Step 3: ใส่กลิ่นวนิลาไปอีกสามช้อนชา
เขาว่ากันว่าตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก
ถึงแม้เชฟใหญ่จะไม่มีประสบการณ์เรื่องตามจีบตามป้อผู้หญิงมากอย่างที่คนอื่นเข้าใจ แต่ร่างสูงรู้ดีว่าเขามีหน้าตาและเสน่ห์ปลายจวักเป็นอาวุธ เช้านี้เขาจึงมาดักรอณัฐภาสที่หน้าโรงอาหารกลางซึ่งเขาแอบได้ยินตอนที่ณัฐภาสคุยกับญาวิกาว่าเป็นสถานที่ประจำของทั้งสอง ในมือมีกล่องเก็บอุณหภูมิที่บรรจุเมนูพิเศษที่เขาตั้งใจทำมาให้อีกฝ่าย
แต่ในทะเลผู้คนที่ทุกคนใส่ชุดนักศึกษาเหมือนกัน ใหญ่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังงมเข็มอยู่ในมหาสมุทร
“นาฬิกาปลุกน่ะมีไว้ประดับโต๊ะรึไงยะ? เห็นมั้ยเนี่ยคนเยอะแยะ จะกินข้าวทันได้ยังไง”
เสียงแหลมเล็กดังฟังชัดเป็นเอกลักษณ์ช่วยเขาไว้ได้ทันเวลา ใหญ่นึกขอบคุณญาวิกากับเสียงของเธออยู่ในใจ ทางต้นเสียง นักศึกษาสามคนกำลังเดินตรงมาทางเขาเพื่อเข้าไปในโรงอาหาร ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังตัดสินใจว่าจะเข้าไปทักอีกฝ่ายอย่างไรอยู่นั้น เด็กหนุ่มที่เขาไม่เคยเห็นหน้าซึ่งเดินอยู่ข้างณัฐภาสก็หันมาเห็นเขาเสียก่อน
"ทำมาเป็นพูด ทีพวกกูรอมึงแต่งตัวไปเรียนทุกวันไม่เห็นพวกกูบ่นอะไร...อะไรวะหมอก สะกิดอยู่ได้"
คนที่เขาตั้งใจมาหาหันมาหาเรื่องเด็กหนุ่มข้างๆข้อหาขัดการกัดกันของตนกับญาวิกา เด็กคนนั้นชี้มาที่เขาไม่พูดไม่จา ณัฐภาสมองตามมือของเพื่อน ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนที่อีกฝ่ายชี้เป็นใคร
"อ้าว นั่นเชฟใหญ่นี่ สวัสดีค่าเช...อ้าว นัท ไปไหนอ่ะ?"
ขายาวก้าวตามร่างในชุดนักศึกษาที่หมุนตัวเดินหนีไปอีกทางอย่างรวดเร็ว ณัฐภาสจ้ำอ้าวกลับไปทางที่พวกเขาเดินมา ร่างโปร่งวิ่งไปถึงหลังตึกที่ไม่มีคนผ่านเมื่อคนที่ตามมาวิ่งตามเขาทันแล้วคว้าแขนเรียวไว้
"ดีใจที่เจอพี่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?"
ร่างสูงยังมีอารมณ์หยอกล้อ แขนข้างที่เป็นอิสระของณัฐภาสเหวี่ยงเข้าหาเขาทันทีแทนคำตอบ แต่คราวนี้ชายหนุ่มขยับหลบได้ทันเวลา
"เดี๋ยวสินัท ฟังพี่ก่อน"
"ผมไม่อยากพูดกับคุณ"
"พี่แค่อยากขอโทษ"
เชฟใหญ่เอ่ยเสียงอ่อน ได้ผลเมื่อคนฟังยอมลดกำปั้นลงเล็กน้อยถึงแม้จะไม่ทั้งหมด ณัฐภาสจ้องเขาด้วยสีหน้าที่ตีความได้ว่า
'มีอะไรก็ว่ามา'
"พี่ไม่ควรพูดจาแบบนั้น พี่ก็แค่...อยากรู้จักนัทมากกว่านี้"
ร่างสูงยกมือลูบคอตัวเองอย่างเก้อเขิน มืออีกข้างยื่นกล่องข้าวที่ตนทำมาให้เด็กหนุ่ม ณัฐภาสรับมาด้วยสีหน้างุนงง
"แหะๆ คงเละไปแล้วแหละ แต่น่าจะยังอร่อยอยู่นะ"
"...เอามาให้ผมทำไม?"
ณัฐภาสถามอย่างไม่เข้าใจ
"เอามาง้อนัทไง" เชฟใหญ่ยิ้ม "เผื่อว่านัทจะใจอ่อนยอมไปทานข้าวกับพี่ซักมื้อ"
"เห็นเป็นหมารึไงเอาของกินมาล่อ"
ถึงจะบ่นไปแบบนั้นแต่ก็ยังแกะกล่องข้าวดูอย่างอยากรู้อยากเห็น ดวงตาเรียวเบิกกว้างเมื่อเห็นทะเลพริกไทยดำกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ ทั้งที่เป็นอาหารง่ายๆแต่กลับมีกลิ่นเครื่องเทศอบอวลน่ารับประทาน สมกับที่คนทำเป็นเชฟคนเก่งของยุค
"กินก็ได้ กลัวเสียของหรอกนะ"
เด็กหนุ่มแก้ตัวล่วงหน้า เดินอุ้มกล่องข้าวกลับไปหาเพื่อนของตัวเองโดยไม่พูดอะไรกับคนที่ทำมาให้ เชฟใหญ่ยิ้มอย่างเอ็นดู ไม่รู้ว่าเขาอยู่ในโหมดหน้ามืดตามัวหรืออะไรแต่เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าทำอะไรก็น่ารักไปหมด
โอย..ถ้าได้มากอดไว้จะฟินแค่ไหนนะ
“อะไรคือทำหน้าอย่างกับได้สามีคะคุณนัท ไหนแกบอกว่าไม่ชอบเขา”
ญาวิกาแซวคนที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวหลังทานอาหารในกล่องข้าวสื่อรักจนเกลี้ยงอย่างหมั่นไส้ ทีสาวน้อยบอบบางอย่างเพียงยังต้องทนผ่าทะเลคนไปต่อแถวร้านอาหาร โลกนี้มันไม่ยุติธรรม
“กูเรียนคหกรรม กูก็ต้องรู้คุณค่าของอาหารป่ะ เกลียดคนก็ส่วนเกลียด อาหารไม่ได้ทำอะไรผิดเว้ย ใช่มั้ยไอ้หมอก”
ณัฐภาสแถ หันไปเรียกกำลังเสริมจากเพื่อนที่นั่งทำแบบฝึกหัดอยู่ข้างๆ
“เอ่อ...น่าจะใช่นะ”
มธุวันยิ้มเจื่อนเพราะมัวแต่ทำงานจนไม่ได้ฟังบทสนทนาของเพื่อนทั้งสอง
“อย่ามา คนอคติสูงเทียมฟ้าอย่างแกน่ะนะจะคิดอะไรฉลาดๆแบบนี้เป็น ใช่มั้ยหมอก” ญาวิกาหันไปขอความเห็นเพื่อนบ้าง
“เอ่อ..ก็คงอย่างนั้นแหละ” มธุวันตอบอย่างไม่อยากให้เพื่อนเสียความรู้สึก ไม่ทันฟังคำพูดของญาวิกาอีกแล้ว
“หมอก! ตกลงมึงอยู่ข้างใคร?”
“นี่! อย่าดุหมอกนะ!”
มธุวันได้แต่ลอบถอนหายใจ ก่อนจะก้มลงทำแบบฝึกหัดต่อ ปล่อยให้ทั้งสองคนตีกันต่อไป
ณัฐภาสไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกโล่งอกหรือผิดหวังที่ไม่เห็นร่างสูงใหญ่ของคนที่เอากล่องข้าวมาให้เขายืนอยู่หน้าตึกเรียนอย่างคราวที่แล้ว แต่บอกตามตรงหลังจากเหตุการณ์ในครั้งแรกเขาก็ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะกล้ามายืนรอเขาแบบนั้นอีก
“มองหาใครอยู่เหรอครับ? อุ่ก!”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจากด้านหลังทำให้คนตกใจง่ายเผลอถองศอกใส่หน้าท้องแข็งอย่างแรง
“เฮ้ย!”
ณัฐภาสร้องขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่ตัวเองประทุษร้ายไปคือคนที่กำลังมองหาเมื่อครู่ เชฟใหญ่ตัวงอกุมท้องอย่างเจ็บปวด แต่ยังคงยิ้มให้เขาแห้งๆ
“ขอโทษที...ตกใจเหรอ?”
“ให้ตายเถอะ โผล่มาแบบคนธรรมดาซักครั้งไม่ได้รึไงครับ?”
ร่างโปร่งโวยวายกลบเกลื่อนความรู้สึกผิด สอดแขนเข้ามาช่วยพยุงอีกฝ่ายไปนั่งตรงม้านั่งที่อยู่ไม่ไกล
“แบบนั้นเดี๋ยวนัทไม่ประทับใจไง”
ชายหนุ่มอ้าง ยังคงจุกจากการโดนถองเข้าเต็มๆลิ้นปี่ ณัฐภาสกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย กลบเกลื่อนความรู้สึกหน้าร้อนๆที่เขากำลังเป็นอยู่ในตอนนี้
“แล้วมาทำไม?”
“เขาบอกว่าถ้าโผล่มาให้คนที่เราชอบเห็นบ่อยๆ เวลาเราหายไปเขาจะคิดถึงเรา”
“เลิกพูดจาแบบนั้นซักทีได้มั้ยครับ”
ณัฐภาสเบือนหน้าหนี เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ ทำไมคนคนนี้ถึงได้หน้าม่อไม่เกรงใจใครแบบนี้นะ
“เป็นไง ข้าวกล่องพี่อร่อยมั้ย?”
เชฟใหญ่ถามขึ้นเมื่อเริ่มหายจากอาการจุก ถึงแม้ณัฐภาสจะไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ใจ แต่การจะบอกว่าอาหารของเชฟระดับห้าดาวไม่อร่อยก็เหมือนกับการบอกว่าสุนัขไม่ได้มีสี่ขา หรือพระอาทิตย์ไม่ได้ขึ้นทางทิศตะวันออก ร่างโปร่งพยักหน้าส่งๆ แต่แค่นั้นก็ทำให้อีกฝ่ายเผยรอยยิ้มกว้างอย่างพอใจได้แล้ว
คนบ้าอะไรทำตัวปัญญาอ่อนยังหล่อวะ?
ณัฐภาสคิดอย่างไม่สบอารมณ์
“นัท พี่มีข้อเสนออยากจะให้นัทลองพิจารณาดู”
จู่ๆร่างสูงก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย คนฟังหรี่ตาลงอย่างจับผิด ไม่รู้ว่ารอบนี้อีกฝ่ายจะมาไม้ไหนกันแน่ เชฟใหญ่ยิ้มกับท่าทีหวาดระแวงของอีกฝ่าย
“ตกลงข้อเสนอที่ว่านี่คืออะไรครับ?”
ณัฐภาสเอ่ยขึ้นอย่างเริ่มหมดความอดทน จู่ๆร่างสูงก็พาเขากลับมาที่ห้องที่ใช้เรียนคลาสทำอาหารที่ไม่มีใครอยู่ บอกให้เขา
นั่งรอแล้วไปวุ่นวายทำอะไรอยู่ที่โต๊ะทำอาหารอยู่คนเดียวตั้งนานสองนาน จนตอนนี้เขาชักรู้สึกหิวนิดๆแล้ว
“เอ้า ลองชิมดู”
หัวหน้าเชฟหนุ่มวางขนมหวานหน้าตาน่ารับประทานลงบนโต๊ะตรงหน้าเขา ณัฐภาสเงยหน้ามองร่างสูงอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ยอมตักขนมสีขาวๆที่เขาไม่มั่นใจว่าคืออะไรเข้าปากแต่โดยดี
“….”
ณัฐภาสพยายามที่จะไม่เสียมารยาท เขาพยายามแล้วจริงๆ
แต่สุดท้ายรสชาติอบอวลอยู่ในปากก็ทำให้เขาต้องรีบคายทิ้งอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ ร่างสูงที่รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้หยิบถังขยะใบเล็กมาให้ร่างโปร่งคายทิ้งและส่งขวดน้ำที่เปิดฝาแล้วให้อีกฝ่ายรับไปดื่ม
“นั่น...อะไร...”
เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงขาดห้วง ร่างสูงยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยสีหน้าประหม่า
“พี่ไม่เคยเรียนทำอาหาร”เชฟใหญ่เริ่มเล่า “พี่อาศัยครูพักลักจำเทคนิคการทำอาหารต่างๆจากครัวร้านอาหารหลายที่ที่พี่ทำงานอยู่ อาหารคาวน่ะมันง่าย แค่เรารู้ว่ารสชาติไหนเข้ากับอะไร แต่ขนมหวานที่ต้องใช้ความรู้ทั้งเรื่องอัตราส่วนของส่วนผสม ความร้อน การกะเวลา พี่ฝึกแค่ไหนของที่พี่ทำออกมาก็กินไม่ได้ทุกครั้ง”
“แล้วทำไมตอนนี้คุณถึงไม่ไปเรียนล่ะครับ”
ณัฐภาสถาม เชฟใหญ่ยิ้มขื่น
“เพราะทุกคนคิดเอาเองน่ะสิว่าคนที่เป็นเชฟแล้วจะมาเรียนทำขนมพื้นฐานทำไม พอพี่ได้เป็นหัวหน้าเชฟที่โรงแรมธารา พี่ก็ไม่อยากจะให้ลูกค้าสงสัยในชื่อเสียงของภัตราคาร หัวหน้าเชฟยังต้องไปเรียนอบขนมอยู่...ฟังดูไม่น่าเชื่อถือเลยว่ามั้ย?”
“ไม่เห็นจะเป็นอย่างนั้นเลยครับ เชฟที่เรียนทำขนมต่อก็เยอะแยะ”
ณัฐภาสเถียง ทั้งที่รู้ว่าบางครั้งในหลายๆเรื่อง ภาพลักษณ์ก็มาก่อนฝีมือของคน และจะมีคนบางกลุ่มที่ขุดเรื่องแบบนี้มาเม้าท์
ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องน่าอายสักนิด
“พี่เลยอยากขอให้นัทช่วยสอนไง”เชฟใหญ่ว่า “อย่างน้อยถ้านัทมาสอนพี่ตัวต่อตัว ก็ไม่มีรู้ จริงมั้ย?”
“แปลว่าที่สร้างเรื่องแกล้งจีบผมซะใหญ่โต นั่นก็แค่ต้องการปิดเรื่องที่อยากเรียนทำขนม?”
ร่างโปร่งตอกกลับอย่างไม่พอใจ แต่ถึงแม้จะรู้สึกเจ็บจี๊ดๆในอก แต่อย่างน้อยเรื่องราวทั้งหมดก็ดูมีเหตุผลขึ้น
“เปล่า ที่จีบน่ะจีบจริง” รอยยิ้มขี้เล่นกลับมาบนใบหน้าคมอีกครั้ง “แต่ถ้านัทยังไม่อยากเปิดใจให้พี่ ตอนนี้ได้อยู่ใกล้ๆแค่นี้ก็ยังดี”
“แล้วผมจะได้อะไร”ณัฐภาสเลิกคิ้ว
“พี่จะสอนเมนูลับของพี่หนึ่งเมนูแลกกับขนมหนึ่งอย่าง ดีมั้ย?”
เชฟใหญ่ยิ้ม รู้ดีว่าไม่ว่าใครก็ไม่มีทางปฎิเสธข้อเสนอสุดล่อตาล่อใจนี้ ณัฐภาสถึงกับกลืนน้ำลายเอื้อก เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมถึงขนาดนี้เพียงเพื่อได้อยู่ใกล้กับเขา
ไอ้แก้มบ้า!อย่าแดงนะเฟ้ย!
“ถ้าคุณสอนให้ผม ก็ไม่เรียกเมนูลับน่ะสิ”
ร่างโปร่งเถียงเสียงดังกลบเกลื่อนความอาย นิสัยติดตัวที่ใหญ่เริ่มรู้สึกเอ็นดูขึ้นเรื่อยๆอย่างช่วยไม่ได้
“เรียกสิ”
ชายหนุ่มขยับเข้ามาหาคนที่นั่งอยู่ในระยะประชิด กระซิบด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ปื้นแดงบนแก้มของณัฐภาสลามไปถึงใบหูอย่างรวดเร็ว
“ก็เรียกว่าความลับของเราสองคนไง”
“เสี่ยว”
ณัฐภาสดันหน้าที่เข้ามาใกล้เกินความสบายใจออกห่าง แต่เขาต้องยอมรับว่าข้อเสนอนั้นน่าสนใจพอสมควร
“ว่าไงครับ?”
ร่างโปร่งถอนหายใจ รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าตนจะเสียใจกับการตัดสินใจนี้ในภายหลัง
“เฮ้ย! อะไรวะเนี่ย?”
วันนี้ทั้งณัฐภาสและมธุวันมีเรียนเช้า พวกเขาจึงรีบลงมาจากหอเพื่อป้องกันการจราจรที่มักจะติดขัดในยามเช้าและเย็นเสมอ ณัฐภาสกำลังจะกระโดดคร่อมมอเตอร์ไซค์คู่ใจเมื่อร่างโปร่งสังเกตเห็นว่าล้อของรถเขาถูกกรีดทั้งสองล้อจนแบนติดดิน
“คงเป็นพวกก่อกวนที่เขาพูดถึงกันแน่ๆ”
มธุวันว่า มองซ้ายขวาราวกับกลัวว่าตนจะโดนจู่โจม ณัฐภาสยีหัวตัวเองอย่างอารมณ์เสีย แล้วแบบนี้เขาจะทำยังไงล่ะเนี่ย?
“นัท เป็นอะไร รถเสียเหรอ?”
เสียงของคนที่มักจะโผล่มาให้ณัฐภาสรำคาญใจทุกเช้าดังขึ้น เชฟใหญ่ก้มลงสำรวจความเสียหายของล้อแล้วส่ายหน้า
“ปะไม่อยู่หรอกแบบนี้ ต้องเปลี่ยนล้อใหม่”
“ว้อย!!อะไรกันนักกันหนา! ขนาดนนี้ยังจับคนทำไม่ได้ ต้องให้กูจับเองเลยมั้ย”
ณัฐภาสโวยวายอย่างหงุดหงิด
“พี่รู้จักร้านแถวนี้ ร้านเพื่อนพี่เอง ราคาไม่แพง เดี๋ยวพี่ให้เขามายกไปให้” เชฟใหญ่เสนอด้วยความหวังดี “เดี๋ยวช่วงนี้พี่ไปส่งพวกเราก่อนละกัน”
“ไม่ต้อง ผมไปเองได้”ร่างโปร่งแย้งทันที
“น่่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว จะเปลืองเงินขึ้นวินทำไม”คนหวังดีหว่านล้อม
“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นณัฐไปกับเชฟใหญ่ก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวสาย เราเรียนเก้าโมงอ่ะ เดี๋ยวหาข้าวกินใต้หอก่อนค่อยออก”
มธุวันที่ไม่อยากจะเป็นก้างขวางคอเพื่อนกับคนที่ดูเจตนาออกอย่างชัดเจนว่าต้องการอะไรหาข้ออ้างแล้วรีบเดินกลับไปที่หอของตนโดยไม่ฟังคำเรียกของเพื่อน ณัฐภาสถอนหายใจ ก่อนจะหันกลับมาที่เชฟใหญ่ที่ยังคงยิ้มหน้าระรื่น ดวงตาสีน้ำตาล
หรี่ลงอย่างจับผิด
“นี่คุณคงไม่ได้จงใจกรีดยางเพื่อให้ผมไปกับคุณหรอกนะ”
“โห น้องนัทครับ พี่ไม่ได้จนตรอกขนาดนั้นซะหน่อย”
คนถูกกล่าวหารีบแก้ตัว ถึงแม้ณัฐภาสจะมีสีหน้าไม่ไว้ใจ แต่ก็ไม่ได้ซักอะไรต่อ
“จะไปส่งผมไม่ใช่เหรอครับ สตาร์ทรถสิ”
ร่างโปร่งก้าวไปยืนรอข้างๆรถชอปเปอร์คันใหญ่คู่ใจเชฟหนุ่มร่างสูง ใหญ่แอบประหลาดใจที่เห็นอีกฝ่ายยอมง่ายๆ แต่เมื่อเห็ฯแววตาของณัฐภาสขณะมองเจ้าเพื่อนยากของตนก็พอจะเข้าใจ
อยากขี่ก็ไม่บอก
“ณัฐชอบขี่เหรอครับ?”ร่างสูงถามยิ้มๆ
“ไม่รู้หรอกครับ ผมไม่เคยขี่”
ร่างโปร่งไหวไหล่ ทั้งที่ดวงตายังคงจ้องเจ้ารถมอเตอร์ไซค์คันโตไม่วางตา ไม่ได้เอะใจเลยว่าคำถามนั้นสองแง่สามง่ามเพียงไร
“พี่สอนให้ได้นะ...” ชายหนุ่มขยับเข้าใกล้เหยื่อที่ยังไม่รู้ตัว “...ถ้าเป็นนัทพี่ยอมให้ขี่จนเหนื่อยเลย”
“ไม่อ่ะ ผมขี้เกียจ”
ร่างโปร่งตอบง่ายๆ ตวัดขาขึ้นคร่อมด้านหลังของรถจักรยานยนต์คันใหญ่นั้นเมื่อเห็นว่าเจ้าของรถไม่ยอมขึ้นมาเสียที
“จะไปส่งไม่ใช่เหรอครับ? เร็วสิ”
“ครับๆ ไม่ให้สายแน่นอนครับ”
เชฟใหญ่ยิ้ม ไม่รู้จะสงสารตัวเองที่หลงมาชอบเด็กน้อยไร้เล่ห์เหลี่ยมตรงหน้านี่ดีหรือไม่
-------------