สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง08:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 11.11.18
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สวรรค์ไยไร้เมตตาส่งข้ามาเป็นอ๋อง08:พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียก็ไม่ตาย 100% 11.11.18  (อ่าน 11097 ครั้ง)

ออฟไลน์ anflierza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


เมื่อชีวิตถึงคราวไร้วาสนา

ลี่หมิง เมธาสิทธิ์ หนุ่มน้อยนักเทควันโด หลานชายแสนรักของอาม่า

ดันต้องประสบพบเจอกับคราวซวยแม้ยังไม่ครบวัยเบญจเพสดี

ถูกแฟนหนุ่มรุ่นพี่ตัดสัมพันธ์อย่างไร้เยื่อไยไม่พอ

ความฝันที่จะติดทีมชาติก็มาหลุดมือไปอีก

ความบัดซบบังเกิดไม่จบไม่สิ้น ถ่ายเซลฟี่อยู่ดีๆดันร่วงหล่นกำแพงเมืองจีนไปโผล่ยุคโบราณ

เมื่อสวรรค์พลิกผันโชคชะตาโดยไม่มาปรึกษาหารือ

ลี่หมิงในร่างเยว่อ๋องแห่งราชวงศ์เว่ยจึงพลั้งพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย

เจตจำนงค์เก่าถูกทำลายลง ชีวิตใหม่คงไม่อาจรอคอยสวรรค์บัญชา

เทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายหากท่านเปรมปรีดิ์กับหายนะที่มอบให้ข้า

ได้โปรดทราบด้วยเถิดว่ามันจะตลกเกินพอดีไปหน่อยแล้ว!



--------------------------


สวัสดีค่ะ ซังหวงตี้คนแต่งเรื่องนี้เองค่ะ
ปกติลงเรื่องนี้ในอีกสองเว็บอ่านนิยาย เพิ่งได้มีโอกาสมาลงในเว็บนี้ไม่นาน
ยังงงๆระบบเว็บบอร์ดอยู่บ้าง หากผิดพลาดประการใดต้องขอโทษด้วยนะคะ
ยังไงก็ขอฝากนิยายเรื่องนี้กับนักอ่านทุกๆท่านด้วยค่ะ
ไรท์ชอบอ่านความเห็นของนักอ่าน เชิญติชมแสดงความรักชอบเหม็นขี้หน้าตัวละครใดๆก็แล้วแต่ได้ตามอัธยาศัยเลยค่ะ  :laugh:

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2018 21:33:09 โดย anflierza »

ออฟไลน์ anflierza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ตอนที่ 1 : คนดี ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ตกกำแพงเมืองจีน...กลายเป็นอ๋อง!!



“อาม่า ผมว่าพวกเราถ่ายรูปกันตรงนี้อีกสักสองสามรูปให้เห็นไอ้ฉากต้นไม้เปลี่ยนสีข้างหลังแล้วเดินไปดูตรงอื่นกันเถอะนะ ม่าดูสิ อิฐแถวนี้มันดูหลุดๆแตกๆ เหมือนจะพังแหล่มิพังแหล่ยังไงก็ไม่รู้อ่ะม่า”



เว่ยลี่หมิงหรี่เปลือกตาทั้งสองข้างลงเล็กน้อยเพื่อสู้กับแสงตะวันในช่วงสายของเมืองจีน มือทั้งสองข้างรับหน้าที่แบกสัมภาระที่ไม่ใช่ของเจ้าตัวแม้แต่อย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าถือใบใหญ่ในมือซ้าย หรือไม้เซลฟี่สีชมพูในมือขวา สัมภาระเดียวที่เป็นของลี่หมิงเองคือเป้สะพายฟีบๆใบเดียวที่ถูกเนรเทศไปอยู่บนหลังเป็นที่เรียบร้อย



ลี่หมิงเดินไปพลางหายใจหอบกระชั้นไปพลางด้วยความเหนื่อยล้า เนื่องด้วยกำแพงเมืองจีนด่านซือหม่าไถนั้นไม่ใช่สถานที่ที่จะดูถูกกันได้ง่ายๆ ขึ้นชื่อยิ่งนักในเรื่องความยากลำบากของการเดินทางมาเพื่อชื่นชมวิวทิวทัศน์ที่งดงามราวกับสะกดทุกลมหายใจ หรืออย่างน้อยนักท่องเที่ยวคนอื่นนอกจากลี่หมิงก็คงคิดเช่นนั้น



เด็กหนุ่มชะงักฝีเท้าอย่างไม่ทันตั้งตัวเมื่อคนตรงหน้าหยุดเดินกระทันหัน แถมกระเป๋าถือเจ้ากรรมในมือดันทำหน้าที่เป็นตัวถ่วงน้ำหนักชั้นดีทำให้ร่างกายเซไปติดกำแพง พลันสายตาไม่รักดีเผลอมองทอดลงไปเห็นความน่าหวาดเสียวของเหวเบื้องล่าง ชวนให้ต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก



เว่ยลี่หมิงเดินลงปลายเท้าเบาราวกับกลัวยางรองเท้าสึก ครุ่นคิดจนหัวผุก็ยังไม่สามารถหาเหตุผลได้ว่าทำไมแพคเกจทัวร์ท่องเที่ยวจีนที่อาม่าซื้อในงานโปรโมตการท่องเที่ยวถึงได้พามาดูจุดที่สุดแสนจะกันดารของกำแพงเมืองจีน แถมที่ที่ยืนอยู่ตอนนี้มองไปทางไหนก็ไม่เห็นนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ลี่หมิงได้แต่นึกสงสัยว่าลูกทัวร์ที่มาด้วยกันหายหัวไปอยู่ตรงไหนกันหมด



“อาหมิง ลื้อมันพุกจาโอเวอร์ กำแพงเมืองจีนนี่มังอยู่มาเป็นพังๆปี มังไม่รีบมาพังตอนอั๊วกะลื้อกะลังเดิงอยู่นี่หรอก แล้วถ้าลื้อร่วงลงไปจริงๆ ลื้อก็ใช้ไอ้วิชาตัวเบาอะไรของลื้อกระโดดกลับขึ้งมาสิ ลื้อจะกลัวอารายยย”



อาม่าพูดจายานคาง พร้อมส่ายหัวส่งเสียงจิ๊จ๊ะ มองค้อนปะหลับปะเหลือกไปที่หลานรักบ้างไม่รักบ้างด้วยแววตาไม่สบอารมณ์



“โธ่ ม่า ผมบอกไปกี่ทีแล้วว่าผมเป็นนักเทควันโด ไม่ได้เป็นจอมยุทธแห่งยอดเขาเหลียงซานจะได้มีวิชาตัวเบาอะไรนั่น”



เด็กหนุ่มทักท้วงอาม่าอย่างจนใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็มิอาจทราบได้ ลี่หมิงมักโดนอาม่าแขวะด้วยเรื่องนี้อยู่เป็นกิจวัตร เนื่องด้วยอาม่าไม่เคยพอใจที่หลานชายคนเดียวของแกเลือกเป็นนักเทควันโด อาม่าอยากให้ไอ้หลานที่แกเลี้ยงมาเองกับมือไปทำมาหากินอย่างอื่นที่ดูมีหน้ามีตามากกว่านี้ หรืออย่างน้อยก็ทำงานที่ไม่ต้องมาทนเจ็บตัวให้แกเห็นอยู่ทุกวัน



“พุกไปก็เท่านั้ง อั๊วเคยบอกให้ลื้อไปเป็งดารา เป็งพระเอกหนัง เป็นบุ๊กลี ยังดีกว่ามาคอยเตะต่อยไปวังๆแบบนี้ เห็งมะ หน้าตาลื้อนี่ ที่ถูไถไปวัดไปวาได้ก็เพราะได้ความงามมาจากอั๊วหรอกนะ และนี่ อั๊วล่ะอยากให้ลื้อได้เห็งตอนอั๊วเปงสาวนะ อั๊วอ่ะนะ...”



ลี่หมิงกรอกตาทำหูทวนลมเมื่ออาม่าเข้าสู่โหมดเพิกเฉยความงามของธรรมชาติและเริ่มชื่นชมความงามของตัวเองสมัยยังเป็นสาวให้ฟังเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่ควรจำ เด็กหนุ่มแสร้งพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจนักแต่ก็พยายามทำเป็นตั้งใจฟัง สายตาเหม่อมองนก มองเมฆ มองเศษอิฐที่ตอนนี้ดูเหมือนจะน่าสนใจมากกว่าเดิม



มองบนอาม่านี่ผิดไหม?



“อาหมิง...มาๆ...มาถ่ายรูปกะอั๊วตรงนี้...เดี๋ยวอั๊วขอใส่แว่นกังแดดเพื่อความคูๆชิกๆก่อง..ลื้อหยิบแว่งออกมาให้อั๊วซิ”



อาม่าเปลี่ยนมาชี้นิ้วสั่งให้เด็กหนุ่มทำตามประสงค์ของอาม่าผู้ยิ่งใหญ่ พักเว้นจากการพรรณนาถึงความหลงตัวเองชั่วคราว



“เฮ้อ แปปนะม่า”



เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว หนุ่มน้อยนักเทควันโด ดีกรีนายแบบพาร์ทไทม์ผู้มีหน้าตาราวเทพบุตร เว่ยลี่หมิง หรือ ลี่หมิง เมธาสิทธิ์ในตอนนี้ทั้งหนาว ทั้งเหนื่อย รวมถึงจิตใจก็แสนอ่อนล้า เด็กหนุ่มย้อนคิดถึงสาเหตุที่ต้องออกมาทนหนาวเป็นเพื่อนเที่ยวกับอาม่าในครั้งนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะลี่หมิงชื่นชอบศิลปะกำแพงเก่า‘เป็งพังๆปี’ตามที่อาม่าได้กล่าวไว้แต่อย่างใด สำหรับเขาแล้วปีนี้เป็นเพียงปีแย่ๆปีนึงที่ลี่หมิงรอคอยให้ใครคนหนึ่งกลับมาอยู่ทุกนาที




หากให้สรุปสั้นๆ เว่ยลี่หมิงก็แค่อกหักรักคุด หลุดทีมชาติ งานการไม่ก้าวหน้า มีอาม่าเป็นที่พึ่งสุดท้าย และเป็นเพราะชีวิตบัดซบจนไม่มีอะไรให้ทำมากไปกว่านี้แล้ว จึงต้องมาทนยืนหนาวอยู่ต่างแดน ร่วมชื่นชมความเก่าแก่ของกำแพงเมืองจีนไปพร้อมๆกับซิงเกิลแกรนด์มัมหรืออาม่าผู้ยิ่งใหญ่ของอาหมิง




เด็กหนุ่มลงมือทำตามคำสั่งที่ได้รับอย่างเบื่อหน่าย หลังจากควานหาจนครบทุกช่อง เพิ่มเติมคือถูกทารุณกรรมด้วยวัตถุแปลกปลอมมากมายจนกระดูกแทบพรุน ลี่หมิงถึงได้ค้นพบสัจธรรมว่าในกระเป๋าอาม่ามีทุกอย่างยกเว้นแว่นกันแดด เด็กหนุ่มขมวดคิ้วก่อนเบนสายตากลับไปหาอาม่า ตั้งใจจะเอ่ยถามถึงแว่นตาวิเศษที่ดูเหมือนจะหายตัวไปได้เองก่อนจะเผลอยิ้มออกมา รอยยิ้มบางแต่งแต้มลงบนใบหน้ารูปไข่ของเด็กหนุ่มที่เจ้าตัวเองก็ลืมไปแล้วว่าไร้รอยยิ้มมานานเพียงใด



“โธ่ อาม่าาา มันอยู่บนหัวม่านั่นแหละ”



ลี่หมิงส่ายหัวเอือมระอา ยืนมองท่าทีจับแว่นเงอะๆงะๆของอาม่าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มยืนรออาม่าจัดการกับแว่นกันแดดวิเศษบนหัว ในขณะเดียวกันก็จัดท่าทางเตรียมไม้เซลฟี่ให้พร้อมรออาม่าคนงามมาเข้าฉาก ลี่หมิงเว้นระยะปลอดภัยไม่เข้าไปชิดกำแพงให้มากเกินไป ภาพเหวที่เห็นเมื่อครู่ยังคงติดตาแจ่มชัด ก่อนเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาจะดึงเด็กหนุ่มออกจากความคิดชวนหวาดเสียวของตัวเอง



เด็กผู้ชายหัวเกรียนอายุราวสิบขวบสองคนสองคนวิ่งใกล้เข้ามา พูดตะโกนหยอกล้อกันด้วยภาษาจีนท้องถิ่นที่ฟังไม่ออกว่าหัวเราะเฮฮาอะไรกันนักหนา เด็กชายตัวเล็กผอมบางที่นำโด่งมาเป็นคนแรกหันหน้าหันหลังวิ่งตรงเข้ามาชนกับลี่หมิงเข้าอย่างจัง



ไอ้เด็ก…!!



ลี่หมิงที่ไม่ทันตั้งตัวได้แต่ยกกระเป๋าถือของอาม่าขึ้นมาตั้งรับแรงกระแทก ฉับพลันทันใดราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง เทพเจ้าไม่เข้าข้าง แผ่นอิฐใต้รองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ที่พึ่งอ้อนอาม่าซื้อให้เมื่อวานและกำแพงพันปีด้านหลังกลับทรุดตัวและขยับเคลื่อนร่วงหล่นลงยังเหวลึกเบื้องล่างอย่างไม่น่าให้อภัย



“เฮ้ย...อ๊ะ...อาม่าาาาาาาาาา”



เว่ยลี่หมิงแหกปากตะโกนร้องเรียกอาม่าด้วยความตื่นตระหนก เด็กหนุ่มร่วงลงมาจากกำแพงตามแรงโน้มถ่วงโลก นึกก่นด่าอิฐพันปีทั้งหลายในใจที่นึกอยากจะแตกก็แตกขึ้นมาอย่างปลงตก เอาแล้วไง วิชาตัวเบาไหมล่ะม่า ถ้าเมื่อกี้มีป้าขายลอตเตอรี่ถีบจักรยานผ่านมานะ ลี่หมิงคนนี้คงรวยกว่าบิลเกตไปแล้ว



“อาหมิงงงงงงงงง…”



เสียงกู่ร้องเรียกชื่อหลานชายด้วยความสิ้นหวังของอาม่าเป็นเสียงสุดท้ายที่ลี่หมิงได้ยินก่อนที่ความมืดจะเข้าครอบงำสติการรับรู้ทั้งหมดของเด็กหนุ่ม



“โอยยย…”



ลี่หมิงส่งเสียงครางแผ่วเบาเมื่อความเจ็บระบมสัพยอกแล่นไปทั่วร่าง เปลือกตาทั้งสองข้างกระพริบระรัวพยายามปรับสายตาให้ชัดขึ้น ความมืดมิดที่สะท้อนผ่านดวงตาบ่งบอกให้รู้ว่าพระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว ภายใต้ฟ้ามืดครึ้มปรากฏดวงดาราพร่างพรายโลดแล่นเพลิดเพลินเต็มท้องนภา ช่างงดงามสว่างสไสวยิ่งนัก เสี้ยววินาทีถัดมาลี่หมิงจึงนึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่เวลามานอนชมดาว



“อาม่า...”



คนเจ็บที่ดันเป็นห่วงอาม่าจนลืมตัวรีบร้อนผุดลุกขึ้นนั่งก่อนต้องส่งเสียงโอดโอยออกมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มหน้าซีดเมื่อย้อนคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น ขยับมือที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงก่อนพบว่าตัวเองยังกำไม้เซลฟี่ในมือขวาเอาไว้แน่น ลี่หมิงนึกอยากขำแต่ก็ขำไม่ออกพยายามเอื้อมมือคว้าโทรศัพท์ ทว่าสัมผัสแรกที่ผ่านปลายนิ้วกลับเป็นชายแขนเสื้อนุ่มลื่นยาวเกะกะเลยข้อมือ ลี่หมิงขมวดคิ้วกับการเปลี่ยนแปลงของเสื้อโค้ตยูนิโคล่อุลตร้าไลท์ที่ใส่มา เด็กหนุ่มพยายามยืนขึ้นอย่างทุลักทุเล แข้งขาสั่นผั่บๆตามด้วยความปวดร้าวราวกับไม่ได้เดินมานานนับปี



ลุกยืนตัวตรงได้ยังไม่ทันไร หัวผุๆที่มีพลันเจ็บแปลบราวกับถูกไฟช็อต ลี่หมิงยกมือทั้งสองขึ้นกุมศีรษะ กระแสภาพและความทรงจำแปลกตาไหลเวียนเข้ามาจนต้องทรุดตัวลงอีกครั้งด้วยความตกใจ เด็กหนุ่มก้มลงมองชุดคลุมตัวยาวพิลึกที่มาแทนเสื้อโค้ตยูนิโคล่ลดราคา มือทั้งสองค่อยๆเคลื่อนผ่านใบหน้าลงไปจนถึงบริเวณเอว สัมผัสของเรือนผมนุ่มลื่นดุจไหมชั้นดีคลอเคลียผ่านปลายนิ้วให้ความรู้สึกที่แม้จะแปลกประหลาดแต่กลับสุดแสนจะคุ้นชินในเวลาเดียวกัน



“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องอยู่ตรงนั้น!”



เสียงตะโกนเอะอะ อึกทึก วุ่นวายดังขึ้นไม่ไกลตัว ลี่หมิงรีบมองหาต้นตอของเสียงเพื่อเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ ชายแก่ผมขาวแปลกหน้าวิ่งตรงเข้ามาหาลี่หมิงพร้อมคบเพลิงในมือประหนึ่งอยู่ในพิธีเปิดโอลิมปิก ขาสั้นๆก้าวกระโดดข้ามฝ่าป่าดงพงหญ้าทั้งหลายอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจว่าจะเหยียบหัวงูไปสามสี่ตัวแล้วหรือไม่ ชายแก่กระหืดกระหอบเข้ามาหาเด็กหนุ่มด้วยใบหน้าดีใจจวนเจียนจะร้องไห้ อย่าว่าแต่ลุงเลยลี่หมิงคนนี้ก็ดีใจจนแทบจะกรีดร้องออกมาเหมือนกัน เด็กหนุ่มสำรวจใบหน้าเหี่ยวย่นของชายแก่แปลกหน้าที่แสนคุ้นตาในความทรงจำ ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อยก่อนจะส่งเสียงเรียกแผ่วเบาออกจากลำคอแห้งผาก



“ลุงเค่อ…”



ลี่หมิงหลุดปากเรียกชื่อชายรับใช้เก่าแก่ของตัวเอง การได้พบคนรู้จักช่วยให้โล่งอกเหมือนยกภูเขาออกไปทั้งลูก ทว่าอึดใจถัดมาเด็กหนุ่มนิ่งงันลืมหายใจชั่วขณะเมื่อความจริงตีแสกหน้าประหนึ่งถูกอาม่าฟาดด้วยไม้ตียุง ลุงอะไรที่ไหนฟะ เกิดมาทั้งชีวิตไม่เคยมีลุงกับเขาสักคน ครึ่งคนก็ไม่มี ตั้งแต่จำความได้ก็มีแต่อาม่ามาตลอด มีแค่อาม่าคนเดียว อาม่าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในสามโลก ลี่หมิงที่สติหลุดเริ่มแสดงอาการตื่นตระหนกอย่างไม่อาจปิดบัง



“ขอรับท่านอ๋อง จางเฉินเค่อสมควรตาย ท่านอ๋องเจ็บปวดตรงไหนมากหรือไม่ขอรับ” ลุงเค่อพูดจาลนลาน มือเหี่ยวย่นจับแตะต้องตัวเด็กหนุ่มไปทุกข้อกระดูกด้วยความเป็นห่วงเป็นไยราวกับลูกในไส้



เดี๋ยวลุง ลุงเรียกใครท่านอ๋อง โอ๊ย ปวดหัวชะมัด เมื่อกี้ไม้เซลฟี่ฟาดหัวหรือไงฟะ ภาพบ้าบออะไรเต็มหัวไปหมด



จางเฉินเค่อเห็นลี่หมิงมีท่าทีทรมานก้มหน้าเอามือกุมหัวแน่น รีบตะโกนสั่งให้คนข้างหลังที่วิ่งตามมาสมทบเร่งแบกหามพาท่านอ๋องไปรับการรักษา ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่สี่ห้าคนพุ่งเข้ามาหาลี่หมิงอย่างแข็งขัน ร่างกายที่ล่ำสันเหมือนกินเวย์โปรตีนมาแล้วหลายกระปุกยิ่งทำให้เว่ยลี่หมิงที่ยังคงตื่นตระหนกกับความทรงจำแปลกประหลาดในหัวตัดสินใจได้ว่าไม่อยากจะโดนใครหน้าไหนแตะต้องทั้งนั้น เด็กหนุ่มรีบชิงลุกพรวดขึ้นยืนโดยไม่ทันให้ใครตั้งตัว



“อา...อืม...ลุงเค่อ...คือว่า...ข...ข้าไม่เป็นอะไรมาก ไม่ต้องเป็นกังวลไป ข…ข้า…เดินเองได้”



“ท่านอ๋อง...”จางเฉินเค่อเบิกตากว้างแทบไม่อยากจะเชื่อสายตนเอง



ลี่หมิงปวดหัวตุบๆ ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สมองไม่สามารถประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไปได้ ความทรงจำใหม่ที่ถาโถมเข้ามารวมกับความทรงจำของเว่ยลี่หมิงทำให้รู้สึกว่าเป็นทั้งตัวเองและไม่ใช่ตัวเองในเวลาเดียวกัน ราวกับจิตวิญญาณได้เข้ามาอยู่ในร่างของใครสักคนที่ควรจะเป็นเขาแต่กลับไม่ใช่เขา หัวสมองน้อยๆของลี่หมิงสับสนวุ่นวายกับความทรงจำที่ตีกันอยู่ในหัว ทั้งคำพูดคำจาที่หลุดออกมาจากปากนั้นก็ล้วนฟังดูแปลกประหลาด แต่ต่อให้แปลกประหลาดแค่ไหนลี่หมิงก็เป็นคนพูดมันออกมาเอง



เด็กหนุ่มเงยหน้ามองฟ้า ก้มหน้ามองดิน มองเท้าตัวเองที่เหลือรองเท้าผ้าใบที่อาม่าซื้อให้อยู่เพียงข้างเดียว โฮ นี่มันเกิดอะไรขึ้น อาม่า ลี่หมิงขอโทษ รองเท้าหายไปแล้วข้างนึง ต้องโดนอาม่าด่าแน่ๆ ลี่หมิงหายใจกระชั้นพยายามดึงสติ รู้ดีว่าสิ่งสำคัญตอนนี้ไม่ใช่รองเท้า แต่คือความจริงที่ตัวเขาไม่ใช่เว่ยลี่หมิงอีกต่อไปแล้ว ลี่หมิงเม้มปากแน่น สะกดกลั้นที่จะไม่สติแตกกระโดดไซด์คิกใครสักคนเพื่อถามว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้น



ความทรงจำใหม่ที่ได้รับบ่งบอกให้เด็กหนุ่มรู้ว่าเจ้าของร่างนี้คือ เว่ยเสวี่ยหมิงหรืออ๋องห้า ราชบุตรแห่งราชวงศ์เว่ยภายใต้แผ่นดินของหมิงเฉียนฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดา



เว่ยเสวี่ยหมิงเดินก้าวขึ้นมาเพื่อช่วยพยุงชายรับใช้ให้ลุกขึ้น หากแต่นอกจากลุงเค่อจะไม่ยอมลุกขึ้นยืนแล้วยังทำสีหน้าตื่นตกใจราวกับเป็นคนตกกำแพงเมืองจีนเสียเอง วินาทีถัดมาเมื่อเสวี่ยหมิงอ้าปากเตรียมเอื้อนเอ่ยคำพูดกลับถูกตะโกนขัดคอเสียงดัง



“ท่านอ๋อง สวรรค์เมตตายิ่งนัก ท่านเดินได้แล้ว ข้าน้อยจางเฉินเค่อขอบคุณสวรรค์”



สวรรรรรรรรรค์....ไยเหล่าเซียนช่างไร้เมตตา ไม่ส่งข้ามาเป็นอ๋องธรรมดา แต่เป็นอ๋องขาพิการงั้นเรอะ!!

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-04-2017 00:57:43 โดย anflierza »

ออฟไลน์ qDraftman

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ลงชื่อติดตามค่ะ :L2:

ออฟไลน์ anflierza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ตอนที่ 2 : ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำมั่วๆคือตัวข้าเอง



“ชาขาวเจ้าค่ะ ท่านอ๋อง”



“วางไว้ก่อนเถอะ หากเจ้าออกไปแล้วอย่าให้ใครเข้ามารบกวนจนกว่าจะถึงมื้อเย็น ข้าต้องการพักผ่อน”



“เจ้าค่ะ”



เว่ยลี่หมิงในร่างองค์ชายเสวี่ยหมิงแห่งตำหนักหงหลินเผยรอยยิ้มบางให้สาวใช้ สาวน้อยพยักหน้ารับคำอย่างเอียงอายไม่สบตาท่านอ๋องผู้งามล้ำ พลางปิดประตูลงอย่างเบามือ



เด็กหนุ่มเหม่อมองประตูที่เพิ่งปิดลงด้วยแววตาเลื่อนลอย รอยยิ้มที่มีเมื่อครู่พลันเลือนหายในเสี้ยววินาที สองมือยกขึ้นปิดหน้าพร้อมทำในสิ่งที่ลี่หมิงถนัดที่สุดมาตลอดสามวันคือ…



นั่งร้องไห้



สามวันผ่านไปแล้วนับตั้งแต่ลี่หมิงลืมตาตื่นขึ้นมาเป็นองค์ชายเสวี่ยหมิงหรือเยว่อ๋องแห่งราชวงศ์เว่ย ลี่หมิงยังทำใจไม่ได้ หรือพูดให้ถูกคือเด็กหนุ่มยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะทำใจจากเรื่องอะไร อันที่จริงการเป็นอ๋องนั้นแสนสุขสบาย มีคนรับใช้คอยปรนนิบัติพัดวีทุกย่างก้าวจนแทบจะไม่ต้องหายใจเองด้วยซ้ำ หากพูดว่าโชคร้ายที่กลายเป็นอ๋องก็คงเป็นการดูถูกท่านอ๋องทั้งราชอาณาจักร



แต่ถ้าจะให้พูดว่าโชคดีเหลือเกินที่ได้กลายเป็นองค์ชายนั่งกระดิกเท้าเกาขาสบายใจในตำหนักหงหลินที่ service เลิศ interior ล้ำ ไม่ต้องมาคอยถูกอาม่าไล่ให้ไปตากผ้าล้างจานก็คงจะไม่เหมาะสมกับสถานการณ์นัก เหตุการณ์น่าระทึกร่วงตกกำแพงเมืองจีนเมื่อสามวันที่แล้วยังคงติดตาตรึงจิตนิจนิรันดร์เหลือเกิน แล้วนี่ปลิวกระเด็นอีท่าไหนดันโผล่มายุคที่ไม่มีพรรคมิวนิสต์กับ KFC แถมมีร่างใหม่กับความทรงจำแสนไฉไลอยู่เต็มหัวอีก! ว้าววว พ่องงง ใครมันจะไปทำใจได้ฟะ!!



ชาขาวอุ่นๆบนโต๊ะส่งกลิ่นหอมน่าลิ้มลอง ลี่หมิงหักห้ามใจไม่ยกดื่มดับกระหาย ในยุคที่ความเจริญจากศตวรรษที่ 20 ยังเข้าไม่ถึง ห้องน้ำโบราณนั้นเพียงแค่นึกถึงก็รู้สึกขมคอขึ้นมา การหลีกเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำบ่อยๆคงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เด็กหนุ่มคิดถึงอาม่ามากเกินบรรยาย แต่ความห่วงหาอาลัยที่มีให้กับชักโครก American Standard ที่บ้านก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลยสักนิด



เด็กหนุ่มเมินหน้าหนีถ้วยชากระเบื้องเคลือบลายคล้ายไก่ไม่ก็นกที่คงจะถูกวางอยู่อย่างนั้นไปจนเย็น หลับตากอดอก หนุนตะแคงศีรษะลงบนโต๊ะ ตลอดสามวันที่ผ่านมาลี่หมิงผู้ชาญฉลาดได้ทำการนั่งเทียนบำเพ็ญเพียรคิดคำนวนความน่าจะเป็นของเรื่องราวที่เกิดขึ้น เมื่อบวกความรู้จากละครแนวย้อนยุคกลับชาติมาเกิดที่เคยดูกับอาม่า ลบกับส้วมโบราณชวนคลื่นเหียน คูณอาหารพระราชวังรสเลิศ แล้วหารกับความรู้สึกที่แยกไม่ออกบอกไม่ถูกจึงได้ข้อสรุปว่าองค์ชายเว่ยเสวี่ยหมิงต้องเป็นตนเองในอดีตชาติแน่ๆ



ภาพความทรงจำรันทดหดหู่มากมายของเสวี่ยหมิงปรากฏให้เห็นทุกครั้งเมื่อหลับตาลงราวกับเป็นภาพยนตร์ชีวิตที่เล่นไม่รู้จบ ทั้งความรู้สึกยินดียินร้าย เศร้าโศก คำกล่าวโทษนรก ติเตียนสวรรค์ ทั้งหมดนั้นล้วนเข้ามาอยู่ในจิตสำนึกการรับรู้ทั้งหมดของลี่หมิง ต่อให้รูปร่างหน้าตาภายนอกจะแปรเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอย่างไร แต่เพราะความเชื่อมั่นสุดหัวใจในทฤษฎีละครจีนที่เคยดู ทำให้เด็กหนุ่มคิดอย่างมั่นอกมั่นใจว่าเสวี่ยหมิงเป็นหนึ่งในอดีตภพของตัวเองแน่นอน



นี่ต้องเป็นความผิดพลาดสักอย่างของสวรรค์ที่มั่วซั่วส่งวิญญาณกลับมาเข้าร่างเก่าในอดีตแน่ๆ เด็กหนุ่มที่ยังฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะสะอื้นไห้ไปพร้อมกับแค่นหัวเราะแห้งๆในข้อสรุปสุดหลุดโลกของตัวเอง อย่างน้อยคิดได้แบบนี้ก็สบายใจกว่าคิดว่าไปเข้าร่างไร้วิญญาณของใครก็ไม่รู้เป็นไหนๆ…



ลี่หมิงเหลือบมองไอโฟนไม่เข้ายุคสมัยบนโต๊ะไม้ขัดเงาหน้าตาราคาแพง ในใจนึกอยากหยิบมาเปิดเข้า facebook ตั้งสเตตัสชักดิ้นชักงอหมดอาลัยตายอยาก ณ พื้นตำหนักหงหลิน การข้ามภพกลับมาใช้ชีวิตในอดีตแน่นอนว่าไม่ได้ทำใจได้ง่ายเหมือนละครจีนที่นั่งดูกับอาม่า เด็กหนุ่มเคยลองคิดเล่นๆดูเหมือนกันว่าหากชีวิตไม่มีอินเตอร์เน็ตจะน่าเบื่อแค่ไหน ไม่นึกเลยว่าเมื่อกระเด็นมาอยู่ในยุคโบราณที่ไร้อินเตอร์เน็ตจริงๆจะเหมือนกับการไปท่องดาวอังคารแล้วลืมถังอ๊อกซิเจนไว้บ้านอาม่า ไอโฟนที่อุตส่าห์ติดมากับไม้เซลฟี่คงมีคุณค่าแค่ใช้ทับกระดาษและเป็นไม้เกาหลังที่ยาวเกินไป



เมื่อนึกถึงไม้เซลฟี่ก็ดันนึกถึงอาม่าขึ้นมา และทุกครั้งที่ลี่หมิงนึกถึงอาม่าก็อยากจะกระโดดหน้าต่างตำหนักตายให้รู้แล้วรู้รอดไปซะ แต่น่าเสียดายที่ตำหนักหงหลินเป็นเพียงเรือนไม้ชั้นเดียว หากพุ่งออกไปนอกจากจะไม่ตายแล้ว อาจถูกติฉินนินทาได้ว่าไม่สำรวมกิริยามารยาทความเป็นอ๋อง



รู้ทั้งรู้ว่าคิดมากไปก็ไม่ช่วยอะไร แต่เด็กหนุ่มก็อดหวั่นวิตกกับชะตากรรมของอาม่าไม่ได้ จริงๆแล้วคงไม่ต้องคิดมากขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าพาส-ปอร์ต-ของ-อา-ม่าดันติดมาด้วย!!!!! เพราะนอกเหนือจากไม้เซลฟี่โง่ๆกับไอโฟนไร้ประโยชน์แล้ว กระเป๋าถือสี่มิติของอาม่าก็ตกอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พบกับลุงเค่อครั้งแรก ลี่หมิงกระแทกหน้าผากลงกับโต๊ะถี่ๆ ถ้าอาม่าโดนจับข้อหาลักลอบเข้าเมืองไปแล้วจะทำยังไงดี แล้วป่านนี้อาม่าจะขวัญเสียแค่ไหนที่เห็นหลานชายร่วงลงไปต่อหน้าต่อตา



กิจกรรมที่คอยเบนความว้าวุ่นใจของลี่หมิงได้ดีคงเป็นการมาเยี่ยมเยียนอย่างไม่ขาดสายจากผู้คนมากมาย หลังจากราชสำนักประกาศว่าเยว่อ๋องกลับมาเดินได้และมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ดีดังเดิม บรรดาเหล่าเชื้อพระวงศ์รวมไปถึงมิตรแท้และสหายเทียมทั้งหลายต่างพากันมากล่าวแสดงความยินดีกับเสวี่ยหมิง แต่ยิ่งได้ยินคำกล่าวขอบคุณปาฏิหาริย์สวรรค์มากเท่าใด เด็กหนุ่มกลับยิ่งรู้สึกไม่พอใจขึ้นทุกวัน



โทษสวรรค์เถอะ! จะให้กลับมาทำซากอะไร!! Wi-Fi ก็ไม่มี 4G ก็มาไม่ถึง ฮ่วย!!!



ลี่หมิงเงยหน้าขึ้น เอื้อมมือพลิกคันฉ่องกลมๆลายเต่าที่คว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะมาส่องดู ทั้งหน้าตาและร่างกายของเสวี่ยหมิงไม่มีส่วนใดเหมือนลี่หมิงแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มค่อนข้างผิดหวังกับรูปร่างผอมบางที่เอาไปต่อยตีกับใครก็คงกระดูกหักช้ำในตายไปก่อน ยังดีที่สวรรค์ทดแทนกล้ามเนื้อที่ขาดแคลนด้วยเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบ เจ้าของนัยน์ตาสีอ่อนที่สะท้อนในกระจกกระพริบไล่หยาดน้ำตาพราวในแพขนตา แม้ใบหน้ามนได้รูปจะผ่านการร้องไห้จนผลัดสีทับทิมฝาด แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้ความงามอ่อนเยาว์ประดุจเหล่าเทพเทวาบนผืนภาพวาดลดเลือนลง ทั้งเรือนผมนิลกาฬที่ทิ้งตัวลงจรดเอวและริมฝีปากคู่บางละมุนละไม ทั้งหมดเมื่อรวมกันกลับให้ความรู้สึกลงตัวอย่างน่าประหลาด



เว่ยเสวี่ยหมิงแม้เป็นบุรุษแต่กลับมีรูปลักษณ์งดงาม ยากจะหาชายหญิงใดในแว่นแคว้นมาเทียบเคียง ทั้งสติปัญญาและวาจาดั่งปราชญ์ ยิ่งเสริมให้การเป็นหนึ่งในราชบุตรคนโปรดของหมิงเฉียนฮ่องเต้ไม่ใช่สิ่งเหนือความคาดหมาย



หลังจากวันคล้ายวันพระราชสมภพ 15 ชันษา เสวี่ยหมิงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เยว่อ๋องจากพระบิดาให้ไปเป็นอ๋องกินเมือง* ที่เมืองเยว่ หากแต่องค์ชายผู้ควรมีอนาคตไกล กลับมีชะตาพลิกผันกลายเป็นเพียงอ๋องแต่ในนาม ไร้ซึ่งอำนาจที่องค์ชายผู้ได้รับบรรดาศักดิ์พึงมี



เปลือกตาทั้งสองข้างของลี่หมิงปิดลงอย่างอ่อนล้าอีกครั้งเมื่อนึกถึงชีวิตประดุจพระเอกละครหลังข่าวของอ๋องห้า เด็กหนุ่มเพียงนั่งนิ่ง ปาดคราบน้ำตาเปรอะเปื้อน ปล่อยให้ความทรงจำของเสวี่ยหมิงโลดแล่นในมโนสำนึก



“หลิวเต๋อเฟย** สิ้นพระชนม์แล้วพะยะค่ะ”



หมอหลวงกล่าวพลางก้มศีรษะมองพื้นเพื่อเลี่ยงการสบตากับองค์ชายผู้หัวใจแตกสลาย



ราวกับโลกทั้งใบจบสิ้นลง เสวี่ยหมิงไม่สามารถแม้แต่จะเอื้อนเอ่ยความเศร้าโศกที่มีออกมาเป็นคำพูดได้ ร่างกายที่ด้านชาหยุดนิ่งลงตรงข้างเตียงไม้แสนคุ้นเคย ที่บัดนี้ดูราวกับถูกสร้างมาเพื่อเป็นแท่นวางร่างพระศพซีดเผือดไร้วิญญาณของพระมารดาผู้เป็นพระสนมคนโปรดของหมิงเฉียนฮ่องเต้



“เสด็จแม่ เหตุใดจึงจากข้าไปเร็วยิ่งนัก…”



อ๋องห้าทรุดตัวลงข้างเตียงสะอื้นไห้ตัวโยน นึกน้อยใจโชคชะตาที่สวรรค์รีบพรากพระมารดาไปจากตน องค์ชายน้อยหลั่งน้ำตาแห่งความโศกาอาดูรเป็นครั้งสุดท้าย ดวงใจที่แสนสับสนไม่เข้าใจว่าเหตุใดในวันที่ทุกข์ยากทางจิตใจเช่นนี้ พระบิดากลับไม่แม้แต่ชายตามาเหลียวแล จะมีก็แต่เหล่าคนรับใช้เก่าแก่ของตำหนักที่ต่างพากันร่ำไห้ต่อการจากไปของนายหญิงผู้เปี่ยมด้วยเมตตา



หลังผ่านพ้นพิธีฝังพระศพของพระมารดาไปเพียงไม่นาน เสวี่ยหมิงบังเอิญไปได้ยินเหล่าคนรับใช้จากตำหนักอื่นจับกลุ่มพูดคุยสัพเพเหระ ชื่อของพระมารดาที่ปรากฏขึ้นในบทสนทนาเรียกให้องค์ชายหนุ่มหยุดยืนแอบฟังอย่างไม่สมฐานะ



“เจ้ารู้ไหม ข้าได้ยินพวกคนจากตำหนักลู่เอินพูดกันว่าหลิวเต๋อเฟยถูกลอบวางยาพิษเป็นเพราะมีคนอิจฉาองศ์ชายเสวี่ยหมิงที่ได้รับถาบรรดาศักดิ์อ๋อง แม้จะได้ไปเป็นแค่อ๋องกินเมืองที่อยู่ชายแดนก็เถอะ”



“นี่ยังไม่นับรวมที่ไปเป็นราชบุตรคนโปรดของฮ่องเต้จนไปขัดหูขัดตาพวกขุนนางที่สนับสนุนองค์รัชทายาทอีก”



“เออ ใช่ ข้าก็ได้ยินมาว่าจริงๆแล้ว วันนั้น…”



เสวี่ยหมิงที่ยืนฟังอยู่ไม่ไกลกัดฟันแน่น หัวใจแสนบอบช้ำที่โกรธแค้นนึกอยากสั่งลงโทษคนปากพล่อยทั้งหลาย ความจริงคืออะไรต่อให้พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินใช่ว่าจะได้คำตอบที่แน่ชัด เมื่อไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป เสวี่ยหมิงจึงค่อยๆหันหลังเดินเลี่ยงออกมาไปยังโรงเก็บม้าหลังอุทยาน



คนรับใช้ในคอกม้าโค้งคำนับให้องค์ชายหนุ่ม เสวี่ยหมิงจูงม้าศึกสีน้ำตาลอมทองของตนออกมาก่อนตวัดขาขึ้นขี่ม้าคู่ใจห้อตะบึงพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าเพื่อปลดปล่อยความเศร้าโศกที่ทะลักล้นไปกับความเร็วและสายลมที่ปะทะร่างกาย แต่แล้วองค์ชายหนุ่มกลับค่อยๆหลับตาลง ปล่อยมือออกจากบังเหียนพร้อมกับเหวี่ยงตนเองลงมาจากม้าที่ไร้การควบคุม ในช่วงเวลานั้นเว่ยเสวี่ยหมิงคิดเพียงแค่ว่าคงดีไม่น้อยหากสวรรค์จะรีบมารับตัวเขาขึ้นไปอยู่กับเสด็จแม่




หากแต่ความปรารถนานั้นไม่ได้เป็นจริง ซ้ำร้ายเหตุการณ์ในครั้งนั้นกลับทำให้อ๋องห้ากลายเป็นองค์ชายขาพิการนับแต่นั้นเป็นต้นมา แต่กระนั้นความทรงจำที่ลี่หมิงได้รับปรากฏภาพของชายหนุ่มที่พร่ำบอกคนรอบตัวว่าตนนั้นมิอาจลุกยืนเดินได้ด้วยตนเองอีกแล้ว กลับย่างก้าวลงเท้าเบาเดินวนเวียนลุกนั่งอยู่ในห้องหับที่ปิดมิดชิดของตนยามมิมีผู้ใดคอยเฝ้าดู



แท้จริงแล้ว อ๋องห้าผู้อับจนหนทางเพียงเสแสร้งแกล้งทำเป็นขาพิการมาตลอดเจ็ดปีเพื่อให้ตนหมดสิทธิ์ในบัลลังค์มังกร ยุติปัญหาความวุ่นวายทั้งหลายทั้งมวลให้จบสิ้นลง



เมื่อขาดซึ่งความเพรียบพร้อมและสมรรถภาพที่ควรมี หมิงเฉียนฮ่องเต้จึงได้แต่งตั้งผู้แทนผู้ครองเมืองไปประจำที่เมืองเยว่ โดยที่อ๋องห้าจะมีโอกาสได้เดินทางไปตรวจการณ์เพียงยามที่มีกิจราชการเร่งด่วนจำเป็นเท่านั้น



พระนามพระราชทาน “เยว่อ๋อง” จึงกลับกลายเป็นเพียงยศลอย หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นหนามยอกอกที่เว่ยเสวี่ยหมิงไม่อาจหาหนทางกำจัดออกจากจิตใจได้เลย



นี่ข้ากำลังนั่งดูละครย้อนยุคตอนบ่ายกับอาม่าอยู่รึไง ตัวเอกเรื่องนี้ช่างน่าสงสารเหลือเกิน นอกจากจะไม่มีแม่แล้ว พอขาพิการไปพ่อผู้เคยเคยรักใคร่กลับไม่มาใส่ใจดูแลเหมือนเดิม ขนาดแค่น้ำเต้าหู้หน้าปากซอยก็ยังไม่ซื้อมาฝากลูกฝากหลานเลยอ่ะม่า และที่แย่คือมันดันเป็นชีวิตจริงของคนๆนึง ไม่ใช่หนังย้อนยุคที่ไหน แล้วข…ข้า… ดันกลายเป็นคนผู้นั้นไปซะแล้ว!



ทีนี้จะทำยังไงดี โถถัง กะละมัง หม้อ...แผนตลอดเจ็ดปีที่เยว่อ๋องอดทนทำมา ข้าดันทำความพยายามของเจ้าของร่างพังพินาศ! เพิ่งมาถึงก็เดินเอาเดินเอา ก็ใครมันจะไปตรัสรู้ได้เล่าว่าไม่อยากเดินได้!!



ยิ่งคิดยิ่งเครียดเหลือเกิน ดีนะมียาแก้ปวดเศียรเวียนเกล้าของอาม่าติดมาด้วยกระปุกหนึ่ง แอบเอามากินสักเม็ดแล้วออกไปเดินเล่นดูเต่าในสระบัวเพื่อความผ่อนคลายสบายตาคงจะดีกว่านั่งอุดอู้ดมตดตัวเองอยู่ในตำหนัก



แม้ตอนนี้องค์ชายเสวี่ยหมิงจะกลับมาใช้ขาทั้งสองข้างได้เป็นปกติแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากลุงเค่อให้ออกไปเตรดเตร่ เดินเร่ทั่วตำหนักได้อย่างอิสระมากเท่าใดนัก ลี่หมิงจึงหมดพลังชีวิตส่วนมากไปกับการพยายามโน้มน้าวพ่อบ้านประจำตำหนักให้ปล่อยตนออกไปเดินเล่น ย่ำหญ้าเหยียบหนอนในอุทยานหลังตำหนักบ้างอะไรบ้าง



“ท่านอ๋องต้องไม่ไปไกลมากนะขอรับ อีกประเดี๋ยวข้าน้อยจะให้คนไปตามดู…”



จางเฉินเค่อผู้ขี้วิตกกังวลตามประสาคนแก่ ปฏิบัติกับเสวี่ยหมิงเหมือนเป็นเด็กห้าขวบมาขออนุญาตพ่อไปว่ายน้ำฝั่งผู้ใหญ่ที่น้ำลึกเกินเมตรครึ่ง ลุงเค่อมีท่าทีเว้าวอนอิดออดและไม่คิดจะหยุดพูดจนผู้เป็นนายยกมือขึ้นขัด 



“ลุงเค่อ เมื่อวานข้าก็ไปมาวันก่อนก็ยังไปมาแล้ว ข้าไม่หกล้ม ไม่ตกน้ำ ขอแค่เห็นเต่าผลุบหัวขึ้นมาสองทีก็จะกลับ เช่นนี้ดีไหม พอใจหรือไม่”



แม้จะเหนื่อยใจเพียงใดลี่หมิงก็เข้าใจในความรักนายเยี่ยงลูกของลุงเค่อ ไม่ต้องกังวลนะลุง ตอนนี้เสวี่ยหมิงเป็นเว่ยลี่หมิงแล้ว แม้ไม่รู้ว่าช่วงเวลาที่ข้ายืนหายใจอยู่มันเป็นยุคไหนในประวัติศาสตร์และไม่รู้ด้วยว่าสัตว์ดึกดำบรรพ์อะไรจะยังมีชีวิตอยู่บ้าง แต่ต่อให้วันนี้มีแรดพันปีพุ่งชนข้าก็ตีลังกากระโดดถีบได้



ในที่สุดลี่หมิงก็ได้ออกมาเดินทอดน่องส่องเงาตัวเองอยู่ริมสระน้ำในอุทยานเหอฮวา สองขาก้าวเดินอย่างเอ้อระเหย ยิ้มแย้มเบิกบานใจสูดอากาศยามบ่าย พร้อมกับกำชับให้เหล่าองครักษ์และสาวใช้ไปช่วยยืนอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ ไม่ต้องคอยเดินชิดตามติดจนแทบจะเป็นเงาให้อึดอัดรำคาญใจ



เด็กหนุ่มค้อมหัวลงดูเต่าผลุบหัวโผล่หางได้ไม่นานก็เริ่มหมดความสนใจ ลี่หมิงเบนสายตาพยายามสอดส่องหาปลาโลมาในสระบัว หรือต่อให้ไม่มีโลมา ก็ขอแค่ได้เห็นปลาตัวใหญ่ๆที่ไม่น่าเบื่อเหมือนเต่าขาสั้นก็พอ มองหาเป้าหมายใหม่ได้ไม่ทันไร ภาพสะท้อนในเงาน้ำข้างกระดองเต่ากลับปรากฏใบหน้ายื่นเข้ามาใกล้ ลี่หมิงหมุนตัวตวัดขาเป็นวงกว้าง ความตกใจเป็นเหตุให้ตัดสินใจถีบเจ้าคนแปลกหน้าตกสระบัวไปอย่างไม่ลังเลด้วยสัญชาตญานของนักเทควันโดที่เป็นผลพลอยได้จากการถูกซ้อม เอ้ย ฝึกซ้อมมากว่าทศวรรษ



เอาแล้ว ถีบใครไปวะ!! ทหาร? ลุงเค่อ? คนสวน? หรือแรดพันปี!?



เต่าตัวน้อยใหญ่ทั้งหลายต่างพากันแหวกว่ายหนีความโกลาหลเล็กๆในสระน้ำ ชายแปลกหน้าค่อยๆลุกยืนในสระแสนตื้นอย่างเชื่องช้าพลางส่งเสียงร้องโอดครวญแผ่วเบา ชายผู้มาอยู่ผิดที่ผิดเวลาพยายามสะบัดซากพืชน้ำและใบบัวออกจากร่างกายด้วยท่วงท่าสง่างามดั่งวิหคสวรรค์ มือข้างหนึ่งจัดแจงอาภรณ์ให้เข้าที่ อีกข้างยกขึ้นเสยเรือนผม สะบัดปอยเปียกลู่ให้พ้นใบหน้า เผยให้เห็นดวงตาที่อ่อนโยนหากก็แฝงไปด้วยความแข็งกร้าวทรงพลังราวกับรู้ทันทุกสรรพสิ่ง ดวงหน้าหล่อเหลาพราวประกายด้วยหยดน้ำขยับยกริมฝีปากส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้กับเสวี่ยหมิง น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอื้อนเอ่ยคำทักทายด้วยความเอ็นดู



“หมิงเอ๋อร์ นี่พี่เอง เจ้าตกใจมากหรือ”



ลี่หมิงในร่างเว่ยเสวี่ยหมิงยืนกอดตัวเองอยู่ริมสระ ขนลุกกับรอยยิ้มหวานเลี่ยนและออร่าเปล่งประกายพิลึกของชายผู้ยืนประจันหน้า เด็กหนุ่มเหม่อมองใบหน้าและแววตาที่แสนคุ้นเคย ชายไร้มารยาทผู้ไม่รู้จักส่งเสียงเรียกก่อนเข้าใกล้ผู้นี้ ไม่ใช่บุคคลที่ดูแปลกตาในความทรงจำของเสวี่ยหมิงเลยแม้แต่น้อย เมื่อรับรู้ว่าตัวเองบังอาจทำอะไรลงไป ลี่หมิงรู้สึกหน้าชา ตัวแข็ง เลือดไม่ไหลเวียน ลมหายใจติดขัด หน้ามืดตามัว ตัวอ่อนแรง ต้องการยาดมเซียงเพียวอิ๊วขึ้นมาในทันที



“ได้เห็นเจ้าแข็งแรงดีเช่นนี้พี่ก็สบายใจ”



“อ..องค์รัชทายาท!!!”



อ้ากกกก สวรรค์ท่านเล่นตลกพอรึยัง!ให้ข้ากระโดดถีบองค์รัชทายาท มันชักจะเริ่มไม่ตลกแล้ววว!!

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คำอธิบายเพิ่มเติม:

*อ๋องกินเมือง หมายถึง อ๋องที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ไปครองเมืองที่อยู่ไกลออกไป ส่วนใหญ่แล้วเพื่อไม่ให้อยู่คานอำนาจกับรัชทายาทในเมืองหลวง
**เต๋อเฟยเป็นหนึ่งในตำแหน่งนางสนมของฮ่องเต้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-04-2017 01:43:44 โดย anflierza »

ออฟไลน์ anflierza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ตอนที่ 3 : หาเหาใส่หัว ต้องเอาตัวให้รอด


ข้ารับใช้ติดตามของสององค์ชายต่างพากันแตกตื่นโหวกเหวกโวยวาย วิ่งกรูเข้ามาพยุงร่างเปียกโชกขององค์รัชทายาทขึ้นจากสระบัว ลี่หมิงหายใจไม่ทั่วท้อง ยืนหน้าซีดตัวเกร็งไม่แน่ใจว่าควรทำเช่นไรต่อไป



“หมิงเอ๋อร์ เด็กดื้อ ไยจึงเรียกพี่ของเจ้าอย่างห่างเหินเช่นนั้น โกรธพี่หรือกระไร หมิงเอ๋อร์...เหตุใดจึงนิ่งไปเล่า”



ข้าไม่ได้นิ่งแค่ตกใจจนเกือบถึงแก่พิราลัยไปแล้วเท่านั้น ใช่ว่าข้าจะไม่เคยพบหน้าองค์รัชทายาทมาก่อน เออ จะว่าไปก็ไม่เคยเจอจริงๆนี่หว่า มีแต่เสวี่ยหมิงที่รู้จักเจ้าคนยิ้มหลอนสะท้านโลกผู้นี้ แล้วนี่มันคนบ้าอะไร เทพเซียนทั้งสวรรค์ประชุมร่วมกันสร้างสรรค์ปั้นแต่งมาเกิดงั้นหรือ ตกน้ำ เลอะโคลน สาหร่ายตะไคร่เกาะเต็มหัวยังหล่อเฟี้ยวฟ้าวออร่าพุ่ง อดีตนายแบบอย่างลี่หมิงอยากขอคารวะสามจอกด้วยน้ำในบ่อเต่า



องค์รัชทายาทเว่ยเหวินหลงในร่างชุ่มโชกยืนชิดริมขอบสระ โบกมือเป็นเชิงให้เหล่าผู้ติดตามทั้งหลายกลับไปยืนประจำตำแหน่งเดิม หวงไท่จื่อ*แห่งราชวงศ์เว่ยเผยรอยยิ้มสว่างไสวผิดมนุษย์มนา จ้องมองใบหน้างามล้ำของพระอนุชาต่างมารดาอย่างเฝ้ารอคำตอบ ลี่หมิงทิ้งตัวลงคุกเข่า ความผิดยิ่งใหญ่ถึงขั้นลอบทำร้ายองค์รัชทายาท จะแก้ตัวเอาหัวโขกพื้นขอขมาเลียนแบบละครจีนอย่างไรก็ดูไม่มีทางรอดเอาเสียเลย



“องค์รัชทายาท ข...ข้าไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ โปรดอภัยที่ข้าได้ล่วงเกิน ข้า..”



“พี่เคยบอกให้เรียกเช่นไร”



“องค์รัชท...”กลัวฉี่แทบจะราดอยู่แล้วมาถามบ้าบออะไรตอนนี้เล่า!



“หมิงเอ๋อร์ อย่าดื้อ”



“เสด็จพี่...”เหวินหลงเผยรอยยิ้มพึงพอใจ สาวเท้าเข้าประชิดลี่หมิงที่ทรุดตัวคุกเข่าก้มหน้า เอื้อมคว้าข้อมือพยุงพระอนุชาให้ลุกขึ้นยืนเสมอตน



“หมิงเอ๋อร์ลุกขึ้นเถิด คิดมากไปไย นี่พี่เจ้าหาใช่คนอื่นไกลที่ไห...”



ด้วยอารามตกใจดั่งนกหวาดเกาทัณฑ์ ลี่หมิงสะบัดมือเย็นที่เข้าเกาะกุมออก เสวี่ยหมิงกับองค์รัชทายาทมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างไร เด็กหนุ่มกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นไปด้วยแม้จะได้รับความทรงจำมาทั้งหมดก็ตามที สำหรับลี่หมิงแล้วองค์รัชทายาทเป็นเพียงพี่ชายแปลกหน้าคนหนึ่งที่หน้าตาดีเกินไปก็เท่านั้น ลี่หมิงหน้าซีดเมื่อเห็นสีหน้านิ่งอึ้งของคนผู้พี่ นี่มันความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรกชัดๆ



อาม่าผมควรจะขอโทษคนที่เราเผลอเหยียบเท้าเขาไปแล้วดันไปเหยียบซ้ำอีกรอบยังไงดี...



“องค์รัชท...เสด็จพี่เหวินหลง ได้โปรดยกโทษในความผิดไม่น่าให้อภัยครั้งนี้ด้วยเถิดพะยะค่ะ ข้าเพียง...”



“เด็กโง่ ใครจะถือสาหาความเจ้ากัน” เด็กหนุ่มเกือบยิ้มออก องค์รัชทายาทช่างมีเมตตาผิดจากที่คาดยิ่งนัก



“ขอบพระทั....”



“หากใครกล้ามีปัญหากับเจ้า พี่จะจับมันฝังกลบให้หมดทั้งสกุล”



“.........” ลี่หมิงหุบปากแทบไม่ทัน คนพรรค์ใดกันคำขอโทษไม่รับมิหนำซ้ำยังขู่จะฆ่าผู้อื่นให้ฟังอีก หากคนที่ถือสาหาความข้าผู้นั้นเป็นฮ่องเต้เล่า! ท่านจะเข่นฆ่าทั้งราชวงศ์ให้หมดสิ้นแล้วกระโดดลงหลุมไปด้วยกันหรืออย่างไร แน่นอนว่าคนที่ท่านจะฝังก็รวมข้าด้วยมิใช่หรือ!?



คิดแล้วก็อยากจะร้องไห้ ในวันหน้าหากมีปัญหากับพี่น้องคนใด รีบเมตตาให้อภัยกันไปคงดีเสียกว่ารอให้เรื่องไปถึงหูพี่ชายบ้าเลือด เด็กหนุ่มลืมเสียสนิทว่าคนในยุคโบราณนั้นแท้จริงแล้วฆ่าแกงกันง่ายดายเหลือแสน วันนี้เอ่ยคารวะเมื่อพานพบ วันหน้าชักดาบตามล่าเจ้าฆ่าพ่อข้าล้างแค้นสิ้นตระกูล



นี่ข้า...ยังเหลือโควต้าล่วงเกินรัชทายาทอยู่อีกไหม หรือพลาดอีกครั้งแล้วจะเข้าโปรโมชั่นไปเกิดใหม่ได้เลย?



ความทรงจำที่เสวี่ยหมิงมีต่อองค์รัชทายาทไม่มีสิ่งใดที่เรียกได้ว่าเป็นประโยชน์เลยแม้แต่น้อย เว่ยเหวินหลงวันๆนอกจากจะชอบแสดงความเอ็นดูเสวี่ยหมิงจนน่าขนลุกแล้ว ก็แสนจะถนัดใช้ใบหน้าหล่อเหลาที่มาพร้อมแพคเกจยิ้มหลอกลวงผู้บริโภคจนทำให้เป็นที่รักใคร่ของเหล่าไพร่ฟ้าและข้าบริวาร



หรือที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่าตอแหลนั่นแหละ...



“หมิงเอ๋อร์ ขมวดคิ้วคิดมากอันใดอีก เมื่อครู่หลังจากเข้าเฝ้าเสด็จพ่อพี่แวะไปหาเจ้าที่ตำหนัก แต่พ่อบ้านกลับบอกว่าเจ้าออกมาเดินเล่นอยู่ที่นี่ ได้ยินว่าสุขภาพของเจ้าดีขึ้นมากแล้ว เมื่อแต่ก่อนเจ้าไม่มีโอกาสได้ไปไหนมาไหนมากนัก พี่ตั้งใจจะพาเจ้าไปเดินเปิดหูเปิดตานอกรั้ววัง เจ้าว่าดีหรือไม่”



ไม่ดี!



“เสด็จพี่โปรดเข้าใจ ข้ายัง...” ข้ายังไม่อยากไปกับท่าน เข้าใจหรือไม่ ผู้คนสติดีที่ไหนจะอยากไปไหนมาไหนกับคนที่เอ่ยปากเป็นขู่ฆ่าล้างเจ็ดชั่วโคตรอย่างท่าน!



“หรือขาของเจ้ายังเจ็บอยู่ คงไม่ใช่สาเหตุนั้นกระมังพี่สัมผัสได้ว่าขาของเจ้าปกติดียิ่งนักราวกับได้รับคำอวยพรจากเหล่าเทพ” ขาข้ามันดันปกติดีจนท่านสัมผัสได้ถึงลูกถีบหนักหน่วงจึงได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาขู่ใช่หรือไม่ บอกมาตรงๆเลยเถอะ ท่านจะแขวะข้าหรือเป็นห่วงข้ากันแน่



“ขอบพระทัยความห่วงใยของเสด็จพี่ ขาของข้าไม่มีสิ่งใดให้กังวล ข้าเพียงไม่อยากรบกวน…”



“เหลวไหล หมิงเอ๋อร์ อยู่กับพี่ไม่ต้องมากมารยาท พี่เพียงต้องการเห็นเจ้าสบายใจกลับมายิ้มได้ดังเดิมเท่านั้น พี่จะกลับไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้วอีกครึ่งชั่วยามจะไปรับเจ้าที่ตำหนัก เจ้าเห็นเป็นเช่นไร”



“หากเสด็จพี่กล่าวถึงเช่นนั้นข้าก็มิกล้าขัดพระทัย” เออ ก็คิดเองเออเองเสร็จสรรพไปแล้ว ข้าจะเห็นเป็นอื่นใดไปได้อีกเล่า อยากเห็นข้าสบายใจงั้นหรือเสด็จพี่ วาจามัดมือชกของท่านช่วยให้ข้าสบายใจเสียเหลือเกิน อย่างไรข้าก็เพิ่งโดดถีบท่านตกสระน้ำไป ถ้าเปิดการ์ดขัดใจตอนนี้เกรงว่าจะได้กลายเป็นอาหารเต่าไปเสียก่อน



“ดี แล้วพี่จะรีบไปรับเจ้า”องค์รัชทายาทยกมือขึ้นลูบเรือนผมของพระอนุชาด้วยท่าทีรักใคร่เอ็นดู พร้อมทั้งยักคิ้วหลิ่วตาก่อนหมุนตัวหันหลังเดินจากไปพร้อมเหล่าผู้ติดตามด้วยท่วงท่าสง่าราวปักษาล่องนภา ลี่หมิงแอบเบ้หน้าอย่างอดไม่ได้ แค่จะเดินกลับตำหนักก็ยังเก็กได้อีก อยากรู้เหลือเกินจะหาใครในราชวงศ์เว่ยที่ท่ามากเท่าท่านได้อีกไหม



เด็กหนุ่มลอบถอนหายใจ เมื่อครู่จำต้องตกปากรับคำเชิญอย่างเสียไม่ได้ คนมีชนักติดหลังไหนเลยจะกล้าเอ่ยปากปฏิเสธ องค์รัชทายาทผู้มีจิตใจงามมากด้วยเมตตาตั้งแต่นั่งดูละครจีนกับอาม่ามายังแทบหาไม่ได้เลยสักคน แท้จริงนี่อาจเป็นแผนลวงไปฆ่าเพราะแค้นที่ถูกถีบตกบ่อเต่าก็เป็นได้ เอาวะ ปมใครผูกคนนั้นแก้ มามัวคิดมากตอนนี้ก็เสียเวลาเปล่า



ไม่ทันได้ถึงครึ่งชั่วยามดี องค์รัชทายาทผู้แจกรอยยิ้มพิมพ์ใจเป็นกิจวัตรก็มารับลี่หมิงในฉลองพระองค์ของคุณชายรูปงามตระกูลดี ลี่หมิงเองก็ได้รับการแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ให้สมเป็นคุณชายสูงศักดิ์เช่นกัน และเนื่องจากองค์รัชทายาทเป็นห่วงว่าพระอนุชาจะยังไม่แข็งแรงดีพอที่จะขึ้นขี่ม้าหลังจากห่างเหินการฝึกฝนมานานหลายปี จึงได้เสนอให้ค่อยๆเดินกันไปเรื่อยๆจะดีกับการฟื้นฟูร่างกายมากกว่า



ร้านรวงนอกรั้ววังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจากทั่วสารทิศ ลูกเด็กเล็กแดงวิ่งเล่นหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานไปตามประสา ทั้งผู้เฒ่าผู้แก่คนหนุ่มคนสาว บ้างอัตคัตบ้างมีอันจะกินล้วนเดินปะปนวนเวียนกันให้ขวักไขว่ ลี่หมิงที่คราแรกไม่ได้นึกอยากมาเริ่มยิ้มออก ตื่นตาตื่นใจไปกับของซื้อของขายแปลกตาที่หาไม่ได้ในรั้ววัง



“หมิงเอ๋อร์ หากเจ้าประสงค์สิ่งใด พี่จะซื้อให้ตามที่เจ้าปรารถนา” องค์รัชทายาทเอ่ยปากเป็นพ่อบุญทุ่ม เรียกให้รอยยิ้มบนใบหน้าลี่หมิงยิ่งกว้างขึ้นไปอีก



การมีพี่ชายช่างดีเหลือเกิน เมื่อก่อนไร้ญาติพี่น้องให้พึ่งพา จะมีก็แต่อาม่าที่คอยพร่ำบอกอยู่เสมอว่าอยากได้อะไรไม่ต้องมาบอกให้ไปทำงานหาเงินซื้อเอาเอง นอกจากแฟนเก่าสายเปย์ที่ไม่อยากจะนึกถึงแล้วก็ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าวันนึงจะมีพี่ชายสายเปย์กับเค้าขึ้นมาบ้าง อาา สวรรค์ ในที่สุดท่านก็รู้จักทำงานโดยไม่พึ่งนรกเสียบ้าง!



ลี่หมิงลอบยิ้มในใจ นึกยินดีปรีดาแทบอยากป่าวประกาศให้คนทั้งตลาดร่วมยินดีไปกับตน เด็กหนุ่มค้อมหัวลงส่งยิ้มบางเบาให้พระเชษฐาต่างพระมารดา “ขอบพระทัยเสด็จพี่ ข้าจะค่อยๆเลือกดู”



ลี่หมิงหันซ้ายหันขวาดูลาดเลา อาศัยช่วงจังหวะที่องค์รัชทายาทสนใจสิ่งรอบข้างแอบเอาไอโฟนขึ้นมาถ่ายรูปรัวๆ ด้วยรู้ดีว่าแบตเตอรี่คงอยู่ได้อีกไม่นานถ้าไม่รีบใช้ก็คงไม่มีโอกาสได้ใช้อีก เด็กหนุ่มเสพติดการอวดทุกสิ่งลง Social media เป็นชีวิตจิตใจจึงได้แต่หวังลมๆแล้งๆว่าหากวันนึงได้กลับออกไปจากยุคนี้เมื่อใดจะได้มีรูปไว้อวดชาวบ้านชาวเมือง เมื่อได้รูปไปบ้างจนพอใจแล้วลี่หมิงจึงรีบยัดไอโฟนกลับเข้าไปในแขนเสื้อ



แผงขายว่าวหลากชนิดหลายรูปแบบดึงดูดความสนใจของเด็กหนุ่มให้เดินเข้าไปยืนมองใกล้ๆ ว่าวโครงไม้ไผ่ทำมือหลากสีที่ผูกห้อยเรียงเป็นสิบๆตัวนั้นชวนให้นึกถึงอดีต ในสมัยที่เสวี่ยหมิงยังเป็นเพียงเด็กน้อยก็เคยได้เล่นอยู่บ่อยๆ



“เสด็จพ...ท่านพี่เหวินหลง ท่านคิดว่าว่าวแมลงปอสีแดงตัวนั้นดูเป็นอย่างไร” ลี่หมิงเปลี่ยนสรรพนามเรียกองค์รัชทายาทเพื่อไม่ให้พ่อค้าขายว่าวรู้ฐานะที่แท้จริงของพวกตน



“หืม ไม่ดีกระมัง เจ้าคงจำว่าวมังกรที่พี่เคยให้เจ้าตอนเป็นเด็กไม่ได้เป็นแน่ สุดท้ายเจ้าเล่นเพลินจนเผลอเดินตกสระบัวไป ตอนนั้นพี่ถูกท่านพ่อกริ้วอยู่เป็นนานสองนานเลย ยิ่งไปกว่านั้น...” องค์รัชทายาทค้อมตัวลงกระซิบกระซาบข้างหูของพระอนุชา“พี่ว่าร้านนี้ขายแพงไป”



องค์รัชทายาท ท่านถามราคาตั้งแต่เมื่อไรถึงซี้ซั้วพูดว่าคนเขาขายแพงฟะ



“ท่านพี่เหวินหลงโปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด ข้าจำเหตุการณ์นั้นไม่ได้แล้วจริงๆ ถ้าเช่นนั้น ข้าไปเดินดูเครื่องประดับหินที่อยู่เยื้องออกไปแล้วกัน” เห็นแก่ที่ท่านเป็นห่วงว่าข้าจะเดินตกน้ำไปอีก ข้าจะไม่ถือสาที่ท่านไม่ยอมซื้อว่าวให้ข้าในครั้งนี้ก็แล้วกัน



“ตามใจเจ้าเถิด”



“ท่านพี่เหวินหลง ท่านคิดว่าปิ่นหยกลายบุปผานี้ดูเป็นอย่างไร”



“หยกนี้เนื้อขุ่น เคาะเสียงไม่กังวาน ไม่สมราคาเอาเสียเลย เจ้าเลือกอย่างอื่นเถอะ”



“ท่านพี่เหวินหลง ท่านคิดว่าพัดผ้าไหมที่ฝั่งกระโน้นเป็นอย่างไร” ลี่หมิงเดินจนร้อนก็เริ่มหงุดหงิดที่ยังไม่ได้ซื้ออะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หันไปเห็นพัดไผ่วางเรียงเป็นระเบียบเต็มแผง ถ้าได้มาคลายร้อนคงช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นบ้าง



“หมิงเอ๋อร์ เจ้าดูเถิดพัดพวกนั้นคุณภาพต่ำนัก พี่สะสมพัดไว้มากมาย วันใดที่เจ้าไม่มีธุระ พี่อนุญาตให้เจ้าไปเลือกเอาพัดที่ชอบใจได้ที่ตำหนัก”



“อา ถ้าเช่นนั้นท่านพี่เหวินหลง ท่านคิดว่ากระปุกไม้สลักนี้เป็นอย่างไร”



“หมิงเอ๋อร์ ราคานี้เจ้าซื้อหีบไม้ได้เลย กระปุกจิ๋วนี่ไม่คุ้มค่าเงินที่เสียเลยสักนิด”



“......” แต่ข้าไม่ได้อยากได้หีบโว้ยยย ข้าหลงทึกทักไปว่าโชคดีที่มีพี่ชายสายเปย์ แต่ท่านกลับกลายเป็นแค่พี่ชายสายตืดซะนี่ ไอ้คนขี้งก ตอแหลสับปลับ ไหนบอกว่าจะซื้อให้ข้าทุกอย่างตามประสงค์ ประสงค์บิดาเอ็งสิ ประสงค์อะไรไม่เห็นได้สักอย่าง โว้ยยย จะด่าบิดาท่านก็ดันมาเข้าตัวข้าอีก ฮึ่ยยย



“หมิงเอ๋อร์ เจ้ามาทางนี้ พี่เห็นของดีที่อยากซื้อให้เจ้าแล้ว” องค์รัชทายาทคว้าข้อมือพระอนุชาผู้เดินคอตกด้วยความผิดหวังให้มายังช่องแคบๆอีกฟากหนึ่งของถนน จนในที่สุดก็มาหยุดอีกมุมในตลาดหน้าร้านเสี่ยวหลงเปา



“แม่นางคนงาม ข้าขอเสี่ยวหลงเปาไส้เนื้อ 2 ลูกเถิด”



เสี่ยวหลงเปาาา ไอ้คนขี้งก! แบบนี้มันไม่ต่างกับพาไปเดินพารากอนแล้วสุดท้ายดันพาออกมาซื้อแค่ซาลาเปาเซเว่นในสยามเลยนี่หว่า!! แล้วไหนแม่นาง คนขายเป็นป้าแล้วเหอะ องค์รัชทายาท ท่านช่างโกหกปลิ้นปล้อนกะล่อนได้อย่างไร้วาทะศิลป์ยิ่งนัก



คนขายในวัยห่างไกลจากความเป็นแม่นางและยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเป็นคนงามส่งเสี่ยวหลงเปาร้อนๆให้กับคุณชายที่มีใบหน้างดงามตรงหน้าอย่างขวยเขิน ทั้งยังแถมหมั่นโถวเพิ่มให้อีกหนึ่งลูก



“รับไว้สิหมิงเอ๋อร์ นี่เป็นร้านเสี่ยวหลงเปาที่พี่มาซื้อยามออกธุระข้างนอก ร้านนี้แม่นางคนขายใจดีให้ไส้เยอะ แป้งก็โม่มาดี เนื้อไม่หนาไม่บางเกินพอดี” องค์รัชทายาทฉีกยิ้มกว้างสาธยายคุณความดีของเสี่ยวหลงเปาเชิญชวนแกมบังคับให้ลี่หมิงรีบทานเข้าไป



“เป็นพระคุณยิ่งนัก เสด็จพี่ ข้าจะลองชิมดู” เสี่ยวหลงเปาเพียงลูกเดียวจากคนขี้ตืดคงนับได้ว่าเป็นบุญคุณอย่างมากแล้ว เด็กหนุ่มลอบเผยสีหน้าเบื่อหน่ายรับเสี่ยวหลงเปาเข้าปากอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก แม้ไม่ได้หิวโหยอยากอาหาร หากแต่รสชาติที่ซึมซาบอยู่ในปากกลับทำให้นึกถึงความทรงจำบางอย่างขึ้นมาไม่ทันได้ตั้งตัว



'อาหมิง ลื้อรีบมากิง อั๊วซื้อซาลาเปามาฝาก เดี๋ยวมังหายร้องแล้วไม่อร่อย'



คิดถึงซาลาเปาร้อนๆที่เคยกินตอนอยู่กับอาม่า ชีวิตที่มีอาม่าคอยซื้อซาลาเปามาให้เกือบทุกวันหลังเลิกซ้อมเทควันโด แค่นึกถึงน้ำตาก็ไหลไม่รู้ตัว



“หมิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอันใด เสี่ยวหลงเปาไม่ถูกปากเจ้าหรือกระไร”องค์รัชทายาทขมวดคิ้วแสดงอาการตกใจแกมกังวลเมื่อเห็นพระอนุชาเคี้ยวเสี่ยวหลงเปาพร้อมน้ำตารินไหลอาบแก้ม



“ขออภัยเสด็จพี่เหวินหลง เสี่ยวหลงเปารสชาติดีเยี่ยมทีเดียว ข้าเพียงแต่…ดีใจที่ได้ออกมาเดินอย่างอิสระอีกครั้ง” คนึงหาถึงสิ่งที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเอื้อมมือคว้ามาไว้ได้อีกครั้งคงไม่มีประโยชน์ เด็กหนุ่มพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกเอื้อนเอ่ยวาจาโป้ปดคำโต ทราบดีว่าสภาพของตนเองที่เดินกินเสี่ยวหลงเปาเคล้าน้ำตาในตอนนี้คงดูไม่จืดนัก



องค์รัชทายาทเลิกชายเสื้อขึ้นหยิบเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาให้พระอนุชาอย่างเบามือ“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว พี่เข้าใจเจ้า เงียบเถิด พี่จะให้ของรับขวัญที่เจ้าหายดี” องค์รัชทายาทเหวินหลงหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากชายเสื้ออีกด้านก่อนวางลงในมือเด็กหนุ่ม



ลี่หมิงเผยสีหน้างุนงงก้มมองสิ่งแปลกปลอมในมือ ของขวัญชิ้นใหม่ที่ได้รับจากพระเชษฐาขี้ตืดช่างดูราคาสูงค่าจนเด็กหนุ่มไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง กำไลหยกขาวในมือกระทบแสงอาทิตย์ยามอัสดงเป็นประกายระยิบระยับ เมื่อเพ่งพินิจให้ดีแล้วจะเห็นรอยสลักลายเต่าตัวเล็กหลายๆตัวเดินวนเรียงล้อมรอบเป็นวงกลม



ข้าเกือบซึ้งแล้ว แต่ไอ้ลายเต่านี่มันอะไร ท่านอยากให้ข้าจดจำเหตุการณ์ถีบท่านไปจูบเต่าในสระวันนี้ให้ดีจนถึงขั้นหาของมาเป็นตัวแทนความแค้นเคืองเลยงั้นเรอะ!



“หยกขาวกับเต่ามีความหมายที่ดี ให้เจ้ามีอายุยืนยาวนาน ไม่เจ็บไม่ป่วยอีกต่อไป” องค์รัชทายาทเอ่ยเสียงเบานำเอากำไลหยกมาถือไว้ที่ตนก่อนบรรจงสวมเข้าไปในข้อมือข้างซ้ายของพระอนุชา



โห สะอึกเลย คนเขาหวังดีดันนึกว่าประสงค์ร้าย หรือจริงๆแล้วนี่เป็นการหวังดีประสงค์ร้ายไปพร้อมๆกันก็เป็นได้



“หมิงเอ๋อร์ เจ้าดูสิ” เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก ไม่ทันได้กล่าวคำขอบคุณใดๆตามความตั้งใจเมื่อคนให้เอ่ยขัดจังหวะเสียเอง องค์รัชทายาทชี้ชวนลี่หมิงให้มองกลับไปอีกฟากของถนนที่ขบวนม้าของเหล่าขุนนางและขุนพลจากชายแดนกำลังเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงเพื่อมารายงานข่าวสารบ้านเมืองให้กับฮ่องเต้



“ครั้งนี้อู๋อ๋องกับองค์ชายแปดกลับมาพร้อมกับรองแม่ทัพหม่าด้วย เจ้าควรจะ....”



ลี่หมิงชะเง้อคอมองตามยังไม่ทันไรดีพลันรู้สึกตัวเบาๆแปลกๆ ลองเอามือตะปบตามลำตัวล้วงแขนเสื้อเข้าออกอยู่ห้าหกครั้งจึงค้นพบว่ามีบางสิ่งผิดปกติ



ไอโฟนหายไปไหนวะ!



น้ำเสียงพร่ำบรรยายเนิบนาบขององค์รัชทายาทในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเสียงแมลงบินหวีดหวิวตัดผ่านสายลม ลี่หมิงหันหน้าหันหลังกลับไปมองทางที่เดินผ่านมาเห็นเพียงฝูงชนวุ่นวายพลุกพล่านเนืองแน่นขนัดสายตา แต่กลับไร้ซึ่งวี่แววของไอโฟนเจ้าปัญหา



“หมิงเอ๋อร์ เจ้าทำสิ่งใดตกหล่นหรือกระไร เหตุใดจึงลุกลี้ลุกลนเช่นนั้น”



ทำไอโฟนตกพะย่ะค่ะ แพงด้วยพะย่ะค่ะ ไม่ทราบชะตากรรมว่าตกโดนพื้นกรวดแข็งขนาดนี้หน้าจอจะยังอยู่ดีหรือไม่พะยะค่ะ



“ขออภัยที่ทำให้เสด็จพี่เป็นกังวล ข้าเพียงตรวจสอบดูว่าตั๋วเงินยังอยู่ดีหรือไม่เท่านั้น”



“เช่นนั้นก็ดี” องค์รัชทายาทส่งรอยยิ้มประจำกายให้พระอนุชา “ยามนี้เย็นมากแล้ว พวกเรารีบกลับเข้าวังกันเถิด พี่กังวลว่าถ้าเจ้าเดินมากไปอาจไม่ดีกับขาที่พึ่งฟื้นตัว ยิ่งกว่านั้นหากไม่กลับให้ถึงตำหนักก่อนอาทิตย์ลับฟ้า จางเฉินเค่อคงได้บ่นเจ้าไม่หยุดปากเลยกระมัง”



“ข้าเห็นด้วยกับท่านยิ่งนัก” แม้จะอยากกลับไปวิ่งวนตามหาไอโฟนมากแค่ไหน ลี่หมิงก็ไม่รู้จะสรรหาข้อแก้ตัวใดมาแถไถได้ จึงยอมกลับวังไปโดยสดุดี



เมื่อกลับถึงตำหนักหงหลิน ลุงเค่อนำความมาแจ้งว่ามีพระราชโองการจากฮ่องเต้ให้เยว่อ๋องเข้าเฝ้าในวันรุ่งขึ้น ลี่หมิงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนเดินเนิบนาบเข้าห้องบรรทมไปอย่างไร้อารมณ์ พะวงกังวลถึงไอโฟนที่หายไปจนไม่ได้ใส่ใจการไปเข้าเฝ้าพระบิดาเป็นครั้งแรกสักเท่าใด



เด็กหนุ่มได้แต่คิดวกวนกลับไปกลับมาว่าตนเผลอไปโง่ทำร่วงหายที่ไหนในจุดใดของตลาด หากมีโอกาสคงจะกลับไปวิ่งหาดูอีกครั้ง สมาร์ทโฟนเครื่องแพงเมื่ออยู่ในยุคนี้อาจมองดูว่าไร้คุณประโยชน์ แต่ของหนึ่งอย่างไม่จำเป็นต้องมีคุณค่าเพียงหนึ่งเดียวเสมอไป



ลี่หมิงได้ไอโฟนเป็นของขวัญวันเกิดจากคนใจร้ายที่ทิ้งกันไปอย่างไม่ไยดี แม้จะเสียใจเพียงใดแต่เป็นเพราะตัดใจลืมอีกฝ่ายไม่ลง ของขวัญชิ้นสุดท้ายที่ได้รับจึงกลายเป็นสิ่งของที่มีคุณค่าทางจิตใจมากเหลือล้น เป็นเสมือนของแทนใจคนรักเก่าที่คงไม่มีวาสนาได้พบเจอกันอีกแล้ว ลี่หมิงทั้งเสียใจและเจ็บใจ โทษตัวเองต่างๆนาๆจนค่อยๆผล็อยหลับไปในที่สุด



ในอีกฟากหนึ่งของรั้ววัง องค์รัชทายาทเว่ยเหวินหลงตรงดิ่งเข้าห้องบรรทมทันทีที่กลับถึงตำหนัก พร้อมออกคำสั่งให้หญิงรับใช้และขันทีออกไปจากห้อง จากนั้นจึงค่อยๆล้วงเอาโลหะสี่เหลี่ยมประหลาดออกมาจากอกเสื้อ



“นี่มัน...”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-04-2017 01:44:45 โดย anflierza »

ออฟไลน์ anflierza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ตอนที่ 4 : รักวัวให้ผูก รักลูกให้ออกปากไล่


“นี่มัน...แท่นทับกระดาษรูปทรงขี้เหร่อันใด!? หมิงเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงต้องพกแท่นทับกระดาษหยกดำออกไปเดินตลาด น้องพี่ เจ้าช่างมีรสนิยมแปลกประหลาดเหลือเกิน ทั้งของยังร้าวไปแล้วเช่นนี้พี่จะกล้าส่งคืนเจ้าได้อย่างไร!!”



องค์รัชทายาทแค่นลมหายใจบางเบา แม้เห็นของร่วงหล่นออกจากแขนเสื้อผู้เป็นน้องยามเดินตลาดแต่กลับไม่สามารถหาช่วงจังหวะเหมาะสมส่งคืนเจ้าของ เหตุเพราะของที่เก็บได้นั้นเกิดแตกร้าวเสียแล้ว คนห่วงใยจึงมิอาจทำใจนำหยกไม่สมประกอบแลดูเป็นลางร้ายนี้ไปคืนให้กับพระอนุชาที่พึ่งหายจากอาการเจ็บป่วยได้



“พี่ผิดไปแล้วไม่น่าให้กำไลหยกเจ้าเลย ถ้าเจ้าบอกพี่ว่าชอบแท่นทับกระดาษพี่จะสั่งทำอันที่สวยสง่าดูมีราศีกว่านี้ให้เจ้า”



เว่ยเหวินหลงทึกทักเอาเองเสร็จสรรพว่าวัตถุที่เก็บได้เป็นแท่นหยกทับกระดาษรูปทรงพิลึก เมื่อพลิกดูอยู่ครู่หนึ่งจนหมดสิ้นความสนใจจึงนำไปเก็บลงในหีบปลายเตียงบรรทม



นับแต่นั้นมาไอโฟนไร้แบตเตอรี่ที่น่าสงสารก็ได้รับเกียรติให้นอนเดียวดายอยู่ในหีบไม้หรูหราไปอีกนานแสนนาน…



ตำหนักหงหลินในยามเช้าวันใหม่เงียบสงบดังเช่นเคย ดวงตะวันทอแสงทองคำแห่งอรุณรุ่งเคลื่อนคล้อยขึ้นยังทางบูรพาทิศ คลอเคล้าไปด้วยเสียงหมู่มวลวิหคกระพือปีกผ่านท้องนภาโบกสะบัดยวงขนบินเรียงเคียงคู่



ลี่หมิงจำต้องแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อเตรียมแต่งองค์ทรงเครื่องไปเข้าเฝ้าโอรสสวรรค์ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ความวิตกกังวลจากการสูญเสียของสำคัญถูกแทนที่ด้วยอาการตื่นเต้นกระสับกระส่าย นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มจะได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ตัวเป็นๆยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นในฐานะพ่อของตนอีกด้วย



“เสด็จพ่อได้แจ้งสิ่งใดให้ข้าตระเตรียมไปรายงานในการเข้าเฝ้าครั้งนี้หรือไม่” เหตุเพราะคืนก่อนพยักหน้าส่งเดช ลี่หมิงเอ่ยถามลุงเค่อไม่ให้พลั้งพลาดสิ่งใดให้สุ่มเสี่ยงต่อการโดนพระอาญาพาลให้หัวหลุดจากบ่า



“หามีไม่ขอรับ ท่านอ๋อง”



“เช่นนั้นก็ดี” เสด็จพ่อ เหตุใดท่านจึงไม่รู้จักแจกแจงรายละเอียดเนื้อหาการเข้าประชุมก่อนล่วงหน้า หากท่านจะเรียกข้าไปด่าข้าจะได้เตรียมใจเอาไว้!



ท้องพระโรงในวังหลวงยามนี้คลาคล่ำไปด้วยขุนนางหลากยศหลายตำแหน่งต่างพกพาฮู่ป่าน*มายืนเรียงกันเป็นระเบียบแถวตามลำดับขั้น ลี่หมิงถือโอกาสใช้เวลาที่เหลือขณะรอฮ่องเต้เสด็จมาถึงลอบมองสังเกตการณ์ไปทั่ว ใบหน้าของเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ทั้งหลายลี่หมิงจดจำได้บ้างตามความทรงจำของเสวี่ยหมิง



นั่น...อัครมหาเสนาบดีจอมสอพลอ เสนาบดีกรมขุนนางผู้มากเมีย เสนาบดีกรมโยธาที่จวนแทบจะใหญ่กว่าวังหลวง ลี่หมิงละสายตาไปจากเหล่าผู้คุ้นหน้าคุ้นตาทั้งหลายเมื่อขันทีตะโกนประกาศการมาของฮ่องเต้พร้อมเสียงฆ้องตีร้องก้องท้องพระโรงยามถึงเวลาว่าราชการ



“ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”



ฮ่องเต้หมิงเฉียนเสด็จประทับบนบัลลังก์ ทันทีที่เริ่มการขานเรียกชื่อ ชายหนุ่มท่าทางองอาจกระฉับกระเฉงในเครื่องแต่งกายขุนศึกเต็มยศก้าวขึ้นมาคุกเข่าลงหน้าบัลลังก์มังกร



“ถวายพระพรฮ่องเต้ ขอจงทรงพระเจริญหมื่นๆปี ข้ารองแม่ทัพหม่าเทียนฟงและ…” รองแม่ทัพหม่ากลืนน้ำลายนึกอยากกัดลิ้นตายไปเสีย ไอ้คนที่ควรจะเดินขึ้นมาด้วยกันดันไม่รีบเดินออกมา หันหน้าหันหลังเพียงชั่วครู่คนใจร้อนรนก็เริ่มหายใจออกได้เมื่อมีอีกร่างคุกเข่าลงข้างตน



“...องค์ชายแปดเว่ยเหอโจว ทูลขอเป็นตัวแทนอู๋อ๋องรายงานความคืบหน้าปราบกบฏชายแดนไป่หนานพ่ะย่ะค่ะ” เคราะห์ยังดีวันนี้เจ้าคนสมควรตายไม่ทำตัวหาเรื่องให้หม่าเทียนฟงติดร่างแหซวยไปด้วย ถึงแม้ถ้าจะมีใครซวยขึ้นมาก็คงมีแค่รองแม่ทัพผู้น่าสงสารคนเดียวก็เถอะ



คนถูกลอบด่านอกจากจะไม่รู้ตัวแล้วยังไม่สนหน้าอิฐหน้าพรหมใดๆทำท่าทำทางเหมือนยังไม่ตื่นดีโงนเงนโคลงเคลงลอบหาวออกมาเป็นระยะๆ ทั้งยังสะบัดเรือนผมของตนที่ยาวจนปิดหน้าปิดตาไม่เรียบร้อยเล่นไปมา ระหว่างปล่อยให้รองแม่ทัพหม่ากราบทูลต่อฮ่องเต้แต่เพียงผู้เดียว



“...ดูเถิด องค์ชายแปดเข้าวังหลวงเมื่อใดก็ยังไร้มารยาทเช่นเคย...”



“...นี่น่ะหรือองค์ชายแปดเว่ยเหอโจวที่เล่าลือกันว่าเก่งกาจยิ่งกว่าหมอหลวง วันๆเอาแต่เข้าป่าหาสมุนไพร ไม่เห็นอยากรักษาใครเป็นจริงเป็นจัง…”



“...ซ้ำยังไม่ขอรับยศฐาบรรดาศักดิ์ใดๆแม้จะทำคุณงามความดีจนเป็นที่น่าพึงพอใจก็ตามที องค์ชายเหอโจวผู้นี้ช่างถือดีทระนงตนยิ่งนัก...”




ลี่หมิงเงยหน้าขึ้นตามเสียงซุบซิบนินทา เด็กหนุ่มแทบจะก้มหน้าอยู่ตลอดเวลาเพื่อสงบจิตสงบใจตั้งแต่ฮ่องเต้เสด็จมาถึง เมื่อพินิจมองใบหน้าคุ้นตาของรองแม่ทัพหม่าแล้วจึงเลื่อนสายตาไปทางองค์ชายแปดผู้ซึ่งบัดนี้ปัดปอยผมข้างหนึ่งขึ้นทัดใบหูเอาไว้



เฮ้ย!



เดี๋ยวนะ…ไม่จริงน่า



หน้านี้คุ้นมากกก คุ้นมากไปละ นั่นมัน...



ไอ้โจนี่หว่า!



“ไร้มารยาท...เก่งกาจยิ่งกว่าหมอหลวง” ไอ้โจชัดๆ!!



ไอ้โจ เอ็งหนีอาอี๊ที่บ้านมาเป็นองค์ชายแปดหรอฟะ!!!


โจ หรือ ไอ้โจเพื่อนโคตรสนิทของลี่หมิง ปัจจุบันเรียนอยู่คณะแพทย์แผนจีนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ด้วยความเป็นคนเงียบๆ แต่ละวันของโจจึงมักหมดไปกับการอ่านหนังสือแพทย์และนั่งเล่นเกมแทบไม่ได้อ้าปากพูดจากับใครให้ดอกพิกุลร่วงหล่น


 
ชีวิตในวัยเด็กของโจไม่ดีนักเมื่อบิดามารดาเลิกร้างต่อกัน โจได้รับการอุปการะโดยอาอี๊และอาเตี๋ยที่ไม่มีลูกเป็นของตัวเองและอาศัยอยู่ถัดไปสามซอยจากบ้านของลี่หมิง ลี่หมิงกับไอ้โจมาสนิทสนมจนเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทเมื่อได้เข้าโรงเรียนเดียวกันในระดับมัธยมปลาย จนสุดท้ายแม้แต่มหาวิทยาลัยก็ยังติดที่เดียวกัน



“กบฏชายแดนนับร้อยถูกจับตัวได้แล้วแต่หัวหน้าของพวกมันชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อนจึงไม่สามารถนำตัวมาเค้นหาผู้บงกา...” เสียงรอบตัวเด็กหนุ่มในตอนนี้ไม่ต่างจากเสียงนกเสียงกา หลากความคิดหลายคำถามในเรื่องของเพื่อนสนิทตีวนกันอยู่ในหัววุ่นไปหมด



ไอ้โจมันมาอยู่นี่ได้ไง? หรือมันตกกำแพงเมืองจีนมาเหมือนกัน แต่ล่าสุดที่เช็คเฟสบุ๊คเห็นไปเที่ยวฝรั่งเศส แล้วมันสะดุดหัวกระแทกเสาหอไอเฟลเหรอถึงได้หลุดมาอยู่จีนโบราณ!? หรือจะแค่คนหน้าเหมือน? หรือไอ้องค์ชายแปดอะไรนี่จะเป็นบรรพบุรุษมัน? โอ้ย ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวโว้ยยย!!!



ลี่หมิงหลุดจากภวังค์ในที่สุดเมื่อได้ยินเสียงเรียกขานนามของตน สองขาเร่งรุดไปคุกเข่าหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อเพื่อทำความเคารพ



ไม่คิดแม่งแล้วไว้เจอหน้าไอ้โจข้างนอกจะถามมันเอาเลยแล้วกัน!!!



“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”



“ลุกขึ้นเถิด เยว่อ๋อง”



“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”



“หมอหลวงรายงานว่าขาของเจ้ากลับมาเดินได้ราวกับมีปาฏิหาริย์ เห็นท่าจะเป็นจริงตามนั้น เป็นนิมิตหมายอันดีที่จะให้เจ้าได้สานต่อหน้าที่ไปประจำที่เมืองเยว่ตามกำหนดการเดิมในเร็ววัน เจ้ามีสิ่งใดโต้แย้งหรือไม่”



อือหือ นิสัยพูดจามัดมือชกแบบนี้เหมือนไอ้คนเมื่อวานที่ลากข้าออกไปทำไอโฟนหายที่ตลาดไม่มีผิด!! เสด็จพี่เหวินหลง หากผู้ใดกล่าวหาว่าท่านไม่ใช่ลูกเสด็จพ่อ ข้าจะกระโดดถีบปากมันแทนท่านเอง



“กระหม่อมไม่มีข้อโต้แย้งใดนอกเสียจากขอเวลาจัดการงานในหน้าที่เดิมให้เสร็จสิ้นเสียก่อนพ่ะย่ะค่ะ” ขอเวลาคุยกับไอ้โจก่อนได้ไหม จะรีบไปไหนวะเสด็จป๊า!



“เรื่องงานของเจ้าข้าได้ปรึกษากับอัครมหาเสนาบดีหูเป่ยแล้ว ข้าจะให้หลิงอ๋องจะเข้ามาสานต่อแทนเจ้าเองไม่ต้องเป็นกังวลไป”



“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” เออ! อยากจะบ้าตาย เพิ่งได้มีพ่อกับเขาทั้งคนมาถึงเจอหน้ากันแป๊ปเดียวก็ไล่ให้ออกไปอยู่ที่อื่นเลย แบบนี้ก็มีด้วยเรอะ!!



“ส่วนพวกที่ลอบทำร้ายคณะเดินทางของเจ้าเมื่อสี่วันก่อน ข้าได้ส่งให้คนไปรีบติดตามเรื่องแล้ว รออีกไม่นานคงได้รู้ว่าเป็นฝ่ายใดที่กำเริบเสิบสานลอบทำร้ายแม้กระทั่งราชนิกุล”



“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”



อา นั่นสิ จะว่าไปก็ลืมไปเลยว่าวันแรกโผล่มาถึงก็กลิ้งโค่โล่อยู่ข้างทางจนลุงเค่อต้องบุกป่าฝ่าดงมาตะโกนหา จำได้แค่ว่าคณะของเยว่อ๋องถูกลอบทำร้ายระหว่างเดินทางกลับจากตรวจราชการเมืองเยว่ แล้วความทรงจำระหว่างนั้นก็ตกหล่นหายไปที่ใดไม่อาจทราบได้ รู้ตัวอีกทีข้าก็มาอยู่ในร่างเสวี่ยหมิงแล้ว



ตามรายงานที่ได้รับจากลุงเค่อการลอบสังหารครั้งนั้นมีองครักษ์มือดีสองนายพลั้งพลาดถูกฆ่าทั้งคู่ ผ่านมาสี่วันแล้วก็ยังหาตัวคนร้ายไม่ได้ เสวี่ยหมิงอุตส่าห์ทำตัวสงบเสงี่ยมไม่ไปขัดหูขัดตาใครมานานหลายปียังไม่วายมีคนไม่พอใจอีก มันจะอะไรกันนักกันหนาวะ!



“เช่นนั้นเยว่อ๋อง ขอให้เจ้าจงเตรียมตัวออกเดินทางไปเมืองเยว่ภายในสามวัน”



เฮ้ย! เสด็จป๊า ไหนตอนแรกบอกในเร็ววัน เร็ววันของท่านมันชักจะเร็วเกินไปแล้วเฟ้ย!! สมองข้ายังไม่ทันได้ประมวลผลท่านก็สะบัดตูดหันหนีไม่อยากจะพูดจากับข้าแล้ว ท่านกลัวข้าขอเงินค่าขนมเพิ่มหรืออย่างไร ห๊าา!!!



โอรสสวรรค์ไม่ได้สนใจลี่หมิงอีกต่อไป เสร็จสิ้นจากคำประกาศิตไล่ลูกออกจากบ้านไปคนนึงก็เบนความสนใจไปหาลูกอีกคน



“เหอโจว เจ้าเองเข้าวังมาแล้วก็ดี หากเจ้าสนใจอยากเรียนรู้งานการคลัง ข้าจะให้...”



“การบ้านการเมืองใดๆล้วนไม่อยู่ในความสนใจของกระหม่อม ขอเสด็จพ่อโปรดทรงเข้าพระทัย”



ไอ้โจ! ไอ้โง่! นี่มันฮ่องเต้ไม่ใช่อาเตี๋ยที่บ้าน!! อย่าเพิ่งหาเรื่องโดนกุดหัวดิวะ!!!



“ถ้าเช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถิด”



โห เสด็จป๊า ท่านแม่งโคตรไม่แฟร์ รักลูกไม่เท่ากันเห็นๆเลย ทำไมทีไอ้โจไม่ไล่มันไปบ้างอ่ะ!



“เจ้าไปประจำอยู่ชายแดนกับอู๋อ๋องก็ดีแล้ว เจ้าคงได้ใช้ความสามารถทางการแพทย์ของเจ้าที่นั่น อย่าลืมว่าเจ้าก็เป็นองค์ชายคนหนึ่งเช่นกัน สิ่งใดที่ทำเพื่อพสกนิกรได้ก็ไม่ควรละเลย”



“พ่ะย่ะค่ะ”



กว่าขุนนางแต่ละคนจะทูลกล่าวเรื่องราวต่อองค์จักรพรรดิเสร็จสิ้นก็เป็นยามอู่(11.00-12:59น.)เสียแล้ว เด็กหนุ่มรีบสาวเท้าเดินออกมาสูดอากาศข้างนอกด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ดีนัก



“หมิงเอ๋อร์เหตุใดเจ้าจึงทำสีหน้าเช่นนั้น มีใครรังแกเจ้าหรือ” คนไม่รู้จักส่งเสียงเรียกก่อนเข้าใกล้ช่างทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย เว่ยเหวินหลงเดินเข้าประชิดตัวลี่หมิง โชคยังดีเด็กหนุ่มเรียนรู้แล้วที่จะไม่เตะคนซี้ซั้วเป็นครั้งที่สอง



พ่อท่านนั่นแหละ พ่อท่านนั่นแหละรังแกข้า! ยังจะมีหน้ามาถามอีก แล้วดันมีพ่อคนเดียวกันจะด่าพ่อใครก็เข้าตัวไม่ต่างกันเลย!!



“ขอเสด็จพี่อย่าเป็นกังวลไป ข้าเพียงมองเห็นนภาโปร่งนัก จึงนึกอยากออกไปเดินตลาดอีกครั้ง” แน่นอนว่าลี่หมิงตั้งใจจะออกไปตามหาไอโฟนเจ้ากรรม เด็กหนุ่มแอบหวังให้ยังไม่มีไอ้บ้าหน้าไหนเก็บมันไปซะก่อน



...ไอ้คนบ้าที่แอบเก็บไปซุกไว้ก็อยู่แค่ตรงหน้านี่เอง



“พี่รู้ว่าเจ้าคงเสียใจที่ต้องไปจากเมืองหลวงในอีกไม่กี่วัน เจ้าคงติดใจเสี่ยวหลงเปาเมื่อวานสินะ แต่น่าเสียดายเหลือเกินวันนี้พี่ติดธุระเร่งด่วนไม่สามารถออกไปเป็นเพื่อนเจ้าได้ เช่นนั้นพี่จะขอให้คนอื่นช่วยออกไปเป็นเพื่อนเจ้าแทนแล้วกัน”



ไอ้คนมั่วนิ่ม ข้าจะออกไปตามหาไอโฟน ไม่ได้อยากกินเสี่ยวหลงเปา! ข้าออกไปคนเดียวได้สบายมากตลาดเล็กนิดเดียวเดินง่ายกว่าเซ็นทรัลเวิลด์อีก! ส่วนท่านก็อยู่นิ่งๆไป อย่าหาใครมาเกะกะข้า!!



ยังไม่ทันได้เอ่ยคำขัดใดๆ เสด็จพี่ผู้วอนโดนตีนอีกสักรอบดึงมือเด็กหนุ่มจูงกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังวงเสวนาของรองแม่ทัพหม่าและเหล่าขุนพล



“คารวะองค์รัชทายาท คารวะเยว่อ๋อง” องค์ชายแปดเว่ยเหอโจวยืนพิงกำแพงกลมกลืนประหนึ่งจิ้งจกเอาแต่จ้องมองลี่หมิงไม่วางตา ไม่สนใจเอ่ยคำเคารพใดๆต่อพระเชษฐาของตนดังเช่นผู้อื่น



“เงยหน้าเถิดขุนพลทั้งหลาย เทียนฟงหากหลังจากนี้เจ้าไม่ติดธุระสำคัญอันใด ข้าต้องการให้เจ้ากับเหอโจวช่วยพาหมิงเอ๋อร์ออกไปเดินตลาดแทนข้าที หมิงเอ๋อร์ยังไม่ชำนาญเส้นทางนักคงต้องขอให้พวกเจ้าช่วยดูแลเขาด้วย”



“ด้วยความยินดีพ่ะย่ะค่ะ ข้าและองค์ชายเหอโจวมีนัดพบกับหลิงอ๋องที่โรงเตี๊ยมในตลาดอยู่พอดี ไม่เป็นปัญหาเลยแม้แต่น้อยพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายแปดไม่เอ่ยคำพูดใดแม้สหายจะตอบรับคำขอโดยไม่ปรึกษาตน ซ้ำยังปล่อยให้เทียนฟงลอบส่งสายตาเจ้าชู้ขี้เล่นใส่ลี่หมิงจนเด็กหนุ่มต้องยืนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ข้างองค์รัชทายาท



“เช่นนั้นข้าฝากด้วย” ลี่หมิงเบ้หน้าได้ออกไปกับไอ้โจมันก็ดีแหละ แต่ไอ้คนข้างๆนี่ไม่น่าไว้ใจเลยโว้ย!



รองแม่ทัพหม่าเทียนฟงเป็นบุตรชายคนโตของแม่ทัพหม่าเทียนซื่อ ในความทรงจำที่เห็นนั้นเสวี่ยหมิงเองแม้รู้จักแต่ก็ไม่ได้สนิทสนมเป็นการพิเศษกับทางฝั่งแม่ทัพ หม่าเทียนซื่อเป็นคนจริงจังเคร่งครัดในทุกสิ่ง แต่บุตรชายคนเดียวสานต่อเจตนารมณ์ไปเพียงด้านการรบราฆ่าฟันเท่านั้น อย่างอื่นหาได้มีแก่นสารในชีวิตไม่



สมแล้วที่เป็นพระสหายสนิทขององค์ชายแปด เหลวไหลไม่แคร์สื่อด้วยกันทั้งคู่ เมื่อวานออกไปกับคนขี้ตืดจนทำของหาย พอจะไปหายังต้องไปกับพวกสตางค์มีแต่สติไม่เต็มอีก เอาวะ อย่างน้อยจะได้หาโอกาสคุยกับไอ้โจให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย ยังไงเวลาที่เหลือในเมืองหลวงก็น้อยเต็มทีแล้ว



เมื่อฝากฝังให้หม่าเทียนฟงคอยดูแลลี่หมิงพร้อมกำชับว่าอย่าให้มดไต่ไรตอมได้แม้เพียงน้อยนิด องค์รัชทายาทจึงขอตัวออกไปทำธุระทิ้งลี่หมิงให้ยืนนิ่งอยู่กับสองคนเพี้ยนแห่งยุค



ออกจากรั้ววังไม่นานเดินสักพักก็เข้าสู่บริเวณตลาด เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆข้อมือของตนถูกมือคีมของใครอีกคนเข้ามาล็อคไว้แน่น



“รองแม่ทัพหม่า ท่านไม่ต้องปฏิบัติตามที่องค์รัชทายาทสั่งอย่างเคร่งครัดนักหรอก” ถ้าไม่ใช่ว่าข้าเคยพลั้งพลาดถีบพระเชษฐาไปรอบนึงจนรู้จักยับยั้งตัวเองได้ ข้าคงทุ่มเจ้าลงพื้นต่อด้วยเหยียบซ้ำสักทีสองทีไปแล้ว!



“เยว่อ๋อง ท่านไม่เคยมาเดินตลาด ท่านไม่รู้หรอกว่าในแต่ละปีมีเด็กพลัดหลงมากถึงเพียงใด ข้าไม่อยากกลับไปชายแดนแบบไร้หัวตัวสะบั้นเพราะทำท่านหลงหายไปในตลาดวันนี้หรอก” คนกะล่อนปลิ้นปล้อนโต้ตอบด้วยใบหน้าเสแสร้งแกล้งทำเป็นกลัวพระอาญา



หม่าเทียนฟง ไอ้คนนิสัยไม่ดี ข้าไม่ใช่เด็ก! ต่อให้หลงไปรังโจรข้าก็จะหาทางกลับวังเองให้ได้ไม่ต้องรอให้เจ้ามาช่วย!! เที่ยวอยากมาแต๊ะอั๋งคนอื่นแล้วพูดแถไปเรื่อย คอยดู กลับถึงวังเมื่อไรข้าจะฟ้ององค์รัชทายาท จำไว้เลย!!!



พูดดีแล้วคนไม่ฟังคงต้องพูดด้วยกำลัง ใช่ว่าภพนี้ดันมีร่างผอมบางแล้วจะต้องยอมใครต่อใครอยู่ร่ำไป ลี่หมิงเพียงหมุนพลิกข้อมือก็สะบัดหลุดจากเจ้าคนกล้ามปูได้โดยง่าย เด็กหนุ่มรีบเดินไปอยู่ด้านหลังองค์ชายแปดโดยไม่สนใจสีหน้าตะลึงงงงันของคนตระกูลหม่า



เว่ยเหอโจวเดินเนิบนาบมองร้านรวงข้างทางยังคงมีสีหน้าเบื่อหน่ายอันเป็นเอกลักษณ์เช่นเคย เป็นโชคดีของลี่หมิง หม่าเทียนฟงยืนงุนงงอยู่ชั่วครู่ก็หาเป้าหมายใหม่ได้เป็นแม่นางคนงามที่เดินสวนมา เมื่อได้อยู่กับองค์ชายแปดเพียงสองคน เด็กหนุ่มจึงรีบเริ่มต้นแผนการณ์ซักถามอีกฝ่ายทันที



 ได้โอกาสแล้วโว้ย! หม่าเทียนฟงเอ็งไปจีบหญิงไกลๆเลยเดินตกน้ำไปได้ยิ่งดี!



“โจ” ลี่หมิงแสร้งเนียนเอ่ยเรียกชื่อของเพื่อนสนิทออกมาขณะทำทีเป็นสนใจเลือกดูเสื้อผ้า



หันมาดิวะ! เอาใหม่ๆ



“ไอ้โจ” ลี่หมิงเพิ่มระดับเสียงขึ้นอีก



ยัง ยังไม่หันมาอีก



“ไอ้โจโว้ยย!”



เฮ้ย หันมาแล้ว!!



ความพยายามประสบผลสำเร็จ คนถูกเรียกค่อยๆหันหน้ามาหาอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีอ่อนไร้ประกายแห่งความตื่นเต้นยินดีใดๆ



“ไอ้โจนี่ข้าเอง ลี่หมิงหลานอาม่า บ้านอยู่ซอยเก้า” เด็กหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูขององค์ชายแปดเหอโจว ลี่หมิงดีใจจนหัวใจแทบออกมาโลดแล่น อย่างน้อยถ้ามีไอ้โจอยู่ที่นี่ด้วยชีวิตคงไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป



เว่ยเหอโจวนั้นในยามปกติมักไม่เผยสีหน้าอื่นใดแต่ครานี้กลับเลิกคิ้วขึ้นสูงพร้อมเบิกตากว้าง มุมปากกระตุกเผยรอยยิ้มชวนขนลุก



“หืม บ้านอยู่ซอยเก้า…”


-----------------------------------------------------------------------------------

*ฮู่ป่าน - แท่งไม้ใช้ว่าราชการของเหล่าขุนนางที่เปรียบได้กับสมุดจดบันทึกเวลาเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ วัตถุที่ใช้ทำจะแตกต่างกันไปตามฐานะของขุนนาง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-04-2017 01:46:24 โดย anflierza »

ออฟไลน์ anflierza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ตอนที่ 5 : น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ปากมากก็แพ้ไป



“หืม บ้านอยู่ซอยเก้า...หากเจ้าอาศัยอยู่ที่นั่นแล้วบ้านข้าเล่า?”



“ห๊ะ บ้านแกก็ซอยสิบสองไง ถัดไปอีกสามซอย”



“แล้วข้า...อาศัยอยู่กับผู้ใด”



“จะมีใครอีกเล่า ก็มีแค่แกกับอาอี๊แล้วก็อาเตี๋ยไง อย่ามาทำเป็นจำห่าไรไม่ได้สักอย่างสิฟะ”



คนฟังนิ่งเงียบไปไม่เอ่ยตอบโต้คำปรามาส เมื่อเหลือบมองประกายพราวระยับในแววตาที่เต็มไปด้วยความหวังของคนตรงหน้า ไหล่สองข้างพลันไหวสั่นน้อยๆดังลมโชยพัดกระทบหยาดน้ำค้างยามเช้า เว่ยเหอโจวเอามือป้องปากหลุดขำออกมาเบาๆอย่างไม่อาจอดทนไหว



“ความจำของข้าเป็นเลิศเหนือผู้คนใต้หล้า เห็นจะเป็นรองก็เพียงท่านราชครูเท่านั้น” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะกระซิบตอบกลับ “แต่เหตุใดข้าจึงไม่สามารถจดจำได้ว่าเยว่อ๋องชื่นชอบการเข้าหาผู้คนด้วยมุขตลกแปร่งหูเช่นนี้ ช่างแปลกไปจากเยว่อ๋องที่ข้าเคยรู้จักเหลือเกิน”



“ไอ้โ...”



“ต่อให้เจ้าจะไม่ได้ออกไปอยู่นอกวังดังเช่นพี่น้องคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องอิจฉากันมิใช่หรือ เจ้าเองก็ทราบอยู่แก่ใจดีว่า‘ขา’ที่เคยพิกลพิการของเจ้านั้นเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางเข้าออกวังหลวง เสด็จพ่อจึงอนุญาตให้เจ้าอาศัยอยู่ในตำหนักเดิม”



“เฮ้ย ไอ้โจเดี๋..”



“จะว่าไปแล้วข้าก็ช่างเสียมารยาทยิ่งนัก ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้กล่าวแสดงความยินดีกับเจ้าที่หายจากโรคร้ายกลับมาเดินได้ตามปกติเช่นเดิมเลย ในฐานะพี่น้องร่วมสายเลือดนี่เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก เยว่อ๋อง ต่อจากนี้ขอให้เจ้ามีสุขภาพร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ หวังว่าหลังจากนี้จะไม่มีเรื่องเลวร้ายใดๆเกิดขึ้นกับเจ้าอีก” ในครานี้นอกจากคนพูดน้อยจะอ้าปากพูดมากผิดวิสัยแล้วยังไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้โต้ตอบสิ่งใด เมื่อเอ่ยสิ่งที่ต้องการจนพอใจแล้วจึงเดินผละออกไป ทิ้งคู่สนทนาให้ยืนงงอยู่ที่เดิม



อะไรของมันวะ...ใครอิจฉาใคร? พูดพล่ามอยู่คนเดียวแล้วก็ไปเฉยเลย เพื่อนข้ามันเป็นองค์ชายแปดจนสติฟั่นเฟือนไปแล้วหรือว่า...เหอโจวมันจะไม่ใช่ไอ้โจจริงๆวะ อ้าว ชิบหาย ถ้าไม่ใช่ไอ้โจแล้วใคร บรรพบุรุษโคตรเหง้ามันเรอะ!



มันจะเป็นใครข้าก็ไม่รู้ แต่แค่คิดว่าข้าทักคนผิดก็อายจนไม่มีหน้าไปหาเรื่องคุยกับไอ้โจอีกรอบแล้ว



จริงๆแล้วข้าก็โง่เง่ายิ่งนักไม่รู้จักไตร่ตรองให้ดีก่อน แค่เห็นหน้าเหมือนกันดันบุ่มบ่ามเข้าไปพูดจาบ้าบอจนโดนมันตอกกลับมาหน้าหงายแทบคว่ำ คิดแล้วก็อับอาย อยากจะเอาหัวไอ้โจกระแทกกำแพงสักสิบรอบ เอาให้มันลืมคำว่าซอยเก้า ซอยสิบสองไปซะ ขายขี้หน้าโว้ยยย



เหอโจวเดินนำไปไกลแล้ว ในเมื่อไม่ใช่คนเดียวกัน ลี่หมิงไม่คิดตามไปตอแยต่อความยาวสาวความยืดอีก เด็กหนุ่มออกเดินตามไปช้าๆใบหน้าก้มลงมองพื้นดินเผยร่องรอยของความผิดหวังเมื่อสิ่งที่คาดไว้ไม่เป็นตามที่หวัง



“คุณชายท่านนั้น ไม่สนใจจะซื้อผ้าไปตัดเสื้อรับหน้าหนาวหน่อยหรือ”



“เอ่อ ข้าไม่...”ลี่หมิงเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียก ริมฝีปากอ้าค้างคำพูดติดชะงักอยู่ในลำคอ สิ่งที่เห็นทำให้หลงลืมความผิดหวังที่มีในฉับพลัน



เออ เอาเข้าไป อาม่าตบหน้าข้าแรงๆทีเถอะ หากนี่เป็นเพียงความฝันก็รีบปลุกข้าที อยู่ที่นี่ข้าได้เจอแต่คนรู้จักในสภาพบ้าๆบอๆจนอยากจะเป็นบ้าแล้ว



“ท่านไม่สนใจจริงๆหรือ คนรูปงามเช่นท่านหากได้สวมเสื้อที่ตัดจากผ้าป่านของร้านเราแล้วคงยิ่งดูงดงามขึ้นไปอีก”



ไอ้โจกลายเป็นองค์ชาย ส่วนพี่ปิงคนขายประกันที่อยู่ซอยสองกลายเป็นคนขายผ้า… สวรรค์ท่านเล่นตลกอยู่ใช่หรือไม่



“ข้ายืนยันได้ว่าร้านของข้านั้นมีผ้าที่งดงามเข้ากับท่านที่สุดแล้ว หากท่านสนใจผ้าแบบไหนสีใดข้าย่อมหาให้ท่านได้”



พูดจาเหมือนพี่ปิงตอนพยายามขายประกันให้อาม่าเป๊ะเลย ข้าเพิ่งรู้ว่าคนเราไม่ว่าจะภพภูมิไหนๆนิสัยก็ยังจะคงเดิม



“จะว่าไปแล้วข้ายังไม่มีเสื้อผ้าของหน้าหนาวเลย ผ้าของท่านดูเนื้องานดีตามคำบอกกล่าวจริงๆ แต่ก่อนหน้านั้นข้า..ขอทราบนามของท่านได้หรือไม่” ชื่อแม่งต้องมาแนวเดียวกับไอ้โจเหอโจวแน่นอน น่าจะอะไรสักอย่างปิงๆ



“เป็นเกียรติของข้าแล้วคุณชาย ข้ามีนามว่าเฉินปิ่งชง” นั่นไงว่าแล้ว คนแถวบ้านข้ามันเป็นอะไรกันไปหมด ที่กล่าวกันว่าโชควาสนาทำให้คนเคยมีบุญต่อกันได้เจอกันอีกไม่ว่าจะในภพภูมิใดดูท่าจะเป็นเรื่องจริง แล้วเพื่อนปากหมากับคนขายประกันนี่มีบุญคุณต่อข้าแบบไหน ทำไมถึงวนเวียนมาพานพบกันอยู่ได้ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ



ทำท่าสนใจดูแผงขายผ้าอยู่ไม่นานข้าจึงเดินผละออกมา ไม่ลืมกล่าวขอบคุณปิ่งชงที่พยายามขายผ้าให้ข้าอย่างสุดความสามารถ ในเมื่อชาติหน้าอาม่าไม่ซื้อประกันเขา ชาตินี้ข้าก็จะไม่ซื้อผ้าเขา จะชาติไหนข้าก็คงไม่อุดหนุนเขา หากพวกเราเลิกมีบุญวาสนาร่วมกันคงได้เลิกวนเวียนมาพบหน้าเสียที ข้าเบื่อเสียงกริ่งเวลาพี่ปิงมาหาอาม่าจะแย่อยู่แล้ว



แต่เอาจริงๆพี่ปิงก็เสนอขายประกันให้ผิดคน น่าจะมาขายให้ข้ามากกว่าอาม่าอีก



ตอนนี้ข้าคิดว่าพอจะเข้าใจตรรกะของโลกโบราณขึ้นมาบ้างแล้ว มีคนที่หน้าตาเหมือนเดิม นิสัยก็คล้ายจะเหมือนเดิม กระทั่งชื่อก็ยังเหมือนชื่อเดิมอยู่หนึ่งส่วน แต่จะเป็นเพราะพวกเขาเป็นบรรพบุรุษหรือร่างในอดีตของคนที่ข้าได้พบเจอในโลกอนาคตนั้น ต่อให้ข้าคิดจนปวดหัวก็คงไม่เข้าใจอะไรขึ้นไปมากกว่านี้



เด็กหนุ่มครุ่นคิดไปพลางมองสังเกตไปพลางพบเห็นคนในตลาดที่หน้าเหมือนคนในชาติภพที่ตนจากมาอยู่จำนวนหนึ่ง เมื่อวานตอนได้ออกมาเดินตลาดครั้งแรกนั้นดันตื่นเต้นปนโมโหคนขี้ตืดจนไม่ได้สังเกตให้ดีจึงไม่เห็น แต่เหล่าคนหน้าเหมือนทั้งหลายนั้นนอกจากไอ้โจแล้ว คนอื่นๆก็ใช่ว่าจะดูออกได้ผ่านการสบตากันเพียงหนึ่งครั้ง ทั้งทรงผมและเครื่องแต่งกายก็ต่างไม่เหมือนเดิม เมื่อครู่ลี่หมิงมองแม่นางคนขายปูอยู่นานกว่าจะนึกออกว่านางหน้าเหมือนนางเอกช่องสี่คนหนึ่งในสภาพไร้เครื่องแต่งหน้า



ส่วนสาเหตุที่เด็กหนุ่มไม่รู้ตั้งแต่ข้ามภพมาว่าเสวี่ยหมิงก็รู้จักไอ้โจเป็นเพราะลี่หมิงรู้จักคนหน้าตาแบบไอ้โจในชื่อ ‘ไอ้โจ’ แต่เสวี่ยหมิงรู้จักในฐานะ ‘เว่ยเหอโจว’ เมื่อความทรงจำกับชื่อไม่ตรงกันจึงนึกไม่ออกตั้งแต่แรกว่าคนในความทรงจำใครบ้างที่เป็นคนเดียวกัน



บางที ถ้าข้าเดินตลาดบ่อยๆอาจโชคดีได้เจออาม่ายืนต่อราคาหมูติดมันอยู่…หรือจริงๆตัวข้าในภพนี้อาจจะรู้จักอาม่าอยู่แล้วก็เป็นได้ แต่ข้าเพียงต้องรู้ชื่ออาม่าในภพนี้เพื่อจะนึกให้ออกก็เท่านั้น



“เยว่อ๋อง กำไลหยกขาวของท่านลายแปลกยิ่งนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านนิยมชมชอบเต่าถึงเพียงนี้” ไอ้คนตายยากมันมาอีกแล้ว จีบหญิงไม่ติดก็มาตามวอแวกับข้า



“กำไลนี้ข้าได้มาจากเสด็จพี่เหวินหลง เสด็จพี่หวังว่าหลังจากนี้ข้าจะมีสุขภาพแข็งแรงจึงให้เต่าที่เป็นสัญลักษณ์ของอายุขัยอันยืนยาวมา” หม่าเทียนฟงพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงเข้าใจกับคำอธิบาย ส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้เด็กหนุ่ม



“เมื่อครู่ เห็นท่านยืนดูแผงผ้าอยู่นาน ท่านสนใจผืนไหนอยากให้ข้าซื้อให้ท่านหรือไม่”



“ข้าคงไม่กล้ารบกวนท่านรองแม่ทัพ” พอมีคนรู้จักสายเปย์ขึ้นมาอีกคนก็ดันเป็นพวกเปย์หวังผลอีก ได้โปรด ข้าต้องการความพอดี ทำไมมันถึงได้หายากนัก



“รองแม่ทัพอันใดกัน วาจาท่านห่างเหินยิ่งนัก เรียกข้าว่าเทียนฟงเถิด อีกไม่นานท่านก็จะไปประจำอยู่เมืองเยว่แล้ว ชายแดนไป่หนานก็อยู่เลยไปอีกไม่ไกลนัก หลังจากนี้เราคงได้เจอกันมากขึ้น สนิทสนมกันไว้เป็นเรื่องดี”



“ย่อมได้ เช่นนั้นเทียนฟง รบกวนท่านช่วยเอามือออกไปจากไหล่ข้าได้หรือไม่”



“อ่า เห็นทีคงจะไม่ได้ เยว่อ๋อง ความใกล้ชิดนั้นเป็นส่วนสำคัญในการปกป้องท่าน ท่านต้องเข้าใจนอกรั้ววังอันตรายยิ่งนัก” มีหน้ามาพูดอีก ข้าเห็นมีแต่เจ้านี่แหละอันตรายที่สุดเลยโว้ย!



“‘งั้นหรือ แล้วท่านคิดว่าเสด็จพี่เหวินหลงจะคิดอย่างไรกับ‘ความใกล้ชิด’ที่มากเกินพอดีของท่าน?”



รองแม่ทัพคนกล้าค่อยๆเลื่อนมือลงช้าๆกลับไปเก็บข้างลำตัว ยิ้มแย้มแม้ใบหน้าจะซีดลงเล็กน้อย “เรื่องนั้นข้าว่าเราน่าจะตกลงกันได้ คงช่วยข้าได้มากทีเดียว หากท่านจะกล่าวขยายความด้วยว่าความใกล้ชิดของข้าและท่านหมายถึงข้าคอยยืนระวังภัยไม่ห่างไปจากตัวท่านแม้เพียงน้อย”



ไม่ห่างอะไรล่ะเมื่อกี้เอ็งเล่นวิ่งหายหัวไปจีบหญิงอยู่ถึงไหนก็ไม่รู้! ตอแหลซึ่งๆหน้าชัดๆ!!



“ท่านอย่าได้กังวลไป เสด็จพี่เหวินหลงคงปลาบปลื้มนักที่ได้ยินว่าท่านเป็นห่วงข้าถึงเพียงนี้” ฮ่าๆ ได้แกล้งคนนี่มันรู้สึกดีจริงๆ มีพี่ใหญ่ทั้งทีก็ต้องเบ่งไว้ก่อน



“หากท่านกล่าวเช่นนั้นข้าก็สบายใจ รีบเดินกันเถิด ป่านนี้หลิงอ๋องคงกระวนกระวายแย่แล้วว่าข้ากับองค์ชายแปดอาจลืมเวลานัด”



ทีตอนนี้มาทำเป็นรีบ เห็นเดินเอื่อยแอบอู้อยู่ตั้งนาน ถ้าข้าเป็นหลิงอ๋องป่านนี้กลับไปนอนรอพวกเจ้าที่บ้านแล้ว



ลี่หมิงเร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้เดินตามเทียนฟงทัน สอดส่องสายตาไปตามถนนหนทางที่เดินผ่าน แม้ตอนนี้จะเริ่มทำใจได้แล้วว่าแทบไม่มีหวังที่จะหาไอโฟนของสำคัญเจอ แต่อย่างน้อยการพยายามมองหาก็ให้ความรู้สึกดีกว่าไม่ทำอะไรเลย



ถ้าหาเจอก็ถือว่าโชคยังพอมี ถ้าหาไม่เจอก็ถือซะว่าข้ากับแฟนเก่าเราคงไม่มีวาสนาที่จะได้เป็นคนรักกันก็แล้วกัน เขาทิ้งข้าไป ข้าก็ทิ้งของที่เขาให้ แบบนี้คงยุติธรรมดีแล้ว ต่อให้จริงๆแล้วข้าจะทำหายก็เถอะ



“เทียนฟงท่านอย่าเดินเร็วนัก”



ไอ้บ้านี่ ไหนเมื่อกี้ใครมันบอกอยากใกล้ชิด ทีตอนนี้เดินฉับๆนำหน้าไปคนเดียวเฉยเลย มันกลัวโรงเตี๊ยมปิดกิจการหนีหรือไงวะ



ร้านรวงในทางเดินสองข้างค่อยๆเริ่มหมดลงเข้าสู่เขตของบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ลี่หมิงชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อยเมื่อมีบางอย่างดึงดูดความสนใจ สายตาจับจ้องยังตอตะโกเถ้าถ่านที่ดูเหมือนเคยเป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่



 “ที่นั่น...” 



“ที่นั่นไม่ใช่โรงเตี๊ยม เยว่อ๋องพวกเรายังต้องเดินต่อไปอีก ข้าคิดว่าข้าเห็นองค์ชายแปดอยู่ข้างหน้า หากพวกเราเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเล็กน้อยก็คงตามเขาทัน”



“ไม่ ข้าหมายถึงตรงนั้น ที่ดูดำๆไหม้ๆ ตรงนั้นเคยมีอะไรหรือ”



“...ที่นั่นเคยเป็นจวนของเสนาบดีหู” หม่าเทียนฟงเอ่ยตอบเสียงเบา



“จวนของเสนาบดีหูที่เกิดไฟไหม้เมื่อเดือนก่อน?” ลี่หมิงหันไปมองหน้ารองแม่ทัพผู้เก่งกาจ คนเคยหนักแน่นไม่หวั่นไหวเผยสีหน้าลำบากใจให้เด็กหนุ่มนึกฉงน



เรื่องไฟไหม้จวนสกุลหูเป็นเรื่องก่อนที่ข้าจะมาอยู่ที่นี่แทนเสวี่ยหมิงก็จริง แต่เหตุไฟไหม้ครั้งนั้นเผาเอาเอกสารสำคัญทางราชการวอดวายหายไปกว่าครึ่ง เป็นเหตุให้เสวี่ยหมิงปวดหัววุ่นวายอยู่กับการร่างเอกสารขึ้นมาใหม่ทดแทนส่วนที่ไหม้ไปในกองเพลิงอยู่นานหลายอาทิตย์ โชคยังดีที่นอกจากทรัพย์สินที่เสียไปไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเพลิงไหม้ครั้งนี้แม้แต่คนเดียว



“เยว่อ๋องอย่าหาว่าข้าก้าวก่ายเลย...แต่ท่านพอจะได้ยินสาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนั้นมาบ้างหรือไม่”



“ข้าทราบเพียงแค่ว่าคนรับใช้ลืมดับตะเกียงในห้องหนังสือ เมื่อตะเกียงถูกลมพัดล้มทำให้ไฟติดกระดาษจนลุกลามไปทั่ว”



“หากท่านพูดสาเหตุที่คนทั่วไปทราบก็คงใช่ แต่เรื่องนี้มีอีกสาเหตุหนึ่งอยู่…ข้าไม่แน่ใจว่าการพูดออกมาจะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่”



“บอกข้ามาเถิด” ถ้าจะพูดให้อยากแล้วจากไป คราวหลังก็ไม่ต้องเกริ่นมาขนาดนี้สิวะ!



“ข้า..ข้าคิดว่าเราไม่พวกเราไม่ควรปล่อยให้หลิงอ๋องรอนาน รีบไปเถิ...”



“เทียนฟง” ถ้าเริ่มเสือกแล้วก็ต้องเสือกให้จบ ไอ้คนตระกูลหม่ามันไม่เข้าใจกฏเหล็กแสนสำคัญข้อนี้หรือ



“เยว่อ๋อง...”



“ข้าทราบนามตัวเองดียิ่ง เทียนฟง มันเรื่องยิ่งใหญ่อันใดกัน ท่านจะบอกข้าไม่ได้เชียวหรือ ตัวข้านั้นเป็นถึงอ๋องแห่งเมืองเยว่ หรือแม้แต่ท่านก็ไม่เห็นว่าข้ามีคุณสมบัติพอจะรู้เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้”



“ไม่ใช่ ไม่ใช่เช่นนั้น ได้โปรดอย่าทำหน้าเศร้าเลย ที่ไม่มีใครแจ้งให้ท่านทราบเป็นเพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับท่านโดยตรง...”



 “กับข้า?”



“ท่านคงทราบดีว่าตัวเสนาบดีหูนั้นมีวาจาไม่ค่อยจะรื่นหูนัก บางครั้งบางคราคำพูดของเขาจึงเป็นเหตุให้ใครหลายคนไม่พอใจ แต่เป็นเพราะไม่เคยมีใครคิดจะเสียเวลาลับฝีปากกับเขา เสนาบดีหูจึงเคยชินกับการพูดจาไร้ความรับผิดชอบของตัวเอง และเมื่อเดือนที่แล้วเขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง เสนาบดีหูเริ่มนำ...ไปนินทาเสียๆหายๆ” รองแม่ทัพหม่าชี้ไปที่ลี่หมิง เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว



“ข้า?” คนจะเล่าทั้งทีก็ดันไม่เล่าให้ดี ทำตัวลับๆล่อ มองซ้ายทีขวาที หารู้ไม่ว่าอาการเช่นนั้นทำให้ยิ่งดูน่าสงสัยกว่ายืนเล่าอยู่นิ่งๆเสียอีก



หม่าเทียนฟงพยักหน้า ปลายนิ้วเคลื่อนต่อไปชี้ที่กำไลหยกขาวบนข้อมือซ้ายของลี่หมิง ก่อนจะชี้กลับไปยังเถ้าตอตะโกที่ทั้งสองเพิ่งเดินผ่านมา



“ท่านพอจะเข้าใจหรือไม่” เข้าใจบิดาเอ็งสิ! ตัวข้า กำไลลายเต่า กับซากจวนไหม้เหล่านั้นมันเกี่ยวอะไรกัน ห๊า!! เจ้าจะบอกว่าข้าขี่เต่าไปแอบเผาจวนชาวบ้านเขาเรอะ!!!



“ท่านหมายความว่าอย่างไร หากท่านจะช่วยอธิบายให้ข้ากระจ่างกว่านี้ได้คงดี”



“เยว่อ๋อง ข้าคงพูดได้เพียงเท่านี้ ตัวข้าหม่าเทียนฟงรักตัวกลัวตายยิ่งนัก ในสนามรบข้าพร้อมเสียหัวเพื่อบ้านเมือง แต่นอกสนามรบข้ายังอยากมีหัวไว้ให้สองตานี้ได้มองหน้าท่าน” ข้ายอมใจเลยจริงๆคนอะไรมันจะเสี่ยวเสมอต้นเสมอปลายได้ขนาดนี้ ทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่ไม่นานก็กลับมาพูดจาแทะโลมข้าเหมือนเดิมจนได้ หากข้าบอกเสด็จพี่เหวินหลง บางทีเสด็จพี่อาจช่วย…



หือ...



ดูเหมือนข้าจะลืมคำนึงถึงบางสิ่งไปเสียสนิท บางที แค่บางทีเท่านั้น แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังไม่กล้าจะคิดถึงความเป็นไปได้นั้น



“เทียนฟง เมื่อกี้ท่านจะบอกว่าเสด็จพี่เหวินหลงเป็นคนเผ...อื้อออ!!!” 



“เยว่อ๋องท่านคงจะหิวแล้ว เมื่อครู่ข้าซื้อเสี่ยวหลงเปาเอาไว้ โปรดกินรองท้องก่อนที่พวกเราจะไปถึงโรงเตี๊ยมเถิด” ไอ้คนน่าตาย! ใครสั่งใครสอนให้เจ้าเอาเสี่ยวหลงเปายัดปากคนอื่น!! ไม่อยากให้ข้าพูดออกมาก็บอกกันดีๆเซ่!!!



เด็กหนุ่มดึงเสี่ยวหลงเปาออกจากปาก ใบหน้าติดจะไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็เคี้ยวกลืนลงคอ ซึมซาบรสชาติอาหารมื้อแรกของวันนี้ “แล้วท่านทราบได้อย่างไร ข้าหมายถึง...” ลี่หมิงชี้ไปที่กำไลบนข้อมือตนเอง ก่อนจะชี้กลับไปยังจวนตอตะโกของเสนาบดีหู



ไม่คิดเลยว่าข้าก็บ้าบอคุยเป็นรหัสลับไปอีกคน ชี้นู่นชี้นี่กลับไปกลับมาเหมือนคนบ้า แต่ถ้าจะให้พูดชื่อออกมาตรงๆ ก็เกรงจะโดนไอ้คนสกุลหม่าเอาเสี่ยวหลงเปายัดปากอีก



หม่าเทียนฟงกัดเสี่ยวหลงเปาคำโต หลบเลี่ยงไม่สบตาท่านอ๋องคนงาม ใช้มือข้างที่ว่างชี้ไปที่กำไลหยก ชี้นิ้วกลับมาเข้าตัวเองหนึ่งครั้ง แล้วชี้กลับไปที่ซากเถ้าถ่าน



“ท่านจะบอกว่าท่านเป็นคน...” ลี่หมิงทำท่าทำทางที่คิดว่าดูคล้ายการจุดไฟเขวี้ยงคบเพลิงมากที่สุด รองแม่ทัพหม่าพยักหน้าขึ้นลงช้าๆพลางยิ้มแหย



เฮ้ย! เอาจริงดิ!!



“เผื่อท่านจำไม่ได้ เดือนที่แล้วมีช่วงที่ข้ากลับมาเมืองหลวงพอดี...” ไม่ต้องทำเป็นมาช่วยเตือนความจำข้าเลย สรุปว่ามันเป็นคนไปเผาจวนชาวบ้านเขาเองเรอะ! ใช่ไหม ข้าเข้าใจถูกไหม!! แล้วยังไงกัน เสด็จพี่ของข้าโหดยิ่งกว่าเทอมิเนเตอร์งั้นหรือ แค่คนปากไม่มีหูรูดหนึ่งคนพูดจาให้ร้ายข้า พี่ชายก็เล่นให้คนไปจุดไฟเผาบ้านมันจนวอดวายเลยรึ!!!



นี่สินะตัวอย่างที่ดีของการใช้อำนาจในทางมิชอบ...



เมื่อลองคิดทบทวนดูดีๆ ในความทรงจำก็มีเรื่องราวแปลกๆที่แม้แต่ตัวเสวี่ยหมิงเองก็ไม่เข้าใจอยู่เหมือนกัน ช่วงที่เกิดเรื่องกับจวนสกุลหู เหวินหลงมักแวะเวียนมาตำหนักของเสวี่ยหมิงเพื่อช่วยคัดลอกเอกสารทดแทนของเก่าอยู่เสมอ และในบางครั้งขณะมองดูเสวี่ยหมิงทำงานก็กล่าววาจาปลงตกด้วยสีหน้าลำบากใจ เช่น ‘พี่เหนื่อยใจที่ต้องมาเห็นเจ้าทำงานหนักเกินตัวเหลือเกิน’ หรือ ‘หมิงเอ๋อร์พี่ขอโทษ เจ้าไม่โกรธพี่ได้ไหม”



ไม่ว่าเสวี่ยหมิงจะเอ่ยถามถึงสาเหตุของคำขอโทษกี่ครั้งพระเชษฐากลับไม่ยอมตอบดีๆ เบี่ยงประเด็นเปลี่ยนหัวข้อคุยอยู่ร่ำไป เมื่อคนไม่ยอมพูด ดื้อดึงซักถามไปก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายเสวี่ยหมิงจึงคิดเองเออเองว่าเสด็จพี่ทำงานเหนื่อยจนเลอะเลือน



ขนาดพี่น้องสกุลเดียวกันเสด็จพี่ยังพร้อมจะฝังพวกเขาเพื่อข้า นับประสาอะไรกับคนนอกสายเลือด...หากข้าฟ้องเสด็จพี่เรื่องนิสัยถึงเนื้อถึงตัวของคนตระกูลหม่า คาดว่าแม้แต่ชื่อหม่าเทียนฟงข้าก็คงไม่มีวันได้ยินให้เคืองหูอีกต่อไป



เสด็จพี่คราวหน้าท่านแค่แอบยื่นบาทาไปขัดขาเสนาบดีหูตอนเข้าเฝ้าเสด็จพ่อก็เพียงพอแล้ว ได้โปรดอย่าเผาอะไรอีกเลย โลกมันร้อน



“พวกเจ้ายืนทำอะไรกัน”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-04-2017 01:47:15 โดย anflierza »

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
สนุก ทะลุมิติ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
รัชทายาท ดูรักใคร่เสวี่ยหมิง แค่ใครกล่าวให้ร้าย
ยังเล่นงานเผาบ้านซะเลย
แต่ที่เสวี่ยหมิงจำได้ เหวินหลงดูปากหวานไปเรื่อย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ช่างเป็นพี่ชายที่รักน้องหวงน้องเสียจริง

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
ขำมากกกก 55555
แต่คิดถึลอาม่า อยากให้อาม่ามาด้วย

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
5555อินเซทไหม เราเชียร์ อยากให้พี่น้องได้กัล :hao7:

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1

ออฟไลน์ นางฟ้าเชียงชุน

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 351
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
ไท่จือปกป้องน้องสุดๆ แต่ครคือพระเอกหนออออ

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
น่าสนุกดีค่ะ

เราชอบ เป้นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ somakimi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 154
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
สนุกดี มารอลุ้นว่าใครจะเป็นพระเอก

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ไท่จื่อแค่หลงน้องชายหรือแอบรักเนี่ย?

ออฟไลน์ agava1313

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
แนวพี่น้องโอ้ล่ะแม่ รึเปล่าเหนอ หืม..^^

ออฟไลน์ DESZCZ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รักท่านพี่เลย จะรักน้องอะไรขนาดนั้น

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4

ออฟไลน์ anflierza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ตอนที่ 6 : ปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยข้าลงเถอะ



“พวกเจ้ายืนทำอะไรกัน”



เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากข้างหลัง ลี่หมิงและหม่าเทียนฟงสะดุ้งสุดตัว แต่เมื่อได้เห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใครคนร้อนตัวทั้งคู่จึงแสดงสีหน้าโล่งใจ



“องค์ชายแปด...”



“ข้ายืนรออยู่นานไม่เห็นใครเดินตามมาจึงต้องวกกลับมาดู ขาของพวกเจ้ามันหนักมากนักหรืออย่างไร เหตุใดถึงได้หยุดยืนเกะกะอยู่ที่เดิมถึงนานสองนาน” เจ้าจะไปเข้าใจอะไร ข้ามัวแต่ยืนตกตะลึงไอ้จวนไฟลุกข้างหลังนั่นจนแทบก้าวขาไม่ออก ไอ้โจเอ็งมันโชคดีไง ปากหมาและหน้าตากวนส้นตีนจนเสด็จพี่ไม่อยากคุยด้วย ลองมาเป็นข้าดูสิ ความรักที่เสด็จพี่มีให้ข้าร้อนแรงจนทำจวนไหม้กันเลยทีเดียว



“อ่า...งั้นข้าคงไม่รบกวนพวกท่านไปมากกว่านี้ ข้าเพียงอยากเดินตลาดเท่านั้น อีกไม่นานก็คงกลับแล้ว ท่านทั้งสองรีบไปพบหลิงอ๋องที่โรงเตี๊ยมเถิด”



“เจ้าอยากให้เทียนฟงหัวหายนักหรือถึงคิดจะกลับไปคนเดียว รีบเดินตามมา หลังเสร็จธุระข้าจะพาเจ้ากลับวัง” สิ้นคำประกาศิต เหอโจวออกเดินนำหน้าไปก่อนทิ้งให้รองแม่ทัพผู้โดนพาดพิงตัดพ้ออยู่ในใจว่าหัวของตนไร้ค่านักหรืออย่างไร เหตุใดใครต่อใครจึงพากันหาเรื่องเสี่ยงอาญากุดหัวมาให้นัก



แม้แต่ไอ้โจก็ยังรู้ว่าพี่ชายข้าโหดมหาประลัย แล้วก่อนหน้านี้เสวี่ยหมิงมัวไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกัน...



ลี่หมิงเร่งฝีเท้าตามคนหัวเสียกับคนเสี่ยงจะเสียหัวไปเงียบๆ เดินขาลากอยู่อีกพักใหญ่ในที่สุดก็มาถึงหน้าโรงเตี๊ยม เด็กหนุ่มหอบหายใจปาดหยาดเหงื่อปลายคางให้พ้นหน้า ไม่รู้จะโทษใครดีระหว่างสองคนที่เดินไม่รู้จักรอหรือร่างกายของเสวี่ยหมิงที่ดันอ่อนแอเกินไป



“เยว่อ๋อง ท่านเหนื่อยมากหรือ” เหนื่อยไม่เหนื่อยก็ดูหน้าข้าเอาสิวะ! ถ้ารู้ว่าจะไกลขนาดนี้ข้าน่าจะเดินกลับไปคนเดียวแล้วฟ้องเสด็จพี่ว่าเจ้าไม่ยอมกลับไปส่งข้า!!



“ข้าไม่เหนื่อย พวกเรารีบเข้าไปกันเถอะ”



“อันที่จริงแล้วข้าอยากเดินกลับไปส่งท่าน แต่องค์ชายแปดเกรงว่าจะทำให้การไปพบปะหลิงอ๋องต้องยืดเยื้อไปอีก ต้องขออภัยด้วย”



“ไม่เป็นไร ท่านอย่ารู้สึกผิดเลย” โน้มน้าวไอ้โจก็เหมือนพูดกับหินนั่นแหละ



“ถ้าท่านเดินไม่ไหวให้ข้าอุ้มท่านเข้าไปดีหรือไม่ หลิงอ๋องคงจองห้องส่วนตัวเอาไว้บนชั้นสอง พวกเราต้องเดินขึ้นบันไดกัน ข้ากลัวท่านจะเดินไม่ไหว”



“ไม่ต้อง เทียนฟง ขอบคุณในความหวังดีของท่านมาก” จะบ้าเรอะ! ต่อให้ข้าจะเหนื่อยอย่างไรข้าก็เป็นบุรุษ แต่ก่อนขาพิการจะถูกใครอุ้มบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่จะให้ข้าเกาะคอดมเหงื่อเจ้าพวกกล้ามปูต่อไปทั้งที่ขากลับมาดีดังเดิมก็ไม่เอาแล้ว!!



เหอโจวเดินนำเข้าไปในโรงเตี๊ยม เมื่อเห็นว่าอีกสองคนมัวแต่หยุดยืนคุยไม่รีบเดินตามมาเป็นครั้งที่สองจึงเริ่มหมดความอดทน หันหลังกลับไปตั้งใจจะต่อว่า หากแต่การกระทำนั้นทำให้ชนคนที่เดินสวนมาเข้าอย่างจัง เหอโจวผู้หัวร้อนอยู่เป็นทุนเดิมยกมือกุมไหล่ที่ถูกกระแทก หันกลับไปตั้งใจจะระบายอารมณ์กับเจ้าคนซุ่มซ่ามไม่รู้จักมองทาง แน่นอนว่าองค์ชายแปดเป็นผู้ที่ไม่เคยคิดว่าความผิดใดเป็นของตน



“...องค์ชายเหอโจว”



คนหงุดหงิดกลืนคำก่นด่าลงคอเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยทักตนเองก่อน เงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้าจึงเห็นว่าเป็นคนคุ้นเคย เอื้อนเอ่ยคำถามแทนคำด่าทอตามความตั้งใจแรก “ซืออี้...เจ้ามาทำอะไรที่นี่”



“...ข้าเพิ่งทานมื้อกลางวันเสร็จ กำลังจะไปเดินตลาด”



“ไม่ ข้าหมายถึงเจ้ามาทำอะไรที่เมืองหลวง ตอนนี้เจ้าควรจะอยู่ที่เมืองเยว่มิใช่หรือ” เหอโจวคิ้วกระตุกกับความเถรตรงของคนตอบ



“ข้ามา…ท่านอ๋อง บังเอิญเหลือเกินที่ได้พบท่าน” ชายผู้มาใหม่เบนความสนใจไปหาลี่หมิง เด็กหนุ่มมองใบหน้าคุ้นเคยของชายตรงหน้า เอ่ยทักชื่อของคนรู้จักตามที่เห็นในความทรงจำ “ท่านแม่ทัพหลี่...”



“ท่านเดินได้แล้วตามคำเล่าลือจริงๆ ขอบคุณสวรรค์ที่เมตตา ข้าได้ยินว่าท่านถูกลอบทำร้ายเมื่อหลายวันก่อน อาการท่านเป็นอย่างไรบ้าง ไม่บาดเจ็บใช่หรือไม่”



“ข้าปลอดภัยดี แล้วท่านมา...”



“ซืออี้เจ้าคนไร้มารยาท ตอบคำถามข้ามาก่อน” เหอโจวเอ่ยขึ้นขัด ว่ากันตามจริงแล้วลี่หมิงก็ไม่รู้ว่าใครไร้มารยาทกว่ากันระหว่างคนเอ่ยขัดคอกับคนทำเมินไม่ยอมตอบคำถาม



“องค์ชายแปดโปรดอภัยให้กับการเสียมารยาทของข้าด้วย ระหว่างเดินทางมาที่นี่ข่าวคราวเรื่องการลอบทำร้ายราชนิกุลทำข้าว้าวุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อได้เห็นท่านอ๋องปลอดภัยดีข้าก็สบายใจ ข้าถูกเรียกตัวมาจากเมืองเยว่เพื่อเพิ่มกำลังอารักขาให้กับเยว่อ๋องในการเดินทางอีกสามวันข้างหน้า พร้อมทั้งได้รับสาส์นจากองค์รัชทายาทให้เตรียมเสี่ยวหลงเปาติดเกวียนเอาไว้ จึงคิดจะออกไปสั่งล่วงหน้าไว้ก่อน”



“คงต้องรบกวนท่านแม่ทัพหลี่แล้ว” พี่ชาย...ท่านรักข้า ข้าเข้าใจดี แต่ปฏิบัติกับข้าเหมือนเป็นเด็กสามขวบนี่ ท่านไม่อายแต่ข้าอายมาก



“ขอเพียงท่านปลอดภัย ไม่ว่าสิ่งใดข้ายินดีทำเพื่อท่าน”



“เช่นนั้นพวกเจ้ายืนสนทนากันให้พอใจ ข้าจะเข้าไปพบหลิงอ๋องก่อน เทียนฟงฝากเจ้าด้วย” องค์ชายแปดรำคาญคนชักช้าทั้งหลายเดินนำเข้าไปในโรงเตี๊ยมไม่รอผู้ใด



ลี่หมิงเหม่อมองแม่ทัพผู้ซื่อสัตย์ หลี่ซืออี้เป็นแม่ทัพรักษาการณ์ของเมืองเยว่ เดิมทีเมืองเยว่เป็นเพียงเมืองเล็กๆติดชายแดนจึงไม่ได้รับอำนาจทางการทหารใดๆ แต่เมื่อสามปีก่อนเกิดเหตุกบฏบริเวณชายแดนไป่หนาน เข้าระดมปล้นฆ่าประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนจนเดือดร้อนลามมาถึงเมืองเยว่ ฮ่องเต้หมิงเฉียนมีราชโองการให้เมืองเยว่ถือครองอำนาจทางการทหารได้ส่วนหนึ่ง แม่ทัพหลี่จึงถูกส่งตัวมาประจำอยู่เมืองเยว่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา



คนผู้นี้มีบทบาทมากทีเดียวในความทรงจำช่วงที่เสวี่ยหมิงกลับเมืองเยว่ไปตรวจราชการ ไม่ต้องพูดถึงความจงรักภักดีอันมากล้น หลี่ซืออี้แทบจะเป็นคนเดียวที่คอยสร้างรอยยิ้มให้เด็กหนุ่มในยามเหน็ดเหนื่อยเมื่อถูกปัญหางานราษฎร์งานหลวงทั้งหลายรุมเร้า แม่ทัพหลี่ทำให้เสวี่ยหมิงรู้สึกว่าการเดินทางไปเมืองเยว่ในแต่ละครั้งไม่น่าเบื่อเหมือนเคย ลี่หมิงได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้ความทรงจำปรากฏขึ้นในหัวราวกับภาพยนตร์เล่นซ้ำไปมา ในหัวของเด็กหนุ่มตอนนี้มีเพียงคำถามเดียวที่แม้อยากจะพูดออกไปมากเพียงใดก็ทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้



ทำไม...มันหล่อจังวะ



หลี่ซืออี้เป็นผู้ชายประเภทที่แม้แต่เพศเดียวกันยังต้องเอ่ยปากยอมรับในเครื่องหน้าอันแสนลงตัว ใบหน้าคมคายไม่ได้ให้ความรู้สึกกระด้างกระเดื่องจนเกินไป ดั่งที่ผู้คนมักเข้าใจว่าแม่ทัพผู้องอาจทั้งหลายคงไม่รู้จักการโอนอ่อนผ่อนตามเช่นสามัญชน นัยน์ตาสีเปลือกไม้ทั้งสองข้างประกอบกับปลายหางตาตกลงยิ่งเสริมให้แววตาของหลี่ซืออี้ยามปรากฏรอยยิ้มชวนให้คนมองไม่สามารถละสายตาไปได้ ผิวหยาบกร้านแม้จะเต็มไปด้วยรอยฟาดฟันจากการผ่านสนามรบมานับครั้งไม่ถ้วนก็ไม่ได้ทำให้ใบหน้ามากเสน่ห์น่ามองลดลงเลยแม้แต่น้อย



ยิ่งประกอบกับนิสัยซื่อสัตย์เถรตรงแสนดีของเจ้าตัว แม่ทัพหลี่ผู้นี้จึงเป็นที่นิยมในหัวข้อสนทนาของหญิงน้อยสาวใหญ่แห่งเมืองเยว่ได้ไม่ยาก แต่เมื่อมีคนรักคนชอบ การมีคนเกลียดคนสาปแช่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด รองแม่ทัพหม่าเทียนฟงเองนั้นเป็นผู้หนึ่งที่เห็นแม่ทัพหลี่เป็นศัตรูคู่อาฆาตของตน ด้วยเข้าใจว่าเป็นเพียงเจ้าคนเสแสร้งแกล้งทำเป็นดีนักหนา หน้าตาก็ใช่ว่าจะน่าดูชมแต่กลับชอบเสนอตัวเอาใบหน้าไม่น่ามองช่วยชาวบ้านไปทั่วสารทิศ ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ได้ยินแต่เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญคุณความดีของหลี่ซืออี้ หม่าเทียนฟงจึงตั้งตัวเป็นผู้อยู่ข้างความยุติธรรม ตั้งใจว่าสักวันหนึ่งจะต้องกำจัดเจ้าคนที่มีดีแค่หน้าตาให้พ้นทางไปเสีย



“คารวะแม่ทัพหลี่” เทียนฟงคนขี้อิจฉากล่าวคำเคารพแม้จะเกลียดขี้หน้าอีกฝ่ายมากเพียงใด



“รองแม่ทัพหม่า...เนิ่นนานเหลือเกินที่ไม่ได้พบท่าน ไม่ทราบว่าอาการบาดเจ็บของท่านแม่ทัพหม่าเป็นอย่างไรบ้าง”



“ท่านพ่อข้าสบายดี” คนถูกถามเอ่ยตอบเสียงเบา “...ตอนนี้หายดีแล้ว”



“‘ข้ายินดีเหลือเกินที่ได้ยินเช่นนั้น แถบชายแดนลำบากนัก หากท่านต้องการยาสมุนไพรจำเป็นอันใดโปรดบอกข้าเถิด อย่างเกรงใจ ข้าจะจัดเตรียมให้คนนำไปให้”



“ขอบคุณท่านมาก...แต่อย่างไรองค์ชายแปดก็อยู่ชายแดนกับข้า คงไม่ต้องลำบากท่านแต่อย่างใด” หม่าเทียนฟงเค้นคำตอบลอดไรฟัน ลี่หมิงยืนฟังบทสนทนาของคนทั้งสองไปแล้วก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าหลี่ซืออี้เป็นคนดีแสนซื่อตรง หรือเป็นคนกวนตีนตีหน้าซื่อกันแน่ ต่อให้ผู้อื่นเอาตาหลังมองยังดูออกว่าหม่าเทียนฟงไม่ได้อยากมีส่วนร่วมในบทสนทนาแต่อย่างใด ส่วนแม่ทัพหลี่นี่ก็แปลกเจอหน้าคนลูกกลับเอ่ยถามถึงคนพ่อ บิดาตัวเองก็ไม่ใช่ ยิ่งแสดงความห่วงใยบุพการีผู้อื่นมากเกินจำเป็นแบบนี้รังแต่จะทำให้หม่าเทียนฟงเข้าใจผิดไปว่าถูกแม่ทัพหลี่ดูแคลน แม้แต่บิดาของตนก็ไม่มีปัญญาดูแลต้องให้ผู้อื่นยื่นมือเข้าช่วย



“รองแม่ทัพหม่าได้โปรดอย่าเกรงใจ สิ่งใดที่ข้าพอทำเพื่อผู้อื่นได้ข้ายินดีเสมอ”



ยัง ยังไม่หยุดอีก หลี่ซืออี้ท่านรีบรู้ตัวแล้วย้ายหน้าหล่อๆของท่านไปที่อื่นทีเถิด ไอ้คนสกุลหม่ามันแทบจะเอาเสี่ยวหลงเปาปาหน้าท่านอยู่แล้ว ท่านไม่เห็นหรือ!



“ท..ท่านแม่ทัพหลี่ ต้องขออภัยด้วยแต่รองแม่ทัพหม่ากับองค์ชายแปดมีนัดกับหลิงอ๋อง หากไม่รีบไปคงเป็นการเสียมารยาท” ลี่หมิงเอ่ยขึ้นขัดเมื่อหม่าเทียนฟงยืนนิ่งไม่อยากพูดจา บรรยากาศการสนทนาเริ่มดูท่าจะไม่ดีเท่าไหร่นัก



“อ่า ข้าต้องขออภัย ชวนพวกท่านสนทนาอยู่เสียนานสองนานทีเดียว”



“เช่นนั้นหลังจากนี้รบกวนท่านแม่ทัพหลี่ด้วย ยามนี้พวกข้าขอตัวก่อน” ลี่หมิงค้อมหัวลงเคารพอีกฝ่ายเล็กน้อย ก้าวขาหนึ่งข้างไปข้างหน้าเตรียมออกเดิน พลันร่างของเด็กหนุ่มกลับทรุดฮวบลงกับพื้นท่ามกลางความตกใจของสองแม่ทัพ อาจเป็นเพราะขาทั้งคู่ไม่คุ้นชินกับการเดินสลับวิ่งเป็นเวลานานดั่งเช่นวันนี้หรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ลี่หมิงยันมือลงกับพื้นเพื่อลุกขึ้น แต่แม้จะพยายามเสียจนเจ็บฝ่ามือทั้งสองก็ไม่เป็นผล



“ท่านอ๋อง!” แม่ทัพหลี่อาศัยความที่อยู่ใกล้กว่ารองแม่ทัพ เร่งร้อนเข้าประชิดตัวเด็กหนุ่ม แววตาปรากฏร่องรอยของความวิตก



“ข..ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น” ชีวิตข้ามันเป็นบ้าอะไร! พบเจอคนหล่อกี่ครั้งขาข้าก็ดีแต่สร้างเรื่อง เมื่อครั้งแรกพบเสด็จพี่ ข้าก็เตะเขากระเด็นตกสระไป ครั้งนี้ต่อหน้าแม่ทัพหลี่ ขาข้าก็ดันอ่อนยวบไปตามความหล่อวัวตายควายล้มของเขาอีก สวรรค์ท่านชอบให้ข้าขายขี้หน้าชาวบ้านนักหรือ



“ข้าคงต้องขอถือวิสาสะ ไม่ทราบว่าหลิงอ๋องนัดพบพวกท่านบนห้องส่วนตัวชั้นสองใช่หรือไม่” หลี่ซืออี้เอ่ยถาม



“ข้าคิดว่าน่าจะใช่...ท่านแม่ทัพหลี่ เดี๋ยว!” ลี่หมิงร้องเสียงหลง ร่างถูกอุ้มช้อนขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว แขนตวัดรั้งคออีกฝ่ายเพื่อไม่ให้ตนเองพลาดพลั้งหล่นกระแทกพื้น “ขออภัยให้กับการเสียมารยาทของข้าด้วย ท่านอ๋อง อย่างน้อยก็ให้ข้าได้ไปส่งท่าน องค์ชายแปดเองก็อยู่ด้วย ข้าคิดว่าน่าจะพอช่วยตรวจดูอาการของท่านได้บ้าง” หลี่ซืออี้ไม่ฟังเสียงค้านใด ก้าวขาฉับไวเดินเข้าโรงเตี๊ยม ทิ้งรองแม่ทัพหม่าผู้มัวแต่ยืนนิ่งอึ้งไว้ข้างหลัง



“ข้าบอกท่านแล้ว...ข้าแค่เหนื่อยเท่านั้น ปล่อยข้าลงเถอะ ข้าเดินเองได้!” ท่านี้แม่งนางเอกชิบหายเลยโว้ยยยยย! ถ้าจำเป็นต้องอุ้มข้าก็ให้ขึ้นขี่หลังสิวะ ไม่ใช่อุ้มในท่าเจ้าหญิงแบบนี้!! หลี่ซืออี้ เจ้าเห็นข้าเป็นแม่นางน้อยหรืออย่างไร ต่อให้ข้าจะผอมไม่ได้บึกบึนเต็มไปด้วยกล้ามอย่างเจ้า แต่ร่างกายข้าก็เรียกได้ว่าเป็นบุรุษผู้หนึ่งไม่ได้เบาบางเสียจนใครจะมาอุ้มได้ง่ายๆ ไอ้คนบ้าพลัง!!



“ข้ายอมให้ท่านโกรธข้า ยังดีเสียกว่าทนมองเห็นท่านบาดเจ็บ”คนพูดกระชับคนในอ้อมแขนให้แน่นขึ้นเมื่อลี่หมิงเริ่มดิ้นขลุกขลัก หลี่ซืออี้คนบ้าพลังก้มหน้าลงสบตาเผยยิ้มอ่อนโยนให้เยว่อ๋องผู้มีใบหน้าง้ำงอ ก้าวเดินขึ้นบันไดทีละขั้นด้วยความระมัดระวัง



อื้อหือ เจิดจ้าเหลือเกิน แม่งจะหล่อเกินไปแล้ว พูดถึงขนาดนี้แล้วข้าจะทำใจปฏิเสธคนหน้าปานเทพเทวาลงได้อย่างไร จิตใจข้าไม่ได้ทำจากเหล็กกล้าเสียหน่อย



เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมจิวฝูเดินยิ้มแย้มออกมาต้อนรับแขกสูงศักดิ์ผู้มาใหม่ คนทั้งสามตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งร้านในทันใด ลี่หมิงซุกหน้าเข้ากับอกของแม่ทัพหลี่ อับอายเสียจนไม่อยากสบตาใคร เด็กหนุ่มลอบส่งสายตาเว้าวอนให้หม่าเทียนฟงผู้เพิ่งได้สติวิ่งตามขึ้นบันไดมา ในเมื่อไม่สามารถปฏิเสธด้วยตนเองได้คงต้องขอความช่วยเหลือจากคนหน้าด้าน หากแต่รองแม่ทัพหม่ายังไม่ทันได้ลงมือทำสิ่งใด เสียงคุ้นเคยพลันเอื้อนเอ่ยขึ้นเบื้องหน้าคนทั้งสาม ทำเอาหม่าเทียนฟงขนลุกตัวเย็น อยากจะหงายหลังกลิ้งตกบันไดตายไปเสีย

ออฟไลน์ anflierza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
“หมิงเอ๋อร์ บังเอิญเหลือเกิน”



“คารวะองค์รัชทายาท” หลี่ซืออี้เอ่ยแสดงความเคารพ แม้ท่าทางจะแลดูเก้ๆกังๆเพราะต้องโอบอุ้มร่างของเสวี่ยหมิงไว้เต็มสองมือ



รัชทายาทแห่งราชวงศ์เว่ยปรายตามองพระอนุชาในอ้อมกอดของหลี่ซืออี้ ไม่คิดจะเอ่ยตอบแม่ทัพตรงหน้าแต่อย่างใด “พี่แวะมาสนทนากับสหายหลังเสร็จธุระ คิดว่าเจ้ากลับวังไปแล้วเสียอีก น้องพี่ เหตุใดแม่ทัพหลี่ถึงต้องอุ้มเจ้าขึ้นบันไดมาเล่า” เว่ยเหวินหลงสะบัดแขนเสื้อปักด้ายดิ้นทองหนึ่งครั้ง มือทั้งสองยื่นออกไปข้างหน้า



“...ท่านแม่ทัพหลี่ ขอน้องข้าคืนด้วย” องค์รัชทายาทแย้มรอยยิ้มประจำกาย หากแต่ครานี้นัยน์ตาคนกลับสะท้อนเพียงความแข็งกร้าวหาใช่ความอ่อนโยนดั่งที่เคยเป็น ลี่หมิงแทบอยากจะเป็นลมตามหม่าเทียนฟงไปอีกคน



“เสด็จพี่ ข..ข้าคิดว่าข้าเดินเองได้” ขาโว้ยยยขา เดินได้สักทีสิวะ! เสด็จพี่แม่งจะเอาน้ำมันราดแล้วจุดไฟเผาหลี่ซืออี้อยู่แล้ว!! “ข้าเพียงแค่เหนื่อยจนขาอ่อนล้าเท่านั้น ขอเสด็จพี่อย่าเป็นกังวล” แล้วก็อย่าเผาโรงเตี๊ยมด้วยข้าขอล่ะ!



“เจ้าเหนื่อยหรือ หากเหนื่อยแล้วเหตุใดเทียนฟงถึงไม่กลับไปส่งเจ้าที่วัง ไยต้องให้เจ้าฝืนตัวเองเดินมาถึงนี่ด้วย” เหวินหลงตวัดสายตาเยือกเย็นคาดโทษรองแม่ทัพหม่า “เทียนฟงมิใช่ว่าข้าสั่งให้เจ้าคอยดูแลเสวี่ยหมิงให้ดีหรอกหรือ”



วาจาจักรพรรดินั้นเปรียบดั่งประกาศิต เมื่อกล่าวว่าหินเป็นทอง ขุนนางทั้งหลายย่อมยกย่องให้หินไร้ค่าเป็นทอง เฉกเช่นเดียวกัน แม้แต่ ‘คำฝากฝัง’ ให้ดูแลในคราแรกก็แปรเปลี่ยนเป็น‘คำสั่ง’ ให้ดูแลได้เมื่อหวงไท่จื่อประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น และหากหม่าเทียงฟงไม่สามารถหาคำแก้ตัวใดมาดับอารมณ์โกรธาขององค์รัชทายาทผู้รักพระอนุชาเหนือผู้ใดในใต้หล้าได้ คนฝ่าฝืนคำสั่งก็คงไม่แคล้วได้เขียน ‘คำสั่งเสีย’ ในอีกเร็ววันเป็นแน่แท้



หม่าเทียนฟงแม่งซวยเพราะไอ้โจแท้ๆ คบคนพาลพาลไปหาผิด คบไอ้โจแม่งดีแต่จะนำความชิบหายมาให้ เรื่องนี้ข้าเข้าใจดี ว่ากันตามจริงข้าก็เป็นเพื่อนไอ้โจคนหนึ่งที่ประสบความชิบหายเพราะมันมานักต่อนักแล้ว



ลี่หมิงเกาะยันแขนของพระเชษฐา ผ่อนน้ำหนักลงไปค่อยๆขยับเคลื่อนร่างกายและขาไม่รักดีกลับลงมาอยู่บนพื้นทางเดินได้ในที่สุดโดยมีเหวินหลงคอยประคองอยู่ไม่ห่าง เหลียวกลับไปมองแม่ทัพหลี่อีกครั้ง คนจงรักภักดียังคงส่งรอยยิ้มสว่างไสวมาให้ ไม่แม้แต่รู้ตัวว่าเป็นสาเหตุให้ผู้อื่นต้องตกที่นั่งลำบาก



รองแม่ทัพหม่าคุกเข่าลง ก้มหน้าหลบสายตาองค์รัชทายาท คิดหาคำแก้ตัวร้อยแปดพันอย่างจนหัวตื้อ สุดท้ายจึงตัดสินใจใช้ประโยคที่ไตร่ตรองแล้วว่าเหมาะสมโทสะของโอรสจักรพรรดิมากที่สุด



“ความผิดนี้ข้าไม่มีข้อแก้ตัวใด ข้าสมควรตา...”



ไอ้บ้านี่ จะรีบร้อนตายไปไหนวะ!



“เสด็จพี่ได้โปรดอย่าเข้าใจท่านรองแม่ทัพหม่าผิดเลย เป็นข้าเองที่อยากมา ข้าไม่ได้ดื่มชาโรงเตี๊ยมนานแล้ว วันนี้จึงขอท่านรองแม่ทัพให้พามาด้วย” เห็นแก่ที่ความซวยนี้เกิดขึ้นเพราะไอ้โจข้าจะช่วยเจ้า ถือเป็นหนี้บุญคุณหนึ่งครั้ง!



“งั้นหรือ เจ้าอยากมาโรงเตี๊ยมทำไมไม่บอกพี่ พี่พาเจ้ามาได้เสมอ”



“ข้าไม่อยากรบกวนเสด็จพี่ เพียงแค่นี้ท่านก็มีงานล้นตัวแล้ว”



“เหลวไหล หมิงเอ๋อร์ งานใดจะสำคัญเท่าเจ้า” ทำเป็นพูดดีไป แล้วเมื่อเช้าใครกันฝากฝังข้าให้ออกมากับคนเพี้ยนสองคนเพราะตนเองติดธุระ? ข้าขมวดคิ้วเพิ่งสังเกตเห็นว่าข้างหลังพี่ชายมีคนหน้าตาคุ้นเคยยืนอยู่หนึ่งคน คงจะเป็นสหายที่เสด็จพี่พูดถึง



แต่นั่นไม่ใช่บุตรชายของฮูหยินสามสกุลหูหรอกหรือ? เสด็จพี่นัดหูอิ๋งซีมาพูดคุยเรื่องค่าใช้จ่ายฟื้นฟูจวนสกุลหูหรืออย่างไร? ช่างน่าสงสารนัก ดูท่าคงไม่รู้ว่านั่งคุยกับคนสั่งวางเพลิงอยู่เป็นเวลานาน



“เทียนฟง ลุกขึ้น” รองแม่ทัพหม่าในสภาพคุกเข่าก้มหน้าหัวแทบติดพื้น ขยับขาทั้งสองลุกยืนขึ้นเชื่องช้าสูดหายใจเข้าเต็มปอดกับคำอภัยโทษที่ไม่คาดคิดว่าจะได้รับ



“อย่าให้ต้องมีครั้งหน้าอีก”



“พ่ะย่ะค่ะ”



หูอิ๋งซีพระสหายขององค์รัชทายาทวางท่าทีเรียบเฉยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่นานนักก็ขอตัวกลับไปก่อน หม่าเทียนฟงรีบเรียกเสี่ยวเอ้อ(1)ที่เดินผ่านมาให้พาไปยังโต๊ะของหลิงอ๋อง เมื่อครู่นึกว่าตนจะได้ไปพบเทพเดือนเจ็ด(2)ก่อนจะมีโอกาสพบผู้เฒ่าจันทรา(3)เสียแล้ว เสี่ยวเอ้อผู้ถูกเรียกใช้พาเดินนำไปอย่างนอบน้อม กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ วันนี้มีแต่แขกยศสูงมากอำนาจมาใช้บริการเต็มไปหมด เถ้าแก่คงใจดีเพิ่มค่าแรงให้เป็นแน่



จากเริ่มแรกมีเพียงหนึ่งรองแม่ทัพและหนึ่งอ๋อง ตอนนี้กลับเพิ่มอีกหนึ่งแม่ทัพและองค์รัชทายาทติดมาด้วย
เนื่องจากเหวินหลงไม่ยอมปล่อยให้พระอนุชาเดินไปโดยไม่มีตนช่วยประคอง และหลี่ซืออี้คอยเดินตามติดชิดใกล้ท่านอ๋องอยู่ไม่ห่างแม้ไม่ได้รับคำสั่งให้ตามมาแต่อย่างใด



เสี่ยวเอ้อเคาะประตูสองครั้งก็ได้ยินเสียงเอ่ยคำอนุญาตของหลิงอ๋องดังลอดออกมา จึงเปิดประตูเชิญแขกทั้งสี่เข้าไปทั้งห้อง ลี่หมิงเดินตามพระเชษฐาเข้าไปมองเห็นหม่าเทียนฟงส่งสายตาเคียดแค้นให้เว่ยเหอโจวแล้วก็ได้แต่นึกขำปนสงสาร ไม่ทันได้สังเกตว่าในห้องนี้นอกจากหลิงอ๋องและองค์ชายแปดแล้ว ฝั่งตรงข้ามหลิงอ๋องมีใครอีกคนนั่งอยู่



“เสด็จพี่เหวินหลง...” หลิงอ๋องเอ่ยทักขึ้น น้ำเสียงแฝงความแปลกใจ



“หานเฟิง จะลำบากไปหรือไม่หากข้าและหมิงเอ๋อร์จะขอร่วมโต๊ะอาหารด้วย”



“ลำบากอันใดกัน เชิญเสด็จพี่และเยว่อ๋องร่วมรับประทานอาหารกับพวกข้าเถิด” คนถูกถามยิ้มกว้าง ผายมือเชื้อเชิญแขกทั้งสี่ “ท่านแม่ทัพหลี่ และท่านรองแม่ทัพหม่า เชิญพวกท่านนั่งลงพักผ่อนตามอัธยาศัย”



ใบหน้าประดับรอยยิ้มของหลิงอ๋องหรือเว่ยหานเฟิงนั้นจะมองอย่างไรก็ดูคล้ายคลึงองค์รัชทายาทอยู่ถึงสามในสี่ส่วน ด้วยความที่มีพระมารดาเป็นผู้มีเมตตาอ่อนโยนต่อผู้อื่น หลิงอ๋องจึงได้รับการอบรบเลี้ยงดูมาให้เห็นแก่ผู้อื่นอยู่เสมอ ลี่หมิงมองหน้าเสด็จพี่ผู้มีใจกว้างดุจแม่น้ำของตน ครุ่นคิดด้วยความไม่เข้าใจว่าเหตุใดเสด็จพ่อจึงส่งมอบงานของตนต่อให้หลิงอ๋อง เสวี่ยหมิงรับหน้าที่ทำงานการคลังในฝ่ายออกตั๋วเงินกู้ คนใจดีอย่างหลิงอ๋องนั้นคงไม่แคล้วจะแจกเงินลดดอก ออกตัวค้ำประกันไปทั่วจนเข้าเนื้อตัวเอง แค่คิดลี่หมิงก็ปวดหัวแล้ว



เสด็จป๋าหากท่านอยากให้ราชสำนักล่มจมถึงเพียงนั้น สู้เอาเงินมาให้ข้าถลุงเล่นไม่ดีกว่าหรือ



เว่ยเหวินหลงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่าง ช่วยประคองพระอนุชาให้นั่งลงข้างตน สายตาจับจ้องไปยังกระดานหมากล้อมกลางโต๊ะก่อนส่ายหัวเผยรอยยิ้มขบขัน“หานเฟิง คนใจเย็นเป็นน้ำไม่รู้จักโจมตีผู้อื่นอย่างเจ้าคงไม่ใช่คู่มือของอวิ้นหยาง”



ดูท่าว่าคนจะนั่งรออยู่นานทีเดียวจึงต้องหาอะไรทำรอฆ่าเวลา หมากดำในกระดานบนโต๊ะเดินล่อปิดเส้นทางล้อมหมากขาวจนต้องวิ่งหนีไม่เห็นทางรอด หลิงอ๋องเพลี่ยงพล้ำต่อคู่ต่อสู้เสียจนการเดินหมากครั้งนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าสูสีกัน ลี่หมิงเงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้ามผู้ได้รับคำเชยชมจากพระเชษฐา ทันทีที่สายตาสบกับอีกฝ่าย เด็กหนุ่มแน่นิ่งไปราวกับเข็มของนาฬิกาหยุดเดินลง ลืมแม้กระทั่งจะหายใจ ไม่อยากเชื่อเงาสะท้อนในนัยน์ตาของตน ริมฝีปากอ้าออกแต่กลับไม่สามารถเอ่ยปากถามคำถามที่ต้องการคำตอบมาตลอดหนึ่งปีเต็มได้



พี่มาทำอะไรที่นี่...



“โชคดีเหลือเกินที่พวกท่านมาถึงตอนข้ากำลังเข้าตาจนพอดี อู๋อ๋อง พวกเราจบการเดินหมากลงเพียงเท่านี้ดีหรือไม่” หลิงอ๋องยกการินชาให้เจ้าของหมากดำ เอ่ยขอร้องอีกฝ่ายอย่างจนใจ



ไม่จริง...ไม่จริงน่า



คนได้เปรียบค้อมหัวลงเล็กน้อยยกชาขึ้นดื่ม ตอบกลับพลางหัวเราะเสียงเบา



“ตามใจท่าน”



ได้โปรดอย่าพูดด้วยน้ำเสียงนั้น ได้โปรดอย่ามอบรอยยิ้มของท่านให้ใครนอกจากข้า...



“ได้ยินมาว่าเยว่อ๋องเดินหมากเก่งยิ่งนัก ช่วยเป็นเกียรติเดินหมากกับข้าสักตาได้หรือไม่”



‘พี่ชื่อเทวินทร์นะ’



‘พี่ไม่มีชื่อเล่นเหรอครับ?’



‘มีสิ...แต่นอกจากอากงก็ไม่ค่อยมีใครเรียกพี่ด้วยชื่อเล่นหรอก ส่วนใหญ่จะเรียกสั้นๆเอา จะเรียกพี่ว่าวินก็ได้นะครับถ้าสะดวก’



‘งั้นผมเรียกพี่ด้วยชื่อเล่นได้ไหม จะได้ไม่ซ้ำคนอื่น’



‘ได้สิ พี่ชื่อ…’



“พี่หยางฝีมือท่านยังเฉียบขาดเช่นเคย!” 



ว่ากันว่าแม้แต่ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ยังกลายเป็นคนโง่งมและหลงลืมตัวตนได้เพราะรัก ลี่หมิงสูดหายใจเข้าลึก เสียงดังรบกวนโสตประสาทของรองแม่ทัพหม่าช่วยเรียกสติให้รู้ว่าตนขาดอากาศหายใจไปนานเพียงใด ขอบตาทั้งสองร้อนผ่าว บาดแผลจากรักในความทรงจำนั้นคงไม่มีวันเลือนหาย



“...ข้า” ลี่หมิงไม่รู้จะเอ่ยปฏิเสธคำชวนจากอีกฝ่ายอย่างไร ทำได้แค่นั่งมองหน้าอู๋อ๋องราวกับคนโง่ไม่รู้ภาษา พยายามสะกดกลั้นหยาดน้ำตาไม่ให้ร่วงหล่น



“วันนี้น้องข้าคงเหนื่อยเกินกว่าจะประชันฝีมือกับท่านได้ ท่านจะว่าอย่างไรหากข้าจะขอประมือกับท่านแทนหมิงเอ๋อร์”



“องค์รัชทายาทโปรดเมตตา” คนพูดแย้มยิ้มขบขัน แสร้งทำเป็นก้มหัวคำนับรัชทายาทแห่งราชวงศ์เว่ย “ข้าเพียงอยากลองเดินหมากกับเยว่อ๋องเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีความต้องการจะพ่ายแพ้ท่านต่อหน้าผู้อื่น”



“อวิ้นหยาง ข้าเองก็เพลี่ยงพล้ำให้ท่านหลายต่อหลายครั้ง ท่านกล่าวเกินไปแล้ว” กล่าวจบก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ลี่หมิงมองดูความสนิทชิดเชื้อของคนทั้งสองแล้วก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้ ไม่ว่าใครต่อใครก็ดูเหมือนจะรู้จักสนิทสนมกับอวิ้นหยางมากกว่าตนเอง ในความทรงจำของเสวี่ยหมิงแทบจะไม่มีเรื่องราวของหวงอวิ้นหยางเลยด้วยซ้ำ



หวงอวิ้นหยางเป็นพระราชนัดดาในฮ่องเต้รัชกาลก่อน องค์ชายสิบแปดแห่งราชวงศ์ฉินขณะนี้ถือเป็นเพียงราชนิกุลสกุลหวงเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ องค์ชายน้อยฉายแววการใช้กระบี่เก่งกาจเหนือเด็กในวัยเดียวกันตั้งแต่อายุยังน้อย จึงได้รับพระราชทานยศอู๋อ๋องจากฮ่องเต้หมิงเฉียนและถูกส่งไปอยู่ในความดูแลของแม่ทัพหม่าเทียนซื่อ อวิ้นหยางจึงเติบโตขึ้นมาพร้อมกับหม่าเทียนฟงผู้เป็นบุตรของฮูหยินรองในจวนแม่ทัพหม่า เมื่อมีอายุมากพอจึงได้รับตำแหน่งกุนซือให้ประจำทัพอยู่ชายแดนเป็นครั้งคราวตามสมควร



พี่เกลียดข้าจนกระโดดกำแพงเมืองจีนหนีข้ามาอยู่อีกภพเลยหรือ เพราะที่นี่มันไม่มีอินเตอร์เน็ตใช่ไหมพี่ถึงได้ไม่ตอบไลน์ข้า พี่หยางบอกข้าทีข้าควรทำเช่นไรต่อไป ถ้าต่อยพี่สักทีสองทีพี่จะจำได้ไหมว่าข้าเป็นใคร



“พี่หยาง จะว่าไปแล้วพี่ก็ไม่ได้พบเยว่อ๋องเสียนานหลายปีเลยสินะ” ไอ้หม่าเทียนฟง! พี่หยางอย่างนั้นพี่หยางอย่างนี้อยู่นั่นแหละ! ใครเป็นพี่หยางของเจ้ากัน พี่หยางเป็นของข้าเพียงคนเดียว หุบปากไปซะ!



คนถูกถามพยักหน้าลงเล็กน้อย “เจ้ากล่าวถูกแล้ว แม้ข้าจะเข้าเมืองหลวงมาหลายคราแต่ก็ไม่มีโอกาสได้พบกัน วันนี้คงเป็นวันดีที่พวกเราได้มีวาสนาพบหน้ากันเสียที”



หึ วาสนาของข้าช่างน่าขันนัก! ในเมื่อชาตินี้ข้ามีโอกาสได้รู้จักพี่หยางแล้วไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่าได้บังอาจพรากพี่หยางไปจากข้า!! สวรรค์ถ้าท่านคิดจะตามขัดขวางข้าก็ขอให้ลงมาต่อยกันตัวต่อตัวเลยเถอะ!!!


---------------------

คำอธิบายเพิ่มเติม

(1)เสี่ยวเอ้อ บริกรโรงเตี๊ยม
(2)เทพเดือนเจ็ด ชาวจีนโบราณมีความเชื่อว่าเทพประจำเดือนเจ็ดเป็นเทพแห่งความตาย
(3)ผู้เฒ่าจันทรา หรืออีกนามคือเทพเจ้าแห่งจันทราและเทพเจ้าแห่งความรักมีหน้าที่ผูกด้ายแดงให้กับคู่รักไม่ให้แคล้วคลาดต่อกัน

-----------------------

Talk ในโรงเตี๊ยม

ขอบคุณสำหรับทุกๆความเห็นนะคะ อ่านไปเม้นยิ้มไปดีใจมากค่ะที่ชอบกัน :-[
ตอนนี้ในที่สุดพระเอกก็ออกมาสักทีค่ะ เย้ๆๆๆๆๆๆ ไรท์ดีใจเหลือเกิน ค่าตัวแพงจริงๆ 555
คิดว่าใครคือพระเอก พระเอกคือใคร พูดไปงงไป
ชอบใครมาก เกลียดใครที่สุด เลือกอยู่ทีมไหน เชียร์ใครออกนอกหน้า เชิญเม้นบอกกันข้างล่างได้เลยค่ะ!

ป.ล. ไรท์อยู่ทีมรัชทายาทค่ะ 55

ตอนนี้มีเพจ FB กับ TW แล้ว เข้าไปกดติดตามกันได้เลยนะคะ
FB: ThreeEmperors
TW: Three_Emperors

Tag TW: #ส่งข้ามาเป็นอ๋อง

ซังหวงตี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-04-2017 11:42:01 โดย anflierza »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ rivayu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
คิดไว้เหมือนกันว่าเพื่อนมา แฟนเก่าก็น่าจะข้ามยุคตามมาด้วย มาจริงๆ อยู่ทีมพี่ชายผู้หวงน้องสุดติ่ง หลงน้องยิ่งกว่าอะไรค่ะ :laugh:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด