บัลลังก์ปักษา
คนบางคนเอาแต่คิดว่าตัวเองนก
โดยที่ไม่รู้เลยว่าเขานั้นเป็นผู้ครอบครองหัวใจของใครอีกหลายๆ คน...
บทนำ
[เชี่ยทนาย นี่มึงซิ่วมามอกูจริงๆ เหรอวะเนี่ย แม่งเป็นเรื่องที่อะเมซิ่งมากอ่ะ]
ผมใช้มือหนึ่งคุยโทรศัพท์ ส่วนอีกมือหนึ่งใช้ลากกระเป๋า ตอนนี้ผมอยู่ในสนามบินประจำจังหวัดแห่งหนึ่งและกำลังจะมุ่งตรงไปยังมหา’ลัย ซึ่งเป็นมหา’ลัยแห่งใหม่ของผม สถานที่ที่ผมคิดว่าจะได้ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเรียนอย่างแท้จริง
อ้อ ผมมีชื่อเล่นว่าทนาย และมีชื่อจริงว่านายนิติครับ คนที่พูดกับผมก็คือไอ้เชี่ยป๊อบ มันเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของผมและกำลังเรียนอยู่ที่มอนี้
“ตอนนี้กูอยู่สนามบินในจังหวัดมึง และกูก็โทรหามึงทันทีที่กูถึง มึงคิดว่ามันจริงมั้ยล่ะ”
[เฮ้ย คนหล่อๆ หน้าตาเด็กกรุ๊งเด็กกรุงอย่างมึงจะมาติดแหงกที่บ้านนอกทำไม กูก็นึกว่าที่ผ่านมามึงพูดเล่นมาโดยตลอด]
“ไอ้สัด จะให้กูเซลฟี่กับสนามบินไปให้มึงดูเลยมั้ย”
[เอาเถอะ กูเชื่อแล้วก็ได้ ว่าแต่มึงจะอยู่หอไหนอ่ะ]
“ก็หอในที่เป็นหอชายล้วนไง คนในมอมึงส่วนใหญ่ก็อยู่หอในกันไม่ใช่เหรอ” ผมมองซ้ายมองขวาอย่างไม่คุ้นตา สนามบินแห่งนี้เป็นสนามบินที่ค่อนข้างเล็ก ในร้านขายของอยู่ไม่กี่ร้าน มองแป๊บเดียวก็มองได้ทั่วแล้ว
[มอกูไม่ได้มีแค่นั้นอ่ะดิ เรื่องหอที่นี่เค้าจริงจังกัน]
“จริงจังยังไง”
[หอในชายล้วนมีหอหนึ่งถึงหอหก แล้วเค้าก็แบ่งกันเป็นพรรคเป็นพวก]
ผมถึงกับเลิกคิ้ว จริงๆ ก็เผื่อใจมาแล้วนั่นแหละว่ายังไงมหา’ลัยทุกมหา’ลัยก็ต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง สงสัยมอนี้จะเป็นเรื่องหอล่ะมั้งครับ
“มันเลือกได้เหรอวะ ไม่บังคับเหรอ”
[ก็เลือกได้นะ แต่เลือกให้ตรงกับตัวมึงมากที่สุด ตอนมึงใช้ชีวิตในมหา’ลัยมึงจะได้มีความสุข]
อะไรจะขนาดนั้นวะ นี่ถ้ากูเลือกไม่ได้ให้กูให้หมวกคัดสรรจากแฮร์รี่ พอตเตอร์มาช่วยได้มั้ย
“แล้วมึงอยู่หอไหนอ่ะ” ผมลากกระเป๋าออกไปข้างนอก เพื่อรอคนของแม่ขับรถมารับผมไปส่งที่มอ
[หอหนึ่ง]
“งั้นกูอยู่กับมึง” ผมพูดอย่างไม่ต้องคิด ผมสนิทกับเชี่ยป๊อบมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้ว เพราะงั้นมันคงจะดีถ้าได้อยู่หอเดียวกันกับเพื่อนที่รู้จักกันมานานแล้ว
[เฮ้ย มึงต้องนั่งคิดดีๆ ว่ามึงอยากมาอยู่หอกูจริงๆ หรือเปล่า ทุกหอคนในหอจะมีลักษณะแตกต่างกันออกไปนะ]
เอ่อ...เริ่มสัมผัสได้นิดๆ แล้วล่ะว่าแม่งต้องเรื่องเยอะ ผมเลือกสอบเข้าที่นี่ก็เพราะมันตั้งอยู่ไกลปืนเที่ยงครับ จะเข้ามาในตัวจังหวัดทีก็เรียกได้ว่าต้องมีรถยนต์ขับหรือไม่ก็โทรเรียกแท็กซี่ไปรับเอา ผมซึ่งทะเลาะกับพ่อแม่มาทั้งปีกระหายที่จะมาพิสูจน์ตัวเองกับทางที่ผมเลือก ทางที่ไม่ใช่แพทยศาสตร์ที่พ่อแม่ผมชอบกัน เพราะงั้นผมจึงเลือกมอที่จะทำให้ผมมีสมาธิกับการเรียนมากที่สุด
เอาเป็นว่าถ้าเรื่องมันจะเยอะ ผมก็พร้อมที่จะปรับเข้าหาละกัน ผมไม่อยากเปลี่ยนมหา’ลัยอีกแล้ว ผมเสียเวลาไปหนึ่งปี ซึ่งมันเป็นเวลาที่สามารถทำอะไรต่างๆ ได้มากมาย
“มันต่างกันยังไง” ผมถามเผื่อจะได้รู้เอาไว้
“เชี่ยเต มึงว่าสัดไมล์แม่งตื่นยังวะ” เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นข้างตัว มันทำให้ผมหันไปมองโดยอัตโนมัติ คนพูดคือคนที่หันหลังให้ผม ส่วนคนที่ผมเห็นหน้า หน้าตามันค่อนข้างหล่อเหลาเลยทีเดียว มันสองคนขาวผ่องส่องสว่าง ดูโดดเด่นกว่าคนที่ยืนอยู่แถวนั้น เรียกได้ว่าโคตรจะสะดุดตา
“เงียบแบบนี้กูว่ายังแน่ๆ”
“โทรตามเลย”
“เออ แป๊บหนึ่ง”
[ฮัลโหล มึงฟังกูอยู่หรือเปล่า] ไอ้ป๊อบซึ่งอยู่ปลายสายส่งเสียงดัง
“เออ ฟังอยู่” ผมตอบไปอย่างนั้นแต่ผมก็ไม่ได้ฟังอย่างที่ผมพูด เพราะคนที่หันหลังให้ผมจู่ๆ ก็หันมามองผมด้วยนัยน์ตากลมๆ ของมัน
อื้อหือ ขาวสะท้อนดวงตากูจริงๆ
ชาติที่แล้วแม่งต้องทำบุญด้วยสำลีหนัก 30 ตันแหงมๆ เพื่อนมันที่ว่าขาวแล้วยังสู้มันไม่ได้ครับ คนๆ นี้ขาวจนใกล้เคียงคำว่าซีด แต่ทว่ากลับดูดีและก็เหมาะกับตัวมันมาก
[ที่มอนี้เขาจริงจังเรื่องคนในหอมากกว่าคนในคณะตัวเอง ตอนที่อยู่หอจะอยู่กันแบบครอบครัวและก็พี่น้อง เพราะมันมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกัน มันก็เลยเข้ากันได้และก็ผูกพันกันมาก]
“มึงเวิ่นอะไรของมึงเนี่ยเชี่ยป๊อบ กูขอเนื้อๆ เน้นๆ ไม่เอาน้ำ” ผมยังคงมองดูไอ้สำลีที่ถอนสายตาออกไปจากผมแล้ว มันเป็นผู้ชายประเภทที่ผู้ชายด้วยกันยังมองน่ะครับ แม่ง น่าดึงดูดฉิบหาย
[มึงไปสั่งก๋วยเตี๋ยวไปสัด]
“กูตั้งใจฟังอยู่”
[อย่างกูที่อยู่หอหนึ่ง มันจะมีแต่พวกเด็กเรียน อ่านแต่หนังสือ เน้นเรียนอย่างเดียวอ่ะ]
ผมชะงัก “สัด นั่นมันมึงเลยนี่หว่า” ไอ้เชี่ยป๊อบคือเด็กที่ตั้งใจเรียนอย่างแท้จริงครับ ผมจำภาพมันสมัยเรียนมัธยมได้ เวลามีสอบหรือทำการบ้าน เพื่อนหลายคนต้องวิ่งมาขอความช่วยเหลือกับมันตลอด รวมถึงผมด้วย
[แล้วมันใช่ตัวมึงมั้ย มึงเรียนเก่งนะ แต่เท่าที่จำได้ มึงไม่ได้ใช่คนที่ชอบอ่านหนังสือขนาดนั้นอ่ะ]
“ก็จริงของมึง”
“ไมล์มันไม่รับสายว่ะ” ไอ้หน้าหล่อพูดกับไอ้สำลี “เอาไงดี”
“สาด งั้นก็ยืนรอต่อไปดิ”
[เพราะงั้นกูถึงบอกไงว่ามึงจะเลือกหอแบบเดาสุ่มไม่ได้]
“แล้วหอที่เหลือมันมีอะไรอีก” ผมมองไปที่ไอ้สำลีที่เป็นเจ้าของดวงตาตากลมต่อ มันทำหน้าเซ็งพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น
[หอสอง หอพวกนักกีฬา]
“กูชอบเล่นกีฬานะ แต่ก็ไม่ได้เล่นเป็นหลักว่ะ”
[สิ่งที่มึงควรรู้อีกอย่างก็คือความสนใจของมึงต้องสุดๆ ไปทางนั้นจริงๆ เช่นหอหนึ่ง มันจะมีแต่พวกที่เอาแต่อ่านหนังสือจริงๆ หอสองก็มีแต่พวกที่เอาแต่เล่นกีฬาจริงๆ]
“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ผมอึ้ง ไอ้สำลีที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำของตกตรงหน้าผม มันเดินเข้ามาใกล้พร้อมๆ กับก้มลงไปหยิบ กลิ่นหอมๆ ของมันโชยเข้าจมูกของผมจนผมถึงกับต้องกระพริบตาปริบๆ
[ใช่]
“งั้นมึงเล่าหอที่เหลือมา เอาแบบคร่าวๆ” รู้เอาไว้จะได้ไม่เอ๋อเมื่อไปถึงครับ
[หอสามคือพวกหน้าตาดี หอสี่คือพวกคนรวย หอห้าคือพวกเนิร์ดกับโอตาคุ หอหกคือพวกอินดี้]
ผมอ้าปากค้าง ลืมกลิ่นหอมของคนที่อยู่ใกล้ๆ ไปซะฉิบ
“มันแบ่งกันแบบนี้จริงๆ เหรอวะ”
รู้สึกอึ้งมากกกกกกกกก มีอะไรแบบนี้อยู่ในประเทศไทยด้วยเหรอ
[จริงสิ]
“เหี้ย” แล้วกูเหมาะกับอะไรล่ะวะเนี่ย
[มึงไม่ต้องเลือกเองก็ได้ พอมึงมาถึงตรงนี้มึงอาจจะได้คุยกับประธานหอ ถ้าประธานหอรู้ว่ามึงไม่ได้เป็นแบบคนในหอเขา เขาก็จะโยนมึงไปในที่ของมึงเอง]
“อึ้งเหี้ยๆ ทุกหอไม่มีคนแบบอื่นผสมด้วยเหรอวะ”
[มี แต่ท้ายที่สุดก็ต้องย้ายไปที่ของตัวเองอยู่ดี เขาจริงจังกันมากนะ มึงรู้ไว้ก็ดี]
“ทางผู้ใหญ่ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยเหรอ” ผมว่าการจัดแบ่งแยกประเภทคนแบบนี้ออกจะแปลกๆ สักหน่อยนะ
[ก็อยู่กันเองแบบนี้มาหลายรุ่นแล้ว]
“ดีนะที่มึงเล่าให้ฟังก่อน แต่กูก็ไม่รู้ว่ากูควรไปอยู่ตรงไหนว่ะ” ผมจนปัญญาจริงๆ ครับ ผมไม่รู้ว่าตัวผมน่ะมีด้านไหนที่โดดเด่นที่สุด เรื่องเรียนก็ไม่ใช่ เรื่องกีฬาก็ไม่เชิง
คนอย่างกูควรไปอยู่ตรงไหนดีวะสาดดดดด #เกาหัวแรงๆ
[จากใจคนที่เป็นเพื่อนมึงมานานอย่างกู สิ่งที่กูเห็นได้ชัดจากตัวมึง มันเป็นสิ่งที่สามารถข่มการเรียนเก่งของมึง ข่มการชอบเล่นกีฬาของมึง และก็ข่มความรวยของมึง...]
“...”
[สิ่งนั้นก็คือมึงหล่อไงไอ้สัด มึงไปอยู่หอสามไป]
“หอสาม!” ผมร้องเสียงดัง ไอ้หน้าหล่อกับไอ้สำลีหันขวับมามองที่ผมทันทีโดยที่พวกมันไม่ได้นัดกัน ผมรีบมองไปทางอื่น ขยับตัวอยู่ให้ห่างจากพวกมัน เมื่อตะกี้สายตาไอ้สองคนนี้มันแปลกจนผมรู้สึกหวาดระแวง “เชี่ยป๊อบ กูอาจจะเด่นเรื่องกีฬามากกว่าหล่อก็ได้ มันน่าขนลุกสัดๆ เลยนะที่กูต้องเข้าไปอยู่หอที่มีแต่คนหล่ออ่ะ”
[โอย ยังไงมึงก็ได้ไปอยู่หอสาม กูวางเงินพนันไว้สามพันเลย กูเชื่อว่าประธานแทบจะทุกหอต้องถีบหอส่งมึงไปหาพี่อ้าย ประธานหอสามอ่ะ]
“เขาเลือกกันแบบนี้เหรอ”
[เขาดูออกหมดแหละว่ามึงเหมาะจะอยู่กับเขามั้ย]
“แต่หอสามมัน...” ผมไม่ได้รู้สึกยินดีกับคำว่าหอสามที่รวมคนหน้าตาดีเอาไว้เลยครับ หลายคน (โดยเฉพาะสาวๆ) อาจจะมองว่าดีจะตาย จะได้มีแต่เพื่อนร่วมหอหล่อๆ แต่สำหรับผม ผมมองว่ามันจะมีแต่ความฉิบหายและก็ความไม่สุขกายสบายใจน่ะสิ
ฟังดูแล้วแม่งน่าจะมีแต่ปัญหา
[มึงอย่าเพิ่งพูด มึงต้องลองเห็นของดีประจำหอสามก่อน]
“ของดี?”
[โคตรน่ารักอ่ะ มันเป็นนางฟ้าประจำหอชายล้วนเลยนะ]
“สัด มีด้วยเหรอ” คำว่านางฟ้าทำให้ผมนึกไปถึงเพื่อนสมัยเรียนที่แม่งชอบใส่วิกผมอ่ะ ปัญหาคือมันเป็นผู้ชายหัวเกรียนๆ นี่แหละ ไอ้นางฟ้านี่จะเป็นอย่างนั้นป่ะวะ
[มีดิ กูเป็นผู้ชายกูยังมองว่าเขาน่ารักเลย เขาโดนแซวทุกเช้าเลยแม่ง เดินผ่านหออื่นแทบไม่ได้เลยคนนี้อ่ะ]
“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ผมเกาหัวแกรกๆ เริ่มอยากรู้ไอ้นางฟ้าคนนั้นมันหน้าตาแบบไหนถึงได้ทำให้ผู้ชายในมอที่มีอัตราส่วนนักศึกษาเพศหญิงมากกว่าเพศผู้ 3 : 1 หันมาสนใจและแซวผู้ชายด้วยกัน “มันหน้าตาเป็นยังไง”
[ขาวนำมาก่อนเลย]
คำว่าขาวของไอ้ป๊อบทำให้ผมต้องหันไปมองไอ้สำลีที่ยังคงมองผมอยู่ มันเริ่มซุบซิบกันกับเพื่อนหน้าหล่อของมันอย่างสงสัย ดูเหมือนทั้งคู่จะพูดถึงผม
นินทากูทั้งๆ ที่กูยืนอยู่ตรงนี้ กูแนะนำให้มึงมากระซิบข้างหูกูเลยจะเหมาะกว่า
“แล้วไงต่อ”
[ตาโตๆ กลมๆ]
ดวงตากลมโตของไอ้สำลีมองผมกับเพื่อนตัวเองสลับกัน
[สูงสัก 175 มั้ง]
ไอ้นี่มันน่าจะสูงประมาณนั้นนะ
[ผมดูนิ่มๆ น่าจับ]
นี่ก็ใช่มันอีก
[เวลายิ้มเหมือนทำให้โลกใบนี้สดใส]
มันหัวเราะกับเพื่อนมันด้วยท่าทางอารมณ์ดี ผมกลืนน้ำลายเล็กน้อย สะบัดหัวไล่ความคิดเรื่องที่ไอ้สำลีมันจะเป็นคนเดียวกันกับนางฟ้าที่ไอ้ป๊อบเอ่ยถึง มันไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญขนาดนั้น
“นั่นมันคนหรือตัวเหี้ยอะไร ทำไมฟังดูดีไปหมด มีด้วยเหรอคนแบบนั้นอ่ะ”
[มีเยอะแยะที่หอสาม แต่คนนี้สุดจริงๆ ว่ะ]
“ชักจะอยากเห็นแล้วสิ” ผมพูดไปอย่างนั้นเพียงเพราะอยากรู้ว่าจะใช่คนเดียวกันกับคนที่ผมมองตอนนี้มั้ย
[เดี๋ยวก็ได้เห็น เพราะยังไงมึงก็ได้อยู่หอสามแน่นอน]
“มึงปักใจเชื่อแล้วใช่ป่ะว่ายังไงกูก็ต้องได้อยู่หอนี้”
[ล้านเปอร์เซ็นต์ ใครจะหล่อสู้เพื่อนกูได้ ไอ้เตก็ไอ้เต พี่อ้ายก็พี่อ้ายเถอะ]
“ไอ้นางฟ้าคนนั้นมันชื่อว่าอะไร”
[อาสา]
“มันเป็นน้องพ่อมึงเหรอ”
[สาด มันชื่ออาสาจริงๆ]
“อืม”
[ชื่อมันดูน่ารักคิขุอาโนเนะมั้ย]
“เหี้ยไรของมึงสัดป๊อบ”
[กูปลื้มเขาไงสาด ฮ่าๆๆ]
“งั้นกูต้องไปพิสูจน์แล้วล่ะว่าดูดีสมกับคำว่านางฟ้าจริงมั้ย”
[เออ แล้วเดี๋ยวมึงจะเพ้อเหมือนกู ว่าแต่มึงมีคนมารับยังวะ]
“มาแล้ว แค่นี้นะ ไว้เจอกัน” คนของแม่มาพอดีเลยครับ
[โอเค ตอนมึงเข้ามาโซนหอพัก มึงเดินผ่านหอหนึ่งไปเลยนะ ยังไงก็ไม่ใช่มึง]
“กูรู้แล้ว”
[ไม่ต้องเดินไปคุยกับหอสองด้วย พี่สงครามน่ากลัว]
“ไอ้สัด แค่นี้นะ” เพราะเป็นการจอดรถรับส่งแบบชั่วคราวน่ะ ผมก็เลยต้องรีบ
[มึงเดินไปหอสามเลย]
ผมกดตัดสายไอ้เพื่อนตัวดีที่เชียร์ให้ผมไปอยู่หอสาม คนของแม่รับกระเป๋าของผมไปเก็บไว้หลังรถให้ ผมเดินตามหลังของเขาไป ขึ้นไปนั่งบนรถ จากนั้นก็มองไปที่คู่เพื่อนหน้าตาดีคู่นั้นอย่างไม่มีอะไรจะมอง สองคนนั้นมันเลิกจ้องผมนานแล้ว
“เดี๋ยวจะขับรถไปข้างในมหา’ลัยเลยนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
สายตาของผมประสานกับสายตาไอ้สำลีอีกครั้งด้วยความบังเอิญ ราวกับมันต้องการตอกย้ำให้ผมจำมันได้ยังไงยังงั้น
ตอนที่รถเคลื่อนที่ผ่านมันไป ผมได้แต่คิดในใจกับตัวเอง
ถ้านางฟ้าประจำหอชายล้วนหน้าตาแบบมันก็คงโอเคอ่ะ มันจะทำให้ผมเข้าใจในทันทีว่าทำไมผู้ชายด้วยกันแท้ๆ ถึงได้ปลื้มมันขนาดนั้น ผมไม่มีอะไรจะเถียงเลยสักคำครับ ถ้าสองคนนั้นจะเป็นคนเดียวกัน
...ก็ไอ้นี่มันน่ารักสัดๆ
ได้แต่บอกกับใจตัวเองว่าสัดทนาย มึงมาเรียนนะมึง มึงไม่ได้มาหาแฟน
TBC*สิบสองเศร้า ภาคแรก บัลลังก์ปักษามาแล้วค่ะ
เรื่องนี้มีสามภาคยาวๆ อ่านไปหาวไปกันได้ 555
เนื้อเรื่องค่อนข้างเบาค่ะ แม้ชื่อจะฟังดูดราม่าไปนิด
แต่เบามากจริงๆ 555
ฝากพระนายคู่แรก #ทนายอาสา ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ
จริงๆ ภาคนี้คือสี่เศร้าแรก เดี๋ยวจะมีคู่รองโผล่มาค่ะ : )