ความเสี่ยงที่ 32
22.39 น. ผ่านไปแป๊บเดียว ผมก็กลับมานั่งอยู่ในวงเหล้ากับพวกแม่งเพื่ออัพเดทชีวิตอีกแล้วล่ะครับ วันนี้ได้กลับมาแวะเวียนร้านคุ้นเคยสมัยสมัยเรียน จบโปรเจ็คทีไรต้องมาทิ้งตัวที่นี่ทุกที เละเทะกันมาแล้วทุกซอกทุกมุม กับพี่เจ้าของร้านนี่เรียกได้ว่าเห็นกันตั้งแต่หัดกินเหล้าจนจะเป็นตับแข็งอยู่ร่มร่อ มาคราวนี้แกเห็นว่าสมาชิกเยอะ ท่าทางจะเสียงดัง เลยใจดีอนุญาตให้พวกผมยึดเอาลานเล็กๆ ด้านข้างของร้านเป็นสนามเมาโดยเฉพาะ ซึ่งพวกผมก็ไม่ได้ทำให้แกผิดหวังเลยครับ
นี่แค่นั่งฟังยังหูแทบอื้อ
จะว่าไป สองเดือนที่ผ่านมาสำหรับผมก็ไม่มีอะไรมาก มีแต่งาน งาน งาน กับโค้กกระป๋องจำนวนนับไม่ถ้วน นี่เพิ่งจะส่งผลวิเคราะห์ที่ดินไปสองโครงการหรอกนะ ถึงออกมาดื่มได้แบบนี้น่ะ
ผมยกเบียร์ในมือขึ้นจิบ หันหน้าไปมองพีทที่กำลังตอบคำถามของบอยต่อ
“ก็ดีนะ ช่วงนี้เพิ่งปิดไปโปรเจ็คนึง” พีทว่า “กูก็เลยได้ย้ายมาดูของ AA เต็มตัวว่ะ”
“โอ้โห ถือโปรเจ็คเดียวเหรอ กูนี่ล่อไปสาม โทรศัพท์เข้าแม่งทั้งวี่ทั้งวัน ดูนี่... ดู” เฟิร์สที่นั่งตรงข้ามผมชูโทรศัพท์ขึ้นแล้วถอนหายใจพรืด
อื้อหือ… แค่ผมมองไปก็หงุดหงิดแล้วครับ การแจ้งเตือนขึ้นเป็นร้อยเลยมั้งนั่นน่ะ ทนหน้าจอรกๆ แบบนี้ได้ยังไงกันวะ อีเมล์ก็จะเป็นพันแล้ว ไหนจะไลน์อีก โอ๊ย! ไม่ไหว
“สเกลงานมันใหญ่เหอะ ดีเทลเยอะ นี่กูไม่ได้ถือคนเดียวนะ ยังมีทีมอีกเยอะเลย” พีทเว้นช่วง “นี่ไอ้ตี๋แม่งก็ยังต้องช่วยเรื่องเอกสารกับประสานงานอยู่เลย”
ผมพยักหน้าหงึกหงักรับคำพูดเพื่อน โครงการนี้กำลังเข้าช่วงสุดท้ายของการคัดเลือกกับประมูลผู้รับเหมาก่อสร้าง อีกไม่นานก็คงได้เริ่มลงมือทำฐานรากกัน ผมก็มีหน้าที่ประสานงาน ดูเอกสารงบประมาณ และยังต้องเข้าประชุมบ้างนิดหน่อยไม่ให้หลุดวงโคจร
ก็… ยังต้องเจอเจ้าของโครงการอยู่บ้าง... ถึงช่วงหลังๆ คุณตะวันจะไม่ค่อยได้มาเข้าประชุม แต่เวลาเจอหน้าก็ทักทายกันตามปกติ นอกจากจะทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วอีกคนยังดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นด้วยซ้ำ เป็นผมเองเสียอีกที่ไม่รู้จะทำหน้ายังไงตอนเจอกันหลังจากวันนั้น
ก็เล่นพูดไปชัดเจนขนาดนั้นนี่นะ...
“เชี่ย” เฟิร์สอุทาน “โปรเจ็คนี้มาสเตอร์พีซจริง ต้องต่อคิวขอสัมภาษณ์ตั้งแต่ตอนนี้เลยมั้ง ดูใช้ทีมแต่ละคน”
“ช่าย ส่วนนี่ลูกน้องกูเอง” พีทหัวเราะแล้วชี้ไปหาคนข้างตัว
“เออออ...” อาร์ตลากเสียงยาว ปัดมือของคนตัวสูงที่กำลังยิ้มล้อเลียนออกแรงๆ “เป็นเบ๊ให้แม่งด้วย ไหนจะงาน AA ด้วย งานในด้วย ไอ้เหี้ย เหมือนตัวจะแตก เหนื่อยชิบหาย”
“กูล่ะอยากลางานสักเดือนนึง” อาร์ตพูดเพ้อๆ “ลาก่อยแม่งเลยละกัน”
“เอ้า ไหนมึงจะเก็บตังซื้อรถไง” บอยพูดขึ้นจากปลายโต๊ะ “ท้อแล้วเหรอจ๊ะ”
“ก็กูเหนื่อยอ้ะ ไม่ได้หยุดเลยนะเฮ้ย ไหนจะเข้าไซต์ออดิท ไหนจะทำแบบอินทีเรียของ AA ช่วยงานไอ้พีทอีกเนี่ย”
“บ่นแบบนี้ ตกลงคือไม่เอาละเงิน จะเปลี่ยนจากขับรถยนต์เป็นปั่นจักรยานว่างั้น” ผมแซวบ้าง “บีเอ็มเอ็กซ์งี้”
อาร์ตหันมาค้อนขวับ “เอาไปปั่นบนหน้ามึงเลยเชี่ยตี๋”
มองหน้ามันแล้วผมกับคนอื่นก็หัวเราะกันคิกคัก
“โอ๋ อย่างอนนนน” ผมแกล้งยื่นมือจะไปบีบแก้ม แต่ก็โดนมันตีมือออกมาซะก่อน เลยเปลี่ยนไปโบกๆ แกล้งกวนประสาทมันแทน เห็นไอ้อาร์ตทำหน้าง้ำหน้างอแล้วยิ่งขำเข้าไปใหญ่
“เออ มึงล่ะเป็นยังไง พ่อนักวิเคราะห์ แม่งยุ่งชิบหาย ยุ่งไม่เคยว่างเลยเนี่ย นี่ยังจำชื่อกูได้ใช่มั้ย” เฟิร์สหันมาถามผมบ้าง
“ชื่อพ่อมึงกูก็จำได้ครับ” ผมรีบตอบ “สมยศ”
“ไอ้สัดตี๋ เดี๋ยวเหอะ” มันรีบแทรก
“เอ้า กูก็มาแล้วนี่ไง” ผมหัวเราะ “งานเยอะเหมือนเดิม ตอนนี้ถืออยู่สองโครงการ เดือนนี้มีเข้ามาศึกษาความเป็นไปได้ Feasibility study อีกสาม น่าจะผ่านไปทำดีไซน์คอนเซปต์ต่อได้เลยหนึ่ง อีกสองต้องรอดูก่อนว่าเสนอแล้วทางแบงค์ว่ายังไง” ผมนับนิ้ว “ถ้าเข้ามาหมดจริงก็คงชิบหายหน่อยๆ”
“ทำไมกูฟังแล้วดูไม่หน่อยเลยวะ” เทพเกาหัว
“เออ ไม่เห็นหน่อยเลย” ปั่นว่าขึ้นบ้างขณะยังพิมพ์มือถือรัวๆ
น้ำที่นั่งอยู่ข้างผมขมวดคิ้ว “มึงที่ยังนั่งตอบงานจนตอนนี้ พูดได้เหรอวะปั่น”
“เออเนี่ย งานเข้าว่ะ ลูกค้าจู่ๆ ก็อยากจะเพิ่มรูปอีกหกมุม ซึ่งกูทำไม่ได้แน่ๆ ไม่งั้นปลายเดือนนี้ตารางจะชนกันเต็มๆ เลยต้องรีบตอบตอนนี้ เดี๋ยวบรีฟมาแล้วปฏิเสธไม่ออก”
“โอ๊ย เบื่อคนงานเยอะ เงินเยอะนิ” กล้าใต้พูดแซว “แล้วมึงไม่เพิ่มอะไรบ้างหรอ เพิ่มคน เพิ่มคอมงี้”
“เพิ่มคนนี่ยาก กูไม่มีเวลามานั่งสอนงาน อย่างน้อยต้องเรนเดอร์ V-ray คำนวนแสงเป็น” ปั่นว่า “ส่วนคอม นี่กูเพิ่งถอย i7 มาใหม่อีกเครื่อง”
อาร์ตปรบมือแปะๆ “โอ้โห ไม่รวยทำไม่ได้นะครับเนี่ย”
“บัตรกายสิทธิ์น่ะรู้จักมั้ย ศูนย์เปอร์เซนต์สิบแปดเดือน” ปั่นยักไหล่ “เวลคั่มทูโลกของคนเป็นหนี้”
“เศร้าสัด” น้ำพูดขึ้นนิ่งๆ
“นี่ขนาดได้ i7 มึงยังทำไม่ทัน” บอยขมวดคิ้ว “ทำไมจู่ๆ งานเยอะจังวะ ไหนเดือนที่แล้วมึงยังนอนเกาไข่อยู่เลยไง”
ปั่นถอนหายใจ “ก็งานแม่งเพิ่งเข้าาา เนี่ย ชีวิตฟรีแลนซ์”
“ปิดไตรมาสล่ะมั้ง เลยขยันเปิดขายกัน บูสอัพยอดขายงี้” พีทให้ข้อสังเกต “จริงๆ ต้องถามพวกฟ้าที่อยู่ห้องแบบพวกเดเวลอปเปอร์นะ น่าจะรู้เยอะกว่า”
“ถึงรู้กูก็ทำอะไรไม่ด้ายยย จะไปบอกปัดบ่อยๆ ก็ไม่ได้ เดี๋ยวงานหน้าอดแดก” ปั่นคว่ำมือถือลงกับโต๊ะแล้วร้องเพลงโอดครวญ “แล้วชั้นเลือกอะไรได้มั้ยยย...” ทำเอาทุกคนหัวเราะเสียงดังลั่น
“เก่าสัด” เทพส่ายหน้าพรืด “เห็นพวกมึงเป็นงี้ กูอยู่โรงเลื่อยพ่อต่อดีกว่า”
“ขอฝากเนื้อฝากตัวหน่อยครับเสี่ย” อาร์ตแกล้งยกมือไหว้ “กระผมจะพาคนจากกรมป่าไม้ไปเยี่ยมบ่อยๆ นะครับ” แหย่ซะไอ้เทพทำตาเขียวใส่ เรียกเสียงฮาได้ทั้งโต๊ะ
กรมป่าไม้กับโรงเลื่อย ไม่ควักปืนออกมายิงกันก็ดีแค่ไหนแล้ว
“เออ พูดถึงทำงานต่อ นี่กูว่าจะย้ายสาย ไม่เอาละดีไซน์ ไปสายคอนเซาท์เหมือนมึงน่าจะดีกว่าตี๋” เฟิร์สบ่นบ้าง “สายนี้ดูไม่มีอนาคตเลย บริษัทมึงรับคนมั้ย”
“อย่าาาาา หนีไปปปปป” ผมแกล้งพูดเสียงยานคาง
“นี่มึงยังไม่เห็นใต้ตาไอ้ตี๋มันเหรอ” น้ำจับคางผมให้หันไปทางเฟิร์ส “ดูดิ เหมือนรังนกนางแอ่น” มันพูดจบ พีทกับบอยก็หัวเราะก๊ากขึ้นมาพร้อมกัน
ไอ้พวกนี่แม่ง ไอ้คนหน้าตาดี พวกมึงไม่เข้าใจกูหรอก
“ไอ้น้ำ ไอ้เชี่ย” ผมถองศอกเข้าไปแรงๆ จนมันร้องโอ๊ย ”แต่ถ้ามึงอยากย้ายสายจริง ลองมาสมัครดูก็ได้ จะได้ลองเปลี่ยนงานบ้าง มึงอาจจะชอบมากกว่าทำดีไซน์ตรงๆ”
“เดี๋ยวกูส่ง CV ไปเลย” มันว่า “กูต้องฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคร้าบ คุณมาวินทร์”
“สัด ไอ้ตี๋มันไม่ใช่เจ้าของบริษัทมั้ย” อาร์ตว่า
น้ำถอนหายใจ “ไม่ใช่ก็เหมือนใช่ละ บ้างานอย่างมันตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดคือซีอีโอ วันก่อนมันบอกว่าออกจากออฟฟิศตอนห้าทุ่ม”
เอ้า ก็งานกูไม่เสร็จ ...ผมเถียงในใจ
“ในโลกของดีไซน์เฟิร์มนั่นเร็วละนะ” เอ็มจากท้ายโต๊ะหันหน้ามาบอกบ้าง “นี่กูกำลังบ่นกับไอ้นัทอยู่เลยว่าวันก่อนได้ออกจากออฟฟิศตอนหกโมงเช้า ทันใส่บาตรให้ตัวเองพอดีเลยพวกมึง”
“เหยดดด...” ทุกคนร้องขึ้นพร้อมกัน
“เป็นกูออกตั้งแต่สองเดือนแรกแล้ว” เทพบอก “พวกมึงก็ทนกันได้เนอะ”
“ก็นานๆ ที” นัทอุบอิบ “อาทิตย์ละครั้งสองครั้งงี้”
ชิบหายสิ… นั่นนานเหรอครับ รู้สึกโชคดี รักงานตัวเองขึ้นมายังไงก็ไม่รู้
“จะว่าไป นี่ก็ทำงานมากันจะสองปีแล้ว เร็วเนอะ” เฟิร์สพูด
“อีกแป๊บเดียวก็เปิดเทอม ต้องกลับไปว้ากใหม่ป่ะวะ” น้ำถามขึ้น
“ปล่อยเด็กมันบ้างเถอะ ไปเดินหล่อๆ ก็พอแล้วมั้ยพวกมึงน่ะ” เฟิร์สเบ้หน้า “จะว่าไป ธีสิสแม่งไปถึงไหนกันแล้ววะ ต้องหาเวลาเข้าไปดูละ กูนี่ทำแต่งาน ไม่ได้ตามน้องกูเลย”
ผมสะดุ้งโหยง... จริงด้วย ลืมไปเลย
ไอ้หยองน้องรัก เป็นยังไงบ้างวะเนี่ย พักนี้ไม่ได้ถามไถ่
วันธรรมดาก็มัวแต่ยุ่งเรื่องงาน ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็มีเรื่องทางบ้านให้ต้องคิด
เปล่า…ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงหรอกครับ ก็แค่... นับตั้งแต่งานแต่งเฮียโจนั่น เตี่ยก็ออกอาการหวงลูกชายมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งมาหาแบบไม่บอกไม่กล่าว ทั้งมาลากไปกินข้าวเย็น แถมเรียกให้กลับบ้านทุกเสาร์อาทิตย์ ถ้าวันไหนไม่กลับ วันรุ่งขึ้นก็โผล่มาที่คอนโดตั้งแต่เช้าเหมือนจะมาจับผิดกันซะอย่างนั้น
อ่า… ก็มีผิดให้จับบ้างแหละ
ก็เล่นมาอยู่ที่ห้องผมบ่อยขนาดนั้นนี่…
ถ้าแจ็คพอตเจอกัน… เตี่ยก็ทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ทักไม่ทาย แทบจะเดินทะลุไปเลยเชียว แต่เขาก็พยายามในแบบของเขาล่ะนะ ด้วยลูกอ้อนและรอยยิ้มกว้างๆ แบบนั้น มีแต่อาม๊าแหละครับ ที่ดูจะถูกใจอยู่บ้าง หลังๆ ถึงเริ่มมีซื้อของมาฝาก ถามถึงบ้างนิดๆ หน่อยๆ
เก่งนัก… เรื่องทำคนอื่นใจอ่อน
เดี๋ยว…โยงไปถึงคนนั้นได้ยังไงวะเนี่ย
ผมกระพริบตาปริบๆ แล้วส่ายหัวไล่ความคิด
เรื่อยเปื่อยเลยกู กินเบียร์แล้วนั่งฟังเพื่อนต่อดีกว่า
“กระดกเอากระดกเอาเชียวนะ” น้ำทักขึ้นเบาๆ “นี่มึงกลับยังไง มารับใช่มั้ย”
“หา?” ยังไงนะ ผมขมวดคิ้วใส่
“มันจะมารับใช่มั้ย”
“อ่า… เปล่า” ผมมองแก้วตัวเอง “วันนี้กูขับรถมา”
“กินเยอะเดี๋ยวได้จบที่โรงพัก” มันหรี่ตามอง “ให้อีกสองแก้วพอ”
ผมย่นจมูก แม่งเอ้ย สั่งเป็นพ่อเชียว
“แล้วนี่มึงกลับยังไง” ผมถามกลับบ้าง
“กูขับรถมา”
“งั้นมึงก็พอด้วยเลย” ผมได้ที “ให้อีกสองแก้ว”
“ดีล” มันว่าพลางรีบยกแก้วตัวเองขึ้นชนกับแก้วที่ผมถืออยู่ในมือเป็นการตกลง
ผมแอบทำหน้าแปลกใจหน่อยๆ ทำไมวันนี้ยอมง่ายจัง
ไม่สนุกเลย ไอ้น้ำแม่ง
“เอ้อ นี่ พวกมึง กูมีเรื่องจะบอก” บอยพูดขึ้น “กูได้ offer ที่ Edinburgh แล้วนะ”
“เชรดดดด ฉลองดิรออะไร” เทพรีบชูแก้วขึ้น เรียกให้ทุกคนขยับเข้ามาชน “ยินดีด้วยโว้ยย มึงไปเรียนอะไรนะ”
“Advanced Sustainable Design การออกแบบเพื่อความยั่งยืนน่ะ”
“เหยดดดด”
“เท่ไปเลยมึง”
“งี้กูไปเที่ยวคือที่พักฟรีแล้วใช่ป่ะ”
“เอ้า ชนๆๆๆ”
ดีใจกับเพื่อนบอยด้วยจากใจจริง แต่สำหรับผม แค่ได้ยินคำว่าดีไซน์ก็ขนลุกแล้วครับ จะให้มานั่งออกแบบอีกนี่ยังทำใจไม่ได้ ธีสิสยังหลอกหลอนอยู่ในหัวเลย พอๆ ขอเสพผลงานคนอื่นต่อไปอีกสักพักก็แล้วกัน
ผมชนแก้วแล้วยกเบียร์ขึ้นดื่มอึกๆ จนหมดไปสามในสี่
พีทวางแก้วลง ก่อนจะถาม
“เออ… แล้ววางแผนไว้รึยัง ว่าหลังจากนั้นมึงจะทำอะไรต่อ”
นั่นสินะ…
อนาคตเหรอ...
_ _ _ _
02.30 น. แมวจิ๋ววิ่งตุบตับมาถึงตัวทันทีที่ผมเปิดประตูคอนโด เจ้าตัวแสบร้องเหมียวๆ แล้วเอาหัวถูกับขาผมสองสามทีเป็นการทักทาย พันแข้งพันขาจนพอใจก่อนจะทำตัวยืดตัวยาวแล้วสะบัดหางเดินตามผมต้อยๆ เข้าไปที่ครัว ผมคงต้องหาน้ำเปล่ากินสักขวดก่อนจะอาบน้ำนอน ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ต้องปวดหัวแน่ๆ
ในระหว่างผมค้นตู้เย็น ก็มีคนหน้างอเดินก้าวยาวๆ ออกมาจากห้องทำงาน
“กลับดึกครับ” มองสำรวจหน้าตาผมตั้งแต่หัวจรดเท้า แถมทำจมูกฟุดฟิด “หน้าแบบนี้ กินเบียร์ไปเยอะแน่ๆ”
“นี่ก็นอนดึก” ผมปิดตู้เย็นแล้วพูดเปลี่ยนเรื่อง “อ่านหนังสือถึงไหนแล้วเนี่ย”
“อ่า…” หวานยกมือเกาแก้ม ก้มหน้าลงไปมองพื้นแล้วตอบอ้อมแอ้ม “กำลังทำ study model เพิ่มอีกสองตัวน่ะครับ”
“คุณณณณ!!” ผมหันขวับไปโวยเสียงยานคาง “อ่านหนังสือออ นี่จะสอบข้อเขียนอยู่อาทิตย์นี้! ฮิสทรี่นี่วันจันทร์แล้วนะ ยังไม่เห็นจะอ่านเลย ไฟนอลโปรเจ็คดีไซน์อีกตั้งสองอาทิตย์ จะมาทำโมเดลอะไรตอนนี้เล่า”
“ก็มันคิดออกพอดีนี่ครับ” หวานแก้ตัวเสียงอ่อย “เลยลุกมาสเก็ตไว้ ไปๆ มาๆ มองไม่ค่อยเห็นภาพเลยลองตัดโมดูดีกว่า”
ผมคว้าขวดน้ำขึ้นดื่มแล้วถอนหายใจพรืด “เนี่ย ถ้าได้เกรดแย่ๆ มานี่ไม่ต้องมาบ่นเลยนะ ไม่รู้ว่าอะไรควรให้ความสำคัญก่อนหลังเนี่ย”
“ใครบอกล่ะ ก็ที่สำคัญอันดับหนึ่งของผมก็อยู่ตรงหน้านี่ไง”
ผมสำลักน้ำ “ห้ะ!?”
“ก็คุณไง!” ตอบเสียเสียงดัง “เนี่ย ตัวแดง เมามาด้วย ต้องทิ้งงานมาดูแลเลยนะ” หวานพูดหน้าตายแล้วเดินเข้ามาใกล้ “ดื่มน้ำไปเลยครับ เยอะๆ เลย”
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ไหนบอกจะอ่านหนังสือให้จบไง”
“ก็คุณไม่อยู่ อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเนี่ย”
“ไม่เกี่ยวกันเลย”
“ก็ว้าวุ่นอ่ะ ไม่มีสมาธิ”
“เพ้อเจ้อ” ผมว่า
“เรื่องจริงเถอะ กลับก็ดึก เบียร์ก็กิน ไปเมาเรี่ยราดกับใครรึเปล่าก็ไม่รู้”
“เอ๊ะ คุณนี่” ชักจะมีน้ำโห
“ก็เป็นห่วงอ่ะ” หวานพูดออกมาตรงๆ “จริงๆ แล้วอยากไปนั่งเฝ้าด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่เอาดีกว่าอยากให้คุณมีเวลาเป็นของตัวเอง ไม่อยากเกาะติดเพราะรู้ว่าคุณดูแลตัวเองได้ แต่ก็เป็นห่วงงงงงงงน่ะ” คนตัวสูงลากเสียง เดินมาประชิดตัวแล้วยกมือขึ้นมาจับแก้มผมเอาไว้ทั้งสองฝั่ง
“ห่วงไม่เข้าเรื่อง” ผมอุบอิบ
“นี่… นอกจากขี้ห่วงน่ะ ผมขี้หวงด้วยนะ” ว่าแล้วก็ชะโงกหน้าเข้ามาจูบเร็วๆ ที่ริมฝีปากทีหนึ่ง
ผมย่นจมูก หรี่ตามองอย่างเอาเรื่อง “เนียนนะเราน่ะ”
หวานหัวเราะ “คนเมาไปอาบน้ำได้แล้วครับ”
ชิ… ทำมาเปลี่ยนเรื่องแล้วรุนหลังคนอื่นไล่ไปอาบน้ำนะเจ้าตัวแสบ นี่มันดึกแล้วหรอกนะเลยยอมให้
ผมมองหน้าคนตัวสูงแล้วชี้นิ้วใส่ “อย่าให้เห็นว่าออกมาแล้วยังนั่งตัดโมเดลอยู่นะ”
_ _ _ _
ก็นึกว่าจะยิ้มรับคำสั่งไปอย่างนั้นเอง แต่พอเปิดประตูมาก็เจอร่างสูงนอนห่มผ้าหันหลังให้อยู่บนเตียง ไฟห้องปิดเรียบร้อย สงสัยผมจะใช้เวลาอาบน้ำนานไปหน่อย แถมพักนี้เจ้าเด็กปีหนึ่งก็ใกล้จะไฟนอล นอนดึกติดกันมาเป็นอาทิตย์แล้วมั้ง
อ้อ ช่วงที่ผ่านมาคุณแม่ของเขาหาห้องให้ได้แล้วนะครับ ในคอนโดเดียวกับผมนี่แหละ แถมเป็นห้องแบบเดียวกันเป๊ะ ต่างกันที่ว่าอยู่คนละชั้น คนละมุมเท่านั้นเอง เห็นคุณแม่เขาว่าสะดวกดี ใกล้ที่เรียน ใกล้รถไฟฟ้า จะได้ไม่ต้องขับรถกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ
นี่คุณเขาไปไซโคอะไรแม่มาหรือเปล่าวะ…
ถึงจะมีจุดประสงค์เอาไว้ให้เป็นที่พัก แต่ตอนนี้ห้องที่ว่ากลายร่างเป็นห้องเก็บของไปเรียบร้อยแล้ว ก็เล่นมาขลุกตัวอยู่ห้องผมตลอด ที่เห็นจะกลับห้องตัวเองก็เวลามีเพื่อนมาทำงานกลุ่ม ซักผ้า หรือเวลาที่เตี่ยผมโผล่มาหาเท่านั้น
นี่คีย์การ์ดยังเก็บไว้ที่ห้องผมเลย คิดดู!
ปล่อยเช่าเลยมั้ยจะได้มี passive income แล้วเอาเงินไปทำอย่างอื่น
ผมสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มเงียบๆ
เอ… ป่านนี้ไอ้พวกเดอะแก๊งค์จะถึงบ้านกันหมดรึยัง ก่อนแยกกันตกลงว่ายังไงนะ… ไอ้พีทไปส่งอาร์ตกับปั่น ส่วนไอ้น้ำน่าจะไปส่งเทพกับนัท ส่วนบอยก็น่าจะต้องเก็บที่เหลือไปเหมือนเคย คงไม่มีใครเจอด่านใช่มั้ยวะ ลองเช็คดูเพื่อความแน่ใจหน่อยดีกว่า ผมคิดแล้วก็จะเอื้อมมือไปหาโทรศัพท์ข้างเตียง แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร จู่ๆ คนข้างๆ ก็พลิกตัวพรึ่บ รวบผมเอาไว้ในอ้อมแขน
“เชี่ย!” ผมสะดุ้ง
“จะทำอะไรฮึ” หวานรัดเอวผมแน่นขึ้นอย่างจงใจ “ไหนห้ามผมตัดโมเดลต่อ แล้วนี่คุณจะทำงานเหรอ”
“บ้าเรอะ นี่มันกี่โมงกี่ยาม” ผมโวย “จะดูเฉยๆ ว่าพวกมันถึงบ้านกันหรือยัง”
“หลับกันไปหมดแล้วมั้งครับป่านนี้ พี่พีทโทรมารายงานตอนคุณอาบน้ำอยู่น่ะ” คนที่นอนซ้อนหลังอยู่ตอบคำถามให้เหมือนรู้ว่าผมกำลังขมวดคิ้ว “เนี่ย เขาฟ้องด้วยนะว่ากินเบียร์ไปตั้งเยอะ”
“อื้อ ที่ไหนเล่า” ผมเถียง “กินกันสามคนยังไม่ถึงทาวน์เลย”
“ตัวแดงขนาดนี้ยังจะเถียงอีก” หวานหัวเราะ “โอ๊ะ... หรือตัวแดงเพราะเขิน แต่นี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
“เดี๋ยวจะโดน” ผมดิ้นขลุกขลัก “ปล่อยยยย”
“ไม่เอา ไม่ได้กอดแล้วนอนไม่หลับ”
“เหอะ เชื่อตาย” ผมเบ้หน้า “แล้วก่อนหน้านี้อยู่มาได้ยังไง กอดใครมาล่ะ”
คนที่นอนอยู่ขยับตัว “เอ๊ะ นี่หึงรึเปล่าครับ ดีใจได้มั้ยอ้ะ”
ใครจะไปหึง หึงทำไม ไม่เห็นต้องหึงเลย
ผมแค่คิดในใจ แต่บังเอิญมีเสียงฮึหลุดออกมาจากลำคอ
“โอ๋ จะไปกอดใครละครับ มีให้กอดอยู่คนเดียว ติดนอนกอดคุณจนเคยชินไปแล้วเนี่ย”
“โคตรเว่อร์”
“ก็ผมชินกับการชาร์จแบตแบบนี้ไปแล้วนี่” เขาพูด “จริงๆ แล้วไม่ต้องทุกวันก็ได้นะ แค่ได้คิดถึงคุณก็มีความสุขแล้วเนี่ย”
“ปากดี คบกันยังไม่พ้นโปรด้วยซ้ำ” ผมพูดเสียงเบา “อนาคตจะเป็นยังไงยังไม่รู้เลย”
“แน่ะ” หวานทำเสียงดุ “คิดอะไรอยู่ครับ”
“ก็แค่… คิดไปเรื่อย…”
“ไม่รู้แหละ ไม่อนุญาตให้เปลี่ยนใจแล้ว เป็นแฟนผมน่ะต้องรับผิดชอบตลอดชีวิตนะครับ” หวานจงใจพูดอ้อนแล้วจงใจดึงตัวไปชิด ให้ผมได้รับสัมผัสอุ่นๆ จากอ้อมกอดได้มากกว่าเดิม
“ผมชินกับการต้องมีคุณอยู่ข้างๆ แบบนี้ไปแล้วนะวิน”
“อือ…” ผมซุกหน้าลงกับหมอน
เรียกกันแบบนี้ขี้โกงเป็นบ้า
“อืม จะว่าไป” ร่างสูงอืออากับตัวเองพลางเกลี่ยจมูกไปกับไหล่ของผม “รวมๆ ผมว่าคงเป็นชินกับการรักคุณไปแล้ว” หวานกดจูบลงที่หลังคอ
“นี่ผมคิดชีวิตที่ไม่มีคุณไม่ออกแล้วเนี่ย”
อา… หัวใจของผมมันเต้นแรงเกินไปเพราะคำพูดตรงๆ ของอีกคนจนน่าอาย ไม่เคยจะชินได้เลยสักที อยากเอาหมอนขึ้นมาปาอัดคนหน้าคนเด็กกว่าซะจริง
“แน่ะ ไม่เขินดิ”
“ไม่ได้เขิน!”
“รู้นะว่ายิ้มอยู่” อีกคนรั้งเอวผมให้นอนหงายแล้วยันตัวขึ้นมามองตาในความมืด “เหมือนจะหน้าแดงอยู่เลยนะครับ”
ไม่ต้องมาจ้องกันแบบนี้ได้มั้ยเล่า… ขอหาข้ออ้างก่อนนะ
“ผมเมา”
หวานหัวเราะหึ “เมามากมั้ย” ร่างสูงกดจมูกลงกับแก้มแล้วแกล้งถาม “เมาแบบถ้าทำอะไรไปตื่นมาจะจำไม่ได้เลยรึเปล่าครับ”
ผมค้อนเขาขวับ
เจ้าเด็กแสบนี่…
“ไม่ตอบแปลว่าทำได้นะ” หวานยิ้มกริ่ม
“ไม่รู้... อื้ออ” ผมย่นคอหนีเมื่ออีกคนจูบลงมาแบบไม่ให้ตั้งตัว หวานเลยยกมือประคองแก้มแล้วไล่เบียดบนริมฝีปาก สัมผัสนุ่มนวลแต่ก็แอบร้อนแรงจนทำให้ต้องยกมือขยุ้มเสื้อนอนของอีกคนเอาไว้แล้วเบี่ยงหน้าออกมาหอบหายใจ
“เรื่องนี้คุณก็ต้องชินได้แล้วนะครับ” หวานกระซิบ “ซ้อมอีกทีมั้ย”
หน้าแดงจนไม่กล้าจะมองหน้าคนถาม เลยจ้องเอาจ้องเอากับมือตัวเองที่ยังกำเสื้อเขาไว้แน่น
“เอ่อ… ก็... ” ผมพึมพำ “ย... ยังมีเวลาอีกตั้งเยอะ… คือ... ยังไงผมก็ต้องรับผิดชอบคุณไปตลอดชีวิตอยู่แล้วไม่ใช่รึไงเล่า...”
“เนี่ย แล้วผมจะไปไหนรอดเนี่ยคุณ” หวานหัวเราะเสียงใส ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าลงกดจูบลงบนริมฝีปากของผมอีกครั้งและอีกครั้ง
….
เรื่องจะรับผิดชอบน่ะ… ผมพูดเรื่องจริงนะ
รู้มั้ยครับเมื่อกี้ในวงเหล้า หัวข้อที่พวกเราคุยกันหลังจากฟังแผนของบอยจบคือเรื่องของอนาคต ฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่ใช่ครับ พวกมันก็คุยเรื่องที่ดูเป็นจริงเป็นจังแบบนี้ได้เวลาเมา
เรากล้าพูดสิ่งที่คิด แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทั้งความคิด ความเป็นไปได้ เป้าหมายและความฝันที่พวกเรามีและอยากเป็น
ผมอาจจะเดินทางสายนี้ต่อไป เก็บเงินสักก้อน ก่อนจะเปิดบริษัทคอนเซาท์เล็กๆ เป็นของตัวเอง
ผมอาจจะกลายไปเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยสักที่ ยืนหน้านิ่งตรวจงานร้อนที่เด็กเพิ่งเผามาส่งเหมือนที่ตัวเองเคยทำ
ผมอาจจะโดนซื้อตัวไปอยู่บริษัทดีเวลอปเปอร์ เพื่อทำงานหามรุ่งหามค่ำกว่าที่เคย
ผมอาจจะเปิดโรงเรียนสอนวาดรูป ติวความถนัดทางสถาปัตย์ให้เด็กม.ปลาย ทำความเข้าใจระบบสอบเข้างงๆ แล้วเขียนคู่มือสอบเข้าออกมาสักเล่ม
ผมอาจจะเปลี่ยนสาย กลับไปทำงานออกแบบเต็มตัว ใช้ชีวิตนอนตีสี่ตื่นเก้าโมงเช้า สุขภาพทรุดโทรมแบบสุดๆ
ผมอาจจะโดนเตี่ยยื่นคำขาดให้กลับมาช่วยที่โรงงาน นั่งงมกับตัวเลข ทำบัญชีเล่มโตๆ
ผมอาจจะลาออกไปเที่ยวไกลๆ สักสองสามเดือน แล้วกันมารับจ็อบออกแบบเล็กๆ ทีละงานสองงานเป็นค่าขนมให้พออยู่ได้
อ้อ... ยังมีแผนสำรองชิคๆ เช่นการหุ้นกับไอ้พีทเปิดร้านกาแฟด้วยนะครับ
อนาคตของผมจะเป็นยังไงก็ไม่รู้หรอกครับ ทุกอย่างเป็นไปได้ และทุกอย่างไม่แน่นอน
แต่ไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน ผมก็คิดว่าจะเว้นที่ว่างข้างๆ ไว้ให้ใครบางคนเดินไปด้วยกัน
ถ้าเขายังจะอยากเดินไปกับผมน่ะนะ..
เพราะผมก็คิดชีวิตที่ไม่มีเขาไม่ออกเหมือนกันนี่ครับ...
_ _ _ _
(มีต่อ)