พิมพ์หน้านี้ - ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่20 25% (28/09/60)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: Tipin ที่ 17-04-2017 21:41:38

หัวข้อ: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่20 25% (28/09/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 17-04-2017 21:41:38
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

***=================================================***
สวัสดีค่ะ นี้เป็นนิยายเรื่องแรกของเรา มีอะไรติชอบ บอกกล่าวกันได้นะ หรือว่าเราทำอะไรผิดก็บอกได้ พึ่งสมัครด้วย ไม่เคยตั้งกระทู้มาก่อนเลย
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายย้อนยุค สมัยปลายอยุธยา ผิดพลาดอย่างไรบอกกันได้นะคะ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายย้อนยุค) ตอนที่1
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 17-04-2017 21:44:50
บทที่ 1 แรกพบ
   เสียงไก่ขันประสานกับเสียงคุยแซ่ซ้อดังสลับกันไปทั่วบริเวณเรือน ปลุกให้ร่างเล็กตื่นจากการนอนหลับ เก็บที่นอน หมอน มุ้ง ให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้ย่าเอ็ด
   “ตื่นแล้วหรือขอรับคุณหนูน้อย” เสียงหนึ่งดังออกมาเมื่อร่างเล็กเดินข้ามธรณีประตู
   “ยังไม่ตื่นเลยอ้ายขาว ที่เห็นฉันออกมานี้ ฉันละเมอ” เสียงเล็กตอบกลับ พร้อมรอยยิ้มทะเล้น “แล้วนี้เสียงแซ่ซ้อดังไปสามบ้านแปดบ้านแบบนี้ คุณย่าท่านไม่เอ็ดตะโรแย่รึ”
   “คุณหนูน้อยของบ่าวก็ช่างตอบ ส่วนเรื่องเสียงดังแม่นายใหญ่ไม่ว่าหรอกขอรับ ออกจะดีใจด้วยซ้ำ อย่าบอกบ่าวนะขอคับว่าคุณหนูน้อยลืมว่าพรุ่งนี้วันอะไร” บ่าวชราตอบ พร้อมถามกลับ
   “ฉันจะลืมได้อย่างไรเล่า ขืนฉันลืมนอกจากโดยคุณย่าหยิกจนเนื้อเขียว ฉันยังอาจโดนพี่จันงอนเป็นเดือน ๆ ก็เป็นได้ ยิ่งพี่จันจะแต่งงานออกเรือนไปแล้ว ฉันยิ่งง้อได้ยากขึ้นกันพอดี” คุณหนูน้อยของบ้านตอบ พร้อมทำหน้าราวกับกลัวซะเต็มประดา “เอออ้ายขาว ฉันไปอาบน้ำก่อนดีกว่า ขืนรอเวลานานกว่านี้คุณย่ามาเห็นจะหาว่าฉันตื่นสาย” ว่าแล้วก็เดินไปท่าน้ำเพื่ออาบน้ำ แต่งตัว

   โชคดีที่หลังอาบน้ำ แต่งตัว พร้อมเกล้าจุกเสร็จก็ได้เวลากินอาหารเช้าของที่บ้านพอดี ร่างเล็กรีบกลับขึ้นเรือนเพื่อให้ทันเวลา ไม่ฉะนั้นได้โดนคุณย่าว่าเสียงดังให้อายบ่าวไพร่เป็นแน่
   “มาแล้วรึพ่อตัวดี มาได้เวลาพอดี มานี้มะ มานั่งข้างย่า รีบกินข้าวจะได้ไปช่วยเขาตระเตรียมงานแต่งให้พี่สาวเจ้า” แม่นายใหญ่ของบ้านกวักมือเรียกหลานคนเล็กมาหา
   “คุณย่าจะให้ฉันช่วยอะไรรึจ๊ะ มีแต่หน้าที่ผู้หญิง ให้ไปช่วยเย็บปักถักรอยฉันไม่เอานะจ๊ะคุณย่า” ร่างเล็กตอบ พร้อมทำหน้ากลัวเสียเต็มประดา เพราะพึ่งโดนเข็มตำมือพรุนมาตั้งแต่เมื่อวาน เนื่องจากงานแต่งงานได้ฤกษ์กระชั้นชิด ทำให้ทั้งหญิง และชายในบ้านต่างต้องช่วยกันเย็บที่นอน หมอน มุ้ง เพื่อนำไปใช้ในเรือนแต่ง
   “ถ้าไม่อย่าเย็บหมอน เจ้าก็ไปสานตะกร้า กระบุง เพื่อให้พี่เจ้าได้ใช้เมื่อออกเรือนก็ได้” หญิงชราบอกหลานชาย
   “นั้นก็ไม่ใช่หน้าที่ผู้ชายอยู่ดีนิจ๊ะคุณย่า ไม่มีอะไรที่เป็นหน้าที่ผู้ชายให้หลานทำหรือจ๊ะ” หลานชายถามหน้าบึ้งเล็กน้อย เพราะไม่อยากทำงานของผู้หญิงที่ต้องนั่งอยู่กับที่ แถมบ่าวไพร่หญิงในบ้านยังคุยกันแต่เรื่องที่ตนไม่เข้าใจ
   “ทำงานนี้แหละเชื่อย่าเถอะ เพราะหัวหน้าใหญ่คุมงานนี้ก็เป็นผู้ชาย ไม่มีผู้หญิงอยู่บริเวณนั้นเลย ไปเถอะพ่อเรืองเชื่อย่า เขาสานอยู่ที่เรือนริมน้ำ รีบไปอย่าพิรี้พิไร”
   
   เจ้าตัวรู้ดีว่าขัดใจคุณย่าไม่ได้แน่ และถ้ายังอิดออดอาจโดนหยิกจนแขนเขียวแถมไปด้วยแน่ ถึงรีบไปยังเรือนริมน้ำ เมื่อถึงเรือนก็เห็นพ่อของตนกำลังนั่งคุยกับผู้ชายคนหนึ่งจึงไม่กล้าเดินเข้าไปหากลัวเขากำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่
   “อ้าวพ่อเรืองมาทำอะไรแถวนี้” นายช่างชิดหันมาเห็นลูกชายคนเล็กยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่บริเวณหน้าเรือนริมน้ำ ร้องเรียก พร้อมกวักมือเรียกให้เข้าไปในเรือน
   “คุณย่าให้ฉันมาช่วยใครก็ไม่รู้สานตะกร้าจ๊ะพ่อ ไม่รู้ด้วยจะสานไปทำไม ไม่เห็นจำเป็นต่องานแต่งพี่จันเลยจ๊ะ” เรืองตอบพ่อพร้อมทำหน้ายุ่ง เมื่ออยู่ลับหลังคุณย่าคุณหนูน้อยของบ้านก็ออกฤทธิ์เดชไม่เกรงใจใคร ด้วยตนเป็นลูกคนเล็ก และเป็นลูกหลงของบ้านด้วย ทำให้คุณพ่อ และพี่ๆ ต่างตามใจ
   “สงสัยคุณย่าจะอยากให้เราได้รู้จักกับพี่เขา มานั่งนี้พ่อเรือง พ่อจะแนะนำให้รู้จักกับขุนทับ ขุนทับเขาเป็นน้องชายหลวงด้วงคู่หมายที่จะมาแต่งกับแม่จันพี่สาวเจ้าพรุ่งนี้แล้ว” นายช่างชิดแนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกัน เพราะต่อไปทั้งสองตระกูลจะดองกันอยู่แล้ว
   ผู้ชายตรงหน้าเรืองคนนี้รูปร่างสูง กำยำ ผิวคล้ำ อายุประมาณ 17-18 เมื่อแรกสบตาเรืองก็รู้สึกได้ทั้งที่ว่าคนผู้นี้ต้องเป็นทหารกล้ารับใช้องค์ภูมินทร์เป็นแน่แท้ เพราะเจ้าตัวมีดาบลักษณะดีอยู่ข้างกายไม่ห่าง
   “ฉันไหว้จ้ะพี่ทับ คุณย่าให้ฉันมาช่วยพี่ทับสานตะกร้า กระบุง แต่ฉันทำไม่เป็นนะจ๊ะ พี่ทับคงต้องช่วยสอนฉัน” เรืองทักทาย และบอกว่าตัวเองทำงานไม่เป็นเพื่อพี่ชายตรงหน้าจะขี้เกียจสอน ตนจะได้ไม่ต้องทำงาน แต่เหมือนคนตรงหน้าจะรู้ความคิด ก็เล่นกึ่งยิ้มกึ่งขำส่งมาให้
   “ไม่เป็นไรพี่สอนพ่อเรืองได้ ถ้าพ่อเรืองอยากทำ แต่ถ้าไม่อยากก็ไม่เป็นไรนะจ๊ะพี่ทำคนเดียวได้ เดี๋ยวพี่บอกคุณย่าใหญ่ให้” คนตรงหน้ากล่าว
   บ้าสิ ถ้าบอกว่าไม่อยากทำมีหวังคนตรงหน้าได้ไปฟ้องคุณย่าแน่ โดนบ่นไม่เท่าไร แต่ถ้าโดนหยิกหรือโดนตี มีหวังพรุ่งนี้คนได้ถามทั้งงานแต่งพี่จันแน่ว่าไปทำอะไรมา
   “ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันอยากทำพี่ทับช่วยสอนฉันหน่อยว่าจะต้องทำอย่างไร แล้วเหลืออีกเยอะไหมจ๊ะกว่าจะเสร็จ จะเสร็จทันงานแต่งพี่จันวันพรุ่งนี้หรอ ถ้าฉันเริ่มทำตอนนี้” ถึงปากบอกจะช่วย แต่ก็ยังถามเผื่อตัวเองจะได้ไม่ต้องทำอยู่ดี
   “หึๆๆๆ แสบจริงๆนะคุณหนูน้อยบ้านช่างทอง พี่หยอกเจ้าเล่นดอก พี่ทำเสร็จหมดแล้ว ไม่มีอะไรให้เจ้าช่วยแล้ว นี่พี่ว่าจะไปเดินเล่นมุมเมืองตะวันออกเฉียงใต้ซักหน่อย จะไปหาซื้อผ้าแพรจากร้านชาวจีนบริเวณนั้น เจ้าอยากไปกับพี่ไหม” ขุนทับถาม แต่เห็นจากสีหน้าก็พอรู้คำตอบจากเด็กน้อยตรงหน้าว่าจะตอบเยี่ยงไร
   “ไปจ้ะไป แต่ไปแค่ซื้อผ้าแพรแล้วกลับรึจ๊ะ เดินเที่ยวเล่นดูของค้าของขายอย่างอื่นที่ตลาดชาวจีนแถวนั้นต่อไม่ได้รึ พี่ทับจ๋า” เรืองอ้อนเหมือนที่อ้อนพี่เดือนพี่ชายคนโต ทำแบบนี้ครั้งใดพี่เดือนใจอ่อนทุกคราว หวังว่าพี่ทับจะใจอ่อนแบบพี่เดือน
   “ถ้ามีเวลาเหลือนะ พี่ถึงจะพาเจ้าเที่ยวได้” ทับบอก ทั้ง ๆ ที่ใจอ่อนกับเด็กน้อยตรงหน้าแล้ว แต่ได้ยินเสียงลือมามากว่าลูกชายคนเล็กบ้านนายช่างทองชิด เอาแต่ใจไม่มีใครปราบได้ ทำได้มากสุดก็คุณย่าที่ได้แค่ตีนิด หยิกหน่อย พ่อตัวดีก็ร้องลั่นบ้านเหมือนจะถูกฆ่าให้ตายอย่างนั้นแหละ ตนจึงไม่อยากตามใจมาก เพราะเดี๋ยวยิ่งโตจะยิ่งสอนยาก แล้วจะมีปัญหา
   “ถ้าอย่างนั้นรีบไปซิจ๊ะ จะรออะไร ถ้าสายตลาดขนมก็วายหมด” ไม่พูดเปล่าเรืองจับแขนคนตัวใหญ่ ลากให้เดินตามไป จะได้มีเวลาเที่ยวเล่นตลาดจีนให้เต็มที่
   คิดอีกที่พี่ชายคนใหญ่คนนี้ก็ดีไม่น้อย นอกจากทำให้ตนเองไม่ต้องช่วยงานผู้หญิง หรือสานตะกร้าแล้ว ยังพาตนเองไปเที่ยวเล่นด้วย ต่อไปต้องเข้าหามาอ้อนบ่อย ๆ แล้ว จะได้มีคนรับหน้าคุณย่าเวลาพาไปเดินเที่ยว เพราะคุณย่าคงไม่กล้าว่ามาก เนื่องจากเป็นแค่ญาติมาดองเฉย ๆ ไม่ใช่ญาติสายตรง
   

ปล. นิยายสั้นไปไหมอะ บอกได้นะ เป็นนิยายเรื่องแรก อาจกำหนดความยาวของบทไม่ถูก
เรื่องนี้เรายังไม่ได้ตัดสินใจนะว่าจะให้ใครเป็นพระเอก นายเอก เวลาเปลี่ยน อะไรก็อาจะเปลี่ยน

http://www.facebook.com/tipin1994 เพจเรานะไปกดlike หรือติชมในเพจก็ได้นะ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่2 (22/04/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 22-04-2017 17:14:24
บทที่ 2 คำสัญญา
      ตลาดมุมเมืองตะวันออกเฉียงใต้เต็มไปด้วยร้านค้า และบ้านเรือนของชาวจีนที่มาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา  เสียงตะโกนโหวกเหวกขายของมีทั้งของแปลกตา และที่เคยผ่านตาเรืองเต็มไปหมด คุณหนูเล็กบ้านช่างทองไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวเล่นแบบนี้มากนั้น ด้วยตนเองเป็นลูกหลง ทำให้ไม่มีสหายวัยเดียวกัน พี่ ๆ ก็โตกันหมดแล้ว พี่เดือนพี่คนโตก็ช่วยพ่อดูแลคนงานทำทอง ส่วนพี่จันพี่คนรองก็เป็นผู้หญิงจะพูดคุยอะไรกัน เรืองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจนัก วันนี้โชคดีจริง ๆ ที่ได้มาเจอพี่ทับ ต่อไปต้องอ้อนขอให้พามาเที่ยวบ่อยๆเสียแล้ว
      “พี่ทับขอรับ จะซื้อผ้าแพรร้านไหนรึขอรับ หรือจะเดินเรื่อย ๆ ค่อยดูไปที่ละร้านขอรับ” ใจจริงเรืองอยากให้พี่ทับค่อย ๆ ดู ตนจะได้มีเวลาเดินดูร้านอื่นไปด้วย
      “มีร้านที่จะดูอยู่แล้วจ้ะ แต่ถ้าเจ้าอยากเดินเล่น พี่พาเจ้าเดินได้นะ ร้านผ้าแพรที่พี่จะไปเปิดถึงเย็น ไม่ต้องรีบไปก็ได้ คุณแม่ของพี่มาสั่งไว้นานแล้ว พี่แค่มารับแทนเฉย ๆ”
      “จริงนะจ๊ะ พี่ทับจะพาฉันเที่ยวตลาดจีนตรงนี้ให้เต็มที่เลยใช่ไหมจ๊ะ” เรืองร้องดีใจตัวโย แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนไม่ได้พกอัฐมา “พี่ทับจ๋า เรืองไม่ได้พกอัฐมา เรืองขอยืมอัฐพี่ทับหน่อยได้ไหมจ้ะ” เรืองถามเสียงอ้อน
      “เอาสิ ไม่ต้องยืมก็ได้ พรุ่งนี้เราก็จะดองเป็นญาติกันอยู่แล้ว ถือเสียว่าพี่เป็นพี่ชายเจ้าอีกคน”
      “ขอบคุณจ้ะ พี่ทับใจดีเสียจริง ครั้งหน้าเราได้เที่ยวไหนก็อีกดีจ๊ะ” เมื่อเห็นโอกาสมีหรือที่ไอเรืองคนนี้จะไม่คว้าไหม
      “ชิชะ ไอเด็กนี่ร้ายเสียจริงนะตัวแค่นี้ ได้สิเจ้าอยากไปเที่ยวไหน ถ้าว่างพี่จะพาไป แต่วันนี้คงได้แค่ตลาดจีนตรงนี้แหละ เพราะพี่ต้องเอาผ้าแพรกลับไปให้คุณแม่ของพี่”


      ระหว่างทางก่อนถึงร้านขายผ้าแพร เรืองพาขุนทับเข้าร้านโน้นร้านนี้เสมือนว่าตนเองมาบ่อยเสียเต็มประดา และทุกร้านที่เข้าก็มีเหตุให้ขุนทับเสียอัฐทุกร้านไป สรุปวันนี้นอกจากผ้าแพรที่ขุนทับตั้งใจมารับแทนคุณแม่แล้วนั้น เห็นที่จะได้ก็แต่ขนมของเจ้าตัวยุ่งนี้แหละ
      “ขนมของชาวจีนนี้อร่อยจริงๆนะจ๊ะ อร่อยพอๆกับขนมไทย ขนมมอญที่ฉันกินบ่อยๆเลย” เรืองพูดทั้ง ๆ ที่ขนมยังเต็มปากอยู่ “นี่จ้ะพี่ทับ ขนมร้านนี้อร่อยฉันแบ่งให้พี่ทับกิน” พร้อมหยิบขนมป้อนใส่ปากขุนทับ
      “เจ้าเด็กนี้ อัฐก็อัฐพี่ยังมีหน้ามาบอกว่าแบ่งให้” ขุนทับกล่าวพร้อมลูบหัวเรืองด้วยความเอ็นดู เนื่องจากตนเองก็เป็นน้องคนเล็กของบ้านเหมือนกัน พอสองบ้านดองกันตนก็จะได้มีโอกาสเป็นพี่แล้ว
      “แหม ฉันก็บอกแล้วอย่างไรจ๊ะว่าฉันขอยืม ขอยืมแปลว่าฉันจะคืน ดังนั้นขนมนี้ก็เป็นของฉัน ฉันแบ่งให้พี่ทับก็ถูกแล้วสิจ๊ะ” เรืองยิ้มแป้นตอบ
      “จ้าๆ ขนมของเรืองก็ขนมของเรือง พี่ต้องขอขอบคุณน้ำใจของน้องเรืองมากจริง ๆ ที่แบ่งปันขนมมาให้พี่ได้กิน ถ้าไม่มีน้องเรืองพี่ก็ค่อยไม่มีโอกาสได้กินขนมอร่อยขนาดนี้แน่ ๆ”
      “แน่นอน ถ้าไม่มีฉันพี่ทับไม่มีทางได้กินขนมอร่อยขนาดนี้แน่ ๆ ดังนั้นคราวหน้าพี่ทับต้องพาฉันออกมาเที่ยวใหม่นะ พี่จะได้มีขนมอร่อย ๆ แบบนี้กินบ่อย ๆ” มีหรือที่เรืองจะไม่รับความดี ความชอบนี้
      “เอาเถอะ เอาเถอะ พี่คงเถียงสู้เจ้าไม่ได้ เอาเป็นว่ารีบกลับกันดีกว่า เย็นมากแล้ว ถ้าเจ้ากลับช้าระวังจะโดนคุณย่าใหญ่เอ็ด” กล่าวจบหนึ่งผู้ใหญ่ หนึ่งเด็กก็พากันเดินกลับบ้าน

----------------------------------------------------------------
      “กลับมาแล้วรึพ่อตัวดี ย่าให้ไปช่วยขุนทับเขาสานตะกร้า หายไปตั้งแต่เช้า ให้อ้ายขาวไปตามที่เรือนริมน้ำมากินข้าวเที่ยงก็ไม่เจอ ตะกร้าสานเสร็จแล้วรึ ถ้าไม่เสร็จนะย่าจะตีให้หลังลายไปแต่งงานพี่เจ้าแน่” ยังไม่ทันขึ้นเรือนดี เสียงคุณย่าก็เอ็ดดังขึ้น
      “ตะกร้าไม่ได้สานจ้ะ แต่ฉันไปช่วยแล้วจริง ๆ นะจ๊ะ ฉันถามพี่ทับแล้วว่ามีอะไรให้ช่วยไหม พี่ทับบอกว่าทำเสร็จหมดแล้ว ฉันจะกลับมาช่วยบ่าวไพร่ผู้ใหญ่ที่เรือนเย็บที่นอน แต่พี่ทับให้ฉันไปช่วยถือผ้าแพรที่ตลาดจีนตรงประตูเมืองทิศตะวันออกเฉียงใต้นู่นนะจ๊ะ ฉันก็เลยไปช่วยไม่ได้หนีงานนะจ๊ะ” พ่อตัวดีของบ้านตอบเหมือนตนเองไม่ได้อยากไป แต่ถูกบังคับไป
      “จริงรึพ่อทับ เป็นอย่างที่พ่อตัวดีพูดไหม บอกย่ามาตามจริงนะ อย่าได้ช่วยพ่อตัวดีปิดย่าเชียว” นายหญิงใหญ่ของบ้านหันมาถามขุนทับ เพราะรู้ดีว่าหลานชายตัวดีของตน ถ้าตอบแบบนี้แล้วไม่มีทางเปลี่ยนคำตอบแน่ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ
      “จริงขอรับคุณย่าใหญ่ กระผมสานเสร็จตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้มาพูดคุยกับคุณอาชิดเฉย ๆ ขอรับ พอเห็นว่าคุณย่าให้พ่อเรืองมาช่วยกระผม กระผมจึงให้พ่อเรืองไปช่วยกระผมถือผ้าแพรที่ตลาดจีน ผู้ชายไปซื้อคนเดียวคงแปลกพิลึก กระผมเลยให้น้องไปด้วย” ขุนทับตอบตามที่ใจคิดแต่แรกอยู่แล้วว่าจะชวนเรืองไปด้วย แต่สำหรับเรืองที่คิดว่าพี่ทับช่วยออกหน้าให้ เพราะคิดว่าจริง ๆ แล้วขุนทับคงไม่ได้ตั้งใจชวนตน แค่ชวนไปอย่างนั้น ถือเรื่องนี้เป็นบุญคุณที่ช่วยไม่ให้ตนโดนคุณย่าตี
      “อย่างนั้นรึ แล้วไปนะพ่อตัวดีของย่า วันนี้ถือว่าเจ้าโชคดีมีคนออกรับแทนให้” แม้นไม่เชื่อเต็มใจ เพราะเห็นลูกเล่นหลานชายคนเล็กนี้มามาก มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูกแท้ ๆ ละพ่อคนนี้
      “จริงซิจ๊ะคุณย่า หลานของอัฐหน่อย ตอนไปตลาดผ่านร้านขนมหลายร้าน หลานหิวจึงของยืมอัฐพี่ทับไปซื้อขนมเสียมาก คุณย่าจะกรุณาช่วยออกอัฐให้หลานไถ่หนี้ได้หรือไม่ขอรับ”
      “ตายจริงพ่อตัวดี ยืมอัฐพี่เขาไปเท่าไรละ มาเอาที่ย่านี้”
      “ไม่เป็นไรขอคับ อัฐไม่เท่าไรถือว่าเลี้ยงน้อง อีกเดี๋ยวเราสองครอบครัวก็จะดองกันแล้ว พ่อเรืองก็มาเป็นน้องชายคนเล็กของกระผมแล้ว”
      “ไม่ได้ ฉันบอกว่าขอยืมก็คือ ขอยืม อย่างไรก็ต้องคืน พี่ทับอยากให้ฉันเป็นคนสับปลับหรอจ๊ะ” ไม่พูดเปล่า เรืองรีบยัดอัฐใส่มือขุนทับทั้งที พร้อมกระซิบบอกว่า “ถ้าอยากเลี้ยงคราวหน้าพาฉันไปตลาดอีกครั้งนะจ๊ะ ทีนี้ละพี่ได้เลี้ยงฉันเต็มที่แน่ ๆ” แล้ววิ่งขึ้นเรือนไป

----------------------------------------------------------------
      หลายวันผ่านไป หลังงานแต่งงานของพี่จันกับหลวงด้วงจบลง เรืองคิดว่าถึงเวลาแล้วที่พี่ทับจะพาเรืองไปเที่ยวตลาดอีกคราว เรืองตั้งหน้าตั้งตารอ แต่งชุดเก่งเตรียมตัวทุกวัน แต่พี่ทับก็ไม่เห็นมารับเลยจนเรืองคิดไปเองว่าจริง ๆ แล้วพี่ทับไม่ได้อยากพาเรืองไปเที่ยวจริง ๆ แค่รับปากส่ง ๆ ไป จะได้ไม่โดนเด็กน่ารำคาญอย่างตนเซ้าซี้ เมื่อคิดไปอย่างนั้นเรืองก็เริ่มใจเสีย และคิดว่าตนคงกลับมาไม่มีเพื่อนเล่นอีกครั้งแล้วแน่เลย  แต่เมื่อคิดอีกทีก็คิดได้ว่าไม่มีทางซะหรอกคนอย่างไอเรือง ไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ แน่ อย่างไรก็ต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมพี่ทับถึงไม่มา และพาไปเที่ยว เรือนก็อยู่ชิดกันเดินไม่กี่ก้าวดีก็ถึง คิดมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาอยู่ดี ว่าแล้วเรืองก็รีบลงจากเรือนเพื่อไปหาขุนทับที่บ้านทันที

      “พี่ทับขอรับ พี่ทับอยู่ไหมขอรับ” เรืองตะโกนเรียกหา
      “พี่อยู่นี่ เจ้ามีอะไรกับพี่รึพ่อเรือง” ทับยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างเรือน “ขึ้นมาบนเรือนก่อนสิ”
      ไม่ต้องให้ขุนทับรอนาน เรืองก็รีบขึ้นเรือนมาทันที พร้อมลากแขนขุนทับให้มานั่งคุยกันที่ชานเรือนอีกด้วย
      “ไหนพี่ทับบอกฉันว่าถ้าว่างจะพาฉันไปเที่ยวตลาดอีกละจ๊ะ ฉันรอแล้วรอเล่าพี่ทับก็ไม่มารับฉันไปตลาดซักที” เรืองว่าแบบงอน ๆ เพราะ คิดว่าพี่ชายคนใหม่กลับคำที่ให้ไว้กับตน
      “ใครจะกล้าลืมคำที่ให้ไว้กับเจ้ากันคุณหนูน้อย แต่ช่วงนี้ทางหลวงมีงานมาก พี่จึงไม่ว่างพาเจ้าไปเที่ยวตลาดจีน แต่วันนี้พี่จะไปโรงดาบแถวตลาดมอญ เจ้าจะไปกับพี่ไหม จริง ๆ พี่แค่จะไปหาดูดาบเล่มใหม่ แต่ถ้าเจ้าอยากไปพี่จะพาเดินตลาดมอญด้วย”
      “ตลาดมอญรึจ๊ะ ฉันไปบ่อยแล้ว แต่ฉันไม่เคยไปโรงตีดาบเลยสักครั้ง จะไปทีไรอ้ายขาวบอกว่าร้อนบ้างละ อันตรายบ้างละ ฉันเลยไม่เคยได้เข้าไปเลย” เรืองพูดเสียงอ้อนพลางจับแขนขุนทับโยกไปมา
      “พี่ลืมเรื่องอันตรายไปเสียสนิท มัวแต่กลัวเจ้าจะโกรธที่พี่ไม่พาไปตลาดเสียที ทำอย่างไรดีละ พี่เปลี่ยนใจไม่พาเจ้าไปแล้วได้รึไม่” ขุนทับถามยิ้ม ๆ
      “ไม่ได้จ้ะ พี่พูดแล้วว่าจะพาฉันไป ทหารพูดแล้วต้องไม่คืนคำสิจ๊ะ และอีกไม่กี่ปีฉันก็จะโกนจุกแล้วนะจ๊ะ พี่พาฉันไปเถอะจ้ะ”
      “ไม่กี่ปีได้อย่างไร อายุเจ้ายังไม่ถึง 10ปีเสียด้วยซ้ำ เจ้าอย่ามาพูดปดกับพี่นะพ่อเรือง” ขุนทับแกล้งทำเสียงดุ
      “ฉันอายุ 7ย่าง8 แล้วจ๊ะ แต่ฉันเป็นผู้ชาย วันข้างหน้าอย่างไรก็ต้องมีโอกาสจับดาบ พาฉันไปด้วยเถอะนะ”
      “ก็ได้พ่อตัวดีของคุณย่า พี่พาเจ้าไปด้วยก็ได้ แต่เจ้าต้องอยู่ข้างกายพี่ตลอดเวลานะ ห้ามคลาดสายตาจากพี่เด็ดขาด”
      “ขอรับกระผมรับทราบ และจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด”

----------------------------------------------------------------
      โรงตีดาบร้อนสมคำร่ำลือ เสียงค้อนตีเหล็กดังต่อเนื่องกันไป นายช่างแต่ละคนทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง ทำให้เรืองรู้สึกว่าการมายืนอยู่จุดนี้เหมือนมาเกะกะทางเดินไปมาของคนทำงาน ถึงจะหันไปถามคนข้าง ๆ ที่มาด้วยกัน แต่คนข้างกายกลับหายไปเสียแล้ว เรืองมองหาไปเรื่อย ๆ ก็หาไม่เจอเลยเริ่มออกเดินตามหาแทน
      “ไอตัวเปี๊ยกมาทำอะไรแถวนี้ เกะกะจริง ๆ คนที่บ้านไม่สั่งสอนรึ มาที่นี้ไม่ใช่ที่สำหรับเด็กมาเดินเล่น” เสียงหนึ่งดังมาจากข้างกลัง ทำให้เรืองต้องหันไปมอง พร้อมทำหน้าสงสัยเพราะ แน่ใจความตนไม่เคยรู้จักคน ๆ นี้มาก่อนแน่ ทำไมเขาถึงว่าตนรุนแรงขนาดนี้ด้วย
      “หาเรื่องกับเด็ก อย่าเอาไปบอกใครละว่าตนเป็นชายชาติทหาร ได้อับอายไปทั้งตระกูลแน่หมื่นมิ่ง” เสียงของขุนทับดังมาจากข้างกาย
      เรืองกะหันไปถามว่าเมื่อครู่หายไปไหนมา แต่เมื่อมองหน้าขุนทับแล้วประโยคที่จะพูดก็หายไปจากปาก ก็คนตรงหน้าไม่เหมือนพี่ทับใจดีที่ตนรู้จัก ใบหน้าบูดบึ้งเหมือนคนไม่พอใจอะไรบ้างอย่างทำให้เรืองต้องสงบปาก
      “อะไรกันฉันก็แค่เตือนเด็กว่าที่นี้ไม่ใช่ที่วิ่งเล่น ประเดี๋ยวพลาดพลั้งไป คนอื่นจะเดือดร้อน”
      “ขอบใจแล้วกันที่ช่วยเตือน แต่น้องชายฉันคงไม่ไปสร้างปัญหาให้ใคร แล้วพอพลาดพลั้งก็วิ่งไปฟ้องพ่อให้ช่วยดอก หมื่นมิ่งอย่าได้กังวล ไม่ใช่ทุกคนที่จะนิสัยแบบนั้น” ขุนทับยิ้มเยาะขณะตอบ
      “เอ็งว่าใครวะ ไอทับ ข้าก็แค่เป็นห่วงเด็ก”
      “ฉันก็พูดอธิบายเฉย ๆ หรือเรื่องมันเหมือนเรื่องของหมื่นมิ่งถึงได้ร้อนตัวขนาดนี้”
      “มึงนี่ กูแต่เตือนดี ๆ มาหาเรื่องกันแบบนี้ คงต้องสนองหน่อยแล้ว” ว่าแล้วหมื่นมิ่งก็ชักดาบออกมา
      “อย่างนั้นก็ลองดูกันเสียหน่อยว่าใครจะแน่กว่ากัน” ขุนทับกล่าวพร้อมชักดาบ
      เสียงดาบสองเล่มปะทะกัน เสียงไปทั่วโรงดาบทำให้เหล่านายช่างต่างหยุดงานที่ทำ หันมาชมการประดาบครั้งนี้ การปะทะกินเวลาไม่นานเพราะฝีมือที่ห่างชั้นกันมาก  ทำให้หมื่นมิ่งพลาดท่าขุนทับ
      เมื่อรู้ว่าตัวเองจะแพ้หมื่นมิ่งก็รีบตะโกนเรียกลูกน้องให้มาช่วย “ไอกล้าช่วยข้าด้วยโว้ยยยยยยยยยยย”
      ไอกล้ารีบวิ่งเข้ามาช่วยนายโดยจะทำร้ายขุนทับจากด้านหลัง เรืองเห็นพี่ชายจะมีอันตรายพึ่งรีบวิ่งเข้าไปขว้าง แต่ก็ถูกไอกล้าเตะออกมาก ขุนทับจึงต้องรับศึกสองทาง แต่ก่อนที่เรื่องจะบานปลายนั้น
      “หยุด!!! กล้าดีอย่างไรมามีเรื่องกันในที่ของข้า” เสียงที่ดังทำให้ทั้งสามคนต้องหยุดการปะทะลงทันที
      “เลิกทะเลาะกันเหมือนเป็นเด็กได้แล้ว โตก็โตมาด้วยกัน ตอนนี้ก็เป็นขุนนางอยู่ในรั้วในวัง ใครมาเห็นเข้า เขาจะครหานินทาได้ ไป ๆ แยกย้ายกันไปบัดเดี๋ยวนี้”

      “ฝากไว้ก่อนเถอะมึง ต่อไปอาจไม่มีใครคุ้มกะลาหัวมึงแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นมึงไม่รอดแน่” หมื่นมิ่งกระซิบข้างหูขุนทับ พร้อมตะโกนเรียกไอกล้าให้กลับ

      “ไม่เป็นไรนะเรือง เจ้าเจ็บตรงไหนบ้าง ขอโทษนะที่พี่ช่วยเจ้าไม่ได้”
      “เจ็บตัวไม่เท่าไรดอกจ๊ะ แต่ฉันเจ็บใจมากกว่าที่ทำอะไรไม่ได้เลย แต่พี่ทับจ๊ะทำไมหมื่นมิ่งถึงว่าพี่เยื่องนั้น พี่เป็นถึงทหารกล้าของมหาอุปราชจะไม่มีคนคุ้มหัวได้อย่างไร”
      “ไม่มีอะไรดอก เจ้าไม่ต้องคิดมาก”
      “แต่ถึงไม่มีคนคุ้มครอง  ต่อไปภายภากหน้าฉันจะคุ้มครองพี่เองจ้ะ”
      “ทำเป็นพูดดีไป แต่ถ้าได้อย่างนั้นก็ดีสิ พี่จะได้มีคนระวังหลังให้เวลาไปรบ”
      “พี่ก็พูดไปนั่น อยุธยาของเราร้างศึกมาเป็นร้อยปีแล้วนะจ๊ะ”
      “เรืองเอ๋ย ไม่มีอะไรแน่นอนดอก เราเป็นทหารก็ต้องฝึกปรือฝีมือไว้ตลอดเวลา อย่าเกียจคร้าน เข้าใจไหม”
      “เข้าใจจ้ะ ฉันจะฝึกอาวุธเพื่อคุ้มกันให้พี่ในอนาคต แต่ตอนนี้พี่ไปขอพ่อกับย่าให้ฉันหน่อยสิจ๊ะ ว่าฉันจะเรียนดาบ”
      “ได้สิ พี่จะได้มีผู้ช่วยฝีมือดีมาอยู่ด้วยอีกคน แต่เจ้าต้องสัญญากับพี่นะว่าเจ้าจะไม่เกียจคร้าน”
      “ไม่ใช่ไม่เกียจคร้าน แต่ฉันสัญญาด้วยว่าฉันจะอยู่ข้างกายพี่ ค่อยรบเคียงบ่าเคียงไหล่ไม่ว่าในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ฉันให้สัญญา”
      

ฝากนิยายเรื่องแรกของเราด้วยนะ
ไปตามได้ในเพจ https://www.facebook.com/tipin1994/
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่2 (22/04/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-04-2017 17:28:50
พ่อเรืองช่างพูดช่างเจรจาเหลือเกิน
ดูท่าหมื่นมิ่งกับพี่ทับจะสังกัดนายคนละคนกันสินะ
ปล.ยังเจอคำผิดอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่2 (22/04/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 22-04-2017 18:42:14
พ่อเรืองช่างพูดช่างเจรจาเหลือเกิน
ดูท่าหมื่นมิ่งกับพี่ทับจะสังกัดนายคนละคนกันสินะ
ปล.ยังเจอคำผิดอยู่นะคะ

ดีใจจังที่มีคนมาเม้น
จะระวังคำผิดให้มากขึ้นค่ะ
ขอบคุณมากๆค่ะ ที่เข้ามาติชม
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่2 (22/04/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-04-2017 21:42:56
ไม่ได้เลี้ยงต้อย แต่เลี้ยงพ่อเรือง  :L2: :pig4:

รอติดตาม
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่2 (22/04/60)
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 24-04-2017 13:48:41
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่3 (3/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 03-05-2017 21:11:36
บทที่ 3 ถวายตัว
      “คุณย่าจ๊ะ คุณพ่อจ๋า ฉันจะไปฝึกเรียนดาบ พี่ทับบอกว่าจะสอน คุณย่ากับคุณพ่ออนุญาตให้ฉันเรียนได้รีไม่จ๊ะ” เมื่อกลับถึงบ้านเรืองก็รีบถามผู้ปกครองทั้งสองของตนทันที
      “อะไรกันพ่อเรือง อายุเราพึ่งจะ 7 ปีเอง จะเรียนไปได้อย่างไร อันตรายมากมี ถ้าพลาดพลั้งเจ็บตัวไป ใครจะรับผิดชอบ ไม่เอาด้วยหรอก ย่าไม่ให้เจ้าเรียน”
      “โธ่! คุณย่าจ๊ะ ฉันเป็นผู้ชายนะ อย่างไรเสียวันข้างหน้าก็ต้องใช้เพราะ ฉันอยากเป็นทหารแบบพี่ทับ ก็ควรฝึกฝนฝีมือเอาไว้ตั้งแต่เล็ก ๆ แล้วอีกอย่างพี่ทับก็บอกว่าจะสอนให้ ดังนั้นไม่มีทางที่ฉันจะเจ็บตัวแน่นอน ใช่ไหมจ๊ะพี่ทับ” เรืองหันไปถามขุนทับเพื่อให้ช่วยพูดกับคุณย่า
      “กระผมเห็นว่าน้องสนใจเลยคิดว่าเป็นการดีที่ลองให้น้องได้ฝึกฝน เผื่อในอนาคตน้องจะได้มาทำงานรับใช้องค์ภูมินทร์ร่วมกันกับกระผม แต่กระผมไม่ได้สอนเองตลอดเวลาดอกขอรับ กระผมจะส่งให้น้องไปเรียนกับครูดาบที่สอนกระผมมา แล้วถ้าวันไหนว่างจากราชการกระผมจะมาช่วยน้องฝึกดาบด้วย”
      “อะไรกันพ่อตัวดีของพ่อ เจ้าไม่อยากเป็นช่างทองหลวงแบบพ่อกับพี่ของเจ้าดอกรึ แต่ไม่เป็นไรถ้าเจ้าอยากเรียนพ่อก็อนุญาต ลูกชายเรียนดาบไหวไม่เสียหายอะไร แต่พ่อเรืองต้องสัญญากับพ่อนะว่าจะปฏิบัติตามที่ครูดาบ และขุนทับสอนอย่างเคร่งครัด ส่วนพ่อทับ ลุงขอฝากดูแลน้องดี ๆ ด้วย น้องยังเล็กมีอะไรก็สอนสั่งได้เต็มที่ อย่าตามใจมากนักเดี๋ยวจะติดเป็นนิสัย”
      “ครับคุณพ่อ” / “ขอรับนายช่างชิด”
      “ส่วนย่า ถ้าพ่อเจ้าเห็นด้วยย่าก็ไม่มีอะไรจะขัด แต่ถ้าคิดจะเรียนแล้วอย่าได้เลิกล้มกลางคันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นย่าจะตีให้หลังลายเชียว เพราะมันจะทำให้ทั้งครูดาบ และขุนทับเสียเวลาเปล่า เข้าใจหรือไม่”
      “เข้าใจจ้ะคุณย่า ฉันจะตั้งใจเรียน ปฏิบัติตามคำสอนอย่างเคร่งครัด และไม่เลิกล้มกลางคันแน่ ๆ”

      เมื่อได้รับคำอนุญาตจากผู้ปกครองทั้งสองคนแล้ว วันต่อมาขุนทับก็พาเรืองไปยังบ้านครูทอง ซึ่งเป็นครูดาบที่สอนตนมาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก พอพบหน้าครูทองเรืองก็ร้องลั่นขึ้นมาว่า
      “คุณลุงคนนี้นิจ๊ะ ที่ห้ามไม่ให้พี่ทับมีเรื่องกับหมื่นมิ่งวันนั้น”
      “ใช่ ข้าเองแหละ ข้าชื่อ ทอง เป็นครูดาบสอนวิชาทั้งขุนทับ และหมื่นมิ่งตั้งแต่ครั้งยังเด็ก ไอเด็กนี้ใครรึขุนทับ”
      “น้องคนใหม่ของฉันเองจ้ะพ่อครู เป็นน้องชายของแม่จันที่มาแต่งงานกับพี่ด้วงพี่ชายของฉันอย่างไรละจ๊ะ วันนี้ฉันพามาแนะนำให้ครูรู้จัก เรืองไหว้ครูเขาสิจ๊ะ”
      “ฉันไหว้จ๊ะพ่อครู ฉันมาวันนี้เพื่อจะมาขอร่ำเรียนวิชาดาบกับพ่อครู ถ้าจะกรุณาสอนให้ฉันให้เก่งกว่าพี่ทับได้ยิ่งดี”
      “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ ไอเด็กนี้ตลก และกล้าดีแท้ ได้สิถ้าเอ็งขยัน ข้ามั่นใจว่าข้าจะสอนให้เอ็งเก่งกว่าขุนทับแน่นอน แต่ว่าเอ็งอายุเท่าไรแล้วละ ข้าจะได้รู้ว่าควรสอนเอ็งในระดับไหน”
      “ฉันอายุ 7 ปี แล้วจ๊ะ แต่อีกสองเดือนฉันก็อายุ 8ปีแล้ว”
      “แหมทั้งสองคนคุยกันเหมือนฉันไม่ได้อยู่ตรงนี้เลยนะ อะไรกันยังไม่ทันเรียนก็คิดจะเก่งกว่าพี่แล้วรึพ่อเรือง ฝันไปเถอะ อย่างไรพี่ก็ไม่มีวันยอมให้เจ้านำหน้าพี่ไปได้ดอก” ขุนทับแกล้งขัดเรือง
      “ของแบบนี้ไม่ลองไม่รู้นะจ๊ะพี่ทับ จริงไม่จ๊ะครู”
      “เออจริงของไอเด็กนี้ ถ้าเอ็งไม่อยากโดนเด็กนำ เอ็งก็ต้องขยันฝึก อย่าคิดว่าเป็นวิชาแล้วจะขี้เกียจได้ การฝึกฝนไม่มีข้อเสีย มีแต่ข้อดีที่ทำให้คนฝึกพัฒนาตัวเอง เข้าใจไหมทั้งสองคน”
      “เข้าใจจ๊ะครู” / “เข้าใจจ๊ะครู”
      เมื่อตกลงกันได้เรียบร้อยเรืองก็เริ่มเรียนดาบที่บ้านครูทอง โดยสลับกับการเรียนหนังสือกับท่านสมภารเสือซึ่งเป็นครูสอนหนังสือชื่อดังในสมัยนั้น วันใดถ้าขุนทับว่างจากราชการก็จะมาช่วยเรืองซ้อมดาบด้วย ถือเป็นการฝึกฝนตนเอง และสอนน้องไปในตัว จนเวลาช่วงเลยไป 2 ปีกว่า




---------------------------------------------------------------------------



      “เรือง ปีนี้เจ้าอายุ 10 ปีแล้ว พี่ว่าจะพาเจ้าไปถวายตัวเป็นข้ารับใช้องค์ภูมินทร์ก่อน แล้วค่อยขยับขยายมาเป็นทหารแบบพี่ เจ้าจะว่าอย่างไร” ขุนทับถามเรืองขึ้นมาในวันหนึ่งหลังจากทั้งคู่ซ้อมดาบเสร็จ
      “ถ้าพี่ทับว่าดีฉันก็เห็นด้วย แต่ฉันอายุยังน้อยคงตัดสินใจอะไรเองไม่ได้ ต้องไปถามความเห็นของคุณย่า กับคุณพ่อท่านเสียก่อน”
      “ถ้าคุณย่าใหญ่ กับนายช่างไม่เห็นด้วย เจ้าก็จะไม่ถวายตัวตามที่ท่านทั้งสองบอกสินะ”
      “เปล่าจ้ะ ถ้าท่านไม่เห็นด้วย ฉันก็จะให้พี่ทับช่วยพูดให้จนกว่าท่านจะยอม ดังนั้นเย็นนี้พี่ทับไปกินข้าวเย็นที่บ้านฉันนะจ๊ะ”
      “ร้ายจริงนะเจ้า แต่เอาเถอะพี่อยากให้เจ้ามาเป็นทหารกับพี่อยู่แล้ว แถมยังได้ฝากท้องกับอาหารฝีมือคุณย่าใหญ่ด้วย พี่ยอมช่วยเจ้าเต็มที่ทีเดียว”

      เมื่อตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนก็พายเรือจากบ้านครูทองกลับสู่บ้านของเรืองให้ทันก่อนถึงเวลาทานอาหารเย็น
      “คุณย่าจ๋า เรืองกลับมาแล้วจ้ะ วันนี้พี่ทับจะมากินข้าวบ้านเราด้วยนะจ๊ะ มีอะไรกินบ้างเอ่ย”
      “เบา ๆ หน่อยพ่อคุณ เอะอะราวกับเจ๊กตื่นไฟ”
      “ก็ฉันอยากให้คุณย่ารู้นิจ๊ะ ว่าฉันกลับมาแล้ว แล้วฉันก็หิวมากด้วย ฝึกดาบที่ไร ฉันหิวมากกว่าปกติทุกทีไป”
      “ยังไม่ถึงเวลา รอไปก่อน ชวนพี่เขาไปนั่งเล่นที่เรือนรินน้ำก่อนก็ได้ เมื่อถึงเวลาย่าจะให้อ้ายขาวไปตาม”
      เรืองหันมาเหมือนกันจะถามขุนทับว่าเอาอย่างไรต่อ ไปรอที่เรือนริมน้ำก่อนไหม แต่ขุนทับก็ขัดขึ้นมาว่า
      “ไม่เป็นไรขอรับ พอดีกระผมมีเรื่องนี้จะคุยกับนายช่าง และคุณย่าใหญ่พอดี ระหว่างที่รอเวลากระผมก็ขอพูดธุระที่มาในวันนี้เลยก็แล้วกัน”
      “มีธุระอะไรรึพ่อคุณ ว่ามาได้เลย หรือพ่อตัวแสบไปก่อเรื่องอะไรเข้าละ”
      “เปล่าขอรับ กระผมเห็นว่าน้องอายุพอสมควรต่อการถวายตัวแล้ว เลยคิดจะพาน้องไปถวายตัวเป็นเป็นข้ารองพระบาทในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเช่นเดียวกับกระผม จึงมาขอคำอนุญาตกับคุณย่าใหญ่ และนายช่างว่ามีความเห็นว่าอย่างไร”
      “ฝึกมาขนาดนี้แล้ว ถ้าอยากถวายตัวไปเป็นทหาร หรือข้ารับใช้ในวัง ฉันก็ไม่ว่าอย่างไรดอก แต่ถึงอย่างนั้นต้องลองไปคุยกับพ่อชิดด้วยว่าเขาจะว่าเยี่ยงไร ถ้าจะให้ลูกคนเล็กของเขาไปเป็นทหารแทนที่จะเป็นช่างทอง”
      หลังคุณย่าอนุญาตไม่ทันขาดคำ ช่างทองชิดก็กลับมาถึงบ้านพร้อมกับเดือนลูกชายคนโตพอดี เรืองเมื่อเห็น ว่าพ่อกับพี่ของตนมาถึงก็รีบเรียกให้มานั่งเพื่อถามเรื่องตน
      “พ่อจ๊ะ พี่ทับมาชวนให้ฉันไปถวายตัวเป็นข้ารองพระบาทในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ คุณย่าก็อนุญาตแล้วด้วย แต่ให้ฉันมาถามพ่อเพิ่มว่าพ่อจะอนุญาตให้ฉันไปเป็นไหมจ๊ะ”
      “ก็เจ้าขอพ่อตั้งแต่ครั้งขอเรียนดาบแล้วไม่ใช่รึ พ่อจำได้ดอก ได้เวลาถวายตัวแล้วรึขุนทับ เจ้าไม่คิดว่าน้องยังเด็กไปรึ”
      “ถึงอายุจะยังน้อย แต่น้องเฉลียวฉลาด และมีฝีมือดาบใช่ได้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระองค์ทรงโปรดคนฉลาด กระผมคิดว่าถ้านำน้องไปถวายตัวเป็นข้ารองพระบาท พระองค์น่าจะทรงโปรดได้ไม่ยาก แล้วฝึกตั้งแต่ยังเล็กนั้นฝึกง่าย ทำเนียบปฏิบัติในวังมากมี น้องจะได้ไม่มีปัญหาในภายหลัง”
      “ถ้าขุนทับเห็นว่าดีลุงก็อนุญาต แล้วนี้จะพาน้องเข้าไปถวายตัววันไหนรึ”
      “ถ้านายช่างอนุญาต กระผมก็ว่าจะนำน้องไปถวายตัววันพรุ่งนี้เลยขอรับ”
      เมื่อช่างทองชิดอนุญาตเช่นนั้นแล้ว ขุนทับก็หันมาบอกกฎในการเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศให้เรืองจำไว้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในวันพรุ่งนี้
      “จำไว้นะพ่อเรือง ในการเข้าเฝ้านั้นพี่มีข้อปฏิบัติให้เจ้าจำไว้สามข้อคือ ข้อหนึ่งนั้นห้ามเหยียบประตูวัง ตรงธรณีประตูนั้นห้ามเหยียบเด็ดขาด ข้อที่สองพี่บอกให้คลาน เจ้าก็ต้องคลาน และข้อที่สามกราบถวายบังคมครั้งเดียวไม่ต้องแบบมือเหมือนครั้งเจ้ากราบพระ แล้วอย่าให้บั้นท้ายโด่งละ จำคำพี่ไว้ให้มั่นนะเรือง”
      “จ้ะ ฉันจะจำคำของพี่เอาไว้ให้มั่น”



-------------------------------------------------------------



ยามบ่ายของวันต่อมาขุนทับนำพานแพนมาให้เรืองเพื่อนำไปถวายแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ และพาเรืองไปเข้าเฝ้า เมื่อถึงวังเรืองจดจำคำสั่งของขุนทับ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดทุกข้อ
      “มาแล้วรึ ไอลูกหลานบ้านช่างทองที่มาดองกับบ้านเจ้าขุนทับ ไหน ๆ ขยับเข้ามาใกล้ ๆ ข้าสิ”
เรืองได้ยินดังนั้นก็ขยับเข้าไปอีก แต่ไม่กล้าเข้าใกล้พระเจ้าอยู่หัวมากนั้น จนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศมีรับสั่งให้ขยับเข้าไปใกล้อีก พร้อมทั้งรับสั่งให้เรืองเงยหน้า แต่เรืองกลับไม่กล้าเงยหน้ามองพระพักตร์ด้วยพี่ทับไม่ได้สั่งไว้ ทำให้เรืองกลัวจะโดนอาญา
”ไม่ต้องกลัว ข้าบอกให้เงยหน้าก็เงยขึ้นมา อย่าไปฟังอะไรที่พี่เจ้าบอกไว้ก่อนหน้า ข้าอนุญาตไม่มีใครกล้าว่าเขาดอก” เมื่อได้ฟังย้ำดังนั้น เรืองก็เงยหน้าขึ้น แต่ก็ยังไม่กล้ามองพระพักตร์โดยตรงมากอยู่ดี
“ตามันใสดีจริง ลักษณะหน้าตา ผิวพรรณออกมอญน่าจะคล้ายทางแม่ เพราะข้าเคยเจอหน้าพ่อเจ้าตอนมาถวายรับใช้ ไม่ค่อยได้ลักษณะทางพ่อมาเลยนิ ไหน ๆ ลองบอกข้าสิว่าเจ้าชื่ออะไร”
“ข้าพระพุทธเจ้าชื่อเรือง เป็นบุตรของช่างทองหลวงชิดนะเกล้านะกระหม่อม”
“เออไอเด็กนี้นะเกล้านะกระหม่อนก็เป็นกับเขาด้วย เออไอเรืองเอ็งอ่านหนังสือออกรึไหม”
“ออกพระพุทธเจ้าค่ะ” เรืองตอบเสียงเบา และสั่นเล็ก ๆ ด้วยความตื่นเต้น
“แล้วครูเอ็งละเป็นใคร พูดดัง ๆ ไม่ต้องกลัวใครจะว่า ข้าอนุญาตให้เอ็งพูดดัง ๆ ได้”
“ท่านสมภารเสือนะเกล้านะกระหม่อน” เรืองตอบด้วยเสียงที่ดังขึ้น
“อย่างนั้นเอ็งก็ศิษย์ครูเดียวกับข้า และกับท่านข้างหน้าด้วยนะสิวะ เออดี ๆ อย่างไรจ้ะท่านข้างหน้า พ่อหาเด็กมาเชิญเครื่องพานให้หล่อนอีกคน ไอเด็กนี้ดองเป็นญาติกับขุนทับ ทหารในการดูแลของเจ้าด้วย เจ้าเห็นว่าอย่างไร ถ้าพอใจเมตตามันบ้างก็คงจะดี”
เรืองหันไปมองท่านข้างหน้าที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงเรียก ในวันนั้นเรืองจำได้ไม่รู้ลืมถึงสิริลักษณะรูปงามระหงคมคายของชายที่นั่งอยู่บนแท่นเท้าสิงห์ทางด้ายขวาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หรือเจ้าฟ้าธรรมธิเบศไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ กรมพระราชวังบรม หรือที่ชาวกรุงเรียกขานกันว่า “เจ้าฟ้ากุ้ง” และที่สมเด็จพระราชบิดาเรียก “ข้างหน้า”
“ถ้าฟ้าโปรดประทาน ลูกก็ไม่ขัดราชโอกาส” เจ้าฟ้าธรรมธิเบศไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ตอบเยี่ยงนั้น ทำให้เรืองเข้ามาถวายตัวเป็นคนเชิญเครื่องพานให้กับพระองค์ตั้งแต่บันนั้นเป็นต้นไป      

 


https://www.facebook.com/tipin1994/ เพจเราเข้าไปท้วงนิยายกันได้นะ
ขอโทษทีที่ตอนนี้มาช้า ไปช่วยเพื่อนทำทีสิสมา
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่3 (3/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-05-2017 22:43:55
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโศก ต้องเป็น โกศ หรือเปล่าคะ
ผู้ชายในเรื่องพูดกันน่ารักนะ จ๊ะ จ๋า ใส่กันก็มี ที่จริงน่าจะมีระดับของคำลงท้ายนะคะ อย่างคนสนิท ผู้ใหญ่ หรืออะไรแบบนั้น เช่น ขอรับ เนี่ยยังไม่เห็น (หรือเห็นแล้วจำไม่ได้)
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่3 (3/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 03-05-2017 22:53:54
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโศก ต้องเป็น โกศ หรือเปล่าคะ
ผู้ชายในเรื่องพูดกันน่ารักนะ จ๊ะ จ๋า ใส่กันก็มี ที่จริงน่าจะมีระดับของคำลงท้ายนะคะ อย่างคนสนิท ผู้ใหญ่ หรืออะไรแบบนั้น เช่น ขอรับ เนี่ยยังไม่เห็น (หรือเห็นแล้วจำไม่ได้)
ขอบคุณมากๆค่ะ แก้ไขเรียบร้อยแล้ว
ส่วนขอรับมีนะ เวลาขุนทับคุยกับคุณย่าใหญ่ หรือนายช่างชิดก็พูดขอรับตลอด
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่3 (3/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 04-05-2017 14:45:23
ติดตามนะคะ รออ่านต่อค่า
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่3 (3/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 04-05-2017 15:55:18
ติดตามครับ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่4 (5/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 05-05-2017 20:13:26
บทที่ 4 มหาดเล็กเรือง
      “เป็นอย่างไรบ้างเรืองไปถวายตัวกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศในวันนี้” เมื่อกลับถึงบ้านเรืองถูกคุณพ่อซักไซ้ไล่ความในทันทีถึงการไปถวายตัวในวันนี้
      “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงโปรดให้ลูกไปเป็นคนเชิญเครื่องพานให้เจ้าฟ้ากุ้งจ้ะคุณพ่อ”
      “เชิญเครื่องพานคือตำแหน่งอะไรรึพ่อชิด แม่ไม่เห็นจะเคยได้ยินชื่อตำแหน่งนี้มาก่อนเลย” นายหญิงใหญ่ของบ้านถามด้วยความฉงน เพราะตั้งแต่จำความได้ก็ไม่เคยได้ยินชื่อตำแหน่งแบบนี้มาก่อนเลย
      “ไม่ใช้ชื่อตำแหน่งดอกจ้ะคุณแม่ เป็นชื่อเรียกหน้าที่ พ่อเรืองยังเด็กเข้าไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กในวัง แต่ด้วยอายุยังน้อยทำให้ได้ทำตำแหน่งเป็นคนเชิญเครื่องพาน ซึ่งเป็นหน้าที่ถวายสิ่งของต่าง ๆ ให้เจ้าฟ้ากุ้งนะจ้ะ” นายช่างชิดเฉลยข้อสงสัยให้นายหญิงใหญ่ของบ้าน
      “อย่างนั้นดอกรึ ดี ๆ เป็นคุณมหาดเล็กเรืองไปเสียแล้วพ่อตัวดีของย่า ถึงจะเป็นตำแหน่งเล็ก ๆ แต่เจ้าก็ต้องตั้งใจทำงานเข้าใจหรือไม่ ทำงานในรั้วในวังต้องระวังตัวดี ๆ อย่าให้คนอื่นว่าได้ เขาว่าเจ้ามันไม่เท่าไรดอก แต่ถ้าว่าถึงขุนทับ หรือเจ้าฟ้ากุ้ง อันนี้จะแย่ได้ เข้าใจหรือไม่”
      “เข้าใจจ๊ะคุณย่า ฉันจะตั้งใจทำงานไม่ให้คนอื่นเขาว่าเอาได้”

-------------------------------------------------------------------------------
      วันแรกของการเริ่มงานเรืองตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่โชคดีที่วันนี้พี่ทับต้องเข้าวังถวายความรับใช้ด้วยเช่นกัน ทำให้เรืองบรรเทาความตื่นเต้นลงไปได้
      “มาแล้วรึเจ้าทั้งสองคน ตัวติดกันเสียจริง ครั้งไอตัวเด็กมาถวายตัวกับพระบิดาข้า ถ้าข้าจำไม่ผิดเจ้าก็เป็นคนพามาใช่หรือไม่ขุนทับ”
      “ใช่พระพุทธเจ้าข้า”
      “ดี ๆ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปคนสอนงานให้ไอตัวเล็กมันนะ”
      “พระพุทธเจ้าข้า”
      “ไอคนพี่ก็พระพุทธเจ้าข้า ไอคนน้องนั่งเงียบเชียว หลับแล้วรึ วันนี้ต้องตื่นเช้าไปหรือไม่ พ่อคุณมหาดเล็กตัวน้อย”
      “ไม่เช้าไปนะเกล้านะกระหม่อน ปกติข้าพระพุทธเจ้าตื่นเวลานี้อยู่แล้วนะเกล้านะหม่อน” เจ้าฟ้ากุ้งเมื่อฟังคำเรืองก็ยิ้มรับ พร้อมลูบหัวด้วยความเอ็ดดู
      “เออจริงสิ อีกไม่กี่วันสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงโปรดประพาสพระพุทธบาทสระบุรี ข้าคิดว่าจะเสด็จไปกับพระองค์ด้วย ข้าจะให้เจ้าทั้งสองไปกับข้าด้วย ขุนทับคงไม่ขัด แต่เจ้าละเรืองไปได้ไหม”
      “ข้าพระพุทธเจ้าเป็นหมาดเล็กพระพุทธเจ้าข้า” เรืองไม่รู้ว่าตัวเองต้องตอบอะไร เลือกว่าไปหรือไม่ไปได้ด้วยรึเปล่า เลยตอบแบบนี้ไปเผื่อพี่ทับจะช่วยตนได้
      “แปลว่าอย่างไร ไหนเจ้าขุนทับบอกข้าสิว่าน้องเจ้าว่าเยี่ยงนี้แปลว่าเยี่ยงไร”
      “แปลว่า ถ้ามหาดเล็กคนอื่นต้องไป เรืองเป็นหมาดเล็กเช่นกันก็ต้องไปเช่นเดียวกันพระพุทธเจ้าข้า”
      “ชิชะ ไอเด็กนี้ร้ายเสียจริงพูดเล่นแง่กับข้าเสียดด้วย ดี ๆ ข้าจะให้เจ้าเข้าเวรเย็นอยู่เป็นเพื่อนข้าเสียเลย”
      เมื่อรับราชโอกาสมาแล้ว กลับถึงบ้านเรืองรีบนำรับสั่งที่ได้มาเล่ากับทุกคนในบ้านฟัง เพื่อบอกว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้าตนจะไม่อยู่บ้าน
      “อะไรกันพ่อมหาเล็กของพี่ เจริญก้าวหน้าถึงขั้นตามเสด็จเจ้าฟุ้งกุ้งประพาสเสียแล้วรึ” เดือนถามน้องด้วยความตื่นเต้นทั้งเรื่องที่น้องจะได้ตามเสด็จ และได้ไปนมัสการพระพุทธบาท
      “แล้วนี้จะไปกี่วันละพ่อคุณของย่า แล้วขุนทับไปด้วยหรือไม่”
      “เออนั้นสิจ๊ะ ฉันไม่ได้ถามเรื่องระยะเวลาเดินทาง แต่พี่ทับไปด้วยคุณย่า คุณพ่อ และพี่เดือนไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ พี่ทับต้องดูแลฉันอย่างดีแน่ ๆ อยู่แล้ว”
      “มั่นใจเสียจริงพ่อตัวดี แต่อย่าไม่รบกวนพี่เขามานั้นละ เข้าใจไหม”
      “เข้าใจจ๊ะ” เรืองตอบพร้อมคิดว่าจะรบกวนพี่ทับไม่มากในแบบของตนนะไม่ใช่ในแบบของคุณย่า ขืนไม่รบกวนในแบบของคุณย่าตนคงไม่ได้คุยกับพี่ทับแน่นอน
-------------------------------------------------------

      ก่อนวันเดินทางเรืองตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเพราะ ตลอดชีวิตเรืองไม่เคยเดินทางออกจากกำแพงกรุงเลยสักครั้งเดียว และเมื่อได้เวลาเดินทางเรืองยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ด้วยตลอดเส้นทางเป็นป่าทำให้เรืองได้พบกับสิงสาราสัตว์มากมายทั้งที่ตนเคยเจอ และไม่เคยเจอ ทำให้เรืองคอยชี้โน้นชี้นี้ถามขุนทับไม่หยุดปากว่านั้นสัตว์อะไร ตอนนี้เขาถึงไหนก็แล้ว จนถึงเวลาเย็นขบวนเสด็จประพาสก็หยุดพัก
      “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าเรืองตื่นเต้นน่าดูนะสิ ข้าได้ยินเสียงเจ้าดังไปถึงเรือประทับของข้า” เมื่อเข้าประทับในที่รับรองเจ้าฟ้ากุ้งก็ถามมหาดเล็กคนใหม่ ที่ยังไม่เคยเดินทางไปไหนกับพระองค์มาก่อน
      “ตื่นเต้นพระพุทธเจ้าค่ะ ข้าพระพุทธเจ้าไม่เคยเห็นสัตว์มากมายขนาดนี้มาก่อนเลย ข้าพระพุทธเจ้าก็เลยถามพี่ทับมากไปหน่อย ขอพระราชทานอภัยให้ข้าพุทธเจ้าด้วยนะเกล้านะกระหม่อน”
      “ข้าจะเอาเรื่องเจ้าได้อย่างไร ตัวแค่นี้ต้องจากบ้านมาเดินทางลำบากลำบนกับข้า ไม่ร้องงอแงกลับบ้านก็นับว่าเก่งแล้ว มาข้าจะเข้าพักแล้วเจ้ามาทำหน้าที่ยามรักษาพระองค์ให้ข้าได้แล้ว”
      สิ้นคำรับสั่งเรืองก็ตามเสด็จเข้าที่ประทับชั่วคราวของเจ้าฟ้ากุ้ง แล้วถวายถ้วยชารับรองในทันที เนื่องจากขุนทับกำชับตนไว้แล้วว่า เมื่อเจ้าฟ้ากุ้งประทับบนแท่งให้เรืองนำน้ำชาขึ้นถวายในทันที
      “เที่ยวเล่นขนาดนี้เจ้าคงไม่คิดถึงบ้านสินะเรือง”
      “ตอนนี้ไม่คิดถึงนะเกล้านะกระหม่อน”
      “แล้วตอนไหนเจ้าถึงจะคิดถึงบ้านเล่า”
      “ตอนจะนอนนะเกล้านะกระหม่อน ย่าจะเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนทุกวัน”
      “นิทานรึข้าไม่ถนัดเสียด้วยสิ เปลี่ยนเป็นโคลงแล้วกัน ข้าจะแห่โคลงให้เจ้าฟัง เจ้าจะได้นอนหลับดีไหม”
      “เป็นพระมหากรุณาพระพุทธเจ้าค่ะ”
      รับสั่งเสียแล้วเจ้าฟ้ากุ้งประทานอนุญาตให้เรืองนอนที่พื้นใกล้ที่ประทับสำหรับบรรทมของพระองค์ แล้วพระองค์ก็เริ่มแห่โคลง
                 “กระต่ายหลายพงศ์พรรค์    เต้นชมจันทร์หันตัวตาม
ซ่อมซุ้มชุมเหลือหลาม       ยามออกเล่นเต้นชมกัน ฯ
กระต่ายหลายพวกพ้อง       พรรค์งาม
ชมชื่นแสงจันทร์ตาม       ไล่เหล้น
ซ่อมซุ้มชุมเหลือหลาม       หลายเหล่า
ยามเมื่อออกเล่นเต้น       โลดเลี้ยวชมกัน ฯ
เสือกระต่ายลายเขียนขีด    ตัวกระจิดนิดกว่าแมว
อยู่ป่าตาบั้งแบ๊ว          ขบกระต่ายแล้วแง้วคำราม ฯ
เสือกระต่ายลายขีดขั้น       เป็นแถว
กระจิดกว่าแมวเหมือนแมว       ปากเขี้ยว
อยู่ป่าตาบั้งแบ๊ว          มองหมอบ
ขบกระต่ายตายเคี้ยว       ย่ำย้ำคำราม ฯ” *
      เสียงแห่โคลงของพระองค์ดังออกมาถึงนอกที่ประทับถือเป็นบุญของมหาดเล็กทุกคนที่ได้อยู่บริเวณนั้น ด้วยทำนองและคำโคลงที่ไพเราะช่วยขับกลอมให้ทุกคนนอนหลับฝันดี ส่วนมหาดเล็กที่เฝ้ายามก็รู้สึกไม่เงียบเหงาเนื่องจากมีเสียงแห่โคลงอยู่เป็นเพื่อน

-------------------------------------------------------------------------------
      เมื่อกลับจากตามเสด็จประพาสพระพุทธบาท ครั้งถึงบ้านเรืองรีบเรียกทุกคนมานั่งเพื่อเล่าเรื่องการเดินทางของตนให้ทุกคนในบ้านฟัง
      “เร็ว ๆ ทุกคน หลานข้าจะมาคุยโม้ให้ทุกคนฟังถึงการตามเสด็จไปประพาสครั้งนี้”
      “คุณย่าก็ ฉันเห็นว่าทุกคนไม่เคยไปนมัสการพระพุทธบาทดอก ฉันเลยอยากเล่าให้ฟัง ไม่ได้โม้สักหน่อย” เรืองกล่าวแบบงอน ๆ
      “ฟัง ๆ คุณมหาดเล็กไปเถอะจ้ะคุณย่า แต่ทุกคนจำไว้นะน้องข้าพูดอะไร อย่าเชื่อทั้งหมด เชื่อแค่บางส่วนพอ แล้วก็ระวังให้ดี น้องข้าพูดไปเรื่อย ๆ พวกเจ้าอาจเห็นแมงโม้วิ่งผ่านหน้า” เดือนแซวน้องชายตามอีกต่อหนึ่ง
      “คุณพ่อจ๋าดูสิแต่ละคนแกล้งฉัน ใครไม่อยากฟังก็ไม่ต้องฟัง แค่คุณพ่อฟังฉันคนเดียวก็พอ ใช่ไหมจ๊ะ” เรืองหันมาอ้อนนายช่างชิดเพื่อให้ตอบรับคำพูดของตน
      “แน่นอน พ่อต้องฟังเจ้าอยู่แล้ว” นายช่างชิดรีบตอบรับ โดนลูกชายคนเล็กอ้อนนิดอ้อนหน่อยตนก็ใจอ่อนไปเสียทุกที
      เมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมฟังเรื่องราวการเดินทางขอตนแล้ว เรืองก็เริ่มเล่าด้วยความสนุกสนานว่าระหว่างทางตนพบเห็นสัตว์อะไรบ้าง เหนื่อยและลำบากขนาดไหน ที่สำคัญพูดถึงน้ำพระทัยของเจ้าฟ้ากุ้งที่ทรงแห่โคลงให้ฟังเพื่อบรรเทาความคิดถึงบ้าน


*บทที่ 25 และ 26 จากกาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง
ในที่สุดพี่เดือนก็มีบทพูดกับเขาบ้างดีใจก็พี่จริงๆ

https://www.facebook.com/tipin1994/
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่4 (5/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 05-05-2017 20:31:07
ขอโทษด้วย เน็ตมีปัญญา เราไม่รู้ว่ามันขึ้นอัพยัง
กดรีหลายรอบกว่าจะได้
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่4 (5/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 05-05-2017 23:20:41
มารออ่านต่อค่ะ มหาดเล็กเรืองกับพี่ทับ น่ารักเจียว
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่4 (5/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 05-05-2017 23:42:20
ชอบนิยายแนวนี้จัง พี่ทับกับน้องเรืองน่ารักมากเลย
ฉากตอนต้นที่สานตะกร้ากับเที่ยวตลาดคล้ายเรื่องสายโลหิตเลย
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้า  :pig4:
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่4 (5/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 05-05-2017 23:55:55
ชอบนิยายแนวนี้จัง พี่ทับกับน้องเรืองน่ารักมากเลย
ฉากตอนต้นที่สานตะกร้ากับเที่ยวตลาดคล้ายเรื่องสายโลหิตเลย
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้า  :pig4:

ได้แรงบรรดาลใจการแต่งเรื่องนี้มาจากสายโลหิตค่ะ
อ่านแล้วรู้สึกละมุนมาก ผู้ชายสมัยก่อนคือดี แต่ไม่ค่อยมีนิยายแนวนี้ เลยแต่งเองมันเลย
ชอบผู้ชายแบบขุนไกร แต่อยากได้แบบใจเย็นๆ เลยมาเป็นพี่ทับของเราแทน
แถมพี่ทับของเรายังสบายว่าขุนไกรตรงที่ พี่ไม่ต้องน้องบุกเอง
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่4 (5/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 06-05-2017 00:56:41
ขึ้นชื่อเจ้าฟ้ากุ้งเราก็เริ่มกลัวจะมีดราม่าจังมันจะจบได้สวยใช่ไหม
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่4 (5/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 06-05-2017 01:16:10
ขึ้นชื่อเจ้าฟ้ากุ้งเราก็เริ่มกลัวจะมีดราม่าจังมันจะจบได้สวยใช่ไหม
เราไม่ถนัดแต่งดราม่าอะ แต่เราแต่งอิงประวัติศาสตร์นะ
คงไม่ดราม่าเท่าไรหรอกมั้ง ไม่แน่ใจฟิลตัวเองตอนแต่งเหมือนกัน
ต้องรอติดตามดู
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่4 (5/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ShadeoftheMoon ที่ 06-05-2017 08:08:19
อ่านในโทรศัพท์แล้วตามมาเม้นในโน้ตบุ๊ค....สนุกดีหาวายเรื่องแบบนี้อ่านไม่ค่อยมี แรกๆ ได้กลิ่นไอสายโลหิต ต่อมาเข้าแนวฟ้าใหม่ กลัวพลิกล็อคกลายเป็นเจ้าเรืองเป็นพระเอกพี่ทับเป็นนายเอกรึเปล่า เดาไปโน่น เพราะเห็นคนแต่งบอกว่ายังไม่ได้กำหนดว่าใครเป็นพระเอกนายเอก เวลาเปลี่ยนน้องเรืองอาจโตมาเป็นชายหนุ่มองอาจกล้าหาญปกป้องพี่ทับก็เป็นได้ :hao4:
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่4 (5/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Babyboys ที่ 06-05-2017 08:15:30
ชอบแนวนี้ นานๆทีจะมีมาให้อ่าน
ชอบพี่ทับและพ่อเรือง
รอติดตามนะคร้าบบบ  :hao3: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่4 (5/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 06-05-2017 09:59:43
อ่านในโทรศัพท์แล้วตามมาเม้นในโน้ตบุ๊ค....สนุกดีหาวายเรื่องแบบนี้อ่านไม่ค่อยมี แรกๆ ได้กลิ่นไอสายโลหิต ต่อมาเข้าแนวฟ้าใหม่ กลัวพลิกล็อคกลายเป็นเจ้าเรืองเป็นพระเอกพี่ทับเป็นนายเอกรึเปล่า เดาไปโน่น เพราะเห็นคนแต่งบอกว่ายังไม่ได้กำหนดว่าใครเป็นพระเอกนายเอก เวลาเปลี่ยนน้องเรืองอาจโตมาเป็นชายหนุ่มองอาจกล้าหาญปกป้องพี่ทับก็เป็นได้ :hao4:
เรื่องนี้เราได้แรงบรรดาลใจมาจากสายโลหิตแหละ
แล้วพอแต่งๆไปกลัวใช้คำราชศัพท์ไม่ถูก เลยหาทั้งหนัง ทั้งละครแนวนี้ดู
ตอนถวายตัวนี้เราดูจากฟ้าใหม่ ตอนประพาสเอามาจากหนังสือเรียนภาษาไทย
ถ้าคำราชาศัพท์ตรงไหนผิดบอกเราด้วยนะ กลัวใช้คำไม่ถูกเหมือนกัน
ส่วนเรืองกับพี่ทับ ตอนนี้คนเขียนก็ยังไม่ได้เลือกให้เหมือนเดิม เพราะ น้องยังไม่โต
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่4 (5/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 06-05-2017 14:39:05
เรืองน่ารักกกก
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่5 (7/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 07-05-2017 13:26:51
บทที่ 5 โตเป็นหนุ่ม
            “ฝ่าบาท ข้าพระพุทธเจ้าจะโกนจุกแล้วนะเกล้านะกระหม่อน”
            “อะไรกัน เจ้ามารับใช้ข้าได้ 3 ปีแล้วรึเจ้าเรือง” เจ้าฟ้ากุ้งตรัสถาม เพราะ ไม่คิดว่าเวลาจะผ่านมาไวขนาดนี้
            “พระพุทธเจ้าค่ะ แต่ข้าพระพุทธเจ้าไม่อยากโกนจุกเลยนะเกล้านะกระหม่อม”
            “ทำไมเป็นอย่างนั้นเล่า เจ้าไม่รู้รึเรืองว่าการโกนจุกแสดงว่าเจ้าจะโตเป็นหนุ่มแล้ว”
            “รู้พระพุทธเจ้าค่ะ แต่พอเป็นหนุ่มแล้วเวลาข้าพระพุทธเจ้าอยากได้อะไร หรืออยากให้พาไปเที่ยวก็ไม่สามารถทำได้แล้วเพราะ คนโต ๆ กันแล้วเขาไม่เที่ยวเล่นกันแบบเด็ก” ถ้าคนตรงหน้าไม่ใช่พระเจ้าฟ้ากุ้ง เรืองคงออกฤทธิ์เดชมากกว่านี้ก็เป็นได้
           “ใครบอกเจ้ากันว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วจะเที่ยวเล่นไม่ได้”
           “พี่เดือนพี่ชายข้าพระพุทธเจ้าค่ะ ข้าพระพุทธเจ้าอยากไปเที่ยวตลาด เลยขอให้พี่เดือนพาไป แต่พี่เดือนบอกว่าจะโตเป็นหนุ่มแล้ว เขาไม่ต้องให้คนอื่นพาไปเที่ยวตลาดกันแล้ว พอไม่มีคนพาไปข้าพระพุทธเจ้าก็ไปไม่ได้ เพราะคุณย่าไม่ให้ไปนะเกล้านะกระหม่อม”
            “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ เจ้าโดนพี่เจ้าหลอกแล้วแหละเรือง ตลาดรึพอเจ้าพูดข้าก็เริ่มอยากไปเหมือนกัน แต่ถ้าข้าพาเจ้าไป เจ้าคงหมดสนุกกันพอดี คนล้อมหน้าล้อมหลังตามกันเป็นขบวน เอาอย่างนี้ข้าให้เจ้าเลิกราชการเร็ว แล้วให้เจ้าทับพาเจ้าไปเที่ยวตลาดดีรึไม่”
            “เป็นพระมหากรุณาพระพุทธเจ้าค่ะ แต่ไม่เป็นไร ข้าพระพุทธเจ้าอยากทำงานให้เต็มที่นะเกล้านะกระหม่อน”
เมื่อเรืองพูดจบขุนทับก็หัวเราะขึ้นมาเบา ๆ
            “มีอะไรรึเจ้าทับ เจ้าขำอะไร” เจ้าฟ้ากุ้งตรัสถามด้วยความสงสัย
            “ตอนนี้บ่ายมากแล้วตลาดวายหมดแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ ถึงไปตอนนี้ก็ไม่มีอะไรให้เรืองกินนะเกล้านะกระหม่อม”
ชิชะ ไอเด็กนี้ ข้าก็นึกว่าขยันทำราชการ เอาอย่างนี้พรุ่งนี้ข้าให้เจ้ากับขุนทับเข้าราชการสาย ขุนทับพรุ่งนี้เจ้าหาเรืองไปเที่ยวตลาดก่อนมารับใช้ข้าแล้วกัน”
             “พระพุทธเจ้าค่ะ” ขุนทับรับราชโองการ
             “นี้เจ้าเรืองวันโกนจุกเจ้าข้าคงไม่ได้ไป แต่เอาอัฐนี้ไปถือว่าข้าลงขันให้เจ้าเป็นคนแรกแล้วกัน”
             “เป็นพระมหากรุณาพระพุทธเจ้า” เรืองรับอัฐมา แต่คิดในใจว่าตนคงไม่ใช้จะเก็บรักษาไว้อย่างดีแทน

----------------------------------------------------------------------------------
              เมื่อถึงวันฤทธิ์ดีบ่าวไพร่ในบ้านต่างช่วยกันจัดเตรียมสถานที่สำหรับให้นายน้อยของบ้านเข้าพิธีโกนจุก โดยสถานที่นั้นตบแต่งประดับประดาไปด้วยผ้าแพรระบาย ทิวธงราชวัตรฉัตรชัยเนื่องจากเรืองเป็นสามัญชนถึงใช้ฉัตร 3 ชั้น ต้นกล้วย ต้นอ้อย และพับผ้าสีสลับกันรอบเสาโรงพิธี โดยพิธีจัด 2 วัน วันแรกสวดมนต์เย็น และทำพิธีบ้างส่วนคือ เมื่อพระเริ่มสวดก็ใส่มงคลสายสิญจน์รอบจุกของเรือง จนสวดมนต์จบแล้ว จึงปลดสายสิญจน์จากมงคล ส่วยวันที่สองเริ่มด้วยพระสงฆ์ฉันอาหารบิณฑบาตเช้า และเริ่มพิธีการตัดจุก
              “เป็นอย่างไรบ้างพ่อหนุ่มใหญ่คนใหม่” ขุนทับเอ่ยแซวเรืองหลังพิธีโกนจุกเสร็จสิ้น “สบายหัวหรือไม่ ไม่มีผมเหลือแล้วนิเจ้า”
              “อย่าแซวฉันสิจ๊ะพี่ทับ พิธีอะไรไม่รู้ยาวจัง ต้องขัดผิวด้วยฉันเจ็บไปหมดแล้ว” เรืองเริ่มงอแง
              “โตเป็นหนุ่มแล้ว เจ้างอแงเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้วนะเรือง” ขุนทับรีบปรามด้วยเรืองอายุ 13 และผ่านพิธีโกนจุกแล้ว ต้องเริ่มสั่งสอนให้ปฏิบัติตนให้สมเป็นผู้ใหญ่
              “ฉันไม่ได้อยากเป็นผู้ใหญ่เสียหน่อย ฉันยังอยากเป็นเด็ก อยากอ้อนให้พี่ ๆ คุณพ่อ คุณย่าเอาใจอยู่เลย”
              “อย่างนั้นเวลาอยู่กับคนอื่นเจ้าก็ทำตัวให้สมกับเป็นผู้ใหญ่ แต่เวลาอยู่กับคนในครอบครัวเจ้าค่อยทำตัวเด็กดีหรือไม่”
              “ถ้าทำได้อย่างนั้นมันย่อมดีอยู่แล้ว แต่คนที่บ้านก็บอกว่าฉันโตแล้วจะอ้อน หรือเอาแต่ใจแบบเด็ก ๆ ไม่ได้แล้ว เอาอย่างนี้พี่ทับมาเป็นคนให้ฉันอ้อนเอาแต่ใจได้ไหมจ๊ะ อย่างไรเสียพี่ทับก็เปรียบเสมือนพี่ชายของฉันอีกคนอยู่แล้ว แต่เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นฉันจะปฏิบัติตนให้สมกับการเป็นผู้ใหญ่”
               ขุนทับได้ยินอย่างนั้นก็เริ่มคิดไม่ตกว่าควรตอบอย่างไรดี ถึงจะเป็นการดีทั้งกับเรือง และคนอื่น ๆ
               “เห็นไหม พอเป็นผู้ใหญ่พี่ทับก็จะไม่ตามใจฉันอีกคนแหละ ช่างมันเถอะไม่ต้องฟังคำที่ฉันขอดอก ฉันหยอกพี่ทับเล่น ต่อไปฉันจะปฏิบัติตัวให้สมกับเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
      ได้ฟังแล้วนั้นขุนทับก็สบายใจ ด้วยเรืองนั้นนอกจากการโกนจุกที่ถือว่าก้าวข้ามมาสู่ความเป็นผู้ใหญ่แล้วนั้น เรืองยังเป็นมหาดเล็กในฝ่ายกรมพระราชวังบรม ในวังนั้นอันตรายมากมี มีแต่คนแก่งแย่งชิงดี ถ้าเรืองยังคงทำตัวเด็กอาจโดนคนประเภทนี้หาประโยชน์เอาได้

----------------------------------------------------------------------------------
      นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเรืองก็เอาแต่ใจน้อยลง ปฏิบัติตัวเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่ก็ยังมีบางครั้งที่เผลอหลุดอ้อนคนในครอบครัว แต่ทุกคนก็เข้าใจว่าอะไรที่ติดเป็นนิสัยแล้วนั้นมันค่อนข้างปรับยาก ถึงหลายคนจะพอใจกับลักษณะที่ดูโตขึ้น แต่กลับมีสองคนที่รู้สึกแปลกกับนิสัยที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปของเรือง
      คนแรกคือเดือน เนื่องจากตนเองเป็นพี่ชายคนโตที่อายุห่างจากเรืองมาก ทำให้เดือนได้รับหน้าที่ดูเรืองมาตั้งแต่เด็ก ๆ แทนคุณแม่ที่เสียไป และคุณย่ากับคุณพ่อที่มีภาระหน้าที่อื่นต้องทำ ทำให้เดือนกลายเป็นคนที่ใกล้ชิดกับน้องที่สุด และเป็นคนที่ถูกเรืองอ้อนมากที่สุด พอมาวันหนึ่งน้องตัวน้อยเติบโตขึ้น ออดอ้อนตนน้อยลง เดือนก็เริ่มรู้สึกใจหาย จนวันหนึ่งที่เดือนทนไม่ไหวถึงคุยเรื่องนี้กับเรือง
      “เรืองพี่ว่าเจ้าอายุแค่ 13 ปีไม่ต้องรีบเป็นผู้ใหญ่ตามที่คนอื่นว่าก็ได้”
      “คนอื่นที่ไหนหนึ่งในนั้นก็มีพี่เดือนด้วยนะจ๊ะ” เรืองทำหน้าสงสัยเพราะ เดือนเป็นคนเริ่มต้นบอกตนเองก็ว่าได้ว่าโกนจุกแล้วต้องเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว
      “พี่เย้าเจ้าเล่นดอก อายุแค่ 13 จะเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างไร ยังเด็กอยู่แท้ ๆ”
      เรืองเห็นท่าทางของเดือนก็รู้ทันทีว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้นจึงถามออกไปตรง ๆ ว่า “ขอความจริงจังจ้ะ ฉันอยากรู้ว่าฉันควรทำตัวอย่างไรกันแน่ ฉันเอาใจทุกคนไม่ถูกแล้วนะจ๊ะแบบนี้”
      “พี่เหงา พี่มีเจ้าค่อยออดอ้อนมาเป็นเวลา 10 กว่าปี พออยู่มาวันหนึ่งเจ้าก็ออดอ้อนพี่น้อยลง เอาอย่างนี้เวลาไหนที่เจ้าอยากอ้อน เช่น อยากได้อะไรแบบแต่ก่อนเจ้าก็อ้อนขอพี่ได้เลยนะ”
      “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ โธ่พี่เดือนที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ได้จ้ะฉันจะปฏิบัติตนให้สมกับเป็นผู้ใหญ่ และจะปฏิบัติตนให้สมกับการที่เป็นน้องชายของพี่ไปพร้อม ๆ กันดีไหมจ๊ะ” เรืองเข้าไปกอดประจบพี่ชาย
      “ดี ๆ ดีมาก ดีที่สุด” เดือนพอใจเป็นอย่างมากกับคำตอบและท่าทีน้องชายให้

      คนที่สองคือ ขุนทับ เพราะตั้งแต่วันที่คุยกับเรืองวันนั้น เรืองก็พูดกับตนน้อยลง หรือถ้ามีเหตุที่ต้องให้พูดคุยกันก็จะตอบแบบห่างเหิน อย่างเช่นวันนี้
      “เรือง วันหยุดราชการนี้พี่จะไปซ้อมดาบกับเจ้านะ”
      “ขอรับขุนทับ กระผมจะรอ” เรืองตอบเพียงเท่านี้ แล้วเดินเข้าตำหนักประทับของเจ้าฟ้ากุ้งไป
      “มาพอดีเลยจะเจ้า ข้ากำลังพูดถึงอยู่พอดี”
      “มีอะไรให้ข้าพุทธเจ้ารับใช้รึนะเกล้านะกระหม่อน”
      “เจ้าพวกมหาดเล็กคนอื่นนะสิบอกข้าว่าเจ้าดูโตขึ้น อะไรกันผ่านการโกนจุกมาไม่นานเจ้าไม่ต้องรีบก็ได้”
      “มีคนบอกว่าโกนจุกแล้วต้องปฏิบัติตนให้เป็นผู้ใหญ่ได้แล้วนะเกล้านะกระหม่อม”
      “ก็จริง แต่การจะเป็นผู้ใหญ่นั้นมีหลายวิธี เจ้าเห็นรึไม่ผู้ใหญ่ทุกคนไม่ได้ปฏิบัติตนเหมือนกันไปเสียหมด ดูอย่างง่าย ๆ เจ้าขุนทับกับพี่ชายของเจ้าที่เคยเล่าให้ข้าฟังก็เป็นผู้ใหญ่เหมือนกัน แต่ปฏิบัติตนไม่เหมือนกันใช่รึไม่ เจ้าไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเสียหมดเป็นผู้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเดียวตลอดเวลา เจ้าสามารถเป็นผู้ใหญ่ที่ขี้อ้อนเวลาอยู่กับคนที่บ้าน เป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพตอนเป็นคุณมหาดเล็ก”
      “เป็นผู้ใหญ่ทำไมยากจังนะเกล้านะกระหม่อน” เรืองรู้สึกเหนื่อยกับการเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาทันที
      “เป็นผู้ใหญ่ไม่ยากดอก แต่ด้วยเจ้าที่ต้องมาเป็นคุณมหาดเล็กในวังตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้ทุกคนคาดหวังให้เจ้าเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ ข้าเข้าใจดีเพราะ ข้าก็เคยผ่านการคาดหวังนั้นมาแล้ว”
      เรืองได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจว่าตนจะเป็นผู้ใหญ่แบบไหนก็ขึ้นอยู่กับสถานที่ และกาลเทศะที่เหมาะที่ควรเหมือนที่เจ้าฟ้ากุ้งทรงปฏิบัติตนหลากหลายรูปแบบกับหลากหลายคน
      “ข้าพระพุทธเจ้าเข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ”
      ขุนทับที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินดังนั้นก็คิดว่าตนคงบังคับให้น้องเปลี่ยนแปลงตนไปเป็นผู้ใหญ่เร็วเกินไป หลังเสร็จจากถวายการรับใช้ขุนทับก็เรียกเรืองมาคุยเพื่อขอโทษ
      “พี่ขอโทษที่บังคับให้เจ้ารีบโตเป็นผู้ใหญ่ ในวังนั้นอันตรายมากมี คนบางคนนั้นเข้ามาหวังหาประโยชน์ ถ้าพวกเขาเห็นว่าเจ้าเป็นเด็กพวกเขาจะเลือกเข้ามาหาเจ้า พี่ไม่อยากให้เจ้าเดือดร้อน เข้าใจพี่รึไม่”
      “กระผมเข้าใจที่ขุนทับบอกขอรับ ขอบคุณเป็นอย่างมากที่เป็นห่วงกระผม”
      “ถ้าเจ้าเข้าใจแล้วก็กลับมาพูดกับพี่เหมือนเดิมไม่ได้รึเรือง”
      “กระผมคิดว่าจริง ๆ พูดแบบนี้เห็นจะสมควรกว่านะขอรับ กระผมจะพูดเหมือนเดิมแค่กับคนในบ้าน และฝ่าบาทที่ทรงโปรดให้กระผมพูดแบบเดิมได้ก็เพียงพอแล้วขอรับ”
      “โธ่เรือง พี่ก็ถือเป็นคนในครอบครัวเจ้าเช่นกัน อย่าลืมสิว่าเราสองครอบครัวดองเป็นเครือญาติกันแล้ว เจ้าพูดแบบนี้เหมือนเห็นพี่เป็นคนอื่นคนไกล”
      “กระผมก็เห็นขุนทับเป็นเสมือนญาติคนหนึ่ง แต่ทุกคนในบ้านของกระผมก็พูดคุยกับขุนทับเช่นนี้ กระผมเห็นว่ากระผมเองก็สมควรพูดกับขุนทับแบบเดียวกับทุกคนในบ้านเช่นกัน”
      “แต่พี่อยากให้เจ้าพูดคุยจ๊ะจ๋ากับพี่แบบเมื่อครั้งก่อนมากกว่า เรืองจ๋ากลับมาพูดกับพี่เหมือนแต่ก่อนได้รึไม่ เจ้าพูดกับพี่เช่นนี้พี่ไม่ชอบใจเอาเสียเลย”
      “กระผมขอขุนทับตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว แต่ขุนทับไม่อนุญาต กระผมเลยคิดว่าพูดแบบนี้น่าจะดีกว่า เผื่อในวันข้างหน้าขุนทับไม่เห็นสมควรแล้วมาบอกให้กระผมเปลี่ยนอีก แล้วเมื่อถึงเวลานั้นกระผมโตขึ้นอาจเปลี่ยนแปลงการพูดจาได้ยากขึ้น สู้เปลี่ยนเสียตอนนี้ครั้งนี้ไปเลยน่าจะดีกว่า”
      “ทำไมพูดเยี่ยงนั้น เอาอย่างนี้พี่สัญญากับเจ้าว่าพี่จะให้เจ้าพูดจากับพี่เหมือนแต่ก่อนได้ตลอดชีวิตของพี่ และให้เจ้าอ้อนขอสิ่งต่าง ๆ จากพี่ได้เช่นกัน เจ้าเห็นว่าเช่นไร”
      “สัญญาแบบนี้ฉันจะตอบแบบอื่นได้เช่นไรละจ๊ะ ฉันก็ต้องตอบตกลงอยู่แล้ว เออพี่ทับจ๋าวันไปซ้อมดาบฉันอยากกินนกปล่อย* พี่ทับซื้อมาฝากฉันได้หรือไม่จ๊ะ”
      “พออ้อนได้ก็ใช้พี่เลยนะพ่อเรือง เอาอย่างนั้นหยุดราชการครั้งนี้ทั้งเจ้าและพี่ซ้อมดาบกันแค่วันเดียวพอ อีกวันพี่จะพาเจ้าไปย่านป่าขนม**ถือเป็นการไถ่โทษที่พี่พูดกับเจ้าเช่นครั้งก่อนดีหรือไม่”
      “ดีจ๊ะ พี่ทับใจดีกันฉันที่สุดเลย” เรืองพูดพร้อมกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

*นกปล่อย คือ ขนมลอดช่อง
**ย่านป่าขนม คือ ตลาดสำหรับค้าขายขนม

ี่พี่เดือนคนติดน้อง ในอนาคตอุปสรรค์ระหว่างขุนทับกับเรืองอาจเป็นพี่เดือนที่รักน้องเกินเหตุก็ได้
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่5 (7/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-05-2017 15:14:28
 :a5:

แง๊ง พี่เดือน ต้องใจเย็นๆ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่5 (7/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ShadeoftheMoon ที่ 07-05-2017 18:08:38
เรื่องแบบนี้แต่งยากมาก นับถือคนแต่งที่พยายาม เพราะต้องค้นคว้าข้อมูลพอสมควร แต่เรืองแอบมีความเจ้าเล่ห์แต่เด็กเลย ขุนทับจะทันน้องหรอเนี่ย
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่5 (7/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 07-05-2017 18:23:18
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่5 (7/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: butter.juliet ที่ 07-05-2017 18:45:13
ชอบนิยายแนวนี้ม๊ากกก มากกกก เจ้าเรืองก็น่าเอ็นดู พี่ทับก็ตามใจน้องขนาดนี้ โอ้ยยยย เห็นแววเกลียมัวมาแต่ไกล  :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่6 (9/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 09-05-2017 16:14:19
บทที่ 6 ต้นโพธิ์ล้ม
                        นอกจากการปรับตัวให้ปฏิบัติตนเพื่อเป็นผู้ใหญ่แล้วนั้น เรืองยังต้องเรียนรู้ในการดูการปฏิบัติตนของมหาดเล็กคนอื่นในวังด้วย
                                “จำไว้นะเรืองคนในวังนั้นมาก นิสัยย่อมมากตาม บางคนนั้นสิ่งที่เขาพูดกับสิ่งที่เขาคิดไม่ได้เหมือนกัน เจ้ารู้จักคำว่าปากหวานก้นเปรี้ยวหรือไม่เรือง”
                                “รู้จักจ้ะพี่ทับ คนในวังบางส่วนเป็นอย่างนั้นใช่หรือไม่จ๊ะ เข้าหาเราเพื่อผลประโยชน์ แต่เมื่อไรที่เราหมดประโยชน์เขาก็จะไม่สนใจใยดี ฉันเคยได้ยินคนเขาพูดกัน”
                                “ใช่แล้วเรือง เจ้านี่ฉลาดเสียจริง”
                                “ก็ฉันก็มีตัวอย่างที่ดีแบบพี่ทับอย่างไรละจ๊ะ ฉันก็เลยเก่งแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันคงต้องฝึกอีกมากถึงจะเก่งเท่าพี่ทับได้”
                                “จ๋า ๆ พ่อคนปากหวาน” ขุนทับกล่าวพร้อมลูบหัวด้วยความเอ็ดดู “ได้เวลาไปเข้าเฝ้าแล้ว ไปกันเร็ว”
                ขณะกำลังเดินอยู่นั้นเรืองก็ชนเข้ากับคน ๆ หนึ่ง
                “ไม่มีตาหรือไรวะ หรือคิดว่ามีเจ้านายใหญ่เป็นถึงกรมพระราชวังบวรสถานมงคล จะเดินตรงไหนก็ได้ ไม่ต้องหลบใคร ทุกคนต้องหลบให้”
                เรืองได้ฟังดังนั้นก็รีบเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าใครเป็นคนพูด
                “นะ ยังจะมองหน้ากูอีก ว่านิดว่าน้อยทำมอง ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง หรือคิดว่ามีเจ้านายให้ท้ายวะ”
                “หามิได้เจ้าค่ะ เรืองยังเด็กนัก ขออย่าได้ถือเป็นโทษเลยนะเจ้าค่ะ” ขุนทับเห็นทางไม่ดีจึงรีบบังคมทูล
                “อย่าให้มีครั้งหน้าอีกแล้วกัน เดี๋ยวเขาจะโจษจันกันไปทั้งวังว่ามหาดเล็กวังหน้าไม่รู้อะไรควร อะไรไม่ควร”
                “เจ้าค่ะ ข้าพระพุทธเจ้าจะสอนน้องให้ดี”
                เมื่อพูดจบคน ๆ นั้นก็เดินจากไป ยิ่งทำให้เรืองสงสัยมากขึ้นว่าคนผู้นั้นคือใคร จึงหันไปถามขุนทับในทันที
                “เขาคนนั้นคือใครรีจ๊ะพี่ทับ ฉันไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย ยังไมทันกล่าวขอโทษก็โดนว่าไม่หยุด พอหยุดก็เดินไปเสียเฉย ๆ ว่าฉันไม่พอยังพาดพิงไปถึงกรมราชวังบวรสถานมงคลด้วย”
                “ท่านผู้นั้นคือ กรมหมื่นจิตรสุนทรเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เช่นเดียวกับท่านวังหน้านายของเรา”
                “ท่านไม่ถูกกับนายของเราสินะจ๊ะ”
                “เรือง! พี่สอนเจ้าว่าอย่างไร” ขุนทับรีบเอ็ดหลังได้ยินคำถาม
                “อย่าพูดอะไรที่ไม่เป็นการสมควรในวัง เพราะ อาจมีคนได้ยินแล้วนำไปพูดต่อในทางไม่ถูกไม่ควร พี่ทับจ๊ะฉันขอโทษ แล้วก็พี่ก้มหน้าลงมาฉันหน่อยสิจ๊ะ”
                ขุนทับเห็นว่าน้องเข้าใจในสิ่งที่ตนสอนแล้วนั้น ก็ไม่กล่าวตักเตือนอะไรเพิ่ม แล้วก้มหน้าลงตามที่เรืองบอก เรืองเห็นดังนั้นจึงกระซิบถามว่า
                “แล้วที่ฉันสงสัยจริงหรือไม่ละจ๊ะ”
                “เจ้านี้จริง ๆ เสียเลยน่าหยิกให้แขนเขียว” แล้วขุนทับก็ก้มไปกระซิบเรืองกลับว่า “จริง”
เพราะพี่ทับเป็นเสียอย่างนี้อย่างไรเล่า เรืองเลยรู้สึกว่าตัวเองยิ่งเอาแต่ใจได้มากขึ้น ไม่ว่าจะขอหรือถามอะไร พี่ทับก็หามาให้ และตอบข้อสงสัยได้เสียหมด
                          “ช้ามากเรารีบไปเข้าเฝ้ากันเถอะเรือง”
                          “จ๊ะพี่ทับ”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังเดินเข้าตำหนักนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรหล่นจึงรีบเข้าไปดู เมื่อเข้าไปก็เห็นเจ้าฟ้ากุ้งทรงล้มอยู่
                                “เรือง เจ้าจงรีบไปตามหมอหลวงเร็ว” ขุนทับกล่าวด้วยความตกใจ
                                “ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ละจ้ะ”
                                เมื่อหมอหลวงมาถึงก็รีบตรวจอาการเพื่อวินิจฉัยหาโรค โดยได้ความว่าเจ้าฟ้ากุ้งทรงประชวรด้วยโรคสำหรับบุรุษ พระอาการของโรคที่เห็นได้ชัดคือ เสียประสาทการทรงตัว เดินช้าเพราะต่อมน้ำเหลืองโต และบวม
                             “โรคสำหรับบุรุษคืออะไรรึจ๊ะ แล้วพี่ทับเคยเป็นโรคนี้หรือไม่จ๊ะ ฉันไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนเลย พี่เดือนก็เหมือนยังไม่เคยเป็น แล้วต้องเป็นโรคนี้ก่อนถึงจะสมเป็นบุรุษใช่หรือไม่จ๊ะ ถ้าอย่างนั้นพี่ทับก็ต้องเคยเป็นแล้วแน่ ๆ เลย” เรืองถามด้วยความสงสัยอย่างยืดยาว
                 ขุนทับไม่รู้ว่าควรจะอธิบายสาเหตุของโรคให้เรืองฟังอย่างไรดี ถึงบอกให้เรืองไปถามหมอหลวงแทนตน โชคดีที่หมอหลวงสามารถตอบข้อสงสัยของเรืองได้จนหมด ส่วนเจ้าฟ้ากุ้งนั้นในบางครั้งที่พระองค์ประชวรหนักพระองค์จะไม่สามารถเสด็จไปไหนมาไหนได้ ทำได้เพียงประทับบนแท่นบรรทมตลอดเวลา
                 เรืองมาเข้าเฝ้าครั้งใด ถ้าพบว่าพระองค์ประชวรหนักขึ้นก็จะร้องไห้เสียใจ เนื่องจากเรืองยังเด็กเลยกลัวไปสารพันอย่าง บางครั้งเรืองแอบได้ยินคนในวังบางคนพูดจาถึงอาการในการจะทำการรักษาให้หายขาด  เรืองก็ยิ่งกลัว วันหนึ่งขณะเรืองเข้าเฝ้า เจ้าฟ้ากุ้งมีรับสั่งให้เรืองเข้าไปหาใกล้ ๆ
                “อย่างไรกันมหาดเล็กตัวน้อยของข้า เจ้าทับมันมาฟ้องข้าว่าเจ้าร้องไห้เป็นเผาเต่าเลยรึ”
                “ข้าพุทธเจ้ากลัวนิพุทธเจ้าค่ะ”
                “กลัวอะไร กลัวว่าข้าจะตายรึ ไม่ต้องกลัวหรอกเรือง ข้ายังอยู่เป็นดังต้นไม้ใหญ่ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรป้องกันแดด ลม ฝนให้เจ้าได้อีกนาน”
               “จริงจะเกล้านะกระเกล้า ถ้าอย่างนั้นข้าพระพุทธเจ้าก็เบาใจ”
แต่ถึงอย่างนั้นจากอาการดังกล่าวทำให้เจ้าฟ้ากุ้งไม่สามารถเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวเป็นเวลา 3 ปีเศษ ยิ่งนานวันเข้าพระอารมณ์ก็ยิ่งร้อนขึ้น โกรธเกรี้ยวง่ายขึ้น มหาดเล็กต่างพากันเข้าหน้าไม่ติดไม่เว้นแม้นแต่ขุนทับกับเรือง
 
----------------------------------------------------------------------
                             วันหนึ่งขณะขุนทับ และเรืองที่ในตอนนี้ได้รับยศเป็นพันมาเข้าเฝ้า พระองค์ทรงมีราชโองการให้ขุนทับไปนำตัวเจ้ากรม ปลัดกรม และนายเวรปลัดเวรของเจ้าสามกรมมาเข้าเฝ้า พร้อมมีรับสั่งให้ลงพระราชอาญาโบยหลังคนละ 15 ทีบ้างคนละ 20 ทีบ้างตามเห็นจะสมควร
                                “เนื่องจากที่นายกรมของพวกมึงมียศศักดิ์เป็นแค่กรมหมื่นจะแต่งตั้งให้พวกมึงมียศสูงกว่ากรมหมื่นมิได้ ต้องให้พระเจ้าอยู่หัวตั้งให้ แต่นี้อะไรทำไมพวกมึงมียศเป็นขุนกันได้ กินเบี้ยหวัดหลวงเกินควรสมควรถูกลงโทษ” พระองค์ตรัสขณะทอดพระเนตรดูการลงโทษ
                                จากเหตุการณ์นี้ทำให้ทำให้เจ้ากรม ปลัดกรม และนายเวรปลัดเวรไม่พอใจเป็นอย่างมากที่โดนลงโทษ จึงรวมตัวกันไปเข้าเฝ้าเจ้าสามกรม* เจ้าสามกรมทรงพิโรธมากเนื่องจากเห็นว่าเป็นการหมิ่นเกียรติ์กัน และความไม่พอใจเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วจึงนำเรื่องที่เจ้าฟ้ากุ้งเข้ามาลักลอบเป็นชู้กับเจ้าฟ้านิ่ม และเจ้าฟ้าสังวาลย์** เจ้าฟ้าฝ่ายในของพระเจ้าอยู่หัว ไปกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวพระบรมโกศให้ทรงทราบ พระเจ้าอยู่ได้ฟังเช่นนั้นพระองค์จึงมีรับสั่งให้สอบสวนหาความจริง และเมื่อทรงทราบว่าเป็นความจริงแล้วนั้น ถึงมีการประชุมขุนนางฝ่ายต่าง ๆ ในวัง โดยตามกฎมณเฑียรบาลนั้นโทษของเจ้าฟ้ากุ้งคือ การสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์*** แต่เนื่องจากครั้งอดีตพระพันวัสสาใหญ่พระมารดาของเจ้าฟ้ากุ้งทรงขอสัญญากับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก่อนสวรรคตว่า มิว่าเจ้าฟ้ากุ้งทำผิดพลาดประการใดให้ระเว้นโทษประหาน พระเจ้าอยู่หัวถึงมีรับสั่งให้ถอดยศเจ้าฟ้ากุ้งจากกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นไพร่ และลงพระราชอาญาเฆี่ยน 230 ทีแทน แต่เมื่อโดนเฆี่ยนได้ 180 ที พระองค์ทรงทนความเจ็บไม่ไหวก็ทรงสิ้นพระชนม์
                                “พี่ทับจ๊ะ ทำไมพระองค์ถึงจากพวกเราไปเร็วอย่างนี้ ฉันพึ่งมารับใช้เป็นข้ารองพระบาทได้เพียง 6 ปี ยังไม่ทันสนองพระเดชพระคุณให้สมกับที่พระองค์ทรงกรุณาฉันเลยเลย” เรืองพูดด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง นี้นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของเรืองเลยก็ว่าได้ เนื่องจากตั้งแต่จำความได้นั้นพระองค์ถือเป็นความสูญเสียแรกในชีวิตของเรือง
                                “แต่จะให้ท่านทรงอยู่แบบกลายเป็นไพร่ให้คนอื่นหยามเกียรติ์ พี่ว่าท่านคงคิดว่าสู้ให้ท่านตายเสียยังดีกว่า” ขุนทับกล่าวอย่างรู้ใจเนื่องจากอยู่รับใช้เจ้าฟ้ากุ้งมาหลายปี ถึงจะเสียใจแต่ก็รู้ว่านี้อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับพระองค์แล้วก็เป็นได้
                                “ในวังนั้นน่ากลัวเสียเหลือเกินพี่ทับจ๋า พี่น้องแก่งแยกชิงดีชิงเด่นกัน ถึงเจ้านายของเราจะผิดจริงแต่ฉันก็กลัวใจของคนในนี้เสียแล้ว พอไม่มีพระองค์เป็นดังร่มโพธิ์ร่มไทรของฉันแล้ว ฉันก็ไม่อยากอยู่ในนี้เสียแล้วสิ”
                                “โธ่เรือง ถ้าเจ้าไม่อยู่แล้วใครจะอยู่กับพี่ที่นี้ เจ้าอย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับพี่สิ” ขุนทับรีบทวงสัญญา ด้วยกลัวว่าเรืองจะขอออกจากราชการจริง ๆ
                                “จากเหตุการณ์นี้ทำให้ฉันเห็นความจริงที่ว่า การเป็นคนเด่นนั้นไม่ได้เป็นผลดีเลยในที่แบบนี้ กลับจะก่อให้เกิดโทษเสียด้วยซ้ำไป ฉันยังจำได้เจ้าสามกรมนั้นไม่ชอบนายเราตั้งแต่ครั้งเก่าก่อน พยายามก็หลายครั้ง จนประสบความสำเร็จในครั้งนี้” เรืองกล่าวเพราะ เห็นลักษณะท่าทีของเจ้าสามกรมตั้งแต่ครั้งเรืองยังเป็นเด็กน้อย ทั้งสามพระองค์รู้ดีว่าเรืองเป็นมหาดเล็กฝ่ายกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เมื่อพบหน้าเรืองคราวไหนก็พูดจาไม่ดีใส่ หรือพูดกระทบไปถึงเจ้าฟ้ากุ้ง
                                “เรือง เจ้าจำคำพี่ไว้นะความอิจฉาริษยาเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ เจ้าสามกรมริษยาพระเจ้าฟ้ากุ้งเพราะ เห็นว่าเป็นคนโปรด ต่อไปภายภาคหน้าคนโปรดยังไม่ใช่ทั้งสามพระองค์อีก ท่านทั้งสามพระองค์ก็จะริษยาไม่สิ้นสุด และเป็นทุกข์ไม่สิ้นสุดด้วยเช่นกัน”
                                “แล้วพวกเราจะเป็นอย่างไรกันต่อไปรึจ๊ะพี่ทับ”
                                “ก็สุดแท้แต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจะทรงโปรดเห็นสมควร” นี้เป็นครั้งแรกที่ขุนทับไม่อาจตอบคำถามของเรืองให้กระจ่างได้ ด้วยตัวขุนทับนั้นก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้านายผู้เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ที่ปกปรักรักษาพวกเขาทั้งสองจากไปแล้ว อนาคตของทั้งตนและเรืองจะเป็นเช่นไรต่อ กระแสบุญและกรรมจะพัดผ่านพวกเขาไปในทิศทางไหน
 
* เจ้าสามกรมประกอบด้วยกรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหมื่นเสพภักดีเป็นพระราชโอสรในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเช่นเดียวกับเจ้าฟ้าธรรมธิเบศไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ (เจ้าฟ้ากุ้ง)
**นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าทั้งสองพระองค์คือคน ๆ เดียวกัน
***การสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ เป็นวิธีการประหารพระราชวงศ์ไทยโดยการใช้ท่อนจันทน์เป็นอุปกรณ์
อัพในมือถือ อาจแปลกๆหน่อย
https://m.facebook.com/tipin1994/
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่6 (9/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: cchompoo ที่ 09-05-2017 17:46:48
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่6 (9/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: ShadeoftheMoon ที่ 10-05-2017 11:02:27
รอดูว่าชีวิตของทั้งสองจะเป็นอย่างไรต่อไป
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่7 (13/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 12-05-2017 18:19:04
บทที่ 7 การเปลี่ยนแปลง
                  หลังเจ้าฟ้ากุ้งสิ้นพระชนม์ได้ไม่นานพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงมีรับสั่งให้มหาดเล็กฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคลเดิมเข้าเฝ้า ด้วยเนื่องจากเจ้านายเดิมสิ้นแล้วจึงต้องมีการเปลี่ยน ขยับขยายตำแหน่ง โดยมหาดเล็กบางคนที่รับใช้เจ้าฟ้ากุ้งตั้งแต่ครั้งพระเยาว์ และอายุมากแล้วมีความต้องการลาออกจากการเป็นมหาดเล็ก ส่วนคนที่เหลืออยู่ก็ต้องเปลี่ยนนาย หรือกรมสังกัดใหม่
                  สำหรับขุนทับนั้น เขาเข้ารับราชการทหารเพื่อต้องการปกป้องบ้านเมือง ต่อให้ต้องเปลี่ยนนาย หรือกรมสังกัดนั้นเขาไม่มีปัญหาเพราะ แต่เดิมนั้นเขาเป็นมหาดเล็กในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศมาก่อนที่พระองค์โปรดเกล้าถวายเขาเป็นมหาดเล็กของเจ้าฟ้าวังหน้า แต่เรืองไม่ใช่ถึงปัจจุบันจะดำรงตำแหน่งเป็นพันแล้ว แต่ตั้งแต่เริ่มเรืองก็เข้ามาเป็นมหาดเล็กวังหน้าเลย น้องไม่เคยเปลี่ยนนาย และไม่สนิมกับมหาดเล็กส่วนอื่น ทำให้ขุนทับกลัวว่าถ้าน้องต้องเปลี่ยนนายน้องจะเป็นอย่างไรต่อไป เมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศมีรับสั่งเข้าเฝ้า ขุนทับก็ถามน้องทันที
                  “เรือง ในการเข้าเฝ้าครั้งนี้นั้น พี่ว่าพระเจ้าอยู่หัวคงมีรับสั่งให้พวกมหาดเล็กทุกคนในส่วนวังหน้าเปลี่ยนสังกัดเป็นแน่แท้ เจ้าจะเอาอย่างไรต่อ”
                  “ถ้าไม่ได้อยู่กับเจ้าสามกรมฉันไม่มีปัญหาดอกจ๊ะ แต่ถ้าต้องอยู่ฉันคงขอลาออกจากราชการไปช่วยพ่อกับพี่เดือนทำทองดีกว่า ฉันทำใจรับใช้คนที่เป็นสาเหตุทำให้เจ้าฟ้ากุ้งสิ้นพระชนม์ไม่ลงจริง ๆ แต่ถ้าเลือกได้ ฉันขอไปกับพี่ทีบจ๊ะ พี่สังกัดไหนฉันสังกัดด้วย พี่คงยังไม่เบื่อฉันนะจ๊ะ”
                   “พี่ไม่มีทางเบื่อเจ้าดอกเรือง ถ้าเลือกได้พี่ก็อยากให้เจ้าอยู่เคียงข้างพี่แบบนี้ไปตลอดเหมือนกัน”
                 เมื่อถึงเวลาเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศนั้น มหาดเล็กในพระองค์ก็เริ่มอ่านราชโองการ โชคดีที่พระองค์ทรงเห็นว่าเรืองนั้นขุนทับเป็นคนนำเข้ามาถวายตัว และปัจจุบันอายุพึ่ง 16ปี ยังมีประสบการณ์น้อย ไม่ได้รู้จักคนมากเพราะ อยู่รับใช้แค่กับท่านวังหน้า ในราชโองการจึงมีรับสั่งให้ทั้งขุนทับและเรืองไปเป็นมหาดเล็กในเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ
                   “รับมันทั้งสองไปรับใช้เพิ่มได้รึไม่พ่อดอกมะเดื่อ มันทั้งคู่รับใช้เจ้าฟ้ากุ้งมาตั้งแต่เด็ก รู้งานเป็นอย่งดี อาจช่วยงานพ่อดอกมะเดื่อได้ไม่มากก็น้อย”
                   “ถ้าพระองค์ทรงเห็นว่าดี ลูกก็ว่าดีพระพุทธเจ้าค่ะ”
                  ด้วยราชโองการนี้ทำให้ทั้งเรืองและขุนทับย้ายเข้ามาเป็นมหาดเล็กในส่วนเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อแทน

---------------------------------------------------
                           เมื่อกล้บถึงบ้านเรืองก็พบว่าทั้งคุณย่า คุณพ่อ และพี่เดือนนั่งรอตนอยู่ก่อนแล้ว เนื่องจากเรืองบอกตั้งแต่ก่อนเข้าเฝ้าแล้วว่าวันนี้จะมีราชโองการในการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง
                             “เป็นอย่าไรบ้างพันเรืองน้องพี่ ออกจากราชการมาช่วยพี่ทำทองใช่หรือไม่” เดือนถามด้วยความหวังที่ว่าน้องจะกลับมาอยู่ใกล้ ๆ ตัว เพราะ ตอนน้องขออนุญาตคุณย่ากับคุณพ่อนั้น ตนเองไม่ได้อยู่ ถ้าอยู่นะอย่าหวังเสียให้ยากว่าเขาจะยอมให้น้องห่างจากตัว
                            “เปล่าจ้ะฉันกับพี่ทับย้ายไปรับตำแหน่งเป็นมหาดเล็กเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อแทนจ้ะ”
                            “อะไรขุนทับไปกับเจ้าอีกแล้วรึ” ไม่รู้ทำไมแต่เดือนรู้สึกแปลก ๆ กับขุนทับคนนี้ตั้งแต่แรกพบ ความรู้สึกมันบอกว่าผู้ชายคนนี้จะมาแย่งน้องตนเองไป อยากมีน้องทำไมไม่ให้พ่อแม่ทำให้วะ มายุ่งกับน้องคนอื่นทำไม
                             “เดือนนี่เจ้าก็ถามแปลก ๆ ดีออกที่มีขุนทับไปด้วยย่าจะได้ไม่ต้องห่วงเจ้าเรืองมาก ว่าจะโดยเจ้านายคนใหม่กดขี่หรือไหม เนื่องจากเคยเป็นมหาดเล็กในวังหน้ามาก่อน แล้วนี้เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อเป็นราชโอรสพระองค์ไหนของพระเจ้าอยู่รึขุนทับ นิสัยใจคอเป็นเยี่ยงไร”
                             “เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อนั้นเป็นพระโอสรในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศกับพระพันวัสสาน้อย เป็นพระอนุชาในเจ้าฟ้าเอกทัศขอรับ พระองค์ทรงรักสงบ นิ่ง ไม่ค่อยใช้อำนาจที่มีกับใครขอรับคุณย่าใหญ่”
                            “ไม่ใช้อำนาจรึ อย่างนั้นก็มีทั้งข้อดีและข้อไม่ดีนะสิ” คุณย่ากล่าวต่อ
                            “ไม่ดีอย่างไรรึจ๊ะคุณย่า ฉันว่าน่าจะมีแต่ข้อดีนะจ๊ะ พระองค์ต้องทรงมีเมตตากับทุกคนเป็นแน่”
                             “คนที่เกิดมาเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินต้องรู้จักใช้อำนาจให้ถูกให้ควร ถ้าใช้อำนาจไม่ถูกอาจก่อให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ เช่น ลูกน้องในปกครองบางคนแข็งข้อ แต่ถึงอย่างนั้นย่าก็หวังว่าจะไม่มีปัญหานะ” 

-------------------------------------------------------------
                              “เป็นอย่างไรบ้างไอคนสามนาย” ขณะขุนทับกำลังเดินกลับเรือนอยู่นั้นก็มีเสียงหนึ่งดังจากข้างหลัง
                             “ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้าหมื่นมิ่ง”
                              “อะไรกันข้าก็ถามด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเก่า ไอเด็กลูกครึ่งมอญที่เดินตามก้นเจ้ามาตั้งแต่เด็ก ก็ยังคงตามก้นเจ้าต่อไป ถ้าเด็กนั้นเป็นผู้หญิงข้าคงคิดว่าเจ้าเลี้ยงต้อยเป็นแน่แท้”
                              “ไม่มีใครคิดอะไรต่ำ ๆ แบบเอ็งหรอกไอมิ่ง ถ้าพูดแล้วปล่อยหมาออกมาจากปากแบบนี้หุบปากไปเสียเถอะ” ขุนทับเริ่มรู้สึกว่าตนเองเริ่มอารมณ์เสียแล้ว จึงพยายามระงับอารมณ์ของตน
                              “ข้าบอกว่าถ้า อย่างไรเสียไอเด็กนั้นก็เป็นผู้ชาย เจ้าจะอารมณ์เสียไปทำไม จริงสิข้ามีงานต่อนิ ลานะขุนทับ” ว่าแล้วหมื่นมิ่งก็เดินจากไป
                              ขุนทับคิดตามที่หมื่นมิ่งพูด นั้นสิจะหงุดหงิดทำไมเรื่องของเรือง อย่างไรเสียก็ไม่มีทางเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แล้วรีบเดินกลับเรือน ด้วยคนที่บ้านนั้นก็รอฟังเรื่องพระราชโองการ
                              “เป็นอย่างไรบ้างพ่อทับ พระราชโองกาสว่าอย่างไรบ้าง เสียดายที่พ่อเรียกเจ้ามาช่วยงานไม่ได้เพราะ พ่อมีพ่อด้วงอยู่แล้วทั้งคน ถ้าดึงตัวเจ้าอีกคนคนอื่นเขาจะครหานินทาได้ว่าบ้านเราเล่นพรรคเล่นพวก”
                             “ไม่เป็นไรขอรับเจ้าคุณพ่อ กระผมกับเรืองน้องแม่จันเข้าไปถวายตัวเป็นมหาดเล็กในส่วนของเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อขอรับ”
                              “เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อรึ ก็ดีพระองค์ทรงมีเมตตา และที่สำคัญไม่น่าโดยเป็นเป้าหมายของพวกคนละโมบในวังเจ้าน่าจะสบายขึ้น แล้วอีกอย่างพ่อว่าเจ้ากับพ่อเรืองลูกช่างหลวงชิดนี้น่าจะมีวาสนาต่อกันนะหลายปีแล้วสินะที่ไม่แยกจากกันเลย ขนาดเปลี่ยนตำแหน่งครั้งนี้พ่อเรืองก็ยังตามเจ้ามา เออพ่อไม่ได้เจอพ่อเรืองนานแหละ ตั้งแต่ครั้งเจ้านำไปถวายตัววันนั้น กี่ปีแล้วนะพ่อทับ”
                              “6 ปีแล้วขอรับเจ้าคุณพ่อ ตอนนี้เรืองเลื่อนยศเป็นพันแล้วนะขอรับ เป็นที่โปรดปรานของท่านวังหน้าองค์ก่อนเป็นอย่างมาก ตอนท่านสิ้นพระชนม์กระผมสงสารน้องเหลือเกิน”
                              “นั้นสิ เอาอย่างนี้วันไหนว่างจากราชการเจ้าก็ชวนน้องมาทานข้าวบ้านเราสิ พ่อได้ข่าวมาว่าเจ้าก็ไปกินข้าวบ้านนั้นมาหลายครั้งแล้ว อีกอย่างแม่จันจะได้เจอน้องด้วยดีรึไม่”
                             “ดีเจ้าค่ะเจ้าคุณพ่อ”
                             “ดีขอรับวันพรุ่งผมจะไปบอกน้องให้ทราบว่าเจ้าคุณพ่ออยากพบ น้องต้องดีใจแน่ ๆ เพราะจะได้พบแม่จันด้วย”
                             วันรุ่งขึ้นขุนทับรีบบอกเรืองทั้งทีที่พบหน้าว่าเจ้าคุณพ่อของตนมีความประสงค์อยากเจอเรืองในวันหยุดราชการนี้
                             “พระยาสุรศักดิ์มนตรีอยากพบฉันทำไมรึจ๊ะพี่ทับ”
                             “อันนี้พี่ก็ไม่ทราบได้ แต่พี่ว่าอันที่จริงน่าจะชวนทั้งครอบครัวเรืองมา พี่ว่าเราควรกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันบ้าง แม่จันเองก็คงคิดถึงคนที่บ้านเก่าเพราะ นาน ๆ จะได้ไปเยี่ยมดี เจ้าว่าความคิดพี่ดีรึไม่”
                              “ดีจ้ะ ฉันจะไปบอกทุกคนที่บ้านว่าหยุดราชการนี้เราจะไปกินข้าวบ้านพี่ทับกัน”
                              “พี่ก็ต้องกลับไปบอกเจ้าคุณพ่อเช่นกันว่า พี่เปลี่ยนเป็นให้เชิญครองครัวเรืองทั้งหมดแทน”

พี่เดือนยังคงติดน้อง ส่วนหมื่นมิ่งมากวนเป็นช่วงๆ ตอนหน้าว่าที่คู่รักจะพาไปรู้จักครอบครัวแล้ว
เราพิมพ์ในคอมนะ ตรวจคำผิดลำบากหน่อยถ้าเจอบอกได้นะ
เรามาเที่ยวกับญาติ ๆ อาจอัพช้ากว่าเดิม หรืออัพเวลาแปลกๆนะ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่7 (13/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 13-05-2017 23:15:47
โอ๊ยยยย ชอบมากกก ถ้าได้ดูสายโลหิตแล้วมาอ่านยิ่งฟินหนักมากก
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่7 (13/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-05-2017 07:58:42
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่7 (13/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 14-05-2017 13:09:55
 :z3:
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่7 (13/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 14-05-2017 19:34:19
แนวพีเรียดมาแล้ว น่าติดตามๆ

ตอนนี้พี่ทับยังไม่รู้ใจตัวเองสินะ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่8 (17/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 17-05-2017 19:24:38
บทที่ 8 ความรู้สึกแปลก ๆ
                เย็นวันนั้นเรืองกลับไปบอกทุกคนที่บ้านว่าวันหยุดราชการนี้พระยาสุรศักดิ์มนตรีอยากเชิญทั้งครอบครัวไปทานอาหาร
                   “ดีเลย พี่อยากเจอจันเหมือนกัน นาน ๆ ทีจะได้เจอ ทั้งที่เรือนก็อยู่ใกล้กันแค่นี้”
                   “จันก็ต้องดูแลสามี และลูกสิ คนมีครอบครัวจะว่างเหมือนเจ้าได้อย่างไรกันเจ้าเดือน” คุณย่าตอบเพราะ รู้ดีว่าหลานชายคนโตนั้นติดน้องทั้งสองคนขนาดไหน
                   “ก็ฉันยังไม่เจอสาวถูกใจนิจ๊ะ อีกอย่างฉันก็อยากอยู่กับคุณย่า คุณพ่อ และเรืองไปเรื่อย ๆ อยู่แบบนี้”
                    นายหญิงใหญ่ของบ้านขี้เกียจจะพูดเรื่องนี้เสียแล้วเพราะ ไม่ว่าจะถามพ่อตัวดีคนนี้กี่ครั้ง คำตอบก็ยังเป็นเหมือนเดิม

-----------------------------------------------------------
                    เมื่อวันหยุดราชการมาถึงทุกคนก็เดินทางไปทานอาหารที่เรือนของพระยาสุรศักดิ์มนตรีตั้งแต่ตอนสายเพราะ ท่านเจ้าคุณบอกก่อนมาแล้วว่าจะได้มีเวลาสำหรับพูดคุยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันมากขึ้น เนื่องจากทั้งสองครอบครัวนั้นถึงดองเป็นญาติกันแล้วก็ไม่ได้มีเวลาคุยกันมากนัก ต่างคนต่างมีงาน จึงถือวันนี้เป็นวันดีในการสานสัมพันธ์สองครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้น
                   “ เป็นอย่างไรกันบ้างขอรับ ดีใจเสียจริงที่วันนี้ท่านเจ้าขุนเชิญกระผม และครอบครัวมาทานอาหารที่เรือนท่าน” เมื่อมาถึงนายช่างชิดก็รีบกล่าวขอบคุณ
                    “ไม่เป็นไรดอกพ่อชิด ครอบครัวเราสองก็เกี่ยวดองกันแล้ว ฉันยังคิดยู่เลยว่าพวกเราเจอกันน้อยไปเสียด้วยซ้ำทั้งที่เรือนก็ติดกันแค่นี้ แต่ช่างเถอะมากันแล้วก็ดี มาสิอาหารมาพอดี จะอร่อยสู้ฝีมือคุณป้ายิ้มได้รึไม่ก็ไม่ทราบ พ่อทับชอบมาเล่าให้ฟังว่าฝีมืออาหารคุณย่าใหญ่นั้นอร่อยหาที่เปรียบไม่ได้”
                      “ขุนทับก็ชมอิฉันเกินไป ก็แค่ฝีมือชาวบ้านไม่ได้อร่อยอะไรมากมาย”
                       “เอาเถอะ ทานอาหารกันก่อนแล้วค่อยพูดคุย เจ้าตัวเล็ก ๆ สองคนนี้มองอาหารตาไม่กระพริบแล้ว” ท่านเจ้ากล่าวพร้อมมองหลานของตน ลูกสองคนของแม่จันกับหลวงด้วงที่เอาแต่จ้องอาหารไม่สนใจอะไร
                      หลังจากทานอาหารเสร็จทั้งสองครอบครัวก็เริ่มพูดจาปราศรัยกัน หัวข้อแรกเป็นอะไรไปไม่ได้น้อยจากเรื่องการเปลี่ยนนายของขุนทับกับเรือง
                    “ถือว่าเป็นโชคดีเสียจริงที่ได้เป็นมหาดเล็กในเจ้านายพระองค์นี้ พระองค์ทรงเมตตาต่อมหาดเล็ก และคนในวังทุกคน แล้วอีกอย่างพ่อเรืองก็ยังมีพ่อทับคอยดูแล ดังนั้นทั้งคุณน้า และพ่อชิดไม่ต้องเป็นห่วง อีกอย่างถ้ามีปัญหาอะไรกระผมกับพ่อด้วงก็จะช่วยดูแลด้วย ถึงกระผมจะพึ่งมีโอกาสบอกช้าไปหลายปีหลังจากพ่อเรืองเข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในวังแล้วก็เถอะ”
                    “ไม่เป็นไรดอกเจ้าค่ะ ฝั่งอิฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณขุนทับที่ดูแลเจ้าเรืองมาตั้งหลายปี อีกหน่อยพอแต่งงานไปที่นี่แหละเจ้าเรืองได้ดูแลตัวเองเป็นแน่”
                   “อะไรกันจ๊ะ พี่ทับจะแต่งงานหรอจ๊ะ แต่งกับใครทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย” เรืองรีบถามด้วยความรู้สึกแปลกที่ไม่ดีเอาเสียเลย แต่เรืองมั่นใจว่าตนจะไม่พอใจแน่ ๆ ถ้าขุนทับแต่งงาน
                    “โถ่! พี่อยู่กับเจ้าตลอดจะเอาเวลาที่ไหนไปมองหญิง แล้วถ้าพี่มองจริงมีหรือที่เจ้าจะไม่รู้” ขุนทับเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องรีบปฎิเสธ เหมือนกับกลัวเรืองจะเข้าใจผิด
                     “พอ ๆ กับเจ้าเดือน อิฉันยังคิดอยู่เลยว่ามีโอกาสจะได้อุ้มเหลนฝั่งพ่อหรือไม่ ถามไปกี่ครั้งก็ตอบแต่ยังไม่เจอผู้หญิงถูกใจเสียที”
                      “กระผมก็รอไปสู่ขอให้พ่อทับเช่นกันขอรับ แต่ยังโชคดีที่พ่อด้วงมีทั้งหลานชาย และหลานสาวให้แล้ว กระผมเลยไม่ต้องรีบเร่งถามเอากับพ่อทับเขามาก”
                    ผ่านไปชั่วครู่บทสนทนาก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่นแทน แต่สำหรับเรืองนั้นใจยังจดจ่ออยู่กับบทสนทนาเดิมที่ได้ฟัง พี่ทับอาจจะแต่งงาน ถ้าแต่งงานแล้วพี่ทับจะมีเวลาให้เขาน้อยลง สนิทกันน้อยลง ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่พอใจเอาเสียเลยก็ไม่รู้  ไม่ได้การณ์แล้วจะต้องถามพี่ทับให้รู้เรื่องว่าจะแต่งงานเมื่อไร จะมีเวลาให้เขาน้อยลงเมื่อไร เขาจะได้เตรียมตัวเตรียมใจได้ทันเมื่อเวลานั้นมาถึง
               
----------------------------------------------------
               เมื่อได้เวลากลับเรือน เรืองก็หันมากระซิบกับขุนทับว่ามีเรื่องจะพูดด้วย ขุนทับซึ่งอาสาไปส่งครอบครัวนายช่างชิดที่บ้านโดยให้เหตุผลว่าครอบครัวของตนเป็นคนเชิญมาทานอาหารโดยไม่ไปรับ ก็ขอให้ได้ไปส่งก็ยังดี พระยาสุรศักดิ์มนตรีเห็นด้วยกับลูกชาย ทำให้สมาขิกทุกคนในบ้านนายช่างชิดไม่กล้าปฎิเสธ เมื่อมาส่งถึงเรือน ขุนทับก็อ้างต่อไปว่าตนนั่นมีราชการสำคัญจะคุยกับเรือง จึงขออนุญาตคุณย่าใหญ่พาเรืองไปคุยกันที่เรือนริมน้ำ
                   “พี่ทับจะแต่งงานเมื่อไรรึจ๊ะ” เมื่อมาถึงเรือนริมน้ำเรืองก็เปิดปากถามประเด็นที่สงสัยมาโดยทันที
                   “อะไรกันพี่ก็คิดว่ามีเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก พี่ก็บอกตั้งแต่ตอนทานอาหารแล้วนิว่าพี่ยังไม่มองหญิงที่ไหน”
                  “แล้วเมื่อไรพี่ทับจะมองผู้หญิงจ๊ะ ฉันจะได้เตรียมตัวถูก” เรืองถามต่อ
                  “ทำไมเจ้าถึงอยากรู้ขนาดนั้น ถึงพี่จะมีคู่รักพี่ก็ยังอยู่กับเจ้าอยู่ดี เรายังทำงานที่เดียวกัน แล้วอีกอย่างพี่อยู่กับเจ้ามาหลายปี พี่ไม่ทิ้งเจ้าไปง่าย ๆ ดอก”
                 “ไม่รู้สิจ๊ะ แต่ตอนคุณย่าบอกว่าพี่จะแต่งงานฉันรู้สึกแปลก ๆ ทำไมมันไม่ดีใจเหมือนตอนพี่จันจะแต่งงานก็ไม่รู้ ออกจะไม่พอใจเสียด้วยซ้ำ แล้วมันก็ปน ๆ กับรู้สึกเสียใจด้วย ทำไมฉันถึงรู้สึกแบบนั้นหรอจ๊ะพี่ทับ”
               ขุนทับถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่งหลังจากได้ยินประโยคนั้นจบ นั้นมันประโยคบอกรักไม่ใช่รึ ถึงขุนทับจะยังไม่เคยมีความรักแต่ตนก็รู้ดีเนื่องจาก ถึงวัยที่ควรจะแต่งงาน มีครอบครัวแล้ว ทำให้มีสหายหลายคนของตนมักพูดคุยกันถึงแต่เรื่องความรัก ซึ่งตรงกับความรู้สึกที่เรืองกล่าวมาเมื่อครู่
                 “เจ้าเคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนหรือไม่เรือง” ขุนทับถามเพื่อความแน่ใจ กลัวว่าน้องอาจแค่หวงพี่ชายที่อยู่มาด้วยกันเพราะ
                “ไม่เคยจ๊ะ ขนาดตอนคุณย่าถามว่าเมื่อไรพี่เดือนจะมีคนรัก ฉันยังคิดว่าดีเลยถ้ามีเดือนจะมีคู่ และแต่งงาน แต่พอเป็นพี่ทับทำไมฉันถึงไม่พอใจก็ไม่รู้”
               ประโยคต่อมากลับยิ่งทำให้ขุนทับหนักใจยิ่งกว่าเดิมเพราะ มั่นใจแล้วว่าเรืองรู้สึกอย่างไร แต่ที่ยิ่งไปกว่าคือ ทำไมตนเองถึงรู้สึกดีใจที่เดือนรู้สึกแบบนี้กับตน ขุนทับคิดพิจารณาว่าตนควรบอกกับเรืองอย่างไรถึงความรู้สึกนี้ และควรจะทำอย่างไรกับความรู้สึกของตนเองที่รู้ว่าตนก็รักเรืองเช่นกัน รักเด็กคนนี้ที่เดินตามหลังตนต้อย ๆ มาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก
             “ขอพี่คิดซักครู่นะเจ้า ว่าพี่ควรบอกเจ้าอย่างไรดี” และควรยอมรับหัวใจตนเองหรือไม่ ขุนทับพูดต่อในใจ
             เรืองไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดขุนทับต้องใช้เวลาในการคิดไตร่ตรอง หรือขุนทับจะหาทางให้ตนเลิกหวงพี่ชายคนนี้เสียที ในที่สุดขุนทับก็ตัดสินใจได้ว่าควรบอกเรืองเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรดี
            “เรืองเจ้าต้องสัญญากับพี่นะ เรื่องที่พี่จะบอกเจ้าต่อไปนี้ถือเป็นความลับระหว่างเราสองคน ห้ามเจ้าเอาไปเล่าให้คนอื่นฟังโดยเด็ดขาด”
             “ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยหรอจ๊ะ ก็ได้จ้ะฉันสัญญา”
            “เท่าที่เจ้าบอกพี่มานั้น พี่คิดว่าเจ้ารักพี่ รักแบบคนรักเสียด้วยสิ” ขุนทับกล่าวพร้อมทำหน้าจริงจัง จนเรืองรู้สึกได้ว่าที่พูดไปนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
             “แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ฉันเป็นผู้ชาย พี่ทับก็เป็นผู้ชาย มันเป็นไปไม่ได้ดอก ถ้าใครรู้เข้ามีหวังแย่แน่ ๆ ฉันควรทำอย่างไรดีจ๊ะถึงจะหยุดความรู้สึกนี้” เรืองนึกกลัว เพราะ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่สมควรเกิดขึ้นมา
              แต่ขุนทับที่ได้ฟังกลับรู้สึกไม่พอใจที่เรืองอยากจะเลิกรักตน มาบอกรักให้ตนรู้ใจตนเองแล้ว แต่กลับจะเปลี่ยนใจไม่รักกันเสียได้ ใครจะไปยอมกันเหล่า
              “เจ้าเคยรู้สึกแบบนี้กับใครรึไม่ เจ้ารู้รึเปล่าว่าคนแรกที่เจ้ารู้สึกรักด้วยนั้น เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกได้ง่าย”
               “มันยากขนาดนั้นเลยรึจ๊ะ แบบนี้ก็แย่แน่ ๆ ฉันควรทำอย่างไรดี ใช่สิฉันเคยได้ยินคนในครัวคุยกันว่าคนรักเมื่อไกลกัน ความรู้สึกรักก็จะน้อยลง”
               “เจ้าจะไปไกลจะพี่ได้รึ” ขุนทับยิ่งโกรธ “เจ้ากับพี่รู้จักกันมา 8ปี เจ้าถึงจะรักพี่ แล้วเจ้าคิดว่าต้องใช้เวลาไกลกันกี่ปีเจ้าถึงจะเลิกรักพี่ได้”
                 “แล้วทำไมพี่ทับต้องโกรธฉันละจ๊ะ ฉันแค่หาทางออกที่ดีให้กับตนเอง”
                 “อย่างนั้นให้พี่แต่งงานดีไหม พี่จะได้มีเวลาให้เจ้าน้อยลง เราจะได้ห่างกันแบบที่เจ้าต้องการ” ขุนทับหงุดหงิดอย่างเต็มที่แบบไม่เคยเป็นมาก่อน
                 “ไม่ได้ ฉันไม่ยอมให้พี่ทับแต่งงาน ถ้าพี่ทับจะแต่งงาน มาแต่งกับฉันนี้ ในเมื่อพี่เป็นคนบอกฉันเองว่าที่ฉันรู้สึกมันคือ ความรัก ฉันเชื่อพี่ทับเสมอมาแล้วครั้งนี้ฉันก็จะเชื่อด้วยเช่นกันว่าที่พี่บอกมานั้นถูกต้อง ฉันรักพี่ทับ พี่ทับจะรักฉันได้หรือไม่”
                 ขุนทับถึงกลับปรับอารมณ์ตนเองไม่ทัน ให้ตายเถอะตนเป็นผู้ใหญ่กว่าแท้ ๆ กลับสู้อะไรเด็กตรงหน้าไม่ได้เลย ไม่เคยได้เลย เขาแพ้เรือง แพ้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันที่เรือนริมน้ำแห่งนี้แล้ว
                 “อย่าเงียบสิจ๊ะ ตอบคำถามฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าจะรักฉันไหม ในเมื่อพี่เป็นคนบอกฉันให้รู้ว่าที่รู้สึกมันคือ ความรัก พี่ก็ต้องรับผิดชอบ ถึงพี่จะตอบไม่ ฉันก็ไม่ยอมดอกนะ” เรืองเริ่มไม่พอใจตาม พูดอย่างนั้นได้ไง พูดว่าจะแต่งงานให้ตนปวดแปลก ๆ ตรงใจอีกได้อย่างไร
                   “ฮ่าๆๆๆๆๆๆ เจ้านี้จริง ๆ เลย พี่ไม่เคยชนะเจ้าได้แม้แต่ครั้งเดียว ให้เมื่อเจ้ากล้าขอความรักจากพี่ พี่ก็จะให้ความรักกับเจ้าตอบแทน” ว่าแล้วขุนทับก็ก้มลงหอมแก้มเรือง “นี่คือรักของพี่ พี่ให้รักเจ้าแล้ว เจ้าให้รักพี่กลับบ้างสิ” พร้อมเอานิ้วชี้ที่แก้มของตนเอง
                   เรืองไม่เคยเขินขนาดนี้มาก่อนในชีวิต พี่ทับที่คุณย่าของตนพูดนักพูดน่าว่าเป็นคนหนุ่มเรียบร้อยหายไปไหนเสียแล้ว ตรงหน้าตนกลับมีแต่คนหนุ่มท่าทางเจ้าชู้ที่ส่งสายตาหวานมาให้ พี่ทับตรงหน้าไม่ใช่พี่ทับคนเดิมที่ทำให้เรืองรู้สึกสงบเมื่ออยู่ใกล้ แต่เป็นพี่ทับคนใหม่ที่ทำให้เรืองใจเต้นแรงแทน
                   “อย่าเอาแต่จ้องหน้าพี่สิจ๊ะคนดี พี่อยากได้คำรักของเจ้าที่แก้มพี่มากกว่า” แล้วก้มหน้าลงมาใกล้ ๆ กับปากของเรือง
                   เรืองเห็นดังนั้นใจหนึ่งก็ยิ่งเขินอาย แต่อีกใจก็อยากทำ ช่างใจอยู่ครู่เรืองก็ตัดสินใจเอาปากไปแตะแก้มของขุนทับเบา ๆ แล้วก้มหน้าแดงที่ร้อนผ่าวเหมือนมีใครนำเหล็กมาทาบไว้บนหน้าก็ไม่ปานลงกับพื้นโดยไว
                   “จำไว้นะต่อไป พี่กับเจ้าเป็นคนรักกัน แล้วเลิกเขินพี่หน้าแดงได้แล้ว เดี๋ยวใครผ่านมาเห็นเข้าเขาจะสงสัยได้ จริงสิเราคุยกันมาซักพักแล้วรีบขึ้นเรืองเถอะเดี๋ยวคุณย่าใหญ่จะสงสัยเอาได้ พี่กลับเรือนก่อนแล้วกัน” แต่ก่อนไปขุนทับยังก้มมาหอมแก้มแดงของเรืองอีกครั้งแล้ววิ่งจากไป
                    พี่ทับคนบ้า ทำอย่างนี้ฉันก็ยิ่งเขินไปกันใหญ่ แล้วเมื่อไรแก้มจะหายแดงแล้วขึ้นเรือนได้ละเนี่ย เรืองบ่นอุบในใจ

ปล.ยังอยู่ในช่วงที่เราเที่ยว เลยพิมพ์ในมือถือ อาจแปลกๆบ้างนะ คุณผู้ชมคะ อีพี่มันร้ายกว่าที่เราคิดค่ะ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่8 (17/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 17-05-2017 21:07:51
ขอให้เป็นแบบนี้ไปนานๆเถอะสงสารทั้งคู่เลย
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่8 (17/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 18-05-2017 12:45:36
ต่อไปสองคนต้องเจออุปสรรคใหญ่แน่ๆ ต้องเข้มแข็งนะทับ พ่อเรือง
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่8 (17/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 18-05-2017 19:34:14
:)
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่8 (17/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 21-05-2017 17:52:49
จะหัวเราะหรือร้องไห้กับพ่อทับดีนะ ได้แฟนหรือได้ลูกเนี่ย
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่8 (17/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 21-05-2017 22:01:34
จะหัวเราะหรือร้องไห้กับพ่อทับดีนะ ได้แฟนหรือได้ลูกเนี่ย
โปรโมชั่นพิเศษของน้องเรืองค่ะ ได้ถึง 2 ใน1 คน
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่8 (17/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: natchaya ที่ 21-05-2017 23:26:32
ว้าวว เพิ่งเคยอ่านนิยายวายที่อยู่ในสมัยอยุธยาเป็นเรื่องแรกเลยค่ะ อ่านถึงตอนล่าสุดนี่คิดว่าดราม่ามาเต็มแน่ๆเลย มีดราม่าไม่เป็นไร ขอแค่ตอนจบเค้ามีความสุขกันเราก็พอใจจ ><
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่8 (17/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Rabbitongrass ที่ 22-05-2017 13:24:02
ช่วงเจ้าฟ้ากุ้งสววรณคต ห่างจากตอนเสียกรุงครั้งที่สองแค่12ปี คู่พระนางเรามีฉากมาม่าคาสนามรบชัวร์ๆ เรื่องนี้คงต้องลุ้นกันอีกยาวใกล
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่9 (24/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 24-05-2017 15:36:01
บทที่ 9 วังหน้าองค์ใหม่
                   หลังเหตุการณ์ที่เรือนริมน้ำวันนั้น ทำให้เรืองได้เห็นขุนทับในมุมมองใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เรืองคิดถึงคำที่ขุนทับสอนมาตลอดว่าขุนนางในวังล้วนพูดจากลับกลอกหลีกเลี่ยงความจริงในบางประการเชื่อถือไม่ได้เต็มที่ ตอนแรกที่ได้ยินนั้นเรืองคิดว่าไม่จริงเสียหน่อยพี่ทับไม่เห็นเป็นอย่างนั้นเลย เวลาอยู่กับใครก็พูดจาเหมือนกันหมดทั้งต่อหน้า และลับหลังนอกจากนี้ยังพูดแต่ความจริงทั้งนั้น แต่มาวันนี้เรืองรู้แล้วว่าไม่เป็นความจริงเลยพี่ทับนั้นมีความสามารถในการหลีบเลี่ยงเปลี่ยนคำพูดให้ออกมาตามที่ตนต้องการได้อย่างหน้าตาเฉยโดยที่คนฟังไม่สงสัยเลยด้วยซ้ำไปว่าที่กล่าวมานั้นไม่ใช่เรื่องจริง
                    “คุณย่าใหญ่ขอรับหลังจากการทานอาหารวันนั้น กระผมคิดว่ากระผมจะมารับน้องเข้าวังพร้อมกันทุกวันนะขอรับเพราะ น้องเองก็โตมากขึ้นภาระราชการมากขึ้น กระผมจะได้มีเวลาพูดคุยถึงงานราชการที่จะทำในแต่ละวัน และสรุปงานที่ทำไปในวันก่อนระหว่างเดินทางไปพระราชวัง เนื่องจากกระผมกับเรืองนั้นทำงานในส่วนเดียวกัน คุณย่าใหญ่จะเห็นสมควรรึไม่ขอรับ” ขุนทับพูดมาในเช้าวันหนึ่งที่มารับเรืองที่เรือนโดยไม่ได้บอกก่อนล่วงหน้า
                    “ถ้าขุนทับเห็นสมควร และไม่เป็นการรบกวนเวลามากจนเกินไปย่าก็ไม่ขัดดอก เรืองขอบคุณพี่เขาสิที่อุตส่าห์มีน้ำใจมารับ และยังช่วยเรื่องราชการอีกด้วย”
                    “ขอบคุณจ้ะพี่ทับ” เรืองขอบคุณด้วยความรู้สึกงง ๆ เนื่องจากจริง ๆ แล้วเรื่องราชการไม่เห็นต้องมารับก็ได้เพราะ ถึงอย่างไรเมื่อเข้าวังก็ต้องพูดคุยถึงงานในแต่ละวันกับมหาดเล็กทุกคนอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเรืองก็ไม่ได้ขัดอะไรเนื่องจากตนเองก็อยากให้ขุนทับมารับทุกวันอยู่แล้ว
หลังจากได้รับคำอนุญาตขุนทับก็พาเรืองเดินลัดเลาะเข้าเส้นทางที่คนส่วนมากไม่ใช้ในการสัญจรกันเพื่อเดินทางไปยังพระราชวัง
                   “ทำไมพี่ทับถึงเลือกพาฉันมาเดินเส้นทางนี้ละจ๊ะ” เรืองถามด้วยความสงสัยเพราะนอกจาก ไม่ค่อยมีคนสัญจรแล้วนั้น เส้นทางนี้ยังต้องเดินอ้อม ทำให้ถึงพระราชวังช้าว่าเส้นทางอื่นอีกด้วย
ขุนทับได้ยินดังนั้นก็หันมาหอมแก้มเรืองหนึ่งที “พี่จะได้ทำอย่างนี้กับเจ้าได้โดยไม่มีผู้ใดเห็นอย่างไรเล่า และพี่จะได้มีเวลาอยู่กับเจ้าสองต่อสองเพิ่มขึ้นอีกด้วย”
                   เมื่อได้รับคำตอบเรืองก็นิ่งไม่พูดไม่จาจนมาถึงพระราชวังด้วยกลัวว่าถ้าพูดอะไรออกไป อาจเป็นเหตุให้ตนถูกหอมแก้มอีกครั้งก็เป็นได้ แถมตนนั้นยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าระหว่างเดินทางตนเจออะไรบ้าง จำได้แค่ตนเองเดินก้มซ่อนหน้าที่แดงมาตลอดทางเพราะ หลังหอมแก้มขุนทับก็ขว้างมือเรืองมาจับตลอดการเดินทาง ทำให้เมื่อมาถึงพระราชวังแก้มทั้งสองข้างของเรืองก็ยังไม่หายแดงจนโขนหน้าวังทักว่าเป็นอะไรทำไมหน้าถึงแดงได้ขนาดนั้น
                  “พันเรืองเขาไม่สบายนะ ฉันถึงต้องไปรับที่เรือนเพื่อมาราชการนี้แหละ” ขุนทับพูดได้อย่างไม่ติดขัด ถ้าเรืองไม่รู้สาเหตุการหน้าแดงของตน และเหตุผลที่ขุนทับมาพร้อมตน เรืองก็คงเชื่อด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่เรืองเชื่ออย่างสนิทใจในเวลานี้คือ ความสามารถด้านการโกหกหน้าตาเฉยของพี่ทับนั้นไม่เป็นสองรองใครเชี่ยว แล้วนี้ที่พี่ทับพูดกับตนมาตลอดมีเรื่องโกหกอะไรบ้างรึเปล่านะ
                 เมื่อมาถึงตำหนักเจ้าฟ้าอุทุมพรเรืองก็ถามสิ่งที่ตนสงสัยในทั้งที่ เนื่องจากพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงมีรับสั่งให้เจ้าฟ้าดอกมะเดื่อเข้าเฝ้า ทำให้เรืองและขุนทับไม่มีราชการต้องทำในขณะนี้
                “พี่ทับจ๊ะ ที่พี่พูดกับฉันมาตลอดหลายปีที่เรารู้จักกัน พี่เคยโกหกหรือเลี่ยงความจริงบางส่วนกับฉันบ้างรึไม่จ๊ะ”
                “ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ถามอะไรอย่างนั้น พี่ไม่เคยทำอย่างนั้นกับเจ้าสักครั้ง เห็นเมื่อเช้าแล้วเจ้าสงสัยในตัวพี่รึพ่อเรืองของพี่ ไม่มีดอกพี่ไม่นิยมทำอย่างนั้นถ้าไม่มีความจำเป็นแต่เพื่อให้ได้อยู่กับเจ้า และไม่อยากให้คนอื่นสงสัยพี่ถึงต้องทำ”
                “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป ฉันถือว่าพี่ทำเพื่อฉัน ฉันเชื่อพี่”
                “พี่ไม่ได้ทำเพื่อเจ้า พี่ทำเพื่อเราต่างหาก”

                 ทางด้านเจ้าฟ้าอุทุมพรนั้นเมื่อได้ราชโองการให้เข้าเฝ้าก็รีบเสด็จทันใด ด้วยนาน ๆ ครั้งพระบิดาจะมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว
                “พระองค์มีพระกระแสรับสั่งอันใดรึนะเกล้านะกระหม่อมถึงได้เรียกลูกเข้าเฝ้า” เมื่อมาถึงเจ้าฟ้าอุทุมพรก็กราบบังคมทูลถาม เพื่อจะได้ถวายงานตามประสงค์
               “พ่ออยากให้พ่อดอกมะเดื่อของพ่อขึ้นมารับตำแหน่งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลองค์ใหม่ พ่อจึงเรียกเจ้าเข้าเฝ้าเพื่อให้ทราบก่อนที่พ่อจะมีพระราชโองการออกไป”
เจ้าฟ้าอุทุมพรได้ฟังอย่างนั้นทรงตกพระทัยเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากตนเป็นพระอนุชิต และมีพระเชษฐาร่วมพระมารดาจะเป็นวังหน้าได้อย่างไร
               “ฟ้าทรงโปรดเจ้าฟ้าอนุรักษ์มนตรี* พระเชษฐาของข้าพระเจ้ายังคงอยู่ ทรงขอพรพระราชทานให้เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลองค์ใหม่น่าจะสมควรกว่า”
               “กรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้นโฉดเขลา หาสติปัญญาแลความเพียรมิได้ ถ้าจะให้ดำรงฐานุศักดิ์มหาอุปราชสำเร็จราชกิจกึ่งหนึ่งนั้น บ้านเมืองก็จะเกิดภัยพิบัติฉิบหายเสีย อย่างไรเสียพ่อก็จะให้เจ้าขึ้นเป็นมหาอุปราช ส่วนพี่เจ้าพ่อจะจัดการแก้ปัญหาให้เอง เจ้ากลับไปได้แล้ว”
               เจ้าฟ้าอุทุมพรเห็นว่าคงไม่สามารถขัดความประสงค์ขอพระบิดาได้ก็ทรงทูลลา
               “ใครอยู่ข้างนอกบ้างไปตามเจ้าฟ้าเอกทัศมาพบข้าหน่อย” เมื่อเห็นว่าเจ้าฟ้าอุทุมพรไม่ขัดพระประสงค์แล้ว ก็รีบให้มหาดเล็กไปตามเจ้าฟ้าเอกทัศคนพี่มาเข้าเฝ้า
              “ฝ่าบาทเรียกลูกเข้าเฝ้ามีอะไรรึนะเกล้านะกระหม่อน”
              “พ่ออยากให้เจ้าออกผนวชชันษาเจ้าก็ถึงเวลามานานแล้วแต่เจ้าไม่ยอมผนวชเสียที และที่สำคัญนี่เป็นราชโองการของพ่อไม่ใช้ทำขอเจ้าขัดไม่ได้ ที่สำคัญพ่อไม่มีกำหนดให้เจ้าลาสิขา พร้อมพ่อจะแต่งตั้งให้เจ้าดอกมะเดื่อเป็นวังหน้าแทนวังหน้าองค์เก่า”
              เจ้าฟ้าเอกทัศได้ฟังอย่างนั้นก็ไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก เนื่องจากตนนั้นไม่มีความคิดที่อยากจะออกผนวชเลย และคิดมาตลอดว่าหลังเจ้าฟ้ากุ้งสวรรคตตนจะได้เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลพระองค์ใหม่เนื่องจากเป็นพระโอรสองค์โตในพระวัณสาน้อย แต่ไม่อาจขัดราชโองการได้ถึงได้แต่ยอมรับด้วยความไม่เต็มใจ
               หลังเจ้าฟ้าเอกทัศอออกผนวชได้ไม่นานพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงมีพระราชโองการแต่งตั้งเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต**ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลพระองค์ใหม่ ข่าวนี้เป็นที่ฮือฮาไปทั่วทั้งวังเนื่องจากเจ้าฟ้าดอกอุทุมพรเป็นพระอนุชิตทั้งยังมีพระเชษฐา ทำให้ไม่มีผู้ไหนคิดว่าจะถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสนามมงคล และจากการแต่งตั้งนี้ทำให้ขุนนางบางฝ่ายที่สังกัดขึ้นตรงกับเจ้าฟ้าเอกทัศไม่พอใจเพราะ อำนาจที่หมายมั่นว่าจะได้ในอนาคตเมื่อเจ้าฟ้าเอกทัศได้เป็นกษัตริย์หลุดลอยไป

                   หลังจากขุนทับและเรืองทราบข่าวทั้งสองต่างทั้งดีใจและหวั่นวิตก ด้วยทั้งสองเคยอยู่กับกรมพระราชวังบวรมงคลมาก่อน ทำให้รู้ดีว่าตำแหน่งนี้นั้นคนนอกอาจมองว่าดี แต่จริง ๆ แล้วเป็นตำแหน่งที่ต้องทำงานหนัก และตกเป็นเป้าหมายของคนที่ไม่ชอบได้ง่าย ยิ่งเป็นเจ้าฟ้าอุทุมพรแล้วยิ่งอาจมีปัญหาใหญ่ตามมา
                   “เรือง พี่มีเรียนจะคุยกับเจ้า เดี๋ยวเมื่อถึงบ้านเจ้าแล้วพี่จะขออนุญาตคุยราชการกับเจ้าที่เรือนริมน้ำนะ” ขุนทับบอกเพราะ อยากคุยกับเรืองถึงเรื่องการแต่งตั้งตำแหน่งในครั้งนี้
                   “แค่คุยราชการแค่นั่นใช่ไหมจ๊ะ” เรืองเริ่มไม่มั่นใจ ก็พี่ทับชวนไปเรือนริมน้ำทีไร ไม่เคยได้คุยราชการจริง ๆ เสียทีมีแต่ทำเรื่องน่าอาย ยิ่งคิดเรืองก็ยิ่งหน้าแดง
                   “เจ้าคิดว่าพี่จะทำอะไรเจ้ารึ อะไรกันไม่ทันไรเจ้าก็คิดลามกกับพี่เสียแล้ว ต่อไปพี่ไปไหนกับเจ้าพี่คงต้องระวังตัวให้มากขึ้นเสียแล้ว”
                  “บ้า! แค่ราชการก็ราชการ ฉันไม่คุยด้วยแล้วรีบกลับไปว่าราชการต่อกันเถอะ” แล้วรีบเดินหนีนำขุนทับไปโดยเร็ว
เมื่อมาถึงเรือนของเรือง ขุนทับก็ขึ้นเรือนเพื่อคุยกับนางหญิงใหญ่ว่าวันนี้คงต้องมาอาศัยอยู่ที่เรือนนี้เป็นเวลานานเสียหน่อย
                  “กระผมไหว้ขอรับคุณย่าใหญ่ วันนี้ขออนุญาตฝากท้องกับคุณย่าใหญ่สักมื้อนะขอรับ แล้วก็ขอยืมเรือนริมน้ำคุยราชการกับเรือนอีกคราว”
                  “เชิญตามสบายเถอะพ่อคุณ ถ้าคุยราชการกันนานนอนค้างที่นี้ก็ได้นะ เดี๋ยวย่าให้ยายอิ่มมันจัดห้องรับแขกให้"
                  “ดีเสียจริงถ้าอย่างนั้นกระผมขอความกรุณาด้วย แต่กระผมนอนห้องเดียวกับเรืองก็ได้นะขอรับ ไม่ต้องรบกวนยายอิ่มจัดห้องให้ด้วย”
                  “เอาอย่างนี้ในเมื่อจะไปคุยราชการที่เรืองริมน้ำกัน ให้ยายอิ่มจัดห้องที่เรืองนั้นแล้วกัน จะได้นอนด้วยกันได้ แล้วไม่ต้องขึ้นเรืองใหญ่ตอนดึก ๆ ด้วย คราวหน้าถ้าจะคุยราชการกันอีกก็นอนเสียที่นั้นไปเลยจะได้ไม่เสียเวลาเดินทางกลับเรือน”
                 “ขอบพระคุณคุณย่าใหญ่มากขอรับ เรืองเราไปคุยราชการกันเถอะ”
ขุนทับเดินนำเรืองลงจากเรือนไปยังเรือนริมน้ำ พร้อมคิดในใจว่ารีบคุยราชการให้เสร็จจะได้มีเวลานอนด้วยกันนาน ๆ แล้วคงต้องหาราชการมาคุยกับเรืองบ่อย ๆ เสียแล้วสิ
                    “เจ้าคิดอย่างไรกับการที่เจ้าฟ้าอุทุมพรของเราขึ้นเป็นวังหน้าเรือง”
                  “ใจหนึ่งฉันก็ดีใจนะจ๊ะพี่ทับ พระองค์เป็นเจ้าฟ้าที่ดีและคงเป็นกษัตริย์ที่ดีในภายหน้า แต่ฉันก็กลัวเหลือเกินว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมเหมือนเมื่อครั้งเจ้าฟ้ากุ้ง”
                    “พี่ก็กลัว กลัวใจพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศพระองค์อื่น ๆ ยิ่งเจ้าฟ้าเอกทัศด้วยแล้ว พี่คิดว่าไม่มีทางที่พระองค์จะยอมให้อนุชาเป็นกษัตริย์ทั้ง ๆ ที่ตนยังอยู่แน่”
                    “อย่างนั้นเราจะทำอย่างไรกันดีละจ๊ะพี่ทับ”
                    “เราทำอะไรไม่ได้ดอกเรือง ที่เราทำได้คือแค่หวัง หวังว่าโชตชะตาของกรุงศรีคงไม่พัดให้เหตุนองเลือดในสายโลหิตเดียวกันกลับมาอีกครั้ง”
                      “ฉันก็หวังให้กรุงศรีอยุธยาของเราสงบสุขอย่างนี้ตลอดไป”
                      ขุนทับรู้ดีว่าเรืองกลัวสิ่งใด ถึงจะว่างเว้นจากสงครามต่างเมืองมาหลายร้อยปี แต่สงครามของชาวกรุงศรีกันเองกลับไม่เคยว่างเว้น เจ้าฟ้าและขุนนางกี่คนแล้วที่ต้องมาตายเพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น สิ่งที่เรียกว่า “อำนาจ” แต่ขุนทับเห็นว่าพูดเรื่องนี้ต่อไปก็มีแต่ทำให้เครียดขึ้น ทั้งนี้เหตุการณ์ที่ทั้งสองกังวลก็ยังไม่เกิด หรืออาจไม่เกิดก็เป็นได้ถึงยกมือทั้งสองของตนโอบเรืองจากด้านหลัง
                    “วันนี้เราเครียดกันมากพอแล้ว ได้เวลาสำหรับการพักผ่อนแล้ว เราเข้าห้องนอนกันเถอะคนดี”
                    “อะไรกันนี่ยังหัวค่ำอยู่เลย ถ้าคุยจบเร็วอย่างนี้ฉันว่าพี่กลับเรือนไปดีกว่า ฉันจะได้ขึ้นเรือนใหญ่ด้วย” เรืองรู้สึกถึงอันตรายที่อาจเกิดกับใจของตน ถึงรีบไล่ขุนทับกลับไป
                   “เรื่องอะไรพี่จะกลับ คุณย่าใหญ่เปิดทางให้พี่ขนาดนี้แล้ว อันที่จริงเจ้าเป็นผู้ชายอยากนี้ก็ดีไม่ว่าเวลาใดเจ้าก็สามารถเป็นเพื่อนคู่คิดให้พี่ได้ตลอด และพี่ยังสามารถเข้าใกล้เจ้าได้ตามลำพังโดยไม่ต้องอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ตลอดเวลา” ว่าแล้วขุนทับก็อุ้มเรืองเดินเข้าห้องแล้วนอนโอบกอดกันตลอดทั้งคืนโดยที่เรืองไม่อาจขัดขืนได้หรืออันที่จริงใจของเรืองนั้นเองต่างหากที่ไม่คิดที่จะขัดขืนความอบอุ่นที่ตนได้รับภายใต้อ้อมกอดนี้

*เจ้าฟ้าอนุรักษ์มนตรี, กรมขุนอนุรักษ์มนตรี เป็นพระนามของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ หรือสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ในการต่อมา
**เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต เป็นอีกพระนามหนึ่งของเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ หรือสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร

               
https://m.facebook.com/tipin1994/ <----------- เพจเราเองเข้าไปตามนิยายได้นะ

               
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่9 (24/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 24-05-2017 16:43:13
 :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่9 (24/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 24-05-2017 20:24:21
ชอบมากค่ะ ได้ทบทวนประวัติิศาสตรไปด้วย
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่9 (24/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 24-05-2017 20:50:57
ได้รู้ประวัติศาสตร์ด้วย
งานนี้ทั้งาองลำบากแน่ๆเลยอ่ะ ต้องตกเป็นเป้าของคนชั่วแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่9 (24/05/60)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 24-05-2017 22:43:09
สนุกๆๆๆ ได้เกร็ดความรู้้ด้วย รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่10 (03/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 03-06-2017 14:13:57
บทที่ 10 รอยร้าวในวังหลวง
                สิ่งที่ขุนทับกับเรืองหวังไว้ไม่อาจเป็นจริงได้เพราะ หลังจากแต่งตั้งเจ้าฟ้าอุทุมพรเป็นพระราชวังบวรสถานมงคลได้แค่เพียงปีเศษ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก็ทรงประชวร และในขณะประชวรอยู่นั้นพระองค์มีรับสั่งให้เจ้าฟ้าอุทุมพร และเจ้าฟ้าอีกสี่พระองค์ซึ่งประกอบไปด้วย เจ้าฟ้าแขก เจ้าฟ้ามังคุด เจ้าฟ้ารถ และเจ้าฟ้าปานถือคำสัตย์ปฏิญาณว่าจะทรงรับใช้เจ้าฟ้าอุทุมพร
เมื่อขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป สร้างความไม่พอใจแก่เจ้าฟ้าทั้งสี่เป็นอย่างมาก
                “พี่ทับจ๊ะ พี่ทับคิดว่าวิธีที่พระเจ้าอยู่หัวบรมโศกทรงใช้จะได้ผลมากน้อยเพียงใดจ๊ะ กรมหมื่นเทพพิพิธ*นั้นฉันไม่ค่อยห่วงนัก แต่เจ้าสามกรมที่เหลือนี้สิ เมื่อครั้งเจ้าฟ้ากุ้งก็คราวหนึ่งแล้ว ฉันเกรงว่าอาจมีการนองเลือดนี้สิ”
               “เจ้าสามกรมพี่ก็กังวล แต่มีอีกคนที่พี่กังวลยิ่งกว่าคือ เจ้าฟ้าเอกทัศพระองค์ทรงสึกออกมาแล้วนะ หลังทราบข่าวว่าพระเจ้าอยู่หัวบรมโศกทรงประชวรพระองค์ก็ทรงลาสิขาออกมาด้วยตัวพระองค์เอง”
                “แล้วที่นี้เจ้าฟ้าของเราจะทำอย่างไรต่อละจ๊ะ” เรืองกังวลอย่างหนักเพราะ รู้ว่าแต่ละพระองค์นั้นกระหายอำนาจอยากเป็นเป็นกษัตริย์กันขนาดไหน
                “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เราขัดชะตาฟ้าไม่ได้ดอก แต่ในฐานะมหาดเล็กในพระราชวังบวรสถานมงคลพี่และเจ้า เราจะปกป้องเจ้านายจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
                “จ้ะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันจะอยู่รบข้างพี่ตามที่ฉันเคยสัญญาเอาไว้”
                “พูดถึงสัญญาที่เจ้าเคยให้พี่ เหมือนเจ้าบอกรักพี่ตั้งแต่ตอนนั้นเลยใช่รึไม่คนดี”
                “คิดไปเรื่อย ฉันเห็นพี่เป็นคนที่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างดอก ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น แล้วตอนั้นฉันก็ยังเด็กเห็นฉันเป็นคนแก่แดดรึอย่างไร” เรืองแกล้งฉุนเพื่อกลบเกลื่อนความอายที่ถูกแซว
                “พี่ก็หยอดเจ้าเล่นดอกไม่อยากให้เจ้าเครียดกับอะไรที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่ตอนนั้นเห็นพี่เป็นแบบอย่าง แล้วตอนนี้เล่าเห็นเป็นอะไรคนรักใช่รึไม่” ตอนแรกนั้นขุนทับแค่หยอกให้น้องหายเครียด แต่พอเห็นเรืองเขินก็ยิ่งได้ใจ
                “ไม่พูดด้วยแล้วคนอะไรไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไรก็ชวนวนเข้าเรื่องสัปดนได้ทุกทีไป” เรืองรีบเดินหนีด้วยความอาย

                ถึงเรืองจะพยายามคิดในแง่ดีเพียงใดว่าอีกไม่นานพระอาการประชวรของพระเจ้าอยู่หัวจะทรงดีขึ้น แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นอย่างนั้นเพราะ หลังจากพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเรียกพระโอรสเข้าเฝ้าไม่กี่ราตรีพระองค์ก็สวรรคต ภายหลังข่าวการสวรรคตครั้งนี้เป็นที่ทราบกันทั่วทั้งกรุงศรีเจ้าฟ้าอุทุมพรทรงมีรับสั่งให้ขุนทับเข้าเฝ้า
              “เรามีประสงค์ให้เจ้ากรมทั้งสี่ออกผนวชเพื่อตัดปัญหาที่อาจเกิดในอนาคต เจ้าทับจงนำคำสั่งเราไปบอกแก่พวกเขา”
              “รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า” ขุนทับรีบนำเรื่องไปบอกด้วยใจที่กังวลเพราะ ไม่คิดว่าเจ้ากรมทั้งสี่จะยอมออกผนวชแบบที่เจ้าฟ้าอุทุมพรต้องการ และเป็นไปตามที่คาดมีเพียงเจ้าฟ้าแขก หรือกรมหมื่นเทพพิพิธเท่านั้นที่ทรงรับพระราชโองการในทันที ส่วนเจ้าสามกรมที่เหลือยังไม่ยอมตอบอะไร ขุนทับได้แต่หวังว่าคำตอบของเจ้าสามกรมจะเป็นคำตอบเดียวกันกับคำตอบของกรมหมื่นเทพพิพิธ แต่ไม่เป็นไปอย่างที่ขุนทับหวังไว้เพราะ ไม่เพียงไม่ยิ่งยอมใจในการออกผนวชเท่านั้น เจ้าสามกรมยังร่วมมือกันเข้ายึดศาสตราวุธทั้งหมดในโรงพระแสงแล้วนำไปไว้ที่ศาลาลวด การกระทำดังกล่าวถือเป็นการประการสงครามกลางเมืองอย่างชัดเจน
                “จะทำอย่างไรดีพระพุทธเจ้าข้า เจ้ากรมทั้งสามนอกจากยึดศาสตราวุธแล้ว ยังนำกำลังปิดล้อมประตูวังแทบทุกทางแล้ว” เรืองทูลถามด้วยความกังวล ถึงจะเคยได้ยินเรื่องการก่อกบฏในสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระมาบ้างแล้ว แต่ในตอนนั้นเรืองยังไม่เกิดจึงไม่รู้ถึงความรุนแรงที่แท้จริงในการก่อกบฏ
                 “อย่าเป็นกังวลไปเลยพันเรือง ฉันคิดว่าเจ้าฟ้าอุทุมพรทรงหาทางออกสำหรับเรื่องนี้แล้วใช่รึไม่นะเกล้านะกระหม่อน” ขุนทับขัดเมื่อเห็นว่าเรืองดูตื่นตูมกับเหตุการณ์นี้
                “อย่างนั้นรึนะเกล้านะกระหม่อน แล้วพระองค์จะใช้วิธีไหนรึนะเกล้านะกระหม่อน”
                “ร่มกาสาวพัสตร์อย่างไรเล่าพันเรือง”
                “อย่างไรรึพี่ทับ ฉันไม่ค่อยจะเข้าใจที่พระองค์ตรัสสักเท่าไร” เรืองกระซิบถามขุนทับหลังจากได้รับโองการให้ออกมาค่อยดูเหตุการณ์อยู่ภายนอกตำหนัก
                “พระองค์ทรงไปกราบเรียนพระภิกษุสงฆ์จากห้าวัดให้เข้าเฝ้าเจ้าสามกรม เพื่อให้ทั้งสามกรมยอมยกเลิกการกระทำนี้”
                 “เจ้าพระคุณวัดไหนบ้างรึจ๊ะพี่ทับ”
                 “เจ้าพระคุณเทพกวี วัดพระรามมาวาด เจ้าคุณธรรมโคดม วัดธรรมมิการวาด เจ้าคุณธรรมเจดีย์ วัดสวนหลวงสบสวรรค์ เจ้าคุณพุทธโคษาจรย์ วัดพุทธไทสวรรค์ และเจ้าคุณพระเทพบุรี วัดบุรีดาว อย่างไรละเจ้า”
                 “นายของเราฉลาดเสียจริงนะจ๊ะพี่ทับ พระองค์ต้องทรงรู้แล้วแน่ ๆ ว่าเจ้าสามกรมต้องเคยเป็นลูกศิษย์เจ้าพระคุณไม่วัดใดก็วัดหนึ่งเป็นแน่”
                  และเป็นไปตามที่เจ้าฟ้าอุทุมพรคาดการณ์ไว้หลังจากเจ้าพระคุณทั้งห้าเทียวไปเทียวมาสองรอบ เจ้าสามกรมก็ยอมเข้าพบพระเจ้าอุทุมพรเพื่อถวายน้ำพิพัฒน์สัตยา แต่ขอไม่ออกผนวช

               “พี่คิดว่าเจ้าสามกรมคงไม่ยอมอยู่ใต้โอวาทเจ้าได้นานนั้นดอกพ่อดอกมะเดื่อ พี่ได้ข่าวมาว่าที่โรงดาบของเจ้าสามกรมยังมีการฝึกสอบดาบอยู่เลย” หลังจบเรื่องเจ้าสามกรมได้ไม่นาน เจ้าฟ้าเอกทัศก็เข้าเฝ้ากราบทูลถึงเรื่องนี้
               “แล้วเจ้าพี่มีความคิดว่าอย่างไรในเมื่อทั้งสามกรมก็ถือน้ำพิพัฒน์สัตยาแล้ว”
                “ถึงอย่างนั้นพี่ว่าเจ้าก็ไม่ควรนิ่งนอนใจจะเจ้าดอกมะเดื่อ”
                 เจ้าฟ้าอุทุมพรจึงถามถึงการแก้ปัญหานี้กับเจ้าฟ้าเอกทัศว่าควรทำเช่นใด แล้วได้ผลสรุปว่าโทษของการก่อกบฏคือ โดยสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ เพื่อจบปัญหาของเจ้าสามกรมที่อาจก่อขึ้นอีกในอนาคต เจ้าฟ้าอุทุมพรจึงเห็นด้วยกับเจ้าฟ้าเอกทัศและทรงออกคำสั่งให้นำเจ้าสามกรมไปสำเร็จโทษแล้วจึงเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 32 แห่งกรุงศรีอยุธยา และพระองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง

                    “จบปัญหากันเสียทีนะจ๊ะพี่ทับ ฉันละกังวลกับเรื่องนี้ไปเสียหลายวัน” เรืองคุยกับขุนทับที่เรือนริมน้ำหลังจากคุยกันถึงเรื่องพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
                  “พี่ว่าปัญหาที่แท้จริงกำลังจะเริ่มต่างหากเล่า ปัญหาใหญ่ไม่ใช่เจ้าสามกรมแต่เป็นเจ้าฟ้าเอกทัศเสียมากกว่าเชื่อพี่เถอะเรือง เจ้าฟ้าเอกทัศพระองค์ไม่ทรงยอมอยู่ในตำแหน่งแค่นี้แน่ ๆ”
                    และเป็นไปตามที่ขุนทับคาดคิดภายหลังจากเจ้าฟ้าอุทุมพรขึ้นครองราชย์ได้เพียงสองเดือน ขณะเจ้าฟ้าอุทุมพรเสด็จเข้าตำหนักหลวง พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเจ้าฟ้าเอกทัศทรงประทับอยู่บนพระที่นั่ง มือถือพระแสงขรรค์ชัยศรี** จึงกราบทูลต่อเจ้าฟ้าเอกทัศไปว่า
                   “กำลังจะไปเข้าเฝ้าพอดีพระพุทธเจ้าข้า กระหม่อนเหนื่อยหน่ายกับชีวิตเหลือเกิน หลังเสร็จพระราชพิธีถวายเพลิงพระศพพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กระหม่อมจะลาบวชพระพุทธเจ้าข้า”
                    “อะไรกันพ่อดอกมะเดื่อน้องพี่ จะทิ้งพี่ไปบวชแล้วรึ แล้วกรุงศรีของเราเล่าใครจะดูแล”
                     “กระหม่อนอยากให้เจ้าพี่ขึ้นมาดูแลกรุงศรีอยุธยาแทนหม่อมฉัน”
                    “ถ้าพ่อดอกมะเดื่อว่าดี พี่ก็คงต้องตกลงด้วยจะห้ามคนไม่ให้บวชพี่ก็กลัวจะเป็นบาป” เจ้าฟ้าเอกทัศตอบด้วยท่าทางดีใจซึ่งต่างจากคำพูดที่เหมือนกับไม่ได้อยากได้ตำแหน่งนี้เลย

                     “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ละจ๊ะ ถึงจะไม่ผิดจากที่พี่ทับพูดไว้ แต่ฉันก็รู้สึกแย่ไม่ได้ตำแหน่งกษัตริย์นะจ๊ะ ไม่ใช่เล่นขายค้า ใครใคร่ซื้อก็ซื้อ ใครใคร่ขายก็ขาย”
                    “แต่พี่ว่าเป็นอย่างนี้เห็นจะดีกว่า เจ้าฟ้าเอกทัศนั้นมีพรรคมีพวกก็มา มากกว่าเจ้าสามกรมรวมกันเสียอีก ถ้าไม่ทำอย่างนี้อาจเกิดเหตุการณ์นองเลือดดังครั้งพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศขึ้นครองราชย์ก็เป็นได้”
                   “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปละจ๊ะพี่ทับ” เหตุการณ์นี้ทำให้เรืองคิดว่าถึงตนเองนั้นจะอายุยังไม่ถึงเท่าไร แต่ก็รู้สึกว่าตนนั้นผ่านเหตุการณ์มาเยอะกว่าคนมีอายุบางคนเสียอีก และแต่ละเหตุการณ์นั้นช่างผ่านไปยากเย็นเสียเหลือเกิน
ขุนทับเห็นสีหน้าของเรืองก็ดึงเรืองเข้าไปกอด “คนดีของพี่ พี่เข้าใจเจ้านะ เรื่องบางเรื่องช่างยากเกินกว่าที่เด็กอย่างเจ้าจะเข้าใจ แต่อย่าได้กังวลไปพี่จะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ ตามที่เราสัญญากันไว้อย่างไรเล่า” พร้อมลูบหัวและลูบหลัง
                   “แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปละจ๊ะทีนี้” เรืองช้อนตามองขุนทับขณะอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นที่ไม่ว่าครั้งใดก็ช่วยบรรเทาความทุกข์ใจให้เรืองได้เสมอ
                   “เจ้าพระคุณขุนหลวงอุทุมพรมีรับสั่งแล้วให้เราเข้าเฝ้าถวายตัวกับพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ในวันพรุ่ง แล้วเจ้าคุณพ่อของพี่จะรับเจ้ากับพี่เข้ากรมสังกัดเดียวกันกับท่าน”
                  “ถึงจะมีปัญหามากมายแต่ฉันก็ยังดีใจที่ได้อยู่เคียงข้างพี่ทับอย่างนี้”
                 “แน่นอนพี่ไม่มีทางปล่อยเจ้าให้อยู่เดียวดายในพระราชวังที่เต็มไปด้วยอันตรายนี้แน่ ๆ เจ้าไม่ต้องกลัว”

                 วันรุ่งขึ้นขุนทับเตรียมพานแพรดอกไม้สำหรับถวายตัวไว้ให้ตน และเรืองคนละชุดเพื่อนำไปถวายตัวแก่พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่
                 “มากันแล้วรึวะ ท่านวังสวนกระต่าย***คงรีบให้พวกเอ็งมาใช่รึไม่ถึงขุนทับ พันเรืองได้มากันแต่เช้า” เมื่อมาถึงเรืองก็เห็นมหาดเล็กบางคนในฝ่ายเจ้าฟ้าอุทุมพรนั่งถวายตัวก็อยู่ก่อนแล้ว
                  “พ่อเอ็งขอเอ็งกับพันเรืองจากข้าให้ไปช่วยงานตั้งแต่เช้าแล้ว ข้าก็เห็นสมควรจึงยกให้ไปแล้ว พวกเอ็งคงไม่ขัดใช่รึไม่”
                  “รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”/ “รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”
                  หลังถวายตัวเสร็จสิ้นเรืองกับขุนทับก็เตรียมตัวกลับ ด้วยจะเริ่มทำงานกับกรมใหม่ในวันพรุ่ง และวันนี้คงมีแต่คนเข้าพะราชวังไม่ขาดสายเพื่อมาถวายตัว
                “มาแต่เช้ากันเชี่ยวนะ นายเก่าเข้าวัดไปไม่ทันไรก็รีบมาเลียขานายใหม่ ได้ข่าวว่ารีบให้พ่อกราบบังคมทูลขอตัวไปอยู่ด้วยเลยนิ ดวงพาเจ้านายซวยทั้งพี่ทั้งน้องแบบนี้ไม่ต้องมีใครเขาอยากรับเข้ากรมด้วยดอก นายแรกก็สิ้น นายสองก็ออกผนวช”
                “ไม่เห่าสักวันก็ไม่มีใครว่าดอกนะหมื่นมิ่ง ไม่ได้เจอกันเสียนานจนคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอกันเสียแล้ว รู้อย่างนี้ไม่น่ารีบมาเลย” ขุนทับตอบกลับด้วยความโมโห ว่าตนกับเรืองยังไม่เท่าไร แต่นี้กลับพาดพิงไปถึงท่านที่สิ้นแล้วกับเจ้าพระคุณขุนหลวงองค์เก่า
                   “อย่ามีปัญหากับเลยพี่ทับ พี่ก็รู้ว่าหมื่นมิ่งเป็นคนของพระเจ้าเอกทัศ ถ้าพี่มีเรื่องกับหมื่นมิ่งวันนี้คนเขาจะเอาไปพูดต่อได้ว่าพี่คิดแข็งข้อกับพระเจ้าเอกทัศ แล้วพี่จะมีปัญหาตามมาก็เป็นได้” ไม่ว่าเปล่าเรืองรีบลากขุนทับออกจากบริเวณนั้นในทันที

                   “พี่ขอโทษเจ้าด้วยนะเรืองที่ไม่คิดให้รอบครอบเสียก่อน จนเกือบก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมาเสียแล้ว” เมื่อออกมาจากบริเวณนั้นขุนทับก็ขอโทษเรืองในทันทีที่คุมอารมณ์ตนเองไม่ได้
                   “ไอบ้า ไอคนผีเจาะปากมาพูด น่าเอาดาบตัดลิ้นเสียให้ขาด ปากดีเสียจริงคิดว่าเป็นคนของพระเจ้าเอกทัศแล้วจะไม่มีใครกล้าทำอะไรรึ รอดูต่อไปเถอะฉันไม่ปล่อยไอบ้าหมื่นมิ่งนั้นไว้แน่” เรืองโกรธจนตัวสั่น
                 “อ้าวเจ้าก็โกรธเหมือนกันรึ แถมยังดูโกรธกว่าพี่เสียด้วยซ้ำไป” ขุนทับรู้สึกงงกับท่าทีของเรือง
                 “โกรธสิจ๊ะทำไมจะไม่โกรธเล่า มันว่ากระทบนายเราทั้งสองพระองค์ แต่พอฉันเห็นพี่ทับโกรธทีไร อารมณ์โกรธฉันหายไปเสียทุกที มีแต่ความรู้สึกว่าอยากทำอะไรก็ได้ให้พี่ทับหายโกรธ แต่พอพี่ทับหายโกรธแล้วความโกรธของฉันมันก็ปะทุขึ้นมาใหม่เสียได้”
                 “ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ เจ้านี้นะ ไม่ว่าเมื่อไรก็ทำให้พี่ยิ้ม หัวเราะ และมีความสุขก็ความเป็นเจ้าได้เสียทุกที ดีเสียจริงที่พี่ด้วงได้รู้จักและแต่งงานกับแม่จันเพราะ พวกเขาทำให้พี่ได้มาพบเจ้าคนดีของพี่”
                  เรืองถึงกลับปรับอารมณ์ไม่ถูกเลยทั้ง ๆ ที่ตนเองโกรธอยู่นั้น แต่ขุนทับกลับทำให้อารมณ์เปลี่ยนเป็นเขินอายไปไหน “ฉันก็ควรต้องขอบคุณพี่ทั้งสองคนนั้นเหมือนกันที่ทำให้ฉันได้มารู้จักและรักกับพี่ทับได้”

*กรมหมื่นเทพพิพิธคือ ยศของเจ้าฟ้าแขกหลังจากได้การสถาปนาแล้ว โดยเมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศขึ้นครองราชย์นั้นพระโอรสทุกพระองค์จะได้รับยศเป็น “กรม”
**พระแสงขรรค์ชัยศรี เป็นพระแสง (ดาบ) ศาสตราวุธประจำองค์พระมหากษัตริย์
***วังสวนกระต่ายเป็นที่ประทับของพระเจ้าอุทุมพร

เราขอโทษที่หายไปตอนนี้เขียนยากจริงเหตุการณืสำคัญมันต่อเนื่องกันมาก ต้องหาอ้างอิงเยอะอยู่
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่10 (03/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 03-06-2017 16:48:00
คิดถึงเลยหายไปนาน
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่10 (03/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-06-2017 17:09:41
 :katai5:
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่10 (03/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 04-06-2017 20:33:24
เหมืแนว่าราชวงศ์นี้จะมีปัญหาภานในเยอะอยู่นะถ้าจำไม่ผิด ส่งผลให้บ้านเมืองอ่อนแอ่ ได้แต่หวังให้พระ-นายเราปลอดภัย
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่11 (09/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 09-06-2017 20:46:21
บทที่ 11 ศึกต่างเมือง
      หลังจากพระเจ้าเอกทัศขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานความละส่ำละส่ายก็กระจายไปทั่วทั้งกรุงศรีด้วยฝ่ายในมีอำนาจเท่าเทียบพระมหากษัตริย์ และขุนนางที่เห็นแก่อำนาจ เงินตราก็หันมาหนุนฝ่ายในเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น เวลามีคดีร้ายแรงต่าง ๆ เกิดขึ้นหากเป็นครั้งสมัยก่อนคนทำชั่วจะถูกประหารชีวิต แต่ฝ่ายในกับขุนนางกับร่วมมือกันลดโทษเหลือแค่ยึดทรัพย์สิน แล้วนำทรัพย์สินที่ได้มาหารแบ่งเฉลี่ยกัน คนทำผิดที่มีฐานะร่ำรวยก็สามารถทำชั่วได้หลายครั้งโดยให้สินบนกับขุนนางและฝ่ายใน แต่คนจนต่างพากันเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าโดนกดขี่ข่มเหง
      “บ้ากันไม่หมดแล้วรีไร ขุนนางแต่ละคนทำไมทำเยี่ยงนี้ เป็นถึงข้าของแผ่นดินกินเงินหลวง แทนที่จะเป็นหูเป็นตาให้พระมหากษัตริย์ แต่นี้อะไรกลับปิดหูปิดตาพระองค์แทนเสียได้” ขุนทับกล่าวอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
      “ใจเย็น ๆ พ่อทับน้ำเชี่ยวอย่างเอาเรือไปขวาง เดี๋ยวเรือมันจะพังก่อนได้ใช้งานจริง ๆ ขึ้นมามันจะไม่คุ้ม” พระยาสุรศักดิ์มนตรีปราม ถึงรู้สึกไม่พอใจเหมือนกัน แต่ด้วยตนเองนั้นอาบน้ำร้อนมาก่อนตนรู้ดี ดูอย่างครั้งหลังพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระสวรรคตสิ อากับหลานฆ่ากันเองแย่งอำนาจกันทำให้ทหารฝีมือดีหลายคนที่ต้องมาล้มตายไปด้วยฝีมือของคนกรุงศรีด้วยกันเอง แทนที่จะเอาฝีดาบที่มีไปใช้ในการเข่นฆ่าศัตรู มาสมัยพระเจ้าอุทุมพรก็พี่ฆ่าน้อง ยังโชคดีที่อย่างน้อยก็ไม่ได้นองเลือดมากเท่าสมัยก่อน “จะทำอะไรให้คิดถึงใจคนที่อยู่ข้างหลังบ้าง เราไม่เห็นด้วยก็ทำเฉยเสีย เห็นอะไรไม่ถูกไม่ควรก็เข้าช่วย ถึงเข้าช่วยต่อหน้าไม่ได้ก็ไม่ใช่ว่าจะช่วยลับหลังไม่ได้ เก็บตัวเก็บใจของเจ้าเอาไว้เมื่อยามจำเป็น สัญญากับพ่อสิพ่อทับ”
      เมื่อไตรตรองนึกคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วนั้นขุนทับก็ได้บทสรุปกับใจว่าสมัยนี้ไม่ใช่สมัยของคนดี คนมีความสามารถเลยจริง ๆ เสียดายเหลือเกินที่พระเจ้าอุทุมพรออกผนวชเสียแล้ว “กระผมสัญญาขอรับเจ้าคุณพ่อ กระผมจะรอ วันที่ได้แสดงความสามารถ สร้างผลงานให้กับบ้านเมืองเมื่อถึงเวลาอันสมควร”

      ถึงจะสัญญากับเจ้าคุณพ่อไว้แต่เมื่อเห็นความไม่เป็นธรรมจำนวนมากที่เกิดขึ้นขุนทับก็อดนำเรื่องมาปรับทุกข์กับเรืองไม่ได้
      “ฉันก็เห็นด้วยกับพี่ทับนะจ๊ะเรื่องขุนนางในสมัยพระเจ้าเอกทัศแต่ละคนความสามารถด้านการประจบสอพลอมากกว่าความสามารถด้านการราชการไปหลายขุม” เรืองเองก็ไม่พอใจด้วยเช่นกันเนื่องจากตนเองกันก็รับราชการมาตั้งแต่เด็ก แล้วเจ้านายแต่ละคนก็ขยันขันแข็งทำงานเพื่อกรุงศรีจึงไม่ชอบใจนักเมื่อเห็นคนไม่ทำงานทำการ
      “พี่กังวลนักขุนนางที่คิดอย่างเรามีมาก และไม่ใช่ทุกคนจะทนได้อย่างเรา ขุนนางอาจลุกขึ้นมาทำการใหญ่เหมือนเมื่อครั้งพระเจ้าปราสาททอง”
      “พี่ทับคิดว่าขุนนางจะล้มราชวงศ์บ้านพลูหลวงนี้ แล้วตั้งตนขึ้นเป็นราชวงศ์ใหม่เหมือนครั้งพระเจ้าปราสาททองหรือจ๊ะ”
      “อย่าเชื่ออะไรพี่มากเลยเรือง พี่ก็คิดมากไปตามเรื่อง ประวัติศาสตร์กรุงศรีของเรานั้นถึงจะผ่านมาหลายร้อยปี แต่ก็มีบางเหตุการณ์แย่ ๆ ที่เกิดขึ้นมาหลายครั้งเหมือนคนรุ่นใหม่ไม่เคยศึกษา ไม่เคยนำอดีตมาเป็นคำสอนหรือบทเรียน กี่ครั้งแล้วที่คนในครอบครัวฆ่ากัน พระมหากษัตริย์เชื่อฟังขุนนางไม่ได้เรื่อง แล้วต่อจากเหตุการณ์พวกนั้นเคยมีเหตุการณ์ดีๆตามมาเสียที่ไหน มีแต่เหตุการณ์แย่ ๆ ตามมาทั้งนั้นไม่หนักก็เบา”
      “พี่ทับจ๊ะ เราไปไหว้พระกันดีกว่า ไปทำให้จิตใจสงบและขอให้พระศรีรัตนตรัยช่วยปกปักคุ้มครองกรุงศรีอยุธยาของเราให้ผ่านพ้นเหตุการณ์ร้าย ๆ ไปได้ด้วยดี”

      ถึงครอบครัวของขุนทับและเรืองจะอดทนต่อเหตุการณ์ปัญหาเหล่านี้โดยปรึกษากับว่าให้ดูสถานการณ์ไปก่อนเนื่องจากพระเจ้าเอกทัศนั้นยังขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน แต่ก็มีขุนนางบางส่วนที่ไม่สามารถอดทนกับการกดขี่ข่มเหงของขุนนางด้วยกันที่มีต้องชาวบ้านตาดำ ๆ ไปได้ พวกเขารวมตัวกันเข้าเฝ้ากรมหมื่นเทพพิพิธหรือเจ้าฟ้าแขกซึ่งในตอนนี้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์อยู่
      “บ้านเมืองถึงคราวแย่เสียแล้วพระคุณเจ้า ขุนนางรวมหัวกับฝ่ายในทำเรื่องกำเริบเสิบสานเป็นที่น่ารังเกียจยิ่ง พระคุณเจ้ามีความคิดเห็นเป็นอย่างไรกับเรื่องนี้”
      “เห็นทีเราควรต้องกำจัดขุนหลวงเอกทัศเสียแล้วแหละ” พระคุณเจ้าเทพพิพิธกล่าว พร้อมนำเรื่องนี้ไปปรึกษาพระคุณเจ้าอุทุมพรด้วยคิดว่าหลังกำจัดพระเจ้าเอกทัศแล้วจะสถาปนาพระคุณเจ้าอุทุมพรขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์อีกครั้ง
      “เรื่องทางการเมืองไม่ใช่กิจของบรรพชิต เราบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาแล้วไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้” แต่ถึงจะกล่าวไปเช่นนั้นแต่พระคุณเจ้าอุทุมพรกลับนำเรื่องนี้ขึ้นบังคมทูลแก่พระเจ้าอยู่หัวเอกทัศเป็นเหตุให้พระคุณเจ้าเทพพิพิธถูกเนรเทศไปอยู่ลังกา ส่วนขุนนางที่เข้าร่วมกับการก่อกบฏครั้งนี้ถูกนำไปจำคุกเสียทั้งหมด จากเหตุการณ์นี้เป็นเหตุให้ไม่มีขุนนางคนไหนคิดแข็งข้อแก่พระเจ้าเอกทัศอีก เนื่องไม่มีหลักให้ยึดเป็นที่พึ่งพิงเสียแล้ว นอกจากนี้เหตุการณ์นี้ยังทำให้ขุนนางที่มีความสามารถลดจำนวนลงไป
      “เกิดเหตุอะไรรึเรือง ตอนพี่ไปตลาดเห็นพวกทหารในวังรวมพลกันไปยังวัดที่พระคุณเจ้าเทพพิพิธประทับอยู่” เดือนถามด้วยความกังวลใจ ช่วงนี้ราษฎรเดือดร้อนทุกส่วน หวังว่าคนมีอำนาจคงไม่แย่งชิงอะไรให้คนทั่วไปเดือนร้อนเพิ่มหรอกนะ
      “เรื่องเดิม ๆ จ้ะพี่เดือน ก่อกบฏ ครั้งนี้พระคุณเจ้าเทพพิพิธร่วมมือกับขุนนางหวังให้พระคุณเจ้าอุทุมพรกลับมาขึ้นครองราชย์อีกครั้ง แต่พระคุณเจ้ากลับนำเรื่องไปบอกพี่ท่าน พระคุณเจ้าเทพพิพิธเลยถูกเนรเทศ ส่วนขุนนางที่ร่วมมือถูกจำคุก” เรืองตอบด้วยความเหนื่อยหน่ายในหัวใจ
      “พระคุณเจ้าอุทุมพรคงเหนื่อยหน่ายในราชสมบัติเสียจริง ๆ แล้ว อีกอย่างคงไม่อยากให้คนรุ่นหลังต้องมารับรู้ว่าราชวงศ์บ้านพลูหลวงนี้เป็นราชวงศ์เลือด ให้เลือดและศพของผู้คนเป็นตัวแลกอำนาจมาตั้งแต่ครั้งพระปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ก็เป็นได้”
      เรืองนั้นใจหนึ่งก็อยากลาออกจากราชการเช่นด้วยกับขุนนางบางคนที่เหนื่อยหน่ายกับสมัยนี้ แต่อีกใจก็ยังอย่างรับใช้องค์ภูมินทร์เนื่องพระองค์เองนั้นก็ไม่ได้มีแค่ข้อเสียไปเสียหมด พระองค์ยังมีข้อดีอยู่บ้าง เห็นได้จากพระราชกรณียากิจของพระองค์ที่ทรงทำนุบำรุงศาสนา และบ่อยครั้งที่ทรงโปรดบริจาคทานแก่ประสบนิกรคนยากคนจน
      “ถ้าเจ้าไม่อยากรับราชการแล้วก็ออกมาช่วยพี่ทำทองก็ได้นะเรือง บ้านเราก็มีงานให้ทำถึงเจ้าออกมาก็ไม่ใช่ต้องหางานใหม่ ยิ่งสมัยนี้ภายในพระราชวังมีแต่ปัญหา เจ้าออกมาช่วยพี่เสียน่าจะดีกว่า” เดือนเห็นเป็นโอกาสให้น้องกลับมาอยู่ข้างตน ที่สำคัญที่สุดได้ห่างจากไอขุนทับ ถ้าเรืองลาออกเสียไอขุนทับก็จะได้ไม่มีเหตุผลข้ออ้างมาขอนอนปรึกษาราชการกับเรืองที่เรือนริมน้ำได้อีก
      “อะไรกันเรืองเจ้าจะลาออกจากราชการรึ” ขุนทับถามด้วยความตกใจ ตนนั้นมาหาเรืองด้วยมีข่าวใหญ่ เจ้าคุณพ่อถึงให้มาตามเรือง แต่กลับได้ยินประโยคของเดือนซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ของตนเหมือนกัน
      “เปล่าจ้ะพี่ทับฉันไม่ได้จะออกจากราชการ พี่เดือนแค่เห็นฉันรู้สึกเหนื่อย ๆ เลยสอบถามแล้วให้คำแนะนำเฉย ๆ”
      “อย่างนั้นรึ เสียใจด้วยนะพ่อเดือนที่น้องของพ่อยังคงอยากอยู่กับฉันมากกว่าอยากลาออกจากราชการ” ขุนทับรู้ดีกว่าเดือนไม่ชอบตน ลางสังหรณ์ของคนติดน้องนี่มันดีเสียจริง ถึงไม่รู้เรื่องแต่ก็คงรู้สึกแน่ ๆ ว่าตนจะมาแย่งเรืองไป ถึงคอยกันท่าขนาดนี้ “เออจริงสิ เจ้าคุณพ่อมีธุระจึงให้พี่มาตามเจ้าไปหาดูเหมือนว่าจะเป็นธุระสำคัญเสียด้วย ดังนั้นคืนนี้พี่ว่าเจ้านอนค้างเรือนพี่เห็นจะดีกว่า ฝากพ่อเดือนไปบอกคุณย่าใหญ่ และนายช่างชิดด้วยนะ” พร้อมทั้งเดินจับมือพาเรือนไป
      “เฮ้ย! ไม่ถึงขนาดต้องจับมือก็ได้มั่ง เฮ้ย! ได้ยินไหม อย่าเดินหนีไปแบบนี้สิ” เดือนตะโกนตามหลัง แต่ขุนทับเป็นไม่ได้ยิน แล้วเดินจับมือเรืองออกไป

      “เจ้าคุณพ่อเรียกกระผมกับเรืองมามีธุระอันใดรึขอรับ” เมื่อมาถึงเรือนพ่อขุนก็พาเรืองเข้าพบพระยาสุรศักดิ์มนตรีในทันที
      “เรื่องไอม่าน*อย่างไรละ พ่อได้ข่าวมาจากหัวเมืองทางใต้มาว่าไอพวกม่านมันจะบุกมะริดกับตะนาวศรีแล้ว” พระยาสุรศักดิ์มนตรีเข้าเรื่องโดยไม่รอช้า เนื่องเป็นเรื่องที่สำคัญและอาจเป็นอันตรายต่อกรุงศรีได้
      “ข่าวนี้แน่ใจแล้วรึขอรับเจ้าคุณพ่อว่าเป็นข่าวจริง ไม่ใช่ข่าวลวง”
      “ไม่ผิดแน่พ่อขับ พ่อได้ข่าวมาจากคนที่เชื่อถือได้ แล้วพ่อคิดว่าถ้ามันบุกเมืองดังกล่าวมันต้องมาถึงกรุงศรีของเราเป็นแน่ ยิ่งเหตุการณ์ภายในกรุงศรีตอนนี้ขุนนางมีความสามารถเบื่อหน่ายกับราชการลาออกไปเสียหลายคน พ่อกลัวเหลือเกินพ่อทับ พ่อกลัวจะเหมือนครั้งสมเด็จพระมหินทราธิราช”
      “อาจไม่ถึงขั้นนั้นก็ได้นะขอรับเจ้าคุณพ่อ” หลวงด้วงแย้งเพราะ ไม่อยากให้น้องชายและเรืองเป็นกังวลไปมาก เพราะเรื่องการบุกของพม่าถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับช่วงเวลานี้
      “ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปีมีรึที่พ่อจะไม่รู้ละพ่อด้วงว่าตอนนี้กรุงศรีของเราอ่อนแอถึงที่สุดแล้ว พ่อไม่ได้พูดให้ตื่นตูม แต่พ่อพูดให้ลูก ๆ ของพ่อทุกคน รวมเจ้าด้วยนะพ่อเรือง เจ้าก็เป็นลูกพ่อคนหนึ่ง ให้ทุกคนได้เตรียมตัว เตรียมกาย และเตรียมใจให้พร้อมไว้ไม่ว่าจะเกิดเหตุ หรือไม่เกิดก็ดี แต่ถ้าเกิดเราจะได้พร้อมรับมือเลย”
      และแล้วก็เป็นไปอย่างที่พระยาสุรศักดิ์มนตรีทราบข่าวมาในปี พ.ศ.2303 พระเจ้าอลองพญาทรงกรีฑาทัพเข้าตีทวาย มะริด และตะนาวศรี แล้วเดินทางทัพต่อมายังกรุงศรีอยุธยา ศึกครั้งนี้ถือเป็นศึกใหญ่สำหรับทหารชาวกรุงศรีเนื่องกรุงศรีอยุธยานั้นห่างหายจากการศึกกับพม่ามานานถึง 150 ปี

*ม่านหรือบางครั้งเขียนว่า มล่าน เป็นภาษาล้านนาแปลว่า พม่า

ตอนต่อจากนี้ไปจะเขียนยากขึ้นเรื่อย ๆ นะ เราจะพยายามแต่งให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ
https://www.facebook.com/tipin1994/ <------------ เพจเราเองแหละ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่11 (09/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 10-06-2017 08:45:24
ศึกใหญ่มาแล้วสินะ ขอให้ทั้งสองครอบครัวปลอดภัยด้วยเถอะ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่12 (16/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 16-06-2017 19:30:26
บทที่ 12 ศึกครั้งแรก
      ม้าเร็วเดินทางเข้าถึงเขตอาณาจักรกรุงศรีตั้งแต่เวลาย่ำค่ำโดยนำเรื่องไปบอกแก่จมื่นไวยเวทขุนนางคนสนิทของพระเจ้าอยู่หัวเอกทัศ แต่เนื่องจากเวลานั้นเป็นเวลาที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรดูละครฟ้อนรำ ซึ่งก่อนหน้านั้นพระองค์เคยมีรับสั่งว่าเวลาดังกล่าวห้ามผู้ใดเข้าไปรบกวน หมื่นไวยเวทจึงนำเรื่องมาบอกในเช้าวันต่อมาถึงพม่านั้นได้บุกมาประชิดถึงเขตอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาแล้ว
      “ชิชะไอจมื่นไว พูดเยี่ยงนี้ก็เหมือนโยนความผิดให้กูสิวะ ที่กูมีคำสั่งไม่ยอมให้พวกมึงเข้าเฝ้า ก็เพราะ บางครั้งเรื่องเล็กเรื่องน้อยพวกมึงก็ขอเข้าเฝ้ากูไม่ได้ดูเวล่ำเวลาเลย เป็นถึงจมื่นแล้วยังคิดไม่ได้รึว่าเรื่องเช่นใดควรเข้าเฝ้า เรื่องเช่นใดไม่ควรเข้าเฝ้า เห็นว่าเวลานี้เป็นเวลาศึกดอกนะกูคาดโทษมึงไว้ก่อน เสร็จศึกเมื่อใดมึงโดนดีเป็นแน่”

      ในการศึกครั้งนี้ขุนทับและเรืองถูกเกณฑ์เข้าทัพด้วย โดยทั้งสองคู่ถูกจัดอยู่กองหน้า แต่น่าผิดแปลกตรงที่ทั้งพระยาสุรศักดิ์มนตรี หลวงด้วง หรือแม้นแต่ขุนนางยศผู้ใหญ่กลับไม่มีใครเข้าร่วมทัพเลยสักคน ขนาดแม่ทัพยังมียศเป็นแค่ขุนเช่นด้วยกับขุนทัพ เมื่อพระยาสุรศักดิ์มนตรีและหลวงด้วงจะขอเข้าร่วมศึกก็ได้รับคำตอบมาว่าเบื้องบนวางทัพไว้แล้วเปลี่ยนไม่ได้
      “มาๆ เจ้าเรือง พ่อทับมาให้คนแก่คนนี้อวยพรก่อนออกศึกหน่อย ขอให้พ่อทั้งสองแคล้วคลาดปลอดภัยจากข้าศึกไม่ว่าอาวุธใด ๆ ก็ไม่ระคายแก่ผิวนะพ่อนะ พ่อทับย่าขออย่างหนึ่งนะ ถึงอาจจะยากไปเสียหน่อยแต่ย่าฝากน้องด้วยนะพ่อ”
                  “ขอรับคุณย่าใหญ่กระผมกับเรืองจะช่วยกันระวังหน้า ระวังหลังให้แก่กันและกันอยู่แล้วขอรับ”
                    “อยู่มาหลายสิบปีไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้เห็นศึกระหว่างกรุงศรีกับไอม่านมัน แล้วครั้งนี้ไปกันแค่สองคนเองรึ”
                      “ขอรับคุณย่าใหญ่ กระผมก็เห็นผิดแปลกอยู่เหมือนกัน ไพร่พลก็นำไปไม่มาก คนมีมือฝีหรือยศสูง ๆ ก็ไม่มีใครเข้าร่วมศึกเลย”
                     “แล้วแบบนี้มันจะไหวรึ แล้วไอพวกม่านมีกำลังพลเท่าไร บ้าไปแล้วเจ้าประคุณขุนหลวงเอกทัศไม่ว่าอะไรบ้างเลยรึ เรืองเจ้าต้องดูแลตนให้ดี ๆ นะ ขุนทับฝากดูแลน้องข้าด้วย” เดือนได้ฟังยิ่งเครียดด้วยเป็นห่วงน้อง
                  “ไม่ต้องกังวลดอกพี่เดือน ฉันสัญญาว่าจะกลับมาหาพี่เดือนแน่เตรียมนกปล่อยไว้ให้ฉันสักสิบถ้วยด้วย”
                    “อย่าว่าแค่นกปล่อยเลย พี่จะยกทั้งตลาดมาเซ่นเจ้าก็ยังได้ ขอแค่เจ้ากลับมาหาพี่ อย่าน้อยคืนนี้ก่อนออกศึกไปสวดมนต์ไหว้พระกับพี่ที่ห้องพระเสียหน่อยเถอะ เออขุนทับก็ด้วยมาไหว้พระกัน อย่างไรเสียก็ต้องไปออกรบพร้อมกัน แล้วคืนนี้ก็นอนเสียที่นี้เลยก็ได้”
                       ทุกคนในบ้านต่างเห็นด้วยกับเดือน ดังนั้นหลังอาบน้ำเสร็จทุกคนจึงมารวมตัวกันทั้งในและหน้าห้องพระเพื่อของให้คุณหนูน้อยของบ้าน และขุนทับปลอดภัยกลับมา ทั้งยังขอพรให้องค์เทพเทวาทั่วสารทิศช่วยปกปักษ์รักษากรุงศรี หลังไหว้พระทำสมาธิเสร็จคุณย่าก็ให้เรืองกับขุนทับเข้านอนเนื่องจากพรุ่งนี้ต้องตื่นไปรบแต่เช้า
                      “พี่ทับว่าศึกครั้งนี้จะเป็นอย่างไรรึจ๊ะ” เรืองถามด้วยความกังวล
                      “พี่ไม่อยากหลอนตัวเองหรอกนะ ดูทั้งจากกำลังพลและแม่ทับแล้วพี่ว่าพรุ่งนี้เรามีโอกาสแพ้มากกว่าชนะมากนัก แต่อย่าได้กลัวไปคนดีพี่อยู่ข้างเจ้าทั้งคน ถ้าตายเราก็ต้องตายด้วยกัน แต่ถ้าเราจะรอดก็ต้องรอดไปด้วยกัน” แล้วดึงเรืองมานอนกอดอยู่ข้าง ๆ
                        “ก่อนถึงพรุ่งนี้พี่ขอนอนกอดเจ้าเก็บเกี่ยวความสุขของคืนนี้ก่อนก็แล้วกันนะ”

                       รุ่งขึ้นเรืองกับขุนทับรีบตื่นกันแต่เช้า แต่งตัวสำหรับทำศึกพร้อมสะพายดาบคู่ขี่ม้าเข้าร่วมกองทัพ ส่วนคนอื่นในบ้านของทั้งสองนั้นต่างไปเดินส่งทั้งคู่ไปทำศึกอยู่ตรงประตูทางออกกรุงศรี ขณะเดินทัพกันอยู่นั้นเรืองก็หันมาถามขุนทับ “พี่ทับจ๊ะ ถึงตอนแรกฉันจะรู้ว่ากำลังพลมีไม่มากนั้น แต่ฉันไม่คิดว่าจะน้อยขนาดนี้”

                      “อาจให้ทัพแรกอย่างเราไปดูท่าทีของข้าศึกก่อนก็เป็นได้ ว่ามีจำนวนและฝีมือมากน้อยเพียงใด” ทั้งที่ใจขุนทับเองนั้นก็กังวลไม่น้อย แต่ด้วยไม่อยากให้น้องเสียขวัญ ถึงอ้างตอบไปอย่างนี้
                    “อย่างนั้นดอกรึจ๊ะ แล้วถ้า”
                    “พอก่อนเรือง เราเดินทางมาถึงแล้ว ระวังให้ดีนะ” ใจหนึ่งขุนทับก็ดีใจที่ไม่ต้องตอบอะไรน้องแล้ว อีกใจก็ยิ่งกังวล ด้วยกำลังพลนี้น้อยมีโอกาสรอดยากเสียเหลือเกิน
                    “เอา พวกเราบุก!!!!!” เสียงคำสั่งจากแม่ทัพดังขึ้นจากข้างหลัง ทำให้เรืองและขุนทับขี่ม้าเข้าไปสู่สนามรบ
                   เสียงดาบปะทะ และฝุ่นที่ฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณสนามรบทำให้ทั้งสองต่างมองไม่ค่อยเห็นข้าศึก และไม่เห็นกันและกันเอง ทันใดนั้นทหารพม่าคนหนึ่งก็กระโดดเข้ามาถีบเรืองจนตกจากหลังม้าพร้อมวิ่งเข้ามาฟันหมายจะเอาชีวิต แต่เรืองฉวยโอกาสหมุนตัวหลบได้ทัน ทั้งสองต่อสู้กันอย่างอุตลุด อันที่จริงฝีดาบเรืองนั้นอาจจะเหนือกว่า แต่ประสบการณ์ยังห่างชั้นทำให้การต่อสู้กินเวลานาน ในที่สุดขณะเรืองกำลังเพลี่ยงพล้ำโดนทหารพม่าถีบจนล้มแล้วง้างดาบขึ้นมาฟันนั้น เรืองก็ใช้แขนของตนเป็นโล่ยกขึ้นมารับแล้วอาศัยจังหวะฟันไปที่คอทหารพม่าจนขาด ส่วนแผลที่แขนนั้นก็ลึกเอาการอยู่แต่เรืองก็ต้องกัดฟันลุกขึ้นเพื่อสู้ต่อ พร้อมทั้งมองหาขุนทับไปด้วยแต่ก็ไม่พบ พบเพียงทหารพม่าอีกสามคนที่วิ่งมาทางตนแทน ขณะกำลังโดนล้อมอยู่นั้นก็มีทหารชาวกรุงศรีคนหนึ่งเข้ามาช่วยเหลือ เรืองและเขาคนนั้นต่างช่วยกันฆ่าทหารพม่าจนตายหมดสิ้น
                     “ตู้ม” ทันใดนั้นเองเสียงปืนใหญ่ที่สั่งยิงของฝั่งพม่าก็ดังขึ้น สร้างความตื่นตระหนักให้กับแม่ทัพของกรุงศรีเป็นอย่างมากจึงมีคำสั่งให้กำลังพลถอยทัพกลับโดยเร็ว
                    “ไปพ่อ มีคำสั่งให้ถอยแล้ว ตามฉันมา” ทหารคนนั้นฟันทหารพม่าที่เข้ามาพร้อมเดินนำเรืองไปทางที่กองทัพถอย
                     “แต่พี่ทับละ ฉันยังหาพี่ทับไม่เจอเลย” เรืองเป็นกังวล
                     “เรือง เจ้าอยู่ไหน ได้ยินเสียงพี่รีไม่ เรืองๆ” เสียงตะโกนของขุนทับก็ดังขึ้นมาพอดี ทำให้เรืองรีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง
                     “พี่ทับจ๊ะฉันอยู่นี้จ้ะพี่” เรืองตะโกนตอบด้วยความดีใจอย่างที่สุด
                     ขุนทับเมื่อเห็นเรืองก็รีบจับมือพาเรืองวิ่งกลับทัพทันที “รีบไปกันเถอะ แม่ทัพเรียกถอยทัพแล้ว” เรืองจะหันกลับไปหาทหารที่ช่วยตนก็ไม่พบเสียแล้ว จึงตามขุนทับถอยทัพกลับไป
                         “เรือง เจ้าไหวรึไม่ พี่เห็นดอกนะว่าแขนเจ้าเลือดไหล” ขุนทับถามด้วยความเป็นห่วง แต่ก็รู้ดีว่าแสดงท่าทีอะไรมากไม่ได้เนื่องจากอยู่ในกองทัพมีคนอยู่มาก
                         “ไม่เป็นไรมากจ๊ะพี่ทับ เร่งขี่ม้ากลับกรุงศรีแล้วค่อยทำก็ยังได้” เรืองบอกเพื่อไม่ให้ขุนทับเป็นกังวลเพราะ รู้ดีว่าถ้าตนเป็นอะไรไปขุนทับต้องโทษตัวเองเป็นแน่
                        “กว่าจะเข้ากรุงศรีแผลได้เน่าจนต้องตัดแขนทิ้งกันพอดี มานี้พี่จะใช้ไพลพอกแผลให้เจ้าก่อน ถึงในกำแพงเมืองเมื่อใด แล้วค่อยให้หมอรักษาอีกที”

                         เมื่อเข้าสู่กำแพงกรุงศรีขุนทับก็เร่งพาเรืองไปโรงหมอในทันที โชคยังดีที่แผลเป็นหนองไม่มาก และได้ไพลช่วยไว้ก่อนเรืองจึงไม่เป็นไข้ตามมา เมื่อได้ยินดังนั้นขุนทับกับเรืองก็คายความกังวลลงไปได้แล้วจึงลาหมอเพื่อกลับเรือน โดยทั้งคู่เลือกไปเรือนของเรืองก่อนด้วยบ้านนั้นไม่เคยมีคนในครอบครัวเป็นทหารมาก่อนคงกังวลใจเป็นอย่างมาก
                       “กลับมาแล้วจ้ะคุณย่า คุณพ่อ พี่เดือน ฉันกลับมาแล้ว” เรืองตะโกนเรียกทุกคนเพื่อให้ทุกคนรู้และสบายใจว่าตนปลอดภัยดี
                       “กลับมาแล้วรึเป็นอย่างไรบ้าง ตายๆๆๆๆๆ แขนเจ้าทำไมมันพันแผลใหญ่โตขนาดนี้เล่า” คุณย่าถามด้วยความตกใจเมื่อเห็นแขนของหลานชายคนเล็ก
                       “ไม่เป็นอะไรมากดอกจ้ะ หมอพันใหญ่ ๆ เพื่อป้องกันน้ำโดนแผลเฉย ๆ ไม่ได้เป็นอะไรมากคุณย่าไม่ต้องเป็นห่วง” เรืองกล่าวปดเพราะ ไม่อยากให้คนที่บ้านเป็นห่วง
                       “แล้วศึกครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง” พระยาสุรศักดิ์มนตรีถาม ด้วยตนเองก็เป็นห่วงลูกชายคนเล็กเหมือนกันแล้วรู้ว่าเมื่อกลับมาถึงขุนทับจะต้องมาบ้านนี้ก่อนเป็นแน่ ถึงมารอรับลูกที่นี้
                      “เราแพ้มันย่อยยับเลยขอรับเจ้าคุณพ่อ เป็นไปตามคาดแม่ทัพคนนี้ไร้ความสามารถ แค่ไอม่านมันยิงปืนใหญ่ใส่แค่ครั้งเดียวก็ตกใจสั่งถอยทัพกลับแล้ว เออ! เจ้าคุณพ่อขอรับคืนที่กระผมขออยู่เฝ้าน้องที่นี่นะขอรับเผื่อน้องเป็นไข้ กระผมจะได้ดูแลน้องได้ เนื่องจากต้นเหตุของแผลนี้เป็นเพราะกระผมดูแลน้องไม่ดี”
                       “อย่าคิดอะไรมากเลยขุนทับ ไปรบแค่ไม่ตายกลับมาก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว พ่อเองก็ต้องระวังตัวเอง จะดูแลเรืองตลอดก็ไม่ได้ดอก แต่ถึงห้ามไปย่ารู้พ่อก็คงไม่ฟัง เอาเถอะอยากเฝ้าก็เฝ้า”
เมื่อได้คำตอบรับอย่างนั้น หลังกินอาหารเย็นกันเสร็จ ขุนทับก็พาเรืองไปที่เรือนริมน้ำทันทีโดยให้เหตุผลว่าที่นั้นอากาศถ่ายเทกว่าเรือนใหญ่
                      “เรือง พี่ขอโทษที่ดูแลเจ้าไม่ดี” เมื่อเข้าเรือนริมน้ำขุนทับก็โผลกอดเรืองในทันที “ถ้าเจ้าเป็นอะไรมากกว่าแค่แผลที่แขน พี่จะทำอย่างไร โธ่! พ่อคุณคนดีของพี่ โชคดีเสียจริงที่เจ้าไม่เป็นไร”
                      “ฉันมีครูดีตั้งสองคนทั้งครูทอง และพี่ทับฉันจะเป็นอะไรไปได้อย่างไร เสียชื่อครูแย่” เรืองไม่คิดว่าตนต้องเป็นคนมาปลอบคนตัวใหญ่ตรงหน้า “ขวัญเอยขวัญมา มาคืนนี้ฉันจะกล่อมพี่ให้นอนหลับฝันดี”
                     “ได้ทีแซวพี่ใหญ่เลยนะพ่อตัวดี แต่แค่กล่อมนอนขวัญพี่คงยังไม่กลับ ขอเป็นปากเจ้ากล่อมปากพี่แทนได้รึไม่ ขวัญพี่น่าจะมาไวขึ้น”
                    เรืองได้ยินก็เขินหน้าแดง แต่ก็ยอมทำตามที่ขุนทับขอ พร้อมคิดว่าต่อไปตนจะแสดงความรักต่อพี่ทับให้มากขึ้น เนื่องถ้าในอนาคตตนอาจไม่ได้ได้บาดเจ็บแค่ที่แขน แต่ถ้าเป็นคอตนที่ขาดไปคงไม่ได้มีโอกาสกลับมากอดพี่ทับอย่างนี้อีกเป็นแน่
                    “ชื่นใจจริงคนดีของพี่ ได้เวลานอนแล้วหลับเสียพ่อ ตื่นขึ้นมาแผลจะได้หายไว ๆ”

                    การแพ้ศึกในครั้งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับพระเจ้าเอกทัศเป็นอย่างมาก ด้วยตัวพระองค์เองนั้นก็ทรงทราบดีว่าขุนนางยศผู้ใหญ่หลายคนไม่ได้ลงไปสนใจศึกในครั้งนี้ อีกทั้งกำลังพลที่นำไปก็น้อยมากเมื่อเทียบกับข้าศึก ส่วนฝั่งของพม่านั้นเมื่อเห็นว่ากรุงศรีพ่ายกลับไปนั้นก็ยิ่งได้ใจเดินทัพเข้าใกล้กรุงศรีมากขึ้น จนในที่สุดก็เดินทางมาถึงสุพรรณบุรี ครั้งนี้ม้าเร็วนำเรื่องเข้ารายงานพระยาสุรศักดิ์มนตรีแทน
                  “เร็วเข้าพ่อด้วง พ่อทับไปเข้าเฝ้ากราบทูลเรื่องนี้กันเดี๋ยวนี้เลย”
แต่เมื่อมาถึงทหารยามซึ่งคือ หมื่นศรีสุนทรกลับบอกว่าท่านข้างในทอดพระเนตรละครอยู่ไม่โปรดให้ใครเข้าเฝ้าทั้งนั้นไม่มาจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ถึงพระยาสุรศักดิ์จะบอกว่าพระองค์เคยอนุญาตแล้ว แต่หมื่นศรีสุวรรณกลับบอกว่าตนไม่รู้ ไม่เคยได้ยินพระราชโองการใหม่ ไม่ให้เข้า
      “แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีขอรับเจ้าคุณพ่อ” หลวงด้วงถามด้วยความกังวล เพราะสุพรรณบุรีนั้นเดินทางแค่วันเดียวก็ถึงกรุงศรีอยุธยาแล้ว
      “คงทำอะไรไม่ได้นอกจากรอพรุ่งนี้แล้วแหละลูก” พระยาสุรศักดิ์มนตรีกล่าวด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
      ข่าวพม่าบุกประชิดกรุงศรีนั้นไม่ใช่แค่ทหาร ขุนนางที่รู้เรื่อง ชาวบ้านทั่วไปก็ทราบเรื่องต่างเดินทางเข้าวัดประดู่ทรงธรรมเพื่อยื่นฎีกาแก่พระคุณเจ้าอุทุมพรเพื่อขอความกรุณาให้พระองค์สึกออกมาช่วยปกป้องกรุงศรี
                   “โปรดช่วยชาวบ้านตาดำ ๆ ด้วยเถอะเจ้าค่ะ ตอนนี้ร้อนไปทั่วกรุงศรี ทรงสึกออกมาช่วยพวกเจ้าด้วยเถอะ”
                   “ใช่ ๆ สึกเถอะพระเจ้าค่ะ” เสียงชาวบ้านต่างตะโกน บางก้มลงกราบไหว้ของร้อง บางร้องไห้ เสียงดังระงมไปทั้งวัด จนในที่สุดพระคุณเจ้าอุทุมพรก็ทนไม่ไหวจำใจรับฎีกาใส่บาตรมา
ทางด้านพระเจ้าเอกทัศนั้นเมื่อทราบข่าวก็ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก ด้วยพระองค์นั้นทรงบอกแล้วว่าถ้าเป็นเรื่องใหญ่เช่นนั้นให้นำเรื่องเข้าเฝ้าในทั้งที
                  “ชิชะ! ไอพวกไพร่ก็กูบอกแล้วอย่างไรว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ สามารถเข้าเฝ้ากูได้ หรือคำกูนั้นมันไม่มีความหมายไม่จำเป็นต้องจดจำ ไหนใครไออีคนไหนมันเป็นคนพูด บอกมาสิ”
                  “ฝ่ายในเขาพูดต่อ ๆ กันมาจะหาคนต้นคงหาได้ยากแล้วในเวลานี้พระพุทธเจ้าค่ะ” หมื่นศรีสุนทรรีบตอบด้วยกลัวพระยาสุรศักดิ์มนตรีจะสาวความผิดมาถึงตน
      “เวรๆๆ ไม่ได้เรื่องจริง ๆ เลยโว้ยไอพวกนี้ ไปบอกไอทหารข้างหน้า กูจะไปรับน้องกูกลับมาช่วยกูทำการศึก” เมื่อเห็นว่าข้าศึกยกทัพมาใกล้คงเป็นการยากที่พระองค์จะจัดการเองได้ พระองค์ถึงคิดว่าควรให้พระเจ้าอุทุมพรสึกมาช่วยอีกรบอีกแรงน่าจะเป็นการดีกว่า


เรารู้สึกว่าคนอ่านน้อยลงอะ ไม่เม้น ไม่บวกเป็ดเราไม่ว่าอะไร เพราะบางที่ตอนอ่านก็ไม่ได้ล็อกอิน หรือไม่รู้จะคอมเม้นอะไร แต่คนอ่านที่น้อยลง เราเลยคิดว่าเราเขียนไม่ดีหรือเปล่าคนเลยเลิกอ่านกันแล้ว ถ้าไม่อ่านก่อนเลิกอ่านติเราหน่อย เราจะได้ปรับปรุง มันเป็นเรื่องแรกเราอาจยังเขียนไม่ดี เราเลยอยากรู้ข้อเสีย เราจะได้แก้ไขได้ แล้วก็ขอบคุณทุกคนที่ยังติดชม ติเราได้เหมือนกันนะ เราชอบ 5555555555 //มีความมาโซ
แล้วนี่ก็เพจเรานะ https://www.facebook.com/tipin1994/

หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่12 (16/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 16-06-2017 19:54:55
ไม่ได้เขียนแย่นะมันโอเคมาก
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่12 (16/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 16-06-2017 20:35:18
ไม่ได้เขียนแย่นะมันโอเคมาก
ขอบคุณมากค่ะที่ชอบ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่12 (16/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 17-06-2017 13:59:56
ใช่ค่ะ ตามอ่านอยู่ตลอด แต่ไม่ได้เม้นท เพราะเนื้อเรืองมันให้ติดตามไปเรื่อยๆยังไม่เจอปม ชอบนะ ได้ทวนประวัติศาสตรไปด้วย
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่12 (16/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 17-06-2017 21:11:44
ยิ่งอ่านยิ่งเกลียดพวกขุนนางชั่วๆจริง บ้านเมืองแตกก็เพราะแบบนี้แหละหนา กินบ้านกินเมือง ภายในอ่อนแอ่ กรุงศรีจะแตกก็ไม่แปลกใจ
เป็นห่วงก็แต่ทับกับเรืองนี่แหละ สู้ๆๆ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่13 (23/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 23-06-2017 21:30:08
บทที่ 13 พม่าปราชัย
      หลังทรงสึกออกมาพระเจ้าอุทุมพรทรงเรียกขุนนางทุกฝ่ายมารวมตัวกันเพื่อช่วยกันคิดกลการศึกในครั้งนี้ว่าควรทำเช่นไร
                   “โดยปกตินั้นกรุงศรีอยุธยาของเรานี้นิยมกลการศึกรูปแบบรุกมาตั้งแต่ครั้งพระองค์ดำ พระองค์ขาว แต่มาคราวนี้เห็นที่จะยากด้วยทหารพม่านั้นบุกเข้าจะประชิดกำแพงวังอยู่แล้ว” พระเจ้าอุทุมพรกล่าวก่อนให้ขุนนางทุกคนแสดงความคิดเห็น
                    “อย่างไรเสียกรุงศรีของเราก็มีน้ำล้อมรอบ เมื่อฤดูน้ำหลากไอพวกม่านก็ลอยจมตามน้ำไปเองแหละนะเกล้านะกระหม่อม” หมื่นศรีสุนทรออกความเห็นคนแรก
                   “หม่อนฉันว่าน่าจะหาทางตั้งรับวิธีอื่นด้วย ถ้าฤดูนี้น้ำไม่มากพอ หรือไอม่านมันเกิดไม่กลัวน้ำเราจะได้มีทางแก้ได้ทั้งเวลานะเกล้านะกระหม่อน” พระยาสุรศักดิ์มนตรีแย้ง
                  “เป็นความคิดที่ดีดังนั้นเราจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นแม่ทัพแล้วกันพระยาสุรศักดิ์มนตรี ส่วนขุนไชยเชษฐ์ดูแลการเสริมกำแพง และปืนใหญ่”
                 “พระพุทธเจ้าค่ะ” / “พระพุทธเจ้าค่ะ”

                 “เป็นอย่างไรบ้างน้องพี่คิดกลศึกกันไปถึงไหนแล้ว” พระเจ้าเอกทัศทรงตรัสถาม เมื่อพระเจ้าอุทุมพรขอเข้าเฝ้า
                 “เรียบร้อยทุกอย่างแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ หม่อมฉันให้พระยาสุรศักดิ์มนตรีเป็นแม่ทัพในศึกครั้งนี้ และให้ขุนไชยเชษฐ์ดูแลการเสริมสร้างกำแพง และตะเตรียมปืนใหญ่พระพุทธเจ้าค่ะ”
                “อะไรกันให้ไอคนยศแค่ขุนดูแลทั้งกำแพงมันจะเป็นไปได้อะไร เจ้าให้จมื่นไวยเวทดูแลไม่ดีกว่ารึพ่อมะเดื่อน้องพี่”
                “หม่อนฉันจัดการไปแล้ว ไม่อยากเปลี่ยนแปลงให้มันยุ่งยาก” พระเจ้าอุทุมพรขัด
                การตอบแบบนั้นทำให้พระเจ้าเอกทัศทรงรู้สึกเสียพระพักตร์เป็นอย่างมากที่พระเจ้าอุทุมพรกลล้าตรัสขัดพระองค์ต่อหน้าขุนนางน้อยใหญ่ แต่ต้องจำพระหทัยตรัสออกไปว่า “อย่างนั้นตามแต่พ่อมะเดื่อจะเห็นสมควรเถอะพ่อ”

                 “พี่ทับจ๊ะฉันอยากออกไปรบกับพี่ด้วย ไปบอกพระยาสุรศักดิ์มนตรีให้ฉันที ฉันไม่อยากรออยู่ที่นี้เลย” เรืองไม่พอใจเป็นอย่างมาที่ในรายชื่อกำลังพลร่วมรบไม่มีชื่อของตนออกมา
                “จะไปได้อย่างไรแผลของเจ้ายังไม่หายดีเลย” ขุนทับค้านด้วยความเป็นห่วง
      “แต่ก็ใกล้หายแล้วนะจ๊ะ ฉันอยากออกไปร่วมรบเคียงข้างพี่ ขออนุญาตให้ฉันไปรบกันพี่เถอะนะจ๊ะ” เรืองเริ่มอ้อนเพราะ ไม่ว่าจะอ้อนครั้งไหนขุนทับก็ใจอ่อนกับตนเสียทุกที
      “เสียใจด้วยคนดีครั้งนี้พี่ไม่ใจอ่อนกับเจ้าแน่ ถ้าเลือกระหว่างให้เจ้างอนกับให้เจ้าเจ็บ พี่เลือกให้เจ้างอนพี่ยังดีเสียกว่า คนดีของพี่พี่รู้ดีว่าเราเป็นชายชาติทหาร ถ้าเจ้าปกติดีมีรึที่พี่จะห้ามเจ้า เรืองพี่รักเจ้าที่สุดเจ้าเป็นเหมือนดวงใจของพี่ เจ้าอยากเห็นพี่เจ็บรึ เมื่อเข้าไปสนามรบพี่ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้อย่างเต็มที่แบบที่พี่คิด ดังนั้นพี่ไม่มีทางให้เจ้าไปเสี่ยงโดยเด็ดขาด คนดีอย่างอแงเลยนะ สงสารใจพี่เถอะ เห็นเจ้าเจ็บแค่นี้พี่ก็จะขาดใจอยู่แล้ว”
      เรืองได้ยินเช่นนั้นก็ไม่กล้าขออนุญาตไปรบอีก “อย่างนั้นฉันจะไปสวดมนต์ขอให้พระศรีรัตนตรัยช่วงปกป้องคุ้มครองให้พี่ทับปลอดภัยกลับมาหาฉันนะจ๊ะ”
      “คนดีของพี่ขอบใจเหลือเกินที่เจ้าเข้าใจพี่” ขุนทับกล่าวพร้อมหอมหน้าผากของเรือง “พี่ต้องปลอดภัยกลับมาแน่ดวงใจของพี่อยู่นี้ ตัวของพี่จะไปที่ไหนได้”

      ในการรบครั้งนี้กำลังพลของพม่ามากกว่าครั้งก่อนด้วยทัพใหญ่ตามมาเสริมได้ทันท่วงที เป็นที่น่ากังวลใจเป็นอย่างมากเพราะ กำลังพลของอยุธยานั้นน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้พระเจ้าอลองพญายังมีนิสัยชอบออกรบเช่นโจรป่า คือทำศึกทั้งกลางวันและกลางคืน ถ้าทางกรุงศรีต้องแบ่งกำลังพลไว้ทั้งสองเวลาจำนวนพลทหารจะยิ่งน้อยลงไปอีก พระยาสุรศักดิ์มนตรีจึงมีคำสั่งให้ส่งทูตไปเจรจาต่อรองกับพระเจ้าอลองพญาให้ทำการศึกกับบนหลังช้างแทน ฝ่ายพม่านั้นมั่นใจในฝีมือการรบและจำนวนทหารของตนอยู่แล้วจึงตอบตกลง ทัพทั้งสองวิ่งเข้าใส่กันแบบไม่คิดชีวิต ฝั่งหนึ่งมุ่งหวังขยายอาณาเขต อีกฝั่งมุ่งหวังปกป้องบ้านเกิดเมืองนอน
      ตัวขุนทับเองนั้นวิ่งเข้าใส่ทหารพม่าอย่างไม่คิดกลัวเช่นกัน คิดเพียงแต่ว่าขอให้ได้ปกป้องคนที่อยู่ข้างหลังอย่างสุดกำลัง สองมือถือดาบวิ่งไล่ฟันศัตรูไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย วิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาถูกนำมาให้อย่างหมดสิ้น มีบางครั้งที่ขุนทับพลาดท่าถูกทหารพม่าฟันจนเป็นแผล แต่ทุกครั้งเขาก็กัดฟันต่อสู้ใหม่
      ทางด้านพระยาสุรศักดิ์มนตรีนั้นใช้ง้าวต่อสู้กับแม่ทัพพม่าอยู่บนหลังช้าง โดยมีหลวงด้วงลูกชายเป็นควาญช้างให้ การรบเป็นไปยากลำบากด้วยแม่ทัพของพม่านั้นมีฝีมือดี เสียงง้าว เสียงช้างดังสลับกันไปมา
      “เจ้าคุณพ่อระวังตัวให้ดีนะขอรับ” หลวงด้วงเป็นห่วงด้วยฝีมือง้าวของแม่ทัพฝ่ายศัตรูเก่งกาจจนน่าหวั่นใจ
      เสียงปะทะยังคงดังต่อเนื่องจนในที่สุดแม่ทัพฝั่งพม่าก็ฟันง้าวลงมาบนบ่าของพระยาสุรศักดิ์มนตรี  แล้วดึงออกหมายจะแทงซ้ำอีกครั้ง แต่หลวงด้วงอาศัยจังหวะนั้นจับง้าวของพระยาสุรศักดิ์มนตรีขึ้นมาฟาดฟันแม่ทัพของพม่าอย่างบ้าคลั่งเพราะ เห็นบิดาของตนโดยฟันต่อหน้าต่อหน้า การกระทำของหลวงด้วงทำให้ควาญช้างฝ่ายพม่าต้องขี่ช้างออกห่าง แต่กว่าจะไล่แม่ทัพพม่าออกไปได้ขนาดนั้นพระยาสุรศักดิ์มนตรีก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว สิ้นใจบนหลังช้างไปก่อนเสียแล้ว เมื่อแม่ทัพของฝั่งไทยสิ้นลงทำให้กองทัพไทยต้องยกพลกลับเข้ากรุงศรีในทันที

      “ไปอย่างไรกันบ้างจ๊ะ ศึกครั้งนี้เราชนะใช่รึไม่จ๊ะพี่ทับ” เรืองถามเมื่อเห็นขุนทับเดินขึ้นเรือนเรือนมา โดยสมาชิกทุกคนในบ้านเรืองต่างมารอฟังข่าวที่บ้านขุนทับด้วยผู้ชายทุกคนในบ้านนี้ต่างออกศึกกันหมด เหลือเพียงจันที่อยู่เป็นเจ้าบ้านกับลูกเล็ก ๆ และบ่าวไพร่
      “กองทัพใหญ่ของพม่าตามมาเสริมทัน จำนวนพลของเรานั้นเทียบข้าศึกไม่ได้เลย นอกจากนี้เจ้าคุณพ่อพี่เสียแล้วนะ โดนแม่ทัพพม่าฟันด้วยง้าวสิ้นบนหลังช้าง พวกเราถึงจำต้องยกทัพกลับเข้ากรุงศรีมาก่อน”
      “ไม่น่าเลยท่านเจ้าคุณ” คุณย่าใหญ่กล่าวด้วยความตกใจ และโศกเศร้า “เสียขุนนางฝีมือดีไปอีกแล้ว แล้วทีนี้ใครจะช่วยปกป้องกรุงศรีของเราได้ ขุนหลวงอุทุมพรจะทำเช่นไรต่อรึขุนทับ”
      “กระผมไม่อาจรู้ได้จริง ๆ ขอรับคุณย่าใหญ่ พระทัยพระองค์มีผู้ใดเล่าจะรู้ได้ แต่กระผมว่าพระองค์ต้องหาทางช่วยกรุงศรีให้รอดพ้นภัยร้ายในครั้งนี้ได้แน่ขอรับ”
      หลังพระเจ้าอุทุมพรทราบเรื่องการเสียชีวิตของพระยาสุรศักดิ์มนตรี ก็ทรงขอพระราชอนุญาตเข้าเฝ้าพระเจ้าเอกทัศเป็นการส่วนพระองค์
                     “หม่อนฉันต้องการให้พระองค์ปล่อยนักโทษอาญาที่ต้องโทษกบฏเมื่อครั้งกรมหมื่นเทพพิพิธมารับหน้าที่ออกศึกครั้งต่อไป”
                    “ทำไมต้องใช้ไอกบฏพวกนั้นด้วยละพ่อดอกมะเดื่อ ขุนนางของเราก็มีออกตั้งมากมายไม่มีความจำเป็นที่ต้องปล่อยมันออกมาเลย”
                    “น้องมีความคิดว่าขุนนางกลุ่มนั้นมีความสามารถยากที่จะหาผู้ใดมาเทียบได้ในเวลานี้ และความสามารถนั้นก็จำเป็นกับเราในเวลานี้เช่นเดียวกัน”
                   พระเจ้าเอกทัศต้องจำใจยอมเห็นด้วยในที่สุด “ตอนนี้นั้นพี่ก็เปรียบเสมือนข้าของน้องคนหนึ่ง น้องว่าเช่นใดพี่ก็ไม่ขัดดอก”
พระเจ้าอุทุมพรจึงออกมารับสั่งให้ทหารเวรไปนำตัวขุนนางทุกคนที่ต้องโทษอยู่ออกมาจากคุก พร้อมให้มารับพระราชโองการให้การทำศึกครั้งต่อไป

                  “พี่ทับจ๊ะ เข้ามาข้างในเสียก่อนเถอะข้างนอกน้ำค้างแรงนัก ประเดี๋ยวจะไม่สบายไป”
                 “ใจพี่จะขาดแล้วคนดี ตอนที่เห็นไอม่านฟันลงบนบ่าเจ้าคุณพ่อต่อหน้าพี่ พี่เหมือนเลือดในกายมันไหลออกมาหมดสิ้น” ขุนทับไม่อาจเก็บน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้
                  “พี่ทับจ้าร้องออกมาให้หมด ฉันอยู่ตรงนี้จะค่อยปลอบใจพี่ทับเอง” เรืองสงสารขุนทับสุดใจ เห็นพ่อตนเองจากไปต่อหน้าแค่เรียกสติกลับมาก็ว่ายากแล้ว แต่นี้เวลาทำใจก็มีไม่มากด้วยข้าศึกประชิดเมือง ในอีกไม่กี่วันก็ต้องออกศึกใหม่อีก พี่ทับช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน เรืองปลอบขุนทับไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดขุนทับก็หลับไปทั้ง ๆ ที่น้ำตายังอาบนองอยู่บนหน้า

      “ตู้ม” เช้าวันหนึ่งขณะที่ทหารฝั่งกรุงศรีกำลังลาดตะเวรบนกำแพงเมืองอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นด้วยกษัตริย์ของพม่ามีรับสั่งให้ยิงปืนใหญ่ใส่ยอดปราสาทพระราชวังกรุงศรีอยุธยา
      “ครั้งนี้ยอดปราสาทวังที่หัก ครั้งหน้าต้องเป็นหัวของกษัตริย์อยุธยาเป็นแน่แท้ที่หลุดลงมาแนบตีนกู”
      “เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” เสียงโห้ร้องด้วยความดีใจของทหารพม่าดังไปทั่วทั้งบริเวณ
      ต่างจากทางด้านชาวกรุงศรีเหตุการณ์ดังกล่าวยิ่งสร้างความตื่นตระหนกตื่นใจเป็นอย่างมาก ชาวกรุงต่างวิ่งหนีกันอย่างอุตลุดบางวิ่งชนกัน บางวิ่งหนีลงคลอง และเหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้ขุนหลวงอุทุมพร และหลวงด้วงยิ่งโกรธแค้นเข้าไปใหญ่
      “พระอาญาไม่พ้นเกล้า หม่อนฉันขออนุญาตยิงปืนใหญ่ตอบโต้ได้รึไม่นะเกล้านะกระหม่อน” หลวงด้วงถามพระเจ้าอุทุมพร
      “ตามที่เจ้าเห็นสมควรเลยหลวงด้วง เราอนุญาต”
      เมื่อได้รับคำอนุญาตหลวงด้วงก็สั่งยิงปืนใหญ่ในทันทีโดยยิงไปทางที่พระเจ้าอลองพญาประทับอยู่ วิถีกระสุนนั้นตรงเข้าใส่ทหารพม่าทางด้านหน้ากษัตริย์พม่าออย่างจัง และโชคดีไปกว่านั้นที่สะเก็ดกระสุนถูกพระเจ้าอลองพญาจนบาดเจ็บสาหัส
      เมื่อเห็นอย่างนั้นมังระผู้ลูกที่ตามพระเจ้าอลองพญามาทำศึกก็มีรับสั่งขึ้นมาทันที “ทหารทุกคนจงฟัง ยกกำลังพลกลับรัตนปุระ*เดี๋ยวนี้” เพื่อนำพระเจ้าอลอพญากลับไปรักษาตัวที่กรุงอังวะเนื่องจากบาดแผลจากสะเก็ดกระสุนนั้นค่อนข้างสาหนัก แต่สายเกินการณ์เมื่อเดินทางถึงแค่ชายแดนกษัตริย์เมืองม่านผู้นี้ก็เสด็จสวรรคตลงก่อนถึงแผ่นดินเกิดของตน

*รัตนปุระ เป็นชื่อภาษาบาลีของกรุงอังวะ ในภาษาพม่าแปลว่า “ปากทะเลสาบ” เพราะอยู่ใกล้ทะเลสาบ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่13 (23/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: lilowria ที่ 23-06-2017 23:59:35
ขอบคุณจ้า เราชอบนะ รู้สึกเอ็นดูเจ้าเรืองกับพี่ทับ พึ่งเห็น ก็เลยพึ่งเข้ามาอ่าน อ่านรวดเดียวเลย ขอบคุณมากจ้า มีเรื่องคำตกคำผิดบ้าง บางทีอ่านแล้วก็งงนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร สู้ๆ เดี๋ยวนี้หาแนวสมัยอดีตยาก ถ้ามีเรารู้สึกว่าชอบจบเศร้า ๆ รอจ้า
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่13 (23/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-06-2017 08:19:07
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่13 (23/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 24-06-2017 21:38:39
ได้ความรู้ประวัติศาสตรด้วย แต่เสียใจกับพี่ทับ ที่เสียคุณพ่อ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่13 (23/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: dahlia ที่ 25-06-2017 00:38:16
สงสารพี่ทับ เกิดเป็นทหารต้องอดทนจริงๆ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่13 (23/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 26-06-2017 07:13:22
น่าสงสารขุนทับจังเลยต้องมาเสียพ่อ
แต่ยังดีที่พม่าถอยทัพกลับ เรืองปลอบใจขุนทับด้วยนะ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่14 (30/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 30-06-2017 18:17:52
ตอนที่ 14 สงบสุข
                หลังจากกองทัพทหารพม่าพ่ายแพ้กลับไปแล้วนั้น ม้าเร็วก็รีบนำข่าวเข้าไปกราบทูลแก่พระเจ้าอยู่หัวเอกทัศ และบอกข่าวกับชาวบ้านโดยทั่วกัน เสียงโห้ร้องด้วยความยินดีดังไปทั่วทุกหนทุกแห่ง พร้อมเสียงร้องแสดงความเคารพต่อพระเจ้าอุทุมพรที่พระองค์ทรงนำทัพออกไปด้วยตัวพระองค์เอง ส่วยในวังนั้นหลังทราบข่าวพระเจ้าเอกทัศทรงมีรับสั่งให้จมื่นไวยเวท กับหมื่นมิ่งเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัวในทันที
                “ตอนนี้ข้าศึกก็ยกทัพกลับกันหมดแล้ว กูจะทำอย่างไรต่อไปนี้ในเมื่อกูเชิญน้องกูมารับตำแหน่งเป็นกษัตริย์เช่นด้วยกันกูแล้วในขณะนี้”
               “เรื่องนี้ไม่ยากพระพุทธเจ้าค่ะ พระองค์เคยใช้วิธีอะไรก็ทรงใช้วิธีเดิมสินะเกล้านะกระหม่อน ขุนหลวงอุทุมพรท่านต้องรู้ความในเป็นอย่างดี จริงไหมหมื่นมิ่ง”
              “จริงขอรับท่านจมื่น แต่ในครั้งนี้เชิญขุนนางน้อยใหญ่มานั่งเป็นสักขีพยานด้วยจะเป็นการดีเข้าไปอีก ด้วยขุนหลวงอุทุมพรนั้นจะได้รับสั่งต่อหน้าพวกขุนนางให้รู้กันโดยทั่วจะได้ไม่มีปัญหาตามมาทีหลัง” หมื่นมิ่งออกความเห็นเสริม
              “กูชอบความคิดของพวกมึง ไป ๆ ไปเชิญขุนนางต่าง ๆ มาเข้าเฝ้ากูในท้องพระโรง และบอกพ่อดอกมะเดื่อน้องกูด้วยว่ากูรอฟังรายงานศึกที่ท้องพระโรง”
               เมื่อพระเจ้าอุทุมพรเสด็จเข้าพบพระเจ้าเอกทัศที่ท้องพระโรงก็ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าเอกทัศประทับอยู่บนพระที่นั่ง สองมือถือพระแสงขรรค์ชัยศรี ซึ่งเป็นการแสดงออกมาว่าตนนั้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา
              “แค่หม่อนฉันเข้ามารายงานการศึก ไม่ถึงกับต้องแสดงพระเดชขนาดนี้ก็ได้นะเกล้านะกระหม่อม การศึกครั้งนี้กษัตริย์ของพม่าบาดเจ็บสาหัส ถ้าไม่สวรรคตที่เขตกรุงศรีของเราก็คงกลับไปสวรรคตที่เขตอาณาจักรมันเป็นแน่แท้ เป็นเหตุให้กรุงศรีของเราน่าจะสงบร่มเย็น ปราศจากข้าศึกไปอีกหลายเพลา ด้วยเหตุนี้น้องจึงคิดว่าเป็นเวลาอันสมควรที่หม่อนฉันจะออกผนวชอีกครั้งนะเกล้านะกระหม่อน” พระเจ้าอุทุมพรเห็นท่าทีของพระเชษฐาก็เข้าใจเจตนาโดยแจ่มแจ้ง ด้วยเสียกำลังพลให้ศัตรูไม่มาก พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้มาเสียกำลังพลให้กันเองอีก ถึงใช้วิธีออกผนวชเช่นเดียวกับครั้งแรก
              “การอยู่ในร่มกาสาวพักตร์ถือเป็นกุศลสูงสุด ถ้าน้องอยากออกผนวชพี่ก็คงไม่กล้าห้าม” พระเจ้าเอกทัศตอบรับด้วยรอยยิ้มพึงพอพระทัย
              เมื่อได้ฟังดังนั้นพระเจ้าอุทุมพรก็กราบบังคมทูลลาพร้อมเสร็จออกจากตำหนัก และทรงออกผนวชที่วัดประดู่ทรงธรรมที่เดิมที่พระองค์เคยผนวชเมื่อครั้งก่อน แต่การออกผนวชครั้งนี้นั้นสร้างความไม่พอใจกับหลายฝ่ายมากขึ้น ทั้งชาวบ้านและขุนนางต่างเห็นพระปรีชาสามารถและพระราชกรณียากิจที่พระองค์พึ่งทรงสร้าง แต่ด้วยเป็นชาวบ้านและขุนนางยศน้อยจึงไม่อาจทำอะไรได้มาก ได้แต่เก็บความไม่พอใจไว้ในใจ ส่วนขุนนางที่ทำคุณในการศึกครั้งนี้ที่แต่ก่อนเคยเป็นกบฏแผ่นดินก็ได้รับการอภัยโทษหลังเสร็จศึก แต่ด้วยไม่แน่ใจว่าวันข้างหน้าจะไม่ได้รับโทษอีกเช่นอดีตอีกจึงตัดสินใจลาออกจากราชการกันทุกคน

               “พี่ทับจ๊ะ ทราบข่าวพระเจ้าอุทุมพรรึยังจ๊ะ”
               “พี่ทราบตั้งแต่เช้าแล้วเรือง พี่กับพี่ด้วงยังไปตักบาตรกับพระองค์เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้เจ้าคุณพ่ออยู่เลยเมื่อเช้า”
               “อะไรกันจ๊ะ แล้วทำไมพี่ทับไม่มาตามฉันละ ตัวฉันเองก็อยากทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้พระยาสุรศักดิ์มนตรีเช่นกัน ถึงแม้ว่าฉันจะเชื่อว่าพระยาท่านต้องได้ไปภพภูมิที่ดีแน่ เนื่องจากท่านตายเพื่อปกป้องแผ่นดิน”
               “แต่เจ้าก็ยังอยากทำบุญกับพี่เนื่องด้วยเชื่อว่าทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน หน้าชาติเจ้ากับพี่จะได้เกิดมารักกันอีกใช่รึไม่” ขุนทับมองเรืองตาหวาน
              “ไม่ใช่เสียหน่อย คนอะไรยิ่งรู้จักยิ่งหลงตัวเอง แล้วอีกอย่างเราคุยกันเรื่องพระเจ้าอุทุมพรกันอยู่นะจ๊ะพี่ทัพอย่าเปลี่ยนเรื่องสิ พี่ทับทราบข่าวได้อย่างไรว่าพระองค์ทรงออกผนวช”
              “เพราะเจ้าไม่ได้เข้าวังในวันนั้นดอกถึงไม่รู้ พระเจ้าเอกทัศทรงแสดงพระราชอำนาจต่อหน้าพระเจ้าอุทุมพรกับขุนนางน้อยใหญ่ว่าพระองค์นั้นทรงเป็นพระมหากษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว”
              “น่าโมโหเสียจริงนะจ๊ะ พระเจ้าอุทุมพรอุตส่าห์สึกออกมาช่วงปกป้องบ้านเมือง บุญคุณรึก็มากมี อะไรกันพอพวกไอม่านยกทับกลับไปไม่ทันไรก็แสดงพระราชอำนาจบีบให้พระองค์กลับไปออกผนวชอีกคราว อย่างนี้ถ้ามีศึกอีกครั้งเกรงว่าพระองค์จะไม่สึกออกมาช่วยแล้วก็เป็นได้ ที่นี้แหละบ้านเมืองได้วอดวายเป็นแน่”
              “พี่ก็กังวลเรื่องนี้เช่นกัน เห็นพระองค์พระทัยดีอย่างนั้น แต่เวลาตัดสินใจอะไรไปแล้วไม่เคยเปลี่ยนพระทัยเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ถึงอย่างนั้นกษัตริย์ไอม่านมันมาตายแบบนี้เห็นทีว่าพวกมันคงไม่ยกทัพมาตีกรุงศรีของเราไปอีกนาน ถ้านานเกิน 150 ปี แบบเมื่อครั้งพระองค์ดำก็ยิ่งดี”
      “บ้านเมืองของเราจะได้สงบร่มเย็นไปอีกนานแสนนาน” เรืองยิ้มอย่างดีใจ สงครามที่ผ่านมาฆ่าชีวิตผู้คนไปมากเหลือเกิน ต่อไปจะไม่มีอีกแล้วเหตุการณ์แบบนี้
      
      “บ้านเมืองก็สงบสุขมา 2 ปีแล้วนะขุนทับ หลานไม่คิดที่จะออกเรือนบ้างรึ” คุณย่าใหญ่ถามขึ้นมาวันหนึ่งหลังที่เชิญครอบครัวหลวงด้วงมาทานอาหารที่บ้าน “อายุก็ 32 ปีแล้ว ย่าว่าเป็นเวลาที่สมควรต่อการออกเรือนได้แล้ว กับพ่อเดือนนี้ย่าถามจนขี้เกียจถามแล้ว แต่ขุนทับเล่ามีนางในใจรึยัง ย่าจะได้เป็นผู้ใหญ่ไปสู่ขอให้แทนท่านเจ้าคุณที่สิ้น”
      “กระผมยังไม่มีนางใจดวงใจเลยขอรับคุณย่าใหญ่ แล้วอีกอย่างถึงกรุงศรีของเราจะเว้นว่างจากการศึกมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ขุนนางทุกฝ่ายก็กำลังซ่อมแซมสิ่งต่าง ๆ ที่เสียไปเมื่อครั้งสงคราม กระผมว่ารอเวลาอีกปีสองปีก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องแต่งงานน่าจะดีกว่า” ขุนทับรีบหาเหตุผลมาอ้างเพื่อให้ตนรอดจากเรื่องนี้
      “ท่านเจ้าคุณท่านมีลูกแค่สองคน หลวงด้วงนั้นก็สบายแต่งงานมีลูกแล้ว เหลือก็แต่ขุนทับถ้าพ่อแต่งงานย่าว่าท่านเจ้าคุณที่สิ้นคงหมดห่วง” คุณย่าใหญ่เองก็พยายามหาเหตุผลมาพูดหักล้างเหตุผลของขุนทับเช่นกัน
      “แต่ฉันเข้าใจขุนทัพนะจ๊ะคุณย่า ลูกผู้ชายอย่างไรเสียก็เห็นงานสำคัญ ยิ่งยังไม่เจอผู้หญิงที่ถูกใจด้วยแล้วยิ่งเห็นงานสำคัญมากเข้าไปใหญ่ แต่อย่าได้กังวลไปไม่ว่าจะฉันหรือขุนทับถ้าเจอผู้หญิงที่ถูกใจจะรีบวิ่งมาหาคุณย่าให้ไปสู่ขอโดยเร็ววันเลย จริงรึไม่ขุนทับ”
      “จริงสิ” ถึงจะแปลกใจที่เดือนช่วยพูดให้แทนที่จะสนับสนุนเพราะ ถ้าตนออกเรือนไปจริง ๆ เดือนคงรู้สึกว่าได้น้องชายกลับคืนไป
      “จริง ๆ พี่ทับมีคนที่รักอยู่แล้วนะจ๊ะคุณย่า แต่เสียไปเมื่อครั้งสงครามกับไอพวกม่าน” อยู่ดี ๆ เรืองก็พูดออกมา
      “ตายจริง! เสียทั้งพ่อทั้งคนรักไปในเวลาเดียวกันอย่างนี้คงเสียใจแย่เลยสินะพ่อคุณของย่า อย่างนั้นเรื่องแต่งงานนี้ก็ปล่อยมันไปก่อนแล้วกัน แล้วไม่บอกย่าแต่ตั้งแต่แรกย่าจะได้ไม่ถามให้กระทบกระเทือนจิตใจ”
      “เพราะอย่างนี้ฉันจึงให้พี่ทับมานอนกับฉันบ่อย ๆ อย่างไรละจ๊ะ ฉันไม่อยากให้พี่ทับอยู่คนเดียว” เมื่อได้โอกาสเรืองรีบกล่าวต่อ
      “ย่าเห็นดีด้วย ขุนทับมานอนกับน้องได้ทุกเมื่อเลยนะ”
      “เออ คือว่า โอ้ย” ขุนทับจะแย้งว่าตนยังไม่มีคนรักเพราะ ไม่อยากให้เรืองต้องโกหกคุณย่าด้วยเรื่องของตน แต่โดนเดือนหยิกเสียก่อนจะได้กล่าวอะไรออกมา
      “โดนมดกัดรึพ่อทับ ไปอาบน้ำแล้วทายานอนเสีย นี่ก็คุยกันมานานแล้ว ประเดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปราชการสาย แล้วคืนนี้ก็นอนที่นี่แล้วกันให้เรืองอยู่เป็นเพื่อน” เดือนแก้ตัวโดยทันที แถมยังรีบไล่ให้ไปเรือนริมน้ำอีกด้วย
      “นั้นสิจ๊ะ เราไปเรือนริมน้ำกันเถอะ” เรืองเองก็รู้ว่าขุนทับจะพูดอะไร เมื่อเห็นเดือนช่วยเลี่ยงให้ก็รีบพาขุนทับไปเรือนริมน้ำในทันที

      เมื่อมาถึงเรือนริมน้ำขุนทับก็เอ่ยปากถามเรือนถึงเรื่องคนรักของตน “อะไรกันเรือง พี่ไปมีคนรักตั้งแต่เมื่อไรกันทำไมตัวพี่เองถึงยังไม่รู้”
      “ก็ฉันอย่างไรละจ๊ะคนรักพี่ทับรึพี่ทับจะว่าไม่จริง” เรืองเล่นลิ้นไม่ยอมบอก
      “อย่ามาเล่นลิ้นกับพี่นะพ่อตัวดี มีรึเจ้าจะไม่รู้ว่าพี่ถามถึงใคร พี่หมายถึงคนรักที่ตายไปตอนสงครามดอก” ขุนทับหมั่นเขี้ยวน้องไม่น้อย แต่อยากรู้คำตอบมากว่าจึงกะว่าจะจัดการหลังรู้ความ “โกหกผู้ใหญ่บาปกรรมหนักนะพ่อ พี่ไม่อยากเป็นคนที่ทำให้เจ้ามีบาปนั้น”
      “จะบาปได้อย่างไรฉันไม่ได้พูดอะไรผิดความจริงไปเลย ฉันไม่ได้พูดด้วยว่าพี่ทับมีคนรัก ฉันพูดว่าคนที่พี่ทัพรักเสียเมื่อตอนสงคราม ก็พระยาสุรศักดิ์มนตรีอย่างไรเล่าคนที่พี่ทัพรักที่เสียตอนสงคราม ทุกคนไปเปลี่ยนคำพูดฉันใหม่หมด ฉันไม่ผิดเสียหน่อย รึพี่ทับจะโกรธที่ฉันอ้างท่านเจ้าคุณที่สิ้นมาพูดทำนองนี้” เรืองแก้ตัวให้ตนเอง
      “พี่จะโกรธเจ้าได้อย่างไร เจ้าทำทั้งหมดก็เพื่อพี่ อีกอย่างเจ้าคุณพ่อท่านก็สิ้นมาได้ 2 ปีแล้ว พี่พอจะทำใจได้แล้ว อย่างน้อยท่านก็ตายเพื่อแผ่นดินพี่ควรจะภูมิใจเสียด้วยซ้ำไป แต่เจ้านี่นะเล่นลิ้นเสียจริง พี่มองผิดไปไม่น่าให้เจ้ามาเป็นทหารแบบพี่เลย เจ้าน่าจะไปเป็นทนายว่าความน่าจะดีเสียกว่า”
      “ไม่เอาดอก ถ้าฉันไปเป็นขุนนางด้านทนายว่าความจริงคงนาน ๆ ทีฉันถึงจะได้พบพี่ทับเป็นแน่”
      “จริงสิ เมื่อคุณย่าพูดเมื่อครู่นี้ อันที่จริงพี่ก็อยากแต่งงานเหมือนกันนะ เรืองเจ้าจะแต่งงานกับพี่ได้รึไม่ ถึงพี่จะพาผู้ใหญ่มาสู่ขอไม่ได้ หรือจัดงานแต่งให้คนทั่วไปรู้ไม่ได้ว่าเรารักกัน แต่พี่ก็ยังอยากขอเจ้าแต่งงาน ขอทำพิธีบางส่วนที่เรายังพอทำด้วยกันได้ เจ้าจะแต่งกันพี่ได้รึไม่คนดีคนเดียวของพี่” หลังจากไตร่ตรองมาหลายครั้งขุนทับก็คิดว่าตนสมควรกล่าวคำนี้กับเรือง ยิ่งคุณย่าใหญ่พูดว่าอายุตนเองสมควรจะแต่งงานแล้วจึงถือโอกาสนี้ขอเรืองแต่งงานเสียเลย
      “พี่ทับ” เรืองถึงกับน้ำตาไหลเนื่องจากไม่คิดมาชีวิตนี้ตนนั้นจะมีโอกาสได้ยินคำนี้จากผู้ชายตรงนี้ ความรักแบบนี้มันผิดจารีต ประเพณี จะเอาไปบอกใครก็ทำไม่ได้แม้แต่คนในครอบครัว “แค่พี่ทับพูดประโยคนี้ฉันก็ดีใจมากพอแล้ว ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นดอกจ้ะ แค่นี้ก็พอแล้วจริง ๆ”
      “จะพอได้อย่างไร วันพรุ่งนี้พี่จะไปวัดขอฤกษ์แต่งงาน เมื่อถึงวันแต่งตอนเช้าเราจะตื่นมาตักบาตรร่วมกัน แล้วก็....” ขุนทับมองเรืองตาหวานเชื่อม
      “แล้วก็อะไรจ๊ะ ทำไมมองฉันอย่างนั้นเล่า บอกฉันมาเดี๋ยวนี้เลยนะแล้วก็อะไร”
      “แล้วก็เข้าหออย่างไรเล่า” ขุนทับตอบ
      “คนบ้า พี่ทับคนบ้า พูดอะไรก็ไม่รู้” เรืองเขินหน้าแดงไปถึงหู
      “แล้วเจ้าตกลงจะแต่งงานกับพี่รึไม่ละ” ขุนทับถามซ้ำเพราะ อยากได้คำตอบ
      เรืองพยักหน้ารับ แล้วก้มหน้ามองพื้นไม่กล้าสบตาด้วยยังเขินอยู่
      “พยักหน้าคืออะไร พี่ไม่เข้าใจดอก อีกอย่างพี่อ่านใจเจ้าไม่ได้ ดังนั้นเจ้าต้องพูดออกมา ว่าอย่างไรจะแต่งงานกับพี่ได้รึไม่คนดี ไหนมองหน้าพี่แล้วตอบให้พี่ชื่นใจหน่อย” พร้อมใช้มือเชยคางเรืองขึ้นมา
      “ตะ ตะ ตกลงจ้ะ ฉันจะแต่งงานกับพี่ทับ” กล่าวจบเรืองก็กระโดดขึ้นเตียงแล้วห่มผ้าปิดหน้าแดงขอตนทันที “ฉันจะนอนแล้วนะ พี่ทับดับไฟได้แล้ว”
      “รับทราบขอรับคุณหนูน้อย” ขุนทับเดินไปดับไฟก่อนขึ้นนอนบนเตียง พร้อมกอดเรืองให้เข้ามาอยู่ใกล้ตน ทั้งสองฟังเสียงหายใจของฉันและกันจนหลับไป

ตอนหน้าเขาจะแต่งงานกันแล้วจ้าาาาาาาาาาาาาาาาา  :hao7: :-[
เพจเราเอง https://www.facebook.com/tipin1994/
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่14 (30/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 01-07-2017 15:16:44
รออออวันแต่งงาน :mew1:
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่14 (30/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 01-07-2017 19:55:20
มาเจิมไว้ก่อนนะ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่14 (30/06/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 02-07-2017 09:36:08
หูยยยยย อิจฉาตาร้อนเลยเรา
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่15 (8/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 08-07-2017 18:55:02
ตอนที่ 15 แต่งงาน
      รุ่งขึ้นขุนทับตื่นแต่เช้าด้วยวันนี้ไม่ต้องเข้าวังไปราชการถึงเดินทางไปวัดสุวรรณเพื่อให้พระอาจารย์ช่วยดูฤกษ์งามยามดีเฉพาะสำหรับแต่งงานให้ตนกับเรือง
      “นมัสการขอรับพระคุณเจ้า กระผมมีธุระอยากให้พระคุณเจ้าช่วยดูฤกษ์แต่งงานให้กระผมหน่อย”
      “พ่อทับเอ็งจะแต่งงานแล้วรึ แต่งกับใครเล่าเอาคนรักเอ็งมาให้อาตมารู้จักบ้างสิ ถ้าพ่อเจ้ายังอยู่คงดีใจที่ลูกชายคนเล็กจะมีคนดูแลแล้ว” พระคุณเจ้าดีใจเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากตนนั้นเป็นอาจารย์สอนสั่งหนังสือหนังหาให้ขุนทับมาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก จึงเห็นขุนทับเป็นเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง
      “เออคือ” ขุนทับไม่กล้าโกหกพระสงฆ์ แต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่าตนจะแต่งงานกับใคร ส่วนที่ตนเลือกมาดูฤกษ์กับพระอาจารย์ที่นี้เพราะ อย่างน้อยก็อยากให้คนที่ตนเองเคารพรักสักคนรู้ว่าตนกำลังจะแต่งงานกำลังจะมีความสุข
      “ไม่บอกก็ไม่ต้องบอกไม่เป็นไร มา ๆ เอาวันเกิดของพวกเจ้าทั้งสองมาให้อาตมาดูเถอะ” พระคุณเจ้าไม่คิดจะซักไซ้กับขุนทับมากนัก เนื่องจากเคยดูดวงให้ขุนทับมาตั้งแต่ครั้งยังเด็กว่าดวงความรักของขุนทับนั้นแปลกประหลาดจากคนทั่วไปเป็นรักที่ไม่อาจเปิดเผยให้ใครรับรู้ได้ แต่ไม่ได้ผิดศีลธรรมพื้นฐานคือแอบเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน “เออ ดวงเอ็งกับคู่เอ็งนี่ดีนะเป็นดวงที่เกื้อหนุนกัน ช่วยกันให้เจริญ ๆ ยิ่งขึ้นไป มาตั้งแต่ครั้งยังเล็กยังน้อยไม่เคยห่างกันเลยนิ แต่น่าเสียดายดวงแบบนี้มันมีข้อเสียที่น่ากลัวเชียวละคือเมื่อมีเหตุร้ายใหญ่โตอย่าได้ห่างกันโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคนใดคนหนึ่งจะต้องเลือดตกยางออก อย่างน้อยอาจแค่เจ็บตัว แต่ถ้าช่วงนั้นเป็นช่วงดวงตกละถึงตายได้ ที่อาตมาเตือนก็เพราะรักเพราะห่วงดอกนะพ่อ อาตมารักพ่อเหมือนลูกแท้ ๆ ของอาตมาเลย”
      “มีวิธีแก้รึไม่ขอรับพระคุณเจ้า” ขุนทับถามด้วยความเป็นกังวลอย่างมากยิ่งนึกไปถึงเมื่อครั้งที่ทั้งคู่ออกศึกครั้งที่แล้วเมื่อตนกับเรืองพลัดหลงจากกันเรืองก็ได้แผลกลับมา ส่วนครั้งต่อมาตนก็ได้แผลถึงจะไม่ได้บาดเจ็บมากเท่าเรืองก็เถอะ
      “เจ้าทับเอ๋ย อาตมาเคยสอนว่าอย่างไร ชะตาฟ้ารู้ไว้ให้ระวังตัวไม่ใช่ให้เครียดจนหวาดระแวง เมื่อรู้ดวงของตนแล้วเจ้ากับคู่ก็ต้องระวังตัวกันมากขึ้น เข้าใจอาตมารึไม่ ส่วนฤกษ์แต่งอีก 8 วันข้างหน้าเป็นฤกษ์ที่ดีที่สุด ถ้าเจ้าเตรียมงานทัน”
      “เข้าใจขอรับพระคุณเจ้า ส่วนเรื่องเตรียมงานนั้นไม่มีปัญหากระผมคุยกันว่าจะแต่งกันแบบเล็ก ๆ แต่กระผมขออย่างหนึ่งนะขอรับพระคุณเจ้าอย่าไปบอกคนอื่นได้รึไม่ว่าขอรับกระผมจะแต่งงาน”
      “อาตมาไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกอยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลไป”
      “อย่างนั้นกระผมขอลาไปบอกคนรักก่อนนะขอรับ จะได้ช่วยกันเตรียมงานได้ทัน”
      “เรืองพี่ไปคุยกับพระคุณเจ้าวัดสุวรรณให้ช่วยดูฤกษ์แต่งงานเราแล้วนะ” ขุนทับบอกเรืองทันทีเมื่อพบหน้า
      “แล้วพระคุณเจ้าท่านว่าอย่างไรบ้าง ท่านสงสัยรึไม่ว่าพี่จะแต่งงานกับใคร แล้ว....”
      “หยุดก่อนคนดี ฟังพี่นะพระคุณเจ้าท่านก็ถามด้วยพี่เคยเป็นศิษย์ แต่เมื่อพี่ไม่สามารถตอบได้ท่านก็ไม่ได้ว่าแต่อย่างใด ฤกษ์แต่งของเราคืออีก 8 วันข้างหน้า พระคุณเจ้ายังบอกอีกว่าดวงของเราทั้งสองเกื้อหนุนกันเป็นอย่างดี แต่ไม่ควรแยกจากกันเพราะ คนใดคนหนึ่งอาจบาดเจ็บได้” ขุนทับไม่กล้าบอกว่าอาจถึงตายเพราะ คิดว่าคงไม่มีอะไรทำให้ทั้งคู่ต้องห่างกันอีกแล้ว ด้วยสงครามก็จบสิ้นไปได้ 2 ปีแล้ว
      “อีกแค่ 8 วันเองรึจ๊ะ ไวเสียจริง แล้วฉันต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างจ๊ะ” เรืองนั้นตื่นเต้นเป็นอย่างมากถึงจะบอกใครไม่ได้รู้กันแค่สองคน แต่ก็ยังดีใจที่อย่างน้อยก็จะได้แต่งงานกับคนที่ตนเองรัก
      “พี่คิดว่าเราคงทำได้แต่ตักบาตรตอนเช้าเพราะ พิธีกรรมอื่น ๆ คงไม่สามารถทำได้ เจ้าพอใจรึไม่” ขุนทับถามเพราะ ถ้าเรืองต้องการมากกว่านี้ตนก็จะพยายามหาวิธีทำให้จนได้
      “พอแล้วจ้ะ สำหรับฉันแค่พี่ทับขอฉันแต่งงานฉันก็พอใจแล้ว” แค่นี้ก็มากกว่าที่หวังไว้แล้วสำหรับเรือง
      “มีอีกเรื่องตามความเชื่อแล้วคนจะแต่งงานห้ามเจอหน้ากัน 7 หรือ 3 วัน แต่เราทั้งสองคงทำไม่ได้เพราะ ถึงไม่เจอกันที่บ้านก็ยังต้องเจอกันในวังอยู่ดี พี่ไม่ถือเรื่องนี้ เจ้าถือหรือไม่”
      “ไม่จ้ะฉันไม่ถือ อีกอย่างถ้าไม่เจอกันแค่ 2 วันคนอื่นก็คงสงสัยว่าเราทะเลาะกันเป็นแน่ ดังนั้นอย่าทำเลยจะดีกว่า” ทั้งสองเลยได้ข้อสรุปว่าเจอกันทุกวันเหมือนเดิมดีแล้ว

      ก่อนถึงวันแต่งหนึ่งวัน เรืองก็บอกกับคุณย่าว่าตนกับขุนทับจะตักบาตรด้วยในเช้าวันพรุ่งนี้ ใจจริงทั้งสองอยากตักบาตรกันแค่สองคนตามธรรมเนียมประเพณี แต่ก็กลัวเป็นที่สงสัยเนื่องผู้ชายสองคนตักบาตรรวมขันเดียวกัน พระสงฆ์องค์เจ้าท่านคงไม่พูดว่าอะไร แต่คนอื่นที่เห็นคงนินทาเป็นแน่
      “ฉันว่าพรุ่งนี้ถ้าเจ้าเรืองกับขุนทับอยากตักบาตร คุณย่าไม่ต้องไปก็ได้นะจ๊ะ ฉันได้ยินเสียงคุณย่าไอมาหลายวันแล้ว อย่าคิดว่าจะปิดฉันได้เชียว” เดือนพูดขึ้นหลังคุณย่าอนุญาตให้เรืองกับขุนทับไปตักบาตรด้วย
      “คุณแม่ไม่สบายรึจ๊ะ แล้วทำไมไม่บอกลูก พรุ่งนี้ให้บ่าวไพร่ในเรือนทำอาหาร แล้วให้เจ้าเรืองกับขุนทับไปตักบาตร ส่วนคุณแม่นอนหลับพักผ่อนให้มาก ๆ ถือว่าลูกขอนะขอรับลูกเป็นห่วง ส่วนพวกเอ็งถือว่าข้าสั่งอย่าให้แม่ข้าลุกมาทำอะไรเด็ดขาด” นายช่างชิดห้ามปรามด้วยรู้ดีว่าเมื่อป่วยคุณแม่ของตนนั้นจะหายจากโรคยากเพียงใด
      “พูดกันอย่างนี้จะให้แม่ ให้ย่าแก่ ๆ คนนี้ตอบว่าอย่างไร นอกจากได้” คุณย่าใหญ่นั้นไม่อยากดื้อมากด้วยรู้ว่าที่ลูกหลานทำไปทั้งหมดก็เพราะ เป็นห่วง
      เรืองเก็บว่าความดีใจไว้แทบไม่มิด นอกจากจะได้ตักบาตรกับพี่ทับแค่สองคนแล้ว คนอื่นก็ไม่สงสัยด้วย เห็นทีตอนไปราชการขากลับต้องหาซื้ออะไรมาฝากพี่เดือนสักหน่อยแล้ว ถึงจะไม่รู้เรื่องก็ถือว่าช่วยได้มากจริง ๆ
      “หลังทานอาหารเสร็จมาหาพี่ก่อนนะ พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” เดือนหันมากระซิบบอกเรืองระหว่างทานอาหาร
      “มีอะไรรึจ๊ะ วันนี้พี่ทับมานอนที่เรือนริมน้ำ เห็นว่ามีราชการจะปรึกษา”
      “ประเดี๋ยวดอกน่า พี่ไม่ทำให้พี่ทับของเจ้ารอนานดอก น่าอิจฉาเสียจริงพี่พลาดไปตอนไหนนะ เจ้าถึงติดคนอื่นมากกว่าพี่ชายแท้ ๆ คนนี้”
      “โธ่! อย่างอนสิจ๊ะพี่ชายคนดีของน้อง น้องรักพี่เดือนยิ่งกว่าใคร” ไม่พูดเปล่าเรืองกอดแขนพี่เดือน พร้อมเอาหัวพิงกับแขนด้วย
      “กระซิบกระซาบกันตอนกินอาหารไม่พอ ยังมากอดกันไม่อายบ่าวไพร่มันอีก โตเป็นหนุ่ม ๆ กันแล้วไม่ใช่เด็ก ๆ นะ เจ้าเดือน เจ้าเรือง แล้วนี่ถ้าจะกระซิบกันดังขนาดนี้ไปพูดกันในห้องเถอะ” คุณย่าใหญ่พูด
      “อย่างนั้นเรืองตามพี่เข้าห้อง” กล่าวแล้วเดือนก็จูงมือน้องชายเข้าห้องของตน
      “มีอะไรรึจ๊ะ พูดตอนทานอาหารก็ไม่ได้ แถมยังต้องปิดห้องอย่างกับกลัวใครจะมาได้ยินเสียอย่างนั้น”
      “เรื่องสำคัญวันพรุ่งตอนเจ้าใส่บาตรกับไอขุนทับมัน มือของเจ้าต้องอยู่ตรงยอดทัพพีเข้าใจพี่รึไม่”
      “ไม่เข้าใจจ้ะ ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วย ฉันคิดว่าฉันจับแค่ปลายเสื้อพี่ทับก็น่าจะพอแล้ว” เรืองสงสัย
      “ไอขุนทับไม่ยอมให้เจ้าจับแค่ปลายเสื้อเป็นแน่ มันต้องให้เจ้าจับทัพพีเดียวกับมันหรือไม่ก็สลับกันตักคนละทัพพี ดังนั้นถ้ามันให้จับทัพพีเดียวกันเจ้าต้องวางมือของเจ้าอยู่เหนือมือของมันเข้าใจรึไม่”
      “เข้าใจจ้ะ” ถึงจะไม่เข้าใจ แต่เรืองก็รับปากไปก่อนแล้วค่อยไปถามพี่ทับเอาก็ได้ว่าทำไม เพราะดูจากท่าทีแล้วพี่เดือนไม่มีทางบอกตนแน่
      
      “ทำไมมาช้าจังเลยเล่าวันนี้” เมื่อเรืองมาถึงเรือนริมน้ำขุนทับก็ถามขึ้น
      “พี่เดือนเรียกเข้าไปคุยจ้ะ วันพรุ่งคุณย่าไม่ไปตักบาตรกับเราสองคนนะจ๊ะ พี่เดือนเห็นว่าคุณย่าท่านไม่สบายเลยให้เราไปตักบาตรกันแค่สองคน”
      “อย่างนั้นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่เลยสิ เหมือนกับเราทำได้ทำพิธีแต่งงานแบบถูกต้องควรถ้วนแถมยังไม่มีคนสงสัยอีกด้วย”
      “เออพี่ทับจ๊ะ ทำไมตอนตักบาตรมือของฉันต้องอยู่บนยอดทัพพีด้วยละจ๊ะ ฉันสงสัย”
      “ใครบอกเจ้าเรื่องนี้มา” ขุนทับทั้งแปลกใจและตกใจเพราะ ไม่คิดว่าเรืองจะไปหาเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อแบบนี้ ดังนั้นต้องมีคนมาบอกเรืองเป็นแน่
      “ทำไมรึจ๊ะ มันมีปัญหาอะไรทำไมพี่ทับต้องตกใจขนานนี้ด้วย คือที่ฉันมาช้าก็เพราะ พี่เดือนเรียกฉันไปคุยเรื่องนี้ละจ้ะ บอกว่าวันพรุ่งนี้ให้ตักบาตรแบบนี้หรือไม่ก็สลับตักกันคนละทัพพี”
      “คือมันเป็นความเชื่อมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วว่าเมื่อแต่งงานมือของใครที่อยู่ยอดทัพพีคนนั้นจะเป็นผู้ปกครองบ้านหรือเป็นผู้นำ ส่วนมากไม่ค่อยมีผู้หญิงคนไหนได้รับอนุญาตให้ทำแบบนี้ดอก นอกจากเป็นครอบครัวใหญ่มีบ่าวไพร่เยอะแล้วต้องการให้ผู้หญิงคุมบ่าวไพร่ในบ้านได้ แต่ความเชื่อนี้มันเป็นความเชื่อวันแต่งงานทำไมเดือนถึงพูดกับเจ้าอย่างนั้นเล่า” ขุนทับเป็นกังวลเพราะช่วงหลัง ๆ มานี้เดือนชอบทำตัวหรือพูดจาแปลก ๆ
      “หรือว่าพี่เดือนจะรู้เรื่องของเรา ทำอย่างไรดีละจ๊ะที่นี้” เรืองเป็นกังวลตามไปด้วย
      “อย่าพึ่งคิดมากถ้าเดือนยังไม่พูดอะไรออกมาตรง ๆ น่าจะไม่มีปัญหาอะไรเพราะ เดือนเองก็คงไม่เอาเรื่องนี้ไม่บอกคนอื่นเป็นแน่” ขุนทับปลอบน้องให้คลายกังวล แล้วคิดว่าตนคงต้องหาเวลาไปคุยกับเดือนแบบจริงจังสักครั้งถึงเรื่องนี้เพราะตนเองก็คิดเหมือนเรืองว่าเดือนต้องรู้ความสัมพันธ์กับตนกับเรืองไม่มากก็น้อยเป็นแน่ “ตอนนี้นอนก่อนดีกว่าพรุ่งนี้เราต้องตื่นไปตักบาตรกันแต่เช้า”

      เรืองตื่นตั้งแต่ยามสาม*ด้วยความตื่นเต้นทำให้นอนหลับไม่สนิท อีกไม่นานตนกับขุนทับก็จะแต่งงานกันแล้ว ต่อไปตนควรทำตัวอย่างไรให้สมกับการเป็นคู่แต่งงานดี เรื่องการดูแลบ้านเรือนกับตุงหาอาหารเกรงว่าคงทำไม่ได้เพราะ ตนไม่เคยทำมาก่อน แล้วที่นี่ตนควรทำอะไรดีให้ขุนทับมีความสุขและรู้สึกว่าตัดสินใจถูกแล้วที่แต่งงานกับตน
      “ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับรึเรือง” ขุนทับถามขึ้น
      “ฉันทำให้พี่ทับตื่นรึจ๊ะ ขอโทษด้วยฉันตื่นเต้นจนนอนไม่หลับจริง ๆ” เรืองตอบเขิน ๆ
      “เปล่าดอกพี่ก็นอนไม่หลับเหมือนกัน อีกไม่นานเราทั้งสองก็จะเหมือนคน ๆ เดียวกันแล้วนะ”
      “หลังแต่งงานฉันควรทำตัวอย่างไรให้สมกับการเป็นคู่ชีวิตพี่ทับดีจ๊ะ ฉันทำอาหารไม่เป็นด้วย การบ้านการเรือนฉันก็ไม่เคยทำ”
      “โธ่! คิดว่ากังวลเรื่องอะไร เรื่องแค่นี้เองพี่ไม่ได้หวังให้เจ้าต้องทำอาหารหรืองานบ้านงานเรือนอะไรดอก ทุกวันนี้เจ้าก็เป็นเหมือนคู่แต่งงานกับพี่อยู่แล้ว ไม่ว่าเวลาสุขหรือเวลาทุกข์เราทั้งสองต่างนำมาพูดคุยปรึกษากัน นี้ต่างหากสิ่งที่คู่ชีวิตสมควรทำจริง ๆ ดังนั้นเจ้าอย่าได้กังวลกับเรื่องอื่นไป นอนไม่หลับก็ไม่ต้องนอนเราคุยแบบนี้กันไปจนถึงเวลาตักบาตรก็ได้ อย่างไรเสียวันพรุ่งก็เป็นวันหยุด ถ้าเจ้าง่วงที่หลังค่อยหลับตอนบ่าย ๆ ก็ยังได้”

      พอถึงเวลาอันควรแล้วขุนทับกับเรืองก็อาบน้ำเตรียมตัวไปตักบาตร บ่าวไพร่ในเรือนต่างช่วยกันตระเตรียมอาหารสำหรับตักบาตรให้แล้ววางเตรียมไว้หน้าเรือนเพื่อรอเวลาพระภิกษุสงฆ์มาเดินบิณฑบาต
      “พวกเจ้าไม่ต้องรอดอก ไปทำงานอย่างอื่นเถอะหลังตักบาตรเสร็จฉันกับเรืองจะยกไปเก็บเอง” ขุนทับไม่อยากให้พวกบ่าวไพร่ในเรือนเห็นวิธีการตักบาตรของตน
      “ไม่เป็นไรขอรับกระผมอยู่ทำเองดีกว่า ประเดี๋ยวนายหญิงใหญ่รู้เข้าพวกกระผมจะโดนว่าเอาได้” บ่าวไพร่ไม่กล้าตอบตกลง
      “ไอดำ วันนี้มีเหล็กกล้าดีมาที่โรงตีดาบข้าว่าจะไปดูให้ตนเองกับเรืองสักหน่อย เอ็งไปกับข้าเถอะให้สองคนนี้เก็บของเองก็ได้ อย่างไรเสียวันนี้ทั้งคู่ก็ไม่ได้ไปราชการอยู่แล้ว อีกอย่างคุณย่าใหญ่คงยังไม่หาป่วยในวันสองวันนี้ พวกเจ้าทั้งสองตักบาตรเพิ่มอีกสักสองวันแล้วกันนะ คนที่เหลือแค่ตระเตรียมอาหารแล้วก็เก็บก็พอไม่ต้องมาดูตอนทั้งสองตักบาตรดอก ผู้ชายสองคนตักบาตรด้วยกันก็ดูแปลก ๆ แล้ว อย่ามามองกดดันให้ทั้งคู่รู้สึกแปลก ๆ ไปมากกว่านี้เลย” เดือนที่อยู่ ๆ ก็เดินมาพร้อมออกคำสั่งเสียยาว แล้วพาไอดำออกจากเรือนไป
      การพูดของเดือนยิ่งทำให้ขุนทับสงสัยมากเข้าไปอีกว่าเดือนต้องรู้เรื่องของตนกับเรืองเป็นแน่เพราะ การตักบาตรในวันแต่งงานนั้นอันที่จริงคงตักบาตรสามหรือห้าวัน
      “พี่ทับจ๊ะ พระมาแล้วจ๊ะ เชิญนิมนต์มาทางนี้ด้วยจ๊ะ”
      จริง ๆ แล้วขุนทับอยากให้เรืองกับตนนั้นตักบาตรทัพพีเดียวกันเสียด้วยซ้ำไปแต่ด้วยคิดว่าคงไม่เหมาะสมถึงต้องจำใจสลับตักบาตรคนละครั้งกับน้องแทนเพราะ การตักบาตรรูปแบบนี้ก็เป็นหนึ่งในการตักบาตรเมื่อแต่งงานเหมือนกัน
      “พิธีแต่งงานเราก็เสร็จสมบูรณ์กันแล้วนะจ๊ะ ฉันดีใจจริง ๆ” เรืองกล่าวเขิน ๆ หลังตักบาตรเสร็จ
      “ใครบอกพิธีของเรายังไม่จบสักหน่อย ถ้าให้จบอย่างสมบูรณ์ต้องคืนนี้ต่างหากละ”
      “คนบ้าพึ่งทำบุญมาแท้ ๆ คิดอกุศลอีกแล้วนะ” เรืองตบเข้าไปที่ไหล่ของขุนทับด้วยความเขิน
      ขุนทับเห็นท่าทีน้องอย่างนั้นก็หัวเราะชอบใจ ก่อนจูงมือเรืองเข้าเรือนเพื่อให้ได้นอนพักผ่อนเพิ่ม ส่วนเรืองเมื่อได้ตักบาตรก็คายความกังวลที่มี เมื่อหัวถึงหมอนก็นอนหลับสนิทในทันที
      
      เวลาวันนี้ผ่านไปไวยิ่งเพราะ หลังทานอาหารเย็นเสร็จก็เป็นเวลาที่ขุนทับรอคอย ขุนทับจึงรีบชวนเรืองกลับเรือนริมน้ำในทันทีโดยอ้างว่ามีเรื่องปรึกษากับเรือง
      “เมื่อเช้าก็ตื่นเช้าแล้วพรุ่งนี้ก็ต้องตื่นมาตักบาตรอีก คืนนี้เรารีบนอนกันไว ๆ ดีกว่านะจ๊ะพี่ทับ” เรืองหาเรื่องเพื่อยังไม่ต้องเข้าหออย่างแท้จริง
      “พี่รอมาตั้ง 8 วันแล้วนะอย่าให้พี่ต้องรออีกเลยนะคนดี อีกอย่างพี่เป็นคนพาเจ้าเข้านอนตอนกลางวันเองนะ อย่าคิดว่าพี่จะลืมสิ”
      “แต่ฉันกลัวนิจ๊ะเรายังไม่ทำกันวันนี้ไม่ได้รึจ๊ะ”
      “เจ้าไม่เชื่อใจพี่รึ ไม่ต้องกลัวดอกเราทั้งสองต้องผ่านคืนนี้ไปอย่างมีความสุขเป็นแน่ มีอะไรบ้างที่พี่ทำไม่ได้ ดังนั้นคืนเชื่อใจพี่นะคนดี” ว่าแล้วขุนทับก็บรรจงจูบที่ปากของเรืองก่อนจะไล่ลงมาที่ซอกคอ แล้วถอดเสื้อผ้าของตนและเรืองออกช้า ๆ สายตาจ้องสำรวจเรือนร่างเปลือยเปล่าตรงหน้า ก่อนก้มลงสัมผัสหัวนมสีน้ำตาลอ่อนตรงหน้าแล้วดูดเบา ๆ
      “อะ อื้อ พี่ทับจ๊ะฉันรู้สึกแปลก ๆ อย่างไรไม่รู้” เรืองรู้สึกร้อนไปทั้งตัวแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
      เมื่อได้ยินแทนที่จะหยุดขุนทับกลับดูดหนักขึ้นโดยดูดสลับไปทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ส่วนมือนั้นก็เลื่อนสัมผัสไปทุกส่วนของร่างกายจนมาหยุดอยู่ที่เรืองน้อย
      “อะ อ๊ะ ตรงนั้น อย่าหยุดนะจ๊ะพี่ทับ อ๊ะ อ๊ะ” เรืองรู้สึกดีจนเกร็งไปทุกส่วน เล็บจิกและข่วนไปทั่วทั้งหลังขุนทับ “ไม่ไหวแล้วพี่ทับจ้า ไวอีกหน่อยสิจ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ากกกกกกก” ในที่ส่วนเรืองก็ปลดปล่อยน้ำที่อยู่ในร่างกายออกมา พร้อมหอบหายใจถี่ ๆ
      “ของจริงมันต่อจากนี้ต่างหากละ” ว่าแล้วขุนทับก็สะโลมน้ำมันที่นิ้วของตนเองและรูเล็ก ๆ ของเรือง ก่อนสอดนิ้วใส่เข้าไปในรูนั้น
      “จะ เจ็บ ฉันเจ็บพี่ทับหยุดก่อนฉันไม่ไหวแล้ว” เรืองร้องลั่นพร้อมน้ำตาที่ไหลลงมา
      ขุนทับเองก็อยากจะหยุดให้น้องอยู่หรอกเมื่อเห็นน้ำตาใส ๆ นั้น แต่ร่างกายของตนเองก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน จึงก้มลงจูบซับน้ำตานั้นพร้อมกระซิบบอกว่า “ทนอีกนิดได้ไหมคนดีแล้วเราจะมีความสุขไปด้วยนะ แต่ถ้าเจ้าทนไม่ไหวจริง ๆ พี่หยุดให้ก็ได้นะ”
      “ไม่ ๆ อย่าหยุดนะพี่ทับ ฉันกับพี่ทับรอวันนี้มาตั้งนานแล้ว อีกแค่นิดเดียวเราก็จะมีความสุขกันแล้ว ฉันทนได้”
      ขุนทับได้ยินอย่างนั้นก็เพิ่มนิ้วเข้าไปมากขึ้นจากหนึ่งเป็นสองและสามตามระดับ แล้วค่อย ๆ ขยับจากช้า ๆ จนเร็วขึ้น “เป็นอยากไรดีขึ้นไหม พอไหวรึไม่ ถ้าไหวพี่จะเริ่มเอาจริงแล้วนะ” ขุนทับยิ้มเจ้าชู้ใส่
      “คนบ้า” เรืองเขินหน้าแดง ตัวแดง พร้อมพยักหน้าช้า ๆ
      เมื่อได้เห็นว่าเรืองอนุญาตขุนทับก็เอานิ้วของตนเองออก แล้วจับเรืองอ้าขาออกช้า ๆ แทนพร้อมแทรกตัวเข้าไปอยู่ระหว่างขานั้น มือใหญ่ประคองส่วนนั้นจ่อไปที่รูเล็กก่อนค่อย ๆ ใส่เข้าไปในรูนะ
      “อะ อ๊ะ พี่ทับ พี่ทับจ้า พี่ทับ” เรืองร้องพร้อมจิบแขนของขุนทับแน่น
      “ดีเหลือเกิน ข้างในเจ้าตอดรัดพี่แบบสุด ๆ ไปเลย อ๊าก พี่ทนไม่ไหวแล้ว” จากขยับช้า ๆ ขุนทับเริ่มขยับเร็วขึ้น เร็วขึ้น
      “อะ อะ อ๊ะๆๆๆๆๆ” เรืองร้องออกมาด้วยความเสี่ยว ยิ่งเสี่ยวมากเท่าไรเรืองก็ยิ่งตอดรัดขุนทับมากขึ้นเท่านั้น
      “ใจเย็น ๆ คนดีถ้าเจ้ายังตอดรัดแบบนี้ พี่จะเสร็จเอาได้นะ” ขุนทับพยายามห้ามตนเอง
      “ฉัน ฉัน อะ อะ ฉันก็ไม่ไหวแล้ว มันจะออกมาอีกแล้ว” ได้ยินอย่างนั้นขุนทับยิ่งเร่งความเร็วมากขึ้นจนในที่สุด
       “อ๊ากกกกกกกกกก” / “อ๊ากกกกกกกกก” ขุนทับปลดปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมาภายในตัวเรือง ส่วนเรืองก็ปลดปล่อยออกมาเต็มหน้าท้องตนเองและขุนทับ
      “พี่มีความสุขเหลือเกินคนดี” ขุนทับกล่าวพร้อมจุมพิตที่หน้าผากมน “ถ้าไม่ติดว่าวันพรุ่งนี้เราต้องใส่บาตรกันอีก อย่าหวังเลยว่าเจ้าจะได้นอน” แล้วโอบกอดเรือง
      เรืองเองก็รักสัมผัสที่อบอุ่นนี้ ขยับตัวให้อ้อมกอดขุนทับโอบล้อมตนได้ทั้งตัว แล้วทั้งสองก็นอนหลับไป

*ยามสามคือ เวลาหลังเที่ยงคืนถึงตีสาม ในสมัยก่อนคนไทยนับเวลาตอนกลางคืนเป็นยามโดยแบ่งเป็นสี่ยามเริ่มตั้งแต่ 6โมงเย็นถึง 6โมงเช้า โดยเวลาที่เรืองตื่นประมาณตีสาม

เน็ตแย่มากกว่าจะได้ TT เมื่อวานไปสัมภาษณ์งานกว่าจะถึงบ้านสลบเลยจ้าาาาาา
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่15 (8/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 08-07-2017 22:11:28
สู้ๆน้าคนเขียน

จุดพลุๆๆๆๆๆๆ เค้าได้กันแล้ว เรานี่ฟินเลยงานนี้
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่16 (14/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 14-07-2017 18:44:58
ตอนที่ 16 สหายคนสนิท
      หลังแต่งงานความรักของทั้งสองมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขุนทับสลับที่นอนระหว่างบ้านของตนเองกับเรือนริมน้ำของเรือง โดยอ้างเหตุผลว่าตนอยู่คนเดียวแล้วรู้สึกเหงาไม่มีคนพูดคุยปรึกษาด้วยเพราะ หลวงด้วงนั้นก็ต้องให้เวลากับภรรยาและลูก ๆ เมื่อได้ฟังเหตุผลคุณย่าใหญ่ก็เห็นด้วยเนื่องจากเรืองเองก็ขอย้ายไปอยู่ที่เรือนแพเป็นการถาวรเนื่องจากอยากได้ที่ที่เงียบสงบในการอ่านงานราชการ และเห็นว่าทั้งสองคนก็สนิทกันอาศัยอยู่ด้วยกันน่าจะช่วยกันปรึกษางานราชการได้ ความสงบสุขที่ชาวกรุงศรีทุกคนได้รับมีแต่เพิ่มขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน ยิ่งวันเวลาผ่านไปข่าวจากไอม่านเงียบหายยิ่งทำให้ชาวกรุงศรีทุกคนเชื่อว่าพวกไอม่านต้องไม่กลับมาอีกเป็นแน่ แต่น่าเสียดายที่ความสุขที่ทุกคนเชื่อว่าจะอยู่กับกรุงศรีตลอดไปกลับไม่เป็นจริงเพราะ หลังจากขุนทับแต่งงานกับเรืองได้สองปีข่าวจากฝั่งไอม่านก็กลับมาอีกครั้งโดยในครั้งนี้พระเจ้ามังลอกพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันของอังวะทรงสวรรคตเป็นเหตุให้พระเจ้ามังระพระอนุชาขึ้นครองราชย์ต่อ ปัญหาของกรุงศรีอยุธยาจึงกลับมาอีกครั้งเพราะ พระมหากษัตริย์พระองค์นี้มีความใฝ่หวังอยากเป็นพระเจ้าบุเรงนองที่สอง เป็นผู้ชนะสิบทิศที่ไม่ว่าจะไปรบที่ไหนก็ชนะ ยิ่งเป็นกรุงศรีที่เคยพลาดไปเมื่อครั้งที่แล้วยิ่งอยากได้เข้าไปใหญ่
      “เห็นทีจะแย่เสียแล้วแหละพ่อทับ พ่อเรือง สายข่าวเก่าของเจ้าคุณพ่อจากหัวเมืองชั้นนอกใกล้อาณาจักรไอม่านส่งข่าวมาว่าพระเจ้ามังระหลังครองราชย์ก็ทรงมีรับสั่งจะสืบทอดเจตนารมณ์ของพระราชบิดา เห็นทีว่าอีกไม่กี่เพลามันคงจัดทัพบุกกรุงศรีของเราเป็นแน่” หลวงด้วงเรียกขุนทับและเรืองมาปรึกษา
      “ไอพระเจ้ามังระมันคงแค้นใจมากเป็นแน่ที่พระราชบิดาของมันต้องมาตายที่เมืองเรา แถมตายในสภาพคนแพ้สงครามด้วย” เรืองออกความเห็น
      “ฉันเองก็พอได้ข่าวมาสักพักแล้วเหมือนกันขอรับคุณพี่ แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่แค่ศึกภายนอกนี้สิ ปัญหามันอยู่ที่ภายในด้วยต่างหาก” ขุนทับหน้าเครียด
      “ทำไมเกิดอะไรขึ้นในวังอย่างนั้นรึ ทำไมพี่ไม่เห็นรู้เรื่องเลยละ”
      “ไม่ใช่ในวังเกิดเรื่องดอกขอรับ แต่เป็นเรื่องไส้ศึกต่างหากละ คุณพี่จำไอม่านที่อยู่ใกล้พระเจ้ามังระเมื่อศึกครั้งที่แล้วได้รึไม่ กระผมจำได้เต็มตาเมื่อไม่กี่วันนี้กระผมเจอมันแถวเรือนจมื่นไวยเวท”
      “จมื่นไวยเวทขุนนางคนสนิทของพระเจ้าเอกทัศหรอจ๊ะ พี่ทับแน่ใจนะจ๊ะว่าจำไม่ผิดคน” เรืองยิ่งสงสัยเพราะ ถ้าเป็นอย่างที่ขุนทับบอกจริงแสดงว่าจริง ๆ แล้วข้าศึกไม่ได้อยู่ไกลจากกรุงศรีเลย
      “ไม่ผิดแน่ ถ้าเป็นไอม่านระดับพลทหารพี่คงจำไม่ได้ แต่ไอม่านคนนี้อยู่ใกล้พระเจ้าอลองพญากับพระเจ้า   มังระมากมีรึที่พี่จะจำไม่ได้ ในเมื่อพี่เห็นมันในสงครามถึง 3 ครั้ง”
      “เห็นทีเราต้องสืบเรื่องนี้กันเสียแล้วละพ่อทับ พี่ให้พ่อเป็นคนสืบจะได้รึไม่” หลวงด้วงอยากได้ความมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าที่ขุนทับบอกมาเป็นเรื่องจริงแท้ ไม่ใช่การคาดเดาเพราะ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เรื่องที่ควรปรับปรัมใครโดยไม่มีหลักฐาน มันถึงขั้นขายบ้านขายเมืองให้ศัตรูคู่แค้นที่เคยทำให้กรุงศรีเสียเอกราชครั้งยิ่งใหญ่ไปครั้งหนึ่งเชียว
      “ได้สิขอรับคุณพี่ เรื่องนี้กระผมจะสืบให้รู้แน่แล้วจะนำมารายงานให้คุณพี่ทราบอีกครั้ง”

      หลังจากนั้นไม่กี่วันขุนทับสามารถสืบจนได้เรื่องว่าจมื่นไวยเวทจะนัดไอม่านเวลาพลบค่ำวันหยุดราชการ โดยทำทีว่านัดมาเพื่อพูดคุยสรรค์สันต์กัน จึงชวนเรืองมาแอบดูที่เรือนของจมื่นเพื่อถ้าโชคดีอาจได้ความอะไรเพิ่มเติม
      “ทีนี่ละเราจะได้รู้กันสักทีว่าเรื่องที่พี่ทับสงสัยจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และอาจได้รู้ด้วยว่ามีใครร่วมมือกับไอ จมื่นนี้ก่อการเลวกับบ้านเมืองอีกด้วย” เรืองหมายมั่นปั้นมือว่าจะจับคนคิดคงทรยศบ้านเมืองให้จงได้
      หลังแอบดูได้ไม่นานคนที่ขุนทับสงสัยก็เดินทางมาถึงพร้อมกับไอม่าน และที่สำคัญยังมีคนอีกคนที่ตามมาด้วย
      “คนนั้นฉันคุ้น ๆ หน้าเสียจริงใครรึจ๊ะพี่ทับ ฉันเห็นหน้าไม่ถนัด” เรืองไม่พอใจที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนด้วยตรงที่ตนยืนอยู่มีพุ่มไม้หนา แต่จะให้ไปแอบดูตรงอื่นก็ทำไม่ได้เนื่องจากตรงนี้เป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด
      “หมื่นมิ่ง” ขุนทับพูดขึ้นเบา ๆ
      “ก็ว่าอยู่ว่าคุ้น ๆ หมื่นมิ่งนี่เอง ก็รู้ดอกว่าเป็นคนไม่ดีแต่ไม่คิดว่าจะไม่ดีขนาดขายบ้านขายเมืองของตนเอง” เรืองไม่ชอบหมื่นมิ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเพราะว่า ชอบมาหาเรื่องพี่ทับของตนแล้วยังเคยจาบจ้วงอดีตวังหน้าทั้งสองที่ตนเคารพ “เสียดายนะจ๊ะที่เราเข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้แล้ว”
      หลังจากทั้งสามคนขึ้นเรือนไปบ่าวไพร่ของจมื่นไวยเวทก็เดินตรวจตรากันอย่างแน่นหนาขึ้น เรืองกับขุนทับจึงทำได้แต่แอบดูอยู่ตรงนั้นต่อไปเพื่อให้อย่างน้อยก็รู้ถึงระยะเวลาการพูดคุยกันของคนทั้งสาม จนเวลาล่วงเลยไปในที่สุดไอม่านกับหมื่นมิ่งก็กลับไป
      “กลับไปรายงานพี่ด้วงกันเลยไหมจ๊ะพี่ทับ หรือรอวันพรุ่งก่อน ฉันไม่แน่ใจว่าเพลานี้พี่ด้วงจะหลับไปแล้วรึยัง”
      “รายงานวันนี้เลยพี่บอกพี่ด้วงไว้แล้วว่าจะมาซุ้มดู ได้ความว่าอย่างไรจะกลับไปบอก” ขุนทับตอบกลับด้วยท่าทีนิ่ง ๆ เหมือนว่าคิดอะไรอยู่ และตลอดระยะทางที่เดินกลับเรือนไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกมาจากปากของขุนทับอีกเลย “เรืองเจ้าไปรายงานพี่ด้วงให้พี่ที พี่รู้สึกไม่ดีจะขอไปพักเสียหน่อย” ว่าแล้วขุนทับก็เดินเข้าห้องไป
      “พี่ด้วงจ๊ะ ตามที่ฉันกับพี่ทับไปสืบมาได้ความว่าจมื่นไวยเวทติดต่อกับไอม่านเป็นความจริงจ้ะ นอกจากจมื่นไวยเวทแล้วยังมีหมื่นมิ่งอีกด้วย เห็นทีครั้งนี้เราจะลำบากเสียแล้วเพราะทั้งสองคนนั้นต่างก็เป็นคนสนิทกับพระเจ้าเอกทัศด้วยกันทั้งสิ้น เราคงไม่สามารถนำเรื่องไปกราบทูลพระเจ้าเอกทัศได้”
      “มิน่าละพ่อทับกลับมาถึงได้ทำตัวแปลก ๆ เพราะหนึ่งในคนคิดการร้ายมีหมื่นมิ่งรวมอยู่ด้วยนี่เอง” ทีแรกหลวงด้วงสงสัยอยู่แล้วว่าคนร่วมก่อการกบฏต่อชาติต้องมีคนที่ขุนทับไม่คาดคิดอยู่ด้วยเป็นแน่เพราะ เห็นท่าทีแปลก ๆ ตั้งแต่ขุนทับขึ้นเรือนมาแล้ว
      “พี่ทับคงโกรธมากแน่เลยนะจ๊ะ ก็อริที่ไม่ถูกกันมาตั้งนานคิดร้ายกับบ้านเมืองแบบนี้ เห็นทีฉันต้องระวังไม่ให้สองคนนี้เจอกัน ไม่อย่างนั้นคงได้ฆ่ากันตาย”
      “ผิดแล้วละเรืองไม่ใช่อริ แต่เป็นสหายสนิทต่างหากละ พ่อทับคงเสียใจแย่ที่รู้ว่าหมื่นมิ่งคิดการไม่ถูกไม่ควรเช่นนี้”
      ”จะเป็นไปได้อย่างไรละจ๊ะ” เรืองงงในคำตอบที่หลวงด้วงบอกมา “ฉันเห็นเจอกันที่ไรพี่ทับกับหมื่นมิ่งก็หาเรื่องทะเลาะฟาดฟันก็ได้ทุกครั้งไป”
      “ความไม่พอใจของผู้ใหญ่ที่ส่งผลมาถึงเด็กอย่างไรเล่า เจ้าคุณพ่อของพี่กับเจ้าคุณพ่อของหมื่นมิ่งต่างเป็นขุนนางที่เข้าฝ่ายเดียวกับพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเมื่อครั้งทำการสงครามชิงอำนาจระหว่างพระองค์กับเจ้าฟ้าอภัยพระนัดดา ภายหลังพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงขึ้นครองราชย์ก็พระราชทานยศถาบรรดาศักดิ์ให้ทั้งสองคนและขุนนางคนอื่น ๆ ด้วย พ่อทับกับพ่อมิ่งถึงได้เป็นสหายกับมาตั้งแต่ครั้งยังเด็กอย่างไรละ”
      “แล้วทำไมถึงเปลี่ยนมาไม่ถูกกันละจ๊ะ” เรืองถามด้วยความสงสัย
      “ไม่ถูกกันอะไรละ ทุกวันนี้ก็ยังเป็นสหายกันอยู่เลยแต่มีคนรู้แค่เขาสองคนนั้นแหละ พี่บังเอิญไปได้ยินเข้าถึงรู้ว่าอันที่จริงแล้วเขาแสดงท่าทีไม่ถูกกันเฉย ๆ ไม่ใช่ไม่ถูกกันจริง ๆ”
      “แล้วทำไมต้องทำอย่างนั้นละจ๊ะ ฉันเคยเห็นสองคนนี้ทะเลาะกันถึงขั้นเอาดาบฟันกันเลยนะจ๊ะ” เรืองยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ ก็เวลาทะเลาะกันทีทั้งสองคนแทบจะฆ่ากันให้ตาย
      “ก็เพราะไอยศถาบบรรดาศักดิ์นี่แหละ พ่อทับกับพ่อมิ่งเข้าถวายตัวพร้อมกัน แต่ภายหลังเจ้าฟ้ากุ้งท่านทรงโปรดให้พ่อทับเป็นมหาดเล็กส่วนพระองค์แล้วเลื่อนยศให้ เจ้าคุณลุงท่านเลยไม่พอใจว่าทำไมเจ้าฟ้ากุ้งไม่ทรงเลือกลูกตน ทั้ง ๆ ที่ท่านก็มีส่วนในการยึดอำนาจเมื่อครั้งอดีต เลยบังคับให้พ่อมิ่งไม่ถูกกับบ้านเรา พ่อมิ่งก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของพ่อด้วยโดนบีบบังคับจากหลายฝ่ายทั้งเจ้าคุณพ่อ คุณหญิงใหญ่ที่เป็นเมียเอกเจ้าคุณพ่อ แล้วก็คุณแม่ของตน พี่ก็พึ่งมารู้เมื่อ 2-3 ปีนี้เองว่าทั้งสองหลอกทุกคนว่าไม่ถูกกัน”
      “มิน่าละพี่ทับถึงเศร้าใจไปเลย คงเสียใจแย่ที่เห็นสหายของตนเป็นหนึ่งในคนที่คิดร้ายต่อบ้านเมือง” เรืองสงสารพี่ทับจับใจมากกว่าจะโกรธที่พี่ทับไม่บอกตนเรื่องพี่ทับกับหมื่นมิ่งเพราะ ขนาดเรื่องของตนกับพี่ทับ เรืองยังไม่กล้าที่จะบอกใครเลย

      ด้านขุนทับนั้นเมื่อเห็นหมื่นมิ่งในครั้งแรกที่บ้านจมื่นไวยเวทอารมณ์ความรู้สึกหลากหลายต่างประดังเข้ามาไม่หยุดทั้งงุนงง ตกใจ แล้วก็เสียใจด้วยไม่คิดว่าสหายคนสนิทของตนคนนี้จะเข้าร่วมกับคนเลวคนทรยศต่อพื้นแผ่นดินบ้านเกิด แต่เมื่อไตร่ตรองไปเรื่อย ๆ ขุนทับก็คิดว่าหมื่นมิ่งไม่มีทางเป็นคนไม่ดีอย่างที่ตนคิดในตอนแรกเป็นแน่ ต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังไม่มากก็น้อย และเบื้องหลังนี้อาจเกี่ยวข้องกับเจ้าคุณลุงก็เป็นได้ ด้วยหมื่นมิ่งเป็นลูกเมียบ่าวในบ้าน แต่เป็นลูกชายเพียงคนเดียวจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นลูกรักออกหน้าออกตาเมื่ออยู่กับคนหมู่มาก แต่เมื่ออยู่ในเรือนขุนทับเคยเห็นก็ตาของตนเลยว่าหมื่นมิ่งและแม่นั้นโดนคุณหญิงของบ้านกดขี่ข่มเหงอย่างหนัก ไม่ได้ดั้งใจก็โดนเฆี่ยนตีเพราะ อิจฉาที่ตนไม่สามารถมีลูกชายให้สามีได้ ส่วนเจ้าคุณลุงนั้นวัน ๆ ก็คิดแต่หาเมียเด็ก ๆ ให้ตนไม่เคยดูดำดีคนในบ้าน และค่อยแต่อวดอ้างบารมีตัวเอง ด้วยเหตุนี้ต่างหากที่ทำให้พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศไม่ทรงโปรดให้รับใช้อย่างใกล้ชิด เมื่อคิดได้เช่นนั้นขุนทับก็คิดว่าจะต้องหาเวลาไปคุยกับหมื่นมิ่งเมื่อมีโอกาสให้จงได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาโอกาสสำหรับคุยกับหมื่นมิ่งเพราะ ทั้งคู่ก็ยังต้องแสดงท่าทีว่าเป็นอริกันอยู่ตลอดเวลา ขุนทับรอเวลาถึง 7 วันถึงจะหาโอกาสคุยกับหมื่นมิ่งได้
      “เรียกข้ามามีอะไรวะไอทับ ทำไมไม่เอาเวลาไปดูแลน้องเรืองของเอ็งวะ” หมื่นมิ่งกึ่งถามกึ่งแซว
      “อะไรของเอ็งวะไอมิ่ง ข้าไม่ได้อยู่กับเรืองตลอดเวลาสักหน่อย”
      “ชิชะ อย่ามาโกหกข้าเสียให้ยาก ข้ารู้จักเอ็งมาตั้งแต่เกิดด้วยซ้ำไปทำไมจะดูไม่ออกว่าเอ็งคิดอย่างไรกับเรือง แต่อย่ากังวลไปความลับระหว่างเรามีเรื่องไหนที่หลุดออกไปบ้าง”
      “ไม่รังเกียจข้ารึที่ข้ารักผู้ชายด้วยกัน” ขุนทับคิดว่าตนคงปิดหมื่นมิ่งไม่ได้แน่เพราะ สิ่งที่หมื่นมิ่งฉลาดที่สุดคือการอ่านสีหน้าและใจคน และที่สำหรับขุนทับก็ยังคิดอยู่เสมอว่าความรักของตนกับเรืองนั้นไม่ใช่เรื่องผิด ควรเป็นเรื่องที่ทุกคนรับรู้ได้
      “เรื่องจริงรึนี้ ข้าแค่แหย่เล่นไม่คิดว่าเอ็งกับเรืองจะเป็นเรื่องจริง ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่ไม่ว่าเอ็งจะรักใครข้าก็เห็นดีด้วยอยู่แล้ว คนทั้งโลกไม่เข้าข้างข้าเอ็งยังเข้าข้าง แล้วทำไมเวลาเอ็งไม่มีใครข้าจะไม่อยู่ข้างเอ็งละสหายรัก”
      “ไอคนเลว หลอกกันมาได้ เดี๋ยวนี้หัดโกหกตาใสเสียแล้วรึไอมิ่ง แต่เดี๋ยวก่อนเรื่องที่ข้าจะพูดกับเอ็งไม่ใช่เรื่องนี้ ข้าได้ข่าวมาว่ามีขุนนางของเราคิดคดทรยศต่อชาติบ้านเมืองไปเข้าร่วมกับฝั่งไอม่าน”
      “จมูกดีเป็นหมาเลยนะไอทับ รู้เรื่องนี้มานานเท่าไรแล้วละ” หมื่นมิ่งไม่แปลกใจเพราะ ครอบครัวของขุนทับมีสายอยู่ที่หัวเมืองเป็นจำนวนมาก แถมหูตาของทั้งขุนทับและหลวงด้วงก็เป็นสับปะรด
      “ข่าวพระเจ้ามังระทราบมาสักพักแหละ แต่เรื่องคนขายชาติพึ่งมาแน่ใจเมื่อวานนี้เองตอนไปแอบดูที่เรือนจมื่นไวยเวท ที่สำคัญกว่านี้คือข้าเจอเอ็งที่นั้น เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยว่าเรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่”
      “ดีจริงเชียวที่เอ็งรู้จะได้มีคนช่วยข้าคิดแผนการตลบหลังมันด้วย ส่วนเรื่องที่ข้าไปอยู่เรือนจมื่นไวยเวทนั้นจะเป็นอะไรไปได้นอกจากเจ้าคุณพ่อท่านเห็นด้วยกับพวกขายชาติ ท่านไม่พอใจตั้งแต่ความสำคัญของท่านถูกลดลงแล้วตั้งแต่เจ้าฟ้ากุ้งเป็นวังหน้า และยิ่งพระเจ้าเอกทัศขึ้นครองราชย์อำนาจของท่านก็ยิ่งน้อยลง แต่จะไปฟังแผนการเองก็บอกว่ากลัวคนจะสงสัยเอาได้เลยให้ข้าไปฟังเรื่องราวแทน”
      “แล้วจากการไปฟังได้เรื่องว่าอย่างไรบ้างละ ไอพวกม่านคิดจะบุกกรุงศรีของเราจริงแท้แค่ไหน” ขุนทับเชื่อที่หมื่นมิ่งพูดในทันทีเพราะ รู้นิสัยพระยาสรไชยผู้พ่อของหมื่นมิ่งมานาน
      “จริงแท้แน่นอน ตอนนี้ไอม่านมันเตรียมกำลังพลกันอยู่อีกไม่นานคงได้ยกทัพมากรุงศรีเป็นแน่ ที่นี่ละเราคงได้รบกันยาว ๆ”
      “อันที่จริงที่เอ็งไปเป็นพวกไอจมื่นไวยเวทก็ดีเหมือนกันนะ ไอจมื่นมันเป็นไส้ศึกให้ไอม่าน เอ็งก็เป็นไส้ศึกให้กับกรุงศรีของเรา”
      “ก็จริงแต่คงบอกแค่เอ็งคนเดียวละตอนนี้ บ้านเมืองอ่อนแอ่ยิ่งข้ากลัวเอาไปบอกใครแทนที่เราจะได้คนช่วยคิดป้องกันบ้านเมือง กลับได้ไส้ศึกมาช่วยทำลายบ้านเมืองเพิ่มขึ้นแน่”
      “ช่วงนี้ก็ดูข่าวสารการเคลื่อนไหวของไอม่านมันไปก่อน ได้เรื่องว่าอย่างไรก็บอกมาก็แล้วกันนะ”
      “แน่นอนอยู่แล้วไอสหายรัก” หมื่นมิ่งตอบตกลงขุนทับในทันที หลังรู้สิ่งที่ตนเองสงสัยแล้วขุนทับก็ขอตัวกลับก่อนเพราะ กลัวใครจะมาเห็นเข้าว่าตนคุยกับหมื่นมิ่ง
      “ขอโทษนะไอทับ ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าต้องโกหกเอ็ง” ลับหลังขุนทับเดินจากไปหมื่นมิ่งได้แต่ยืนขอโทษฝากลมไป หวังว่าภายภาคหน้าสหายเพียงคนเดียวคนนี้จะให้อภัยตน


(บ่นๆให้ฟัง)  :hao5:

                ช่วงนี้ไม่แน่ใจว่าจะโพสทุกวันศุกร์ได้ไหม อยู่ในช่วงหางานแบบจริงจัง ก้าวสู่วัยทำงานนี้รู้สึกเลยทำไมงานหายากจัง ยิ่งอยากทำงานที่ไม่ตรงกับสายที่จบนี่ยิ่งหา สำนักพิมพ์เปิดใหม่ก็เยอะ ทำไมไม่เปิดรับบรรณาธิการบ้างเลย หรือเราไม่มีประสบการณ์ก็ไม่รู้ บ่นเยอะไปแหละ ไปเขียนตอนใหม่ต่อดีกว่า ตอนหน้าจะยิ่งเข้มข้นเข้าไปอีกเป็นกำลังใจให้พี่ทับกับเรืองด้วยนะ    https://www.facebook.com/tipin1994/
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่16 (14/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 14-07-2017 19:09:15
เปนกำลังใจให้ทั้งคนเขียน และพี่ทับน้องเรืองค่า :mew1:
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่16 (14/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 14-07-2017 19:28:36
อ้าว ตกลงว่ายังไงกันล่ะหมื่นมิ่ง ทำจริงไม่ใช่แฝงตัวสินะ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่17 (22/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 22-07-2017 20:09:24
บทที่ 17 ศึกสองทาง
      ขุนทับ เรือง และหลวงด้วงต่างสลับสับเปลี่ยนกันไปแอบลาดตระเวนดูที่เรือนจมื่นไวยเวทเพื่อดูว่าอาจมีสัญญาณเตือนทำให้รู้ว่าเมื่อไรที่ไอ้ม่านจะบุกมากรุงศรีอยุธยาเสียที อันที่จริงทั้งสามคิดที่จะเอาเรื่องดังกล่าวไปปรึกษาขุนนางคนอื่นเหมือนกันว่า ถ้าไอ้พวกม่านบุกมาอีกครั้งจะทำการเยื่องไรดี แต่ได้คำตอบติดขำกลับมาว่า “มาก็ดีไม่กลัวดอกมากี่ครั้งก็คงพ่ายแพ้กลับไปอยู่ดี” ทำให้ทั้งสามคิดว่าถึงบอกไปขุนนางคนอื่นก็คงไม่สนใจ และไม่กลัวอยู่ดี จึงทำได้แค่ระแวดระวังกันเองไปก่อนเผื่ออย่างน้อยก็อาจจะได้รู้กลวิธีของข้าศึกก้ยังดี แต่ไม่ทันได้สืบดีนั้น ข้าศึกก็ยกกำลังพลเข้ามาแล้วเสียแล้วโดยพระเจ้ามังระทรงมีรับสั่งให้เนเมียวสีหบดีนำทัพบุกเข้าตีทางตอนเหนือเริ่มจากเชียงใหม่ไล่ตีลงมาแล้วเข้าบุกยึดได้สวรรคโลก สุโขทัย นครสวรรค์ และกำแพงเพชร กวาดต้อนผู้คนและเสบียงอาหารทุกสิ่งอย่างที่คิดว่ามีประโยชน์ในการศึกครั้งนี้ แล้วบุกเข้าสู่กรุงศรีอยุธยาเป็นที่สุดท้าย และทรงมีรับสั่งให้มังมหานรธานำทัพมาทางตะวันตกเริ่มจากปราบปรามกบฏที่ทวายซึ่งคิดแข็งข้อกับทางกรุงอังวะเสียก่อน แล้วเคลื่อนทัพต่อไปที่เพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี จนมาจบที่กรุงศรีอยุธยาเช่นเดียวกัน แต่ระหว่างที่ฝั่งเมืองม่านกรีฑาทัพมายังไม่ถึงกรุงศรีอยุธยาดีนั้น ข่าวจากม้าเร็วก็มาถึงกรุงศรีอยุธยาก่อนแล้ว แต่น่าเสียดายที่ชาวกรุงศรีไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือชาวบ้านต่างไม่สนใจ เป็นทุกข์เป็นร้อนกับเหตุการณ์ดังกล่าวเลย
      “มาอีกก็ได้ตายกลับไปอีก ครั้งที่แล้วมาทางเดียวตายทางเดียว ครั้งนี้มาสองทางประเดี๋ยวก็ได้ตายกลับไปทั้งสองทาง หรือครั้งหน้าจะมาอีกกี่สิบทางก็ได้ตายกลับไปทุกทางอยู่ดี”

      เรือง ขุนทับ และหลวงด้วงกลับยิ่งไม่สบายใจด้วยเหตุร้ายกำลังคืบคลานเข้ามาโดยที่ทุกคนต่างรู้ตัวด้วยซ้ำ แต่แทนที่จะตระเตรียมไพร่พลให้พร้อมด้วยกรุงศรีของเราไม่ถนัดศึกรับอย่างที่ขุนหลวงหาวัดเคยกล่าวไว้เมื่อศึกพระเจ้าอลองพญาก็ควรเตรียมศึกแบบรุกไว้ แต่นี้อะไรไม่มีใครสนใจคิดศึกรู้แบบใดเลยเสมือนคิดกันว่าไอ้ม่านมันมาเดินเล่น เมื่อถึงกรุงศรีก็เดินทางกลับอย่างนั้นแหละ
      “ฉันว่าครั้งนี้เราคงเสียกรุงศรีเป็นแน่แท้ ไม่ใช่ฉันแช่งบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองดอกนะ แต่ฉันก็เป็นทหารคนหนึ่งไปออกรบทุกครั้งเมื่อศึกพระเจ้าอลองพญายกทัพมา ศึกครั้งที่แล้วถ้าพระเจ้าอลองพญาไม่ถูกสะเก็ดกระสุนปืนใหญ่ไปเสียก่อนก็คงเสียกรุงศรีตั้งแต่คราวนั้น แล้วยิ่งครั้งนี้ขุนนาง ชาวบ้านต่างยิ่งได้ใจคิดว่ากรุงศรีของเราแน่ไม่สนใจการศึกอย่างนี้ ฉันว่าชะตากรุงยิ่งมีโอกาสรอดน้อยเข้าไปใหญ่” ขุนทัพพูดขึ้นด้วยใจที่เป็นกลางมองสภาพความเป็นจริง
      “เราคงต้องหาขุนนางที่มีความสามารถมาเป็นผู้นำในการรบเสียแล้ว เพราะจะพึ่งพระเจ้าเอกทัศเห็นทีจะพึ่งไม่ได้ ด้วยขุนนางที่อยู่รอบตัวพระองค์มีแต่พวกกบฏ พวกเดียวกับไอ้ม่านมันหมดแล้ว” หลวงด้วงก็คิดเช่นเดียวกับน้องชาย
      “แล้วเราควรไปเข้าร่วมกับใครดีล่ะจ๊ะที่นี้” นอกจากขุนทับกับหลวงด้วงเรืองก็ไม่สนิทกับใครเป็นพิเศษเลย
      “พระยาตาก ท่านเป็นขุนนางที่มีความสามารถสูงคนหนึ่งเลยแหละ พี่เคยปะดาบฝึกซ้อมกับท่านมาก่อนที่ท่านจะย้ายไปเป็นเจ้าเมืองที่ตาก” หลวงด้วงออกความเห็น
      “แต่เมืองตากโดยพวกไอ้ม่านตีแตกไปแล้วไม่ใช่รึจ๊ะ”
      “พระยาตากไม่อยู่เมืองในขณะนั้นนะสิ ไม่มีพ่อเมืองอยู่เป็นขวัญกำลังใจ เมืองก็เลยพ่ายไปอย่างไรละ” หลวงด้วงตอบข้อสงสัยของน้องน้อยในกลุ่ม

      เมื่อตกลงกันได้ดังนั้นทั้งสามก็พร้อมใจกันเดินทางไปเข้าพบพระยาตากที่เรือนของท่าน
      “กระผมและน้องทั้งสองจะมาฝากตัวเข้าร่วมก่อกำลังของท่านเจ้าเมืองด้วยเห็นว่าข้าศึกเดินทางเข้มาประชิดเมืองเรื่อย ๆ แล้ว ท่านจะมีใจเมตตาให้เราทั้งสามได้อยู่รบเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยจะได้รึไหม” หลวงด้วงบอกเหตุผลของการมาพบในครั้งนี้ทันทีที่เข้าพบ
      “ข้าจำได้พวกเอ็งทั้งสามเคยรบในศึกเมื่อครั้งพระเจ้าอลองพญาใช่รึไม่ แล้วครั้งนั้นพวกเอ็งเข้าสังกัดหัวหน้าคนใดเหล่า จะเปลี่ยนใจมาอยู่กับข้าหัวหน้าเก่าพวกเอ็งไม่ว่าเอารึ”
      “ใช่ขอรับ ส่วนหัวหน้าสังกัดเก่าของพวกเราคือ พระยาสุรศักดิ์มนตรีขอรับท่าน พระยาท่านเสียไปเมื่อครั้งการศึกครั้งที่แล้ว ตั้งแต่นั้นพวกเราทั้งสามก็ไม่ได้ขึ้นตรงกับสังกัดไหนอีกเลย” หลวงด้วงตอบพร้อมในใจที่สะอื้นเมื่อคิดถึงพ่อของตนที่สิ้นไป
      “อย่างนั้นรึ ในเมื่อพวกเจ้าท่านสามต่างตัดสินใจเข้าร่วมสังกัดกับข้าต่อสู้กับไอ้พวกม่าน มีรึที่ข้าจะปฏิเสธได้ ตกลงนับจากนี้ต่อไปพวกเจ้าทั้งสามเป็นทหารในสังกัดของข้าพระยาตาก”
   
      หลังจากทั้งสามเข้าร่วมสังกัดพระยาตาก เมื่อมีเวลาว่างเว้นจากราชการพระยาตากจะเรียกสมัครพรรคพวกของตนที่มาจากเมืองตากกับพวกขุนทับมาสนทนาปราศรัยและเตรียมแผนตั้งรับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น
      “พวกเจ้าทุกคนมีความเห็นเช่นไรกับกลศึกครั้งนี้ของไอ้พวกม่าน” พระยาตากเริ่มประโยคสนทนาแรก
      “กระผมคิดว่าพวกมันคงต้องการเก็บเสบียงอาหารให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะใช้เมื่อยามทำการศึกสงครามกับพวกเราให้ได้จนถึงหลังฤดูน้ำหลากเป็นแน่ เพราะกระผมได้ยินจากสายข่าวที่หลบหนีไอ้พวกม่านเข้ามาในกำแพงกรุงว่าพวกมันจับเชลยชาวกรุงศรีของเราให้ไปทำนา ปลูกข้าว เห็นที่ครั้งนี้อยุธยาของเราจะรับศึกหลังแล้วละขอรับ” หลวงด้วงบอกตามสายข่าวที่ได้รับมา
      “ครั้งนี้พวกเราคงได้ร่วมกันสู้กับไอ้ม่านมันไปยาว ๆ เป็นแน่แท้ ดี! จะได้แก้แค้นให้เมืองตากที่โดนพวกมันตีแตกมาด้วย” หลวงพิชัยอาสา*ตอบด้วยความคับแค้นใจที่เมื่อศึกถึงเมืองที่ตนอยู่ แต่ตนกลับไม่สามารถช่วยเหลือใครได้

      หลังจากเนเมียวสีหบดีกวาดต้อนกำลังพลและเคลื่อนทัพมาจนถึงกรุงศรีอยุธยาก็ออกคำสั่งให้เชลยศึกชาวกรุงศรีสร้างค่ายสำหรับเป็นศูนย์กลางบัญชาการการรบแห่งแรก โดยสร้างเป็นค่ายที่วัดป่าฝ้าย ปากน้ำประสบซึ่งอยู่ห่างจากกรุงศรีอยุธยาไม่ถึง 55 เส้น**  ส่วนมังมหานรธาตั้งค่ายต่อเรือเตรียมการไว้ก่อนเป็นเวลาถึงปีเศษ ถึงจะเดินทัพเข้าสู่กรุงศรีอยุธยาเพื่อตั้งค่ายเป็นศูนย์กลางบัญชาการรบที่สอง โดยสร้างค่ายที่บริเวณบ้านศรีกรุง ทุ่งภูเขาทองห่างจากกรุงศรีไม่เกิน 83 เส้น**
ภายในพระราชวังเองนั้นพระเจ้าเอกทัศและขุนนางก็กำลังเคร่งเครียดกับการประชุมการรับมือกับกองทัพของทางอังวะ
      “กรุงศรีอยุธยาของเรานั้นไม่ถนัดศึกการรบแบบตั้งรับตามที่ขุนหลวงหาวัดน้องกูเคยพูดไว้ เมื่อไอ้ม่านมันยกพลมาตั้งค่ายจึงสองทางอย่างนี้ ฝั่งเราก็ต้องสร้างค่ายเพื่อปะทะกับพวกมันเช่นเดียวนะ คำสั่งที่กูบอกไปดำเนินการไปถึงไหนแล้ว” ¬¬
      “เรียบร้อยแล้วนะเกล้านะกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าออกคำสั่งตั้งค่ายไว้ทั้งหมด 4 ทิศ โดยทิศเหนือตั้งค่ายที่วัดพระเมรุและเพนียดริมน้ำ ทิศใต้ตั้งค่ายที่บ้านสวนพลูและวัดพุทไธสวรรค์ ทิศตะวันออกตั้งค่ายที่วัดเกาะแก้ว วัดมณฑป และวัดพิชัย ทิศตะวันตกตั้งค่ายเป็นค่ายใหญ่ที่วัดไชยวัฒนารามพระพุทธเจ้าค่ะ” เจ้าคุณกลาโหมรายงานความคืบหน้าของการเตรียมศึก
      “ยังไม่พอเร่งสร้างค่ายเพิ่มอีกและอพยพชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบกำแพงกรุงเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงศรีแทน”
      “พระพุทธเจ้าค่ะ” ขุนนางทุกคนต่างรับราชโองการและเร่งทำตามพระกระแสรับสั่ง

      “พี่ทับจ๊ะ พี่ทับได้ยินข่าวชาวบ้านบางระจันบางรึไหมจ๊ะ ฉันได้ยินมาว่าพวกเขาส่งใบบอกมาขอปืนใหญ่ไปรบกับไอ้ม่าน เก่งเหลือเกินนะจ๊ะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาแท้ ๆ แต่สามารถรบกับทหารเมืองม่านได้เป็นนานสองนาน” เรืองตื่นเต้นเมื่อเห็นกลุ่มคนมีความสามารถ ที่อาจช่วยกรุงศรีของเราได้
      “ชาวกรุงศรีของเรารักบ้านรักเมืองยิ่งกว่าชีวิต เมื่อข้าศึกบุกเข้ามาเยี่ยงนี้มีใครบ้างล่ะที่ไม่คิดจับดาบมาห้ำหั่นข้าศึก” ถึงเรืองจะแสดงท่าทางตื่นเต้น แต่ขุนทับกลับตอบด้วยท่าทีที่นิ่งแทน
       “แล้วพระเจ้าเอกทัศทรงมีรับสั่งว่าเช่นไรบ้างจ๊ะ” เรืองยิ่งตื่นเต้นเพราะ คิดว่าจะได้คนกล้ามาช่วยป้องกันกรุงศรีเพิ่มมากขึ้น
      “ตอนแรกพระองค์ก็ทรงเห็นชอบแหละ แต่....ตอนหลังกลับทรงเปลี่ยนพระทัยไม่ยกให้แทน พี่ว่าต้องเป็นฝีมือไอ้จมื่นไวทเวยเป็นแน่ ไอ้สารเลวคนขายชาติไม่ใช่มันก็ไม่มีคนอื่นแล้วที่จะคิดการเลวเช่นนี้ได้” มือของขุนทับสั่นด้วยความโกรธแค้นที่ไม่อาจช่วยเหลือชาวบ้านบางระจันได้ “แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่พระยารัตนาธิเบศร์ออกอาสาไปช่วยชาวบ้านบางระจัน   ทำปืนใหญ่ พี่ได้แต่หวังว่าชาวบ้านบางระจันจะสามารถรบชนะได้ตลอดรอดฝั่ง”
      แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะหล่อปืนใหญ่สักทีครั้งก็ไม่สามารถหล่อขึ้นมาได้สำเร็จ พระยารัตนาธิเบศร์เห็นว่าสิ่งเดียวที่ตนสามารถช่วยได้กลับไม่สามารถทำได้ดังใจหวัง จึงขอเดินทางกลับกรุงศรีอยุธยาแทน หลังจากนั้นไม่นานกองทัพพม่าที่พ่ายแพ้ชาวบ้านบางระจันมาตลอดก็ได้มีการเปลี่ยนหัวหน้านำกำลังพลโดยเปลี่ยนเป็นสุกี้***ชาวรามัญผู้หนึ่ง ในที่สุดก็สามารถตีค่ายบางระจันจนแตกพ่ายได้ ชาวบ้านที่เป็นแก่นนำรบต่างเสียชีวิตในศึกครั้งนี้ทั้งสิ้นหลังจากร่วมกันรบต่อสู้กับพม่ามานานถึง 5 เดือน ส่วนชาวบ้านที่เสียรอดก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นเชลยให้กองกำลังพม่า
      “ฉัน ๆ สงสารชาวบ้านบางระจันเหลือเกินจ๊ะพี่ทับจ้า ฮือๆๆๆ สู้รบเพื่อปกป้องบ้านเมืองของเราเองแท้ ๆ แต่กลับไม่ได้รับการช่วยเหลือจากคนที่พวกเขาพยายามปกป้องเลย ฮือๆๆ” เรืองพูดไปร้องไห้ไป
      “ห่วงแต่ตัวเองไม่ห่วงคนอื่น ถ้าในอนาคตกรุงศรีมันจะพังพินาศก็คงไม่เห็นแปลก คนดีคนมีความสามารถไม่หลงเหลืออยู่เพื่อช่วยกรุงศรีแล้ว รอดูต่อไปเถอะแล้วจะรู้ว่าที่ตัดสินใจพลาดไปในครั้งนี้มันเป็นการผิดพลาดที่ใหญ่หลวงมากขนาดไหน” ขุนทับโกรธ ยิ่งเห็นคนรักของตนเองต้องมาร้องไห้แบบนี้แล้วยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ “ค่อยดูต่อไป ค่อยดูเถอะว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป”
      “พี่ทับจ้าอย่าเสียงดังไป ประเดี๋ยวใครมาได้ยินเข้ามันจะแย่” เรืองสะอึกสะอื้นบอก ตาบวมแดงก่ำ
      “พี่เบื่อหน่ายเหลือเกินคนดี เบื่อหน่ายกับทุกสิ่งอย่าง ถ้าจบศึกใหญ่ครั้งนี้ไปไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร พี่คงลาออกราชการ” ขุนทับตัดสินใจอย่างแน่วแน่
      “ถ้าอย่างนั้นฉันลาออกด้วย ฉันเข้ามารับราชการก็เพราะพี่ ฉันอยากรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่ แต่ถ้าพี่ทับไม่รับราชการแล้วฉันก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไมเหมือนกัน” เรืองเห็นด้วยกับขุนทับ
      “ดี! ถ้าอย่างนั้นเสร็จศึกใหญ่ครั้งนี้ บ้านเมืองของเราปลอดภัยจากข้าศึกที่มารุกรานเราทั้งสองจะออกจากราชการ เรืองก็ช่วยพี่เดือนทำงานช่างทองต่อไป ส่วนพี่พี่อยากเป็นครูสอนดาบสอนหนังสือ นำวิชาความรู้ไม่กี่อย่างที่พี่มีมาทำคุณประโยชน์ให้บ้านเมือง แต่ถ้าไม่ได้จริง ๆ พี่คงไปเป็นพ่อค้าขายกระบุง ตะกร้าเจ้าเห็นว่าอะไรบ้างเรือง” ขุนทับวาดฝันอนาคตที่จะเกิดขึ้น
      “กระบุงกับตะกร้ารึจ๊ะ ทำให้ฉันคิดถึงวันแรกที่พวกเราพบกันเลยนะจ๊ะ แต่ฉันก็ยังกังวลกับการศึกอยู่ดี” เรืองอยากให้เป็นแบบที่ขุนทับพูดจริง ๆ แต่ศึกใกล้กำแพงเมืองอย่างนี้ก็อดกังวลไม่ได้จริง ๆ
      “ชาวกรุงศรีของเรามีเอกราชเป็นของตัวเองมาช้านาน ต่อให้ต้องตกเป็นเมืองขึ้นผู้ใด แต่สุดท้ายเราก็สามารถกลับมาเป็นไทได้เหมือนเดิม ถึงฝันของเราจะไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ อาจจะเป็นอีก 20-30 ปีข้างหน้า แต่วันนั้นต้องมาถึงแน่ ๆ เชื่อพี่นะ”
      “จ้ะพี่ทับ หลังกรุงศรีอยุธยาของเรากลับมาสงบสุขอีกครั้ง เราทั้งสองจะลาออกจากราชการ” เรืองหวังเหลือเกินหวังมาวันนั้นจะมาถึงโดยไว
      
*หลวงพิชัยอาสา เป็นหนึ่งในขุนนางคนสนิทของพระยาตาก ซึ่งต่อมาคือ “พระยาพิชัยดาบหัก” ที่ทุกคนรู้จักกันดี
**เส้นคือ หน่วยวัดระยะของไทยสมัยก่อนโดย 20วา เท่ากับ 1เส้น
***สุกี้คือ ตำแหน่งพระนายกองของพม่า

                  อ่านประวัติชาวบ้านบางระจันกี่ครั้งก็สงสาร แต่รู้สึกว่าพวกเขาเก่งมากจริง ๆ เลยนะ ชาวบ้านในสมัยในคือไม่มีความรู้อะไรมากกว่าเลย แต่สามารถต่อกรกับพม่าได้ตั้ง 5 เดือน ซึ่งถือว่าเยอะมากเลยนะในความคิดเรา
                  ตอนแรกคิดว่าคงไม่ได้แต่งนิยายก็เครียด แต่พอเครียดกลับมาแต่งนิยายคลายเคลียด สรุปแต่งจบตอนเฉยเลย 555555555
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่17 (22/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-07-2017 20:17:48
จะผ่านเหตุการณ์เหล่านั้นไปได้ยังไงหนอ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่17 (22/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 22-07-2017 21:27:26
ลุ้นไปกับทั้งคู่จริงๆ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่17 (22/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 23-07-2017 13:56:41
มันต้องไม่ตายดีแน่ไอพวกขายชาติแบบนี้
หมื่นมิ่งก็คงทรยศขุนทับอีกแน่ๆเลย น่าสงสารขุนทับจัง
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่17 (22/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 23-07-2017 23:26:56
อ่านแล้วก็สะท้านในอก น้ำตาจะไหล แต่งดีมากกกก
หัวข้อ: 1Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่18 (31/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 31-07-2017 20:16:34
ตอนที่ 18 จ้อย
   ชุมชนน้อยใหญ่และหัวเมืองต่าง ๆ ที่ร่วมกันต่อสู้ข้าศึกที่เข้ามารุกรานต่างลดจำนวนลงเรื่อย ๆ บ้างก็ขอยอมแพ้บ้างก็ถูกตีแตก จนในที่สุดกรุงศรีอยุธยาก็กลายเป็นเมืองหัวเดียวกระเทียมลีบที่ยังเหลือรอดจากข้าศึก พระเจ้าเอกทัศทรงมีพระราชโองการให้บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ที่พระองค์เคยมีพระประสงค์ให้ออกไปช่วยหัวเมืองอื่นกลับมาปกป้องกรุงศรีแทน พร้อมทรงออกคำสั่งให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ออกไปประจำการที่ค่ายทั้ง ๔ ทิศ
   “อาหารในกำแพงกรุงศรีของเราเริ่มร่อยหลอลดไปทุกที่ คนเข้ามาภายในกำแพงกรุงเพิ่มขึ้นแต่อาหารกลับลดลง อีกไม่นานเห็นที่จะลำบากโดยทั่วกัน” คุณย่าใหญ่เรียกลูกหลานทั้งของบ้านตนและบ้านขุนทัพมาปรึกษาหารือ “บ่าวไพร่ในเรือนเองก็ต่างหวาดกลัวว่าพวกเราจะปล่อยให้พวกมันอดอยาก”
   “จะทำอย่างนั้นกับพวกมันได้อย่างไร แต่ละคนก็รับใช้กันมาหลาย ๑๐ ปี บางคนรับใช้ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย ทำไมพวกมันถึงคิดกันเยี่ยงนั้นละจ๊ะ” เดือนประหลาดใจยิ่ง คนบ้านนี้เลี้ยงบ่าวไพร่อย่างดีมาตลอด ถ้าไม่ผิดร้ายแรงจริงอย่าหวังว่าจะมีคำสั่งลงหวายให้เจ็บตัวกัน
   “ก็เรือนของขุนนางหรือเศรษฐีบางคนกวาดซื้อเสบียงอาหารไว้เมื่อยามฉุกเฉินกันเป็นทิวแถว แต่เสบียงเหล่านั้นกลับไม่ได้นำมาแบ่งให้บ่าวไพร่ในเรือนเลย บางเรือนอดตายเป็นสิบก็ยังมี” คุณย่าถอนหายใจปลดในความใจจืดใจดำของคนบางคน
   “บ้ากันไปแล้ว ทำอย่างนั้นกันได้อย่างไรไม่ต้องเป็นคนดอกต่อให้เป็นหมูเป็นหมาถ้าเราคิดจะเลี้ยงมันแล้วก็สมควรเลี้ยงมันไปจนกว่ามันจะตาย ไม่ใช่มอบความตายให้มันทางอ้อมเช่นนี้” ขุนทับโกรธจนตัวสั่น “ไอ้ม่านเตรียมพร้อมจะฆ่าเราทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ก่อนจะถึงวันนั้นคนของเรานี่แหละจะมอบความตายให้กันเองเสียก่อนแล้ว”
   “ย่าเลยจะมาถามทุกคนว่า ถ้าย่าจะเปิดโรงทานเล็ก ๆ ๔ หรือ ๕ วันเปิดครั้ง บริจาคให้คนยากคนจน หรือบ่าวไพร่ที่นายมันไม่คิดเลี้ยงแล้วพวกเจ้าจะเห็นว่าอย่างไร ไม่ต้องตามใจคนแก่ดอกนะ ถ้าไม่เห็นด้วยก็บอกกันมาได้”
   “ฉันเห็นด้วยกับคุณแม่อยู่แล้ว และเชื่อว่าทุกคนก็คงเห็นด้วยเหมือนกัน สงครามนี้เป็นสงครามใหญ่ พวกเราจะรอดหรือไม่ ยังไม่รู้เลยจะไปห่วงทำไมทรัพย์สมบัติที่อาจไม่ได้ใช้ สู่เอาไปช่วยเหลือคนที่ในอนาคตอาจเป็นกำลังในการช่วยกรุงศรีไม่ดีกว่ารึ อย่าได้ประมาณว่ามันเป็นบ่าวไพร่ หรือชาวบ้าน ดูอย่างชาวบ้านบางระจันพวกเขาเป็นแค่ชาวบ้านเหมือนกันยังจับดาบรบกับพม่าได้เป็นแรมเดือน ใครมันนายไม่เลี้ยง หรือไม่มีที่ไปเอามันมาอยู่นี่ อยู่ที่เรือนเรา แล้วเราจะสอนมันให้เป็นดาบอย่างน้อยช่วยบ้านเมืองไม่ได้ ก็ยังสามารถช่วยชีวิตตนเองและครอบครัวมันได้ละวะ”

   หลังตกลงกันได้ ไม่อีกวันต่อมาโรงทานเรือนช่างทองชิดก็เปิดรับคนยากคนจนที่ไม่มีอาหารโดยให้ทานเป็นอาหารสดที่ต้องกินเลยหรือเก็บได้เพียง ๑-๒ วัน ด้วยกลัวว่าถ้าให้อาหารแห้งอาจมีคนเห็นแก่ตัวที่ไม่ได้ลำบากจริงเข้ามาเอาไปเก็บกักตุน บ่าวไพร่ในเรือนเองต่างก็ช่วยกันอย่างแข็งขัน พร้อมนำเรื่องความมีน้ำใจของนายตนไปโอ้อวดคนอื่น ส่วนใครที่ยังไม่ถึงขั้นอดอยากก็เดินทางมาเรียนวิชาดาบเพื่อปกป้องบ้านเมือง นอกจากนี้บางครอบครัวเห็นว่าเป็นการดีในการร่วมกันทำบุญครั้งใหญ่เผื่อว่ากุศลครั้งนี้จะช่วยให้กรุงศรีรอดพ้นโพยภัย
   “พี่ทับจ๊ะ เด็กคนนั้นฉันเห็นมามองโรงทานและโรงฝึกของเราหลายวันแล้ว แต่ไม่เห็นจะเดินเข้ามาขออะไรกลับไปสักอย่าง” เรืองชี้ไปที่เด็กตัวจ้อยที่แอบอยู่ตรงหลังต้นไม้ใหญ่
   “เดี๋ยวพี่เดินเข้าไปถามเองจะดีกว่า” ว่าแล้วขุนทับก็เดินไปพร้อมนั่งยอง ๆ อยู่ข้างเด็กน้อย “มาทำอะไรอยู่ตรงนี้รึพ่อหนู หิวหรือไม่ เข้ามาหาอะไรกินก่อนก็ได้นะ”
   “ข้าไม่มีอัฐดอก เข้าไปก็คงกินอะไรไม่ได้” เด็กน้อยตอบแบบกล้า ๆ กลัว ๆ
   “ที่นี้เป็นโรงทานไม่มีอัฐก็กินได้ เอาไปฝากพ่อแม่ด้วยก็ได้นะ มากับฉันเถอะพ่อประเดี๋ยวฉันไปตักให้” ว่าแล้วก็จูงมือพาเข้าไปในโรงทาน พร้อมหาอาหารให้กิน “แล้วจะเอาไปฝากพ่อแม่ด้วยรึไม่ หรือจะพามากินที่นี้ก็ได้นะ”
   “ข้าไม่มีพ่อกับแม่ดอก ตายหมดแล้วที่เมืองสวรรคตโลก ข้าหนีมาได้คนเดียว เมื่อเจอคนที่หนีรอดด้วยเช่นกันก็เดินตาม ๆ คนอื่นเขาเข้ามาให้กำแพงนี้คนเดียว”
   “เก่งเสียจริงตัวแค่นี้เดินตัวคนเดียวมาถึงกรุงศรีได้” ขุนทับทึ่งในการเอาตัวรอดของเด็กคนนี้ได้ “แล้วนี่มาอยู่กับใครละ”
   “ก็อยู่ตามตลาดบ้างวัดบ้าง นอนไหนได้ก็นอนนั้นแหละ”
   “อย่างนั้นมาอยู่กับพี่ไหม มาอยู่ที่นี่มีทั้งข้าวให้กิน ถ้าอยากฝึกดาบหรืออยากเรียนเขียนอ่านประเดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะสอนให้เองเอาไหม” เด็กน้อยได้ยินก็พยักหน้ารับแรง ๆ ไม่หยุดพร้อมร้องไห้ไปด้วย ขุนทับคิดว่าตนอาจได้น้องชายคนใหม่มาแทนทีคนเก่าที่เปลี่ยนสถานะไปนานแล้วก็เป็นได้ “เอา ๆ หยุดร้องไห้ได้แล้วชื่ออะไรล่ะพี่จะได้เรียกชื่อถูก”
   “จ้อยข้าชื่อจ้อย” จ้อยพยายามกั้นสะอื้นเพราะ กลังคนตรงหน้าจะไม่พอใจที่ตนเอาแต่ร้องไห้แล้วเปลี่ยนใจไม่รับเลี้ยงตนแล้ว
   “เรืองมานี้สิ พี่จะแนะนำให้รู้จัก” หลังแนะนำกันแล้วเรืองก็เห็นด้วยกับขุนทับที่จะเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้ นอกจากสงสารแล้วเด็กตรงหน้ายังดูแววตาเฉลียวฉลาด และคงฉลาดจริง ๆ ไม่อยากนั้นก็ไม่สามารถเดินทางจากสวรรคตโลกมากรุงศรีอยุธยาได้ตัวคนเดียว
   พอตกลงกันได้แล้วทั้งสองก็พาจ้อยไปพบกับทุกคนในครอบครัว โดยขุนทับคิดว่าจะรับจ้อยมาดูแลเสมือนน้องแท้ ๆ ของตนอีกคน
   “อายุเท่าไรแล้วละพ่อคุณ พวกพี่ ๆ ก็ไม่ได้ถามสักแต่อยากเลี้ยงเด็ก เด็กน่ะไม่ได้เลี้ยงกันง่าย ๆ ดอกนะ ถึงจะไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ แล้ว แต่เด็กก็คือเด็ก มาอยู่กับย่าที่เรือนใหญ่เห็นจะดีกว่าย่าจะให้นอนห้องเก่าพ่อเรืองที่เจ้าตัวแทบไม่ได้นอนแล้ว แต่ก่อนอื่นตอบคำถามที่ย่าถามมาก่อนซิ”
   “๗ ปีแล้วจ๊ะ” เมื่อเห็นทุกคนในบ้านไม่รังเกียจตน จ้อยก็รู้สึกว่าน้ำตาของตนมันจะไหลออกมาอีกแล้ว
   “ไม่เอาไม่ร้อง ที่นี่ไม่มียักษ์ไม่มีมาร ไม่ต้อองกลัวมาเป็นหลานของย่าอีกคนก็แล้วกัน” นายหญิงใหญ่ของบ้านออกจะดีใจเสียด้วยซ้ำ ถึงจะยังไม่มีเหลนให้อุ้มแต่มีหลานมาเพิ่มก็ยังดี “คืนนี้มานอนกับย่าก่อนเห็นทีจะดีกว่า แปลกที่แปลกทางอาจนอนหลับยาก”
อยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงสัปดาห์ดีจ้อยก็รู้สึกว่าตนเองนั้นโชคดีเหลือเกินจนคิดว่าโชคทั้งหมดในชีวิตนี้ที่เหลืออยู่ อาจใช้ไปกับการได้อยู่กับครอบครัวนี้ไปหมดแล้วก็เป็นได้ แต่ละคนต่างใจดีให้ข้าวให้น้ำ พร้อมสอนหนังสือและวิชาดาบ ยิ่งวิชาดาบด้วยแล้ววันหน้าคงได้จับฟาดฟันไอ้พวกม่านที่เคยฆ่าพ่อแม่ของตน
   
   “แย่แล้ว แย่แล้วพวกมึงไอ้พวกม่านมาบุกมาแล้วหนีกันเร็ววววววววววววว” เสียงยายแม้นที่อาศัยอยู่เรือนใกล้ ๆ ตะโกนร้องบอก
พ่อกับแม่ต่างเก็บเสื้อผ้าชุดสองชุด จูงมือจ้อยคนละข้างวิ่งหนีทหารม่านไปกับคนอื่น ๆ แต่ฝีเท้าคนรึจะสู้ฝีเท้าม้า หนีไปได้ไม่ถึงสองวันดี ทหารอังวะก็เข้ามาประชิดตัวทุกคนที่อยู่ด้วยกันตอนนั้นถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น พ่อแม่ร่วมทั้งจ้อยต่างต้องโดนทำนาปลูกข้าวเมื่อให้เป็นเสบียงสำหรับพวกมัน
“อย่าอู้ ใครอู้กูจะเฆี่ยนให้ตายเลยค่อยดู ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” ไอ้ม้านคนคุ้มเชลยไม่เคยมีอำนาจมากก่อนเพราะ อยู่กรุง     อังวะก็เป็นแค่ทหารชั้นผู้น้อย ได้มีโอกาสเป็นคนมีอำนาจก็ยิ่งข่มเหงเชลย ใครที่ทำงานไม่ไหวก็โดนบังคับให้ลุกขึ้นมาทำงานต่อจนสุดท้ายล้มตายก็ยังมี แค่ทำงานแค่นี้จ้อยไม่เหนื่อยมากนักดอกเพราะ ปกติก็ช่วยพ่อกับแม่ทำนาอยู่แล้ว ปัญญามันอยู่ที่...
“เอ็งเห็นหรือไม่อีเชลยคนนั้นสะสวยใช้ได้ ข้าอยากได้มันมาทำเมียเสียจริง”
“ผัวมัน ลูกมันก็อยู่ตรงนั้น เอ็งจะไปยุ่งกับมันทำไม ไปหาอีสาว ๆ ไม่ง่ายกว่ารึ”
“ข้าจะเอาก็คือจะเอา เอ็งไม่เห็นด้วย อย่ามายุ่งก็พอ” ไอ้ม่านนรกคิดไว้แล้วว่าอย่างไรก็จะเอาเชลยกรุงศรีนางนี้มาเป็นเมียให้ได้ มันอาศัยจังหวะตอนกลางคืนเข้ามาหมายจะข่มเหงแม่ของจ้อย
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย” แม่เป็นหญิงไม่มีแรงต่อสู้มากนักทำได้แค่ตะโกนให้คนช่วย พ่อกับจ้อยรีบวิ่งเข้ามาช่วยแม่ แต่ไอ้ม่านคนนั้นมันกลับเอาดาบแทงพ่อจนพ่อล้มลงตายตรงหน้า เมื่อมันฆ่าพ่อแล้วก็หันกลับมาหาแม่อีกครั้ง แม่คิดว่าหนีไม่รอดแน่แล้ว จะอยู่ก็คงเป็นการเติมราคีให้ตนเองถึงเอาดาบที่แทงพ่อปาดคอตัวเองตายตาม
“ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย พ่อจ้าแม่จ้าอย่าทิ้งข้าไป อย่าตายนะจ๊ะ ฮือ ๆ ๆ ๆ” จ้อยร้องไห้เสียงดังจนเชลยและทหารม่านคนอื่นออกมาดู
“เสียงดังจริงโว้ยไอ้เด็กนี่ ตายตามพ่อแม่มึงไปเลยละกัน” ไอ้ระยำม่านกะฆ่าให้ตกตายไปตามกับทั้งครอบครัวยกดาบขึ้นหวังฟันเด็กน้อยให้สิ้นใจ
“พอแล้วมึง เห็นหรือไม่คนมองอยู่เยอะแยะประเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง ไอ้เด็กนี่เดี๋ยวข้าจัดการให้เอง เอาศพอีสองคนผัวเมียไปทิ้งก่อนไป๊” ว่าแล้วให้ลากจ้อยออกจากบริเวณนั้น “มานี่ไอ้หนู ตัวแค่นี้ต้องเสียพ่อกับแม่ไปพร้อมกันเวรกรรมเสียจริง ต่อจากนี้เอ็งคงต้องเลือกทางเดินของเอ็งเองแล้ว เดินไปทางนั้นนะตรงไปเรื่อย ๆ เส้นทางนี้เป็นทางเข้ากรุงศรี แต่ถ้าเอ็งจะเดินกลับหลังไปสวรรคตโลกก็ได้คงไม่มีทหารอังวะอยู่แล้วเพราะ ต้องตามทัพใหญ่มาไปรวมที่กรุงศรี แต่จะมีคนยังเหลือรอดอยู่ไหม อันนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ทำไมถึงช่วยข้า สหายเอ็งฆ่าพ่อแม่ข้าไปหมดแล้ว ทำไมเอ็งไม่ฆ่าข้าไปอีกคน” จ้อยแปลกใจเพราะ นอกจากไม่ฆ่ายังชี้ทางเดินให้อีกด้วย
“อย่ามาว่าข้าเป็นสหายกับไอ้ระยำนั้น สัตว์นรกแท้ ๆ ผู้หญิงก็จะข่มขื่น เด็กก็จะฆ่า พระเจ้ามังระพระองค์ต้องการทหารมากเกณฑ์คนทุกคนที่อยากมียศมีอำนาจมาเป็นทหาร ข้านี้เป็นทหารแท้รับไม่ได้กับการทำตัวเยี่ยงโจรเช่นนี้ ครอบครัวข้าก็มีลูกข้าอันที่จริงก็ยังเล็ก ข้าทำใจตายเด็กไม่ได้ดอก”
“ไม่กลัวข้ากลับมาแก้แค้นรึ”
“อย่าว่าแต่เอ็งเลย เป็นข้าข้าก็จะแก้แค้นให้พ่อแม่เช่นด้วยกัน แต่ข้าเป็นทหารได้รบก็ขอรบแบบทหาร ถ้าตายก็ขอตายแบบทหารเช่นกัน ให้ฆ่าคนไม่มีอาวุธข้าทำไม่ได้ดอก ไปเถอะ จงไป เลือกทางที่มีประโยชน์กับเจ้าที่สุด”
   จ้อยได้ยินก็เริ่มออกวิ่ง ใจคิดแต่จะไปกรุงศรีในเมื่อสวรรค์ยังไม่อยากให้ตนตาย ก็หวังว่าตนจะดวงแข็งพอได้แก้แค้นให้พ่อแม่ที่ตายไป แล้วโชคก็มีจริง ๆ ที่ตนได้เจอกับครอบครัวนี้ สวรรค์ยังไม่ใจดำกับตนจนเกินไปจริง ๆ

   “มาร้องไห้อะไรตรงนี้เล่าจ้อย ใครแกล้งเจ้าบอกพี่มาประเดี๋ยวพี่จะไปจัดการมันให้” เรืองเข้าใจความรู้สึกของพี่ทับตอนเป็นพี่ก็ครั้งนี้แหละ
   “ข้าแค่คิดถึงพ่อกับแม่เท่านั้น ไม่มีอะไรมากดอก ฮือ ๆ” จ้อยพยายามหยุดร้องไห้เพราะ ไม่อยากให้ผู้มีพระคุณรู้สึกไม่ดี
   “ดี ๆ อย่างนั้นฉันเป็นพ่อให้จ้อยดีหรือไม่ จริง ๆ ฉันก็อยากเป็นพี่แต่ถ้าได้เป็นพ่อคนก็คงดีไปอีกแบบ อีกอย่างฉันเป็นคนพบจ้อยคนแรกดังนั้นฉันจะเป็นพ่อให้จ้อยเอง” ยิ่งตนแต่งงานมีเหลนและหลานให้คุณย่ากับคุณพ่อไม่ได้ รับจ้อยมาเป็นลูกเห็นจะดีกว่า
   “จริงนะจ๊ะ ฉันจะกลับมามีพ่ออีกครั้งแล้วใช่หรือไม่จ๊ะ แล้วเมื่อใดฉันจะมีแม่ใหม่ละจ๊ะ” จ้อยรู้ดีว่าพ่อกับแม่ตนคงไม่ฟื้นกลับมาแล้ว แต่ถ้าตนอยู่ดีมีสุขได้พ่อกับแม่ที่อยู่บนสวรรค์คงดีใจมากกว่า มีความสุขและแก้แค้นให้พ่อกับแม่ที่ตายไปแค่นี้ก็เพียงพอ “ข้าจะไปบอกทุกคนนะว่าพ่อเรืองจะมาเป็นพ่อใหม่ให้ฉัน แล้วกำลังจะหาแม่ใหม่ให้ฉันด้วย”
   ว่าแล้วจ้อยก็รีบวิ่งไปบอกทุกคนบนเรือนว่าตนกับเรืองนั้นกลายมาเป็นพ่อกับลูกกันแล้ว และเรืองก็กำลังจะหาแม่ใหม่ให้ตนอีกด้วย
   “อะไรนะเรืองจะเป็นพ่อให้จ้อยรึ พี่ว่าพี่เป็นเองเห็นทีจะดีกว่าอายุพี่เหมาะสำหรับการมีลูกมากมาย ดังนั้นจ้อยเจ้ามาเป็นลูกพ่อเถอะ” ขุนทับชอบความคิดเรืองครั้งนี้มาก อันที่จริงอยากให้ทั้งตนและเรืองเป็นพ่อของจ้อยด้วยกันทั้งคู่
   “อย่างนั้นพี่เป็นด้วยพี่ก็เหมาะกับการมีลูกแล้วเหมือนกัน เอาอย่างนี้ถึงเจ้าจะไม่มีแม่แต่เจ้าก็มีพ่อถึงสามคนดีหรือไม่” เดือนเองนั้นก็ถูกชะตากับเจ้าเด็กตัวจ้อยนี้ตั้งแต่แรกเห็น มีรึจะยอมให้เรืองกับขุนทับรับเป็นพ่อไปสองคน พบก่อนพบหลังไม่เห็นจะเป็นปัญหา พบก็คือพบในเมื่อขุนทับยึดเรืองไปแล้ว ตนจะยึดไอ้เด็กตัวจ้อยนี้แทนเหมือนกัน


ตอนนี้เหมือนไม่มีอะไรแต่เราอยากให้เห็นว่าคนทุกชาติมีทั้งคนดี คนไม่ดีปะปนกันไป.
https://www.facebook.com/tipin1994/
https://twitter.com/Tipin_pin เราทำลิงค์เว็บใส่ข้างล่างไม่เป็นอะ  :mew5:
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่18 (31/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 31-07-2017 21:46:55
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่18 (31/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 03-08-2017 07:21:08
ขำเดือน น้องโดนยึด เลยมายึดจ้อยซะเลย
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่19 (14/08/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 14-08-2017 22:15:36
ตอนที่ 19 คำทำนาย
   “ฝนตกลงมาแล้วโว้ยยยยยยยย อีกไม่นานไอ้พวกม่านคงได้กลับเมืองมันเป็นแน่แท้” เสียงชาวบ้านร้องดังลั่นด้วยความดีใจ เพราะหลังฝนตกไม่นานก็ถึงฤดูน้ำหลาก ซึ่งไม่เคยมีข้าศึกเมืองไหนอยู่ถึงหลังน้ำหลากได้เลย
   แต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้ชาวกรุงศรีอยุธยากลับคิดผิด พวกเมืองม้านไม่เพียงไม่ยกทัพกลับอังวะแต่ฝึกซ้อมเพลงดาบอย่างขยันขันแข็ง และบังคับให้เชลยที่จับมาได้ช่วยกันปลูกข้าวในบริเวณใกล้ ๆ ค่าย
   “ท่านเนเมียวสีหบดี ฤดูน้ำหลากมาถึงเช่นนี้แล้วท่านคิดว่าเราไม่ยกทัพกลับจะดีจริง ๆ รึ” มังมหานรธาถามด้วยความสงสัย ถึงตนจะเป็นแม่ทัพใหญ่เหมือนกันและไม่ชอบที่มีคนเป็นใหญ่เท่าตนในทัพนี้เท่าไรนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมเมียวสีหบดีมีอายุมากกว่า และผ่านการศึกมากกว่าจึงจำเป็นต้องปรึกษาหารือ
   “ฤดูน้ำหลากเช่นนี้ฝ่ายเราอาจมีปัญหาก็จริง แต่หลังฤดูน้ำหลากผ่านไปไอ้พวกกรุงศรีเหล่านั้นจะต้องลำบากแทนเรา” เนเมียวสีหบดีตอบด้วยความมั่นใจ “หน้าน้ำเช่นนี้ทัพจากไหนก็มาช่วยกรุงศรีอยุธยาไม่ได้ ถือเป็นการตัดมือตัดเท้าของมัน ที่สำคัญกว่าผู้ช่วยก็คืออาหาร ฤดูนี้เป็นฤดูเพาะปลูก แต่บริเวณดังกล่าวตอนนี้ก็กลายเป็นพื้นที่ของเราไปส่วนหนึ่งแล้ว หลังจากนี้พวกมันได้อดตายอยู่ในกำแพงที่มันคิดว่าเป็นที่ปกป้องมันนั้นแหละ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ”

   “เป็นดังที่ขุนหลวงหาวัดเคยกล่าวไว้เมื่อศึกครั้งก่อน มันมาถึงเสียแล้ววันที่ไอ้ม่านไม่กลัวน้ำ” ขุนทับหน้าเคร่งเครียด
        “คงถึงเวลาเสียแล้วละกรุงศรีของเราอยู่มานานมากพอแล้ว คุณย่าขอรับกระผมว่าควรถึงเวลาให้บ่าวไพร่ตระเตรียมอาหารแห้งไว้เสียแล้วละขอรับ เผื่อเมื่อถึงเวลาเราจะได้ไม่อดตายกันไปเสียก่อน พวกเราทุกคนต้องยอมรับความจริงแล้วว่ากรุงศรีเพลานี้อ่อนแอเสียเหลือเกินและไม่ว่าจะเสียกรุงหรือไม่ แต่กระผมเชื่อว่าคนของเรายังมีคนที่มีความรู้ความสามารถ ขนาดเสียกรุงไปครั้งหนึ่งแล้วเรายังกลับมารวมกันได้ ดังนั้นถ้ามันจะเสียอีกครั้งมันก็ต้องกลับมาอีกครั้งเหมือนกัน” หลวงด้วงกล่าวเสริม
         “แล้วทางในวังเป็นอย่างไรบ้างละพ่อด้วง” นายช่างชิดถาม ถึงคิดไว้บางว่าคงย่ำแย่ไม่อย่างนั้นหลวงด้วงคงไม่พูดแบบนั้น แต่ก็ยังอยากถามด้วยความแน่ใจ
          “พระเจ้าอยู่หัวเอกทัศทรงมีรับสั่งให้พระยากำแพงเพชร*และพระยาเพชรบุรีออกรบทางน้ำในการศึกครั้งหน้า ครั้งนี้กระผมกับพ่อทับจะร่วมออกรบด้วย”
          “แล้วเรืองเล่าเจ้าไม่ออกรบกับคนอื่นด้วยรึ” เดือนถามด้วยความแปลกใจ เพราะไม่เคยเห็นครั้งใดที่ขุนทับออกรบแล้วเรืองจะไม่ตามไปถ้าไม่บาดเจ็บร้ายแรง
          “ครั้งนี้ฉันมีหน้าที่ใหญ่ต้องทำ ไปออกรบกับพวกพี่ ๆ เขาไม่ได้จ้ะ แต่ถ้าเลือกได้ฉันก็ไม่อยากทำหน้าที่ที่ได้รับหมอบหมายเลย” เรืองถอนหายใจเสียงเครียด แล้วไม่พูดอะไรต่อทำให้ไม่มีใครกล้าถามด้วยกลัวว่าอาจเป็นราชการลับก็เป็นได้

            “หน้าที่ของเจ้าสำคัญที่สุดเข้าใจรึไหม” ขุนทับถามคนรักในอ้อมกอด “ถ้าเราไปรบกันหมดทุกคนแล้วไม่รอด ใครเล่าจะดูแลคนที่อยู่ด้านหลัง แต่อย่าได้เป็นกังวลไปเราพึ่งจะมีลูกเป็นสร้อยทองคล้องใจ พี่ไม่มีวันเป็นอะไรไปแล้วทิ้งให้เจ้าต้องเป็นหม้ายดอก”
            “ยังจะพูดเล่นอีก ถ้าเราไม่ปรึกษากันก่อนว่าให้พี่ด้วงกับพี่ทับไปดูลาดเลาโอกาสรอดของกรุงศรีจากศึกครั้งนี้ละก็ ฉันไม่มีวันปล่อยพี่ไปโดยไม่มีฉันแน่ ๆ แต่อย่าได้กังวลถ้าหลังเสียศึกแล้วพี่ทั้งสองไม่กลับมา ฉันจะพาทุกคนลอบออกจากกรุงศรีไปสมทบอีกที”
            “แต่อย่าพึ่งพูดในทุกคนตื่นตระหนกละ ถ้าศึกครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดีกรุงศรีอยุธยาของเราก็อาจจะชนะไอ้ม่านก็เป็นได้”           
            “พี่ทับเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ รึจ๊ะ” เรืองดูออกว่าคนรักพูดจาปลอบโยนไปอย่างนั้น
            “เราไม่มีใครรู้อนาคตไปได้ดอกนะเรือง ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ลงความเห็นกันว่าดูศึกครั้งนี้เป็นศึกตัดสินว่าเราจะอยู่หรือเราจะไปดอก” ขุนทับกอดเรืองแน่น “นอนเสียคนดีไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วเราก็สัญญากันแล้วอย่างไรเล่าว่าหลังจบศึกใหญ่ครั้งนี้เราจะออกจากราชการมาใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน
             จำคำพี่ไว้ให้มั่นหากพี่ไม่กลับมาจงนำทุกคนเดินทางในเวลาค่ำลักลอบออกจากกรุงศรีไปสวรรคตโลกเมืองเก่าเจ้าจ้อย ค่อยฟังข่าวให้ดีถ้าพี่ไปรับเจ้าไม่ได้ เจ้าก็จงเดินทางไปหาพี่ตามข่าวที่ได้ยิน” พร้อมจูบหน้าผากลาคนรัก เวลานี้ไม่มีอะไรแน่นอนตนกับเรืองจึงต้องวางแผนเป็น ๑๐ แผนในการรับมือถ้าหากกรุงศรีอยุธยาถึงคราวเสียกรุง เพราะดูจากท่าทีแล้วไอ้ม่านมันคงไม่ทนอยู่มาเป็นปีโดยไม่ได้อะไรกลับไปเป็นแน่แท้

               รุ่งขึ้นก่อนฟ้าสางขุนทับกับหลวงด้วงต่างมารวมตัวกันกับทหารคนอื่น ๆ โดยศึกครั้งนี้พระยาเพชรบุรีเป็นทัพหน้า     พระยากำแพงเพชรเป็นทัพหลัง ทุกคนต่างขึ้นประจำการบนเรือเตรียมกายเตรียมใจในการศึกครั้งนี้เป็นมั่น ด้วยเป็นศึกแรกหลังฤดูน้ำหลากถ้าชนะได้ก็ถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยให้กับกรุงศรี และถ้าชนะได้ขุนทับจะได้กลับไปหาเรืองไปช่วยไม่ให้น้องต้องเหนื่อยคนเดียว แต่การศึกก็สำคัญจะให้หลวงด้วงไปคนเดียวก็เห็นจะไม่ดี ด้วยทั้งสามต่างเดินทางมาขอเข้าร่วมกับพระยากำแพงเพชรพร้อมกัน แต่เวลาออกศึกกลับไปคนเดียว
ในการศึกครั้งนี้หลังเคลื่อนศึกไปได้ไม่นาน ด้วยไม่เห็นกำลังข้าศึกมาตั้งรับทหารทุกคนต่างยิ่งมีกำลังใจเร่งฝีพายเป็นเท่าตัว
         “หยุดก่อน หยุด!!!!! มันแปลก ๆ ไปนะ ทัพเราก็ไม่เล็ก มากันก็อึกทึกครึกโครมไม่มีทางที่พวกม่านจะไม่ออกมาตั้งรับ” พระยากำแพงเพชรสงสัย “ตรวจดูให้ดี ๆ มันแอบซุ่มโจมตีเราจากตรงไหนรึไม่”
   “ตรงนั้นขอรับ ตรงหลังพุ่มไม้ริมน้ำ” หลวงพิชัยตะโกนตอบ “เร็วพวกเราหันปืนใหญ่ไปทางมันกันเลย”
   ฝ่ายพม่าเห็นว่าศัตรูรู้ที่ซ่อนแล้วก็ยิงปืนใหญ่ที่แอบซุ่มเอาไว้โจมตี เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวเรือทั้งสองฝ่ายต่างแตก เศษไม้ลอยตามน้ำไปพร้อมกับศพทหาร ส่วนทหารที่หนีรอดเพราะกระโดนลงจากเรือทันต่างจับดาบวิ่งเข้าหาศัตรู เสียงดาบเสียงกระสุนปืนกระทบน้ำและเรือดังสลับกันไปมา
   “ไป! บุกมันเข้าไป เราต้องเอาชัยกลับไปฝากกรุงศรีอยุธยา” พระยาเพชรบุรีตะโกนบนเรือลำแรก
   “เย้!!!!!!!” เสียงร้องรับเรียกขวัญและกำลังใจจากทหารกรุงศรีดังไปทั่วน่านน้ำ
ขุนทับเองนั้นมือสองข้างถือดาบมั่นใจคิดว่าถ้าชนะจะได้กลับไปหาคนรัก วิ่งในน้ำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เลือดของข้าศึกกระเด็นเข้าหน้าเข้าตา ใจมุ่งมั่นแต่การชนะจนไม่ได้ยินเสียงตะโกนจากข้างหลัง
   “แนวปืนใหญ่ขอรับ พระยาเพชรบุรี พ่อทับกลับมา กลับมาเดี๋ยวนี้” หลวงด้วงตะโกนบอกด้วยความเป็นห่วง “กลับมาเดี๋ยวนี้ พระยากำแพงเพชรขอรับสั่งยิงปืนใหญ่ไปบนค่ายปืนเถอะขอรับ”
   “หันหัวปืนใหญ่ไปทางค่ายเร็วเข้า” พระยากำแพงเพชรเองก็กังวลไม่แพ้กัน “เร็ว! เร็วเข้า พระยาเพชรบุรีขอรับถอยเร็วขอรับ”
   แต่เสียงมากมายบริเวณนั้นต่างดังกลบเสียงตะโกนไปหมดสิ้น ฝั่งพม่าเองเห็นแม่ทัพกรุงศรีอยุธยาเข้ามาใกล้วิถีกระสุนก็สั่งยิงออกไป
   “ตู้ม!!!” กระสุนปืนวิ่งเข้าใส่เรือพระยาเพชรบุรีในทันที ร่างของท่านโดนแรงระเบิดเอาไปเต็ม ๆ เลือดสาดกระจายเต็มลำน้ำนั้น ส่วนขุนทับเองก็โดนแรงสะเก็ดกระสุนเข้าจนตัวลอยตามแรงปะทะ
   “ท่านพระยา” / “พ่อทับบบบบบบบบบบบ” หลวงด้วงรีบกระโดดลงน้ำไปหาร่างของน้องที่จมไปในน้ำ
   “ยิงค่ายของมันเดี๋ยวนี้” พระยากำแพงเพชรออกเสียงสั่งด้วยความโกรธเกรี้ยว
แต่ถึงจะยิงปืนใหญ่บนค่ายจนแตกได้ แต่ด้วยกำลังพลที่น้อยกว่า และหนึ่งในสองแม่ทัพใหญ่ก็เสียชีวิตแล้ว พระยากำแพงเพชรต้องจำใจประกาศถอยทัพขึ้นบก

   “พ่อทับ พ่อทับน้องพี่เจ้าอย่าเป็นอะไรไปนะ” หลวงด้วงลากน้องชายเพียงคนเดียวขึ้นบนน้ำ “ใครก็ได้ช่วยน้องฉันด้วย” น้ำตาลูกผู้ชายไหลมาอีกครั้ง ตนเสียพ่อในสนามรบไปครั้งหนึ่งแล้วไม่อยากเสียน้องไปอีกคน
   “สะเก็ดกระสุนโดนไปหลายส่วนของร่างกายเลย เลือดก็ออกมามากเช่นเดียวกัน โอกาสรอดมีไม่สูงนัก ขึ้นอยู่ที่กำลังใจเป็นหลักแล้วแหละทีนี้ ฉันก็ช่วยได้แค่ไม่ให้แผลอักเสบมากไปกว่านี้และห้ามไม่ให้เลือดไหลออกมาเพิ่มเท่านั้นแหละพ่อ” หมอในกองทัพก็บอกอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้เมื่อเห็นแผลที่เต็มไปทั้งใบหน้าและลำตัว
   “พ่อทับอย่าทิ้งพี่ไม่อีกคนนะพี่ขอร้อง จะให้พี่เผาทั้งศพพ่อและศพน้องพี่ทำใจไม่ไหวดอกนะพ่อ” เห็นสภาพน้องที่นอนแน่นิ่งมีเพียงลมหายใจอ่อน ๆ ที่ไม่แน่ใจว่าจะหยุดไปเมื่อไร

   “พ่อเรืองเป็นอะไรจ๊ะ” จ้อยตะโกนลั่นหลังเห็นพ่อสามของตนลงไปนั่งหอบหายใจอยู่กับพื้น
   “ไม่รู้สิจ้อย อยู่ ๆ พ่อก็รู้สึกใจหาย รู้สึกไม่ดีอย่างไรไม่รู้” เรืองใจหายคิดไปถึงขุนทับ อาการนี้ไม่เคยเกิดมาก่อนเลย แล้วทำไมมันต้องมาเกิดตอนพี่ทับไม่อยู่ด้วยก็ไม่รู้
   “มานั่งทำอะไรกันอยู่ตรงนี้” เดือนเดินเข้ามาถามด้วยความสงสัย
   “พ่อสามเป็นอะไรไปก็ไม่รู้จ้ะพ่อใหญ่ ฉันมาเห็นก็นั่งอยู่ตรงนี้แล้ว” จ้อยไม่เข้าใจอาการที่เรืองพูดออกมาเท่าไรนัก
   “เป็นอะไรไปละเรือง เจ้าจ้อยมันจะร้องอยู่แล้ว ไหนบอกพี่มาสิเป็นอะไร”
   “ฉันรู้สึกใจหายจ้ะพี่เดือน จะเกิดอะไรกับพี่ทับรึเปล่าก็ไม่รู้”
   “จะบ้ารึ เจ้าไม่สบายจะไปเกี่ยวกับขุนทับที่ไปออกรบได้อย่างไร เจ้าเป็นหมอดูรึก็เปล่า” เดือนไม่รู้ดอกว่าจะเกี่ยวกันไหม แต่จะปล่อยให้น้องของตัวเองต้องเป็นกังวลไปก่อนละก็ ไม่มีทางที่ไอ้เดือนคนนี้จะพูดออกไปเด็ดขาด
   “ก็จริง ฉันคงกังวลมากไปเลยคิดเป็นเรื่องเป็นราว จะไปมีอะไรได้อย่างไรฉันไม่ใช่พวกมีคาถาอาคมเสียหน่อย จะไปรู้เหตุการณ์ที่ตนไม่เห็นได้อย่างไร” เรืองปลอบตัวเองไปพร้อมกัน เพราะไม่อยากให้เป็นเหมือนที่ตนต้องกังวล
   “ไป ๆ จ้อยถ้าพ่อเรืองไม่สบายก็ให้พ่อเรืองไปพัก ไม่ต้องซ้อมแล้วดาบ ไปเดินตลาดกับพ่อเดือนดีกว่า” ถึงจะห่วงน้องแต่นี่ก็เป็นโอกาสดีที่จะยึดจ้อยให้ไปกับตัวเองมีรึที่เดือนจะไม่รีบคว้าโอกาสนี้ไว้
   “ไปจ้ะไป พ่อเรืองก็พักผ่อนให้มาก ๆ นะจ๊ะ ประเดี๋ยวฉันจะไปซื้อของกินอร่อย ๆ มาให้” ว่าแล้วจ้อยก็จูงมือเดือนไปออกไป ส่วนเดือนเองเห็นเด็กตัวน้อยจับมือก็ยิ้มกว้างหน้าบาน

   เสียดายที่เรืองกับขุนทับไม่ได้ยินเสียงเตือนที่ลอยตามลมมาตั้งแต่ก่อนออกรบ
‘มีเหตุร้ายใหญ่โตอย่าได้ห่างกันโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคนใดคนหนึ่งจะต้องเลือดตกยางออก อย่างน้อยอาจแค่เจ็บตัว แต่ถ้าช่วงนั้นเป็นช่วงดวงตกละถึงตายได้’

พระยากำแพงเพชร* คือ ยศใหม่ของพระยาตาก



ขอโทษจริง ๆ ที่หายไปนาน ไปทำธุระที่กทม.มา ไม่ว่างจับคอมเลย
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่19 (14/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 14-08-2017 22:17:41
ไม่น่าลืมคำเตือนนั้นเลย
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่19 (14/07/60)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 15-08-2017 07:40:40
อย่าตายเลยนะสงสารจริงๆ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่20 25% (28/09/60)
เริ่มหัวข้อโดย: Tipin ที่ 28-09-2017 23:05:03
ตอนที่ 20 เสียกรุง
   “พระยาเพชรบุรีเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนไอ้พระยากำแพงเพชรก็หนีทัพ ไอ้ทหารเลวทำศึกครั้งนี้แพ้แล้วยังหนีไม่กลับมารับผิดชอบความผิดที่ทำไปอีก” จมื่นไวยเวททำเป็นพูดกับขุนนางคนอื่นเพื่อให้เข้าถึงพระกรรณพระเจ้าเอกทัศ ทั้งที่ใจยิ้มหยันสะใจ เนื่องด้วยถ้ากรุงศรีแตกในคราวนี้ตนคงได้รับบําเหน็จอย่างงามจากกษัตริย์เมืองม่านเป็นแน่
   “ช่างหัวมัน ใครจะหนีทัพก็ช่างมันไปก่อน หลังศึกครั้งนี้จบกูนี่แหละจะให้พวกมึงไปลากอ้ายอีทหารที่มันหนีทัพกับมารับอาญาให้หมดสิ้น ตอนนี้การศึกสำคัญกว่า เตรียมไพร่พลให้พร้อมการศึกครั้งนี้เห็นที่จะเป็นศึกใหญ่ครั้งสุดท้ายของเราชาวกรุงศรีก็เป็นได้” อันที่จริงพระองค์ทรงรู้พระทัพอยู่เต็มอกว่าศึกครั้งนี้กรุงศรีคงเสียเป็นครั้งที่สองเป็นแน่แท้ “ตีกลองศึกให้พร้อมเหล่าทหารกล้าแห่งกรุงศรี ศึกครั้งนี้เราจะมีชัยเหนือไอ้ม่าน!!!!!!!”
   ถึงจะตรัสให้ทุกคนออกศึก แต่ก่อนจะถึงเวลาพระเจ้าเอกทัศทรงเรียกหมื่นมิ่งเข้าเฝ้าส่วนพระองค์เอง “ไอ้มิ่ง มึงฟังคำกูให้ดี ตัวกูนั้นเป็นกษัตริย์ที่เลว ในวันข้างหน้าไม่ว่าจะอีกกี่ร้อยกี่พันปี ลูกหลานก็คงจะยังตราหน้าว่ากูเป็นกษัตริย์ที่ทำให้กรุงศรีแตก”
   “กรุงศรียังไม่แตกนะเกล้านะกระหม่อน กรุงศรียังต้องอยู่ไปอีกเป็นร้อย ๆ ปี” ถึงจะรู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ต้องมาได้ยิ่งกษัตริย์ที่ทรงเลี้ยงดูตนมาตั้งแต่เด็กตรัสเช่นนี้ ก็ไม่อาจไม่แก้ไขได้
   “มึงอย่าโกหกกูไอ้มิ่ง กูเห็นมึงมาตั้งแต่เด็ก จุกมึงกูก็ทรงเป็นประธานโกนให้ อันที่จริงกูรักมึงเหมือนลูกเหมือนหลาน กูถึงทำปิดหูปิดตา แต่กูพึ่งรู้ว่าพ่อมึง ไอ้จมื่นไวยเวทมันรวมหัวกันโกงบ้านโกงเมือง แต่กูก็รู้ว่ามึงขัดพ่อไม่ได้ วังนี้เหมือนกว้างแต่มันแคบนักนะมึง กูรู้ว่ามึงกับไอ้ขุนทัพเป็นสหายสนิทกัน ไปเสีย ไปหาไอ้ขุนทัพ กูรู้ว่าพระยากำแพงเพชรมันเป็นคนรักชาติ มันไม่ปล่อยให้กรุงศรีแตกนานนักดอก ตามไปสมทบพวกมัน กอบกู้กรุงศรีของเรา ฝากบอกลูกหลานชาวกรุงศรีด้วย ว่ากูอ้ายขุนหลวงขี้เรื้อนที่พวกมึงพูดกัน เป็นกษัตริย์ที่รักษากรุงศรีไว้ไม่ได้ กูหวังว่าวันหนึ่งพวกมึงจะกลับมา กลับมาให้กรุงศรีของเราเป็นไทอีกครั้งหนึ่ง”
   หมื่นมิ่งน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสอง ตนนั้นรักพระเจ้าแผ่นดินยิ่งกว่าพ่อของตนเองเสียด้วยซ้ำ ของคาวหวานที่พระองค์จะเสวยแค่ตนแอบมองนิดเดียวของเหล่านั้นก็จะเหลือมาถึงตนเสมอ ๆ
   “รับราชโอการใส่เกล้าใส่กระหม่อน ข้าพระพุทธเจ้าจะกลับมากอบกู้กรุงศรี จะกลับมาแน่นอน”
   หลังรับราชโองการสุดท้ายหมื่นมิ่งก็โดนไล่ให้ออกจากวังไปทางด้านหลัง เพื่อลอบเดินทางไปสมทบกับทัพของพระยากำแพงเพชร ซึ่งตนเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหน ส่วนพ่อเมื่อนึกถึงบทสนทนากับพ่อก็ได้แต่ส่ายหน้า
      ย้อนกลับไปเมื่อหลังจากหมื่นมิ่งไปเรือนจมื่นไวยเวทแล้วกลับมาเล่าเรื่องราวแผนการของไอม่านทั้งหมดที่รู้กับพระยาสรไชยผู้พ่อ
“อีกนานแค่ไหนวะไอพวกม่านมันจะเข้าตีกรุงศรี” พระยาสรไชยถามลูกชายเมื่อกลับมาถึงเรือน
      “อีกไม่นานแล้วขอรับเจ้าคุณพ่อ แต่ทำไมเจ้าคุณพ่อถึงคิดไปเป็นพวกเดียวกับไอม่านละขอรับ”
      “ใครว่ากูอยากเป็นพวกไอม่านละไอลูกโง่ ไม่ได้ความฉลาดของกูมาเลยจริง ๆ มึงไม่เห็นรึบ้านเมืองกำลังอ่อนแอ ขุนหลวงเอกทัศก็ไม่เป็นที่นิยมของชาวบ้านและขุนนางแล้ว ขุนหลวงอุทุมพรก็คงไม่สึกเพราะ ไม่อยากเป็นพระสามวัดถ้าต้องบวชอีก ทีนี้ประชาชนมันก็ต้องหาใครสักคนที่ขึ้นมาศูนย์รวมใจ ที่นั้นละมึงกูนี่ละไอพระยาสรไชยคนนี้จะลุกขึ้นสู้กับไอม่าน รู้ว่าควรทำอย่างไรถึงจะชนะ แต่กูนี่ละที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่ของกรุงศรอยุธยา ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
      หมื่นมิ่งไม่คิดเลยว่าพ่อของตนจะมักใหญ่ใฝ่สูงขนาดอยากขึ้นเป็นกษัตริย์เสียเอง แต่ถึงอย่างนั้นด้วยการถูกเลี้ยงมาอย่างนี้ทำให้หมื่นมิ่งไม่กล้าแสดงความคิดเห็นขัดพ่อของตน ได้แต่ภาวนาให้ภัยร้ายครั้งนี้ผ่านไปได้เหมือนเมื่อก่อน
   ถ้าถึงคราวต้องมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่จริง ๆ ก็ขอให้เป็นคนดีที่ทำให้บ้านเมืองเป็นสุขเสียยังดีกว่า



เราหายไปนานเลย เราเริ่มทำงานแล้วปรับเวลาไม่ถูก ขอโทษนักเขียนจริงๆที่หายไปเฉยๆ วันนี้เลยเอาแค่25% ก่อน มาให้หายคิดถึงกันก่อน เผื่อมีคนคิดถึง จะพยายามแต่งให้ยาวๆนะคะเพื่อเป็นการขอโทษ
หัวข้อ: Re: ใจรักและภักดี (นิยายสมัยอยุธยา) ตอนที่20 25% (28/09/60)
เริ่มหัวข้อโดย: .B.F.I.R.S.T. ที่ 27-02-2019 16:17:18
ยังรออยู่นะคะะ :sad4: :hao5: