ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่20 25% (28/09/60)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่20 25% (28/09/60)  (อ่าน 13487 ครั้ง)

ออฟไลน์ ShadeoftheMoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
รอดูว่าชีวิตของทั้งสองจะเป็นอย่างไรต่อไป

ออฟไลน์ Tipin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • https://twitter.com/Tipin_pin
บทที่ 7 การเปลี่ยนแปลง
                  หลังเจ้าฟ้ากุ้งสิ้นพระชนม์ได้ไม่นานพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงมีรับสั่งให้มหาดเล็กฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคลเดิมเข้าเฝ้า ด้วยเนื่องจากเจ้านายเดิมสิ้นแล้วจึงต้องมีการเปลี่ยน ขยับขยายตำแหน่ง โดยมหาดเล็กบางคนที่รับใช้เจ้าฟ้ากุ้งตั้งแต่ครั้งพระเยาว์ และอายุมากแล้วมีความต้องการลาออกจากการเป็นมหาดเล็ก ส่วนคนที่เหลืออยู่ก็ต้องเปลี่ยนนาย หรือกรมสังกัดใหม่
                  สำหรับขุนทับนั้น เขาเข้ารับราชการทหารเพื่อต้องการปกป้องบ้านเมือง ต่อให้ต้องเปลี่ยนนาย หรือกรมสังกัดนั้นเขาไม่มีปัญหาเพราะ แต่เดิมนั้นเขาเป็นมหาดเล็กในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศมาก่อนที่พระองค์โปรดเกล้าถวายเขาเป็นมหาดเล็กของเจ้าฟ้าวังหน้า แต่เรืองไม่ใช่ถึงปัจจุบันจะดำรงตำแหน่งเป็นพันแล้ว แต่ตั้งแต่เริ่มเรืองก็เข้ามาเป็นมหาดเล็กวังหน้าเลย น้องไม่เคยเปลี่ยนนาย และไม่สนิมกับมหาดเล็กส่วนอื่น ทำให้ขุนทับกลัวว่าถ้าน้องต้องเปลี่ยนนายน้องจะเป็นอย่างไรต่อไป เมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศมีรับสั่งเข้าเฝ้า ขุนทับก็ถามน้องทันที
                  “เรือง ในการเข้าเฝ้าครั้งนี้นั้น พี่ว่าพระเจ้าอยู่หัวคงมีรับสั่งให้พวกมหาดเล็กทุกคนในส่วนวังหน้าเปลี่ยนสังกัดเป็นแน่แท้ เจ้าจะเอาอย่างไรต่อ”
                  “ถ้าไม่ได้อยู่กับเจ้าสามกรมฉันไม่มีปัญหาดอกจ๊ะ แต่ถ้าต้องอยู่ฉันคงขอลาออกจากราชการไปช่วยพ่อกับพี่เดือนทำทองดีกว่า ฉันทำใจรับใช้คนที่เป็นสาเหตุทำให้เจ้าฟ้ากุ้งสิ้นพระชนม์ไม่ลงจริง ๆ แต่ถ้าเลือกได้ ฉันขอไปกับพี่ทีบจ๊ะ พี่สังกัดไหนฉันสังกัดด้วย พี่คงยังไม่เบื่อฉันนะจ๊ะ”
                   “พี่ไม่มีทางเบื่อเจ้าดอกเรือง ถ้าเลือกได้พี่ก็อยากให้เจ้าอยู่เคียงข้างพี่แบบนี้ไปตลอดเหมือนกัน”
                 เมื่อถึงเวลาเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศนั้น มหาดเล็กในพระองค์ก็เริ่มอ่านราชโองการ โชคดีที่พระองค์ทรงเห็นว่าเรืองนั้นขุนทับเป็นคนนำเข้ามาถวายตัว และปัจจุบันอายุพึ่ง 16ปี ยังมีประสบการณ์น้อย ไม่ได้รู้จักคนมากเพราะ อยู่รับใช้แค่กับท่านวังหน้า ในราชโองการจึงมีรับสั่งให้ทั้งขุนทับและเรืองไปเป็นมหาดเล็กในเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ
                   “รับมันทั้งสองไปรับใช้เพิ่มได้รึไม่พ่อดอกมะเดื่อ มันทั้งคู่รับใช้เจ้าฟ้ากุ้งมาตั้งแต่เด็ก รู้งานเป็นอย่งดี อาจช่วยงานพ่อดอกมะเดื่อได้ไม่มากก็น้อย”
                   “ถ้าพระองค์ทรงเห็นว่าดี ลูกก็ว่าดีพระพุทธเจ้าค่ะ”
                  ด้วยราชโองการนี้ทำให้ทั้งเรืองและขุนทับย้ายเข้ามาเป็นมหาดเล็กในส่วนเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อแทน

---------------------------------------------------
                           เมื่อกล้บถึงบ้านเรืองก็พบว่าทั้งคุณย่า คุณพ่อ และพี่เดือนนั่งรอตนอยู่ก่อนแล้ว เนื่องจากเรืองบอกตั้งแต่ก่อนเข้าเฝ้าแล้วว่าวันนี้จะมีราชโองการในการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง
                             “เป็นอย่าไรบ้างพันเรืองน้องพี่ ออกจากราชการมาช่วยพี่ทำทองใช่หรือไม่” เดือนถามด้วยความหวังที่ว่าน้องจะกลับมาอยู่ใกล้ ๆ ตัว เพราะ ตอนน้องขออนุญาตคุณย่ากับคุณพ่อนั้น ตนเองไม่ได้อยู่ ถ้าอยู่นะอย่าหวังเสียให้ยากว่าเขาจะยอมให้น้องห่างจากตัว
                            “เปล่าจ้ะฉันกับพี่ทับย้ายไปรับตำแหน่งเป็นมหาดเล็กเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อแทนจ้ะ”
                            “อะไรขุนทับไปกับเจ้าอีกแล้วรึ” ไม่รู้ทำไมแต่เดือนรู้สึกแปลก ๆ กับขุนทับคนนี้ตั้งแต่แรกพบ ความรู้สึกมันบอกว่าผู้ชายคนนี้จะมาแย่งน้องตนเองไป อยากมีน้องทำไมไม่ให้พ่อแม่ทำให้วะ มายุ่งกับน้องคนอื่นทำไม
                             “เดือนนี่เจ้าก็ถามแปลก ๆ ดีออกที่มีขุนทับไปด้วยย่าจะได้ไม่ต้องห่วงเจ้าเรืองมาก ว่าจะโดยเจ้านายคนใหม่กดขี่หรือไหม เนื่องจากเคยเป็นมหาดเล็กในวังหน้ามาก่อน แล้วนี้เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อเป็นราชโอรสพระองค์ไหนของพระเจ้าอยู่รึขุนทับ นิสัยใจคอเป็นเยี่ยงไร”
                             “เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อนั้นเป็นพระโอสรในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศกับพระพันวัสสาน้อย เป็นพระอนุชาในเจ้าฟ้าเอกทัศขอรับ พระองค์ทรงรักสงบ นิ่ง ไม่ค่อยใช้อำนาจที่มีกับใครขอรับคุณย่าใหญ่”
                            “ไม่ใช้อำนาจรึ อย่างนั้นก็มีทั้งข้อดีและข้อไม่ดีนะสิ” คุณย่ากล่าวต่อ
                            “ไม่ดีอย่างไรรึจ๊ะคุณย่า ฉันว่าน่าจะมีแต่ข้อดีนะจ๊ะ พระองค์ต้องทรงมีเมตตากับทุกคนเป็นแน่”
                             “คนที่เกิดมาเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินต้องรู้จักใช้อำนาจให้ถูกให้ควร ถ้าใช้อำนาจไม่ถูกอาจก่อให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ เช่น ลูกน้องในปกครองบางคนแข็งข้อ แต่ถึงอย่างนั้นย่าก็หวังว่าจะไม่มีปัญหานะ” 

-------------------------------------------------------------
                              “เป็นอย่างไรบ้างไอคนสามนาย” ขณะขุนทับกำลังเดินกลับเรือนอยู่นั้นก็มีเสียงหนึ่งดังจากข้างหลัง
                             “ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้าหมื่นมิ่ง”
                              “อะไรกันข้าก็ถามด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเก่า ไอเด็กลูกครึ่งมอญที่เดินตามก้นเจ้ามาตั้งแต่เด็ก ก็ยังคงตามก้นเจ้าต่อไป ถ้าเด็กนั้นเป็นผู้หญิงข้าคงคิดว่าเจ้าเลี้ยงต้อยเป็นแน่แท้”
                              “ไม่มีใครคิดอะไรต่ำ ๆ แบบเอ็งหรอกไอมิ่ง ถ้าพูดแล้วปล่อยหมาออกมาจากปากแบบนี้หุบปากไปเสียเถอะ” ขุนทับเริ่มรู้สึกว่าตนเองเริ่มอารมณ์เสียแล้ว จึงพยายามระงับอารมณ์ของตน
                              “ข้าบอกว่าถ้า อย่างไรเสียไอเด็กนั้นก็เป็นผู้ชาย เจ้าจะอารมณ์เสียไปทำไม จริงสิข้ามีงานต่อนิ ลานะขุนทับ” ว่าแล้วหมื่นมิ่งก็เดินจากไป
                              ขุนทับคิดตามที่หมื่นมิ่งพูด นั้นสิจะหงุดหงิดทำไมเรื่องของเรือง อย่างไรเสียก็ไม่มีทางเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แล้วรีบเดินกลับเรือน ด้วยคนที่บ้านนั้นก็รอฟังเรื่องพระราชโองการ
                              “เป็นอย่างไรบ้างพ่อทับ พระราชโองกาสว่าอย่างไรบ้าง เสียดายที่พ่อเรียกเจ้ามาช่วยงานไม่ได้เพราะ พ่อมีพ่อด้วงอยู่แล้วทั้งคน ถ้าดึงตัวเจ้าอีกคนคนอื่นเขาจะครหานินทาได้ว่าบ้านเราเล่นพรรคเล่นพวก”
                             “ไม่เป็นไรขอรับเจ้าคุณพ่อ กระผมกับเรืองน้องแม่จันเข้าไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กในส่วนของเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อขอรับ”
                              “เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อรึ ก็ดีพระองค์ทรงมีเมตตา และที่สำคัญไม่น่าโดยเป็นเป้าหมายของพวกคนละโมบในวังเจ้าน่าจะสบายขึ้น แล้วอีกอย่างพ่อว่าเจ้ากับพ่อเรืองลูกช่างหลวงชิดนี้น่าจะมีวาสนาต่อกันนะหลายปีแล้วสินะที่ไม่แยกจากกันเลย ขนาดเปลี่ยนตำแหน่งครั้งนี้พ่อเรืองก็ยังตามเจ้ามา เออพ่อไม่ได้เจอพ่อเรืองนานแหละ ตั้งแต่ครั้งเจ้านำไปถวายตัววันนั้น กี่ปีแล้วนะพ่อทับ”
                              “6 ปีแล้วขอรับเจ้าคุณพ่อ ตอนนี้เรืองเลื่อนยศเป็นพันแล้วนะขอรับ เป็นที่โปรดปรานของท่านวังหน้าองค์ก่อนเป็นอย่างมาก ตอนท่านสิ้นพระชนม์กระผมสงสารน้องเหลือเกิน”
                              “นั้นสิ เอาอย่างนี้วันไหนว่างจากราชการเจ้าก็ชวนน้องมาทานข้าวบ้านเราสิ พ่อได้ข่าวมาว่าเจ้าก็ไปกินข้าวบ้านนั้นมาหลายครั้งแล้ว อีกอย่างแม่จันจะได้เจอน้องด้วยดีรึไม่”
                             “ดีเจ้าค่ะเจ้าคุณพ่อ”
                             “ดีขอรับวันพรุ่งผมจะไปบอกน้องให้ทราบว่าเจ้าคุณพ่ออยากพบ น้องต้องดีใจแน่ ๆ เพราะจะได้พบแม่จันด้วย”
                             วันรุ่งขึ้นขุนทับรีบบอกเรืองทั้งทีที่พบหน้าว่าเจ้าคุณพ่อของตนมีความประสงค์อยากเจอเรืองในวันหยุดราชการนี้
                             “พระยาสุรศักดิ์มนตรีอยากพบฉันทำไมรึจ๊ะพี่ทับ”
                             “อันนี้พี่ก็ไม่ทราบได้ แต่พี่ว่าอันที่จริงน่าจะชวนทั้งครอบครัวเรืองมา พี่ว่าเราควรกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันบ้าง แม่จันเองก็คงคิดถึงคนที่บ้านเก่าเพราะ นาน ๆ จะได้ไปเยี่ยมดี เจ้าว่าความคิดพี่ดีรึไม่”
                              “ดีจ้ะ ฉันจะไปบอกทุกคนที่บ้านว่าหยุดราชการนี้เราจะไปกินข้าวบ้านพี่ทับกัน”
                              “พี่ก็ต้องกลับไปบอกเจ้าคุณพ่อเช่นกันว่า พี่เปลี่ยนเป็นให้เชิญครองครัวเรืองทั้งหมดแทน”

พี่เดือนยังคงติดน้อง ส่วนหมื่นมิ่งมากวนเป็นช่วงๆ ตอนหน้าว่าที่คู่รักจะพาไปรู้จักครอบครัวแล้ว
เราพิมพ์ในคอมนะ ตรวจคำผิดลำบากหน่อยถ้าเจอบอกได้นะ
เรามาเที่ยวกับญาติ ๆ อาจอัพช้ากว่าเดิม หรืออัพเวลาแปลกๆนะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2017 19:14:42 โดย Tipin »

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
โอ๊ยยยย ชอบมากกก ถ้าได้ดูสายโลหิตแล้วมาอ่านยิ่งฟินหนักมากก

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
แนวพีเรียดมาแล้ว น่าติดตามๆ

ตอนนี้พี่ทับยังไม่รู้ใจตัวเองสินะ

ออฟไลน์ Tipin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • https://twitter.com/Tipin_pin
บทที่ 8 ความรู้สึกแปลก ๆ
                เย็นวันนั้นเรืองกลับไปบอกทุกคนที่บ้านว่าวันหยุดราชการนี้พระยาสุรศักดิ์มนตรีอยากเชิญทั้งครอบครัวไปทานอาหาร
                   “ดีเลย พี่อยากเจอจันเหมือนกัน นาน ๆ ทีจะได้เจอ ทั้งที่เรือนก็อยู่ใกล้กันแค่นี้”
                   “จันก็ต้องดูแลสามี และลูกสิ คนมีครอบครัวจะว่างเหมือนเจ้าได้อย่างไรกันเจ้าเดือน” คุณย่าตอบเพราะ รู้ดีว่าหลานชายคนโตนั้นติดน้องทั้งสองคนขนาดไหน
                   “ก็ฉันยังไม่เจอสาวถูกใจนิจ๊ะ อีกอย่างฉันก็อยากอยู่กับคุณย่า คุณพ่อ และเรืองไปเรื่อย ๆ อยู่แบบนี้”
                    นายหญิงใหญ่ของบ้านขี้เกียจจะพูดเรื่องนี้เสียแล้วเพราะ ไม่ว่าจะถามพ่อตัวดีคนนี้กี่ครั้ง คำตอบก็ยังเป็นเหมือนเดิม

-----------------------------------------------------------
                    เมื่อวันหยุดราชการมาถึงทุกคนก็เดินทางไปทานอาหารที่เรือนของพระยาสุรศักดิ์มนตรีตั้งแต่ตอนสายเพราะ ท่านเจ้าคุณบอกก่อนมาแล้วว่าจะได้มีเวลาสำหรับพูดคุยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันมากขึ้น เนื่องจากทั้งสองครอบครัวนั้นถึงดองเป็นญาติกันแล้วก็ไม่ได้มีเวลาคุยกันมากนัก ต่างคนต่างมีงาน จึงถือวันนี้เป็นวันดีในการสานสัมพันธ์สองครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้น
                   “ เป็นอย่างไรกันบ้างขอรับ ดีใจเสียจริงที่วันนี้ท่านเจ้าขุนเชิญกระผม และครอบครัวมาทานอาหารที่เรือนท่าน” เมื่อมาถึงนายช่างชิดก็รีบกล่าวขอบคุณ
                    “ไม่เป็นไรดอกพ่อชิด ครอบครัวเราสองก็เกี่ยวดองกันแล้ว ฉันยังคิดยู่เลยว่าพวกเราเจอกันน้อยไปเสียด้วยซ้ำทั้งที่เรือนก็ติดกันแค่นี้ แต่ช่างเถอะมากันแล้วก็ดี มาสิอาหารมาพอดี จะอร่อยสู้ฝีมือคุณป้ายิ้มได้รึไม่ก็ไม่ทราบ พ่อทับชอบมาเล่าให้ฟังว่าฝีมืออาหารคุณย่าใหญ่นั้นอร่อยหาที่เปรียบไม่ได้”
                      “ขุนทับก็ชมอิฉันเกินไป ก็แค่ฝีมือชาวบ้านไม่ได้อร่อยอะไรมากมาย”
                       “เอาเถอะ ทานอาหารกันก่อนแล้วค่อยพูดคุย เจ้าตัวเล็ก ๆ สองคนนี้มองอาหารตาไม่กระพริบแล้ว” ท่านเจ้ากล่าวพร้อมมองหลานของตน ลูกสองคนของแม่จันกับหลวงด้วงที่เอาแต่จ้องอาหารไม่สนใจอะไร
                      หลังจากทานอาหารเสร็จทั้งสองครอบครัวก็เริ่มพูดจาปราศรัยกัน หัวข้อแรกเป็นอะไรไปไม่ได้น้อยจากเรื่องการเปลี่ยนนายของขุนทับกับเรือง
                    “ถือว่าเป็นโชคดีเสียจริงที่ได้เป็นมหาดเล็กในเจ้านายพระองค์นี้ พระองค์ทรงเมตตาต่อมหาดเล็ก และคนในวังทุกคน แล้วอีกอย่างพ่อเรืองก็ยังมีพ่อทับคอยดูแล ดังนั้นทั้งคุณน้า และพ่อชิดไม่ต้องเป็นห่วง อีกอย่างถ้ามีปัญหาอะไรกระผมกับพ่อด้วงก็จะช่วยดูแลด้วย ถึงกระผมจะพึ่งมีโอกาสบอกช้าไปหลายปีหลังจากพ่อเรืองเข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในวังแล้วก็เถอะ”
                    “ไม่เป็นไรดอกเจ้าค่ะ ฝั่งอิฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณขุนทับที่ดูแลเจ้าเรืองมาตั้งหลายปี อีกหน่อยพอแต่งงานไปที่นี่แหละเจ้าเรืองได้ดูแลตัวเองเป็นแน่”
                   “อะไรกันจ๊ะ พี่ทับจะแต่งงานหรอจ๊ะ แต่งกับใครทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย” เรืองรีบถามด้วยความรู้สึกแปลกที่ไม่ดีเอาเสียเลย แต่เรืองมั่นใจว่าตนจะไม่พอใจแน่ ๆ ถ้าขุนทับแต่งงาน
                    “โถ่! พี่อยู่กับเจ้าตลอดจะเอาเวลาที่ไหนไปมองหญิง แล้วถ้าพี่มองจริงมีหรือที่เจ้าจะไม่รู้” ขุนทับเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องรีบปฎิเสธ เหมือนกับกลัวเรืองจะเข้าใจผิด
                     “พอ ๆ กับเจ้าเดือน อิฉันยังคิดอยู่เลยว่ามีโอกาสจะได้อุ้มเหลนฝั่งพ่อหรือไม่ ถามไปกี่ครั้งก็ตอบแต่ยังไม่เจอผู้หญิงถูกใจเสียที”
                      “กระผมก็รอไปสู่ขอให้พ่อทับเช่นกันขอรับ แต่ยังโชคดีที่พ่อด้วงมีทั้งหลานชาย และหลานสาวให้แล้ว กระผมเลยไม่ต้องรีบเร่งถามเอากับพ่อทับเขามาก”
                    ผ่านไปชั่วครู่บทสนทนาก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่นแทน แต่สำหรับเรืองนั้นใจยังจดจ่ออยู่กับบทสนทนาเดิมที่ได้ฟัง พี่ทับอาจจะแต่งงาน ถ้าแต่งงานแล้วพี่ทับจะมีเวลาให้เขาน้อยลง สนิทกันน้อยลง ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่พอใจเอาเสียเลยก็ไม่รู้  ไม่ได้การณ์แล้วจะต้องถามพี่ทับให้รู้เรื่องว่าจะแต่งงานเมื่อไร จะมีเวลาให้เขาน้อยลงเมื่อไร เขาจะได้เตรียมตัวเตรียมใจได้ทันเมื่อเวลานั้นมาถึง
               
----------------------------------------------------
               เมื่อได้เวลากลับเรือน เรืองก็หันมากระซิบกับขุนทับว่ามีเรื่องจะพูดด้วย ขุนทับซึ่งอาสาไปส่งครอบครัวนายช่างชิดที่บ้านโดยให้เหตุผลว่าครอบครัวของตนเป็นคนเชิญมาทานอาหารโดยไม่ไปรับ ก็ขอให้ได้ไปส่งก็ยังดี พระยาสุรศักดิ์มนตรีเห็นด้วยกับลูกชาย ทำให้สมาขิกทุกคนในบ้านนายช่างชิดไม่กล้าปฎิเสธ เมื่อมาส่งถึงเรือน ขุนทับก็อ้างต่อไปว่าตนนั่นมีราชการสำคัญจะคุยกับเรือง จึงขออนุญาตคุณย่าใหญ่พาเรืองไปคุยกันที่เรือนริมน้ำ
                   “พี่ทับจะแต่งงานเมื่อไรรึจ๊ะ” เมื่อมาถึงเรือนริมน้ำเรืองก็เปิดปากถามประเด็นที่สงสัยมาโดยทันที
                   “อะไรกันพี่ก็คิดว่ามีเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก พี่ก็บอกตั้งแต่ตอนทานอาหารแล้วนิว่าพี่ยังไม่มองหญิงที่ไหน”
                  “แล้วเมื่อไรพี่ทับจะมองผู้หญิงจ๊ะ ฉันจะได้เตรียมตัวถูก” เรืองถามต่อ
                  “ทำไมเจ้าถึงอยากรู้ขนาดนั้น ถึงพี่จะมีคู่รักพี่ก็ยังอยู่กับเจ้าอยู่ดี เรายังทำงานที่เดียวกัน แล้วอีกอย่างพี่อยู่กับเจ้ามาหลายปี พี่ไม่ทิ้งเจ้าไปง่าย ๆ ดอก”
                 “ไม่รู้สิจ๊ะ แต่ตอนคุณย่าบอกว่าพี่จะแต่งงานฉันรู้สึกแปลก ๆ ทำไมมันไม่ดีใจเหมือนตอนพี่จันจะแต่งงานก็ไม่รู้ ออกจะไม่พอใจเสียด้วยซ้ำ แล้วมันก็ปน ๆ กับรู้สึกเสียใจด้วย ทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนั้นหรอจ๊ะพี่ทับ”
               ขุนทับถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่งหลังจากได้ยินประโยคนั้นจบ นั้นมันประโยคบอกรักไม่ใช่รึ ถึงขุนทับจะยังไม่เคยมีความรักแต่ตนก็รู้ดีเนื่องจาก ถึงวัยที่ควรจะแต่งงาน มีครอบครัวแล้ว ทำให้มีสหายหลายคนของตนมักพูดคุยกันถึงแต่เรื่องความรัก ซึ่งตรงกับความรู้สึกที่เรืองกล่าวมาเมื่อครู่
                 “เจ้าเคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนหรือไม่เรือง” ขุนทับถามเพื่อความแน่ใจ กลัวว่าน้องอาจแค่หวงพี่ชายที่อยู่มาด้วยกันเพราะ
                “ไม่เคยจ๊ะ ขนาดตอนคุณย่าถามว่าเมื่อไรพี่เดือนจะมีคนรัก ฉันยังคิดว่าดีเลยถ้ามีเดือนจะมีคู่ และแต่งงาน แต่พอเป็นพี่ทับทำไมฉันถึงไม่พอใจก็ไม่รู้”
               ประโยคต่อมากลับยิ่งทำให้ขุนทับหนักใจยิ่งกว่าเดิมเพราะ มั่นใจแล้วว่าเรืองรู้สึกอย่างไร แต่ที่ยิ่งไปกว่าคือ ทำไมตนเองถึงรู้สึกดีใจที่เดือนรู้สึกแบบนี้กับตน ขุนทับคิดพิจารณาว่าตนควรบอกกับเรืองอย่างไรถึงความรู้สึกนี้ และควรจะทำอย่างไรกับความรู้สึกของตนเองที่รู้ว่าตนก็รักเรืองเช่นกัน รักเด็กคนนี้ที่เดินตามหลังตนต้อย ๆ มาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก
             “ขอพี่คิดซักครู่นะเจ้า ว่าพี่ควรบอกเจ้าอย่างไรดี” และควรยอมรับหัวใจตนเองหรือไม่ ขุนทับพูดต่อในใจ
             เรืองไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดขุนทับต้องใช้เวลาในการคิดไตร่ตรอง หรือขุนทับจะหาทางให้ตนเลิกหวงพี่ชายคนนี้เสียที ในที่สุดขุนทับก็ตัดสินใจได้ว่าควรบอกเรืองเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรดี
            “เรืองเจ้าต้องสัญญากับพี่นะ เรื่องที่พี่จะบอกเจ้าต่อไปนี้ถือเป็นความลับระหว่างเราสองคน ห้ามเจ้าเอาไปเล่าให้คนอื่นฟังโดยเด็ดขาด”
             “ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยหรอจ๊ะ ก็ได้จ้ะฉันสัญญา”
            “เท่าที่เจ้าบอกพี่มานั้น พี่คิดว่าเจ้ารักพี่ รักแบบคนรักเสียด้วยสิ” ขุนทับกล่าวพร้อมทำหน้าจริงจัง จนเรืองรู้สึกได้ว่าที่พูดไปนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
             “แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ฉันเป็นผู้ชาย พี่ทับก็เป็นผู้ชาย มันเป็นไปไม่ได้ดอก ถ้าใครรู้เข้ามีหวังแย่แน่ ๆ ฉันควรทำอย่างไรดีจ๊ะถึงจะหยุดความรู้สึกนี้” เรืองนึกกลัว เพราะ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่สมควรเกิดขึ้นมา
              แต่ขุนทับที่ได้ฟังกลับรู้สึกไม่พอใจที่เรืองอยากจะเลิกรักตน มาบอกรักให้ตนรู้ใจตนเองแล้ว แต่กลับจะเปลี่ยนใจไม่รักกันเสียได้ ใครจะไปยอมกันเหล่า
              “เจ้าเคยรู้สึกแบบนี้กับใครรึไม่ เจ้ารู้รึเปล่าว่าคนแรกที่เจ้ารู้สึกรักด้วยนั้น เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกได้ง่าย”
               “มันยากขนาดนั้นเลยรึจ๊ะ แบบนี้ก็แย่แน่ ๆ ฉันควรทำอย่างไรดี ใช่สิฉันเคยได้ยินคนในครัวคุยกันว่าคนรักเมื่อไกลกัน ความรู้สึกรักก็จะน้อยลง”
               “เจ้าจะไปไกลจะพี่ได้รึ” ขุนทับยิ่งโกรธ “เจ้ากับพี่รู้จักกันมา 8ปี เจ้าถึงจะรักพี่ แล้วเจ้าคิดว่าต้องใช้เวลาไกลกันกี่ปีเจ้าถึงจะเลิกรักพี่ได้”
                 “แล้วทำไมพี่ทับต้องโกรธฉันละจ๊ะ ฉันแค่หาทางออกที่ดีให้กับตนเอง”
                 “อย่างนั้นให้พี่แต่งงานดีไหม พี่จะได้มีเวลาให้เจ้าน้อยลง เราจะได้ห่างกันแบบที่เจ้าต้องการ” ขุนทับหงุดหงิดอย่างเต็มที่แบบไม่เคยเป็นมาก่อน
                 “ไม่ได้ ฉันไม่ยอมให้พี่ทับแต่งงาน ถ้าพี่ทับจะแต่งงาน มาแต่งกับฉันนี้ ในเมื่อพี่เป็นคนบอกฉันเองว่าที่ฉันรู้สึกมันคือ ความรัก ฉันเชื่อพี่ทับเสมอมาแล้วครั้งนี้ฉันก็จะเชื่อด้วยเช่นกันว่าที่พี่บอกมานั้นถูกต้อง ฉันรักพี่ทับ พี่ทับจะรักฉันได้หรือไม่”
                 ขุนทับถึงกลับปรับอารมณ์ตนเองไม่ทัน ให้ตายเถอะตนเป็นผู้ใหญ่กว่าแท้ ๆ กลับสู้อะไรเด็กตรงหน้าไม่ได้เลย ไม่เคยได้เลย เขาแพ้เรือง แพ้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันที่เรือนริมน้ำแห่งนี้แล้ว
                 “อย่าเงียบสิจ๊ะ ตอบคำถามฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าจะรักฉันไหม ในเมื่อพี่เป็นคนบอกฉันให้รู้ว่าที่รู้สึกมันคือ ความรัก พี่ก็ต้องรับผิดชอบ ถึงพี่จะตอบไม่ ฉันก็ไม่ยอมดอกนะ” เรืองเริ่มไม่พอใจตาม พูดอย่างนั้นได้ไง พูดว่าจะแต่งงานให้ตนปวดแปลก ๆ ตรงใจอีกได้อย่างไร
                   “ฮ่าๆๆๆๆๆๆ เจ้านี้จริง ๆ เลย พี่ไม่เคยชนะเจ้าได้แม้แต่ครั้งเดียว ให้เมื่อเจ้ากล้าขอความรักจากพี่ พี่ก็จะให้ความรักกับเจ้าตอบแทน” ว่าแล้วขุนทับก็ก้มลงหอมแก้มเรือง “นี่คือรักของพี่ พี่ให้รักเจ้าแล้ว เจ้าให้รักพี่กลับบ้างสิ” พร้อมเอานิ้วชี้ที่แก้มของตนเอง
                   เรืองไม่เคยเขินขนาดนี้มาก่อนในชีวิต พี่ทับที่คุณย่าของตนพูดนักพูดน่าว่าเป็นคนหนุ่มเรียบร้อยหายไปไหนเสียแล้ว ตรงหน้าตนกลับมีแต่คนหนุ่มท่าทางเจ้าชู้ที่ส่งสายตาหวานมาให้ พี่ทับตรงหน้าไม่ใช่พี่ทับคนเดิมที่ทำให้เรืองรู้สึกสงบเมื่ออยู่ใกล้ แต่เป็นพี่ทับคนใหม่ที่ทำให้เรืองใจเต้นแรงแทน
                   “อย่าเอาแต่จ้องหน้าพี่สิจ๊ะคนดี พี่อยากได้คำรักของเจ้าที่แก้มพี่มากกว่า” แล้วก้มหน้าลงมาใกล้ ๆ กับปากของเรือง
                   เรืองเห็นดังนั้นใจหนึ่งก็ยิ่งเขินอาย แต่อีกใจก็อยากทำ ช่างใจอยู่ครู่เรืองก็ตัดสินใจเอาปากไปแตะแก้มของขุนทับเบา ๆ แล้วก้มหน้าแดงที่ร้อนผ่าวเหมือนมีใครนำเหล็กมาทาบไว้บนหน้าก็ไม่ปานลงกับพื้นโดยไว
                   “จำไว้นะต่อไป พี่กับเจ้าเป็นคนรักกัน แล้วเลิกเขินพี่หน้าแดงได้แล้ว เดี๋ยวใครผ่านมาเห็นเข้าเขาจะสงสัยได้ จริงสิเราคุยกันมาซักพักแล้วรีบขึ้นเรืองเถอะเดี๋ยวคุณย่าใหญ่จะสงสัยเอาได้ พี่กลับเรือนก่อนแล้วกัน” แต่ก่อนไปขุนทับยังก้มมาหอมแก้มแดงของเรืองอีกครั้งแล้ววิ่งจากไป
                    พี่ทับคนบ้า ทำอย่างนี้ฉันก็ยิ่งเขินไปกันใหญ่ แล้วเมื่อไรแก้มจะหายแดงแล้วขึ้นเรือนได้ละเนี่ย เรืองบ่นอุบในใจ

ปล.ยังอยู่ในช่วงที่เราเที่ยว เลยพิมพ์ในมือถือ อาจแปลกๆบ้างนะ คุณผู้ชมคะ อีพี่มันร้ายกว่าที่เราคิดค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2017 22:01:51 โดย Tipin »

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
ขอให้เป็นแบบนี้ไปนานๆเถอะสงสารทั้งคู่เลย

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
ต่อไปสองคนต้องเจออุปสรรคใหญ่แน่ๆ ต้องเข้มแข็งนะทับ พ่อเรือง

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
จะหัวเราะหรือร้องไห้กับพ่อทับดีนะ ได้แฟนหรือได้ลูกเนี่ย

ออฟไลน์ Tipin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • https://twitter.com/Tipin_pin
จะหัวเราะหรือร้องไห้กับพ่อทับดีนะ ได้แฟนหรือได้ลูกเนี่ย
โปรโมชั่นพิเศษของน้องเรืองค่ะ ได้ถึง 2 ใน1 คน

ออฟไลน์ natchaya

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ว้าวว เพิ่งเคยอ่านนิยายวายที่อยู่ในสมัยอยุธยาเป็นเรื่องแรกเลยค่ะ อ่านถึงตอนล่าสุดนี่คิดว่าดราม่ามาเต็มแน่ๆเลย มีดราม่าไม่เป็นไร ขอแค่ตอนจบเค้ามีความสุขกันเราก็พอใจจ ><

ออฟไลน์ Rabbitongrass

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ช่วงเจ้าฟ้ากุ้งสววรณคต ห่างจากตอนเสียกรุงครั้งที่สองแค่12ปี คู่พระนางเรามีฉากมาม่าคาสนามรบชัวร์ๆ เรื่องนี้คงต้องลุ้นกันอีกยาวใกล

ออฟไลน์ Tipin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • https://twitter.com/Tipin_pin
บทที่ 9 วังหน้าองค์ใหม่
                   หลังเหตุการณ์ที่เรือนริมน้ำวันนั้น ทำให้เรืองได้เห็นขุนทับในมุมมองใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เรืองคิดถึงคำที่ขุนทับสอนมาตลอดว่าขุนนางในวังล้วนพูดจากลับกลอกหลีกเลี่ยงความจริงในบางประการเชื่อถือไม่ได้เต็มที่ ตอนแรกที่ได้ยินนั้นเรืองคิดว่าไม่จริงเสียหน่อยพี่ทับไม่เห็นเป็นอย่างนั้นเลย เวลาอยู่กับใครก็พูดจาเหมือนกันหมดทั้งต่อหน้า และลับหลังนอกจากนี้ยังพูดแต่ความจริงทั้งนั้น แต่มาวันนี้เรืองรู้แล้วว่าไม่เป็นความจริงเลยพี่ทับนั้นมีความสามารถในการหลีบเลี่ยงเปลี่ยนคำพูดให้ออกมาตามที่ตนต้องการได้อย่างหน้าตาเฉยโดยที่คนฟังไม่สงสัยเลยด้วยซ้ำไปว่าที่กล่าวมานั้นไม่ใช่เรื่องจริง
                    “คุณย่าใหญ่ขอรับหลังจากการทานอาหารวันนั้น กระผมคิดว่ากระผมจะมารับน้องเข้าวังพร้อมกันทุกวันนะขอรับเพราะ น้องเองก็โตมากขึ้นภาระราชการมากขึ้น กระผมจะได้มีเวลาพูดคุยถึงงานราชการที่จะทำในแต่ละวัน และสรุปงานที่ทำไปในวันก่อนระหว่างเดินทางไปพระราชวัง เนื่องจากกระผมกับเรืองนั้นทำงานในส่วนเดียวกัน คุณย่าใหญ่จะเห็นสมควรรึไม่ขอรับ” ขุนทับพูดมาในเช้าวันหนึ่งที่มารับเรืองที่เรือนโดยไม่ได้บอกก่อนล่วงหน้า
                    “ถ้าขุนทับเห็นสมควร และไม่เป็นการรบกวนเวลามากจนเกินไปย่าก็ไม่ขัดดอก เรืองขอบคุณพี่เขาสิที่อุตส่าห์มีน้ำใจมารับ และยังช่วยเรื่องราชการอีกด้วย”
                    “ขอบคุณจ้ะพี่ทับ” เรืองขอบคุณด้วยความรู้สึกงง ๆ เนื่องจากจริง ๆ แล้วเรื่องราชการไม่เห็นต้องมารับก็ได้เพราะ ถึงอย่างไรเมื่อเข้าวังก็ต้องพูดคุยถึงงานในแต่ละวันกับมหาดเล็กทุกคนอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเรืองก็ไม่ได้ขัดอะไรเนื่องจากตนเองก็อยากให้ขุนทับมารับทุกวันอยู่แล้ว
หลังจากได้รับคำอนุญาตขุนทับก็พาเรืองเดินลัดเลาะเข้าเส้นทางที่คนส่วนมากไม่ใช้ในการสัญจรกันเพื่อเดินทางไปยังพระราชวัง
                   “ทำไมพี่ทับถึงเลือกพาฉันมาเดินเส้นทางนี้ละจ๊ะ” เรืองถามด้วยความสงสัยเพราะนอกจาก ไม่ค่อยมีคนสัญจรแล้วนั้น เส้นทางนี้ยังต้องเดินอ้อม ทำให้ถึงพระราชวังช้าว่าเส้นทางอื่นอีกด้วย
ขุนทับได้ยินดังนั้นก็หันมาหอมแก้มเรืองหนึ่งที “พี่จะได้ทำอย่างนี้กับเจ้าได้โดยไม่มีผู้ใดเห็นอย่างไรเล่า และพี่จะได้มีเวลาอยู่กับเจ้าสองต่อสองเพิ่มขึ้นอีกด้วย”
                   เมื่อได้รับคำตอบเรืองก็นิ่งไม่พูดไม่จาจนมาถึงพระราชวังด้วยกลัวว่าถ้าพูดอะไรออกไป อาจเป็นเหตุให้ตนถูกหอมแก้มอีกครั้งก็เป็นได้ แถมตนนั้นยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าระหว่างเดินทางตนเจออะไรบ้าง จำได้แค่ตนเองเดินก้มซ่อนหน้าที่แดงมาตลอดทางเพราะ หลังหอมแก้มขุนทับก็ขว้างมือเรืองมาจับตลอดการเดินทาง ทำให้เมื่อมาถึงพระราชวังแก้มทั้งสองข้างของเรืองก็ยังไม่หายแดงจนโขนหน้าวังทักว่าเป็นอะไรทำไมหน้าถึงแดงได้ขนาดนั้น
                  “พันเรืองเขาไม่สบายนะ ฉันถึงต้องไปรับที่เรือนเพื่อมาราชการนี้แหละ” ขุนทับพูดได้อย่างไม่ติดขัด ถ้าเรืองไม่รู้สาเหตุการหน้าแดงของตน และเหตุผลที่ขุนทับมาพร้อมตน เรืองก็คงเชื่อด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่เรืองเชื่ออย่างสนิทใจในเวลานี้คือ ความสามารถด้านการโกหกหน้าตาเฉยของพี่ทับนั้นไม่เป็นสองรองใครเชี่ยว แล้วนี้ที่พี่ทับพูดกับตนมาตลอดมีเรื่องโกหกอะไรบ้างรึเปล่านะ
                 เมื่อมาถึงตำหนักเจ้าฟ้าอุทุมพรเรืองก็ถามสิ่งที่ตนสงสัยในทั้งที่ เนื่องจากพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงมีรับสั่งให้เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อเข้าเฝ้า ทำให้เรืองและขุนทับไม่มีราชการต้องทำในขณะนี้
                “พี่ทับจ๊ะ ที่พี่พูดกับฉันมาตลอดหลายปีที่เรารู้จักกัน พี่เคยโกหกหรือเลี่ยงความจริงบางส่วนกับฉันบ้างรึไม่จ๊ะ”
                “ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ถามอะไรอย่างนั้น พี่ไม่เคยทำอย่างนั้นกับเจ้าสักครั้ง เห็นเมื่อเช้าแล้วเจ้าสงสัยในตัวพี่รึพ่อเรืองของพี่ ไม่มีดอกพี่ไม่นิยมทำอย่างนั้นถ้าไม่มีความจำเป็นแต่เพื่อให้ได้อยู่กับเจ้า และไม่อยากให้คนอื่นสงสัยพี่ถึงต้องทำ”
                “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป ฉันถือว่าพี่ทำเพื่อฉัน ฉันเชื่อพี่”
                “พี่ไม่ได้ทำเพื่อเจ้า พี่ทำเพื่อเราต่างหาก”

                 ทางด้านเจ้าฟ้าอุทุมพรนั้นเมื่อได้ราชโองการให้เข้าเฝ้าก็รีบเสด็จทันใด ด้วยนาน ๆ ครั้งพระบิดาจะมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว
                “พระองค์มีพระกระแสรับสั่งอันใดรึนะเกล้านะกระหม่อมถึงได้เรียกลูกเข้าเฝ้า” เมื่อมาถึงเจ้าฟ้าอุทุมพรก็กราบบังคมทูลถาม เพื่อจะได้ถวายงานตามประสงค์
               “พ่ออยากให้พ่อดอกมะเดื่อของพ่อขึ้นมารับตำแหน่งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลองค์ใหม่ พ่อจึงเรียกเจ้าเข้าเฝ้าเพื่อให้ทราบก่อนที่พ่อจะมีพระราชโองการออกไป”
เจ้าฟ้าอุทุมพรได้ฟังอย่างนั้นทรงตกพระทัยเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากตนเป็นพระอนุชิต และมีพระเชษฐาร่วมพระมารดาจะเป็นวังหน้าได้อย่างไร
               “ฟ้าทรงโปรดเจ้าฟ้าอนุรักษ์มนตรี* พระเชษฐาของข้าพระเจ้ายังคงอยู่ ทรงขอพรพระราชทานให้เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลองค์ใหม่น่าจะสมควรกว่า”
               “กรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้นโฉดเขลา หาสติปัญญาแลความเพียรมิได้ ถ้าจะให้ดำรงฐานุศักดิ์มหาอุปราชสำเร็จราชกิจกึ่งหนึ่งนั้น บ้านเมืองก็จะเกิดภัยพิบัติฉิบหายเสีย อย่างไรเสียพ่อก็จะให้เจ้าขึ้นเป็นมหาอุปราช ส่วนพี่เจ้าพ่อจะจัดการแก้ปัญหาให้เอง เจ้ากลับไปได้แล้ว”
               เจ้าฟ้าอุทุมพรเห็นว่าคงไม่สามารถขัดความประสงค์ขอพระบิดาได้ก็ทรงทูลลา
               “ใครอยู่ข้างนอกบ้างไปตามเจ้าฟ้าเอกทัศมาพบข้าหน่อย” เมื่อเห็นว่าเจ้าฟ้าอุทุมพรไม่ขัดพระประสงค์แล้ว ก็รีบให้มหาดเล็กไปตามเจ้าฟ้าเอกทัศคนพี่มาเข้าเฝ้า
              “ฝ่าบาทเรียกลูกเข้าเฝ้ามีอะไรรึนะเกล้านะกระหม่อน”
              “พ่ออยากให้เจ้าออกผนวชชันษาเจ้าก็ถึงเวลามานานแล้วแต่เจ้าไม่ยอมผนวชเสียที และที่สำคัญนี่เป็นราชโองการของพ่อไม่ใช้ทำขอเจ้าขัดไม่ได้ ที่สำคัญพ่อไม่มีกำหนดให้เจ้าลาสิขา พร้อมพ่อจะแต่งตั้งให้เจ้าดอกมะเดื่อเป็นวังหน้าแทนวังหน้าองค์เก่า”
              เจ้าฟ้าเอกทัศได้ฟังอย่างนั้นก็ไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก เนื่องจากตนนั้นไม่มีความคิดที่อยากจะออกผนวชเลย และคิดมาตลอดว่าหลังเจ้าฟ้ากุ้งสวรรคตตนจะได้เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลพระองค์ใหม่เนื่องจากเป็นพระโอรสองค์โตในพระวัณสาน้อย แต่ไม่อาจขัดราชโองการได้ถึงได้แต่ยอมรับด้วยความไม่เต็มใจ
               หลังเจ้าฟ้าเอกทัศอออกผนวชได้ไม่นานพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงมีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต**ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลพระองค์ใหม่ ข่าวนี้เป็นที่ฮือฮาไปทั่วทั้งวังเนื่องจากเจ้าฟ้าดอกอุทุมพรเป็นพระอนุชิตทั้งยังมีพระเชษฐา ทำให้ไม่มีผู้ไหนคิดว่าจะถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสนามมงคล และจากการแต่งตั้งนี้ทำให้ขุนนางบางฝ่ายที่สังกัดขึ้นตรงกับเจ้าฟ้าเอกทัศไม่พอใจเพราะ อำนาจที่หมายมั่นว่าจะได้ในอนาคตเมื่อเจ้าฟ้าเอกทัศได้เป็นกษัตริย์หลุดลอยไป

                   หลังจากขุนทับและเรืองทราบข่าวทั้งสองต่างทั้งดีใจและหวั่นวิตก ด้วยทั้งสองเคยอยู่กับกรมพระราชวังบวรมงคลมาก่อน ทำให้รู้ดีว่าตำแหน่งนี้นั้นคนนอกอาจมองว่าดี แต่จริง ๆ แล้วเป็นตำแหน่งที่ต้องทำงานหนัก และตกเป็นเป้าหมายของคนที่ไม่ชอบได้ง่าย ยิ่งเป็นเจ้าฟ้าอุทุมพรแล้วยิ่งอาจมีปัญหาใหญ่ตามมา
                   “เรือง พี่มีเรียนจะคุยกับเจ้า เดี๋ยวเมื่อถึงบ้านเจ้าแล้วพี่จะขออนุญาตคุยราชการกับเจ้าที่เรือนริมน้ำนะ” ขุนทับบอกเพราะ อยากคุยกับเรืองถึงเรื่องการแต่งตั้งตำแหน่งในครั้งนี้
                   “แค่คุยราชการแค่นั่นใช่ไหมจ๊ะ” เรืองเริ่มไม่มั่นใจ ก็พี่ทับชวนไปเรือนริมน้ำทีไร ไม่เคยได้คุยราชการจริง ๆ เสียทีมีแต่ทำเรื่องน่าอาย ยิ่งคิดเรืองก็ยิ่งหน้าแดง
                   “เจ้าคิดว่าพี่จะทำอะไรเจ้ารึ อะไรกันไม่ทันไรเจ้าก็คิดลามกกับพี่เสียแล้ว ต่อไปพี่ไปไหนกับเจ้าพี่คงต้องระวังตัวให้มากขึ้นเสียแล้ว”
                  “บ้า! แค่ราชการก็ราชการ ฉันไม่คุยด้วยแล้วรีบกลับไปว่าราชการต่อกันเถอะ” แล้วรีบเดินหนีนำขุนทับไปโดยเร็ว
เมื่อมาถึงเรือนของเรือง ขุนทับก็ขึ้นเรือนเพื่อคุยกับนางหญิงใหญ่ว่าวันนี้คงต้องมาอาศัยอยู่ที่เรือนนี้เป็นเวลานานเสียหน่อย
                  “กระผมไหว้ขอรับคุณย่าใหญ่ วันนี้ขออนุญาตฝากท้องกับคุณย่าใหญ่สักมื้อนะขอรับ แล้วก็ขอยืมเรือนริมน้ำคุยราชการกับเรือนอีกคราว”
                  “เชิญตามสบายเถอะพ่อคุณ ถ้าคุยราชการกันนานนอนค้างที่นี้ก็ได้นะ เดี๋ยวย่าให้ยายอิ่มมันจัดห้องรับแขกให้"
                  “ดีเสียจริงถ้าอย่างนั้นกระผมขอความกรุณาด้วย แต่กระผมนอนห้องเดียวกับเรืองก็ได้นะขอรับ ไม่ต้องรบกวนยายอิ่มจัดห้องให้ด้วย”
                  “เอาอย่างนี้ในเมื่อจะไปคุยราชการที่เรืองริมน้ำกัน ให้ยายอิ่มจัดห้องที่เรืองนั้นแล้วกัน จะได้นอนด้วยกันได้ แล้วไม่ต้องขึ้นเรืองใหญ่ตอนดึก ๆ ด้วย คราวหน้าถ้าจะคุยราชการกันอีกก็นอนเสียที่นั้นไปเลยจะได้ไม่เสียเวลาเดินทางกลับเรือน”
                 “ขอบพระคุณคุณย่าใหญ่มากขอรับ เรืองเราไปคุยราชการกันเถอะ”
ขุนทับเดินนำเรืองลงจากเรือนไปยังเรือนริมน้ำ พร้อมคิดในใจว่ารีบคุยราชการให้เสร็จจะได้มีเวลานอนด้วยกันนาน ๆ แล้วคงต้องหาราชการมาคุยกับเรืองบ่อย ๆ เสียแล้วสิ
                    “เจ้าคิดอย่างไรกับการที่เจ้าฟ้าอุทุมพรของเราขึ้นเป็นวังหน้าเรือง”
                  “ใจหนึ่งฉันก็ดีใจนะจ๊ะพี่ทับ พระองค์เป็นเจ้าฟ้าที่ดีและคงเป็นกษัตริย์ที่ดีในภายหน้า แต่ฉันก็กลัวเหลือเกินว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมเหมือนเมื่อครั้งเจ้าฟ้ากุ้ง”
                    “พี่ก็กลัว กลัวใจพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศพระองค์อื่น ๆ ยิ่งเจ้าฟ้าเอกทัศด้วยแล้ว พี่คิดว่าไม่มีทางที่พระองค์จะยอมให้อนุชาเป็นกษัตริย์ทั้ง ๆ ที่ตนยังอยู่แน่”
                    “อย่างนั้นเราจะทำอย่างไรกันดีละจ๊ะพี่ทับ”
                    “เราทำอะไรไม่ได้ดอกเรือง ที่เราทำได้คือแค่หวัง หวังว่าโชตชะตาของกรุงศรีคงไม่พัดให้เหตุนองเลือดในสายโลหิตเดียวกันกลับมาอีกครั้ง”
                      “ฉันก็หวังให้กรุงศรีอยุธยาของเราสงบสุขอย่างนี้ตลอดไป”
                      ขุนทับรู้ดีว่าเรืองกลัวสิ่งใด ถึงจะว่างเว้นจากสงครามต่างเมืองมาหลายร้อยปี แต่สงครามของชาวกรุงศรีกันเองกลับไม่เคยว่างเว้น เจ้าฟ้าและขุนนางกี่คนแล้วที่ต้องมาตายเพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น สิ่งที่เรียกว่า “อำนาจ” แต่ขุนทับเห็นว่าพูดเรื่องนี้ต่อไปก็มีแต่ทำให้เครียดขึ้น ทั้งนี้เหตุการณ์ที่ทั้งสองกังวลก็ยังไม่เกิด หรืออาจไม่เกิดก็เป็นได้ถึงยกมือทั้งสองของตนโอบเรืองจากด้านหลัง
                    “วันนี้เราเครียดกันมากพอแล้ว ได้เวลาสำหรับการพักผ่อนแล้ว เราเข้าห้องนอนกันเถอะคนดี”
                    “อะไรกันนี่ยังหัวค่ำอยู่เลย ถ้าคุยจบเร็วอย่างนี้ฉันว่าพี่กลับเรือนไปดีกว่า ฉันจะได้ขึ้นเรือนใหญ่ด้วย” เรืองรู้สึกถึงอันตรายที่อาจเกิดกับใจของตน ถึงรีบไล่ขุนทับกลับไป
                   “เรื่องอะไรพี่จะกลับ คุณย่าใหญ่เปิดทางให้พี่ขนาดนี้แล้ว อันที่จริงเจ้าเป็นผู้ชายอยากนี้ก็ดีไม่ว่าเวลาใดเจ้าก็สามารถเป็นเพื่อนคู่คิดให้พี่ได้ตลอด และพี่ยังสามารถเข้าใกล้เจ้าได้ตามลำพังโดยไม่ต้องอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ตลอดเวลา” ว่าแล้วขุนทับก็อุ้มเรืองเดินเข้าห้องแล้วนอนโอบกอดกันตลอดทั้งคืนโดยที่เรืองไม่อาจขัดขืนได้หรืออันที่จริงใจของเรืองนั้นเองต่างหากที่ไม่คิดที่จะขัดขืนความอบอุ่นที่ตนได้รับภายใต้อ้อมกอดนี้

*เจ้าฟ้าอนุรักษ์มนตรี, กรมขุนอนุรักษ์มนตรี เป็นพระนามของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ หรือสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ในการต่อมา
**เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต เป็นอีกพระนามหนึ่งของเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ หรือสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร

               
https://m.facebook.com/tipin1994/ <----------- เพจเราเองเข้าไปตามนิยายได้นะ

               
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-06-2017 15:14:24 โดย Tipin »

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ชอบมากค่ะ ได้ทบทวนประวัติิศาสตรไปด้วย

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
ได้รู้ประวัติศาสตร์ด้วย
งานนี้ทั้งาองลำบากแน่ๆเลยอ่ะ ต้องตกเป็นเป้าของคนชั่วแน่ๆ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
สนุกๆๆๆ ได้เกร็ดความรู้้ด้วย รอตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ Tipin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • https://twitter.com/Tipin_pin
บทที่ 10 รอยร้าวในวังหลวง
                สิ่งที่ขุนทับกับเรืองหวังไว้ไม่อาจเป็นจริงได้เพราะ หลังจากแต่งตั้งเจ้าฟ้าอุทุมพรเป็นพระราชวังบวรสถานมงคลได้แค่เพียงปีเศษ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก็ทรงประชวร และในขณะประชวรอยู่นั้นพระองค์มีรับสั่งให้เจ้าฟ้าอุทุมพร และเจ้าฟ้าอีกสี่พระองค์ซึ่งประกอบไปด้วย เจ้าฟ้าแขก เจ้าฟ้ามังคุด เจ้าฟ้ารถ และเจ้าฟ้าปานถือคำสัตย์ปฏิญาณว่าจะทรงรับใช้เจ้าฟ้าอุทุมพร
เมื่อขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป สร้างความไม่พอใจแก่เจ้าฟ้าทั้งสี่เป็นอย่างมาก
                “พี่ทับจ๊ะ พี่ทับคิดว่าวิธีที่พระเจ้าอยู่หัวบรมโศกทรงใช้จะได้ผลมากน้อยเพียงใดจ๊ะ กรมหมื่นเทพพิพิธ*นั้นฉันไม่ค่อยห่วงนัก แต่เจ้าสามกรมที่เหลือนี้สิ เมื่อครั้งเจ้าฟ้ากุ้งก็คราวหนึ่งแล้ว ฉันเกรงว่าอาจมีการนองเลือดนี้สิ”
               “เจ้าสามกรมพี่ก็กังวล แต่มีอีกคนที่พี่กังวลยิ่งกว่าคือ เจ้าฟ้าเอกทัศพระองค์ทรงสึกออกมาแล้วนะ หลังทราบข่าวว่าพระเจ้าอยู่หัวบรมโศกทรงประชวรพระองค์ก็ทรงลาสิขาออกมาด้วยตัวพระองค์เอง”
                “แล้วที่นี้เจ้าฟ้าของเราจะทำอย่างไรต่อละจ๊ะ” เรืองกังวลอย่างหนักเพราะ รู้ว่าแต่ละพระองค์นั้นกระหายอำนาจอยากเป็นเป็นกษัตริย์กันขนาดไหน
                “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เราขัดชะตาฟ้าไม่ได้ดอก แต่ในฐานะมหาดเล็กในพระราชวังบวรสถานมงคลพี่และเจ้า เราจะปกป้องเจ้านายจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
                “จ้ะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันจะอยู่รบข้างพี่ตามที่ฉันเคยสัญญาเอาไว้”
                “พูดถึงสัญญาที่เจ้าเคยให้พี่ เหมือนเจ้าบอกรักพี่ตั้งแต่ตอนนั้นเลยใช่รึไม่คนดี”
                “คิดไปเรื่อย ฉันเห็นพี่เป็นคนที่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างดอก ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น แล้วตอนั้นฉันก็ยังเด็กเห็นฉันเป็นคนแก่แดดรึอย่างไร” เรืองแกล้งฉุนเพื่อกลบเกลื่อนความอายที่ถูกแซว
                “พี่ก็หยอดเจ้าเล่นดอกไม่อยากให้เจ้าเครียดกับอะไรที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่ตอนนั้นเห็นพี่เป็นแบบอย่าง แล้วตอนนี้เล่าเห็นเป็นอะไรคนรักใช่รึไม่” ตอนแรกนั้นขุนทับแค่หยอกให้น้องหายเครียด แต่พอเห็นเรืองเขินก็ยิ่งได้ใจ
                “ไม่พูดด้วยแล้วคนอะไรไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไรก็ชวนวนเข้าเรื่องสัปดนได้ทุกทีไป” เรืองรีบเดินหนีด้วยความอาย

                ถึงเรืองจะพยายามคิดในแง่ดีเพียงใดว่าอีกไม่นานพระอาการประชวรของพระเจ้าอยู่หัวจะทรงดีขึ้น แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นอย่างนั้นเพราะ หลังจากพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเรียกพระโอรสเข้าเฝ้าไม่กี่ราตรีพระองค์ก็สวรรคต ภายหลังข่าวการสวรรคตครั้งนี้เป็นที่ทราบกันทั่วทั้งกรุงศรีเจ้าฟ้าอุทุมพรทรงมีรับสั่งให้ขุนทับเข้าเฝ้า
              “เรามีประสงค์ให้เจ้ากรมทั้งสี่ออกผนวชเพื่อตัดปัญหาที่อาจเกิดในอนาคต เจ้าทับจงนำคำสั่งเราไปบอกแก่พวกเขา”
              “รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า” ขุนทับรีบนำเรื่องไปบอกด้วยใจที่กังวลเพราะ ไม่คิดว่าเจ้ากรมทั้งสี่จะยอมออกผนวชแบบที่เจ้าฟ้าอุทุมพรต้องการ และเป็นไปตามที่คาดมีเพียงเจ้าฟ้าแขก หรือกรมหมื่นเทพพิพิธเท่านั้นที่ทรงรับพระราชโองการในทันที ส่วนเจ้าสามกรมที่เหลือยังไม่ยอมตอบอะไร ขุนทับได้แต่หวังว่าคำตอบของเจ้าสามกรมจะเป็นคำตอบเดียวกันกับคำตอบของกรมหมื่นเทพพิพิธ แต่ไม่เป็นไปอย่างที่ขุนทับหวังไว้เพราะ ไม่เพียงไม่ยิ่งยอมใจในการออกผนวชเท่านั้น เจ้าสามกรมยังร่วมมือกันเข้ายึดศาสตราวุธทั้งหมดในโรงพระแสงแล้วนำไปไว้ที่ศาลาลวด การกระทำดังกล่าวถือเป็นการประการสงครามกลางเมืองอย่างชัดเจน
                “จะทำอย่างไรดีพระพุทธเจ้าข้า เจ้ากรมทั้งสามนอกจากยึดศาสตราวุธแล้ว ยังนำกำลังปิดล้อมประตูวังแทบทุกทางแล้ว” เรืองทูลถามด้วยความกังวล ถึงจะเคยได้ยินเรื่องการก่อกบฏในสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระมาบ้างแล้ว แต่ในตอนนั้นเรืองยังไม่เกิดจึงไม่รู้ถึงความรุนแรงที่แท้จริงในการก่อกบฏ
                 “อย่าเป็นกังวลไปเลยพันเรือง ฉันคิดว่าเจ้าฟ้าอุทุมพรทรงหาทางออกสำหรับเรื่องนี้แล้วใช่รึไม่นะเกล้านะกระหม่อน” ขุนทับขัดเมื่อเห็นว่าเรืองดูตื่นตูมกับเหตุการณ์นี้
                “อย่างนั้นรึนะเกล้านะกระหม่อน แล้วพระองค์จะใช้วิธีไหนรึนะเกล้านะกระหม่อน”
                “ร่มกาสาวพัสตร์อย่างไรเล่าพันเรือง”
                “อย่างไรรึพี่ทับ ฉันไม่ค่อยจะเข้าใจที่พระองค์ตรัสสักเท่าไร” เรืองกระซิบถามขุนทับหลังจากได้รับโองการให้ออกมาค่อยดูเหตุการณ์อยู่ภายนอกตำหนัก
                “พระองค์ทรงไปกราบเรียนพระภิกษุสงฆ์จากห้าวัดให้เข้าเฝ้าเจ้าสามกรม เพื่อให้ทั้งสามกรมยอมยกเลิกการกระทำนี้”
                 “เจ้าพระคุณวัดไหนบ้างรึจ๊ะพี่ทับ”
                 “เจ้าพระคุณเทพกวี วัดพระรามมาวาด เจ้าคุณธรรมโคดม วัดธรรมมิการวาด เจ้าคุณธรรมเจดีย์ วัดสวนหลวงสบสวรรค์ เจ้าคุณพุทธโคษาจรย์ วัดพุทธไทสวรรค์ และเจ้าคุณพระเทพบุรี วัดบุรีดาว อย่างไรละเจ้า”
                 “นายของเราฉลาดเสียจริงนะจ๊ะพี่ทับ พระองค์ต้องทรงรู้แล้วแน่ ๆ ว่าเจ้าสามกรมต้องเคยเป็นลูกศิษย์เจ้าพระคุณไม่วัดใดก็วัดหนึ่งเป็นแน่”
                  และเป็นไปตามที่เจ้าฟ้าอุทุมพรคาดการณ์ไว้หลังจากเจ้าพระคุณทั้งห้าเทียวไปเทียวมาสองรอบ เจ้าสามกรมก็ยอมเข้าพบพระเจ้าอุทุมพรเพื่อถวายน้ำพิพัฒน์สัตยา แต่ขอไม่ออกผนวช

               “พี่คิดว่าเจ้าสามกรมคงไม่ยอมอยู่ใต้โอวาทเจ้าได้นานนั้นดอกพ่อดอกมะเดื่อ พี่ได้ข่าวมาว่าที่โรงดาบของเจ้าสามกรมยังมีการฝึกสอบดาบอยู่เลย” หลังจบเรื่องเจ้าสามกรมได้ไม่นาน เจ้าฟ้าเอกทัศก็เข้าเฝ้ากราบทูลถึงเรื่องนี้
               “แล้วเจ้าพี่มีความคิดว่าอย่างไรในเมื่อทั้งสามกรมก็ถือน้ำพิพัฒน์สัตยาแล้ว”
                “ถึงอย่างนั้นพี่ว่าเจ้าก็ไม่ควรนิ่งนอนใจจะเจ้าดอกมะเดื่อ”
                 เจ้าฟ้าอุทุมพรจึงถามถึงการแก้ปัญหานี้กับเจ้าฟ้าเอกทัศว่าควรทำเช่นใด แล้วได้ผลสรุปว่าโทษของการก่อกบฏคือ โดยสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ เพื่อจบปัญหาของเจ้าสามกรมที่อาจก่อขึ้นอีกในอนาคต เจ้าฟ้าอุทุมพรจึงเห็นด้วยกับเจ้าฟ้าเอกทัศและทรงออกคำสั่งให้นำเจ้าสามกรมไปสำเร็จโทษแล้วจึงเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 32 แห่งกรุงศรีอยุธยา และพระองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง

                    “จบปัญหากันเสียทีนะจ๊ะพี่ทับ ฉันละกังวลกับเรื่องนี้ไปเสียหลายวัน” เรืองคุยกับขุนทับที่เรือนริมน้ำหลังจากคุยกันถึงเรื่องพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
                  “พี่ว่าปัญหาที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต่างหากเล่า ปัญหาใหญ่ไม่ใช่เจ้าสามกรมแต่เป็นเจ้าฟ้าเอกทัศเสียมากกว่าเชื่อพี่เถอะเรือง เจ้าฟ้าเอกทัศพระองค์ไม่ทรงยอมอยู่ในตำแหน่งแค่นี้แน่ ๆ”
                    และเป็นไปตามที่ขุนทับคาดคิดภายหลังจากเจ้าฟ้าอุทุมพรขึ้นครองราชย์ได้เพียงสองเดือน ขณะเจ้าฟ้าอุทุมพรเสด็จเข้าตำหนักหลวง พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเจ้าฟ้าเอกทัศทรงประทับอยู่บนพระที่นั่ง มือถือพระแสงขรรค์ชัยศรี** จึงกราบทูลต่อเจ้าฟ้าเอกทัศไปว่า
                   “กำลังจะไปเข้าเฝ้าพอดีพระพุทธเจ้าข้า กระหม่อนเหนื่อยหน่ายกับชีวิตเหลือเกิน หลังเสร็จพระราชพิธีถวายเพลิงพระศพพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กระหม่อมจะลาบวชพระพุทธเจ้าข้า”
                    “อะไรกันพ่อดอกมะเดื่อน้องพี่ จะทิ้งพี่ไปบวชแล้วรึ แล้วกรุงศรีของเราเล่าใครจะดูแล”
                     “กระหม่อนอยากให้เจ้าพี่ขึ้นมาดูแลกรุงศรีอยุธยาแทนหม่อมฉัน”
                    “ถ้าพ่อดอกมะเดื่อว่าดี พี่ก็คงต้องตกลงด้วยจะห้ามคนไม่ให้บวชพี่ก็กลัวจะเป็นบาป” เจ้าฟ้าเอกทัศตอบด้วยท่าทางดีใจซึ่งต่างจากคำพูดที่เหมือนกับไม่ได้อยากได้ตำแหน่งนี้เลย

                     “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ละจ๊ะ ถึงจะไม่ผิดจากที่พี่ทับพูดไว้ แต่ฉันก็รู้สึกแย่ไม่ได้ตำแหน่งกษัตริย์นะจ๊ะ ไม่ใช่เล่นขายค้า ใครใคร่ซื้อก็ซื้อ ใครใคร่ขายก็ขาย”
                    “แต่พี่ว่าเป็นอย่างนี้เห็นจะดีกว่า เจ้าฟ้าเอกทัศนั้นมีพรรคมีพวกก็มา มากกว่าเจ้าสามกรมรวมกันเสียอีก ถ้าไม่ทำอย่างนี้อาจเกิดเหตุการณ์นองเลือดดังครั้งพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศขึ้นครองราชย์ก็เป็นได้”
                   “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปละจ๊ะพี่ทับ” เหตุการณ์นี้ทำให้เรืองคิดว่าถึงตนเองนั้นจะอายุยังไม่ถึงเท่าไร แต่ก็รู้สึกว่าตนนั้นผ่านเหตุการณ์มาเยอะกว่าคนมีอายุบางคนเสียอีก และแต่ละเหตุการณ์นั้นช่างผ่านไปยากเย็นเสียเหลือเกิน
ขุนทับเห็นสีหน้าของเรืองก็ดึงเรืองเข้าไปกอด “คนดีของพี่ พี่เข้าใจเจ้านะ เรื่องบางเรื่องช่างยากเกินกว่าที่เด็กอย่างเจ้าจะเข้าใจ แต่อย่าได้กังวลไปพี่จะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ ตามที่เราสัญญากันไว้อย่างไรเล่า” พร้อมลูบหัวและลูบหลัง
                   “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปละจ๊ะทีนี้” เรืองช้อนตามองขุนทับขณะอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นที่ไม่ว่าครั้งใดก็ช่วยบรรเทาความทุกข์ใจให้เรืองได้เสมอ
                   “เจ้าพระคุณขุนหลวงอุทุมพรมีรับสั่งแล้วให้เราเข้าเฝ้าถวายตัวกับพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ในวันพรุ่ง แล้วเจ้าคุณพ่อของพี่จะรับเจ้ากับพี่เข้ากรมสังกัดเดียวกันกับท่าน”
                  “ถึงจะมีปัญหามากมายแต่ฉันก็ยังดีใจที่ได้อยู่เคียงข้างพี่ทับอย่างนี้”
                 “แน่นอนพี่ไม่มีทางปล่อยเจ้าให้อยู่เดียวดายในพระราชวังที่เต็มไปด้วยอันตรายนี้แน่ ๆ เจ้าไม่ต้องกลัว”

                 วันรุ่งขึ้นขุนทับเตรียมพานแพรดอกไม้สำหรับถวายตัวไว้ให้ตน และเรืองคนละชุดเพื่อนำไปถวายตัวแก่พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่
                 “มากันแล้วรึวะ ท่านวังสวนกระต่าย***คงรีบให้พวกเอ็งมาใช่รึไม่ถึงขุนทับ พันเรืองได้มากันแต่เช้า” เมื่อมาถึงเรืองก็เห็นมหาดเล็กบางคนในฝ่ายเจ้าฟ้าอุทุมพรนั่งถวายตัวก็อยู่ก่อนแล้ว
                  “พ่อเอ็งขอเอ็งกับพันเรืองจากข้าให้ไปช่วยงานตั้งแต่เช้าแล้ว ข้าก็เห็นสมควรจึงยกให้ไปแล้ว พวกเอ็งคงไม่ขัดใช่รึไม่”
                  “รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”/ “รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”
                  หลังถวายตัวเสร็จสิ้นเรืองกับขุนทับก็เตรียมตัวกลับ ด้วยจะเริ่มทำงานกับกรมใหม่ในวันพรุ่ง และวันนี้คงมีแต่คนเข้าพะราชวังไม่ขาดสายเพื่อมาถวายตัว
                “มาแต่เช้ากันเชี่ยวนะ นายเก่าเข้าวัดไปไม่ทันไรก็รีบมาเลียขานายใหม่ ได้ข่าวว่ารีบให้พ่อกราบบังคมทูลขอตัวไปอยู่ด้วยเลยนิ ดวงพาเจ้านายซวยทั้งพี่ทั้งน้องแบบนี้ไม่ต้องมีใครเขาอยากรับเข้ากรมด้วยดอก นายแรกก็สิ้น นายสองก็ออกผนวช”
                “ไม่เห่าสักวันก็ไม่มีใครว่าดอกนะหมื่นมิ่ง ไม่ได้เจอกันเสียนานจนคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอกันเสียแล้ว รู้อย่างนี้ไม่น่ารีบมาเลย” ขุนทับตอบกลับด้วยความโมโห ว่าตนกับเรืองยังไม่เท่าไร แต่นี้กลับพาดพิงไปถึงท่านที่สิ้นแล้วกับเจ้าพระคุณขุนหลวงองค์เก่า
                   “อย่ามีปัญหากับเลยพี่ทับ พี่ก็รู้ว่าหมื่นมิ่งเป็นคนของพระเจ้าเอกทัศ ถ้าพี่มีเรื่องกับหมื่นมิ่งวันนี้คนเขาจะเอาไปพูดต่อได้ว่าพี่คิดแข็งข้อกับพระเจ้าเอกทัศ แล้วพี่จะมีปัญหาตามมาก็เป็นได้” ไม่ว่าเปล่าเรืองรีบลากขุนทับออกจากบริเวณนั้นในทันที

                   “พี่ขอโทษเจ้าด้วยนะเรืองที่ไม่คิดให้รอบครอบเสียก่อน จนเกือบก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมาเสียแล้ว” เมื่อออกมาจากบริเวณนั้นขุนทับก็ขอโทษเรืองในทันทีที่คุมอารมณ์ตนเองไม่ได้
                   “ไอบ้า ไอคนผีเจาะปากมาพูด น่าเอาดาบตัดลิ้นเสียให้ขาด ปากดีเสียจริงคิดว่าเป็นคนของพระเจ้าเอกทัศแล้วจะไม่มีใครกล้าทำอะไรรึ รอดูต่อไปเถอะฉันไม่ปล่อยไอบ้าหมื่นมิ่งนั้นไว้แน่” เรืองโกรธจนตัวสั่น
                 “อ้าวเจ้าก็โกรธเหมือนกันรึ แถมยังดูโกรธกว่าพี่เสียด้วยซ้ำไป” ขุนทับรู้สึกงงกับท่าทีของเรือง
                 “โกรธสิจ๊ะทำไมจะไม่โกรธเล่า มันว่ากระทบนายเราทั้งสองพระองค์ แต่พอฉันเห็นพี่ทับโกรธทีไร อารมณ์โกรธฉันหายไปเสียทุกที มีแต่ความรู้สึกว่าอยากทำอะไรก็ได้ให้พี่ทับหายโกรธ แต่พอพี่ทับหายโกรธแล้วความโกรธของฉันมันก็ปะทุขึ้นมาใหม่เสียได้”
                 “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ เจ้านี้นะ ไม่ว่าเมื่อไรก็ทำให้พี่ยิ้ม หัวเราะ และมีความสุขก็ความเป็นเจ้าได้เสียทุกที ดีเสียจริงที่พี่ด้วงได้รู้จักและแต่งงานกับแม่จันเพราะ พวกเขาทำให้พี่ได้มาพบเจ้าคนดีของพี่”
                  เรืองถึงกลับปรับอารมณ์ไม่ถูกเลยทั้ง ๆ ที่ตนเองโกรธอยู่นั้น แต่ขุนทับกลับทำให้อารมณ์เปลี่ยนเป็นเขินอายไปไหน “ฉันก็ควรต้องขอบคุณพี่ทั้งสองคนนั้นเหมือนกันที่ทำให้ฉันได้มารู้จักและรักกับพี่ทับได้”

*กรมหมื่นเทพพิพิธคือ ยศของเจ้าฟ้าแขกหลังจากได้การสถาปนาแล้ว โดยเมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศขึ้นครองราชย์นั้นพระโอรสทุกพระองค์จะได้รับยศเป็น “กรม”
**พระแสงขรรค์ชัยศรี เป็นพระแสง (ดาบ) ศาสตราวุธประจำองค์พระมหากษัตริย์
***วังสวนกระต่ายเป็นที่ประทับของพระเจ้าอุทุมพร

เราขอโทษที่หายไปตอนนี้เขียนยากจริงเหตุการณืสำคัญมันต่อเนื่องกันมาก ต้องหาอ้างอิงเยอะอยู่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-06-2017 15:56:01 โดย Tipin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
คิดถึงเลยหายไปนาน

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
เหมืแนว่าราชวงศ์นี้จะมีปัญหาภานในเยอะอยู่นะถ้าจำไม่ผิด ส่งผลให้บ้านเมืองอ่อนแอ่ ได้แต่หวังให้พระ-นายเราปลอดภัย

ออฟไลน์ Tipin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • https://twitter.com/Tipin_pin
บทที่ 11 ศึกต่างเมือง
      หลังจากพระเจ้าเอกทัศขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานความละส่ำละส่ายก็กระจายไปทั่วทั้งกรุงศรีด้วยฝ่ายในมีอำนาจเท่าเทียบพระมหากษัตริย์ และขุนนางที่เห็นแก่อำนาจ เงินตราก็หันมาหนุนฝ่ายในเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น เวลามีคดีร้ายแรงต่าง ๆ เกิดขึ้นหากเป็นครั้งสมัยก่อนคนทำชั่วจะถูกประหารชีวิต แต่ฝ่ายในกับขุนนางกับร่วมมือกันลดโทษเหลือแค่ยึดทรัพย์สิน แล้วนำทรัพย์สินที่ได้มาหารแบ่งเฉลี่ยกัน คนทำผิดที่มีฐานะร่ำรวยก็สามารถทำชั่วได้หลายครั้งโดยให้สินบนกับขุนนางและฝ่ายใน แต่คนจนต่างพากันเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าโดนกดขี่ข่มเหง
      “บ้ากันไม่หมดแล้วรีไร ขุนนางแต่ละคนทำไมทำเยี่ยงนี้ เป็นถึงข้าของแผ่นดินกินเงินหลวง แทนที่จะเป็นหูเป็นตาให้พระมหากษัตริย์ แต่นี้อะไรกลับปิดหูปิดตาพระองค์แทนเสียได้” ขุนทับกล่าวอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
      “ใจเย็น ๆ พ่อทับน้ำเชี่ยวอย่างเอาเรือไปขวาง เดี๋ยวเรือมันจะพังก่อนได้ใช้งานจริง ๆ ขึ้นมามันจะไม่คุ้ม” พระยาสุรศักดิ์มนตรีปราม ถึงรู้สึกไม่พอใจเหมือนกัน แต่ด้วยตนเองนั้นอาบน้ำร้อนมาก่อนตนรู้ดี ดูอย่างครั้งหลังพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระสวรรคตสิ อากับหลานฆ่ากันเองแย่งอำนาจกันทำให้ทหารฝีมือดีหลายคนที่ต้องมาล้มตายไปด้วยฝีมือของคนกรุงศรีด้วยกันเอง แทนที่จะเอาฝีดาบที่มีไปใช้ในการเข่นฆ่าศัตรู มาสมัยพระเจ้าอุทุมพรก็พี่ฆ่าน้อง ยังโชคดีที่อย่างน้อยก็ไม่ได้นองเลือดมากเท่าสมัยก่อน “จะทำอะไรให้คิดถึงใจคนที่อยู่ข้างหลังบ้าง เราไม่เห็นด้วยก็ทำเฉยเสีย เห็นอะไรไม่ถูกไม่ควรก็เข้าช่วย ถึงเข้าช่วยต่อหน้าไม่ได้ก็ไม่ใช่ว่าจะช่วยลับหลังไม่ได้ เก็บตัวเก็บใจของเจ้าเอาไว้เมื่อยามจำเป็น สัญญากับพ่อสิพ่อทับ”
      เมื่อไตรตรองนึกคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วนั้นขุนทับก็ได้บทสรุปกับใจว่าสมัยนี้ไม่ใช่สมัยของคนดี คนมีความสามารถเลยจริง ๆ เสียดายเหลือเกินที่พระเจ้าอุทุมพรออกผนวชเสียแล้ว “กระผมสัญญาขอรับเจ้าคุณพ่อ กระผมจะรอ วันที่ได้แสดงความสามารถ สร้างผลงานให้กับบ้านเมืองเมื่อถึงเวลาอันสมควร”

      ถึงจะสัญญากับเจ้าคุณพ่อไว้แต่เมื่อเห็นความไม่เป็นธรรมจำนวนมากที่เกิดขึ้นขุนทับก็อดนำเรื่องมาปรับทุกข์กับเรืองไม่ได้
      “ฉันก็เห็นด้วยกับพี่ทับนะจ๊ะเรื่องขุนนางในสมัยพระเจ้าเอกทัศแต่ละคนความสามารถด้านการประจบสอพลอมากกว่าความสามารถด้านการราชการไปหลายขุม” เรืองเองก็ไม่พอใจด้วยเช่นกันเนื่องจากตนเองกันก็รับราชการมาตั้งแต่เด็ก แล้วเจ้านายแต่ละคนก็ขยันขันแข็งทำงานเพื่อกรุงศรีจึงไม่ชอบใจนักเมื่อเห็นคนไม่ทำงานทำการ
      “พี่กังวลนักขุนนางที่คิดอย่างเรามีมาก และไม่ใช่ทุกคนจะทนได้อย่างเรา ขุนนางอาจลุกขึ้นมาทำการใหญ่เหมือนเมื่อครั้งพระเจ้าปราสาททอง”
      “พี่ทับคิดว่าขุนนางจะล้มราชวงศ์บ้านพลูหลวงนี้ แล้วตั้งตนขึ้นเป็นราชวงศ์ใหม่เหมือนครั้งพระเจ้าปราสาททองหรือจ๊ะ”
      “อย่าเชื่ออะไรพี่มากเลยเรือง พี่ก็คิดมากไปตามเรื่อง ประวัติศาสตร์กรุงศรีของเรานั้นถึงจะผ่านมาหลายร้อยปี แต่ก็มีบางเหตุการณ์แย่ ๆ ที่เกิดขึ้นมาหลายครั้งเหมือนคนรุ่นใหม่ไม่เคยศึกษา ไม่เคยนำอดีตมาเป็นคำสอนหรือบทเรียน กี่ครั้งแล้วที่คนในครอบครัวฆ่ากัน พระมหากษัตริย์เชื่อฟังขุนนางไม่ได้เรื่อง แล้วต่อจากเหตุการณ์พวกนั้นเคยมีเหตุการณ์ดีๆตามมาเสียที่ไหน มีแต่เหตุการณ์แย่ ๆ ตามมาทั้งนั้นไม่หนักก็เบา”
      “พี่ทับจ๊ะ เราไปไหว้พระกันดีกว่า ไปทำให้จิตใจสงบและขอให้พระศรีรัตนตรัยช่วยปกปักคุ้มครองกรุงศรีอยุธยาของเราให้ผ่านพ้นเหตุการณ์ร้าย ๆ ไปได้ด้วยดี”

      ถึงครอบครัวของขุนทับและเรืองจะอดทนต่อเหตุการณ์ปัญหาเหล่านี้โดยปรึกษากับว่าให้ดูสถานการณ์ไปก่อนเนื่องจากพระเจ้าเอกทัศนั้นยังขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน แต่ก็มีขุนนางบางส่วนที่ไม่สามารถอดทนกับการกดขี่ข่มเหงของขุนนางด้วยกันที่มีต้องชาวบ้านตาดำ ๆ ไปได้ พวกเขารวมตัวกันเข้าเฝ้ากรมหมื่นเทพพิพิธหรือเจ้าฟ้าแขกซึ่งในตอนนี้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์อยู่
      “บ้านเมืองถึงคราวแย่เสียแล้วพระคุณเจ้า ขุนนางรวมหัวกับฝ่ายในทำเรื่องกำเริบเสิบสานเป็นที่น่ารังเกียจยิ่ง พระคุณเจ้ามีความคิดเห็นเป็นอย่างไรกับเรื่องนี้”
      “เห็นทีเราควรต้องกำจัดขุนหลวงเอกทัศเสียแล้วแหละ” พระคุณเจ้าเทพพิพิธกล่าว พร้อมนำเรื่องนี้ไปปรึกษาพระคุณเจ้าอุทุมพรด้วยคิดว่าหลังกำจัดพระเจ้าเอกทัศแล้วจะสถาปนาพระคุณเจ้าอุทุมพรขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์อีกครั้ง
      “เรื่องทางการเมืองไม่ใช่กิจของบรรพชิต เราบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาแล้วไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้” แต่ถึงจะกล่าวไปเช่นนั้นแต่พระคุณเจ้าอุทุมพรกลับนำเรื่องนี้ขึ้นบังคมทูลแก่พระเจ้าอยู่หัวเอกทัศเป็นเหตุให้พระคุณเจ้าเทพพิพิธถูกเนรเทศไปอยู่ลังกา ส่วนขุนนางที่เข้าร่วมกับการก่อกบฏครั้งนี้ถูกนำไปจำคุกเสียทั้งหมด จากเหตุการณ์นี้เป็นเหตุให้ไม่มีขุนนางคนไหนคิดแข็งข้อแก่พระเจ้าเอกทัศอีก เนื่องไม่มีหลักให้ยึดเป็นที่พึ่งพิงเสียแล้ว นอกจากนี้เหตุการณ์นี้ยังทำให้ขุนนางที่มีความสามารถลดจำนวนลงไป
      “เกิดเหตุอะไรรึเรือง ตอนพี่ไปตลาดเห็นพวกทหารในวังรวมพลกันไปยังวัดที่พระคุณเจ้าเทพพิพิธประทับอยู่” เดือนถามด้วยความกังวลใจ ช่วงนี้ราษฎรเดือดร้อนทุกส่วน หวังว่าคนมีอำนาจคงไม่แย่งชิงอะไรให้คนทั่วไปเดือนร้อนเพิ่มหรอกนะ
      “เรื่องเดิม ๆ จ้ะพี่เดือน ก่อกบฏ ครั้งนี้พระคุณเจ้าเทพพิพิธร่วมมือกับขุนนางหวังให้พระคุณเจ้าอุทุมพรกลับมาขึ้นครองราชย์อีกครั้ง แต่พระคุณเจ้ากลับนำเรื่องไปบอกพี่ท่าน พระคุณเจ้าเทพพิพิธเลยถูกเนรเทศ ส่วนขุนนางที่ร่วมมือถูกจำคุก” เรืองตอบด้วยความเหนื่อยหน่ายในหัวใจ
      “พระคุณเจ้าอุทุมพรคงเหนื่อยหน่ายในราชสมบัติเสียจริง ๆ แล้ว อีกอย่างคงไม่อยากให้คนรุ่นหลังต้องมารับรู้ว่าราชวงศ์บ้านพลูหลวงนี้เป็นราชวงศ์เลือด ให้เลือดและศพของผู้คนเป็นตัวแลกอำนาจมาตั้งแต่ครั้งพระปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ก็เป็นได้”
      เรืองนั้นใจหนึ่งก็อยากลาออกจากราชการเช่นด้วยกับขุนนางบางคนที่เหนื่อยหน่ายกับสมัยนี้ แต่อีกใจก็ยังอย่างรับใช้องค์ภูมินทร์เนื่องพระองค์เองนั้นก็ไม่ได้มีแค่ข้อเสียไปเสียหมด พระองค์ยังมีข้อดีอยู่บ้าง เห็นได้จากพระราชกรณียากิจของพระองค์ที่ทรงทำนุบำรุงศาสนา และบ่อยครั้งที่ทรงโปรดบริจาคทานแก่ประสบนิกรคนยากคนจน
      “ถ้าเจ้าไม่อยากรับราชการแล้วก็ออกมาช่วยพี่ทำทองก็ได้นะเรือง บ้านเราก็มีงานให้ทำถึงเจ้าออกมาก็ไม่ใช่ต้องหางานใหม่ ยิ่งสมัยนี้ภายในพระราชวังมีแต่ปัญหา เจ้าออกมาช่วยพี่เสียน่าจะดีกว่า” เดือนเห็นเป็นโอกาสให้น้องกลับมาอยู่ข้างตน ที่สำคัญที่สุดได้ห่างจากไอขุนทับ ถ้าเรืองลาออกเสียไอขุนทับก็จะได้ไม่มีเหตุผลข้ออ้างมาขอนอนปรึกษาราชการกับเรืองที่เรือนริมน้ำได้อีก
      “อะไรกันเรืองเจ้าจะลาออกจากราชการรึ” ขุนทับถามด้วยความตกใจ ตนนั้นมาหาเรืองด้วยมีข่าวใหญ่ เจ้าคุณพ่อถึงให้มาตามเรือง แต่กลับได้ยินประโยคของเดือนซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ของตนเหมือนกัน
      “เปล่าจ้ะพี่ทับฉันไม่ได้จะออกจากราชการ พี่เดือนแค่เห็นฉันรู้สึกเหนื่อย ๆ เลยสอบถามแล้วให้คำแนะนำเฉย ๆ”
      “อย่างนั้นรึ เสียใจด้วยนะพ่อเดือนที่น้องของพ่อยังคงอยากอยู่กับฉันมากกว่าอยากลาออกจากราชการ” ขุนทับรู้ดีกว่าเดือนไม่ชอบตน ลางสังหรณ์ของคนติดน้องนี่มันดีเสียจริง ถึงไม่รู้เรื่องแต่ก็คงรู้สึกแน่ ๆ ว่าตนจะมาแย่งเรืองไป ถึงคอยกันท่าขนาดนี้ “เออจริงสิ เจ้าคุณพ่อมีธุระจึงให้พี่มาตามเจ้าไปหาดูเหมือนว่าจะเป็นธุระสำคัญเสียด้วย ดังนั้นคืนนี้พี่ว่าเจ้านอนค้างเรือนพี่เห็นจะดีกว่า ฝากพ่อเดือนไปบอกคุณย่าใหญ่ และนายช่างชิดด้วยนะ” พร้อมทั้งเดินจับมือพาเรือนไป
      “เฮ้ย! ไม่ถึงขนาดต้องจับมือก็ได้มั่ง เฮ้ย! ได้ยินไหม อย่าเดินหนีไปแบบนี้สิ” เดือนตะโกนตามหลัง แต่ขุนทับเป็นไม่ได้ยิน แล้วเดินจับมือเรืองออกไป

      “เจ้าคุณพ่อเรียกกระผมกับเรืองมามีธุระอันใดรึขอรับ” เมื่อมาถึงเรือนพ่อขุนก็พาเรืองเข้าพบพระยาสุรศักดิ์มนตรีในทันที
      “เรื่องไอม่าน*อย่างไรละ พ่อได้ข่าวมาจากหัวเมืองทางใต้มาว่าไอพวกม่านมันจะบุกมะริดกับตะนาวศรีแล้ว” พระยาสุรศักดิ์มนตรีเข้าเรื่องโดยไม่รอช้า เนื่องเป็นเรื่องที่สำคัญและอาจเป็นอันตรายต่อกรุงศรีได้
      “ข่าวนี้แน่ใจแล้วรึขอรับเจ้าคุณพ่อว่าเป็นข่าวจริง ไม่ใช่ข่าวลวง”
      “ไม่ผิดแน่พ่อขับ พ่อได้ข่าวมาจากคนที่เชื่อถือได้ แล้วพ่อคิดว่าถ้ามันบุกเมืองดังกล่าวมันต้องมาถึงกรุงศรีของเราเป็นแน่ ยิ่งเหตุการณ์ภายในกรุงศรีตอนนี้ขุนนางมีความสามารถเบื่อหน่ายกับราชการลาออกไปเสียหลายคน พ่อกลัวเหลือเกินพ่อทับ พ่อกลัวจะเหมือนครั้งสมเด็จพระมหินทราธิราช”
      “อาจไม่ถึงขั้นนั้นก็ได้นะขอรับเจ้าคุณพ่อ” หลวงด้วงแย้งเพราะ ไม่อยากให้น้องชายและเรืองเป็นกังวลไปมาก เพราะเรื่องการบุกของพม่าถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับช่วงเวลานี้
      “ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปีมีรึที่พ่อจะไม่รู้ละพ่อด้วงว่าตอนนี้กรุงศรีของเราอ่อนแอถึงที่สุดแล้ว พ่อไม่ได้พูดให้ตื่นตูม แต่พ่อพูดให้ลูก ๆ ของพ่อทุกคน รวมเจ้าด้วยนะพ่อเรือง เจ้าก็เป็นลูกพ่อคนหนึ่ง ให้ทุกคนได้เตรียมตัว เตรียมกาย และเตรียมใจให้พร้อมไว้ไม่ว่าจะเกิดเหตุ หรือไม่เกิดก็ดี แต่ถ้าเกิดเราจะได้พร้อมรับมือเลย”
      และแล้วก็เป็นไปอย่างที่พระยาสุรศักดิ์มนตรีทราบข่าวมาในปี พ.ศ.2303 พระเจ้าอลองพญาทรงกรีฑาทัพเข้าตีทวาย มะริด และตะนาวศรี แล้วเดินทางทัพต่อมายังกรุงศรีอยุธยา ศึกครั้งนี้ถือเป็นศึกใหญ่สำหรับทหารชาวกรุงศรีเนื่องกรุงศรีอยุธยานั้นห่างหายจากการศึกกับพม่ามานานถึง 150 ปี

*ม่านหรือบางครั้งเขียนว่า มล่าน เป็นภาษาล้านนาแปลว่า พม่า

ตอนต่อจากนี้ไปจะเขียนยากขึ้นเรื่อย ๆ นะ เราจะพยายามแต่งให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ
https://www.facebook.com/tipin1994/ <------------ เพจเราเองแหละ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-06-2017 18:02:49 โดย Tipin »

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
ศึกใหญ่มาแล้วสินะ ขอให้ทั้งสองครอบครัวปลอดภัยด้วยเถอะ

ออฟไลน์ Tipin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • https://twitter.com/Tipin_pin
บทที่ 12 ศึกครั้งแรก
      ม้าเร็วเดินทางเข้าถึงเขตอาณาจักรกรุงศรีตั้งแต่เวลาย่ำค่ำโดยนำเรื่องไปบอกแก่จมื่นไวยเวทขุนนางคนสนิทของพระเจ้าอยู่หัวเอกทัศ แต่เนื่องจากเวลานั้นเป็นเวลาที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรดูละครฟ้อนรำ ซึ่งก่อนหน้านั้นพระองค์เคยมีรับสั่งว่าเวลาดังกล่าวห้ามผู้ใดเข้าไปรบกวน หมื่นไวยเวทจึงนำเรื่องมาบอกในเช้าวันต่อมาถึงพม่านั้นได้บุกมาประชิดถึงเขตอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาแล้ว
      “ชิชะไอจมื่นไว พูดเยี่ยงนี้ก็เหมือนโยนความผิดให้กูสิวะ ที่กูมีคำสั่งไม่ยอมให้พวกมึงเข้าเฝ้า ก็เพราะ บางครั้งเรื่องเล็กเรื่องน้อยพวกมึงก็ขอเข้าเฝ้ากูไม่ได้ดูเวล่ำเวลาเลย เป็นถึงจมื่นแล้วยังคิดไม่ได้รึว่าเรื่องเช่นใดควรเข้าเฝ้า เรื่องเช่นใดไม่ควรเข้าเฝ้า เห็นว่าเวลานี้เป็นเวลาศึกดอกนะกูคาดโทษมึงไว้ก่อน เสร็จศึกเมื่อใดมึงโดนดีเป็นแน่”

      ในการศึกครั้งนี้ขุนทับและเรืองถูกเกณฑ์เข้าทัพด้วย โดยทั้งสองคู่ถูกจัดอยู่กองหน้า แต่น่าผิดแปลกตรงที่ทั้งพระยาสุรศักดิ์มนตรี หลวงด้วง หรือแม้นแต่ขุนนางยศผู้ใหญ่กลับไม่มีใครเข้าร่วมทัพเลยสักคน ขนาดแม่ทัพยังมียศเป็นแค่ขุนเช่นด้วยกับขุนทัพ เมื่อพระยาสุรศักดิ์มนตรีและหลวงด้วงจะขอเข้าร่วมศึกก็ได้รับคำตอบมาว่าเบื้องบนวางทัพไว้แล้วเปลี่ยนไม่ได้
      “มาๆ เจ้าเรือง พ่อทับมาให้คนแก่คนนี้อวยพรก่อนออกศึกหน่อย ขอให้พ่อทั้งสองแคล้วคลาดปลอดภัยจากข้าศึกไม่ว่าอาวุธใด ๆ ก็ไม่ระคายแก่ผิวนะพ่อนะ พ่อทับย่าขออย่างหนึ่งนะ ถึงอาจจะยากไปเสียหน่อยแต่ย่าฝากน้องด้วยนะพ่อ”
                  “ขอรับคุณย่าใหญ่กระผมกับเรืองจะช่วยกันระวังหน้า ระวังหลังให้แก่กันและกันอยู่แล้วขอรับ”
                    “อยู่มาหลายสิบปีไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้เห็นศึกระหว่างกรุงศรีกับไอม่านมัน แล้วครั้งนี้ไปกันแค่สองคนเองรึ”
                      “ขอรับคุณย่าใหญ่ กระผมก็เห็นผิดแปลกอยู่เหมือนกัน ไพร่พลก็นำไปไม่มาก คนมีมือฝีหรือยศสูง ๆ ก็ไม่มีใครเข้าร่วมศึกเลย”
                     “แล้วแบบนี้มันจะไหวรึ แล้วไอพวกม่านมีกำลังพลเท่าไร บ้าไปแล้วเจ้าประคุณขุนหลวงเอกทัศไม่ว่าอะไรบ้างเลยรึ เรืองเจ้าต้องดูแลตนให้ดี ๆ นะ ขุนทับฝากดูแลน้องข้าด้วย” เดือนได้ฟังยิ่งเครียดด้วยเป็นห่วงน้อง
                  “ไม่ต้องกังวลดอกพี่เดือน ฉันสัญญาว่าจะกลับมาหาพี่เดือนแน่เตรียมนกปล่อยไว้ให้ฉันสักสิบถ้วยด้วย”
                    “อย่าว่าแค่นกปล่อยเลย พี่จะยกทั้งตลาดมาเซ่นเจ้าก็ยังได้ ขอแค่เจ้ากลับมาหาพี่ อย่าน้อยคืนนี้ก่อนออกศึกไปสวดมนต์ไหว้พระกับพี่ที่ห้องพระเสียหน่อยเถอะ เออขุนทับก็ด้วยมาไหว้พระกัน อย่างไรเสียก็ต้องไปออกรบพร้อมกัน แล้วคืนนี้ก็นอนเสียที่นี้เลยก็ได้”
                       ทุกคนในบ้านต่างเห็นด้วยกับเดือน ดังนั้นหลังอาบน้ำเสร็จทุกคนจึงมารวมตัวกันทั้งในและหน้าห้องพระเพื่อของให้คุณหนูน้อยของบ้าน และขุนทับปลอดภัยกลับมา ทั้งยังขอพรให้องค์เทพเทวาทั่วสารทิศช่วยปกปักษ์รักษากรุงศรี หลังไหว้พระทำสมาธิเสร็จคุณย่าก็ให้เรืองกับขุนทับเข้านอนเนื่องจากพรุ่งนี้ต้องตื่นไปรบแต่เช้า
                      “พี่ทับว่าศึกครั้งนี้จะเป็นอย่างไรรึจ๊ะ” เรืองถามด้วยความกังวล
                      “พี่ไม่อยากหลอนตัวเองหรอกนะ ดูทั้งจากกำลังพลและแม่ทับแล้วพี่ว่าพรุ่งนี้เรามีโอกาสแพ้มากกว่าชนะมากนัก แต่อย่าได้กลัวไปคนดีพี่อยู่ข้างเจ้าทั้งคน ถ้าตายเราก็ต้องตายด้วยกัน แต่ถ้าเราจะรอดก็ต้องรอดไปด้วยกัน” แล้วดึงเรืองมานอนกอดอยู่ข้าง ๆ
                        “ก่อนถึงพรุ่งนี้พี่ขอนอนกอดเจ้าเก็บเกี่ยวความสุขของคืนนี้ก่อนก็แล้วกันนะ”

                       รุ่งขึ้นเรืองกับขุนทับรีบตื่นกันแต่เช้า แต่งตัวสำหรับทำศึกพร้อมสะพายดาบคู่ขี่ม้าเข้าร่วมกองทัพ ส่วนคนอื่นในบ้านของทั้งสองนั้นต่างไปเดินส่งทั้งคู่ไปทำศึกอยู่ตรงประตูทางออกกรุงศรี ขณะเดินทัพกันอยู่นั้นเรืองก็หันมาถามขุนทับ “พี่ทับจ๊ะ ถึงตอนแรกฉันจะรู้ว่ากำลังพลมีไม่มากนั้น แต่ฉันไม่คิดว่าจะน้อยขนาดนี้”

                      “อาจให้ทัพแรกอย่างเราไปดูท่าทีของข้าศึกก่อนก็เป็นได้ ว่ามีจำนวนและฝีมือมากน้อยเพียงใด” ทั้งที่ใจขุนทับเองนั้นก็กังวลไม่น้อย แต่ด้วยไม่อยากให้น้องเสียขวัญ ถึงอ้างตอบไปอย่างนี้
                    “อย่างนั้นดอกรึจ๊ะ แล้วถ้า”
                    “พอก่อนเรือง เราเดินทางมาถึงแล้ว ระวังให้ดีนะ” ใจหนึ่งขุนทับก็ดีใจที่ไม่ต้องตอบอะไรน้องแล้ว อีกใจก็ยิ่งกังวล ด้วยกำลังพลนี้น้อยมีโอกาสรอดยากเสียเหลือเกิน
                    “เอา พวกเราบุก!!!!!” เสียงคำสั่งจากแม่ทัพดังขึ้นจากข้างหลัง ทำให้เรืองและขุนทับขี่ม้าเข้าไปสู่สนามรบ
                   เสียงดาบปะทะ และฝุ่นที่ฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณสนามรบทำให้ทั้งสองต่างมองไม่ค่อยเห็นข้าศึก และไม่เห็นกันและกันเอง ทันใดนั้นทหารพม่าคนหนึ่งก็กระโดดเข้ามาถีบเรืองจนตกจากหลังม้าพร้อมวิ่งเข้ามาฟันหมายจะเอาชีวิต แต่เรืองฉวยโอกาสหมุนตัวหลบได้ทัน ทั้งสองต่อสู้กันอย่างอุตลุด อันที่จริงฝีดาบเรืองนั้นอาจจะเหนือกว่า แต่ประสบการณ์ยังห่างชั้นทำให้การต่อสู้กินเวลานาน ในที่สุดขณะเรืองกำลังเพลี่ยงพล้ำโดนทหารพม่าถีบจนล้มแล้วง้างดาบขึ้นมาฟันนั้น เรืองก็ใช้แขนของตนเป็นโล่ยกขึ้นมารับแล้วอาศัยจังหวะฟันไปที่คอทหารพม่าจนขาด ส่วนแผลที่แขนนั้นก็ลึกเอาการอยู่แต่เรืองก็ต้องกัดฟันลุกขึ้นเพื่อสู้ต่อ พร้อมทั้งมองหาขุนทับไปด้วยแต่ก็ไม่พบ พบเพียงทหารพม่าอีกสามคนที่วิ่งมาทางตนแทน ขณะกำลังโดนล้อมอยู่นั้นก็มีทหารชาวกรุงศรีคนหนึ่งเข้ามาช่วยเหลือ เรืองและเขาคนนั้นต่างช่วยกันฆ่าทหารพม่าจนตายหมดสิ้น
                     “ตู้ม” ทันใดนั้นเองเสียงปืนใหญ่ที่สั่งยิงของฝั่งพม่าก็ดังขึ้น สร้างความตื่นตระหนักให้กับแม่ทัพของกรุงศรีเป็นอย่างมากจึงมีคำสั่งให้กำลังพลถอยทัพกลับโดยเร็ว
                    “ไปพ่อ มีคำสั่งให้ถอยแล้ว ตามฉันมา” ทหารคนนั้นฟันทหารพม่าที่เข้ามาพร้อมเดินนำเรืองไปทางที่กองทัพถอย
                     “แต่พี่ทับละ ฉันยังหาพี่ทับไม่เจอเลย” เรืองเป็นกังวล
                     “เรือง เจ้าอยู่ไหน ได้ยินเสียงพี่รีไม่ เรืองๆ” เสียงตะโกนของขุนทับก็ดังขึ้นมาพอดี ทำให้เรืองรีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง
                     “พี่ทับจ๊ะฉันอยู่นี้จ้ะพี่” เรืองตะโกนตอบด้วยความดีใจอย่างที่สุด
                     ขุนทับเมื่อเห็นเรืองก็รีบจับมือพาเรืองวิ่งกลับทัพทันที “รีบไปกันเถอะ แม่ทัพเรียกถอยทัพแล้ว” เรืองจะหันกลับไปหาทหารที่ช่วยตนก็ไม่พบเสียแล้ว จึงตามขุนทับถอยทัพกลับไป
                         “เรือง เจ้าไหวรึไม่ พี่เห็นดอกนะว่าแขนเจ้าเลือดไหล” ขุนทับถามด้วยความเป็นห่วง แต่ก็รู้ดีว่าแสดงท่าทีอะไรมากไม่ได้เนื่องจากอยู่ในกองทัพมีคนอยู่มาก
                         “ไม่เป็นไรมากจ๊ะพี่ทับ เร่งขี่ม้ากลับกรุงศรีแล้วค่อยทำก็ยังได้” เรืองบอกเพื่อไม่ให้ขุนทับเป็นกังวลเพราะ รู้ดีว่าถ้าตนเป็นอะไรไปขุนทับต้องโทษตัวเองเป็นแน่
                        “กว่าจะเข้ากรุงศรีแผลได้เน่าจนต้องตัดแขนทิ้งกันพอดี มานี้พี่จะใช้ไพลพอกแผลให้เจ้าก่อน ถึงในกำแพงเมืองเมื่อใด แล้วค่อยให้หมอรักษาอีกที”

                         เมื่อเข้าสู่กำแพงกรุงศรีขุนทับก็เร่งพาเรืองไปโรงหมอในทันที โชคยังดีที่แผลเป็นหนองไม่มาก และได้ไพลช่วยไว้ก่อนเรืองจึงไม่เป็นไข้ตามมา เมื่อได้ยินดังนั้นขุนทับกับเรืองก็คายความกังวลลงไปได้แล้วจึงลาหมอเพื่อกลับเรือน โดยทั้งคู่เลือกไปเรือนของเรืองก่อนด้วยบ้านนั้นไม่เคยมีคนในครอบครัวเป็นทหารมาก่อนคงกังวลใจเป็นอย่างมาก
                       “กลับมาแล้วจ้ะคุณย่า คุณพ่อ พี่เดือน ฉันกลับมาแล้ว” เรืองตะโกนเรียกทุกคนเพื่อให้ทุกคนรู้และสบายใจว่าตนปลอดภัยดี
                       “กลับมาแล้วรึเป็นอย่างไรบ้าง ตายๆๆๆๆๆ แขนเจ้าทำไมมันพันแผลใหญ่โตขนาดนี้เล่า” คุณย่าถามด้วยความตกใจเมื่อเห็นแขนของหลานชายคนเล็ก
                       “ไม่เป็นอะไรมากดอกจ้ะ หมอพันใหญ่ ๆ เพื่อป้องกันน้ำโดนแผลเฉย ๆ ไม่ได้เป็นอะไรมากคุณย่าไม่ต้องเป็นห่วง” เรืองกล่าวปดเพราะ ไม่อยากให้คนที่บ้านเป็นห่วง
                       “แล้วศึกครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง” พระยาสุรศักดิ์มนตรีถาม ด้วยตนเองก็เป็นห่วงลูกชายคนเล็กเหมือนกันแล้วรู้ว่าเมื่อกลับมาถึงขุนทับจะต้องมาบ้านนี้ก่อนเป็นแน่ ถึงมารอรับลูกที่นี้
                      “เราแพ้มันย่อยยับเลยขอรับเจ้าคุณพ่อ เป็นไปตามคาดแม่ทัพคนนี้ไร้ความสามารถ แค่ไอม่านมันยิงปืนใหญ่ใส่แค่ครั้งเดียวก็ตกใจสั่งถอยทัพกลับแล้ว เออ! เจ้าคุณพ่อขอรับคืนที่กระผมขออยู่เฝ้าน้องที่นี่นะขอรับเผื่อน้องเป็นไข้ กระผมจะได้ดูแลน้องได้ เนื่องจากต้นเหตุของแผลนี้เป็นเพราะกระผมดูแลน้องไม่ดี”
                       “อย่าคิดอะไรมากเลยขุนทับ ไปรบแค่ไม่ตายกลับมาก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว พ่อเองก็ต้องระวังตัวเอง จะดูแลเรืองตลอดก็ไม่ได้ดอก แต่ถึงห้ามไปย่ารู้พ่อก็คงไม่ฟัง เอาเถอะอยากเฝ้าก็เฝ้า”
เมื่อได้คำตอบรับอย่างนั้น หลังกินอาหารเย็นกันเสร็จ ขุนทับก็พาเรืองไปที่เรือนริมน้ำทันทีโดยให้เหตุผลว่าที่นั้นอากาศถ่ายเทกว่าเรือนใหญ่
                      “เรือง พี่ขอโทษที่ดูแลเจ้าไม่ดี” เมื่อเข้าเรือนริมน้ำขุนทับก็โผลกอดเรืองในทันที “ถ้าเจ้าเป็นอะไรมากกว่าแค่แผลที่แขน พี่จะทำอย่างไร โธ่! พ่อคุณคนดีของพี่ โชคดีเสียจริงที่เจ้าไม่เป็นไร”
                      “ฉันมีครูดีตั้งสองคนทั้งครูทอง และพี่ทับฉันจะเป็นอะไรไปได้อย่างไร เสียชื่อครูแย่” เรืองไม่คิดว่าตนต้องเป็นคนมาปลอบคนตัวใหญ่ตรงหน้า “ขวัญเอยขวัญมา มาคืนนี้ฉันจะกล่อมพี่ให้นอนหลับฝันดี”
                     “ได้ทีแซวพี่ใหญ่เลยนะพ่อตัวดี แต่แค่กล่อมนอนขวัญพี่คงยังไม่กลับ ขอเป็นปากเจ้ากล่อมปากพี่แทนได้รึไม่ ขวัญพี่น่าจะมาไวขึ้น”
                    เรืองได้ยินก็เขินหน้าแดง แต่ก็ยอมทำตามที่ขุนทับขอ พร้อมคิดว่าต่อไปตนจะแสดงความรักต่อพี่ทับให้มากขึ้น เนื่องถ้าในอนาคตตนอาจไม่ได้ได้บาดเจ็บแค่ที่แขน แต่ถ้าเป็นคอตนที่ขาดไปคงไม่ได้มีโอกาสกลับมากอดพี่ทับอย่างนี้อีกเป็นแน่
                    “ชื่นใจจริงคนดีของพี่ ได้เวลานอนแล้วหลับเสียพ่อ ตื่นขึ้นมาแผลจะได้หายไว ๆ”

                    การแพ้ศึกในครั้งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับพระเจ้าเอกทัศเป็นอย่างมาก ด้วยตัวพระองค์เองนั้นก็ทรงทราบดีว่าขุนนางยศผู้ใหญ่หลายคนไม่ได้ลงไปสนใจศึกในครั้งนี้ อีกทั้งกำลังพลที่นำไปก็น้อยมากเมื่อเทียบกับข้าศึก ส่วนฝั่งของพม่านั้นเมื่อเห็นว่ากรุงศรีพ่ายกลับไปนั้นก็ยิ่งได้ใจเดินทัพเข้าใกล้กรุงศรีมากขึ้น จนในที่สุดก็เดินทางมาถึงสุพรรณบุรี ครั้งนี้ม้าเร็วนำเรื่องเข้ารายงานพระยาสุรศักดิ์มนตรีแทน
                  “เร็วเข้าพ่อด้วง พ่อทับไปเข้าเฝ้ากราบทูลเรื่องนี้กันเดี๋ยวนี้เลย”
แต่เมื่อมาถึงทหารยามซึ่งคือ หมื่นศรีสุนทรกลับบอกว่าท่านข้างในทอดพระเนตรละครอยู่ไม่โปรดให้ใครเข้าเฝ้าทั้งนั้นไม่มาจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ถึงพระยาสุรศักดิ์จะบอกว่าพระองค์เคยอนุญาตแล้ว แต่หมื่นศรีสุวรรณกลับบอกว่าตนไม่รู้ ไม่เคยได้ยินพระราชโองการใหม่ ไม่ให้เข้า
      “แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีขอรับเจ้าคุณพ่อ” หลวงด้วงถามด้วยความกังวล เพราะสุพรรณบุรีนั้นเดินทางแค่วันเดียวก็ถึงกรุงศรีอยุธยาแล้ว
      “คงทำอะไรไม่ได้นอกจากรอพรุ่งนี้แล้วแหละลูก” พระยาสุรศักดิ์มนตรีกล่าวด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
      ข่าวพม่าบุกประชิดกรุงศรีนั้นไม่ใช่แค่ทหาร ขุนนางที่รู้เรื่อง ชาวบ้านทั่วไปก็ทราบเรื่องต่างเดินทางเข้าวัดประดู่ทรงธรรมเพื่อยื่นฎีกาแก่พระคุณเจ้าอุทุมพรเพื่อขอความกรุณาให้พระองค์สึกออกมาช่วยปกป้องกรุงศรี
                   “โปรดช่วยชาวบ้านตาดำ ๆ ด้วยเถอะเจ้าค่ะ ตอนนี้ร้อนไปทั่วกรุงศรี ทรงสึกออกมาช่วยพวกเจ้าด้วยเถอะ”
                   “ใช่ ๆ สึกเถอะพระเจ้าค่ะ” เสียงชาวบ้านต่างตะโกน บางก้มลงกราบไหว้ของร้อง บางร้องไห้ เสียงดังระงมไปทั้งวัด จนในที่สุดพระคุณเจ้าอุทุมพรก็ทนไม่ไหวจำใจรับฎีกาใส่บาตรมา
ทางด้านพระเจ้าเอกทัศนั้นเมื่อทราบข่าวก็ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก ด้วยพระองค์นั้นทรงบอกแล้วว่าถ้าเป็นเรื่องใหญ่เช่นนั้นให้นำเรื่องเข้าเฝ้าในทั้งที
                  “ชิชะ! ไอพวกไพร่ก็กูบอกแล้วอย่างไรว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ สามารถเข้าเฝ้ากูได้ หรือคำกูนั้นมันไม่มีความหมายไม่จำเป็นต้องจดจำ ไหนใครไออีคนไหนมันเป็นคนพูด บอกมาสิ”
                  “ฝ่ายในเขาพูดต่อ ๆ กันมาจะหาคนต้นคงหาได้ยากแล้วในเวลานี้พระพุทธเจ้าค่ะ” หมื่นศรีสุนทรรีบตอบด้วยกลัวพระยาสุรศักดิ์มนตรีจะสาวความผิดมาถึงตน
      “เวรๆๆ ไม่ได้เรื่องจริง ๆ เลยโว้ยไอพวกนี้ ไปบอกไอทหารข้างหน้า กูจะไปรับน้องกูกลับมาช่วยกูทำการศึก” เมื่อเห็นว่าข้าศึกยกทัพมาใกล้คงเป็นการยากที่พระองค์จะจัดการเองได้ พระองค์ถึงคิดว่าควรให้พระเจ้าอุทุมพรสึกมาช่วยอีกรบอีกแรงน่าจะเป็นการดีกว่า


เรารู้สึกว่าคนอ่านน้อยลงอะ ไม่เม้น ไม่บวกเป็ดเราไม่ว่าอะไร เพราะบางที่ตอนอ่านก็ไม่ได้ล็อกอิน หรือไม่รู้จะคอมเม้นอะไร แต่คนอ่านที่น้อยลง เราเลยคิดว่าเราเขียนไม่ดีหรือเปล่าคนเลยเลิกอ่านกันแล้ว ถ้าไม่อ่านก่อนเลิกอ่านติเราหน่อย เราจะได้ปรับปรุง มันเป็นเรื่องแรกเราอาจยังเขียนไม่ดี เราเลยอยากรู้ข้อเสีย เราจะได้แก้ไขได้ แล้วก็ขอบคุณทุกคนที่ยังติดชม ติเราได้เหมือนกันนะ เราชอบ 5555555555 //มีความมาโซ
แล้วนี่ก็เพจเรานะ https://www.facebook.com/tipin1994/

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-06-2017 15:45:12 โดย Tipin »

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
ไม่ได้เขียนแย่นะมันโอเคมาก

ออฟไลน์ Tipin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • https://twitter.com/Tipin_pin
ไม่ได้เขียนแย่นะมันโอเคมาก
ขอบคุณมากค่ะที่ชอบ

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ใช่ค่ะ ตามอ่านอยู่ตลอด แต่ไม่ได้เม้นท เพราะเนื้อเรืองมันให้ติดตามไปเรื่อยๆยังไม่เจอปม ชอบนะ ได้ทวนประวัติศาสตรไปด้วย

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
ยิ่งอ่านยิ่งเกลียดพวกขุนนางชั่วๆจริง บ้านเมืองแตกก็เพราะแบบนี้แหละหนา กินบ้านกินเมือง ภายในอ่อนแอ่ กรุงศรีจะแตกก็ไม่แปลกใจ
เป็นห่วงก็แต่ทับกับเรืองนี่แหละ สู้ๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด