Epilogue: เด็กดีเรียนจบแล้วนะครับ
หลังจากลำบากตรากตรำ ผ่านเรื่องดีๆและเรื่องร้ายๆมาตลอดสี่ปี ในที่สุด วันที่ผู้ปกครองของเด็กมหาวิทยาลัยทุกคนรอคอยก็มาถึง
“หิวข้าว”
นั่นเป็นคำแรกที่เทสต์พูดออกมาหลังจากที่พวกเขาถ่ายรูปกับเพื่อนๆเสร็จ เดินผ่านตรงไหนพวกเขาก็โดนดึงไปถ่ายรูปด้วยจนกว่าหลุดมาหาพ่อกับแม่ได้เล่นเอาเหงื่อตก แต่เมื่อคิดว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นหลายๆคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอดสี่ปี ก็ถือว่าคุ้มในความคิดของทีม
“แม่ซื้อข้าวปั้นมาให้ ทานรองท้องไปก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวถ่ายรูปที่ซุ้มเสร็จ”
มารดาของเขาใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้ลูกชายคนโต ส่วนเวย์ที่รับตำแหน่งช่างภาพจำเป็นก็รีบบึ่งออกมาจากห้องเรียนทันทีที่เลิก ร่างสูงยังอยู่ในเสื้อช้อปสีน้ำเงินเข้ม ที่คอห้อยเกียร์สีทองสลักหมายเลขรุ่นและรหัสของเด็กหนุ่มไว้ ทีมไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเอาเกียร์ออกมาห้อย แต่เมื่อเทสต์ไม่ได้ทักอะไรเขาจึงสรุปว่าเวย์คงเคยใส่แต่เขาไม่ได้ใส่ใจจะจำเท่านั้น
“ยินดีด้วยนะทีม”
เสียงทุ้มของคนรักที่โทรมาบอกว่าจะมาสายดังขึ้นจากด้านหลัง ทีมหันกลับไปหาร่างสูงที่ยังอยู่ในชุดสูททำงานสีดำสนิทพร้อมรอยยิ้มกว้าง โผเข้ากอดวีรภัทรที่กอดเขาตอบแน่นพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“นึกว่าคุณวีจะมาไม่ทันแล้วนะครับเนี่ย”
“วันรับปริญญาของเธอทั้งที ฉันจะไม่มาได้ยังไง แค่ต้องรอมาพร้อมของขวัญแค่นั้นแหละ”
“ของขวัญเหรอครับ?”
ทีมเอียงคอมองเลยผ่านร่างสูงไป แต่ก็ไม่เห็นอะไรที่ดูคล้ายห่อของขวัญเลยสักนิด
“แฮ่!”
จู่ๆเสียงร้องก็ดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับมือใหญ่ที่ตะครุบลงบนไหล่ทั้งสองข้าง ทีมสะดุ้งโหยง หันกลับไปหาร่างสูงของเชฟใหญ่ที่ฉีกยิ้มอย่างพึงพอใจที่แกล้งร่างโปร่งสำเร็จ
“พี่ใหญ่!พี่นัท!”
ทีมร้องขึ้นอย่างดีใจ หลังจากเรื่องวุ่นวายทั้งหมดที่เขาก่อไว้จบลงทีมก็โทรไปหาเชฟใหญ่เพื่อสารภาพความจริงเพราะไม่อยากให้เชฟที่เขาชื่นชอบเข้าใจผิดอยู่คนเดียว แต่กลับได้ความว่าคนที่ทำให้แผนของเขาพังครืนลงมาก็คือชายหนุ่มเอง เล่นเอาเขาไปไม่เป็นเลยทีเดียว
ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาเชฟใหญ่กับเชฟณัฐย้ายไปคุมครัวที่ภัตรคารในโรงแรมธาราสาขาออสเตรเลีย ถึงแม้เขาจะยังติดต่อกับอีกฝ่ายเป็นระยะ แต่ทีมไม่คิดเลยว่าทั้งสองคนจะกลับมาร่วมงานรับปริญญาของเขาถึงที่นี่
“ยินดีด้วยนะที่เรียนจบแล้ว เกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วยนี่ ไม่เบาเลยนะเรา”
เชฟใหญ่ชม ทีมยิ้มรับหน้าบาน จริงๆแล้วในกลุ่มเขาคนที่ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งมีเขา กวินภพ และเหนือฟ้า แต่ว่าคนสุดท้ายเลือกที่จะไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นตั้งแต่ปีที่แล้วหลังจากเลิกกับพี่ชายของกวินภพ ทำให้พวกเขาไม่ได้อยู่ครบแก๊งเหมือนคนอื่นๆ ส่วนกวินภพ พอแฟนโผล่มาเซอร์ไพร์สก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลย
เทสต์ก็ไม่ได้เกรดขี้ริ้วขี้เหร่อะไร พี่ชายของเขาได้เกียรตินิยมอันดับสองมาอย่างชิวๆตามประสาคนเรียนเก่งแต่ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือกับเขาเท่าไหร่
“อ่ะ นี่ พี่ให้ ยินดีด้วยนะ”
เชฟนัทหยิบเอาซองจดหมายสีขาวออกมาจากกระเป๋า ทีมรับซองจดหมายนั้นมาอย่างประหลาดใจ ร่างโปร่งแกะซองออกแล้วหยิบกระดาษเอกสารภายในออกมาคลี่อ่าน ทีมเบิกตากว้างเมื่อเห็นตราสัญลักษณ์ของโรงเรียนสอนทำอาหารชื่อดังที่เขาได้แต่ฝันถึง
“ที่นั่นเขาขอให้พวกเราไปสอนคอร์สเก้าเดือนแทนเชฟที่ลาออกกระทันหัน” เชฟใหญ่อธิบาย “พี่เห็นว่าไหนๆทีมก็เพิ่งเรียนจบ ถ้าอยากจะสะสมประสบการณ์จะมากับพวกพี่ก็ได้นะ”
“แต่..แต่ที่นี่ต้องมีจดหมายแนะนำ ต้องเป็นหัวกะทิจริงๆไม่ใช่เหรอครับ”ทีมถามเสียงสั่น ดวงตาสีน้ำตาลวาววับราวกับเห็นสมบัติล้ำค่าอยู่ตรงหน้า
“แล้วทีมไม่ใช่รึไงล่ะ?” เชฟใหญ่ถามย้อนด้วยรอยยิ้มประจำตัว ทีมยิ้มเขิน ก่อนจะได้ยินเสียงกระแอมกระไอมาจากคนรักที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เคยอยู่ๆก็ตกงานมั้ย?”
“โธ่ ท่านประธานครับ แฟนผมยืนแยกเขี้ยวอยู่ตรงนี้ทั้งคนผมไม่กล้าหรอกครับ” วีรภัทรยิ้มเจื่อน
“แปลว่าถ้าผมไม่อยู่ตรงนี้พี่ก็กล้าใช่มั้ย มานี่!”
ทีมได้แต่ยิ้มอ่อนมองคู่รักทั้งสองวิ่งไล่กันไปมาเหมือนเด็กๆ ก่อนจะเบนความสนใจกลับมาที่กระดาษในมือของตน
“ว่าไง...สนใจมั้ย”
วีรภัทรถาม คนในครอบครัวของเขาก็ล้อมวงรอการตัดสินใจของเขาอย่างสนใจเช่นกัน
“ผม…”
ทีมชั่งใจอย่างหนัก เขารู้แล้วว่าเทสต์จะเรียนต่อโทที่นี่ตลอดระยะเวลาสองปีนี้ แต่ทีมรู้ตัวดีว่าเขาไม่สามารถฝืนเรียนในสิ่งที่เขาไม่ชอบไปได้มากกว่านี้ ถึงจะอย่างนั้นเขาก็คิดเสมอว่าเขาคงจะไม่ได้ไปไหนไกลจากพี่ชาย
“ไม่ต้องเอากูมาเป็นข้ออ้างแล้วนะ มึงหมดโควต้าแล้ว”
เทสต์เอ่ยดักคอ ราวกับล่วงรู้ความคิดในหัวของน้องชายฝาแฝด ทีมรู้ตัวว่าบางครั้งเขาก็ใช้เทสต์เป็นข้ออ้างในการปิดกั้นตัวเองจากความเปลี่ยนแปลง แต่ช่วงปีกว่าๆที่่ผ่านมานี้ เขารู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นมากแล้ว
“คุณวี...แล้วถ้าผมไป...”
“ถ้าเธออยากให้ฉันตามไปด้วยฉันก็ตามไป”
วีรภัทรตอบโดยไม่ต้องคิด บางทีทีมก็รู้สึกกลัวใจอีกฝ่ายเหลือเกินว่าจะทำให้บริษัทล้มละลายเพราะเอาแต่ตามใจเขา ร่างสูงที่เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคนรักหัวเราะในลำคอ
“แค่ย้ายที่ทำงานไปสาขาที่ออสเตรเลียเก้าเดือน บริษัทฉันไม่ล่มหรอก ดีซะอีกถือว่าไปดูงานดูความเรียบร้อยที่นั่น”
“ผมไม่อยากให้คุณต้องเปลี่ยนแผนชีวิตเพื่อผมแบบนี้เลยครับ”
ทีมเอ่ยอย่างเกรงใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากอยู่กับวีรภัทร แต่เขากลัวว่าหากอีกฝ่ายทำอย่างนี้จนเคยตัว เขาจะกลายเป็นศูนย์กลางของชีวิตชายหนุ่มมากกว่าที่กำลังเป็นอยู่
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปเยี่ยมเรื่อยๆเวลาที่ว่าง แค่เก้าเดือนถือซะว่าไปเรียนแลกเปลี่ยน หาประสบการณ์ใหม่ๆ ดีมั้ย?”
ร่างสูงยิ้ม ทีมก้มมองกระดาษในมืออีกครั้งด้วยแววตาของคนที่ตัดสินใจได้แล้ว
เขาจะลองดูซักครั้ง...
อย่างน้อยที่สุด เขาจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังที่บอกลาโอกาสอันแสนวิเศษนี้ไป
“ถ่ายรูปรวมกันดีกว่าเนอะ น้องเวย์ก็เข้ามาด้วยนะ เดี๋ยวให้คนแถวนี้ช่วยถ่าย”
ขวัญตาเอ่ยขึ้น ทีมมองหาเพื่อนที่ไม่ได้วุ่นอยู่กับการถ่ายรูปหมู่กับครอบครัว จนกระทั้งไปสะดุดกับกวินภพที่เดินมากับครอบครัวและคนรักที่ตอนนี้อยู่ปีสองแล้ว
“กล้า ถ่ายรูปให้กูหน่อย”
เทสต์เรียกเพื่อน ถึงแม้จะรู้ว่าเพื่อนของเขาถ่ายรูปได้ห่วยกว่าเด็กหนึ่งขวบที่บังเอิญเหยียบชัตเตอร์ แต่เขาเชื่อว่าพลังอำนาจของความคมชัดกล้องจะสร้างปาฎิหาริย์หักล้างให้รูปของพวกเขาออกมามาพอดูได้
“ให้ไอ้กล้าถ่ายวันนี้คงไม่ได้รูปหรอก มา เดี๋ยวพี่ถ่ายให้”
ติณณ์ภพในชุดกาวน์ตัวยาวเอ่ยขึ้น สภาพของร่างสูงในตอนนี้ดูอิดโรยจนน่าสงสาร และเทสต์ค่อนข้างมั่นใจว่ามันเกี่ยวกับการที่เหนือฟ้าย้ายไปเรียนที่ญี่ปุ่นมากกว่าการเรียนที่หนักขึ้น
“ขอบคุณมากครับ”
ร่างโปร่งเดินกลับไปประจำที่ ข้างน้องชายที่ซุ้ม ตามมาด้วยเวย์ที่ถอดสายคล้องกล้องแล้วยื่นให้นักศึกษาแพทย์ร่างสูง
วีรภัทรก้าวมายืนข้างคนรัก เช่นเดียวกับบิดาและมารดาของสองแฝดและเชฟหนุ่มทั้งสองที่วิ่งไล่กันจนเหนื่อยแล้ว
“1…2….3”
ทีมยิ้มกว้าง รู้สึกเหมือนแค่เมื่อวานที่วีรภัทรช่วยเขาไว้ในผับ
ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะมายืนอยู่ตรงนี้ อยู่กับทุกคนที่เขารัก ในวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขาวันหนึ่ง
ตอนนี้...เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
“เสร็จแล้วพี่เทสต์อยากไปกินอะไรเหรอครับ?”
เวย์ถามคนรัก พวกเขาเดินมาซื้อน้ำให้กับทุกคนในบ้านที่ยังคงวุ่นวายกับการถ่ายรูป ขนาดพี่ทีมที่มักจากเขินกล้องอยู่บ่อยๆยังสนุกสนานกับการเก็บภาพความทรงจำกับทุกคนในวันนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด
“แม่บอกว่าอาวีจะพาไปเลี้ยงบุฟเฟ่ต์ที่โรงแรมเขาป่ะ?”
เทสต์จ่ายเงินในกับลุงร้านขายน้ำ ปล่อยหน้าที่แบกหามให้เป็นของเด็กบ้าพลังที่ยืนอยู่ข้างๆ หลังจากได้ข้าวปั้นช่วยรองท้อง เขาก็รู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองดีขึ้นหลายสิบเท่า
หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างวีรภัทรกับเทสต์ค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ จากที่กัดกันไปมาจนเขากับทีมขี้เกียจห้ามทัพกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกัน และพัฒนามาอยู่ในสถานะคนรู้จักที่ทำดีต่อกันได้เป็นระยะ
ทีมเคยขอให้เทสต์เรียกวีรภัทรว่าคุณวีอย่างที่ตัวเองเรียก แต่หลังจากการทดลองครั้งแรก พวกเขาก็ค้นพบความจริงอันน่าสะพรึงกลัวว่าพวกเขาไม่สามารถแยกเสียงของสองฝาแฝดออกจากกันได้
หลังจากนั้นวีรภัทรก็สั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้เทสต์เรียกเขาแบบนั้น ส่วนเทสต์ที่ขนพองสยองเกล้าจากคำเรียกนั้นก็ยอมทำตามแต่โดยดี
สุดท้ายจึงมาจบที่ ‘อาวี’ซึ่งดูจะเป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุด
“ดีจังเลยน้าไอ้ทีมเนี่ย แฟนแม่งโคตรป๋า แค่งานรับปริญญาก็ปิดห้องจัดเลี้ยงที่โรงแรมฉลอง” เทสต์เหลือบตามองคนรัก
“แล้วทีเราไม่เห็นได้อะไรเลยน้ออออ”
เวย์ยิ้ม เขารู้ว่าเทสต์พยายามสอดส่องหาของขวัญของตัวเองมาตั้งแต่ตอนที่เขามาถึง แต่เมื่อเห็นเวย์ไม่มีตุ๊กตา ดอกไม้ หรือลูกโป่งแสดงความยินดีเหมือนคนอื่นๆร่างโปร่งก็ไม่ได้มีสีหน้าผิดหวัง ยิ่งจับตาดูเขาทุกฝีก้าวว่าของขวัญของเขาอยู่ที่ไหน
เขาถึงได้ซ่อนมันไว้ในที่ที่โจ่งแจ้งที่สุด เราะเขารู้ว่าพี่เทสต์ที่แสนจะความรู้สึกช้าไม่มีทางมองเห็นของขวัญของเขา
“หลับตาสิครับ”
ร่างสูงบอก วางถุงใส่ขวดน้ำเย็นหลายขวดลงบนม้านั่งข้างๆร้านขายน้ำ ก่อนจะก้มลงเพื่อที่จะได้แกะสายสร้อยคล้องเกียร์ได้สะดวก
“นี่ครับ...หือ?”
เวย์เงยหน้าขึ้นเมื่อเกียร์ของเขาถูกปลดออกจากคอ คนตรงหน้าหลับตาพริ้มตามคำขอของเขา ริมฝีปากเรียวยื่นทำปากจู๋เหมือนจะรอให้เขาจุ๊บ เทสต์ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นว่าคนรักไม่ได้ยื่นหน้าเข้ามาอย่างที่คิด ดวงหน้าเนียนขึ้นสีแดงก่ำก่อนที่ร่างโปร่งจะชักที่หน้าหงุดหงิดกลบเกลื่อนความอาย
“กะ…กลับกันได้แล้ว คนอื่นหิวน้ำแย่แล้ว”
“เดี๋ยวสิครับ..”
เวย์คว้าเอวของคนรักไว้ เสียงหัวเราะในลำคอของร่างสูงยิ่งทำให้เทสต์หงุดหงิดขึ้นไปอีก
“อะไรเล่า?!”
“รับของขวัญผมไว้หน่อยเถอะนะครับ น้า~ กว่าผมจะได้มาต้องโดนว้ากจนหูอื้อเลยนะครับ”
ร่างสูงชูสร้อยของตัวเองขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อนที่เขารู้ว่าเอาชนะใจคนขี้ใจอ่อนอย่างคนรักของเขาได้ทุกครั้งไป
“…เห็นว่าเป็นของหายากหรอกนะ จะรับไว้ก็ได้”
เทสต์สะบัดหน้าหนี แต่รอยยิ้มดีใจบนริมฝีปากเรียวไม่สามารถซ่อนจากสายตาคมของร่างสูงไว้ เวย์คล้องสร้อยให้อีกฝ่ายจากด้านหลัง ติดตะขอสร้อยให้คนรักที่ก้มมองเกียร์สลักรหัสและหมายเลขรุ่นของเขาไว้พร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ขอบคุณนะครับพี่เทสต์ ที่ยอมรับของขวัญของผมไว้”
เวย์ดึงร่างโปร่งในชุดครุยตัวหนาเข้ามาในอ้อมกอดจากด้านหลัง ซุกหน้าลงกับซอกคอของคนรักอย่างมีความสุข
“ปล่อยเลย นี่ในมหาวิทยาลัยนะ ทำอะไรเนี่ย”
คนที่ยังทำปากจู๋ให้เขาอยู่แหมบๆโวยวายหน้าแดงก่ำ เวย์เพียงแต่หัวเราะ แต่ไม่ยอมปล่อยร่างในอ้อมกอดไปง่ายๆ
“ชอบมั้ยครับ?”
“ยังจะต้องถามอีกเหรอ? ต้องให้บอกกี่ครั้งว่าชอบ” คนในอ้อมกอดโวยวาย ร่างสูงยิ้มกับคำหวานแสนซื่อของชายหนุ่มอายุมากกว่า
“ผมหมายถึงเกียร์”
“เอ๊ะ...อะ...ไอ้เด็กบ้า!”
เวย์วิ่งหลบฝ่ามือและฝ่าเท้าของคนรักด้วยรอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้า ท่ามกลางรอยยิ้มและความสนใจของคนที่พบเห็น กว่าที่เทสต์จะหายโกรธและยอมให้เวย์แบกน้ำไปให้คนที่รออยู่ได้น้ำทุกขวดก็หายเย็นไปหมดแล้ว
(จบบริบูรณ์)
-----------
จบล้าวววววววววว
แต่ว่าจะยังไม่ย้ายไปห้องจบ เพราะยังมีของคู่รองคุณเชฟทั้งสองอีกฮะ น่าจะเป็นเรื่องสั้น...ละมั้ง?5555
ขอบคุณมากๆที่ติดตามกันมา ฝากคุณนัทกับเชฟใหญ่ไว้ในใจทุกคนด้วยนะฮะ
จุ๊บๆๆๆๆๆ