยอดเป็นเด็กที่มีบุคลิกค่อนข้างแตกต่างไปจากเด็กคนอื่นๆ ครูรินไม่ใช้คำว่ายอดเป็นเด็กแปลกๆ เพราะรู้ดีว่าเด็กแต่ละคนก็มีการแสดงออกไม่เหมือนกัน ยอดค่อนข้างหัวช้า ไม่ค่อยพูดจากับใครก่อน ถ้ามีคนพูดด้วยถึงจะคุยตอบ แต่เพื่อนๆ บอกว่ายอดพูดไม่รู้เรื่อง


เพื่อนๆ เริ่มไม่คุยกับยอด พอนานเข้าก็ไม่ยอมเล่นกับยอดด้วย มีการกลั่นแกล้งและล้อเลียนเกิดขึ้น   


เมื่อครูรินทราบเรื่อง จึงเข้าไปคุยกับยอด แล้วถึงรู้ว่าไม่ใช่ยอดคุยกับเพื่อนๆ ไม่รู้เรื่อง แต่เด็กชายมีความสนใจแตกต่างจากเด็กๆ คนอื่นในวัยเดียวกัน จึงไม่รู้จะคุยกับเพื่อนอย่างไร ยอดไม่ดูการ์ตูน ไม่เล่นเกม เด็กชายชอบดูแผนที่ ชอบศึกษาเส้นทาง วันหยุดพ่อแม่จะพายอดไปเที่ยวที่ต่างๆ


ถึงยอดจะหัวช้าเรื่องการเรียน แต่ถ้าถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ หรือให้บอกชื่อประเทศต่างๆ เด็กคนนี้รู้ดีกว่าครูรินเสียอีก


ด้วยเหตุนี้จึงเกิดปัญหา...


คนเรามักจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนที่ตนเองคิดว่าไม่ปกติ


นรินทร์ย่อมเคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน ตอนประถมเขาจำไม่ได้ว่ามีหรือเปล่า แต่ตอนเขาเรียนมัธยม ไม่ว่าจะเป็นมอต้นหรือมอปลาย จะมีคนหนึ่งในห้องที่ไม่มีใครคบ คนคนนี้มักจะมีบุคลิกผิดแปลกไปจากคนอื่นๆ โดนเพื่อนตราหน้าว่าเป็นคนแปลกๆ ไม่มีใครเข้าไปยุ่งด้วย ถึงจะมีบางคนที่ไม่ได้คิดเช่นนั้น เข้าไปพูดคุยกับเพื่อนคนนั้น แต่ไม่นานก็ต้องถอยห่างออกมา เพราะกลัวจะโดนคนส่วนใหญ่ในห้องเหมารวมไปว่าเป็นพวกแปลกแยกเช่นเดียวกัน 


ในตอนนั้น นรินทร์ก็เป็นคนที่ตามกระแสสังคมของคนส่วนใหญ่


เขาเคยคิดในมุมมองของคนที่เพื่อนไม่คบ คงเหงา เสียใจ โดดเดี่ยว เขาเคยสงสารเพื่อนคนนั้น แต่ความรู้สึกเช่นนี้ก็ค่อยๆ หายไป


พอจบออกมาทำงาน เจอปัญหานี้กับเด็กนักเรียนของตัวเอง นรินทร์ถึงตระหนักได้


ยากเหลือเกินที่จะเปลี่ยนความคิดใครได้ เขาอาจจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทำตัวเหมือนตอนมัธยม ไม่สนใจ ไม่ยุ่งเกี่ยวก็ได้


แต่นรินทร์ไม่ยอมปล่อยให้เรื่องแบบนี้ผ่านเลยไปอีกแล้ว ในเมื่อเขาเป็นครู เป็นคนสอนสั่ง ปลูกฝังความคิดให้กับเด็กๆ เขาจะต้องสอนให้เด็กๆ เข้าใจเพื่อนให้ได้


ครูรินค่อยๆ อธิบายให้เด็กๆ เปิดใจยอมรับ


เรื่องเริ่มดีขึ้น เพื่อนๆ เริ่มคุยกับยอด ยอมให้ยอดเล่นด้วย กว่าจะถึงขั้นนี้ครูรินต้องพยายามอย่างหนัก


ทว่าก็ยังมีบางคนที่ต่อต้าน


เด็กชายขมไม่ชอบยอด ด้วยความที่ตัวใหญ่ เป็นหัวโจก จึงมีอำนาจสั่งให้เพื่อนแกล้งคนที่ไม่ชอบขี้หน้าได้


"ขม แกล้งเพื่อนจริงหรือเปล่า" นรินทร์มองหน้าเด็กชายตัวใหญ่ ถามเจ้าตัวอีกทีโดยไม่รีบตัดสินจากคำพูดของเด็กหญิง


"ผมเปล่า" ขมไม่สบตาครูริน


"ขม..."


"ก็ได้ ก็ได้ ผมแกล้งมัน ก็ไม่อยากให้มันมาเล่นด้วยนี่!"


"ทำไมถึงไม่อยากให้ยอดเล่นด้วยล่ะ"


"ก็..." เด็กชายอึกอัก หาเหตุผล "ผมไม่ชอบมัน"


"ขม นั่นไม่ใช่เหตุผล ขมต้องคิดถึงใจเขาใจเราบ้าง ถ้าขมเป็นยอด ขมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ขมจะเสียใจไหมที่โดนเพื่อนไม่ชอบ ขมแค่อยากเล่นกับเพื่อนๆ ขมจะน้อยใจไหมถ้าเพื่อนไม่ให้เล่นด้วย ขมจะโมโหไหมถ้าโดนเพื่อนๆ หลายคนรุมแกล้ง"


นรินทร์เว้นจังหวะ มองท่าทางขมไปด้วย เขาไม่ต้องการให้เด็กชายตัวโตตอบ เขาแค่พยายามให้ขมคิดตาม แล้วมองไปยังเด็กคนอื่น


"พวกเราก็เหมือนกัน ไม่ควรแกล้งเพื่อน เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ กติกาในโรงเรียน ไม่แกล้งเพื่อน ไม่ทะเลาะกัน ทุกคนจะได้มีความสุข"


เด็กๆ ต่างพากันก้มหน้า


เสียงออดดังขึ้นบ่งบอกว่าหมดเวลาพักกลางวัน


ใจจริงนรินทร์อยากจะสั่งสอนให้มากกว่านี้ แต่จะเบียดบังเวลาเรียนของเด็กๆ จนไปเข้าเรียนคาบต่อไปสาย


"ทำผิดก็ต้องขอโทษ ขอโทษเพื่อนนะ" ครูรินบอก


"ขอโทษนะยอด" เด็กหญิงหัวหน้าห้องบอกเป็นคนแรก


"ขอโทษ" แล้วเพื่อนๆ จึงค่อยๆ บอกเสียงอ่อย


"ขอโทษแล้วกัน" ขมกล่าว เหมือนพูดไปงั้นๆ


นรินทร์เข้าใจดีว่าปัญหานี้ยังไม่คลี่คลาย แต่ทุกอย่างต้องใช้เวลา ขมยอมขอโทษยอด แม้จะดูไม่ค่อยเต็มใจแต่ก็ถือว่าเริ่มดีขึ้นแล้ว


"ไม่เป็นไรแล้วนะยอด อย่าโกรธเพื่อนๆ เลยนะ" นรินทร์บอกกับเด็กชายตัวเล็กใส่แว่นที่ดูหายโมโหแล้ว แต่ยังคงตาแดงๆ "เพื่อนขอโทษแล้ว ให้อภัยเพื่อนนะ"


ยอดพยักหน้าเบาๆ นรินทร์ยิ้มให้ ก่อนบอกกับเด็กๆ


"เอาล่ะ ไปเรียนกันได้แล้ว"










นรินทร์เดินผ่านหน้าบ้านอัลวินเพื่อจะไปยังบ้านของจัน มีรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน เขาไม่เคยเห็นรถคันนี้มาก่อน คงไม่ใช่รถคนแถวนี้


อาจจะมีใครมาหาอัลวิน เพื่อนหน้าตายคนนั้นหรือเปล่านะ


แล้วนี่จะไปยุ่งเรื่องคนอื่นทำไมเนี่ย ครูรินส่ายหน้ากับตัวเอง เลิกมองไปยังบ้านอัลวิน แล้วเดินต่อ


เมื่อมาถึงบ้านจัน ยายแจ่ม คุณยายของจันออกมาต้อนรับ


"ครูริน มาๆ เข้ามาก่อน" หญิงร่างเล็กวัยห้าสิบกว่าว่า แล้วเดินนำนรินทร์เข้าไปในบ้าน


"ผมเห็นว่าจันไม่มาโรงเรียนเลยมาหา ไม่สบายหรือเปล่าครับ"


"เมื่อเช้ามันบ่นปวดหัว ยายเลยไม่ให้มันไปเรียน"


"ไม่เป็นไรครับ ป่วยให้นอนพักอยู่บ้านดีแล้ว วันนี้ก็ไม่มีการบ้านอะไร"


นรินทร์ได้ยินเสียงโทรทัศน์ และเมื่อมองไปจึงเห็นคนที่บอกว่าป่วยนอนบนโซฟา กอดหมอนดูการ์ตูนตาแป๋ว


เจ้าจันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเมื่อเห็นตัวการ์ตูนทำอะไรตลกๆ ก็ดูสนุกสนานเหมือนทุกที ไหนว่าป่วย


"อ้าว ครูริน" จันหันมาเห็นเขาก็ร้องทัก "มาทำไม"


นรินทร์กอดอก ตีหน้าโหด "มาดูเด็กป่วยที่ดูการ์ตูนอย่างสบายใจ"


"ก็มันสนุก" 


ครูรินเลิกคิ้ว "ไหนว่าปวดหัว ไม่นอนพักหรือไง"


"หายแล้ว" จันว่า ก่อนจะพูดเสียงมั่นอกมั่นใจ "ถึงป่วยอยู่ก็ดูการ์ตูนได้ ผมนอนดู ไม่ได้นั่งดูซักหน่อย"


ดูมัน ทำมาเป็นโมเมว่านอนพักกับนอนดูการ์ตูนทดแทนกันได้


"หายแล้วก็ดี อย่าดูการ์ตูนมาก อ่านอังกฤษหน้าคำศัพท์บทที่สามด้วย เดี๋ยวเรียนไม่ทันเพื่อน" คุณครูสั่ง


"เรียนทันอยู่แล้ว ผมเก่ง"


นรินทร์หัวเราะหึๆ ไอ้เด็กขี้โม้เอ้ย


"งั้นครูไปแล้วนะ"


เห็นว่าไม่เป็นอะไรแล้วก็กลับล่ะ พรุ่งนี้เจ้าเด็กนี่คงไปโรงเรียนตามปกติ


"มาแค่นี้เหรอ" จันถาม


"ก็แค่นี้น่ะสิ" ครูรินว่า จันเลยยกมือไหว้สวัสดี นรินทร์กล่าวลายายแจ่มแล้วเดินกลับบ้าน


โมกับเนมไม่มาป่วน สงสัยมีการบ้านเยอะ หรือไม่ก็เล่นอยู่ที่บ้านตัวเอง


นรินทร์เปิดคอมพิวเตอร์เข้าอินเทอร์เน็ต เขาเปิดอีเมลดูก็พบว่าได้รับงานใหม่ นอกจากสอนหนังสือเด็กๆ ครูรินยังชอบอ่านหนังสือเขียนหนังสืออีกด้วย จึงรับงานแปลบทความจากภาษาอังกฤษเป็นไทยเป็นรายได้เสริม


ไม่มีการบ้านต้องตรวจ เขาจึงทำงานแปลทันที พอจมอยู่กับหน้าคอมพิวเตอร์ มือพิมพ์งานไปด้วยก็เหมือนตัดตัวเองออกจากสิ่งภายนอก เขาแปลไป เปิดดิกชันนารีไปพลาง หยุดพักเรียบเรียงภาษาไปพลาง กว่าจะหันไปมองนาฬิกาอีกทีเข็มก็ชี้ไปยังเลขสิบเอ็ด ห้าทุ่มแล้วหรือนี่


นรินทร์เซฟงาน ปิดคอม ก่อนลุกจากเก้าอี้ไปอาบน้ำ


ขณะเช็ดผมอยู่ยายของจันก็โทรเข้ามา ครูรินหยิบขึ้นมากดรับสาย


"ฮัลโหลครับ"


"ครูริน!" เสียงคุณยายตื่นตระหนกมาก "ไอ้จันมันเป็นอะไรก็ไม่รู้!"


นรินทร์ตกอกตกใจตามไปแล้ว "เป็นอะไรครับ!?"


"น้ำลายไหลไม่หยุด เรียกก็ไม่ตื่น!" ยายแจ่มเสียงสั่น "ทำไงดี!"


"คุณยายใจเย็นๆ นะครับ" นรินทร์ปลอบ แม้ตัวเองจะตกใจเหมือนกันที่ได้ยินเช่นนี้ เขาพูดเร็วปรือ "ผมจะไปหาเดี๋ยวนี้เลยครับ!"


ไม่ทันคิดอะไร นรินทร์ก็รีบวิ่งออกจากบ้าน ฝ่าความมืดยามกลางคืนตรงไปยังบ้านของจัน ไปถึงประตูบ้านก็เปิดอยู่เหมือนเปิดรอเขาไว้แล้ว


"จัน จัน ตื่นสิลูก!"


ในห้องนอน คุณยายเขย่าแขนเล็กๆ อย่างร้อนรนและทำอะไรไม่ถูก


นรินทร์เห็นอาการของจันแล้วก็ตื่นตระหนก เจ้าเด็กที่เมื่อเย็นยังยิ้มแย้มคุยกับเขาได้อย่างดี บัดนี้กลับนอนไม่ได้สติ ที่มุมปากมีน้ำลายใสๆ ไหลย้อยลงมาจนผ้าปูหมอนเปียกชุ่มเป็นดวง มุมปากและคิ้วกระตุกถี่


ครูรินรีบปรี่เข้าไปช่วยยายแจ่มเรียกอีกเสียง แต่จันก็ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว


"อาการชัก!" เขาพูดอย่างเสียขวัญ


"ตายแล้ว ทำไงดี" คุณยายหันซ้ายหันขวา "ช้อน ต้องเอาช้อนให้มันกัด"


"ไม่ ไม่ต้องครับยาย ถ้ายิ่งใส่จะทำให้อาเจียนหรือสำลักได้"


ครูรินคิด พยายามตั้งสติ ต้องพา...ต้องพาจันไปโรงพยาบาล!


แต่เกือบเที่ยงคืนใครจะพาจันไปโรงพยาบาลได้ เขาเองก็ไม่มีรถยนต์เสียด้วย


"คุณยายตั้งสติก่อนครับ ต้องพาจันไปโรงพยาบาล เดี๋ยวผมตามคนมาช่วย!" นรินทร์ว่าก้าวขาจะออกจากบ้าน ยังดีที่สมองไม่โล่งจนเกินไปจึงหันไปสั่งกับยายแจ่ม "ยายเตรียมบัตรประชาชนของจันด้วยนะครับ เดี๋ยวผมมา!"


คงต้องไปรบกวนลุงขาม


สองขารีบวิ่งอย่างเร็วรี่ จากบ้านจันไปประมาณสี่ร้อยเมตรจึงจะถึงบ้านลุงขาม ดึกดื่นค่อนคืน บ้านลุงขามปิดสนิท ไม่เปิดไฟซักดวง ด้วยความร้อนใจครูรินจึงตะโกนเรียกอย่างไม่เกรงใจ ทว่าไม่มีใครตอบรับ โทรเข้าเบอร์บ้านก็ไม่มีคนรับ โทรเข้ามือถือก็ปิดเครื่องไปแล้ว หรือลุงขามกับเมียจะไม่อยู่


ทำไงดี ทำไงดี นรินทร์กระสับกระส่าย


เขาเป็นห่วงลูกศิษย์เป็นอย่างมาก กลัวว่าถ้าไม่รีบพาจันไปหาหมอให้เร็วที่สุดเด็กชายจะเป็นอะไรไป 


ต้องไปขอให้คนอื่นช่วย ครูรินพยายามนึกว่าเขาสนิทกับใครพอที่จะไปรบกวนยามวิกาลได้อีก


มีคนรู้จักที่มีรถยนต์แต่บ้านอยู่ห่างออกไปอีก ขืนวิ่งไปเสียเวลาแย่ เขาต้องกลับไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่บ้านขี่ไปขอความช่วยเหลือคงจะประหยัดเวลาได้มากกว่า


พื้นที่แถบนี้มีต้นไม้เยอะ อากาศตอนกลางคืนจึงหนาวเย็น แต่ใบหน้านรินทร์มีเหงื่อเกาะพราว เกิดจากการที่รีบวิ่งไปมาและความร้อนรนในใจ


ละแวกนี้ตอนดึกๆ ไม่ค่อยมีแสงไฟ พอใกล้ถึงบ้านอัลวินทางจึงสว่างขึ้น ไฟในบ้านยังเปิดอยู่ เจ้าของบ้านคงยังไม่นอน ครูรินมองปราดไปแวบเดียว รถยนต์คันเดียวกับที่เห็นในตอนเย็นยังจอดอยู่


นรินทร์หยุดกึก หรือว่าจะลองไปขอให้อัลวินช่วย...


ไม่ได้สนิทกันซักนิด รบกวนแย่


แต่ไม่ลองก็ไม่รู้...ถ้าอัลวินยอมช่วยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาขี่รถไปอีก


ในขณะที่ความคิดในใจเถียงกันอยู่ เขาก็พุ่งตรงไปเคาะประตูบ้านปังๆ แล้ว


ไม่กี่วินาทีต่อมา ประตูบ้านก็เปิดออกกว้าง พร้อมกับเจ้าของบ้านที่มองมาด้วยสีหน้าไม่ต้อนรับ จ้องมองเขาด้วยสายตาคมกริบ คิ้วขมวดเป็นปม


มาเคาะประตูปังๆ ในยามนี้ ใครจะเปิดประตูทำหน้าชื่นบานใส่ แต่เพราะคนที่ถูกรบกวนเป็นอัลวินด้วยล่ะมั้ง หน้าปกติก็แสนเย็นชาอยู่แล้วตอนนี้ยิ่งเย็นเยียบไปกว่าเก่า


นรินทร์กลืนน้ำลาย


"คุณอย่าเพิ่งว่าอะไรผมนะ ขอร้องล่ะ" เขาพูดประโยคนี้ออกไปก่อนโดยที่หอบเล็กๆ ด้วยความเหนื่อย รีบอธิบายสถานการณ์ "พอดีว่าลูกศิษย์ผมป่วย เป็น..." คำว่าชักภาษาอังกฤษคืออะไรวะ นึกไม่ออก เขาหัวหมุนติ้ว "คือว่า...อาการตอนนี้แย่มาก ต้องพาไปโรงพยาบาลด่วนเลย แต่ผมไม่มีรถยนต์ ไปหาลุงขามจะให้ช่วยพาไปลุงขามก็ไม่อยู่ ผมจะไปหาคนอื่น แต่บ้านก็อยู่ไกลออกไปอีก พอเห็นว่าคุณมีรถ..."


"หยุดพูดก่อน" อัลวินปราม


นรินทร์เห็นท่าทีอีกฝ่ายก็ใจเสีย "ผมรู้ว่ามันแย่มากที่มารบกวนคุณตอนนี้ แต่ขอร้อง ผมไม่อยากให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ คุณช่วยพาลูกศิษย์ผม..."


"คุณ หยุดพูดก่อน" อัลวินว่าซ้ำอีกรอบ


นรินทร์หยุดปาก คอตก


เขาคงต้องไปขอร้องคนอื่นซะแล้ว


"ผมคิดว่าผมเข้าใจแล้ว คุณไม่ต้องเสียเวลาอธิบายไปมากกว่านี้ คุณรอแป๊บนึง ผมไปเอากุญแจรถ"


นรินทร์เงยหน้าขึ้นมา ตาโต มองแผ่นหลังกว้างที่หายเข้าไปในบ้าน อึดใจเดียวไฟในบ้านก็ดับลง อัลวินออกมา ก้าวยาวๆ ไปเปิดประตูรถ รถยนต์คันนี้คงเป็นของอัลวิน


"ขึ้นรถสิคุณ" อัลวินเรียกคนที่ยังยืนนิ่งอยู่


"เอ่อ...ครับ"


รถเทียบท่าหน้าบ้านจัน ครูรินรีบลงไปอุ้มเด็กแปดขวบที่ยังไม่ได้สติเข้าไปยังเบาะหลังโดยมีอัลวินเปิดประตูให้ คุณยายตามมานั่งข้างหลังให้จันนอนหนุนตัก ส่วนนรินทร์นั่งข้างหน้า คอยบอกทางให้อัลวินที่เป็นคนขับไปเรื่อยๆ จนถึงโรงพยาบาล









จันปลอดภัยแล้ว...


จันหยุดชักตั้งแต่ขับรถไปได้ครึ่งทาง พอมาถึงโรงพยาบาล พยาบาลก็ซักถามอาการจันกับนรินทร์และคุณยาย ปรากฏว่าต้องให้จันนอนโรงพยาบาลเพื่อดูอาการต่อไป


ยายแจ่มกับครูรินเดินตามรถเข็ญที่เข็ญจันไปพักในห้องพักรวม เขามองใบหน้าที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลาซึ่งเต็มไปด้วยความสงสารหลานของคุณยาย ก่อนจะหันมามองจันที่หลับสนิท รู้สึกอาดูรอยู่ไม่น้อย


เด็กสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์อย่างจันไม่น่าชักขึ้นมาได้เลย


นรินทร์ลูบหัวจันเบาๆ ก่อนจะบอกกับยายแจ่ม "จันไม่เป็นไรแล้ว คุณยายไม่ต้องเป็นห่วง ผมออกไปหาคุณอัลวินก่อนนะครับ"


คุณยายพยักหน้ารับ นรินทร์จึงออกมาจากห้องพักผู้ป่วยรวม มองหาคนขับรถมาส่งที่คงจะยังรออยู่แถวนี้


"ขอบคุณมากนะครับ" นรินทร์กล่าว ทิ้งตัวนั่งยังเก้าอี้หน้าห้องพักข้างๆ อัลวินที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว


คนตัวใหญ่เพียงหันมามองเงียบๆ


พอเรื่องชวนให้ตระหนกผ่านพ้นไป ครูรินก็เกิดกระอักกระอ่วนขึ้นมาที่ไปรบกวนอัลวิน ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นคนต่างชาติเพิ่งมาอยู่ใหม่ ยังไม่คุ้นชินกับถนนหนทาง แต่ต้องให้ขับรถตอนดึกๆ ดื่นๆ มาโรงพยาบาล แล้วยังต้องให้มานั่งรอจนถึงป่านนี้


อีกอย่าง...จากการพบหน้ากันครั้งที่ผ่านมา เขาก็มองอัลวินในแง่ลบไปแล้ว พอได้อีกฝ่ายยื่นมือมาช่วยเหลืออย่างนี้ก็ทำให้ครูรินแอบละอายใจ


"คุณกลับไปก่อนก็ได้นะ" นรินทร์พูดเสียงเบา


"แล้วคุณจะกลับยังไง" อัลวินถามเสียงเรียบ


"เดี๋ยว..." นรินทร์นิ่งคิด เกาแก้มเก้อๆ "เดี๋ยวตอนเช้า ค่อยออกไปหน้าโรงพยาบาลโบกรถกลับ"


ดวงตาสีเข้มมองมาอย่างดุๆ คล้ายจะบอกว่าความคิดของเขามันไม่เข้าท่าซักนิดทำให้นรินทร์มองอย่างเกรงๆ ก่อนที่อัลวินจะเอ่ย "ผมจำทางกลับไม่ได้"


"อ่า..."


ครูรินกระพริบตาปริบๆ เขาลืมไปเสียสนิท ตอนขามาเขาเป็นคนบอกทาง แล้วขากลับจะปล่อยให้อัลวินกลับไปคนเดียวได้ยังไง


"งั้นเดี๋ยวผมเข้าไปถามคุณยายก่อนว่าจะเอายังไง" นรินทร์เตรียมจะลุกออกจากเก้าอี้ แต่อัลวินพูดขึ้นมาก่อน


"ไม่ต้องรีบก็ได้ รอให้เด็กตื่นก่อน"


นรินทร์ไม่กล้าเถียงต่อ เขาเคยบอกไปแล้วว่าอีกฝ่ายให้ความรู้สึกบางอย่างที่ดูมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่น และตอนนี้เขาก็กำลังรู้สึกว่าต้องทำตามที่อัลวินบอก


เวลาตีสองครึ่งในโรงพยาบาลนั้นแสนเงียบสงบ พนังสีขาวสะอาดกับกลิ่นยาแตะจมูกยิ่งทำให้สถานที่นี้ดูเงียบเหงาวังเวง


"เด็กคนนั้นชื่อจันครับ" อยู่ๆ นรินทร์ก็พูดขึ้น "อายุแปดขวบ เรียนอยู่ปอสาม เป็นเด็กแสบน่าดูเลยล่ะ ชอบเล่นซนไปเรื่อยจนผมต้องคอยห้าม"


อะไรบางอย่างทำให้ครูรินอยากเล่าเรื่องของจันขึ้นมา เขามองคนฟัง อัลวินนั่งนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ออกอาการรำคาญ ไม่ได้ดูง่วงนอน ไม่รู้ว่าฟังเขาอยู่หรือเปล่า แต่นรินทร์ก็ยังเล่าต่อ


"เห็นชอบเล่นไปวันๆ อย่างนี้ คนอื่นอาจจะคิดว่าจันเรียนไม่เก่ง แต่เปล่าเลย เวลาเรียนเด็กคนนี้ตั้งใจเรียนมาก ตั้งใจที่สุดในห้องแล้วมั้ง ช่างซักช่างถามแล้วก็คิดตามเร็วมาก ฉลาด หัวไว" เล่าถึงตรงนี้นัยน์ตาของครูรินก็สั่นระริกเล็กน้อย "ผมเคยอ่านเจอมา เขาบอกว่าถ้าชักแล้วสมองจะถูกทำลาย ผมกลัวว่าจันจะโง่ลงหรือเปล่า"


อัลวินไม่ได้ออกความเห็นอะไร สบตากับเขานิ่งๆ แววตาไม่ดุเหมือนอย่างเคย


นรินทร์ยิ้มบางๆ เป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าๆ "แต่ถึงจะโง่ลงก็แค่นิดเดียวแหละครับ ยังไงเด็กนั่นก็หัวดีจะตายไป" ครูรินไม่ได้มองหน้าอัลวินแล้ว เขามองตรงไปยังข้างหน้า ยังพูดต่อเรื่อยๆ  "จันอยู่กับยายแค่สองคน พ่อแม่ทำงานอยู่ต่างจังหวัด จันรักยายมาก บอกว่าจะตั้งใจเรียน จะได้ทำงานดีๆ เก็บตังค์ไว้เลี้ยงยายบ้าง เออใช่ เด็กคนนี้ดื้อเฉพาะตอนอยู่กับผมแล้วก็เพื่อนๆ พออยู่กับยายล่ะเงียบกริบ เลือกปฏิบัติน่าดู"


อัลวินปล่อยให้คนเป็นครูกล่าวถึงศิษย์รักต่อไปโดยไม่ได้พูดขัด ดวงตาฉายแววที่ไม่มีใครอ่านออก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


ไม่นานเสียงนุ่มทุ้มก็เงียบไป...


พอรอบตัวกลับมาเงียบสงบ อัลวินจึงเอียงหน้ามามอง ก็พบว่าคนที่พูดไม่หยุดเมื่อครู่เผลอหลับไปแล้ว


นรินทร์หลับโดยพิงหัวไว้กับผนังด้านหลัง ดวงหน้าขาวดูอ่อนเพลีย คิ้วขมวดเล็กน้อยเหมือนไม่สบายตัว ครูรินขยับยุกยิกจนได้ท่านั่งที่สบายขึ้น คิ้วเรียวค่อยๆ คลายออก


อัลวินมองหน้าคนข้างๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงเพื่อพักสายตาบ้าง แต่ประสาทการรับรู้ยังคงตื่นตัว ไม่ได้หลับไปอย่างที่ควรจะเป็น








-------------------------------

อาการชักนี่เราเคยเจอมากับตัวเลยค่ะ บางคนเป็นโรคลมชัก จู่ๆ ก็ชักขึ้นมาโดยไม่มีอาการอะไรบ่งบอกเลย ทำเอาผู้ปกครองตกอกตกใจ แต่ชักเพียงครั้งเดียวไม่ได้ทำให้โง่ลงมากนะ บางคนเหมือนไม่เป็นอะไรเลย อ้างอิงจากที่เราเคยเจอมา

ใช่แล้ว ไม่ต้องห่วงว่าจันจะเป็นอะไรไป เรารักเด็กคนนี้ เราจะไม่ใจร้ายกับตัวละครที่เรารัก (แน่เหรอแก?)

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และยอดวิวค่ะ รักกก


หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 5 P.1] 25/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: JAMNIN ที่ 25-07-2017 10:39:49

5
 
 
ยามเย็น
 

 
"แล้วตอนนี้จันเป็นอย่างไรบ้าง" เมธินีถามออกมาเมื่อฟังนรินทร์เล่าเหตุการณ์อย่างละเอียดยิบจบ ขนาดฟังยังตกใจไม่น้อย ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าเธอประสบเจอเด็กมีอาการชักตอนเกือบเที่ยงคืน ตัวเองจะทำอย่างไร
 
 
"ไม่เป็นไรแล้ว นอนดูอาการที่โรงพยาบาลถึงเย็นนี้ ถ้าไม่มีอะไรก็ให้กลับมาอยู่บ้านตามปกติ แล้วต้องช่วยๆ กันดูว่ามีอาการชักอีกรอบหรือเปล่า ถ้ามีก็ต้องไปให้หมอตรวจ อาจให้กินยากันชัก" ครูรินอธิบาย ก่อนจะหาวหวอดออกมาจนน้ำตาซึม
 
 
เมื่อคืนเผลอกลับไปที่เก้าอี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ จำได้ว่ากำลังเล่าเรื่องจันอยู่แท้ๆ
 
 
ยายแจ่มมาสะกิดปลุกตอนตีสามกว่าๆ เห็นว่าพอเขาออกจากห้องมาไม่นานจันก็รู้สึกตัวตื่น แล้วก็หลับต่อด้วยความง่วง คุณยายบอกว่าจะอยู่เฝ้าจัน ให้ครูรินกับอัลวินกลับไปก่อนได้เลยไม่ต้องเป็นห่วง
 
 
กลับมาถึงบ้านนรินทร์ก็นอนไม่ค่อยหลับ พลิกไปพลิกมาจนใกล้รุ่งสางถึงได้เคลิ้มหลับไปเพราะความอ่อนเพลีย ส่งผลให้ตื่นสายกว่าปกติจนเมธินีต้องโทรตาม
 
 
"น่าสงสารจันจริงๆ" ครูเมย์ว่าแล้วถอนหายใจ "ดีนะที่บ้านจันอยู่ใกล้ริน เด็กประถมอยู่กับยายแค่สองคนเวลามีเรื่องอะไรขึ้นมาก็ลำบากแย่ นี่ถ้าไม่ได้รินไปช่วยตามคนก็ไม่รู้ว่ายายแจ่มจะไปหาคนช่วยเหลือได้ยังไง ทิ้งจันให้อยู่บ้านคนเดียวก็ไม่ได้อีก"
 
 
"ตอนนั้นผมก็แทบไม่มีสติว่าจะไปหาใครเหมือนกัน เห็นบ้านคุณอัลวินมีรถก็เลยรีบไปเรียก"
 
 
"จะว่าไปคุณอัลวินก็ดีเหมือนกันนะ ตัดสินใจเร็ว เห็นว่าเดือดร้อนก็ช่วยเหลือทันที ฟังจากที่รินเล่าครั้งแรก นึกว่าจะเป็นคนแล้งน้ำใจซะอีก" เมธินีออกความเห็น
 
 
"ผมก็กลัวว่าเขาจะไม่ช่วย" ครูรินหัวเราะแหะๆ อย่างรู้สึกผิด "สงสัยตัดสินจากที่เขาชอบทำหน้าดุมากเกินไป"
 
 
นรินทร์นึกไปถึงตอนที่อัลวินนั่งฟังเขาเงียบๆ ที่หน้าห้องพักรวม แค่มีคนรับฟังสิ่งที่เราพูด แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมาก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ พลอยให้เขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มสนิทใจกับอัลวินมากขึ้น
 
 
"นิสัยคนมันต้องดูกันยาวๆ" เมธินีเปรย
 
 
"จริงพี่จริง" ครูรินเห็นด้วย ก่อนจะส่งยิ้มกว้างให้ "อย่างพี่เมย์รู้จักมาปีกว่า ผมก็รู้ว่าพี่นิสัยดี๊ดี"
 
 
ครูเมย์เหล่มอง "ประชดเปล่าเนี่ย"
 
 
"ผมพูดจริง" นรินทร์อมยิ้มยืนยัน มือเอื้อมไปหยิบซองคุกกี้บนโต๊ะคุณครูสาวอย่างเนียนๆ "ไม่หวงของกินด้วย ใช่มั้ย"
 
 
"อยากกินก็เอาไปเถอะ ไม่ต้องชมหรอก" เมธินีว่าง่ายๆ "กินกับกาแฟสิ ง่วงไม่ใช่เหรอ"
 
 
"จริงด้วย" นรินทร์ลุกไปยังมุมห้องที่มีโต๊ะวางกระติกน้ำร้อน และพวกเครื่องดื่มเป็นซอง ขณะใช้ช้อนคนผงกาแฟให้ละลาย เขาก็งึมงำ "แต่ผมก็ยังแปลกใจอยู่ดีว่าอัลวินมาทำอะไรแถวนี้"
 
 
"อยากรู้นักก็ถามซะสิ" ครูเมย์เชียร์
 
 
นรินทร์ทำหน้าครุ่นคิด ยกแก้วกาแฟขึ้นมาเป่าไล่ความร้อนไปด้วย ก่อนจะพยักหน้า "อื้ม เอาไว้ถ้ามีโอกาสเหมาะๆ จะถาม"
 
 
 
 
 
 
"สวัสดีตอนเย็นครับ" ริมฝีปากนรินทร์แย้มเป็นรอยยิ้มกว้างส่งไปให้คนในบ้านที่มาเปิดประตูให้หลังจากเขาเคาะเรียก
 
 
อัลวินมองมาด้วยสีหน้าราบเรียบ คงจะสงสัยว่าเขามาทำอะไรที่บ้านตัวเองอีกแล้ว นรินทร์จึงขยับตำแหน่งยืนเล็กน้อย ให้มีช่องว่างเพื่อที่อัลวินจะได้เห็นว่าไม่ได้มีแค่เขาเพียงคนเดียวที่มาหา แต่มีร่างเล็กๆ ของยายแจ่มอีกหนึ่งคน
 
 
"พอดีว่า คุณยายเขาอยากจะมาขอบคุณคุณน่ะครับ ผมเลยมาเป็นล่ามให้" ครูรินบอก
 
 
พอได้ยินอย่างนั้น อัลวินก็โค้งหัวให้ยายแจ่ม
 
 
คุณยายยิ้มแล้วพูดกับอัลวิน โดยมีครูรินคอยแปลให้ฟัง
 
 
"ยายบอกว่า ขอบคุณมากที่ช่วยขับรถไปส่ง คุณใจดีมาก ถ้าไม่ได้คุณก็คงไม่รู้จะให้ใครช่วยเหลือ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ต้องให้นั่งรอที่โรงพยาบาลตั้งนาน"
 
 
"ไม่เป็นไร" อัลวินกล่าวอย่างสุภาพ
 
 
"ยายเขาอยากเลี้ยงข้าวคุณเป็นการตอบแทน จะเข้าไปเลี้ยงร้านอาหารดีๆ ในเมือง คุณสะดวกหรือเปล่าครับ"
 
 
"ไม่ต้องหรอก" อัลวินตอบทันที
 
 
ยายแจ่มจับแขนครูรินให้ช่วยพูด ดูอยากจะเลี้ยงข้าวอัลวินให้ได้
 
 
"ให้ยายเลี้ยงข้าวเถอะครับ" นรินทร์พยายามโน้มน้าว "คุณให้ความช่วยเหลือ ยายเขาก็อยากตอบแทนอะไรคุณบ้าง"
 
 
หญิงอายุห้าสิบกว่ามองมาที่อัลวินอย่างขอร้อง
 
 
อัลวินเงียบไป มองหน้านรินทร์สลับกับคุณยาย นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า "งั้นเลี้ยงข้าวก็ได้ แต่ไม่ต้องไปไกลถึงในเมืองหรอก กินอะไรง่ายๆ ก็พอ"
 
 
พอรู้ว่าอัลวินตกลงคุณยายก็ยิ้มออกมา
 
 
"ถ้าอย่างนั้นยายเขาอยากทำกับข้าวให้คุณทานด้วยตัวเอง เย็นพรุ่งนี้คุณว่างไหมครับ พอดีวันนี้ยังไม่ได้ออกไปจ่ายตลาด เดี๋ยวพรุ่งนี้ยายแกจะซื้อของดีๆ มาทำสุดฝีมือ"
 
 
"อื้ม ผมว่าง"
 
 
"คุณอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม"
 
 
"ไม่มี ผมกินอะไรก็ได้" อัลวินว่า
 
 
นรินทร์ยิ้ม "โอเค งั้นเย็นพรุ่งนี้ผมจะมาตามคุณที่บ้านนะ ขอบคุณมากครับ"
 
 
 
 
 
 
 
กับข้าวหลากหลายชนิดใส่ชามเรียงอยู่บนโตกไม้ ข้างโตกมีกระติบทรงสูงใส่ข้าวเหนียวพร้อมรับประทาน นรินทร์แนะนำยายแจ่มให้ทำอาหารที่กินง่ายๆ รสชาติกลางๆ ไม่เผ็ดมาก ถึงอัลวินจะบอกว่ากินอะไรก็ได้ แต่อาหารคนจีนก็ไม่เหมือนบ้านเรา ถ้าเป็นอาหารที่มีกลิ่นหรือรสจัดมากเกินไปครูรินกลัวว่าอัลวินจะกินไม่ได้เอา
 
 
"นั่งกับพื้นคุณสะดวกหรือเปล่าครับ" นรินทร์ถาม
 
 
"นั่งได้ ไม่เป็นไร"
 
 
"งั้นคุณนั่งตรงนี้เลยครับ"
 
 
นรินทร์ลอบยิ้ม มองคนตัวใหญ่ที่มีมาดผู้ดีอยู่เต็มเปี่ยมลงไปนั่งบนเสื่อที่พื้นข้างๆ ยายแจ่มโดยไม่โต้แย้งอะไร ก่อนจะชะเง้อหาเจ้าเด็กที่กลับมาจากโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว "จัน มากินข้าวได้แล้ว" ครูรินเรียก
 
 
ร่างผอมแห้งของเด็กชายวิ่งมาโดยถือขันเงินใส่น้ำดื่มมาด้วย หลักจากได้สติขึ้นมาที่โรงพยาบาล จันก็นอนหลับต่อยาวสิบชั่วโมง เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนสายๆ ของอีกวัน จันก็กลับมาเป็นปกติ ร่าเริงสดใส ช่างพูดจา ไม่มีอาการผิดแปลกไปจากเดิมแม้แต่น้อย ถือเป็นเรื่องดีมากๆ
 
 
ครูรินจัดแจงหยิบจานพร้อมกับช้อนส้อมแจกจ่ายให้ทุกคน ส่วนใหญ่ยายแจ่มกับจันชอบใช้มือเปิบ แต่พอมีแขกมาจึงใช้ช้อนส้อมทาน
 
 
พออัลวินตักข้าวเข้าปากคำแรกยายแจ่มก็มองมาอย่างลุ้นๆ นรินทร์จึงรับหน้าที่ถามให้
 
 
"อร่อยไหมครับ"
 
 
คนผมบลอนด์พยักหน้า
 
 
"ยายทำก็ต้องอร่อยอยู่แล้ว" จันยิ้มร่า
 
 
"เด็กนี่ชมยายตัวเองน่ะคุณ" ครูรินก็ยังอุตส่าห์แปลให้
 
 
ยายแจ่มชวนอัลวินคุยนู่นนี่ตามประสา นรินทร์ก็เป็นคนรับส่งถ้อยคำอย่างคล่องแคล่วไม่มีบกพร่อง อัลวินไม่ได้พูดน้อยเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากเหมือนอย่างเคย คุณยายถามไถ่อะไรมาก็ตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ
 
 
"แล้วพ่อหนุ่มมาอยู่แถวนี้ มาทำอะไรเหรอ"
 
 
คำถามจากยายแจ่มทำเอานรินทร์ชะงัก เขาก็สงสัยมาตลอดแต่ไม่กล้าถาม ดีจริงๆ ที่คุณยายเป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นมาแทน
 
 
"ยายถามว่าคุณมาอยู่แถวนี้ มาทำอะไร"
 
 
"มาพักผ่อน" อัลวินตอบสั้นๆ ไม่ได้หยุดคิดหรือแสดงท่าทางผิดปกติอะไรออกมาซักนิด
 
 
นรินทร์เอียงคอ ไม่จริงน่า เขาไม่เชื่อ!
 
 
ตัวตนของอัลวินทำให้เขาสงสัยว่ามันต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลัง ไม่ใช่คนที่จะมาพักผ่อนใกล้ชิดธรรมชาติเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป
 
 
"มองทำไมน่ะคุณ"
 
 
คนถูกทักสะดุ้ง รู้สึกประดักประเดิดที่เผลอจ้องหน้าอัลวินอย่างฉงนใจนานไปหน่อย
 
 
"ผมก็แค่คิดว่าคุณหล่อจัง" ครูรินแก้ตัว
 
 
แต่ก็เป็นคำแก้ตัวที่ไม่ได้ผ่านจากสมองเท่าไหร่ พูดไปแล้วก็อยากเอาคำพูดตนเองคืนกลับมา
 
 
แต่อัลวินก็หล่อมากจริงๆ หรือว่าเพราะสมองคิดอย่างนี้อยู่นะ ถึงได้หลุดปากออกไป
 
 
"หือ?"
 
 
"เอ่อ เห็นคนหน้าตาดีก็อยากจะชมใช่ไหมล่ะ ฮ่ะๆ" นรินทร์ยิ้มแห้งๆ
 
 
ยังดีที่อัลวินไม่ได้ตอบอะไรกลับมาให้เขารู้สึกอายไปมากกว่าเก่า ครูรินตักข้าวคำโตเข้าปากเคี้ยวทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ 
 
 
"แล้วคุณจะอยู่นานเท่าไหร่เหรอครับ" ครูรินถามต่อ อันนี้คุณยายไม่ได้ถาม แต่เขาอยากรู้ด้วยตัวเอง
 
 
"ซักสองสามเดือน" อัลวินว่าเรียบๆ
 
 
"มาพักผ่อนนานจัง" นรินทร์เผลอพูด
 
 
อัลวินหันมาจ้องหน้าเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง สบตากับเขาเหมือนจะอ่านจากสายตาว่าเขาหมายความว่ายังไงกันแน่
 
 
"งั้น...งั้น คุณมานานขนาดนี้ก็ต้องออกไปเที่ยวเยอะๆ" ครูรินพยายามเบี่ยงประเด็น "ไม่รู้จะไปไหนก็ถามผมได้นะ"
 
 
"อื้ม"
 
 
เสียงคุณยายพูดขึ้นอีก นรินทร์แปลให้ "ยายว่าถ้าคุณขาดเหลืออะไรก็บอกได้ ยายเต็มใจช่วยเหลือตลอด"
 
 
"ขอบคุณ"
 
 
"แต๊งกิ้ว แปลว่าขอบคุณ คำนี้ผมฟังออก" จันโพลงขึ้นมาอย่างดีใจขณะข้าวยังเต็มปาก ฟังคนผมทองกับครูรินพูดภาษาอังกฤษใส่กันตั้งนานก็เพิ่งรู้เรื่องคำแรกนี่แหละ
 
 
"กินข้าวให้หมดคำก่อนสิแล้วค่อยพูด เดี๋ยวสำลัก" นรินทร์เตือน
 
 
"ค้าบ!" เจ้าเด็กแสบรับคำพร้อมกับเคี้ยวข้าวไปด้วย
 
 
"ยังอีก" ครูรินส่งสายตาดุๆ ไปให้
 
 
จันตาโตก่อนจะกลืนข้าว "โอ๊ะ! ผมลืมไป"
 
 
"ให้ตายสิ จงใจลืมใช่ไหม" นรินทร์อดใจไม่ไหวต้องเอื้อมมือไปโยกหัวเกรียนๆ
 
 
จันหัวเราะกึกๆ ตักข้าวคำใหม่เข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ
 
 
"พ่อหนุ่มทำงานอะไรล่ะ" ยายแจ่มถาม นรินทร์อยากจะยกนิ้วโป้งส่งให้ยายเป็นเชิงว่าเยี่ยมยอด เขาก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน
 
 
"ผมทำธุรกิจ" อัลวินตอบกว้างๆ ไม่ได้ระบุเจาะจงว่าธุรกิจอะไร ชวนให้นรินทร์อยากรู้ลึกกว่านี้ แต่ก็ไม่กล้าถามซอกแซกมาก เกรงว่าจะได้รับสายตาเย็นยะเยือกกลับมา
 
 
ครูรินหันไปเห็นจันหยิบข้าวเหนียวขึ้นมาปั้นเล่น ปั้นอยู่นานสองนานก็ไม่เอาเขาปากเสียที สนุกเข้าไปใหญ่
 
 
"จัน กินดีๆ สิ อย่าเล่นของกิน"
 
 
"ไม่เล่นแล้วก็ได้" เด็กชายยอมหยุดปั้น ยิ้มหวานให้ แล้วส่งข้าวเหนียวพอดีคำที่ผ่านขี้มือมาเป็นนาทีจ่อปากครูริน "คำนี้ให้ครูรินแล้วกัน"
 
 
"ซึ้งใจจัง"
 
 
"ครูรินกินนะ อ้าม!"
 
 
นรินทร์ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ออกจะเหี้ยมไปหน่อย จับข้อมือผอมๆ ที่ถือข้าวอยู่ แล้วดันกลับไปให้ยัดข้าวใส่ปากคนปั้นเสียเอง "ปั้นเองก็กินเอง!"
 
 
ยายแจ่มหัวเราะ ก่อนจะหันมาตักกับข้าวใส่จานของอัลวิน
 
 
"พ่อหนุ่มลองนี่ดู อร่อยนะ" คุณยายว่า
 
 
อัลวินตักทานก่อนจะพยักหน้าให้ยายแจ่ม
 
 
"ผมตักบ้างผมตักบ้าง!" จันกระดี๊กระด๊า รีบใช้ช้อนตักกับข้าวใส่จานอัลวินเลียนแบบคุณยายบ้าง "อันนี้ผมชอบกินมาก อร่อย กินเยอะๆ นะค้าบ"
 
 
จันชอบอกชอบใจ ตักให้อัลวินติดๆ กันถึงสามช้อนพูนๆ จนครูรินต้องรีบห้าม
 
 
"พอแล้วๆ คุณอัลวินเขาจะกินหมดไหม"
 
 
อัลวินมองจานตัวเองที่อยู่ๆ ก็มีกับข้าวเพิ่มขึ้นมาเยอะแยะ เงยหน้าขึ้นเห็นนรินทร์พูดกับเด็กชาย สลับกันพูดไม่หยุดหย่อน ฟังไม่รู้เรื่องหรอกว่าพูดอะไรกัน แต่เดาจากน้ำเสียงแล้วคาดว่าน่าจะเถียงกันอยู่
 
 
สีหน้าคุณครูหนุ่มดูจนใจจะเถียงกับเด็กดื้อ แต่ไม่นานก็หลุดยิ้มออกมา
 
 
ถ้าจะทำให้เด็กเชื่อฟังก็ต้องตีหน้าโหดๆ หน่อยสิ เผลอหลุดยิ้มออกมาอย่างนี้แล้วเด็กที่ไหนจะกลัว
 
 
อัลวินคิดในใจ ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามุมปากของตนเองโค้งขึ้นมานิดๆ เพียงเสี้ยววินาที
 
 
พอจัดการอาหารมื้อนี้เสร็จทุกคนก็อิ่มแปล้ ยายแจ่มใช้ให้จันไปยกขันน้ำมาอีกใบให้อัลวิน
 
 
"เป็นน้ำดื่มน่ะครับ กระดกดื่มได้เลย" นรินทร์บอกขึ้นเมื่อรู้ว่าคนต่างชาติคงไม่คุ้นกับการกินน้ำจากขันเงิน
 
 
"ขอบคุณสำหรับอาหาร" อัลวินว่า
 
 
"ผมกับยายต้องขอบคุณอีกทีนะครับที่ช่วย" ครูรินบอก แล้วยายแจ่มก็เสริมขึ้นมา "ถ้าคุณว่าง ยายก็อยากให้คุณมาทานข้าวด้วยกันบ่อยๆ"
 
 
อัลวินยิ้มรับน้อยๆ ทำให้นรินทร์นิ่งค้างไป
 
 
เพิ่งเห็นอีกฝ่ายยิ้มเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้
 
 
พอยิ้มแล้วหน้าก็ดูกระด้างน้อยลงตั้งเยอะ พอไม่ทำหน้านิ่งๆ ตาดุๆ อย่างเก่าแล้วยิ่งทำให้ใบหน้าคมคายของอัลวินดูดีขึ้นเป็นอย่างมาก
 
 
"เอ่อ...คุณจะกลับเลยไหม"
 
 
อัลวินพยักหน้า
 
 
"งั้นเดินกลับพร้อมผมเลยแล้วกัน" นรินทร์ว่า ก่อนจะสวัสดียายแจ่ม
 
 
"ครูรินจะกลับแล้วเหรอ" จันร้องถาม
 
 
"กลับแล้ว"
 
 
"ผมไปด้วย!" จันเกาะเอวนรินทร์ ทำท่าจะตามไปเล่นที่บ้านครูรินด้วย
 
 
"ทำการบ้านของวันที่หยุดไปเสร็จหรือยัง" ครูรินเบรกจันเอาไว้ก่อน
 
 
"เดี๋ยวค่อยทำก็ได้นี่นา" จันต่อรอง
 
 
"ไม่ต้องเลย มีการบ้านต้องรีบทำให้เสร็จ อย่าให้เป็นดินพอกหางหมู"
 
 
จันฟังแล้วก็แกล้งทำจมูกหมู ร้องอู๊ดๆ จนครูรินส่งมะเหงกเบาๆ ไปให้หนึ่งที
 
 
"ไปทำการบ้านได้แล้ว"
 
 
จันถึงได้ยอมโบกมือให้ "ก็ได้ บ๊ายบายครูริน"
 
 
เมื่อร่ำลากันเสร็จเรียบร้อย นรินทร์กับอัลวินก็เดินออกมาจากบ้านจัน
 
 
ยามนี้เป็นเวลาตะวันเริ่มลับขอบฟ้า ท้องนภาถูกย้อมด้วยสีส้มแดง เงาสีดำของคนสองคนทอดยาวบนผืนดิน เงาหนึ่งใหญ่กว่า อีกเงาเล็กกว่า
 
 
ครูรินเหลือบมองคนที่เดินอยู่ข้างๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น "ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ"
 
 
"อะไร" อัลวินถามกลับ ไม่ได้หันมามองเขา
 
 
"คิดๆ ดูแล้วผมกับจันพูดเยอะมากๆ คุณ...รำคาญหรือเปล่า" พอพูดออกไปอย่างนี้คนตัวใหญ่กว่าถึงได้หันมาจ้องด้วยใบหน้าเรียบเฉย นรินทร์ละล่ำละลัก "คือ...ถ้ารำคาญคุณก็บอกได้นะ ผมรู้ตัวว่าพูดมาก แล้วยังเป็นภาษาที่คุณไม่เข้าใจอีก"
 
 
"ไม่รำคาญ" เสียงอัลวินไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ
 
 
"จริงเหรอครับ" นรินทร์มิวายถามย้ำ
 
 
ตอนนั้นยังบอกกับเขาว่าห้ามรบกวน ห้ามส่งเสียงดังอยู่เลย พอกินข้าวด้วยกันแล้วเขาพูดมากเกินไปก็เลยกังวลขึ้นมาว่าอีกฝ่ายจะไม่ชอบใจหรือเปล่า
 
 
อัลวินปรายตามอง "หรือคุณอยากให้ผมตอบว่าใช่"
 
 
"ไม่ ไม่ๆ" นรินทร์รีบปฏิเสธ "คุณตอบว่าไม่น่ะดีแล้ว"
 
 
ไม่รู้ว่าเขาหูแว่วไปเองหรือเปล่า เหมือนจะได้ยินอัลวินส่งเสียงหึในลำคอ
 
 
ไม่น่าใช่...หรือถ้าใช่ก็ไม่น่าจะเป็นเสียงหัวเราะ
 
 
ลมเย็นๆ พัดมากระทบใบหน้า ท้องฟ้าเริ่มโดนความมืดกลืนกิน เมื่อเดินผ่านมาจนถึงจุดหนึ่งที่มีอะไรน่าสนใจนรินทร์ก็เปรยขึ้น
 
 
"คุณได้กลิ่นอะไรไหมครับ"
 
 
"กลิ่นหอมๆ ดอกไม้เหรอ" อัลวินคาดเดา มองคนถามก็เห็นว่ากำลังอมยิ้มน้อยๆ อยู่ จึงกลับคำ "หรือไม่ใช่ ขามาไม่เห็นได้กลิ่น"
 
 
"คุณเข้าใจถูกแล้วครับ" นรินทร์ว่า นึกชมในใจที่อัลวินจำได้ด้วยว่าตอนขาไปบ้านจันไม่มีกลิ่นหอมๆ นี้ เขาแจกแจง "เป็นกลิ่นของ Tuberose หรือดอกหอมไก๋ เอ้อ หอมไก๋เป็นภาษาที่เรียกกันเฉพาะคนภาคนี้ ถ้าชื่อไทยจริงๆ เรียกว่าดอกซ่อนกลิ่น"
 
 
"ดอกซ่อนกลิ่น" อัลวินทวนเป็นภาษาไทย ออกเสียงได้ใกล้เคียงกับนรินทร์มาก "Tuberose ที่จีนก็มี ผมรู้จัก แต่ไม่เคยเห็นดอกจริงๆ"
 
 
"นี่ไง ต้นนี้ครับ"
 
 
นรินทร์พาอัลวินเดินลัดเลาะเข้าไปข้างทาง จึงเห็นต้นไม้กอเล็กๆ ที่มีดอกไม้สีขาวบานสะพรั่ง
 
 
"ผมว่าเจ้าดอกนี่น่าอัศจรรย์มาก ตอนกลางวันจะไม่มีกลิ่น ดอกจะบานแล้วเริ่มมีกลิ่นหอมตั้งแต่ตอนเย็นเรื่อยไปตลอดทั้งคืน" นรินทร์เล่า
 
 
"อย่างนี้เอง เดินผ่านครั้งแรกเลยไม่ได้กลิ่น"
 
 
นรินทร์พยักหน้า ก่อนใช้นิ้วแตะกลีบสีขาวเรียวเล็กบอบบางเล่น "ผมอยากเอาไปปลูกที่ในบ้าน ตอนกลางคืนจะได้มีกลิ่นหอม แต่เสียดายว่าเขาห้ามปลูก"
 
 
"ทำไมล่ะ" อัลวินถาม
 
 
"คนโบราณเขานิยมใช้ดอกซ่อนกลิ่นในพิธีศพน่ะครับ ถ้าจะเอามาปลูกในบ้านถือว่าไม่เป็นมงคล ความเชื่อนี้เลยสืบต่อกันมา"
 
 
"คนก็แค่ตั้งข้อจำกัดขึ้นมาเอง จริงๆ แล้วมันก็เป็นแค่ดอกไม้" อัลวินว่า
 
 
"ซ่อนกลิ่นมีความหมายไม่ดีด้วย" นรินทร์เล่าต่อ มองดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ที่ถูกตีความไปในเชิงโศกเศร้าอย่างเสียดาย "หมายถึงความพลัดพราก จากลา"
 
 
"ความหมายของดอกไม้ ใครเป็นคนคิดขึ้นมาก็ไม่รู้" อัลวินกล่าว มองดอกไม้ด้วยท่าทีเฉยๆ "ถ้าคุณอยากปลูกก็ไม่เห็นต้องไปสนใจ"
 
 
ครูรินยิ้มๆ "นั่นสินะครับ"
 
 
นรินทร์ไม่ได้เด็ดดอกซ่อนกลิ่นออกมาจากต้น ให้มันได้เบ่งบานเผยกลิ่นหอมอยู่บนต้นต่อไป
 
 
พวกเขาออกเดินต่อ และแล้วก็มาถึงบ้านของอัลวิน
 
 
"ราตรีสวัสดิ์ครับ" นรินทร์กล่าวลา
 
 
"ราตรีสวัสดิ์" อัลวินเอ่ยเช่นกัน
 
 
 
 
 
 
 
ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างไม้บานใหญ่ให้ลมพัดระบาย ตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศอย่างที่คุ้นชินมาตลอด
 
 
จากหน้าต่างบานนี้สามารถมองออกไปเห็นบ้านของนรินทร์ได้อย่างพอดิบพอดี
 
 
เวลากลางวันอย่างนี้บ้านของคุณครูหนุ่มปิดสนิท เจ้าของบ้านกำลังสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียน
 
 
อัลวินทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้หวายซึ่งเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่มีอยู่ในบ้านยายชุ่มอยู่แล้วตั้งแต่เขามาขอเช่า ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนาที่เพิ่งสั่งซื้อมาขึ้นถือ เอนหลังพิงพนัก แล้วเปิดหน้าที่คั่นไว้อ่านต่อ
 
 
โทรศัพท์ที่เปิดระบบสั่นเอาไว้สั่นครืดคราดอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยข้างๆ เขากดรับในทันทีโดยไม่ได้มองเสียก่อนว่าใครโทรมา
 
 
เพราะคนที่รู้เบอร์โทรเครื่องนี้มีแค่คนเดียว
 
 
คำรายงานความคืบหน้าส่งผ่านมาตามสาย อัลวินตอบรับสั้นๆ เมื่อไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เขาก็เตรียมจะกดวางสาย แต่ปลายสายถามขึ้นเสียก่อน
 
 
"มาอยู่เฉยๆ ทั้งวันแบบนี้ไม่เบื่อบ้างเหรอ เดิมทีนายแทบไม่มีเวลาว่าง"
 
 
"ช่วงนี้มีอะไรทำแล้ว" อัลวินตอบพลางพลิกหน้ากระดาษไปด้วย "ฉันจะศึกษาภาษาเพิ่ม"
 
 
"เอาไว้ติดต่องาน? แค่หกภาษายังไม่พอหรือไง" น้ำเสียงอีกฝ่ายแสดงความแปลกใจเล็กน้อย แล้วถาม "ภาษาอะไรล่ะ"
 
 
อัลวินกวาดตาอ่านตัวอักษรในหนังสือ ตอบสั้นๆ คล้ายว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร
 
 
 
"ภาษาไทย"
 
 
 
 
 


 
----------------------------------------

คนเหนือในเรื่องนี้พูดภาษาเหนือกันนะคะ แต่เพราะว่ายัยเขียนเป็นคนภาคกลางแต่กำเนิด อู้กำเมืองไม่ได้แม้แต่นิด ในนิยายเลยเป็นภาษากลางไป จะได้อ่านรู้เรื่องโดยทั่วกันด้วย (ไม่ใช่ข้ออ้างซักนิด...)
 
 
เราจะได้ยินภาษาเหนือก็จากหนังจากละคร โดยส่วนตัวแล้วชอบลักษณะการพูด ชอบสำเนียงมาก นุ่มนวล อ่อนโยน แล้วก็คิดให้ครูรินพูดช้าๆ เนิบๆ ยิ่งคิดว่าพูดลงท้ายด้วยเจ้า เจ้า ด้วยแล้วยิ่งน่ารักมากเลย ฮรึก
 
 
 
 
 
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 5 P.1] 25/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 28-07-2017 01:20:17
ชอบมากเลยค่ะ ภาษาที่เขียนดีมาก ๆ อ่านแล้วไม่สะดุดเลย
ชอบครูรินมาก ๆ อบอุ่น ใจดี ร่าเริง มีน้ำใจ ที่สำคัญ ความเป็นคุณครูสูงมาก
อัลวิน หล่อเท่ห์ เป็นคนจิตใจดี ที่แสดงออกแบบเย็นชา แต่ก็คงเพราะภาระหน้าที่ที่มี
ชอบความเป็นครูริน ที่เข้ากับใคร ๆ ได้ดี เป็นคนที่ถ้าได้อยู่ด้วย คงมีความสุขน่าดู
ขนาดอัลวิน ตีหน้าเย็นชาขนาดนี้ เห็นนะว่าแอบถูกใจครูรินของเรานิด ๆ แล้วใช่ไหม >///<
ตอนล่าสุดนี่ คุยกับครูรินเยอะมากขึ้นแล้ว มีการบอกราตรีสวัสดิ์กันด้วย น่ารักขึ้นเยอะเลย
แล้วจะให้ครูรินสอนภาษาไทยเหรอจ้ะ แสดงว่า อยากรู้ใช่ไหมล่ะ ว่าครูรินคุยสนุกสนานกับลูกศิษย์ว่าอะไร
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากค่ะ นี่อยากรู้มาก ว่าทำไมเปิดเรื่องมา ครูรินถึงไปโผล่ที่ฮ่องกงได้
แล้วต้องไปอยู่ในสถานะอะไร ไปรู้ความลับอะไรของอัลวินเข้า แล้วอัลวินกำลังทำอะไรอยู่
แสดงว่าเนื้อหาส่วนใหญ่จะอยู่ที่ฮ่องกงหรือเปล่า แอบเสียดายบรรยากาศทางเหนือนิด ๆ
อยากรู้ว่าเขาจะชอบกันตอนไหน ยังไง แล้วโมเม้นท์หวาน ๆ ของคุณอัลวินจะมีบ้างไหม 555
แต่ที่แน่ ๆ ขอให้เรื่องนี้ไม่มีดราม่านะคะ ถ้ามีก็อย่าเยอะน้า ไม่ค่อยถูกกับดราม่าเลยค่ะ  :m17:
เห็นเรื่องเกี่ยวข้องกับมาเฟียทีไร แอบกลัวดราม่าทุกทีเลย แหะ ๆ
รอตอนต่อไปนะคะ เราชอบเรื่องนี้มาก เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 5 P.1] 25/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-07-2017 10:25:34
เรื่องก็ดูเนิบ ๆ ตามประสาชาวเหนืออยู่นะคะ ฮา
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 5 P.1] 25/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 28-07-2017 10:42:43
สนุกมากกกกกกก ภาษาเขียนสวยเข้าใจง่าย
ชอบบุคลิกตัวละคร น่ารัก พระเอกก็เท่ ติดตามค่ะ มาต่อไวๆน้าาา
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 5 P.1] 25/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: forphang ที่ 28-07-2017 23:36:00
เห็นเรื่องนี้ถูกโพสต์แนะนำอยู่เลยเข้ามาอ่านค่ะ คิดว่าแต่งไปเยอะแล้วซะอีก
แต่แค่5 ตอนก็สนุกแล้วอย่างที่เค้าแนะนำมา
อัลวินตอนแรกดูเย็นชามากกกก นี่ถ้าเป็นเราคงจะไม่ชวนคุยต่อแน่ๆ ถือว่าครูรินเป็นคนโคตรอดทน
เดาเอาว่าถ้าเป็นคนอื่นมาขอความช่วยเหลืออัลวินอาจจะไม่ได้ช่วยอย่างนี้อ่ะ
แต่นี่เป็นครูข้างบ้านที่บอกว่าเห็นเล่นกับเด็กทุกวัน คือตัวเองเห็นสิ่งพวกนั้นตลอด เห็นความผูกพันธ์งี้
มันอาจจะทำให้รู้สึกดีไปโดยไม่รู้ตัว วรั้ยยย ตอนกินข้าวก็เริ่มยิ้มเริ่มหัวเราะแล้ว

 :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 5 P.1] 25/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 29-07-2017 02:02:00
ชอบคะ รอตอนต่อไปอยู่นะ :L1:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 5 P.1] 25/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: arjanlai ที่ 29-07-2017 07:26:05
 :L1: อ่านง่ายๆ จัดหน้าดูสะอาดดี สนุกครับ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: JAMNIN ที่ 29-07-2017 12:02:43
6


รอยยิ้ม



นรินทร์ตักข้าวเหนียวร้อนๆ ใส่บาตรพระ วางกระทงใบตองใส่คั่วหน่อไม้ที่เพิ่งทำเสร็จมาใหม่ๆ ตามลงไป ก่อนจะประนมมือรับพร


วันนี้นรินทร์ตื่นขึ้นมาก็รีบล้างหน้าล้างตา เข้าครัวหุงข้าว ทำกับข้าวมาตักบาตร


ครูรินใส่บาตรอาทิตย์ละวัน ไม่ได้กำหนดว่าเป็นวันไหน แล้วแต่วันที่สะดวกหรือวันที่ขยันทำอาหารเช้าด้วยตัวเอง


เมื่อพระสงฆ์ออกเดินไปแล้ว นรินทร์จึงวางถาดอาหารไว้ยังเก้าอี้ที่เอาออกมาวางตั้งไว้ จะได้ไม่ต้องถือถาดในขณะที่รอพระสงฆ์รูปต่อไป


ตอนนั้นเอง ในกรอบสายตาที่มองทอดไปยังถนนก็ปรากฏคนคนหนึ่งขึ้น


อัลวินอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีดำ เผยให้เห็นกล้ามแขนขนาดกำลังพอดี มีผ้าขนหนูพาดอยู่ที่คอ ผมสีบลอนด์เสยขึ้นไปลวกๆ แต่ยิ่งทำให้คนที่กำลังวิ่งเหยาะๆ ด้วยท่วงท่าทะมัดทะแมงมาทางนี้ดูฮอตระเบิดระเบ้อ


ยิ่งมองนรินทร์ก็ยิ่งอิจฉาผู้ชายคนนี้ แค่ออกไปวิ่งจำเป็นต้องดูดีขนาดนี้ไหม


อัลวินวิ่งมาใกล้นรินทร์ก็ผ่อนฝีเท้าลง ผงกหัวให้เป็นการทักทาย นรินทร์ยิ้มรับก่อนจะเอ่ยทักบ้าง


"ออกไปวิ่งแต่เช้าเลย ตื่นเช้าจังนะครับ"


"คุณก็เหมือนกัน"


อัลวินไม่ได้ยิ้มตอบกลับมา แต่เพียงแค่อีกฝ่ายต่อบทสนทนาก็ทำให้นรินทร์รู้สึกว่าการปราศรัยสำเร็จผลแล้ว


"ผมเป็นครูนี่นา ต้องตื่นเช้าเป็นธรรมดา" นรินทร์ว่ายิ้มๆ


"โรงเรียนเคารพธงชาติแปดโมงไม่ใช่เหรอ" อัลวินย้อนถามพร้อมกับก้าวเหยาะๆ มาหยุดตรงหน้าเขา


"คุณรู้ด้วยเหรอ"


"ผมได้ยินเพลงชาติไทยทุกวัน"


"จริงด้วยสิครับ บ้านคุณอยู่แค่นี้เอง" นรินทร์ว่า บ้านของอัลวินก็ถือว่าอยู่ติดๆ กับโรงเรียนจึงไม่แปลกที่ได้ยินเสียงเด็กๆ เคารพธงชาติ "แต่เป็นครูก็ต้องไปถึงก่อนเคารพธงชาติอยู่แล้วครับ อีกอย่างผมชอบตื่นก่อน เลยไปถึงก่อนเวลามากๆ จนรับหน้าที่ไปเปิดห้องเรียนแทนภารโรงแล้ว" เขาบอก


"คุณออกมาตักบาตร?" อัลวินเห็นถาดอาหารวางอยู่


"ใช่ครับ" นรินทร์หยักหน้า ก่อนจะสงสัย "ที่ฮ่องกงส่วนใหญ่นับถือศาสนาอะไรกันเหรอครับ"


"ส่วนใหญ่นับถือพุทธกับคริสต์"


"พุทธนิกายมหายานใช่ไหม" เขาถาม แล้วเปรยต่อ "ผมเคยรู้มาว่าแถบประเทศจีนนับถือต่างจากประเทศไทย คนไทยจะนับถือนิการเถรวาทกัน"


"ใช่ ผมก็นับถือพุทธนิกายมหายาน" อัลวินว่า


"คุณมาใส่บาตรด้วยกันได้ไหม" นรินทร์ชวน 


"ผมไม่มีอะไรมาใส่เลย"


"มาใส่กับผมก็ได้นะ" เขาแสดงน้ำใจ


"ไม่เป็นไร คุณใส่เถอะ" อัลวินปฏิเสธ "พระมาแล้ว"


พระภิกษุเดินอย่างสำรวมเข้ามา นรินทร์ถอดรองเท้า หยิบถาดอาหารขึ้นมาถือรอไว้ 


อัลวินมองนรินทร์ใส่บาตรจนเสร็จ ก่อนจะพนมมือเคารพตาม


"คุณเคยเข้าวัดที่ไทยหรือยังครับ"


เห็นว่าอัลวินยังไม่ได้รีบกลับเข้าบ้านตัวเอง นรินทร์จึงชวนคุยขึ้นมา


"ยัง ผมไม่รู้ว่าเข้าวัดที่ไทยต้องปฏิบัติตัวยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าแตกต่างกับที่จีนไหม เลยยังไม่ได้ไป" อัลวินให้เหตุผล


พอได้ยินอีกฝ่ายว่ามาอย่างนี้ ทำให้คนไทยแท้ๆ เกิดอยากจะแนะนำคนต่างชาติขึ้นมา


ถึงแม้ว่านรินทร์จะไม่ค่อยเชื่อว่าอัลวินมาพักผ่อนจริงๆ ก็ตาม แต่ในเมื่อเจ้าตัวบอกกับปากเองว่ามาพักผ่อน ถึงกับมาเช่าบ้านอาศัยอยู่แถบนี้ด้วยตัวเอง ไหนๆ แล้วก็น่าจะได้ลองสัมผัสกับวิถีชีวิตคนไทยในด้านพระพุทธศาสนาดู 


และถึงแม้เขาจะไม่รู้ที่มาที่ไปของอัลวิน แต่ตามความรู้สึกของเขาแล้วอีกฝ่ายไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ 


"ถ้างั้นให้ผมพาไปไหม" 


เห็นว่าอัลวินก็เป็นเพื่อนบ้านข้างๆ ที่ดูท่าว่าจะไม่รู้จักคนไทยคนอื่นนอกจากเขา ลุงขาม ยายแจ่ม แล้วก็จัน นรินทร์จึงเสนอตัวขึ้นมา


"ไม่ต้องหรอก รบกวนคุณเปล่าๆ"


"ไม่รบกวนหรอกครับ ผมเต็มใจ"



เมื่อเห็นว่านรินทร์กล่าวอย่างใจกว้าง อัลวินจึงนิ่งคิดอยู่วูบหนึ่ง และแล้วจึงค่อยเอ่ยปากตอบรับ "งั้นก็รบกวนคุณด้วย"


นรินทร์อมยิ้ม


ตั้งแต่ที่อัลวินช่วยจันไว้คราวนั้น ก็เหมือนว่าจะเปิดใจให้กับเขามากกว่าเดิม ไม่ได้ทำหน้าดุหรือแสดงตัวตนแต่ด้านเย็นชาให้เห็นเพียงอย่างเดียวอีก คนตรงหน้าสนทนากับเขามากขึ้น เจอหน้ากันก็ทักทายตามประสา


ถึงบางทีจะให้ความรู้สึกเข้าถึงยากอยู่บ้าง แต่นรินทร์ก็คิดว่าเขาคุยกับอัลวินได้โดยไม่ต้องเกร็งแล้ว


"งั้นพรุ่งนี้คุณสะดวกไหม เป็นวันเสาร์พอดี ผมไม่ได้ไปทำงานเลยว่างทั้งวัน" นรินทร์เสนอวัน


"อื้ม ได้"


"เข้าไปในเมืองดีไหมครับ มีวัดเก่าแก่น่าไปชม" นรินทร์ถามความเห็น 


"ผมยังไงก็ได้" อัลวินยกหน้าที่ให้คนเสนอตัวเป็นไกด์เฉพาะกิจหมาดๆ ตัดสินใจ









วันรุ่งขึ้น


นรินทร์ใส่เสื้อม่อฮ่อมคอจีน กางเกงขายาวสีดำ สวมรองเท้าผ้าใบคู่ใจ เป็นเพราะว่าเขาตัวไม่ใหญ่ ส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรพอดีไม่ขาดไม่เกิน จึงดูแล้วราวกับเด็กหนุ่มหน้าใสวัยเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย 


ครูรินรูดซิบกระเป๋าให้สนิท ใกล้ถึงเวลาที่นัดกับอัลวินเอาไว้แล้ว


แต่แล้วเสียงนกร้องแว่วๆ ก็ถูกกลบด้วยเสียงคุยเล่น เสียงหัวเราะคิกคัก


เสียงมาก่อนตัวอีกตามเคย...


นรินทร์ลงจากบ้าน ก็เห็นร่างเล็กๆ ของเด็กสามคนเจ้าประจำกำลังวิ่งเล่นอยู่หน้าบ้าน


"วันนี้ครูจะออกไปข้างนอกนะ" ครูรินบอกกับเด็กๆ แล้วกำชับ "เล่นอยู่แถวนี้ได้แต่ห้ามซนมาก ห้ามเล่นอะไรพาดโผน ไม่มีใครคอยดู เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุเอา"


"อ้าว! ครูรินไปไหน" เจ้าเด็กจันร้องถาม


"จะเข้าเมืองไปไหว้พระกับคุณอัลวิน"


ได้ยินคำว่าเข้าเมืองเท่านั้น เด็กๆ ก็ตาลุกวาว


"ครูรินไปเที่ยวเหรอครับ" เนมถาม


"น่าสนุกจัง!" โมว่า เข้าวัดมันน่าสนุกตรงไหนเนี่ยยัยหนู


"ผมไปด้วยยย!" จันรีบเกาะแข้งเกาะขา 


"ให้พวกเราไปด้วยน้า น้าๆๆ" แล้วก็ประสานเสียงกันใหญ่


"ไม่ได้หรอก" ครูรินว่าฉับ เด็กๆ ทำหน้าขัดใจทันที เขาเลยบอก "ถ้าครูไปคนเดียวยังพาไปได้ แต่นี่ไปกับคุณอัลวิน"


"ทำไมไม่ได้ล่ะ" จันถาม


"ครูไปรถคุณอัลวิน ถ้าพวกเราไปด้วยไม่รู้ว่าจะรบกวนเขาหรือเปล่า"


"ไม่รบกวนหรอก" เด็กหญิงตัวเปี๊ยกว่า


"ให้เนมไปด้วยน้า" คนนี้มาแนวอ้อน


"ครูรินยังไม่ลองถามคุณอัลวินเลย" เจ้าจันพูด


นรินทร์ครุ่นคิด ถ้าเจ้าพวกนี้ไปด้วยคงวุ่นวายแน่ๆ


ให้ไปด้วยไม่ได้หรอก


ต้องปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ปฏิเสธ...







"เอ่อ...คุณอัลวิน"


ไหนบอกว่าจะปฏิเสธไง


แล้วทำไมถึงกลายเป็นว่าเขาต้องมายืนส่งยิ้มแห้งๆ อยู่หน้าบ้านอัลวินอย่างนี้ไปได้


อัลวินมองเด็กๆ ทั้งสามคนที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนยืนอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่ข้างๆ ครูริน แล้วสายตาจึงวกกลับมามองคนเป็นครู ก่อนแสดงสีหน้าขอคำอธิบาย


"เอ่อ...คุณจะสะดวกไหมถ้าให้เด็กๆ ไปด้วย" ครูรินถาม


สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับลูกตื้อของเจ้าพวกนี้


สายตาสามคู่จับจ้องไปยังคนตัวสูงผมบลอนด์ คนที่เป็นผู้ตัดสินว่างานนี้จะได้ไปหรือไม่ได้ไปอย่างคาดหวัง ทำหน้าซื่อตาใสส่งให้อัลวินกันอย่างสามัคคี ครูรินมองพฤติกรรมเด็กในปกครองแล้วก็ได้แต่แอบหัวเราะในใจ


นี่ถ้าพูดภาษาอังกฤษได้กันคงมิวายออดอ้อนขอร้องอัลวินอย่างเต็มที่ ไม่มีความเกรงกลัวหน้านิ่งๆ เป็นแน่แท้ 


และในที่สุดอัลวินก็ว่าขึ้นมาสั้นๆ


"ก็ได้"


ครูรินหลุดยิ้ม ดูท่าเด็กๆ จะเรียกคะแนนสงสารได้ผล


"ขอบคุณนะครับ" นรินทร์เอ่ยกับอัลวิน ก่อนจะบอกกับเด็กๆ "คุณอัลวินอนุญาตแล้ว"


"เย้!" สามหน่อกระโดดกันตัวลอย ผิดกับเด็กเรียบร้อยเมื่อกี้ลิบลับ 


"เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งดีใจไป" ครูรินรีบห้าม "โมกับเนมกลับไปขอพ่อแม่ก่อน จันก็ด้วย ไปขอคุณยายว่าไปได้ไหม"


"ยายให้ไปอยู่แล้ว" จันว่า


"ช่าย แม่หนูให้ไปอยู่แล้ว" โมยืนยัน


"อย่าคิดเองเออเอง ไปถามให้เรียบร้อยก่อน" ครูรินโบกมือให้เด็กๆ แยกย้ายกันไปถามผู้ปกครองให้เรียบร้อย


เด็กๆ สลายตัว เพียงไม่กี่นาทีต่อมาก็วิ่งกลับมาด้วยสีหน้าเบิกบาน ยิ้มแป้นอย่างนี้มีหรือจะไม่ได้ไป


"มีข้อตกลงก่อนไป พวกเราต้องสัญญาว่าจะรักษาข้อตกลงครูถึงให้ไป" นรินทร์ตั้งกฎ เด็กๆ รอฟังอย่างตั้งใจ "หนึ่ง ห้ามดื้อห้ามซน ครูบอกอะไรก็ต้องเชื่อฟังคำสั่ง สอง ห้ามวิ่งไปไหนโดยที่ไม่บอกครู คนเยอะเดี๋ยวหลงกันตามหาไม่เจอ สาม ห้ามทำความเดือดร้อนให้คนอื่น เป็นต้นว่าส่งเสียงดังเกินไปจนรบกวนคนอื่น เข้าใจไหม" ครูรินร่ายยาว


"มีแต่ข้อห้ามทั้งน้านนน!" เจ้าจันร้อง


"มันก็แน่นอนอยู่แล้ว" นรินทร์ว่า "สัญญามาก่อน"


เด็กๆ ต่างขานรับคำสัญญากันเป็นมั่นเป็นเหมาะ นรินทร์ยิ้มพอใจ


"ห้ามผิดสัญญาเด็ดขาดนะ ไม่งั้นคราวหลังครูจะไม่ใจอ่อนให้ไปด้วยอีก" เขาขู่ไว้ก่อน


"ไม่ใช่ครูรินซักหน่อย คุณอัลวินเป็นคนให้พวกเราไปต่างหาก" จันยังแย้งคนเป็นครูได้ตลอด


จึงโดนครูรินโยกหัวไปตามระเบียบ


"ไปกันเถอะครับ ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา" นรินทร์หันไปกล่าวขอโทษอัลวิน


อีกฝ่ายไม่ได้ว่าอะไรตอบกลับ เพียงแค่พยักหน้าแล้วเดินนำไปที่รถ


รถยนต์คันนี้เช่ามา เป็นรถที่ใหม่และกว้างขวาง ครูรินต้อนเด็กๆ ขึ้นรถ จัดการคาดเข็มขัดนิรภัยให้ทุกคนเพื่อความปลอดภัย ก่อนจะขึ้นมานั่งข้างคนขับ


แล้วทริปเล็กๆ ในวันนี้ก็เริ่มต้นขึ้น






นรินทร์บอกทางอัลวินให้มายังวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่เป็นอันดับแรก เขาพาคนต่างชาติกับเด็กๆ เข้าไปชมจิตรกรรมฝาผนังในวิหารหลวง เป็นภาพที่เล่าประวัติพระยามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่ ก่อนไปชมเจดีย์ช้างล้อมทรงระฆังล้านนาซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และเข้าไปไหว้พระแก้วขาว พระพุทธรูปซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวเมือง


อัลวินยังคงดูโดดเด่นสะดุดตาแม้อยู่ท่ามกลางผู้คนหมู่มาก ใบหน้าหล่อเหลาคมคายมองชมสถานที่ต่างๆ ในวัด และคอยพยักหน้าตามเมื่อนรินทร์เล่าบรรยาย


ครูรินเกิดและโตที่ลำพูน ไม่ใช่คนเชียงใหม่แท้ๆ บางเรื่องก็ไม่รู้ประวัติเรื่องราว เลยอาศัยอ่านตามแผ่นป้ายแล้วพูดให้อัลวินกับเด็กๆ ฟังเอา


เมื่อเที่ยวชมวัดแรกโดยทั่วแล้ว ก็ขับรถออกมาแวะรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารขึ้นชื่อ แล้วจึงย้ายขบวนมายังอีกวัดหนึ่ง


ครูรินจูงมือเด็กๆ เข้าไปไหว้พระในวิหาร เขานำอัลวินจุดธูปเทียน แล้วนำเทียนไปตั้ง นรินทร์พยายามตั้งเทียนอยู่สองสามทีก็ยังตั้งไม่ได้เพราะมือไม่นิ่งพอ พ่ายแพ้ให้กับคนต่างชาติที่ทำสำเร็จในครั้งเดียว


"คุณมือนิ่งดีจัง" นรินทร์ชม


"ผมฝึกมาเยอะ"


"ฝึกตั้งเทียนเนี่ยนะครับ"


"ฝึกยิงปืน" อัลวินว่าเสียงเรียบ


"หือ?"


"ยิงที่สนามยิงปืน เวลาว่างๆ น่ะ"


นรินทร์ร้องอ้อเป็นอันว่าเข้าใจ เคยได้ยินว่าการยิงปืนก็เป็นกีฬา เป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่ง หรือบางคนก็ฝึกไว้เผื่อใช้ป้องกันตัว


ส่วนเขาเคยยิงปืนแค่ตอนเรียน รด. เมื่อตอนมอปลายเท่านั้นแหละ


ครูรินถือธูปสามดอกเดินมาหาเด็กๆ 


"พวกเราไหว้ด้วยกันกับครูแล้วกัน"


เขากลัวเจ้าพวกนี่ทำธูปร้อนๆ จี้โดนตัวเองหรือคนอื่นเข้า จึงให้ไหว้พร้อมกันกับตัวเอง ครูรินประกบมือเข้ากับมือเล็กๆ แล้วพนมไหว้ ให้เด็กๆ อธิษฐานทีละคนจนครบ และเมื่อนำธูปไปปักที่กระถางเสร็จ นรินทร์ก็แจกจ่ายกระดาษทองคำเปลวให้เด็กๆ ปิดทองพระพุทธรูป


"ค่อยๆ เปิดกระดาษนะ แล้วจับมุมกระดาษอย่างนี้"


"อ๊ะ!"


ไม่ทันที่ครูรินจะสอนเสร็จ โมก็ทำทองคำเปลวแผ่นบางข้างในปลิวตกพื้นไปแล้ว พอ แกะอีกแผ่นก็ปลิวหายไปอีก


เด็กหญิงจึงเริ่มเบะปาก "ของโมหมดแล้ว"


"เอ้านี่ เอาของครูไป"


สุดท้ายนรินทร์ก็ต้องจับมือเจ้าเปี๊ยกให้ปิดทองได้อย่างลุล่วง


หันไปอีกทีก็เห็นจันหยิบกระบอกเซียมซีขึ้นมาเขย่าเสียงดัง เจ้าตัวแสบเขย่าอย่างเมามัน ซึ่งนรินทร์ดูแล้วก็คิดว่ามันคงจบลงในแบบที่...


พลัก!


กระบอกเทคว่ำ ไม้เซียมซีทุกอันกระจายเต็มพื้น


ว่าแล้วเชียว อายไหมล่ะนั่น?


จันทำหน้าเหมือนโลกจะแตก ครูรินขำ แล้วเข้าไปช่วยจันเก็บเซียมซี 


"คุณลองเสี่ยงเซียมซีดูไหม" นรินทร์ชวนอัลวินหลังจากอีกคนยืนมองเขาเสี่ยงเสร็จ


"ไม่ล่ะ"


"ไหนๆ แล้วก็ลองหน่อยสิครับ"


"ลองดูก็ได้" 


นรินทร์หยิบใบเซียมซีของตัวเองและของอัลวินออกมา ก่อนที่ทุกคนจะออกมานอกวิหาร


เด็กๆ นั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ส่วนผู้ใหญ่คนหนึ่งก็กำลังให้ความสำคัญกับใบเซียมซี โดยมีอีกคนรอฟัง


"อืม..."   


อัลวินมองครูรินที่ทำหน้าดำคร่ำเครียดขณะพยายามตีความหมายข้อความในใบเซียมซีอย่างจริงจัง


"ใบเซียมซีจะเขียนคำทำนายเป็นกลอนน่ะครับ" นรินทร์อ่านใบของอัลวิน บ่นพึมพำ "ใบนี้แปลยากจัง"


คำนี้มันแปลว่าอะไรล่ะเนี่ย ไหนจะต้องแปลไทยเป็นไทย และยังต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษอีก คนไทยก็ใช่ว่าจะอ่านกลอนรู้เรื่องกันทุกคนนะ


"ถ้าแปลไม่ออกก็ไม่ต้องก็ได้" อัลวินว่า "ผมจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่แตกต่างกัน"


นรินทร์เงยหน้าขึ้น "คุณไม่เชื่อเรื่องดวงชะตาเหรอ"


"ผมไม่ค่อนสนใจเรื่องนี้เท่าไหร่"


"แปลกจัง คนจีนถือเรื่องนี้กันไม่ใช่เหรอครับ"


"ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอก" อัลวินตอบ


"สำหรับผมดูไว้ก็ไม่เสียหาย บางทีก็อยากรู้ว่าเราจะได้คำทำนายแบบไหน" นรินทร์ว่ายิ้มๆ แล้วโคลงหัว "ผมก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง อย่างช่วงไหนถ้ารู้สึกซวยๆ พอได้คำทำนายไม่ดี ผมก็จะเห็นด้วย แล้วต้องรีบไปทำบุญสะเดาะเคราะห์"


"แล้วถ้าคุณได้คำทำนายที่ดี?"


"ผมก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดี เลยมีกำลังใจทำสิ่งต่างๆ ชีวิตช่วงนั้นเลยพลอยดีไปด้วยตามคำบอกล่ะมั้งครับ" นรินทร์เล่าแล้วก็หัวเราะ


"ใบนี้เป็นยังไง" อัลวินชี้ใบเซียมซีในมือเขา


"ใบนี้แปลง่ายหน่อย ทำนายออกมาว่ากลางๆ ครับ ไม่ดีไม่แย่" นรินทร์ว่า "ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องโชคลาง แต่ผมเชื่อเรื่องบุญบาปนะ ผมคิดว่าถ้าเราทำสิ่งดีๆ ก็จะได้รับอะไรดีๆ ตอบแทน"


"ผมคิดว่าเมื่อเราทำอะไรลงไปแล้วก็จะได้รับผลของมัน เรื่องนี้ผมไม่ได้เอามาคิดกับหลักศาสนา" อัลวินกล่าว


นรินทร์คิดตามแล้วก็พยักหน้า


ถ้าตั้งใจอ่านหนังสือก็จะสอบติด ถ้าตั้งใจทำงาน งานก็จะออกมาดี ถ้าดูแลตัวเอง กินอาหารที่มีประโยชน์ สุขภาพร่างกายก็จะแข็งแรง ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน


"อื้ม แต่ผมก็ยังคิดอยู่ว่าบางอย่างก็ผูกกับเรื่องบุญบาป ยกตัวอย่างนะ คนฆ่าหมูเป็นอาชีพสุจริต ไม่ได้ไปทำให้ใครเดือนร้อน แต่ก็เป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ผมว่าบาปกรรมที่ไปฆ่ามันก็จะติดตัวคนทำไปอยู่ดี"


"ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่เลือกอาชีพตัวเองได้" น้ำเสียงอัลวินไม่แสดงอารมณ์ "บางครั้งก็ต้องทำสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าผิด"


นรินทร์ไม่ได้จับสังเกตเพราะเดิมทีอีกคนก็พูดด้วยเสียงเช่นนี้มาโดยตลอด ขณะคุยกับอัลวิน ตาก็จับจ้องอยู่ที่เด็กๆ ว่าเล่นซนกันหรือเปล่า จึงไม่ได้เห็นนัยน์ตาสีเข้มที่ว่างเปล่ากว่าทุกครั้ง


"แล้วสมมติว่าคุณต้องทำผิด คุณกลัวว่าสิ่งไม่ดีจะย้อนกลับเข้าหาหรือเปล่า" นรินทร์ตั้งคำถาม


"อนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ผมไม่กลัวสิ่งที่ยังมาไม่ถึงหรอก"







ไกด์เฉพาะกิจอย่างนรินทร์นำลูกทัวร์ไหว้พระอีกหนึ่งวัด เรียกได้ว่าเป็นทริปทำบุญอย่างแท้จริง เมื่อไหว้พระเสร็จก็ไปให้อาหารปลาในสระของวัด


เด็กๆ กำเม็ดอาหารปลาแล้วโยนลงไปในสระ เสียงน้ำแตกกระจาย ปลาตัวใหญ่นับไม่ถ้วนว่ายกรูขึ้นมาฮุบอาหาร เพียงไม่กี่วินาทีก็กินหมด


"ปลามันแย่งกันกินใหญ่เลย" เนมเกาะขอบรั้ว ชะโงกหน้ามอง


สามหน่อโปรยอาหารลงไปเรื่อยๆ ดูสนุกสนานกันดี


"ใกล้หมดถุงแล้ว" โมเอ่ย นรินทร์พับปากถุงอาหารลงให้เด็กๆ หยิบกันง่ายๆ


"ทำไมปลาต้องแย่งกันกินขนาดนี้" จันว่า


"ในสระมีปลาเยอะมาก อาหารเลยไม่พอมั้ง แต่ครูว่าคนก็มาให้อาหารมันเยอะแล้วนะ อาจจะเป็นสัญชาตญาณที่เห็นอาหารแล้วต้องกิน" ครูรินเดาเอา


"โอโห ปลาพวกนี้ตะกละเหมือนเนมเลย" จันหัวเราะคิกๆ พาดพิงไปถึงเด็กชายแก้มยุ้ย


"เนมไม่ได้ตะกละนะ" เจ้าตัวเถียง


"อ้วนขนาดนี้ยังไม่ยอมรับ" เจ้าเด็กตัวแสบจิ้มพุงเนมจึกๆ


"เนมไม่อ้วนนะ"


"อ้วน!"


"ไม่อ้วน!"


"อ้วน!"


"หยุด! หยุดเถียงกันเลย" ครูรินห้าม จับเด็กสองคนแยกกัน ก่อนที่เจ้าจันจะแกล้งน้องไปมากกว่านี้


เนมยังคงทำหน้าบูด แต่แล้วก็หายวับไปเมื่อได้ยืนเสียงรถขายไอศรีมขับผ่านมา 


"กินไอติมกันไหม" ครูรินเห็นหน้าเด็กๆ ก็รู้ทัน เลยเอ่ยถาม


"กินครับ!" เนมตอบคนแรก


"เห็นไหม ตะกละจริงด้วย" จันได้ทีว่าต่อ


"เลิกว่าน้อง" ครูรินส่งสายตาดุ "หรือว่าจันจะไม่กิน"


"กินสิค้าบ!"


"ไปล้างมือกันก่อน"


ให้อาหารปลาเสร็จพอดี เด็กๆ วิ่งไปล้างมือที่ก๊อกน้ำใกล้ๆ แล้วถลาไปเกาะรถขายไอศรีม 


"เอารสอะไร" ครูรินถาม จะหยิบให้ แต่ดูเหมือนจะไม่ต้องแล้วเมื่อเด็กๆ ปีนข้างตู้แล้วล้วงมือหยิบรสที่ต้องการเองได้อย่างคล่องแคล่ว


"คุณเอาด้วยไหมครับ" นรินทร์จึงถามคนตัวโตที่เดินตามหลังมาแทน


"มีรสกาแฟหรือเปล่า"


กินรสที่เข้ากับบุคลิกจริงๆ นรินทร์นึกขันในใจ


"เอ ดูเหมือนจะไม่มีนะครับ"


"งั้นเอาช็อกโกแลตก็ได้"


คราวนี้เขาหลุดยิ้ม นึกว่าจะไม่กินซะอีก









ตอนขับรถกลับ เด็กๆ ที่ใช้พลังงานในการพูดมาทั้งวันก็หลับสนิท เอนตัวซบกันดูเป็นก้อนๆ เป็นภาพที่น่ารักน่าหมั่นเขี้ยวดี นรินทร์เห็นแล้วจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเก็บเอาไว้


"คุณนอนก็ได้นะ" อัลวินว่าขึ้น


"หือ" นรินทร์ส่ายหัว "จะให้คุณขับรถส่วนผมหลับได้ยังไง"


"เห็นคุณดูแลเด็กพวกนี้มาทั้งวัน"


ได้ยินอัลวินบอกอย่างนี้ นรินทร์ก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา


จะว่ายังไงดี...แค่ประโยคเรียบๆ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะหลุดมาจากคนที่ดูเย็นชาอย่างอีกฝ่ายได้


แล้วก็ทำให้...เขารู้สึกดีล่ะมั้ง


"แค่นี้เล็กน้อยครับ รับมือกับเด็กๆ ผมชินยิ่งกว่าอะไร" นรินทร์ยิ้ม แล้วหันไปมองคนขับ "แล้วคุณโอเคไหม บางทีเด็กๆ ก็วุ่นวายไปบ้าง"


นรินทร์ถามทำนองนี้อีกรอบ เพราะส่วนใหญ่ผู้ชายในวัยนี้คงไม่อยากอยู่กับเด็กๆ ที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวทั้งวัน เขาจึงยังคงกังวลอยู่ดีว่าอัลวินจะรำคาญ 


"ผมโอเค" คนขับรถว่าเรียบๆ ก่อนจะบอก "เด็กๆ ถ้าไม่วุ่นวายก็ไม่ใช่เด็กสิ"


คำกล่าวหน้าตายของอัลวินทำเอานรินทร์หัวเราะออกมา "ผมไม่คิดว่าคุณจะเล่นมุก"


อัลวินเลิกคิ้ว "ผมเล่นมุกงั้นหรือ"


"อ่าว ไม่ใช่มุกเหรอครับ" นรินทร์เอียงหัว "แต่ผมขำนะ"


"คุณเส้นตื้นไปเอง"


"คุณต่างหากที่เส้นลึก"


นับว่านรินทร์พัฒนาความกล้ามากขึ้น กล้าพูดอย่างนี้กับอัลวิน


"ผมคิดว่าผมปกติ" อัลวินบอก


"อืม..." นรินทร์ลากเสียง ก่อนจะยอมผงกหัวเบาๆ "คุณเส้นลึกไม่มากก็ได้" เขาแก้คำพูดตัวเองก่อนหน้า แล้วยิ้ม "เพราะวันนี้ผมเห็นคุณยิ้ม...สี่ครั้ง"


เดี๋ยวนะ...นี่เขานับครั้งด้วยหรือนี่!


หลุดพูดออกไปเองแล้วก็ตกใจเอง


จะไปสังเกตละเอียดทำไมขนาดนี้ น่าอายชะมัด!


คนที่กำลังประณามตัวเองในใจรีบหันหน้าเข้าหากระจก ไม่กล้ามองหน้าอัลวินต่อ ทำเป็นมองวิวข้างนอกแทน


นรินทร์จึงพลาดที่จะนับรอยยิ้มครั้งที่ห้า...


คนขับรถมองทางข้างหน้าเป็นปกติ ที่มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม






----------------------------------

#รินรักล้นใจ

   
ขอบคุณคุณ jeaby@_@ และ TIKA_n มากนะคะที่เขียนแนะนำในกระทู้แนะนำให้ ดีใจจัง เป็นกำลังใจให้เรามากๆ เลยค่ะ /กระโดดกอด


ขอบคุณทุกยอดวิวและคอมเมนต์นะคะ รักกก

หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 29-07-2017 12:44:37
หวาย ยิ้มตั้ง 5 ครั้งแน่ะ ครูริน หันมาดูยิ้มครั้งที่ 5 ก่อนสิคะ  :-[
ความสัมพันธ์ พัฒนาดีขึ้นมาก ๆ เลย อัลวิน มีมุมน่ารักอ่ะ กินไอติมช็อคโกแลตด้วย
ครูริน อัธยาศัยดี มีน้ำใจ และจริงใจขนาดนี้ ไม่แปลกที่อัลวินจะยอมเปิดใจด้วยมากขึ้น
เดี๋ยวนี้ มีกล้าต่อปากต่อคำแล้วนะครูริน ชอบเวลาทั้งคู่คุยกัน ดูเข้ากันได้ดี
เด็กสามแสบนี่น่ารักจัง ถึงจะแก่นเซี้ยวแต่ก็เชื่อฟังคุณครูดี
อยู่กับครูริน เหมือนอัลวินได้ผ่อนคลายเรื่องในชีวิตของตัวเอง
อาชีพที่เลือกไม่ได้ คงทำให้อัลวิน ไม่เคยได้หาความสุขให้ตัวเองเลยสินะ
รอตอนต่อไปนะคะ ชอบมาก ๆ เลย ขอบคุณคนเขียนค่ะ  :กอด1:

หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 29-07-2017 17:33:26
มาเเล้วๆๆๆๆ
อัลวินเท่มาก เเอบสงสารเรื่องส่วนตัว คงเปนมาเฟียเพราะสืบทอดรึป่าว

รินน่ารักมากๆ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 5 P.1] 25/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 29-07-2017 17:40:07
รอออ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 29-07-2017 18:02:01
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 30-07-2017 08:35:48
ตามมาจากกระทู้แนะนำครับสนุกมากเลย รอติดตามตอนต่อไปอยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Ta_ii ที่ 30-07-2017 10:35:34
เข้ามาติดตามจากกระทู้แนะนำ การดำเนินเรื่องถึงจะดูเอื่อยๆเนิบๆแต่เรารู้สึกว่ามันมีเสน่มากเลย ได้กลิ่นอายของทางเหนือ

เด็กๆนี่เป็นอีกบทบาทคอยสร้างสีสันให้เรื่องเลย น่ารักกันมากๆ ซนๆแบบนี้เราชอบ  o13

มารอติดตามเป็นแฟนคลับเรื่องนี้แล้ว จะดูซิว่าหนุ่มลำพูนจะทำให้คนหน้านิ่งยิ้มได้อีกซักกี่ครั้ง อีกหน่อยอาจจะนับไม่ไหว ฮ่าาๆๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 30-07-2017 20:42:55
 :pig4::pig4::pig4::pig4::pig4:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 30-07-2017 22:54:51
สนุกมากค่ะ อ่านเพลินเลย
คนฮ่องกงเนี่ยะ หล่อๆเยอะจริงๆเลยนะคะ555
เริ่มสนใจกันมากขึ้น เริ่มเข้าไปใกล้อีกคน
อยากรู้มากว่า เพราะอะไรที่ทำให้ครูรินต้องไปฮ่องกง
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: swoooaa ที่ 01-08-2017 12:08:32
สนุกมากเลย รอตอนต่อไปน้าาา :impress2:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 01-08-2017 14:43:26
 :pig4:   เริ่มมีพัฒนาการเล็กๆ น้อยๆ มาร่วมกันตามว่าทำไมครูรินสุดแสนใจดีได้ไปฮ่องกง  :katai3:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-08-2017 20:36:53
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 02-08-2017 21:47:58
ครูรินน่ารักจัง ไม่แปลกใจเลยทำไมใครๆก็ชอบครูริน
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 02-08-2017 23:17:29
เนื้อเรื่องน่ารัก น่าลุ้นค่ะ
ความสัมพันธ์เริ่มพัฒนาไปทีละน้อย
เด็กๆก็เป็นตัวช่วยที่ดีเหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Tuffina ที่ 03-08-2017 09:13:43
น่ารักดี่ค่ะ ภาษาดีมาเลยชอบ ติดตามต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: naplatoo ที่ 03-08-2017 11:18:09
บ้าจริง ทำไคุณครุน่ารักขนาดนี้ :-[
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: meuy ที่ 03-08-2017 14:33:12
ตามมาจากกระทู้นิยายแนะนำ  อ่านรวดเดียวเลยชอบมาก รอตอนต่อไปนะคะ ><
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: BloodyBlue ที่ 03-08-2017 22:01:58
 :mew2: :mew3:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 04-08-2017 20:18:02
จริงๆแล้วคุณอัลวินก็มีมุมอ่อนโยนอยู่น้าาาา :o8:
ภาษาดีมากค่ะ อ่านเพลินเลย จะติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Pawaree ที่ 04-08-2017 23:36:45
 :z13:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: pe-ar ที่ 05-08-2017 12:48:32
น่ารักน่าติดตาม ดีค่ะ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KMprince ที่ 05-08-2017 20:28:56
ตามมาอ่านจากกระทู้แนะนำค่า
น่ารัก เนื้อเรื่องอ่านสบายๆ ชีวิตความเป็นอยู่เรียบง่าย
เด็กๆ ก็น่ารัก พระนายก็น่าติดตาม แถมโปรยบทนำด้วยตอน ครูรินอยู่ฮ่องกงแบบไม่เต็มใจอีก คืออยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้า
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: มะเมอเมอ ที่ 08-08-2017 15:26:19
ชอบเนื้อเรื่อง โทนเรื่อง และบุคลิกตัวละครมากค่ะะ
ชอบการค่อยๆ ปูเนื้อเรื่องของคนเขียน ไม่ข้ามเกินไป
อ่านแล้วรู้สึกถึงความละมุนละไม ความปราณีตของคนเขียน
แม้จะสัมผัสได้จากบทนำว่าเนื้อเรื่องช่วงหลังต้องดราม่ามากแน่ๆ (ฮา)

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
รออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: BloodyBlue ที่ 10-08-2017 22:49:02
มาจิ้มจ้า :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 11-08-2017 02:35:03
 o13 o13
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-08-2017 02:54:11
ชอบภาษาของเรื่องมากค่ะ อ่านไปไม่สะดุดเลย ว่าแต่คุณมาเฟียของเราหนีอะไรคะ  :ling1:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 11-08-2017 07:21:58
คิดถึงคุณครูรินจังเลย  :mew6:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: abbaba ที่ 11-08-2017 14:52:57
เรามาอ่านรวดเดียวหกตอนเลย
ชอบมากกมากกกกก
ชอบบรรยากาศของเรื่องถึงดูธรรมดาแต่สบายใจดี
ชอบครูรินที่ดูนิ่มๆดี แบบดูใจเย็น ชอบ
แล้วก็ชอบภาษามากๆเลยค่ะ อ่านลื่นสุดๆ
นิสัยพระเอกก็ดูพระเอกดี
โอ๊ย ชอบไปหมดเลยยย
มารอตอนต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ไรท์!  :3123:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: DeShiWa ที่ 12-08-2017 21:08:32
ชอบมากๆ

รออ่านตอนต่อไป

หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Fonz_Juz19 ที่ 15-08-2017 17:30:30
สนุกมากเลยยยยยยยยยยยย
อยากอ่านต่อจังงง
คนเขียนมาต่อหน่อยนะคะ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 16-08-2017 11:37:11
รอทุกวันค่ะรักเรื่องนี้มาก
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 16-08-2017 13:10:36
ครูรินเวลาอยู่กับเด็กๆแล้วน่ารักกกก คุณอัลวินเลยเอ็นดูแอบยิ้ม ให้ใจครูรินสั่นเบาๆ 55
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 16-08-2017 15:51:45
โอ้ยยยย ครูรินน่ารักกกกก  :-[
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 16-08-2017 15:58:15
มารอคุณอัลวิน กะครูรินค่ะ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: BloodyBlue ที่ 19-08-2017 17:28:41
 o13
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: allegiant1994 ที่ 25-08-2017 18:13:42
มาต่อนะคะ น่ารักมากๆๆๆๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: jeaby@_@ ที่ 25-08-2017 20:16:26
รอค่ะ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: casper75 ที่ 26-08-2017 12:38:22
อยากรู้แล้ว รินไปฮ่องกงได้งายยยย  :ling1: :ling1:
เนื้อเรื่องสนุก อ่านเข้าใจง่ายค่ะ
ติดตามอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: kobyp_lu ที่ 26-08-2017 16:03:04
เพิ่งได้มาอ่าน  สนุกมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ํYanika ที่ 03-09-2017 11:26:12
ชอบง่าาาา เรื่องนี้ภาษาลื่นไหลมากเลยย ครูรินก็น่ารักกกกกกก
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 6 P.1] 29/7/2017
เริ่มหัวข้อโดย: korner ที่ 03-09-2017 21:42:25
ติดตามจ้าาา เรื่องน่ารักดีชอบบบ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: JAMNIN ที่ 03-09-2017 22:50:41
7


หน้าฝน


เสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น พอดีกับที่นรินทร์สั่งการบ้านนักเรียนเสร็จ หัวหน้าห้องบอกทำความเคารพ แล้วเด็กๆ ก็ลุกขึ้นยืนขอบคุณคุณครู ก่อนจะเก็บหนังสือเรียนกับเครื่องเขียนลงกระเป๋า


นรินทร์ลบกระดานดำ ที่จริงเป็นหน้าที่ของเด็กๆ ที่เป็นเวรทำความสะอาดห้องต้องทำ แต่ครูรินเห็นว่าข้อความที่เขียนนั้นอยู่สูงเกินกว่าที่นักเรียนจะเอื้อมถึง ไม่ต้องให้เด็กๆ ปีนเก้าอี้ลบกระดานให้เสี่ยงตกลงมา เขาจัดการเองจะดีกว่า


ครูรินยกกองสมุดที่ต้องตรวจเข้ามาในห้องพักครู เห็นเมธินีกำลังเก็บของอยู่พอดี


"กลับก่อนนะจ๊ะ" ครูเมย์ว่า คว้ากระเป๋าสะพายขึ้น "ตากผ้าเอาไว้ต้องรีบไปเก็บ ฝนชอบตกตอนนี้ทุกที"


นรินทร์พยักหน้าให้ "ขอให้กลับไปทันก่อนฝนตกนะพี่"


"จ้า" ริมฝีปากเคลือบลิปมันส่งยิ้มมาให้ก่อนที่ร่างอวบของหญิงสาวจะเดินออกไป


เย็นนี้เป็นหน้าที่ของนรินทร์ที่คอยดูแลความเรียบร้อยหลังเลิกเรียน ครูรินตั้งใจไว้ว่าจะอยู่กระทั่งนักเรียนกลับบ้านหมด เขาชงโอวันตินซองสุดท้ายที่เหลือแถวโต๊ะวางกระติกน้ำร้อนดื่มรองท้องเพราะเริ่มจะหิว ก่อนจะนั่งลงยังโต๊ะประจำและตรวจการบ้านอย่างคล่องแคล่ว ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ปั๊มตรายางรูปเป็ดน้อยกล่าวคำว่า Good! ลงสมุดเล่มสุดท้ายเป็นอันเสร็จ


นรินทร์ลุกขึ้น เดินไปล้างแก้วจนสะอาด คว่ำมันไว้ยังตะกร้าใช้วางถ้วยชาม และแล้วก็ออกจากห้อง


ตอนบ่ายคล้อยแทบจะไม่มีแดด ในเวลาเช่นนี้ท้องฟ้าในหน้าฝนปกคลุมไปด้วยเมฆก่อนใหญ่บดบังแสงอาทิตย์ไปเสียหมด เวลากลับบ้านของเด็กนักเรียนทีไรฝนชอบตกลงมาเป็นอุปสรรคทุกที จนหน้าห้องพักครูต้องมีกล่องใส่ร่มหลากหลายสีสันที่เด็กๆ บ้างก็ลืม บ้างก็ทำหายโชว์เอาไว้ประกาศหาเจ้าของ


วันนี้ฝนยังไม่ตกลงมา ยังต้องรอลุ้นกันต่อไปว่าต้นกล้าที่เพิ่งลงปลูกใหม่ของชมรมเกษตรจะโดนพายุฝนซัดจนเละหรือจะมีชีวิตรอดต่อไป


ครูรินดุเด็กๆ ที่เล่นวิ่งไล่จับกันตามระเบียงตึก บอกให้ลงไปเล่นข้างล่าง แล้วเดินสำรวจแต่ละห้องว่ามีเด็กหลงเหลืออยู่หรือไม่ ถ้ามีก็ให้ลงไปข้างล่างเช่นกัน


ผู้ปกครองทยอยกันมารับลูกๆ หลานๆ บางส่วนก็กลับบ้านเองจนโรงเรียนโล่งขึ้น นรินทร์นั่งลงที่เก้าอี้ไม้ มองเด็กๆ ที่ยังเหลืออยู่จับกลุ่มเล่นกัน จนกระทั่งเกือบหกโมงเย็นก็เหลือเด็กอยู่ไม่ถึงสิบคน


สายตาครูรินเหลือบไปเห็นร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในอาณาเขตของโรงเรียนเข้า


"อ้าว! คุณอัลวิน" เสียงของครูรินตะโกนดังข้ามสนามหญ้า จนเด็กๆ หันมามองกัน รวมถึงเจ้าของชื่อด้วย นรินทร์โบกมือทัก "สวัสดีครับ"


เพื่อนบ้านตรงเข้ามาหาคุณครูหนุ่ม "สวัสดี"


"มารับเด็กเหรอครับ" นรินทร์แกล้งแซวไปนู่น   


"เปล่า ไม่ได้มารับเด็ก" อัลวินปฏิเสธเรียบๆ มองหน้านรินทร์แล้วบอก "มารับครู"


คำหยอกกลับทั้งที่คนพูดหน้านิ่งๆ ทำเอานรินทร์แทบผงะ หัวใจเต้นผิดจังหวะไปนิดหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะแหะๆ "ผมโตแล้วครับ ไม่ต้องให้ใครมารับหรอก" พูดเล่นกลับไม่ยอมแพ้


"งั้นเหรอ"


"ก็งั้นสิครับ"


"งั้นก็แล้วไป" อัลวินว่าเสียงทุ้มต่ำปกติ แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าดวงตาจะมีร่องรอยขบขันเพียงชั่วขณะ แล้วกลับมาเรียบเฉยเหมือนเดิม "จริงๆ ผมแค่ออกมาเดินเล่น"


"อ้อ" นรินทร์พยักหน้ากับคำเฉลย


"คุณยังไม่เลิกงานเหรอ"


"ยังครับ รอเด็กๆ กลับบ้านจนหมดก่อน"


ตอนนั้นเอง หยาดฝนเม็ดเล็กๆ ก็โปรยปรายลงมา นรินทร์นั่งอยู่กลางแจ้ง สัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่กระทบบนแขน


"โอ๊ะ ฝนตก" นรินทร์ร้อง สุดท้ายก็ตกลงมาจนได้ "คุณเข้าไปหลบในตึกก่อนเถอะครับ" เขาบอกกับอัลวิน ชี้ไปที่อาคารเรียนเก่าๆ ด้านหลัง ก่อนจะไปต้อนเด็กๆ ที่เล่นอยู่ให้วิ่งเข้าไปหลบฝนเช่นกัน


เมื่อทุกคนเข้ามาอยู่ในอาคารเรียนเรียบร้อยแล้ว จากฝนเม็ดเล็กๆ ก็ตกซู่ลงมาอย่างหนักราวกับฟ้าถล่มแทบจะพอดิบพอดี ทั้งเด็กทั้งครูจึงรอดพ้นจากการตัวเปียกซกอย่างหวุดหวิด


"นี่แหละครับหน้าฝนเมืองไทย" นรินทร์บ่นกับอัลวิน "ตกลงมาไม่เกรงใจใครเลย"


"ที่ฮ่องกงก็เหมือนกัน"


นรินทร์หัวเราะออกมา ฝนจะตกมันก็ตก จะที่ไหนก็เหมือนกัน


"คุณรีบกลับไหม ที่ห้องพักครูมีร่ม คุณยืมได้นะ" เขาบอกด้วยเห็นว่าอัลวินมาตัวเปล่า ไม่ได้พกร่มมาด้วย แต่เมื่อมองออกไปทิวทัศน์ช่างพร่ามัวเพราะสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาบดบังทัศนียภาพไปหมดก็ต้องกลับคำ "แต่ผมว่าฝนตกหนักขนาดนี้ ถึงมีร่มก็เปียกอยู่ดี"


"ผมว่างมากจนออกมาเดินเล่น ไม่รีบกลับหรอก"


"ไม่รีบก็ดีครับ ดูท่าจะไม่หยุดตกง่ายๆ แน่"


เขากลับบ้านดึกก็ไม่เป็นไร แต่นักเรียนนี่สิ จะมีผู้ปกครองฝ่าฝนมารับหรือเปล่าล่ะนี่


คิดดังนั้นครูรินเลยเข้าไปเอาขนมมาแจกจ่ายให้กับเด็กๆ เป็นนมเปรี้ยวเต็มไปด้วยน้ำตาลกับขนมถุงอุดมไปด้วยผงชูรสที่ไม่ดีต่อสุขภาพซักเท่าไหร่ แต่ในห้องพักครูเหลือเสบียงเพียงแค่นี้ ให้กินของไม่มีประโยชน์ยังดีกว่าปล่อยให้น้ำย่อยกัดกระเพาะ ตอนนี้ก็ได้เวลามื้อเย็นแล้ว เด็กๆ คงหิวเป็นแน่


เห็นครูรินวุ่นอยู่กับเด็กๆ อัลวินจึงมองสำรวจอาคารเรียน เป็นอาคารเรียนไม้แต่ก็ดูแข็งแรงและสะอาด เขาไม่เคยเห็นห้องเรียนของไทยมาก่อน เมื่อมองลอดเข้าไปในห้องเรียนด้านหลังผ่านหน้าต่างบานเล็ก มีกระดานสีเขียวเข้มเขียนด้วยตัวอักษรสีขาว โต๊ะเก้าอี้ทำจากไม้ตัวเล็กเรียงกันเป็นแถว มีโปสเตอร์ตัวอักษร A ถึง Z ติดอยู่ยังผนังห้อง พอเห็นอย่างนี้ก็นึกถึงคุณครูสอนภาษาอังกฤษข้างตัว


"คุณพูดภาษาอังกฤษคล่องมาก" จู่ๆ อัลวินจึงเปรยขึ้น


นรินทร์หันมายิ้มให้รับคำชม "ขอบคุณครับ ผมชอบภาษาอังกฤษน่ะ มันเป็นสิ่งที่ผมทำได้ดี ตรงข้ามกับวิชาวิทย์คณิตเลย"


เขาชอบเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็กๆ จำได้ว่าตอนประถมต้นคุณครูให้คำศัพท์กลับมาท่องวันละห้าคำ และให้ไปสอบเขียนในวันรุ่งขึ้นของทุกๆ วัน นรินทร์ไม่เคยเขียนผิดเลยซักครั้ง จนตอนจบเทอมได้ขนมจากคุณครูเป็นรางวัล พอขึ้นชั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ เขาก็สอบได้เกรดสี่มาโดยตลอด ตอนมอห้าสอบชิงทุนได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนมาหนึ่งปี เขาเลยพูดได้อย่าคล่องปรื๋อ


ตั้งแต่เรียนจบก็ไม่ได้พูดเยอะเท่าเมื่อก่อน เพราะอยู่ต่างจังหวัด ละแวกนี้มีแต่ชาวบ้าน ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ นรินทร์อาศัยดูหนังฟังเพลงเพื่อฟังบทสนทนาให้ตัวเองฟังบ่อยๆ จะได้ชินกับสำเนียงและคำศัพท์ พอมาเจอกับอัลวินนี่แหละถึงได้มีโอกาสทบทวนวิชาความรู้


"สอนเด็กประถมคุณคงไม่ได้พูดซักเท่าไหร่"


"ใช่ครับ ผมสอนแค่แกรมมากับศัพท์ง่ายๆ"


"ผมขอถามหน่อยได้หรือเปล่า" อัลวินเกริ่น ก่อนจะถามข้อสงสัย "ในเมื่อคุณเก่งขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ทำงานที่ใช้ภาษาอังกฤษเกี่ยวข้องมากกว่านี้"


นรินทร์นึกแล้วเชียวว่าต้องถาม อันที่จริงคำถามนี้เขาเจอคนรู้จักถามอยู่เป็นประจำ บางคนถึงกับบอกว่าทำไมไม่ใช้ความสามารถตัวเองให้มีประโยชน์ มาเป็นครูประถมอย่างนี้เสียของเปล่าๆ


นรินทร์ก็ได้แค่ยิ้มๆ และทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง


เขาไม่โกรธหรอกที่ใครจะว่าแบบนั้น ความคิดคนเราก็ต่างกัน และที่สำคัญคือความคิดคนอื่นไม่มีอิทธิพลพอให้เขาเปลี่ยนทางเดินของตัวเอง


ถ่ายทอดความรู้ให้เด็กๆ จะเป็นเรื่องเสียของได้อย่างไร


"มันมีที่มาที่ไปน่ะครับ" นรินทร์เล่า "ผมน่ะอยากเรียนคณะอักษรศาสตร์ แต่คะแนนสอบไม่ถึงเลยได้เรียนศึกษาศาสตร์แทน ตอนเรียนผมก็รู้สึกเฉยๆ นะ แต่ผมได้มีโอกาสไปสอนหนังสือให้เด็กๆ ชาวเขา ผมก็พบว่ามันใช่เลย จึงตัดสินใจมาเป็นครูประถม"


นรินทร์พบว่าเขาชอบเวลาที่ตัวเองได้อยู่กับเด็กๆ ความคิดของเด็กไม่ซับซ้อน การกระทำตรงไปตรงมา อยู่ด้วยแล้วสบายใจ และพอได้สอนก็ทำให้เขามีความสุข


"คุณเลยมาสอนที่นี่เหรอ"


"ตอนไปอยู่บนดอย ผมเห็นวิถีชีวิตของคนที่นั่น เรียบง่าย รู้จักกันทั้งหมู่บ้าน อบอุ่นดี ผมเลยใฝ่ฝันว่าอยากมีชีวิตเรียบง่ายบ้าง" นรินทร์ยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้อย่างดี ที่นั่นห่างไกลจากความเจริญ ไม่มีห้าง ไม่มีที่เที่ยว ไม่มีแสงสีใดๆ พอไปอยู่แล้วรู้สึกใจมันสงบขึ้น รอยยิ้มน้อยๆ เกิดขึ้นที่มุมปากโดยธรรมชาติเมื่อเล่าความคิด "พอใกล้เรียนจบผมก็คิดนะว่าจะไปอยู่บนดอยเลยดีไหม แต่คิดไปคิดมาก็ล้มเลิก ผมโตมาในเมือง จะให้ขึ้นไปอยู่บนดอยเป็นปี ผมก็ยังตัดความอยากยังไม่ได้หมด ผมยังอยากฟุ้งเฟ้อ กินอะไรอร่อยๆ เล่นอินเตอร์เน็ต ไปเที่ยวที่ต่างๆ เลยคิดว่ามาสอนที่นี่เป็นอะไรที่อยู่ตรงกลางระหว่างนั้น"


อัลวินฟังโดยที่ไม่ได้แทรกความคิดเห็นอะไร


"ที่นี่สงบ คนแถวนี้น่ารัก ชีวิตก็เรียบง่ายดี คือเหตุผลที่ผมมาสอนที่นี่" นรินทร์สรุปพร้อมกับอมยิ้ม


"คุณ...ไม่เสียดายเหรอที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเท่าที่ควร"


"ไม่หรอกครับ ถึงจะไม่ได้ใช้ภาษาในการพูดมาก สอนเด็กประถมงานไม่ยุ่ง ผมมีเวลาว่างไปรับจ๊อบแปลหนังสือเป็นงานเสริม ก็ยังได้ใช้ทักษะเหมือนกัน" นรินทร์ว่า


"แสดงว่าคุณมีทักษะที่ดีมาก ทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน"


"ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ" นรินทร์ถ่อมตัว อัลวินชมมาอย่างนี้เขาก็ตัวลอยเหมือนกัน "ขอโทษที ผมเอาแต่พูดเรื่องของตัวเอง ผมถามคุณบ้างดีกว่า" ได้ทีเขาถามบ้างล่ะ "ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่...หมายถึง เหตุผลที่คุณเลือกมาพักผ่อนที่นี่"


นรินทร์ยังคงคิดว่าอัลวินไม่ได้มาพักผ่อนแน่ๆ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการให้เขาเข้าใจอย่างนั้นเลยตามน้ำไป ถึงอย่างนั้นก็ขอถามเหตุผลหน่อยก็แล้วกัน


คนข้างๆ ใช้เวลานึกคำตอบนิดหนึ่ง "คงเป็นเพราะ...คนรู้จักของผมจะคิดไม่ถึงแน่ๆ ว่าผมมาที่นี่"


"หือ?" ฟังอัลวินตอบแล้วนรินทร์ก็งงเล็กน้อย ก่อนจะแปลผลในอีกวินาทีต่อมา 


แสดงว่าอัลวินไม่อยากให้คนรู้จักรู้ว่าตัวเองอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ


คนรู้จัก แฟนเก่า?


หรือที่ลุงขามสันนิฐานว่าอัลวินอกหักมาพักใจจะเป็นเรื่องจริง!?


"ที่จริงแล้วจะบอกว่าผมหลีกหนีความวุ่นวายมาเหมือนคุณก็ได้นะ" อัลวินยังคงว่าต่อ "หลบมาใช้ชีวิตง่ายๆ"


เอ่อ พูดแบบนี้คงไม่ใช่หนีแฟนเก่ามาแล้วมั้ง เอ...หรือไม่แน่แฟนเก่าอัลวินอาจเป็นตัววุ่นวายก็ได้


ยิ่งคิดนรินทร์ยิ่งพบว่าเขาช่างเพ้อเจ้อไปใหญ่


เขาละสายตาออกมาจากอัลวิน ก่อนจะเห็นว่าฝนที่ตกกระหน่ำหยุดลงแล้ว ไม่แน่ไม่นอนจริงๆ นึกจะตกก็ตก จะหยุดก็หยุดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย


"ผมว่าใช้ชีวิตง่ายๆ น่ะจริง แต่ก็ไม่ได้หลบความวุ่นวายมาได้ซักเท่าไหร่" นรินทร์พูดขึ้น ทำให้อัลวินเลิกคิ้ว


ครูรินยิ้ม ชี้นิ้วไปที่สนามหญ้าหลังฝนตกใหม่ๆ ที่ยังเฉอะแฉะ จัน เนม โม กำลังวิ่งตรงเข้ามาเร็วรี่โดยไม่กลัวว่ารองเท้าที่ใส่มาจะเปื้อนโคลนเลอะเทอะไปหมด


"ดูโน่น ความวุ่นวายมาโน่นแล้ว" ครูรินเฉลย


อัลวินหัวเราะหึๆ "คุณก็ดูรับมือกับความวุ่นวายอย่างนี้ได้ดี"


นรินทร์ตาโต ก่อนจะโอดครวญ "โถ่ กว่าผมจะรับมือขนาดนี้ได้ คุณไม่รู้หรอกว่าผมเจออะไรมาบ้าง"


อัลวินมองนรินทร์ที่ทำหน้าเหยเกแล้วบอก "ผมก็พอจะเดาได้อยู่นะ"


"สิ่งที่คุณเดาอยู่ คูณเข้าไปสิบเท่าเลยครับ" ครูรินทำเสียงจริงจัง


เจ้าสามหน่อวิ่งมาถึงตัวอาคารเรียน คนเป็นครูรีบเบรกให้ถอดรองเท้าที่กลายเป็นสีดำปิ๊ดปี๋เพราะเลอะโคลนก่อนที่จะทำตึกเรียนเลอะตามไปด้วย สงสารผู้ปกครองที่ต้องซักรองเท้าให้เจ้าเด็กซนพวกนี้จริงๆ   


"มาทำไมกันเนี่ย" นรินทร์ถาม


"มาตามครูริน หนูทำการบ้านไม่ได้" เด็กหญิงตัวเปี๊ยกร้องบอก


"ให้เนมกับจันสอนก็ได้หนิ" ครูรินว่า โมอยู่ป.หนึ่ง ส่วนเนมอยู่ป.สอง และจันอยู่ป.สาม เรียนผ่านมาก่อนแล้วก็น่าจะสอนการบ้านให้น้องได้


"ไม่เอา สอนไม่รู้เรื่อง" เด็กหญิงส่ายหัวจนผมหน้าม้ากระจาย ก่อนเข้ามากอดแขนครูริน "ให้ครูรินสอนให้ดีกว่า ครูรินเก่ง"


ได้ยินคำตอบแบบนั้นมานรินทร์ก็ขำ เด็กป.สองป.สามจะให้สอนหนังสือให้พูดอธิบายคงเกินความสามารถไปหน่อย


"ครูสอนให้ก็ได้ การบ้านอยู่ไหนล่ะ"


"อยู่บ้านครูริน" โมบอก


"อ้าว" นรินทร์ร้องอย่างแปลกใจ "ไปบ้านครูมาเหรอ"


"ใช่แล้ว" จันเป็นคนตอบ "พวกเราไปรอครูรินที่บ้าน แล้วฝนก็ตกซู่ลงมา"


"เปียกหรือเปล่าเนี่ย" นรินทร์รีบมองสำรวจเด็กๆ เขาล็อกบ้านเอาไว้ เจ้าพวกนี้เข้าบ้านไม่ได้แน่ๆ คงจะหลบฝนอยู่ใต้ถุนบ้าน ไม่รู้ว่าฝนจะสาดเข้ามาหรือเปล่า


"ไม่เปียกครับ" เนมว่า


"แล้วไป" ถ้าไม่เปียกจะได้ไม่ต้องไล่ไปอาบน้ำ นรินทร์บอกกับโม "รอเดี๋ยวนะ ให้เพื่อนๆ กลับบ้านให้หมดก่อนแล้วเราค่อยกลับไปทำการบ้านกัน"


หลังจากนั้นไม่นานผู้ปกครองก็มารับเด็กๆ กลับไปจนครบทุกคน ผู้ใหญ่สองคนกับเด็กอีกสามจึงได้เดินลัดเลาะไปทางด้านข้างโรงเรียนเพื่อกลับไปยังบ้านของตัวเองบ้าง


บ้านของนรินทร์ถึงก่อนอัลวิน คุณครูหนุ่มยิ้มและกล่าวลาเพื่อนบ้าน อัลวินพยักหน้าให้และกล่าวลาเช่นกัน










ช้อนส้อมถูกวางรวบไว้บนจานบ่งบอกว่าอาหารมื้อนี้ถูกจัดการจนหมด เช่นเดียวกับบทสนทนาอันเคร่งเครียดที่สิ้นสุดลง 


บริกรเติมเครื่องดื่มในแก้วให้กับชายหนุ่มผมสีบลอนด์กับชายหนุ่มผมสีดำผู้เป็นคู่สนทนา ก่อนจะถอยหลังไปอย่างสุภาพ


เมื่อเห็นว่าภายในห้องทานอาหารขนาดเล็กเหลือเพียงแต่ตนและอัลวิน จาง ผู้มีตำแหน่งเป็นทั้งเจ้านายทั้งเพื่อนสนิท อี้เจี้ยนจึงเริ่มพูดข้อสงสัยในใจที่รู้สึกได้เล็กน้อยหลังจากการพูดคุยในวันนี้


"นาย...เปลี่ยนไปนิดนึงหรือเปล่า"


อี้เจี้ยนตามมาอยู่ประเทศไทยด้วยก็จริง แต่อาศัยอยู่คนละที่กับอัลวิน ทำหน้าที่คอยติดต่อกับคนอื่นๆ ทางฮ่องกง เมื่อมาอยู่ไทยส่วนใหญ่จะติดต่อกับอัลวินทางโทรศัพท์เสียส่วนมาก ไม่ได้เจอกันซักเท่าไหร่ พอเจอกันครั้งนี้จึงพบว่าบรรยากาศรอบตัวของอัลวินนั้นมีอะไรที่แปลกไป   


คิ้วเข้มของคนถูกถามเลิกขึ้นนิดๆ "เปลี่ยนยังไง"


"นายดูไม่เย็นชาเท่าเก่า" เพราะเป็นเพื่อนกันและทำงานด้วยกันมานานจึงรู้นิสัยกันและกันอย่างดี อัลวินไม่ชอบความอ้อมค้อม อี้เจี้ยนจึงบอกไปตามตรง


โดยปกติในยามคุยเรื่องงาน อัลวิน จาง จะเยือกเย็นจนน่ากลัว


ที่บอกว่าเปลี่ยนไป เป็นเพราะอี้เจี้ยนสัมผัสได้ว่าร่างสูงใหญ่ตรงหน้าดูอารมณ์เย็นขึ้น...เย็นอย่างสงบนิ่ง ไม่ใช่เย็นราวกับหิมะที่พร้อมจะกลายเป็นพายุหิมะพัดกระหน่ำให้คนที่อยู่ในกำมือถูกความเย็นเสียดแทงจนตาย


แต่ถึงจะไม่น่ากลัวเท่าเดิม ไม่ได้หมายความว่าแผนการที่ออกมาจากปากอัลวินจะมีข้อบกพร่องหรือช่องโหว่ ทุกประโยคยังคงเฉียบคม เด็ดขาด และมักจะพลิกแพลงไปมาจนคาดเดาไม่ออก


"งั้นเหรอ" อัลวินตอบรับอย่างไม่รู้สึกรู้สา ไม่แสดงความประหลาดใจใดๆ "แล้วไม่ดีหรือไง"


"ไม่รู้สิ" อี้เจี้ยนหยุดคิดเพียงครู่ "แค่แปลกไป ไม่ค่อยชิน"


"แผนการเป็นไปในทางที่ดีก็ไม่จำเป็นต้องกดดัน" อัลวินเพียงพูดเหตุผลง่ายๆ ให้อี้เจี้ยนฟัง เป็นเหตุผลที่ยกขึ้นมาอ้างให้เพื่อนไม่ติดใจถามต่อเท่านั้น ที่จริงแล้วเขารู้ดีว่าเพราะเหตุใดเขาถึงเปลี่ยนไป


ก็ระหว่างคุยเรื่องงาน สมองก็คิดแผนการไป แต่ในใจดันไปคิดถึงใครบางคนเป็นระยะๆ เสียอย่างนั้น


ความจริงนี้จะบอกอี้เจี้ยนไปไม่ได้เด็ดขาด


"เส้าเฉียนเป็นไงบ้าง" อัลวินเปลี่ยนเรื่อง กล่าวไปถึงคนที่รับตำแหน่งเป็นทั้งเพื่อนสนิทและลูกน้องอีกคนที่ยังอยู่ฮ่องกง


"เป็นเป้ารับกระสุนแทนนายตลอด แต่ช่วงนี้ก็โดนเล่นงานน้อยลงแล้วเพราะสถานการณ์เริ่มดีขึ้น" คนที่รับข่าวสารบอกกล่าว


"อื้ม" อัลวินตอบรับสั้นๆ


"ไม่เป็นห่วงบ้างเหรอ"


"อย่างหมอนั่นมีอะไรน่าห่วง" เขาว่าเรียบๆ


"ก็จริง" อี้เจี้ยนพึมพำตาม "อ้อ เพิ่งนึกได้ เส้าเฉียนฝากมาบอกนายว่าให้มันรับบทหนักแล้วก็ควรขึ้นเงินเดือนให้ด้วย" 


"...แล้วจะรับไปพิจารณา" 


"มีเรื่องสำคัญอีกเรื่อง" อี้เจี้ยนมองไปยังอัลวินที่นั่งกอดอกอย่างเกรงขาม ก่อนจะบอก "คุณติ้งซินรู้แล้วว่านายไม่อยู่ในฮ่องกง"


คนฟังไม่มีท่าเปลี่ยนไป "ก็ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญอะไร"


"เรื่องใหญ่เลยไม่ใช่เหรอ" อี้เจี้ยนว่า ตามความเข้าใจของเขา ผู้หญิงคนนั้นถือเป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่สำคัญในเรื่องนี้


"ถึงติ้งซินรู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี" อัลวินยกน้ำขึ้นจิบ ก่อนจะเอ่ย "เส้าเฉียนคงไม่หลุดไปนะว่าฉันอยู่ไทย"


"รู้ด้วยเหรอว่าข่าวมาจากเส้าเฉียน" อี้เจี้ยนถาม


"ถ้าไม่ใช่ว่าไปเซ้าซี้เส้าเฉียน เธอก็ไม่มีทางรู้" อัลวินบอกอย่างมั่นใจ


"นายคิดถูก มีมันคนเดียวที่แพ้สาวงาม" อี้เจี้ยนผงกหัว เรื่องแบบนี้ไม่เหนือไปต่อการคาดเดาของอัลวินจริงๆ ด้วย


"มันคงคิดจะแกล้งฉัน เลยบอกติ้งซินไป" อัลวินบอกเสียงต่ำ 


อี้เจี้ยนรู้สึกได้ว่าความเยือกเย็นของอัลวินกลับคืนมา กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นแผ่ออกมาจากใบหน้าที่เรียบนิ่ง อี้เจี้ยนถาม "แล้วนายจะทำไงต่อ"


"แค่จับตาดูเธอไว้เฉยๆ ก็พอ"


"โอเค"


"แล้วก็..." นัยน์ตาคมดุของอัลวินไม่มีแววล้อเล่นขณะกล่าว "บอกเส้าเฉียนไปด้วยว่าฉันจะลดเงินเดือนมัน"


อี้เจี้ยนกลืนน้ำลาย


เขาหนักใจแทนเส้าเฉียน นอกจากจะไม่ได้ขึ้นเงินเดือนแล้วยังโดนลดอีกต่างหาก


แต่ก็สาสมกับการกระทำ ถ้ากล้าแหย่ให้อัลวินอารมณ์ไม่ดี เส้าเฉียนก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาด้วยแล้ว






------------------------


#รินรักล้นใจ

ขอโทษที่หายไปนานนะคะ เป็นเดือนเลย แหะ แหะ


ยอมรับผิดเลย เพราะเราเปิดเทอมแล้วปีนี้ต้องปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่มากจริงๆ ถูกเลกเชอร์และแล็ปถล่มจนแทบจะไม่มีเวลาทำอะไร วิชาใหม่ๆ มาเพี๊ยบบ แต่ละตัวก็ยาก โอเอ็มจี ;____;


ตอนนี้มีตัวละครใหม่ๆ โผล่มาบ้างแล้ว ชื่อฮ่องกงอาจจะจำยากแต่เดี๋ยวอีกหน่อยจะโผล่มาบ่อยๆ เชื่อว่าทุกคนจะจำได้เอง จริงๆ แล้วคุณอัลวินก็มีชื่อจีนนะ แต่ยังไม่บอกในตอนนี้ ฮิฮิ


ขอบคุณทุกยอดวิว ทุกคอมเมนต์นะคะ รักกก
 


 





หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: korner ที่ 03-09-2017 23:07:48
มาอัพต่อไวๆนะคะ จริงๆอยากบอกว่าให้มาอัพทุกวันแต่เปิดเทอมแล้วเราเข้าใจจจจ เนื้อเรื่องเรื่อยๆแต่ไม่น่าเบื่อ เราชอบบบ รอจ้าาา
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 03-09-2017 23:23:57
รอตอนต่อไปจ้า  o13
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Pawaree ที่ 03-09-2017 23:58:50
รอตอนต่อไปจ้าาาาาา
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 04-09-2017 08:15:18
มาช้ายังดีกว่าไม่มา ขอแค่อย่าทิ้งคนอ่านนะคะ  :monkeysad:

รออ่านต่อค่ะ


ให้กำลังใจคนแต่งค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-09-2017 08:46:21
สนุกมากเลยค่าาา รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 04-09-2017 10:47:05
น่ารักๆ บรรยากาศแบบนี้ฟีลกู๊ดมากๆ ครับ
หวังว่าคุณครูและเด็กๆ จะไม่เป็นอันตรายนะครับ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: มะเมอเมอ ที่ 04-09-2017 11:16:24
อัลวินมีความอ่อยเบาๆ (ฮา)
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: BloodyBlue ที่ 04-09-2017 20:07:53
สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: KMprince ที่ 04-09-2017 22:15:28
อัลวินยอมรับมาเถอะ ว่าคิดถึงครูริน มารับจริงๆอะแหละ 55
คนจากฝั่งฮ่องกงเพิ่มมาหลายคนเลย
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: minduen ที่ 05-09-2017 18:03:40
สนุกค่า มาต่อไวๆน้า :mew1:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 06-09-2017 22:45:15
 :pig4: :pig4: :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 07-09-2017 19:42:27
ตามมาจากกระทู้แนะนำ ละก็สนุกจริงๆ ดำเนินเรื่องเรื่อยๆ แต่อ่านเพลินมาก สนุกจริงๆ ครูรินน่ารักดี ไม่ถึงกับอ้อนแอ้น กำลังดีอ่ะ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 07-09-2017 21:42:34
สนุกมากครับ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 07-09-2017 22:30:41
สนุกจร้า
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-09-2017 10:28:21
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sleepingsheeppp ที่ 08-09-2017 12:05:44
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 10-09-2017 00:44:01
รอนะคะ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 10-09-2017 23:06:41
ตัวละครใหม่ ติ้งซิน โผล่มาแต่ชื่อ แต่คาดว่าต้องนำความวุ่นวายมาให้แน่ ๆ เลย
คุณอัลวิน ก็เปลี่ยนไปจริง ๆ นั่นแหละ ต่างจากวันแรกที่ครูรินทักทายเหลือเกิน
ไม่หงุดหงิดที่ครูรินถามเรื่องตัวเองแล้วด้วย แถมตอนนี้มีแอบหยอดด้วยนะ
มารับครู แหม ๆ ทำเป็นพูดเล่น แต่ทำไมรู้สึกว่าจริงก็ไม่รู้
ทำเอาครูรินเราใจเต้นซะแล้ว ส่วนอัลวินเอง อยู่ที่ไหนก็คิดถึงแต่ครูริน ฮือ น่ารัก  :-[
เขาเริ่มมีพัฒนาการกันแล้วอ่ะ ดีใจ ไปแบบเรื่อย ๆ ละมุนละไม แต่ทำเราเขินได้ ชอบ
รอตอนต่อไปน้า  ขอบคุณคนเขียนมากค่า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-09-2017 00:04:09
ครูน่ารักจัง อิอิ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 12-09-2017 18:55:06
สนุกสมคำแนะนำเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ มาต่อบ่อย ๆ ก็ดี
ภาษาสวยงามมากเลย เนื้อเรื่องก็น่าลุ้นมากคุณมาเฟียน่าจะเริ่มรู้ตัวบ้างแล้วแต่จะสานต่อยังไง
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: dekzappp ที่ 14-09-2017 21:55:56
ตามมาจากห้องแนะนำ ชอบบบรรยากาศเอื่อยๆรอบๆตัวครูรินจัง เด็กๆก็น่ารักกกกก ถ้าครูรรินโดนพาตัวไปฮ่องกง. เด็กๆจะทำไงละเนี่ยย
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 17-09-2017 23:48:19
ครูรินน่ารักกก แต่อัลวินนี่เป็นใครกันหว่า ปริศนาเยอะแยะจังเลยพ่อคนหล่ออ เจ้าพ่อฮ่องกงเหรอ 55555555
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: korner ที่ 22-09-2017 01:53:49
มารอต่อใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: kaokorn ที่ 22-09-2017 17:01:11
ตามมาจากทู้แนะนำฮะ และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ อ่านได้เรื่อยๆและน่าติดตาม
รอตอนต่อไปนะฮะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: casper75 ที่ 23-09-2017 02:30:05
เอาแล้ววุ้ยย เริ่มเข้าหาครูรินแล้ว
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: PAiPEiPEi ที่ 25-09-2017 13:27:17
ฝากเกร็ดเล็กๆให้คุณคนเขียนค่ะ   ครูรินเป็นผช.ถึงพูดคำเมืองก็ไม่พูดเจ้านะคะ  ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ผช.ก็พูดครับนั่นแหละค่ะแต่มันจะมีสำเนียงแบบสูงๆขึ้นจมูกหน่อยๆที่พิมพ์เอาละมันไม่ได้อารมณ์
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: JellyKei ที่ 26-09-2017 16:27:16
เพิ่งมาตามอ่านค่ะ ชอบครูรินมากเลยดูนิ่งๆเย็นๆน่ารัก
ติ้งซินนี่น่าจะเป็นคู่หมั้นของอัลวินอะไรทำนองนี้รึเปล่านะ แต่คุณอัลวินดูท่าทางจะเริ่มชอบครูรินแล้วล่ะสิ มีคิดถึงด้วยแหม :hao7:

รอตอนต่อไปนะคะ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 27-09-2017 16:27:05
รอๆ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 12-10-2017 07:09:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-10-2017 02:59:59
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 13-10-2017 20:53:22
ปักหมุดรอค่ะ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: AcRo04 ที่ 12-11-2017 20:51:15
รอออออ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 24-11-2017 13:55:16
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 24-11-2017 14:43:10
ติดตามจ้า  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 01-12-2017 14:34:22
เด็กๆน่ารักกกกกกกก
ครูรินเหมือนเป็นหัวหน้าแก็งค์มากกว่าจันอีกนะ
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: PKKER ที่ 11-12-2017 16:22:05
คิดถึงครูรินมากเลยค่ะ รอนะคะ
 :z3: :hao5:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลม ที่ 13-12-2017 18:42:52
 :L2:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 31-01-2018 12:56:09
ยังรออยู่นะคะ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวลูกไก่ ที่ 06-02-2018 01:29:00
แอบรอเธออยู่นะจ๊ะ  :katai2-1: คิดถึงจังเลยค่าา
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Trystan ที่ 01-04-2018 02:51:12
แอบมาบอกว่ารออยู่นะคับ  :hao5:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 30-04-2018 14:41:11
น่ารักกกกกกกก ทั้งครูรินทั้งเด็กๆน่ารักมากเลยค่ะ รอนะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 8 P.4] 21/4/2019
เริ่มหัวข้อโดย: JAMNIN ที่ 21-04-2019 18:20:37
8


ประโยคง่ายๆ




เปิดภาคเรียนมาได้สองเดือนนิดๆ ฤดูกาลสอบกลางภาคก็มาถึง สองสามวันมานี้สามแสบไม่มาป้วนเปี้ยนแถวบ้านครูรินเหมือนเช่นเคย เป็นเพราะโดนคุณครูไล่ให้ไปอ่านหนังสือ บ้านครูรินจึงเงียบสงบกว่าเดิม เป็นโอกาสอันดีให้นรินทร์เตรียมการเรียนการสอนและสวมวิญญาณนักแปล แปลบทความคืบหน้าไปได้มากโข


วันสอบไม่มีนักเรียนคนไหนมาสาย โต๊ะไม้ตัวเล็กถูกจัดให้เว้นระยะห่างมากกว่าเดิมเพื่อป้องกันการลอกข้อสอบ ที่บอร์ดให้ความรู้สองฟากของห้องเรียนถูกปิดทับด้วยกระดาษแผ่นใหญ่ไม่ให้เด็กๆ แอบดูข้อมูลได้ ห้องเรียนเงียบเชียบกว่าทุกวันเนื่องจากไม่มีเสียงคุยกันของเด็กๆ จนได้ยินเสียงพัดลมเพดานดังหึ่งๆ และเสียงนกร้องดังลอดเข้ามาในห้อง


นรินทร์แจกข้อสอบจนครบทุกคน ชี้แจงกฎเกณฑ์ของข้อสอบ แล้วจึงให้นักเรียนเปิดข้อสอบทำได้ คุณครูหนุ่มเดินดูนักเรียนทำข้อสอบไปเรื่อยๆ โดยเว้นระยะห่างจากโต๊ะของเด็กๆ พอสมควร และไม่ยืนดูเด็กคนใดคนหนึ่งทำข้อสอบนานจนเกินไป ด้วยเข้าใจความรู้สึกของเด็กที่กำลังทำข้อสอบอย่างขะมักเขม้น


ตอนที่เขาเป็นเด็กเขาไม่ชอบให้คุณครูมายืนดูข้างหลังเอาเสียเลย จะทำข้อสอบก็รู้สึกเกร็งไปหมด หัวสมองไม่แล่นเพราะกลัวจะตอบผิดให้คุณครูเห็น เป็นเรื่องน่าอาย พอมาเป็นครูเสียเองตามบทบาทหน้าที่แล้วจะไม่ให้เดินดูเด็กๆ ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะต้องตรวจตราความเรียบร้อยและคอยสังเกตว่านักเรียนเขียนชื่อเลขที่ถูกไหม แอบโกงข้อสอบกันหรือเปล่า อีกทั้งนรินทร์ยังไม่ชอบนั่งเฉยๆ ให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า


การสังเกตเด็กๆ ก็เป็นอะไรที่เพลิดเพลินอย่างหนึ่ง บางคนทำเสร็จแล้วก็วาดการ์ตูนบนกระดาษข้อสอบ บางคนก็ฟุบหลับลงไปกับโต๊ะ หรือมีอีกบางจำพวกที่ยังทำไม่เสร็จ แต่ดูท่าจะทำไม่ได้แล้ว ก็เอายางลบตัดเป็นลูกเต๋า เขียนตัวเลือก ก ข ค แล้วทอยเสี่ยงดวงว่าจะออกข้อไหนก็กากบาทข้อนั้น หรืออีกวิธีที่ยอดฮิตไม่แพ้กันก็คือหลับตาแล้วเอาดินสอจิ้ม ปลายดินสอไปโดนคำตอบข้อไหนก็ถือเป็นคำตอบที่ใช้


นรินทร์ได้แต่ยิ้มๆ


จะให้ไปห้ามเด็กไม่ให้ใช้วิธีเดาข้อสอบแบบนั้นก็ไม่ใช้เรื่อง


ปฏิเสธได้ที่ไหนว่าทุกคนไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน ในเมื่อเป็นเรื่องพื้นฐานไม่ได้โกงข้อสอบจนผิดกฎ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องห้ามจริงไหม


จะมีบ้างที่นึกโทษตัวเอง ว่าตัวเองสอนไม่รู้เรื่องจนเด็กไม่เข้าใจจึงต้องเดาข้อสอบเลยหรือนี่


พอหมดเวลาสอบครูรินก็บอกให้นักเรียนวางดินสอและเก็บข้อสอบ เมื่อเลขที่สุดท้ายส่งกระดาษคำตอบครบ เสียงจอแจก็เริ่มดังขึ้นในห้องเรียนอีกครั้ง มีทั้งโอดครวญ ทั้งดีใจที่ทำข้อสอบได้ หรือทั้งโล่งใจที่สอบเสร็จซักที


นรินทร์ถือปึกกระดาษคำตอบของนักเรียนเข้ามาในห้องพักครู เมธินีเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มทักทายให้ แต่ครูรินไม่ได้ยิ้มตอบ ซ้ำยังมีท่าทางเคร่งขรึมผิดกับบุคลิกสบายๆ ตามปกติ


"พี่เมย์ ตอนทำภาษาไทยเด็กหน้านิ่วคิ้วขมวด" คุณครูหนุ่มว่าขึ้น สีหน้าจริงจังของนรินทร์ทำเอาครูสอนภาษาไทยรู้สึกกังวลตาม


"ข้อสอบพี่ยากขนาดนั้นเลยเหรอ" เมธินีถาม เธอคิดว่าข้อสอบก็ออกตามที่เคยสอน ไม่ได้ออกยากจนเกินไปนะ


"เด็กปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ พอผมอนุญาตนี่รีบวิ่งปรู๊ดไปเลย"


คำเฉลยของคนอายุน้อยกว่าทำให้ครูเมย์มองค้อน คงโดนคนขี้แกล้งหลอกเข้าให้แล้ว "เฮ้อ พี่ก็นึกว่าเกี่ยวกับข้อสอบ"


"เกี่ยวสิพี่ เด็กหน้าเครียดจ้องข้อสอบตั้งนานสองนาน" ทว่าคนคุมสอบมาหมาดๆ ยังคงไม่เลิกทำหน้าขรึม จนครูเมย์ลังเลใจอีกครั้ง


"จริงเหรอ"


"ใช่ กว่าจะนึกว่าจะวาดรูปอะไรลงไปดี เวลาเหลือเยอะมาก ข้อสอบง่ายจัด" ท้ายประโยคจากน้ำเสียงเรียบๆ ก็เปลี่ยนเป็นกลั้วหัวเราะ   


"แหม มุกห้าบาทสิบบาทก็ยังจะเล่น" ครูเมย์เท้าเอว แกล้งเบ้ปากใส่


เท่านั้นเองนรินทร์ก็หัวเราะออกมา ได้แกล้งพี่เมย์วันละนิดจิตแจ่มใส แกล้งเด็กไม่ได้ก็มาแกล้งครูนี่แหละ สนุกดี   


เขาคุยเล่นกับเมธินีอีกหน่อย ก่อนที่จะจัดการเก็บกระดาษคำตอบวิชาของตัวเองใส่กระเป๋าเพื่อเอากลับบ้านไปตรวจ





พอสอบเสร็จแล้วบ้านพักครูหลังเล็กๆ ก็กลับมาเป็นจุดหมายยามเย็นของสามหน่อดังเดิม


แต่แทนที่เพื่อนซี้ต่างสายชั้นมารวมตัวกันจะเล่นกันสนุกสนาน เด็กอายุมากสุดกลับมีสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วขมวด เหมือนกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก นรินทร์เห็นแล้วก็สงสัยว่าเรื่องอะไรกันที่ทำให้เด็กทะเล้นอย่างจันจริงจังขึ้นมาได้ ขนาดตอนคิดคำตอบข้อสอบภาษาอังกฤษข้อปราบเซียนที่เขาเป็นคนออกยังไม่หน้านิ่วคิ้วขมวดขนาดนี้


อ้อ ข้อนั้นตอบถูกด้วย เก่งมากลูกศิษย์ใครกัน


"จันเครียดอะไรหือ สอบเสร็จแล้วหนิ" เขาถามด้วยความสงสัย


"ไม่เครียดได้ไง นี่เป็นเรื่องใหญ่" จันเอามือลูบคางเหมือนผู้ใหญ่ตอนกำลังใช้ความคิด ไม่รู้ว่าไปเลียนแบบมาจากหนังเรื่องไหน


"เรื่องอะไร"


"อีกสองวันก็วันเกิดยายแล้ว ไม่รู้จะให้ของขวัญอะไรยายดี" จันว่า ใบหน้ายังคงยุ่งเหยิง


เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องเครียดสำหรับเด็กที่รักยายมากจริงๆ


พอรู้สาเหตุ รอยยิ้มเอ็นดูก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของครูริน ส่งมือวางแปะบนหัวเล็กแล้วโยกเบาๆ เขาอยากจะบอกไปว่าแค่จันเป็นเด็กดีก็เป็นของขวัญที่ดีสำหรับคุณยายแล้ว แต่ความจริงจันก็เป็นเด็กดีกับยายมาโดยตลอดอยู่แล้ว


"ผมนับเงินในกระปุกแล้วมีอยู่ห้าร้อยกว่าบาท" จันบอก แบมือห้านิ้วประกอบคำพูด


"หืม จะเอาเงินเก็บมาใช้เหรอ"


นรินทร์ก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าจันหยอดกระปุกทุกวัน นึกว่าจะเก็บเอาไว้ซื้อของเล่น ที่แท้แล้วจุดประสงค์จะนำมาซื้อของขวัญให้คุณยายนี่เอง


"ช่าย เก็บวันละสามสี่บาท ตอนนี้หมูอู๊ดๆ ใกล้เต็มแล้ว" จันอวดด้วยแววตาเป็นประกายภาคภูมิใจ


"อื้ม...ครูว่าทำอะไรให้คุณยายโดยไม่ต้องใช่เงินจะดีกว่าไหม" ครูรินออกความคิดเห็น เท่าที่รู้จักกับคุณยาย แกอยู่อย่างประหยัดอดออม คงไม่ได้อยากได้อะไรเป็นพิเศษ "ถ้าจันทำให้ยายด้วยตัวเอง ยายคงจะดีใจมาก"


"งั้นทำอะไรดี" เจ้าตัวแสบถาม


"อะไรที่แสดงความรัก ความเคารพ"


"ผมรักยายเลยหอมแก้มก่อนนอน เคารพผมก็ไหว้ยายอยู่ทุกวัน"


"ผมก็ไหว้พ่อแม่ทุกวันเลย" เนมว่าขึ้นมาบ้าง


"หนูไปไหว้พระที่วัด ที่วัดมีติดไว้ว่าพ่อแม่คือพระในบ้าน" โมเล่าเสียงเจื้อยแจ้ว "พระบอกว่าต้องเคารพพระในบ้าน ให้เป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อแม่ หนูก็ทำตาม"


นรินทร์ลูบผมม้าเต่อๆ ของเจ้าตัวเล็กพลางอมยิ้ม เอ่ยชม "ดีมาก"


"พ่อแม่เป็นพระในบ้าน ถ้างั้นยายก็คือพระพุทธเจ้า!"


แค่ก! คนเป็นครูแทบสำลักน้ำลายเมื่อจันโพลงขึ้นมา


"พระพุทธเจ้าเลยเหรอ"


"ใช่แล้ว เพราะยายยิ่งใหญ่ที่สุด"


นรินทร์ยิ้มเจื่อน เด็กคนนี้สูสีกับพวกที่ส่งมีมพระในโซเชียลเลยนะเนี่ย


จันไม่ได้จะลบหลู่ศาสนาหรอกเขารู้ดี ในเมื่อสำหรับจันแล้วยายสำคัญที่สุดเพราะเลี้ยงเจ้าตัวมา ยายเลยเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจ ถ้าพ่อแม่คือพระ ระดับความสำคัญของยายก็คือศาสดาเลยทีเดียวเชียว


"อย่างนั้นต้องไหว้ยายเป็นพิเศษเลยสิ" โมทำตาโต


พอโมพูดจบ จันก็เหมือนจะมีความคิดดีๆ ขึ้นมา


"ผมคิดออกแล้ว!" เจ้าตัวยิ้มแฉ่งตีปีกพั่บๆ อย่างดีอกดีใจ "ถ้าไปไหว้พระก็ต้องมีพวงมาลัย งั้นผมจะให้พวงมาลัยยาย"


“เป็นความคิดที่ดีเลย” นรินทร์ชม


คุณยายคงไม่อยากให้จันใช้เงินเก็บซื้อของแพงๆ ให้ตัวเองหรอก พวงมาลัยมีราคาไม่แพง ทั้งยังแสดงถึงความเคารพ เป็นของขวัญที่ดี


"ผมจะร้อยพวงมาลัยให้ยาย"


คำกล่าวอย่างกระตือรือร้นของจันทำให้ครูรินเลิกคิ้ว นึกว่าจะซื้อให้ยายเฉยๆ แต่จะร้อยให้ด้วยตัวเองเลยซะงั้น


"แต่ว่า...ผมร้อยไม่เป็นง่ะ" จันหน้าจ๋อยอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหันขวับมาหาคนเป็นครูด้วยสายตามีความหวัง "ครูรินร้อยเป็นไหม"


นรินทร์ส่ายหน้าหวือ "ครูก็ร้อยไม่เป็น"


เขาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ไม่ได้สอนการงานอาชีพซะหน่อย


"แล้วอย่างนี้ผมจะทำได้ไง" เจ้าตัวแสบออกอาการหงอยออกมาอย่างเห็นได้ชัด


"ในเน็ตน่าจะมีสอนอยู่นะ"


"จริงด้วย!"


นรินทร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเข้ายูทูปแล้วเสิร์ชหาวีธีร้อยมาลัย เด็กๆ ทั้งสามล้อมวงกันเข้ามาดูจนหัวกลมๆ ชนกัน


"ยากจังเลย" ดูไปซักพักจันก็บ่นออกมา


"ไม่ยากหรอก ร้อยเข้าไปซ้อนๆ กัน ต้องหมุนให้แต่ละดอกเหลื่อมกันให้สวยๆ" เขาให้กำลังใจ


"ว้าว ครูรินเก่งจัง ดูครั้งเดียวก็รู้เลย" เนมชม


"งั้นครูก็ร้อยเป็นแล้วน่ะสิ ครูรินสอนผมหน่อย"


"เอ่อ..."


เอาแล้วไงไอ้ริน ดูในคลิปก็ไม่น่ายาก แต่จะทำจริงได้ไหมนั้นอีกเรื่อง


คนเป็นครูไม่แน่ใจในตัวเอง แต่เด็กๆ ดูจะเชื่อใจกันเหลือเกิน ทำหน้าออดอ้อนแล้วเขย่าขาของเขากันใหญ่ 


"น้าาาา" จันยิ้มเผล่ ทำตาปิ๊งๆ ใส่


"พวกเราก็อยากทำด้วย" อีกสองหน่อก็เห็นเป็นเรื่องน่าสนุก ขอร้องกันเสียงอ่อนเสียงหวาน


"น้าาาา"


จนแล้วจนรอดก็จบลงด้วยการที่นรินทร์คว้ากุญแจเปิดห้องของโรงเรียนเดินไปหาอุปกรณ์สำหรับร้อยมาลัยในห้องการงานอาชีพ เด็กๆ ก็มาช่วยหาด้วย จึงใช้เวลาไม่นานก็ได้เข็มยาวสำหรับร้อยมาลัย ด้าย แล้วก็กรรไกรมาสามสี่อัน


สิ่งสำคัญที่จะขาดไปไม่ได้เลยก็คือดอกไม้


เช้าวันรุ่งขึ้น นรินทร์ขี่มอเตอร์ไซด์กลางเก่ากลางใหม่โดยมีจันนั่งซ้อนท้ายกอดเอวไปยังตลาดเพื่อซื้อดอกไม้สด เจ้าตัวแสบอารมณ์ดีร้องเพลงหงุงหงิงไปตลอดทางสลับกับชวนครูรินคุย พอเขาตอบกลับไปจันดันได้ยินไม่ชัดเพราะลมตีหน้า เลยเอาแต่ถามย้ำๆ


"ตัวแค่เนี่ยหูตึงแล้ว" เขาแซว


"ครูโตแล้วก็พูดเสียงดังๆ เซ่"


ถ้าไม่ติดว่าต้องจับแฮนมอเตอร์ไซด์นะ อยากจะบิดหูเด็กขี้เถียงให้เข็ด


ขากลับจากตลาด นอกจากดอกไม้ที่ต้องการแล้วที่ตะกร้าหน้ารถยังเต็มไปด้วยของกิน โจ้กหมูใส่ไข่ไม่เอาขิงเป็นอาหารเช้าของครูริน น้ำเต้าหู้ ปลาท่องโก๋ สังขยาเอาไว้เป็นขนมหวานท้ายมืออาหาร แล้วยังมีขนมหม้อแกง สังขยาฟักทองที่ซื้อไปเผื่อเจ้าสามหน่อ


ก่อนที่จะกับถึงบ้านของเขาต้องผ่านบ้านของอัลวิน นรินทร์เผลอชะลอรถให้ช้าลงพลางหันไปที่ตัวบ้านเพื่อมองหาเพื่อนบ้านตัวใหญ่โดยไม่รู้ตัว


ดวงตาสองคู่สบกันพอดิบพอดีเมื่ออัลวินก็มองมาทางนี้ด้วยเหมือนกัน นรินทร์นิ่งไปชั่วครู่เพราะไม่คาดคิดว่าอีกคนจะมานั่งเล่นอยู่ใต้ถุนบ้านอยู่พอดี เขาหยุดรถเพื่อจะทักทายอัลวินโดยการส่งยิ้มให้


"ไปไหนมาเหรอ" เป็นอัลวินที่เป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อน ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินเข้ามาหาใกล้ๆ


"ไปตลาดมาน่ะครับ ไปซื้อของกินแล้วก็ดอกไม้มาร้อยมาลัย"


"มาลัย?" อัลวินทวน


"ดอกไม้ร้อยเป็นพวงที่เอาไว้ไหว้พระ คุณเคยเห็นไหม" นรินทร์อธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นว่าคนต่างชาติเหมือนจะไม่เข้าใจ


อัลวินทวนความจำในตอนที่ไปทริปไหว้พระกับคนตรงหน้า ตอนหย่อนกล่องบริจาคค่าธูปเทียนเหมือนจะได้ดอกไม้ร้อยเป็นพวงมาเหมือนกัน


"ผมนึกออกแล้วว่าเคยเห็นที่วัด" อัลวินว่า มองถุงใส่ดอกไม้สดแล้วถาม "คุณจะร้อยเองหรือ"


"จะสอนจันทำครับ เด็กนี่จะร้อยไปไหว้คุณยายในวันเกิด" ครูรินตอบยิ้มๆ


อัลวินพยักหน้ารับรู้ จากนั้นจึงเลื่อนสายตามาหาคู่สนทนาที่แต่งกายด้วยเสื้อยืดสีขาวกางเกงขาสั้น เป็นชุดง่ายๆ ใส่สบายที่เขามักเห็นนรินทร์ใส่ตอนอยู่บ้านไม่ได้ออกไปไหน พอเทียบกับชุดคล้ายๆ กันของเด็กชื่อจันที่กอดเอวบางอยู่เหมือนลูกลิงเกาะแม่ลิงแล้ว สองคนนี้ก็ดูเหมือนพี่น้องกันมากกว่าคุณครูกับลูกศิษย์เสียอีก


"น่าสนใจ ผมขอไปดูด้วยสิ"


"มาเลยครับ แต่ผมไม่ให้ดูเฉยๆ นะ คุณต้องมาช่วยร้อยด้วย" นรินทร์ยิ้มมุมปากรีบบอกอย่างมัดมือชก


"ผมทำไม่เป็น" อัลวินเลิกคิ้วเล็กน้อย


"ไม่ต้องห่วง ผมก็ร้อยไม่เป็นครับ แต่เรามีตัวช่วยคือคลิปยูทูป" คนเป็นครูยิ้มเหมือนเด็กๆ


ได้ผู้ใหญ่มาช่วยศึกษาวิธีร้อยจากยูทูปด้วยอีกคน ถ้ายังร้อยออกมาไม่สำเร็จ หน้าแตกก็ไม่ต้องหน้าแตกคนเดียวแล้วล่ะ


ไม่กี่นาทีต่อมาภายในบ้านหลังเล็กๆ ของครูรินก็ถูกจับจองพื้นที่ไปกว่าครึ่งของห้องนั่งเล่น นรินทร์แจกเข็มให้แต่ละคนก่อนจะหยิบดอกไม้แต่ละถุงมากองอยู่กลางวง


อัลวินดูจะสนใจกองหนึ่งเป็นพิเศษ มือใหญ่หยิบดอกสีขาวเล็กๆ ที่ดูไม่เหมือนดอกไม้เท่าไหร่ในความคิดของเขาขึ้นมาดู


"นี่ดอกอะไร"


"ขั้วดอกรักน่ะครับ เด็ดออกมาจากดอกรักอีกที"


นรินทร์ไม่รู้ว่าดอกรักภาษาอังกฤษคืออะไร เลยบอกเป็นภาษาไทยไป


"รัก...love น่ะเหรอ" อัลวินถาม


เขาพยักหน้า





"ผมรักคุณ"





น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ เป็นตอนเดียวกับที่เด็กๆ หยุดคุยกันพอดี นรินทร์จึงได้ยินประโยคนี้อย่างชัดเจน


เกิดความเงียบคั่นกลางขึ้นมา เมื่อรอบข้างไร้ซึ่งเสียงนรินทร์จึงรู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองเต้นผิดจังหวะไปชั่วครู่ ก่อนจะรีบเสตาหลบนัยน์ตาสีเข้มที่จับจ้องมายังใบหน้าของเขาอย่างไม่วางตา


"ผมรักคุณ เป็นคำบอกรักภาษาไทยใช้ไหม"


ประโยคที่ตามมาจึงค่อยทำให้คนที่เผลอกลั้นใจไปหนึ่งจังหวะพรูลมหายใจออกมา


นรินทร์กะพริบตารัวๆ ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ ออกมา


"ถูกต้องครับ"


บ้าจริง ไม่ใช่ว่าหูแดงอยู่หรอกนะ


ไม่เห็นจะต้องเขินกับน้ำเสียงทุ้มต่ำ กับแค่ประโยคง่ายๆ ที่คนต่างชาติออกเสียงได้ชัดเจนเหมือนเจ้าของภาษา แม้ว่าคนต่างชาติคนนี้จะหน้าตาหล่อเหลาอย่างกับพระเอกซีรีย์ แล้วยังย้อมผมบลอนด์ที่แสนดูดีมากๆ ก็เถอะ ยังไงก็ผู้ชายเหมือนกันหรือเปล่า


นรินทร์ยังไม่กล้าหันไปมองหน้าคนที่ใฝ่เรียนภาษาไทยผิดเวลา เอาแต่หมุนเข็มในมือเล่นไปมา


"I love you แปลว่าผมรักคุณ แต่ถ้าผมรักครูต้องบอกว่า I love teacher"


ความรู้สึกประดักประเดิดเล็กน้อยของนรินทร์ถูกทำลายลงด้วยเสียงของจันที่ร้องออกมาเป็นทำนองเพลง พอมีหัวโจกเป็นแกนนำทั้งเนมและโมจึงร้องตามแล้วหัวเราะคิกคักกันใหญ่


ครูรินกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่ที่จู่ๆ ก็โดนนักเรียนบอกรักขึ้นมา


"ส่วนผมรักยายต้องบอกว่า I love grandmother"


ก่อนจะตามมาด้วยประโยคบอกรักอีกหลายๆ คน หลายอาชีพตามที่จันจะนึกคำศัพท์ออกมาได้ ครูรินจึงชวนเล่นเกมต่อคำศัพท์ ให้เด็กๆ ได้ฝึกภาษาไปในตัวระหว่างที่ร้อยมาลัยกันไปด้วย


แม้ว่าจะทำดอกไม้เสียไปหลายดอก โดนเข็มทิ่มจนมีเสียงแหลมๆ ร้องจ๊ากอย่างโอเวอร์ของตัวป่วนทั้งสามไปหลายรอบ ท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็ได้ผลงานมาลัยพวงแรกเป็นของตัวเอง


ถึงจะบิดๆ เบี้ยวๆ ไปบ้าง ดอกไม้ช้ำไปบ้างแต่ก็ทำจากใจ นรินทร์คิดว่ายายของจันจะต้องดีใจมากแน่ รวมถึงพ่อแม่ของโมกับเนมที่เจ้าตัวเล็กบอกว่าจะเอาไปไหว้คุณพ่อคุณแม่ด้วย ทำให้คนสอนยิ่งชื่นใจเข้าไปใหญ่


ส่วนมาลัยของครูรินกับอัลวิน ก็วางคู่กันอยู่บนหิ้งพระนั่นเอง























ตลาดยามเช้าวันอาทิตย์ก็เหมือนกับทุกวัน แตกต่างตรงที่นรินทร์ไม่ต้องขี่มอเตอร์ไซด์มาเอง ได้นั่งสบายๆ ตากแอร์เย็นๆ คอยบอกทางเพราะมีคนขับรถให้


เขาเหลือบมองคนที่เดินอยู่ข้างๆ ซึ่งตอนนี้หน้าแดงจางๆ และมีเหงื่อออกตามขมับ ไม่ใช่เพราะว่าอากาศร้อน แต่เกิดจากฤทธิ์ของน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดราดปลาหมึกย่างซึ่งเพิ่งกินไป


แม้จะเผ็ดแต่ก็กินจนเกลี้ยง ดูเหมือนว่าจะอร่อยจริงๆ


"เผ็ดขนาดนี้ซื้อน้ำไหมครับ"


พออัลวินพยักหน้า นรินทร์ก็พาอีกคนเดินเลี้ยวไปซื้อน้ำส้มปั่น


สืบเนื่องมาจากเมื่อวานหลังจากร้อยมาลัยกันเสร็จ นรินทร์ก็ชวนกินขนมที่ซื้อมาจากตลาด สังขยาฟักทองที่ตั้งใจซื้อฝากเด็กๆ โดนคนตัวโตจัดการจนเกลี้ยง เห็นคนต่างชาติตัวโตๆ ติดใจขนมไทยก็เห็นว่าน่าเอ็นดูดี เขาเลยโม้ไปว่ายังมีของอร่อยอีกเพียบต้องมาลองกินดู เป็นผลให้อีกฝ่ายขอตามมาตลาดด้วย อัลวินเลยมาเดินถือถุงของกินเดินตามนรินทร์ต้อยๆ อย่างตอนนี้


"ร้านนี้เจ้าดังเลย อร่อยมากครับ" เขาพาอัลวินมาหยุดหน้าร้านขายโรตีที่มีคนต่อแถวอยู่หลายคน การันตีเลยว่าอร่อยจริง "คุณต่อแถวก่อนนะ เดี๋ยวผมมา ไปซื้อเนื้อแป๊บนึง"


ขอดีของการมีคนมาจ่ายตลาดด้วยคือมีคนต่อแถวให้ ไม่ต้องเสียเวลา นรินทร์แอบยิ้มกริ่ม ก่อนจะผละออกไปยังร้านขายเนื้อซึ่งอยู่ไม่ไกล ตู้เย็นที่บ้านแทบจะโล่งแล้ว ต้องซื้อของสดไปตุนเสียหน่อย


อัลวินต่อแถวถึงคิวแล้วคนที่บอกว่าไปแป๊บเดียวก็ยังไม่กลับมา คนตัวสูงกวาดตามองก็ไม่เห็นตัวคุณครูคนเก่งของเด็กๆ ตาคมจึงหันกลับมามองป้ายที่เขียนเมนูเอาไว้ก่อนจะเอ่ยสั่งอย่างไม่ติดขัด


"ใส่กล้วยด้วยนะครับ"


"เอานมข้นหวานเยอะไหมพ่อหนุ่ม" 


"ไม่ต้องเยอะมากครับ"


"ได้เลยจ้า" 


"ราคาเท่าไหร่ครับ"


"ยี่สิบบาทจ้า"


"ขอส้อมอีกอันหนึ่งได้ไหมครับ"


อัลวินรับโรตีมาจากแม่ค้าแล้วจ่ายเงิน พอหันหลังกลับมาก็เห็นนรินทร์ยืนทำตาโตอยู่


"คุณพูดภาษาไทยได้"


อัลวินยักไหล่ ตอบกลับอย่างง่ายๆ "ผมมาอยู่ไทยก็ต้องเรียนบ้าง"


"คุณเรียนที่ไหนเหรอครับ"


นรินทร์เอียงคอ ส่วนใหญ่ก็เห็นว่าอัลวินอยู่บ้านตลอด ไม่เห็นจะออกไปเรียนตอนไหนเลย


"ผมศึกษาด้วยตัวเอง"


"เรียนมานานหรือยัง"


อัลวินนึกใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็ตอบ "ก็สองสามอาทิตย์แล้วล่ะนะ"


"แล้วคุณพูดคล่องปร๋อขนาดนี้เนี่ยนะครับ" นรินทร์ทำหน้าประหลาดใจ


"ผมพูดได้นิดหน่อย เขียนประโยคง่ายๆ ได้บ้าง"


"คุณเขียนได้ด้วย ไม่จริงน่า" จากตาที่กลมโตอยู่แล้วยิ่งโตกว่าเดิม


อัลวินเห็นท่าทีตื่นตกใจของคนตรงหน้า จากแววตาที่เรียบสนิทก็ปรากฏรอยขบขันขึ้นมา เขาถามพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก "คุณตกใจอะไรขนาดนี้"


"จะไม่ให้ผมตกใจได้ยังไงกันครับ ภาษาไทยน่ะขึ้นชื่อว่าเป็นภาษาที่ยากจะตาย"


"อย่างนั้นเหรอ" อัลวินมีท่าทีสบายๆ ราวกับจะบอกว่าไม่เห็นจะยากตรงไหน


"อย่างนี้คุณก็ฟังผมพูดออกน่ะสิ"


"ก็ฟังออกบ้าง คุณพูดช้าและชัด"


สำหรับอัลวินแล้วเขาคิดว่าสำเนียงของนรินทร์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษนั้นฟังง่าย โดยเฉพาะเวลาสอนเหล่าเด็กๆ จะมีน้ำเสียงเนิบๆ ทว่าไม่น่าเบื่อ ฟังแล้วให้ความรู้สึกเพลิดเพลิน ซึ่งเหมาะสมกับการเรียนรู้ เขาหัดฟังภาษาไทยจากคลิปและภาพยนตร์อยู่บ้าง แต่ทักษะการฟังของเขาพัฒนาไปได้เยอะก็เพราะฟังคนตรงหน้าพูด


อาจเป็นเพราะว่าเขาตั้งใจฟังนรินทร์พูดเพราะอยากรู้ว่าอีกคนกำลังพูดอะไรกับเด็กๆ อยู่ ประกอบกับมองไปยังปากบางๆ นั่นด้วยว่ากำลังขยับแบบไหนอยู่บ่อยครั้ง 


"แต่บางครั้งก็ฟังไม่ออก คุณพูดเป็นภาษาถิ่นใช่ไหม"


"ใช่ครับ เป็นภาษาที่คนภาคเหนือพูดกัน เรียกว่าอู้กำเมือง"


อย่างเช่นคำว่าอู้ ต้องทำปากยื่นออกมาเป็นตัวโอ...ลักษณะเหมือนตอนกำลังจะจูบ


อัลวินยิ้มมุมปาก ก่อนจะออกเสียงตาม "อู้กำเมือง?"


"ว้าว คุณพูดชัดจัง"


"เพราะผมเก่ง"


อัลวินมองคนที่หัวเราะออกมาจนตาหยีเพราะเขาชมตัวเองได้อย่างหน้าตาเฉย


"จริงครับจริง ผมเชื่อ" นรินทร์ทำเป็นพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง พร้อมกับยกนิ้วโป้งให้ ก่อนจะจิ้มโรตีที่อัลวินถืออยู่เข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ


"คุณจะซื้ออะไรอีกไหม"


"ของสดครบแล้วครับ คุณล่ะ อยากกินอะไรอีกไหม"


อัลวินส่ายหน้า


"งั้นก็กลับกันเถอะ" นรินทร์ว่า ก่อนออกเดินไปยังที่จอดรถ


ครูรินกินโรตีอย่างเอร็ดอร่อย เดินไปกินไป ดูเหมือนว่าคนที่ไปต่อแถวซื้อจะได้กินน้อยกว่าเขาซะอีก


เอ๊ะ


เดี๋ยวก่อนนะ


นรินทร์หันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนตัวโตกว่า สลับกับโรตีที่อัลวินเป็นคนสั่งได้อย่างคล่องแคล่ว ถ้าพูดเก่งได้ถึงขนาดนี้ แล้วประโยคเบสิกอย่างเมื่อวาน


...ทำมาเป็นถามว่าคือประโยคบอกรักหรือเปล่า ทั้งที่น่าจะเป็นประโยคแรกเริ่มที่ต้องเรียนอยู่แล้วแท้ๆ


โดนแกล้งใช่ไหมเนี่ย


นรินทร์ทำหน้ายู่ ฝีเท้าก้าวช้าลงเพราะกำลังใช้ความคิด ปล่อยให้อีกฝ่ายเดินนำหน้าไปก่อนเล็กน้อย เขามองคนที่มีแผ่นหลังกว้างกับท่าเดินหนักแน่นอย่างคนมั่นใจในตัวเองที่เดินนำไปที่รถ แล้วก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นบนใบหน้า


ยังเช้าอยู่เลย ทำไมอากาศร้อนชะมัด


















------------------------


#รินรักล้นใจ


กลับมาต่อแล้วค่ะ :hao5: :hao5:








หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 7 P.2] 3/9/2017
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 22-04-2019 07:26:45
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 9 P.4] 24/4/2019
เริ่มหัวข้อโดย: JAMNIN ที่ 24-04-2019 18:29:48
9



ฝึกภาษา




"เดทที่ตลาดกับคุณอัลวินเป็นไงบ้าง"



ระหว่างที่นรินทร์กำลังดื่มน้ำเต้าหู้ใส่วุ้นเยอะๆ อย่างที่โปรดปราน ครูสาวร่างอวบก็เดินมาหยุดลงหน้าโต๊ะที่เขานั่งอยู่ ก้มลงมาเท้าคางมอง ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้เขาแทบสำลัก



นรินทร์รีบกลืนน้ำเต้าหู้อึกๆ ก่อนจะปฏิเสธอย่างรวดเร็ว 



"ไม่ได้เดทซักหน่อย!"



"แซวเล่นแค่นี้ ทำไมต้องจริงจัง"



"ผมเปล่า!"



ครูเมย์หรี่ตามองอย่างจับผิดท่าทีที่ลุกลี้ลุกลนจนเกินไปของรุ่นน้องคนสนิท สายตาที่มองมาทำให้นรินทร์รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ อย่างบอกไม่ถูก เมธินีเหมือนจะสื่อว่า 'มีพิรุธจังนะริน' ออกมาทางสีหน้า



นรินทร์อยากจะถอนหายใจออกมาที่ตัวเองแสดงอาการตกใจมากเกินไปหน่อย ไม่ใช่ว่าเขินหรืออะไรหรอกนะ ที่ทำหน้าไม่ถูกเพราะพี่เมย์ใช้คำเหมือนเขากับอัลวินเป็นแฟนกันนี่แหละ ห่างหายไปจากการโดนพวกสาวๆ จับจิ้นกับหนุ่มๆ ไปตั้งแต่ช่วงมหา'ลัย พอมาโดนแซวแบบนี้เลยตั้งตัวไม่ทัน



"ตกใจเกินกว่าเหตุนะ"



เธอเลือกที่จะพูดออกมาแค่นี้ด้วยเสียงไม่จริงจังปนหัวเราะ



"แล้วพี่รู้ได้ไงว่าผมไปเดินตลาดกับคุณอัลวิน"



นรินทร์ไม่ปล่อยให้เมธินีถามเกี่ยวกับอาการของเขาไปมากกว่านี้ จึงรีบเป็นฝ่ายถามกลับไปเอง



"ฉันมีสายข่าวเยอะ" ครูเมย์ยักไหล่พลางอมยิ้ม



"พูดอย่างกับเป็นปาปารัสซี"



"ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง" เธอหัวเราะ "อย่างคุณอัลวินก็หล่ออย่างกับดาราได้เลยนะ



"พี่เคยเห็นเขาแล้วเหรอ"



"เขามาอยู่สักพักแล้วถ้าไม่เคยเห็นสิแปลก สีผมโดดเด่นซะขนาดนั้น"



นรินทร์หัวเราะ พยักหน้าเห็นด้วย และแล้วภาพของเพื่อนบ้านหน้านิ่งก็ปรากฏขึ้นในหัว จะว่าไปผมสีบลอนด์ของอัลวินตรงโคนก็เป็นสีดำแล้ว แม้จะมีผมสองสีก็ยังดูดี ไม่ได้ดูเหมือนเด็กแว้นแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าเบ้าหน้าก็สำคัญจริงๆ



หน้าหล่อมีชัยไปกว่าครึ่ง แล้วไหนจะบุคลิกภายนอกที่แสนจะดูดีนั่นอีก



"สนิทกันแล้วเหรอ"



"หืม"



ความคิดเพลินๆ ของครูหนุ่มถูกขัดจังหวะโดยเมธินี



"เห็นมีการไปไหนมาไหนด้วยกัน" ครูเมย์เห็นว่านรินทร์ไม่ตอบทันทีเลยพูดเสริมขึ้น



ครูรินนิ่งคิดไปครู่ ก่อนจะว่า "ก็สนิทกันมากขึ้น...เกินกว่าที่คิดเอาไว้" ประโยคหลังพูดเสียงเบาลง แต่ก็ไม่รอดพ้นที่เมธินีจะได้ยิน



"ยังไงกัน"



"ตอนแรกผมไม่คิดว่าจะสนิทกับเขาได้ อย่างที่เคยเล่าให้พี่ฟัง เจอกันครั้งแรกก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ตั้งแต่ผมไปขอให้เขาช่วยจัน ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเขายอมให้เข้าถึงมากกว่าเดิมจากตอนแรกที่เข้าถึงยากสุดๆ"



"แล้วตอนนี้"



"ก็...สนิทกันแล้ว"



"แล้วไม่สงสัยในตัวเขาแล้วเหรอ"



นรินทร์มองออกไปยังหน้าต่างห้อง จับจ้องยังท้องฟ้าสดใสยามใช้ความคิด แน่นอนว่าเขายังตงิดใจอยู่ว่าอัลวินไม่ได้เป็นนักท่องเที่ยวธรรมดาทั่วไป แต่จากการที่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเป็นส่วนใหญ่มาสักพัก เขาก็พบว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ดังนั้นความสงสัยจึงถูกปัดตกไป แล้วเลือกที่จะรู้ในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการให้รู้เท่านั้น จะได้สบายใจทั้งสองฝ่าย



บางทีอัลวินอาจจะมีเหตุผลส่วนตัวทำให้บอกความจริงไม่ได้



แต่ยังไงเขาก็คิดว่าอัลวินนั้นไว้วางใจได้ ไม่ใช่คนไม่ดีเสียหน่อย



"ผมว่าก็ไม่มีอะไรหรอก สงสัยไปก็เท่านั้น" นรินทร์ตอบปัดๆ ไปอย่างไม่สนใจอะไรมาก ขณะใช้หลอดดูดคนน้ำเต้าหู้ในแก้วอย่างเพลินๆ ก่อนจะเอ่ยเปลี่ยนเรื่องสนทนา "แล้วตรวจข้อสอบเป็นไงบ้างพี่เมย์ เด็กๆ ทำได้ไหม"



"คะแนนน่ะเหรอ คะแนนเฉลี่ยก็ถือว่าปานกลางนะ ดีที่ไม่มีใครตก"



"ดีแล้ว"



"ของรินล่ะ"



"ก็โอเคอยู่นะพี่ คนสอนเก่งก็งี้" นรินทร์อมยิ้มพลางยักคิ้ว



"จ้า จ้า"



"รวมปอสามกับปอหกก็มีได้เต็มตั้งแปดคนแหนะ ตอนแรกผมซื้อของรางวัลมาแค่ห้าอัน เลยต้องไปซื้อมาเพิ่ม"



นรินทร์ชี้ๆ ไปที่ถุงใส่ของซึ่งข้างในมีขนมกับตุ๊กตาเป็นรางวัลให้เด็กที่ได้เต็ม ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าจะให้ห้ารางวัลกับคนที่ได้คะแนนมากที่สุดเพื่อแสดงความยินดีให้กับลูกศิษย์และเป็นแรงกระตุ้นให้คนอื่นๆ ตั้งใจเรียนมากขึ้น แต่นึกไม่ถึงว่าเด็กๆ จะทำได้คะแนนเต็มตั้งแปดคน น่าปลื้มใจเป็นที่สุด



"เดี๋ยวนี้ภาษาสำคัญ เห็นเด็กๆ เก่งอังกฤษตั้งแต่ยังเด็กก็ดีเนอะ เป็นพื้นฐานทั้งนั้น"



"ใช่พี่ ผมสอนสุดฝีมือเลย"



"ได้เรียนอังกฤษกับครูริน ถือเป็นโชคดีของเด็กๆ"



"แหม อวยกันอย่างนี้เลย ผมจะลอยแล้ว" นรินทร์แกล้งทำเป็นยกมือขึ้นปิดหน้าและทำทีเป็นเขินอาย



"งั้นขอกลับคำแล้วกัน" ครูเมย์ชักจะหมั่นไส้



"ไม่ได้สิ ชมแล้วชมเลย" นรินทร์หัวเราะ

















 

ร่างผอมของนรินทร์เดินตรวจตราไปตามชั้นต่างๆ ของตึกเรียน คนเป็นครูที่เป็นเวรวันนี้ไล่ดูไปทีละห้องอย่างไม่เร่งรีบ ในขณะที่เดินมาจนถึงห้องเรียนของระดับชั้นป.สี่ เขาก็ได้ยินเสียงของเด็กคนหนึ่งที่กำลังแจกแจงหน้าที่ให้เพื่อนๆ



"เรา จิน คุกกี้ แล้วก็ว่านช่วยกันกวาดห้องกับถูห้องนะ"



ดูเหมือนว่าเด็กชายขมจะเป็นหัวหน้าเวรทำความสะอาดห้องเรียน จึงมีหน้าที่มอบหมายงานให้เพื่อน



นรินทร์ชะงักฝีเท้าเมื่อหยุดอยู่ข้างห้องเรียน จากจุดนี้เขาสามารถมองเห็นในห้องเรียนได้ แต่คนในห้องไม่น่าจะมองเห็นเขา ครูรินเลือกที่จะยืนสังเกตการณ์อยู่นอกห้องก่อนแทนที่จะเข้าไปดู



เขาเห็นขมหันไปสั่งเด็กผู้ชายใส่แว่นอีกคนที่ยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวนอกวงด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่



"ส่วนยอด นายต้องยกเก้าอี้ขึ้นบนโต๊ะ ทิ้งขยะ เปลี่ยนน้ำต้นไม้ แล้วก็เคาะแปรงลบกระดานด้วย"



ได้ยินดังนั้นคิ้วเรียวของนรินทร์ก็ขมวดเข้าหากันทันที ยอดโดนสั่งงานมากกว่าเพื่อนคนอื่น ซ้ำยังเป็นงานที่หนักกว่า ทั้งที่น่าจะช่วยๆ กันทำหลายคนแท้ๆ



เขาถอนหายใจ



เอาอีกแล้ว เด็กชายยอดโดนขมแกล้งอีกแล้ว



เขาพยายามสังเกตท่าทางของเด็กที่ก้มหน้าแล้วรับคำเบาๆ อย่างไม่หือไม่อือว่ากำลังรู้สึกแบบไหน เห็นท่าทางหงอยๆ แล้วนึกสงสารขึ้นมาจับใจ



ขมก็จริงๆ เลย เก่งนักเรื่องแกล้งเพื่อน



จะแก้ไขปัญหานี้ยังไงดีนะ



ครูรินเผลอกัดริมฝีปากตัวเองอย่างไม่ได้ตั้งใจเมื่อกำลังครุ่นคิด คิดไปสักพักก็คิดไม่ตกเสียที จะให้เข้าไปห้ามตรงๆ ว่าอย่าแกล้งเพื่อน ก็เป็นวิธีที่แก้ไขสถานการณ์ได้เพียงแค่ตอนนี้เท่านั้น ภายหน้าขมก็คงยังแกล้งยอดต่อไปโดยไม่สำนึกอยู่ดี ยิ่งแย่ไปกว่านั้น ถ้าเกิดขมคิดว่าเขาลำเอียงเอาแต่เข้ามาปกป้องยอด อาจจะแค้นเคืองแล้วหาเรื่องแกล้งยอดหนักยิ่งขึ้นไปอีกก็ได้ 



คราวนี้นรินทร์จึงปล่อยไปก่อน เขาก้าวเท้าออกไปจากบริเวณนั้น แต่คิ้วเรียวก็ยังไม่คลายลง



คนเป็นครูเดินดูความเรียบร้อยเหมือนอย่างที่เคยทำเป็นประจำ จนกระทั่งเดินจนทั่วโรงเรียนแล้ว เขาก็เดินกลับมานั่งที่ม้านั่งใต้ต้นทองกวาวข้างสนามฟุตบอล



ถัดไปแค่สองโต๊ะ เขาก็เห็นเด็กชายที่เพิ่งแกล้งเพื่อนมาหมาดๆ นั่งอยู่คนเดียวด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ขมเหม่อมองไปกลางสนามที่เพื่อนๆ เล่นบอลกันอยู่ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เข้าไปร่วมวงเสียที



"ไม่ไปเล่นบอลกับเพื่อนเหรอ"



ขมเงยหน้าไปก็เห็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษมายืนอยู่ข้างๆ ก่อนที่จะนั่งลงยังเก้าอี้ซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน



เด็กชายส่ายหน้า "ผมไม่ค่อยมีอารมณ์เล่น"



นรินทร์มองเด็กชายที่ถือว่าตัวใหญ่เกินเด็กวัยเดียวกัน พูดจาเหมือนผู้ใหญ่เชียว



"เห็นมองสนามตั้งนาน ครูก็นึกว่าอยากเล่นซะอีก"



"..." ขมไม่ได้ตอบกลับแต่อย่างใด



"มีอะไรกังวลหรือเปล่า เล่าให้ครูฟังได้นะ" นรินทร์เอียงคอ และโน้มเข้าไปพูดใกล้ๆ เด็กชายมากขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล 



ขมมองอดีตคุณครูประจำชั้นของเขาเมื่อปีที่แล้ว สีหน้าของครูชวนให้ผ่อนความกังวลลง เขาไม่สนิทกับครูคนไหนเป็นพิเศษ เพราะส่วนใหญ่ก็โดนหาว่าดื้อแล้วก็เกเร จะมีก็แต่ครูรินนี่แหละที่พูดกับเขาดีสุดเมื่อเทียบกับครูจนอื่น น้ำเสียงไม่ดุ แล้วยังมีท่าทางเข้าอกเข้าใจเด็กทุกคนเสมอ



ขมนิ่งไปสักพัก ก่อนจะยอมเล่า



"ผมสอบตก"



นรินทร์ไม่เปลี่ยนสีหน้า แค่พยักหน้ารับรู้เบาๆ แล้วถามต่อ "วิชาอะไรกัน บอกได้ไหม"



"ภูมิศาสตร์" พอได้พูดออกไปก็บ่นตามมา "มันยากมากเลย ผมจำไม่ได้สักที"



"ครูเข้าใจ วิชานี้ใช้ความจำเยอะ" ครูรินเอ่ยปลอบ



"ครูก็สอนไม่รู้เรื่อง จะให้ผมสอบซ่อมอีก จะไปทำได้ไง เซ็งชะมัด" ขมหน้าบูด



"คนเราก็มีสิ่งที่ถนัดต่างกัน แต่ถ้ารู้ว่าตัวเองไม่เก่งอะไรก็อย่าเพิ่งสิ้นหวังท้อแท้ ต้องพยายามให้เต็มที่ที่สุด"



"ผมก็พยายามแล้วนะ"



"อืม..." นรินทร์เว้นช่วงไปครู่หนึ่งเพื่อคิดหาคำแนะนำ และแล้วก็มีความคิดอย่างหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว "เอาอย่างนี้ไหม ครูเห็นว่ามีคนหนึ่งเก่งภูมิศาสตร์มาก น่าจะให้ช่วยติวได้"



"ใครเหรอ" ขมสนใจขึ้นมานิดๆ



"ยอดไง เพื่อนห้องเดียวกัน"



"เฮ้อ ครูก็รู้เหรอว่ามันได้คะแนนเต็ม" หน้าของขมแสดงอาการเบื่อหน่ายอย่างสุดๆ



นรินทร์ไม่รู้มาก่อนหรอกว่ายอดสอบได้คะแนนเต็มวิชานี้ เขาแค่คาดเดาจากการที่คลุกคลีอยู่กับเด็กชายใส่แว่นตลอดปีการศึกษาที่แล้ว เด็กคนนั้นเก่งเรื่องดูเส้นทาง ศึกษาแผนที่ น่าจะเชี่ยวชาญในวิชาภูมิศาสตร์



"ยอดไม่ติวให้หรอก แล้วผมก็ไม่อยากติวกับมันด้วย" ขมพูดด้วยอาการไม่สบอารมณ์



"ทำไมล่ะ"



ขมไม่ตอบ เพียงแต่นั่งนิ่งๆ แต่เหมือนกับคิดอะไรอยู่



นรินทร์จึงเอ่ยต่อ "เอางี้ ไปลองคิดดูก่อนแล้วกัน ถ้าอยากติวก็มาบอกครู เดี๋ยวครูลองไปคุยกับยอดให้"



ขมเหมือนจะปฏิเสธออกมาเดี๋ยวนั้น แต่ก็เก็บอาการ แล้วพยักหน้าแกนๆ อย่างขอไปที 



นรินทร์ยิ้มให้ ก่อนจะผละออกมา ให้เวลาขมคิดอยู่คนเดียว



ไม่รู้ว่าจะเป็นวิธีที่เข้าท่าหรือเปล่า แต่เขาก็อยากลองดู



บางทีถ้าเด็กคนนี้ได้เห็นข้อดีของเพื่อนที่ตัวเองคอยกลั่นแกล้งมาตลอด อาจจะทำให้เปลี่ยนความคิดก็เป็นได้



















เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กๆ ในโรงอาหารของโรงเรียนยามพักกลางวันลดระดับความดังลง เนื่องจากส่วนใหญ่กินมื้อเที่ยงของตนเองหมดแล้ว จึงออกไปเล่นด้านนอกแทน เด็กๆ ทยอยลุกออกไปเก็บชามทำให้โต๊ะไม้ทาสีฟ้าสดใสโล่งขึ้นเรื่อยๆ



มีสายตาหลายคู่มองไปที่โต๊ะหนึ่งในโรงอาหารอย่างสนอกสนใจ



ครูรินนั่งอยู่กับใครกันนะ หล่อจัง



คนสองคนเพิ่งทานก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตกเจ้าเด็ดประจำโรงเรียนหมด ก่อนจะต่อด้วยขนมโตเกียวที่นรินทร์ไปต่อแถวซื้อมา ครูรินเคี้ยวขนมขณะลอบมองคนตรงหน้าไปด้วย



แค่ชวนมาโรงเรียน ต้องแต่งตัวดีขนาดนี้เชียว



เพื่อนบ้านของเขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินอ่อน กางเกงสีดำ หวีผมเปิดหน้าผากขึ้น ไม่ได้ปล่อยให้ยุ่งเหมือนตอนอยู่บ้าน ภาพลักษณ์ดูน่าเชื่อถือกว่าเขาที่เป็นครูเสียอีก เขาคิดอย่างขบขัน



"ปกติคุณกินข้าวที่โรงอาหารเหรอ" อัลวินถามคนที่กำลังมองสำรวจตนเองอยู่



"กินที่ห้องพักครูบ้าง กินที่โรงอาหารบ้าง สลับกันน่ะครับ"



ปลายเท้าของอัลวินเลื่อนมาชนกับเท้าของนรินทร์ในตอนที่คนตัวโตกว่าขยับตัว หัวเข่าของพวกเขาชนกันเป็นบางครั้ง อัลวินขยับตัวอย่างยากลำบากอยู่สักหน่อย เนื่องจากที่นี่เป็นโรงเรียนประถม โต๊ะจึงออกแบบมาให้ตัวเล็กเหมาะกับเด็ก พอคนส่วนสูงกว่าร้อยแปดสิบมานั่งจึงดูอึดอัดอยู่ไม่น้อย ขายาวๆ งอแล้วก็ยังชนกับโต๊ะ   



"โต๊ะตัวเล็กก็ลำบากหน่อยนะครับ" นรินทร์ว่าพลางยิ้มน้อยๆ



"ไม่เหมือนคุณ ดูนั่งได้สบายๆ" อัลวินเอ่ยด้วยใบหน้านิ่งเรียบ



"คุณว่าผมเตี้ยเหรอ" 



"ผมยังไม่ได้พูดสักคำ"



นรินทร์เผลอเบ้ปากออกมาอย่างขัดใจ พออีกฝ่ายเห็นอาการดังนั้นก็มีรอยยิ้มเกิดขึ้นที่มุมปาก ยิ่งเห็นยิ่งน่าหมั่นไส้กว่าเดิม จะหาว่าเขาร้อนตัวไปเองน่ะสิ



"ผมไม่ได้เตี้ยนะครับ มาตรฐานชายไทย" คนที่ไม่ยอมถูกหยามเรื่องส่วนสูงแก้ตัว



"แต่ผมคิดว่าคุณน่ะตัวเล็ก"



"ว่าไงนะครับ" นรินทร์ส่งสายตาไม่ยอมแพ้ไปให้ "ผมให้โอกาสพูดใหม่"



อัลวินหัวเราะในคอ "คุณตัวเล็ก...กว่าผม"



"คุณน่ะตัวใหญ่ไปเอง" คนตัวเล็กกว่าออกอาการฮึดฮัดเล็กน้อย



อัลวินอมยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรต่อ



นรินทร์ดูดน้ำเปล่าเย็นๆ ในแก้วสเตนเลสหลังจากกินอาหารจนหมด ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าควรกำชับอัลวินเสียหน่อยก่อนที่จะพาอีกคนขึ้นตึกเรียน 



"คุณอย่าทำหน้านิ่งเกินไปนะครับ เดี๋ยวเด็กๆ กลัว"



"แล้วคุณกลัวไหม" คนตรงข้ามไม่รับคำในทันที แต่ดันถามกลับมา



ถ้าเกิดไม่ได้กำลังคุยกับเขาอยู่ โดยส่วนมากแล้วอัลวินก็ยังคงมีใบหน้าราบเรียบเช่นเดิม แต่เพราะได้อยู่ด้วยกันเยอะขึ้นจึงคิดว่าไม่น่ากลัวเท่าตอนแรก นึกๆ ดูแล้วก็ต่างจากตอนพบกันแรกๆ อยู่พอควร สีหน้าเคร่งขรึมนั้นอ่อนลง ยิ้มเยอะขึ้น แม้ส่วนใหญ่จะเป็นยิ้มมุมปากก็ตาม แต่ก็นับว่าเป็นรอยยิ้มล่ะนะ



นอกจากนั้น...ดวงตาดุดันเหมือนราชสีห์ที่เมื่อสบตาแล้วให้ความรู้สึกกดดันนั้นลดลงมากแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงอำนาจไม่เคยเปลี่ยน



เหมือนสิงโตที่เคยอยู่ในป่าถูกจับมาเลี้ยงให้เชื่อง แต่เจ้าป่าก็ยังคงเป็นเจ้าป่า ยังมีสัญชาตญาณของนักล่าอยู่เต็มเปี่ยม



นึกไปถึงนู่นได้ไงนะ สงสัยเมื่อวานดูสารคดี Discovery แล้วอินเกินไปจนเอามาเปรียบเทียบกับอัลวินซะได้



ยังไงก็ตาม เขาเดาว่าอีกฝ่ายต้องเป็นคนรวย ผู้ดีตีนแดงอะไรแบบนี้แน่ๆ ถึงได้มีภาพลักษณ์ที่ข่มคนอื่นอยู่กลายๆ



"ไม่รู้สิครับ" นรินทร์ยักไหล่ แล้วเบนหน้าหนีจากคนที่จ้องรอคำตอบ



"ผมน่ากลัวอย่างนั้นเหรอ"



"ถ้าไม่ทำหน้านิ่งๆ ไร้อารมณ์มันก็ไม่ได้น่ากลัวหรอกครับ ถ้าคุณยิ้มด้วยจะยิ่งดีเลย เด็กๆ จะได้กล้าเข้ามาคุยด้วย" นรินทร์หันมาหาอัลวินพลางพูดอย่างขำๆ



"ผมไม่ชอบยิ้มพร่ำเพรื่อ"



ก็อย่างเนี่ย เวลาพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย บรรยากาศก็หนักอึ้งขึ้นทันที



"ก็ไม่ต้องยิ้มตลอดเวลาไงครับ แค่ทำหน้าให้เป็นมิตรหน่อย" นรินทร์ยังคงคะยั้นคะยอ



"งั้นผมคงต้องเรียกค่าตอบแทนเพิ่ม" อัลวินว่า



ความงุนงงฉายชัดบนหน้าขาวใสของครูริน ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้ตกลงเรื่องค่าตัวกันมาก่อน แค่เอ่ยปากชวนอัลวินก็รับปากทันที



"ผมไม่ได้จะเอาเงิน" อีกฝ่ายบอก เหมือนอ่านสีหน้าของเขาออก



"แล้วจะเอาอะไรครับ"



บทสนทนาขาดช่วงไป นรินทร์เงยหน้าขึ้นมอง อีกคนเหมือนจะคิดอยู่ ดูไม่น่าไว้วางใจชอบกล จนคนเป็นครูชักจะหวั่นๆ



"เลี้ยงข้าวผมซักมื้อ"



คำตอบนั้นทำให้นรินทร์คลายความเกร็งที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว



"โถ่ นึกว่าอะไร เลี้ยงข้าวนี่เอง" นรินทร์เดาะลิ้นเล่น แค่นี้สบายมาก



"ฝีมือคุณ"



"หือ?"



"ผมมีเมนูที่อยากกิน ให้คุณทำให้หน่อย" อัลวินว่าต่อ



นรินทร์เอียงคอ "ทำไมไม่ให้แฟนลุงขามทำให้ล่ะครับ"



อัลวินก็จ้างให้เมียลุงขามทำอาหารมาส่งให้เป็นประจำอยู่แล้ว ป้าเขาน่าจะทำอร่อยกว่าฝีมือผู้ชายอย่างเขา



"ถ้าให้คนอื่นทำก็ไม่ใช่สิ่งตอบแทนจากคุณน่ะสิ" อัลวินกล่าว ถ้ามองไม่ผิด เหมือนแววตาจะมีร่องรอยขบขันอยู่



นี่ก็อีกอย่าง ชอบพูดจาไล่ต้อนจนสุดท้ายบรรลุความต้องการ ส่วนเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ ทั้งที่ตอนแรกเริ่มมาจากแค่ขอให้ยิ้มให้เด็กๆ ด้วยเท่านั้นเอง



"ผมพอทำอาหารได้บ้าง ถ้าเมนูยากเกินผมก็ทำไม่ได้หรอกนะครับ" ครูรินพูดดักเอาไว้ก่อน



"ไม่ยากหรอก"



เมื่อเวลาพักกลางวันใกล้สิ้นสุดลงนรินทร์จึงเดินนำอัลวินขึ้นตึกเรียน พลางพูดนัดแนะกันไปด้วยว่าจะทำอะไรบ้าง



นรินทร์สอนภาษาอังกฤษให้เด็กๆ ป.สามกับป.หก เขามีแผนการสอนว่าสัปดาห์นี้ต้องจบบทไหน โชคดีที่บทล่าสุดนั้นไม่ยากเขาเลยสอนเด็กป.หกจบเร็วกว่าที่คาดไว้ ในขณะที่กำลังคิดว่าจะจัดกิจกรรมอะไรให้นักเรียนดี ครูรินก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมาได้ ถ้าเด็กๆ ได้ลองพูดคุยกับคนต่างชาติตัวเป็นๆ คงจะดี



แล้วคนต่างชาติก็ไม่ต้องไปหาจากที่ไหนไกล เจอหน้ากันแทบทุกวัน คิดว่าจะต้องขอร้องกันนานหน่อย แต่แค่พูดจบอัลวินก็ยอมมาอย่างง่ายดาย



เมื่อออดเริ่มคาบใหม่ดังขึ้น นรินทร์ก็เข้าห้องเรียนไปพร้อมกับอัลวิน



พอเด็กๆ เห็นว่าวันนี้คุณครูไม่ได้มาคนเดียว ห้องเรียนจึงเงียบกริบกว่าทุกวัน หัวหน้าห้องบอกทำความเคารพ นรินทร์ทักทายกับลูกศิษย์ ก่อนจะแนะนำตัวอัลวินเป็นภาษาอังกฤษให้ฟังสลับกับพูดแปลไปด้วยถ้าประโยคไหนเห็นว่ายากเกินไป



กิจกรรมในคาบนี้คือจะให้เด็กๆ ไปคุยอะไรกับอัลวินก็ได้ แล้วมาเล่าให้คุณครูฟัง เขาจะติ๊กชื่อให้คะแนนแล้วปั๊มตัวการ์ตูนให้ ถ้าใครได้ตัวการ์ตูนเยอะจะแจกขนมให้เป็นรางวัล



ออกจะเป็นการบีบบังคับไปหน่อย แต่ก็ต้องมีแรงกระตุ้น ไม่งั้นเด็กๆ คงไม่ค่อยกล้าคุยกับคนต่างชาติแน่



เขาให้อัลวินคุยกับลูกศิษย์โดยพูดแปลให้เพื่อสร้างความผ่อนคลายกันก่อน จึงค่อยพูดเชียร์ให้เด็กๆ เข้าไปคุยด้วยตัวเอง



อัลวินนั่งอยู่มุมหนึ่ง นรินทร์นั่งอีกมุมหนึ่ง เว้นระยะออกมาเพื่อให้เด็กๆ ไปรวมตัวกันได้



ตอนแรกเหล่าเด็กๆ ก็กล้าๆ กลัวๆ ที่จะเข้าไปคุย แต่เมื่อมีคนหนึ่งกล้า ก็พบว่าไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป เลยต่อแถวเข้าไปคุยด้วย ไปๆ มาๆ จากแถวก็เปลี่ยนไปเป็นล้อมวงคุยกับชาวต่างชาติอย่างไม่เคอะเขิน



นับเป็นเรื่องดีที่นักเรียนไม่กลัวอัลวินอย่างที่กังวลมาก่อนหน้า ครูรินลองถามเด็กๆ ว่าไม่กลัวใช่ไหม เด็กๆ ก็ว่าไม่เห็นน่ากลัว เด็กผู้หญิงชมว่าอัลวินหล่อมาก ส่วนเด็กผู้ชายก็ยกย่องว่าพี่ชายคนนี้เท่ชะมัด 



ได้ยินเด็กๆ เรียกอัลวินว่าพี่ แต่เรียกเขาว่าคุณครู จู่ๆ ก็รู้สึกแก่ขึ้นมา



นรินทร์เลยแก้ไปว่าให้เรียกอัลวินว่าอาดีกว่า อายุเท่านี้ไม่เรียกพี่แล้ว ก่อนจะแอบขำคิกๆ อยู่คนเดียว



นักเรียนสลับกันเดินมาเล่าให้ครูรินฟัง บางคนคิดไม่ออกว่าภาษาอังกฤษพูดยังไงก็มาถามครู บ้างก็ฟังอัลวินไม่ออกก็มาให้ช่วยแปล



"ครูรินๆ หนูอยากถามพี่เขาว่ามีแฟนหรือยัง"



เด็กหญิงผมเปียเข้ามาถามด้วยใบหน้าแจ่มใส แฝงความเขินอาย จนคนเป็นครูถึงกับชะงัก 



เอาน่า เด็กสมัยนี้ก็แก่แดดกันทั้งนั้น



"แฟนสาวภาษาอังกฤษคืออะไร"



"หนูนึกไม่ออก"



เด็กอีกคนที่อยู่ข้างกันนึกออก "หนูรู้ๆ girlfriend"



"ใช่แล้ว ประโยคคำถามต้องเรียงประโยคยังไง"



นรินทร์ค่อยๆ สอนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เจ้าหนูผมเปียพอรู้เรื่องก็รีบวิ่งไปถาม



ผ่านไปไม่นานเด็กหญิงคนเดิมก็กลับมาด้วยสีหน้าเคลิ้มฝันเหมือนได้เจอดาราที่ชอบ





"ครูรินๆ พี่ชายสุดหล่อเขาบอกว่าให้มาบอกครูรินว่าเขายังไม่มีแฟน"





นรินทร์รู้สึกแปลกๆ กับคำพูดของลูกศิษย์



"เขาให้มาบอกครู?" คนเป็นครูถามพลางเลิกคิ้ว



"ใช่ค่ะ เขาบอกมาเป็นภาษาไทย"



ได้ฟังคำตอบอย่างนั้นนรินทร์ก็นิ่งไป ก่อนจะหันไปมองอัลวินที่มองมาทางนี้อยู่ก่อนแล้ว ดวงตาคู่คมวิบวับอยู่เพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะก้มหน้าลงไปคุยกับเด็กต่ออย่างเป็นธรรมชาติ



"อย่าพูดภาษาไทยสิครับ ผมอยากให้เด็กๆ ใช้ภาษาอังกฤษ" นรินทร์บอกเป็นภาษาอังกฤษอย่างรวดเร็ว



อัลวินเงยหน้าขึ้นมองมาที่เขาอีกรอบพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากก่อนจะให้เหตุผล "ผมกลัวเธอจะไม่ได้บอกคุณ เดี๋ยวไม่ได้คะแนน"



"ผมให้คะแนนเด็กทุกคนอยู่แล้วน่า"



อัลวินไม่ได้ตอบกลับบทสนทนา เมื่อชายเสื้อถูกเด็กสะกิดยิกๆ คนตัวโตหันไปตอบคำถามเด็กๆ ต่อ



"ครูริน แล้วถ้าจะถามว่าสเปคพี่เขาเป็นแบบไหน ต้องถามยังไง"



นรินทร์ถึงกับยิ้มแห้งออกมา อยากจะยกมือกุมขมับ แล้วเขาต้องสอนเด็กถามจริงๆ ใช่ไหม



เอาวะ คิดซะว่าเพื่อการศึกษา



นรินทร์ปั๊มตัวการ์ตูนให้นักเรียนคนอื่นต่อไป เวลาผ่านไปประมาณสิบนาทีกระดาษใบหนึ่งก็ถูกยื่นมาให้



"ประโยคมันยาวหนูแปลไม่ออก เลยให้พี่เขาเขียนมาให้" เด็กหญิงยิ้มแฉ่ง



ลายมืออัลวินเขียนอยู่กลางกระดาษทดเลข นรินทร์กวาดตามองวูบเดียวก็อ่านให้ฟัง 



"เขาบอกว่าชอบคนอายุน้อยกว่า"



"งุ้ย หนูเขิน" เด็กผมเปียยืนบิดไปมา กุมหน้าที่ร้อนฉ่า



เก็บอาการหน่อยลูก



นรินทร์เกือบหลุดขำเพราะท่าทางตลกๆ ของเด็กหญิง



"แล้วก็อ่อนโยน มีรอยยิ้มสดใส รักเด็ก"



กลุ่มเด็กผู้หญิงฟังแล้วก็เขิน ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าแก้มของคุณครูสีระเรื่อขึ้นเล็กน้อย นรินทร์โบกมือเพื่อให้เด็กคนต่อไปเข้ามาเล่าบ้าง ไม่ได้หันไปมองตัวการที่ทำให้เด็กๆ ในปกครองทำตัวแก่แดดแม้แต่น้อย



เขาทำปากขมุบขมิบ



สเปคของอัลวิน คงต้องไปหาตามกองประกวดนางสาวไทย

























-------------------------





#รินรักล้นใจ



ช่วงนี้อยู่ในช่วงพัฒนาความรู้สึก ปล่อยให้หนุ่มฮ่องกงจีบต่อไปค่ะ หมั่นไส้เขานะคะ ฮ่า








หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 10 P.4] 11/5/2019
เริ่มหัวข้อโดย: JAMNIN ที่ 11-05-2019 17:59:51
10

ในบ้านข้างๆ


ในตอนเย็นของวันหนึ่ง ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาปรอยๆ ร่างผอมของคุณครูหนุ่มอยู่ภายใต้ร่มเล็กๆ สีน้ำเงินเข้ม สองเท้าก้าวไปตามพื้นดินชุ่มชื้น กลิ่นดินจางๆ ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ เป็นกลิ่นที่นรินทร์โปรดปราน เมื่อโชยเข้าจมูกทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศชุ่มฉ่ำ เย็นสบาย และสดชื่น

รองเท้าแตะที่มีหยดน้ำเกาะพราวหยุดลงที่หน้าบ้านหลังที่อยู่ใกล้ที่สุดจากบ้านพักครูของเขา ยังไม่ทันที่จะเคาะประตูส่งสัญญาณ ประตูบ้านก็เปิดขึ้นได้จังหวะพอดีราวกับว่าคนข้างในรู้ว่าเขามาถึงแล้ว

นรินทร์เอียงคอ แปลกใจเล็กน้อย "เปิดประตูเร็วจังครับ ยังไม่ทันได้เคาะเลย"

"ผมได้ยินเสียงคุณเดินน่ะ" อัลวินตอบขณะยืนพิงกรอบประตู

ครูรินกะพริบตา เขาว่าตัวเองก็ไม่ได้เดินเสียงดังขนาดนั้นนะ แล้วไหนจะเสียงฝนตกน้อยๆ อีก ยังจะได้ยินเสียงฝีเท้าเขาด้วย ประสาทหูดีชะมัด

เขาวางร่มตากเอาไว้ด้านนอก และถอดรองเท้าเอาไว้เป็นที่เป็นทาง

เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าบ้านของอัลวิน ไม่สิ บ้านของป้าชุ่มที่อัลวินเช่าอยู่ต่างหาก นรินทร์ก้าวตามร่างสูงใหญ่เข้ามา ก่อนจะลอบสังเกตรายละเอียดในบ้าน

นัยน์ตากลมกวาดมองไปรอบๆ ห้องนั่งเล่น ภายในนี้สะอาดสะอ้าน มีเฟอร์นิเจอร์ครบทุกอย่างที่จำเป็น ไม่ได้มากหรือน้อยเกินไป ดูจากลักษณะการเลือกซื้อแล้วน่าจะเป็นของเดิมของป้าชุ่ม ไม่ได้ซื้อเข้ามาใหม่ ข้าวของที่เป็นของอัลวินนั้นแทบจะไม่มี ที่พอจะเห็นอยู่บ้างก็มีแค่โน้ตบุ๊กกับหนังสือแบบเรียนภาษาไทยหลายเล่มวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะเขียนหนังสือที่มุมห้อง

"มาสิ ผมจะพาไปที่ครัว"

เสียงของอัลวินขัดจังหวะคนที่กำลังมองสำรวจ นรินทร์รู้สึกอายนิดๆ อีกฝ่ายรู้แล้วแน่ๆ ว่าเขาแอบพิจารณาบ้านอยู่ เขารีบหันไปยิ้มแหะๆ เจ้าของบ้านมองมาแล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร ขายาวๆ ก้าวนำไปยังอีกห้องหนึ่ง

ห้องครัวก็เช่นกัน ของทุกอย่างจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมือนว่าอัลวินจะไม่ได้มาแตะต้องอุปกรณ์ทำอาหารซักเท่าไหร่ เท่าที่มองดูก็มีครบครัน พร้อมสำหรับประกอบอาหาร

"คุณใช้ได้ตามสบาย"

พอเจ้าของเอ่ยอนุญาต พ่อครัวจำเป็นก็พยักหน้า ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็น ทั้งผักทั้งเนื้อสัตว์นั้นมีพร้อม

จะไม่พร้อมได้อย่างไร ดูเหมือนอัลวินจะติดใจตลาดเข้าเสียแล้ว เมื่อวานก็ขับรถพานรินทร์ไปซื้อของกิน ทั้งยังให้เขาช่วยเลือกซื้อของสดกลับมาด้วย ตอนนั้นก็นึกว่าจะซื้อให้เมียลุงขามเอามาทำกับข้าวให้ ที่ไหนได้กลับกลายเป็นชวนเขามาทำกับข้าวให้ที่บ้าน ตามสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะให้เลี้ยงข้าว

"คุณเป็นคนซื้อวัตถุดิบมา แล้วจะเรียกว่าผมเลี้ยงข้าวได้ไงล่ะครับ" นรินทร์บ่นอย่างไม่จริงจังนัก พลางหยิบของออกมาจากตู้เย็น

"งั้นไม่ต้องเลี้ยงข้าว เลี้ยงผมแทน" อัลวินเอ่ยเป็นภาษาไทย นรินทร์ที่ถือถุงใส่ผักอยู่ถึงกับหันมามองหน้าคนพูด คนฮ่องกงยิ้มมุมปาก ก่อนจะอธิบายต่อ "เลี้ยงดู ทำอาหารให้ผมกิน"

ภาษาไทยพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น

"เดี๋ยวนี้หัดเล่นคำนะครับ" ครูรินส่ายหัวยิ้มๆ

"เรียนภาษาให้เก่ง ต้องฝึกใช้จริง" อัลวินอ้างเหตุผล เหมือนประโยคที่นรินทร์พูดตอนชวนให้ไปคุยกับเด็กๆ เด๊ะ

นรินทร์ทำเป็นย่นจมูก ก่อนจะยิ้มร่า "แล้วคุณรู้จักนี่ไหม...เลี้ยงดูปูเสื่อ"

คนฝึกใช้ภาษาเงียบคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเลิกคิ้วน้อยๆ อย่างงุนงง

"ปูที่มีกระดองเกี่ยวอะไรกับเสื่อ"

นรินทร์หลุดขำ เผลอลากเสียงยาวเหมือนเวลาพูดกับเด็กๆ "นั่นสิน้า"

"อ้อ ปูที่เป็นกิริยา"

ลูกศิษย์จำเป็นไม่ทำให้ผิดหวัง

ครูรินถึงกับปรบมือให้ พยักหน้าแล้วกล่าวชม "รู้ศัพท์เยอะเหมือนกันนะครับเนี่ย เลี้ยงดูปูเสื่อ มีความหมายประมาณว่า เลี้ยงอาหารอย่างดี"

อัลวินประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว

"คุณเลี้ยงดูปูเสื่อผมด้วยนะ" เสียงทุ้มต่ำว่าเป็นภาษาไทย

"คุณออกค่าวัตถุดิบ ผมแค่ทำอาหารให้เฉยๆ เหมือนจะใช้คำนี้ไม่ได้นะครับ" นรินทร์หัวเราะ เขาถือถุงใส่ผักไปที่อ่างล้างจาน ก่อนจะหันมาบอกเป็นภาษาไทยเช่นกัน "อีกอย่างนะครับ ผมไม่มีเสื่อ ปูไม่ได้แล้วแหละ"

อัลวินมีสีหน้าเรียบเฉยขึ้นมาทันใด

นรินทร์ส่ายหัวให้กับมุกตัวเอง แต่ก็ยังหลุดขำออกมาเพราะอนาถใจ เล่นเองก็แป๊กเอง มุกไม่ฮาพาต่างชาติเครียด

หลังจากเตรียมวัตถุดิบเสร็จเรียบร้อย คุณครูผู้ผันตัวมาเป็นพ่อครัวชั่วคราวก็เริ่มต้นทำอาหาร โดยคนที่รีเควสเมนูเอาแต่นั่งมองอย่างเดียว มาดนิ่งจนครูรินรู้สึกเหมือนอยู่ในรายการทำอาหาร ส่วนอัลวินเป็นกรรมการ 

พะแนงไก่และไข่เจียวกุ้งสับส่งกลิ่นหอม ไม่รู้คนอยากกินคิดว่าหอมหรือเปล่า แต่คนทำน้ำลายสอนำไปแล้ว เพราะนรินทร์หิวมากด้วยแหละ ยังดีที่ท้องไม่ร้อง

อัลวินเข้ามาช่วยยกไปยังโต๊ะอาหาร จากนั้นทั้งคู่ก็ตักข้าวสวยร้อนๆ ใส่จานและเริ่มทาน

"ผมคิดถึงตอนที่เจอคุณครั้งแรกเลย คุณบอกว่าไม่กินของคนแปลกหน้า" นรินทร์กลืนคำแรกเสร็จก็ว่าขึ้นมาเสียงเจือหัวเราะ ไม่ได้บ่นแบบจริงจัง

ตอนนั้นอุตส่าห์ทำอาหารมาผูกมิตร ดันโดนคนข้างบ้านตอกกลับมาจนแทบไปต่อไม่ถูก

"ตอนนี้คุณไม่ใช่คนแปลกหน้าแล้ว"

"คุณอย่าบอกว่าไม่ใช่คนแปลกหน้า แต่เป็นคนหน้าแปลกแทนนะ" นรินทร์พูดคำว่าแปลกหน้ากับหน้าแปลกเป็นภาษาไทย

"แปลกหน้า หน้าแปลก?" อัลวินทวน ผ่านไปเพียงสองวิก็หัวเราะออกมา

หาได้ยากนะเนี่ยที่คุณเขาจะหัวเราะออกเสียง ทุกทีก็มักจะหัวเราะหึสั้นๆ ในคอ จนเคยคิดว่าอีกคนกลัวหัวเราะดังแล้วจะเสียมาดขรึมๆ หรือยังไง นรินทร์ถึงกับไม่รู้จะดีใจกับมุกที่ประสบความสำเร็จ หรือฉงนใจที่มุกแสนเชยของเขาทำให้อัลวินหัวเราะออกมาได้ก่อนกัน

อัลวินหยุดขำแล้ว ใบหน้าก็ยังเจือด้วยยิ้มบางเบา

"ไม่หน้าแปลก คุณน่ารัก"

คำชมที่ถูกเอ่ยออกมาทำให้ครูรินนิ่งไป ริมฝีปากบางเผลอเม้มเข้าหากัน ก่อนจะก้มหน้ามองจานข้าว ตักข้าวกินอีกคำอย่างไม่รู้จะตอบว่าอะไร

ทำมาเป็นเล่นคำพ้องเสียง ชักจะเรียนภาษาไทยได้รวดเร็วเกินไปหน่อยแล้ว

"เขาไม่ค่อยชมผู้ชายว่าน่ารักหรอกนะครับ" ครูรินแก้ให้

"แต่ก็ชมได้ใช่ไหม" 

พอเงยหน้าไปมองอีกทีก็เห็นว่าอัลวินยังมีรอยยิ้มอยู่ที่มุมปาก นรินทร์ยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ พะแนงเผ็ดไปหรือเปล่าถึงได้ร้อนๆ ที่หน้า

"จะว่าไปตอนเจอกันครั้งแรก คุณดูน่ากลัวมากเลย ผมกับถึงคิดว่าไม่อยากยุ่งด้วยอีกแล้ว" นรินทร์เบี่ยงประเด็น เขาเองกับอัลวินก็สนิทกันแล้ว เลยกล้าบอกออกมาอย่างตรงไปตรงมา

"งั้นเหรอ"

"คนอะไรหน้าอย่างดุ ตัวก็ใหญ่ แถมยังตำหนิคนที่ไม่รู้จักได้อย่างหน้าตาเฉย เหมือนมีรังสีดำๆ แผ่รอบตัวคุณเลย ผมนี่เกร็งไปหมด"

พอได้บ่นก็เลยพ่นออกมายาว รู้ตัวว่าบ่นมากไปก็ชะงักกึก ตายล่ะหว่า จะโดนโกรธไหมเนี่ย

ตากลมลอบมองสีหน้าคนตรงข้าม อัลวินฟังเขาพูดอยู่ขณะเคี้ยวข้าวไปด้วย ท่าทางดูปกติ คงไม่โกรธล่ะมั้ง

"เอ่อ ผมพูดมากไปหน่อย อย่าใส่ใจเลยนะ" ถึงอย่างนั้นก็ต้องแก้ตัวไปก่อน

"ตอนนั้นคุณกลัวผมขนาดนั้นเลย?" อัลวินถาม

"ไม่ใช่แค่ตอนนั้นนะครับ จำได้ไหมที่นั่งรถไปกับลุงขาม ผมก็ไม่รู้จะทำตัวยังไง" นรินทร์พูดเสียงอ่อย เกาคอพลางสารภาพ 

"ผมก็ต้องวางมาดหน่อย"

"ไม่หน่อยแล้วครับยังงั้นน่ะ" นรินทร์เผลอสวนไปตามความคิด จะตะครุบปากก็ไม่ทันเสียแล้ว

อัลวินนั่งกอดอก มองมาเหมือนกำลังพิจารณา "อื้ม ผมว่าผมควรจะกลับวางมาดใหม่"

"อย่างนี้แหละดีแล้ว ไม่ต้องวางมาดแล้วครับ" นรินทร์รีบยิ้มประจบ แจกแจงข้อดีต่ออย่างลื่นไหล "คนอื่นๆ จะได้กล้าเข้าใกล้ เนี่ยเด็กๆ ชมกันใหญ่ว่าคุณหล่อ เท่"

คนฟังยิ้มน้อยๆ ครูรินคิดว่าเขาโน้มน้าวมาถูกทางจึงรีบเอ่ยต่ออย่างเร็ว

"มีการมาถามด้วยนะว่าคุณจะมาอีกไหม อยากคุยกับคุณอีก แต่เสียใจด้วยเด็กน้อย ไม่มีคาบเหลือแล้ว"

"คุณพูดเหมือนอิจฉาผม" อัลวินเลิกคิ้ว

"เปล่านะครับ" นรินทร์ปฏิเสธตาโต

"กลัวเด็กเห่อผมมากกว่าคุณล่ะสิ" คนรู้ทันพูดตรงๆ พร้อมกับยิ้มมุมปากที่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ครูรินนิ่งอึ้งไป ทำหน้าเหวอออกมาอย่างเห็นได้ชัด อัลวินพูดแทงใจดำดังฉึก คุณครูผู้เป็นที่โปรดปรานของเด็กๆ ถูกคนมาใหม่วันเดียวแย่งความปลาบปลื้มไป จึงอดไม่ได้ที่จะเก็บไปคิดเล็กคิดน้อยอยู่บ้าง 

นรินทร์หน้าขึ้นสีจางๆ อย่างอับอายที่โดนอ่านใจถูก เสียภาพลักษณ์ครูที่ดีหมด เขากระแอมแล้วเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้น

"เอ่อ ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่ยอมไปช่วย รบกวนเวลาของคุณไปตั้งเยอะ ปอหกมีหลายห้องคุณก็เข้าครบทุกห้อง ต้องขอบคุณจริงๆ" 

"ไม่เป็นไร ผมเต็มใจอยู่แล้ว ไม่ได้รบกวนเวลาหรอก"

"ถ้าอยากกินอะไรก็บอกผมได้อีกนะ รู้สึกว่ายังตอบแทนได้ไม่ครบเลย" รอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าครูริน "ผมคิดว่ากิจกรรมนี้ประสบความสำเร็จเลย ผลตอบรับก็ดี เด็กๆ เก่งมากที่กล้าพูดภาษาอังกฤษ ผมก็ดีใจ"

"ผมก็ยินดีด้วยนะ"

พวกเขาทานข้าวจนหมดก็อิ่มพุงกาง ไม่เหลือข้าวในหม้อ และกับข้าวก็เกลี้ยงจานเช่นกัน

"อร่อยไหมครับ" นรินทร์ถามขึ้นขณะยกจานไปที่อ่างล้างจาน

"เพิ่งมาถามตอนกินเสร็จแล้ว"

"ก็ตอนกินมันลืมนี่นา"

"คุณเห็นจานไหม นั่นล่ะคำตอบ"

พ่อครัวมองจานที่เหลือแต่เพียงคราบน้ำแกงแล้วหัวเราะถูกใจ

"จริงด้วยนะ อีกนิดก็ใสกิ๊งแล้ว แทบไม่ต้องล้างจานเลยทีเดียว" เขาถกแขนเสื้อขึ้นด้วยท่าทางทะมัดทะแมง มือก็หยิบฟองน้ำล้างจานขึ้นมา "เดี๋ยวผมจัดการ บริการพิเศษหลังมื้ออาหาร"

อัลวินเดินเข้ามา ก่อนจะใช้ร่างกายสูงใหญ่เบียดให้คนตัวเล็กกว่ากระเถิบออกไปจากข้างหน้าอ่างล้างจาน

"ปล่อยให้เจ้าของบ้านทำดีกว่า จะให้แขกล้างให้ได้ยังไง"

นรินทร์เท้าเอว แล้วโต้กลับ "ฟังไม่ขึ้นครับ จะมาห่วงเรื่องนี้หลังจากให้แขกทำกับข้าวให้กินไปแล้วเนี่ยนะ"

เถียงกันไปมาหนึ่งยกจึงได้ข้อตกลงว่าช่วยกันล้างก็แล้วกัน ด้วยบริเวณหน้าอ่างล้างจานที่มีเนื้อที่จำกัด พวกเขาเลยยืนเบียดๆ หัวไหล่ชนกัน ต้นแขนเสียดสีกันไปมา ใช้เวลาเพียงแป๊บเดียวก็ล้างจานไม่กี่ใบจนสะอาด ก่อนจะคว่ำลงบนที่เก็บจานให้น้ำแห้งเป็นอันเสร็จ

คุณครูหนุ่มนั่งเล่นอยู่ที่โซฟารออาหารย่อย โทรทัศน์ที่เปิดอยู่ฉายละครช่วงหัวค่ำซึ่งอัลวินเปิดดูเพื่อฝึกภาษา บังเอิญว่าเป็นเรื่องเดียวกับที่นรินทร์มักเปิดทิ้งไว้ให้มีเสียงอยู่เป็นเพื่อน บ้านจะได้ไม่เงียบ 

"จะว่าไปก็คิดถึงพ่อกับแม่เหมือนกันนะเนี่ย" นรินทร์หลุดพึมพำออกมายามตัดเข้าโฆษณาเนื่องจากละครชูโรงเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว

"พ่อแม่คุณอยู่ที่ไหนเหรอ" อัลวินหันมามองแล้วถามขึ้น

"อยู่ลำพูนครับ ผมเป็นคนลำพูน จังหวัดติดกับเชียงใหม่"

ทั้งที่เปรยอยู่กับตัวเอง คนที่นั่งข้างๆ กลับให้ความสนใจ เขาเลยเล่าให้ฟัง หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเสิร์ชแผนที่ประเทศไทยแล้วชี้ให้ดู "ไม่ค่อยได้กลับเลย สองสามเดือนถึงจะกลับบ้านที ผมโทรไปคุยประจำ แต่พวกท่านไม่ค่อยบอกคิดถึงผมเลย ไม่รู้ว่าไม่อยากให้เป็นห่วง หรือไม่เหงาเพราะมีลูกรักอยู่แล้วก็ไม่รู้" ประโยคหลังเบ้ปากเหมือนเด็กขี้น้อยใจ

"คุณมีพี่น้องเหรอ"

นรินทร์ขำออกมา อมยิ้มแล้วกดเข้าแกลลอรี่ภาพเปิดรูปให้ดู

"นี่ครับลูกรัก"

อัลวินยื่นหน้าเข้ามาใกล้ มือใหญ่จับโทรศัพท์จนเหมือนจับมือเจ้าของเครื่องอยู่ นรินทร์ปล่อยมือและให้อัลวินถือดูรูปเอง

"พันธุ์ไทยแท้ไม่มีผสม ผมเก็บมาจากวัดเมื่อตอนมอปลาย ชื่อน้องโอเล่"

คนฟังหัวเราะหึๆ เมื่อลูกรักที่นรินทร์ว่าดันเป็นหมา

"คุณเป็นลูกคนเดียวเหรอ"

"ก็เพิ่งบอกไปว่าผมเป็นลูกตกกระป๋อง" ครูรินยักคิ้วอย่างขี้เล่นพลางยิ้มเผล่ "ถ้าเป็นคน ก็เป็นลูกคนเดียวครับ" เขาถามกลับ "แล้วคุณล่ะ มีพี่น้องไหม"

"ก็...มีนะ น้องชาย"

ท่าทีสบายๆ ผ่อนคลายเหมือนมีความเย็นชาเข้ามาแทนที่เพียงชั่วขณะจนแทบไม่รู้สึกถ้าไม่ได้สังเกตดีๆ แต่นรินทร์นั้นมองหน้าคู่สนทนาอยู่ตลอดเวลา ดวงตาคู่คมมีแววที่เขาอ่านไม่ออก คนข้างตัวตอบสั้นๆ เพียงเท่านั้น ไม่ได้เล่าอะไรต่อเพิ่มเติม ครูรินเลยไม่ได้เซ้าซี้ถามต่อ ด้วยคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่สะดวกจะเล่าเท่าไหร่

นิ้วของอัลวินเผลอเลื่อนไปปัดภาพ บังเอิญว่าภาพถัดจากเจ้าสุนัขไปดันเป็นภาพเจ้าของเครื่องพอดี รูปเด็กหนุ่มตัวผอมในชุดนักเรียนทำหน้าตลกๆ ให้กล้อง เป็นนรินทร์ตอนมอปลาย สมัยหัวยังเกรียนเพราะเรียน รด.

ครูรินอายเลยรีบคว้ามือถือกลับ แต่ไม่ทันอัลวินที่โยกแขนหลบได้ทัน

"เอาคืนมานะครับ" เขาร้อง

"หืม นี่ชุดนักเรียนไทยหนิ" ยังดีที่อีกฝ่ายไม่ล้ออะไร เพียงแต่ยิ้มๆ แล้วมองดูรูปอีกครั้ง "ตอนนี้คุณอายุเท่าไหร่

"สิบเจ็ดสิบแปดได้มั้ง" นรินทร์เกาแก้ม

"หน้าเหมือนเดิมเลย"

"ขอบคุณที่ชมว่าหน้าเด็กครับ" เขากระแอม เมื่ออีกฝ่ายเลื่อนไปดูรูปอื่นอีกซึ่งก็เป็นภาพเซทเดียวกัน "คุณอัลวิน! พอเลยๆ"

โดนดูรูปตอนมอปลายที่ทำตัวเกรียนๆ รั่วๆ ก็ต้องมีเขินกันบ้าง

"มีแต่ตอนมอปลายเหรอ อยากเห็นรูปคุณตอนเด็กๆ" อัลวินยังไม่หยุดค้นหารูปในเครื่อง นรินทร์สบโอกาสที่อีกฝ่ายดูรูปเพลินๆ แย่งมือถือกลับมาซุกเข้ากางเกงอย่างฉับไว "เดี๋ยวก่อนสิ ผมยังดูไม่หมดเลย"

"ใจคอจะไม่ขอผมก่อนเลยเหรอครับ"

"ขอก่อนคุณก็ไม่ให้ดูน่ะสิ"

"มันก็แน่ล่ะ" คนหวงรูปแยกเขี้ยว

"แค่ดูรูปเองไม่เห็นจะเป็นอะไรสักหน่อย"

"งั้นเอารูปคุณมาแลกสิ" นรินทร์ยื่นข้อเสนอ

"ผมไม่มีรูปในโทรศัพท์เลย" อัลวินว่า

"งั้นผมก็ไม่ให้ดู ไม่ยอมเสียเปรียบหรอก" ครูรินบอกอย่างเด็ดขาด ก่อนที่จะเหลือบไปเห็นนาฬิกาตรงผนัง "สองทุ่มแล้วเหรอเนี่ย ผมว่าผมกลับดีกว่า"

"คุณจะไปทำงานต่อเหรอ"

"ก็ไม่มีงานหรอกครับ แค่ไม่อยากรบกวน" 

แผนการสอนเตรียมแล้ว งานแปลบทความภาษาอังกฤษก็เพิ่งเคลียร์เสร็จส่งอีเมลล์ไปเมื่อคืน ส่วนการบ้านของเด็กๆ ก็ตรวจเสร็จไปตั้งแต่ตอนพักกลางวัน นรินทร์จึงไม่มีเรื่องที่ต้องทำเป็นพิเศษ 

"ถ้าเป็นคุณน่ะ ไม่ได้รบกวนเลย"

ได้ยินอัลวินว่าแบบนี้นรินทร์จึงไม่รู้จะตอบว่าอะไร ถ้าไม่คิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไป อัลวินเดิมนั้นดูเข้าถึงยากและมีโลกส่วนตัวสูง แต่ช่วงนี้พวกเขาสนิทกันแล้ว คงหมายความว่าอยู่ด้วยกันแล้วทำตัวสบายๆ ได้อย่างไม่อึดอัดใจ ไม่เป็นการรบกวน 

"อยู่ต่อก่อนได้ไหม อย่าเพิ่งกลับ"

"อา..." นรินทร์เกาคออย่างเก้กัง ก่อนถาม "คุณจะทำอะไรต่อเหรอครับ"

"ผมว่าจะอ่านหนังสือภาษาไทย ถ้าไม่เข้าใจจะได้ถามคุณได้"

อ้อ ที่แท้ก็อยากได้คนสอนภาษาไทยนี่เอง

"ให้ผมสอนไหม" คนมีจิตวิญญาณความเป็นครูอยู่เต็มเปี่ยมเสนอตัว

ถ้าอย่างนั้นอยู่ต่อก็ได้ ไม่มีปัญหา ไหนๆ กลับบ้านไปก็ว่างไม่มีอะไรทำอยู่ดี   

"ไม่เป็นไร ผมติดตรงไหนค่อยถามดีกว่า"

นรินทร์พยักหน้าให้ หลังจากนั้นอัลวินก็ไปนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะ ส่วนเขาที่ไม่อยากลุกจากโซฟานิ่มๆ ที่นั่งสบายจึงหยิบหมอนอิงมาวางไว้บนตักแล้วเก็บขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิ หยิบมือถือขึ้นมาเล่นอินเทอร์เน็ตไปเรื่อยๆ ครูรินไม่ค่อยติดโซเชียล ในอินสตราแกรมของเขาส่วนใหญ่เป็นรูปดอกไม้ใบหญ้า หมาแมวที่เจอแถวนี้แล้วเห็นว่าน่ารักจึงถ่ายมาลง มีรูปตอนไปเที่ยวซึ่งนานๆ ครั้งจะลงที กับรูปสมัยเรียนที่เพื่อนแท็กมา ส่วนเฟสบุ๊คนั้นแทบร้าง จะมีก็แต่ทวิตเตอร์ที่เล่นบ่อยสุด เอาไว้ตามข่าวกับเรื่องกระจุกกระจิกทั่วไป   

ฝนที่ตกพรำๆ มาตั้งแต่ตอนเย็นคงหยุดแล้วเพราะไม่ได้ยินเสียงฝนอีกต่อไป ทิ้งไว้เพียงแต่ความเงียบสงบที่เจือไปด้วยเสียงจิ้งหรีดเรไรร่ำร้องยามค่ำคืนให้ได้ยินแว่วๆ อากาศเย็นสบายและความชื้นน้อยๆ หลังฝนตกทำให้นรินทร์รู้สึกสบายตัว ขยับตัวสองสามทีเปลี่ยนท่านั่งให้ไม่เมื่อย ก่อนที่จะหลับตาลงเพื่อพักสายตาหลังจากตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวในโซเชียลจนหมดแล้ว 

ความง่วงเข้ามาจู่โจมแม้จะยังไม่ดึกมาก เนื่องจากเมื่อวานเห็นว่าบทความที่แปลใกล้เสร็จแล้วเลยทำให้เสร็จไปเลยจนรู้ตัวอีกทีก็ดึกดื่นค่อนคืน เหลือเวลานอนน้อยกว่าปกติ นรินทร์หาวแล้วปาดน้ำตาที่ซึมออกมาตรงหางตาออก

อัลวินพลิกหน้ากระดาษ อ่านจนถึงหน้าเป้าหมายที่กำหนดไว้จนเสร็จ ไม่ต้องหันไปมองอีกคนที่อยู่ร่วมห้อง ประสาทสัมผัสก็บอกว่าคุณครูตัวผอมได้เผลอหลับไปเสียแล้ว คนฮ่องกงปิดหนังสือแบบเรียนภาษาไทยแล้วหยิบไปวางบนกองหนังสืออย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปปิดหน้าต่างไม่ให้ลมเย็นพัดเข้ามาเพราะอากาศภายในบ้านชักจะเริ่มหนาว 

เขาเข้ามาใกล้คนบนโซฟา สีหน้าเรียบนิ่งไร้ร่องรอยอารมณ์ ตาคู่คมมองนรินทร์ที่หายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ หลับไปทั้งที่ยังอยู่ในท่านั่ง หัวพิงพนักเก้าอี้คอพับคออ่อนเอียงลงตามแรงโน้มถ่วง สองแขนกอดอกแน่นเพิ่มความอบอุ่นให้ตัวเอง

อัลวินย่อตัวลงไปให้ระดับใบหน้าเทียบเท่าอีกคน มือใหญ่ปัดผมม้าที่ตกลงมาปรกหน้าออกไปอย่างแผ่วเบา ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้จับจ้องไปยังใบหน้าเนียนใส แพคนตาทาบลงบนผิวขาว ริมฝีปากสีระเรื่อเผยอออกเล็กน้อย

เขามองนรินทร์อยู่อย่างนั้นนานนับนาที เหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างให้ส่งมือไปไล้แก้มอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะเลื่อนวนลงมาสัมผัสยังกลีบปากบาง

ความรู้สึกนุ่มนิ่มและอุณหภูมิอุ่นๆ ส่งผ่านมายังปลายนิ้ว เขาจงใจกดน้ำหนักลงไปอีกเล็กน้อยเพื่อสัมผัสได้เพิ่มขึ้น คลึงไปตามรอยหยักของกระจับปากอย่างแช่มช้า แล้วเลื่อนกลับมาที่แก้มอีกครั้ง

เขาจ้องมองนิ้วมือที่ได้สัมผัสความเนียนละเอียดของผิวเนื้อ นัยน์ตาสีเข้มเปิดเปลือยความปรารถนาที่มากขึ้น

กลิ่นหอมอ่อนๆ ชักจูงให้ใบหน้าหล่อเหลาเลื่อนเข้าไปใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย

จมูกโด่งกดลงที่แก้มคนเผลอหลับ นิ่งค้างไว้เผื่อเก็บเกี่ยวความนุ่มเนียนและสูดดมกลิ่นหอมให้สมกับที่ได้แต่จับจ้องมานาน

อัลวินถอยใบหน้าออกมาอย่างรู้จังหวะ ขยับตัวออกห่างไม่ให้ดูใกล้ชิดมากจนผิดสังเกต ก่อนที่นรินทร์จะขยับตัวเล็กน้อยเมื่อถูกรบกวนการนอน เปลือกตาขยุกขยิกอยู่เพียงนิด แต่แล้วคนอดนอนก็ยังคงหลับพักผ่อนต่อไปโดยไม่รู้ตัวว่ามีคนมองอยู่ด้วยดวงตาเป็นประกายวาววับและมีรอยยิ้มวาดยังมุมปาก

ความต้องการไม่หยุดเพียงเท่านั้น เมื่อเห็นว่าคุณครูตัวผอมยังหลับสนิทอยู่ บุคคลที่มักจะมีสีหน้าเรียบเฉยอยู่เสมอก็มีสีหน้าพออกพอใจ ตาคมเต็มไปด้วยความกริ่มใจ โครงหน้าคมคายขยับเข้าใกล้นรินทร์อีกครั้ง

หากคราวนี้จุดหมายที่ครอบครองคือเรียวปากบาง

เขาซึมซับสัมผัสนุ่มที่แสนถูกใจอย่างช้าๆ และนุ่มนวล ก่อนจะผละออกมามองดูหน้าคุณครูหนุ่ม แล้วยิ้มอย่างพึงใจ 

ผ่านไปไม่นานนรินทร์ก็รู้สึกตัวตื่น เขากะพริบตาด้วยความงัวเงีย หลับไปช่วงหนึ่งแล้วตื่นขึ้นมาก่อนเวลานอนไม่กี่ชั่วโมงทำให้สมองเขามึนงง ก่อนดวงตาที่เต็มไปด้วยความง่วงงุนจะเหลือบไปเห็นเจ้าของบ้านที่เล่นโน้ตบุ๊กอยู่ นี่เขาเผลอหลับไปในบ้านอัลวินได้ยังไงนะ 

"ตื่นแล้วเหรอ" อัลวินหันมาเห็นพอดี

"คุณไม่ปลุกผมล่ะครับ" นรินทร์ถามเสียงงัวเงีย สางผมที่ยุ่งนิดๆ เพราะเสียดสีกับโซฟา

"คุณขี้เซาขนาดนั้นปลุกไปก็ไม่ตื่น" 

"ผมไม่ขี้เซาเสียหน่อย ทุกทีผมตื่นไม่ยากนะ" นรินทร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่ออัลวินพูดหยอกเล่นและยิ้มมุมปาก เขาหยิบหมอนอิงออกจากตักไปวางที่เดิม ก่อนจะว่า "ดึกแล้ว งั้นผมกลับแล้วนะครับ"

"ผมเดินไปส่งแล้วกัน คุณดูยังไม่ตื่นดี เดี๋ยวจะไปเดินสะดุดอะไรเข้า"

"ไม่ต้องหรอก บ้านผมก็อยู่แค่นี้เอง" นรินทร์ส่ายหน้า รีบปฏิเสธ เขาไม่ใช่เด็กเสียหน่อย   

อัลวินเดินมาส่งแขกที่หน้าประตูบ้าน ครูรินหยิบร่มที่วางตากไว้หน้าบ้านขึ้นมาและเตรียมที่จะเดินกลับ

"ราตรีสวัสดิ์" อัลวินว่า

"ราตรีสวัสดิ์เช่นกันครับ" นรินทร์กล่าวลา

ระหว่างช่วงสั้นๆ ที่เดินกลับบ้านท่ามกลางอากาศชื้นๆ และกลิ่นดอกไม้ยามราตรี นรินทร์ก็กำลังครุ่นคิดบางอย่าง

ครั้งหนึ่งที่ไปเข้าห้องน้ำบ้านอัลวินต้องเดินผ่านห้องนอนของอีกฝ่าย เขาเผลอมองเข้าไปในห้องผ่านช่องว่างของประตูที่เปิดแง้มเอาไว้ คนอย่างอัลวินนั้นไม่น่าลืมปิดประตู อาจเป็นเพราะกลอนที่ล็อกประตูไม่แน่นหรืออาจจะเก่าแล้วทำให้หลุดออกมาจนบานประตูเปิดอ้าเสียมากกว่า แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ต้องเก็บมาคิด

สิ่งที่ทำให้เขาสงสัยคือกรอบรูปที่วางอยู่บนหัวเตียงต่างหาก

รูปของหญิงสาวคนหนึ่ง   

เป็นใครกันนะ

ต้องเป็นคนสำคัญแน่ๆ ถึงได้วางรูปเอาไว้ที่หัวเตียง

อัลวินบอกว่าไม่มีแฟน แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อก่อนไม่มี บางทีเธอคนนั้นอาจจะเป็นคนรักเก่าก็เป็นได้

นรินทร์หมุนร่มในมือขณะก้าวเดินอย่างเหม่อๆ จนมาถึงบ้าน ก่อนที่ครูหนุ่มจะบอกตัวเองให้เลิกสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่อง จะคิดอะไรให้มากมาย เขาย่นจมูกด้วยความหงุดหงิดแกมหมั่นไส้

ระดับอัลวินถ้าไม่เคยมีแฟนสิถึงจะแปลก





-------------------------------

#รินรักล้นใจ

อะแฮ่ม คนขี้ฉวยโอกาสคือพระเอกของเราเอง บรรยากาศเป็นใจ หลังฝนหยุดตกอะเนอะ ในบ้านตัวเองอีกอะเนอะ ตอนนี้ก็ได้แต่แอบๆ ไปก่อน ต่อไปก็คงจะชัดเจนกว่านี้อะเนอะ

ส่วนครูริน จะรู้หรือเปล่าน้า


หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 10 P.4] 11/5/2019
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 11-05-2019 19:53:08
อัลวินนี่นิ่งๆแต่ขี้ฉวยโอกาสจังนะ :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: ❥ ริน รัก ล้น ใจ [ตอนที่ 10 P.4] 11/5/2019
เริ่มหัวข้อโดย: Panamapaper ที่ 11-07-2019 22:57:21
 :oo1: ละมุนมากกกก