ตอนพิเศษ: เซอร์ไพรส!!
เมลเบิร์น, ออสเตรเลีย
ทีมอยู่ที่นี่มาเก้าเดือนแล้ว หลังจากเริ่มคลาสเรียนในคอร์สสอนทำอาหารระยะเก้าเดือนที่เขาได้รับเป็นของขวัญวันรับปริญญา ทีมรู้สึกเหมือนชีวิตของเขาได้รับการเติมเต็มในที่สุด เขามีความสุขกับการเรียนรู้เทคนิคและคิดค้นเมนูใหม่ๆ การที่เชฟใหญ่และเชฟนัทเป็นหนึ่งในอาจารย์ของสถาบันสอนทำอาหารแห่งนี้ทำให้การปรับตัวของเขาง่ายขึ้น
ร่างโปร่งยังไม่มีโอกาสได้ออกไปเที่ยวไหนมากนัก เขารู้สึกว่ารอบๆหอพักที่เขาอยู่ก็มีทั้งสวนสาธารณะ พิพิธภัณฑ์ และห้างสรรพสินค้า ไม่จำเป็นต้องดั้นด้นไปไหนไกล
แค่ได้ออกมาเดินเล่นเลียบฟุตบาทที่สามารถมองเห็นชายหาดที่เงียบสงบในยามเย็นได้ไกลๆแบบนี้เขาก็รู้สึกสบายใจและมีความสุขกับช่วงเวลาอันแสนสงบนี้แล้ว
จะดีกว่านี้ ถ้าคุณวีอยู่ตรงนี้กับเขา
เวลาที่วีรภัทรมาหาเขา พวกเขามักจะไปค้างที่โรงแรมธาราเพราะทางหอพักไม่ให้ร่างสูงค้างกับเขา ร่างสูงมาหาเขาเดือนละครั้ง ครั้งละประมาณหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งถือว่าน้อยมากสำหรับคนอย่างวีรภัทร ยิ่งช่วงหลังๆชายหนุ่มยิ่งมาหาเขาน้อยลง ถึงแม้จะเข้าใจว่าเป็นช่วงปิดงบ แต่ทีมก็อดน้อยใจนิดๆไม่ได้ ถึงแม้อีกฝ่ายจะติดต่อมาทุกวันก็ตาม
Rrrr
…อย่างเช่นในตอนนี้
“คุณวี! สวัสดีครับ”
ทีมรีบกดรับวีดีโอคอลของวีรภัทรทันที ร่างสูงอยู่ในชุดทำงาน ดูเหมือนจะเพิ่งได้ออกมาจากห้องประชุม
“ทำไมไม่ใส่ผ้าพันคออีกแล้ว”
วีรภัทรเอ่ยทักขึ้นเป็นอย่างแรก อากาศในฤดูหนาวของเมลเบิร์นทั้งเย็นและชื้น ถึงแม้ทีมจะใส่เสื้อโค้ทตัวหนาและถุงมือกับหมวกเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับตัวเอง แต่ร่างโปร่งกลับไม่ชอบใส่ผ้าพันคอด้วยเหตุผลที่ว่าตนรู้สึกอึดอัด
“ผมไม่ชอบนี่ครับ”
ทีมแก้ตัวเสียงอ่อย นั่งลงบนม้านั่งเพื่อไม่ให้หน้าจอสั่นเวลาคุยกับคนรัก
“ถ้าฉันเห็นเธอทำแบบนี้อีก ครั้งต่อไปที่เจอกันฉันจะเอาปลอกคอน่ารักๆมาให้เธอใส่แค่อย่างเดียว ไม่ใส่เสื้อผ้าอื่นซักชิ้น
เป็นบทลงโทษ ดีมั้ย?”ร่างสูงเอ่ยเสียงเข้มทั้งที่ทีมไม่เข้าใจว่ามันควรจะทำให้เขากลัวตรงไหน
“ครับๆ ต่อไปจะใส่แล้วครับ”ร่างโปร่งยิ้ม
“พรุ่งนี้จะรับใบประกาศแล้วใช่มั้ย ขอโทษนะที่ไปไม่ได้”ร่างสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด
“ไม่เป็นไรครับคุณวี เดี๋ยวเราก็เจอกันแล้วนี่ครับ”
แม้จะเสียดายนิดๆ แต่ทีมก็ปลอบใจคนรักที่ติดประชุมด้วยรอยยิ้ม เก้าเดือนที่ผ่านมา ร่างโปร่งสอบผ่านทุกคลาสด้วยคะแนน
สูงที่สุดที่โรงเรียนเคยมี แถมยังได้รับการติดต่อของซื้อสูตรขนมที่เขาคิดเองจากภัตรคารหลายที่ในละแวกนี้ สำนักข่าวท้องถิ่นยังเคยมาสัมภาษณ์เขาด้วยซ้ำกับความสำเร็จของม้ามืดที่ไม่มีใครรู้จัก เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะสามารถมีความสุขกับอะไรบางอย่างได้มากมายขนาดนี้ หลายครั้งเขาถึงกับหวังว่าเวลาจะหยุดเดิน เพื่อให้เขาได้อยู่ที่นี่ต่อไปนานๆด้วยซ้ำ
แต่ในบางครั้งที่เขาได้เห็นหน้าผู้ชายที่เป็นสาเหตุของทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเป็นในวันนี้ ทีมกลับรู้สึกโล่งใจที่ในที่สุดเขาจะได้กลับบ้าน กลับไปหาคนที่เขารัก ครอบครัว เพื่อน และประเทศที่เขารู้จักมาตั้งแต่เกิด
“วันนี้อย่าเดินเล่นเพลินนักล่ะ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
วีรภัทรกำชับคนรักเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะวางสายไป ทีมอมยิ้มกับหน้าจอที่ดับไปแล้ว ก่อนจะลุกขึ้นจากม้านั่งแล้วเดินเอื่อยไปตามทางเดินอีกครั้ง
กว่าจะกลับมาถึงก็ปาเข้าไปสองทุ่มแล้ว เชฟมือสมัครเล่นรู้สึกโชคดีที่คนรักของเขาไม่โทรมาเช็คว่าเขาถึงหอรึยัง ร่างโปร่งตอกบัตรกลับเข้ามาในหอ รู้สึกดีกับอุณหภูมิอบอุ่นทันทีที่ก้าวเข้ามา ทีมกล่าวทักทายลุงที่ดูแลหออย่างสนิทสนม
“Mr.Team, I think you have guests waiting for you in your room. They’re with Chef Yai. (คุณทีมครับ ผมว่าคุณมีแขกรออยู่ที่ห้องนะ เห็นพวกเขามากับเชฟใหญ่)”
ลุงทอม พนักงานดูแลหอพักแจ้ง ร่างโปร่งขมวดคิ้ว เขาไม่มีรูมเมทเลยเอากุญแจอีกอันให้พี่ใหญ่กับพี่นัทไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน แต่ถ้าพี่ใหญ่กับพี่นัทจะมาก็น่าจะโทรบอกเขาก่อนสิ
นอกเสียจากกว่า...
ริมฝีปากเรียวขยับยิ้มกว้างเมื่อคิดว่าคนที่ตั้งใจจะแอบมาเซอร์ไพร์สเขาเป็นใคร
“เซอร์ไพร์ส!!!”
เสียงประทัดกระดาษดังขึ้นทันทีที่ทีมเปิดประตูเข้ามาในห้อง เชฟใหญ่ เชฟนัท พี่ชายของเขา และเวย์ตะโกนลั่นแข่งกับเสียงประทัด ถึงแม้ทีมจะรู้สึกดีใจที่ได้เห็นพี่ชายและเวย์อีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอกันมาหลายเดือนเพราะทั้งสองติดเรียนอยู่
ตลอด แต่เขาก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ที่ไม่เห็นคนรักของตัวเองอยู่ในสายตา
“เป็นอะไร พี่มาแทนที่จะดีใจหน้าบูดเป็นตูดเลยนะมึง” เทสต์แจกมะเหงกน้องชายฝาแฝดด้วยความคิดถึง(?) ทีมยิ้มแห้งอย่างสำนึกผิด
“วันนี้พวกพี่ทำอาหารมื้อใหญ่ไว้ที่บ้านรอเลี้ยงฉลองให้เราโดยเฉพาะเลยนะ รับรอง กินแล้วจะลืมท่านประธานไปเลย”เชฟใหญ่อวดสรรพคุณ ทีมยิ้ม ถึงแม้จะรู้ว่าสิ่งที่พี่ใหญ่พูดเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ก็ตาม
พวกเขาทั้งหมดขึ้นรถที่เชฟใหญ่เช่าไว้เพื่อให้ไปไหนมาไหนกับคนรักได้สะดวกไปที่บ้านพักของพวกเขาซึ่งทางสถาบันจัด
เตรียมไว้ให้ เป็นบ้านเดี่ยวหลังเล็กบรรยากาศดีที่ถึงแม้จะมีพื้นที่ใช้สอยส่วนอื่นน้อย แต่ก็แลกมาด้วยครัวขนาดใหญ่ที่มีอุปรณ์ทำอาหารครบครัน
“โห อาหารเยอะขนาดนี้กินไม่หมดก็เสียดายแย่เลยสิครับ”
ทีมเอ่ยขึ้นหลังจากที่เห็นปริมาณอาหารต่างๆที่เชฟมือาชีพทั้งสองเตรียมไว้ ทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับพี่ทีม มีผมอยู่ซะอย่าง” เวย์ยิ้ม
“ใช่ มีเวย์อยู่มึงไม่ต้องกลัวไม่หมดหรอก กลัวกินไม่ทันมันดีกว่า”
เทสต์เสริม ทั้งห้าเริ่มต้นงานเลี้ยงฉลองวันปิดคอร์สเรียนของทีมด้วยบรรยากาศสนุกสนานเฮฮา ถึงแม้เจ้าของงานจะรู้สึกโหวงๆในใจตลอดเวลาตอนที่เห็นเทสต์ดุเวย์ที่กินเลอะเทอะ หรือตอนที่เชฟนัทกับเชฟใหญ่เถียงกันด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆที่สุดท้ายร่างสูงเป็นฝ่ายยอมลงให้คนรักเหมือนทุกที
มันทำให้ความเหงาที่เริ่มกัดกินหัวใจทีละนิดทุกครั้งที่ไม่ได้เห็นหน้าคนรักทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดขึ้นไปอีก
“ผมไปห้องน้ำนะครับ”
ร่างโปร่งเอ่ยขอตัว ทีมปิดล็อกประตูห้องน้ำก่อนจะเอนตัวพิงขอบประตู ดึงโทรศัพท์ของตัวเองออกมากดโทรหาคนที่เขาเพิ่งคุยด้วยเมื่อตอนเย็น
ตื๊ด...ตื้ด.....
หลังจากรออยู่ซักพัก ในที่สุดคนที่เขาอยากได้ยินเสียงก็รับสาย แต่สิ่งที่วีรภัทรพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเร่งรีบมีเพียง
“ขอโทษนะทีม ตอนนี้ฉันคุยไม่ได้ เดี๋ยวโทรกลับนะ”
ก่อนจะวางสายไป
ทีมบอกตัวเองว่าเขาจะไม่กลายเป็นคนประเภทนั้นที่ระยะทางทำให้หวาดระแวงความซื่อสัตย์ของคนรัก แต่พักนี้บทสนทนาของพวกเขาสั้นลงมากเหลือเกิน ทั้งที่คิดว่าอยู่ห่างกันจะทำให้มีเรื่องพูดคุยกันมากมาย แต่เวลาคุยกันมีเพียงเขาที่เล่าแทบทุกวินาทีที่เกิดขึ้นของวันให้วีรภัทรฟังอย่างตื่นเต้น ส่วนร่างสูง ถึงแม้จะดูมีความสุขที่ได้เห็นเขา แต่พักหลังมานี้หากทีมเป็นคนโทรไปเอง ก็มักจะโดนอีกฝ่ายตัดบทแบบนี้เสมอ
เขาบอกตัวเองว่าเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะมาร้องไห้กับอะไรแบบนี้ไม่ได้
“ฮึก….”
แต่สุดท้าย น้ำตาที่กลั้นไว้ก็เอ่อล้นออกมาอยู่ดี
คืนนั้น ทีมออกมาจากห้องน้ำด้วยดวงตาที่บวมแดง
หากคนรอบตัวสังเกตเห็น ก็ไม่มีใครพูดอะไร ซึ่งร่างโปร่งรู้สึกขอบคุณทุกอยู่ลึกๆกับการให้เกียรตินั้น
หลังจากตื่นเช้าอาบน้ำแต่งตัวอย่างสดชื่นพร้อมรับวันใหม่ อารมณ์ของร่างโปร่งก็ดีขึ้นเป็นกอง อย่างน้อยก็ดีพอที่จะตื่นเต้นไปกับเพื่อนๆที่เรียนจบคอร์สผลิตเชฟมหาโหดที่ยิ่งกว่าแข่งขันเรียลลิตี้โชว์ อย่างน้อยถึงวันนี้คุณวีจะไม่อยู่ที่นี่เพื่อแสดงความยินดีกับเขา ทีมก็ยังมีคนที่เขารักคอยปรบมือให้ตอนที่ร่างโปร่งเดินขึ้นไปรับประกาศณียบัตร
“And before we finished, there is someone here who would like to say something. (และก่อนที่เราจะเสร็จพิธี มีใครบางคนที่อยากจะพูดอะไรซักหน่อย)”
เจ้าของสถาบันเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มหลังจากที่ทีมกลับมานั่งกับเพื่อนๆที่ได้รับไปประกาศครบแล้ว พวกเขาหันซ้ายหันขวามองหน้ากันอย่างประหลาดใจ เพราะตามตารางไม่มีงานอะไรต่อจากนี้แล้ว
เสียงเพลงคลาสสิคแว่วหวานค่อยๆบรรเลงขึ้นจากทุกทิศทางในหอประชุม ทีมอมยิ้มเล็กน้อยอย่างเศร้าๆเมื่อจำได้ว่ามันเป็นเพลงที่วีรภัทรของเขาเต้นรำในวันครบรอบสองเดือนของพวกเขาที่สิงคโปร์
คิดถึงคุณวีจัง...
“Look!(ดูนั่น!!)”
เสียงของเพื่อนๆที่ร้องอย่างตื่นเต้นทำให้ความสนใจของทีมกลับไปอยู่บนเวทีอีกครั้ง ม่านกำมะหยี่สีแดงหลังเวทีถูกแหวกออกเล็กน้อยให้รถเข็นอาหารแบบที่พวกเขาเห็นตามโรงแรมเวลาสั่งรูมเซอร์วิสถูกเข็นออกมา บนนั้นมีจานหลายขนาดหลายลวดลายเรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบอยู่ ที่ตัวรถเข็นมีดอกกุหลาบสีแดงถูกแปะเป็นคำว่า Will
หรือว่า...จะมีแจกรางวัลอะไรรึเปล่า?
ทีมเริ่มรู้สึกตื่นเต้นตามเพื่อนๆที่ซุบซิบกันอย่างดีใจ ถึงแม้ร่างโปร่งจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะขนจานพวกนั้นกลับไทยอย่างไร
รถเข็นคันที่สองถูกเข็นเข้ามาโดยที่บนรถเข็นมีเครื่องเงินมากมาย ช้อน ส้ม มีด หลากหลายขนาดและวัตถุประสงค์ให้คนเห็นตาวาวด้วยความอยากได้ บนรถคันนั้นมีคำว่า You แปะอยู่ดอกตัวอักษรที่เรียงจากดอกกุหลาบแดงเช่นกัน
หัวใจของทีมเต้นแรงขึ้นเมื่อจิตใต้สำนึกของเขาเริ่มประติดประต่อเรื่องราวได้ รถเข็นอีกสองคันที่บรรจุหม้อกระทะ และตะหลิวกับทัพพีรวมถึงอุปกรณ์ครัวอื่นๆถูกเข็นออกมาพร้อมกับสองคำสุดท้ายของประโยค
Marry…Me…
ร่างสูงที่เดินออกมาจากด้านหลังม่านเป็นคนสุดท้ายอยู่ในชุดสูททางการที่ทีมเป็นคนเลือกให้ทั้งสีและเนื้อผ้า วีรภัทรเดินตรงมาหาเขา ทีมลุกขึ้นยืนอย่างไม่รู้ตัว ในหัวมีเพียงความคิดที่อยากเข้าไปกอดคนรักไว้ให้แน่นให้หายคิดถึง
วีรภัทรทรุดตัวลงคุกเข่าข้างหนึ่งก่อนที่ทีมจะได้ทำอย่างที่คิด ในมือของร่างสูงไม่มีกล่องแหวน ไม่มีอะไรอยู่ในนั้นทั้งสิ้น แต่ทีมไม่ได้ใส่ใจอะไรนอกจากการได้เห็นคนรักของเขามายืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
“ว่าไง?”
ชายหนุ่มจับมือของเขาไว้ เงยหน้าขึ้นสบตากับคนรักด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม
“เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษแท้ๆ ประโยคคำถามอะไรไม่มีเครื่องหมายคำถามครับ”
ร่างโปร่งบ่ายเบี่ยงด้วยความเขิน ทั้งที่ในใจตอบตกลงไปตั้งแต่เห็นร่างสูงเดินออกมาแล้ว
“ใครว่าฉันลืม?”
วีรภัทรขยับยิ้ม ราวกับรู้เรื่อง ลูกสุนัขพันธุ์เกรท ไพริเนสวิ่งตุ๊ปั๊ดตุ๊เป๋ออกมาจากหลังม่านตรงมาที่คนทั้งคู่ เจ้าหมาน้อยที่ถึงแม้จะเป็นแค่ลูกสุนัขอายุไม่กี่สัปดาห์แต่ก็มีขนาดพอๆกับสุนัขพันธุ์เล็กที่โตเต็มวัยสะดุดล้มกลิ้งบนพื้น เรียกเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูจากคนที่ดูอยู่ ก่อนจะตั้งหลักได้อีกครั้งแล้วมองซ้ายมองขวาราวกับจำไม่ได้ว่าเมื่อกี๊ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
วีรภัทรตบมือเรียก เจ้าหมาน้อยผงกหัวขึ้นตามเสียงนั้นแล้ววิ่งมาหาพวกเขาต่อ ทีมสังเกตว่าปลอกคอของเจ้าหมาน้อยเป็นลายเครื่องหมายคำถาม และสิ่งที่ห้อยอยู่กับปลอกคอของมันคือแหวนทองคำขาวบริสุทธิ์ที่สลักลายเถาวัลย์ไขว้กันไปมาอย่างปราณีตบรรจง ลูกสุนัขแสนร่าเริงนั่งปุลงที่แทบเท้าของคนทั้งคู่ กระดิกหางแลบลิ้นมองคนทั้งสองซ้ายทีขวาทีราวกับจะถามว่า
‘ใครจะเล่นกับป๋ม ใครจะเล่นกับป๋ม เล่นๆๆๆ’
วีรภัทรอุ้มเจ้าหมาน้อยขึ้น ชูมันขึ้นเหนือศีรษะตัวเองราวกับเจ้าสิ่งมีชีวิตขนปุบสีขาวที่มีดวงตากลมบ็อกสดใสนั้นเป็นเพียงกล่องแหวนกำมะหยี่เล็กๆ
“ว่าไง...ยอมแพ้รึยัง?”
“คุณวี...ใจร้ายที่สุด แบบนี้ผมจะปฏิเสธได้ยังไงครับ”
คนถูกถามหัวเราะทั้งน้ำตา ก้มลงอุ้มเจ้าหมาน้อยจากมือของคนรัก เจ้าก้อนฟูฟ่องกระดิกหางแล้วเลียแผล็บที่หลังมือของเขาอย่างอารมณ์ดี
“ก็ไม่ได้จะให้ปฏิเสธอยู่แล้วน่ะนะ”
วีรภัทรไหวไหล่แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ใช้นิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาที่ยังคงอาบอยู่บนแก้มเนียนใสของคนรักอย่างทะนุถนอม
“ตกลงว่าไงครับที่รัก?”
“ยอมแพ้แล้วครับ”
“He said yes!!!!”
เสียงของเวย์ตะโกนขึ้นอย่างดีใจ เพื่อนๆรวมถึงอาจารย์ที่ร่วมเป็นสักขีพยานกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ เข้ามาล้อมคู่รักทั้งสองคนไว้พร้อมส่งเสียงเชียร์ดังลั่น ทีมลูบศีรษะเจ้าหมาน้อยอย่างอ่อนโยนขณะที่วีรภัทรก้มลงแกะปลอกคอเพื่อเอาแหวนออกมา แล้วแบมือเพื่อขอมือของคนที่เขาอยากใช้ชีวิตร่วมกันทั้งชีวิต...
ปุ!
อุ้งเท้าปุกปุยวางแปะลงบนฝ่ามือใหญ่ เจ้าหมาน้อยแลบลิ้นกระดิกหางอย่างมือความสุข เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่มองได้
เป็นอย่างดี
"อันนี้ของฉัน"
ทีมก้มลงบอกเจ้าหมา ยื่นมือให้คนรักแทนอุ้งเท้านั้นทั้งที่ยังหัวเราะคิกอยู่ วีรภัทรสวมแหวนให้คนรัก ก่อนจะก้มลงจุมพิตหลังมือของร่างโปร่ง
ทีมยิ้มกว้าง เขาไม่รู้ว่าคนหนึ่งคนจะมีความสุขได้มากกว่านี้อีกหรือไม่
พวกเขากลับมาที่ห้องของโรงแรมธาราซึ่งเป็นห้องของวีรภัทร ทีมเพิ่งเห็นข้อดีของการสร้างห้องไว้สำหรับตัวเองในทุกโรงแรมของร่างสูง วีรภัทรไม่ชอบใช้ของร่วมกับใคร และในครั้งนี้ก็ช่วยให้เขาลักลอบ(?)พาเจ้าหมาน้อยขึ้นมาบนห้องได้โดยไม่รบกวนแขก
"บ็อก.."
เจ้าหมาสีขาวตัวปุกปุยวิ่งสำรวจไปทั่วห้องทันทีที่ทีมปล่อยลงจากอ้อมกอด ร่างโปร่งเดินไปล้างมือให้สะอาดหลังจากเล่นกับเจ้าหมาน้อยมาตลอดทาง แล้วทรุดตัวลงเอนตัวบนโซฟาอย่างอ่อนเพลีย ยกมือขึ้นเพื่อชื่นชมแหวนทองคำขาวบนนิ้วของตัวเองอย่างมีความสุข
"ชอบมั้ยครับที่รัก"
วีรภัทรโอบแขนยาวทั้งสองข้างรอบคอของเขาจากด้านหลัง วางคางลงบนไหล่ของร่างโปร่งแล้วคลอเคลียอยู่ข้างๆเขาไม่ห่าง ไรหนวดที่เริ่มขึ้นเล็กน้อยเสียดสีลำคอขาวจนทีมหลุดหัวเราะจากความจั๊กจี้ ก่อนที่เสียงหัวเราะจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงครางหวานหูเมื่อริมฝีปากได้รูปเริ่มสร้างรอยแสดงความเป็นเจ้าของไว้ประปราย
"อ๊ะ...คนวี หยะ...หยุดก่อนครับ"
ทีมใช้มือปิดปากร่างสูงไว้ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อลิ้นร้อนเลียแผล็บที่มือของเขาอย่างหยอกเย้า แต่ทีมยังคงไม่ยอมปล่อยมือจาก
ปากอีกฝ่ายง่ายๆด้วยกลัวจะถูกโจมตีอีกครั้ง
ร่างสูงเลิกคิ้ว รอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย
"ชอบครับ" ทีมยิ้มกว้าง ก่อนจะปล่อยมือ "แล้ว...หมาตัวนั้นนี่หมาใครเหรอครับ?"
"ของเธอไง"
ร่างสูงตอบเรียบๆเหมือนนั่นเป็นสิ่งที่ร่างโปร่งควรรู้อยู่แล้ว
"ฮะ? ของผม? แล้วเราจะเลี้ยงมันที่ไหนล่ะครับ เทสต์แพ้ขนหมา เดี๋ยวก็จามไม่หยุดหรอก"
ทีมเอ่ยขึ้นทันที ถึงเขาจะรักสุนัขแค่ไหนแต่เขาก็ไม่อยากทำให้พี่ชายของเขาไม่สบายหรอกนะ
"ที่บ้านใหม่ของเราไง" ชายหนุ่มยิ้ม "นี่เธอคงไม่คิดว่าฉันจะซื้อเครื่องครัวใหม่ยกเซ็ททั้งที่ไม่มีที่เก็บหรอกนะ?"
บ้านใหม่?
คนฟังมีสีหน้าไม่เข้าใจ นี่คุณวีพูดถึงเรื่องอะไรกัน?
"ทีม..."
คนอายุมากกว่าถอนหายใจ วีรภัทรเดินอ้อมมานั่งลงข้างร่างโปร่งบนโซฟา ดึงมือเรียวที่สวมแหวนทองคำขาวที่เขาเลือกเองกับมือมากุมไว้
"เธอไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลือกับฉันเหรอ?"
"อยากสิครับ..."
เรื่องนั้นทีมมั่นใจ แต่เขาก็ไม่อยากที่จะต้องไปจากพี่ชายตอนนี้ วีรภัทรถอนหายใจ ยกมือทั้งสองข้างของคนรักขึ้นมาจุมพิตหลังมืออย่างรักใคร่
"เพราะอย่างนี้ไงฉันถึงซื้อบ้านที่อยู่ถัดไปแค่ซอยเดียว แค่ชะเง้อหน่อยก็เห็นหน้ากันแล้ว"
วีรภัทรยิ้ม เขารู้ดีว่าคนรักของตัวเองยังไม่พร้อมจะแยกจากพี่ชาย และร่างสูงก็ยังไม่อยากทิ้งขว้างลูกชายวัยสิบเก้าปีไปไกลสายตานัก การซื้อบ้านที่อยู่ซอยด้านหลังบ้านของเขาแล้วทุบทิ้งเพื่อสร้างเรือนหอใหม่จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย สำหรับบ้านหลังนี้ วีรภัทรออกแบบทุกสิ่งทุกอย่างเองกับมือ โดยอาศัยข้อมูลจากการตะล่อมถามคนรักถึงบ้านในฝันเป็นกุญแจสำคัญ
"ขอบคุณนะครับคุณวีที่เข้าใจ"
ทีมโน้มตัวไปจุมพิตร่างสูงเบาๆที่ริมฝีปาก แต่คนอายุมากกว่าไม่ยอมหยุดแค่นั้น วีรภัทรบดคลึงริมฝีปากของร่างโปร่งอย่างเชื่องช้าแต่เต็มไปด้วยความรู้สึก ทีมหัวเราะเบาๆในลำคอก่อนจะยอมเผยอริมฝีปากให้ลิ้นร้อนสอดเข้ามาสำรวจภายใน แต่ก่อนจะได้ทำอะไรมากกว่านั้น ร่างปุกปุยสีขาวก็กระโดดขึ้นมาทับบนหน้าตักของทีมอย่างแรงจนคนทั้งสองผละจากกันอย่างตกใจ
"ฮะๆ ว่าไงเจ้าตัวเล็ก ชื่ออะไรล่ะเรา?"
ทีมเกาศีรษะให้เจ้าหมาน้อยที่ยึดเอาตักของเขาเป็นเบาะนอนสบายใจเฉิบ
"ยังไม่มี" วีรภัทรเอ่ยเสียงห้วน สีหน้าของชายหนุ่มดูไม่ค่อยสบอารมณ์ที่โดนขัดจังหวะ แต่จะพาลไปลงที่หมาก็อาจจะโดนคนรักหมางอนได้
"งั้นชื่ออะไรดีล่ะเรา?"
ทีมเข้าโหมดนั่งทางในคุยกับหมาไปเรียบร้อยแล้ว ลูบขนสีขาวครีมของเจ้าขนปุยด้วยรอยยิ้มมีความสุข สิ่งมีชีวิตบนตักเขาเงยหน้ามองทีมตาแป๋ว ราวกับจะเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ
"อืม...ตัวขาวๆแบบนี้ ชื่อโมจิดีมั้ย?"
ทีมนึกถึงขนมแป้งขาวนุ่มนิ่มใส่ไส้ที่เขาชอบทาน เจ้าหมาน้อยเห่าโฮ่งตอบรับ ก่อนจะกระโดดแผล็วจากตักทีมไปหาวีรภัทร เลียแผล็บเข้าที่หลังมือของคนที่ยังอารมณ์เสียที่ถูกขัดจังหวะไม่หาย ร่างสูงได้จังหวะอุ้มเจ้าตัวแสบขึ้นแล้วเดินไปยังคอกกั้นขนาดใหญ่ที่เตรียมไว้เป็นที่นอนของโมจิ
"คุณวี ไม่เอาครับ สงสารน้อง เดี๋ยวน้องไม่มีที่วิ่งเล่น"
คนรักหมารีบประท้วงทั้งที่คอกกั้นนั้นมีขนาดใหญ่พอที่เจ้าหมาน้อยจะวิ่งเล่นได้โดยไม่อึดอัด วีรภัทรถอนหายใจ เริ่มคิดแล้วว่าตัวเองตัดสินใจผิดรึเปล่าที่เอาหมามาเลี้ยง
"เอางั้นก็ได้"
ร่างสูงวางเจ้าหมาน้อยลงบนพื้น ก่อนจะช้อนเอาคนที่นั่งอยู่บนโซฟาขึ้นมาอุ้มไว้ในอ้อมกอดแทน
"ทำอะไรน่ะครับคุณวี เดี๋ยวก็หลังหักหรอก"
คนโดนอุ้มโวยวายอย่างเป็นห่วง ตัวเขาก็ไม่ใช่เล็กๆ เกิดอีกฝ่ายกระดูกหักขึ้นมาเขาจะทำยังไง
"หืม? ปกติเวลาอุ้มบนเตียงไม่เห็นจะบ่นเลยนี่"
วีรภัทรหยอก อุ้มร่างของคู่หมั้นหมาดๆเข้าไปในห้องนอนแล้วใช้หลังดันไม่ให้เจ้าหมาขนปุยเข้ามาทำลายบรรยากาศได้
"ก็นั่นมัน..."
ทีมหน้าแดง ปล่อยให้ร่างสูงอุ้มเขามาวางลงบนเตียงด้วยรู้สึกว่าพูดอะไรไปก็น่าจะโดนแกล้งอยู่ดี
"มาต่อกันดีกว่า คิดถึงป๋ามั้ยครับ"
วีรภัทรกระพริบถามเสียงพร่า เรียกเลือดฝาดให้วิ่งขึ้นมาบนแก้มของคนอายุน้อยกว่าได้เป็นอย่างดี
"มาถึงขนาดนี้ยังต้องถามอีกเหรอครับ?"
ทีมยกมือขึ้นโอบรอบคอของร่างสูง รั้งให้ใบหน้าคมโน้มลงมาประทับริมฝีปากอย่างนิ่มนวล ก่อนที่ความรู้สึกโหยหาร่างของคนรักจะแปรเปลี่ยนให้จุมพิตนั้นดุดันและเร่าร้อน
ภายนอกห้อง เจ้าโมจิที่เพิ่งได้ป๊ะป๋ากับหม่าม๊าคนใหม่ได้แต่ตะกุยประตูและเห่าเรียกผู้ปครองของตน ทว่ามีเพียงเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียงและเสียงครางหวานแว่วออกมาจากห้องเป็นระยะ ไม่มีใครออกมาเล่นกับโมจิซักคน
สุดท้ายเจ้าหมาน้อยจึงยอมแพ้ ปล่อยพ่อกับแม่เล่นกันสองคน แล้วเดินเข้าไปในคอกที่เปิดอ้าไว้ ก่อนจะกระโจนขึ้นบนเบาะนุ่มๆที่ป๊ะป๋าเตรียมไว้ให้แล้วขยับหมุนไปมาหาที่ทางเตรียมพักผ่อน วันนี้โดนจับอาบน้ำแต่งหล่อทั้งวันจนไม่ได้นอนเลย ของีบซักหน่อยดีกว่า
-------