Chapter2
เวลาเธอยิ้ม
หนึ่งเดือนกับการเสียใจให้ความรักคงมากพอแล้วสำหรับผม การที่เราจะไปนั่งจมปรักกับอะไรที่เสียไปมันคงไม่ได้อะไรขึ้นมา หนึ่งเดือนที่ผ่านมาผมจึงคิดว่าคงเสียเวลามากพอแล้วกับการเสียใจ
“วันนี้ตะวันจะมากินข้าวด้วยกันหรือป่าวเนม?” วาถามขึ้นขณะที่พวกเรากำลังเดินไปโรงอาหารด้วยกัน
หนึ่งเดือนหลังจากที่ผมเลิกกับพี่นนท์ เพื่อนใหม่ที่ชื่อว่าตะวันมักจะมากินข้าวที่โรงอาหารกับพวกผมบ่อยๆหรือเวลาไปเที่ยว กลุ่มของตะวันมักจะตามไปด้วยเสมอ ผมไม่ได้คิดอะไรมากเพราะเขาคงตามจีบเนมเพื่อนรักของผมอยู่
“มาดิ คงรอที่โรงอาหารแล้ว”
เราทั้งสามคนมาถึงโรงอาหารในเวลาต่อมา และก็เป็นอย่างที่เนมบอกว่าตะวันและเพื่อนเขาอีกสองคนมานั่งรอที่โต๊ะในโรงอาหารเรียบร้อยแล้ว
“มากันนานหรือยัง? โทษทีนะอาจารย์ปล่อยเลทน่ะ” เนมกล่าวขอโทษแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามของกลุ่มตะวันตามด้วยผมและวา
“ไม่เป็นไร พวกเราก็พึ่งมาถึงเหมือนกัน” เสียงนุ่มทุ้มของตะวันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ข้างแก้มมีรอยบุ๋มเล็กน้อยด้วยลักยิ้มชวนมอง
“ไปซื้อข้าวกันเถอะ”
ทุกคนเดินไปซื้อข้าวเหลือเพียงผมกับตะวันที่นั่งเฝ้าโต๊ะด้วยกัน ผมยิ้มตอบตะวันเมื่อเห็นเขาส่งยิ้มให้
“ชลยิ้มแล้วน่ารักดีนะ ทำไมไม่ยิ้มบ่อยๆล่ะ?”
“หืม เราก็ยิ้มบ่อยนะแค่ตะวันไม่เห็นเอง ว่าแต่เรายิ้มสวย ตะวันก็ยิ้มสวยเหมือนกันแหละ ดูดิมีลักยิ้มด้วย” ผมวาพลางจิ้มลงที่รอยบุ๋มที่แก้มซ้ายของเขา
“ชลชอบเหรอ?”
“อื้อ เราชอบผู้ชายมีลักยิ้ม มีเสน่ห์ดีอ่ะ” ว่าไปแล้วก็นึกถึงหลานชายตัวน้อยของตัวเองที่มีลักยิ้มเหมือนกับตะวัน วันหยุดยาวคงต้องไปเยี่ยมสักหน่อยแล้ว
“อืม ดีจังเลยนะ”
ใบหน้าของตะวันแต่งแต้มด้วยสีแดงอ่อนๆ คงเพราะอากาศร้อนเลยทำให้ผิวขาวของเขามีสีแดง ใบหน้าของผมก็คงมีสีไม่แตกต่างจากเขาเท่าไหร่ล่ะมั้ง
“หิวน้ำไหม? เดี๋ยวเราไปซื้อให้”
“รอเพื่อนมาก่อนดีกว่าแล้วเราค่อยไปซื้อพร้อมกัน”
ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับตะวันก่อนจะมองไปรอบๆโรงอาหารเพราะไม่มีอะไรทำ
“เอ้อ วันหยุดยาวนี้ชลจะไปไหนหรือเปล่า?”
“เราคิดว่าคงกลับบ้านที่เชียงใหม่น่ะ”
“ชลเป็นคนเชียงใหม่เหรอ?”
“อื้ม แต่เราพูดเหนือไม่ค่อยได้หรอกเพราะมาอยู่กรุงเทพฯกับน้าตั้งแต่เด็กอ่ะ”
“คิดว่าจะได้ฟังชลพูดเหนือซะอีกแต่เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่เราอยากไปเที่ยวมากที่สุดเลยนะแต่ก็ไม่เคยได้ไปหรอก”
“อ่าว ทำไมล่ะ?”
“ยังหาเวลาว่างไม่ได้นี่สิ”
“งั้นหยุดยาวนี้ตะวันว่างไหมล่ะ ถ้าว่างก็ไปเที่ยวกับเราได้นะ บ้านเรามีรีสอร์ท มีสวนสตรเบอรี่ด้วย อ้อ เนมก็ไปด้วยนะ”
ผมส่งยิ้มล้อตะวันเมื่อพูดถึงชื่อเพื่อนสนิท ผู้ชายตรงข้ามทำเพียงแค่ยิ้มกลับพลางยกมือขึ้นเกาจมูกตัวเอง
“เราไปด้วยได้ใช่ไหม?”
“อื้ม ไปดิ เดี๋ยวเราพาทัวร์เอง”
“ครับ งั้นฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับคุณมัคคุเทศก์”
“ครับผม ทัวร์ของเรายินดีให้บริการ”
ผมยืดตัวตรงก่อนก้มหัวลงด้วยความเร็วจนเกือบทำให้หน้าผากจูบกับโต๊ะไม้แข็งๆ ดีนะที่ตะวันเอามือมารองหน้าผากให้ ไม่งั้นหน้าผากนูนสวยของผมได้ปูดโปนสามวันสองคืนแน่ๆ
ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่ชักมือกลับช้าๆก่อนเราสองคนจะจ้องตากันจากนั้นก็ระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“ฮ่าๆๆๆๆ ชลซุ่มซ่ามว่ะ”
“ฮ่ะๆๆก้มแรงไปหน่อย ถ้าโขกไปนี่ความจำเสื่อมแน่ๆ”
“หัวเราะอะไรกันอ่ะ?” เสียงหญิงสาวที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับคนที่ไปซื้อข้าวมาพากันนั่งลงพร้อมกับจานข้าวคนละจาน
“ฮ่ะๆป่าวๆ”
“ไรอ่ะ เดี๋ยวนี้หัดมีความลับกับเพื่อนกับฝูงเหรอชล” วาหญิงสาวตัวเล็กแต่แรงเท่ากระบือล็อคคอผมไว้ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงกดต่ำ
“อ...โอ๊ยย วาปล่อยชลก่อน หายใจไม่ออกแล้ว” ยิ่งพูดวงแขนนั้นก็ยิ่งรัดแน่น
วาไม่ปล่อยผมแน่ๆ ผมจึงหลับตาลงพร้อมกับแลบลิ้นออกมาแกล้งตายมันซะเลย
“แอ่ก”
“ฮ่าๆๆๆ ชลเล่นใหญ่มาก ปล่อยก็ด้ะ” วงแขนที่รัดแน่นคลายออกก่อนทุกคนจะพากันขำท่าทางของผมจนโต๊ะข้างๆหันมาด่าด้วยสายตา
“พอแล้วๆหัวเราะอะไรกันขนาดนั้นเนี่ย”
“ก็หน้าชลมันตลกอ่ะ โอ๊ย ฮ่าๆๆๆ”
ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เสียงหัวเราะของทุกคนดังขึ้นล้านแปดเดซิเบลก่อนผมจะคิดหาวิธีปลีกตัวออกมาจากโต๊ะแล้วสบตาเข้ากับตะวันพอดี
“ตะวัน ไปซื้อน้ำกันดีกว่า ปล่อยพวกเมายานั่งหัวเราะกันไปเถอะ”
ผมไม่รอให้ตะวันที่ทำหน้าเหรอหราตอบก็เดินอ้อมมาหาเขาแล้วจูงมือตะวันให้เดินตามมาที่ร้านขายน้ำร้านสุดท้ายที่ไร้ผู้คน
“ของตะวันกับเพื่อนเอาเหมือนเดิมหรือเปล่า?” พอพากันเดินมาถึงหน้าร้านผมก็ปล่อยมือออกแล้วหันไปถามคนที่ยืนเงียบก้มมองมือตัวเองที่ผมจูงมาตลอดทาง
“ห้ะ? เมื่อกี้ชลบอกว่าอะไรนะ?”
“เหม่ออะไรเนี่ย เราถามว่าตะวันกับเพื่อนเอาเหมือนเดิมใช่ไหม?”
“อ...อื้ม เหมือนเดิมนั่นแหละ”
ผมสั่งน้ำหกแก้วที่มีน้ำเหมือนกันแค่สองแก้วคือชาเย็นของผมกับตะวัน
จะว่าไปจากที่ผมได้ไปเที่ยวกับตะวันบ่อยๆก็ทำให้รู้ว่ารสนิยมและของที่ตะวันชอบก็คล้ายกับผมหลายอย่าง จะบอกว่าบังเอิญก็ได้แต่ผมคิดว่าดีนะ เวลาคุยกับคนที่ชอบอะไรหลายๆอย่างเหมือนกันก็สนุกดี
“อ่ะ ช่วยกันถือ”
ผมแบ่งน้ำกับตะวันคนละสามแก้ว น้ำในมือตะวันหนึ่งในนั้นก็มีแก้วของเนมด้วย ก็นะเราเป็นเพื่อนก็ต้องสนับสนุนให้เพื่อนมีแฟนที่ดีและน่ารักอย่างเช่นตะวันที่ผมยกธงเขียวให้ผ่านตั้งแต่สัปดาห์แรก
ดี๊ดีเหมือนวาว่าไม่มีผิด
เราสองคนกลับมาที่โต๊ะ ทุกคนก้มหน้าก้มตากินข้าวกันแต่มันจะดูไม่แปลกไปหน่อยหรือ ทำไมต้องเหล่มองหน้าผมกับตะวันสลับกันด้วยเล่า
“มองอะไรกันอ่ะ?”
“เปล๊า” ทุกคนพร้อมกันตอบด้วยเสียงสูงปรี๊ดแทบทำเอาผมแสบแก้วหู
“เหอะ เสียงไม่ค่อยจะสูงกันหรอกแต่ละคน อ่ะเอาไป” ผมยื่นน้ำที่ซื้อมาให้วากับใหญ่เพื่อนของตะวันที่ชื่อกับตัวแตกต่างกันโดนสิ้นเชิง
“ขอบคุณคร้าบบบบ/ค่า”
ดูเอาเถอะแต่ละคนกวนเบื้องล่างน้อยซะที่ไหน แค่เอาน้ำให้ก็แทบนั่งพับเพียบก้มกราบผมแล้ว
“เว่อร์!”
วันหลังคงต้องจับแยกๆกันบ้าง ไม่งั้นสตงสติคงไม่เหลือกันสักราย นี่แค่เดือนเดียวที่รู้จักกัน ถ้าหนึ่งปีผมคงปวดหัวมากกว่านี้แน่ๆ
“ช่วงวันหยุดยาวกลุ่มตะวันมีใครไปไหนกันบ้างไหมอ่ะ?” เนมเพื่อนรักของผมเอ่ยถามหลังจากดูดชานมสีชมพูเสร็จ
“ไม่มีนะ” ใหญ่ที่ตัวเล็กไม่สมกับชื่อตอบแล้วกลับไปนั่งเขี่ยต้นหอมในน้ำซุปข้าวมันไก่ออก
“เราว่าจะกลับบ้านอ่ะ ป๊าม๊าบอกว่าคิดถึงหน้าหล่อๆของเรา” เติ้ลผู้ที่หลงตัวเองที่สุดในโลกเท่าที่ผมได้พบเจอตอบแล้วยิ้มขำกับตัวเอง
“แล้วตะวันล่ะ?” เนมถามคนที่เอาแต่นั่งยิ้มกับน้ำชาเย็นที่เริ่มละลายจนน้ำแข็งกลายเป็นน้ำ
“ชลชวนไปเที่ยงเชียงใหม่อ่ะ”
“ไปชวนกันตอนไหนเนี่ย?”
“เมื่อกี้”
“โห ตะวันแม่งโคตรใจง่ายเลย หัดเล่นตัวบ้างอะไรบ้างนะครับคุณ แหม!” ใหญ่แซวตะวันที่ทำหน้าดุใส่ ส่วนคนโดนทำจะสำนึกไหมคงจะไม่เพราะยังยิ้มกวนเบื้องล่างตะวันอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ใจง่ายอะไรของมึง กูแค่อยากไปเที่ยวเฉยๆเหอะ”
“เหรอครับเหรอ อยากไปเที่ยวอย่างเดียวจริงๆเหรอครับคุณเพื่อน”
“เงียบน่า”
ผมมองใหญ่กับเติ้ลที่แซวตะวันจนคนโดนแซวทำตัวไม่ถูกได้แต่ด่ากลบเกลื่อนแล้วยกมือขึ้นเกาจมูกด้วยความเคยชิน
ผมเข้าใจนะ โดนแซวต่อหน้าคนที่ชอบก็เขินเป็นธรรมดาแต่ดูเพื่อนเนมของผมจะด้านกว่าตะวันแฮะ ไม่เห็นมีปฏิกิริยาเขินอายเหมือนตะวันสักแอะ
“หยุดแซวน่า พวกมึงก็ไปด้วยกันดิ ชวนใหญ่กับเติ้ลไปด้วยได้ใช่ไหมชล?”
“อื้อ ไปดิ ไปกันเยอะๆก็สนุกดี เนมกับวาก็ไปด้วยนะ”
“ว่าไงมึง จะไปด้วยกันไหม?”
“กูไปไม่ได้จริงๆวะ ป๊าม๊าโทรจิกหัวตามกลับบ้านทุกวัน”
“แล้วมึงล่ะใหญ่?”
“มึงก็รู้ว่ากูคงไม่ปฏิเสธ กูน่ะอยากจะไปสัมผัสอากาศหนาวกับชาวบ้านชาวช่องเขามาตั้งนานแล้ว ภูเก็ตบ้านเกิดแม่งมีแค่สองฤดู”
“โอเค รบกวนด้วยนะชล”
“ครับ ไม่ได้รบกวนอะไรเลย เราเต็มใจยังไงก็เพื่อนกัน”
ผมยิ้มกว้างส่งให้กับตะวันก่อนจะเห็นใบหูที่เคยเป็นสีขาวเหลืองแดงเถือกขึ้นมา
ตะวันนี่น่าจะเป็นคนขี้ร้อนมากจริงๆแหละนะ นั่งแป๊บเดียวหน้าแดงหูแดงเป็นว่าเล่นเลยแน่ะ
ผมมีเรียนคาบบ่ายอีกสองวิชา พออาจารย์ปล่อยตัวให้เป็นอิสระ เหล่านักศึกษาก็เดินออกมาจากห้องด้วยสภาพไม่ต่างกัน
ผมที่เซตอย่างดีก็ฟูฟ่องไปคนละทิศคนละทาง หน้าตาที่เคยสดใสกลับกลายเป็นอิดโรยและงัวเงียเข้าขั้นโคม่า
“เลิกแล้วไปไหนกันดีอ่ะ ไม่อยากกลับห้องก่อนเลย” ผู้ชายตัวเล็กข้างๆผมพูดพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา
“ดูหนังกันไหม?” เพื่อนสาวคนสนิทเอ่ยออกความคิดเห็นแต่ดูหนังเนี่ยพวกเราพึ่งดูไปอาทิตย์ที่แล้วเองนะครับ
“เอาดิ ชลว่าไง?”
“เราว่าจะไปซื้อรองเท้าอ่ะ ช่วงนี้เซลล์อยู่ด้วย”
“งั้นก็ไปด้วยกันหมดนี่แหละ แล้วค่อยไปแยกกันที่ห้างเนอะ” วาเป็นคนสรุปก่อนผมกับเนมจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเพราะรถในกลุ่มเรามีคันเดียวซึ่งเป็นรถของเนมที่ขับไปส่งผมกับวาที่คอนโดทุกวัน
“ดีล!”
ห้างสรรพสินค้าในเวลาสี่โมงเย็นมีผู้คนเดินพล่านกันเต็มไปหมดจนลายตา มีทั้งนักเรียน นักศึกษาและคนทำงานที่พากันมาเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์
“แยกกันตรงนี้เลยไหม?”
“อื้ม ถ้าดูหนังเสร็จแล้วก็โทรหาชลแล้วกัน” ผมบอกเพื่อนทั้งสองคนเพราะถ้าให้ผมโทรไปคงไม่ติด มารยาทในโรงหนังคือต้องปิดโทรศัพท์มือถือและข้อนั้นเพื่อนของผมทั้งสองคนก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
“โอเค”
ผมเดินแยกจากเพื่อนไปที่ช็อปขายรองเท้า คิดไว้ไม่มีผิดที่คนต้องเขาเยอะแน่ๆ ผมมองเข้าไปในร้านที่เต็มไปด้วยผู้คนก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาเพราะเป็นคนไม่ชอบคนเยอะและความวุ่นวาย
“ยืนทำอะไรตรงนี้ชล?”
เสียงที่ฟังละมุนหูทุกครั้งที่ได้ยินดังขึ้นข้างหู ก่อนที่ผมจะหันไปพบกับตะวันกำลังยืนยิ้มอวดลักยิ้มที่แก้มซ้ายของตัวเองให้เด็กวัยเรียนกรี๊ดกร๊าดกันเล่น
“มาได้ไงตะวัน?”
“ขับรถมาอ่ะ”
“กวนตีน”
“ก็ชลถามเรานี่ว่ามาได้ไง เราขับรถมาจริงๆนี่ครับ”
“โอเคๆเราผิดเองแหละ แล้วมากับใครอ่ะ?”
“มาคนเดียวครับ ไม่มีสาวๆที่ไหนควงมาด้วยหรอก”
“ถ้าควงมาจริงเราจะฟ้องเนมคอยดูสิ” ผมชี้หน้าขู่เขาแต่ตะวันกลับส่ายหน้ายิ้มขำให้กับท่าทางของผม จนผมชักมือกลับแทบไม่ทัน
“ฮ่ะๆ แล้วนี่มายืนทำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่เข้าไปในร้านล่ะ?”
“คนเยอะอ่ะ เราไม่ชอบ” ผมยู่ปากอย่างเคยชิน ก่อนจะมองเข้าไปในร้านที่มีคนเดินเข้าเยอะขึ้นเรื่อยๆ
“ไหนๆก็มาแล้วเข้าไปเถอะ”
“ไม่ชอบนี่นา”
“จับมือเราไว้ เดี๋ยวไปเป็นเพื่อน” มือข้างขวาของตะวันถูกยื่นออกมาก่อนเจ้าของมือจะยิ้มให้ผมแล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ผมจับมือเขาสักที
“ขอบคุณนะ”
“ครับ”
ตะวันเดินนำผมเพื่อเปิดทางให้คนที่ยืนเบียดเสียดกันถอยหลบให้พวกผมเดินเข้าไปง่ายๆ ดีนะที่ตะวันตัวสูงใหญ่ถ้าเตี้ยม่อต้ออย่างผมเข้ามาเองคงโดนเหยียบจมพื้นก่อนถึงในร้านแน่ๆ
ตะวันพาผมมายืนที่จุดปลอดคนนิดหน่อยแต่ก็ดีกว่าหน้าร้านที่เหมือนฝูงซอมบี้มาซื้อรองเท้ามาก
“ปล่อยมือเราได้แล้วมั้ง”
“ปล่อยไม่ได้หรอก เดี๋ยวชลจะหลง”
“เราไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ”
“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ไปเดินดูรองเท้ากันเถอะเดี๋ยวคนจะเยอะกว่านี้นะครับ”
“ก็ได้”
จากที่ตะวันเคยเดินจูงมือผมกลับกลายเป็นผมที่เดินจูงมือตะวันมาดูรองเท้าที่ตัวเองต้องการ
“ตะวันว่าสีไหนเหมาะกับเราอ่ะ?” ผมยกรองเท้าที่คู่หนึ่งมีสีฟ้า ส่วนอีกคู่หนึ่งมีสีดำ
“อืม.....เราว่าสีฟ้าเหมาะกับชลดีนะ”
“แต่เราชอบสีดำอ่ะ”
“งั้นชลก็เลือกสีดำก็ได้”
“ไม่ดิแต่เราก็อยากได้สีฟ้านะ”
“งั้นก็เอาสีฟ้า”
“เฮ้ย แต่เราว่าสีดำมันดูเรียบหรูมากกว่าอ่ะ”
“งั้นก็สีดำ”
“แต่สีฟ้าก็ดูหลากหลายดี”
“งั้นสีฟ้า”
“แต่---”
“คุณชลครับ ตะวันว่าคุณชลควรเลือกสักอย่างเถอะนะครับ ถ้าเลือกไม่ได้ก็ซื้อไปสองคู่เลย”
“เป็นความคิดที่ดี งั้นเอาสองคู่นี่แหละ” ผมบอกพร้อมยิ้มกว้าง ตะวันทำหน้าเหวอเหมือนจะห้ามปรามผมแต่คงไม่ทันเพราะผมเดินเอาไปจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว
นานๆทีจะซื้อก็ซื้อสองคู่ไปเลยมันจะเสียหายอะไรล่ะครับ
“เอาจริงดิ?”
“อือ ก็เลือกไม่ถูกนี่นา”
“จริงๆเลยนะชล”
ตะวันโยกหัวผมเล่นก่อนจะพากันฝ่าฝูงซอมบี้ออกมานอกร้านอีกครั้งโดยมีตะวันเป็นคนจูงมือผมออกมาเหมือนเดิม
“แล้วนี่จะไปไหนต่อ?”
“ไม่รู้ดิ คงอยู่แถวๆนี้แหละมั้ง รอเนมกับวาดูหนังอ่ะ”
“แล้วทำไมชลไม่ไปดูกับเพื่อนด้วยล่ะ?”
“เราเบื่ออ่ะ อาทิตย์ที่แล้วก็พึ่งมาดู”
“อ่า...งั้นไปเล่นเกมส์กันไหม?”
“เล่นเกมส์เหรอ? เอาสิ เราไม่ได้เล่นมานานแล้วเหมือนกัน”
ตะวันเดินนำผมมายังชั้นที่มีเกมส์เรียงรายเต็มไปหมด ทุกอย่างดูตื่นตาตื่นใจสำหรับผมมากเพราะไม่ได้มานานทุกอย่างจึงดูเปลี่ยนไปและน่าสนใจขึ้น
“ชลอยากเล่นอะไร?”
“อ่า...” ผมมองไปรอบๆก่อนจะสะดุดเข้ากับแป้นบาสที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก “เราอยากเล่นบาสตรงนั้นอ่ะ”
ผมชี้ให้ตะวันดู เขาพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปแลกเหรียญเพื่อใช้เล่นเกมส์
“ชลเคยเล่นบาสหรือเปล่า?”
“ไม่เคยอ่ะ ส่วนมากก็แค่นั่งดู”
“รู้ไหมว่าเราเป็นนักบาสของคณะเลยนะ”
“หืม โม้ป่าวเนี่ย?”
“จริงๆ พูดอย่างนี้ไม่เคยไปดูเลยล่ะสิ”
“แหะๆ” ผมยิ้มแห้งส่งให้ตะวัน เขาส่ายหน้าแล้วหยอดเหรียญใส่ตู้เล่นเกมส์
“หยิบบาสเร็วเดี๋ยวเวลาจะหมดก่อน”
ผมหยิบบาสที่ไหลลงมาเมื่อไม่มีที่กั้นแล้ว หยิบลูกแรกขึ้นชู้ตปรากฎว่าห่างไกลกับคำว่าลงแป้นมากโขแต่ผมยังไม่ท้อหยิบอีกลูกขึ้นมาก่อนจะชู้ต คราวนี้เกือบเข้าแต่ลูกกลับกระแทกขอบแป้นบาสจนกระเด็นออกซะงั้น ผมหยิบลูกแล้วลูกเล่าขึ้นชู้ตผลที่ตามมาก็คือไม่เข้าเหมือนเดิม
“ฮึ่ย!! ไม่เล่นแล้วจะกลับบ้าน” ผมงอแงอย่างลืมตัว ได้ยินเสียงหัวเราะจากคนข้างๆก็ต้องหน้าร้อนวาบขึ้นมา ลืมไปได้ไงเนี่ยว่าตะวันก็ยืนอยู่ข้างๆ
“ฮ่ะๆใจเย็น มานี่เดี๋ยวเราเล่นให้ดู”
ผมหลีกทางให้ตะวันอย่างง่ายดาย ตะวันเดินเข้ามายืนแทนที่ผมก่อนจะหยิบลูกบาสขึ้นมาแล้วเหล่ตาพร้อมกับยกยิ้มมุมปากส่งมาให้
น่าหมั่นไส้ชะมัด
“ดูแล้วจำ จำแล้วนำไปใช้นะครับคุณชล” ผมมองค้อนก่อนเข้าจะยิ้มขำกับท่าทางหัวเสียของผม
“รีบๆโยนสักทีน่า” ผมเร่งเร้าเขาก็พยักหน้าก่อนจะจัดแจงท่าทางของตัวเอง
ลูกบาสที่อยู่ในมือตะวันถูกโยนไปหาเป้าหมายซึ่งนั่นก็คือแป้นบาสที่อยู่สูงเสียดฟ้า ผมมองตามลูกสีส้มนั้นและอย่างที่คนตัวสูงโม้ไว้ ลูกเข้าแป้นด้วยความสวยงาม
“เป็นไง อึ้งเลยสิ” เขาหันมายักคิ้วและทำหหน้ากวนประสาทใส่ผม จนเบื้องล่างมันลั่นแตะเข้าหน้าแข้งเขาด้วยความหมั่นไส้
“สมน้ำหน้า”
หลังจากนั้นผมกับตะวันก็แย่งกันชู้ตบาส พวกเราปลดปล่อยอารมณ์ให้สนุกไปกับมัน ความเครียดที่เคยมีหายไปแทนที่ด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ดังไปทั่วบริเวณ
ลูกเข้าบ้างไม่เข้าบ้างแต่เราก็ไม่ได้คิดมากแค่เล่นให้สนุกและมีความสุขไปกับมันแค่นี้ผมว่าก็ดีมากแล้วครับ
“รู้ไหมเวลาชลยิ้มแล้วมันทำให้เราอยากยิ้มตามไปด้วย”
ผมหันไปมองตะวันที่จู่ๆก็พูดขึ้นมา เราสบตากันนิ่งและรอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนริมฝีปากของเราทั้งสองคน
“....”
“วันหลังยิ้มบ่อยๆนะ เราชอบเวลาชลยิ้ม”“อะ...อื้ม”
###########################