Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Just Before Sunrise ☼ เมื่อตะวันฉายแสง:ตอนพิเศษ4[21/09/2560 ]:P.7  (อ่าน 103168 ครั้ง)

ออฟไลน์ Zestful

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เป็นการบรรยายที่ทำให้รู้สึกว่า ซันรักโชมากจริงๆ
อบอุ่นหัวใจสุดๆ เลยค่ะะะ

ออฟไลน์ CLShunny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 260
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
โอ๊ยยยยยย!!!! เหม็นความรักไปหทดเลยจ้าาาาา เหม็นความ รักของเค้าทั้งสองง556555 นังซันผู้เป็นเจนเทิลแมนแบดบอยดูมีความสบสนในบทเดียว55555 นุ้งโชคนดีของเราเป็นกว้างแสนยั่วอีกคน น่ารักจริงๆๆไไไไ ยิ่งอ่านยิ่งหลงตะวันมากเลยจ้าาาาาาาา

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ยิ่งอ่านยิ่งหลงน้องโช ฮื่ออ ลูกกกกกกกก

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
โอ้ยยยยยย
คนมีความรักนี้มันน่าหมั่นไส้จริงๆ
แค่นั่งอ่านหนังสือจำเปนต้องใกล้ชิดขนาดนั้นไหม
แล้วความวอแวของซันนี้คืออะไร

นึกว่าตอนนั้ซันจะตบะแตกซะแล้ว
โชกุนเกือบโดนกินรวบหัวรวบหางละเนี้ย
 :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
 
หลงตะวัน : 10
               
         
หลุดปากขอแต่งงานได้ยังไง... แม้แต่แหวนสักวงยังไม่มี
               
แล้วอีกอย่าง ประเทศไทยแม่งไม่มีกฎหมายรองรับการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกันอีกต่างหาก... ทำไมวะ?
               
ผมไม่สนใจกฎหมาย ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าทะเบียนสมรสมันสำคัญ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคนสองคนที่รักกัน ถึงไม่สามารถแบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกันโดยชอบธรรมได้ เพียงเพราะเรามีเพศสภาพที่เหมือนกัน
               
ถึงอย่างนั้นผมก็อยากแต่งงาน... อยากมีอะไรสักอย่างที่บ่งบอกว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน
               
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกมันมาไกลขนาดนี้ ถลำลึกขนาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับใคร ยิ่งใกล้ชิด ก็ยิ่งพบว่ามันคือความสุขที่ยากจะสรรหาได้จากที่ไหน... เป็นครั้งแรกเลยที่คนที่พอใจกับการใช้ชีวิตไปวันๆ ล่องไปลอยมาอย่างผม จะคิดถึงการมีอนาคตร่วมกับคนอื่นขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่รู้ตัวว่ามีใครคนหนึ่งเข้ามาเป็นความธรรมดาในชีวิต กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่ขาดไม่ได้

ถามตัวเองอยู่หลายต่อหลายรอบว่าทำไม... มันก็ไม่มีคำตอบอื่น นอกจากผมอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับไอ้ตี๋ มีมันอยู่ข้างๆ แบบนี้ต่อไป ไม่ต้องตลอดกาลก็ได้ แค่ทุกวัน... จนกว่าจะแก่ตาย
               
แต่ผมใจร้อนเกินไป เอาแต่ใจถามออกไปโดยลืมว่ามันยังมีปัจจัยอีกหลายเรื่องที่ต้องเอามาคิดก่อนตัดสินใจ

เรื่องสำคัญอย่างหนึ่งที่ผมคิดถึงเป็นเรื่องแรกเลย คือครอบครัว... ผมมัวแต่คิดว่าความรักเป็นเรื่องระหว่างคนสองคนจนลืมไปว่าในความเป็นจริงเรายังมีคนอื่นรอบตัวที่มีความสำคัญเกินกว่าจะมองข้ามความรู้สึกของพวกเขาไป

จริงอยู่ว่าครอบครัวผมไม่ใช่พวกซีเรียสอะไร ป๊ากับแม่ไม่เคยมาก้าวก่ายชีวิตรักของผมเท่าไหร่ แต่ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้บอก และไม่แน่ใจว่าพวกท่านจะคิดยังไงที่อยู่ๆ ผมก็หันมาคบกับผู้ชาย แต่ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือครอบครัวไอ้ตี๋... ผมไม่เคยถาม จึงไม่รู้พื้นเพเลยสักนิดว่าครอบครัวมันเป็นแบบไหน... ผมยังจำได้เรื่องที่พ่อไอ้ตรีไม่ยอมให้มันคบผู้ชาย กว่ามันกับพี่เชนจะฝ่าฟันมาได้ก็ถึงขั้นแตกหักกันไปทีหนึ่ง... พอคิดถึงตรงนี้ผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมา

ถ้าหากว่ามีครอบครัวของเราคนใดคนหนึ่งเกิดรับไม่ได้ล่ะ... จะเป็นยังไง

ผมไม่ได้เข้มแข็งเหมือนพี่เชน ไม่ได้อดทนเก่งเหมือนไอ้ตรี ไม่รู้วิธีจัดการแก้ปัญหายากๆ ในชีวิตเลยสักนิด ติดจะเป็นคนขี้ขลาดด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาหลายๆ ปัญหาผมมักจะเลี่ยงการเผชิญหน้า ตีหน้าเฉไฉ ใช้การกระณีประนอมเข้าว่าจนบางทีก็คาราคาซังกลายเป็นเรื่องน่าปวดหัวตามมาทีหลัง

แต่คราวนี้ผมจริงจังเกินกว่าจะปล่อยผ่าน...

ผมอยากทำทุกอย่างให้มันชัดเจน อย่างน้อยถ้ามันจะเป็นอุปสรรคหนึ่งที่ผมต้องฝ่าฟัน ผมก็อยากรู้และหาวิธีรับมือกับมัน

“โช...” ผมส่งเสียงเรียกงัวเงียเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วพบว่าเจ้าของตักที่ใช้หนุนต่างหมอนก่อนนอนหายไป
               
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับเลยลืมตาลุกขึ้นมากวาดสายตาไปทั่วห้องนอนที่ตอนนี้ไม่มีสัมภาระอื่นนอกจากเตียง เลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่อไม่เห็นเงาของคนที่มองหา ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้องนอนมาทั้งที่ยังตื่นไม่เต็มตา
               
เป็นไปตามคาด ไอ้ตี๋อยู่ข้างนอกจริงๆ ผมหลุดยิ้มออกมาแล้วลากเท้าบิดขี้เกียจเข้าไปหาเจ้าของร่างเล็กที่กำลังง่วนกับการเดินไปเดินมาแถวชั้นวางของในห้องนั่งเล่น
               
 “ทำอะไร” เอ่ยถามพลางคว้าเอวบางมากอดไว้ สูดกลิ่นกาย ซุกหน้าลงกับไหล่แบบที่ชอบทำ
               
“หือ? ตื่นแล้วเหรอครับ” คนในอ้อมแขนส่งเสียงประหลาดใจก่อนจะหมุนตัวกลับมาตอบคำถาม “ผมกำลังจะแพ็คกล่องสุดท้าย เลยลองมาเช็คดูว่าลืมเก็บอะไรหรือเปล่า”
               
ผมเลิกคิ้ว มองไปยังกล่องกระดาษที่ตั้งเรียงอยู่ในห้องรับแขกแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ จำได้ว่าก่อนผมจะอิดออดขอนอนพักมันยังเหลืออีกประมาณสามสี่กล่องที่ยังแพ็คไม่เสร็จ แต่ตอนนี้ทุกกล่องถูกปิดเทปกาวและวางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยพร้อมสำหรับขนย้าย อาทิตย์นี้เรามาขลุกอยู่ในห้องผมตอนกลางวันเพื่อเก็บของกัน เหนื่อยก็พัก หยิบหนังสือมาอ่าน หลับสักงีบก่อนไปทำงานที่ร้าน แล้วกลับไปนอนห้องไอ้ตี๋ วนอยู่แบบนี้ทั้งอาทิตย์จนถึงกำหนดย้ายออกในวันพรุ่งนี้         

“หนีมาแพ็คของเนี่ยนะ” ผมบ่น                                                           

น่าตีว่ะ แทนที่จะรอกัน ผมขอหลับแป๊บเดียวเอง
               
แต่พอเห็นผมงอแงคนตรงหน้ากลับหัวเราะ “แพ็คเสร็จก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
               
“ก็ไม่ชอบเวลาตื่นมาแล้วไม่เห็นหน้าอ่ะ” ผมอ้อน รัดอ้อมกอดแน่นขึ้นพลางโน้มตัวแตะหน้าผากลงไปกับหน้าผากใส ถูจมูกตัวเองเข้ากับปลายจมูกโด่งจนคนตัวเล็กกว่าขมวดคิ้วตีหน้ายุ่งเหมือนทุกครั้งที่ผมทำแบบนี้
               
รู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะเจ้าตัวกำลังเขิน แต่หนีไปไหนไม่ได้ก็ยิ่งรู้สึกว่าน่ารักจนอดไม่ได้ที่จะฟัดแก้มนิ่มๆ สักที แต่แกล้งได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องชะงักเพราะเห็นว่ามือที่ยกขึ้นมาดันอกผมกำลังกำอะไรบางอย่างไว้ ก้มลงมองก็พบว่ามันคือซองบุหรี่ยี่ห้อโปรดที่ซื้อมาตั้งนานแล้วแต่ใช้ไปเพียงไม่กี่มวน
               
“ซันยังใช้อยู่มั้ย?” เงยหน้าขึ้นมาถามทั้งที่ดวงตาเรียวฉายคำตอบที่ตัวเองต้องการออกมาชัดเจน ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะแย่งซองบุหรี่มาโยนใส่ถุงขยะที่อยู่ไม่ไกลแล้วส่ายหน้า

“เลิกแล้ว” ผมไม่ได้ติด อันที่จริงระยะหลังมานี่ไม่ได้แตะเลยด้วยซ้ำ เพราะมีอย่างอื่นให้สนใจเกินกว่าจะนึกถึงมัน

แล้วอีกอย่างที่สำคัญกว่านั้น คือผมเป็นห่วงสุขภาพของไอ้ตี๋ “พอดีคนแถวนี้ป่วยง่ายอ่ะ ไม่อยากเพิ่มควันพิษ”

พอได้ยินเหตุผล ‘คนแถวนี้’ ที่ว่าก็ตีหน้าบึ้งกลับมาทันที

“ควรเลิกเพราะห่วงสุขภาพตัวเองดีกว่านะครับ” เป็นประโยคที่โคตรน่ารักจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง พลางดันหลังร่างเล็กเข้าไปติดเคาน์เตอร์วางของข้างทีวีที่ตอนนี้ว่างเปล่า

“โอเค...” อุ้มขึ้นไปนั่งบนนั้น แทรกตัวอยู่ระหว่างขาเรียวพลางเงยหน้ามองใบหน้าใสที่ตอนนี้อยู่ในระดับสูงกว่าแล้วเปลี่ยนคำตอบใหม่ 

“เลิกเพราะกลัวว่าตัวเองจะเป็นมะเร็งตาย ไม่ทันได้เห็นคนแถวนี้ตอนแก่ดีมั้ย” ช้อนตามองด้วยสายตาของลูกหมาที่กำลังขอรางวัลจากเจ้านาย

อยากจูบแทบตาย แต่เพราะเผลอใช้โควต้าของตัวเองไปแล้วตั้งแต่เช้าเลยได้แค่คลอเคลีย ไล้จมูกไปกับแก้มใสที่ขึ้นสีระเรื่อทั้งที่เจ้าตัวกำลังทำหน้าเหนื่อยหน่ายกับลูกอ้อนที่ผมหยิบมาใช้จนอีกฝ่ายรู้ทัน

“นิสัยเสียจริงๆ” แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังหลุดขำ บ่นพึมพำก่อนจะจับหน้าผมให้อยู่นิ่งๆ แล้วทาบริมฝีปากลงมา

เราตกลงกันไว้ว่าห้ามผมจูบเกินวันละครั้ง... แต่กรณีที่คุณเขาเป็นฝ่ายจูบก่อนผมไม่นับ ดังนั้นผมไม่ได้ทำผิดกติกา

“หึ” หลุดหัวเราะออกมาอย่างได้ใจ ขณะดึงคนตัวเล็กเข้ามาแนบกายพร้อมกับเผยอริมฝีปากล่อลวงให้เรียวลิ้น
ร้อนล่วงล้ำเข้ามาง่ายๆ โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัว

สัมผัสแผ่วเบา เจือไปด้วยความเขินอาย แต่ทว่าหวานล้ำจนทำให้หัวใจผมเต้นเหมือนระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลังเร็วกว่าเข็มวินาที...

และคงไม่ดีแน่ถ้าปล่อยให้ริมฝีปากแตะกันนานกว่านี้ เมื่อรู้ตัวว่าใกล้ถึงขีดกำจัดความอดทนจึงถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่ง มองริมฝีปากบางที่ผมอยากครอบครองซ้ำๆ คลี่ยิ้มหวาน ขณะที่หน้าผากยังแตะกัน ฝ่ามืออุ่นๆ ที่ยังทาบอยู่บนหน้าเกลี่ยแก้มผมเบาๆ พลางกดปลายจมูกลงมาหยอกล้อกับปลายจมูกผม คลอเคลียไปมาอยู่นานจนกระทั่งผมเป็นฝ่ายยอมแพ้ ก้มหน้าลงซุกกับไหล่บางพลางบ่นพึมพำ

“หิวแล้วอ่ะ ไปกินข้าวกัน”

เฉไฉแดกข้าวไว้ก่อนแล้วกัน ก่อนจะตบะแตกเผลอแดกอย่างอื่นขึ้นมาจริงๆ
 





กินข้าวเย็นเสร็จก็เพิ่งจะสองทุ่มกว่าๆ พวกเราเลยไปที่ร้านก่อนเวลาเกือบสองชั่วโมง ไอ้มิ่งยังไม่ออกกะด้วยซ้ำ แต่พี่โมดูเหมือนจะมีธุระ ตรงเคาน์เตอร์เลยมีไอ้ตัวเสนอหน้ามาทำแทน

“เฮ้ย พี่ซันมาพอดี” พอเห็นหน้าผมมันก็ทักเหมือนกำลังรออยู่ทันที ผมเลยเลิกคิ้วตีหน้ากวนกลับไป

“อะไร?” มือข้างหนึ่งยังจับมือบางไว้ ดึงให้เดินตามมานั่งที่โต๊ะว่างหน้าเคาน์เตอร์เพราะรู้ว่ามันกำลังหนีไปทำงานทั้งที่ยังไม่ถึงเวลา

“มีคนมาหาพี่อ่ะ” ไอ้นายพยักหน้าไปทางโต๊ะหนึ่งด้านหลังที่ผมไม่ทันสังเกตตอนเข้ามาว่ามีใบหน้าของคนคุ้นตานั่งอยู่ และตอนนี้มันก็กำลังมองมาที่ผมด้วยสายตาคล้ายกับมีบางอย่างอยากจะบอก

“ไอ้ตรีอ่ะนะ...” กำลังนึกสงสัยว่าถ้าไอ้ตรีมาหาจะบอกทำไม แต่ไม่ทันไรก็ต้องหยุดชะงัก รู้แล้วว่าคนที่ไอ้นายหมายถึง
ไม่ใช่ไอ้เพื่อนสนิทที่โผล่หัวมานั่งแช่อยู่ในร้านแทบทุกวัน

“ไม่ใช่ ผู้หญิงที่อยู่กับพี่ตรีดิ”

ไม่ต้องเอ่ยย้ำก็รู้ เมื่อ ‘ผู้หญิง’ คนที่ว่าหันกลับมายิ้มให้ ใบหน้าแสนคุ้นเคยที่ไม่ได้เห็นมาพักใหญ่ยังคงฉายแววสดใส ทว่าดูเจ้าอารมณ์ไม่ต่างจากครั้งสุดท้ายที่เจอ

“คุณนาย...” เผลอหลุดสรรพนามคุ้นปากออกมา ในขณะที่รับรู้ได้ว่าฝ่ามือของอีกคนที่กุมไว้ ค่อยๆ ถูกดึงออกไปพร้อมกับร่างเล็กที่ถอยห่างพลางยกมือไหว้ทักทาย

“สวัสดีครับ”

เพราะเคยอยู่โรงเรียนเดียวกัน จึงไม่แปลกที่ไอ้ตี๋จะรู้ดีว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นใคร ถึงได้รักษาระยะห่างระหว่างผมไว้... เหลือเพียงสถานะเพื่อนคนหนึ่งของลูกชาย
 
ป๊ากับแม่ผมแต่งงานเร็วและวางแผนมีลูกตั้งแต่อายุยังน้อยเพราะอยากคุยกับลูกได้เหมือนเพื่อนมากกว่า แต่หลังจากมีพี่ชายคนโตกับพี่สาวคนรองผมก็ไม่ได้คุมกำเนิด อีกสิบปีให้หลังเลยมีผมขึ้นมา... เรียกว่าผิดแผนนิดหน่อย แต่ไม่ใช่ความผิดพลาด

ออกจะเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำเพราะการเป็นลูกคนเล็กที่อายุห่างจากพี่ๆ เป็นสิบปี ทำให้ผมได้รับการประคบประหงมเหมือนมีพ่อแม่สี่คน ได้รับความรักจากครอบครัวจนล้น ถูกตามใจสารพัดมาตั้งแต่เล็กจนกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ อยากได้อะไรก็แค่อ้อนนิดอ้อนหน่อยเดี๋ยวก็ได้ แทบไม่เคยถูกขัดใจเลยตั้งแต่เกิดมา

ครั้งเดียวที่ร้ายแรงจนถึงขั้นจำได้ก็คือตอนที่คุณนายไม่ยอมให้ผมเรียกแม่เพราะไม่อยากแก่ เป็นเรื่องไร้สาระที่ทุกคนในบ้านมองว่ามันขำ แต่ผมกลับเถียงหน้าดำหน้าแดง ก่อนที่สุดท้ายผมจะประชดเรียกคุณนายว่าคุณนายจนติดปากชินหูมาจนถึงทุกวันนี้

“เหมือนรู้เลยอ่ะว่ากำลังอยากเจอ” ว่าพลางกอดเอวบางไว้ ดันร่างผู้ให้กำเนิดเข้าไปในห้อง ขณะที่แม่กวาดสายตามองไปทั่วห้องที่เหลือแต่เฟอร์นิเจอร์โล่งๆ ที่ได้มาตั้งแต่ตอนเช่า

“อยากเจอแล้วทำไมไม่ไปหาล่ะ”

“คุณนายกับป๊านั่นแหละเที่ยวเพลินจนไม่ติดต่อมา”

หลังจากโยนกิจการที่มีอยู่ให้พี่ทั้งสองคนป๊ากับแม่ก็วางแผนเที่ยวรอบโลกกันทันที ช่วงไหนเดินทางก็จะหายหน้าหายตาเป็นเดือนๆ เหมือนไม่รู้ว่าโลกนี้เค้ามีโซเชียลมีเดียให้ติดต่อกัน ถึงจะเป็นห่วง แต่พวกเราสามพี่น้องก็ลงความเห็นกันว่าจะแค่ตามอยู่ห่างๆ ปล่อยให้ป๊ากับแม่เที่ยวอย่างสบายใจ ขอแค่ให้ส่งข่าวเป็นระยะ หรือคิดถึงกันเมื่อไหร่ก็ติดต่อกลับมาบ้างก็พอ

“แล้วป๊าไม่มาด้วยเหรอครับ” ผมถามอย่างนึกขึ้นได้ ปกติสองคนตัวติดกันจะตาย ทำตัวเหมือนข้าวใหม่ปลามันทั้งๆ ที่อยู่กินกันมาหลายสิบปี

“ดูหลานอยู่บ้านนู่น” แม่ตอบ “ฉันมาหาเพราะซีกับแซนด์บอกว่าซันจะย้ายเข้าไปอยู่บ้านที่รีสอร์ต”

ซีคือพี่ชายคนโตของผม คนที่ตอนนี้เป็นทั้งพี่ใหญ่ และคุณพ่อของลูกชายวัยเก้าขวบคนหนึ่ง ส่วนแซนด์คือพี่สาวคนรองที่นอกจากจะเปรียบเสมือนแม่คนที่สองของผมแล้ว ยังเป็นแม่จริงๆ ของเด็กผู้หญิงวัยสามขวบและกำลังจะมีลูกสาวอีกคนในอีกสี่เดือน

“แล้วนี่เก็บของเสร็จหรือยัง” กวาดสายตามองไปรอบห้องอีกครั้ง เหมือนสำรวจของตกค้างเหมือนที่ใครอีกคนเพิ่งทำ

ผมยิ้มก่อนจะพยักหน้า “หมดแล้วครับ มีคนมาช่วย” แม่เลิกคิ้ว แต่ไม่ได้ถามว่าใคร กลับหันมามองหน้าผมด้วยสายตาจริงจัง

“ซันจะหางานทำเองจริงๆ เหรอ”

ทุกคนในบ้านเข้าใจแบบนั้นตั้งแต่ผมหันมาเรียนสายอื่นที่ไม่เกี่ยวกับการบริหารโรงแรมอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไร ป๊ากับแม่เปิดโอกาสให้ผมได้ทำตามใจ และคอยซัพพอร์ตให้เท่าที่จำเป็น

“ครับ” ผมตอบ พลางทิ้งตัวลงนอนบนตักที่แสนคิดถึง กอดเอวซุกหน้าลงกับหน้าท้องนุ่มๆ แล้วถูไปมา “คุณนายไม่ต้องห่วงเลย ซันดูแลตัวเองได้”

“รู้แล้ว เข้าใจตั้งแต่มาขออนุญาตทำงานร้านกาแฟแล้ว” แม่หัวเราะ พร้อมกับฝ่ามืออุ่นๆ ที่ขยี้ลงมาบนหัวแรงๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้

ผมหัวเราะบ้าง ผละหน้าออกมานอนมองเจ้าของใบหน้าต้นแบบของตัวเองที่ชราตามวัย แต่กลับมีดวงตาที่สดใสเหมือนสาวสะพรั่งแล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง รู้สึกอุ่นใจจนคิดว่าสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจมาตลอดหลายวัน ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องกังวลเลยสักนิด

ไม่มีทางเลยที่ผู้หญิงคนนี้จะรับไม่ได้ในสิ่งที่ผมเป็น

“คุณนาย... ถ้าซันไม่เหมือนคนอื่น คุณนายจะผิดหวังมั้ย” หลังจากเงียบไปพักใหญ่ก็ตัดสินใจลองเชิงถามออกมา

“หือ?” แม่เลิกคิ้ว มองผมอย่างประหลาดใจ ก่อนจะเอ่ยขำๆ “ซันเคยเหมือนใครด้วยเหรอ”

“โห่ คุณนาย~” ผมลากเสียงงอแง แม่หัวเราะพลางลูบหัวผมเบาๆ

“มีอะไรก็ว่ามา”

คงเพราะจับได้ว่าผมมีบางอย่างอยากจะพูดจึงเปลี่ยนเป็นถามด้วยน้ำเสียงใจดี ผมเงียบไปพักหนึ่ง แล้วพูดสิ่งที่คิดไว้

“แม่... ซันมีคนที่อยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตแล้วนะ”

ลุกขึ้นนั่งเพื่อสบตาให้รู้ว่ากำลังจริงจัง “แต่ถ้าไม่ใช่คนที่แม่กับป๊าหวัง จะเป็นไรมั้ย”

ถึงจะคิดเอาไว้ว่าคงไม่ถูกต่อต้านอะไร แต่ก็อดเผื่อใจไว้ไม่ได้ ว่ามันอาจไม่ง่ายอย่างที่ต้องการ

“ซันอยากแต่งงานกับเค้า แต่ซันมีหลานให้แม่แบบพี่ซี พี่แซนด์ไม่ได้นะครับ”

“...”

“คนที่ซันรักเป็นผู้ชาย”

แม่จ้องหน้าผมนิ่งสักพัก ก่อนจะส่ายหัวน้อยๆ พลางถอนหายใจ “ว่าแล้วเชียว”

“หือ?” ผมเลิกคิ้วกับปฏิกิริยาของแม่เมื่อได้ยินคำสารภาพของผม

ว่าแล้วเชียว? หมายความว่าไง

“ซีบอกหมดแล้วเรื่องข่าวลือที่ซันคบผู้ชาย ตอนเจอตรีก็เลยลองถามดู แต่ตรีบอกให้มาถามซันเอง แต่แค่นั้นก็รู้แล้วว่าเป็นเรื่องจริง”

“อ้าว...” ผมกะพริบตาปริบๆ อย่างตั้งตัวไม่ทัน

“คนที่เดินมาด้วยกันที่ร้านกาแฟใช่มั้ย” แม่เลิกคิ้ว ในขณะที่ผมยังไม่เลิกประหลาดใจ

“รู้ได้ไง”

“โอ้โห ก็ลูกชายเล่นเดินจับมือกันมาซะขนาดนั้น คิดว่าฉันไม่เห็นหรือไง” แกล้งเบ้ปากมองบนใส่ผมอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ดูอ่อนโยนอีกครั้ง “ซันจริงจังใช่มั้ย”

“อื้อ” ผมพยักหน้ารัวๆ ขยับเข้าไปใกล้ กอดเอวแม่ไว้ แล้วถามเสียงอ้อน “แม่ไม่ว่าเหรอครับ”

“ตกใจ แต่ไม่ว่า” ดวงตาของแม่ยังคงอ่อนโยน ขณะเอื้อมมือมาขยี้หัวผมแรงๆ “แต่ตกใจกว่า ที่ซันพูดออกมาว่าอยากแต่งงาน"

"..."

"ดูซันจะรักคนนี้มาก”

“ครับ รักมาก” ผมยิ้ม แล้วทิ้งตัวลงหนุนตักแม่อย่างผ่อนคลายอีกครั้งเมื่อรู้ว่าทุกอย่างกำลังจะผ่านไปด้วยดี “อยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตเหมือนป๊ากับคุณนาย”

พอได้ยินแบบนั้นแม่ก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง ลูบหัวผมไปมาแล้วเริ่มถามต่อ

“ชื่อโชกุนใช่มั้ย” ผมพยักหน้า ตอนอยู่ในร้าน ไอ้ตี๋มีโอกาสได้แนะนำตัวสั้นๆ แล้วขอปลีกตัวไปทำงาน ส่วนผมกับแม่ก็นั่งคุยสัพเพเหระกับไอ้ตรีต่ออีกนิดหน่อย ก่อนที่ผมจะพาออกมาเพราะแม่ถามว่าเก็บของเสร็จหรือยัง

“อยากคุยด้วยสักหน่อย แต่ซันก็ลากออกมาก่อน”

ผมหัวเราะ แล้วแกล้งพูดติดตลก “กลัวถ้ารู้ว่าเป็นแฟน คุณนายจะวีนใส่มันไง ห้ามแตะเชียว คนนี้หวงมาก” 

จำได้ดีว่าสายตาที่มองมายังผมกับแม่เป็นระยะ เต็มไปด้วยความกังวล คงเพราะผมไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเพื่อบ่งบอกสถานะระหว่างเรา ตอนนั้นคิดแค่ว่าอยากบอกแม่ด้วยตัวเองก่อน ยังไม่อยากให้ทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน เพราะถ้าเกิดมันไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ คนที่จะเจ็บตัวที่สุดคงไม่พ้นไอ้ตี๋

ผมอยากแน่ใจก่อนว่าเรื่องนี้จะผ่านไปได้โดยไม่ทำร้ายจิตใจมัน

“คบกันมานานหรือยัง” แม่เปลี่ยนคำถามหลังจากแกล้งย่นหน้าหมั่นไส้ใส่ผม

“เพิ่งคบกันครับ แต่รู้จักมานานแล้วนะ มันเคยเรียนโรงเรียนเดียวกับซันด้วย” ถึงตอนมัธยมแทบเรียกไม่ได้ว่ารู้จักก็เถอะ

“เดี๋ยวจะโชว์รูปสมัยมัธยมให้ดู คุณนายต้องตกใจแน่ ไม่เหมือนตอนนี้เลย” ผมว่าพลางล้วงกระเป๋าตังค์หยิบรูปถ่ายเก่าๆ ที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งใบออกมายื่นให้แม่ดู

“คนนี้เหรอ?” แม่เบิกตากว้าง ชี้ไอ้ตี๋ที่อยู่ไกลๆ

ผมหัวเราะ “ใช่ ไม่เหมือนเลยเนอะ”

แม่พยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะยื่นรูปกลับมา

“มันพยายามแทบตายเลยนะกว่าจะเหลือตัวเท่านี้” ผมบอกกลั้วหัวเราะ นึกถึงนิสัยจุกจิกกับการกินของมันแล้วนึกขำ

เดี๋ยวจะขุนจนกลับไปอ้วนเหมือนตอนนั้นให้ดู

“แล้วที่ซันชอบเขานี่ เพราะเขาดูดีขึ้นงั้นเหรอ”

“หึ ไม่เกี่ยวเลย” ผมส่ายหน้ารัว “ไอ้ตี๋เป็นคนดี”

“เป็นคนน่ารักมาก จนอยากจะรู้จักให้เร็วกว่านี้” ผมมองรูปในมือ มองดวงตาเป็นประกายของไอ้ตี๋แล้วอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม

เคยคิดว่าถ้าได้เห็นมันมองใครแบบนี้อีกครั้งจะทำให้สมหวัง... ไม่ทันคิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะเป็นตัวเองที่ถูกดวงตาคู่นั้นจับจ้องมา

ดวงตาที่ทำให้ผมมีความสุขจนไม่อยากจะแบ่งปันให้ใคร

“อยู่ใกล้กันแค่นิดเดียว ไม่น่าปล่อยเวลาให้เสียเปล่าตั้งหลายปี”

“บางทีคนที่ใช่ ก็ต้องมาในเวลาที่เหมาะด้วย เหมือนฉันกับป๊าไง กว่าเราจะรักกันได้ก็คลาดกันอยู่ตั้งนาน...”

“พอเลยคุณนาย” ผมแย้ง ก่อนแม่จะเริ่มเล่ามหากาพย์ความรักของตัวเองให้ฟังเป็นรอบที่ล้าน “วันนี้คุณนายต้องฟังเรื่องของซัน ห้ามเล่าเรื่องตัวเอง”

แม่ทำหน้าหมั่นไส้ใส่ผมอีกรอบเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่ไม่นานก็หลุดหัวเราะก้มหน้ามองผมด้วยสายตาจริงจังทว่าเจือไปด้วยความอ่อนโยนอีกครั้ง

“ตอนนี้ซันมีความสุขใช่มั้ย” มือบางขยับลูบหัวผมไปมา

“ครับ” พอได้ยินคำตอบ แม่ก็พยักหน้าพอใจ

“ดีแล้ว... ไม่ว่าเรื่องอะไร แม่อยากให้ซันมีความสุข รู้ใช่มั้ย” ผมยิ้มบ้าง เมื่อสรรพนามที่ใช้เรียกตัวเองของแม่เปลี่ยนไป

“ไม่ต้องถามเลยว่าแม่กับป๊าจะผิดหวังมั้ย เพราะซันไม่เคยทำให้เราผิดหวัง”

“...”

“ซันเป็นลูกชายที่ดีที่สุดเท่าที่ในชีวิตแม่คนหนึ่งจะมีได้ เข้าใจมั้ย” ผมยิ้มกว้าง พยักหน้ารัวๆ รู้สึกเหมือนหัวใจได้รับสารอาหารเต็มอิ่มขึ้นมาทุกครั้งที่ได้ยินแม่พูดแบบนี้

กับบางครอบครัวมันอาจเป็นเรื่องแปลกที่มานั่งพูดหวานๆ ใส่กันแบบนี้ แต่กับครอบครัวเรา มันเป็นเรื่องปกติ เพราะเราต่างเชื่อว่าคำพูดดีๆ การแสดงออกว่ากำลังภูมิใจในตัวกันและกัน เป็นสิ่งง่ายๆ ที่เติมพลังชีวิตได้ดีกว่าวิตามินใดๆ

“ถ้าเข้าใจก็พาโชกุนไปที่บ้านได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะบอกให้ป๊าเลื่อนทริปเนปาลไปอีกสักสามสี่เดือน”

คราวนี้ผมหัวเราะลั่น กอดเอวแม่ไว้ ถูหน้าไปมา แล้วเอ่ยเอาใจ

“แม่ใคร ทำไมทั้งสวยทั้งใจดี”
 





หลังจากคุยกันอีกสักพัก ผมก็พาแม่ไปส่งที่รีสอร์ต เพราะไหนๆ ก็มาเลยถือโอกาสไปตรวจความเรียบร้อยด้วยซะเลย ผมลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้อง เลยไม่ทันได้บอกไอ้ตี๋ว่าวันนี้จะค้างกับแม่ แถมคุณนายก็เอาแต่เม้าท์มอยเรื่องไปเที่ยวให้ผมฟังจนเผลอหลับไป ตื่นมาอีกทีก็เช้าวันใหม่เข้าไปแล้ว

ผมลาแม่แล้วกลับมาที่หอไอ้ตี๋ตอนหกโมงเช้าพอดี เข้าใจว่าป่านนี้ไอ้ตี๋คงหลับไปแล้ว แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่ามีแสงไฟในห้องรับแขกลอดออกจากช่องใต้ประตูเข้ามาที่ทางเดิน พอเปิดประตูเข้ามาก็เห็นว่าร่างของคนที่กำลังคิดถึงนอนแผ่หลาอยู่บนโซฟาในสภาพชุดทำงาน แถมยังสวมแว่นตาไว้อีกต่างหาก

ทำไมมานอนนี่วะ...

หรือว่ารออยู่?

ผมเลิกคิ้วกับตัวเองก่อนจะเดินไปนั่งคุกเข่าลงข้างๆ ใบหน้าใส ดึงแว่นตาออกให้อย่างเบามือเพราะไม่อยากทำให้ตื่น

“กลับมาแล้วเหรอครับ” แต่สุดท้ายไอ้ตี๋ก็รู้สึกตัวจนได้ มันถามเสียงงัวเงียพลางขยี้ตา

รออยู่จริงๆ ด้วยอ่ะ

ผมหัวเราะเบาๆ วางแว่นที่เพิ่งถอดให้ ก่อนจะปีนขึ้นไปเบียดตัวบนโซฟาแคบๆ สอดแขนให้หนุนต่างหมอนแล้วกดจูบลงที่หน้าผากเบาๆ

“ขอโทษที่ไม่ได้บอกว่าจะนอนค้าง” ยกมืออีกข้างขึ้นมาลูบผม เกลี่ยไปทั่วใบหน้าง่วงงุนที่ดูน่ารักเกินไปจนใจสั่นไปหมด

“ไม่เป็นไรครับ” เสียงงัวเงียตอบกลับมา พยายามลืมตาทั้งที่มันดูหนักอึ้งจนเหมือนจะปิดลงทุกที

ท่าทางจะเพลียน่าดู ยิ่งช่วงใกล้สอบ ไอ้ตี๋ก็ยิ่งยุ่ง ทั้งเรื่องอ่านหนังสือ เรื่องร้าน แถมมันยังต้องมาช่วยผมแพ็คของเก็บห้องทั้งวันอีก

“แล้วแม่ซัน...” ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรขึ้นมา แต่ว่าไม่ทันจบก็ชะงัก คิ้วขมวดนิดๆ ด้วยสีหน้ากังวลแบบที่ผมเห็นในร้าน

ผมรู้ว่ามันจะถามอะไร ถึงได้ยิ้ม จรดหน้าผากลงกับเจ้าของหน้าผากใสที่ใกล้หลับเต็มที คลอเคลียปลายจมูกไปมา ก่อนจะกระซิบเบาๆ

“ปิดเทอมนี้จองตัวนะครับ” มองสีหน้างุนงงปนงัวเงียแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม อดไม่ได้ที่จะงับปลายจมูกคนน่ารักเบาๆ แล้วบอกความตั้งใจ “จะพาไปบ้าน”

“...!?” พอดวงตาเรียวเบิกกว้างด้วยความตกใจ ผมก็หลุดหัวเราะออกมา

“ไปนะ” แกล้งอ้อนถาม พลางกดจูบหนักๆ ลงไปบนแก้มทั้งสองข้าง
               
“...”

“นะ” พอเห็นว่ามันยังไม่หายตะลึงก็แกล้งงับปลายจมูกอีกรอบ แล้วเลื่อนไปที่หน้าผากหนึ่งที

“นะๆๆ” กลับมาคลอเคลียปลายจมูกเข้าด้วยกัน พลางส่งสายตาออดอ้อน จนกระทั่งเห็นดวงตาเรียวฉายแววเข้าใจ แล้วอมยิ้มพร้อมพยักหน้า ผมจึงยิ้มกว้างไล่ริมฝีปากจูบไปทั่วใบหน้าอีกครั้ง

“ไปหาป๊ากับแม่กัน”

หยุดคลอเคลียอยู่ที่ริมฝีปาก รั้งรออยู่สักพัก จนเจ้าของดวงตาเรียวค่อยๆ หลับตาลงอย่างฝืนความง่วงไม่ไหว จึงทาบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากที่ยังทิ้งรอยยิ้มไว้บางๆ

ไม่ได้ล่วงล้ำหรือตักตวงความหวานอย่างเอาแต่ใจเหมือนเคย เป็นเพียงจูบแผ่วเบา เพื่อบอกให้สบายใจ... ไม่มีอะไรต้องกังวล

แค่อยู่ในอ้อมกอดผม แล้วหลับฝันดีก็พอ





---------------------------------------------------------------
เวลาเขียนนิยายอีกเรื่องที่สนุกคือการคิดปูมหลังตัวละคร
ตั้งแต่คิดคาร์แร็กเตอร์ ก็ต้องคิดไปถึงว่าเค้าเกิดมาในครอบครัวแบบไหนทำไมถึงเป็นคนแบบนี้
อย่างคาแร็กเตอร์ซัน เราว่าถ้าเขามีครอบครัวแบบนี้คงน่ารักดี สำหรับเรามันสมเหตุสมผลที่เขาจะเป็นแบบนี้
เพราะได้รับความรักมามาก ก็เลยแบ่งปันคนอื่นได้มาก ถูกใส่ใจมามาก ก็เลยใส่ใจคนอื่นมากๆ เหมือนกัน
แต่ในทางกลับกันก็ขี้งอแงเอาแต่ใจมากๆ ด้วย 55555
อาจไม่ใช่คาแร็กเตอร์พระเอกในฝัน แต่เชื่อว่าคนอ่านก็คงเอ็นดูนางเหมือนกันใช่มั้ย เนอะ

อีกสองตอนจะจบแล้วว
รอหน่อยนะ ช่วงนี้วุ่นๆ ไม่ค่อยมีเวลาเขียนเลย

ฝาก #ซันโช ด้วยน้า
ขอบคุณมากๆ ค่ะ  :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2017 00:53:56 โดย makok_num »

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
แอร๊ยยยยย
เค้าจะพาเข้าบ้านกันแล้วววววว

ชอบคุณแม่ซันจังเลยค่ะน่ารักมาก
เปนครอบครัวสมัยใหม่เข้าใจลูก
ไม่ดุไม่ว่า แถมเปนกำลังใจมห้อีกตั้งหาก

ครอบครัวผ่านแล้วแบบนี้
ต่อไปก้เตรียมงานแต่งได้แล้วนะจ๊ะ

ออฟไลน์ ▲TEACHCHY▼

  • ★ U can call me TEACH ★
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 166
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เลี่ยนความรักอะ ชิ
แต่ไม่ใช่ไม่ชอบนะ5555
โชน่ารักมากกกกกกกก
ทำไมน่ารักอะ

ชอบตอนอ่านหนังสือ จูบย้ำๆจำซ้ำๆ
ถ้าเป็นเราคงไม่มีสมาธิอะ :hao7:

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
คิดถึงซันโชแล้ว
ช่วงนี้เราขาดความหวาน
ซันโชช่วยมาเติมให้หน่อยยยยยย

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
ซันเอาตี๋ไปซ่อนไว้ไหน
รีบพาออกมาเร็วๆ
คนอ่านคิดถึงจะแย่แล้วววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
หลงตะวัน : 11

 
ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวใหญ่ หลังแต่งงานพี่ชายกับพี่สาวผมไม่ได้แยกตัวออกไป เพราะตั้งใจกันไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะอยู่ด้วยกันแบบนี้เรื่อยๆ มันไม่ใช่กฎ ไม่มีใครรั้งให้เราอยู่ด้วยกัน ป๊ากับแม่สร้างบ้านให้เป็นของขวัญแต่งงานทั้งสองครอบครัวด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายทุกคนก็มาสุมหัวกันอยู่ที่บ้านใหญ่พร้อมหน้าพร้อมตา
               
มันถึงได้วุ่นวายแบบนี้ไง
               
“อาซันนน~” เสียงตะโกนเรียกชื่อผมลากยาวตั้งแต่ยังไม่เห็นตัว จนเจ้าตัวแสบวิ่งมาถึงหน้าประตูพุ่งเข้ามากระโดดกอดขาไว้ได้นั่นแหละถึงจะเงียบลง
               
หมับ!
               
“...!”
 
พลาดตรงที่คนที่เจ้าตัวเล็กกอดอยู่ดันไม่ใช่ผม...
 
“ว้ายยย ผิดคน” ผมร้องแซว นั่งคุกเข่าเบ้หน้าล้อเลียนใส่หลานชายที่เหวอไปทันทีที่เห็นว่าคนที่กอดอยู่ไม่ใช่คนที่ตัวเองตั้งใจ ขณะที่คนถูกกอดมองหน้าเจ้าตัวเล็กอย่างตกใจอยู่สักพัก ก็ย่อตัวลงยิ้มหวานทักทาย
               
“หวัดดีครับ”
               
เจ้าตัวเล็กกะพริบตาปริบๆ มองหน้าไอ้ตี๋เหมือนยังช็อกค้างอยู่หลายวินาที ก่อนจะหันมามองหน้าผมทั้งที่ยังกอดขามันไว้ 
 
“อาซัน... ใครอ่ะ” แกล้งกระซิบเบาๆ เหมือนกลัวอีกฝ่ายจะได้ยิน
               
ผมหัวเราะออกมาเสียงดัง แกล้งยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูหลานเหมือนเวลาเราแกล้งแอบเม้าท์คนอื่นๆ ในบ้านกัน “แฟนอา”
               
คราวนี้ตัวแสบถึงกับเบิกตากว้าง มองหน้าผมสลับกับไอ้ตี๋พลางกัดปากเขินๆ ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือ เดินถอยหลังออกไปสองสามก้าว แล้วเริ่มวิ่งกลับเข้าไปในบ้านพร้อมเสียงตะโกน
               
“คุณย่า แฟนอาซันมาแล้ว~”
               
ทำตัวเป็นทรโข่งบอกข่าวให้คนที่คงจะนั่งรออยู่ข้างในให้รับรู้การมาถึงของพวกเรา ผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะหันมามองหน้าคนข้างตัว
               
“เมื่อกี้ชื่อเจ้าภู เป็นลูกพี่ซี พี่ชายคนโต” แนะนำตัวแทนเจ้าตัวเล็กที่แต๊ะอั๋งแฟนผมตั้งแต่แรกเจอ ก่อนจะเอ่ยถึงอีกคนที่ยังไม่เห็นตัว
 
“เดี๋ยวจะเจอลูกพี่แซนด์ พี่สาวคนรองอีกคน ชื่อน้องภา น่ารักมาก ตอนไม่งอแงอ่ะนะ” ผมพูดติดตลก ขณะที่ไอ้ตี๋ยิ้มนิดๆ พยักหน้าเข้าใจ พลางมองตามแผ่นหลังน้อยๆ ที่เพิ่งลับสายตาไปด้วยแววตาคล้ายกับกำลังกังวล
               
เพราะเป็นบ้านตัวเอง ถึงจะไม่ได้กลับมาพักใหญ่ก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดอะไร เลยไม่ทันคิดว่าคนที่เพิ่งมาครั้งแรกอย่างมันจะรู้สึกประหม่าแค่ไหน โดยเฉพาะเป็นการมาในฐานะแฟนของลูกชายเจ้าของบ้านแบบนี้
               
ยังกะในละครที่ตัวเอกพาลูกสะใภ้เข้าบ้านอะไรแบบนั้นเลยว่ะ
               
“ตื่นเต้นเนอะ” ผมย่นหน้า ทำเป็นว่าตัวเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เอื้อมมือไปจับฝ่ามือชื้นเหงื่อของมันไว้แล้วบีบเบาๆ “ครั้งแรกเลยเนี่ยที่พาแฟนมา”
               
เจ้าของดวงตาเรียวมองผมอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงมองมือที่กุมกันไว้ เงยหน้าขึ้นมายิ้มบางๆ ตอบผมด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายลง
               
เห็นแบบนั้นแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ ไม่วายอยากจะแกล้งให้หายมันเขี้ยวสักที
               
“ขอกำลังใจหน่อย” ว่าจบก็ฉกฉวยริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากบางเร็วๆ แล้วผละออกมา
 
“ซะ...ซัน!” เห็นสีหน้าตกใจของคนที่ตั้งตัวไม่ทันก็หลุดหัวเราะ ยกมือที่กุมอยู่ขึ้นมาจูบหนักๆ ลงไปครั้งหนึ่ง ส่งสายตาบอกว่าไม่ต้องกังวล
 
“พร้อมมั้ย?” ผมถาม มองดวงตาเรียวที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากตกใจเป็นผ่อนคลาย ส่ายหน้าเอือมๆ เพราะรู้ทันว่าที่ผมแกล้งก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
 
“ครับ” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มตอบพลางพยักหน้าเบาๆ
 
ผมยิ้มกว้างอย่างพอใจ กดจูบลงบนหลังมืออีกฝ่ายอีกครั้ง ก่อนจะพาคนตัวเล็กเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ที่ตัวเองใช้ชีวิตอยู่มาหลายสิบปี
 
แต่แทนที่จะเจอครอบครัวนั่งอยู่พร้อมหน้า ห้องรับแขกโล่งกว้างกลับไร้เงาของคนอาศัย มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะบ่ายวันอาทิตย์แบบนี้บ้านเรามักจะไปนั่งรวมตัวกันในสวนหลังบ้าน ทำตัวฟรีสไตล์กับวันที่ได้อยู่กันพร้อมหน้า มีปาร์ตี้บ้าง หรือบางครั้งแค่นั่งพูดคุยสัพเพเหระไปตามประสา
 
แต่วันนี้มีวาระพิเศษ มันจึงไม่ใช่บ่ายวันอาทิตย์ธรรมดา เพราะมีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาในบ้านทุกคนเลยดูจะตั้งหน้าตั้งตารอคอย
 
ดูจากในกรุ๊ปไลน์ครอบครัวที่ทุกคนติดตามความเคลื่อนไหวของผมตั้งแต่ยังไม่สตาร์ทรถออกจากเชียงใหม่ก็พอจะเดาได้ แทบทุกชั่วโมงผมต้องคอยให้ไอ้ตี๋พิมพ์ตอบให้ว่าตอนนี้ถึงไหน หรือโชกุนอยากกินอะไร พวกพี่ๆ จะได้เตรียมของว่างไว้ให้ทันทีที่เรามา
 
 
อีกอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าวันนี้เป็นวาระพิเศษก็คือป๊าลงมือทำมื้อเย็นด้วยตัวเอง ต้องขอบคุณไอ้ตี๋จริงๆ ที่ทำให้เราได้กินอาหารฝีมือเชฟใหญ่ของครอบครัวที่ไม่ได้กินมานาน
 
ป๊าของผมทำอาหารอร่อยมาก ในขณะที่แม่ทำอาหารไม่เป็น ในทางกลับกัน เรื่องบริหารจัดการป๊าไม่ค่อยเก่ง จึงเป็นเหตุผลที่ต้องมีแม่ผมคอยจัดการนู่นนี่ตั้งแต่ในบ้าน รวมไปถึงกิจการของครอบครัว เวลาที่มองป๊ากับแม่ หลายครั้งผมอดคิดไม่ได้ว่า ทั้งสองคนเป็นส่วนเติมเต็มที่ลงตัว เหมือนเกิดมาเพื่อกันและกันจริงๆ
 
“ชิมหน่อย” พอได้ยินจากแม่บ้านว่าป๊ากับแม่ยังอยู่ในครัว ผมเลยพาไอ้ตี๋มาที่นี่ก่อน ไม่ทันคิดว่าจะเจอช็อตเด็ดตอนที่คุณนายอ้อนขอชิมอาหารจากกระทะที่ป๊ากำลังทำพอดี
 
“เป็นไง?”
 
“อร่อยมาก”
 
“อะแฮ่ม!” สวีทกันจนผมต้องส่งเสียงกระแอมออกไปด้วยความหมั่นไส้ที่ได้เห็นฉากสวีทต่อหน้าต่อตา “ลูกชายมาแล้ว สนใจหน่อยครับ” ผมยิ้มแซว ขณะที่ป๊ากับแม่หันมาเลิกคิ้วมองแล้วยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันไปมองคนข้างตัวผมที่ยกมือไหว้ทักทายด้วยท่าทางเกร็งๆ
 
“สวัสดีครับ”
 
“สวัสดีจ้ะ” พอรับไหว้เสร็จ แม่กับป๊าก็หันมามองผมยิ้มๆ แล้วหันไปพยักหน้าใส่กันอย่างมีเลศนัย
 
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในใจสองคนนี้กำลังแซวผมยกใหญ่ จนผมต้องรีบโวยวายออกไปอย่างร้อนตัว
 
“ห้ามแซว!” รู้สึกทันทีว่าหน้ากับลังเห่อร้อนขึ้นมา จนต้องหลบมายืนด้านหลังไอ้ตี๋ ซุกใบหน้าครึ่งหนึ่งลงบนไหล่คนตัวเล็กกว่าที่ทำหน้าเหรอหราไม่เข้าใจปฏิกิริยาของผมที่อยู่ๆ ก็หน้าแดงขึ้นมา
 
ตอนก่อนเข้ามายังปลอบไอ้ตี๋ว่าไม่ต้องเกร็งอยู่เลย แล้วไหงตอนนี้มายืนเขินพ่อแม่ตัวเองวะเนี่ยกู
 
“ใครแซว แค่จะบ่นว่ามาช้า” แม่แกล้งทำเป็นยักไหล่ ในขณะที่ป๊าหัวเราะแล้วหันไปทำอาหารที่ทำค้างไว้ ผมเบ้หน้า ไม่เชื่อแต่ไม่ได้แย้งอะไร กลับหันไปโบ้ยใส่อีกคน
 
“โทษคนนี้เลย มัวแต่บอกให้ผมแวะซื้อของฝากให้ป๊ากับคุณนาย มาช้าเลยเห็นมั้ย”
 
“อะ... เอ๊ะ... ผม...” พอถูกโยนความผิดให้ คนที่ได้แต่ยืนเงียบอยู่นานก็ส่งเสียงออกมาอย่างตกใจ ดวงตาเรียวเบิกกว้างขึ้นมองซ้ายมองขวาอึกอักเหมือนไม่รู้ว่าจะพูดยังไง จนทั้งผมกับแม่หลุดหัวเราะออกมา ในขณะที่ป๊าหันมายิ้มให้อย่างเอ็นดู
 
“น่ารักอ่ะดิ” ได้ทีผมจึงอวยใหญ่ ย้ายมายืนข้างๆ เพื่อมองใบหน้าใสที่ขึ้นสีระเรื่อสบตาผมอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ บีบมือข้างที่ยังกุมกันไว้เบาๆ เพื่อย้ำว่า เห็นมั้ย ไม่มีอะไรต้องกังวล
 
“น่ารักมาก” แม่ว่า พลางเดินเข้ามาลูบหัวลูบไหล่ไอ้ตี๋แล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม “ยินดีต้อนรับนะจ๊ะ โชกุน”
 
เป็นคำพูดธรรมดาที่เหมือนจะปลดล็อกอะไรบางอย่างในใจของคนที่เอาแต่ยืนเกร็งทำหน้าไม่ถูกอยู่นาน ให้คลี่ยิ้มบางๆ ออกมา เห็นแบบนี้แล้วผมอยากจะคว้ามากอดสักที ติดตรงที่แม่ผมไวกว่าเลื่อนมือลงมาจับมือบางไว้ แล้วทำท่าจะลากมันออกไป
 
“เดินทางมาเหนื่อยๆ ออกไปนั่งพักที่สวนดีกว่า พี่ๆ รอเจอหน้าน้องโชกุนแย่แล้ว” ผมมองท่าทางเห่อสมาชิกใหม่ของคุณนายแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ ทำท่าจะเดินตามออกไป แต่ก็ถูกเชฟใหญ่รั้งไว้เสียก่อน
 
“ซันมาช่วยป๊าทำอาหารนี่มา”
 
“โห่ ป๊า ซันก็อยากไปนั่งที่สวนอ่ะ” ผมโอดครวญ มองตามแม่กับไอ้ตี๋ตาละห้อย แต่ก็ไม่มีใครช่วยอะไร แถมคุณนายยังแกล้งยักไหล่ทำท่าไม่ยี่หระใส่อีกต่างหาก
 
“ช่วยไม่ได้ แฟนซันขโมยลูกมือป๊าไปก่อน ซันก็ต้องมาทำแทน” แต่พอได้ยินเหตุผลที่ป๊าหยิบมาอ้าง ผมก็หลุดหัวเราะอีกครั้ง เดินเข้าไปอยู่หน้าเตาอย่างยอมจำนน
 
รู้ดีว่าที่ป๊าให้ผมอยู่ต่อไม่ได้มีจุดประสงค์ให้ช่วยจริงๆ แต่คงเพราะมีเรื่องบางอย่างอยากจะคุย
 
“ย้ายของเข้าบ้านเสร็จแล้วใช่มั้ย” ไม่ทันไรก็เอ่ยปากถาม ทั้งที่มือยังหยิบเครื่องปรุงอะไรต่อมิอะไรใส่ลงไปในกระทะไม่หยุด
 
“ครับ”
 
“ของโชกุนด้วยใช่มั้ย” คราวนี้ป๊าหันมาเลิกคิ้วถาม ผมเลยยิ้มแล้วพยักหน้ากลับไป
 
“ครับ ย้ายเข้าไปอยู่ได้สองสามวันแล้ว” เรื่องที่ผมกับไอ้ตี๋จะย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกัน เป็นที่รู้กันภายในครอบครัวแล้ว ไม่มีใครคัดค้านอะไร แถมป๊ากับแม่ยังพร้อมจะส่งคนมาอำนวยความสะดวกให้ แค่มันบอกว่าขาดเหลืออะไร แต่ไอ้ตี๋ก็ยังเป็นไอ้ตี๋ นอกจากคำขอบคุณมันก็ไม่คิดจะร้องขออะไรอีกด้วยความเกรงใจ
 
หลังจากย้ายของออกจากอพาร์ตเมนต์ผมเสร็จ หลังไฟนอลเราก็ต้องเริ่มเก็บของเตรียมย้ายออกจากหอไอ้ตี๋กันอีกรอบ เหนื่อยกว่าเดิมนิดหน่อยเพราะมีทั้งของผมของไอ้ตี๋ แต่พอย้ายของออกหมดจนเหลือแต่ห้องเปล่าๆ ความรู้สึกที่ฉายชัดขึ้นมาก็คือความใจหายที่เราจะไม่ได้อยู่ที่นั่นกันต่อไป
 
ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ...แต่มันก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นภายในห้องเล็กๆ นั่นจนกลายเป็นความทรงจำที่มีค่าระหว่างเรา
 
จนถึงตอนนี้เรายังไม่ชินกับบ้านหลังใหญ่ โซฟาตัวใหม่ เตียงใหม่ ที่ดูจะกว้างเกินไปเมื่อเทียบกับโซฟาหรือเตียงแคบๆ ที่เราเบียดกันนอนมานาน แต่ถึงอย่างนั้นการได้เห็นหน้าอีกคนเดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน ก็ทำให้อุ่นใจจนลืมไปเลยว่ามันหลังใหญ่แค่ไหน
 
“แม่บอกว่าซันอยากแต่งงาน” เงียบไปสักพักเพื่อตักอาหารใส่จาน ป๊าก็เอ่ยเรื่องใหม่ขึ้นมา
 
“ครับ” ผมตอบตามตรง เพราะกลับมาครั้งนี้ก็ตั้งใจแล้วว่าจะทำเรื่องนี้ให้เคลียร์
 
ป๊าหันมามองหน้าผม ยิ้มบางๆ ก่อนจะยื่นจานอาหารมาให้ผมไปวางรวมไว้กับจานอื่นๆ แล้วเอ่ยแซว “ใจร้อนเหมือนกันนะเรา”
 
ผมหัวเราะบ้าง ยักไหล่พลางเอ่ยขำๆ “ไม่รู้จะรอไปทำไม”
 
จำได้ดีว่ามันเป็นคำพูดของเวลาเรื่องความรักของตัวเองให้ฟัง พอถึงตอนที่คบกัน หรือแม้กระทั่งตอนตัดสินใจแต่งงาน เหตุผลเดียวสั้นๆ ที่ป๊าให้ คือไม่รู้ว่าจะรอไปทำไม
 
ผมกับไอ้ตี๋ก็เหมือนกัน... ผมพูดว่าเสียดายกับตัวเองเป็นพันๆ ครั้งที่ไม่ได้เจอมันมาตั้งนาน... และผมก็ไม่อยากจะต้องมานั่งเสียดายแบบนั้นอีก
 
เราต่างรู้ดีว่าระยะเวลาที่เราทำความรู้จักกันมันไม่ใช่ช่วงสั้นๆ เรามองกันและกันมานาน เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น และมั่นใจยิ่งกว่าอะไรว่าอีกฝ่ายคือความสุขของชีวิตที่ตามหามานาน...
 
ดังนั้นถ้าใครบอกว่าผมตัดสินใจเร็วเกินไป ผมขอเถียงขาดใจเลยจริงๆ
 
“แล้วนี่ ครอบครัวโชกุนเขาว่ายังไง” ป๊าเอ่ยถาม พร้อมกับเริ่มทำอาหารจานใหม่ซึ่งผมแทบไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากหยิบวัตถุดิบและเครื่องปรุงที่เตรียมไว้แล้วยื่นให้
               
“ยังไม่ได้เจอเลยครับ” ผมตอบตามตรง อันที่จริง เรื่องแต่งงานนี่ก็เหมือนจะเป็นแค่ผมที่คิดอยู่ฝ่ายเดียว ยังไม่ได้พูด ไม่ได้บอกอะไรสักอย่างกับไอ้ตี๋ เพราะยังไม่มีจังหวะเวลาที่คิดว่าสมควร
 
แต่แน่ล่ะว่าอีกไม่นาน หัวใจผมมันตะโกนออกมาแล้วว่าไม่อยากปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างเสียเปล่าอีกเลยแม้แต่วินาที
 
“กลัวมั้ย” อยู่ๆ ป๊าก็ถามขึ้นมา ราวกับรู้ความคิดในใจ
               
เหตุผลเดียวที่ผมยังไม่พร้อมจะถามเรื่องนี้กับไอ้ตี๋ ก็เพราะยังไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเอาชนะใจครอบครัวไอ้ตี๋ได้ ไม่รู้จะหยิบยกอะไรมาเป็นหลักประกัน ในเมื่อชีวิตก็ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
 
“กลัวครับ” ผมพยักหน้า สารภาพออกไปอย่างไม่อาย
 
เกิดมายังไม่เคยกังวลขนาดนี้ คงเป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่ไอ้ตี๋รู้ว่าจะต้องมารู้จักครอบครัวผมนั่นแหละ... ไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไร จะถูกต่อต้าน หรือทำอะไรไม่ถูกใจมั้ย เป็นเรื่องที่จินตนาการไม่ออกเลย
 
“แต่ป๊าไม่ต้องห่วงนะ”
 
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน... เชื่อว่าต้องผ่านไปได้ แค่มีไอ้ตี๋คอยกุมมือไว้ อยู่ข้างๆ เหมือนที่ผ่านมาก็พอ
 
“ลูกป๊าไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ อยู่แล้ว”
 
พอได้ยินคำพูดแสนมั่นอกมั่นใจของผม ป๊าก็หัวเราะ เอื้อมมือมาขยี้หัวกันแรงๆ เหมือนทุกครั้งที่ผมพูดถูกใจ
 
“โตเป็นผู้ใหญ่สักทีนะเรา” เอ่ยด้วยแววตาที่ทั้งหมั่นไส้ทั้งภูมิใจ
 
...คงเพราะได้เห็นลูกชายคนเล็กที่เอาแต่ออดอ้อนออเซาะให้คนอื่นตามใจไปวันๆ เริ่มคิดที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยตัวเอง
 
               




กว่าป๊าจะทำอาหารเสร็จก็ถึงเวลามื้อเย็นพอดี ผมที่ขี้เกียจเต็มทีเลยมีหน้าที่ไปตามคนในบ้านมากินข้าว ปล่อยให้ป๊ากับแม่บ้านจัดโต๊ะอาหารไป
 
“ไง น้องชาย” ทันทีที่ก้าวผ่านประตูมาคนแรกที่เอ่ยทักทายก็คือพี่แซนด์ที่นั่งคุยอยู่กับพวกผู้หญิงบนโต๊ะจิบน้ำชา ผมพยักหน้ารับกวนๆ ก่อนจะมองเลยพี่ซีกับพี่เขยที่ยืนคุยกันอยู่มุมหนึ่งไปยังสนามหญ้าที่มีผ้าปิ๊กนิกปูไว้ แต่กลับไม่มีใครนั่ง
 
คนสามคนที่ควรจะอยู่บนนั้น กลับลงมานั่งเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นหญ้าอย่างสนุกสนาน ไม่สนใจเลยสักนิดว่าเนื้อตัวจะมอมแมมกันแค่ไหน
 
“มีคนช่วยเลี้ยงหลานแล้วนะ” ผมหัวเราะออกมากับคำพูดติดตลกของพี่แซนด์
 
เพราะทุกครั้งที่กลับบ้าน ผมหนีไม่พ้นต้องดูแลสองตัวแสบที่คนหนึ่งขี้งอแง ส่วนอีกคนก็ซนจนผมแทบจะเป็นไมเกรนตาย หลานเคยติดผมแจ แต่ท่าทางคราวนี้คงต้องยกตำแหน่งให้อีกคนที่ดูเหมือนจะทำหน้าที่ได้ดีกว่าผม
 
ไม่รู้ว่าเล่นอะไรกัน ถึงได้หัวเราะเสียงดังกันขนาดนั้น สีหน้ามีความสุขซะจนผมอิจฉาเลย
               
“ป๊าให้มาตามไปกินข้าวอ่ะ” ผมเฉไฉเปลี่ยนเรื่องทั้งที่รู้ตัวว่ากำลังยิ้มกว้างจนหน้าบานแค่ไหน แม่กับพี่แซนด์ถึงได้ส่ายหน้าขำๆ ก่อนจะหันไปตามพวกผู้ชาย เจ้าภูพอเห็นว่าพวกผู้ใหญ่แยกย้ายก็รีบวิ่งตามไปอย่างรู้ทันทีว่าได้เวลากินข้าวเย็น ทิ้งน้องสาวไว้ในอ้อมแขนของอีกคนที่เลิกคิ้วประหลาดใจเพราะเพิ่งสังเกตเห็นผม
 
อะไร ไม่ทันไรก็ถูกหลานแย่งความสำคัญซะแล้ว น่าน้อยใจว่ะ
 
“เสร็จแล้วเหรอครับ” 
 
“อืม เหนื่อยมาก ร้อนด้วย” ผมงอแง แต่แทนที่จะเห็นใจกันไอ้ตี๋กลับยิ้มขำ ยกมือข้างที่ไม่ได้อุ้มน้องภาขึ้นมาจัดผมที่ลู่ลงเพราะเหงื่อให้ผมเบาๆ
 
“อยากกินฝีมือซันจะแย่แล้ว”
 
อยากจะแย้งอยู่หรอกว่าผมทำได้แต่ส่งเครื่องปรุงให้ป๊ากับตักใส่จาน แต่พอเห็นสีหน้าแบบนั้นหัวใจมันก็พอโตขึ้นมา อยากจะดึงมาจูบให้หายมันเขี้ยวสักที แต่ก็กลัวว่าจะประเจิดประเจ้อเกินไป เลยต้องแกล้งลูกไม้เฉไฉ ใช้หลานเป็นเครื่องมือ
 
“น้องภา คิดถึงอาซันมั้ย” ถามเจ้าตัวเล็กที่เป็นตัวคั่นอยู่ตรงกลางด้วยสีหน้าไม่ประสีประสา ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้
 
“มาให้อาหอมแก้มหน่อยเร็ว” แตะจมูกลงไปบนแก้มกลมใส...
 
แต่ขณะเดียวกัน ก็จงใจกดริมฝีปากลงไป ในตำแหน่งริมฝีปากของคนอุ้มอย่างพอดิบพอดี
               
 




สำหรับผมมันเป็นเย็นวันอาทิตย์ที่แสนเรียบง่าย เป็นการต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าบ้านตามวิธีของครอบครัวเรา มื้อเย็นฝีมือป๊า การหยิบอัลบั้มภาพขึ้นมาเล่าประกอบเรื่องราวน่าตื่นเต้นของคุณนาย เสียงความวุ่นวายของเด็กๆ การผลัดเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในวงเล็กๆ ที่มีตั้งแต่เรื่องตลกขบขันไปจนถึงเรื่องจริงจัง
 
ไอ้ตี๋ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการนั่งฟังทุกคนที่แย่งกันหาเรื่องมาคุยกับมันแล้วยิ้ม ส่งเสียงหัวเราะที่ผมไม่ได้เห็นบ่อยนัก มันหันหน้ามามองผมเป็นระยะเหมือนจะบอกว่าขอบคุณที่พามาซ้ำๆ
 
ความประหม่าในทีแรกอันตรธานหายไป เหลือเพียงความสบายใจ ผ่อนคลายไม่ต่างจากตอนที่เราอยู่ด้วยกันสองคน และถ้าผมไม่ได้อวยครอบครัวตัวเองเกินไป... ผมว่าผมมองเห็นประกายความสุขเอ่อล้นออกมาจากดวงตาคู่นั้น ที่ผมเฝ้ามองมานาน       
 
หลังจากนั่งเล่นอยู่สักพัก ป๊าก็เรียกผมกับพี่ซีเข้าไปในห้องทำงาน คุยเรื่องรีสอร์ตที่เชียงใหม่ที่จะให้ผมช่วยดูแล แลกกับบ้านที่ผมกับไอ้ตี๋อยู่ปัจจุบัน ถึงจะไม่ชอบเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะรีสอร์ตไม่ได้ใหญ่มาก แถมมีผู้จัดการประจำอยู่แล้ว เอาเข้าจริงเรียกได้ว่าผมแทบไม่ได้ช่วยอะไร แค่ต้องตรวจและเซ็นเอกสารที่สุดท้ายก็ต้องส่งให้พี่ซีเช็กอีกทีอยู่ดี
 
“อ้าวพี่” ผมร้องทักเมื่อกำลังจะเดินกลับห้องตัวเองแล้วเจอพี่สาวกับพี่เขยเดินออกมาพอดี ในอ้อมแขนพี่เขยอุ้มน้องภาที่หลับอุตุอยู่อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวบ่งบอกว่าก่อนหน้านี้หลานคงเข้าไปเล่นในห้องผมมา เหมือนทุกครั้งที่ผมกลับบ้าน แล้วหลานๆ จะมาวิ่งซนอยู่กับผมสักพัก อ้อนให้ผมเล่านิทานให้ฟัง ก่อนที่พ่อแม่จะมาอุ้มออกไปหลังจากที่ทั้งสองคนหลับไป
 
“เจ้าภูยังอยู่ในห้องเหรอ” พอคิดได้แบบนั้นผมเลยเอ่ยถาม เริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดีบางอย่างขึ้นมาทันที
 
“อืม เห็นว่าคืนนี้จะนอนห้องซัน” พี่แซนด์เอ่ยขำๆ เหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร
 
นั่นไง ผิดไปจากที่กลัวที่ไหน
 
ถึงบางครั้งพี่ซีจะอนุญาตให้เจ้าภูนอนห้องผมได้ แต่ต้องไม่ใช่ครั้งนี้ดิ...
 
วันนี้ทั้งวันผมยังไม่มีเวลาส่วนตัวกับไอ้ตี๋เลยนะครับ เพราะเจ้าตัวแสบที่หันมาติดแฟนผมแจ เรียกหาทุกๆ ห้านาที แถมรายนั้นก็ยังปล่อยให้หลานนัวเนียทั้งหอมทั้งกอดยิ่งกว่าที่ผมได้ทั้งเดือนอีก
 
แต่คืนนี้ผมไม่ยอมหรอก ยังไงก็ต้องทวงตำแหน่งตัวเองคืนให้ได้ คอยดูเลย
 
“น้องภู...” แต่ยังไม่ทันจะเรียกชื่อหลานเต็มคำก็เป็นอันต้องหยุดชะงัก กลืนเสียงตัวเองลงไปขณะที่เจ้าตัวแสบหันมาจุ๊ปากใส่ชี้ไม้ชี้มือไปยังคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างตัว
 
“ภูเล่านิทานให้อาโชฟัง” พอเห็นหน้าผมก็รีบคุยโวยกใหญ่ ยกนิทานเรื่องโปรดที่ชอบอ้อนให้ผมเล่าให้ฟังก่อนนอนประจำขึ้นมา ผมเดินเข้าไปขยี้หัวหลานอย่างเอ็นดูก่อนจะเอ่ยชม
 
“ทำดีมาก” หันกลับมามองคนตัวเล็กที่นอนหลับอุตุอยู่อีกครั้ง ก่อนจะโน้มตัวลงไปกดจูบลงบนหน้าผากใสเบาๆ
 
กว่าจะนั่งรถมาถึงก็หลายชั่วโมง แถมยังต้องมารับมือกับเจ้าตัววุ่นที่ตามติดไม่ยอมห่าง ไม่แปลกที่มันจะเหนื่อยจนหลับสนิทขนาดนี้
 
“ทำไมอาซันถึงจูบอาโชอ่ะครับ” พอเห็นผมทำแบบนั้น เจ้าตัวเล็กก็เบิกตากว้าง เอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
 
ผมหัวเราะเบาๆ ทิ้งตัวลงนอนข้างหลานคนละฝั่งกับไอ้ตี๋ก่อนจะตอบออกไป
 
“เพราะอาซันรักอาโชไง” ผมไม่รู้ว่าหลานเข้าใจที่ผมพูดมั้ย แต่หลังจากกะพริบตาปริบๆ มองหน้ากันสักพัก เจ้าตัวเล็กก็หันกลับไปกดจูบบนหน้าผากคนที่กำลังหลับบ้างแล้วหันมายิ้มกว้างให้ผม
 
“ผมก็รักอาโชเหมือนกัน” ผมหลุดหัวเราะกับความไร้เดียงสาของเด็กน้อย ก่อนจะแกล้งเบ้หน้าไม่ยอมรับ
 
“อารักมากกว่า” คราวนี้กดริมฝีปากลงไปที่แก้มทั้งสองข้าง ซึ่งเจ้าตัวเล็กก็ไม่ยอมแพ้ ทำตามบ้างแถมยังทำเป็นจูบเสียงดังข่มผมอีกต่างหาก
 
ผมอมยิ้ม กำลังจะเล่นเกมต่อด้วยการเล็งไปที่ปาก แต่ยังไม่ทันจะได้ยื่นหน้าเข้าไป คนที่กำลังหลับกลับเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาทาบริมฝีปากลงมาเสียเอง
 
จุ๊บ!
 
“...!”
 
“นอนได้แล้วครับ” เอ่ยงัวเงียทั้งที่ยังหลับตา อาศัยจังหวะที่ผมยังนิ่งค้างกดจูบลงไปบนหน้าผากหลานครั้งหนึ่ง
 
เป็นสัญญาณสงบศึกที่ได้ผลชะงัด
 
“ฝันดี...” พูดยังไม่ทันจบก็หลับสนิทไปอีกครั้ง ริมฝีปากบางยังคงทิ้งรอยยิ้มไว้จางๆ เหมือนเจ้าตัวกำลังฝันดีอย่างที่ตัวเองว่า
 
ผมกับเจ้าภูมองหน้ากันขำๆ ยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากทำเสียงจุ๊ๆ พร้อมกัน ก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะมุดตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของคนโปรดคนใหม่ที่สนิทสนมเหมือนรู้จักกันมานาน ไม่นานก็หลับตามกันไปด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ผมมองทั้งสองคนที่กำลังหลับใหล ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจเมื่อนึกได้ว่าจนแล้วจนรอดผมก็ไม่ได้อยู่กับไอ้ตี๋ตามลำพัง
 
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังหยิบของที่เตรียมไว้ออกมา แกะและสวมเข้าที่คอของคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบา ถือโอกาสสอดแขนให้หนุน พร้อมกับกอดรวบทั้งอาทั้งหลานที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ผมมองสิ่งที่เป็นประกายวาวอยู่บนลำคอขาวเนิ่นนานก่อนจะกดจูบลงไป ไล่ริมฝีปากแผ่วเบาขึ้นไปที่ปลายคาง และริมฝีปากอีกครั้ง ทาบหน้าผากลงกับหน้าผาก แตะปลายจมูกเข้ากับปลายจมูกเพื่อสัมผัสไออุ่นของลมหายใจ ก่อนจะเอ่ยคำที่หาโอกาสพูดมาทั้งวัน
 
“ขอบคุณครับที่มา”
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2017 09:22:49 โดย makok_num »

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
หลงตะวัน : 12
               
[ Shogun’s Part ]
 
มันมีหลากหลายความรู้สึกไปหมด ตอนที่ผมตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ามีสิ่งแปลกปลอมบางอย่างสวมอยู่ที่คอ...
 
สร้อยเส้นเล็กๆ ที่มีจี้เป็นแหวนสองห้อยไว้... วงหนึ่งใหญ่กว่า ในขณะที่อีกวงมีขนาดตรงกับขนาดนิ้วนางข้างซ้ายของผมพอดี
 
ทั้งตกใจ ไม่เข้าใจ สับสนงุนงงในขณะที่หัวใจเต้นแรงขึ้นมาจนต้องยกมือกุมไว้ ไม่รู้ตัวเลยว่าเขาลักลอบเอามาสวมให้ตอนไหน อยากถามจะแย่ว่านี่มันเรื่องอะไร แต่สุดท้ายก็ได้แต่คิดวุ่นวายอยู่ในหัวตัวเอง ปล่อยให้คนขี้เซาหลับสนิทต่อไป เพราะรู้ว่าเขาคงเพลียมากจากการขับรถทางไกล แถมยังต้องเข้าครัว กับช่วยกันดูแลสองตัวยุ่งที่เอาแต่เล่นซนจนผมหมดแรงไม่แพ้กัน
 
การมาเจอครอบครัวซัน ทำให้ผมรู้ชัดเจนเลยว่าทำไมซันถึงได้น่ารักนัก ทุกคนในบ้านใจดีมาก ทั้งน่ารัก เอาใจใส่ และให้บรรยากาศอบอุ่นสบายๆ เหมือนกับซัน จากที่ประหม่าแทบตายในตอนแรก ผมกลับค่อยๆ ผ่อนคลาย และสุดท้ายก็ถูกทลายกำแพงอย่างง่ายดาย ไม่ต่างจากที่ซันทำ 
 
อยากจะขอบคุณเขาสักพันครั้งที่ให้โอกาสผมได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่น่ารักขนาดนี้ ได้สัมผัสบรรยากาศของครอบครัวแสนอบอุ่นที่ผมแทบลืมไปแล้วว่าเป็นยังไง
 
“อืม... ตื่นแล้วเหรอ” เสียงงัวเงียจากคนที่ผมนอนมองอยู่นานเอ่ยถาม ดวงตาคมลืมตาขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจะปิดลงไปอีกครั้ง หยีตาเหมือนสู้แสงไม่ไหวขณะที่แขนทั้งสองข้างที่โอบผมไว้หลวมๆ กระชับแน่นดึงผมเข้าแนบกายอย่างโหยหา
 
น้องภูถูกคุณแม่มาปลุกไปโรงเรียนตั้งแต่เช้า ทำให้ตอนนี้บนเตียงเหลือแค่ผมกับคนขี้เซาที่ยังส่งเสียงครางงัวเงียในลำคอไม่เลิก ขณะกดจูบลงมาบนหน้าผาก โหนกแก้ม และริมฝีปากผม ราวกับเป็นกิจวัตรที่ต้องทำหลังตื่นนอน
 
“ซัน...” ผมเรียกเสียงกระเง้ากระงอดพลางถูจมูกเข้ากับจมูกโด่งเพื่ออ้อนให้เขาลืมตา 
 
“หือ?” คราวนี้เจ้าตัวเลยหรี่ตาขึ้นมา ก่อนจะหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าของผม “อะไรครับ”
 
ไม่รู้ว่าถามเพราะแกล้งไขสือหรือเพราะเพิ่งตื่นเลยยังมึนอยู่กันแน่ ผมเลยตีหน้าบึ้ง ชูแหวนที่ห้อยอยู่กับคอตัวเองขึ้นมาเป็นหลักฐาน
 
“นี่อะไรครับ” พอเห็นแบบนั้นเขาก็เลิกคิ้ว แกล้งตีหน้ามึนตอบอย่างไม่ยี่หระ
 
“แหวนไง”
 
“ซัน” ผมหน้าบึ้งกว่าเก่า มันไม่เห็นจะเป็นคำอธิบายตรงไหนเลย
 
สุดท้ายซันก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กระชับอ้อมกอดพลางทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง
 
“มันคือคำถาม”
 
“คำถาม?”
 
“อืม” เขาพยักหน้า ริมฝีปากยังคงคลี่ยิ้มบาง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสบตาผมด้วยสายตาจริงจัง
 
“คำถาม... ว่าพร้อมจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตหรือยัง”
 
“...” เอ่ยคำพูดที่ทำให้ผมได้แต่นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น สบตาเขากลับด้วยความตกใจ
 
ไม่ใช่ว่าเดาไม่ได้ว่าแหวนสองวงนี้มันหมายความว่ายังไง แต่พอเอาเข้าจริงๆ ทั้งสีหน้า แววตา หรือแม้กระทั่งน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาอย่างเรียบง่ายทว่าอบอุ่นของเขา มันก็อดทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นมาไม่ได้อยู่ดี
 
“ยังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ แต่ฝากแหวนไว้ก่อน อยากใส่เมื่อไหร่ก็บอก โอเคมั้ย”
 
“ซัน...” ผมเรียกชื่อเขาเบาๆ... ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเอ่ยอะไร มือข้างที่กุมแหวนอยู่กำไว้แน่น หัวใจมันทั้งรู้สึกอุ่นวาบ และรู้สึกผิดไปพร้อมกันเมื่อเข้าใจว่าที่เขาพูดแบบนั้นเพราะอะไร
 
เพราะรู้ว่าผมยังไม่พร้อม ถึงได้ไม่ทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ยังคงยิ้มให้ และพูดอย่างสบายๆ ให้เวลาผมได้คิด ตัดสินใจเหมือนทุกๆ เรื่องที่เขายอมรอผมตลอดมา ไม่เร่งรัด ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะคาดคั้นให้ผมอึดอัดใจ
 
เพราะแบบนั้น... ผมถึงได้แพ้ให้เขาได้ทุกที
 
“ตั้งใจจะให้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่ยังหาจังหวะไม่ได้ จะบอกก่อนนอน เจ้าภูก็ดันมานอนด้วยซะอีก” สบตาผมขำๆ แล้วกดจูบซ้ำๆ ลงมาทั่วใบหน้าอีกครั้ง
 
“ขอแต่งงานตอนเพิ่งตื่นนี่ไม่โรแมนติกเลยว่ะ” ยิ่งเห็นผมยังนิ่งค้างเจ้าตัวก็ยิ่งมีท่าทีขบขัน ย่นหน้าใส่กันทีหนึ่ง พลางยกฝ่ามือหนาขึ้นมาเกลี่ยผมที่ปรกหน้าให้เบาๆ
 
“น่าจะพูดใหม่ แล้วลงไปนั่งคุกเข่าดีมั้ย”
 
คราวนี้ผมถึงกับหลุดหัวเราะบ้าง ส่ายหน้าแล้วซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดอุ่นๆ ของเขาอีกครั้ง “ดีแล้วครับ”
 
“...”
 
“แบบนี้ดีที่สุดแล้ว”
 
ทุกอย่างที่เขาทำ มันดีเกินไปสำหรับผมแล้วจริงๆ
 
 




ไม่เคยรู้ตัวสักนิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายได้รับมาตลอด จนกระทั่งเช้านั้นที่ผมได้มานั่งทบทวนกับตัวเองว่าที่ผ่านมา ซันทำอะไรให้ผมบ้าง ในขณะที่ตัวเองยังคงขลาดกลัว เข็ดกับความเจ็บปวดครั้งก่อนจนไม่กล้าก้าวข้ามออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง
 
เห็นแก่ตัว คิดแค่ว่าถ้าผมยังอยู่ตรงนี้ แล้วยังมีเขาอยู่ข้างๆ คงไม่เป็นไร ไม่ต้องพยายามให้มากเกินไป ไม่ต้องพาตัวเองไปเสี่ยงกับความรัก ความลุ่มหลงที่สักวันหนึ่งก็คงจะค่อยๆ จางหายไป จนสุดท้ายอาจไม่เหลืออะไร
 
ไม่ฉุกคิดเลยสักนิด ว่าต่อให้มันเป็นแบบนั้นจริง... ก็ไม่เห็นจะเป็นไร
 
แค่ความสุขทุกวันนี้ ก็มีค่าเกินกว่าที่จะความเจ็บปวดไหนๆ จะมาลบล้างได้แล้วไม่ใช่หรือไง? ต่อให้อนาคตจะเป็นยังไง มันก็คงไม่ได้ทำให้ผมเสียใจที่วันนี้ยอมก้าวออกมาเพื่อโอบกอด และกุมมือเขาไว้ให้แน่นกว่าเดิม
 
“นี่มัน... สุสาน?” ซันเลิกคิ้วถามทันทีเมื่อผมพาเขามาที่ฮวงซุ้ยแห่งหนึ่งระหว่างกำลังขับรถออกนอกเมือง
 
ตั้งแต่สอบเสร็จ เราวางแผนไว้ว่าหลังจากเยี่ยมครอบครัวซันแล้วจะไปเที่ยวทะเลกัน ซันมีบ้านพักตากอากาศติดชายหาดสวยๆ ที่ครอบครัวมักจะไปพักผ่อนกันประจำ เขาบอกว่าพระอาทิตย์ขึ้นที่นั่นสวยมาก เลยอยากให้ผมไปดูสักครั้ง ก่อนที่เราจะต้องกลับเชียงใหม่เพื่อไปทำงาน
 
แต่ก่อนจะถึงทะเล ผมมีที่หนึ่งที่อยากจะให้เขาแวะก่อน ถึงได้ขอร้องให้ซันขับรถมา แม้ว่าจะอยู่คนละเส้นทาง
 
“โช...” เขาเรียกชื่อผมเมื่อเราเดินเข้ามาในตัวสุสานเรื่อยๆ โดยที่ผมยังไม่ได้อธิบายอะไร แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจแล้ว ถึงได้บีบมือผมเบาๆ ขณะเดินตามมา จนถึงหลุมศพสามหลุมที่อยู่ข้างกัน บนเนินเขาสงบใกล้ร่มไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาทั้งสามคนเป็นอย่างดี
 
“นี่อากง อาม่าแล้วก็ป๊าผมเอง” ผมแนะนำ หันไปสบตาซันที่มองกลับมาด้วยสายตาหลากหลายความรู้สึก ทั้งตกใจ เข้าใจ และสายตาบางอย่างที่ผมไม่แน่ใจ
 
ผมยิ้ม ขยับเข้าไปยืนใกล้เขามากกว่าเดิมสอดนิ้วตัวเองเข้ากับนิ้วเรียวๆ ของเขา แล้วบีบมือกลับไปเบาๆ เพื่อบอกว่าผมไม่เป็นไร
 
ความโศกเศร้าจากการสูญเสียมันผ่านไปตั้งนานแล้ว
 
“ตอนเด็กๆ ป๊ากับแม่ผมแยกทางกัน ผมอยู่กับครอบครับป๊ามาตลอด เจอแม่บ้างนานๆ ครั้ง เพราะท่านมีครอบครัวใหม่อยู่ที่ต่างประเทศ ไม่ค่อยได้กลับมา” ผมเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองที่ไม่ได้เล่าให้ใครฟังมานาน
 
ไม่ใช่เพราะว่าต้องการปิดบังอะไร แต่เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีใครอยากฟัง มันไม่ใช่เรื่องเล่าจรรโลงใจ ออกจะทำให้คนฟังลำบากใจนิดๆ ด้วยล่ะมั้งที่ต้องมานั่งทำหน้าไม่ถูกหาคำปลอบใจ เพราะแบบนั้นผมถึงไม่ค่อยอยากพูดเรื่องตัวเองเท่าไหร่ ไม่อยากให้ใครมาเป็นห่วง หรือสงสารกับเรื่องราวที่ผมทำใจยอมรับได้ตั้งนาน
 
แต่เพราะเป็นซัน ผมถึงรู้ว่าผมสามารถเล่าได้... เหมือนกับทุกๆ ครั้งที่เมื่อผมเอ่ยปากพูด เขาจะตั้งใจฟัง และเข้าใจผมเสมอ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร
 
“อากงเสียไปตั้งแต่ผมยังเล็กๆ ผมเลยจำท่านไม่ค่อยได้นัก แต่อาม่าบอกว่าอากงใจดี” ผมพูดยิ้มๆ และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองซันก็พบว่าเขากำลังยิ้มอยู่เหมือนกัน
 
รอยยิ้มที่บ่งบอกว่าผมสามารถเล่าต่อไปได้โดยไม่ทำให้เขาอึดอัดใจ
 
“ส่วนป๊า... เป็นคนดุนิดๆ” ผมย่นหน้า
 
จริงๆ ก็ไม่นิดเท่าไหร่ นึกไปถึงตอนที่ป๊าดุจนผมร้องไห้ ต้องให้อาม่ามานั่งปลอบตั้งนานกว่าจะหาย แล้วก็อดไม่ได้ที่จะกลัวขึ้นมา แต่ก็ใช่ว่าป๊าจะดุตลอดเวลา บางครั้งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดพวกผู้ใหญ่นักหรอก แต่ก็เข้าใจว่าทุกอย่างที่ท่านทำก็เพราะเป็นห่วงผมมากกว่าใคร
 
“ตอนที่รู้ว่าผมเป็นเกย์ ป๊าโกรธมาก ไม่คุยกับผมเป็นเดือนๆ”
 
“...”
 
“แต่ตอนหลัง ถึงจะยังไม่เข้าใจ แต่ป๊าก็ไม่ได้ต่อต้าน ไม่ได้ห้ามหรือดุด่าถ้าผมจะชอบผู้ชาย เพราะงั้นซันไม่ต้องห่วงนะ” ผมแกล้งพูดติดตลกบ้าง ร่างสูงจึงหันกลับมาย่นหน้าใส่ เอื้อมมือมาขยี้หัวผมอย่างหมั่นไส้
 
“ใครห่วงกัน” ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนแทบจะยืนซ้อนหลัง ก่อนจะยกมือข้างที่จับกันอยู่ขึ้นไปกดจูบที่หลังมือผมแผ่วเบาแล้วเอ่ยถาม “แล้วอาม่าดุมั้ย”
 
ผมส่ายหน้าทันที “คนนี้ยิ่งไม่ต้องห่วงเลย” หัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงรอยยิ้มของอาม่าที่แต้มอยู่บนใบหน้าแทบตลอดเวลา
 
“อาม่าใจดีมาก เข้าใจผมทุกอย่าง ตอนที่ทะเลาะกับป๊า ก็ได้อาม่านี่แหละที่คอยไกล่เกลี่ยให้ตลอด”
 
“...”
 
“ตอนที่ป๊าเสีย ผมต้องอยู่กับอาม่าสองคน ท่านไม่เคยร้องไห้ให้ผมเห็นเลยสักครั้ง ยังเลี้ยงดูผมอย่างดีจนได้ขึ้นมหาลัย... อาม่าเข้มแข็งมาก แถมรวยมากอีกต่างหาก” เอ่ยขำๆ ก่อนจะเอนหัวลงไปซบไหล่ซัน นึกถึงความหลังตอนที่ยังมีอาม่าอยู่ด้วยกัน
 
ตอนมัธยม มันเป็นช่วงที่ลำบากสำหรับผม ตอนนั้นถ้าไม่มีอาม่าอยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจ คอยบอกว่าผมไม่ได้ทำผิดอะไร ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะผ่านมันมาด้วยตัวเองได้ยังไง ยิ่งคิดถึง ผมก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณ อยากกอดท่านอีกสักครั้ง ขอบคุณซ้ำๆ ที่ทำให้ผมอยู่มาจนถึงทุกวันนี้...
 
อยู่มาจนถึงวันที่ได้เห็นฟ้าหลังฝนอันสดใสที่ไม่เคยจินตนาการ
 
“อยากเจอเลย” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเบาๆ ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเขาแล้วพบว่าซันกำลังยิ้มบางๆ ด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าเขาเข้าใจว่าผมรักอาม่าแค่ไหน
 
มือหนาเอื้อมมือลูบหัวผม ก่อนจะดึงเข้าไปหาเพื่อจูบหน้าผาก แล้วกอดไว้แน่นพลางกระซิบแผ่วเบา “เตรียมคำพูดไว้ตั้งเยอะแยะ กลัวแทบตายว่าถ้าถูกห้ามไม่ให้คบจะทำยังไง แต่พอได้ยินแบบนี้แล้วก็โล่งใจ... ทั้งสามคนต้องไม่ว่าอะไรแน่ๆ”
 
ผมหัวเราะออกมาอีกครั้ง เพราะเข้าใจดีในสิ่งที่เขากลัว เหมือนตอนที่ผมไปเจอครอบครัวซัน ก็เตรียมคำพูดไว้ในหัวมากมายเหมือนกัน แต่พอเอาเข้าจริง คำพูดพวกนั้นก็ไม่มีความหมายเลย
 
“เช่นอะไรบ้างครับ... คำพูดที่เตรียมไว้น่ะ” ผมแกล้งถาม ซันเลยผละอ้อมกอดออก เลิกคิ้วกวนๆ ก่อนจะยิ้มแล้วหันไปนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าหลุมศพของอาม่า
 
“สวัสดีครับอาม่า ผมชื่อซันนะครับ เป็นแฟนโชกุน” ฝ่ามือหนายื่นออกมาหาผมที่ได้แต่หัวเราะ ยื่นมือออกไปให้เขาจับอีกครั้ง แล้วนั่งลงข้างๆ กัน
 
“ผมรักโชกุน... รักมาก อยากอยู่ด้วยไปตลอดชีวิตเลย” มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่ยังคงยิ้มทว่าสายตามองตรงไปที่หลุมศพอย่างจริงจังแล้วหัวใจของผมก็เต้นแรงขึ้นมา
 
“อาม่าไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลโชกุนอย่างดี จะเป็นแฟนที่ดี และในอนาคตจะเป็นสามีที่ดีแน่ๆ ผมรับรอง”
 
“...”
 
“ผมไม่มีอะไรเป็นหลักประกัน แต่ผมมั่นใจว่าจะไม่ทำให้อาม่าผิดหวัง”
 
“...”
 
“เพราะงั้น... อาม่าให้ผมแต่งงานกับโชกุนนะครับ” ดวงตาคมหันกลับมาสบตาผม ราวกับเขากำลังขออนุญาตอย่างจริงจัง
 
ไม่ใช่กับอาม่า... แต่เป็นผม
 
คำพูดทุกคำของเขา สื่อโดยมาถึงผมที่นั่งอยู่ตรงนี้โดยตรง... ไม่ใช่ใครที่ไหน
 
“ซัน...” พอเข้าใจแบบนั้นผมจึงเรียกชื่อเขาออกไป เงยหน้าขึ้นสบตาร่างสูงแล้วเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจ “ที่ผมพาซันมาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้เหมือนกัน”
 
“...” และเหมือนกับทุกครั้งที่เขามองกลับมาอย่างตั้งใจฟัง
 
“ผมอยากพาซันมาเจอครอบครัว มาเห็นว่าชีวิตที่ผ่านมาของผมเป็นยังไง และต่อจากนี้จะเป็นยังไง”
 
“...”
 
“พออาม่าเสียผมก็ย้ายไปอยู่เชียงใหม่ ญาติคนเดียวที่รู้จักก็คือพี่โม ญาติฝั่งแม่ที่ทั้งแม่ทั้งป๊าฝากให้คอยดูแลผมห่างๆ มานาน”
 
“...”
 
“พี่โมไม่เคยคิดว่าผมเป็นภาระ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็โตแล้ว โตพอที่จะต้องออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง...”
 
“...”
 
“ดังนั้น คำถามของซัน ผมต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม...” ผมเว้นวรรค แกะสร้อยจากคอตัวเองออกมา วางแหวนทั้งสองวงไว้บนฝ่ามือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเว้าวอน
 
“ซัน... ถ้าตอนนี้ผมไม่มีอะไรเลย เป็นแค่ผู้ชายตัวเปล่า เอาแต่ใจ แถมขี้กลัวมากๆ...” ยื่นออกไปตรงหน้าซันที่ยิ้มกว้าง ราวกับรู้แล้วว่าประโยคต่อไปของผมจะเป็นอะไร
 
“ซันยังจะอยากอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตมั้ยครับ”
 
เพราะแบบนั้นเขาถึงได้รับแหวนวงหนึ่งกลับไป และเอ่ยคำตอบออกมาอย่างง่ายดาย ไม่มีความลังเลสักนิดในแววตา
 
“อยากสิ”
 
“...”
 
“อยากอยู่แล้ว เพราะงั้น...” เขาเว้นวรรค หมุนตัวหันกลับมาหาผม เอื้อมมือมาดึงมือข้างซ้ายของผมไปจับไว้ ก่อนจะเอ่ยคำขออย่างเป็นทางการ
 
“แต่งงานกันนะครับโชกุน”
 
น้ำเสียงของเขายังคงเรียบง่ายเจือไปด้วยความอบอุ่นใจ จะต่างกันก็ตรงที่ครั้งนี้แววตาของเขา ดูเป็นประกายกว่าครั้งไหนๆ
 
... ผมเองก็คงไม่ต่างกัน
 
“ครับ” พยักหน้าตอบรับ พลางมองนิ้วนางข้างซ้ายที่ถูกบรรจงสวมแหวนให้ด้วยความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้นอยู่ในใจ รู้ตัวว่ารอยยิ้มของตัวเองกว้างกว่าครั้งไหนๆ ขณะเงยหน้าขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง ก่อนจะจับมือข้างซ้ายของเขามาสวมแหวนให้บ้างด้วยมือสั่นๆ ที่ทำเอาเจ้าของแหวนหลุดขำ ยกมือขึ้นมาลูบหัวผมอย่างเอ็นดู
 
เราจับมือข้างที่มีแหวนของกันและกัน มองมันอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายหัวเราะพลางกดจูบลงมาบนหลังมือของผมแล้วโอบไหล่ดึงร่างผมเข้าไปในอ้อมกอด เอ่ยกระซิบแผ่วเบา
 
“ทีนี้... ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันได้หรือยัง”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2017 09:23:22 โดย makok_num »

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
บทส่งท้าย : เมื่อตะวันฉายแสง

[ Shogun's Part ]

 
มันคือหลุมพราง...
 
หลุมพรางแสนร้ายกาจของหมาป่าเจ้าเล่ห์ที่ล่อลวงให้ผมก้าวขาเหยียบลงไปในกับดักแสนเย้ายวนอย่างเต็มใจ
 
ไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เราปล่อยให้ร่างกายทำตามความปรารถนา ปลดเปลื้องความโหยหาที่กักเก็บมานาน... อาจเป็นตอนที่เขาพาผมเข้ามาในบ้านที่ได้ยินเสียงคลื่นทะเลและบรรยากาศแสนเป็นใจ... ตั้งแต่ตอนที่เขาชวนผมออกไปที่ระเบียงเพื่ออวดดาวมากมายที่หาไม่ได้บนท้องฟ้าเหนือเมืองใหญ่ที่มีแต่แสงไฟรบกวน
 
หรืออาจเป็นเพียงชั่ววินาทีสั้นๆ ที่เขาโอบกอดผมจากด้านหลัง แล้วกระซิบว่าหมดเวลาลงโทษเขาแล้ว...
 
หลังจากนั้นผมถึงไม่สามารถรับรู้อะไรอีกเลย... นอกจากเสียงริมฝีปากที่สัมผัสกัน
 
จูบเนิ่นนาน พรากลมหายใจ ทว่าหอมหวานจนไม่อาจผละออกจากกันได้แม้สักวินาที... ปล่อยให้ร่างสูงนำทางผมจากระเบียงมาถึงห้องนอนโดยที่ริมฝีปากยังคงบดเบียด เรียวลิ้นจาบจ้วง ลึกซึ้ง เต็มไปด้วยไฟปรารถนาที่ยากจะดับ...
 
ตึง!
 
เสียงประตูที่ปิดลงอย่างแรงทำให้ผมผงะออกมาด้วยความตกใจ แต่ไม่ทันไรก็ถูกกดจูบลงมาอีกครั้ง เรียวลิ้นชื้นสอดเข้ามาตักตวง พรากลมหายใจซ้ำๆ ราวกับโหยหาเวลานี้มานาน
 
แว่นของผมถูกถอดออกไปตั้งแต่ตอนที่เราเริ่มจูบกัน และตอนนี้คนมือไวก็ปลดกระดุมเสื้อของผมจนถึงเม็ดสุดท้ายอย่างคล่องแคล่ว เปลี่ยนเป้าหมายลงไปที่กางเกงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผมยังคงลนลาน งุ่มง่ามอยู่กับกระดุมเม็ดบนของเขาจนเจ้าตัวหัวเราะในลำคอเบาๆ ผละจูบออกมองหน้าผมแล้วยิ้มล้อเลียน
 
“น่ารัก” แกล้งกดจูบไปทั่วใบหน้า ขบกัดลงมาจนถึงซอกคอ เพื่อรั้งรอให้ผมจัดการกับเสื้อเชิ้ตของตัวเอง
 
และเมื่อกระดุมเม็ดสุดท้ายถูกปลด พร้อมๆ กับเสื้อที่ถูกถอดออกไป เขาก็ให้รางวัลผมด้วยการทาบริมฝีปากลงมา...มอมเมาผมด้วยสัมผัสที่ลึกล่ำยิ่งกว่า อาศัยจังหวะที่ผมกำลังเคลิ้มเลื่อนริมฝีปากลงไป... ฝากรอยจูบไว้ทั่วทุกตารางนิ้วที่เรียวลิ้นและฟันคมเลื่อนผ่าน ลากลามตั้งแต่ซอกคอ แผ่นอก หน้าท้อง... หรือแม้กระทั่งส่วนร้อนกลางลำตัวที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ชั้นในตัวบาง
 
“ซะ...ซัน...” ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากางเกงถูกปลดลงไปกองอยู่ที่ข้อเท้าตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็เหลือเพียงปราการสุดท้ายที่กำลังจะถูกกำจัดทิ้งไปไม่ต่างกัน
 
“ดะ... เดี๋ยว... เดี๋ยวครับ...!” พยายามร้องห้ามทั้งที่รู้ว่ามันไม่เคยได้ผล
 
แม้ว่าดวงตาคมจะมองกลับมาอย่างเว้าวอน แต่การกระทำกลับแสนเอาแต่ใจ เมื่อนิ้วเรียวเกี่ยวเอาสิ่งเดียวที่ยังปกปิดส่วนน่าอายของผมไว้ได้ ลิ้นร้อนๆ ของเขาก็ถือวิสาสะแตะลงมา ไล้เลียส่วนปลายที่แสนอ่อนไหวแผ่วเบา
 
แค่นั้นก็ทำเอาผมแทบคลั่ง ไม่ต้องเดาเลยว่าตอนที่เขาครอบครองทั้งหมดไว้ด้วยริมฝีปากผมจะเสียอาการแค่ไหน ผมผวาสุดตัว พ่นลมหายใจหนัก พยายามสะกดกลั้นเสียงน่าอายไว้...แต่สุดท้ายมันก็เล็ดลอดออกมาจนได้ ได้ยินคนเอาแต่ใจหัวเราะในลำคอเบาๆ ขณะสอดตัวเข้ามาพาดขาข้างหนึ่งของผมไว้ที่หัวไหล่ ประคองสะโพกไว้ เหมือนรู้ว่าผมกำลังจะยืนไม่ไหว... ด้วยความร้อนและสัมผัสที่ราวกับจะหลอมผมให้ทรุดลงไปละลายอยู่แทบเท้าเขาได้จริงๆ
 
“อึก... ซัน...” ความรู้สึกที่ทวีขึ้นทุกวินาทีทำให้ผมไม่อาจควบคุมได้แม้กระทั่งลมหายใจ คว้ามือข้างหนึ่งขยุ้มกลุ่มผมของคนที่คุกเข่าลงตรงหน้าอย่างต้องการคลายความทรมาน มืออีกข้างถูกกุมไว้แน่น สอดประสานนิ้วมืออย่างปลอบประโลม

ดวงตาคู่สวยยังคงจับจ้องมาที่ผม มองใบหน้าแสนน่าอายด้วยแววตาของหมาป่าเจ้าเล่ห์ที่กำลังกลืนกินเหยื่ออย่างสุขสม ขณะที่ริมฝีปากยังรุกเร้า รัวเร็วราวกับจะเร่งให้ผมหายทรมาน...

ไม่นานเขาก็พาผมไปแตะจุดสูงสุดตามใจปรารถนา...
 
และเป็นอีกครั้งที่เขากลืนกินทุกหยาดหยดของมันลงไปอย่างไม่สนใจเสียงประท้วงห้าม
 
ซันถอนริมฝีปากออกมา ก่อนจะเบือนหน้าลงไปกดจูบลงบนต้นขาด้านในที่พาดอยู่บนไหล่ซ้ำไปซ้ำมาราวกับจะปลอบให้มันหายกระตุกเกร็ง ตรีตราจองด้วยรอยจูบสีหวานไปทั่ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมที่ได้แต่ยืนหอบหายใจอย่างตั้งสติไม่ได้ แล้วยิ้มอย่างพอใจ
 
“ซัน...” ผมเรียกชื่อเขาไม่รู้ต่อกี่ครั้ง มองที่ริมฝีปากบางที่ยังฉาบด้วยคราบน้ำจนดูเชื่อมหวานเพื่อบอกให้เขารู้ถึงสิ่งที่ต้องการ ร่างสูงจึงยืดตัวขึ้นเพื่อทาบริมฝีปากลงมา พร้อมกับใช้แขนทั้งสองข้างประคองร่างผมไว้ไม่ให้ร่วงล้มลงไปด้วยหมดเรี่ยวแรง
 
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในภวังค์ที่มีเพียงเสียงริมฝีปากสัมผัสกันอีกครั้ง เสียงคลื่นทะเลยังคงเป็นฉากหลังที่แผ่วเบาเกินกว่าใครจะสนใจ รสจูบเนิบนาบปลอบประโลมกลายเป็นจูบที่รุกไล่ ร้อนแรงตามไฟปรารถนาที่ถูกจุดขึ้นมาใหม่ พร้อมกับร่างที่กอดก่ายประคองกันไปจนถึงเตียง
 
ฝ่ามือหนาผลักผมล้มลงกับเบาะนุ่ม ก่อนจะตามมาคร่อมไว้ทันที ริมฝีปากร้อนจัดฉกฉวยลงมารวดเร็วไม่ต่างกัน ลากลามไปทั่วใบหน้าและซอกคอ ขบกัดไปทั่วผิว...ฝากทิ้งรอยไว้ทั่วทุกตารางนิ้วซ้ำไปซ้ำมา มือข้างหนึ่งกวาดสะเปะสะปะไปทั่วร่าง ขณะที่อีกข้างอยู่ที่สะโพกลูบไล้ไปมาอยู่นานก่อนจะค่อยๆ ใช้นิ้วหนึ่งชำแรกเข้ามาในร่างกายจนผมสะดุ้งเฮือก
 
เขาใช้รสจูบแสนหวานเบี่ยงเบนความสนใจของผมออกจากความเจ็บเบื้องล่าง ประคองกอดไว้เมื่อผมเริ่มบิดเร่าด้วยความทรมานจากการเพิ่มจำนวนพลางขยับนิ้วเข้าออกช้าๆ เพื่อสร้างความเคยชิน... แต่ในทางกลับกันก็โหมความต้องการของผมให้เพิ่มขึ้นทุกที
 
ซันผละริมฝีปากออกไปเหมือนรู้ว่าผมกำลังต้องการอะไร คลี่ยิ้มร้ายออกมา พลางกดจูบไปทั่วไปหน้าผมอีกครั้ง... รั้งรอ คลอเคลียริมฝีปากอยู่ที่ใบหูและซอกคอ ลากลิ้นเลียไปทั่วจุดอ่อนไหวบนแผ่นอก ลามลงไปกดจูบซ้ำๆ บนหน้าท้องที่กระเพื่อมหนักด้วยแรงหอบของผมราวกับจงใจกลั่นแกล้งกัน
 
ดวงตาคมเหลือบขึ้นมาสบตาผมด้วยสายตาร้ายกาจอีกครั้ง ก่อนที่นิ้วของเขาจะเปลี่ยนเป็นขยับเนิบนาบ เชื่องช้า และทำท่าจะหยุดลงในขณะที่ความปรารถนาของผมกำลังทบทวีเกินกว่าจะปล่อยให้เจือจาง...

ผมลืมไปเลยว่าเขาเจ้าเล่ห์แค่ไหน ถึงได้สามารถล่อลวงให้ผมเป็นฝ่ายร้องขอสัมผัสจากเขาอย่างน่าอายได้ทุกที มันยิ่งตอกย้ำชัดว่าเขาช่ำชองเรื่องแบบนี้ เมื่อทุกครั้งที่อยู่บนเตียง เจ้าลูกหมาขี้อ้อน กลับสามารถกลายร่างเป็นหมาป่าตัวร้าย... ยั่วเย้า และทรงสเน่ห์จนผมเชื่อว่าเหยื่อทุกรายพร้อมกระโจนเข้าสู่คมเขี้ยวแสนอันตรายโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไร... เพียงชายตามอง
 
“ซัน... ซันครับ” จนสุดท้ายผมต้องเป็นฝ่ายส่งเสียงออดอ้อนเขาเสียเอง รั้งใบหน้าคนขี้แกล้งให้หันมารับจูบแสนอ่อนหัดของผมไป ส่งผ่านความปรารถนาในใจอย่างไม่อาจปิดบัง ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอก็รู้ว่าเขาพอใจ และพร้อมจะให้ในสิ่งที่ผมต้องการ
 
ในที่สุดสัมผัสของนิ้วเรียว ก็ถูกทดแทนด้วยสิ่งใหญ่กว่าที่สอดเข้ามาอย่างช้าๆ เพื่อให้ร่างกายปรับตัวกับความคับแน่นที่แสนคุ้นเคย...
 
พรึ่บ!
 
“...!”
 
แต่ก่อนที่คนเจ้าเล่ห์จะทำอะไรได้มากกว่านั้น ผมก็เป็นฝ่ายหยุดไว้ด้วยการเอื้อมแขนออกไปโอบรอบคอเขาไว้ รั้งใบหน้าเข้ามากดจูบแนบสนิทกว่าเดิมเพื่อสะกดกลั้นเสียงน่าอายที่เกิดจากการใช้แรงทั้งหมดพลิกร่างตัวเองขึ้นไปคร่อมอยู่บนตักแกร่งที่รองรับผมไว้เป็นอย่างดี
 
เรียนรู้ที่จะใช้รสจูบแสนหวานเบี่ยงเบนความสนใจเหมือนที่เขาทำ กดน้ำหนักของร่างกายลงไปบนส่วนร้อนจัดที่กำลังขยายตัวของอีกคน...กลืนกินตัวตนของเขาไว้จนหมด... จาบจ้วง ล่วงล้ำเข้ามาในส่วนที่ลึกสุดของร่างกาย จนคนที่เพิ่งถูกบังคับให้อยู่ใต้ร่างเปลี่ยนจังหวะหายใจ... หลุดเสียงร้องแหบพร่า ก่อนจะผละจูบออกไป เงยหน้ามองผมอย่างประหลาดใจ
 
“หึ...” แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ สายตาเจ้าเล่ห์เจือความพึงพอใจและท้าทาย
 
คล้ายกับเรากำลังเล่นเกมที่มีความปรารถนาเป็นเดิมพัน...
 
ผมรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ จึงลอบขี้โกงด้วยการยกมือขึ้นประคองใบหน้าเขาไว้ แนบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากบางซ้ำๆ เพื่อกลืนกินเสียงน่าอาย ไม่ให้เล็ดลอดออกมา กระตุ้นเรียวลิ้นรุกไล่ ใช้สัมผัสร้อนแรงของเขาเบี่ยงเบนความสนใจจากความอึดอัดคับแน่นจนแทบจะทนไม่ไหว
 
ไม่นาน... เดิมพันครั้งนี้ก็ได้ผู้ชนะ... เมื่อผมผละจูบออกมาและพบว่าเจ้าของดวงตาเจ้าเล่ห์กำลังมีสีหน้าทรมาน
 
เขากดจูบหนักๆ ลงมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วไล่ริมฝีปากไปทั่วใบหน้าผมอย่างหมั่นไส้ รั้งท้ายทอยให้จรดหน้าผากลงไป ขณะที่ริมฝีปากเผยอออกพ่นลมหายใจร้อนๆ ในจังหวะหนักหน่วงด้วยแรงอารมณ์... รู้ดีว่าเขากำลังจะพ่ายแพ้ เพราะตัวตนที่แทรกเข้ามาจนสุดเต้นตุบอยู่ในร่างกายจนสัมผัสได้
 
“โช...” ไม่ทันไรเสียงแหบพร่าก็กระซิบเรียกชื่อผมออกมา พลางขบกัดใบหู ไล้เลียลงมาจนถึงลำคอ และหัวไหล่ใต้เสื้อเชิ้ตตัวบางที่ถูกปลดกระดุมจนหมดแต่ยังไม่ถูกถอดทิ้งไป
 
“ขยับนะ...” ร้องขอแผ่วเบา ทว่าแววตาคล้ายกับคนใกล้คลั่งเต็มที
 
“...”
 
“นะครับ...” ส่งเสียงออดอ้อน ขณะเขี้ยวคมขบกัดลงมาซ้ำๆ เพื่อคลายความทรมาน
 
เป็นคราวที่ผมได้ยิ้มมุมปากอย่างพอใจบ้าง เกลี่ยนิ้วเบาๆ บนหน้าใสที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะแกล้งกดจูบที่โหนกแก้ม หยอกเย้าริมฝีปากแถวใบหูแล้วเอ่ยกระซิบเสียงแผ่ว
 
“คนดี”
 
คนถูกชมถึงกับหลุดหัวเราะออกมา แกล้งงับจมูกผมกลับอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเมื่อผมเริ่มขยับอย่างตามใจ ยกสะโพกขึ้นลงในจังหวะเนิบนาบ ละเลียดชิมรสชาติความทรมานทว่าแสนสุขสมไปพร้อมๆ กัน
 
อารมณ์ที่กักเก็บไว้ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นทีละขั้นอย่างไม่เร่งเร้า แต่กลับทวีความหอมหวานขึ้นในทุกๆ วินาที มือที่ประคองอยู่บนใบหน้าเขาตกลงไปที่ไหล่กว้าง เผลอจิกปลายนิ้วบนกล้ามเนื้อแน่นตึงอย่างหาที่ระบาย หน้าผากของเรายังคงแตะกัน ปลายจมูกสัมผัสเฉียดไปมาขณะแข่งกันพ่นลมหายใจหนักๆ จากไฟปรารถนาที่กำลังลุกลาม
 
ยิ่งนานเข้าผมยิ่งรู้ตัวว่าที่แท้ตัวเองไม่ได้เป็นฝ่ายนำ ทุกจังหวะของบทเพลงรักกลับถูกคนใต้ร่างควบคุม นำพาผมไปตามท่วงทำนองที่เขาต้องการ ฝ่ามือหนาประคองสะโพกของผมไว้ ลักลอบบังคับมันตามใจ... สอนให้ผมเรียนรู้ที่จะปรนเปรอตัวเองพร้อมๆ กับเอาใจกันด้วยสัมผัสแสนหวานอย่างแนบเนียน 
 
“ซัน...” ผมส่งเสียงกระเง้ากระงอดเรียกชื่อเขาซ้ำไปซ้ำมาเมื่อริมฝีปากบางฉกฉวยลงมาเพียงชั่วเวลาสั้นๆ คล้ายกับจะแกล้งยั่วกัน หลบหลีกดึงดันที่จะผละออกไปเพื่อมองใบหน้าที่กำลังทำสีหน้าน่าอายของผมราวกับว่าอยากจะบันทึกมันไว้ด้วยสายตา ยิ่งผมเผลอหลุดปากส่งเสียงครางอย่างอดไม่ได้ เขาก็ยิ่งย่ามใจ ยิ้มมุมปากสลับกับกดจูบย้ำๆ ในทุกช่วงจังหวะที่ร่างกายสอดประสานอย่างเอาแต่ใจ
 
“น่ารัก” กระซิบแผ่วเบาหลังจากกดจูบลงมาอีกครั้ง มองหน้าผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ระคนเอ็นดูจนผมอยากจะมุดหน้าหนีด้วยความอาย
 
ร้ายกาจเกินไปแล้ว... ทำไมถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้... ทำไมถึงได้แกล้งให้ผมปั่นป่วนจนแพ้ราบคาบได้ทุกที
 
ผมได้แต่กระเง้ากระงอดอยู่ในใจ ก่อนที่จังหวะรักแสนเนิบนาบ ที่ค่อยๆ ถูกเร่งเร้าจะกลายเป็นเพลงที่ถูกแผดเผาไปทั่วร่าง แผ่นอกสั่นสะท้าน... ลำตัวบิดเร่าอย่างน่าละอาย... เสียงที่พยายามสะกดกลั้นเล็ดรอดออกมาจากลำคอซ้ำๆ โดยไม่รู้ตัว
 
“ซะ...ซัน...ซันครับ” ไม่ทันไรก็ได้ยินน้ำเสียงขาดห้วงของตัวเองเรียกชื่อเขาอย่างเว้าวอนอีกครั้ง ได้ยินเสียงครางเจือปนกับเสียงหอบหนักเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะไม่ไหว ร่างกายสั่นสะท้านด้วยแรงอารมณ์ที่ใกล้แตะจุดสูงสุดเต็มที ขณะที่อีกคนก็กำลังเร่งจังหวะตามมาจนทัน
 
“โชครับ...” ดวงตาคมช้อนมองผมด้วยสายตาเชื่อมหวาน ก่อนจะเอ่ยชื่อผมด้วยน้ำเสียงเว้าวอนไม่ต่างกัน
 
“...”
 
“พร้อมกันนะ” พูดจบกดจูบลงมาบนริมฝีปากผมอีกครั้ง แนบสนิทและลึกซึ้งไม่ต่างจากสัมผัสเบื้องล่างที่พากันและกันไต่ระดับสูงสุดถึงสรวงสวรรค์
 
เมื่อรับรู้ได้ถึงความร้อนที่ออกมาจากร่างกายของกันและกัน... ผมก็ผวากอดเขาแน่น ขณะที่ซันเองก็รัดอ้อมแขนโอบร่างที่กำลังเกร็งสะท้านของผมไว้ไม่ต่าง...

ทุกอย่างกลายเป็นสีขาวโพลนอีกครั้ง...
 
สองร่างแนบกายสนิทไร้ช่องว่าง ได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจดังก้องไปทั่วทั้งห้องอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายผละออก มองหน้าผมแล้วยิ้มบางๆ ...กดจูบลงมาที่หางตาซับหยาดน้ำตาที่ไม่รู้ว่าซึมออกมาตั้งแต่ตอนไหน ไล่ริมฝีปากไปทั่วใบหน้าผมซ้ำไปซ้ำมาอย่างพึงพอใจ ก่อนจะกลับมาแตะหน้าผากเข้าด้วยกัน สบตาและยิ้มมุมปากร้ายกาจอีกครั้งขณะกระซิบคำล้อเลียน
 
“คนเก่ง”
 
ผมย่นหน้าใส่อย่างไม่ชอบใจ แต่ไม่ทันไรก็หลุดขำออกมา เกลี่ยมือไปบนผม มองไปทั่วใบหน้าชื้นเหงื่อแต่กลับน่าหลงใหลของเขาแล้วอดไม่ได้ที่จะกดจูบลงไป โดยไม่ทันฉุกคิดว่ามันจะไปกระตุ้นให้หมาป่าแสนร้ายกาจตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง... จนกระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ พร้อมกับมือหนาที่รั้งท้ายทอยผมไว้ไม่ให้ถอนริมฝีปากออก กลับเป็นฝ่ายบดเบียด รุกล้ำเข้ามาอย่างเอาแต่ใจ เสื้อเชิ้ตตัวบางที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อถูกถอดออกจนร่างกายเปลือยเปล่าโดยสมบูรณ์ ก่อนที่ร่างผมจะถูกดันให้นอนราบลงกับเตียง
 
“ดะ... เดี๋ยวครับ” ร้องผวาอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อริมฝีปากร้อนจัดหันไปจู่โจมแผ่นอกที่ถูกฝากรอยจูบจนไร้ที่ว่าง ไล้เลียจุดอ่อนไหวจุดไฟปรารถนาอีกครั้งทั้งที่ยังไม่ถอนตัวตนของตัวเองออกไป... ส่วนร้อนจัดกลับมาขยายจนคับแน่นชวนให้ร่างกายที่เพิ่งผ่อนคลายบิดเกร็งขึ้นมา
 
แต่แทนที่จะรั้งรอตามเสียงห้ามเจ้าของร่างกำยำกลับยิ่งเอาแต่ใจ ฝ่ามือหนาที่นวดเค้นคลึงไปทั่วร่างกายเลื่อนมาคว้าลงที่กลางลำตัวของผม ก่อนจะเริ่มขยับช้าๆ เพื่อปลุกปั่นอารมณ์ให้กัน
 
“ฮื่อ... ซัน...” ส่งเสียงประท้วงแผ่วเบา เมื่อถูกสัมผัสจากทั้งสองทางไปพร้อมกัน รู้ดีว่าถ้าเขายังดื้อดึงจะใช้ฝ่ามือปรนเปรอผมไปพร้อมกับขยับตัวตนเข้าออกอยู่อย่างนั้น... ผมคงทนได้ไม่นาน
 
สุดท้ายผมก็ปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง... หยาดน้ำขาวข้นเปรอะเปื้อนไปทั่วลำตัว... ทบของเก่าที่ยังไม่ทันเป็นคราบ ร่างกายกระตุกเกร็งซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความอ่อนหัด ขณะที่ช่องทางด้านหลังยังคงถูกกระตุ้นอย่างเชื่องช้าก่อนจะค่อยๆ
 เร่งจังหวะ ราวกับเขาไม่อยากรั้งรอให้ผมได้พักเลยสักวินาที
 
“ทำไม... ถึงได้โลภ...ขนาดนี้ครับ” เอ่ยตัดพ้อแผ่วเบา ขณะที่คนเจ้าเล่ห์เงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกครั้ง กดจูบลงมาทั่วใบหน้าซ้ำไปซ้ำมาราวกับต้องการปลอบประโลมเอาใจ
 
“อีกครั้งเดียวนะ...” กระซิบออดอ้อน คลอเคลียปลายจมูกกับปลายจมูกผมไปมา
 
“นะครับ” กดจูบหยอกเย้าไปทั่วใบหน้า จนในที่สุดผมก็หัวเราะเบาๆ ส่ายหัวเอือมระอาแล้วส่งสายตาตำหนิอย่างไม่จริงจัง
 
“เอาแต่ใจจริงๆ” พอรู้ว่าผมอนุญาต คนเอาแต่ใจก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะทาบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง ฝ่ามือหนาสอดประสานกับมือผมแล้วกดไว้เหนือหัว... บีบแน่นและคลายลงตามจังหวะของร่างกายที่แนบสนิทไร้ช่องว่างไม่ต่างกัน
 
เสียงความเหนอะหนะกระทบกันอย่างน่าอายดังก้องแข่งกับเสียงคลื่นทะเลไกลๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า... ร่างกายสอดประสานกอดก่ายกันไว้ซ้ำไปซ้ำมา... และคราวนี้เขาแทบไม่ยอมผละริมฝีปากออกไป ราวกับจะเอาใจผม ที่เรียกร้องจูบของเขาแทบทุกขณะของลมหายใจ...

ในทางกลับกัน... ก็มอบสัมผัสลึกล้ำที่ส่งผ่านทุกความรู้สึกลงมากับเรียวลิ้นและริมฝีปากร้อนจัดที่บดเบียดลงมาเนิ่นนาน... ราวกับจะฝังรอยจูบนี้ไว้ชั่วนิรันดร์
 

- มีต่อค่ะ -
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2017 16:24:18 โดย makok_num »

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
-ต่อ-


ถ้าเมื่อคืนคือการเอาคืนที่ผมทำโทษเขาตลอดหนึ่งเดือน... มันก็เป็นการเอาคืนที่ทบต้นทบดอกอย่างสาสมโดยไม่ต้องคำนวณ
 
กว่าจะรู้ว่าครั้งเดียวที่เขาขอมันไม่มีอยู่จริง ก็หลวมตัวหลงเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสแสนหวานซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนหมดเรี่ยวแรง อยากจะต่อว่าเจ้าหมาป่าเจ้าเล่ห์ที่โลภมากทำตามอำเภอใจ แต่ก็ว่าได้ไม่เต็มปาก... เพราะสุดท้ายตัวเองก็เผลอไผลปล่อยให้ความปรารถนาครอบงำไม่ต่างกัน
 
“โช” ไม่รู้ว่าผมเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ สติห้วงสุดท้าย อยู่กับผมในตอนที่ร่างกายชุ่มเหงื่อของตัวเองถูกกอดไว้ หลักจากถูกพาไต่ระดับอารมณ์ไปถึงจุดสูงสุดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
 
“โชกุนครับ” ได้ยินเสียงเรียกอีกทีจึงลืมตาขึ้นมา และพบว่าเจ้าของอ้อมแขนที่กอดไว้ทั้งคืนไม่ได้อยู่บนเตียง กลับยืนเรียกผมอยู่ด้านหลัง แต่ผมเพลียเกินกว่าจะเอ่ยปากถามอะไร ปล่อยให้หนังตาหนักๆ ปิดลงอีกครั้งอย่างไม่อาจต้านทาน
 
“หึ” ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จมูกโด่งจะซุกลงมาที่ไหล่ กดจูบไล่ขึ้นไปจนถึงขมับซ้ายก่อนจะกระซิบอีกครั้ง “อาบน้ำกัน”
 
ไม่รอให้ผมตอบอะไร อ้อมแขนแข็งแกร่งก็ยกร่างเปลือยเปล่าของผมขึ้นมาอย่างง่ายดาย ในใจงอแงปฏิเสธ ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงขัดขืนจนต้องปล่อยให้เขาอุ้มออกจากเตียงทั้งที่ยังลืมตาไม่ขึ้นด้วยซ้ำ ร่างกายสัมผัสกับอุณภูมิที่เปลี่ยนไปเมื่อเขาพาผมเข้ามาในห้องน้ำที่น่าจะผ่านการเปิดน้ำอุ่นเอาไว้ ผมกำลังจะหลับอีกครั้งอย่างรู้สึกผ่อนคลาย แต่กลับสะดุ้งสุดตัวเมื่อร่างกายถูกวางให้นั่งลงบนวัตถุเย็นๆ
 
กว่าจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ก็ตอนที่นิ้วเรียวของอีกคนรุกล้ำเข้ามาในร่างกาย เพื่อกวาดเอาสิ่งที่ตกค้างอยู่ภายในออกมาให้กัน
 
“อะ...อื้อ... ซัน...” ผมผวาร้องเรียกชื่อเขาออกมาอีกครั้ง ส่งสายตาเว้าวอนทั้งที่หน้าร้อนผ่าวด้วยความอาย
 
“ผม... ผมทำเองได้” จับแขนเขาไว้พยายามผลักออกไป แต่กลับไม่ต่างอะไรจากการวางมือไว้เฉยๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง
 
“ไม่เป็นไร” ร่างสูงโน้มตัวลงมากดจูบบนหน้าผากพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือข้างที่เหลือเอื้อมมาจับแขนที่ไร้เรี่ยวแรงของผมไปพาดบ่าไว้ ให้ผมเกาะเกี่ยวพยุงร่างตัวเอง
 
สุดท้ายผมก็ได้แต่ทิ้งตัวซบอกหนา ซุกหน้าร้อนฉ่าลงกับไหล่กว้างเพื่อหลบซ่อนความอาย ปล่อยให้เขาล้วงทำความสะอาดต่อ จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีคราบใดหลงเหลืออยู่จึงถอนนิ้วออกไป ยกร่างปวกเปียกของผมขึ้นมาอีกครั้งแล้วพาเดินต่อไปยังอ่างอาบน้ำที่อยู่ด้านใน เช็คอุณหภูมิจนแน่ใจแล้วจึงวางร่างผมลง แล้วตามมานั่งซ้อนหลังเป็นเบาะรองให้กัน
 
ผมเอนหลังซบอกกว้างอย่างหมดแรง ปล่อยให้อ้อมแขนอุ่นโอบกอดร่างตัวเอง ขณะที่จมูกโด่งคลอเคลียซุกไซ้อยู่กับไหล่และซอกคอของผมราวกับจะสูดดม กักเก็บกลิ่นกายเอาไว้ในทุกลมหายใจ
 
“ซัน” รู้ตัวว่าอุณหภูมิที่ไม่ร้อนเกินไป และสัมผัสแสนสบายทำให้ผมเคลิ้ม จึงต้องเตือนไว้ก่อนที่จะเผลอหลับเข้าจริงๆ

"หือ?"
 
“ปลุกผมนะ” ถูใบหน้าเข้ากับใบหน้าอีกคนอย่างออดอ้อนเพราะกลัวว่าเขาจะเห็นผมเหนื่อยเกินกว่าจะทำสิ่งที่เราตั้งใจไว้ “ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน”
 
คนถูกอ้อนเงียบไปนาน ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
 
“โอเค” ยอมรับคำขอพร้อมกับกดจูบลงมาที่ขมับแผ่วเบา “ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน”
 
เมื่อได้ยินคำตอบที่พอใจ ผมก็ปล่อยให้ดวงตาหนักๆ ปิดลงอีกครั้ง แน่นิ่งทว่ายังไม่อยากจะหลับ เพราะกำลังรอบางอย่าง...
 
ซึ่งเขาไม่เคยปล่อยให้ผมต้องรอนาน... หลังจากฝ่ามือหนาเลื่อนมาจับมือของผมไว้ ลูบไปมาตรงตำแหน่งแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายอยู่พักหนึ่ง แล้วประทับจูบลงไป เขาก็เอ่ยมันออกมาแผ่วเบา
 
“รักโชนะครับ”
 
คำพูดที่เขาไม่เคยรู้ว่าผมได้ยิน... และรอที่จะได้ฟังมันทุกครั้งก่อนหลับไป





 
 
“หน้าโคตรง่วงเลย” เสียงทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะทันทีเมื่อผมขยับตัวนั่งกอดเข่าซุกหน้าลงกับแขนอย่างงัวเงีย
 
เพราะรับปากผมไว้ว่าจะปลุกมาดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน ตอนนี้พวกเราเลยนั่งอยู่ที่ชายหาด รอเวลาก่อนที่พระอาทิตย์จะฉายแสงขึ้นมาในอีกไม่กี่นาที แต่กว่าจะถึงตอนนั้นผมกลัวว่าตัวเองจะหลับไปอีกรอบ... สายลมเย็นๆ กับเสียงคลื่นทะเลไม่ต่างจากเพลงกล่อมที่ทำให้ดวงตาที่หนักอึ้งของผมพร้อมจะปิดลงได้ทุกวินาทีจริงๆ
 
ไม่อยากจะโทษเขา แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะตีโพยตีพายในใจ ว่าที่หมดสภาพขนาดนี้เพราะใคร
 
“กลับไปนอนมั้ย” คนถูกคาดโทษในใจเอ่ยถามพลางเอื้อมมือมาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าออกไป รอยยิ้มจางๆ เจือไปด้วยความเป็นห่วงจนผมต้องเงยหน้าขึ้นมาส่ายหน้ารัวๆ
 
“ผมไหว” พยายามจะถลึงตาสุดกำลัง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ช่วยอะไรอยู่ดี สุดท้ายก็ต้องซุกหน้าลงกับเข่าอย่างหมดแรง
 
“ผมอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นกับซัน” เอ่ยพึมพำราวกับกำลังพูดกับตัวเอง แต่รู้ดีว่าคนตรงหน้าก็ได้ยิน เขาถึงได้ยิ้มพร้อมกับลูบหัวผมเบาๆ
 
“รู้แล้ว...”
 
“...”
 
“ทนอีกหน่อยเนอะ” โน้มตัวลงมากดจูบลงขมับครั้งหนึ่ง "เนอะๆๆ" ก่อนจะแกล้งซุกจมูก งับแก้มผมหลายๆ ก่อกวนไม่ให้หลับ

ผมหัวเราะ ก่อนจะผลักหน้าเขาออกไปอย่างปัดรำคาญ ซันเลยยิ้มขบขันเปลี่ยนเป็น เลื่อนมือมาเกลี่ยใบหน้าผมไปมา... สบตากันนิ่งนาน ราวกับจะใช้ดวงตาคู่นั้นเฝ้าระวังไม่ให้ผมหลับไปจนพลาดโอกาสสำคัญ
 
โอกาสที่เขาจะได้ทำตามคำพูดที่ครั้งหนึ่งเคยเกือบจะสัญญา...
 
ในวันที่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนเขาด้วยกัน ซันบอกว่าถ้าผมอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลเขาจะพามา ถึงผมจะเป็นคนบอกเขาเองว่าไม่อยากให้สัญญา แต่ว่าเอาเข้าจริงผมกลับจำคำพูดนั้นได้ขึ้นใจ เพราะแบบนั้นถึงได้รู้ดีว่าตัวเองดีใจแค่ไหน ที่ได้ยินเขาชวนจริงๆ
 
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้ดีอีกนั่นแหละว่าใจความสำคัญที่ผมต้องการกลับไม่ใช่การนั่งมองพระอาทิตย์ขึ้นด้วยซ้ำ ไม่ต้องมีพระอาทิตย์ ไม่ต้องมีน้ำทะเลหรือชายหาดสวยๆ ก็ได้... แค่มีซัน
 
แค่เห็นเขานั่งอยู่ข้างๆ แบบนี้ มันก็ทำให้ผมอิ่มใจมากกว่าวิวไหนๆ ในโลกแล้วจริงๆ
 
“มาแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเมื่อรับรู้ได้ถึงแสงสีส้มที่กำลังฉาบขึ้นมาบนท้องฟ้ากว้าง ลบความมืดยามค่ำคืนด้วยแสงสว่างที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาอย่างเชื่องช้าระมัดระวัง
 
แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับยังนั่งนิ่ง ไม่คิดจะสนใจมัน...
 
สิ่งเดียวที่ตราตรึงดวงตาเอาไว้ คือเสี้ยวหน้าด้านข้างอันสมบูรณ์แบบของคนที่ผมตกหลุมรักซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน เฝ้าพิจารณาและถามตัวเองอยู่หลายต่อหลายครั้งว่าทำไมกัน... ทำไมต้องเป็นเขาที่ทลายกำแพงในใจของผมได้ซ้ำๆ จนแหลกละเอียด กลายเป็นฝุ่นผงปลิวหายไปกับสายลม
 
เพราะดวงตาคู่นั้นที่จับจ้องมาอย่างหวังดี และซื่อตรง... หรือเพราะมือคู่นั้นที่มักจะเข้ามาโอบกอด กุมมือผมไว้เพื่อบอกว่าผมไม่ได้อยู่อย่างเดียวดาย...
 
เพราะริมฝีปากที่กดจูบลงมาซ้ำๆ ทั้งปลอบประโลม และมอบสัมผัสลึกซึ้งอย่างที่ไม่เคยได้รับจากใครที่ไหน... หรือเป็นเพราะเสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยทุกคำพูดออกมาอย่างจริงใจ และกระซิบบอกรักยามผมหลับในทุกๆ วัน
 
คำถามที่ผมเสียเวลาถามตัวเองมาตั้งนาน ทั้งๆ ที่คำตอบมันอยู่ตรงหน้า... ชัดเจน... ไร้คำตอบอื่นใด
 
ที่เขาทำลายกำแพงเข้ามาได้ ก็เพราะเขาคือซัน... พระอาทิตย์ดวงนี้ที่อยู่ข้างๆ ผมตลอดมา ดวงตะวันที่ฉาบแสง แทรกซึมเข้ามาในท้องฟ้ามืดมนของผมอย่างช้าๆ ...จนกลายเป็นสีสว่างได้อย่างน่าอัศจรรย์
 
มันถึงไม่น่าแปลกใจเลยสักนิดที่ผมจะตกหลุมรักเขาซ้ำๆ... และมากขึ้นในทุกๆ วัน
 
แต่จำได้... ว่าไม่เคยเลยสักครั้งที่จะพูดคำนั้นออกไป
 
“หือ? ไหนบอกจะดูพระอาทิตย์ขึ้นไง แล้วมานั่งมองหน้ากันอยู่งี้คืออะไรครับ”
 
“ซัน...” เพราะงั้นถึงได้ฉวยโอกาสตอนที่เขาหันกลับมาสบตาอีกครั้ง ยื่นใบหน้าเข้าไปกดจูบเจ้าตัวครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยคำพูดดังก้องอยู่ในใจเสมอออกไป “รัก...”
 
“...”

“ได้ยินมั้ยครับ?” เงยหน้าขึ้นถาม เมื่อเขาเอาแต่นิ่งค้าง ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง สบตาผมเหมือนไม่แน่ใจ
 
“ได้ยิน” แต่ไม่นานก็จับใจความได้ จึงพยักหน้าตอบก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา กว้างขึ้นจนกลายเป็นหัวเราะเบาๆ
 
ผมยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะหลุดหัวเราะเมื่อคนเอาแต่ใจขยับเข้ามาคลอเคลีย ออดอ้อนร้องขอแผ่วเบา
 
“พูดอีกทีสิ”
 
อดไม่ได้ที่จะงับจมูกโด่งเบาๆ อย่างมันเขี้ยว ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากลงไปทางบนริมฝีปากบาง กระซิบในสิ่งที่เขาอยากได้ยินซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่คิดอิดออดปิดบัง
 
“รัก...”

ไม่รู้ว่าทำไม ผมถึงเคยหวาดกลัวที่จะเอ่ยมันออกไป ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นเพียงไม่กี่คำที่ทำให้หัวใจคนฟังพองโตขึ้นมาราวกับได้รับสารอาหารอันอิ่มหนำ
 
“รักซันนะครับ” แต่ต่อไปนี้ผมจะพยายามพูดมันออกไป

เอ่ยทุกความรู้สึก สบตาให้เขารู้ว่าผมสื่อมันออกมาจากใจจริง... ผมพร้อมจะทิ้งทุกความกลัว

พร้อมจะเชื่อใจ... เพื่อก้าวไปข้างหน้ากับเขานับจากนี้ไป

"รักโชเหมือนกัน" เพราะแน่ใจแล้วว่าเขาจะไม่ทิ้งให้ผมเดียวดาย

เราต่างยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อได้แลกเปลี่ยนความในใจ โน้มตัวเข้าหากันเพื่อทาบริมฝีปากอีกครั้ง... แตะสัมผัสเพียงแผ่วเบา ก่อนจะผละออกอย่างอ้อยอิ่งเพื่อมองหน้ากัน สบตาเนิ่นนานราวกับกำลังซึมซับทุกความรู้สึกผ่านดวงตา ปล่อยให้แสงอาทิตย์ของวันใหม่ฉาบไล้ใบหน้าของอีกฝ่ายโดยไม่มีใครคิดจะหันกลับไปสนใจมันสักเสี้ยววินาที... ต่อให้เป็นคนร้องขอเอง แต่ผมกลับไม่รู้สึกเสียดายสักนิดที่จะไม่ได้เห็นความสวยงามของมัน
 
เพราะสำหรับผมแล้ว... คนตรงหน้าก็ให้แสงสว่างงดงามไม่แพ้กัน เป็นพระอาทิตย์ดวงเดียวที่เติมเต็มหัวใจให้ผม... เป็นดวงตะวันในยามเช้า ที่ส่องสว่าง... ทว่าไม่แผดเผา
 
ดวงตะวัน... ที่ฉายแสงอบอุ่น... ขณะโอบกอดหัวใจของผมไว้ อย่างอ่อนโยน




--------------------------------------------------------------
ตั้งใจไว้ตั้งแต่เหลือสองตอนสุดท้ายว่าจะอัพทั้งหมดพร้อมกัน
เพราะต้องการความต่อเนื่องของอารมณ์
ขอโทษด้วยที่หายไปนาน เพราะยิ่งครั้งสุดท้าย เรายิ่งกังวลไปหมด
อยากทำให้ดี อยากสื่อทุกอย่างให้ครบถ้วนไม่เหลืออะไรติดค้าง
ก็เลยแก้นานมาก เขียนบรรทัดเดิมซ้ำไปซ้ำมาตั้งหลายรอบเลยค่ะ 55555
หวังว่าจะถูกใจกัน

มีหลายเรื่องเลยที่อยากจะบ่นให้ฟังในตอนจบ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ลืมเกือบหมด... (ฮืออ)
เรื่องที่จำได้คือ เรื่องความรักของทั้งสองคน ทุกครั้งที่เขียนเรากังวลตลอดอ่ะว่ามันล้นไปหรือเปล่า
รักกันเกินไปมั้ย แอบถามคนอ่านตลอดว่าเลี่ยนมั้ยคะ 5555 แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้แก้ไขอะไรอยู่ดี
ขนาดตัวเองยังแอบท้วงเลยว่ามันเป็นความรักในอุดมคติ ไม่มีแบบนี้จริงๆ หรอก (ทั้งนี้ทั้งนั้นคือยังไม่เคยสัมผัสสักครั้งเลยค่ะ 5555) แต่อีกใจก็บอกว่าช่างหัวมัน ถูกนังซันกรอกหูว่าจะรักกันให้ตายไปข้างหนึ่งเลยจะเป็นไร ไม่ใช่เพราะมันคือนิยาย แต่เพราะพอลองคิดภาพในหัวแล้ว สำหรับสองคนนั้นมันเป็นความรักที่สมเหตุสมผลดีน่ะค่ะ ^^
อีกเรื่องคือชีวิตน้องโช (อ้างอิงตอนหลงตะวัน 12) เราร่างตอนนี้มานาน เคยตั้งใจจะเอาเป็นฉากจบด้วยซ้ำ เป็นตอนที่โชกุนปลดเปลื้องทุกอย่างออกมาในใจ ออกมาจากเซฟโซนของตัวเองแล้วจริงๆ ที่เอาปูมหลังที่ค่อนข้างดราม่าของโชมาไว้ตอนท้ายก็เพราะว่าไม่อยากให้กลายเป็นนายเอกที่น่าสงสารขนาดนั้นน่ะค่ะ ไม่อยากให้อ่านด้วยความคิดที่ติดค้างว่าเพราะโชไม่เหลือใครซันเป็นคนเดียวที่ช่วยได้ แต่อยากให้เห็นตอนที่ชีวิตมีซันเข้ามาก่อนมากกว่า อยากให้อ่านถึงตรงนั้นแล้วรู้สึกว่า ที่เคยคิดไว้ว่าซันเข้ามาเป็นแสงสว่าง... มันกลายเป็นอะไรที่สว่างยิ่งกว่า เพราะก่อนหน้านี้มันมืดมาก เหมือนท้องฟ้าก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นจริงๆ อะไรแบบนั้น
เรื่องสุดท้ายคือเรื่อง nc... จะบ่นสั้นๆ เพราะเขินค่ะ 5555 จะบอกว่าก่อนเขียนเรื่องนี้แทบไม่ได้แตะ nc เลย นิยายที่อ่านก็ไม่ค่อยเจอฉากแบบนี้ ยิ่งเรื่องเขียนนี่... ไม่เคยคิดจะเขียนด้วยซ้ำอ่ะ
ตอนเขียนครั้งแรกนี่หมกมุ่นมาก ขู่เข็ญให้เพื่อนหาเอ็นซีดีๆ มาให้อ่าน แต่สุดท้ายก็ได้แค่นี้แหละค่ะ 5555 ดังนั้น ถ้ามีอะไรผิดพลาดช่วยบอกกันด้วยนะคะ กระซิบก็ได้ แบบ... แกๆ เค้าไม่ได้ทำกันอย่างนั้นเว้ย (ขอรายละเอียดด้วยก็ดีค่ะ -..-) อย่าปล่อยเราเขียนอะไรเด๋อๆ นะ

เนี่ย ขนาดลืมไปบ้างยังบ่นยาวขนาดนี้เลยอ่ะ ถ้าจำได้ทั้งหมดนี่ขึ้นเป็นนิยายตอนใหม่ได้เลยมั้ง 55555 ขอลงท้ายด้วยการขอบคุณอีกหลายๆ ครั้ง ขอบคุณมากๆ ที่แวะเข้ามาอ่านกัน ขอบคุณทุกคนที่กรุณาฝากคอมเม้นต์ไว้ ติด #ซันโช ในทวิตเตอร์ให้ได้ชื่นใจ ดีใจมากที่ไม่ปล่อยให้เราอัพเองอ่านเองอยู่คนเดียว ;^;

ขอบคุณจริงๆ ค่ะ

รัก
- Martian -

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2017 13:08:32 โดย makok_num »

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
แจ้งข่าวการตีพิมพ์

เหมือนจะไม่เคยบอกอย่างเป็นทางการเลย ว่าเรื่อง Just Before Sunrise เมื่อตะวันฉายแสง จะออกเล่มกับสำนักพิมพ์ Hermit นะคะ ที่เดียวกับ เชนตรีเลย แต่กำหนดการยังไม่แน่นอน ถ้าปั่นต้นฉบับทัน ก็น่าจะได้อ่านกันประมาณต้นปีหน้าเนอะ
ยังไงถ้ามีความคืบหน้าจะมาอัพเดตอีกทีค่ะ
ฝากติดตามด้วยนะ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2017 09:33:02 โดย makok_num »

ออฟไลน์ Preenp

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ manami1155

  • ~I Still Love You~
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
แอร๊ยยยยยย
ขอรับบริจาตเลือดกรุ๊ปบีหน่อยค่า
เสียเลือดให้กับซันโชจนจะหมดตัวแล้วววว

เปนตอนจบที่ดีต่อใจเรามากกกก
คือมันสมบูรณ์แบบจริงๆค่ะ
ครอบครัวซันก้น่ารักมาก

จะรอเล่มนะคะ
ขอตอนพิเศษเยอะๆน้า

ออฟไลน์ Zestful

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
จบแล้ววววว
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีดีออกมานะคะ
รักซันโชมากๆ เลยยย อบอุ่นหัวใจสุดๆ
 :L1: :pig4: :กอด1:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ขอบคุณมากๆ สำหรับนิยายเรื่องนี้นะคะ
โชซันเป็นคู่ที่น่ารักจริงๆ
โชกุนผ่านอะไรมาเยอะมาก สงสารเลยอ่ะ
ส่วนซันก็ดีดี๊ดี ถ้าไม่ใช่ซันนี่ไม่ยกโชกุนให้จริงๆ นะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เป็นนิยายที่ครบรสจริงๆ ค่ะ สนุกมาก มันละมุนไปด้วยความรัก ความเข้าใจกัน เป็นอะไรที่ดีต่อใจจริงๆ ค่ะ
รวมเล่มไม่พลาดแน่ๆ ค่ะเชนกับตรีก็ด้วยนะคะ

ออฟไลน์ mayachiwit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 34
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ดีใจที่มีเรื่องของซัน-โชมาให้อ่าน เราตามมาจาก just another guy หลงรักเชน-ตรีมาก รีบเม้นท์ก่อนแล้ว
ตามอ่านค่ะ

ออฟไลน์ Numai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากๆ เลยคะ. ขอตอนพิเศษด้วยน้าาาาา

รออ่านเรื่องต่อไปนะคะ

 :mew2:

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ตอนพิเศษ : 1

   
เคยได้ยินเหมือนกันว่าการแต่งงานมันเป็นมากกว่าเรื่องของคนสองคน และผมก็พิสูจน์ด้วยตัวเองจนรู้แล้วว่ามันไม่ใช่คำกล่าวเกินจริง เพราะกว่าจะมาถึงวันนี้มีเรื่องยุ่งยากมากมายที่ผมกับไอ้ตี๋ต้องจัดการ ไม่ใช่แค่เรื่องจัดงาน แต่เรายังต้องคอยรับมือกับหลายๆ คำถามที่ถูกส่งมาจากคนรอบกาย ถึงเราจะเห็นพ้องต้องกันว่าไม่อยากให้มันเป็นงานใหญ่ มีแค่คนสนิทคุ้นเคยมาเป็นสักขีพยาน แต่ถึงอย่างนั้นการเลือกจัดการแทบทุกอย่างด้วยตัวเองก็เล่นเอาสายตัวแทบขาดไปเลยเหมือนกัน
   
แต่เพราะแบบนั้น... มันถึงคุ้มค่าที่สุดเมื่อวันนี้มาถึงจริงๆ

“มึงจำเป็นต้องมานั่งเฝ้าขนาดนี้เลยเหรอ” ไอ้ตรีถามกลั้วหัวเราะ หลังจากแอบรัวชัตเตอร์ถ่ายรูปผมชุดใหญ่ให้สมกับหน้าที่ตากล้องประจำงาน ผมหันไปเลิกคิ้วมองหน้ามัน ไม่รู้ตัวว่ามุมปากยังคงยกเป็นรอยยิ้มกว้างเพราะยิ้มค้างอยู่แบบนี้มานาน

“ใครเฝ้า กูมานั่งพักเฉยๆ” ยังทำเป็นปากแข็งทั้งที่ไม่ทันไรก็หันกลับไปจ้องอีกคนที่กำลังถูกจับแต่งตัวเป็นตุ๊กตาอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบกริบติดกระดุมจรดคอ หูกระต่ายสีดำถูกผูกและจัดให้อยู่ตรงกลางปกเสื้ออย่างพิถีพิถัน

ทั้งที่ชุดก็คล้ายๆ กัน ต่างตรงที่ของผมถูกผูกด้วยเนกไทสีดำเท่านั้น แต่ไม่รู้ทำไมพออยู่บนตัวอีกคนมันถึงได้ดึงดูดจนผมละสายตาไม่ได้มานับชั่วโมง ไม่รู้ว่านอกจากเส้นผมหนาที่ถูกเซตเป็นทรงอย่างดีแล้วพี่โมทำอะไรอีกหรือเปล่า ใบหน้าของไอ้ตี๋ถึงได้ดูสดใสกว่าปกติ จนคนมองอย่างผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม

“หึ” เผลอมองนานจนไม่ทันรู้ตัวว่าไอ้ตากล้องประจำงานแอบถ่ายตัวเองไปอีกกี่รูป หันมาอีกทีก็เห็นไอ้ตรีกำลังยิ้มมุมปาก มองผมอย่างมีเลศนัย จนต้องย่นหน้าโบกมือไล่อย่างขำๆ

“ถ่ายอะไรกูนักหนา ไปถ่ายไอ้ตี๋นู่น” คนถูกพาดพิงพอได้ยินชื่อตัวเองก็เหลือบตาขึ้นมาสบตาผมผ่านกระจก ส่งสายตาคาดใส่ผมผ่านกระจกทันทีที่ตกเป็นเป้าเลนส์กล้องของไอ้ตรี แต่เพียงไม่นานก็หลุดอมยิ้มหลบสายตาลงอย่างเขินอายให้ผมยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม

หยิบสูทตัวนอกขึ้นมาสวมแล้วลุกจากเก้าอี้เดินเข้าไปหาทันทีที่พี่โมสวมสูทตัวนอกให้ไอ้ตี๋เสร็จ และหลบฉากออกมายิ้มแหย่ผมเหมือนรู้ว่ารอเวลานี้อยู่นาน คนขี้กังวลยังสำรวจตัวเองอยู่หน้ากระจกอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งผมไปยืนซ้อนหลังโอบไหล่บาง หอมแก้มใสฟอดใหญ่ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปบนขมับ กดจูบย้ำๆ แล้วแช่ริมฝีปากไว้อย่างนั้น ซึมซับความอบอุ่นผ่านร่างกายที่สัมผัสกัน

“เดี๋ยวเสื้อก็ยับหรอกครับ” บ่นพึมพำทั้งที่ซุกหน้าลงกับแขนผมอย่างเขินอาย ใบหน้าใสกลายเป็นสีระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู 
ผมยิ้มกว้าง กดจูบหนักๆ ลงไปอีกครั้งก่อนจะเปลี่ยนมาเกยคางไว้บนไหล่ สบตากับดวงตาเรียวผ่านกระจกบานใหญ่เนิ่นนานจนได้คำตอบว่าที่วันนี้ไอ้ตี๋ดูสดใสกว่าปกติไม่ได้เกี่ยวกับการแต่งตัว... แต่เป็นเพราะดวงตาที่ทอประกายความสุขจนเอ่อล้นออกมา

“ตื่นเต้นมากเลย” อยู่ๆ คนตัวเล็กก็หมุนตัวกลับมาหาเพื่อกอดผมแล้วสารภาพเสียงเบา ผมหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะกอดกลับ กระชับอ้อมแขนจับคนตัวเล็กกว่าโยกไปมา

“เหมือนกัน” ไม่ปฏิเสธหรอกว่าไม่รู้สึกอะไร ในเมื่อหัวใจมันเต้นรัวจนอีกฝ่ายก็คงสัมผัสได้

ทั้งที่ข้างนอกนั่นก็มีแต่คนรู้จัก สนิทสนมกันมานานจนคิดว่าไม่มีอะไรต้องอาย แต่เอาเข้าจริงก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ยิ่งคิดว่าต้องออกไปป่าวประกาศความรักของตัวเองต่อหน้าใครๆ ต่อให้ปกติจะเป็นคนหน้าด้านแค่ไหน แต่งานนี้ผมก็เขินจนมือไม้สั่นไปหมดอย่างที่ไม่เคยเป็น

ต้องขอบคุณคนในอ้อมกอดที่ทดแทนความตื่นเต้นด้วยความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาทางร่างกาย ไม่อย่างนั้นคงได้หมกตัวอยู่ในห้องแต่งตัวกันทั้งคู่ไม่กล้าออกไปไหน

“พร้อมหรือยัง”

ขอบคุณมือข้างนี้ที่กุมมือกันไว้ ยอมเดินเคียงข้างกันไป ในวันที่ผมมีความสุขจนอยากจะร้องไห้ออกมา

“ครับ”

ขอบคุณรอยยิ้มแสนน่ารัก ที่ยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่า คนนี้แหละที่ทำให้คนอย่างผมอยากแต่งงาน อยากป่าวประกาศให้ทั้งโลกรับรู้ว่าเราจะเป็นของกันและกัน...นานเท่านาน





มันเป็นเพียงงานแต่งงานเล็กๆ ที่คนนอกมองว่าช่างไม่สมศักดิ์ศรีลูกชายเจ้าของกิจการรีสอร์ตชื่อดัง ไม่มีของตกแต่งหรูหราอลังการ ไม่มีเค้กสิบชั้นหรือรูปสลักน้ำแข็งประดับงาน มีเพียงพิธีทางศาสนาสั้นๆ และการรวมกลุ่มกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา ฟังคำอวยพร และเคล็ดลับการครองชีวิตคู่จากป๊าและแม่ คำขอบคุณของพี่โมที่พูดซ้ำไปซ้ำมาทั้งน้ำตา พูดคุยทักทายกับเพื่อนๆ ที่ต่างแสดงความยินดีปนแซวที่ผมเป็นฝั่งเป็นฝานำหน้าทุกคน

ส่วนหนึ่งที่งานไม่เงียบเกินไปต้องยกความดีความชอบให้พิธีกรของงานคือไอ้นายกับไอ้มิ่งที่คนหนึ่งโคตรอเลิร์ตส่วนอีกคนก็โคตรมึนเรียกเสียงหัวเราะปนเอ็นดูจากคนทั้งงาน แต่ข้อเสียคือผมโดนแฉเรื่องที่เคยเสนอตัวเป็นพ่อสื่อให้ไอ้นาย โดยแก้ตัวอะไรไม่ได้เพราะมันมีหลักฐานเป็นรูปตอนอยู่ในร้านที่ผมตามติดไอ้ตี๋แจจนไม่เปิดโอกาสให้มันแม้กระทั่งรูปแอบถ่ายไว้มโนด้วยซ้ำ เรื่องเหนือความคาดหมายอีกอย่างคือวิดีโองานแต่งที่ผมไม่คิดว่าจะมี ดันถูกไอ้ตรีเอามาเซอร์ไพรซ์ด้วยบรรยากาศในห้องแต่งตัวที่ผมเพิ่งรู้ว่าความจริงแล้วมันอัดเป็นวิดีโอไว้ ไม่ใช่ภาพนิ่งอย่างที่เข้าใจ เพราะแบบนั้นพวกผมเลยยิ่งถูกแซวยกใหญ่ จนคนตัวเล็กอายม้วนต้องมุดหน้าซุกอกผมไว้นานนับนาที

ฉากเต้นรำกลางหมู่ดาวถูกทดแทนด้วยเพลงสนุกๆ จากวง The Quantum ที่รวมตัวกันเฉพาะกิจหลังจากห่างหายกันไปพักใหญ่ ก่อนจะปิดท้ายด้วยท่วงทำนองแสนหวานของเพลงที่ผมจำได้แม่นว่าพี่เชนเป็นคนแต่งเอง ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน แต่ผมกับไอ้ตี๋ก็ยิ้มไม่หุบที่วันทั้งวันผ่านไปด้วยดีกว่าที่คิดไว้ บรรยากาศเรียบง่าย ทว่าอบอุ่นไม่ต่างจากการนั่งกินข้าวสังสรรค์กันภายในครอบครัว

“อ้าว ซัน” ผมชะงักฝีเท้าเมื่อกำลังจะเดินกลับเข้าไปในงานแล้วสวนกับพี่โมเข้าพอดี ผมเพิ่งไปส่งป๊ากับแม่ที่รีสอร์ตมา หลังจากแขกเหรื่อแยกย้ายกันกลับเกือบหมดแล้ว เหลือแต่พวกเพื่อนๆ ผมที่นั่งดื่มกันต่อเพราะเปิดห้องที่รีสอร์ตไว้ให้ เลยไม่ต้องกังวลว่าจะกลับไม่ไหว

“พี่โมจะกลับแล้วเหรอครับ ให้ผมไปส่งไหม” เอ่ยถาม เพราะผมเตรียมห้องไว้ให้ครอบครัวพี่โมเหมือนกัน

“ไม่เป็นไรจ้ะ ให้เด็กไปส่งก็ได้ ซันกลับไปอยู่กับเพื่อนเถอะ” พี่โมปฏิเสธ ผมจึงหันเรียกเด็กที่รอแสตนด์บายส่งแขกอยู่แล้วให้เตรียมรถมารับพี่โมไปส่งที่ห้องพักซึ่งอยู่ไม่ไกล

“ขอบคุณมากนะครับที่มาช่วยงาน” ผมยกมือไหว้จากใจ ถ้าไม่ได้พี่โมเป็นธุระให้ หลายๆ เรื่องคงไม่ผ่านไปอย่างราบรื่นแบบนี้

“พี่ต่างหากต้องขอบคุณซัน คิดไม่ผิดจริงๆ ที่แอบเชียร์มาตั้งนาน” พี่โมเอ่ยแซว จนผมหลุดหัวเราะเบาๆ พลางยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยเก้อๆ ด้วยความอาย แต่ไม่นานญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของไอ้ตี๋ก็คลี่ยิ้มอ่อนโยน พลางเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นสบตาอีกครั้งอย่าตั้งใจฟัง

“พี่เพิ่งคุยกับแม่ของโช เค้าฝากมาขอบคุณซันเหมือนกัน”

ก่อนหน้านี้เราส่งการ์ดเชิญไปให้แม่ไอ้ตี๋ที่ต่างประเทศเหมือนกัน แต่ดูเหมือนท่านจะไม่สะดวกมา จึงฝากพี่โมเป็นธุระแทน ซึ่งพี่โมก็ทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเหมือนเป็นแม่อีกคนของไอ้ตี๋จริงๆ

“ขอบใจมากที่ที่ผ่านมาช่วยดูแลโชอย่างดี แล้วก็ขอบคุณที่จะดูแลโชหลังจากนี้ไป ขอให้ทั้งสองคนคิดถึงช่วงเวลานี้ไว้ แล้วใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุข แล้วก็ห้ามทำน้องโชกุนเสียใจด้วย เข้าใจไหม” ผมหลุดหัวเราะอีกครั้ง เมื่อได้ฟังคำฝากฝังจากคุณแม่ยาย ก่อนจะพยักหน้าตอบกลับไป

“ครับ สัญญาเลย”

เพราะอยากทำทุกอย่างให้ครบถ้วนถูกต้อง ผมจึงขอให้ไอ้ตี๋ติดต่อแม่ตัวเองเพื่อขออนุญาตอย่างเป็นทางการ ได้คุยกับท่านครั้งหนึ่งก็รู้ว่าเป็นคนใจดี ถึงทั้งสองคนจะค่อนข้างห่างเหินกันอย่างที่ไอ้ตี๋เคยบอก... แต่ก็ไม่ถึงขั้นกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ดี แม้จะมีบรรยากาศของความอึดอัดอยู่บ้างตอนคุยกัน แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความรัก ความเป็นห่วงที่ทั้งสองคนมีให้กันอย่างชัดเจน

เพราะถ้าไม่รัก ไม่ห่วง คงไม่ให้พี่โมมาคอยดูแลแบบนี้... รับรู้สารทุกข์สุขดิบของไอ้ตี๋โดยที่ไม่มายุ่มย่ามให้มันอึดอัดใจ เพราะรู้ว่าตัวเองผิดที่เป็นฝ่ายหายหน้าไป อย่างเรื่องที่เราคบกัน แม่ไอ้ตี๋ก็รู้มาตั้งนานแล้วผ่านพี่โมที่เป็นหูเป็นตาส่งข่าวให้ เพราะงั้นตอนที่ผมโทรไปถึงได้ไม่มีวี่แววของความตกใจ แถมยังดีใจด้วยซ้ำที่ในที่สุดลูกชายมีคนรัก...และได้รู้จักรักใครสักคน ท่านรู้แม้กระทั่งเรื่องที่ไอ้ตี๋ขี้กลัวและสร้างกำแพงจากคนรอบข้างแค่ไหน เพราะแบบนั้นถึงได้เป็นห่วง และหวังให้มันทำลายกำแพงนั้นลงสักที

มันทำให้ผมเพิ่งคิดได้เหมือนกันว่าที่ไอ้ตี๋เอาแต่คิดว่าตัวเองโดดเดี่ยว ไม่มีคนรัก ผมว่าไม่จริงเลยสักนิด... มีคนรักมันมากกว่าที่มันคิด เพียงแต่มันเป็นความรักที่แสดงออกด้วยวิธีที่แตกต่างออกไปเท่านั้นเอง

“ขอบคุณมากนะครับ” ผมยกมือไหว้พี่โมอีกครั้งอย่างขอบคุณจากใจ คราวนี้พี่โมยิ้มรับ อวยพรให้ผมกับไอ้ตี๋อีกรอบ ก่อนจะขึ้นรถกลับรีสอร์ตไป

พอยืนส่งพี่โมจนลับสายตา ผมก็กำลังจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในงาน แต่ไม่ทันไรก็เจออีกสองคนกำลังเดินออกมา ท่าทางกำลังจะกลับเหมือนกัน

“ไงมึง” ไอ้ตรียิ้มทักทาย ในขณะที่พี่เชนมองหน้ากันนิ่งๆ ไม่ได้เอ่ยอะไร

“กลับแล้วเหรอวะ” เลิกคิ้วถามอย่างประหลาดใจ เพราะคิดว่าทั้งสองคนจะอยู่ต่อ

“อืม พรุ่งนี้ต้องออกแต่เช้าอ่ะ พี่เชนมีงาน” ผมพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะหันไปมองพี่รหัสสุดหล่อ แล้วยกมือไหว้ขอบคุณ

“ขอบคุณมากนะพี่ที่มาเล่นดนตรีให้” เดิมทีผมจะจ้าง แต่พวกพี่ๆ เขากลับไม่ยอม มาเล่นให้ฟรีแถมยังขนเครื่องดนตรีมาเองจนผมเกรงใจ พี่เชนยิ้มมุมปากกลับมา เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก่อนจะเหลือบสายตามองคนข้างตัวแล้วเอ่ยหน้าตาย

“รองานแต่งกูค่อยไปใช้คืน” ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะช่วยอะไรได้ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ก็ช่วยเป็นสักขีพยานว่างานต่อไปคงไม่พ้นของไอ้เพื่อนตัวดีที่ยืนหน้าแดงตกใจกับคำพูดแฟนตัวเองอยู่ตรงหน้านี่แน่นอน

“โอเคเลยพี่” ผมตอบกลั้วหัวเราะ ส่งสายตาแซวไอ้ตรี

“เออมึง เข้าไปดูโชหน่อยก็ดี ไม่รู้ป่านนี้เพื่อนมึงล่อลวงไปถึงไหนแล้ว” แต่ไม่ทันไร มันก็เฉไฉเปลี่ยนเรื่อง

“ล่อลวงอะไร” ผมเลิกคิ้วไม่เข้าใจ คราวนี้ไอ้ตรีเลยหัวเราะบ้าง พยักหน้าเข้าไปในงานที่ตอนนี้คงจะเหลือแต่เพื่อนๆ ผม

“ไปดูดิ กูเห็นเพื่อนมึงหลอกให้โชกินเหล้าอ่ะ ป่านนี้เมาพับไปแล้วมั้ง”   

“หา?” ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ ก่อนจะพยักหน้าขำๆ “โอเค เดี๋ยวกูไปดู”

ในหัวพยายามนึกว่าถ้าไอ้ตี๋ถูกมอมเหล้าจริงจะเป็นยังไง เพราะอย่าว่าแต่เมาเลย ผมยังไม่เคยเห็นมันแตะแอลกอฮอล์เลยสักครั้งตั้งแต่รู้จักกันมา แต่ก็รู้ว่าที่ไม่กินก็เพราะไม่ชอบเท่านั้น ไม่ใช่เพราะมันแพ้หรือมีอะไรร้ายแรง

ผมบอกลาพี่เชนกับไอ้ตรีอีกครั้งก่อนจะแยกย้ายกัน กลับเข้ามาในงานที่ตอนนี้แทบจะร้างผู้คน เหลือเพียงคนงานที่กำลังเก็บจาน กับโต๊ะด้านหน้าสุดที่มีพวกเพื่อนๆ ผมนั่งล้อมวงกันอยู่แต่กลับไม่มีเสียงโหวกเหวกโวยวายเหมือนเคยก็ประหลาดใจ ก่อนจะได้คำตอบเมื่อเดินเข้ามาใกล้แล้วเห็นว่าพวกมันกำลังนั่งมองคนตัวเล็กที่นั่งชันเข่าขดตัวเป็นก้อนอยู่บนเก้าอี้เหมือนไม่รู้จะทำยังไง

“ไอ้เชี่ยซัน! ช่วยด้วย” พอเห็นหน้าผมก็ทำท่าตื่นเต้นยกใหญ่ พร้อมใจกันชี้นิ้วไปที่ไอ้ตี๋อย่างโบ้ยความรับผิดชอบให้กัน

“พวกมึงทำอะไรเนี่ย” ผมเลิกคิ้วถาม ก่อนจะเดินไปนั่งคุกเข่าที่พื้นข้างๆ คนตัวเล็กที่ยังซุกหน้าอยู่กับเข่าตัวเองอยู่อย่างนั้น 

“โช... โชครับ” จนผมลูบหัวเบาๆ พร้อมกับเรียกชื่อถึงได้ยอมเงยหน้าขึ้นมา

“ซัน” และเชื่อเถอะว่าหน้าแดงๆ กับน้ำเสียงอ้อนๆ นี่โคตรมีพลังทำลายล้างจนผมถึงกับชะงักไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยแซวขำๆ

“เมาเหรอครับคุณน่ะ” มือที่ยังคงวางอยู่บนเรือนผมนุ่มถูกเจ้าตัวยกมือขึ้นมาจับไว้ ก่อนจะเอาไปทาบแก้มแดงๆ ของตัวเอง แล้วย่นหน้ากระซิบเบาๆ ด้วยท่าทางอายๆ

“ผมคิดว่าเป็นน้ำเปล่า” พอได้ยินแบบนั้นผมก็หันไปมองไอ้พวกเพื่อนเวรที่นั่งล้อมวงอยู่อย่างรู้ทัน

“มันสลับแก้ว!”

“เชี่ยอะไร มึงนั่นแหละ”

“ก็มึงบอกให้แกล้งอ่ะ”

“มึงเลยตัวเริ่ม” คนร้อนตัวโทษกันจนครบวง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน

“โดนไปแก้วเดียว ใครจะไปคิดว่าจะขดตัวเป็นดักแด้งี้วะ น่ารักสัด” อยากจะเอาเรื่องพวกแม่งเหมือนกันที่มาแกล้งคนของผม แต่พอหันกลับมามองเจ้าของใบหน้าแดงๆ ที่ยังขดตัวแต่เอียงหน้ามามองผมด้วยสีหน้ากระเง้ากระงอดแล้วก็อยากจะขอบคุณมากกว่า 

จริงของพวกมัน... เวลาคุณเขาเมานี่น่ารักชิบหายเลย

“ผมง่วงมากเลย” ยิ่งทำเสียงงอแงก็ยิ่งน่ารักจนผมเผลอยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บปากทีหนึ่งอย่างอดใจไม่ไหว เกลี่ยนิ้วบนใบหน้าร้อนๆ ไปมาก่อนจะพยักหน้าตามใจ

“โอเค ไปนอนกัน” ถูกไอ้พวกเพื่อนเวรส่งเสียงแซวแต่ไม่คิดจะสนใจ หันหลังแล้วย่อตัวลงให้คนตัวเล็กที่ขยับมาขี่หลังกันอย่างว่าง่าย

“หาทางกลับเองนะพวกมึงอ่ะ” แกล้งเตะคนตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างหมั่นไส้

ถูกพวกมันโห่แซวยกใหญ่จนอยากจะยกเท้าให้ แต่ก็ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไร เพราะต้องพาคนงอแงออกมาจากงาน พาเข้ามาในบ้านจนถึงห้องนอนแล้วจึงวางลงบนเตียง

“เดี๋ยวไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้นะ” ผมบอกก่อนจะหมุนตัวเดินออกมา แต่ยังไม่ทันได้เดินไปไหนก็ถูกคว้ามือไว้โดยคนที่ยังนั่งมุดหน้าลงกับเข่าตัวเองขดตัวเป็นดักแด้อีกรอบอย่างน่าเอ็นดู

“ซัน”

“หืม?” ผมนั่งลงข้างๆ อีกครั้งตามเสียงเรียก แต่แทนที่จะเอ่ยอะไรต่อ ไอ้ตี๋กลับมองหน้าผมนิ่ง แล้วเรียกชื่อผมซ้ำไปซ้ำมา 

“ซัน”

“อะไรครับ” ถามกลั้วหัวเราะ พลางใช้มือข้างที่เหลือเกลี่ยแก้มใสที่เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ก่อนที่มือบางจะยกขึ้นมาทาบลงบนมือผมอีกทีพลางหลับตาลงคล้ายกับจะซึมซับไออุ่นนี้ไว้พักใหญ่ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาสบตาผม สีหน้าเหมือนมีเรื่องมากมายอยากเอ่ย แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากอะไร

“โช...” แต่ถึงไม่พูดอะไร ผมพอจะเดาได้ เพราะความรู้สึกมากมายมันถูกสื่อออกมาผ่านแววตาที่เริ่มมีน้ำใสๆ เอ่อคลอขึ้นมา

“ไหนบอกว่าง่วงไง” ผมแกล้งถามยิ้มๆ พลางยื่นหน้าเข้าไปจูบเบาๆ แตะหน้าผากแช่ไว้ คลอเคลียปลายจมูกกับปลายจมูกแดงๆ ที่พ่นลมหายใจร้อนเจือไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์

“ซันครับ” เนิ่นนานกว่าน้ำเสียงออดอ้อนจะเอ่ยชื่อผมออกมาอีกครั้ง เอียงใบหน้าแตะริมฝีปากร้อนจัดลงมาบนฝ่ามือผมที่ยังทาบอยู่บนแก้มตัวเองก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ   

“ทำยังไงดี... ตอนนี้ผมมีความสุขมากเลย” คลี่ยิ้มกว้างทั้งที่หยาดน้ำค่อยๆ ไหลลงมาจากดวงตาทั้งสองข้างเหมือนกลั้นไม่ไหว ใช่จะไม่รู้ว่ามันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ตลอดทั้งวัน เพราะทุกครั้งที่หันไปสบตาก็มักจะเห็นว่าดวงตาคู่สวยมีหยาดน้ำเอ่อคลอ แต่คงเพราะไม่อยากให้ตัวเองดูขี้แยเกินไป ถึงได้ฮึบเอาไว้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรืออะไร สุดท้ายถึงได้มาทนไม่ไหวเอาตอนนี้เอง 

“ผมเคยชินกับการผิดหวังมานาน... ไม่เห็นรู้เลยว่าการถูกรักมันจะดีขนาดนี้” เอ่ยพึมพำทั้งที่สะอึกสะอื้นหนักกว่าเดิม จนผมอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเอ็นดู ก่อนจะดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดไว้ ลูบหัวเบาๆ ปล่อยให้ร้องไห้จนกว่าจะพอใจ 

ถึงจะเคยสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ทำให้ไอ้ตี๋ร้องไห้อีก... แต่คราวนี้คงไม่เป็นไร เพราะน้ำตาที่กำลังไหลไม่ได้เกิดจากความเสียใจ แต่เป็นเพราะความสุขที่ล้นอยู่ในใจมันระบายออกมาเป็นหยาดน้ำมากมายเกินจะเก็บไหว

“ขอบคุณนะครับ” กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเมื่อได้ยินคำขอบคุณที่เต็มไปด้วยความรู้สึกจนสัมผัสได้ กดจูบบนเรือนผมหอมซ้ำๆ พลางจับคนตัวเล็กโยกไปมาเหมือนปลอบเด็กที่กำลังร้องไห้งอแง ก่อนจะกระซิบแทนคำขอบคุณด้วยประโยคเดียวที่ดังก้องอยู่ในใจ...

“ซันรักโชนะ”   

และไม่สามารถเอ่ยอะไรต่อได้ เพราะรู้ดีว่าขืนเอ่ยออกไปอีกคำเดียว... ความสุขที่ล้นอยู่เต็มอกก็คงดันให้น้ำตาของผมไหลทำลักออกมาจนกลายเป็นคนขี้แยไม่แพ้กัน








--------------------------------------------------------------
สารภาพว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่อินกับการแต่งงานเลยค่ะ
ตอนแรกตั้งใจว่าจะข้ามฉากนี้ไป เขียนชีวิตหลังแต่งงานเลยด้วยซ้ำ 5555
แต่สุดท้ายก็ดึงกลับมา ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน คงเพราะมันทำให้เรื่องสมบูรณ์กว่า
เป็นงานแต่งในแบบที่เราคิดว่าทั้งสองคนน่าจะอยากให้เป็น
เรียบง่าย ไม่หวือหวา ไม่มีซีนหวานซึ้งใดๆ อย่างที่ซันบอก ว่าเหมือนแค่มานั่งกินข้าวกันภายในครอบครัว 555

คิดว่าคงอัพตอนพิเศษให้อ่านกันอีกประมาณ 1-2 ตอนนะคะ
ฝากติดตามด้วยน้า ^^
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-08-2017 00:58:33 โดย makok_num »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ทำไมโชกุนทำอะไรก็ดูน่าย่ำยีตลอดคะ ดูเป็นสีขาวที่ทำให้แปดเปื้อนกี่ครั้งก็กลับมาขาวบริสุทธิ์ได้ตลอด ลูกมากก อยากบีบ ฮื่อออ ดีใจกับน้องโช ขอบคุณซันที่เข้ามาฉายแสงให้ชีวิตของน้องมีชีวิตชีวาขึ้นมา ฮือออ เราอินกับฉากนี้มาก คิดว่าถ้าเป็นคนอื่นคงไม่อินขนาดนี้ แต่พอนี่เป็นซัน คนโดนของอ่ะ พอแต่งงานแล้วนี่แบบเชื่อสนิทใจเลย ยอมใจในความรักความหลง โชกุนลูกแม่จะต้องมีความสุขทุกๆวันนะ  :กอด1:

ออฟไลน์ Numai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จะมี E-book ไหมคะ

อยากได้.....

 :mew3:

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
ตอนพิเศษ : 2

   
เสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้เวลาเดิมของทุกวันส่งเสียงดังขึ้นมาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่จะดับไปด้วยฝีมือของคนในอ้อมกอดผมที่ขยับตัวยุกยิก ส่งเสียงงัวเงียอยู่พักหนึ่งก่อนจะต้องลุกจากเตียง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกเช้าจนผมจำได้แม้จะยังกึ่งหลับกึ่งตื่นไม่อยากลืมตา

...และจำได้ดีว่าก่อนจะผละออกจากอ้อมกอดผมในทุกๆ วัน จะได้รับการทักทายยามเช้าเป็นสัมผัสนุ่มหยุ่นที่แตะลงมาบนริมฝีปากแผ่วเบา

“อรุณสวัสดิ์ครับ” ตามด้วยเสียงกระซิบแสนหวานที่ทำเอาผมหลุดยิ้มออกมา ก่อนที่ไออุ่นของร่างกายเปลือยเปล่าที่กกกอดไว้ทั้งคืนจะผละออกไป เรียกให้ผมปรือตาขึ้นมามองเจ้าของแผ่นหลังบอบบางที่ลุกขึ้นนั่งหย่อนขาลงข้างเตียง หาวหวอดใหญ่พลางบิดขี้เกียจไปมาอย่างน่าเอ็นดู

ยิ้มออกมาบางๆ ขณะมองตามทุกการเคลื่อนไหว จนกระทั่งคนตัวเล็กหายไปในห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว จึงปล่อยให้ตัวเองหลับต่อ รั้งรอจนได้ยินเสียงกระซิบอีกครั้งที่ข้างหู

“ซัน ตื่นได้แล้วครับ” หนังตาที่หนักอึ้งค่อยๆ ปรือขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ยังละล้าละลังยังไม่อยากตื่นเต็มตา พอผมไม่มีทีท่าว่าจะตื่นง่ายๆ คุณนาฬิกาปลุกจำเป็นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ พลางแกล้งถูปลายจมูกไปทั่วหน้าผมอย่างก่อกวน

“คุณชาย ตื่นเร็ว” สรรพนามที่ยกขึ้นมาล้อเลียนทำให้ผมหลุดหัวเราะตาม ก่อนจะเอาคืนด้วยการโอบแขนรอบเอวบางแล้วยกคนตัวเล็กกว่าขึ้นมานอนบนร่างตัวเองอีกครั้ง

“บอกให้เรียกคุณสามีไง” เรียกร้องคำสรรพนามที่เคยขอไว้ตั้งแต่หลังแต่งงานใหม่ๆ แต่ไม่เคยได้ยินสักที

“งั้นก็นอนต่อไปเถอะครับ” เจ้าของใบหน้าใสเอ่ยหน้าตาย ทำท่าจะลุกออกไปจนผมต้องรั้งอ้อมกอดไว้ ส่งเสียงเว้าวอน

“โห่ ตี๋~”

“ปล่อยครับ เสื้อยับ” แทนที่จะเห็นใจ คุณตี๋ของผมกลับยิ่งทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ แถมยกข้ออ้างประจำขึ้นมา ทั้งที่รู้ว่าต่อให้ยับไปทั้งตัวผมก็ยังจะกอดไว้อยู่ดี

แต่คนในอ้อมกอดยังคงนอนเกยคางบนอก มองหน้าผมนิ่งนานด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนตัวขึ้นมา มือสองข้างยกขึ้นมาประคองใบหน้าผมไว้ขณะขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจร้อนๆ รินรดปลายจมูก คลอเคลียอยู่สักพัก... แล้วกดจูบลงมาแผ่วเบา

“ตื่นได้แล้วครับ... คุณสามี” กระซิบคำที่อยากได้ยินชิดริมฝีปาก พร้อมกับช้อนสายตาขึ้นมาสบตา ดูเหมือนจะใจกล้าทว่าแววตาเจือไปด้วยความเขินอาย ใบหน้าขาวใสกลับกลายเป็นสีระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู

ในขณะที่ผม... เหมือนจะหยุดหายใจไปแล้วตั้งแต่ถูกเรียกว่าสามี

ให้ตาย... พอได้ยินจริงๆ ก็เสือกไปไม่เป็น หัวใจเต้นตึกตักจนน่ากลัวว่ามันจะวาย และคนตัวเล็กที่นอนทับอกอยู่ก็คงสัมผัสได้ถึงจังหวะที่เปลี่ยนไป ถึงได้ยิ้มบางๆ ออกมา

“หึ” บอกเลยว่ายิ่งทำสีหน้าแบบนี้ก็อย่ามาเรียกร้องให้ปล่อยซะให้ยาก

ดูนาฬิกาแล้วก็ยังพอมีเวลาซะด้วย...

พรึ่บ!

ผมจัดการพลิกตัวขึ้นมาคร่อมคนตัวเล็กที่ส่งเสียงร้องพลางเบิกตากว้างอย่างตกใจ แต่ไม่เปิดโอกาสให้ได้แย้งอะไรด้วยการปิดปากเอาไว้ด้วยริมฝีปากตัวเอง รบเร้าเนิ่นนานกว่าคนใต้ร่างจะโอนอ่อนผ่อนตาม ตอบรับด้วยสัมผัสแสนหวานที่เล่นเอาอารมณ์ที่เพิ่งถูกปลุกขึ้นมายิ่งลุกลาม

“คุณภรรยาครับ...” แกล้งเรียกกลับจนถูกย่นหน้าใส่ แต่ไม่ทันไรก็หลุดยิ้มอ่อนใจ ขณะที่ผมไล่สายตามองร่างบอบบางในชุดเตรียมออกไปทำงานเต็มยศแล้วอดไม่ได้ที่จะกดจูบลงไปอีกครั้ง กระซิบชิดริมฝีปากล้อเลียน

“จะพยายามไม่ให้เสื้อยับแล้วกันเนอะ”






ชีวิตหลังแต่งงานของเราสองคนไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก เรายังตื่นพร้อมกัน กินข้าวเช้าพร้อมกัน ออกไปทำงาน และกลับมานอนเตียงเดียวกันในทุกๆ วัน จะต่างก็ตรงที่ภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับมันเปลี่ยนไป จากที่แค่นั่งเรียนไปวันๆ ตอนนี้ผมกลายเป็นพนักงานออฟฟิศ ทำงานอยู่บริษัทพี่เชน ในขณะที่คุณตี๋ของผมก็ได้เลื่อนขั้นเป็นคนดูแลร้านเต็มตัว จัดการแทบทุกส่วนแทนพี่โมที่กำลังจะเปิดร้านอีกสาขาหนึ่งนอกเมือง ข้อดีคือคุณเขาจะเข้ามาที่ร้านเมื่อไหร่ก็ได้ แถมไม่ต้องทำงานโต้รุ่งบั่นทอนสุขภาพร่างกายให้ผมเป็นห่วงเหมือนสมัยมหาลัย

แต่ก็ต้องหันมาเป็นห่วงเรื่องอื่นแทน...

“ขอโทษนะ รอนานไหม” ร่างบอบบางในเสื้อเชิ้ตตัวใหม่เรียบกริบละล่ำละลักขอโทษขอโพยยกใหญ่ แทบจะวิ่งลงจากรถไปหาใครอีกคนที่ยืนรออยู่หน้าร้านที่ยังไม่เปิดทำการ

“เฮ้ย ไม่เป็นไรพี่ ผมก็เพิ่งมาถึงเมื่อกี้เอง” เจ้าของร่างกำยำลุกขึ้นยิ้มรับ ผมนั่งมองอยู่สักพักก็ตัดสินใจเปิดประตูรถตามออกไปกอดคอคนตัวเล็กไว้อย่างแสดงความเป็นเจ้าของ

“คนนี้เหรอลูกชายเฮีย” แกล้งเลิกคิ้วถาม ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าใช่ผ่านรูปถ่ายที่ไอ้ลูกหมานี่ส่งมาให้ผมทางไลน์
ตั้งแต่ได้ยินว่ามีเด็กส่งขนมคนใหม่มาแทนเฮียเจ้าของร้านที่เกษียณตัวเองไป ไลน์ติดต่องานก็แจ้งเตือนไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งที่ไม่เห็นมีอะไรต้องคุย ขนมก็เหมือนเดิม สั่งเท่าเดิมทุกวัน แถมที่สำคัญ รูปหน้าแม่งที่แนบมาพร้อมรูปขนมก็ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นเลย

“สวัสดีครับ” ถึงท่าทางจะยังดูงงๆ แต่มันก็ยกมือไหว้ผมตามมารยาท มองพวกเราสลับกันสักพัก ก็ชะงักไปเมื่อสายตาหยุดอยู่แถวนิ้วที่สวมแหวนข้างเดียวกับอีกคน

เออ ผมตั้งใจกระดิกนิ้วให้มันเห็นเองอ่ะ

และถ้าตามันไม่บอด ก็คงเห็นด้วยว่าเหนือไหปลาร้าที่โผล่พ้นปกเสื้อที่ผมจงใจรั้งให้เผยขึ้นมา มีร่องรอยที่ผมฝากไว้เพื่อบอกว่า คนนี้ของกู

“ซัน ไม่รีบไปทำงานเดี๋ยวรถติดนะครับ” น้ำเสียงประหลาดใจดังขึ้นมาทำให้ผมละสายตาจากไอ้ลูกหมา ก้มมองนาฬิกา กะเวลาคร่าวๆ แล้วคิดว่ายังทัน เลยหันมาจัดการเรื่องที่ยังค้างคา

“อยากกินลาเต้อ่ะ” ไม่ได้จะโวยวายอะไรหรอก เพราะรู้ว่ามันจะดูงี่เง่าเกินไป แค่อยากทำอะไรสักอย่างให้ไอ้ลูกหมานี่รู้ว่าเจ้าของเนื้อที่มันเล็งไว้กำลังระแคะระคายแล้วหนีไปก็เท่านั้น

“ทันเหรอครับ ยังไม่ได้เปิดเครื่องชงเลย” คนตัวเล็กเลิกคิ้วถาม

“อยากกินฝีมือตี๋” แต่ผมยังดื้อดึง จนคุณเขายอมก้มดูนาฬิกาบ้างก่อนจะถอนหายใจเบาๆ

“งั้นเข้ามารอในร้านก่อนครับ ส่วนขนมยกเข้าไปวางที่เดิมได้เลยนะเดี๋ยวพี่จัดการเอง” ปิดท้ายด้วยการส่งยิ้มหวานให้ไอ้เด็กส่งขนมก่อนจะหันไปเปิดประตูเดินนำเข้าไปในร้านก่อน ขณะที่ผมหันมาสบตาไอ้ลูกหมาตัวโต แล้วยิ้มบางๆ

“กิจการเป็นไงบ้าง ตั้งแต่พ่อเลิกไปขายดีไหม” อันที่จริงก็ไม่ได้สนิทสนมถึงขั้นที่ต้องถาม แต่คิดไปคิดมาใส่ใจไว้บ้างก็ไม่เสียหาย

“ก็... ดีครับ แต่ช่วงนี้เศรษฐกิจค่อยไม่ดี ลูกค้าก็หายไปบ้าง” มันตอบอึกอัก ผมยิ้มกว้างกว่าเดิมก่อนจะแสดงน้ำใจด้วยการตบบ่าหนาเบาๆ

“เข้าใจๆ มีลูกค้าดีๆ ก็รักษาไว้นะ... กิจการที่พ่ออุตส่าห์สร้างไว้ ถ้ามาเจ๊งรุ่นเราก็คงน่าเสียดาย... เนอะ”

“...”

“เอาขนมวางไว้ก็ได้ เดี๋ยวพี่ยกเข้าไปให้เอง” สาบานว่าผมได้ยินเสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ขณะที่มองหน้าผมหวาดๆ เหมือนไม่แน่ใจว่าต้องการอะไร แต่อีกไม่นานก็คงเข้าใจเมื่อผมควักกระเป๋าสตางค์ออกมายื่นนามบัตรให้แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ

“มีอะไรก็ติดต่อพี่ได้นะ โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่เรื่องงาน... แชทผ่านไลน์ร้านมันคงไม่ดี”

“...” ดูจากสีหน้าตกใจ ก็คงเดาออกว่าผมรู้แล้วว่ามันทำอะไร

“แล้วก็อย่าทักมาดึกมากล่ะ... มันรบกวนเวลาส่วนตัว”

ไม่ได้ตั้งใจจะขู่ บอกแล้วว่าแค่อยากให้รู้ว่าระแคะระคาย... แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ไอ้ลูกหมาตัวโตยกมือไหว้ผมปลกๆ ก่อนจะเดินตัวปลิวกลับรถส่งขนมไป ผมยิ้มอย่างพอใจกับตัวเอง ก่อนจะยกกล่องขนมเข้าไปในร้าน พลางยิ้มประจบให้อีกคนที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ มองมาอย่างคลางแคลงใจ

“ทำอะไรครับ” ถามขึ้นมาทันทีที่ผมวางกล่องขนมไว้ที่เคาน์เตอร์ แถมเอาใจด้วยการแกะออกมาจัดเรียงในตู้ให้ระหว่างรอกาแฟ

“จัดขนมไง” ผมตอบหน้าตาย ได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ดังขึ้นมาก่อนจะถามใหม่

“ไปขู่อะไรน้องเขา” คราวนี้ผมหลุดหัวเราะ รู้ว่าปกปิดไม่ได้ก็ลุกขึ้นไปยืนซ้อนหลังแล้วกอดเอวบางไว้

“ไม่ได้ขู่” ทำน้ำเสียงออดอ้อนพลางเกยคางไว้บนไหล่ มองเจ้าของดวงตาเรียวที่มองกลับมาอย่างไม่เชื่อแล้วหลุดยิ้มอีกครั้ง “แค่อยากให้รู้ว่าไม่ชอบให้แชทมา”
   
“...”
   
“ก็คนมันหวง” พอเห็นสายตาดุๆ ผมเลยยิ่งอ้อน จนคนในอ้อมกอดส่ายหน้าเอือมๆ ก่อนจะย้ำความบริสุทธิ์ใจ
   
“มันไม่มีอะไรหรอกครับ ผมบอกไปตั้งแต่แรกว่าแต่งงานแล้ว ถึงเขามายุ่มย่ามผมก็ไม่คิดสนใจ” หมุนตัวกลับมาสบตาผมด้วยสายตาจริงจัง

"ก็บางคนมันหน้าด้านไง" ผมเถียง ทำน้ำเสียงน้อยใจ ต่อให้ไว้ใจคนของตัวเองแค่ไหน แต่ไอ้พวกแมวขโมยเดี๋ยวนี้มันน่ากลัวจะตาย ใครจะไปกล้าทั้งปลาย่างไว้เฉยๆ กัน

"ผมดูแลตัวเองได้" คนดื้อยังคงทำน้ำเสียงไม่พอใจ ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ ออกมา "แล้วอีกอย่าง..."

ว่าพลางยกมือขึ้นมาดึงคอเสื้อของตัวเองลง เผยรอยสีกุหลาบอีกสองสามรอยที่ผมแอบทำไว้เมื่อเช้าแล้วมองอย่างคาดโทษกัน

“ทิ้งรอยไว้ทุกวันขนาดนี้... ใครๆ ก็รู้แหละครับ ว่าหวงมาก”

คราวนี้ผมหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง มองใบหน้าใสที่ขึ้นสีระเรื่อแล้วอดไม่ได้ที่จะงับแก้มใสเบาๆ กดจูบบนริมฝีปากบางพลางเอ่ยขำๆ

“คิดว่าเนียนแล้วเชียว”

เพราะไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนเคย เลยหาวิธีแสดงความเป็นเจ้าของไว้อย่างแยบยล ใครจะไปรู้ว่าคุณเขาจะรู้ทันมาตั้งนาน แถมยังอนุญาตให้ทำสัญลักษณ์ไว้เงียบๆ ทุกวัน... โคตรน่ารักเลย





การไม่ได้เห็นหน้าเกือบทั้งวัน เล่นเอาผมแทบจะเฉาตาย ยังดีที่ออฟฟิศอยู่ห่างจากร้านไม่ไกล ช่วงกลางวันผมถึงแวะมาหาได้ ได้กินข้าวด้วยกัน ได้กินลาเต้รสชาติเดิมก่อนกลับไปทำงานใหม่ ถือว่าได้เติมกำลังใจระหว่างวัน เพราะยังถือเป็นช่วงเรียนรู้งาน หน้าที่ผมเลยไม่มีอะไรมาก นอกจากติดตามช่วยเหลือนายช่าง... ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร พี่รหัสสุดหล่อของผมนั่นเอง คนทั้งออฟฟิศเข้าใจว่าผมใช้เส้นสาย แต่เพราะเคยพิสูจน์ตัวเองไว้ตั้งแต่ตอนฝึกงาน ผ่านจุดที่ถูกเหม็นขี้หน้าไปแล้ว เลยไม่ค่อยกังวล

เอาเข้าจริงที่ถูกเข้าใจแบบนั้นก็ไม่ผิดอะไร เพราะพนักงานใหม่อย่างผมได้รับงานจากวิศวกรที่เป็นอนาคตผู้บริหารบริษัทโดยตรงนี่ก็คงจะไม่ใช่โอกาสที่คนปกติเขาได้กัน แต่เพราะมันเป็นอย่างนั้นผมยิ่งต้องขยัน เรียนรู้งานให้เร็ว ให้สมกับที่พี่เชนไว้ใจ ตักตวงทุกอย่างที่พี่เขาโยนให้เพื่อพัฒนาตัวเอง แล้วลบคำสบประมาททั้งหลายทั้งมวลด้วยผลงาน
ซึ่งไอ้ที่ยากน่ะ ไม่ใช่ตรงนั้นเลย แต่เป็นอีกงานที่ต้องรับมือต่างหาก

[ เดี๋ยวพรุ่งนี้คงมีคนเอาเอกสารไปให้เซ็น แกเช็กให้ดีแล้วกัน อย่าให้พลาดเหมือนคราวที่แล้ว ] น้ำเสียงจริงจังที่ส่งผ่านปลายสายมาเล่นเอาผมที่เหนื่อยมาทั้งวันถึงกับกุมขมับ อยากจะงอแงกลับไปแต่รู้ว่าถ้าพี่ชายเข้าโหมดนี้เมื่อไหร่มีแต่ต้องตั้งใจฟัง

[ แล้วช่วงไฮซีซั่นฉันอยากให้แกเข้าไปเช็กความเรียบร้อยบ้าง เข้าใจใช่ไหม ]

“ครับ” ได้แต่ตอบรับด้วยคำเดิมๆ อย่างไม่อาจโต้แย้งอะไร ทั้งที่ในใจนี่อยากจะร้องไห้เต็มทน ปลายสายคงจับอารมณ์ผมได้ถึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

[ เหนื่อยหน่อยนะ แต่ฉันต้องให้แกช่วยจริงๆ ] ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบกลับไป

“ผมเข้าใจ” ภาระหน้าที่ที่พี่ซีแบกรับไว้มันหนักหนากว่าผมหลายเท่า รับมาแค่นี้ก็ถือว่าเอาแต่ใจมากแล้ว

[ ขอบใจมาก ] พี่ซีเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยถามเหมือนนึกขึ้นได้ [ อ้อ แล้วเจ้าภูฝากบอกว่าเมื่อไหร่แกกับโชกุนจะกลับมาเยี่ยมบ้าน รบเร้าอยู่ทุกวันว่าอยากเจอ ]

“อยากเจอผมเหรอ” ผมถามกลั้วหัวเราะซึ่งก็โดนตอกหน้ากลับมาทันควัน

[ อยากเจอโชกุน ]

“โห่” แกล้งโอดครวญ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าคำตอบจะออกมาอีหร็อบนี้ ตั้งแต่มีคนโปรดคนใหม่ หลานก็ลืมหน้าผมไปแล้ว

“ยังมีอะไรต้องคิดถึงอีกครับ เล่นคอลมาแทบทุกวัน” ว่าแล้วก็หันกลับไปมองคนที่กำลังเฟซไทม์อยู่กับหลานอย่างสบายใจอยู่บนโซฟา มองใบหน้ายิ้มแย้มแล้วนึกอิจฉาขึ้นมาที่ถูกแย่งเวลาไปชั่วโมงกว่าเข้าให้แล้ว

[ แกก็กลับมาหาหลานบ้างแล้วกัน ได้เจอสักครั้งคงเลิกงอแงให้คอลหาบ้าง ] พี่ซีพูดขำๆ แต่จะเชื่อได้เหรอ ผมว่ามีหวังได้ติดยิ่งกว่าเดิม เกิดคอลมาทุกวันผมก็กลายเป็นหมาหัวเน่ากันพอดี

[ แค่นี้ก่อนแล้วกัน ฝากทางนั้นด้วย ]

“ครับ” ผมรับคำก่อนที่พี่ซีจะตัดสายไป ผมถอนหายใจหนักๆ ออกมา สูดอากาศบริสุทธิ์นอกระเบียงอีกรอบ ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไปหากำลังใจที่ยังติดพันอยู่กับเจ้าตัวเล็กที่คุยจ้อไม่หยุดเรื่องที่โรงเรียน

เมื่อก่อนเวลาติดต่อกลับไปที่บ้านผมก็จะได้เฟซไทม์คุยกับหลานอยู่บ้าง แต่อยู่ๆ เมื่ออาทิตย์ก่อนตอนที่ผมโทรไปคุยเรื่องงานกับพี่ชาย เจ้าตัวเล็กก็โผล่มางอแงเรื่องที่พี่ซีไม่ยอมซื้อเกมใหม่ให้เพราะเพิ่งซื้อไป พอเห็นว่าผมยุ่งอยู่ก็หันไปเรียกร้องความสนใจจากอีกคน จนคุณเขายอมคอลไปหา แล้วไม่รู้ว่าคุยกันอีท่าไหนหลานถึงยอมฟัง แถมหลังจากนั้นยังหาเรื่องคอลมาแทบทุกวัน คุยหงุงหงิงกันอย่างกับแฟนอีกคนจนผมชักจะหึงแล้ว

“ดึกแล้ว ไปนอนได้แล้วครับ”

[ ครับ ]

ว่าง่ายขนาดไหนก็ดูเอาแล้วกัน

“ฝันดีครับ”

[ อาโช~ ] ทำน้ำเสียงออดอ้อนยื่นหน้าเข้ามาใกล้จอ ทำปากจู๋เรียกร้องให้คนทางนี้ขยับหน้าเข้าไปเหมือนกัน

แต่จูบผ่านจอมันจะไปฟินอะไร ผมเลยหวังดีทำแทนให้ด้วยการโน้มตัวข้ามโซฟาไปฝังจูบลงบนแก้มใสฟอดใหญ่จนเจ้าตัวสะดุ้งโหยงหันกลับมามอง

[ อาซัน! ] แต่คนโวยวายกลับเป็นอีกคนที่คงเห็นช็อตเด็ดเข้าจังๆ เลยทำสีหน้ากระเง้ากระงอดน้อยใจที่ตัวเองอยู่ไกลจนอดฟัดแก้มนุ่มจริงๆ

ผมแกล้งหัวเราะสะใจ ก่อนจะกระโดดข้ามพนักโซฟาไปนั่งซ้อนหลัง กอดคนตัวเล็กไว้ พลางยื่นหน้าข้ามไหล่ไปหาคนที่ตีหน้ามุ่ยอยู่ในจอแล้วเอ่ยอย่างคนชนะ

“นอนไปเลยเด็กนก” ดูหน้าก็รู้ว่าอยากโวยวาย แต่เพราะรับปากไว้ว่าจะนอนเลยทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็บอกฝันดีอีกครั้งแล้วจบการสนทนาไป

ผมหัวเราะเบาๆ พลางเอื้อมมือไปปิดหน้าจอ ขณะที่คนในอ้อมกอดเอียงหน้ากลับมาหรี่ตามองเอือมๆ “แกล้งเด็กสนุกไหมครับ”

“ก็นิดนึง” ผมตอบขำๆ พลางกดจูบลงไปบนขมับ ไล่ริมฝีปากลงมาจนถึงซอกคอขาว ซุกไซ้ซึมซับกลิ่นสบู่จางๆ ที่ทิ้งไว้บนร่างกายอบอุ่นที่ทำให้ผมหายเหนื่อยทุกๆ วัน แค่ได้โอบกอดกัน

“เหนื่อยไหมครับ” ยิ่งได้ยินคำถามด้วยความเป็นห่วงก็ยิ่งเหมือนยาชูกำลัง ต่อให้เหนื่อยจนร่างพังแค่ไหนก็บรรเทาได้ในทันที

“เมื่อกี้เหนื่อย แต่ตอนนี้หายแล้ว” ผมว่าพลางเอนตัวลงนอนเหยียดยาวบนโซฟาตัวใหญ่ รั้งร่างของอีกคนมานอนก่ายไว้ แนบร่างกายทุกส่วนเข้าด้วยกันอย่างต้องการไออุ่น ซึ่งคุณเขาก็ไม่ได้คัดคาดอะไร ขยับท่านอนจนสบายพลางโอบผมกลับอย่างเอาใจ

เราปล่อยให้เวลาผ่านไปพักใหญ่โดยไม่มีใครเอ่ยอะไร แค่ซึมซับไออุ่นของกันและกันไว้ราวกับกำลังชาร์ตพลังงาน ผมซุกจมูกสูดผมหอมพลางไล้นิ้วไปตามแผ่นหลังบาง มืออีกข้างแทรกอยู่ในเส้นผมหนาลูบไปมาเพลินๆ

“ซัน” เนิ่นนานกว่ามีคนเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา คนตัวเล็กเอื้อมมือมาจับมือข้างที่เล่นหัวตัวเองอยู่ออกไป สอดนิ้วของตัวเองเข้ามากระชับมือผมไว้แล้วถามเสียงเบา “ซันอยากมีลูกไหมครับ”

เป็นคำถามที่ทำเอาผมเลิกคิ้ว เพราะไม่เคยคิดถามตัวเองมาก่อน และไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ ถึงถาม แต่ก็ตอบออกไปทันควัน

“ไม่อยาก” พอได้ยินคำตอบคนในอ้อมกอดก็เงยหน้าขึ้นมาหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อกัน

“ไม่ต้องมาตอบเอาใจเลย”

ผมหลุดหัวเราะ กดจูบลงไปที่หน้าผากอีกครั้งอย่างมันเขี้ยวก่อนจะยืนยัน “ไม่อยากจริงๆ”

รู้ดีว่ามันไม่ใช่คำตอบเอาใจ ไม่ใช่เพราะเราเป็นผู้ชายทั้งคู่ถึงได้พูดออกไป แต่เป็นเพราะพอพิจารณาดีๆ แล้วผมรู้สึกว่าการมีลูกมันยุ่งยากเกินไป แค่ที่ผ่านมาได้ช่วยเลี้ยงเจ้าสองแสบเป็นครั้งคราวก็เล่นเอาผมปวดหัวแทบตาย

แล้วอีกอย่าง...

“อยากอยู่สองคนแบบนี้ไปเรื่อยๆ มากกว่า” เอ่ยด้วยสายตาจริงจังพร้อมกับยิ้มกว้าง เรียกให้อีกคนยิ้มตามก่อนจะเบือนหน้าหนีแนบแก้มลงกับอกผมอีกครั้ง

“แต่ผมอยากมีนะ”

“หืม?” ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะรั้งร่างบอบบางขึ้นมาจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกันแล้วแกล้งขมวดคิ้วถาม “จะนอกใจผมไปหาผู้หญิงที่ไหนครับ”

พอได้ยินแบบนั้นเจ้าตัวก็หลุดหัวเราะ ส่ายหน้าเอือมๆ เหมือนผมกำลังพูดเรื่องไร้สาระ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นจ้องหน้าผมนิ่งนาน

“ผมอยากให้มีซันอีกคน...” ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเกลี่ยแก้มกันเบาๆ พลางสบตาผมด้วยแววตาที่ทำให้หัวใจที่เคยสงบเต้นรัวขึ้นมา

“คนที่ใจดี แล้วก็น่ารัก... เหมือนซันของผม” ยิ่งเห็นรอยยิ้มบางๆ ประดับมุมปาก ผมก็ยิ่งยิ้มกว้างกว่า ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปประทับริมฝีปากอย่างอดใจไม่ไหว พลิกตัวกลับมาเป็นฝ่ายคร่อมคนตัวเล็กไว้ ช่วงชิงลมหายใจอยู่นานกว่าจะผละออกมาอย่างอ้อยอิ่งพลางกระซิบชิดริมฝีปากบาง

“น่ารักไปป่ะครับคุณน่ะ”

อดตัดพ้อในใจไม่ได้ ว่าทำไมคนคนเดิมถึงทำให้ผมตกหลุมรักใหม่อยู่ได้ทุกวัน








---------------------------------------------------------------
เจ้าซันแอบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น (มั้ยนะ?) แต่ก็ยังหลงตี๋หัวปักหัวปำเหมือนเดิม อาจจะหลงมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ  :hao7:
เราไม่อยากเขียนลงลึกเรื่องชีวิตการงานมากนัก เพราะอยากคงธีมคนหลงเมียติดห้องไว้ 5555
อาจจะเล่าผ่านๆ นิดนึง ถ้าไม่สมจริงหรือผิดพลาดยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ

ฝาก #ซันโช ด้วยน้า ^^
ขอบคุณมากค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-08-2017 01:46:02 โดย makok_num »

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เหม็นความรักที่สุดดดดดด  :hao7:

ออฟไลน์ makok_num

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
จะมี E-book ไหมคะ

อยากได้.....

 :mew3:

ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะว่าจะมีไหม ต้องขึ้นอยู่กับทางสนพ.น่ะค่ะ ;^;

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด