ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่20 25% (28/09/60)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่20 25% (28/09/60)  (อ่าน 13466 ครั้ง)

ออฟไลน์ Tipin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • https://twitter.com/Tipin_pin
บทที่ 13 พม่าปราชัย
      หลังทรงสึกออกมาพระเจ้าอุทุมพรทรงเรียกขุนนางทุกฝ่ายมารวมตัวกันเพื่อช่วยกันคิดกลการศึกในครั้งนี้ว่าควรทำเช่นไร
                   “โดยปกตินั้นกรุงศรีอยุธยาของเรานี้นิยมกลการศึกรูปแบบรุกมาตั้งแต่ครั้งพระองค์ดำ พระองค์ขาว แต่มาคราวนี้เห็นที่จะยากด้วยทหารพม่านั้นบุกเข้าจะประชิดกำแพงวังอยู่แล้ว” พระเจ้าอุทุมพรกล่าวก่อนให้ขุนนางทุกคนแสดงความคิดเห็น
                    “อย่างไรเสียกรุงศรีของเราก็มีน้ำล้อมรอบ เมื่อฤดูน้ำหลากไอพวกม่านก็ลอยจมตามน้ำไปเองแหละนะเกล้านะกระหม่อม” หมื่นศรีสุนทรออกความเห็นคนแรก
                   “หม่อนฉันว่าน่าจะหาทางตั้งรับวิธีอื่นด้วย ถ้าฤดูนี้น้ำไม่มากพอ หรือไอม่านมันเกิดไม่กลัวน้ำเราจะได้มีทางแก้ได้ทั้งเวลานะเกล้านะกระหม่อน” พระยาสุรศักดิ์มนตรีแย้ง
                  “เป็นความคิดที่ดีดังนั้นเราจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นแม่ทัพแล้วกันพระยาสุรศักดิ์มนตรี ส่วนขุนไชยเชษฐ์ดูแลการเสริมกำแพง และปืนใหญ่”
                 “พระพุทธเจ้าค่ะ” / “พระพุทธเจ้าค่ะ”

                 “เป็นอย่างไรบ้างน้องพี่คิดกลศึกกันไปถึงไหนแล้ว” พระเจ้าเอกทัศทรงตรัสถาม เมื่อพระเจ้าอุทุมพรขอเข้าเฝ้า
                 “เรียบร้อยทุกอย่างแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ หม่อมฉันให้พระยาสุรศักดิ์มนตรีเป็นแม่ทัพในศึกครั้งนี้ และให้ขุนไชยเชษฐ์ดูแลการเสริมสร้างกำแพง และตะเตรียมปืนใหญ่พระพุทธเจ้าค่ะ”
                “อะไรกันให้ไอคนยศแค่ขุนดูแลทั้งกำแพงมันจะเป็นไปได้อะไร เจ้าให้จมื่นไวยเวทดูแลไม่ดีกว่ารึพ่อมะเดื่อน้องพี่”
                “หม่อนฉันจัดการไปแล้ว ไม่อยากเปลี่ยนแปลงให้มันยุ่งยาก” พระเจ้าอุทุมพรขัด
                การตอบแบบนั้นทำให้พระเจ้าเอกทัศทรงรู้สึกเสียพระพักตร์เป็นอย่างมากที่พระเจ้าอุทุมพรกลล้าตรัสขัดพระองค์ต่อหน้าขุนนางน้อยใหญ่ แต่ต้องจำพระหทัยตรัสออกไปว่า “อย่างนั้นตามแต่พ่อมะเดื่อจะเห็นสมควรเถอะพ่อ”

                 “พี่ทับจ๊ะฉันอยากออกไปรบกับพี่ด้วย ไปบอกพระยาสุรศักดิ์มนตรีให้ฉันที ฉันไม่อยากรออยู่ที่นี้เลย” เรืองไม่พอใจเป็นอย่างมาที่ในรายชื่อกำลังพลร่วมรบไม่มีชื่อของตนออกมา
                “จะไปได้อย่างไรแผลของเจ้ายังไม่หายดีเลย” ขุนทับค้านด้วยความเป็นห่วง
      “แต่ก็ใกล้หายแล้วนะจ๊ะ ฉันอยากออกไปร่วมรบเคียงข้างพี่ ขออนุญาตให้ฉันไปรบกันพี่เถอะนะจ๊ะ” เรืองเริ่มอ้อนเพราะ ไม่ว่าจะอ้อนครั้งไหนขุนทับก็ใจอ่อนกับตนเสียทุกที
      “เสียใจด้วยคนดีครั้งนี้พี่ไม่ใจอ่อนกับเจ้าแน่ ถ้าเลือกระหว่างให้เจ้างอนกับให้เจ้าเจ็บ พี่เลือกให้เจ้างอนพี่ยังดีเสียกว่า คนดีของพี่พี่รู้ดีว่าเราเป็นชายชาติทหาร ถ้าเจ้าปกติดีมีรึที่พี่จะห้ามเจ้า เรืองพี่รักเจ้าที่สุดเจ้าเป็นเหมือนดวงใจของพี่ เจ้าอยากเห็นพี่เจ็บรึ เมื่อเข้าไปสนามรบพี่ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้อย่างเต็มที่แบบที่พี่คิด ดังนั้นพี่ไม่มีทางให้เจ้าไปเสี่ยงโดยเด็ดขาด คนดีอย่างอแงเลยนะ สงสารใจพี่เถอะ เห็นเจ้าเจ็บแค่นี้พี่ก็จะขาดใจอยู่แล้ว”
      เรืองได้ยินเช่นนั้นก็ไม่กล้าขออนุญาตไปรบอีก “อย่างนั้นฉันจะไปสวดมนต์ขอให้พระศรีรัตนตรัยช่วงปกป้องคุ้มครองให้พี่ทับปลอดภัยกลับมาหาฉันนะจ๊ะ”
      “คนดีของพี่ขอบใจเหลือเกินที่เจ้าเข้าใจพี่” ขุนทับกล่าวพร้อมหอมหน้าผากของเรือง “พี่ต้องปลอดภัยกลับมาแน่ดวงใจของพี่อยู่นี้ ตัวของพี่จะไปที่ไหนได้”

      ในการรบครั้งนี้กำลังพลของพม่ามากกว่าครั้งก่อนด้วยทัพใหญ่ตามมาเสริมได้ทันท่วงที เป็นที่น่ากังวลใจเป็นอย่างมากเพราะ กำลังพลของอยุธยานั้นน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้พระเจ้าอลองพญายังมีนิสัยชอบออกรบเช่นโจรป่า คือทำศึกทั้งกลางวันและกลางคืน ถ้าทางกรุงศรีต้องแบ่งกำลังพลไว้ทั้งสองเวลาจำนวนพลทหารจะยิ่งน้อยลงไปอีก พระยาสุรศักดิ์มนตรีจึงมีคำสั่งให้ส่งทูตไปเจรจาต่อรองกับพระเจ้าอลองพญาให้ทำการศึกกับบนหลังช้างแทน ฝ่ายพม่านั้นมั่นใจในฝีมือการรบและจำนวนทหารของตนอยู่แล้วจึงตอบตกลง ทัพทั้งสองวิ่งเข้าใส่กันแบบไม่คิดชีวิต ฝั่งหนึ่งมุ่งหวังขยายอาณาเขต อีกฝั่งมุ่งหวังปกป้องบ้านเกิดเมืองนอน
      ตัวขุนทับเองนั้นวิ่งเข้าใส่ทหารพม่าอย่างไม่คิดกลัวเช่นกัน คิดเพียงแต่ว่าขอให้ได้ปกป้องคนที่อยู่ข้างหลังอย่างสุดกำลัง สองมือถือดาบวิ่งไล่ฟันศัตรูไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย วิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาถูกนำมาให้อย่างหมดสิ้น มีบางครั้งที่ขุนทับพลาดท่าถูกทหารพม่าฟันจนเป็นแผล แต่ทุกครั้งเขาก็กัดฟันต่อสู้ใหม่
      ทางด้านพระยาสุรศักดิ์มนตรีนั้นใช้ง้าวต่อสู้กับแม่ทัพพม่าอยู่บนหลังช้าง โดยมีหลวงด้วงลูกชายเป็นควาญช้างให้ การรบเป็นไปยากลำบากด้วยแม่ทัพของพม่านั้นมีฝีมือดี เสียงง้าว เสียงช้างดังสลับกันไปมา
      “เจ้าคุณพ่อระวังตัวให้ดีนะขอรับ” หลวงด้วงเป็นห่วงด้วยฝีมือง้าวของแม่ทัพฝ่ายศัตรูเก่งกาจจนน่าหวั่นใจ
      เสียงปะทะยังคงดังต่อเนื่องจนในที่สุดแม่ทัพฝั่งพม่าก็ฟันง้าวลงมาบนบ่าของพระยาสุรศักดิ์มนตรี  แล้วดึงออกหมายจะแทงซ้ำอีกครั้ง แต่หลวงด้วงอาศัยจังหวะนั้นจับง้าวของพระยาสุรศักดิ์มนตรีขึ้นมาฟาดฟันแม่ทัพของพม่าอย่างบ้าคลั่งเพราะ เห็นบิดาของตนโดยฟันต่อหน้าต่อหน้า การกระทำของหลวงด้วงทำให้ควาญช้างฝ่ายพม่าต้องขี่ช้างออกห่าง แต่กว่าจะไล่แม่ทัพพม่าออกไปได้ขนาดนั้นพระยาสุรศักดิ์มนตรีก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว สิ้นใจบนหลังช้างไปก่อนเสียแล้ว เมื่อแม่ทัพของฝั่งไทยสิ้นลงทำให้กองทัพไทยต้องยกพลกลับเข้ากรุงศรีในทันที

      “ไปอย่างไรกันบ้างจ๊ะ ศึกครั้งนี้เราชนะใช่รึไม่จ๊ะพี่ทับ” เรืองถามเมื่อเห็นขุนทับเดินขึ้นเรือนเรือนมา โดยสมาชิกทุกคนในบ้านเรืองต่างมารอฟังข่าวที่บ้านขุนทับด้วยผู้ชายทุกคนในบ้านนี้ต่างออกศึกกันหมด เหลือเพียงจันที่อยู่เป็นเจ้าบ้านกับลูกเล็ก ๆ และบ่าวไพร่
      “กองทัพใหญ่ของพม่าตามมาเสริมทัน จำนวนพลของเรานั้นเทียบข้าศึกไม่ได้เลย นอกจากนี้เจ้าคุณพ่อพี่เสียแล้วนะ โดนแม่ทัพพม่าฟันด้วยง้าวสิ้นบนหลังช้าง พวกเราถึงจำต้องยกทัพกลับเข้ากรุงศรีมาก่อน”
      “ไม่น่าเลยท่านเจ้าคุณ” คุณย่าใหญ่กล่าวด้วยความตกใจ และโศกเศร้า “เสียขุนนางฝีมือดีไปอีกแล้ว แล้วทีนี้ใครจะช่วยปกป้องกรุงศรีของเราได้ ขุนหลวงอุทุมพรจะทำเช่นไรต่อรึขุนทับ”
      “กระผมไม่อาจรู้ได้จริง ๆ ขอรับคุณย่าใหญ่ พระทัยพระองค์มีผู้ใดเล่าจะรู้ได้ แต่กระผมว่าพระองค์ต้องหาทางช่วยกรุงศรีให้รอดพ้นภัยร้ายในครั้งนี้ได้แน่ขอรับ”
      หลังพระเจ้าอุทุมพรทราบเรื่องการเสียชีวิตของพระยาสุรศักดิ์มนตรี ก็ทรงขอพระราชอนุญาตเข้าเฝ้าพระเจ้าเอกทัศเป็นการส่วนพระองค์
                     “หม่อนฉันต้องการให้พระองค์ปล่อยนักโทษอาญาที่ต้องโทษกบฏเมื่อครั้งกรมหมื่นเทพพิพิธมารับหน้าที่ออกศึกครั้งต่อไป”
                    “ทำไมต้องใช้ไอกบฏพวกนั้นด้วยละพ่อดอกมะเดื่อ ขุนนางของเราก็มีออกตั้งมากมายไม่มีความจำเป็นที่ต้องปล่อยมันออกมาเลย”
                    “น้องมีความคิดว่าขุนนางกลุ่มนั้นมีความสามารถยากที่จะหาผู้ใดมาเทียบได้ในเวลานี้ และความสามารถนั้นก็จำเป็นกับเราในเวลานี้เช่นเดียวกัน”
                   พระเจ้าเอกทัศต้องจำใจยอมเห็นด้วยในที่สุด “ตอนนี้นั้นพี่ก็เปรียบเสมือนข้าของน้องคนหนึ่ง น้องว่าเช่นใดพี่ก็ไม่ขัดดอก”
พระเจ้าอุทุมพรจึงออกมารับสั่งให้ทหารเวรไปนำตัวขุนนางทุกคนที่ต้องโทษอยู่ออกมาจากคุก พร้อมให้มารับพระราชโองการให้การทำศึกครั้งต่อไป

                  “พี่ทับจ๊ะ เข้ามาข้างในเสียก่อนเถอะข้างนอกน้ำค้างแรงนัก ประเดี๋ยวจะไม่สบายไป”
                 “ใจพี่จะขาดแล้วคนดี ตอนที่เห็นไอม่านฟันลงบนบ่าเจ้าคุณพ่อต่อหน้าพี่ พี่เหมือนเลือดในกายมันไหลออกมาหมดสิ้น” ขุนทับไม่อาจเก็บน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้
                  “พี่ทับจ้าร้องออกมาให้หมด ฉันอยู่ตรงนี้จะค่อยปลอบใจพี่ทับเอง” เรืองสงสารขุนทับสุดใจ เห็นพ่อตนเองจากไปต่อหน้าแค่เรียกสติกลับมาก็ว่ายากแล้ว แต่นี้เวลาทำใจก็มีไม่มากด้วยข้าศึกประชิดเมือง ในอีกไม่กี่วันก็ต้องออกศึกใหม่อีก พี่ทับช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน เรืองปลอบขุนทับไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดขุนทับก็หลับไปทั้ง ๆ ที่น้ำตายังอาบนองอยู่บนหน้า

      “ตู้ม” เช้าวันหนึ่งขณะที่ทหารฝั่งกรุงศรีกำลังลาดตะเวรบนกำแพงเมืองอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นด้วยกษัตริย์ของพม่ามีรับสั่งให้ยิงปืนใหญ่ใส่ยอดปราสาทพระราชวังกรุงศรีอยุธยา
      “ครั้งนี้ยอดปราสาทวังที่หัก ครั้งหน้าต้องเป็นหัวของกษัตริย์อยุธยาเป็นแน่แท้ที่หลุดลงมาแนบตีนกู”
      “เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” เสียงโห้ร้องด้วยความดีใจของทหารพม่าดังไปทั่วทั้งบริเวณ
      ต่างจากทางด้านชาวกรุงศรีเหตุการณ์ดังกล่าวยิ่งสร้างความตื่นตระหนกตื่นใจเป็นอย่างมาก ชาวกรุงต่างวิ่งหนีกันอย่างอุตลุดบางวิ่งชนกัน บางวิ่งหนีลงคลอง และเหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้ขุนหลวงอุทุมพร และหลวงด้วงยิ่งโกรธแค้นเข้าไปใหญ่
      “พระอาญาไม่พ้นเกล้า หม่อนฉันขออนุญาตยิงปืนใหญ่ตอบโต้ได้รึไม่นะเกล้านะกระหม่อน” หลวงด้วงถามพระเจ้าอุทุมพร
      “ตามที่เจ้าเห็นสมควรเลยหลวงด้วง เราอนุญาต”
      เมื่อได้รับคำอนุญาตหลวงด้วงก็สั่งยิงปืนใหญ่ในทันทีโดยยิงไปทางที่พระเจ้าอลองพญาประทับอยู่ วิถีกระสุนนั้นตรงเข้าใส่ทหารพม่าทางด้านหน้ากษัตริย์พม่าออย่างจัง และโชคดีไปกว่านั้นที่สะเก็ดกระสุนถูกพระเจ้าอลองพญาจนบาดเจ็บสาหัส
      เมื่อเห็นอย่างนั้นมังระผู้ลูกที่ตามพระเจ้าอลองพญามาทำศึกก็มีรับสั่งขึ้นมาทันที “ทหารทุกคนจงฟัง ยกกำลังพลกลับรัตนปุระ*เดี๋ยวนี้” เพื่อนำพระเจ้าอลอพญากลับไปรักษาตัวที่กรุงอังวะเนื่องจากบาดแผลจากสะเก็ดกระสุนนั้นค่อนข้างสาหนัก แต่สายเกินการณ์เมื่อเดินทางถึงแค่ชายแดนกษัตริย์เมืองม่านผู้นี้ก็เสด็จสวรรคตลงก่อนถึงแผ่นดินเกิดของตน

*รัตนปุระ เป็นชื่อภาษาบาลีของกรุงอังวะ ในภาษาพม่าแปลว่า “ปากทะเลสาบ” เพราะอยู่ใกล้ทะเลสาบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-06-2017 16:09:57 โดย Tipin »

ออฟไลน์ lilowria

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ขอบคุณจ้า เราชอบนะ รู้สึกเอ็นดูเจ้าเรืองกับพี่ทับ พึ่งเห็น ก็เลยพึ่งเข้ามาอ่าน อ่านรวดเดียวเลย ขอบคุณมากจ้า มีเรื่องคำตกคำผิดบ้าง บางทีอ่านแล้วก็งงนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร สู้ๆ เดี๋ยวนี้หาแนวสมัยอดีตยาก ถ้ามีเรารู้สึกว่าชอบจบเศร้า ๆ รอจ้า

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ได้ความรู้ประวัติศาสตรด้วย แต่เสียใจกับพี่ทับ ที่เสียคุณพ่อ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
สงสารพี่ทับ เกิดเป็นทหารต้องอดทนจริงๆ

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
น่าสงสารขุนทับจังเลยต้องมาเสียพ่อ
แต่ยังดีที่พม่าถอยทัพกลับ เรืองปลอบใจขุนทับด้วยนะ

ออฟไลน์ Tipin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • https://twitter.com/Tipin_pin
ตอนที่ 14 สงบสุข
                หลังจากกองทัพทหารพม่าพ่ายแพ้กลับไปแล้วนั้น ม้าเร็วก็รีบนำข่าวเข้าไปกราบทูลแก่พระเจ้าอยู่หัวเอกทัศ และบอกข่าวกับชาวบ้านโดยทั่วกัน เสียงโห้ร้องด้วยความยินดีดังไปทั่วทุกหนทุกแห่ง พร้อมเสียงร้องแสดงความเคารพต่อพระเจ้าอุทุมพรที่พระองค์ทรงนำทัพออกไปด้วยตัวพระองค์เอง ส่วยในวังนั้นหลังทราบข่าวพระเจ้าเอกทัศทรงมีรับสั่งให้จมื่นไวยเวท กับหมื่นมิ่งเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัวในทันที
                “ตอนนี้ข้าศึกก็ยกทัพกลับกันหมดแล้ว กูจะทำอย่างไรต่อไปนี้ในเมื่อกูเชิญน้องกูมารับตำแหน่งเป็นกษัตริย์เช่นด้วยกันกูแล้วในขณะนี้”
               “เรื่องนี้ไม่ยากพระพุทธเจ้าค่ะ พระองค์เคยใช้วิธีอะไรก็ทรงใช้วิธีเดิมสินะเกล้านะกระหม่อน ขุนหลวงอุทุมพรท่านต้องรู้ความในเป็นอย่างดี จริงไหมหมื่นมิ่ง”
              “จริงขอรับท่านจมื่น แต่ในครั้งนี้เชิญขุนนางน้อยใหญ่มานั่งเป็นสักขีพยานด้วยจะเป็นการดีเข้าไปอีก ด้วยขุนหลวงอุทุมพรนั้นจะได้รับสั่งต่อหน้าพวกขุนนางให้รู้กันโดยทั่วจะได้ไม่มีปัญหาตามมาทีหลัง” หมื่นมิ่งออกความเห็นเสริม
              “กูชอบความคิดของพวกมึง ไป ๆ ไปเชิญขุนนางต่าง ๆ มาเข้าเฝ้ากูในท้องพระโรง และบอกพ่อดอกมะเดื่อน้องกูด้วยว่ากูรอฟังรายงานศึกที่ท้องพระโรง”
               เมื่อพระเจ้าอุทุมพรเสด็จเข้าพบพระเจ้าเอกทัศที่ท้องพระโรงก็ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าเอกทัศประทับอยู่บนพระที่นั่ง สองมือถือพระแสงขรรค์ชัยศรี ซึ่งเป็นการแสดงออกมาว่าตนนั้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา
              “แค่หม่อนฉันเข้ามารายงานการศึก ไม่ถึงกับต้องแสดงพระเดชขนาดนี้ก็ได้นะเกล้านะกระหม่อม การศึกครั้งนี้กษัตริย์ของพม่าบาดเจ็บสาหัส ถ้าไม่สวรรคตที่เขตกรุงศรีของเราก็คงกลับไปสวรรคตที่เขตอาณาจักรมันเป็นแน่แท้ เป็นเหตุให้กรุงศรีของเราน่าจะสงบร่มเย็น ปราศจากข้าศึกไปอีกหลายเพลา ด้วยเหตุนี้น้องจึงคิดว่าเป็นเวลาอันสมควรที่หม่อนฉันจะออกผนวชอีกครั้งนะเกล้านะกระหม่อน” พระเจ้าอุทุมพรเห็นท่าทีของพระเชษฐาก็เข้าใจเจตนาโดยแจ่มแจ้ง ด้วยเสียกำลังพลให้ศัตรูไม่มาก พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้มาเสียกำลังพลให้กันเองอีก ถึงใช้วิธีออกผนวชเช่นเดียวกับครั้งแรก
              “การอยู่ในร่มกาสาวพักตร์ถือเป็นกุศลสูงสุด ถ้าน้องอยากออกผนวชพี่ก็คงไม่กล้าห้าม” พระเจ้าเอกทัศตอบรับด้วยรอยยิ้มพึงพอพระทัย
              เมื่อได้ฟังดังนั้นพระเจ้าอุทุมพรก็กราบบังคมทูลลาพร้อมเสร็จออกจากตำหนัก และทรงออกผนวชที่วัดประดู่ทรงธรรมที่เดิมที่พระองค์เคยผนวชเมื่อครั้งก่อน แต่การออกผนวชครั้งนี้นั้นสร้างความไม่พอใจกับหลายฝ่ายมากขึ้น ทั้งชาวบ้านและขุนนางต่างเห็นพระปรีชาสามารถและพระราชกรณียากิจที่พระองค์พึ่งทรงสร้าง แต่ด้วยเป็นชาวบ้านและขุนนางยศน้อยจึงไม่อาจทำอะไรได้มาก ได้แต่เก็บความไม่พอใจไว้ในใจ ส่วนขุนนางที่ทำคุณในการศึกครั้งนี้ที่แต่ก่อนเคยเป็นกบฏแผ่นดินก็ได้รับการอภัยโทษหลังเสร็จศึก แต่ด้วยไม่แน่ใจว่าวันข้างหน้าจะไม่ได้รับโทษอีกเช่นอดีตอีกจึงตัดสินใจลาออกจากราชการกันทุกคน

               “พี่ทับจ๊ะ ทราบข่าวพระเจ้าอุทุมพรรึยังจ๊ะ”
               “พี่ทราบตั้งแต่เช้าแล้วเรือง พี่กับพี่ด้วงยังไปตักบาตรกับพระองค์เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้เจ้าคุณพ่ออยู่เลยเมื่อเช้า”
               “อะไรกันจ๊ะ แล้วทำไมพี่ทับไม่มาตามฉันละ ตัวฉันเองก็อยากทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้พระยาสุรศักดิ์มนตรีเช่นกัน ถึงแม้ว่าฉันจะเชื่อว่าพระยาท่านต้องได้ไปภพภูมิที่ดีแน่ เนื่องจากท่านตายเพื่อปกป้องแผ่นดิน”
               “แต่เจ้าก็ยังอยากทำบุญกับพี่เนื่องด้วยเชื่อว่าทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน หน้าชาติเจ้ากับพี่จะได้เกิดมารักกันอีกใช่รึไม่” ขุนทับมองเรืองตาหวาน
              “ไม่ใช่เสียหน่อย คนอะไรยิ่งรู้จักยิ่งหลงตัวเอง แล้วอีกอย่างเราคุยกันเรื่องพระเจ้าอุทุมพรกันอยู่นะจ๊ะพี่ทัพอย่าเปลี่ยนเรื่องสิ พี่ทับทราบข่าวได้อย่างไรว่าพระองค์ทรงออกผนวช”
              “เพราะเจ้าไม่ได้เข้าวังในวันนั้นดอกถึงไม่รู้ พระเจ้าเอกทัศทรงแสดงพระราชอำนาจต่อหน้าพระเจ้าอุทุมพรกับขุนนางน้อยใหญ่ว่าพระองค์นั้นทรงเป็นพระมหากษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว”
              “น่าโมโหเสียจริงนะจ๊ะ พระเจ้าอุทุมพรอุตส่าห์สึกออกมาช่วงปกป้องบ้านเมือง บุญคุณรึก็มากมี อะไรกันพอพวกไอม่านยกทับกลับไปไม่ทันไรก็แสดงพระราชอำนาจบีบให้พระองค์กลับไปออกผนวชอีกคราว อย่างนี้ถ้ามีศึกอีกครั้งเกรงว่าพระองค์จะไม่สึกออกมาช่วยแล้วก็เป็นได้ ที่นี้แหละบ้านเมืองได้วอดวายเป็นแน่”
              “พี่ก็กังวลเรื่องนี้เช่นกัน เห็นพระองค์พระทัยดีอย่างนั้น แต่เวลาตัดสินใจอะไรไปแล้วไม่เคยเปลี่ยนพระทัยเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ถึงอย่างนั้นกษัตริย์ไอม่านมันมาตายแบบนี้เห็นทีว่าพวกมันคงไม่ยกทัพมาตีกรุงศรีของเราไปอีกนาน ถ้านานเกิน 150 ปี แบบเมื่อครั้งพระองค์ดำก็ยิ่งดี”
      “บ้านเมืองของเราจะได้สงบร่มเย็นไปอีกนานแสนนาน” เรืองยิ้มอย่างดีใจ สงครามที่ผ่านมาฆ่าชีวิตผู้คนไปมากเหลือเกิน ต่อไปจะไม่มีอีกแล้วเหตุการณ์แบบนี้
      
      “บ้านเมืองก็สงบสุขมา 2 ปีแล้วนะขุนทับ หลานไม่คิดที่จะออกเรือนบ้างรึ” คุณย่าใหญ่ถามขึ้นมาวันหนึ่งหลังที่เชิญครอบครัวหลวงด้วงมาทานอาหารที่บ้าน “อายุก็ 32 ปีแล้ว ย่าว่าเป็นเวลาที่สมควรต่อการออกเรือนได้แล้ว กับพ่อเดือนนี้ย่าถามจนขี้เกียจถามแล้ว แต่ขุนทับเล่ามีนางในใจรึยัง ย่าจะได้เป็นผู้ใหญ่ไปสู่ขอให้แทนท่านเจ้าคุณที่สิ้น”
      “กระผมยังไม่มีนางใจดวงใจเลยขอรับคุณย่าใหญ่ แล้วอีกอย่างถึงกรุงศรีของเราจะเว้นว่างจากการศึกมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ขุนนางทุกฝ่ายก็กำลังซ่อมแซมสิ่งต่าง ๆ ที่เสียไปเมื่อครั้งสงคราม กระผมว่ารอเวลาอีกปีสองปีก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องแต่งงานน่าจะดีกว่า” ขุนทับรีบหาเหตุผลมาอ้างเพื่อให้ตนรอดจากเรื่องนี้
      “ท่านเจ้าคุณท่านมีลูกแค่สองคน หลวงด้วงนั้นก็สบายแต่งงานมีลูกแล้ว เหลือก็แต่ขุนทับถ้าพ่อแต่งงานย่าว่าท่านเจ้าคุณที่สิ้นคงหมดห่วง” คุณย่าใหญ่เองก็พยายามหาเหตุผลมาพูดหักล้างเหตุผลของขุนทับเช่นกัน
      “แต่ฉันเข้าใจขุนทัพนะจ๊ะคุณย่า ลูกผู้ชายอย่างไรเสียก็เห็นงานสำคัญ ยิ่งยังไม่เจอผู้หญิงที่ถูกใจด้วยแล้วยิ่งเห็นงานสำคัญมากเข้าไปใหญ่ แต่อย่าได้กังวลไปไม่ว่าจะฉันหรือขุนทับถ้าเจอผู้หญิงที่ถูกใจจะรีบวิ่งมาหาคุณย่าให้ไปสู่ขอโดยเร็ววันเลย จริงรึไม่ขุนทับ”
      “จริงสิ” ถึงจะแปลกใจที่เดือนช่วยพูดให้แทนที่จะสนับสนุนเพราะ ถ้าตนออกเรือนไปจริง ๆ เดือนคงรู้สึกว่าได้น้องชายกลับคืนไป
      “จริง ๆ พี่ทับมีคนที่รักอยู่แล้วนะจ๊ะคุณย่า แต่เสียไปเมื่อครั้งสงครามกับไอพวกม่าน” อยู่ดี ๆ เรืองก็พูดออกมา
      “ตายจริง! เสียทั้งพ่อทั้งคนรักไปในเวลาเดียวกันอย่างนี้คงเสียใจแย่เลยสินะพ่อคุณของย่า อย่างนั้นเรื่องแต่งงานนี้ก็ปล่อยมันไปก่อนแล้วกัน แล้วไม่บอกย่าแต่ตั้งแต่แรกย่าจะได้ไม่ถามให้กระทบกระเทือนจิตใจ”
      “เพราะอย่างนี้ฉันจึงให้พี่ทับมานอนกับฉันบ่อย ๆ อย่างไรละจ๊ะ ฉันไม่อยากให้พี่ทับอยู่คนเดียว” เมื่อได้โอกาสเรืองรีบกล่าวต่อ
      “ย่าเห็นดีด้วย ขุนทับมานอนกับน้องได้ทุกเมื่อเลยนะ”
      “เออ คือว่า โอ้ย” ขุนทับจะแย้งว่าตนยังไม่มีคนรักเพราะ ไม่อยากให้เรืองต้องโกหกคุณย่าด้วยเรื่องของตน แต่โดนเดือนหยิกเสียก่อนจะได้กล่าวอะไรออกมา
      “โดนมดกัดรึพ่อทับ ไปอาบน้ำแล้วทายานอนเสีย นี่ก็คุยกันมานานแล้ว ประเดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปราชการสาย แล้วคืนนี้ก็นอนที่นี่แล้วกันให้เรืองอยู่เป็นเพื่อน” เดือนแก้ตัวโดยทันที แถมยังรีบไล่ให้ไปเรือนริมน้ำอีกด้วย
      “นั้นสิจ๊ะ เราไปเรือนริมน้ำกันเถอะ” เรืองเองก็รู้ว่าขุนทับจะพูดอะไร เมื่อเห็นเดือนช่วยเลี่ยงให้ก็รีบพาขุนทับไปเรือนริมน้ำในทันที

      เมื่อมาถึงเรือนริมน้ำขุนทับก็เอ่ยปากถามเรือนถึงเรื่องคนรักของตน “อะไรกันเรือง พี่ไปมีคนรักตั้งแต่เมื่อไรกันทำไมตัวพี่เองถึงยังไม่รู้”
      “ก็ฉันอย่างไรละจ๊ะคนรักพี่ทับรึพี่ทับจะว่าไม่จริง” เรืองเล่นลิ้นไม่ยอมบอก
      “อย่ามาเล่นลิ้นกับพี่นะพ่อตัวดี มีรึเจ้าจะไม่รู้ว่าพี่ถามถึงใคร พี่หมายถึงคนรักที่ตายไปตอนสงครามดอก” ขุนทับหมั่นเขี้ยวน้องไม่น้อย แต่อยากรู้คำตอบมากว่าจึงกะว่าจะจัดการหลังรู้ความ “โกหกผู้ใหญ่บาปกรรมหนักนะพ่อ พี่ไม่อยากเป็นคนที่ทำให้เจ้ามีบาปนั้น”
      “จะบาปได้อย่างไรฉันไม่ได้พูดอะไรผิดความจริงไปเลย ฉันไม่ได้พูดด้วยว่าพี่ทับมีคนรัก ฉันพูดว่าคนที่พี่ทัพรักเสียเมื่อตอนสงคราม ก็พระยาสุรศักดิ์มนตรีอย่างไรเล่าคนที่พี่ทัพรักที่เสียตอนสงคราม ทุกคนไปเปลี่ยนคำพูดฉันใหม่หมด ฉันไม่ผิดเสียหน่อย รึพี่ทับจะโกรธที่ฉันอ้างท่านเจ้าคุณที่สิ้นมาพูดทำนองนี้” เรืองแก้ตัวให้ตนเอง
      “พี่จะโกรธเจ้าได้อย่างไร เจ้าทำทั้งหมดก็เพื่อพี่ อีกอย่างเจ้าคุณพ่อท่านก็สิ้นมาได้ 2 ปีแล้ว พี่พอจะทำใจได้แล้ว อย่างน้อยท่านก็ตายเพื่อแผ่นดินพี่ควรจะภูมิใจเสียด้วยซ้ำไป แต่เจ้านี่นะเล่นลิ้นเสียจริง พี่มองผิดไปไม่น่าให้เจ้ามาเป็นทหารแบบพี่เลย เจ้าน่าจะไปเป็นทนายว่าความน่าจะดีเสียกว่า”
      “ไม่เอาดอก ถ้าฉันไปเป็นขุนนางด้านทนายว่าความจริงคงนาน ๆ ทีฉันถึงจะได้พบพี่ทับเป็นแน่”
      “จริงสิ เมื่อคุณย่าพูดเมื่อครู่นี้ อันที่จริงพี่ก็อยากแต่งงานเหมือนกันนะ เรืองเจ้าจะแต่งงานกับพี่ได้รึไม่ ถึงพี่จะพาผู้ใหญ่มาสู่ขอไม่ได้ หรือจัดงานแต่งให้คนทั่วไปรู้ไม่ได้ว่าเรารักกัน แต่พี่ก็ยังอยากขอเจ้าแต่งงาน ขอทำพิธีบางส่วนที่เรายังพอทำด้วยกันได้ เจ้าจะแต่งกันพี่ได้รึไม่คนดีคนเดียวของพี่” หลังจากไตร่ตรองมาหลายครั้งขุนทับก็คิดว่าตนสมควรกล่าวคำนี้กับเรือง ยิ่งคุณย่าใหญ่พูดว่าอายุตนเองสมควรจะแต่งงานแล้วจึงถือโอกาสนี้ขอเรืองแต่งงานเสียเลย
      “พี่ทับ” เรืองถึงกับน้ำตาไหลเนื่องจากไม่คิดมาชีวิตนี้ตนนั้นจะมีโอกาสได้ยินคำนี้จากผู้ชายตรงนี้ ความรักแบบนี้มันผิดจารีต ประเพณี จะเอาไปบอกใครก็ทำไม่ได้แม้แต่คนในครอบครัว “แค่พี่ทับพูดประโยคนี้ฉันก็ดีใจมากพอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นดอกจ้ะ แค่นี้ก็พอแล้วจริง ๆ”
      “จะพอได้อย่างไร วันพรุ่งนี้พี่จะไปวัดขอฤกษ์แต่งงาน เมื่อถึงวันแต่งตอนเช้าเราจะตื่นมาตักบาตรร่วมกัน แล้วก็....” ขุนทับมองเรืองตาหวานเชื่อม
      “แล้วก็อะไรจ๊ะ ทำไมมองฉันอย่างนั้นเล่า บอกฉันมาเดี๋ยวนี้เลยนะแล้วก็อะไร”
      “แล้วก็เข้าหออย่างไรเล่า” ขุนทับตอบ
      “คนบ้า พี่ทับคนบ้า พูดอะไรก็ไม่รู้” เรืองเขินหน้าแดงไปถึงหู
      “แล้วเจ้าตกลงจะแต่งงานกับพี่รึไม่ละ” ขุนทับถามซ้ำเพราะ อยากได้คำตอบ
      เรืองพยักหน้ารับ แล้วก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสบตาด้วยยังเขินอยู่
      “พยักหน้าคืออะไร พี่ไม่เข้าใจดอก อีกอย่างพี่อ่านใจเจ้าไม่ได้ ดังนั้นเจ้าต้องพูดออกมา ว่าอย่างไรจะแต่งงานกับพี่ได้รึไม่คนดี ไหนมองหน้าพี่แล้วตอบให้พี่ชื่นใจหน่อย” พร้อมใช้มือเชยคางเรืองขึ้นมา
      “ตะ ตะ ตกลงจ้ะ ฉันจะแต่งงานกับพี่ทับ” กล่าวจบเรืองก็กระโดดขึ้นเตียงแล้วห่มผ้าปิดหน้าแดงขอตนทันที “ฉันจะนอนแล้วนะ พี่ทับดับไฟได้แล้ว”
      “รับทราบขอรับคุณหนูน้อย” ขุนทับเดินไปดับไฟก่อนขึ้นนอนบนเตียง พร้อมกอดเรืองให้เข้ามาอยู่ใกล้ตน ทั้งสองฟังเสียงหายใจของฉันและกันจนหลับไป

ตอนหน้าเขาจะแต่งงานกันแล้วจ้าาาาาาาาาาาาาาาาา  :hao7: :-[
เพจเราเอง https://www.facebook.com/tipin1994/

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
รออออวันแต่งงาน :mew1:

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
มาเจิมไว้ก่อนนะ

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
หูยยยยย อิจฉาตาร้อนเลยเรา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Tipin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • https://twitter.com/Tipin_pin
ตอนที่ 15 แต่งงาน
      รุ่งขึ้นขุนทับตื่นแต่เช้าด้วยวันนี้ไม่ต้องเข้าวังไปราชการถึงเดินทางไปวัดสุวรรณเพื่อให้พระอาจารย์ช่วยดูฤกษ์งามยามดีเฉพาะสำหรับแต่งงานให้ตนกับเรือง
      “นมัสการขอรับพระคุณเจ้า กระผมมีธุระอยากให้พระคุณเจ้าช่วยดูฤกษ์แต่งงานให้กระผมหน่อย”
      “พ่อทับเอ็งจะแต่งงานแล้วรึ แต่งกับใครเล่าเอาคนรักเอ็งมาให้อาตมารู้จักบ้างสิ ถ้าพ่อเจ้ายังอยู่คงดีใจที่ลูกชายคนเล็กจะมีคนดูแลแล้ว” พระคุณเจ้าดีใจเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากตนนั้นเป็นอาจารย์สอนสั่งหนังสือหนังหาให้ขุนทับมาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก จึงเห็นขุนทับเป็นเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง
      “เออคือ” ขุนทับไม่กล้าโกหกพระสงฆ์ แต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่าตนจะแต่งงานกับใคร ส่วนที่ตนเลือกมาดูฤกษ์กับพระอาจารย์ที่นี้เพราะ อย่างน้อยก็อยากให้คนที่ตนเองเคารพรักสักคนรู้ว่าตนกำลังจะแต่งงานกำลังจะมีความสุข
      “ไม่บอกก็ไม่ต้องบอกไม่เป็นไร มา ๆ เอาวันเกิดของพวกเจ้าทั้งสองมาให้อาตมาดูเถอะ” พระคุณเจ้าไม่คิดจะซักไซ้กับขุนทับมากนัก เนื่องจากเคยดูดวงให้ขุนทับมาตั้งแต่ครั้งยังเด็กว่าดวงความรักของขุนทับนั้นแปลกประหลาดจากคนทั่วไปเป็นรักที่ไม่อาจเปิดเผยให้ใครรับรู้ได้ แต่ไม่ได้ผิดศีลธรรมพื้นฐานคือแอบเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน “เออ ดวงเอ็งกับคู่เอ็งนี่ดีนะเป็นดวงที่เกื้อหนุนกัน ช่วยกันให้เจริญ ๆ ยิ่งขึ้นไป มาตั้งแต่ครั้งยังเล็กยังน้อยไม่เคยห่างกันเลยนิ แต่น่าเสียดายดวงแบบนี้มันมีข้อเสียที่น่ากลัวเชียวละคือเมื่อมีเหตุร้ายใหญ่โตอย่าได้ห่างกันโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคนใดคนหนึ่งจะต้องเลือดตกยางออก อย่างน้อยอาจแค่เจ็บตัว แต่ถ้าช่วงนั้นเป็นช่วงดวงตกละถึงตายได้ ที่อาตมาเตือนก็เพราะรักเพราะห่วงดอกนะพ่อ อาตมารักพ่อเหมือนลูกแท้ ๆ ของอาตมาเลย”
      “มีวิธีแก้รึไม่ขอรับพระคุณเจ้า” ขุนทับถามด้วยความเป็นกังวลอย่างมากยิ่งนึกไปถึงเมื่อครั้งที่ทั้งคู่ออกศึกครั้งที่แล้วเมื่อตนกับเรืองพลัดหลงจากกันเรืองก็ได้แผลกลับมา ส่วนครั้งต่อมาตนก็ได้แผลถึงจะไม่ได้บาดเจ็บมากเท่าเรืองก็เถอะ
      “เจ้าทับเอ๋ย อาตมาเคยสอนว่าอย่างไร ชะตาฟ้ารู้ไว้ให้ระวังตัวไม่ใช่ให้เครียดจนหวาดระแวง เมื่อรู้ดวงของตนแล้วเจ้ากับคู่ก็ต้องระวังตัวกันมากขึ้น เข้าใจอาตมารึไม่ ส่วนฤกษ์แต่งอีก 8 วันข้างหน้าเป็นฤกษ์ที่ดีที่สุด ถ้าเจ้าเตรียมงานทัน”
      “เข้าใจขอรับพระคุณเจ้า ส่วนเรื่องเตรียมงานนั้นไม่มีปัญหากระผมคุยกันว่าจะแต่งกันแบบเล็ก ๆ แต่กระผมขออย่างหนึ่งนะขอรับพระคุณเจ้าอย่าไปบอกคนอื่นได้รึไม่ว่าขอรับกระผมจะแต่งงาน”
      “อาตมาไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกอยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลไป”
      “อย่างนั้นกระผมขอลาไปบอกคนรักก่อนนะขอรับ จะได้ช่วยกันเตรียมงานได้ทัน”
      “เรืองพี่ไปคุยกับพระคุณเจ้าวัดสุวรรณให้ช่วยดูฤกษ์แต่งงานเราแล้วนะ” ขุนทับบอกเรืองทันทีเมื่อพบหน้า
      “แล้วพระคุณเจ้าท่านว่าอย่างไรบ้าง ท่านสงสัยรึไม่ว่าพี่จะแต่งงานกับใคร แล้ว....”
      “หยุดก่อนคนดี ฟังพี่นะพระคุณเจ้าท่านก็ถามด้วยพี่เคยเป็นศิษย์ แต่เมื่อพี่ไม่สามารถตอบได้ท่านก็ไม่ได้ว่าแต่อย่างใด ฤกษ์แต่งของเราคืออีก 8 วันข้างหน้า พระคุณเจ้ายังบอกอีกว่าดวงของเราทั้งสองเกื้อหนุนกันเป็นอย่างดี แต่ไม่ควรแยกจากกันเพราะ คนใดคนหนึ่งอาจบาดเจ็บได้” ขุนทับไม่กล้าบอกว่าอาจถึงตายเพราะ คิดว่าคงไม่มีอะไรทำให้ทั้งคู่ต้องห่างกันอีกแล้ว ด้วยสงครามก็จบสิ้นไปได้ 2 ปีแล้ว
      “อีกแค่ 8 วันเองรึจ๊ะ ไวเสียจริง แล้วฉันต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างจ๊ะ” เรืองนั้นตื่นเต้นเป็นอย่างมากถึงจะบอกใครไม่ได้รู้กันแค่สองคน แต่ก็ยังดีใจที่อย่างน้อยก็จะได้แต่งงานกับคนที่ตนเองรัก
      “พี่คิดว่าเราคงทำได้แต่ตักบาตรตอนเช้าเพราะ พิธีกรรมอื่น ๆ คงไม่สามารถทำได้ เจ้าพอใจรึไม่” ขุนทับถามเพราะ ถ้าเรืองต้องการมากกว่านี้ตนก็จะพยายามหาวิธีทำให้จนได้
      “พอแล้วจ้ะ สำหรับฉันแค่พี่ทับขอฉันแต่งงานฉันก็พอใจแล้ว” แค่นี้ก็มากกว่าที่หวังไว้แล้วสำหรับเรือง
      “มีอีกเรื่องตามความเชื่อแล้วคนจะแต่งงานห้ามเจอหน้ากัน 7 หรือ 3 วัน แต่เราทั้งสองคงทำไม่ได้เพราะ ถึงไม่เจอกันที่บ้านก็ยังต้องเจอกันในวังอยู่ดี พี่ไม่ถือเรื่องนี้ เจ้าถือหรือไม่”
      “ไม่จ้ะฉันไม่ถือ อีกอย่างถ้าไม่เจอกันแค่ 2 วันคนอื่นก็คงสงสัยว่าเราทะเลาะกันเป็นแน่ ดังนั้นอย่าทำเลยจะดีกว่า” ทั้งสองเลยได้ข้อสรุปว่าเจอกันทุกวันเหมือนเดิมดีแล้ว

      ก่อนถึงวันแต่งหนึ่งวัน เรืองก็บอกกับคุณย่าว่าตนกับขุนทับจะตักบาตรด้วยในเช้าวันพรุ่งนี้ ใจจริงทั้งสองอยากตักบาตรกันแค่สองคนตามธรรมเนียมประเพณี แต่ก็กลัวเป็นที่สงสัยเนื่องผู้ชายสองคนตักบาตรรวมขันเดียวกัน พระสงฆ์องค์เจ้าท่านคงไม่พูดว่าอะไร แต่คนอื่นที่เห็นคงนินทาเป็นแน่
      “ฉันว่าพรุ่งนี้ถ้าเจ้าเรืองกับขุนทับอยากตักบาตร คุณย่าไม่ต้องไปก็ได้นะจ๊ะ ฉันได้ยินเสียงคุณย่าไอมาหลายวันแล้ว อย่าคิดว่าจะปิดฉันได้เชียว” เดือนพูดขึ้นหลังคุณย่าอนุญาตให้เรืองกับขุนทับไปตักบาตรด้วย
      “คุณแม่ไม่สบายรึจ๊ะ แล้วทำไมไม่บอกลูก พรุ่งนี้ให้บ่าวไพร่ในเรือนทำอาหาร แล้วให้เจ้าเรืองกับขุนทับไปตักบาตร ส่วนคุณแม่นอนหลับพักผ่อนให้มาก ๆ ถือว่าลูกขอนะขอรับลูกเป็นห่วง ส่วนพวกเอ็งถือว่าข้าสั่งอย่าให้แม่ข้าลุกมาทำอะไรเด็ดขาด” นายช่างชิดห้ามปรามด้วยรู้ดีว่าเมื่อป่วยคุณแม่ของตนนั้นจะหายจากโรคยากเพียงใด
      “พูดกันอย่างนี้จะให้แม่ ให้ย่าแก่ ๆ คนนี้ตอบว่าอย่างไร นอกจากได้” คุณย่าใหญ่นั้นไม่อยากดื้อมากด้วยรู้ว่าที่ลูกหลานทำไปทั้งหมดก็เพราะ เป็นห่วง
      เรืองเก็บว่าความดีใจไว้แทบไม่มิด นอกจากจะได้ตักบาตรกับพี่ทับแค่สองคนแล้ว คนอื่นก็ไม่สงสัยด้วย เห็นทีตอนไปราชการขากลับต้องหาซื้ออะไรมาฝากพี่เดือนสักหน่อยแล้ว ถึงจะไม่รู้เรื่องก็ถือว่าช่วยได้มากจริง ๆ
      “หลังทานอาหารเสร็จมาหาพี่ก่อนนะ พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” เดือนหันมากระซิบบอกเรืองระหว่างทานอาหาร
      “มีอะไรรึจ๊ะ วันนี้พี่ทับมานอนที่เรือนริมน้ำ เห็นว่ามีราชการจะปรึกษา”
      “ประเดี๋ยวดอกน่า พี่ไม่ทำให้พี่ทับของเจ้ารอนานดอก น่าอิจฉาเสียจริงพี่พลาดไปตอนไหนนะ เจ้าถึงติดคนอื่นมากกว่าพี่ชายแท้ ๆ คนนี้”
      “โธ่! อย่างอนสิจ๊ะพี่ชายคนดีของน้อง น้องรักพี่เดือนยิ่งกว่าใคร” ไม่พูดเปล่าเรืองกอดแขนพี่เดือน พร้อมเอาหัวพิงกับแขนด้วย
      “กระซิบกระซาบกันตอนกินอาหารไม่พอ ยังมากอดกันไม่อายบ่าวไพร่มันอีก โตเป็นหนุ่ม ๆ กันแล้วไม่ใช่เด็ก ๆ นะ เจ้าเดือน เจ้าเรือง แล้วนี่ถ้าจะกระซิบกันดังขนาดนี้ไปพูดกันในห้องเถอะ” คุณย่าใหญ่พูด
      “อย่างนั้นเรืองตามพี่เข้าห้อง” กล่าวแล้วเดือนก็จูงมือน้องชายเข้าห้องของตน
      “มีอะไรรึจ๊ะ พูดตอนทานอาหารก็ไม่ได้ แถมยังต้องปิดห้องอย่างกับกลัวใครจะมาได้ยินเสียอย่างนั้น”
      “เรื่องสำคัญวันพรุ่งตอนเจ้าใส่บาตรกับไอขุนทับมัน มือของเจ้าต้องอยู่ตรงยอดทัพพีเข้าใจพี่รึไม่”
      “ไม่เข้าใจจ้ะ ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วย ฉันคิดว่าฉันจับแค่ปลายเสื้อพี่ทับก็น่าจะพอแล้ว” เรืองสงสัย
      “ไอขุนทับไม่ยอมให้เจ้าจับแค่ปลายเสื้อเป็นแน่ มันต้องให้เจ้าจับทัพพีเดียวกับมันหรือไม่ก็สลับกันตักคนละทัพพี ดังนั้นถ้ามันให้จับทัพพีเดียวกันเจ้าต้องวางมือของเจ้าอยู่เหนือมือของมันเข้าใจรึไม่”
      “เข้าใจจ้ะ” ถึงจะไม่เข้าใจ แต่เรืองก็รับปากไปก่อนแล้วค่อยไปถามพี่ทับเอาก็ได้ว่าทำไม เพราะดูจากท่าทีแล้วพี่เดือนไม่มีทางบอกตนแน่
      
      “ทำไมมาช้าจังเลยเล่าวันนี้” เมื่อเรืองมาถึงเรือนริมน้ำขุนทับก็ถามขึ้น
      “พี่เดือนเรียกเข้าไปคุยจ้ะ วันพรุ่งคุณย่าไม่ไปตักบาตรกับเราสองคนนะจ๊ะ พี่เดือนเห็นว่าคุณย่าท่านไม่สบายเลยให้เราไปตักบาตรกันแค่สองคน”
      “อย่างนั้นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่เลยสิ เหมือนกับเราทำได้ทำพิธีแต่งงานแบบถูกต้องควรถ้วนแถมยังไม่มีคนสงสัยอีกด้วย”
      “เออพี่ทับจ๊ะ ทำไมตอนตักบาตรมือของฉันต้องอยู่บนยอดทัพพีด้วยละจ๊ะ ฉันสงสัย”
      “ใครบอกเจ้าเรื่องนี้มา” ขุนทับทั้งแปลกใจและตกใจเพราะ ไม่คิดว่าเรืองจะไปหาเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อแบบนี้ ดังนั้นต้องมีคนมาบอกเรืองเป็นแน่
      “ทำไมรึจ๊ะ มันมีปัญหาอะไรทำไมพี่ทับต้องตกใจขนานนี้ด้วย คือที่ฉันมาช้าก็เพราะ พี่เดือนเรียกฉันไปคุยเรื่องนี้ละจ้ะ บอกว่าวันพรุ่งนี้ให้ตักบาตรแบบนี้หรือไม่ก็สลับตักกันคนละทัพพี”
      “คือมันเป็นความเชื่อมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วว่าเมื่อแต่งงานมือของใครที่อยู่ยอดทัพพีคนนั้นจะเป็นผู้ปกครองบ้านหรือเป็นผู้นำ ส่วนมากไม่ค่อยมีผู้หญิงคนไหนได้รับอนุญาตให้ทำแบบนี้ดอก นอกจากเป็นครอบครัวใหญ่มีบ่าวไพร่เยอะแล้วต้องการให้ผู้หญิงคุมบ่าวไพร่ในบ้านได้ แต่ความเชื่อนี้มันเป็นความเชื่อวันแต่งงานทำไมเดือนถึงพูดกับเจ้าอย่างนั้นเล่า” ขุนทับเป็นกังวลเพราะช่วงหลัง ๆ มานี้เดือนชอบทำตัวหรือพูดจาแปลก ๆ
      “หรือว่าพี่เดือนจะรู้เรื่องของเรา ทำอย่างไรดีละจ๊ะที่นี้” เรืองเป็นกังวลตามไปด้วย
      “อย่าพึ่งคิดมากถ้าเดือนยังไม่พูดอะไรออกมาตรง ๆ น่าจะไม่มีปัญหาอะไรเพราะ เดือนเองก็คงไม่เอาเรื่องนี้ไม่บอกคนอื่นเป็นแน่” ขุนทับปลอบน้องให้คลายกังวล แล้วคิดว่าตนคงต้องหาเวลาไปคุยกับเดือนแบบจริงจังสักครั้งถึงเรื่องนี้เพราะตนเองก็คิดเหมือนเรืองว่าเดือนต้องรู้ความสัมพันธ์กับตนกับเรืองไม่มากก็น้อยเป็นแน่ “ตอนนี้นอนก่อนดีกว่าพรุ่งนี้เราต้องตื่นไปตักบาตรกันแต่เช้า”

      เรืองตื่นตั้งแต่ยามสาม*ด้วยความตื่นเต้นทำให้นอนหลับไม่สนิท อีกไม่นานตนกับขุนทับก็จะแต่งงานกันแล้ว ต่อไปตนควรทำตัวอย่างไรให้สมกับการเป็นคู่แต่งงานดี เรื่องการดูแลบ้านเรือนกับตุงหาอาหารเกรงว่าคงทำไม่ได้เพราะ ตนไม่เคยทำมาก่อน แล้วที่นี่ตนควรทำอะไรดีให้ขุนทับมีความสุขและรู้สึกว่าตัดสินใจถูกแล้วที่แต่งงานกับตน
      “ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับรึเรือง” ขุนทับถามขึ้น
      “ฉันทำให้พี่ทับตื่นรึจ๊ะ ขอโทษด้วยฉันตื่นเต้นจนนอนไม่หลับจริง ๆ” เรืองตอบเขิน ๆ
      “เปล่าดอกพี่ก็นอนไม่หลับเหมือนกัน อีกไม่นานเราทั้งสองก็จะเหมือนคน ๆ เดียวกันแล้วนะ”
      “หลังแต่งงานฉันควรทำตัวอย่างไรให้สมกับการเป็นคู่ชีวิตพี่ทับดีจ๊ะ ฉันทำอาหารไม่เป็นด้วย การบ้านการเรือนฉันก็ไม่เคยทำ”
      “โธ่! คิดว่ากังวลเรื่องอะไร เรื่องแค่นี้เองพี่ไม่ได้หวังให้เจ้าต้องทำอาหารหรืองานบ้านงานเรือนอะไรดอก ทุกวันนี้เจ้าก็เป็นเหมือนคู่แต่งงานกับพี่อยู่แล้ว ไม่ว่าเวลาสุขหรือเวลาทุกข์เราทั้งสองต่างนำมาพูดคุยปรึกษากัน นี้ต่างหากสิ่งที่คู่ชีวิตสมควรทำจริง ๆ ดังนั้นเจ้าอย่าได้กังวลกับเรื่องอื่นไป นอนไม่หลับก็ไม่ต้องนอนเราคุยแบบนี้กันไปจนถึงเวลาตักบาตรก็ได้ อย่างไรเสียวันพรุ่งก็เป็นวันหยุด ถ้าเจ้าง่วงที่หลังค่อยหลับตอนบ่าย ๆ ก็ยังได้”

      พอถึงเวลาอันควรแล้วขุนทับกับเรืองก็อาบน้ำเตรียมตัวไปตักบาตร บ่าวไพร่ในเรือนต่างช่วยกันตระเตรียมอาหารสำหรับตักบาตรให้แล้ววางเตรียมไว้หน้าเรือนเพื่อรอเวลาพระภิกษุสงฆ์มาเดินบิณฑบาต
      “พวกเจ้าไม่ต้องรอดอก ไปทำงานอย่างอื่นเถอะหลังตักบาตรเสร็จฉันกับเรืองจะยกไปเก็บเอง” ขุนทับไม่อยากให้พวกบ่าวไพร่ในเรือนเห็นวิธีการตักบาตรของตน
      “ไม่เป็นไรขอรับกระผมอยู่ทำเองดีกว่า ประเดี๋ยวนายหญิงใหญ่รู้เข้าพวกกระผมจะโดนว่าเอาได้” บ่าวไพร่ไม่กล้าตอบตกลง
      “ไอดำ วันนี้มีเหล็กกล้าดีมาที่โรงตีดาบข้าว่าจะไปดูให้ตนเองกับเรืองสักหน่อย เอ็งไปกับข้าเถอะให้สองคนนี้เก็บของเองก็ได้ อย่างไรเสียวันนี้ทั้งคู่ก็ไม่ได้ไปราชการอยู่แล้ว อีกอย่างคุณย่าใหญ่คงยังไม่หาป่วยในวันสองวันนี้ พวกเจ้าทั้งสองตักบาตรเพิ่มอีกสักสองวันแล้วกันนะ คนที่เหลือแค่ตระเตรียมอาหารแล้วก็เก็บก็พอไม่ต้องมาดูตอนทั้งสองตักบาตรดอก ผู้ชายสองคนตักบาตรด้วยกันก็ดูแปลก ๆ แล้ว อย่ามามองกดดันให้ทั้งคู่รู้สึกแปลก ๆ ไปมากกว่านี้เลย” เดือนที่อยู่ ๆ ก็เดินมาพร้อมออกคำสั่งเสียยาว แล้วพาไอดำออกจากเรือนไป
      การพูดของเดือนยิ่งทำให้ขุนทับสงสัยมากเข้าไปอีกว่าเดือนต้องรู้เรื่องของตนกับเรืองเป็นแน่เพราะ การตักบาตรในวันแต่งงานนั้นอันที่จริงคงตักบาตรสามหรือห้าวัน
      “พี่ทับจ๊ะ พระมาแล้วจ๊ะ เชิญนิมนต์มาทางนี้ด้วยจ๊ะ”
      จริง ๆ แล้วขุนทับอยากให้เรืองกับตนนั้นตักบาตรทัพพีเดียวกันเสียด้วยซ้ำไปแต่ด้วยคิดว่าคงไม่เหมาะสมถึงต้องจำใจสลับตักบาตรคนละครั้งกับน้องแทนเพราะ การตักบาตรรูปแบบนี้ก็เป็นหนึ่งในการตักบาตรเมื่อแต่งงานเหมือนกัน
      “พิธีแต่งงานเราก็เสร็จสมบูรณ์กันแล้วนะจ๊ะ ฉันดีใจจริง ๆ” เรืองกล่าวเขิน ๆ หลังตักบาตรเสร็จ
      “ใครบอกพิธีของเรายังไม่จบสักหน่อย ถ้าให้จบอย่างสมบูรณ์ต้องคืนนี้ต่างหากละ”
      “คนบ้าพึ่งทำบุญมาแท้ ๆ คิดอกุศลอีกแล้วนะ” เรืองตบเข้าไปที่ไหล่ของขุนทับด้วยความเขิน
      ขุนทับเห็นท่าทีน้องอย่างนั้นก็หัวเราะชอบใจ ก่อนจูงมือเรืองเข้าเรือนเพื่อให้ได้นอนพักผ่อนเพิ่ม ส่วนเรืองเมื่อได้ตักบาตรก็คายความกังวลที่มี เมื่อหัวถึงหมอนก็นอนหลับสนิทในทันที
      
      เวลาวันนี้ผ่านไปไวยิ่งเพราะ หลังทานอาหารเย็นเสร็จก็เป็นเวลาที่ขุนทับรอคอย ขุนทับจึงรีบชวนเรืองกลับเรือนริมน้ำในทันทีโดยอ้างว่ามีเรื่องปรึกษากับเรือง
      “เมื่อเช้าก็ตื่นเช้าแล้วพรุ่งนี้ก็ต้องตื่นมาตักบาตรอีก คืนนี้เรารีบนอนกันไว ๆ ดีกว่านะจ๊ะพี่ทับ” เรืองหาเรื่องเพื่อยังไม่ต้องเข้าหออย่างแท้จริง
      “พี่รอมาตั้ง 8 วันแล้วนะอย่าให้พี่ต้องรออีกเลยนะคนดี อีกอย่างพี่เป็นคนพาเจ้าเข้านอนตอนกลางวันเองนะ อย่าคิดว่าพี่จะลืมสิ”
      “แต่ฉันกลัวนิจ๊ะเรายังไม่ทำกันวันนี้ไม่ได้รึจ๊ะ”
      “เจ้าไม่เชื่อใจพี่รึ ไม่ต้องกลัวดอกเราทั้งสองต้องผ่านคืนนี้ไปอย่างมีความสุขเป็นแน่ มีอะไรบ้างที่พี่ทำไม่ได้ ดังนั้นคืนเชื่อใจพี่นะคนดี” ว่าแล้วขุนทับก็บรรจงจูบที่ปากของเรืองก่อนจะไล่ลงมาที่ซอกคอ แล้วถอดเสื้อผ้าของตนและเรืองออกช้า ๆ สายตาจ้องสำรวจเรือนร่างเปลือยเปล่าตรงหน้า ก่อนก้มลงสัมผัสหัวนมสีน้ำตาลอ่อนตรงหน้าแล้วดูดเบา ๆ
      “อะ อื้อ พี่ทับจ๊ะฉันรู้สึกแปลก ๆ อย่างไรไม่รู้” เรืองรู้สึกร้อนไปทั้งตัวแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
      เมื่อได้ยินแทนที่จะหยุดขุนทับกลับดูดหนักขึ้นโดยดูดสลับไปทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ส่วนมือนั้นก็เลื่อนสัมผัสไปทุกส่วนของร่างกายจนมาหยุดอยู่ที่เรืองน้อย
      “อะ อ๊ะ ตรงนั้น อย่าหยุดนะจ๊ะพี่ทับ อ๊ะ อ๊ะ” เรืองรู้สึกดีจนเกร็งไปทุกส่วน เล็บจิกและข่วนไปทั่วทั้งหลังขุนทับ “ไม่ไหวแล้วพี่ทับจ้า ไวอีกหน่อยสิจ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ากกกกกกก” ในที่ส่วนเรืองก็ปลดปล่อยน้ำที่อยู่ในร่างกายออกมา พร้อมหอบหายใจถี่ ๆ
      “ของจริงมันต่อจากนี้ต่างหากละ” ว่าแล้วขุนทับก็สะโลมน้ำมันที่นิ้วของตนเองและรูเล็ก ๆ ของเรือง ก่อนสอดนิ้วใส่เข้าไปในรูนั้น
      “จะ เจ็บ ฉันเจ็บพี่ทับหยุดก่อนฉันไม่ไหวแล้ว” เรืองร้องลั่นพร้อมน้ำตาที่ไหลลงมา
      ขุนทับเองก็อยากจะหยุดให้น้องอยู่หรอกเมื่อเห็นน้ำตาใส ๆ นั้น แต่ร่างกายของตนเองก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน จึงก้มลงจูบซับน้ำตานั้นพร้อมกระซิบบอกว่า “ทนอีกนิดได้ไหมคนดีแล้วเราจะมีความสุขไปด้วยนะ แต่ถ้าเจ้าทนไม่ไหวจริง ๆ พี่หยุดให้ก็ได้นะ”
      “ไม่ ๆ อย่าหยุดนะพี่ทับ ฉันกับพี่ทับรอวันนี้มาตั้งนานแล้ว อีกแค่นิดเดียวเราก็จะมีความสุขกันแล้ว ฉันทนได้”
      ขุนทับได้ยินอย่างนั้นก็เพิ่มนิ้วเข้าไปมากขึ้นจากหนึ่งเป็นสองและสามตามระดับ แล้วค่อย ๆ ขยับจากช้า ๆ จนเร็วขึ้น “เป็นอยากไรดีขึ้นไหม พอไหวรึไม่ ถ้าไหวพี่จะเริ่มเอาจริงแล้วนะ” ขุนทับยิ้มเจ้าชู้ใส่
      “คนบ้า” เรืองเขินหน้าแดง ตัวแดง พร้อมพยักหน้าช้า ๆ
      เมื่อได้เห็นว่าเรืองอนุญาตขุนทับก็เอานิ้วของตนเองออก แล้วจับเรืองอ้าขาออกช้า ๆ แทนพร้อมแทรกตัวเข้าไปอยู่ระหว่างขานั้น มือใหญ่ประคองส่วนนั้นจ่อไปที่รูเล็กก่อนค่อย ๆ ใส่เข้าไปในรูนะ
      “อะ อ๊ะ พี่ทับ พี่ทับจ้า พี่ทับ” เรืองร้องพร้อมจิบแขนของขุนทับแน่น
      “ดีเหลือเกิน ข้างในเจ้าตอดรัดพี่แบบสุด ๆ ไปเลย อ๊าก พี่ทนไม่ไหวแล้ว” จากขยับช้า ๆ ขุนทับเริ่มขยับเร็วขึ้น เร็วขึ้น
      “อะ อะ อ๊ะๆๆๆๆๆ” เรืองร้องออกมาด้วยความเสี่ยว ยิ่งเสี่ยวมากเท่าไรเรืองก็ยิ่งตอดรัดขุนทับมากขึ้นเท่านั้น
      “ใจเย็น ๆ คนดีถ้าเจ้ายังตอดรัดแบบนี้ พี่จะเสร็จเอาได้นะ” ขุนทับพยายามห้ามตนเอง
      “ฉัน ฉัน อะ อะ ฉันก็ไม่ไหวแล้ว มันจะออกมาอีกแล้ว” ได้ยินอย่างนั้นขุนทับยิ่งเร่งความเร็วมากขึ้นจนในที่สุด
       “อ๊ากกกกกกกกกก” / “อ๊ากกกกกกกกก” ขุนทับปลดปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมาภายในตัวเรือง ส่วนเรืองก็ปลดปล่อยออกมาเต็มหน้าท้องตนเองและขุนทับ
      “พี่มีความสุขเหลือเกินคนดี” ขุนทับกล่าวพร้อมจุมพิตที่หน้าผากมน “ถ้าไม่ติดว่าวันพรุ่งนี้เราต้องใส่บาตรกันอีก อย่าหวังเลยว่าเจ้าจะได้นอน” แล้วโอบกอดเรือง
      เรืองเองก็รักสัมผัสที่อบอุ่นนี้ ขยับตัวให้อ้อมกอดขุนทับโอบล้อมตนได้ทั้งตัว แล้วทั้งสองก็นอนหลับไป

*ยามสามคือ เวลาหลังเที่ยงคืนถึงตีสาม ในสมัยก่อนคนไทยนับเวลาตอนกลางคืนเป็นยามโดยแบ่งเป็นสี่ยามเริ่มตั้งแต่ 6โมงเย็นถึง 6โมงเช้า โดยเวลาที่เรืองตื่นประมาณตีสาม

เน็ตแย่มากกว่าจะได้ TT เมื่อวานไปสัมภาษณ์งานกว่าจะถึงบ้านสลบเลยจ้าาาาาา

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
สู้ๆน้าคนเขียน

จุดพลุๆๆๆๆๆๆ เค้าได้กันแล้ว เรานี่ฟินเลยงานนี้

ออฟไลน์ Tipin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • https://twitter.com/Tipin_pin
ตอนที่ 16 สหายคนสนิท
      หลังแต่งงานความรักของทั้งสองมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขุนทับสลับที่นอนระหว่างบ้านของตนเองกับเรือนริมน้ำของเรือง โดยอ้างเหตุผลว่าตนอยู่คนเดียวแล้วรู้สึกเหงาไม่มีคนพูดคุยปรึกษาด้วยเพราะ หลวงด้วงนั้นก็ต้องให้เวลากับภรรยาและลูก ๆ เมื่อได้ฟังเหตุผลคุณย่าใหญ่ก็เห็นด้วยเนื่องจากเรืองเองก็ขอย้ายไปอยู่ที่เรือนแพเป็นการถาวรเนื่องจากอยากได้ที่ที่เงียบสงบในการอ่านงานราชการ และเห็นว่าทั้งสองคนก็สนิทกันอาศัยอยู่ด้วยกันน่าจะช่วยกันปรึกษางานราชการได้ ความสงบสุขที่ชาวกรุงศรีทุกคนได้รับมีแต่เพิ่มขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน ยิ่งวันเวลาผ่านไปข่าวจากไอม่านเงียบหายยิ่งทำให้ชาวกรุงศรีทุกคนเชื่อว่าพวกไอม่านต้องไม่กลับมาอีกเป็นแน่ แต่น่าเสียดายที่ความสุขที่ทุกคนเชื่อว่าจะอยู่กับกรุงศรีตลอดไปกลับไม่เป็นจริงเพราะ หลังจากขุนทับแต่งงานกับเรืองได้สองปีข่าวจากฝั่งไอม่านก็กลับมาอีกครั้งโดยในครั้งนี้พระเจ้ามังลอกพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันของอังวะทรงสวรรคตเป็นเหตุให้พระเจ้ามังระพระอนุชาขึ้นครองราชย์ต่อ ปัญหาของกรุงศรีอยุธยาจึงกลับมาอีกครั้งเพราะ พระมหากษัตริย์พระองค์นี้มีความใฝ่หวังอยากเป็นพระเจ้าบุเรงนองที่สอง เป็นผู้ชนะสิบทิศที่ไม่ว่าจะไปรบที่ไหนก็ชนะ ยิ่งเป็นกรุงศรีที่เคยพลาดไปเมื่อครั้งที่แล้วยิ่งอยากได้เข้าไปใหญ่
      “เห็นทีจะแย่เสียแล้วแหละพ่อทับ พ่อเรือง สายข่าวเก่าของเจ้าคุณพ่อจากหัวเมืองชั้นนอกใกล้อาณาจักรไอม่านส่งข่าวมาว่าพระเจ้ามังระหลังครองราชย์ก็ทรงมีรับสั่งจะสืบทอดเจตนารมณ์ของพระราชบิดา เห็นทีว่าอีกไม่กี่เพลามันคงจัดทัพบุกกรุงศรีของเราเป็นแน่” หลวงด้วงเรียกขุนทับและเรืองมาปรึกษา
      “ไอพระเจ้ามังระมันคงแค้นใจมากเป็นแน่ที่พระราชบิดาของมันต้องมาตายที่เมืองเรา แถมตายในสภาพคนแพ้สงครามด้วย” เรืองออกความเห็น
      “ฉันเองก็พอได้ข่าวมาสักพักแล้วเหมือนกันขอรับคุณพี่ แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่แค่ศึกภายนอกนี้สิ ปัญหามันอยู่ที่ภายในด้วยต่างหาก” ขุนทับหน้าเครียด
      “ทำไมเกิดอะไรขึ้นในวังอย่างนั้นรึ ทำไมพี่ไม่เห็นรู้เรื่องเลยละ”
      “ไม่ใช่ในวังเกิดเรื่องดอกขอรับ แต่เป็นเรื่องไส้ศึกต่างหากละ คุณพี่จำไอม่านที่อยู่ใกล้พระเจ้ามังระเมื่อศึกครั้งที่แล้วได้รึไม่ กระผมจำได้เต็มตาเมื่อไม่กี่วันนี้กระผมเจอมันแถวเรือนจมื่นไวยเวท”
      “จมื่นไวยเวทขุนนางคนสนิทของพระเจ้าเอกทัศหรอจ๊ะ พี่ทับแน่ใจนะจ๊ะว่าจำไม่ผิดคน” เรืองยิ่งสงสัยเพราะ ถ้าเป็นอย่างที่ขุนทับบอกจริงแสดงว่าจริง ๆ แล้วข้าศึกไม่ได้อยู่ไกลจากกรุงศรีเลย
      “ไม่ผิดแน่ ถ้าเป็นไอม่านระดับพลทหารพี่คงจำไม่ได้ แต่ไอม่านคนนี้อยู่ใกล้พระเจ้าอลองพญากับพระเจ้า   มังระมากมีรึที่พี่จะจำไม่ได้ ในเมื่อพี่เห็นมันในสงครามถึง 3 ครั้ง”
      “เห็นทีเราต้องสืบเรื่องนี้กันเสียแล้วละพ่อทับ พี่ให้พ่อเป็นคนสืบจะได้รึไม่” หลวงด้วงอยากได้ความมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าที่ขุนทับบอกมาเป็นเรื่องจริงแท้ ไม่ใช่การคาดเดาเพราะ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เรื่องที่ควรปรับปรัมใครโดยไม่มีหลักฐาน มันถึงขั้นขายบ้านขายเมืองให้ศัตรูคู่แค้นที่เคยทำให้กรุงศรีเสียเอกราชครั้งยิ่งใหญ่ไปครั้งหนึ่งเชียว
      “ได้สิขอรับคุณพี่ เรื่องนี้กระผมจะสืบให้รู้แน่แล้วจะนำมารายงานให้คุณพี่ทราบอีกครั้ง”

      หลังจากนั้นไม่กี่วันขุนทับสามารถสืบจนได้เรื่องว่าจมื่นไวยเวทจะนัดไอม่านเวลาพลบค่ำวันหยุดราชการ โดยทำทีว่านัดมาเพื่อพูดคุยสรรค์สันต์กัน จึงชวนเรืองมาแอบดูที่เรือนของจมื่นเพื่อถ้าโชคดีอาจได้ความอะไรเพิ่มเติม
      “ทีนี่ละเราจะได้รู้กันสักทีว่าเรื่องที่พี่ทับสงสัยจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และอาจได้รู้ด้วยว่ามีใครร่วมมือกับไอ จมื่นนี้ก่อการเลวกับบ้านเมืองอีกด้วย” เรืองหมายมั่นปั้นมือว่าจะจับคนคิดคงทรยศบ้านเมืองให้จงได้
      หลังแอบดูได้ไม่นานคนที่ขุนทับสงสัยก็เดินทางมาถึงพร้อมกับไอม่าน และที่สำคัญยังมีคนอีกคนที่ตามมาด้วย
      “คนนั้นฉันคุ้น ๆ หน้าเสียจริงใครรึจ๊ะพี่ทับ ฉันเห็นหน้าไม่ถนัด” เรืองไม่พอใจที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนด้วยตรงที่ตนยืนอยู่มีพุ่มไม้หนา แต่จะให้ไปแอบดูตรงอื่นก็ทำไม่ได้เนื่องจากตรงนี้เป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด
      “หมื่นมิ่ง” ขุนทับพูดขึ้นเบา ๆ
      “ก็ว่าอยู่ว่าคุ้น ๆ หมื่นมิ่งนี่เอง ก็รู้ดอกว่าเป็นคนไม่ดีแต่ไม่คิดว่าจะไม่ดีขนาดขายบ้านขายเมืองของตนเอง” เรืองไม่ชอบหมื่นมิ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเพราะว่า ชอบมาหาเรื่องพี่ทับของตนแล้วยังเคยจาบจ้วงอดีตวังหน้าทั้งสองที่ตนเคารพ “เสียดายนะจ๊ะที่เราเข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้แล้ว”
      หลังจากทั้งสามคนขึ้นเรือนไปบ่าวไพร่ของจมื่นไวยเวทก็เดินตรวจตรากันอย่างแน่นหนาขึ้น เรืองกับขุนทับจึงทำได้แต่แอบดูอยู่ตรงนั้นต่อไปเพื่อให้อย่างน้อยก็รู้ถึงระยะเวลาการพูดคุยกันของคนทั้งสาม จนเวลาล่วงเลยไปในที่สุดไอม่านกับหมื่นมิ่งก็กลับไป
      “กลับไปรายงานพี่ด้วงกันเลยไหมจ๊ะพี่ทับ หรือรอวันพรุ่งก่อน ฉันไม่แน่ใจว่าเพลานี้พี่ด้วงจะหลับไปแล้วรึยัง”
      “รายงานวันนี้เลยพี่บอกพี่ด้วงไว้แล้วว่าจะมาซุ้มดู ได้ความว่าอย่างไรจะกลับไปบอก” ขุนทับตอบกลับด้วยท่าทีนิ่ง ๆ เหมือนว่าคิดอะไรอยู่ และตลอดระยะทางที่เดินกลับเรือนไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกมาจากปากของขุนทับอีกเลย “เรืองเจ้าไปรายงานพี่ด้วงให้พี่ที พี่รู้สึกไม่ดีจะขอไปพักเสียหน่อย” ว่าแล้วขุนทับก็เดินเข้าห้องไป
      “พี่ด้วงจ๊ะ ตามที่ฉันกับพี่ทับไปสืบมาได้ความว่าจมื่นไวยเวทติดต่อกับไอม่านเป็นความจริงจ้ะ นอกจากจมื่นไวยเวทแล้วยังมีหมื่นมิ่งอีกด้วย เห็นทีครั้งนี้เราจะลำบากเสียแล้วเพราะทั้งสองคนนั้นต่างก็เป็นคนสนิทกับพระเจ้าเอกทัศด้วยกันทั้งสิ้น เราคงไม่สามารถนำเรื่องไปกราบทูลพระเจ้าเอกทัศได้”
      “มิน่าละพ่อทับกลับมาถึงได้ทำตัวแปลก ๆ เพราะหนึ่งในคนคิดการร้ายมีหมื่นมิ่งรวมอยู่ด้วยนี่เอง” ทีแรกหลวงด้วงสงสัยอยู่แล้วว่าคนร่วมก่อการกบฏต่อชาติต้องมีคนที่ขุนทับไม่คาดคิดอยู่ด้วยเป็นแน่เพราะ เห็นท่าทีแปลก ๆ ตั้งแต่ขุนทับขึ้นเรือนมาแล้ว
      “พี่ทับคงโกรธมากแน่เลยนะจ๊ะ ก็อริที่ไม่ถูกกันมาตั้งนานคิดร้ายกับบ้านเมืองแบบนี้ เห็นทีฉันต้องระวังไม่ให้สองคนนี้เจอกัน ไม่อย่างนั้นคงได้ฆ่ากันตาย”
      “ผิดแล้วละเรืองไม่ใช่อริ แต่เป็นสหายสนิทต่างหากละ พ่อทับคงเสียใจแย่ที่รู้ว่าหมื่นมิ่งคิดการไม่ถูกไม่ควรเช่นนี้”
      ”จะเป็นไปได้อย่างไรละจ๊ะ” เรืองงงในคำตอบที่หลวงด้วงบอกมา “ฉันเห็นเจอกันที่ไรพี่ทับกับหมื่นมิ่งก็หาเรื่องทะเลาะฟาดฟันก็ได้ทุกครั้งไป”
      “ความไม่พอใจของผู้ใหญ่ที่ส่งผลมาถึงเด็กอย่างไรเล่า เจ้าคุณพ่อของพี่กับเจ้าคุณพ่อของหมื่นมิ่งต่างเป็นขุนนางที่เข้าฝ่ายเดียวกับพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเมื่อครั้งทำการสงครามชิงอำนาจระหว่างพระองค์กับเจ้าฟ้าอภัยพระนัดดา ภายหลังพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงขึ้นครองราชย์ก็พระราชทานยศถาบรรดาศักดิ์ให้ทั้งสองคนและขุนนางคนอื่น ๆ ด้วย พ่อทับกับพ่อมิ่งถึงได้เป็นสหายกับมาตั้งแต่ครั้งยังเด็กอย่างไรละ”
      “แล้วทำไมถึงเปลี่ยนมาไม่ถูกกันละจ๊ะ” เรืองถามด้วยความสงสัย
      “ไม่ถูกกันอะไรละ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นสหายกันอยู่เลยแต่มีคนรู้แค่เขาสองคนนั้นแหละ พี่บังเอิญไปได้ยินเข้าถึงรู้ว่าอันที่จริงแล้วเขาแสดงท่าทีไม่ถูกกันเฉย ๆ ไม่ใช่ไม่ถูกกันจริง ๆ”
      “แล้วทำไมต้องทำอย่างนั้นละจ๊ะ ฉันเคยเห็นสองคนนี้ทะเลาะกันถึงขั้นเอาดาบฟันกันเลยนะจ๊ะ” เรืองยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ ก็เวลาทะเลาะกันทีทั้งสองคนแทบจะฆ่ากันให้ตาย
      “ก็เพราะไอยศถาบบรรดาศักดิ์นี่แหละ พ่อทับกับพ่อมิ่งเข้าถวายตัวพร้อมกัน แต่ภายหลังเจ้าฟ้ากุ้งท่านทรงโปรดให้พ่อทับเป็นมหาดเล็กส่วนพระองค์แล้วเลื่อนยศให้ เจ้าคุณลุงท่านเลยไม่พอใจว่าทำไมเจ้าฟ้ากุ้งไม่ทรงเลือกลูกตน ทั้ง ๆ ที่ท่านก็มีส่วนในการยึดอำนาจเมื่อครั้งอดีต เลยบังคับให้พ่อมิ่งไม่ถูกกับบ้านเรา พ่อมิ่งก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของพ่อด้วยโดนบีบบังคับจากหลายฝ่ายทั้งเจ้าคุณพ่อ คุณหญิงใหญ่ที่เป็นเมียเอกเจ้าคุณพ่อ แล้วก็คุณแม่ของตน พี่ก็พึ่งมารู้เมื่อ 2-3 ปีนี้เองว่าทั้งสองหลอกทุกคนว่าไม่ถูกกัน”
      “มิน่าละพี่ทับถึงเศร้าใจไปเลย คงเสียใจแย่ที่เห็นสหายของตนเป็นหนึ่งในคนที่คิดร้ายต่อบ้านเมือง” เรืองสงสารพี่ทับจับใจมากกว่าจะโกรธที่พี่ทับไม่บอกตนเรื่องพี่ทับกับหมื่นมิ่งเพราะ ขนาดเรื่องของตนกับพี่ทับ เรืองยังไม่กล้าที่จะบอกใครเลย

      ด้านขุนทับนั้นเมื่อเห็นหมื่นมิ่งในครั้งแรกที่บ้านจมื่นไวยเวทอารมณ์ความรู้สึกหลากหลายต่างประดังเข้ามาไม่หยุดทั้งงุนงง ตกใจ แล้วก็เสียใจด้วยไม่คิดว่าสหายคนสนิทของตนคนนี้จะเข้าร่วมกับคนเลวคนทรยศต่อพื้นแผ่นดินบ้านเกิด แต่เมื่อไตร่ตรองไปเรื่อย ๆ ขุนทับก็คิดว่าหมื่นมิ่งไม่มีทางเป็นคนไม่ดีอย่างที่ตนคิดในตอนแรกเป็นแน่ ต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังไม่มากก็น้อย และเบื้องหลังนี้อาจเกี่ยวข้องกับเจ้าคุณลุงก็เป็นได้ ด้วยหมื่นมิ่งเป็นลูกเมียบ่าวในบ้าน แต่เป็นลูกชายเพียงคนเดียวจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นลูกรักออกหน้าออกตาเมื่ออยู่กับคนหมู่มาก แต่เมื่ออยู่ในเรือนขุนทับเคยเห็นก็ตาของตนเลยว่าหมื่นมิ่งและแม่นั้นโดนคุณหญิงของบ้านกดขี่ข่มเหงอย่างหนัก ไม่ได้ดั้งใจก็โดนเฆี่ยนตีเพราะ อิจฉาที่ตนไม่สามารถมีลูกชายให้สามีได้ ส่วนเจ้าคุณลุงนั้นวัน ๆ ก็คิดแต่หาเมียเด็ก ๆ ให้ตนไม่เคยดูดำดีคนในบ้าน และค่อยแต่อวดอ้างบารมีตัวเอง ด้วยเหตุนี้ต่างหากที่ทำให้พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศไม่ทรงโปรดให้รับใช้อย่างใกล้ชิด เมื่อคิดได้เช่นนั้นขุนทับก็คิดว่าจะต้องหาเวลาไปคุยกับหมื่นมิ่งเมื่อมีโอกาสให้จงได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาโอกาสสำหรับคุยกับหมื่นมิ่งเพราะ ทั้งคู่ก็ยังต้องแสดงท่าทีว่าเป็นอริกันอยู่ตลอดเวลา ขุนทับรอเวลาถึง 7 วันถึงจะหาโอกาสคุยกับหมื่นมิ่งได้
      “เรียกข้ามามีอะไรวะไอทับ ทำไมไม่เอาเวลาไปดูแลน้องเรืองของเอ็งวะ” หมื่นมิ่งกึ่งถามกึ่งแซว
      “อะไรของเอ็งวะไอมิ่ง ข้าไม่ได้อยู่กับเรืองตลอดเวลาสักหน่อย”
      “ชิชะ อย่ามาโกหกข้าเสียให้ยาก ข้ารู้จักเอ็งมาตั้งแต่เกิดด้วยซ้ำไปทำไมจะดูไม่ออกว่าเอ็งคิดอย่างไรกับเรือง แต่อย่ากังวลไปความลับระหว่างเรามีเรื่องไหนที่หลุดออกไปบ้าง”
      “ไม่รังเกียจข้ารึที่ข้ารักผู้ชายด้วยกัน” ขุนทับคิดว่าตนคงปิดหมื่นมิ่งไม่ได้แน่เพราะ สิ่งที่หมื่นมิ่งฉลาดที่สุดคือการอ่านสีหน้าและใจคน และที่สำหรับขุนทับก็ยังคิดอยู่เสมอว่าความรักของตนกับเรืองนั้นไม่ใช่เรื่องผิด ควรเป็นเรื่องที่ทุกคนรับรู้ได้
      “เรื่องจริงรึนี้ ข้าแค่แหย่เล่นไม่คิดว่าเอ็งกับเรืองจะเป็นเรื่องจริง ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่ไม่ว่าเอ็งจะรักใครข้าก็เห็นดีด้วยอยู่แล้ว คนทั้งโลกไม่เข้าข้างข้าเอ็งยังเข้าข้าง แล้วทำไมเวลาเอ็งไม่มีใครข้าจะไม่อยู่ข้างเอ็งละสหายรัก”
      “ไอคนเลว หลอกกันมาได้ เดี๋ยวนี้หัดโกหกตาใสเสียแล้วรึไอมิ่ง แต่เดี๋ยวก่อนเรื่องที่ข้าจะพูดกับเอ็งไม่ใช่เรื่องนี้ ข้าได้ข่าวมาว่ามีขุนนางของเราคิดคดทรยศต่อชาติบ้านเมืองไปเข้าร่วมกับฝั่งไอม่าน”
      “จมูกดีเป็นหมาเลยนะไอทับ รู้เรื่องนี้มานานเท่าไรแล้วละ” หมื่นมิ่งไม่แปลกใจเพราะ ครอบครัวของขุนทับมีสายอยู่ที่หัวเมืองเป็นจำนวนมาก แถมหูตาของทั้งขุนทับและหลวงด้วงก็เป็นสับปะรด
      “ข่าวพระเจ้ามังระทราบมาสักพักแหละ แต่เรื่องคนขายชาติพึ่งมาแน่ใจเมื่อวานนี้เองตอนไปแอบดูที่เรือนจมื่นไวยเวท ที่สำคัญกว่านี้คือข้าเจอเอ็งที่นั้น เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยว่าเรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่”
      “ดีจริงเชียวที่เอ็งรู้จะได้มีคนช่วยข้าคิดแผนการตลบหลังมันด้วย ส่วนเรื่องที่ข้าไปอยู่เรือนจมื่นไวยเวทนั้นจะเป็นอะไรไปได้นอกจากเจ้าคุณพ่อท่านเห็นด้วยกับพวกขายชาติ ท่านไม่พอใจตั้งแต่ความสำคัญของท่านถูกลดลงแล้วตั้งแต่เจ้าฟ้ากุ้งเป็นวังหน้า และยิ่งพระเจ้าเอกทัศขึ้นครองราชย์อำนาจของท่านก็ยิ่งน้อยลง แต่จะไปฟังแผนการเองก็บอกว่ากลัวคนจะสงสัยเอาได้เลยให้ข้าไปฟังเรื่องราวแทน”
      “แล้วจากการไปฟังได้เรื่องว่าอย่างไรบ้างละ ไอพวกม่านคิดจะบุกกรุงศรีของเราจริงแท้แค่ไหน” ขุนทับเชื่อที่หมื่นมิ่งพูดในทันทีเพราะ รู้นิสัยพระยาสรไชยผู้พ่อของหมื่นมิ่งมานาน
      “จริงแท้แน่นอน ตอนนี้ไอม่านมันเตรียมกำลังพลกันอยู่อีกไม่นานคงได้ยกทัพมากรุงศรีเป็นแน่ ที่นี่ละเราคงได้รบกันยาว ๆ”
      “อันที่จริงที่เอ็งไปเป็นพวกไอจมื่นไวยเวทก็ดีเหมือนกันนะ ไอจมื่นมันเป็นไส้ศึกให้ไอม่าน เอ็งก็เป็นไส้ศึกให้กับกรุงศรีของเรา”
      “ก็จริงแต่คงบอกแค่เอ็งคนเดียวละตอนนี้ บ้านเมืองอ่อนแอ่ยิ่งข้ากลัวเอาไปบอกใครแทนที่เราจะได้คนช่วยคิดป้องกันบ้านเมือง กลับได้ไส้ศึกมาช่วยทำลายบ้านเมืองเพิ่มขึ้นแน่”
      “ช่วงนี้ก็ดูข่าวสารการเคลื่อนไหวของไอม่านมันไปก่อน ได้เรื่องว่าอย่างไรก็บอกมาก็แล้วกันนะ”
      “แน่นอนอยู่แล้วไอสหายรัก” หมื่นมิ่งตอบตกลงขุนทับในทันที หลังรู้สิ่งที่ตนเองสงสัยแล้วขุนทับก็ขอตัวกลับก่อนเพราะ กลัวใครจะมาเห็นเข้าว่าตนคุยกับหมื่นมิ่ง
      “ขอโทษนะไอทับ ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าต้องโกหกเอ็ง” ลับหลังขุนทับเดินจากไปหมื่นมิ่งได้แต่ยืนขอโทษฝากลมไป หวังว่าภายภาคหน้าสหายเพียงคนเดียวคนนี้จะให้อภัยตน


(บ่นๆให้ฟัง)  :hao5:

                ช่วงนี้ไม่แน่ใจว่าจะโพสทุกวันศุกร์ได้ไหม อยู่ในช่วงหางานแบบจริงจัง ก้าวสู่วัยทำงานนี้รู้สึกเลยทำไมงานหายากจัง ยิ่งอยากทำงานที่ไม่ตรงกับสายที่จบนี่ยิ่งหา สำนักพิมพ์เปิดใหม่ก็เยอะ ทำไมไม่เปิดรับบรรณาธิการบ้างเลย หรือเราไม่มีประสบการณ์ก็ไม่รู้ บ่นเยอะไปแหละ ไปเขียนตอนใหม่ต่อดีกว่า ตอนหน้าจะยิ่งเข้มข้นเข้าไปอีกเป็นกำลังใจให้พี่ทับกับเรืองด้วยนะ    https://www.facebook.com/tipin1994/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-07-2017 18:52:55 โดย Tipin »

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เปนกำลังใจให้ทั้งคนเขียน และพี่ทับน้องเรืองค่า :mew1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อ้าว ตกลงว่ายังไงกันล่ะหมื่นมิ่ง ทำจริงไม่ใช่แฝงตัวสินะ

ออฟไลน์ Tipin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • https://twitter.com/Tipin_pin
บทที่ 17 ศึกสองทาง
      ขุนทับ เรือง และหลวงด้วงต่างสลับสับเปลี่ยนกันไปแอบลาดตระเวนดูที่เรือนจมื่นไวยเวทเพื่อดูว่าอาจมีสัญญาณเตือนทำให้รู้ว่าเมื่อไรที่ไอ้ม่านจะบุกมากรุงศรีอยุธยาเสียที อันที่จริงทั้งสามคิดที่จะเอาเรื่องดังกล่าวไปปรึกษาขุนนางคนอื่นเหมือนกันว่า ถ้าไอ้พวกม่านบุกมาอีกครั้งจะทำการเยื่องไรดี แต่ได้คำตอบติดขำกลับมาว่า “มาก็ดีไม่กลัวดอกมากี่ครั้งก็คงพ่ายแพ้กลับไปอยู่ดี” ทำให้ทั้งสามคิดว่าถึงบอกไปขุนนางคนอื่นก็คงไม่สนใจ และไม่กลัวอยู่ดี จึงทำได้แค่ระแวดระวังกันเองไปก่อนเผื่ออย่างน้อยก็อาจจะได้รู้กลวิธีของข้าศึกก้ยังดี แต่ไม่ทันได้สืบดีนั้น ข้าศึกก็ยกกำลังพลเข้ามาแล้วเสียแล้วโดยพระเจ้ามังระทรงมีรับสั่งให้เนเมียวสีหบดีนำทัพบุกเข้าตีทางตอนเหนือเริ่มจากเชียงใหม่ไล่ตีลงมาแล้วเข้าบุกยึดได้สวรรคโลก สุโขทัย นครสวรรค์ และกำแพงเพชร กวาดต้อนผู้คนและเสบียงอาหารทุกสิ่งอย่างที่คิดว่ามีประโยชน์ในการศึกครั้งนี้ แล้วบุกเข้าสู่กรุงศรีอยุธยาเป็นที่สุดท้าย และทรงมีรับสั่งให้มังมหานรธานำทัพมาทางตะวันตกเริ่มจากปราบปรามกบฏที่ทวายซึ่งคิดแข็งข้อกับทางกรุงอังวะเสียก่อน แล้วเคลื่อนทัพต่อไปที่เพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี จนมาจบที่กรุงศรีอยุธยาเช่นเดียวกัน แต่ระหว่างที่ฝั่งเมืองม่านกรีฑาทัพมายังไม่ถึงกรุงศรีอยุธยาดีนั้น ข่าวจากม้าเร็วก็มาถึงกรุงศรีอยุธยาก่อนแล้ว แต่น่าเสียดายที่ชาวกรุงศรีไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือชาวบ้านต่างไม่สนใจ เป็นทุกข์เป็นร้อนกับเหตุการณ์ดังกล่าวเลย
      “มาอีกก็ได้ตายกลับไปอีก ครั้งที่แล้วมาทางเดียวตายทางเดียว ครั้งนี้มาสองทางประเดี๋ยวก็ได้ตายกลับไปทั้งสองทาง หรือครั้งหน้าจะมาอีกกี่สิบทางก็ได้ตายกลับไปทุกทางอยู่ดี”

      เรือง ขุนทับ และหลวงด้วงกลับยิ่งไม่สบายใจด้วยเหตุร้ายกำลังคืบคลานเข้ามาโดยที่ทุกคนต่างรู้ตัวด้วยซ้ำ แต่แทนที่จะตระเตรียมไพร่พลให้พร้อมด้วยกรุงศรีของเราไม่ถนัดศึกรับอย่างที่ขุนหลวงหาวัดเคยกล่าวไว้เมื่อศึกพระเจ้าอลองพญาก็ควรเตรียมศึกแบบรุกไว้ แต่นี้อะไรไม่มีใครสนใจคิดศึกรู้แบบใดเลยเสมือนคิดกันว่าไอ้ม่านมันมาเดินเล่น เมื่อถึงกรุงศรีก็เดินทางกลับอย่างนั้นแหละ
      “ฉันว่าครั้งนี้เราคงเสียกรุงศรีเป็นแน่แท้ ไม่ใช่ฉันแช่งบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองดอกนะ แต่ฉันก็เป็นทหารคนหนึ่งไปออกรบทุกครั้งเมื่อศึกพระเจ้าอลองพญายกทัพมา ศึกครั้งที่แล้วถ้าพระเจ้าอลองพญาไม่ถูกสะเก็ดกระสุนปืนใหญ่ไปเสียก่อนก็คงเสียกรุงศรีตั้งแต่คราวนั้น แล้วยิ่งครั้งนี้ขุนนาง ชาวบ้านต่างยิ่งได้ใจคิดว่ากรุงศรีของเราแน่ไม่สนใจการศึกอย่างนี้ ฉันว่าชะตากรุงยิ่งมีโอกาสรอดน้อยเข้าไปใหญ่” ขุนทัพพูดขึ้นด้วยใจที่เป็นกลางมองสภาพความเป็นจริง
      “เราคงต้องหาขุนนางที่มีความสามารถมาเป็นผู้นำในการรบเสียแล้ว เพราะจะพึ่งพระเจ้าเอกทัศเห็นทีจะพึ่งไม่ได้ ด้วยขุนนางที่อยู่รอบตัวพระองค์มีแต่พวกกบฏ พวกเดียวกับไอ้ม่านมันหมดแล้ว” หลวงด้วงก็คิดเช่นเดียวกับน้องชาย
      “แล้วเราควรไปเข้าร่วมกับใครดีล่ะจ๊ะที่นี้” นอกจากขุนทับกับหลวงด้วงเรืองก็ไม่สนิทกับใครเป็นพิเศษเลย
      “พระยาตาก ท่านเป็นขุนนางที่มีความสามารถสูงคนหนึ่งเลยแหละ พี่เคยปะดาบฝึกซ้อมกับท่านมาก่อนที่ท่านจะย้ายไปเป็นเจ้าเมืองที่ตาก” หลวงด้วงออกความเห็น
      “แต่เมืองตากโดยพวกไอ้ม่านตีแตกไปแล้วไม่ใช่รึจ๊ะ”
      “พระยาตากไม่อยู่เมืองในขณะนั้นนะสิ ไม่มีพ่อเมืองอยู่เป็นขวัญกำลังใจ เมืองก็เลยพ่ายไปอย่างไรละ” หลวงด้วงตอบข้อสงสัยของน้องน้อยในกลุ่ม

      เมื่อตกลงกันได้ดังนั้นทั้งสามก็พร้อมใจกันเดินทางไปเข้าพบพระยาตากที่เรือนของท่าน
      “กระผมและน้องทั้งสองจะมาฝากตัวเข้าร่วมก่อกำลังของท่านเจ้าเมืองด้วยเห็นว่าข้าศึกเดินทางเข้มาประชิดเมืองเรื่อย ๆ แล้ว ท่านจะมีใจเมตตาให้เราทั้งสามได้อยู่รบเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยจะได้รึไหม” หลวงด้วงบอกเหตุผลของการมาพบในครั้งนี้ทันทีที่เข้าพบ
      “ข้าจำได้พวกเอ็งทั้งสามเคยรบในศึกเมื่อครั้งพระเจ้าอลองพญาใช่รึไม่ แล้วครั้งนั้นพวกเอ็งเข้าสังกัดหัวหน้าคนใดเหล่า จะเปลี่ยนใจมาอยู่กับข้าหัวหน้าเก่าพวกเอ็งไม่ว่าเอารึ”
      “ใช่ขอรับ ส่วนหัวหน้าสังกัดเก่าของพวกเราคือ พระยาสุรศักดิ์มนตรีขอรับท่าน พระยาท่านเสียไปเมื่อครั้งการศึกครั้งที่แล้ว ตั้งแต่นั้นพวกเราทั้งสามก็ไม่ได้ขึ้นตรงกับสังกัดไหนอีกเลย” หลวงด้วงตอบพร้อมในใจที่สะอื้นเมื่อคิดถึงพ่อของตนที่สิ้นไป
      “อย่างนั้นรึ ในเมื่อพวกเจ้าท่านสามต่างตัดสินใจเข้าร่วมสังกัดกับข้าต่อสู้กับไอ้พวกม่าน มีรึที่ข้าจะปฏิเสธได้ ตกลงนับจากนี้ต่อไปพวกเจ้าทั้งสามเป็นทหารในสังกัดของข้าพระยาตาก”
   
      หลังจากทั้งสามเข้าร่วมสังกัดพระยาตาก เมื่อมีเวลาว่างเว้นจากราชการพระยาตากจะเรียกสมัครพรรคพวกของตนที่มาจากเมืองตากกับพวกขุนทับมาสนทนาปราศรัยและเตรียมแผนตั้งรับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น
      “พวกเจ้าทุกคนมีความเห็นเช่นไรกับกลศึกครั้งนี้ของไอ้พวกม่าน” พระยาตากเริ่มประโยคสนทนาแรก
      “กระผมคิดว่าพวกมันคงต้องการเก็บเสบียงอาหารให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะใช้เมื่อยามทำการศึกสงครามกับพวกเราให้ได้จนถึงหลังฤดูน้ำหลากเป็นแน่ เพราะกระผมได้ยินจากสายข่าวที่หลบหนีไอ้พวกม่านเข้ามาในกำแพงกรุงว่าพวกมันจับเชลยชาวกรุงศรีของเราให้ไปทำนา ปลูกข้าว เห็นที่ครั้งนี้อยุธยาของเราจะรับศึกหลังแล้วละขอรับ” หลวงด้วงบอกตามสายข่าวที่ได้รับมา
      “ครั้งนี้พวกเราคงได้ร่วมกันสู้กับไอ้ม่านมันไปยาว ๆ เป็นแน่แท้ ดี! จะได้แก้แค้นให้เมืองตากที่โดนพวกมันตีแตกมาด้วย” หลวงพิชัยอาสา*ตอบด้วยความคับแค้นใจที่เมื่อศึกถึงเมืองที่ตนอยู่ แต่ตนกลับไม่สามารถช่วยเหลือใครได้

      หลังจากเนเมียวสีหบดีกวาดต้อนกำลังพลและเคลื่อนทัพมาจนถึงกรุงศรีอยุธยาก็ออกคำสั่งให้เชลยศึกชาวกรุงศรีสร้างค่ายสำหรับเป็นศูนย์กลางบัญชาการการรบแห่งแรก โดยสร้างเป็นค่ายที่วัดป่าฝ้าย ปากน้ำประสบซึ่งอยู่ห่างจากกรุงศรีอยุธยาไม่ถึง 55 เส้น**  ส่วนมังมหานรธาตั้งค่ายต่อเรือเตรียมการไว้ก่อนเป็นเวลาถึงปีเศษ ถึงจะเดินทัพเข้าสู่กรุงศรีอยุธยาเพื่อตั้งค่ายเป็นศูนย์กลางบัญชาการรบที่สอง โดยสร้างค่ายที่บริเวณบ้านศรีกรุง ทุ่งภูเขาทองห่างจากกรุงศรีไม่เกิน 83 เส้น**
ภายในพระราชวังเองนั้นพระเจ้าเอกทัศและขุนนางก็กำลังเคร่งเครียดกับการประชุมการรับมือกับกองทัพของทางอังวะ
      “กรุงศรีอยุธยาของเรานั้นไม่ถนัดศึกการรบแบบตั้งรับตามที่ขุนหลวงหาวัดน้องกูเคยพูดไว้ เมื่อไอ้ม่านมันยกพลมาตั้งค่ายจึงสองทางอย่างนี้ ฝั่งเราก็ต้องสร้างค่ายเพื่อปะทะกับพวกมันเช่นเดียวนะ คำสั่งที่กูบอกไปดำเนินการไปถึงไหนแล้ว” ¬¬
      “เรียบร้อยแล้วนะเกล้านะกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าออกคำสั่งตั้งค่ายไว้ทั้งหมด 4 ทิศ โดยทิศเหนือตั้งค่ายที่วัดพระเมรุและเพนียดริมน้ำ ทิศใต้ตั้งค่ายที่บ้านสวนพลูและวัดพุทไธสวรรค์ ทิศตะวันออกตั้งค่ายที่วัดเกาะแก้ว วัดมณฑป และวัดพิชัย ทิศตะวันตกตั้งค่ายเป็นค่ายใหญ่ที่วัดไชยวัฒนารามพระพุทธเจ้าค่ะ” เจ้าคุณกลาโหมรายงานความคืบหน้าของการเตรียมศึก
      “ยังไม่พอเร่งสร้างค่ายเพิ่มอีกและอพยพชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบกำแพงกรุงเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงศรีแทน”
      “พระพุทธเจ้าค่ะ” ขุนนางทุกคนต่างรับราชโองการและเร่งทำตามพระกระแสรับสั่ง

      “พี่ทับจ๊ะ พี่ทับได้ยินข่าวชาวบ้านบางระจันบางรึไหมจ๊ะ ฉันได้ยินมาว่าพวกเขาส่งใบบอกมาขอปืนใหญ่ไปรบกับไอ้ม่าน เก่งเหลือเกินนะจ๊ะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาแท้ ๆ แต่สามารถรบกับทหารเมืองม่านได้เป็นนานสองนาน” เรืองตื่นเต้นเมื่อเห็นกลุ่มคนมีความสามารถ ที่อาจช่วยกรุงศรีของเราได้
      “ชาวกรุงศรีของเรารักบ้านรักเมืองยิ่งกว่าชีวิต เมื่อข้าศึกบุกเข้ามาเยี่ยงนี้มีใครบ้างล่ะที่ไม่คิดจับดาบมาห้ำหั่นข้าศึก” ถึงเรืองจะแสดงท่าทางตื่นเต้น แต่ขุนทับกลับตอบด้วยท่าทีที่นิ่งแทน
       “แล้วพระเจ้าเอกทัศทรงมีรับสั่งว่าเช่นไรบ้างจ๊ะ” เรืองยิ่งตื่นเต้นเพราะ คิดว่าจะได้คนกล้ามาช่วยป้องกันกรุงศรีเพิ่มมากขึ้น
      “ตอนแรกพระองค์ก็ทรงเห็นชอบแหละ แต่....ตอนหลังกลับทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ยกให้แทน พี่ว่าต้องเป็นฝีมือไอ้จมื่นไวทเวยเป็นแน่ ไอ้สารเลวคนขายชาติไม่ใช่มันก็ไม่มีคนอื่นแล้วที่จะคิดการเลวเช่นนี้ได้” มือของขุนทับสั่นด้วยความโกรธแค้นที่ไม่อาจช่วยเหลือชาวบ้านบางระจันได้ “แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่พระยารัตนาธิเบศร์ออกอาสาไปช่วยชาวบ้านบางระจัน   ทำปืนใหญ่ พี่ได้แต่หวังว่าชาวบ้านบางระจันจะสามารถรบชนะได้ตลอดรอดฝั่ง”
      แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะหล่อปืนใหญ่สักทีครั้งก็ไม่สามารถหล่อขึ้นมาได้สำเร็จ พระยารัตนาธิเบศร์เห็นว่าสิ่งเดียวที่ตนสามารถช่วยได้กลับไม่สามารถทำได้ดังใจหวัง จึงขอเดินทางกลับกรุงศรีอยุธยาแทน หลังจากนั้นไม่นานกองทัพพม่าที่พ่ายแพ้ชาวบ้านบางระจันมาตลอดก็ได้มีการเปลี่ยนหัวหน้านำกำลังพลโดยเปลี่ยนเป็นสุกี้***ชาวรามัญผู้หนึ่ง ในที่สุดก็สามารถตีค่ายบางระจันจนแตกพ่ายได้ ชาวบ้านที่เป็นแก่นนำรบต่างเสียชีวิตในศึกครั้งนี้ทั้งสิ้นหลังจากร่วมกันรบต่อสู้กับพม่ามานานถึง 5 เดือน ส่วนชาวบ้านที่เสียรอดก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นเชลยให้กองกำลังพม่า
      “ฉัน ๆ สงสารชาวบ้านบางระจันเหลือเกินจ๊ะพี่ทับจ้า ฮือๆๆๆ สู้รบเพื่อปกป้องบ้านเมืองของเราเองแท้ ๆ แต่กลับไม่ได้รับการช่วยเหลือจากคนที่พวกเขาพยายามปกป้องเลย ฮือๆๆ” เรืองพูดไปร้องไห้ไป
      “ห่วงแต่ตัวเองไม่ห่วงคนอื่น ถ้าในอนาคตกรุงศรีมันจะพังพินาศก็คงไม่เห็นแปลก คนดีคนมีความสามารถไม่หลงเหลืออยู่เพื่อช่วยกรุงศรีแล้ว รอดูต่อไปเถอะแล้วจะรู้ว่าที่ตัดสินใจพลาดไปในครั้งนี้มันเป็นการผิดพลาดที่ใหญ่หลวงมากขนาดไหน” ขุนทับโกรธ ยิ่งเห็นคนรักของตนเองต้องมาร้องไห้แบบนี้แล้วยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ “ค่อยดูต่อไป ค่อยดูเถอะว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป”
      “พี่ทับจ้าอย่าเสียงดังไป ประเดี๋ยวใครมาได้ยินเข้ามันจะแย่” เรืองสะอึกสะอื้นบอก ตาบวมแดงก่ำ
      “พี่เบื่อหน่ายเหลือเกินคนดี เบื่อหน่ายกับทุกสิ่งอย่าง ถ้าจบศึกใหญ่ครั้งนี้ไปไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร พี่คงลาออกราชการ” ขุนทับตัดสินใจอย่างแน่วแน่
      “ถ้าอย่างนั้นฉันลาออกด้วย ฉันเข้ามารับราชการก็เพราะพี่ ฉันอยากรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่ แต่ถ้าพี่ทับไม่รับราชการแล้วฉันก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไมเหมือนกัน” เรืองเห็นด้วยกับขุนทับ
      “ดี! ถ้าอย่างนั้นเสร็จศึกใหญ่ครั้งนี้ บ้านเมืองของเราปลอดภัยจากข้าศึกที่มารุกรานเราทั้งสองจะออกจากราชการ เรืองก็ช่วยพี่เดือนทำงานช่างทองต่อไป ส่วนพี่พี่อยากเป็นครูสอนดาบสอนหนังสือ นำวิชาความรู้ไม่กี่อย่างที่พี่มีมาทำคุณประโยชน์ให้บ้านเมือง แต่ถ้าไม่ได้จริง ๆ พี่คงไปเป็นพ่อค้าขายกระบุง ตะกร้าเจ้าเห็นว่าอะไรบ้างเรือง” ขุนทับวาดฝันอนาคตที่จะเกิดขึ้น
      “กระบุงกับตะกร้ารึจ๊ะ ทำให้ฉันคิดถึงวันแรกที่พวกเราพบกันเลยนะจ๊ะ แต่ฉันก็ยังกังวลกับการศึกอยู่ดี” เรืองอยากให้เป็นแบบที่ขุนทับพูดจริง ๆ แต่ศึกใกล้กำแพงเมืองอย่างนี้ก็อดกังวลไม่ได้จริง ๆ
      “ชาวกรุงศรีของเรามีเอกราชเป็นของตัวเองมาช้านาน ต่อให้ต้องตกเป็นเมืองขึ้นผู้ใด แต่สุดท้ายเราก็สามารถกลับมาเป็นไทได้เหมือนเดิม ถึงฝันของเราจะไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ อาจจะเป็นอีก 20-30 ปีข้างหน้า แต่วันนั้นต้องมาถึงแน่ ๆ เชื่อพี่นะ”
      “จ้ะพี่ทับ หลังกรุงศรีอยุธยาของเรากลับมาสงบสุขอีกครั้ง เราทั้งสองจะลาออกจากราชการ” เรืองหวังเหลือเกินหวังมาวันนั้นจะมาถึงโดยไว
      
*หลวงพิชัยอาสา เป็นหนึ่งในขุนนางคนสนิทของพระยาตาก ซึ่งต่อมาคือ “พระยาพิชัยดาบหัก” ที่ทุกคนรู้จักกันดี
**เส้นคือ หน่วยวัดระยะของไทยสมัยก่อนโดย 20วา เท่ากับ 1เส้น
***สุกี้คือ ตำแหน่งพระนายกองของพม่า

                  อ่านประวัติชาวบ้านบางระจันกี่ครั้งก็สงสาร แต่รู้สึกว่าพวกเขาเก่งมากจริง ๆ เลยนะ ชาวบ้านในสมัยในคือไม่มีความรู้อะไรมากกว่าเลย แต่สามารถต่อกรกับพม่าได้ตั้ง 5 เดือน ซึ่งถือว่าเยอะมากเลยนะในความคิดเรา
                  ตอนแรกคิดว่าคงไม่ได้แต่งนิยายก็เครียด แต่พอเครียดกลับมาแต่งนิยายคลายเคลียด สรุปแต่งจบตอนเฉยเลย 555555555

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จะผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นไปได้ยังไงหนอ

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ลุ้นไปกับทั้งคู่จริงๆ

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
มันต้องไม่ตายดีแน่ไอพวกขายชาติแบบนี้
หมื่นมิ่งก็คงทรยศขุนทับอีกแน่ๆเลย น่าสงสารขุนทับจัง

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
อ่านแล้วก็สะท้านในอก น้ำตาจะไหล แต่งดีมากกกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Tipin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • https://twitter.com/Tipin_pin
ตอนที่ 18 จ้อย
   ชุมชนน้อยใหญ่และหัวเมืองต่าง ๆ ที่ร่วมกันต่อสู้ข้าศึกที่เข้ามารุกรานต่างลดจำนวนลงเรื่อย ๆ บ้างก็ขอยอมแพ้บ้างก็ถูกตีแตก จนในที่สุดกรุงศรีอยุธยาก็กลายเป็นเมืองหัวเดียวกระเทียมลีบที่ยังเหลือรอดจากข้าศึก พระเจ้าเอกทัศทรงมีพระราชโองการให้บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ที่พระองค์เคยมีพระประสงค์ให้ออกไปช่วยหัวเมืองอื่นกลับมาปกป้องกรุงศรีแทน พร้อมทรงออกคำสั่งให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ออกไปประจำการที่ค่ายทั้ง ๔ ทิศ
   “อาหารในกำแพงกรุงศรีของเราเริ่มร่อยหลอลดไปทุกที่ คนเข้ามาภายในกำแพงกรุงเพิ่มขึ้นแต่อาหารกลับลดลง อีกไม่นานเห็นที่จะลำบากโดยทั่วกัน” คุณย่าใหญ่เรียกลูกหลานทั้งของบ้านตนและบ้านขุนทัพมาปรึกษาหารือ “บ่าวไพร่ในเรือนเองก็ต่างหวาดกลัวว่าพวกเราจะปล่อยให้พวกมันอดอยาก”
   “จะทำอย่างนั้นกับพวกมันได้อย่างไร แต่ละคนก็รับใช้กันมาหลาย ๑๐ ปี บางคนรับใช้ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย ทำไมพวกมันถึงคิดกันเยี่ยงนั้นละจ๊ะ” เดือนประหลาดใจยิ่ง คนบ้านนี้เลี้ยงบ่าวไพร่อย่างดีมาตลอด ถ้าไม่ผิดร้ายแรงจริงอย่าหวังว่าจะมีคำสั่งลงหวายให้เจ็บตัวกัน
   “ก็เรือนของขุนนางหรือเศรษฐีบางคนกวาดซื้อเสบียงอาหารไว้เมื่อยามฉุกเฉินกันเป็นทิวแถว แต่เสบียงเหล่านั้นกลับไม่ได้นำมาแบ่งให้บ่าวไพร่ในเรือนเลย บางเรือนอดตายเป็นสิบก็ยังมี” คุณย่าถอนหายใจปลดในความใจจืดใจดำของคนบางคน
   “บ้ากันไปแล้ว ทำอย่างนั้นกันได้อย่างไรไม่ต้องเป็นคนดอกต่อให้เป็นหมูเป็นหมาถ้าเราคิดจะเลี้ยงมันแล้วก็สมควรเลี้ยงมันไปจนกว่ามันจะตาย ไม่ใช่มอบความตายให้มันทางอ้อมเช่นนี้” ขุนทับโกรธจนตัวสั่น “ไอ้ม่านเตรียมพร้อมจะฆ่าเราทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ก่อนจะถึงวันนั้นคนของเรานี่แหละจะมอบความตายให้กันเองเสียก่อนแล้ว”
   “ย่าเลยจะมาถามทุกคนว่า ถ้าย่าจะเปิดโรงทานเล็ก ๆ ๔ หรือ ๕ วันเปิดครั้ง บริจาคให้คนยากคนจน หรือบ่าวไพร่ที่นายมันไม่คิดเลี้ยงแล้วพวกเจ้าจะเห็นว่าอย่างไร ไม่ต้องตามใจคนแก่ดอกนะ ถ้าไม่เห็นด้วยก็บอกกันมาได้”
   “ฉันเห็นด้วยกับคุณแม่อยู่แล้ว และเชื่อว่าทุกคนก็คงเห็นด้วยเหมือนกัน สงครามนี้เป็นสงครามใหญ่ พวกเราจะรอดหรือไม่ ยังไม่รู้เลยจะไปห่วงทำไมทรัพย์สมบัติที่อาจไม่ได้ใช้ สู่เอาไปช่วยเหลือคนที่ในอนาคตอาจเป็นกำลังในการช่วยกรุงศรีไม่ดีกว่ารึ อย่าได้ประมาณว่ามันเป็นบ่าวไพร่ หรือชาวบ้าน ดูอย่างชาวบ้านบางระจันพวกเขาเป็นแค่ชาวบ้านเหมือนกันยังจับดาบรบกับพม่าได้เป็นแรมเดือน ใครมันนายไม่เลี้ยง หรือไม่มีที่ไปเอามันมาอยู่นี่ อยู่ที่เรือนเรา แล้วเราจะสอนมันให้เป็นดาบอย่างน้อยช่วยบ้านเมืองไม่ได้ ก็ยังสามารถช่วยชีวิตตนเองและครอบครัวมันได้ละวะ”

   หลังตกลงกันได้ ไม่อีกวันต่อมาโรงทานเรือนช่างทองชิดก็เปิดรับคนยากคนจนที่ไม่มีอาหารโดยให้ทานเป็นอาหารสดที่ต้องกินเลยหรือเก็บได้เพียง ๑-๒ วัน ด้วยกลัวว่าถ้าให้อาหารแห้งอาจมีคนเห็นแก่ตัวที่ไม่ได้ลำบากจริงเข้ามาเอาไปเก็บกักตุน บ่าวไพร่ในเรือนเองต่างก็ช่วยกันอย่างแข็งขัน พร้อมนำเรื่องความมีน้ำใจของนายตนไปโอ้อวดคนอื่น ส่วนใครที่ยังไม่ถึงขั้นอดอยากก็เดินทางมาเรียนวิชาดาบเพื่อปกป้องบ้านเมือง นอกจากนี้บางครอบครัวเห็นว่าเป็นการดีในการร่วมกันทำบุญครั้งใหญ่เผื่อว่ากุศลครั้งนี้จะช่วยให้กรุงศรีรอดพ้นโพยภัย
   “พี่ทับจ๊ะ เด็กคนนั้นฉันเห็นมามองโรงทานและโรงฝึกของเราหลายวันแล้ว แต่ไม่เห็นจะเดินเข้ามาขออะไรกลับไปสักอย่าง” เรืองชี้ไปที่เด็กตัวจ้อยที่แอบอยู่ตรงหลังต้นไม้ใหญ่
   “เดี๋ยวพี่เดินเข้าไปถามเองจะดีกว่า” ว่าแล้วขุนทับก็เดินไปพร้อมนั่งยอง ๆ อยู่ข้างเด็กน้อย “มาทำอะไรอยู่ตรงนี้รึพ่อหนู หิวหรือไม่ เข้ามาหาอะไรกินก่อนก็ได้นะ”
   “ข้าไม่มีอัฐดอก เข้าไปก็คงกินอะไรไม่ได้” เด็กน้อยตอบแบบกล้า ๆ กลัว ๆ
   “ที่นี้เป็นโรงทานไม่มีอัฐก็กินได้ เอาไปฝากพ่อแม่ด้วยก็ได้นะ มากับฉันเถอะพ่อประเดี๋ยวฉันไปตักให้” ว่าแล้วก็จูงมือพาเข้าไปในโรงทาน พร้อมหาอาหารให้กิน “แล้วจะเอาไปฝากพ่อแม่ด้วยรึไม่ หรือจะพามากินที่นี้ก็ได้นะ”
   “ข้าไม่มีพ่อกับแม่ดอก ตายหมดแล้วที่เมืองสวรรคตโลก ข้าหนีมาได้คนเดียว เมื่อเจอคนที่หนีรอดด้วยเช่นกันก็เดินตาม ๆ คนอื่นเขาเข้ามาให้กำแพงนี้คนเดียว”
   “เก่งเสียจริงตัวแค่นี้เดินตัวคนเดียวมาถึงกรุงศรีได้” ขุนทับทึ่งในการเอาตัวรอดของเด็กคนนี้ได้ “แล้วนี่มาอยู่กับใครละ”
   “ก็อยู่ตามตลาดบ้างวัดบ้าง นอนไหนได้ก็นอนนั้นแหละ”
   “อย่างนั้นมาอยู่กับพี่ไหม มาอยู่ที่นี่มีทั้งข้าวให้กิน ถ้าอยากฝึกดาบหรืออยากเรียนเขียนอ่านประเดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะสอนให้เองเอาไหม” เด็กน้อยได้ยินก็พยักหน้ารับแรง ๆ ไม่หยุดพร้อมร้องไห้ไปด้วย ขุนทับคิดว่าตนอาจได้น้องชายคนใหม่มาแทนทีคนเก่าที่เปลี่ยนสถานะไปนานแล้วก็เป็นได้ “เอา ๆ หยุดร้องไห้ได้แล้วชื่ออะไรล่ะพี่จะได้เรียกชื่อถูก”
   “จ้อยข้าชื่อจ้อย” จ้อยพยายามกั้นสะอื้นเพราะ กลังคนตรงหน้าจะไม่พอใจที่ตนเอาแต่ร้องไห้แล้วเปลี่ยนใจไม่รับเลี้ยงตนแล้ว
   “เรืองมานี้สิ พี่จะแนะนำให้รู้จัก” หลังแนะนำกันแล้วเรืองก็เห็นด้วยกับขุนทับที่จะเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้ นอกจากสงสารแล้วเด็กตรงหน้ายังดูแววตาเฉลียวฉลาด และคงฉลาดจริง ๆ ไม่อยากนั้นก็ไม่สามารถเดินทางจากสวรรคตโลกมากรุงศรีอยุธยาได้ตัวคนเดียว
   พอตกลงกันได้แล้วทั้งสองก็พาจ้อยไปพบกับทุกคนในครอบครัว โดยขุนทับคิดว่าจะรับจ้อยมาดูแลเสมือนน้องแท้ ๆ ของตนอีกคน
   “อายุเท่าไรแล้วละพ่อคุณ พวกพี่ ๆ ก็ไม่ได้ถามสักแต่อยากเลี้ยงเด็ก เด็กน่ะไม่ได้เลี้ยงกันง่าย ๆ ดอกนะ ถึงจะไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ แล้ว แต่เด็กก็คือเด็ก มาอยู่กับย่าที่เรือนใหญ่เห็นจะดีกว่าย่าจะให้นอนห้องเก่าพ่อเรืองที่เจ้าตัวแทบไม่ได้นอนแล้ว แต่ก่อนอื่นตอบคำถามที่ย่าถามมาก่อนซิ”
   “๗ ปีแล้วจ๊ะ” เมื่อเห็นทุกคนในบ้านไม่รังเกียจตน จ้อยก็รู้สึกว่าน้ำตาของตนมันจะไหลออกมาอีกแล้ว
   “ไม่เอาไม่ร้อง ที่นี่ไม่มียักษ์ไม่มีมาร ไม่ต้อองกลัวมาเป็นหลานของย่าอีกคนก็แล้วกัน” นายหญิงใหญ่ของบ้านออกจะดีใจเสียด้วยซ้ำ ถึงจะยังไม่มีเหลนให้อุ้มแต่มีหลานมาเพิ่มก็ยังดี “คืนนี้มานอนกับย่าก่อนเห็นทีจะดีกว่า แปลกที่แปลกทางอาจนอนหลับยาก”
อยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงสัปดาห์ดีจ้อยก็รู้สึกว่าตนเองนั้นโชคดีเหลือเกินจนคิดว่าโชคทั้งหมดในชีวิตนี้ที่เหลืออยู่ อาจใช้ไปกับการได้อยู่กับครอบครัวนี้ไปหมดแล้วก็เป็นได้ แต่ละคนต่างใจดีให้ข้าวให้น้ำ พร้อมสอนหนังสือและวิชาดาบ ยิ่งวิชาดาบด้วยแล้ววันหน้าคงได้จับฟาดฟันไอ้พวกม่านที่เคยฆ่าพ่อแม่ของตน
   
   “แย่แล้ว แย่แล้วพวกมึงไอ้พวกม่านมาบุกมาแล้วหนีกันเร็ววววววววววววว” เสียงยายแม้นที่อาศัยอยู่เรือนใกล้ ๆ ตะโกนร้องบอก
พ่อกับแม่ต่างเก็บเสื้อผ้าชุดสองชุด จูงมือจ้อยคนละข้างวิ่งหนีทหารม่านไปกับคนอื่น ๆ แต่ฝีเท้าคนรึจะสู้ฝีเท้าม้า หนีไปได้ไม่ถึงสองวันดี ทหารอังวะก็เข้ามาประชิดตัวทุกคนที่อยู่ด้วยกันตอนนั้นถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น พ่อแม่ร่วมทั้งจ้อยต่างต้องโดนทำนาปลูกข้าวเมื่อให้เป็นเสบียงสำหรับพวกมัน
“อย่าอู้ ใครอู้กูจะเฆี่ยนให้ตายเลยค่อยดู ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” ไอ้ม้านคนคุ้มเชลยไม่เคยมีอำนาจมากก่อนเพราะ อยู่กรุง     อังวะก็เป็นแค่ทหารชั้นผู้น้อย ได้มีโอกาสเป็นคนมีอำนาจก็ยิ่งข่มเหงเชลย ใครที่ทำงานไม่ไหวก็โดนบังคับให้ลุกขึ้นมาทำงานต่อจนสุดท้ายล้มตายก็ยังมี แค่ทำงานแค่นี้จ้อยไม่เหนื่อยมากนักดอกเพราะ ปกติก็ช่วยพ่อกับแม่ทำนาอยู่แล้ว ปัญญามันอยู่ที่...
“เอ็งเห็นหรือไม่อีเชลยคนนั้นสะสวยใช้ได้ ข้าอยากได้มันมาทำเมียเสียจริง”
“ผัวมัน ลูกมันก็อยู่ตรงนั้น เอ็งจะไปยุ่งกับมันทำไม ไปหาอีสาว ๆ ไม่ง่ายกว่ารึ”
“ข้าจะเอาก็คือจะเอา เอ็งไม่เห็นด้วย อย่ามายุ่งก็พอ” ไอ้ม่านนรกคิดไว้แล้วว่าอย่างไรก็จะเอาเชลยกรุงศรีนางนี้มาเป็นเมียให้ได้ มันอาศัยจังหวะตอนกลางคืนเข้ามาหมายจะข่มเหงแม่ของจ้อย
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย” แม่เป็นหญิงไม่มีแรงต่อสู้มากนักทำได้แค่ตะโกนให้คนช่วย พ่อกับจ้อยรีบวิ่งเข้ามาช่วยแม่ แต่ไอ้ม่านคนนั้นมันกลับเอาดาบแทงพ่อจนพ่อล้มลงตายตรงหน้า เมื่อมันฆ่าพ่อแล้วก็หันกลับมาหาแม่อีกครั้ง แม่คิดว่าหนีไม่รอดแน่แล้ว จะอยู่ก็คงเป็นการเติมราคีให้ตนเองถึงเอาดาบที่แทงพ่อปาดคอตัวเองตายตาม
“ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย พ่อจ้าแม่จ้าอย่าทิ้งข้าไป อย่าตายนะจ๊ะ ฮือ ๆ ๆ ๆ” จ้อยร้องไห้เสียงดังจนเชลยและทหารม่านคนอื่นออกมาดู
“เสียงดังจริงโว้ยไอ้เด็กนี่ ตายตามพ่อแม่มึงไปเลยละกัน” ไอ้ระยำม่านกะฆ่าให้ตกตายไปตามกับทั้งครอบครัวยกดาบขึ้นหวังฟันเด็กน้อยให้สิ้นใจ
“พอแล้วมึง เห็นหรือไม่คนมองอยู่เยอะแยะประเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง ไอ้เด็กนี่เดี๋ยวข้าจัดการให้เอง เอาศพอีสองคนผัวเมียไปทิ้งก่อนไป๊” ว่าแล้วให้ลากจ้อยออกจากบริเวณนั้น “มานี่ไอ้หนู ตัวแค่นี้ต้องเสียพ่อกับแม่ไปพร้อมกันเวรกรรมเสียจริง ต่อจากนี้เอ็งคงต้องเลือกทางเดินของเอ็งเองแล้ว เดินไปทางนั้นนะตรงไปเรื่อย ๆ เส้นทางนี้เป็นทางเข้ากรุงศรี แต่ถ้าเอ็งจะเดินกลับหลังไปสวรรคตโลกก็ได้คงไม่มีทหารอังวะอยู่แล้วเพราะ ต้องตามทัพใหญ่มาไปรวมที่กรุงศรี แต่จะมีคนยังเหลือรอดอยู่ไหม อันนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ทำไมถึงช่วยข้า สหายเอ็งฆ่าพ่อแม่ข้าไปหมดแล้ว ทำไมเอ็งไม่ฆ่าข้าไปอีกคน” จ้อยแปลกใจเพราะ นอกจากไม่ฆ่ายังชี้ทางเดินให้อีกด้วย
“อย่ามาว่าข้าเป็นสหายกับไอ้ระยำนั้น สัตว์นรกแท้ ๆ ผู้หญิงก็จะข่มขื่น เด็กก็จะฆ่า พระเจ้ามังระพระองค์ต้องการทหารมากเกณฑ์คนทุกคนที่อยากมียศมีอำนาจมาเป็นทหาร ข้านี้เป็นทหารแท้รับไม่ได้กับการทำตัวเยี่ยงโจรเช่นนี้ ครอบครัวข้าก็มีลูกข้าอันที่จริงก็ยังเล็ก ข้าทำใจตายเด็กไม่ได้ดอก”
“ไม่กลัวข้ากลับมาแก้แค้นรึ”
“อย่าว่าแต่เอ็งเลย เป็นข้าข้าก็จะแก้แค้นให้พ่อแม่เช่นด้วยกัน แต่ข้าเป็นทหารได้รบก็ขอรบแบบทหาร ถ้าตายก็ขอตายแบบทหารเช่นกัน ให้ฆ่าคนไม่มีอาวุธข้าทำไม่ได้ดอก ไปเถอะ จงไป เลือกทางที่มีประโยชน์กับเจ้าที่สุด”
   จ้อยได้ยินก็เริ่มออกวิ่ง ใจคิดแต่จะไปกรุงศรีในเมื่อสวรรค์ยังไม่อยากให้ตนตาย ก็หวังว่าตนจะดวงแข็งพอได้แก้แค้นให้พ่อแม่ที่ตายไป แล้วโชคก็มีจริง ๆ ที่ตนได้เจอกับครอบครัวนี้ สวรรค์ยังไม่ใจดำกับตนจนเกินไปจริง ๆ

   “มาร้องไห้อะไรตรงนี้เล่าจ้อย ใครแกล้งเจ้าบอกพี่มาประเดี๋ยวพี่จะไปจัดการมันให้” เรืองเข้าใจความรู้สึกของพี่ทับตอนเป็นพี่ก็ครั้งนี้แหละ
   “ข้าแค่คิดถึงพ่อกับแม่เท่านั้น ไม่มีอะไรมากดอก ฮือ ๆ” จ้อยพยายามหยุดร้องไห้เพราะ ไม่อยากให้ผู้มีพระคุณรู้สึกไม่ดี
   “ดี ๆ อย่างนั้นฉันเป็นพ่อให้จ้อยดีหรือไม่ จริง ๆ ฉันก็อยากเป็นพี่แต่ถ้าได้เป็นพ่อคนก็คงดีไปอีกแบบ อีกอย่างฉันเป็นคนพบจ้อยคนแรกดังนั้นฉันจะเป็นพ่อให้จ้อยเอง” ยิ่งตนแต่งงานมีเหลนและหลานให้คุณย่ากับคุณพ่อไม่ได้ รับจ้อยมาเป็นลูกเห็นจะดีกว่า
   “จริงนะจ๊ะ ฉันจะกลับมามีพ่ออีกครั้งแล้วใช่หรือไม่จ๊ะ แล้วเมื่อใดฉันจะมีแม่ใหม่ละจ๊ะ” จ้อยรู้ดีว่าพ่อกับแม่ตนคงไม่ฟื้นกลับมาแล้ว แต่ถ้าตนอยู่ดีมีสุขได้พ่อกับแม่ที่อยู่บนสวรรค์คงดีใจมากกว่า มีความสุขและแก้แค้นให้พ่อกับแม่ที่ตายไปแค่นี้ก็เพียงพอ “ข้าจะไปบอกทุกคนนะว่าพ่อเรืองจะมาเป็นพ่อใหม่ให้ฉัน แล้วกำลังจะหาแม่ใหม่ให้ฉันด้วย”
   ว่าแล้วจ้อยก็รีบวิ่งไปบอกทุกคนบนเรือนว่าตนกับเรืองนั้นกลายมาเป็นพ่อกับลูกกันแล้ว และเรืองก็กำลังจะหาแม่ใหม่ให้ตนอีกด้วย
   “อะไรนะเรืองจะเป็นพ่อให้จ้อยรึ พี่ว่าพี่เป็นเองเห็นทีจะดีกว่าอายุพี่เหมาะสำหรับการมีลูกมากมาย ดังนั้นจ้อยเจ้ามาเป็นลูกพ่อเถอะ” ขุนทับชอบความคิดเรืองครั้งนี้มาก อันที่จริงอยากให้ทั้งตนและเรืองเป็นพ่อของจ้อยด้วยกันทั้งคู่
   “อย่างนั้นพี่เป็นด้วยพี่ก็เหมาะกับการมีลูกแล้วเหมือนกัน เอาอย่างนี้ถึงเจ้าจะไม่มีแม่แต่เจ้าก็มีพ่อถึงสามคนดีหรือไม่” เดือนเองนั้นก็ถูกชะตากับเจ้าเด็กตัวจ้อยนี้ตั้งแต่แรกเห็น มีรึจะยอมให้เรืองกับขุนทับรับเป็นพ่อไปสองคน พบก่อนพบหลังไม่เห็นจะเป็นปัญหา พบก็คือพบในเมื่อขุนทับยึดเรืองไปแล้ว ตนจะยึดไอ้เด็กตัวจ้อยนี้แทนเหมือนกัน


ตอนนี้เหมือนไม่มีอะไรแต่เราอยากให้เห็นว่าคนทุกชาติมีทั้งคนดี คนไม่ดีปะปนกันไป.
https://www.facebook.com/tipin1994/
https://twitter.com/Tipin_pin เราทำลิงค์เว็บใส่ข้างล่างไม่เป็นอะ  :mew5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-07-2017 20:25:09 โดย Tipin »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
ขำเดือน น้องโดนยึด เลยมายึดจ้อยซะเลย

ออฟไลน์ Tipin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • https://twitter.com/Tipin_pin
ตอนที่ 19 คำทำนาย
   “ฝนตกลงมาแล้วโว้ยยยยยยยย อีกไม่นานไอ้พวกม่านคงได้กลับเมืองมันเป็นแน่แท้” เสียงชาวบ้านร้องดังลั่นด้วยความดีใจ เพราะหลังฝนตกไม่นานก็ถึงฤดูน้ำหลาก ซึ่งไม่เคยมีข้าศึกเมืองไหนอยู่ถึงหลังน้ำหลากได้เลย
   แต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้ชาวกรุงศรีอยุธยากลับคิดผิด พวกเมืองม้านไม่เพียงไม่ยกทัพกลับอังวะแต่ฝึกซ้อมเพลงดาบอย่างขยันขันแข็ง และบังคับให้เชลยที่จับมาได้ช่วยกันปลูกข้าวในบริเวณใกล้ ๆ ค่าย
   “ท่านเนเมียวสีหบดี ฤดูน้ำหลากมาถึงเช่นนี้แล้วท่านคิดว่าเราไม่ยกทัพกลับจะดีจริง ๆ รึ” มังมหานรธาถามด้วยความสงสัย ถึงตนจะเป็นแม่ทัพใหญ่เหมือนกันและไม่ชอบที่มีคนเป็นใหญ่เท่าตนในทัพนี้เท่าไรนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมเมียวสีหบดีมีอายุมากกว่า และผ่านการศึกมากกว่าจึงจำเป็นต้องปรึกษาหารือ
   “ฤดูน้ำหลากเช่นนี้ฝ่ายเราอาจมีปัญหาก็จริง แต่หลังฤดูน้ำหลากผ่านไปไอ้พวกกรุงศรีเหล่านั้นจะต้องลำบากแทนเรา” เนเมียวสีหบดีตอบด้วยความมั่นใจ “หน้าน้ำเช่นนี้ทัพจากไหนก็มาช่วยกรุงศรีอยุธยาไม่ได้ ถือเป็นการตัดมือตัดเท้าของมัน ที่สำคัญกว่าผู้ช่วยก็คืออาหาร ฤดูนี้เป็นฤดูเพาะปลูก แต่บริเวณดังกล่าวตอนนี้ก็กลายเป็นพื้นที่ของเราไปส่วนหนึ่งแล้ว หลังจากนี้พวกมันได้อดตายอยู่ในกำแพงที่มันคิดว่าเป็นที่ปกป้องมันนั้นแหละ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ”

   “เป็นดังที่ขุนหลวงหาวัดเคยกล่าวไว้เมื่อศึกครั้งก่อน มันมาถึงเสียแล้ววันที่ไอ้ม่านไม่กลัวน้ำ” ขุนทับหน้าเคร่งเครียด
        “คงถึงเวลาเสียแล้วละกรุงศรีของเราอยู่มานานมากพอแล้ว คุณย่าขอรับกระผมว่าควรถึงเวลาให้บ่าวไพร่ตระเตรียมอาหารแห้งไว้เสียแล้วละขอรับ เผื่อเมื่อถึงเวลาเราจะได้ไม่อดตายกันไปเสียก่อน พวกเราทุกคนต้องยอมรับความจริงแล้วว่ากรุงศรีเพลานี้อ่อนแอเสียเหลือเกินและไม่ว่าจะเสียกรุงหรือไม่ แต่กระผมเชื่อว่าคนของเรายังมีคนที่มีความรู้ความสามารถ ขนาดเสียกรุงไปครั้งหนึ่งแล้วเรายังกลับมารวมกันได้ ดังนั้นถ้ามันจะเสียอีกครั้งมันก็ต้องกลับมาอีกครั้งเหมือนกัน” หลวงด้วงกล่าวเสริม
         “แล้วทางในวังเป็นอย่างไรบ้างละพ่อด้วง” นายช่างชิดถาม ถึงคิดไว้บางว่าคงย่ำแย่ไม่อย่างนั้นหลวงด้วงคงไม่พูดแบบนั้น แต่ก็ยังอยากถามด้วยความแน่ใจ
          “พระเจ้าอยู่หัวเอกทัศทรงมีรับสั่งให้พระยากำแพงเพชร*และพระยาเพชรบุรีออกรบทางน้ำในการศึกครั้งหน้า ครั้งนี้กระผมกับพ่อทับจะร่วมออกรบด้วย”
          “แล้วเรืองเล่าเจ้าไม่ออกรบกับคนอื่นด้วยรึ” เดือนถามด้วยความแปลกใจ เพราะไม่เคยเห็นครั้งใดที่ขุนทับออกรบแล้วเรืองจะไม่ตามไปถ้าไม่บาดเจ็บร้ายแรง
          “ครั้งนี้ฉันมีหน้าที่ใหญ่ต้องทำ ไปออกรบกับพวกพี่ ๆ เขาไม่ได้จ้ะ แต่ถ้าเลือกได้ฉันก็ไม่อยากทำหน้าที่ที่ได้รับหมอบหมายเลย” เรืองถอนหายใจเสียงเครียด แล้วไม่พูดอะไรต่อทำให้ไม่มีใครกล้าถามด้วยกลัวว่าอาจเป็นราชการลับก็เป็นได้

            “หน้าที่ของเจ้าสำคัญที่สุดเข้าใจรึไหม” ขุนทับถามคนรักในอ้อมกอด “ถ้าเราไปรบกันหมดทุกคนแล้วไม่รอด ใครเล่าจะดูแลคนที่อยู่ด้านหลัง แต่อย่าได้เป็นกังวลไปเราพึ่งจะมีลูกเป็นสร้อยทองคล้องใจ พี่ไม่มีวันเป็นอะไรไปแล้วทิ้งให้เจ้าต้องเป็นหม้ายดอก”
            “ยังจะพูดเล่นอีก ถ้าเราไม่ปรึกษากันก่อนว่าให้พี่ด้วงกับพี่ทับไปดูลาดเลาโอกาสรอดของกรุงศรีจากศึกครั้งนี้ละก็ ฉันไม่มีวันปล่อยพี่ไปโดยไม่มีฉันแน่ ๆ แต่อย่าได้กังวลถ้าหลังเสียศึกแล้วพี่ทั้งสองไม่กลับมา ฉันจะพาทุกคนลอบออกจากกรุงศรีไปสมทบอีกที”
            “แต่อย่าพึ่งพูดในทุกคนตื่นตระหนกละ ถ้าศึกครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดีกรุงศรีอยุธยาของเราก็อาจจะชนะไอ้ม่านก็เป็นได้”           
            “พี่ทับเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ รึจ๊ะ” เรืองดูออกว่าคนรักพูดจาปลอบโยนไปอย่างนั้น
            “เราไม่มีใครรู้อนาคตไปได้ดอกนะเรือง ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ลงความเห็นกันว่าดูศึกครั้งนี้เป็นศึกตัดสินว่าเราจะอยู่หรือเราจะไปดอก” ขุนทับกอดเรืองแน่น “นอนเสียคนดีไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วเราก็สัญญากันแล้วอย่างไรเล่าว่าหลังจบศึกใหญ่ครั้งนี้เราจะออกจากราชการมาใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน
             จำคำพี่ไว้ให้มั่นหากพี่ไม่กลับมาจงนำทุกคนเดินทางในเวลาค่ำลักลอบออกจากกรุงศรีไปสวรรคตโลกเมืองเก่าเจ้าจ้อย ค่อยฟังข่าวให้ดีถ้าพี่ไปรับเจ้าไม่ได้ เจ้าก็จงเดินทางไปหาพี่ตามข่าวที่ได้ยิน” พร้อมจูบหน้าผากลาคนรัก เวลานี้ไม่มีอะไรแน่นอนตนกับเรืองจึงต้องวางแผนเป็น ๑๐ แผนในการรับมือถ้าหากกรุงศรีอยุธยาถึงคราวเสียกรุง เพราะดูจากท่าทีแล้วไอ้ม่านมันคงไม่ทนอยู่มาเป็นปีโดยไม่ได้อะไรกลับไปเป็นแน่แท้

               รุ่งขึ้นก่อนฟ้าสางขุนทับกับหลวงด้วงต่างมารวมตัวกันกับทหารคนอื่น ๆ โดยศึกครั้งนี้พระยาเพชรบุรีเป็นทัพหน้า     พระยากำแพงเพชรเป็นทัพหลัง ทุกคนต่างขึ้นประจำการบนเรือเตรียมกายเตรียมใจในการศึกครั้งนี้เป็นมั่น ด้วยเป็นศึกแรกหลังฤดูน้ำหลากถ้าชนะได้ก็ถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยให้กับกรุงศรี และถ้าชนะได้ขุนทับจะได้กลับไปหาเรืองไปช่วยไม่ให้น้องต้องเหนื่อยคนเดียว แต่การศึกก็สำคัญจะให้หลวงด้วงไปคนเดียวก็เห็นจะไม่ดี ด้วยทั้งสามต่างเดินทางมาขอเข้าร่วมกับพระยากำแพงเพชรพร้อมกัน แต่เวลาออกศึกกลับไปคนเดียว
ในการศึกครั้งนี้หลังเคลื่อนศึกไปได้ไม่นาน ด้วยไม่เห็นกำลังข้าศึกมาตั้งรับทหารทุกคนต่างยิ่งมีกำลังใจเร่งฝีพายเป็นเท่าตัว
         “หยุดก่อน หยุด!!!!! มันแปลก ๆ ไปนะ ทัพเราก็ไม่เล็ก มากันก็อึกทึกครึกโครมไม่มีทางที่พวกม่านจะไม่ออกมาตั้งรับ” พระยากำแพงเพชรสงสัย “ตรวจดูให้ดี ๆ มันแอบซุ่มโจมตีเราจากตรงไหนรึไม่”
   “ตรงนั้นขอรับ ตรงหลังพุ่มไม้ริมน้ำ” หลวงพิชัยตะโกนตอบ “เร็วพวกเราหันปืนใหญ่ไปทางมันกันเลย”
   ฝ่ายพม่าเห็นว่าศัตรูรู้ที่ซ่อนแล้วก็ยิงปืนใหญ่ที่แอบซุ่มเอาไว้โจมตี เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวเรือทั้งสองฝ่ายต่างแตก เศษไม้ลอยตามน้ำไปพร้อมกับศพทหาร ส่วนทหารที่หนีรอดเพราะกระโดนลงจากเรือทันต่างจับดาบวิ่งเข้าหาศัตรู เสียงดาบเสียงกระสุนปืนกระทบน้ำและเรือดังสลับกันไปมา
   “ไป! บุกมันเข้าไป เราต้องเอาชัยกลับไปฝากกรุงศรีอยุธยา” พระยาเพชรบุรีตะโกนบนเรือลำแรก
   “เย้!!!!!!!” เสียงร้องรับเรียกขวัญและกำลังใจจากทหารกรุงศรีดังไปทั่วน่านน้ำ
ขุนทับเองนั้นมือสองข้างถือดาบมั่นใจคิดว่าถ้าชนะจะได้กลับไปหาคนรัก วิ่งในน้ำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เลือดของข้าศึกกระเด็นเข้าหน้าเข้าตา ใจมุ่งมั่นแต่การชนะจนไม่ได้ยินเสียงตะโกนจากข้างหลัง
   “แนวปืนใหญ่ขอรับ พระยาเพชรบุรี พ่อทับกลับมา กลับมาเดี๋ยวนี้” หลวงด้วงตะโกนบอกด้วยความเป็นห่วง “กลับมาเดี๋ยวนี้ พระยากำแพงเพชรขอรับสั่งยิงปืนใหญ่ไปบนค่ายปืนเถอะขอรับ”
   “หันหัวปืนใหญ่ไปทางค่ายเร็วเข้า” พระยากำแพงเพชรเองก็กังวลไม่แพ้กัน “เร็ว! เร็วเข้า พระยาเพชรบุรีขอรับถอยเร็วขอรับ”
   แต่เสียงมากมายบริเวณนั้นต่างดังกลบเสียงตะโกนไปหมดสิ้น ฝั่งพม่าเองเห็นแม่ทัพกรุงศรีอยุธยาเข้ามาใกล้วิถีกระสุนก็สั่งยิงออกไป
   “ตู้ม!!!” กระสุนปืนวิ่งเข้าใส่เรือพระยาเพชรบุรีในทันที ร่างของท่านโดนแรงระเบิดเอาไปเต็ม ๆ เลือดสาดกระจายเต็มลำน้ำนั้น ส่วนขุนทับเองก็โดนแรงสะเก็ดกระสุนเข้าจนตัวลอยตามแรงปะทะ
   “ท่านพระยา” / “พ่อทับบบบบบบบบบบบ” หลวงด้วงรีบกระโดดลงน้ำไปหาร่างของน้องที่จมไปในน้ำ
   “ยิงค่ายของมันเดี๋ยวนี้” พระยากำแพงเพชรออกเสียงสั่งด้วยความโกรธเกรี้ยว
แต่ถึงจะยิงปืนใหญ่บนค่ายจนแตกได้ แต่ด้วยกำลังพลที่น้อยกว่า และหนึ่งในสองแม่ทัพใหญ่ก็เสียชีวิตแล้ว พระยากำแพงเพชรต้องจำใจประกาศถอยทัพขึ้นบก

   “พ่อทับ พ่อทับน้องพี่เจ้าอย่าเป็นอะไรไปนะ” หลวงด้วงลากน้องชายเพียงคนเดียวขึ้นบนน้ำ “ใครก็ได้ช่วยน้องฉันด้วย” น้ำตาลูกผู้ชายไหลมาอีกครั้ง ตนเสียพ่อในสนามรบไปครั้งหนึ่งแล้วไม่อยากเสียน้องไปอีกคน
   “สะเก็ดกระสุนโดนไปหลายส่วนของร่างกายเลย เลือดก็ออกมามากเช่นเดียวกัน โอกาสรอดมีไม่สูงนัก ขึ้นอยู่ที่กำลังใจเป็นหลักแล้วแหละทีนี้ ฉันก็ช่วยได้แค่ไม่ให้แผลอักเสบมากไปกว่านี้และห้ามไม่ให้เลือดไหลออกมาเพิ่มเท่านั้นแหละพ่อ” หมอในกองทัพก็บอกอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้เมื่อเห็นแผลที่เต็มไปทั้งใบหน้าและลำตัว
   “พ่อทับอย่าทิ้งพี่ไม่อีกคนนะพี่ขอร้อง จะให้พี่เผาทั้งศพพ่อและศพน้องพี่ทำใจไม่ไหวดอกนะพ่อ” เห็นสภาพน้องที่นอนแน่นิ่งมีเพียงลมหายใจอ่อน ๆ ที่ไม่แน่ใจว่าจะหยุดไปเมื่อไร

   “พ่อเรืองเป็นอะไรจ๊ะ” จ้อยตะโกนลั่นหลังเห็นพ่อสามของตนลงไปนั่งหอบหายใจอยู่กับพื้น
   “ไม่รู้สิจ้อย อยู่ ๆ พ่อก็รู้สึกใจหาย รู้สึกไม่ดีอย่างไรไม่รู้” เรืองใจหายคิดไปถึงขุนทับ อาการนี้ไม่เคยเกิดมาก่อนเลย แล้วทำไมมันต้องมาเกิดตอนพี่ทับไม่อยู่ด้วยก็ไม่รู้
   “มานั่งทำอะไรกันอยู่ตรงนี้” เดือนเดินเข้ามาถามด้วยความสงสัย
   “พ่อสามเป็นอะไรไปก็ไม่รู้จ้ะพ่อใหญ่ ฉันมาเห็นก็นั่งอยู่ตรงนี้แล้ว” จ้อยไม่เข้าใจอาการที่เรืองพูดออกมาเท่าไรนัก
   “เป็นอะไรไปละเรือง เจ้าจ้อยมันจะร้องอยู่แล้ว ไหนบอกพี่มาสิเป็นอะไร”
   “ฉันรู้สึกใจหายจ้ะพี่เดือน จะเกิดอะไรกับพี่ทับรึเปล่าก็ไม่รู้”
   “จะบ้ารึ เจ้าไม่สบายจะไปเกี่ยวกับขุนทับที่ไปออกรบได้อย่างไร เจ้าเป็นหมอดูรึก็เปล่า” เดือนไม่รู้ดอกว่าจะเกี่ยวกันไหม แต่จะปล่อยให้น้องของตัวเองต้องเป็นกังวลไปก่อนละก็ ไม่มีทางที่ไอ้เดือนคนนี้จะพูดออกไปเด็ดขาด
   “ก็จริง ฉันคงกังวลมากไปเลยคิดเป็นเรื่องเป็นราว จะไปมีอะไรได้อย่างไรฉันไม่ใช่พวกมีคาถาอาคมเสียหน่อย จะไปรู้เหตุการณ์ที่ตนไม่เห็นได้อย่างไร” เรืองปลอบตัวเองไปพร้อมกัน เพราะไม่อยากให้เป็นเหมือนที่ตนต้องกังวล
   “ไป ๆ จ้อยถ้าพ่อเรืองไม่สบายก็ให้พ่อเรืองไปพัก ไม่ต้องซ้อมแล้วดาบ ไปเดินตลาดกับพ่อเดือนดีกว่า” ถึงจะห่วงน้องแต่นี่ก็เป็นโอกาสดีที่จะยึดจ้อยให้ไปกับตัวเองมีรึที่เดือนจะไม่รีบคว้าโอกาสนี้ไว้
   “ไปจ้ะไป พ่อเรืองก็พักผ่อนให้มาก ๆ นะจ๊ะ ประเดี๋ยวฉันจะไปซื้อของกินอร่อย ๆ มาให้” ว่าแล้วจ้อยก็จูงมือเดือนไปออกไป ส่วนเดือนเองเห็นเด็กตัวน้อยจับมือก็ยิ้มกว้างหน้าบาน

   เสียดายที่เรืองกับขุนทับไม่ได้ยินเสียงเตือนที่ลอยตามลมมาตั้งแต่ก่อนออกรบ
‘มีเหตุร้ายใหญ่โตอย่าได้ห่างกันโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคนใดคนหนึ่งจะต้องเลือดตกยางออก อย่างน้อยอาจแค่เจ็บตัว แต่ถ้าช่วงนั้นเป็นช่วงดวงตกละถึงตายได้’

พระยากำแพงเพชร* คือ ยศใหม่ของพระยาตาก



ขอโทษจริง ๆ ที่หายไปนาน ไปทำธุระที่กทม.มา ไม่ว่างจับคอมเลย

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ไม่น่าลืมคำเตือนนั้นเลย

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
อย่าตายเลยนะสงสารจริงๆ

ออฟไลน์ Tipin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
    • https://twitter.com/Tipin_pin
ตอนที่ 20 เสียกรุง
   “พระยาเพชรบุรีเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนไอ้พระยากำแพงเพชรก็หนีทัพ ไอ้ทหารเลวทำศึกครั้งนี้แพ้แล้วยังหนีไม่กลับมารับผิดชอบความผิดที่ทำไปอีก” จมื่นไวยเวททำเป็นพูดกับขุนนางคนอื่นเพื่อให้เข้าถึงพระกรรณพระเจ้าเอกทัศ ทั้งที่ใจยิ้มหยันสะใจ เนื่องด้วยถ้ากรุงศรีแตกในคราวนี้ตนคงได้รับบําเหน็จอย่างงามจากกษัตริย์เมืองม่านเป็นแน่
   “ช่างหัวมัน ใครจะหนีทัพก็ช่างมันไปก่อน หลังศึกครั้งนี้จบกูนี่แหละจะให้พวกมึงไปลากอ้ายอีทหารที่มันหนีทัพกับมารับอาญาให้หมดสิ้น ตอนนี้การศึกสำคัญกว่า เตรียมไพร่พลให้พร้อมการศึกครั้งนี้เห็นที่จะเป็นศึกใหญ่ครั้งสุดท้ายของเราชาวกรุงศรีก็เป็นได้” อันที่จริงพระองค์ทรงรู้พระทัพอยู่เต็มอกว่าศึกครั้งนี้กรุงศรีคงเสียเป็นครั้งที่สองเป็นแน่แท้ “ตีกลองศึกให้พร้อมเหล่าทหารกล้าแห่งกรุงศรี ศึกครั้งนี้เราจะมีชัยเหนือไอ้ม่าน!!!!!!!”
   ถึงจะตรัสให้ทุกคนออกศึก แต่ก่อนจะถึงเวลาพระเจ้าเอกทัศทรงเรียกหมื่นมิ่งเข้าเฝ้าส่วนพระองค์เอง “ไอ้มิ่ง มึงฟังคำกูให้ดี ตัวกูนั้นเป็นกษัตริย์ที่เลว ในวันข้างหน้าไม่ว่าจะอีกกี่ร้อยกี่พันปี ลูกหลานก็คงจะยังตราหน้าว่ากูเป็นกษัตริย์ที่ทำให้กรุงศรีแตก”
   “กรุงศรียังไม่แตกนะเกล้านะกระหม่อน กรุงศรียังต้องอยู่ไปอีกเป็นร้อย ๆ ปี” ถึงจะรู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ต้องมาได้ยิ่งกษัตริย์ที่ทรงเลี้ยงดูตนมาตั้งแต่เด็กตรัสเช่นนี้ ก็ไม่อาจไม่แก้ไขได้
   “มึงอย่าโกหกกูไอ้มิ่ง กูเห็นมึงมาตั้งแต่เด็ก จุกมึงกูก็ทรงเป็นประธานโกนให้ อันที่จริงกูรักมึงเหมือนลูกเหมือนหลาน กูถึงทำปิดหูปิดตา แต่กูพึ่งรู้ว่าพ่อมึง ไอ้จมื่นไวยเวทมันรวมหัวกันโกงบ้านโกงเมือง แต่กูก็รู้ว่ามึงขัดพ่อไม่ได้ วังนี้เหมือนกว้างแต่มันแคบนักนะมึง กูรู้ว่ามึงกับไอ้ขุนทัพเป็นสหายสนิทกัน ไปเสีย ไปหาไอ้ขุนทัพ กูรู้ว่าพระยากำแพงเพชรมันเป็นคนรักชาติ มันไม่ปล่อยให้กรุงศรีแตกนานนักดอก ตามไปสมทบพวกมัน กอบกู้กรุงศรีของเรา ฝากบอกลูกหลานชาวกรุงศรีด้วย ว่ากูอ้ายขุนหลวงขี้เรื้อนที่พวกมึงพูดกัน เป็นกษัตริย์ที่รักษากรุงศรีไว้ไม่ได้ กูหวังว่าวันหนึ่งพวกมึงจะกลับมา กลับมาให้กรุงศรีของเราเป็นไทอีกครั้งหนึ่ง”
   หมื่นมิ่งน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสอง ตนนั้นรักพระเจ้าแผ่นดินยิ่งกว่าพ่อของตนเองเสียด้วยซ้ำ ของคาวหวานที่พระองค์จะเสวยแค่ตนแอบมองนิดเดียวของเหล่านั้นก็จะเหลือมาถึงตนเสมอ ๆ
   “รับราชโอการใส่เกล้าใส่กระหม่อน ข้าพระพุทธเจ้าจะกลับมากอบกู้กรุงศรี จะกลับมาแน่นอน”
   หลังรับราชโองการสุดท้ายหมื่นมิ่งก็โดนไล่ให้ออกจากวังไปทางด้านหลัง เพื่อลอบเดินทางไปสมทบกับทัพของพระยากำแพงเพชร ซึ่งตนเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหน ส่วนพ่อเมื่อนึกถึงบทสนทนากับพ่อก็ได้แต่ส่ายหน้า
      ย้อนกลับไปเมื่อหลังจากหมื่นมิ่งไปเรือนจมื่นไวยเวทแล้วกลับมาเล่าเรื่องราวแผนการของไอม่านทั้งหมดที่รู้กับพระยาสรไชยผู้พ่อ
“อีกนานแค่ไหนวะไอพวกม่านมันจะเข้าตีกรุงศรี” พระยาสรไชยถามลูกชายเมื่อกลับมาถึงเรือน
      “อีกไม่นานแล้วขอรับเจ้าคุณพ่อ แต่ทำไมเจ้าคุณพ่อถึงคิดไปเป็นพวกเดียวกับไอม่านละขอรับ”
      “ใครว่ากูอยากเป็นพวกไอม่านละไอลูกโง่ ไม่ได้ความฉลาดของกูมาเลยจริง ๆ มึงไม่เห็นรึบ้านเมืองกำลังอ่อนแอ ขุนหลวงเอกทัศก็ไม่เป็นที่นิยมของชาวบ้านและขุนนางแล้ว ขุนหลวงอุทุมพรก็คงไม่สึกเพราะ ไม่อยากเป็นพระสามวัดถ้าต้องบวชอีก ทีนี้ประชาชนมันก็ต้องหาใครสักคนที่ขึ้นมาศูนย์รวมใจ ที่นั้นละมึงกูนี่ละไอพระยาสรไชยคนนี้จะลุกขึ้นสู้กับไอม่าน รู้ว่าควรทำอย่างไรถึงจะชนะ แต่กูนี่ละที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่ของกรุงศรอยุธยา ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
      หมื่นมิ่งไม่คิดเลยว่าพ่อของตนจะมักใหญ่ใฝ่สูงขนาดอยากขึ้นเป็นกษัตริย์เสียเอง แต่ถึงอย่างนั้นด้วยการถูกเลี้ยงมาอย่างนี้ทำให้หมื่นมิ่งไม่กล้าแสดงความคิดเห็นขัดพ่อของตน ได้แต่ภาวนาให้ภัยร้ายครั้งนี้ผ่านไปได้เหมือนเมื่อก่อน
   ถ้าถึงคราวต้องมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่จริง ๆ ก็ขอให้เป็นคนดีที่ทำให้บ้านเมืองเป็นสุขเสียยังดีกว่า



เราหายไปนานเลย เราเริ่มทำงานแล้วปรับเวลาไม่ถูก ขอโทษนักเขียนจริงๆที่หายไปเฉยๆ วันนี้เลยเอาแค่25% ก่อน มาให้หายคิดถึงกันก่อน เผื่อมีคนคิดถึง จะพยายามแต่งให้ยาวๆนะคะเพื่อเป็นการขอโทษ

ออฟไลน์ .B.F.I.R.S.T.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ยังรออยู่นะคะะ :sad4: :hao5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด