[19]
คุณชอบฟังเพลงไหมครับ?
ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก วลีตราตรึงใจที่แสดงชัดเจนว่าคนทุกคนบนโลกนี้ควรเปิดใจไปกับท่วงทำนองอันทรงเสน่ห์จากการรวมตัวของเครื่องดนตรีหลากหลายชนิด แม้ว่าแนวดนตรีที่แต่ละคนชอบจะไม่เหมือนกัน หากการฟังเพลงก็ยังเป็นสิ่งพื้นฐานหนึ่งจากหลายๆ สิ่งที่คนเราเลือกจะใช้ในยามที่ต้องการความผ่อนคลาย และใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ด้วยการเปลี่ยนจากผู้ฟังเป็นผู้ขับขานเสียงดนตรีเหล่านั้น
และผมเป็นพวกชอบบรรเลงบทเพลงตามท่วงทำนองที่ผุดขึ้นจากส่วนลึกของความรู้สึก
"กลุ่มสโมปีนี้รับเด็กปีสามด้วยว่ะ จะไหวไหมล่ะนั่น? ปีเรายิ่งเรียนเยอะๆ อยู่"
ประโยคบอกเล่าจากเพื่อนสนิทดึงดูดความสนใจมากกว่าหนังสือการ์ตูนราคาเหยียบร้อยที่ถืออยู่ในมือ ชะโงกหน้าจากดาดฟ้าเพื่อมองไปยังทิศทางเดียวกับผู้เป็นเพื่อนก็เห็นว่าเวทีกลางมหาวิทยาลัยกำลังทำการติดเข็มกลัดประจำตำแหน่งให้นักศึกษาที่เข้าร่วมงานสโมสรอยู่ กิจกรรมที่มีอยู่ทุกปีและน่าเบื่อไม่แพ้กันสักปี
"มีปีเราสิดี หรืออยากให้เหมือนปีก่อนที่มีแต่ทีมนักกีฬาล่ะ? เล่นตัดงบไปให้สาขาตัวเองหมดอะไรแบบนั้น"
"โหย มันก็ไม่ใช่แบบนั้นดิวะไอ้เหลียง มันต้องเป็นกลางนะเว้ยเรื่องพวกนี้"
หัวเราะกับคำพูดของเพื่อนที่โวยวายด้วยความเจ็บแค้น เมื่อปีก่อนมีการรับทีมสโมเข้ามาเหมือนกัน แต่กลายเป็นว่าไม่มีใครพอใจการทำงานเลยนอกจากสาขาวิชาของคนที่ได้ตำแหน่งไป มาปีนี้เลยลุ้นกันอยู่ไม่น้อยว่าจะลงอีหรอบเดิมหรือเปล่า
เพราะความบังเอิญหรือโชคชะตาเป็นใจไม่รู้ เมื่อผู้ที่อยู่ด้านล่างเงยหน้ามาทางที่ผมยืนอยู่พอดี แม้ระยะทางจะค่อนข้างไกลแต่กลับรู้สึกได้ว่าเรากำลังประสานสายตากัน ก่อนจะเป็นเขาเองที่ยอมละสายตาไปก่อนเพื่อปราศรัยในฐานะประธานนักศึกษาคนล่าสุดประจำปีนี้
ตอนนั้นเองที่โน้ตตัวแรกของบทเพลงเริ่มบรรเลง
ควันสีหมอกลอยขึ้นสูงสู่เบื้องบน หากก็จางหายไปก่อนจะขึ้นถึงท้องฟ้าสีสดสมกับเป็นช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย อากาศก็ร้อนสมชื่อฤดูจนต้องปลดกระดุมเสื้ออีกเม็ด ในเมื่อไม่ต้องหวั่นเกรงว่าจะมีใครมาเห็น แน่ล่ะ ดาดฟ้าของอาคารเก็บของเป็นสถานที่ๆ ไม่มีใครอยากจะขึ้นมาอยู่แล้วเพราะตำนานสยองขวัญประจำมหาวิทยาลัยที่ลือกันปากต่อปาก เกี่ยวกับหญิงสาวที่ทำอัตวินิบาตกรรมบริเวณสถานที่แห่งนี้เมื่อหลายสิบปีก่อน
ไม่ใช่ว่าลบหลู่ หากเพราะรู้ความจริงจากปากรุ่นพี่ว่าข่าวลือพวกนั้นถูกปล่อยโดยอาจารย์ที่เคยสอนที่มหาวิทยาลัยนี้นั่นแหละ เพราะอาคารนี้มันทรุดโทรมตามกาลเวลา แต่ไม่คิดจะมีใครขอเบิกงบซ่อมแซมเพราะคิดว่าเป็นเพียงอาคารกีฬาที่ใช้สำหรับเก็บสิ่งของไม่ใช้แล้วเท่านั้น อาจารย์ท่านนั้นคงจะอยากขู่ให้กลัวจะได้ไม่มีใครมาใกล้เพราะกลัวอันตรายนั่นแหละ แต่คงลืมไปว่าก็จะมีนักศึกษาอีกกลุ่มที่สามารถใช้ทุกสถานที่โดยไม่สนใจเรื่องอะไรประเภทนั้น
นักศึกษาแบบผมนี่ไงล่ะ
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าสูบบุหรี่ กลิ่นมันติดชุด”
มาถึงก็เทศนากันเสียหนึ่งยกให้ต้องรีบทิ้งบุหรี่ที่คาอยู่ในมือลงกระป๋องเบียร์เก่าๆ ที่ถูกวางทิ้งไว้ไม่ไกลจากปลายเท้านัก ขยะพวกนี้คงไม่แคล้วจะเป็นของนักศึกษาที่สรรหาพื้นที่แอบอาจารย์มาทำเรื่องไม่สมควรเหมือนผมนี่แหละ นับว่าเป็นเพื่อนร่วมอุดมคติก็ว่าได้
“มาช้า... งานยุ่งล่ะสิ?”
“อือ พี่เอกอยากให้เรากับกฤติเรียนรู้งานให้เยอะที่สุด จะได้ทำแทนได้เวลาพี่เขาลงจากตำแหน่ง”
“เรียนก็ต้องเรียน งานสโมก็โดนใช้เป็นทาส พีซบอกไปเลยดิว่าแค่นี้ก็จะไม่มีเวลาอยู่กับแฟนแล้ว”
ว่าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อยพร้อมเอื้อมไปจับข้อมือเขาแล้วกระตุกให้เดินเข้ามาใกล้ๆ ทว่าคนตัวเล็กกว่ากลับขืนตัวไว้ ก่อนจะทำหน้ายู่แล้วส่ายหัวไปมา
“เดี๋ยวกลิ่นติดไง”
“ไม่มีใครรู้หรอก เหลียงใช้กลิ่นผลไม้”
พีซทำหน้าเหมือนไม่เชื่อแต่ก็ยอมเดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ได้ทีเลยจัดการคว้าทั้งเอวเขามากอดเสียเลย ถึงจะโดนดวงตาคู่โตมองด้วยความไม่พอใจก็เถอะ
“ทายดิว่ากลิ่นอะไร”
“เราไม่สูบบุหรี่ ก็รู้อยู่”
“เออหน่า เล่นกับเหลียงหน่อยเร็ว”
ถึงจะชอบทำหน้านิ่งเหมือนไม่รับรู้เรื่องราวรอบข้าง หากผมรู้ดีว่าคนในอ้อมกอดเป็นพวกไหลตามน้ำง่ายแค่ไหน ในเมื่อเราคบกันมาตั้งแต่ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย ศึกษานิสัยทั้งหลายแหล่ของกันและกันมาจนครบทุกซอกทุกมุมแล้วก็ว่าได้
“กลิ่น... พีซ?”
“เก่งมาก มา เดี๋ยวเหลียงให้รางวัล”
ไม่รอให้โดนปฏิเสธแน่นอน พอพูดจบผมก็ประคองข้างแก้มแฟนคนเก่งมามอบรางวัลให้สมใจ หากกลิ่นของบุหรี่รสพีซเมื่อครู่ว่าหวานแล้วล่ะก็ ลองมาเจอริมฝีปากสีชมพูพ่วงความไม่ประสาของลิ้นนิ่มที่พยายามขยับตามการชักนำของผมตอนนี้บอกตามตรงว่าอยากจะโยนซองบุหรี่ในกระเป๋าลงพื้นแล้วใช้รองเท้าไนกี้ไซส์สี่สิบหกเหยียบให้แหลกเป็นผุยผง ข้อหาที่รสชาติไม่เหมือนของจริงที่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง
พออารมณ์มันถูกจุดก็ง่ายที่จะสานต่อ ในยามที่ริมฝีปากของพวกเราประสานกัน ผมก็เริ่มไล้มือซุกซนบีบเข้าที่เอวบางของคนตัวเล็กไปด้วย ผมชอบที่วางมือบริเวณนี้ ทั้งนุ่มนิ่ม เต็มไม้เต็มมือ น่าจับมานั่งตักแล้วทำอะไรต่อมิอะไรให้มันได้ออกกำลังนัก...
“โอ้ย! ซาดิสต์นะพีซ เลือดไหลไหมเนี่ย?”
สงสัยว่าจะได้ใจมากไปหน่อย เลยโดนเขี้ยวเล็กๆ ของพีซเจาะเข้าทีริมฝีปากเต็มๆ ส่วนคนใช้ความรุนแรงก็ยืนอยู่ในอ้อมกอดพร้อมสีหน้าเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ไม่สนใจสีหน้าน้อยอกน้อยใจของผมเลยแม้แต่น้อย แถมยังเอียงหัวกลมๆ พยักเพยิกไปที่มืออีกแน่ะ ทำตัวรู้ทันแบบนี้โคตรน่าหมั่นเขี้ยว
“ทำตัวเอง ถึงจะไม่มีคนมาบ่อยๆ แต่อยู่บนนี้มันก็ประเจิดประเจ้อนะเหลียง”
“...บางทีเหลียงก็อยากตะโกนบอกให้คนทั้งโลกรู้ว่ะว่าเราคบกัน ติดที่มันจะไม่เร้าใจ”
“โรคจิต”
“คนที่เห็นด้วยก็ไม่น่าจะไกลกันนะ”
รีบรั้งคนตัวเล็กมากอดแน่นอีกรอบเมื่อสำนึกได้ว่าทำคนหน้าเดียวไม่พอใจเสียแล้ว แต่ก็ไม่ทัน เมื่อกำปั้นเล็กทุบเข้ามาเต็มๆ ที่กลางหลัง เสียงอั่กๆ เหมือนจะไม่ดังนักแต่ความเจ็บนั้นเท่าทวีคูณ
ตัวโน้ตบรรทัดที่สองบรรเลงอย่างต่อเนื่อง จังหวะมันคล้ายกับเพลงป๊อบที่มีท่อนแร๊พแทรกอยู่นิดหน่อย
“จะซ้อมกันที่ห้องนี้อีกแล้วเหรอวะ? เดี๋ยวก็มีคนเอาไปฟ้องอาจารย์อีกหรอก”
“อ้าว ก็นี่มันห้องซ้อมคณะเรา ทำไมจะใช้ไม่ได้วะ?”
“จำครั้งก่อนไม่ได้หรือไง มาทั้งสโม มาทั้งอาจารย์ โคตรวุ่นวาย ไม่เชื่อถามไอ้เหลียง”
“เออ มากันทั้งโคตรได้คงมา”
ตอบคำเพื่อนไปทั้งที่ยังไม่ละความสนใจจากการตรวจเช็คความพร้อมของอุปกรณ์ รู้อยู่แล้วล่ะว่าเวลาเช้าแบบนี้มีหลายคลาสใช้ห้องเรียนชั้นเดียวกันนี้อยู่ และห้องซ้อมนี้ไม่ใช่ห้องที่เก็บเสียงดีนัก แต่พวกผมมีเวลาพร้อมกันแค่รอบเช้า เนื่องจากหลังเลิกเรียนต่างฝ่ายต่างก็ต้องแยกไปทำธุระของตัวเองและงานรับน้องก็ใกล้เข้ามาในอีกไม่กี่เดือนอยู่แล้ว เลยตกลงปลงใจว่าเมื่อมีโอกาสก็ต้องรีบคว้าเอาไว้นั่นแหละ
“สรุปจะซ้อม?”
“ซ้อมๆ ไปเถอะ ต่อให้มาก็แค่บ่นอย่างเดียวเท่านั้นแหละ”
แม้ตอนแรกจะอิดออดอยู่บ้าง แต่ความอยากเล่นดนตรีของพวกเรามันเข้าเส้นเลือด พ่วงอารมณ์กวนฝ่าเท้าไปด้วยนั่นแหละเลยยิ่งเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีให้ทำอะไรห่ามๆ ดูบ้าง
เสียงเบสดังออกจากลำโพงกระจายเสียงเป็นตัวเริ่มท่วงทำนอง ก่อนมือกลองประจำวงจะสร้างจังหวะหนักๆ ตามมาในเวลาไม่นานนัก สุดท้ายก็เป็นผมเองที่ต้องทำหน้าที่เป็นนักร้องกิตติมศักดิ์และมือกีต้าร์ แหกปากร้องเพลงเมทัลจนเสียงแตกพร้อมกับที่นิ้วต้องไล่คอร์ดไปด้วย
พอจังหวะมาอารมณ์ก็จะพุ่งขึ้นสูงด้วย พวกเราซ้อมกันอยู่จนถึงประมาณกลางเพลงที่สาม ตอนนั้นเองที่ประตูห้องซ้อมถูกเปิดออกให้เห็นร่างของอาจารย์ประจำวิชาอะไรสักวิชา และสมาชิกสโมสรนักศึกษาทั้งสองคนที่ตามมาด้านหลัง
“หยุดเสียงเพลงพวกนี้เดี๋ยวนี้เลยนักศึกษา!”
ไม่ได้ยินหรอกว่าแกพูดอะไร แต่ไม่ต้องเดาให้ยาก ผมปล่อยมือจากคอร์ดพร้อมยกมือเป็นสัญญาณให้เพื่อนในวงหยุดมือ เพื่อพร้อมใจกันรับศีลรับพรไปพร้อมๆ กัน
“พวกคุณไม่มีเรียนกันหรือยังไง?”
“มีเรียนบ่ายอย่างเดียวครับ”
ตอบไปตามตรง ก็ปีพวกผมไม่มีคาบเรียนเช้าเลยเพราะมันจะไปซ้ำกับพวกรุ่นน้องเอาได้ คงไม่มีใครอยากจับปูใส่กระด้ง เอานักเรียนสามชั้นปีมารวมกันอยู่แล้ว นอกจากจะสอนไม่รู้เรื่องยังควบคุมจำนวนประชากรไม่ได้อีกต่างหาก
“แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาซ้อมดนตรีกันเวลานี้ไหม? คณะอื่นเขาเรียนกันอยู่ เสียงเพลงของพวกคุณมันไปรบกวนเขา”
คำบ่นเดิมๆ ที่ได้ยินอยู่บ่อยครั้งไม่ทำให้ผมเหนื่อยหน่ายใจเท่าไหร่เพราะความสนใจในตอนนี้คือคนที่ยืนทำตัวเรียบร้อยประหนึ่งเป็นตัวแทนรูปปั้นหินประจำมหาวิทยาลัยนั่นต่างหาก ผมหรี่ตามองเขา ไม่ใช่เพราะคาดโทษที่ตามอาจารย์มาทั้งที่ควรจะอยู่ในห้องเรียนหรอกนะ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมากับไอ้คนชื่อกฤตินั่นต่างหาก รู้ว่าเพื่อนกัน แต่หมอนั่นตั้งแง่กับกลุ่มผมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เห็นหน้าเลยพาลให้หงุดหงิดไม่น้อย
“หึ พวกขี้ฟ้องก็ยังขี้ฟ้องอยู่วันยันค่ำ”
หากสิ่งที่พูดออกไปกลับต้องเป็นประโยคแดกดัน คนที่มีตำแหน่งประธานค้ำคอแทนพี่ปีสี่ที่กำลังจะจบออกไปสบตากับผมทันที แม้จะไม่พูดอะไรแต่ก็รู้ว่าตัวเองคงโดนคาดโทษอยู่ในใจ
“เขาไม่ได้ฟ้องอะไร แต่มีคนร้องเรียนเข้ามาหลายครั้งแล้วต่างหาก”
“เหอะ”
“เก็บของของพวกคุณแล้วไปรอเวลาเข้าเรียน อีกสิบนาทีอาจารย์จะมาดูใหม่ เข้าใจไหม?”
ถอนหายใจด้วยความเซ็งพร้อมใช้เท้าเขี่ยสายไมค์บนพื้นเข้ามาใกล้ด้วยความอิดออด คงดูไม่จริงจังนักจนอาจารย์ต้องวานให้เด็กสโมทั้งสองคนจับตาไว้ด้วย
“กฤติ พีซ รบกวนด้วยนะ เสร็จแล้วไปตามอาจารย์ด้วย”
“เซ็งว่ะ... อะไรก็ไม่ได้ โคตรงก”
บ่นอิดออดกันคนละทีสองทีแต่ก็ยอมเก็บเครื่องไม้เครื่องมือของตัวเองไปด้วย เห็นคนตัวขาวเดินมาคว้าสายไมค์เหมือนตั้งใจจะช่วยก็รีบแย่งกลับมาก่อน เมื่อกี้ใช้เท้าเขี่ยเอาเลยนะเว้ย แถมยังอยู่บนพื้นเสียนานอีก สกปรกตายชัก จะให้ทำให้ได้ยังไง
“คุณประธานไม่ต้องลดตัวลงมาทำอะไรพวกนี้หรอกครับ เดี๋ยวพวกกระผมทำให้เอง”
เพราะคำพูดกวนประสาทไม่น้อยเลยได้สายตาค้อนควับกลับมาให้ คงไม่พอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเพราะเหตุการณ์เล่นนี้เกิดขึ้นหลายรอบอยู่ และต้องเป็นเขาทุกครั้งที่ถูกเรียกตัวให้ไปตามอาจารย์แล้วพากันมาไล่ผมที่นี่
“...อาจารย์ให้ช่วย”
“เอาหน้าว่ะ”
“เฮ้ย พูดดีๆ ก็ได้มั้ง พวกเราก็ไม่ได้อยากมายุ่งหรอกถ้าไม่มีคนเขียนร้องเรียนไปถึงสโมสร”
เหม็นขี้หน้าคือคำที่ผมมีให้กับคนชื่อกฤติ อยากจะหันกลับไปคว้าคอเสื้อเขย่าหลายๆ ทีแล้วถามว่ามีปัญหาอะไรมากไหม แต่เพราะสายตาห้ามปรามของคนตรงหน้า จึงไม่ทำอะไรแล้วแกล้งก่อกวนเขาแทน
“เป็นประธานนักศึกษาแต่ต้องให้ลูกไล่ออกหน้าให้เหรอ?”
“อย่าเรียกเขาแบบนั้น รีบเก็บของรีบไปเถอะครับ พวกคุณน่ะ”
อ่า... กอดอกแล้ว สงสัยจะเล่นมากไปหน่อย แต่ให้ตายเถอะ บางทีผมก็คิดว่าพีซเหมาะจะมาเรียนคณะเดียวกับผม แต่เป็นเอกการแสดงแทน เพราะเขาไม่เคยหลุดแสดงสีหน้าอะไรให้คนอื่นสงสัยเลย แถมบางทียังอินเสียจนผมก็ใจหายว่ากลับไปหอจะยังโดนเย็นชาใส่ต่อหรือเปล่า
“แล้วเจอกันคุณประธาน อย่าลืมเซ็นเอกสารขอแสดงกิจกรรมของคณะนิเทศด้วยล่ะ”
“ผมต้องขออ่านก่อนครับ”
ไหวไหล่ตามประสาอย่างที่ชอบทำรับคำพูดของคุณประธานตัวเล็ก ก่อนจะฉีกยิ้มที่ชอบใช้กับเขาในเวลาแบบนี้ไปให้ก่อนจะเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนตัวเอง ไม่วายขยิบตาใส่คนที่เริ่มหัวร้อนไปอีกทีเป็นการเย้า ดูเอาสิ มุมปากตกลงห้ามิลแล้วนั่น แสดงว่ากำลังหมั่นไส้ผมอยู่ในใจแน่ๆ
ตัวโน้ตของท่อนฮุคเป็นท่อนที่คนจะจดจำได้ไวที่สุด จึงต้องใช้ทำนองให้พอเหมาะ ยิ่งกับเพลงเมทัลยิ่งต้องกะจังหวะให้พอดี ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้เครื่องเสียงพังเอาได้
กิจกรรมเป็นของคู่กับนักศึกษาเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันดี ยิ่งกิจกรรมเยอะและหญ่เท่าไหร่ นักศึกษาที่มีส่วนร่วมในงานก็จะยิ่งเยอะขึ้นเท่านั้น ขนาดพวกที่นานๆ จะโผล่มาให้เห็นสักทียังต้องมีส่วนร่วมไปกับเขาด้วย คล้ายจะเป็นอาการที่ติดต่อกันทางอากาศ และสร้างความครื้นเครงจนเกือบลืมไปว่าที่นี่คือสถานที่สำหรับศึกษาหาความรู้
โดยเฉพาะกับกิจกรรมประจำปีอย่างการรับน้อง ไม่ว่าใครต่อใครต่างก็พร้อมใจช่วยกันทำหน้าที่ ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มนักร้องประจำมหาวิทยาลัยอย่างพวกผมก็ตาม
"เดี๋ยวรวมน้องเสร็จหมดแล้วไปเจอที่ลานกว้างเลยแล้วกัน จะรีบไปเปลี่ยนชุดก่อน"
"ได้ๆ ฝั่งเวทีไปเตรียมตัวเลย ตรงนี้อีกพักนึง"
โบกมือบอกลาเพื่อนๆ ในคณะที่กำลังต้อนรุ่นน้องหน้าใหม่เข้ามาในเต้นท์ก่อนจะช่วยกันขนเครื่องดนตรีสำหรับการแสดงเย็นนี้ไปที่ห้องพักนักแสดง แม้วงผมจะไม่ใช่วงแรกๆ ที่ขึ้นโชว์แต่พวกเราก็มักจะไปพักวอร์มร่างกายกันก่อนเพื่อลดอาการตื่นเต้นลง
"นึกว่าปีนี้จะไม่ได้แสดงแล้วนะเนี่ย เห็นพวกอาจารย์คัดค้านกันใหญ่"
"เออ ไม่รู้ซีเรียสอะไรนักหนากับการมีคอนเสิร์ตกลางโรงเรียน ดีนะที่เปลี่ยนใจยอมให้มีได้ สงสัยคนคงประท้วงหลังจากรู้เรื่องมั้ง"
ฟังเพื่อนคุยกันแล้วผมต้องพยายามกลั้นยิ้มมุมอย่างสุดความสามารถ เรื่องที่อาจารย์จะไม่ยอมให้มีคอนเสิร์ตแต่แรกนั้นเป็นเรื่องจริง เห็นว่าเป็นกิจกรรมที่ไม่สมควรจะมีในช่วงรับน้องวันแรก จะเป็นการมอมเมาเยาวชนอะไรจำพวกนั้น ซึ่งผมว่าเหตุผลมันแปลกไปหน่อย ตอนรู้ก็หัวร้อนอยู่เหมือนกัน แต่พอใครบางคนเสนอตัวว่าจะลองต่อรองให้อีกรอบก็ใจชื้นขึ้น ยิ่งวันที่มีประกาศตารางการแสดงแปะหราบนบอร์ดหน้าโรงอาหารยิ่งอยากจะวิ่งไปห้องสโมสรนักศึกษาให้รางวัลคนเก่งสักดอกสองดอก แต่ก็กลัวจะโดนคาดโทษที่ครั้งก่อนซนจนเอกสารเละเทะไปหมดเลยได้แต่รอให้ถึงเวลาที่เหมาะที่ควรแทน
คิดอะไรเพลินๆ จนเดินมาถึงโซนเวทีที่ถูกเนรมิตรขึ้นจากเด็กฝ่ายศิลป์ สามหนุ่มสามมุมอย่างพวกผมรีบเปลี่ยนจากเสื้อคณะสำหรับงานรับน้องเป็นเสื้อยืดกางเกงยีนส์สบายตัวตามที่นัดแนะกันมา
"เดี๋ยวเข้าไปเช็คอุปกรณ์กันก่อนเลยนะ ขอคุยโทรศัพท์กับที่บ้านแป๊บ"
ชูเครื่องมือสื่อสารที่กำลังสั่นอยู่ในมือให้เพื่อนร่วมวงดูพร้อมส่งกีต้าร์ตัวโปรดที่หอบหิ้วมาด้วยให้เพื่อนนำไปจัดการแทนก่อน
"รีบๆ ตามมาละกัน สาวๆ เขามาจ่อรอดูหน้าเดือนนิเทศกันเต็มหน้าเวทีแล้วมั้ง"
"ตลกเหอะ เดี๋ยวรีบตามไปเว้ย"
มองตามแผ่นหลังเพื่อให้แน่ใจแล้วว่าทั้งคู่เดินไม่มีทีท่าว่าจะกลับมา ผมก็เดินวนกลับเข้ามายังห้องแต่งตัว ไม่รอช้า เคาะประตูห้องสุดท้ายที่ถูกปิดอยู่ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาพร้อมกลุ่มตัวเองแล้ว
"เด็กน้อย เปิดประตูให้เหลียงหน่อยครับ"
เสียงปลดกลอนจากอีกฝั่งของประตูดังขึ้นพร้อมบานประตูที่ค่อยๆ ถูกแง้มเปิดออก เหมือนฉากในหนังสยองขวัญ ต่างกันตรงที่ด้านหลังประตูนี้มีคนที่ผมกำลังอยากเจออยู่ ไม่ใช่ตัวประหลาดวายร้ายเหมือนในหนังพวกนั้น
"บอกว่าให้เลิกเรียกแบบนี้ไง"
"ตัวแค่นี้เรียกเด็กน้อยก็เหมาะแล้วนี่"
พีซไม่ใช่คนตัวเล็กบอบบางอะไรขนาดนั้น เขาเป็นผู้ชายรูปร่างสมส่วน แต่พอมายืนเทียบกับผมไม่ว่ายังไงก็ดูเด็กน้อยอยู่ดี หัวเขายังอยู่แค่ระดับปลายคางพอเหมาะให้ใช้แทนที่วางได้ เห็นไหมว่าเหมาะกับคำเรียกจะตาย
"...ไปเตรียมงานต่อดีกว่า"
"เดี๋ยวๆ เหลียงล้อเล่น ไม่แกล้งแล้ว"
ใช้ความได้เปรียบทางกายภาพปิดทางออกของเขาไว้พร้อมเดินหน้าบังคับให้คนตัวเล็กต้องเดินถอยหลังกลับเข้าไปในห้องแต่งตัวเหมือนเดิม ไม่ลืมปิดประตูลงกลอนเอาไว้อย่างเรียบร้อยด้วย
คุณประธานคนเก่งเงยหน้ามองผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะใช้หลังมือเช็ดคราบเหงื่อที่เริ่มซึมทั่วกรอบหน้าให้ พอเขาเปิดช่องว่างก็ถึงทีของผมที่จะได้เก็บเล็กเก็บน้อยเสียที รั้งเอวบางเข้ามาใกล้จนที่ว่างระหว่างเราลดลงก่อนจะจัดทรงผมที่เริ่มยาวแล้วของเขาให้เข้าที่ ผมชอบความละมุนของทุกช่วงเวลาที่เราได้ใช้ด้วยกันพอๆ กับความตื่นเต้นเวลาทำเรื่องเสี่ยงๆ ในสถานที่ที่ไม่ควรอย่างเช่นตอนนี้
“ถ้าแต่งหน้าหน่อยจะเหมือนไอดอลเกาหลีป่ะ?”
“ถ้ารองพื้นไม่ไหลมากองรวมกันก็น่าจะเหมือน เหลียงหน้าตาดีอยู่แล้ว”
“โหย... ขอประโยคเมื่อกี้ใหม่หน่อยดิ จะอัดไว้ฟังวนหลายๆ รอบ”
พีซหัวเราะแล้วส่ายหน้า ก่อนจะตบอกผมเบาๆ เป็นสัญญาณให้ถอยห่างออกจากเขาได้แล้ว แต่ใครจะยอมล่ะ วันนี้ทั้งวันยังไม่มีโอกาสเนียนไปหาเลยเพราะคำว่าหน้าที่มันค้ำคอ จนกระทั่งอีกฝ่ายส่งข้อความมาให้ตั้งแต่ตอนที่ผมกำลังจะแยกจากคณะเพื่อมาเตรียมตัวนั่นแหละว่ารออยู่ในห้อง ไม่อย่างนั้นคงต้องไปชะเง้อเอาตอนอยู่บนเวทีว่าเขาไปหลบอยู่ตรงไหน
“ไปเตรียมตัวเถอะ”
“ยังไม่ได้กำลังใจเลย เดี๋ยวขึ้นไปร้องเพลงไม่ได้ จับกีต้าร์ไม่ถูกคอร์ด งานจะล่มเอานะ”
ยักคิ้วให้กับเจ้าของมุมปากตกห้ามิลแล้วเดินหน้าเป็นการบังคับให้เขาต้องเป็นฝ่ายถอยหลังไปจนชนกำแพงห้อง ยื่นหน้าไปใกล้อีกนิดให้ปลายจมูกของเราทั้งคู่ชนกัน ประธานคนเก่งจะเขินเวลาที่ผมทำแบบนี้ และครั้งนี้มันก็ได้ผลไม่ต่างกันเมื่อพวงแก้มใสเริ่มระเรื่อเป็นสีชมพูน่ารักที่ไม่เหมาะกับผมแน่ๆ ถ้ามันมาขึ้นบนหน้าบ้าง
“ขอกำลังใจหน่อยครับ”
“...บังคับแบบนี้ไม่เรียกขอนะ”
“แต่ถ้าไม่ให้ตอนนี้จะจับเอาขาพาดบ่าไม่ให้ออกไปเจอโลกจนกว่างานจะจบนะ”
“เหลียงอย่าทะลึ่ง”
หัวเราะให้กับสายตาเด็ดขาดของเขาแล้วกดริมฝีปากลงไปหนักๆ ออดอ้อนคนจริงจังให้ยอมตามใจด้วย แล้วก็ได้ผล เมื่อผมได้รับจูบหวานๆ ตอบกลับมา เราแลกเปลี่ยนลมหายใจซึ่งกันและกัน รู้สึกถึงอารมณ์ที่เริ่มพลุกพล่านของเราทั้งคู่ วงแขนเรียวที่เปลี่ยนจากผลักไสเป็นรั้งคอผมให้เข้าหาวงหน้าของเขามากยิ่งขึ้น
ความรู้สึกราวกับยืนอยู่บนปุยเมฆเกือบจะทำให้กระดุมบนเสื้อเขาเริ่มหลุดอยู่แล้วถ้าเครื่องมือสื่อสารที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ไม่สั่นขึ้นเสียก่อน แม้จะอิดออดแต่ก็จำต้องผละใบหน้าออกจากกัน ไม่วายงับปากนิ่มไปอีกทีก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและรู้ว่าต้องไปแล้วเมื่อชื่อที่โชว์หราอยู่บนนั้นคือหนึ่งในสมาชิกร่วมวงของผมนั่นเอง
“...เริ่มไม่อยากไปแสดงแล้วอ่ะพีซ”
“อย่างอแง เดี๋ยวจะยืนดูแถวๆ นั้น”
“จะเอาดอกไม้มาให้เหลียงด้วยไหม?”
“วันเปิดเทอมคงได้เห็นข่าวประธานสติแตกขึ้นหน้าหนึ่งบนวารสารมหาวิทยาลัยแน่ถ้าทำ”
ยีหัวกลมๆ ไปหนึ่งทีเพราะคำพูดคำจานั้น แม้จะเสียดายที่เวลาลับๆ ของเราหมดลงแล้ว แต่ก็ยอมปล่อยให้เขาออกจากอ้อมกอดเพื่อกลับไปทำหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมาย
“หลังงานเลิกจะไปหาที่ห้องสโมแล้วกันนะ”
“อืม... เหลียง”
“หืม?”
“สู้ๆ นะครับ”
อ่า...ไม่อยากเล่นแล้วกีต้าร์ อยากเล่นกีฬาในร่มผ้าแทน
แต่รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลา ผมเลยทำได้เพียงยิ้มตอบกลับเจ้าของกำลังใจ อดทนอดกลั้นความรู้สีกของตัวเอง อยากจะเร่งให้เวลาของวันนี้หมดไปให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้กลับหอไปนอนกกคุณประธานที่เก่งไปเสียทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องของเรา
ตัวโน้ตของเพลงบางเพลงอาจสลับซับซ้อนจนดูไม่น่าจะบรรเลงได้ แต่กลับตราตรึงให้วนกลับไปฟังซ้ำหลายๆ ครั้งเมื่อเพลงจบ
คงเหมือนเรื่องราวของพวกเรา ที่แม้จะไม่เรียบง่ายทว่าลงตัวในรูปแบบของมัน
THE END
-----------------------------------------------------------
TALK: สวัสดีกับตอนสุดท้ายของซีรีส์นี้ค่ะ รู้สึกใจหายยังไงก็ไม่รู้ เหมือนเราอยู่ด้วยกันมานานมากเลยพอจะจบก็เหงาๆ นิดหน่อย

สำหรับบางคนที่ถามมาเรื่องรวมเล่ม มีข่าวดีค่ะแต่เดี๋ยวเราจะมาแจ้งอีกครั้งเนอะถ้ารายละเอียดเรียบร้อยแล้ว จะได้ไม่โป๊ะ 555555555555555555
ท้ายที่สุดนี้ต้องขอบคุณทุกคนมากๆ เลยนะคะที่เข้ามาอ่าน เข้ามาให้กำลังใจกันอยู่ตลอด เราทำความชอบของเราให้ออกมาสำเร็จได้ก็เพราะทุกคนอ่านแล้วรู้สึกแฮปปี้ไปกับเรื่องราวที่เราเขียนนี่ล่ะค่ะ!
แล้วเจอกันกับผลงานใหม่+งานเก่าที่ค้างอยู่ อย่าลืมรักษาสุขภาพกายและใจกันด้วยนะคะ
ด้วยรัก
