Seventeenth Drop จาณีนเดินออกมาจากประตูทางออกของสนามบิน เขาได้รับโทรศัพท์ก่อนขึ้นเครื่องว่าผู้ว่าจ้างจะส่งคนมารับเขา ตอนนี้เขายืนรอได้สักพักแล้วแต่ยังไร้วี่แววคนมารับ
‘เอายังไงดีล่ะ’ เด็กหนุ่มคิดพลางดูดแก้วโกโก้เย็นในมือที่แวะซื้อก่อนไปด้วย
“คุณจาณีนใช่มั้ยครับ” สำเนียงของคนเหนือเรียกให้จาณีนหันไปตามเสียเรียก
“เอ่อ..ครับ” จาณีนยิ้มให้ผู้ที่เข้ามาทักเป็นมารยาท คนๆ นั้นดูน่าจะมีอายุราวห้าสิบปี เขามีรูปร่างสูงไม่มากนักน่าจะสักหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรได้ ผมมีสีขาวมากกว่าสีดำ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ดูมีมนุษยสัมพันธ์ดี สวมเสื้อซาฟารีสีเทาเข้มกับกางเกงแสล็กสีเดียวกันกับเสื้อ
“ผมชื่อศักดิ์ เป็นคนขับรถที่ไร่ พ่อเลี้ยงฝากขอโทษเพราะติดธุระกับลูกค้าเลยให้ผมมารับคุณไปไร่แทนครับ”
“ครับ พ่อเลี้ยง คุณชลนันท์ ใช่มั้ยครับ”
“ใช่ครับ ใช่”
“ครับ” ทำความเข้าใจกัน จาณีนก็คลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายเต็มที
“เชิญขึ้นรถเลยครับ”
“ขอบคุณครับ”
“ลุงศักดิ์ครับ” หลังจากนั่งรถตู้ออกมาสักระยะ เด็กหนุ่มก็เกิดความสงสัย
“ไร่ที่จะไปชื่ออะไรเหรอครับ แล้วอยู่ไกลมั้ย”
“ชื่อไร่สายชล จากสนามบินไปถึงไร่ก็ราวชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมงครับ”
“ก็ไกลเหมือนกันนะครับ”
“ครับ เนื่องจากไร่เราอยู่บนดอยก็เลยอยู่ไกลหน่อย”
“อากาศก็คงดีมากๆ เลยใช่มั้ยครับลุง”
“ใช่ครับ อากาศดี สดชื่นครับ”
“ช่วงนี้อากาศเป็นไงบ้างครับ” จาณีนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาไม่เคยขึ้นดอยมาก่อนในชีวิต
“เช้าๆ อากาศจะค่อนข้างเย็น กลางวันก็ร้อนล่ะครับคุณ แต่ช่วงนี้ฝนจะตกบ่อยครับ”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
รถตู้ค่อยๆ ไต่ความสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จาณีนคนนอกพื้นที่เริ่มมึนหัวกับเส้นทางอันแสนคดเคี้ยว แต่ลุงศักดิ์ขับด้วยความชำนาญ รู้ว่าช่วงไหนควรขับอย่างไร ถ้าเขาขับเองไม่รู้ว่าจะถึงปลายทางหรือเปล่า จนในที่สุดรถตู้ก็แล่นเข้ามาจอดที่เรือนไม้หลังใหญ่
“ถึงแล้วครับ”
“อ่อครับ ขอบคุณครับลุงศักดิ์”
“ไม่เป็นไรครับ เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว” ลุงศักดิ์ฉีกยิ้มให้เด็กหนุ่ม เมื่อลงจากรถมาได้ จาณีนมองไปรอบๆ ตัวบ้าน บ้านไม้ทรงไทยขนาดใหญ่ มีบันไดเป็นทางขึ้นไปยังบนบ้านสองทาง ซ้ายและขวา ตามแต่สะดวก
“เชิญครับ” ลุงศักดิ์ช่วยถือกระเป๋าให้จาณีนก่อนจะพานำขึ้นไปยังบนบ้าน
ตัวบ้านมีระเบียงรอบๆ ลานที่อยู่ยังด้านหน้า จากจุดนี้สามารถมองเห็นพื้นที่บริเวณรอบๆ เห็นภูเขาสลับสับหว่างเรียงรายกันมาอยู่ไกลๆ จาณีนนั่งรออยู่ที่ระเบียงตามคำบอกของลุงศักดิ์ ก่อนที่ลุงจะหายไปที่ไหนสักแห่ง นั่งอยู่ไม่นาน แค่อึดใจก็มีคนเอาแก้วน้ำมาให้ เด็กหนุ่มบอกขอบคุณตามมารยาทแล้วก็ยกขึ้นดื่มรวดเดียวจบหมดด้วยความกระหาย เพราะตั้งแต่เขาดูดโกโก้เย็นจนหมดแก้วแล้วก็ยังไม่ได้ดื่มอะไรอีกเลย
“สวัสดีครับ คุณจาณีนใช่มั้ยครับ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเดินเข้ามาทักจาณีน
“สวัสดีครับ ผมจาณีนจากเก็นติ้งเฮาส์ คุณชลนันท์ใช่มั้ยครับ” เด็กหนุ่มยกมือไหว้ตอบรับอีกฝ่ายและลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ ชายหนุ่มดูท่าทางจะมีอายุราวสามสิบกลางๆ ใส่เสื้อเชิ้ตลายหมากรุกสีน้ำเงินกับกางเกงยีนส์สีเข้ม เขาประเมินคนตรงหน้าแล้วคิดว่าคนๆ นี้น่าเป็นพ่อเลี้ยงหรือคุณชลนันท์
“ใช่ครับ ผมชลนันท์ ยินดีที่ได้รู้จักและร่วมงานกันนะครับ”
“เช่นกันครับ ขอบคุณที่เลือกบริษัทของเรานะครับ”
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ ขอบคุณพี่ชายผมดีกว่า เพราะเขาเป็นคนเลือกบริษัทของคุณและเลือกคุณเองพี่ชายของผมชื่อชลที คุณเองคงจะรู้จักเขาอยู่แล้ว”
“พี่หมอเหรอครับ” จาณีนแปลกใจกับคำตอบอยู่เล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าพี่หมอกับพ่อเลี้ยง นี้เป็นพี่น้องกัน เพราะใบหน้าของพี่หมอติดจะมีความนุ่มนวลอยู่บ้างแต่พ่อเลี้ยงคนนี้กลับมีแต่ความคมเข้มดูดุดัน
“ครับ ใกล้จะมื้อเที่ยงแล้ว เดี๋ยวผมพาคุณไปทานอาหารด้วยกัน เสร็จแล้วเชิญคุณพักผ่อนที่ห้องหรือจะเดินเล่นแถวนี้ก่อนก็ได้ครับ ผมให้เด็กจัดห้องไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วเย็นๆ ผมจะพาไปชมไร่”
“ขอบคุณครับ แต่ว่า..เริ่มงานเลยก็ได้นะครับ” จาณีนบอกอย่างเกรงใจ
“ไม่ต้องรีบครับ ทำตัวสบายๆ ครับ”
“ขอบคุณครับ” จาณีนชักหวาดๆ เขาเริ่มจะทำตัวไม่ค่อยถูก
“ถ้าอย่างนั้นเชิญตามผมมาทางนี้ครับ” พ่อเลี้ยงหนุ่มบอกแล้วเดินนำไปอีกทางของตัวบ้าน
อาหารหลายจานที่ถูกจัดอยู่บนโต๊ะนั้นมีมากมายหลายประเภท ทั้งแบบพื้นเมืองของภาคเหนือและแบบภาคกลาง คนที่ผสมผสานอาหารสองประเภทนี้แสดงว่ามีความใส่ใจแขกเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีการจัดเรียงจานที่สวยงามรสชาติอาหารก็ไม่เป็นรองหน้าตาของมันเลย
จาณีนบอกได้เลยว่ามื้อนี้เขาเจริญอาหารค่อนข้างมากจนลืมเขินอายกับเจ้าบ้านที่นั่งอยู่ตรงข้าม เขาดื่มด่ำกับเมนูแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้ลิ้มลอง ระหว่างมื้ออาหารเจ้าของไร่ก็ชวนคุยเรื่องราวสัพเพเหระทั่วๆ ไป หน้าตาที่ดูดุแต่จริงๆ แล้ว เป็นคนคุยสนุกค่อนข้างมากเลยทีเดียว
“เดี๋ยวนะครับ คุณนันท์ คุณจะบอกว่าพี่หมอชอบแกล้งน้องๆ เหรอครับ” ระหว่างทานข้าว พ่อเลี้ยงชลนันท์ก็กำลังเล่าประวัติวัยเด็กของคุณหมอชลทีให้ฟัง
“ใช่ครับ วีรกรรมหลายๆ อย่าง พี่ชลเป็นคนทำทั้งนั้น ส่วนผมกับพี่ธิชาก็ถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนทำทั้งนั้นแหละครับ ทั้งเรื่องแกล้งคนงาน ทำของในบ้านแตก สารพัดเลยล่ะครับ” พี่หมอมีน้องอยู่สองคนคือชลธิชาน้องสาวและชลนันท์น้องชายคนสุดท้องของบ้าน
“ดูไม่ออกเลยว่าพี่หมอจะมีนิสัยแบบนั้น” จาณีนคิดไปพลางนึกหน้าคุณหมอชลทีไปพลาง เด็กหนุ่มเคยเห็นแต่ใบหน้าเคร่งขรึมของคุณหมอมากกว่า
“คุณอาจจะไม่เชื่อ แต่ลองดูรูปถ่ายนั่นสิครับ” กรอบรูปขนาดใหญ่ของชายสูงอายุคนหนึ่ง แขวนอยู่บนผนังไม้ของบ้าน จาณีนมองรูปนั้นตามมือของเจ้าบ้าน เด็กหนุ่มคิดว่าเหมือนมีบางอย่างผิดปกติอยู่บนรูป หนวดของชายผู้นั้นดูแปลกๆ เหมือนมีใครมือบอนเอาปากกาเมจิกมาวาดให้ยังไงยังงั้น”
“หนวดนั่น”
“ใช่ครับ คนที่อยู่บนรูปเป็นคุณปู่ของพวกเราเอง แต่ท่านน่ะเข้มงวด ยิ่งพี่ชลเป็นพี่คนโตก็จะถูกควบคุมเป็นพิเศษ วันหนึ่งพี่ชลก็แก้แค้นคุณปู่มาเติมหนวดให้เนี่ยแหละครับ”
“โอ้...แล้วคุณปู่ของคุณทำยังไงกับพี่หมอครับ”
“จะทำยังไงล่ะครับ ก็โดนตีไปตามระเบียบ แต่พี่ชลบอกคุณปู่ว่าผมกับพี่ธิชาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด เลยพลอยโดนร่างแหไปด้วยครับ”
“แล้วคุณทำจริงหรือเปล่า”
“เรียกว่าทำไปโดยไม่รู้เรื่องมากกว่าครับ ตอนนั้นพี่ชลบอกว่าจะเอารูปคุณปู่มาทำความสะอาด ผมกับพี่ธิชาเลยช่วยปลดรูปลงมา ที่ไหนได้... โดนตีไปคนละตั้งสามที่แน่ะ”
“พี่หมอนี่วีรกรรมไม่เบาเลยนะครับ”
“ครับ ร้ายพอตัว แต่ถึงอย่างนั้นก็รักครอบครัว รักน้องสองคนอย่างเรามาก ถ้าใครมารังแกพวกเรา พี่ชลเป็นสู้ตายเลยล่ะครับ พวกเราก็เลยโกรธพี่ชลไม่ลงสักที”
“แล้วพ่อเลี้ยงทำไร่ที่นี่คนเดียวเหรอครับ”
“ใช่ครับ ก็พี่ชลหนีไปเรียนหมอ พี่ธิชาแต่งงานกับพี่เขยชาวต่างชาติ ก็เลยย้ายไปอยู่ที่นั่นเลย พ่อกับแม่ก็เลยตามไปช่วยเลี้ยงหลานด้วยความเห่อหลานคนเดียวของบ้าน เหลือผมคนเดียวจะปฏิเสธพ่อกับแม่ก็กลัวท่านเสียใจ ก็เลยตามใจท่าน แล้วตอนเด็กๆ เราสามพี่น้องแทบไม่รู้เรื่องในไร่เลย พอได้ลองทำก็กล้าๆ กลัวๆ น่ะครับ แต่พอเวลาผ่านไป ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ผมก็มีความสุขที่ได้ทำไร่ที่นี่”
“โชคดีมากๆ เลยนะครับ สุดท้ายก็ได้ทำงานที่ชอบ” จาณีนรู้สึกตะหงิดๆ กับคำพูดของชลนันท์ เพราะคุณหมอชลทีก็มีลูกเหมือนกันไม่ใช่เหรอ แต่ก็ไม่ได้ถามออกมาเพราะกลัวจะเสียมารยาท
“ครับ โชคดีจริงๆ ว่าแต่รำคาญผมหรือเปล่าครับ ผมเล่าอะไรเยอะแยะไปหมดพอดีไม่ค่อยมีคนที่พอจะรู้จักครอบครัวของเรามาที่นี่บ่อยนัก ผมเบื่อธุรกิจจะแย่แต่ก็ต้องเจรจากัน”
“ไม่เลยครับ ดีเสียอีก คุณนันท์เล่าเรื่องพี่หมอให้ฟังเยอะๆ สิครับ”
ช่วงบ่าย ชลนันท์ขอตัวไปเคลียร์งานในไร่ ส่วนจาณีนก็เข้าห้องพัก เด็กหนุ่มเปิดโน้ตบุคแล้วลงมือเช็คเมลก่อนเป็นอันดับแรก เสร็จแล้วจึงทักทายหัวหน้าของตนเอง
“พี่พล เป็นไงบ้าง งานยุ่งมั้ยพี่”
“ไม่เท่าไหร่ เป็นไงบ้างวะเอ็ง ติดปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ยังไม่ได้เริ่มเลยพี่ คุณชลนันท์เขาจะเริ่มคุยงานพรุ่งนี้”
“เออๆ ดีแล้ว วันนี้เอ็งก็พักซะ พรุ่งนี้ก็ตั้งใจทำงานเข้าล่ะ”
“ครับพี่”
.
.
“นายครับ” เสียงเรียกชื่อศมนดังขึ้น หลังจากประตูห้องทำงานถูกเปิดเมื่อได้รับคำอนุญาต
“กานต์? ทำไมเธอถึงมาที่นี่ จาณีน? เกิดอะไรขึ้นกับจาหรือเปล่า” ผู้เป็นนายจำได้ว่า พันธกานต์
มีหน้าที่ต้องติดตามจาณีน
“เปล่าครับ คุณจาปลอดภัยดี เพียงว่าวันนี้คุณจา เดินทางขึ้นไปที่ไร่ของคุณหมอชลทีครับ”
“จริงสิ ฉันเองก็ลืมไป” เมื่อได้รับคำตอบ ศมนก็ถึงกับโล่งใจว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นกับจาณีน
“ผมเลยจะถามนายว่าจะให้ผมตามขึ้นไปเลยหรือเปล่าครับ”
“ไม่ต้อง ตอนนี้จาอยู่ที่ไร่พี่ชล ยังไงที่นั่นก็ปลอดภัยกว่าที่นี่แน่นอน ฉันมีงานให้เธอไปทำ แล้วอีกสองวันค่อยขึ้นไปพร้อมกับฉัน”
“ครับ จะให้ผมทำอะไรครับ” พันธกานต์รอรับคำสั่งจากศมน
“ฉันอยากให้เธอไปสืบเพิ่มหน่อย คนของฝั่งนั้นที่ฉันเคยให้เธอกับกรไปกว้านซื้อตัวมา ฉันคิดว่าเรากำลังมีหนอนบ่อนไส้ คนพวกนั้นไม่ได้หันมาอยู่ฝั่งเราจริง คิดว่าที่ยอมมาอยู่กับเราเพียงเพื่อเอาตัวรอด ซ้ำยังคอยรายงานหัวหน้าเก่าอยู่”
“ได้ครับ เรื่องเดียวหรือครับ”
“ใช่ พวกเอกสารอื่นๆ เรื่องนั้นฉันคงต้องจัดการเอง ไว้ใจคนนอกไม่ได้ นอกจากเธอกับกรแล้ว ฉันไว้ใจใครไม่ได้อีก เรื่องนี้สำคัญกับฉันมาก เธอรู้ใช่มั้ย”
“ทราบครับ ถ้างั้นผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้” พันธกานต์พูดจบก็เตรียมออกจากห้องไป
“เดี๋ยว” ศมนเรียกอีกฝ่ายเอาไว้
“ครับนาย”
“ระวังตัวด้วย ทางนั้นก็มีฝีมือไม่เบา” ศมนพูดเตือนด้วยความเป็นห่วง
“ขอบคุณครับ”
จังหวะที่พันธกานต์เปิดประตูออกไป ธัญชนกก็สวนเข้ามาเช่นกัน หญิงสาวยิ้มให้คนที่กำลังจะออกไปก่อนที่เธอจะเดินเข้าห้องของศมน พันธกานต์โค้งศีรษะให้หญิงสาวก่อนจะเดินผ่านเธอไปเช่นกัน
“พี่มนคะ ใกล้เที่ยงแล้วค่ะ ธัญมาชวนไปทานข้าวค่ะ”
“ใกล้เที่ยงแล้วเหรอ” ศมนไม่รู้เวลาเลยจนกระทั่งธัญชนกบอก
“ใช่ค่ะ นี่พี่มนทำงานเพลินอีกแล้วเหรอคะ”
“ช่วงนี้งานเยอะ น้องธัญก็รู้ว่าเรากำลังจะเปิดสาขาใหม่”
“แหม แต่ยังไงก็ต้องรักษาสุขภาพดูแลตัวเองด้วยนะคะ ถ้าประธานบริษัทเจ็บป่วยไป จะทำยังไงล่ะคะ” หญิงสาวบอกเตือนด้วยความหวังดี
“ขอบใจน้องธัญมาก แต่วันนี้พี่คงต้องขอตัวนะครับ พี่มีประชุมอีกห้านาทีข้างหน้านี้”
“แต่นี่ใกล้จะเที่ยงแล้วนะคะ ทำไมถึงนัดประชุมตอนนี้ล่ะคะ แบบนี้ก็หิวแย่เลย” ธัญชนกบ่นเล็กน้อย ไม่ได้โวยวายเป็นเรื่องใหญ่อะไร เธอเองก็พอเข้าใจเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง แต่สำหรับศมนแล้ว เธอคิดว่ามันบ่อยไปหรือเปล่า
“ก็ประธานบริษัทงานเยอะนี่ครับ แค่เวลาเล็กน้อยก็ถูกนัดประชุดหมด แต่น้องธัญไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวยัยวิก็จัดเอาพวกแซนด์วิชหรืออาหารเบาๆ เข้าไปรองท้องให้” ศมนแกล้งเย้าอีกฝ่ายเล่นว่าเวลาของเขานั่นถูกใช้อย่างคุ้มค่ามากแค่ไหน
“ตกลงค่ะ งั้นธัญไปทานข้าวก่อนนะคะ”
“ทานให้อร่อยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ” ธัญชนกยิ้มให้ศมนก่อนจะเดินออกมาเหมือนกับบอดี้การ์ดหนุ่มก่อนหน้านี้
หญิงสาวไม่ได้ไปร้านอาหารอย่างที่ตั้งใจ เธอเปลี่ยนใจ และบอกเลขาให้สั่งอาหารขึ้นมาทานในห้องทำงานแทน เพราะตอนนี้ธัญชนกไม่มีอารมณ์ที่จะลงไปทานที่ร้านแล้ว นิ้วมือสวยที่เล็บเจือแต้มไปด้วยสีชมพูอ่อนนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดโทรออกไปเบอร์ที่ไม่ค่อยได้ใช้บริการบ่อยนัก
“สวัสดีครับ” ปลายสายรับสายอย่างรวดเร็ว
“สวัสดีค่ะ ธัญชนกค่ะ” หญิงสาวกรอกเสียงลงไป
“ทราบครับ มีอะไรให้ผมรับใช้ครับคุณธัญ”
“ธัญอยากให้คุณอิทธิหาประวัติคนๆ หนึ่งให้ธัญหน่อยค่ะ”
“ได้ครับ เขาชื่ออะไรครับ”
“สักครู่นะคะ” หญิงสาวค้นอะไรบางอย่างกุกกักในกระเป๋าใบหรูก่อนจะหยิบนามบัตรขึ้นมาใบหนึ่ง
“ครับ”
“เขาชื่อ จาณีน แสงชัยกุล ตอนนี้ทำงานอยู่ที่บริษัทเก็นติ้งเฮาส์ ธัญทราบเพียงเท่านี้ค่ะ”
“ได้ครับ แค่นี้ก็ช่วยให้สืบง่ายมากแล้ว คุณธัญอยากได้เมื่อไหร่ครับ”
“เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ค่ะ เรื่องค่าใช้จ่ายธัญไม่เกี่ยงค่ะ ขอให้ได้เร็วๆ ก็พอ”
“ยินดีครับ ผมจะรีบจัดการให้ครับ”
“ขอบคุณค่ะ ธัญจะรอ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณก่อนจะกดวางสายไป สักพักไม่นานเลขาประจำตัวของเธอก็ยกอาหารมื้อเที่ยงเข้ามาให้
ธัญชนกไม่ได้อยากทำเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ถ้าไม่ใช่จังหวะที่เธอกำลังจะไปหาศมนแล้วบังเอิญได้ยินชื่อนี้จากทั้งศมนและพันธกานต์พอดี
เด็กคนนั้น เกี่ยวข้องยังไงกับศมน
จาณีนเช็คเมลจนเสร็จ เตรียมเนื้อหาคร่าวๆ สำหรับพรุ่งนี้จนเรียบร้อย จึงปิดเครื่อง มีข้อความเข้ามาที่โทรศัพท์ เด็กหนุ่มหยิบขึ้นมากดดู เป็นข้อความจากบอดี้การ์ดหนุ่มแจ้งว่าคงจะตามมาได้อีกสองวันเพราะมีธุระอื่นต้องไปจัดการก่อน เมื่อเช้านี้พันธกานต์มารับเขาที่บ้าน จาณีนเลยเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกบอดี้การ์ดหนุ่มเรื่องที่เขาต้องมาทำงานที่นี่ ฝ่ายนั้นเลยบอกว่าจะรีบตามมาทีหลัง ถึงแม้ว่าจาณีนจะบอกปฏิเสธว่าไม่ต้องก็ตาม
เด็กหนุ่มคิดว่าเร็วๆ นี้เขาคงต้องหาทางบอกศมนให้รับรู้เรื่องการให้คนมาคอยติดตามเขา จาณีนรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายจากใจจริงที่ยังคอยเป็นห่วงใยเขาเสมอ แต่เขาไม่อยากให้พันธกานต์หรือใครต้องมาเสียเวลาตามเขาอยู่ตลอดเวลา เพราะเขาไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงนักหรอก
จะทำยังไง ถึงจะหาโอกาสบอกได้
แดดเริ่มร่ม อากาศกำลังเย็นกว่าช่วงบ่าย ชลนันท์เคาะประตูห้องของจาณีน เขาแจ้งว่าจะพาเด็กหนุ่มไปชมไร่องุ่นแห่งไร่สายชลนี้ เจ้าของไร่แนะนำให้เขาเอาเสื้อแขนยาวกับหมวกไปสวมด้วยเพราะเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้ จาณีนจึงขอตัวเข้าไปหยิบเสื้อในกระเป๋าออกมา เขาเห็นกล่องสี่เหลี่ยมกล่องหนึ่ง เลยนึกขึ้นได้
“คุณนันท์ครับ พี่หมอฝากกล่องนี้มาให้คุณ ขอโทษที่ลืมให้แต่แรกนะครับ” จาณีนออกมาจากห้องแล้วจึงยื่นกล่องขนาดฝ่ามือให้อีกฝ่ายตรงหน้า
“ขอบคุณครับ นึกว่าพี่ชลจะลืมไปแล้ว เพราะผมไม่อยากให้ส่งมาทางไปรษณีย์ เลยต้องลำบากคุณจา” ชลนันท์รับกล่องมาเปิดดูพลางกล่าวขอบคุณ
“ไม่เป็นไรครับ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง”
“ไม่เล็กน้อยหรอกครับ พี่ชลคงไว้ใจคุณจามากพอสมควร รู้มั้ยครับว่าอะไรอยู่ในนี้”
“ไม่ทราบครับ พี่หมอไม่ได้บอกผม” จาณีนบอกจากใจจริง เขาไม่กล้าแม้กระทั่งจะถามคุณหมอชลทีด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร
“ในนี้เป็นแหวนของคุณแม่ครับ ปกติแล้วลูกชายคนโตจะได้ไปเพื่อมอบให้เจ้าสาว แต่พี่ชลไม่ได้แต่งงาน เลยยกให้ผมแทน”
“พี่หมอ? เอ.. พี่หมอยังไม่ได้แต่งงานเหรอครับ เท่าที่ผมรู้พี่หมอแต่งงานแล้วนี่ครับ” เป็นไปไม่ได้ จาณีนเคยได้ยินมาว่าคุณหมอชลทีแต่งงานแล้ว เลิกงานคุณหมอก็จะกลับบ้านไปหาภรรยาและลูกตรงเวลาทุกครั้ง
“ยังครับ ไม่เคยแต่งด้วย แถมโสดสนิท ไม่มีแม้กระทั่งแฟน”
“เดี๋ยวก่อนครับ แต่ผมเคยได้ยินว่าพี่หมอแต่งงานมีลูกและภรรยาแล้วนะครับ”
“โดนหลอกแล้วล่ะครับ พี่ชลชอบบอกว่าพี่ธิชากับหลานเป็นลูกเมียของตัวเองครับ เพราะกลัวคนมาจีบ ตลกจริงๆ” ชลนันท์หัวเราะเบาๆ
“....”
“ทำหน้าแบบนี้ไม่เชื่อใช่มั้ยครับ ไม่เป็นไรครับ ไว้คุณจาลองกลับไปถามพี่หมอดูก็ได้ครับ เราไปดูไร่กันเลยมั้ยครับ” จาณีนพยักหน้าก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายไป
ชลนันท์พานั่งรถชมไปรอบๆ ไร่ก่อน เขาเล่าให้ฟังว่าไร่ที่นี่แต่ก่อนเป็นไม้ดอกเสียเป็นส่วนมาก แต่จู่ๆ คุณแม่ก็เกิดอยากจะทำไร่องุ่นเพิ่มขึ้นมา เขาเลยเริ่มทดลองปลูก ลองผิดลองถูกกันอยู่นาน จนในที่สุดก็สำเร็จเป็นรูปเป็นร่างอย่างทุกวันนี้ จึงค่อยๆ ลดจำนวนไม้ดอกลงและแทนที่ด้วยองุ่นหลายสายพันธุ์จนหมด แต่เมื่อได้ผลผลิตออกมาค่อนข้างเยอะ เขาเลยแปรรูปออกมาหลายแบบไม่ว่าจะเป็น แยม หรือไวน์องุ่นรสเลิศที่เริ่มมีชื่อในตลาดบ้างแล้ว
“เข้าไปดูโรงบ่มไวน์กันนะครับ” รถจอดลงโรงไม้พอดี
โรงบ่มไวน์ค่อนข้างมืดเพื่อรักษาระดับของอุณหภูมิเอาไว้และหลีกเลี่ยงการไม่ให้ไวน์นั้นโดนแดด สาเหตุที่ต้องทำแบบนี้เพราะจะมีผลต่อรสชาติของไวน์ ที่นี่เต็มไปด้วยถังไม้เรียงซ้อนกันมากมายหลายถัง ชลนันท์เล่าว่าที่ไร่แห่งนี้ใช้ถังไม้ที่ทำจากไม้โอ๊กแท้ที่นำเข้าจากฝรั่งเศสเลยทีเดียว จาณีนมองถังไม้เหล่านั้นด้วยความตื่นตาตื่นใจ เป็นความรู้และประสบการณ์ใหม่ของเด็กหนุ่มเลยทีเดียว
ออกมาจากโรงบ่มไวน์ ท้องฟ้าก็กลายเป็นสีแดงแล้ว ชลนันท์ถามเด็กหนุ่มว่าอยากเดินกลับไปที่บ้านหรือไม่ เพราะจากจุดนี้ไปปลายทางนั้นไม่ไกล จาณีนเห็นว่าระยะทางก็ไม่ได้ไกลเกินไปนักจึงเห็นด้วย เขาทั้งคู่ค่อยๆ เดินไปตามทางเดินเรื่อยๆ ข้างทางเรียงรายไปด้วยต้นองุ่น ลมพัดเย็นมากระทบผิว โชคดีที่เขาเชื่อคำพูดของชลนันท์ให้หยิบเสื้อแขนยาวติดมาด้วย
“รู้จักพี่หมอมานานหรือยังครับ” ชลนันท์ชวนอีกฝ่ายคุยเพื่อทำลายความเงียบ
“ก็สักสี่ปีได้ครับ”
“รู้จักกันได้ยังไงเหรอครับ”
“ผมไม่สบายครับ เลยไปที่โรงพยาบาลเจอพี่หมอเข้า แต่จริงๆ แล้วตอนหลังพี่หมอเป็นคุณหมอประจำตัวผมครับ” จาณีนอธิบายไม่รีบร้อน
“แปลกนะ ปกติพี่ชลไม่มีคนไข้ประจำ นอกจากพี่มน...”
“คุณศมน?” ชื่อที่หลุดออกมาจากชลนันท์ทำให้จาณีนชะงักไป
“เป็นอะไรครับ” ชลนันท์หันมาถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุดเดิน
“เอ่อ เปล่าครับ” จาณีนตอบพลางออกเดินต่อ
“เหมือนผมจะได้ยินคุณเรียกชื่อพี่มน หรือว่าคุณจาก็รู้จักพี่มนครับ”
“คะ..ครับ ก็พอรู้จัก”
“ครับ พี่ชลกับพี่มนรู้จักกันตอนเรียนที่ต่างประเทศ พอกลับมาทั้งสองคนก็ยังสนิทกันอยู่ พี่ชลเลยเป็นคุณหมอประจำตัวพี่มนไปในตัว อย่าหาว่าผมพูดมากเลยนะครับ แต่เพราะรายนั้นหาหมอยากมากเลยล่ะครับ”
“จริงครับ..” จาณีนหลุดหัวเราะออกมา ศมนเป็นคนที่แทบจะไม่ไปหาหมอเลยถ้ามีทางเลือก แม้กระทั่งยายังหลีกเลี่ยงอยู่ตลอด
“คุณจาเองก็รู้เหรอครับ คงไม่ใช่แค่พอรู้จักแล้วใช่มั้ย” ชลนันท์หรี่ตามองหน้าเด็กหนุ่มเพื่อจับพิรุธ จาณีนได้แต่ปั้นหน้านิ่งเอาไว้เพราะกลัวถูกจับได้
“ก็เคยได้ยินจากพี่หมอบ้างน่ะครับ” จาณีนกลบเกลื่อน อ้อมแอ้มตอบอีกฝ่าย
“อ้อ..ครับ ถ้างั้นคงพอจะมองออกว่าสองคนนี้เค้าเป็นมากกว่าพี่น้อง”
“ครับ?” จาณีนแปลกใจกับคำถามของชลนันท์ คำพูดแบบนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน
“ผมหมายถึงพี่ชลกับพี่มนห่วงกันมากกว่าคนที่เป็นพี่น้องกัน หรือที่เราเรียกกันว่าห่วงกันอย่างคนรักไงล่ะครับ”
“คนรักเหรอครับ” รู้สึกเหมือนน้ำลายเริ่มเหนียว กลืนไม่ลงคอ ยังไงดีล่ะ จาณีนไม่เคยคิดสถานภาพของสองคนนี้มาก่อนเลยสักครั้ง
ถ้าให้พูดกันตามตรง เขาเป็นพวกเซนส์เรื่องนี้แย่ถึงแย่มาก ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วจาณีนไม่เคยสังเกตออกเลย ว่าใครกำลังคบใคร ใครกำลังจีบกับใครอยู่ แม้เจอจังๆ กับตัวเองเขายังไม่รู้เลย จนต้องมีคนบอกนั่นแหละ เขาถึงพอรู้ขึ้นมาบ้าง แล้วนับประสาอะไรว่าเขาจะดูคุณหมอชลทีกับศมนออกล่ะ
“ถ้ากลับไปลองสังเกตพวกเขาดูสิครับ ดูไม่ยากหรอก”
“ครับ ถ้ามีโอกาสจะลองดู”
“จะว่าไปพี่มนคงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พี่ชลไม่แต่งงาน” พ่อเลี้ยงหนุ่มเปรยขึ้นมาลอยๆ
“....” จาณีนเลือกที่จะเงียบ ไม่พูดอะไร แต่ในใจ เขาอยากรู้จนแทบระเบิด
“ดูก็รู้ว่าเขาทั้งคู่ชอบพอกัน แต่น่าแปลกที่ยอมลดความสัมพันธ์ลงไว้เพียงแค่นั้น ไม่รู้ว่าเพราะอะไร” ชลนันท์พูดพลางส่ายหน้าเบาๆ ไปด้วย เขาเองก็รู้จักคนทั้งคู่มาก็นาน แต่ไม่เคยเข้าใจว่าสองคนนั้นตกลงในความสัมพันธ์กันเป็นแบบไหนกัน
“....”
“เงียบเลย ตกใจเหรอครับ หรือคุณจารังเกียจเรื่องผู้ชายสองคน ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอโทษด้วยที่ไม่ทันคิด”
“เปล่าครับ ผมแค่เริ่มรู้สึกเหนื่อย อา ถึงบ้านพอดี” จาณีนจะรังเกียจได้ยังไง เพราะเขาก็เป็นหนึ่งคนที่เป็นชอบพอกับผู้ชาย แถมยังเป็นหนี่งในเรื่องราวชีวิตของศมนและคุณหมอชลที
“ไวจัง.. ขึ้นบ้านกันเถอะครับ ล้างหน้าล้างตาแล้วออกมาทานข้าวกันครับ”
คืนนั้น จาณีนเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ เด็กหนุ่มกำลังเรียบเรียงเรื่องราวที่ได้ยินมา แน่ล่ะ เขาไม่เคยรู้เรื่องคุณหมอ ชลทีเลย ไม่เคยรู้ว่าคุณหมอยังไม่เคยแต่งงาน ไม่เคยรู้ว่าคุณหมอและคนรักเก่าของเขามีความสัมพันธ์กัน แล้วไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เขาเป็นมือที่สามของคนทั้งคู่หรือเปล่า
มันไม่น่าเป็นไปได้ เขาเคยถามศมน ช่วงเวลาที่เด็กหนุ่มก้าวเข้ามาในชีวิตของศมน ในเวลานั้นชายหนุ่มมีใครอยู่หรือเปล่า ศมนบอกว่าไม่มีใคร ไม่มีคนรักและไม่มีแฟน เขาเชื่อศมนอย่างสุดหัวใจเพราะศมนไม่เคยโกหกเขา ไม่นับเรื่องที่ชายหนุ่มหลีกเลี่ยงเลือกไม่บอกเขาละกัน
จาณีนกำลังใช้ความคิดอย่างต่อเนื่อง วันนี้เขาได้รับรู้เรื่องแปลกใหม่เต็มไปหมด มีแต่เรื่องไม่น่าเชื่อทั้งนั้น จาณีนไม่ได้หึงหรือรู้สึกผิดต่อคุณหมอชลที ถึงเขาจะเข้ามาทีหลัง แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูเหมือนจะถูกตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่เกี่ยวกับเขา อีกทั้งศมนไม่เคยมีท่าทีนอกลู่นอกทางกับคุณหมอหนุ่ม ตอนที่อยู่กับเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ที่เขากำลังเครียดอยู่ตอนนี้ก็คือ
ทำไมพวกเขาทั้งคู่จึงเลิกกัน
======================================
เฟสบุ๊ค
https://www.facebook.com/akanae14/ และ ทวิตเตอร์ค่ะ
https://twitter.com/khemmakan