Chapter 26:[Then] ส้ม
“ฝ่ายศิลป์อย่าเพิ่งกลับนะ มาคุยกันตรงนี้ก่อน”
ขณะนี้มหาวิทยาลัยกำลังเข้าสู่ช่วงเปิดรั้วมหาวิทยาลัย เป็นงานที่เปิดโอกาสให้แต่ละคณะได้งัดเอาของดีมาแสดงให้เหล่าเด็กน้อยวัยมัธยมได้รู้ว่าคณะของตัวเองมีอะไรน่าสนใจ ซึ่งแม่งานของแต่ละคณะก็คงจะหนีไม่พ้นเหล่านักศึกษาปีสองที่คุ้นเคยกับคณะมากพอที่จะวางแผนงานแต่ไม่ได้มีงานท่วมหัวเหมือนปีสามและปีสี่
มธุวันที่ลงชื่ออยู่ฝ่ายศิลป์เพราะถูกญาวิกาบังคับให้มาช่วยเก็บข้าวของลุกตามเพื่อนตัวเล็กไปหาหัวหน้าฝ่ายที่ยืนรออยู่หน้าห้องเรียน
“ปีนี้เราจะมีซุ้มถ่ายรูปตั้งอยู่หน้าคณะนะ คืออยากให้มีพร็อพประกอบฉาก....”
ร่างโปร่งหยิบสมุดและปากกาออกมาจดรายละเอียดอย่างคล่องแคล่ว ญาวิกามักจะแซวเขาบ่อยๆว่ามธุวันน่าจะไปได้รุ่งในสายงานอย่างเลขานุการมากกว่างานบัญชี อันที่จริงในตอนนี้มธุวันก็ดำรงตำแหน่งเลขานุการของประธานชั้นปีของคณะ ซึ่งถึงแม้เขาจะไม่ได้คิดว่านี่เป็นสายอาชีพที่เขาต้องการจะไปต่อ แต่เด็กหนุ่มก็ต้องยอมรับว่าเขาค่อนข้างชอบตำแหน่งของตัวเองพอสมควร
“งั้นเราจะขอคนรับผิดชอบซุ้มกับพร็อพถ่ายรูปซักเจ็ดคนนะ”
“จ้า”
มธุวันสะดุ้งอย่างไม่ทันตั้งตัวเมื่อญาวิกาจับมือเขายกขึ้นสูง ถึงแม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่ายังไงตัวเองก็ต้องโดนเพื่อนสาวลากไปทำงานด้วยทุกหนทุกแห่งก็ตาม
แค่นึกว่าปีหน้าญาวิกาที่เรียนโปรแกรมอินเตอร์จะต้องไปเรียนที่ต่างประเทศจนจบ มธุวันก็อดรู้สึกเหงาขึ้นมาไม่ได้
“โอเค หนึ่ง..สอง...ครบเจ็ดคนแล้ว งั้นแบ่งงานกันเอาเองเลยนะ ที่เหลือมาช่วยกันทำส่วนนิทรรศการในคณะ...”
ญาวิกากวักมือให้เพื่อนๆทั้งหกคนมารวมกลุ่มกันอีกทางเพื่อแจกแจงงาน มธุวันเพิ่งสังเกตเห็นว่าหนึ่งในนั้นมีเด็กสาวสวมแว่นที่ชื่อส้ม ซึ่งเป็นอดีตเพื่อนของญาวิกาอยู่ด้วย ดูจากสีหน้าของญาวิกาตอนที่มองเด็กสาวผมเปียที่ยืนก้มหน้ามองพื้น เพื่อนของเขาดูจะไม่พอใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับสาวแว่นผมเปียที่ดูไม่มีพิษมีภัยคนนี้
“เขาบอกงานต้องเสร็จวันจันทร์ นี่ก็พฤหัสแล้ว ตอนนี้ร้านเครื่องเขียนหน้ามอยังไม่ปิด เดี๋ยวฉันกับหมอกจะออกไปซื้อของ พวกแกจะมาทำพรุ่งนี้หรือจะนัดกันเสาร์อาทิตย์”
เสียงส่วนใหญ่ขอมาทำวันศุกร์ ซึ่งมธุวันไม่มีปัญหาอะไร ดีเสียอีกวันเสาร์อาทิตย์เขาจะได้ใช้เวลาอยู่กับเมฆาอย่างเต็มที่
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเขายังมีไข้และรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่ ถึงแม้เมฆาจะคอยดูแลเขาไม่ห่าง แต่นอกจากการช่วยเช็ดตัวแล้ว ร่างสูงไม่ได้แตะต้องอะไรเขาไปมากกว่านั้น ดูจากใบหน้าคร่ำเคร่งของคนรัก เมฆาคงจะรู้สึกอึดอัดอยู่พอตัว
ซึ่งนั่นทำให้มธุวันเชื่อว่าสุดสัปดาห์นี้จะเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่พวกเขาจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต
“ว่าแต่เราจะขนของกลับมาจากร้านยังไงเหรอ?”
ร่างโปร่งหันไปถามเพื่อนอย่างนึกขึ้นได้หลังจากที่เดินออกมาจากคณะ ญาวิกาฉีกยิ้ม ยกโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมา
“จะมีเพื่อนไว้ทำไมถ้าไม่จิกหัวใช้มัน”
“นี่งานคณะมึงกูยังต้องมาช่วยอีกเหรอ?”
ณัฐภาสบ่นอุบ แต่ยังคงรับข้าวของที่ญาวิกาโยนให้มาถือไว้ ข้างกายมีเชฟโตมร คนรักที่เป็นเจ้าของรถกระบะที่ใช้ขนของกลับเข้ามหาวิทยาลัยในวันนี้ช่วยหอบโฟมหนาขนาดใหญ่หลายแผ่นเต็มสองแขน แต่ไม่บ่นอะไรสักคำ มิหนำซ้ำยังอาสาจะช่วยแบ่งของจากมธุวันเมื่อณัฐภาสปฎิเสธไม่ยอมให้ช่วยอีก
“เออน่า เดี๋ยวฉันกับหมอกเลี้ยงขนมปังสังขยา”
ญาวิกาเอ่ยอย่างขอไปที ณัฐภาสกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ก็ยังคงช่วยคนตัวเล็กหยิบจับข้าวของที่อยู่สูงเกินเอื้อมให้
“เออ ณัฐข้างๆคอนโดมีร้านอาหารมาเปิดใหม่ วันนี้เราไปลองกันมั้ย?”
เชฟโตมรหันมาถามคนรักอย่างนึกขึ้นได้ ณัฐภาสส่ายหน้า
“ไว้พรุ่งนี้ดีกว่าครับ แกงกะหรี่ที่พี่ใหญ่ทำไว้เมื่อวานยังไม่หมดเลย เสียดาย ทิ้งไว้นานกว่านี้เดี๋ยวกินไม่ได้เอา”
“โอ๊ย อิจฉาคนมีสามีทำกับข้าวกับปลาให้ ทำไมถึงมีแต่คนขายออกก่อนฉันหมดเลยเนี่ย”
ญาวิกาบ่นเสียงแหลม เบ้ปากอย่างหมั่นไส้ณัฐภาสที่บังอาจลงหลักปักฐานหอบข้าวหอบของไปอยู่กับผู้ชายก่อนหน้าเธอ แต่คนกินปูนร้อนท้องอย่างมธุวันกับแก้ตัวขึ้นมาอย่างร้อนรน
“อะ…อะไรยาหยี เรายังไม่มีแฟนซักหน่อย”
ญาวิกากับณัฐภาสลอบมองหน้ากันกับคำแก้ตัวของเพื่อน ก่อนที่เด็กสาวจะเป็นฝ่ายเอ่ยเสียงหยอกล้อ
“ร้อนตัวนะแก แหมๆ มีใครซุกไว้ไม่บอกเพื่อนฝูงป่ะเนี่ย?”
“ปะ...เปล่าซะหน่อย” คนโดนแกล้งส่ายหน้าพรืด ญาวิกาหัวเราะอย่างขบขันที่สามารถแหย่คนมีชะนักติดหลังได้ มีพิรุธขนาดนี้ยังคิดว่าจะพ้นหูพ้นตาพวกเธอไปได้อีกเหรอ
แต่ก็นะ ถ้ามธุวันไม่อยากให้พวกเธอรู้...พวกเธอก็จะไม่รู้
“เออๆ ไม่มีก็ไม่มี” เด็กสาวตบไหล่เพื่อนสนิท “แต่เอาจริงๆนะ แกไม่มีก็เหมือนมีนั่นแหละ”
“เอ๊ะ? ไหงงั้นล่ะ?” มธุวันถามอย่างไม่เข้าใจ
“ก็แหม คุณชายเมฆาเล่นส่งกระแสจิตไล่ทุกคนในรัศมีร้อยเมตรจากแกจนกระเจิงไปคนละทางทุกครั้งที่เจอขนาดนี้ จะไม่ให้พวกฉันคิดได้ไงล่ะ” ญาวิกาเอ่ยทีเล่นทีจริง ก้มหากระดาษสีตามชั้นวางจึงไม่เห็นใบหน้าที่ซีดเผือดลงอย่างรวดเร็วของคนถูกแกล้ง
“เราไม่ได้เจอเมฆบ่อยขนาดนั้นซะหน่อย”
“ไอ้บ่อยน่ะไม่บ่อย แต่เวลาเจอกันทีไร สายตาเงี้ยแทบจะเขมือบแกเข้าไปทั้งตัวอยู่แล้ว”ญาวิกายังคงเย้าให้เพื่อนลนลานเล่นๆ แต่เมื่อหันกลับมาเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเพื่อนจึงตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เฮ้อ คิดแล้วก็อยากมีแฟน ทำไมผู้ชายดีๆถึงได้หายากหาเย็นแบบนี้”
“ผู้ชายดีๆน่ะมี เขาแค่ไม่เอามึง”
ณัฐภาสเอ่ยหน้าตาย ได้รับรางวัลเป็นฝ่ามืออรหันต์ดังป้าบเข้าที่กลางหลัง มธุวันยิ้มกับการหยอกกันของเพื่อนทั้งสอง อดโล่งใจลึกๆไม่ได้ที่หัวข้อสนทนาถูกเบี่ยงไปจากตัวเองเสียที
“หมอกเดี๋ยวแกทาสีโฟมอันนี้นะ เอาตามแบบที่ปริ๊นมาอ่ะ เดี๋ยวฉันทาอันนี้ จะได้เสร็จเร็วๆ”
ยาหยีจัดแจงแบ่งงานมอบหมายหน้าที่ให้มธุวันเสร็จสรรพ เด็กสาวใช้แปรงขนาดใหญ่ทาสีโฟมแผ่นหนาที่ซื้อมาจากร้านขายเครื่องเขียน มธุวันก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งของเพื่อน นึกอยากให้งานเสร็จเร็วๆจะได้กลับไปหาเมฆาเสียที แค่เมื่อวานที่เขาไปซื้อของแล้วกลับค่ำ เขาก็ถูกงอนจนต้องตามง้ออยู่หลายยก
เอ...มาคิดๆดูแล้วปล่อยให้งอนต่อไปก็ไม่ใช่ความคิดที่เลวร้ายเท่าไหร่แฮะ
“อย่าเหม่อดิ๊ สีจะออกนอกกรอบแล้ว”
เสียงแหวของญาวิกาดึงสติของมธุวันให้กลับมาอยู่กับงานตรงหน้า ร่างโปร่งจุ่มสีมาปาดลงบนแผ่นโฟมขนาดใหญ่อย่างประณีตที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้พวกเขาทั้งเจ็ดกระจายตัวจับจองพื้นที่ทั่วโถงอาคารเพื่อเตรียมงาน แต่เด็กหนุ่มสังเกตว่าเด็กสาาวที่ญาวิกาไม่ชอบหน้านั้นนั่งทำงานหลบอยู่ในซอกหลืบมืดเพียงลำพัง ถึงแม้จะรู้ว่าญาวิกาจะต้องไม่พอใจกับการตัดสินใจของเขา แต่สุดท้ายมธุวันก็เลือกที่จะลุกไปหาเด็กสาวซึ่งไม่มีเพื่อนคนอื่นคิดจะนั่งใกล้
“เอ่อ...ส้ม...”
เจ้าของชื่อสะดุ้ง เงยหน้าขึ้นมองเขาสั่นๆ ราวกับลูกนกตาโตที่กำลังตื่นตกใจ มธุวันหน้าเสีย รู้สึกผิดที่ทำให้คนตรงหน้าตกใจ
“คือ…ไปนั่งทำงานกับเรามั้ย ตรงนี้มันมืด”
“อะ…อือ…”
เด็กสาวตะกุกตะกัก ลนลานเก็บของจนมธุวันต้องรีบก้มลงมาช่วยด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำกระป๋องสีหกเลอะเทอะ ร่างเล็กหอบข้าวของเต็มอ้อมแขน ก้มหน้าก้มตาเดินตามมธุวันไปยังจุดที่ญาวิกายังคงจดจ่ออยู่กับงานของตัวเอง เพื่อนสนิทของมธุ
วันขมวดคิ้วเมื่อรูสึกถึงเราร่างของใครบางคนที่นั่งลงบนพื้นไม่ใกล้ไม่ใกล้จากหางตา ญาวิกาเงยหน้าขึ้น คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อเห็นว่าคนที่เธอไม่ชอบหน้าย้ายมานั่งทำงานเงียบๆอยู่ข้างมธุวัน
“ที่มีตั้งเยอะ จะมานั่งตรงนี้ทำไม”
ญาวิกาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดอย่างไม่ปิดบัง ส้มสะดุ้ง ก้มหน้าก้มตาระบายสีด้วยมือที่สั่นเทา ไม่ยอมพูดอะไรกับคนถาม มธุวันขมวดคิ้ว
“ไม่เห็นเป็นไรเลยยาหยี ส้มเขานั่งอยู่ตรงนั้นมืดๆเดี๋ยวจะปวดหัวเอา”
“หมอกเอ๊ย...แกนี่นะ” ญาวิกาส่ายหน้า “งั้นแกมานั่งตรงนี้นี่”
เด็กสาวตบมือปุลงบนพื้นให้เขานั่งลงตรงกลางระหว่างตนกับผู้มาใหม่ มธุวันถอนหายใจ ก่อนจะนั่งลงตามคำสั่งของเพื่อน เขารู้สึกว่าร่างของส้มที่นั่งอยู่ข้างเขาสั่นมากขึ้นกว่าเดิม
“ส้ม เป็นอะไรรึเปล่า”
“…”
เด็กสาวส่ายหน้า ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเงียบเชียบ มธุวันจึงตัดสินใจก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป แต่ความเงียบที่ปกคลุมบรรยากาศรอบตัวทำให้เขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก เขาไม่ใช่คนพูดเก่งแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาชอบให้รอบตัวของเขาเป็นป่าช้าแบบนี้ ปกติแล้วอย่างน้อยญาวิกาก็มักจะเป็นคนเม้าท์มอยตามประสาสาวช่างพูดให้เขาฟังเพลินๆไป แต่นอกจากร่างเล็กจะไม่พูดแล้ว สายตาของเพื่อนสนิทที่มองผ่านเขาไปยังเด็กสาวที่นั่งอยู่อีกข้างทำให้มธุวันรู้สึกสงสารเด็กสาวที่ชื่อส้มคนนี้ขึ้นมา
“เอ่อ...ส้มอยู่หอไหนเหรอ? นี่ก็เริ่มมืดแล้ว มีรถกลับมั้ย?”
หลังจากทนกับบรรยากาศอึมครึมนี้อยู่นาน มธุวันก็ถามขึ้นในที่สุด คนถูกถามที่ยังคงตัวสั่นเล็กน้อยจนเขาอดคิดไม่ได้ว่านั่นเป็นบุคคลิกของเจ้าตัวพึมพำอะไรฟังไม่ได้ศัพท์อยู่นาน ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“เรา..อยู่บ้าน...”
“อ้าวเหรอ? แล้วแบบนี้กลับยังไงล่ะ?”
มธุวันขมวดคิ้ว ความทรงจำที่เห็นเด็กสาวเดินไปทางหอพักหญิงกลับเข้ามาในหัว แต่ร่างโปร่งไม่คิดจะถามด้วยเกรงว่าจะเป็นการละลาบละล้วง
อาจจะไปหาเพื่อนมั้ง?
“คนขับ...”
นิ้วที่สั่นเทาชี้ไปยังรถคันหนึ่งที่มธุวันเห็นจอดอยู่หน้าคณะมาสักพัก ร่างโปร่งพยักหน้าเข้าใจ กลับไปให้ความสนใจกับงานเมื่อไม่รู้ว่าจะชวนคุยอะไรต่อ
“สะ..เสร็จแล้ว... กลับนะ..”
เด็กสาวผมเปียพึมพำขึ้น หยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองสะพายไหล่แล้วเดิมดุ่มๆไปทางห้องน้ำที่อยู่ห่างออกไปพอสมควร มธุวันเก็บเอาโฟมที่เสร็จแล้วไปวางผึ่งลมใกล้กับของคนอื่นที่ทำเสร็จก่อนหน้านี้ ตอนนี้เหลือเพียงเขากับญาวิกาที่รับอาสาทำงานชิ้นใหญ่สุดที่ยังอยู่ในโถงใต้คณะ
“นี่ ทำไมยาหยีถึงไม่ชอบส้มเหรอ?”
มธุวันถามขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ เขาไม่รู้ว่าคำถามนี้จะไปเหยียบกับระเบิดอะไรให้เพื่อนตัวเล็กที่กระแทกแปรงจุ่มสีครั้งแล้วครั้งเล่ามาระยะหนึ่งเหวี่ยงใส่เขารึเปล่า แต่ญาวิกาเพียงถอนหายใจอย่างเพลียๆเท่านั้น
“ไม่ได้ไม่ชอบ แค่ไม่อยากให้แกเข้าใกล้”
“ทำไมล่ะ?”ร่างโปร่งขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“ก็มันโรคจิตน่ะสิ แกรู้มั้ย หลังจากที่ฉันขอแกนั่งด้วยตอนเปิดเทอมวันแรกแล้วไม่ได้ที่ตรงนั้น ยัยนั่นกรี๊ดใส่หน้าฉันตอนที่ฉันติดรถมันกลับบ้าน แถมยังจะตบฉันจนคนขับรถเข้ามาแยก บรื๋อ” เด็กสาวทำท่าขนลุก “หลังจากนั้นฉันลาขาด ต่อให้แม่มันเป็นเจ้านายแม่ฉันก็เถอะ ฉันยังไม่อยากโดนฆ่าหมกป่าหรอกนะ”
“แล้ว...ทำไมส้มเขาอยากนั่งกับเราล่ะ”มธุวันยังคงสับสน ญาวิกาไหวไหล่ วางแปรงทาสีลงเมื่องานของตัวเองเสร็จสมบูรณ์พร้อมกับมธุวัน
“เห็นกระดานชัดมั้ง ไม่รู้ว่ะ เสร็จละ งั้นเดี๋ยวฉันกลับก่อนนะ เรียกไอ้นัทมารับมันโทรตามจะสิบสายอยู่ละ แล้วแกกลับไง?”
“อ๋อ เราเรียกแท็กซี่มาแล้ว น่าจะใกล้ถึงแล้วล่ะ”
เด็กหนุ่มโกหก พวกเขาช่วยกันทำความสะอาดเก็บกระดาษรองและอุปกรณ์บางส่วนลงถังขยะ ก่อนที่ญาวิกาจะโบกมือลาเมื่อเห็นมอเตอร์ไซค์ของณัฐภาสมาจอดที่หน้าคณะ
มธุวันโบกมือส่งเพื่อนไปจนลับสายตา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคนรักที่มารอเขาตั้งแต่เลิกเรียน
“ฮัลโหล? เมฆอยู่ไหนเหรอ?”
‘ลานจอดคณะหมอก’
“โอเค รออยู่นั่นแหละ”
ร่างโปร่งกดตัดสาย ก่อนจะออกเดินไปทางลานจอดรถของคณะของตัวเองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวอาคารมากนัก การหารถของเมฆานั้นไม่ยากนัก เนื่องจากเป็นเพียงคนเดียวที่จอดสตาร์ทอยู่ในลานจอดที่ว่างเปล่าแถมยังมืดสลัวจากเสาไฟที่มีเพียงไม่กี่ต้น มธุวันเคาะกระจกรถเบาๆ เจ้าของรถกดปลดล็อครถให้เขาพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่นับวันชักจะเป็นส่วนหนึ่งของคนที่ชอบทำหน้านิ่งอยู่ตลอดเวลาไปเสียแล้ว
“หิวมั้ย?” นั่นเป็นคำถามแรกที่ออกจากปากของเมฆา มธุวันพยักหน้า ดึงเข็มขัดนิรภัยมาเตรียมจะคาด
“ก็หิวอยู่นะ เมฆกินข้าวเย็นมา...อื้อ...”
ริมฝีปากนุ่มถูกครอบครองด้วยริมฝีปากของคนที่นั่งรอเขาอยู่หลายชั่วโมงตั้งแต่เลิกเรียน มธุวันหลับตา เผยอริมฝีปากปล่อยให้คนรักตักตวงความหวานจนพอใจ ก่อนจะดันแผงอกแกร่งออกเบาๆ ริมฝีปากเรียวบวมขึ้นเล็กน้อยจากการจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว
“พอก่อนเมฆ...เดี๋ยวคนมาเห็น...”
“ไม่มีใครเห็นหรอก เขากลับกันหมดแล้ว”
เมฆาว่า มธุวันเลิกคิ้ว ก่อนที่รอยยิ้มเจ้าเลห่์จะผุดขึ้นบนริมฝีปากเรียว มือเรียววางลงบนตต้นขาของคนรัก
“งั้น...หมอกทำอะไรกับเมฆก็ได้ใช่มั้ย...”
“หมอก อย่าเล่น...อือ...”
ริมฝีปากของมธุวันบดจูบลงบนลำคอของเมฆา มือซุกซนขยับเคลื่อนจากต้นขาขึ้นมาตามกางเกงนักศึกษาสีดำสนิทช้าๆ ไล้นิ้วเรียววนสะกิดย้ำผ่านจุดที่ทำให้เมฆาเกร็งตัวขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ ร่างสูงจัดการรวบข้อมือของคนช่างยั่วไว้ก่อนสติของตนจะเตลิดไปมากกว่านี้
“กลัวรถเลอะเหรอเมฆ?” มธุวันเอียงคอถามด้วยใบหน้าใสซื่อ
“กลัวคนบางคนจะสลบคาลานจอดรถมากกว่า”
เมฆาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาจากกึ่งกลางของร่างกาย คนฟังหัวเราะออกมาเบาๆ
“บางคนที่ว่านี่เมฆใช่มั้ย?”
“ถึงห้องเดี๋ยวก็รู้ครับที่รัก”
เมฆาเลียริมฝีปาก ดวงตาสีควันบุหรี่โลมเลียเรือนร่างเนียนในชุดนักศึกษด้วยสายตาที่อาจทำให้คนจิตไม่แข็งใจสั่นหวิว แต่มธุวันเพียงแค่หยิบเอาอมยิ้มที่ตนซื้อไว้เติมพลังออกมาแกะเปปลือกออกราวกับไม่เห็นสายตาของคนรัก แล้วส่งเจ้าแท่งอมยิ้มสีแดงสดเข้าปากของตัวเอง เมฆาเห็นการเคลื่อนไหวของลิ้นเรียวที่เขารู้ถึงพิษสงดีกว่าใครดุนดันอมยิ้มเบียดกระพุ้งแก้มของอีกฝ่าย ก่อนจะดึงก้านเอาตัวลูกกวาดสีสดออกมาพร้อมเสียงดัง’ป๊อบ’ ลิ้นเรียวที่ถูกย้อมเป็นสีแดงสดจากสีของอมยิ้มเลียรอบริมฝีปากของตนอย่างเชื่องช้าด้วยท่วงท่าที่ทำเอาเมฆาจิตไม่สงบมากกว่าเดิม
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบออกรถสิครับ ที่รัก”
อา...นี่จะต้องเป็นการขับรถที่ท้าทายที่สุดในชีวิตของเขาแน่
เมฆาสวมวิญญาณสิงห์สนามแข่งรถบึ่งออกจากลานจอดไปอย่างรวดเร็ว ไม่ได้สังเกตถึงเงาร่างเล็กที่แอบดูการกระทำทุกอย่างของพวกเขาอยู่หลังต้นไม้ด้วยใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา
-----------