สัมผัส{❤}ครั้งที่19
ก็รู้อยู่แล้วว่าการที่บอกจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
แต่ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนไปขนาดนี้
แม้พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดเหมือนเดิมแต่บรรยากาศกลับไม่เหมือนเดิมสักนิด มันไม่มีความอบอุ่น ไม่มีความสนุก ไม่มีแม้แต่เสียงทะเลาะหรือถ้อยคำกวนๆ
ความสุขที่มีมันเริ่มหายไป
“ตินข้าวเช้าล่ะ”ผมถามด้วยเสียงเริงร่าเพื่อหวังว่าอีกฝ่ายจะกวนกลับมาอย่างเคย
“ฉันกินแล้ว”
“...ติน”ผมหยุดนิ่งมองตินที่ส่งยิ้มบางๆมาให้
รอยยิ้มนั้นมันแฝงไปด้วยความรู้สึกฝืนๆจนสัมผัสได้อย่างชัดเจน
“ฉันไม่ได้โกหก”ตินพูดต่ออีก
“อืม...ผมรู้”แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเศร้าเพราะเป็นอีกวันที่ไม่มีการกวนหรือถกเถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระ
“เดี๋ยวนี้กินน้อยนะ...เป็นอะไรรึเปล่า”ความห่วงใยนั่นทำให้ผมได้แต่ส่ายหัวไปมาพร้อมรอยยิ้ม
“เปล่า...ผมไปทำงานด้วยนะ”
“อืม ไปกัน”พูดจบตินก็เดินนำออกไปนอกห้องที่มีกายและจิมรออยู่เหมือนอย่างเคย
ผมรู้ว่าตินกำลังพยายาม...
เขาพยายามไม่ทำให้ความรู้สึกที่ผมมีต่อเขาพัฒนาไปมากกว่านี้
ทั้งที่ผมควรขอบคุณแต่กลับรู้สึกอยากร้องไห้แทน
ฝ่ามือที่มักขยี้เส้นผมสีเขียวเข้มของผมไปมาจนฟูฟ่องตอนนี้มันไม่มีแล้ว
หลังจากวันที่เขารู้ความจริงเขาก็ไม่สัมผัสผมอีกเลย
พวกเรานั่งรถไปยังห้างสรรพสินค้าที่ตินเป็นเจ้าของเงียบๆ ความเงียบที่มีดูจะสร้างบรรยากาศแปลกให้เกิดขึ้นทั้งกายและจิมเองก็เหมือนจะสัมผัสได้แต่ก็ไม่เอ่ยถามอะไรออกมา
ผมหันไปมองตินที่เหม่อมองออกไปนอกกระจกด้วยความรู้สึกหน่วงๆ
อยากสัมผัส
ผมอยากสัมผัสตินจนแทบทนไม่ไหว
ขอสักหน่อยจะเป็นไรไหมนะ
เหมือนร่างกายจะตอบสนองไวกว่าความคิด ผมเอื้อมมือไปจับมือตินที่วางอยู่ก่อนจะบีบเบาๆให้อีกฝ่ายรู้สึก ตินที่ถูกจับมือก็หันมามองผมเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปตามเดิม
มือที่คิดว่าตินคงจะขยับออกแต่ในความจริงตินกลับกุมมือผมแน่นกว่าเดิม
หัวใจที่สงบนิ่งเริ่มเต้นเร็วขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบางๆของผมที่ปรากฏขึ้น
แค่เพียงได้สัมผัสก็รู้สึกราวกับถูกเติมเต็มจนอยากร้องไห้ออกมา
“จิม...ดูแลแพนด้วย”ตินสั่งหลังจากที่เรามาถึงห้างขนาดใหญ่ยักษ์แล้ว
“ติน...ผมขอไปอยู่ที่ห้องด้วยได้ไหม”ขอแค่ได้อยู่ข้างๆก็ยังดี
“...วันนี้ฉันมีประชุมไม่ได้อยู่ห้อง”ตินตอบกลับมา
“เหรอ...เข้าใจแล้ว”
“ฉันประชุมเสร็จช่วงเที่ยง...”
“ติน...”หมายความว่าอะไร
“เดี๋ยวมารับไปหาอะไรกิน”
“อืม”ผมพยักหน้าพร้อมส่งรอยยิ้มกว้างไปให้
แค่รอให้ประชุมเสร็จก็จะได้เจอแล้ว
ผมและตินแยกกันไปคนละทาง ตินขึ้นไปประชุมที่ชั้นบนส่วนผมก็เดินเล่นอยู่ชั้นล่างโดยที่มีจิมเดินตามมาติดๆ ชั้นอาหารที่น่าจะดึงดูดความสนใจผมได้กลับไม่ทำให้ความรู้สึกอยากอาหารเพิ่มขึ้นเลยสักนิด
“คุณแพน”
“...”ผมหันกลับไปมองจิมที่เรียก
“เอ่อ...ผมก็ไม่อยากละลาบละล้วงนะครับ แต่ว่ามีปัญหาอะไรกับคุณตินรึเปล่าครับ”จิมถามต่อด้วยสีหน้ากังวล
ว่าแล้วเชียวว่าพวกเขาต้องรู้
“จะว่ามีก็มีอยู่หรอก”
“ถ้ายังไงให้พวกเราช่วย...”
“ขอบคุณนะจิมแต่เรื่องนี้คงช่วยไม่ได้หรอก”คนที่จะแก้ปัญหานี้ได้คงมีแค่ผมและตินเท่านั้น
“เหรอครับ...แปลว่าเป็นปัญหาใหญ่สินะครับ”
“อืม...ใหญ่มากเลยล่ะ”
“งั้นผมไม่สอดดีกว่า”
“อย่าเรียกว่าสอดเลย...จิมเป็นห่วงผมกับตินนี่นา นี่จิม”ผมหยุดเนแล้วหันหน้าไปหาจิม
“ครับ”
“ถ้าเกิดวันหนึ่งผมไม่อยู่...ช่วยดูแลตินให้ดีๆด้วยนะ”
“คุณแพน...พูดอะไรน่ะครับ...คุณตินไม่มีทางยอมให้คุณแพนไปไหนแน่ๆ ก็คุณตินน่ะ...รักคุณแพนขนาดนั้นนี่”จิมรีบพูดสวนกลับมาด้วยใบหน้าตื่นๆ
“ผมรู้ว่าตินรักผมมาก”รู้ดีเลยล่ะ
“งั้นทำไมถึงพูดแบบนั้น...”
“เรื่องในอนาคตเราไม่สามารถรู้ได้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น”ไม่มีทางรู้ได้เลย
“คุณแพน”
“อย่างที่ว่าแหละ...ฝากตินด้วย”
“ได้ครับ”ถึงจะไม่ค่อยเต็มใจแต่จิมก็พยักหน้ายอมรับ
“ดีมาก...ว่าแต่วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอ”น่าแปลกที่ครั้งนี้จิมมาเดินตามผมแบบนี้
“คุณตินให้ผมติดตามคุณแพนไม่ให้อยู่คนเดียวครับ”
“อ้อ...จะว่าไปเรื่องของศัตรูตินไปถึงไหนแล้ว”รู้สึกช่วงนี้ดูไม่มีอะไรเกินไปจนสังหรณ์ใจแปลกๆ
ถ้าไม่มีอะไรก็ขึ้นก็ดีอยู่หรอก
“ถ้าเรื่องนั้นตอนนี้เราได้หลักฐานการทำผิดของฝ่ายนั้นมาเยอะเลยครับ...คิดว่าภายในไม่กี่วันนี้จะสามารถส่งดำเนินคดีได้”จิมอธิบาย
“ทำผิดไว้เยอะงั้นสิ”
“ใช่ครับ...ทั้งให้เงินใต้โต๊ะ โกงภาษี เปิดบ่อนผิดกฎหมายแถมยังมีการค้ายาอีก”
“ครบถ้วนทุกอย่างเลยแฮะ”เรียกว่าเป็นตัวอย่างของพวกคนไม่ดี
เล่นทำผิดซะขนาดนี้ยังสามารถอยู่ได้นี่แปลว่ามีเส้นไม่ก็ปิดปากพวกนั้นได้อยู่หมัด
“ครับ...เพราะเป็นพวกที่ชอบเล่นลอบกัดคุณตินเลยกังวลว่าพวกมันจะมาทำร้ายคุณแพน”
“เลยให้จิมคอยดูแลสินะ”ผมสรุปพร้อมรอยยิ้ม
ท่าทีที่แข็งกร้าวนั่นไม่ได้ทำให้ความรู้สึกที่มีลดน้อยลงเลยติน
ขืนเป็นแบบนี้ได้แย่สุดๆแน่
“ใช่ครับ”
“อืมๆ...โอ๊ะ...นั่นอะไร”ผมชี้ไปยังด้านนอกบริเวณทางเข้าห้างที่ตอนนี้มีผู้คนและร้านค้าตั้งอยู่เต็มไปหมด
“ถนนคนเดินครับ...มีแค่ทุกวันศุกร์แบบนี้”
“ไปเดินได้ไหม”ผมถามต่อ
“แน่นอนครับ”
“งั้นไปกันเลย”พูดจบผมก็เดินนำออกไปข้างนอกห้าง
ทั้งผู้คนที่เดินเบียดเสียดทั้งที่เป็นช่วงสายและร้านค้ามากมายที่ส่งเสียงเรียกลูกค้าทำให้ผมนึกถึงตลาดนัดที่เคยไปมาก่อนนี้เลย แม้ว่าพื้นที่และผู้คนจะน้อยกว่ามากแต่ความแออัดนี่เหมือนกันมากเลย
“คนเยอะแบบนี้ระวังหลงนะครับ”จิมเอ่ยเตือน
“ได้ๆ...เอางี้ถ้าเราคราดกันก็มาเจอกันหน้าประตูนี้นะ”ผมบอกพลางชี้ไปยังประตูกระจกใสบานใหญ่ซึ่งเป็นประตูทางเข้าห้าง
“ได้ครับ...แต่อย่างหลงกันเป็นดีที่สุด”
“นั่นสิ”
“เดี๋ยวครับคุณแพน”
“ฮืม?”ผมหันไปมองจิมอย่างสงสัย
“ไม่รู้ว่าคุณแพนจะรู้ไหมแต่อาทิตย์หน้าวันที่19เป็นวันเกิดของคุณตินครับ”
“...วันเกิด...ของติน”หมายถึงวันที่มนุษย์คนนั้นลืมตาดูโลกและถือเป็นวันสำคัญเพราะต้องมีการจัดฉลองทุกปีนั่นน่ะนะ ผมเคยเห็นการจัดงานวันเกิดมาหลายยุคหลายสมัยอย่างวันเกิดของไดจิกับมิกะเองก็มีการจัดงานเหมือนกัน
ภายในงานจะมีแขกมากมายมีเยี่ยมพร้อมคำอวยพรหลังจากนั้นก็จะร่วมวงนั่งกินข้าวและขนมกัน
“ครับ...ปกติจะมีแค่คุณชายกับคุณหญิงและคุณคินส่งของขวัญมาให้เท่านั้น มีตอนเด็กๆที่คุณหญิงจัดงานให้แต่เพราะมีแขกมากมายมาร่วมคุณตินเลยทำหน้าตึงตลอดงาน...เรื่องนี้คุณคินเล่าให้ฟังน่ะครับ”
“คิก...”ผมถึงกับหลุดหัวเราะเมื่อนึกภาพเด็กทำหน้าตึงในงานวันเกิดตัวเอง
สมแล้วที่เป็นติน
“หลังจากนั้นมาเลยไม่มีการจัดงานอีกแต่ครั้งนี้คิดว่าคุณแพนน่าจะช่วยให้คุณตินมีความสุขในวันเกิดจริงๆได้สักทีนะครับ”
“ผมเองก็ไม่รู้จะทำได้ไหม”จะอยู่ถึงวันนั้นรึเปล่ายังไม่รู้เลย
แม้จะพยายามไม่สนใจความรู้สึกนี่และความจริงภายในส่วนลึกของหัวใจมันกลับเรียกร้องอยู่เสมอ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถโกหกหัวใจได้นานนักหรอก
ถึงแบบนั้นแต่ผมก็อยากจะทำอะไรให้ตินบ้าง
“คุณแพนทำได้อยู่แล้ว”
“งั้นคงต้องรีบคิดแล้วสิว่าจะทำอะไรดี”
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกได้เลยนะครับ อย่างพวกแอบไปซื้อของหรือชวนคุณตินออกไปข้างนอกแบบนี้”จิมบอกด้วยรอยยิ้ม
“ได้เลย...ตอนนี้ผมขอไปเดินเล่นก่อนดีกว่าเผื่อจะติดอะไรออก”พูดจบผมก็เดินตรงเข้าไปยังฝูงคนมากมายที่เดินเบียดกันทั้งๆที่อยู่ในช่วงที่ห้างพึ่งเปิดเท่านั้น
ด้วยความที่มีคนแน่นเกินไปเลยทำให้ผมไม่สามารถเดินไปตามทางที่ต้องการได้แต่ไหลไปตามกลุ่มคนเรื่อยๆเท่านั้น พอหันกลับไปมองก็เห็นจิมยินกระโดดโบกมือมาให้พร้อมกับปากอ่านได้ว่าเจอกันหน้าประตู
นั่นทำให้ผมพยักหน้าส่งไปให้
ตัวผมล่ะอยากจะกลับร่างเทพแล้วลอยดูของอย่างสบายใจซะจริงๆถ้าไม่ติดว่าแถวนี้มีคนอยู่เยอะแยะละก็นะ ถ้าผมหายไปคนที่ตามอยู่ด้านหลังคงได้กรีดร้องเป็นแน่
กึก
สัมผัสของวัตถุบางอย่างที่มาจี้บริเวณหลังทำให้ผมอยากหันกลับมองแต่ยังไม่ทันได้ขยับตัวก็มีเสียงทุ้มที่เหมือนจะเคยได้ยินที่ไหนสักแห่งดังขึ้นมาซะก่อน...
“ถ้าไม่อยากโดนยิงก็ทำตามที่บอกซะ”
“คุณเป็นใคร”ผมถามกลับไป
“ไม่จำเป็นต้องรู้...แค่ตามมาก็พอ”เสียงทุ้มเหี้ยมกระซิบต่อ
“พอดีแฟนผมเขาบอกห้ามตามคนแปลกหน้าไปน่ะ”ผมพยายามพูดกวนอีกฝ่าย กวนขนาดนี้หวังว่าจะยอมบอกนะว่ามีธุระอะไร
“หึ...หมายถึงไอ้คณาธิปน่ะเหรอ”
“คุณรู้จักติน...”
“ไม่รู้ก็แปลกล่ะ...ฉันเป็นคนยิงหัวใจมันเองแท้ๆไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมันถึงยังรอดมาได้แถมยังมีแฟนเป็นผู้ชายแบบแกซะด้วย”คำพูดของคนด้านหลังทำให้ผมขมวดคิ้วก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อนึกออกว่าคนคนนี้เป็นใคร
คนที่ยิงหัวใจตินผมจำหน้าได้ จะว่าไปเสียงก็เหมือนแบบนี้เลย...ก็ว่าอยู่ว่าทำไมถึงเสียงคุ้นๆ
แปลว่าคนคนนี้เป็นคนของคุณสมพงศ์ซึ่งเป็นศัตรูของตินสินะ
เขาจะจับผมไปทำไมกัน
“คุณจะจับผมไปทำไม”ตอนนี้ผมไม่อยากเสียเวลามานั่งวิเคราะห์เลยถามออกไปตามตรง
“ไม่บอกก็น่าจะรู้นะ...จากที่แอบตามพวกแกดูจะรักกันมากนี่ ถ้าแกถูกจับไปหมอนั่นคงร้อนรนมากจนน่าขำแน่ แค่คิดก็อยากหัวเราะแล้ว”
เขาว่ากันว่าคนที่เหมือนๆกันมักจะรวมตัวกัน
รู้สึกว่าจะจริงแฮะ
ชายคนนี้นิสัยเหมือนเจ้านายเปี๊ยบ
ไหนๆเรื่องก็เป็นแบบนี้ผมก็ควรจะช่วยให้ตินมีหลักฐานที่แน่นหนาในการเอาผิดคนพวกนี้ดีกว่า ไม่แน่ว่าหลักฐานที่ได้อาจจะยังไม่พอถ้ามาเห็นผมโดนจับจะๆน่าจะมีผลบ้างสิน่า
“งั้นก็จับผมไปเลย”
“ไม่ต้องบอกฉันก็ทำอยู่แล้ว...ตามมา!”พูดจบชายคนนั้นก็ดึงแขนผมให้ออกไปจากฝูงคนก่อนจะเหวี่ยงขึ้นรถตู้ที่ติดฟิล์มสีดำสนิท ภายในรถตู้มีคนที่ผมคุ้นหน้าอยู่หลายคนเพราะส่วนมากก็เป็นคนเดียวกับที่พยายามฆ่าตินในวันแรกที่ผมเจอเขา
ทันทีที่หัวหน้าขึ้นมารถตู้ก็ขับออกไปอย่างรวดเร็ว ผมที่ถูกจับเอาแขนไพ่หลังก็ยอมอยู่นิ่งๆให้พวกเขามัดเชือกจนแน่นโดยที่สายตามองออกไปยังนอกกระจก...
เอาล่ะ...ผมอยู่กลางดงศัตรูแล้วแต่ที่สำคัญคือจะทำให้ตินรู้ได้ยังไง
ให้ตายสิ
ลืมคิดถึงเรื่องสำคัญซะสนิท
ถ้าอย่างน้อยมีต้นไม้ละก็...
“มันนิ่งเกินไปหน่อยไหมหัวหน้า”ลูกน้องคนหนึ่งที่นั่งจ้องผมอยู่เอ่ยถามหัวหน้าที่อยู่ไม่ไกล
“ช่างมันสิ ยังไงก็ไม่มีทางหนีไปไหนได้อยู่แล้ว”
ผมละอยากแก้จริงๆว่าผมน่ะสามารถหนีออกไปได้ตลอดแหละเพียงแต่ตอนนี้ผมต้องการหลักฐานมัดตัวพวกนี้อย่างดิ้นไม่หลุดซะก่อน
ระหว่างที่คิดแผนรถตู้ก็จอดลงหลังจากที่วิ่งมานานพอสมควร จากที่รู้สึกเหมือนรถจะขับวนไปวนมาราวกับไม่อยากให้ใครตามมาได้ ไม่นานประตูรถก็เปิดออกออกพร้อมกับร่างของผมที่ถูกดึงลงจากรถแล้วเหวี่ยงอย่างแรงจนกระแทกกับพื้นดินด้านล่าง แสงของดวงอาทิตย์ที่ใกล้จะลับขอบฟ้าแสดงให้เห็นว่าที่นี่ใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมงกว่าจะถึง
“โอ้ย...”ผมส่งเสียงร้องออกมาเล็กน้อยก่อนจะมองไปยังรอบๆที่เป็นเหมือนกระท่อมหลังเล็กที่อยู่ติดชายป่า ด้านหลังนั่นเป็นภูเขาลูกใหญ่พอสมควร
“โอ๊ะ...เจ็บเหรอครับคุณหนู...พวกเราต้องขออภัยที่หยาบคายนะครับ ฮะฮะฮะ”ชายคนที่โยนผมลงมาบอกด้วยน้ำเสียงเสแสร้งก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา
“อย่ารุนแรงสิ...มันยิ่งดูบอบบางอยู่”ชายที่เป็นหัวหน้าสั่ง
“ครับๆ...ไหนก็มีคนมาให้เล่นทั้งที ขอมัดติดกับต้นไม้ให้โดนยุงหามได้ไหมหัวหน้า”ลูกน้องคนเดิมหันไปถามหัวหน้าด้วยน้ำเสียงติดตลก
“เอาสิ...ตามใจแกเถอะ”
“เยี่ยมเลยหัวหน้า...มานี่เลย”
แขนของผมถูกบีบอย่างแรงจนต้องเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้ร้องออกไป ชายตรงหน้าพาผมมามัดไว้กับต้นไม้ใหญ่ใกล้ชายป่าโดยที่ด้านหน้าผมมีกระท่อมสำหรับพักอาศัยหลังเล็กๆอยู่
“รู้ไหมว่ายุ่งที่นี่กัดเจ็บมากเลยนะ...แถมไม่แน่กลางดึกอาจมีสัตว์ป่าหรืองูมาออกล่าเหยื่อก็ได้นะ ฮะฮะฮะ”เขาพยายามขู่ด้วยใบหน้าเหี้ยมแต่ไม่ไม่นานก็หยุดหัวเราะออกมาอีก
“ขอบคุณนะ”ผมพึมพำพร้อมรอยยิ้ม
เล่นมามัดเทพแห่งพฤกษาติดกับต้นไม้ ช่างไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
“ฮะ?...นี่แกประชดฉันรึไง”ดูเหมือนเขาจะได้ยินคำขอบคุณนั้นเลยกระชากเสื้อผมขึ้นอย่างแรงทั้งๆที่ถูกมัดอยู่
“เปล่า...”แค่พูดความจริงเอง
ผั๊วะ!
“โอ้ย!”ผมถึงกับหลุดร้องออกมาเมื่อถูกชกที่หน้าเข้าเต็มแรง
“เห็นหน้าแกแล้วมันหงุดหงิดจริง...อย่าคิดว่าถูกจับมาแล้วจะได้กินข้าวกินน้ำนะ จงอยู่อย่างทรมานซะเถอะ”พูดจบเขาก็เดินกลับไปยังกระท่อมตามเดิม
ผมอยากบอกเหลือเกินว่าผมถ้าจะทรมานผมให้เอาของกินมาตั้งไว้ตรงหน้ายังทรมานกว่าการไม่ได้กินเลย
“เจ็บจัง...”แก้มผม
แบบนี้เดี๋ยวได้ช้ำแน่เลย
จะรักษาก็กลัวว่าพวกนั้นจะสงสัยอีก
เฮ้อ...ปล่อยไว้แบบนี้ละกัน
“ขอยืมพลังของทุกคนหน่อยนะ”ผมเอ่ยขอพลางมองไปยังต้นไม้รอบๆ
‘ท่านเทพล่ะ’
‘จริงด้วยๆ...แต่ทำไมถึงโดนมัดล่ะ’
‘ให้พวกเราช่วยจัดการมนุษย์พวกนั้นไหม’
“ขอบคุณนะแต่ไม่ต้องหรอก พอดีมาหาหลักฐานนิดหน่อยน่ะ”ผมตอบเหล่าต้นไม้กลับไป
‘หลักฐานเหรอ?’
“ใช่...เพราะงั้นขอยืมพลังหน่อยนะ”
‘แน่นอน!’เสียงตอบรับของเหล่าต้นไม้ทำให้ผมยิ้มกว้างออกมา
เอาล่ะนะ
ดวงตาสีเขียวอ่อนค่อยๆหลับลงพร้อมกับตั้งสมาธิ ไม่นานแสงสีเขียวที่มนุษย์ปกติไม่สามารถมองเห็นก็ปรากฏขึ้น...สิ่งที่ผมกำลังทำคือการประสานเป็นหนึ่งเดียวกับต้นไม้
ไม่ใช่แค่กับต้นที่พิงอยู่แต่เป็นทุกต้นที่อยู่ในอาณาเขตของพลัง
ตัวผมไม่สามารถใช้พลังนี้ได้ถ้าไม่สัมผัสโดยตรงกับต้นไม้แต่ถ้ามีส่วนใดส่วนหนึ่งที่สัมผัสผมก็สามารถใช้พลังได้ พลังที่ผมใช้ตอนนี้เป็นสิ่งที่ค่อนข้างยากถ้าเป็นเวทมนต์คงต้องเรียกว่าเวทย์ขั้นสูง
เมื่อผมเป็นหนึ่งเดียวกับต้นไม้ผมก็สามารถมองเห็นทุกอย่างที่ต้นไม้เห็น
ไม่ว่าจะเป็นต้นไหนก็ตาม
อาณาเขตของพลังนี้อยู่ค่อนข้างกว้างจึงเสียพลังไปเยอะ...โชคดีที่ต้นไม้ในภูเขาด้านหลังให้ยืมพลังเลยสามารถใช้ในอาณาเขตที่กว้างถึงบริเวณที่ต้องการได้
บริเวณที่ผมต้องการคือสถานที่ที่ตินอยู่
“คุณตินครับ...ใจเย็นๆก่อน”เสียงแรกที่ได้ยินคือเสียงของกายที่บอกเจ้านายตัวเองพร้อมกับหันไปมองหน้าจิมที่อยู่ข้างๆ
“...แพน”น้ำเสียงที่ตินเรียกผมราวกับคนที่กำลังจะขาดใจ
ดูจากสถานการณ์ตรงหน้าจิมคงไปบอกเรื่องที่ผมหาไปกับตินจนทุกคนต้องมายืนอยู่ตรงถนนคนเดินซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุแบบนี้ ทั้งที่ก่อนหน้ามีคนเดินแน่นไปหมดแต่ตอนนี้กลับมีเพียงที่ว่างๆอันปราศจากมนุษย์นอกจากพวกตินที่ยืนอยู่
“ผมไม่น่าให้คุณแพนไปเดินถนนคนเดินเลย”จิมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด
มันไม่ใช่ความผิดจิมหรอกนะ ถ้าผมอยากเดินต่อให้จิมห้ามผมก็ไม่คิดจะฟังอยู่ดี
“ไม่ใช่ความผิดนาย....แต่ที่บอกว่ามีคนจับไปแน่ใจใช่ไหม”ตินถามเสียงเครียด
นั่นแปลว่าจิมเห็นตอนผมถูกพาขึ้นรถตู้สินะ
“ครับ...ผมเห็นคุณแพนถูกพาขึ้นรถตู้ไปแต่กว่าจะไปถึงรถนั่นก็ออกไปแล้ว ถึงจะรีบไปหารถตามไปแต่ก็คลาดไปกลางทาง”จิมอธิบายให้ตินฟัง
ก็ว่าอยู่ว่าทำไมรถตู้นั่นถึงได้ขับวนไปวนมา เพื่อจะสะลัดจิมให้หลุดนี่เอง
“คนที่จะทำแบบนี้มีแค่คนเดียว”ตินบอกเสียงเข้ม
“ใช่ครับ...ดูท่าเราจะรอนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว ให้พวกเราไปจัดการเถอะครับ”กายพูดเสมอ
“นั่นสิ...”
ครืดดด ครืดดด
เสียงโทรศัพท์ที่สั่นทำให้ตินหยิบขึ้นมารุบก่อนที่ดวงตาสีฟ้าสดจะหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อปลายสายพูดอะไรบางอย่าง ไม่ใช่แค่สายตาที่เปลี่ยนไปแต่ท่าทางเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
“แพนอยู่ไหน!”คำพูดแรกที่ทักทายปลายสายก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าตินกำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน
ตินกำลังโกรธ
แถมไม่ใช่โกรธธรรมดาเหมือนตอนที่ถูกผมกวนด้วย
เป็นการโกรธที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย
“ฉันถามว่าแพนอยู่ไหน!”เป็นอีกครั้งที่ตินย้ำคำถามเดิมๆ ปลายสายคงไม่ยอมบอกสินะ
“ถ้าแพนเป็นอะไรฉันจะไม่ให้อภัยแก!!”ตินตะคอกใส่ด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนจะกำโทรศัพท์ในมือแน่นจนผมกลัวว่ามันจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
“คุณติน...ที่โทรมาหรือว่า...”
“บ้าเอ้ย...ไอ้หมอนั่นมันจับแพนไป!”ตินตะโกนด้วยน้ำเสียงโมโห ดวงตาสีฟ้าสดนั้นสั่นระริกด้วยความกังวลรวมถึงคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่น ถ้าผมอยู่ตรงนั้นคงจะเอื้อมมือไปลูบคิ้วนั่นให้คลายตัวแล้ว
การที่ทำได้แค่มองมันรู้สึกไม่ดีจริงๆนั่นแหละ
ผมเองก็อยากจะบอกกับตินอยู่หรอกนะว่าสบายดี แต่ต่อให้ตะโกนยังไงตินก็คงไม่ได้ยินอยู่ดี
ถ้าอย่างน้อยตินสัมผัสกับต้นไม้ละก็ผมคงสามารถบอกเขาได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่
เป็นสถานการณ์ที่แย่จริงๆแฮะ
“คุณติน...แล้วหมอนั่นบอกอะไรครับ”
“ถ้าอยากได้แพนคืนก็ให้ถอนหุ้นออกจากห้างนี้ซะ”
“...หมายความว่าที่หมอนั่นต้องการคือห้างนี้สินะครับ...กว้านซื้อหุ้นของห้างที่คุณตินขายแล้วขึ้นเป็นประธานแทน แบบนี้หมอนั่นก็จะหมดคู่แข่งทางกานค้าโดยสมบูรณ์”กายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเครียดๆ
“แบบนั้นไม่ได้นะครับคุณติน...ขืนทำตามก็ใช่ว่าจะรับประกันความปลอดภัยของคุณแพนด้วย”กายพูดเสริม
โอ้ย...ผมเองก็อยากมีส่วนร่วมเหมือนกันนะ
“บ้าเอ้ย”ตินทำหน้าเครียดพร้อมเดินมาทางผม ไม่สิ เดินมาทางต้นไม้ก่อนจะใช้กำปั้นทุบเข้าเต็มแรง
ถ้าแตะต้นไม้แบบนี้...
เสร็จผมล่ะติน
(มีต่อค่า)