ลมหายใจแห่งผืนทราย
บทที่ 15
สมเด็จพระราชาธิบดีราชิด ฮัดชดิน บินซาฟาร์ อัลฟาดี ประทับอยู่หลังโต๊ะทรงงาน สายพระเนตรทองมองโทรทัศน์เครื่อง
ใหญ่ด้านหน้าที่กำลังแสดงภาพข่าวการประท้วงของประชาชนที่บานปลายกลายเป็นเหตุจราจลจนทหารต้องใช้แก็สน้ำตาเข้าปราบ
ปราม สีพระพักตร์เคร่งเครียดและโกรธกริ้วด้วยความไม่พอพระทัยในสิ่งที่เกิดขึ้น
เวลาผ่านมาห้าปีแล้วตั้งแต่ทรงชิงพระราชอำนาจมาจากพระเชษฐาต่างพระมารดา ด้วยเหตุผลที่ว่ากษัตริย์พระองค์ก่อนไม่
สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำของประเทศได้ ทั้งที่จริงแล้วก็เป็นที่ทราบดีว่าเป็นเพราะภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกและ
จากปัญหาการสู้รบของประเทศในภูมิภาคเดียวกัน แต่ก็ทรงใช้เหตุนี้รัฐประหารและรวบพระราชอำนาจมาเป็นของพระองค์
ทรงยึดมั่นว่าสิ่งที่พระองค์กระทำลงไปนั้นเป็นที่สิ่งที่ถูกต้องตามธรรมเนียมมาแต่เก่าก่อนด้วยพระองค์เป็นพระราชโอรสของ
พระมารดาอันดำรงตำแหน่งพระราชินี แต่พระเชษฐาที่ได้ครองพระราชบัลลังก์ต่อจากพระบิดานั้นเป็นพระราชโอรสที่มีประสูติกาลจาก
พระชายาในตำแหน่งรองลงมา ทรงน้อยเนื้อต่ำใจมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ที่พระบิดาทรงมองเห็นแต่พระปรีชาสามารถของพระเชษฐา
แต่กับพระองค์นั้นกลับไม่เคยชื่นชมเลยแม้แต่น้อย เจ้าชายราชิดในสมัยก่อนจึงใช้ชีวิตเกษมสำราญอยู่ในต่างประเทศจนกระทั่งพระบิดา
สวรรคต และพระเชษฐากลับได้ขึ้นครองบัลลังก์แทนที่จะเป็นพระองค์
ทรงเก็บความแค้นไว้ในพระอุระและลอบติดต่อกับเหล่าผู้กุมอำนาจในรัฐบาลที่ยังเข้าข้างฝ่ายพระมารดาอยู่พักใหญ่และรอ
จนกระทั่งทุกอย่างเหมาะแก่การลงมือจึงได้เป็นผู้นำกองทัพทหารและรัฐมนตรีที่อยู่ฝั่งพระองค์บุกเข้ายึดพระราชอำนาจ ณ พระราชวัง
อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระราชาธิบดี อาบูโอมาร์ อาซัล ฟาอิด บินซาฟาร์ อัลฟาดี ในกลางดึกของคืนหนึ่ง
มีพระดำรัสให้ตัดรากถอนโคนพระเชษฐาและพระราชโอรสที่ถวายงานใกล้ชิดอยู่กับพระบิดา พระที่นั่งของกษัตริย์อาซัลถูก
เผาวอดและมีผู้พบเห็นพระเชษฐาสวรรคตอยู่ในกองเถ้าถ่าน ส่วนพระภาติยะหรือหลานของพระองค์อันเป็นว่าที่รัชทายาทนั้นถูกพระองค์
สั่งแขวนพระศอในเวลาต่อมา
ทรงขึ้นครองตำแหน่งประมุขของประเทศมาเป็นระยะเวลาถึงห้าปีแต่กลับยังเกิดความไม่สงบอย่างต่อเนื่อง เพราะมีกลุ่มที่ยัง
จงรักภักดีกับกษัตริย์พระองค์เก่าตามรังควานไม่เลิกรา พวกมันเหล่านั้นซ่องสุมกองกำลังซุ่มโจมตีรัฐบาลและมีที่ตั้งอยู่ในทะเลทราย
กว้างใหญ่ซึ่งยากที่จะตามหาที่ตั้งแท้จริง ชื่อผู้นำของพวกมันเหล่านั้นโด่งดังเข้าหูพระกรรณ และทรงสงสัยว่ามันจะเป็นพระราชโอรสอีก
องค์หนึ่งของพระเชษฐา
กษัตริย์ราชิดใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ พระองค์ไม่ได้สนพระทัยเรื่องในราชตระกูลนักจึงไม่ทรงทราบว่า
พระเชษฐามีพระชายากี่องค์และโอรสธิดากี่องค์กันแน่ หากแต่ผู้นำที่ถือข้างพระองค์ได้บอกกล่าวในภายหลัง พระองค์จึงนึกแค้นที่
ปล่อยพระภาติยะพระองค์นี้ไว้เป็นหอกข้างแคร่
ทรงปล่อยข่าวความเลวร้ายของหัวหน้ากองโจรให้ผู้คนหวาดกลัวไปทั่วเพื่อสร้างความชอบธรรมที่จะปราบปรามเสียให้สิ้น
ในนามของรัฐบาล หากแต่ชารุกข์ เซรีมกลับจัดการยากกว่าที่คิด พระองค์กำลังหาทางเจาะเข้าไปให้ถึงตัวของหอกข้างแคร่แสน
อันตรายซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้ากษัตริย์ราชิดเพิ่งจะสั่งโจมตีที่ตั้งลับสำหรับรักษาพยาบาลฝ่ายตรงข้ามเพราะมีข่าวว่าชารุกข์ เซรีมไป
ที่นั่น หากแต่ก็คว้าน้ำเหลวแถมยังเป็นชนวนให้ผู้ฝักใฝ่อำนาจเก่าก่อการประท้วงขั้นรุนแรงและบานปลายกลายเป็นการจลาจลออกข่าว
ไปทั่วโลก พระองค์ตัดสินพระทัยอย่างเด็ดขาดว่าถึงเวลาแล้วที่ทุกอย่างควรจะจบลงเสียที
กษัตริย์ราชิดทรงใช้โทรศัพม์มือถือส่วนพระองค์ติดต่อไปยังบุคคลหนึ่งที่พระองค์ดำริว่าจะเป็นตัวช่วยให้สิ่งที่ต้องการ
สำเร็จในเร็ววัน
“ที่ฉันเคยบอกแกไป แกตัดสินใจได้หรือยัง”
สุรเสียงเหี้ยมเกรียมทำให้อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างหวาดหวั่น กษัตริย์ราชิดตรัสต่ออย่างทรงนึกรำคาญ
“เงินรางวัลที่ฉันจะให้แกนั้น มันไม่มากพอที่จะอ้าปากบอกมาหรือไงว่าไอ้ชารุกข์มันไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ถ้าไม่พอเอาไปอีก
สักเท่าตัวหากว่าจะทำให้แกจะเปลี่ยนใจได้ แต่ถ้าแกยังไม่ยอมบอก แกคงรู้ดีนะว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับแกและครอบครัวของแกบ้าง”
พระโอษฐ์แย้มสรวลพระเนตรโชนแสงเมื่อกษัตริย์ราชิดนิ่งฟังสิ่งที่ปลายทางกำลังตอบกลับมา
วิกเตอร์หงุดหงิดเป็นเสือติดจั่นอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่คล้ายเป็นกรงขังเขาไว้จากอิสรภาพภายนอก อยากจะโทรศัพท์ไป
บอกให้แอนนิสหาทางช่วยเหลือแต่ก็ทำไม่ได้เพราะโทรศัพท์มือถือของเขาถูกคาลีลยึดไปตั้งแต่เมื่อวานที่ถูกพาตัวมาที่บ้านหลังนี้ มอง
เห็นโทรศัพท์บ้านที่ตั้งอยู่ไม่ไกลแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเขาจำเบอร์โทรของใครไม่ได้เลยก็เท่ากับตัวช่วยเป็นศูนย์ การ์ดของคาลีลเฝ้า
อยู่หน้าทางออกทุกทางและมองวิกเตอร์ด้วยสายตาดุดันหากเห็นเขาทำท่าจะเดินออกไปจากตัวบ้าน
“โธ่โว้ย”
ตะโกนระบายความอัดอั้นก่อนจะทิ้งกายนั่งลงบนเก้าอี้หนังเนื้อดีและเปิดโทรทัศน์เผื่อว่าจะช่วยระบายความหงุดหงิด ในที่สุด
คาลีลก็ออกมาจากห้องของเขา วิกเตอร์ปรี่เข้าไปขวางทางเดินจนคาลีลชะงัก สีหน้าของหนุ่มอาหรับดูเครียดขรึมกว่าเคย
“ถอยไปมิสเตอร์คอร์นเนอร์”
“ไม่ถอย” วิกเตอร์ยียวน
“นอกจากคุณจะพาผมออกไปจากที่นี่”
คิ้วของคาลีลขมวดเข้าหากันอย่างไม่ชอบใจนัก
“บ้านของผมไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกสุขสบายกว่าโรงแรมงั้นหรือ”
“ผมไม่ชอบการถูกกักขัง” วิกเตอร์กล่าวจริงจังกว่าเคย
“ถามหน่อยเถอะ คุณกักขังหน่วงเหนี่ยวผมเพื่ออะไร ผมไปทำอะไรให้คุณต้องจับตัวผมไว้เหรอ หรือว่าผมกวนตีนคุณ ถ้า
อย่างนั้นผมขอโทษก็ได้ แล้วคุณช่วยปล่อยผมไปได้แล้ว ผมไม่ได้มีเวลาว่างพอที่จะมานั่งหายใจทิ้งในบ้านหรูของคุณ”
คาลีลสบสายตาคู่นั้น ดวงตาสีฟ้าจัดของวิกเตอร์เข้ากับผมสีบรอนด์ของเขาได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มตรงหน้าเป็นชาวยุโรป
ร่างสูงและมีความเป็นชาวตะวันตกเต็มตัว คาลีลดูออกว่าวิกเตอร์เป็นพวกรักอิสระ การที่คาลีลนำตัวเขามาไว้ที่บ้านโดยไม่แจ้งสาเหตุ
คงจะทำให้วิกเตอร์ขุ่นเคืองไม่น้อย แต่คาลีลก็บอกเหตุผลไม่ได้จริงๆว่าทำไมเขาต้องทำเช่นนี้
“ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบ แต่คุณจำเป็นต้องฝืนใจอยู่บ้านของผมต่อไป”
คาลีลยืนกรานด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อันที่จริงผมไม่ได้อยากจะทำเช่นนี้ แต่เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองนะวิกเตอร์ ช่วยอยู่ที่นี่อย่างสงบสักพักเถอะ เมื่อ
เรื่องทั้งหมดจบลงเมื่อไหร่ผมจะพาคุณออกไปจากบ้านของผมทันที”
วิกเตอร์ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เขาเม้มปากด้วยความขัดใจและกรุ่นอยู่ในอารมณ์จนลืมตัวกระชากคอเสื้อของคาลีล
เข้าหาตัว
“ผมไม่สงบโว้ย ตราบใดที่ผมยังไม่รู้ว่าถูกจับตัวผมไว้ทำไม นี่มันบ้านป่าเมืองเถื่อนรึไงวะ ไอ้กวินท์ถูกโจรจับตัวไป ส่วน
ผมมาถูกไอ้คนพูดจาไม่รู้เรื่องพาตัวมาขังในบ้าน กูอยากจะบ้า”
สบถออกมาอย่างหงุดหงิด คาลีลยืนนิ่งเมื่อเห็นว่าวิกเตอร์กำลังพลุ่งพล่าน
“ปล่อยผมวิกเตอร์”
“ไอ้นี่พูดไม่รู้เรื่อง มึงต่างหากที่ต้องปล่อยกู”
แค่คาลีลยกมือดีดนิ้วครั้งเดียว การ์ดของเขาที่เฝ้าทางเข้าบ้านอยู่ก็ตรงเข้ามากระชากวิกเตอร์ออกจากคาลีลทันที วิกเตอร์
ตะโกนลั่นพลางดิ้นรนแต่แขนทั้งสองข้างก็ถูกการ์ดยึดไว้อย่างเหนียวแน่น วิกเตอร์มองคาลีลอย่างโกรธจัดเมื่อเห็นเขาจัดทรงปกเสื้อให้
คืนสภาพเดิม
“มึง ไอ้เลขากวนตีน”
คิ้วโก่งเข้มสีดำสนิทของคาลีลขมวดมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย เขาส่ายหน้าอย่างระอาพลางสั่งการลูกน้องของเขาเป็นภาษา
อารบิกก่อนจะรีบเดินออกไปด้านนอก วิกเตอร์ดิ้นฮึดฮัดแต่การ์ดของคาลีลก็ไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงรถยนต์ของคาลีล
แล่นออกไปจากบ้าน เขาจึงได้รับอิสรภาพด้วยการถูกเหวี่ยงไปกองอยู่บนพื้น
“แม่งเอ๊ย”
มองแผ่นหลังของการ์ดหน้าดุเดินจากไปอย่างหงุดหงิด วิกเตอร์ลุกจากพื้นไปนั่งสงบสติอารมณ์อยู่บนเก้าอี้โซฟา เขา
ครุ่นคิดถึงเหตุผลที่คาลีลจับเขามากักบริเวณที่บ้านหลังนี้
อะไรคือความปลอดภัยของเขาที่คาลีลต้องบอกเมื่อครู่
หรือเป็นเพราะเขาไปทำอะไรขัดหูขัดตาใครจนทำให้ตัวเองเดือดร้อน วิกเตอร์นึกออกแค่เรื่องเดียวคือเรื่องที่เขาไปเร่งให้
รัฐบาลของฮาลียันตามตัวกวินท์กลับมาโดยเร็วที่สุด หรือว่านั่นเป็นสาเหตุที่จะทำให้เขาได้รับอันตรายอย่างที่คาลีล บอกไว้ แต่ถ้าหาก
เป็นเพราะสาเหตุนี้จริงคาลีลควรจะกำจัดเขาไม่ใช่จับตัวมาแล้วบอกว่าทำเพื่อความปลอดภัยของวิกเตอร์เช่นนี้
วิกเตอร์สงสัยในคาลีลเป็นอย่างมาก เขาเป็นเลขานุการในสมเด็จพระราชาธิบดีของฮาลียัน แต่กลับมีบุคลิกบางอย่างที่
ทำให้เขาสะดุดใจ
บางทีวิกเตอร์อาจจะต้องค้นหาความจริงว่าแท้จริงแล้วคาลีลกำลังทำอะไรกันแน่
มีต่ออีกนิด...