บทที่ 2 คำสัญญา
ตลาดมุมเมืองตะวันออกเฉียงใต้เต็มไปด้วยร้านค้า และบ้านเรือนของชาวจีนที่มาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา เสียงตะโกนโหวกเหวกขายของมีทั้งของแปลกตา และที่เคยผ่านตาเรืองเต็มไปหมด คุณหนูเล็กบ้านช่างทองไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวเล่นแบบนี้มากนั้น ด้วยตนเองเป็นลูกหลง ทำให้ไม่มีสหายวัยเดียวกัน พี่ ๆ ก็โตกันหมดแล้ว พี่เดือนพี่คนโตก็ช่วยพ่อดูแลคนงานทำทอง ส่วนพี่จันพี่คนรองก็เป็นผู้หญิงจะพูดคุยอะไรกัน เรืองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจนัก วันนี้โชคดีจริง ๆ ที่ได้มาเจอพี่ทับ ต่อไปต้องอ้อนขอให้พามาเที่ยวบ่อยๆเสียแล้ว
“พี่ทับขอรับ จะซื้อผ้าแพรร้านไหนรึขอรับ หรือจะเดินเรื่อย ๆ ค่อยดูไปที่ละร้านขอรับ” ใจจริงเรืองอยากให้พี่ทับค่อย ๆ ดู ตนจะได้มีเวลาเดินดูร้านอื่นไปด้วย
“มีร้านที่จะดูอยู่แล้วจ้ะ แต่ถ้าเจ้าอยากเดินเล่น พี่พาเจ้าเดินได้นะ ร้านผ้าแพรที่พี่จะไปเปิดถึงเย็น ไม่ต้องรีบไปก็ได้ คุณแม่ของพี่มาสั่งไว้นานแล้ว พี่แค่มารับแทนเฉย ๆ”
“จริงนะจ๊ะ พี่ทับจะพาฉันเที่ยวตลาดจีนตรงนี้ให้เต็มที่เลยใช่ไหมจ๊ะ” เรืองร้องดีใจตัวโย แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนไม่ได้พกอัฐมา “พี่ทับจ๋า เรืองไม่ได้พกอัฐมา เรืองขอยืมอัฐพี่ทับหน่อยได้ไหมจ้ะ” เรืองถามเสียงอ้อน
“เอาสิ ไม่ต้องยืมก็ได้ พรุ่งนี้เราก็จะดองเป็นญาติกันอยู่แล้ว ถือเสียว่าพี่เป็นพี่ชายเจ้าอีกคน”
“ขอบคุณจ้ะ พี่ทับใจดีเสียจริง ครั้งหน้าเราได้เที่ยวไหนก็อีกดีจ๊ะ” เมื่อเห็นโอกาสมีหรือที่ไอเรืองคนนี้จะไม่คว้าไหม
“ชิชะ ไอเด็กนี่ร้ายเสียจริงนะตัวแค่นี้ ได้สิเจ้าอยากไปเที่ยวไหน ถ้าว่างพี่จะพาไป แต่วันนี้คงได้แค่ตลาดจีนตรงนี้แหละ เพราะพี่ต้องเอาผ้าแพรกลับไปให้คุณแม่ของพี่”
ระหว่างทางก่อนถึงร้านขายผ้าแพร เรืองพาขุนทับเข้าร้านโน้นร้านนี้เสมือนว่าตนเองมาบ่อยเสียเต็มประดา และทุกร้านที่เข้าก็มีเหตุให้ขุนทับเสียอัฐทุกร้านไป สรุปวันนี้นอกจากผ้าแพรที่ขุนทับตั้งใจมารับแทนคุณแม่แล้วนั้น เห็นที่จะได้ก็แต่ขนมของเจ้าตัวยุ่งนี้แหละ
“ขนมของชาวจีนนี้อร่อยจริงๆนะจ๊ะ อร่อยพอๆกับขนมไทย ขนมมอญที่ฉันกินบ่อยๆเลย” เรืองพูดทั้ง ๆ ที่ขนมยังเต็มปากอยู่ “นี่จ้ะพี่ทับ ขนมร้านนี้อร่อยฉันแบ่งให้พี่ทับกิน” พร้อมหยิบขนมป้อนใส่ปากขุนทับ
“เจ้าเด็กนี้ อัฐก็อัฐพี่ยังมีหน้ามาบอกว่าแบ่งให้” ขุนทับกล่าวพร้อมลูบหัวเรืองด้วยความเอ็นดู เนื่องจากตนเองก็เป็นน้องคนเล็กของบ้านเหมือนกัน พอสองบ้านดองกันตนก็จะได้มีโอกาสเป็นพี่แล้ว
“แหม ฉันก็บอกแล้วอย่างไรจ๊ะว่าฉันขอยืม ขอยืมแปลว่าฉันจะคืน ดังนั้นขนมนี้ก็เป็นของฉัน ฉันแบ่งให้พี่ทับก็ถูกแล้วสิจ๊ะ” เรืองยิ้มแป้นตอบ
“จ้าๆ ขนมของเรืองก็ขนมของเรือง พี่ต้องขอขอบคุณน้ำใจของน้องเรืองมากจริง ๆ ที่แบ่งปันขนมมาให้พี่ได้กิน ถ้าไม่มีน้องเรืองพี่ก็ค่อยไม่มีโอกาสได้กินขนมอร่อยขนาดนี้แน่ ๆ”
“แน่นอน ถ้าไม่มีฉันพี่ทับไม่มีทางได้กินขนมอร่อยขนาดนี้แน่ ๆ ดังนั้นคราวหน้าพี่ทับต้องพาฉันออกมาเที่ยวใหม่นะ พี่จะได้มีขนมอร่อย ๆ แบบนี้กินบ่อย ๆ” มีหรือที่เรืองจะไม่รับความดี ความชอบนี้
“เอาเถอะ เอาเถอะ พี่คงเถียงสู้เจ้าไม่ได้ เอาเป็นว่ารีบกลับกันดีกว่า เย็นมากแล้ว ถ้าเจ้ากลับช้าระวังจะโดนคุณย่าใหญ่เอ็ด” กล่าวจบหนึ่งผู้ใหญ่ หนึ่งเด็กก็พากันเดินกลับบ้าน
----------------------------------------------------------------
“กลับมาแล้วรึพ่อตัวดี ย่าให้ไปช่วยขุนทับเขาสานตะกร้า หายไปตั้งแต่เช้า ให้อ้ายขาวไปตามที่เรือนริมน้ำมากินข้าวเที่ยงก็ไม่เจอ ตะกร้าสานเสร็จแล้วรึ ถ้าไม่เสร็จนะย่าจะตีให้หลังลายไปแต่งงานพี่เจ้าแน่” ยังไม่ทันขึ้นเรือนดี เสียงคุณย่าก็เอ็ดดังขึ้น
“ตะกร้าไม่ได้สานจ้ะ แต่ฉันไปช่วยแล้วจริง ๆ นะจ๊ะ ฉันถามพี่ทับแล้วว่ามีอะไรให้ช่วยไหม พี่ทับบอกว่าทำเสร็จหมดแล้ว ฉันจะกลับมาช่วยบ่าวไพร่ผู้ใหญ่ที่เรือนเย็บที่นอน แต่พี่ทับให้ฉันไปช่วยถือผ้าแพรที่ตลาดจีนตรงประตูเมืองทิศตะวันออกเฉียงใต้นู่นนะจ๊ะ ฉันก็เลยไปช่วยไม่ได้หนีงานนะจ๊ะ” พ่อตัวดีของบ้านตอบเหมือนตนเองไม่ได้อยากไป แต่ถูกบังคับไป
“จริงรึพ่อทับ เป็นอย่างที่พ่อตัวดีพูดไหม บอกย่ามาตามจริงนะ อย่าได้ช่วยพ่อตัวดีปิดย่าเชียว” นายหญิงใหญ่ของบ้านหันมาถามขุนทับ เพราะรู้ดีว่าหลานชายตัวดีของตน ถ้าตอบแบบนี้แล้วไม่มีทางเปลี่ยนคำตอบแน่ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ
“จริงขอรับคุณย่าใหญ่ กระผมสานเสร็จตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้มาพูดคุยกับคุณอาชิดเฉย ๆ ขอรับ พอเห็นว่าคุณย่าให้พ่อเรืองมาช่วยกระผม กระผมจึงให้พ่อเรืองไปช่วยกระผมถือผ้าแพรที่ตลาดจีน ผู้ชายไปซื้อคนเดียวคงแปลกพิลึก กระผมเลยให้น้องไปด้วย” ขุนทับตอบตามที่ใจคิดแต่แรกอยู่แล้วว่าจะชวนเรืองไปด้วย แต่สำหรับเรืองที่คิดว่าพี่ทับช่วยออกหน้าให้ เพราะคิดว่าจริง ๆ แล้วขุนทับคงไม่ได้ตั้งใจชวนตน แค่ชวนไปอย่างนั้น ถือเรื่องนี้เป็นบุญคุณที่ช่วยไม่ให้ตนโดนคุณย่าตี
“อย่างนั้นรึ แล้วไปนะพ่อตัวดีของย่า วันนี้ถือว่าเจ้าโชคดีมีคนออกรับแทนให้” แม้นไม่เชื่อเต็มใจ เพราะเห็นลูกเล่นหลานชายคนเล็กนี้มามาก มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูกแท้ ๆ ละพ่อคนนี้
“จริงซิจ๊ะคุณย่า หลานของอัฐหน่อย ตอนไปตลาดผ่านร้านขนมหลายร้าน หลานหิวจึงของยืมอัฐพี่ทับไปซื้อขนมเสียมาก คุณย่าจะกรุณาช่วยออกอัฐให้หลานไถ่หนี้ได้หรือไม่ขอรับ”
“ตายจริงพ่อตัวดี ยืมอัฐพี่เขาไปเท่าไรละ มาเอาที่ย่านี้”
“ไม่เป็นไรขอคับ อัฐไม่เท่าไรถือว่าเลี้ยงน้อง อีกเดี๋ยวเราสองครอบครัวก็จะดองกันแล้ว พ่อเรืองก็มาเป็นน้องชายคนเล็กของกระผมแล้ว”
“ไม่ได้ ฉันบอกว่าขอยืมก็คือ ขอยืม อย่างไรก็ต้องคืน พี่ทับอยากให้ฉันเป็นคนสับปลับหรอจ๊ะ” ไม่พูดเปล่า เรืองรีบยัดอัฐใส่มือขุนทับทั้งที พร้อมกระซิบบอกว่า “ถ้าอยากเลี้ยงคราวหน้าพาฉันไปตลาดอีกครั้งนะจ๊ะ ทีนี้ละพี่ได้เลี้ยงฉันเต็มที่แน่ ๆ” แล้ววิ่งขึ้นเรือนไป
----------------------------------------------------------------
หลายวันผ่านไป หลังงานแต่งงานของพี่จันกับหลวงด้วงจบลง เรืองคิดว่าถึงเวลาแล้วที่พี่ทับจะพาเรืองไปเที่ยวตลาดอีกคราว เรืองตั้งหน้าตั้งตารอ แต่งชุดเก่งเตรียมตัวทุกวัน แต่พี่ทับก็ไม่เห็นมารับเลยจนเรืองคิดไปเองว่าจริง ๆ แล้วพี่ทับไม่ได้อยากพาเรืองไปเที่ยวจริง ๆ แค่รับปากส่ง ๆ ไป จะได้ไม่โดนเด็กน่ารำคาญอย่างตนเซ้าซี้ เมื่อคิดไปอย่างนั้นเรืองก็เริ่มใจเสีย และคิดว่าตนคงกลับมาไม่มีเพื่อนเล่นอีกครั้งแล้วแน่เลย แต่เมื่อคิดอีกทีก็คิดได้ว่าไม่มีทางซะหรอกคนอย่างไอเรือง ไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ แน่ อย่างไรก็ต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมพี่ทับถึงไม่มา และพาไปเที่ยว เรือนก็อยู่ชิดกันเดินไม่กี่ก้าวดีก็ถึง คิดมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาอยู่ดี ว่าแล้วเรืองก็รีบลงจากเรือนเพื่อไปหาขุนทับที่บ้านทันที
“พี่ทับขอรับ พี่ทับอยู่ไหมขอรับ” เรืองตะโกนเรียกหา
“พี่อยู่นี่ เจ้ามีอะไรกับพี่รึพ่อเรือง” ทับยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างเรือน “ขึ้นมาบนเรือนก่อนสิ”
ไม่ต้องให้ขุนทับรอนาน เรืองก็รีบขึ้นเรือนมาทันที พร้อมลากแขนขุนทับให้มานั่งคุยกันที่ชานเรือนอีกด้วย
“ไหนพี่ทับบอกฉันว่าถ้าว่างจะพาฉันไปเที่ยวตลาดอีกละจ๊ะ ฉันรอแล้วรอเล่าพี่ทับก็ไม่มารับฉันไปตลาดซักที” เรืองว่าแบบงอน ๆ เพราะ คิดว่าพี่ชายคนใหม่กลับคำที่ให้ไว้กับตน
“ใครจะกล้าลืมคำที่ให้ไว้กับเจ้ากันคุณหนูน้อย แต่ช่วงนี้ทางหลวงมีงานมาก พี่จึงไม่ว่างพาเจ้าไปเที่ยวตลาดจีน แต่วันนี้พี่จะไปโรงดาบแถวตลาดมอญ เจ้าจะไปกับพี่ไหม จริง ๆ พี่แค่จะไปหาดูดาบเล่มใหม่ แต่ถ้าเจ้าอยากไปพี่จะพาเดินตลาดมอญด้วย”
“ตลาดมอญรึจ๊ะ ฉันไปบ่อยแล้ว แต่ฉันไม่เคยไปโรงตีดาบเลยสักครั้ง จะไปทีไรอ้ายขาวบอกว่าร้อนบ้างละ อันตรายบ้างละ ฉันเลยไม่เคยได้เข้าไปเลย” เรืองพูดเสียงอ้อนพลางจับแขนขุนทับโยกไปมา
“พี่ลืมเรื่องอันตรายไปเสียสนิท มัวแต่กลัวเจ้าจะโกรธที่พี่ไม่พาไปตลาดเสียที ทำอย่างไรดีละ พี่เปลี่ยนใจไม่พาเจ้าไปแล้วได้รึไม่” ขุนทับถามยิ้ม ๆ
“ไม่ได้จ้ะ พี่พูดแล้วว่าจะพาฉันไป ทหารพูดแล้วต้องไม่คืนคำสิจ๊ะ และอีกไม่กี่ปีฉันก็จะโกนจุกแล้วนะจ๊ะ พี่พาฉันไปเถอะจ้ะ”
“ไม่กี่ปีได้อย่างไร อายุเจ้ายังไม่ถึง 10ปีเสียด้วยซ้ำ เจ้าอย่ามาพูดปดกับพี่นะพ่อเรือง” ขุนทับแกล้งทำเสียงดุ
“ฉันอายุ 7ย่าง8 แล้วจ๊ะ แต่ฉันเป็นผู้ชาย วันข้างหน้าอย่างไรก็ต้องมีโอกาสจับดาบ พาฉันไปด้วยเถอะนะ”
“ก็ได้พ่อตัวดีของคุณย่า พี่พาเจ้าไปด้วยก็ได้ แต่เจ้าต้องอยู่ข้างกายพี่ตลอดเวลานะ ห้ามคลาดสายตาจากพี่เด็ดขาด”
“ขอรับกระผมรับทราบ และจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด”
----------------------------------------------------------------
โรงตีดาบร้อนสมคำร่ำลือ เสียงค้อนตีเหล็กดังต่อเนื่องกันไป นายช่างแต่ละคนทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง ทำให้เรืองรู้สึกว่าการมายืนอยู่จุดนี้เหมือนมาเกะกะทางเดินไปมาของคนทำงาน ถึงจะหันไปถามคนข้าง ๆ ที่มาด้วยกัน แต่คนข้างกายกลับหายไปเสียแล้ว เรืองมองหาไปเรื่อย ๆ ก็หาไม่เจอเลยเริ่มออกเดินตามหาแทน
“ไอตัวเปี๊ยกมาทำอะไรแถวนี้ เกะกะจริง ๆ คนที่บ้านไม่สั่งสอนรึ มาที่นี้ไม่ใช่ที่สำหรับเด็กมาเดินเล่น” เสียงหนึ่งดังมาจากข้างกลัง ทำให้เรืองต้องหันไปมอง พร้อมทำหน้าสงสัยเพราะ แน่ใจความตนไม่เคยรู้จักคน ๆ นี้มาก่อนแน่ ทำไมเขาถึงว่าตนรุนแรงขนาดนี้ด้วย
“หาเรื่องกับเด็ก อย่าเอาไปบอกใครละว่าตนเป็นชายชาติทหาร ได้อับอายไปทั้งตระกูลแน่หมื่นมิ่ง” เสียงของขุนทับดังมาจากข้างกาย
เรืองกะหันไปถามว่าเมื่อครู่หายไปไหนมา แต่เมื่อมองหน้าขุนทับแล้วประโยคที่จะพูดก็หายไปจากปาก ก็คนตรงหน้าไม่เหมือนพี่ทับใจดีที่ตนรู้จัก ใบหน้าบูดบึ้งเหมือนคนไม่พอใจอะไรบ้างอย่างทำให้เรืองต้องสงบปาก
“อะไรกันฉันก็แค่เตือนเด็กว่าที่นี้ไม่ใช่ที่วิ่งเล่น ประเดี๋ยวพลาดพลั้งไป คนอื่นจะเดือดร้อน”
“ขอบใจแล้วกันที่ช่วยเตือน แต่น้องชายฉันคงไม่ไปสร้างปัญหาให้ใคร แล้วพอพลาดพลั้งก็วิ่งไปฟ้องพ่อให้ช่วยดอก หมื่นมิ่งอย่าได้กังวล ไม่ใช่ทุกคนที่จะนิสัยแบบนั้น” ขุนทับยิ้มเยาะขณะตอบ
“เอ็งว่าใครวะ ไอทับ ข้าก็แค่เป็นห่วงเด็ก”
“ฉันก็พูดอธิบายเฉย ๆ หรือเรื่องมันเหมือนเรื่องของหมื่นมิ่งถึงได้ร้อนตัวขนาดนี้”
“มึงนี่ กูแต่เตือนดี ๆ มาหาเรื่องกันแบบนี้ คงต้องสนองหน่อยแล้ว” ว่าแล้วหมื่นมิ่งก็ชักดาบออกมา
“อย่างนั้นก็ลองดูกันเสียหน่อยว่าใครจะแน่กว่ากัน” ขุนทับกล่าวพร้อมชักดาบ
เสียงดาบสองเล่มปะทะกัน เสียงไปทั่วโรงดาบทำให้เหล่านายช่างต่างหยุดงานที่ทำ หันมาชมการประดาบครั้งนี้ การปะทะกินเวลาไม่นานเพราะฝีมือที่ห่างชั้นกันมาก ทำให้หมื่นมิ่งพลาดท่าขุนทับ
เมื่อรู้ว่าตัวเองจะแพ้หมื่นมิ่งก็รีบตะโกนเรียกลูกน้องให้มาช่วย “ไอกล้าช่วยข้าด้วยโว้ยยยยยยยยยยย”
ไอกล้ารีบวิ่งเข้ามาช่วยนายโดยจะทำร้ายขุนทับจากด้านหลัง เรืองเห็นพี่ชายจะมีอันตรายพึ่งรีบวิ่งเข้าไปขว้าง แต่ก็ถูกไอกล้าเตะออกมาก ขุนทับจึงต้องรับศึกสองทาง แต่ก่อนที่เรื่องจะบานปลายนั้น
“หยุด!!! กล้าดีอย่างไรมามีเรื่องกันในที่ของข้า” เสียงที่ดังทำให้ทั้งสามคนต้องหยุดการปะทะลงทันที
“เลิกทะเลาะกันเหมือนเป็นเด็กได้แล้ว โตก็โตมาด้วยกัน ตอนนี้ก็เป็นขุนนางอยู่ในรั้วในวัง ใครมาเห็นเข้า เขาจะครหานินทาได้ ไป ๆ แยกย้ายกันไปบัดเดี๋ยวนี้”
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง ต่อไปอาจไม่มีใครคุ้มกะลาหัวมึงแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นมึงไม่รอดแน่” หมื่นมิ่งกระซิบข้างหูขุนทับ พร้อมตะโกนเรียกไอกล้าให้กลับ
“ไม่เป็นไรนะเรือง เจ้าเจ็บตรงไหนบ้าง ขอโทษนะที่พี่ช่วยเจ้าไม่ได้”
“เจ็บตัวไม่เท่าไรดอกจ๊ะ แต่ฉันเจ็บใจมากกว่าที่ทำอะไรไม่ได้เลย แต่พี่ทับจ๊ะทำไมหมื่นมิ่งถึงว่าพี่เยื่องนั้น พี่เป็นถึงทหารกล้าของมหาอุปราชจะไม่มีคนคุ้มหัวได้อย่างไร”
“ไม่มีอะไรดอก เจ้าไม่ต้องคิดมาก”
“แต่ถึงไม่มีคนคุ้มครอง ต่อไปภายภากหน้าฉันจะคุ้มครองพี่เองจ้ะ”
“ทำเป็นพูดดีไป แต่ถ้าได้อย่างนั้นก็ดีสิ พี่จะได้มีคนระวังหลังให้เวลาไปรบ”
“พี่ก็พูดไปนั่น อยุธยาของเราร้างศึกมาเป็นร้อยปีแล้วนะจ๊ะ”
“เรืองเอ๋ย ไม่มีอะไรแน่นอนดอก เราเป็นทหารก็ต้องฝึกปรือฝีมือไว้ตลอดเวลา อย่าเกียจคร้าน เข้าใจไหม”
“เข้าใจจ้ะ ฉันจะฝึกอาวุธเพื่อคุ้มกันให้พี่ในอนาคต แต่ตอนนี้พี่ไปขอพ่อกับย่าให้ฉันหน่อยสิจ๊ะ ว่าฉันจะเรียนดาบ”
“ได้สิ พี่จะได้มีผู้ช่วยฝีมือดีมาอยู่ด้วยอีกคน แต่เจ้าต้องสัญญากับพี่นะว่าเจ้าจะไม่เกียจคร้าน”
“ไม่ใช่ไม่เกียจคร้าน แต่ฉันสัญญาด้วยว่าฉันจะอยู่ข้างกายพี่ ค่อยรบเคียงบ่าเคียงไหล่ไม่ว่าในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ฉันให้สัญญา”
ฝากนิยายเรื่องแรกของเราด้วยนะ
ไปตามได้ในเพจ
https://www.facebook.com/tipin1994/