♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♥ Sweet Bakery เติมใจ ใส่รัก ♥ จบหลักสูตร -P.5- (25/06/17) *จบแล้ว  (อ่าน 38397 ครั้ง)

ออฟไลน์ Mickey199663

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
คิดได้สองอย่างคือพี่ทาร์ตรู้ว่าตัวเองชอบน้อง แต่ทำเป็นเนียนเต๊าะ กับอีกอย่างคือ อิพี่มันไม่รู้ใจตัวเอง คิดว่าสนิทแบบน้อง ถ้าเป็นอย่างหลังนี่สงสารปูนล่วงหน้าเลย ฮือออออออ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 4

Strawberry Fudge

: ครีมฟรอสติ้งรสสตรอเบอร์รี่/ไวท์ช็อกโกแลตชิป :





บนเตียงนอนขนาดหกฟุตมีร่างผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งพิงหัวเตียง อีกคนกำลังนอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ผมก้มลงมองคนที่อยู่ข้างๆ กันด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจการกระทำของพี่ทาร์ตตั้งแต่ได้เจอกันอีกครั้ง ถ้าพวกเราไม่ใช่พี่น้องไม่ใช่เพศเดียวกันคงคิดว่ากำลังโดนจีบอยู่แน่ๆ อยากจะถามออกไปตรงๆ แต่ก็หวั่นใจ ไม่รู้ต้องทำยังไงดี และดูท่าทางคนที่คิดมากจะเป็นไอ้ปวินทร์คนนี้คนเดียวเท่านั้น อีกฝ่ายเพิ่งอกหักมาคงไม่คิดจะสานสัมพันธ์เชิงนั้นหรอก

"ปวดหัวเว้ย"
ผมบ่นออกมาเสียงเบาแล้วยกมือขึ้นขยี้หัวจนยุ่งเหยิง เรื่องที่พี่ทาร์ตอัพรูปในไอจีก็ยังไม่ได้ถามเพราะเขาทิ้งตัวลงนอนและบอกราตรีสวัสดิ์กันทันทีที่ออกจากห้องน้ำ จะให้รั้งคนง่วงก็คงบาป แล้วมันเลยส่งผลให้นั่งตาค้างอยู่แบบนี้จนล่วงเลยเข้าช่วงเวลาตีสาม พรุ่งนี้มีหวังเบ้าตาเป็นหมีแพนด้าแน่ๆ ผมพยายามข่มตาหลับแต่สมองยังคิดฟุ้งซ่านจนต้องลากสังขารตัวเองไปล้างหน้าล้างตา

ภาพที่สะท้อนในกระจกเงาเบื้องหน้าคือผู้ชายหน้าตาธรรมดาทั่วไป ผิวขาวใส ตารีเล็กตามแบบฉบับคนที่มีเชื้อสายจีน เส้นผมสีน้ำตาลติดอ่อนตามธรรมชาติ รูปร่างสูงใหญ่กว่าชายไทยปกติอยู่เล็กน้อย ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษเลยแม้แต่นิดเดียว แตกต่างจากคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมใครๆ ก็หมายปองในตัวเขา และทำไมถึงกลายเป็นขวัญใจของคนจำนวนมาก

"พี่กำลังทำให้ผมสับสนว่ะ"
ผมพึมพำออกมาก่อนจะหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดหน้าลวกๆ แล้วแขวนไว้ยังตำแหน่งเดิม พี่ทาร์ตกำลังทำให้ผมเริ่มหัวหมุนกับการกระทำทีเล่นทีจริงของเขา ปากที่พร่ำบอกว่าชอบแกล้งนั้นมันสามารถเชื่อได้มากแค่ไหนกันนะ ที่ทำมาทั้งหมดนั้นแค่อยากลืมๆ อีกคนไปหรือจะมีเหตุผลอื่นมากกว่านั้น...

ขายาวๆ ก้าวออกจากห้องน้ำเพื่อจะเดินเลยไปที่โต๊ะทำงานแต่สายตากลับสะดุดเข้ากับร่างพี่ทาร์ตที่นอนอยู่บนเตียง เขาขดตัวเหมือนกุ้งเพราะผ้าห่มร่นลงไปอยู่ที่ปลายเท้า เดือดร้อนคนที่ยังตื่นอยู่ต้องเข้าไปปรนนิบัติ

ผมเดินเข้าไปใกล้แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวของพี่ทาร์ตด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เวลาที่เขาหลับจะเป็นแค่เพียงชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้เจ้าชู้ไก่กาจนน่าหมั่นไส้ ไม่ได้แกล้งกันด้วยคำพูดเชิงจีบและไม่ได้ทำให้หวั่นไหว...

ยอมรับอย่างลูกผู้ชายเลยว่าใจสั่นทุกครั้งที่โดนเต๊าะ เพราะผมกับเขาไม่ได้สนิทกันเหมือนเมื่อครั้งเป็นเด็กก็เลยมีช่องว่างและความรู้สึกแปลกๆ ที่อีกคนมาทำดีใส่กัน ไม่ใช่ว่าชอบผู้ชาย แต่ใครเจอแบบนี้บ่อยๆ ก็ต้องคิดบ้างล่ะ ถึงจะโดนพูดกรอกหูทุกครั้งว่าแค่แกล้งเล่นๆ ก็เถอะ ผมไม่ได้แข็งแกร่งเรื่องความรักมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ถ้าวันหนึ่งเกิดเผลอใจขึ้นมาคงเจ็บอยู่ฝ่ายเดียวสินะ...

"ฟุ้งซ่านฉิบหาย"
ผมสะบัดหน้าไล่ความคิดสับสนของตัวเองทิ้งแล้วเปลี่ยนเป้าหมายจากโต๊ะทำงานเป็นระเบียงห้องแทน ขายาวๆ ก้าวไปเปิดประตูกระจกออกเพียงแค่เล็กน้อยก่อนจะสอดตัวออกไปแล้วปิดมันลงเหมือนเดิม คืนนี้ไม่มีดาวบนผืนฟ้าสีดำสนิท ไม่มีแม้แต่สายลมพัด ทุกอย่างเงียบสงบต่างจากจิตใจที่แสนว้าวุ้นโดยสิ้นเชิง

ดวงตารีมองดวงไฟที่ให้ความสว่างอยู่ตรงถนนหน้าบ้านอย่างเลื่อนลอย ปล่อยความคิดมากมายให้เลื่อนหายไปช้าๆ ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งอยากรู้ยิ่งเหนื่อย เอาเป็นว่ากลับไปนอนทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วกัน

แสงแดดยามเช้าปลุกคนที่เพิ่งได้นอนเมื่อตอนตีสี่ขึ้นมาด้วยความงัวเงีย ก่อนที่เปลือกตาจะเปิดออกกลับรับรู้ได้ถึงความอึดอัดเหมือนมีอะไรกดทับที่ขาทั้งสองข้าง หนักจนเหน็บชากิน... ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นตัวปัญหาคนเดิมนั่นล่ะ นี่ขนาดเอาหมอนข้างมากั้นตรงกลางแล้วนะ

ผมลืมตาขึ้นมาแล้วกระพริบถี่ๆ เพื่อปรับโฟกัสให้ชัดเจนขึ้นก่อนจะใช้แขนดันตัวเพื่อมองผลงานของพี่ทาร์ต เขานอนหงายแต่กางขามาทับกันไว้ ท่าทางโคตรน่าเกลียด จะบอกว่าเป็นปลาดาวบนบกตัวยักษ์ก็คงใช่ ดีหน่อยที่มือของเขาพาดไว้บนศีรษะแทน ไม่อย่างนั้นเป้าหมายคงเป็นใบหน้าของผมแทน ถ้าจะถามถึงหมอนข้างล่ะก็... โน่น ที่พื้นข้างเตียงฝั่งเขาเลย ไม่ค่อยแน่ใจว่าละเมอหรือตั้งใจทำแบบนี้กันแน่

ปากบอกว่าติดหมอนข้าง แต่ไม่เคยกอดมันสักคืน เป็นผมแทนตลอด... เพลีย

"พี่ทาร์ต"
ผมสะกิดคนข้างๆ พร้อมกับเรื่องชื่อเขาด้วยเสียงที่ดังพอจะปลุกคนๆ หนึ่งได้ แต่เขากลับนิ่งเงียบไม่ยอมขยับไปไหน ปกติก็ไม่ใช่คนขี้เซานะแถมเมื่อคืนยังนอนไวอีก

"เฮ้ยพี่ ผมเมื่อยขา"
ผมลองเปลี่ยนน้ำเสียงดูอีกคนก็ขยับตัวเข้ามากอดกันซะอย่างนั้นแถมยังรัดแน่นจนขยับไปไหนไม่ได้ ใบหน้าหล่อเหลาซุกอยู่ตรงซอกคอทำให้ลมหายใจอุ่นๆ รดอยู่ตรงนั้น ขนลุกฉิบหาย

"อีกสิบนาทีน่า จะรีบตื่นไปไหน"
น้ำเสียงงัวเงียดังขึ้นทำให้รู้ว่าอีกคนไม่ได้ละเมอแต่ตั้งใจพลิกตัวมากอดกัน ผมขมวดคิ้วแน่นก่อนจะขยับตัวยุกยิกเพราะสถาณการณ์ตอนนี้ช่างล่อแหลม ไม่น่าไว้ใจเอามากๆ หัวใจก็พาลเต้นแรงไปด้วย

"ขาผมชาไปหมดแล้วพี่ ปล่อยเหอะน่า ขนลุกด้วย"
ผมบอกด้วยเสียงดุๆ แล้วมุ่ยหน้าลงทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกคนคงไม่เห็น พี่ทาร์ตหัวเราะออกมาน้อยๆ แล้วยอมปล่อยกันให้เป็นอิสระ แต่ยังไม่วายส่งสายตากรุ้มกริ่มมามอง วันไหนไม่ได้แกล้งคนอื่นจะลงแดงตายหรือไงวะ

"มองอะไรอีก"
ผมถามก่อนจะถลึงตาใส่เขาแล้วดันตัวลุกขึ้นนั่ง มือเรียวขยับไปนวดขาเผื่อว่าจะคลายเหน็บชาที่เป็นลงบ้าง คันๆ หนักๆ จนน่ารำคาญแถมยังไม่สามารถก้าวไปไหนได้อีกด้วย

"มองน้องปูนไงครับ"
พี่ทาร์ตเปลี่ยนท่าทางเป็นเอาแขนท้าวแก้มตัวเองแล้วหันมามองทางผม ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

"มองทำไมพี่"
ผมถามกลับไปแล้วขยับตัวลงจากเตียงเพื่อเตรียมตัวจะไปอาบน้ำทั้งๆ ที่เหน็บชายังไม่หายดี จอหนีก่อนจะโดนเต๊าะแล้วกัน ไม่อยากคิดอะไรฟุ้งซ่านตั้งแต่เช้า เพราะวันนี้ผมต้องพาเขาไปร้านขนมของป้าอุ่นที่เปิดเอาไว้เพราะความชอบส่วนตัว

"อยากมอง ไม่ได้เหรอ"
พี่ทาร์ตพูดเสียงทะเล้นแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง ขยับตัวเข้ามาใกล้ขอบเตียงจนผมต้องถอยห่างออกไปหนึ่งก้าว ตอนแรกก็ว่าจะทำใจปลงๆ กับพฤติกรรมชอบแกล้งชอบเต๊าะ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้ว่ะ

"กวนตีนว่ะ ผมไปอาบน้ำดีกว่า"
ผมเดินหนีออกมาหลังจากพูดจบแล้วตรงไปที่ตู้เสื้อผ้า ในขณะที่รื้อหาชุดอยู่นั่นเองพี่ทาร์ตก็ตะโกนมาถามกันด้วยประโยคที่ชวนเสียวสันหลัง

"ให้พี่ไปช่วยอาบปะ"
เหี้ย! อุทานได้แค่ไหนใจก่อนจะหันไปแยกเขี้ยวแล้วพูดเสียงรอดไรฟัน ไม่เคยต้องหน้าร้อนวูบวาบแบบนี้ ไม่เคยต้องใจสั่นขนาดนี้ เพราะไอ้พี่ทาร์ตคนเดียวเลยที่ทำให้ความรู้สึกสั่นคลอนขนาดนี้ ยังไม่อยากเดินทางสายสีม่วงนะ... จะมีแฟนคนแรกทั้งทีขอผู้หญิงเถอะ

"ผมไม่ได้เป็นง่อย อาบเองได้ รอไปอาบน้ำให้แฟนใหม่พี่เถอะ!"
พูดออกไปแล้วรีบเดินลิ่วเข้าห้องน้ำทันที ได้ยินเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไล่ตามหลังมาก็รู้สึกอยากจะบีบคอพี่ทาร์ตให้ตายๆ ไปซะ ตอนนี้แยกแยะไม่ออกแล้วว่าอันไหนทีเล่นทีจริง ปวดหัวเว้ย

เสื้อผ้าถูกปลดออกอย่างไม่รีบร้อน สายน้ำอุ่นๆ จากฝักบัวค่อยๆ ชโลมไปทั่วผิวขาวเนียน ฟองสบู่นุ่มนิ่มค่อยๆ คืบคลานไปตามร่างกายด้วยมือเรียวสวย การอาบน้ำสำหรับผมแล้วมันช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดและความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี

ผมออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพที่มีผ้าขนหนูผืนเดียวปกปิดบังร่างกายส่วนล่าง ด้วยความที่เป็นผู้ชายด้วยกันเลยไม่ได้คิดว่าต้องอายอะไร แต่ผิดคาดตรงที่คนบนเตียงหันมาจ้องกันด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก รู้สึกขัดเขินแปลกๆ ทำตัวไม่ถูกจนต้องรีบก้าวยาวๆ ไปหยิบเสื้อมาใส่ อุณหภูมิในห้องร้อนขึ้นหรือเปล่านะ

"หุ่นก็ดีอยู่นะน้องปูน ออกกำลังกายสักหน่อยคงมีซิกแพค"
พี่ทาร์ตพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ ขณะที่ผมพยายามใส่กางเกงชั้นในอยู่มุมห้อง ดวงตาคมยังจดจ้องมาทางนี้อย่างไม่ลดละ จะมองอะไรนักหนาวะ คนเขาจะแต่งตัวเนี่ย จากที่ไม่คิดจะอายตอนนี้เริ่มกระสับกระส่ายแล้ว

"เออๆ รู้แล้วน่า พี่จะจ้องผมอีกนานแค่ไหนเนี่ย มันอึดอัดเว้ย"
ผมโวยเสียงไม่ดังนักเพราะกลัวว่าแม่จะได้ยินเข้าและโผล่มาทักทายเราตอนนี้ พี่ทาร์ตไหวไหล่ไม่แคร์อะไรมากนักก่อนจะลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจและอ้าปากหาวตบท้าย ผมรีบคว้ากางเกงขาสั้นเลยเข่าขึ้นเล็กน้อยมาใส่ลวกๆ แล้วดึงผ้าขนหนูออก โดยที่สายตายังโฟกัสที่เขา

"น้องปูนอยากตัวขาวล่อตาล่อใจพี่ทำไมวะ ดูๆ ไปผิวคงเนียนกว่าสาวๆ อีกมั้ง ไหนๆ ขอลูบหน่อยได้ปะ"
พี่ทาร์ตพุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วจนผมเผลอถอยไปด้านหลังและสะดุดเข้ากับผ้าขนหนูที่กองทิ้งไว้ของตัวเอง เกือบจะล้มลงไปกับพื้นแต่อีกคนคว้าแขนกันไว้ได้ทันแล้วดึงตัวเข้าไปกอดไว้แน่น ผมทั้งตกใจทั้งตื่นเต้น ตอนนี้สมองแทบหยุดสั่งการ ควรทำยังไงต่อดี ไปต่อไม่ถูกเลย

"เฮ้ย ระวังหน่อยสิครับน้องปูน เกิดล้มไปจริงๆ พี่จะทำไงว่ะ"
เขาว่ากันเสียงดุแล้วผละตัวออกไปเพื่อสำรวจร่างกายของผมว่ายังอยู่ครบทุกชิ้นส่วนดีหรือเปล่า ดวงตาคมกวาดไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังทำให้ใครอีกคนใจเต้นแรงจนรู้สึกปวดหนึบในอกไปหมด ช็อกจนพูดอะไรไม่ออก แม้แต่ส่งเสียงร้องยังทำไม่ได้ บ้าเอ้ย

"ก ก็ปล่อยให้ผมล้มดิ"
ผมเบนสายตาหนีเพราะไม่สามารถมองพี่ชายตรงหน้าได้อีก จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องคิดมากอะไรเลย แค่เขาช่วยไม่ให้ล้มไม่ได้ตั้งใจเข้ามากอดสักหน่อย อาการของคนหวั่นไหวนี่น่ากลัวเนอะ อะไรนิดอะไรหน่อยคิดมากตลอด

"อะไรวะ คือจะให้พี่ยืนดูน้องล้มไปเฉยๆ ทั้งๆ ที่พี่ช่วยได้เนี่ยนะ"
พี่ทาร์ตย่นคิ้วมองกันอย่างไม่เข้าใจหลังพูดประโยคนั้น ผมเดินหนีออกมาแล้วทำไปยุ่งกับการเช็คโทรศัพท์มือถือของตัวเองว่ามีใครติดต่ออะไรหรือเปล่าทั้งๆ ที่หน้าจอว่างเปล่าไร้การแจ้งเตือนใดๆ มีวิธีไหนช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจลงได้บ้างวะ รู้สึกเหมือนจะตายอยู่แล้ว

"เพราะพี่พูดอะไรบ้าๆ ออกมาไม่ใช่เหรอไงวะที่ทำให้ผมต้องเป็นแบบนั้น"
ผมบ่นเสียงงุ้งงิ้งทั้งๆ ที่ตายังมองหน้าจอโทรศัพท์อยู่เหมือนเดิม มือสไลด์เครื่องสี่เหลี่ยมไม่หยุดหย่อนเลยไม่รู้ว่าอีกคนเดินเข้ามาใกล้กัน ใกล้จนสัมผัสอุณหภูมิจากร่างกายพี่ทาร์ตได้

"พี่พูดจริงๆ ครั้งนี้ไม่ได้แกล้ง"
พี่ทาร์ตก้มลงมากระซิบข้างหูแล้วผละตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ผมยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น กว่าจะได้สติกลับคืนมาก็ตอนที่ได้ยินเสียงประตูห้องน้ำปิดลง หัวใจเต้นแรงจนก้องไปทั้งโสตประสาทการได้ยินจนต้องยกมือข้างที่ว่างขึ้นกุมหน้าอก กลัวเหลือเกินว่าก้อนเนื้อในนั้นจะกระเด็นออกมาข้างนอก

ผมไม่เข้าใจความหมายของเขาหรอกว่าการที่ไม่ได้ล้อเล่นนั้นคืออะไร อยากสัมผัสเพื่ออะไร มีความหมายอื่นแอบแฝงหรือไม่ แต่คนที่จิตใจไม่มั่นคงแอบหวั่นไหวกับพี่ชายข้างบ้านนั้นทำใจได้ยากเหลือเกินที่จะปล่อยวางและมองว่าสิ่งที่เขาทำเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่เคยชิน ไม่คุ้นเคยเลยทำให้เรื่องกลายเป็นแบบนี้

พี่ทาร์ตเพิ่งเลิกกับแฟน เขาชอบผู้หญิงและเจ้าชู้ ผมกับเขามีสถานะระหว่างกันแค่พี่น้อง หัวใจควรจะแข็งแกร่งใช่ไหม ควรหยุดหวั่นไหวใช่หรือเปล่า...

ผมลงมาด้านล่างเพื่อเจอกับแม่บ้านที่จะมาทำงานวันเว้นวันอย่างน้านวล เธอส่งยิ้มมาให้กันและรีบออกปากทักทายเหมือนปกติ

"น้องปูน สวัสดีค่ะ"
น้านวลทักทายด้วยเสียงสดใสและรีบวางมือจากการถูกพื้นทันที ผมคลี่ยิ้มกลับไปแล้วพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร ไม่ได้หยิ่งนะ แต่ตอนนี้สมองมันเต็มไปด้วยเรื่องของพี่ทาร์ตว่ะ

"จะรับอาหารเช้าเลยไหม น้าจะได้อุ่นให้ วันนี้มีต้มหมี่ซั่วน้ำหมูสับค่ะ"

"อ่า... ได้ครับ เตรียมของพี่ทาร์ตด้วยก็ได้ครับ อีกสักพักคงลงมา"
ผมบอกก่อนจะเดินผ่านน้านวลไปในส่วนของครัวเพื่อนั่งรออาหารเช้า พยายามอย่างที่สุดเพื่อจะไม่สนใจการกระทำของพี่ทาร์ตที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมา ท่องจำไว้ว่าก็แค่คนอกหักที่ทำทุกอย่างเพื่อจะลืมแฟนเก่า ไม่ได้พิศวาสผู้ชายหน้าตาธรรมดาตัวโตๆ อย่างผม ฮึบ!

ทำตัวเป็นน้องชายที่น่ารักต่อไปแล้วลืมเรื่องความหวั่นไหวที่เกิดขึ้นซะ ไม่อย่างนั้นจะทำให้พี่ทาร์ตหนักใจ ก็ได้แค่บอกตัวเองไปอย่างนั้น ทำได้ไม่ได้ก็อีกเรื่อง

ผมเปิดแอพพลิเคชั่นสีเขียวมะนาวที่มีแจ้งเตือนข้อความเข้าของไอ้กู๊ดค้างอยู่เมื่อสิบนาทีก่อน นิ้วเรียวจิ้มบนหน้าจอเพื่ออ่านสิ่งที่มันส่งมา

คุณชายแสนดี : ปูน วันนี้มึงว่างปะวะ
ปูน : ไม่ว่างว่ะ วันนี้ต้องพาพี่ทาร์ตไปร้านขนมของป้าอุ่น มึงมีอะไร?
คุณชายแสนดี : ห๊ะ พี่ทาร์ตที่อยู่ข้างบ้านมึงอะนะ กลับมาแล้วเหรอ!!

ผมถึงกับหลุดขำเมื่ออ่านข้อความของมันจบ กู๊กก็รู้จักพี่ทาร์ตเหมือนกันและยังแอบเป็นแฟนคลับลับๆ ด้วย มายไอดอลอะไรประมาณนั้นล่ะ ตั้งแต่สมัยเด็กๆ ยันโต ไม่รู้จะปลื้มอะไรนักหนา

ปูน : เออดิ กลับมาเกือบอาทิตย์แล้ว อยากเจอไหมล่ะ
คุณชายแสนดี : อยาก! งั้นกูไปหาที่ร้านขนมนะ มึงจะไปกี่โมง โอยๆ กูตื่นเต้น!!
ปูน : เดี๋ยวๆ ไอ้กู๊ด ถ้ากูไม่ใช่เพื่อนมึงเนี่ย คงคิดว่ามึงชอบพี่ทาร์ต อะไรจะดีใจขนาดนั้น!
คุณชายแสนดี : ชอบดิชอบ ชอบมาก!! โอ้ย อยากกอดสักที โคตรคิดถึงเลย
ปูน : ไม่ๆ กูหมายถึงชอบแบบ... เชิงชู้สาวไรเงี้ย
คุณชายแสนดี : พ่อง กูปลื้มเฉยๆ เว้ย ชอบแบบนั้นเก็บไว้ให้มึงเถอะ!!

ผมสะดุดกึกกับข้อความที่ไอ้กู๊ดส่งกลับมา อะไรที่ทำให้เพื่อนสนิทคิดแบบนั้น หรือมันแค่ล้อเล่นใส่ แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อคนที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้ก็ทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามแถมยังโน้มตัวมาใกล้ๆ จนได้กลิ่นแชมพูอ่อนๆ

"เฮ้ย! ขยับมาใกล้ทำไมพี่"
ผมผงะถอยหลังแล้วรีบเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อเชิ้ตทันที หน้าตาตื่นๆ คงทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตลกเลยหัวเราะออกมาเบาๆ น้านวลยกต้มหมี่ซั่วน้ำมาให้เราและออกไปจัดการงานบ้านต่อ

"เห็นปูนทำหน้าตกใจพี่เลยอยากรู้ว่าทำอะไรอยู่ก็แค่นั้นเอง"
เขาหยิบช้อนขึ้นมาคนๆ อาหารตรงหน้าก่อนจะตักขึ้นมาเป่า ผมเหล่สายตามองอย่างไม่ไว้ใจแต่ก็ยอมพยักหน้ารับคำพูดนั้นไปแบบลวกๆ ใจหายใจคว่ำหมด

"อือๆ กินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวจะไปที่ร้านสาย น้าซันเปิดร้านตอนสิบโมง"
ผมพูดจบก็ก้มหน้าก้มตากินโดยลืมว่าต้มหมี่ซั่วยังร้อนอยู่ จนเดือดร้อนพี่ทาร์ตต้องรีบไปหาน้ำเย็นมาให้ดื่ม ก่อนที่จะถูกดุอะไรต่างๆ นานาด้วยความเป็นห่วงของเขาล้วนๆ นั่งฟังจนอิ่มและหูชาก็ได้เวลาออกจากบ้าน

บรรยากาศภายในรถดูจะอึมครึมเล็กน้อยเพราะไม่มีใครยอมพูดอะไรออกมา ไม่รู้ว่าเรื่องมันผิดพลาดตรงไหนเลยทำให้สถานการณ์ตอนนี้ไม่ราบรื่น แต่ผมไม่มีสมาธิในการขับรถเอามากๆ เมื่อทุกครั้งที่เหลือบสายตาไปมองคนข้างๆ จะโดนพี่ทาร์ตจ้องกลับมาอยู่ก่อนแล้ว และเป็นแบบนี้อยู่นานจนไม่สามารถทนไม่ไหวอีกต่อไป

"มีอะไรหรือเปล่าครับ"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงปกติโดยทำเป็นไม่สนใจสายตาที่มองจ้องมาตลอดเวลาตั้งแต่ออกจากบ้าน

"เอ้อ... เรื่องที่พี่พูดเมื่อเช้าน่ะ ปูนคิดมากหรือเปล่า"
เขาเข้าประเด็นอย่างรวดเร็วตามแบบฉบับของคนตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงติดจะกังวลเล็กน้อย ผมเผลอกลั้นหายใจไปหนึ่งจังหวะเพราะคำพูดนั้นยังคงติดตรึงในความทรงจำอย่างชัดเจน ก็เพิ่งผ่านมาแค่ชั่วโมงเดียวล่ะมั้ง

"ก็... เปล่าครับ"
ผมโกหก เป็นการโกหกคำโตที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ว่าได้ ไม่กล้าบอกความจริงเพราะกลัวอีกคนจะเปลี่ยนไป... จริงๆ ถ้าเขาเปลี่ยนพฤติกรรมการพูดก็ดีไม่ใช่เหรอวะ แต่ช่างแม่งเถอะ ตอบแบบนั้นไปแล้วคงแก้ไขอะไรไม่ทัน

"เฮ้อ โล่งอกว่ะ นึกว่าจะโดนโกรธซะอีก พี่ไม่ได้จริงจังอะไรนะเว้ย ปูนไม่ต้องคิดมาก แค่เห็นผิวขาวๆ เลยอยากจับดูว่าจะเป็นอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า อย่างไอ้ฟ่อนเนี่ยก็ตัวนุ่มๆ เหมือนกัน"
เขาพูดออกมาอย่างโล่งอกแล้วกันมาคลี่ยิ้มให้กันในขณะที่รถกำลังติดไฟแดง ผมพยักหน้ารับด้วยหัวสมองที่เบลอๆ สรุปว่าก็แค่ความอยากรู้แบบเด็กๆ เท่านั้นน่ะเหรอ แล้วไอ้ที่ผมหวั่นไหว คิดมากคือเพ้อเจ้อคนเดียวใช่ไหม เกลียดตัวเองว่ะ จำใส่สมองดิว่านั่นพี่ชายแล้วนี่ก็น้องชาย มันจะไปเกินเลยได้ยังไง ฟุ้งซ่านตลอดเวลา น่าจะหาสาวสักคนไว้คุยได้แล้วมั้ง

"ไม่คิดมากหรอกน่า เอ้อ พี่ทาร์ตจำไอ้กู๊ดได้ปะ เพื่อนผมสมัยเด็กๆ อะ มันอยากเจอพี่เลยจะไปหาที่ร้านขนม"
ผมย้ำให้เขาสบายใจแล้วพูดเรื่องที่เพิ่งคิดได้ต่อท้ายไป พี่ทาร์ตทำหน้ามึนเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นลูบท้ายทอยไปมา สงสัยกำลังค้นสมองหาคนชื่อกู๊ดอยู่แน่ๆ ไม่แปลกหรอกที่เขาจะจำไม่ได้ ตอนเด็กๆ วันๆ เอาแต่สนใจผม... เหอะๆ

"กู๊ด... ไอ้เด็กผู้ชายผิวคล้ำๆ ที่มันชอบมาดึงแก้มปูนใช่ไหม"
พี่ทาร์ตพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แปลกไปเล็กน้อย จะว่าดุก็ไม่ใช่ไม่พอใจก็ไม่เชิง มันแบบ... อธิบายไม่ถูกว่ะ

"ใช่ๆ มันนั่นล่ะ ตอนนี้ก็ยังเรียนด้วยกันนะพี่"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงสดใสเพราะรู้สึกผิดคาดเล็กน้อยที่เขาสามารถจำไอ้กู๊ดได้ ตอนเด็กๆ ไอ้นี่จะชอบมาดึงแก้มกันทุกวันและจะโดนพี่ทาร์ตไล่เตะ แล้วคนขี้หวงน้องชายอย่างเขาจะตะโกนลั่นสนามเด็กเล่นว่า 'อย่ามายุ่งกับน้องปูนของกูนะ' คิดถึงก็ยังขำมาจนทุกวันนี้ กับไอ้ฟ่อนนี่ใครจะรังแกมันได้หมด ไม่มีปกป้องหรอก แปลกใจนะ แต่หาคำตอบไม่ได้

"อืม... สนิทกันเหรอตอนนี้"
เสียงนิ่งเกินไปแล้ว อย่าบอกนะว่ายังติดใจเรื่องไอ้กู๊ดในสมัยเด็ก... แค้นฝังหุ่นเหรอพี่!

"โคตรซี้เลยพี่"
ตอบกลับไปแบบไม่ได้คิดอะไร หลังจากนั้นเลยได้ความเงียบสนิทมาอยู่เป็นเพื่อนจนถึงย่านเมืองเก่าซึ่งเป็นที่ตั้งร้านขนมของป้าอุ่น โดยมีน้าซันซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องสาวเป็นผู้จัดการร้าน

"พี่ทาร์ตถึง..."
ผมยังพูดไม่ทันจบอีกฝ่ายก็เปิดประตูรถเดินดุ่มๆ เข้าไปในร้านแล้ว ปล่อยให้สารถีจำเป็นได้แต่นั่งมึนงงเป็นไก่ตาแตก นี่กำลังโดนโกรธเหรอ เผลอทำอะไรผิดไปวะ เฮ้ย งงในงง

ผมรีบดับเครื่องรถแล้วพุ่งเข้าไปในร้านแทบจะทันทีแต่ต้องสะดุดกึกจนแทบหงายหลังเมื่อใครคนหนึ่งคว้าแขนกันจนเซ กะว่าจะหันไปด่าให้ลืมบ้านเลขที่แต่ต้องบึนปากใส่เพราะตัวการคือเพื่อนสนิทที่นัดไว้ก่อนหน้านี้ ทำไมมันโผล่หัวมาโคตรเช้าล่ะเนี่ย จำได้ว่ายังไม่ได้บอกเวลาที่จะมาร้านกับมันเลยสักนิด

"ปูน!! ไหนพี่ทาร์ตวะมึง"
มันถามอย่างรวดเร็วแล้วหันซ้ายหันขวาหาบุคคลที่ตัดผมทรงอันเดอร์คัต ผมถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย เพราะแทนที่มันจะถามถึงสารทุกข์สุกดิบของเพื่อนบ้าง ไม่มีซะล่ะ ตาสอดส่องหาไอดอลตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายซะอย่างนั้น

"สนใจกูก่อนได้ไหม กูเพื่อนมึงนะ"
ผมสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของมันแล้วทำหน้าเบื่อๆ ใส่ ดูจากท่าทางและบุคลิกของไอ้กู๊ดแล้วไม่น่าจะเป็นคนฮอตได้ แต่ผิดถนัด เพราะความจริงแล้วมันเป็นเดือนคณะ ตอนประกวดแอบไปเล่นของใส่กรรมการหรือเปล่ายังไม่รู้เลย เพราะผมคิดว่าแฟนของไอ้ไนน์ดูดีกว่าเยอะ

"เบื่อมึงแล้วไง เห็นหน้ามาเป็นสิบๆ ปีแล้ว"
มันหันมาเบ้ปากใส่กันให้ผมต้องยกมือขึ้นผลักหัวด้วยความหมั่นไส้ ใช่ว่าไอ้กู๊ดเบื่อเป็นคนเดียวซะที่ไหนกันล่ะ เหอะ

"พูดงี้ก็กลับไปเลย ไม่ต้องเจอพี่ทาร์ตแล้ว"
ผมพูดอย่างกับมีสิทธิ์ไปห้ามใครเขาได้อย่างนั้นล่ะ มองผ่านกระจกใสของร้านเข้าไปก็จะเจอพี่ทาร์ตยืนคุยกับน้าซีนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง หรือว่าเขาจะเป็นไบโพล่าวะ เพิ่งทำหน้าตึงใส่กันไปหยกๆ ไม่ใช่เหรอ...

"ทำตัวอย่างกับเป็นแฟนพี่เขา ~"
ไอ้กู๊ดขยับมากระแซะไหล่กันแล้วส่งยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้ ผมแทบจะถีบมันกระเด็นถ้าไม่ติดว่าพี่ทาร์ตหันมาเจอเราสองคนแล้วหุบยิ้มแล้วเบนสายตาไปทางอื่นทันที ความไม่เข้าใจผุดขึ้นมาในสมองเหมือนดอกเห็ดยามฝนตก อยากเข้าไปเคลียร์ให้รู้เรื่องว่าโกรธอะไร แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี

"มึงเลิกแซวเรื่องนี้สักที พูดตั้งแต่เด็กจนโตไม่เบื่อบ้างหรือไงวะ"
ผมว่าเสียงดุๆ ก่อนจะก้าวต่อเพื่อเข้าไปในร้าน ตอนนี้อารมณ์ไม่ค่อยมั่นคงมากนักเพราะความคิดว้าวุ่นและสับสนในตัวพี่ทาร์ต ไหนยังจะโดนไอ้เพื่อนตัวดีตอแยไม่เลิกอีก

"ไม่เบื่อเว้ย กูเชื่อว่าสักวันมึงกับพี่ทาร์ตต้องรักกัน กูเห็นเค้ารางมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว"
มันยังไม่หยุดปากเปราะจนผมต้องหันไปถลึงตาใส่แล้วตบกบาลมันแรงๆ ไม่รู้ไอ้กู๊ดเอาสมองส่วนไหนคิดว่าพวกเราต้องรักกัน เป็นการเชื่อฝังใจของนายแสนดีมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าพี่ทาร์ตหวงเด็กชายปูนเพราะแอบชอบ... บ้าบอ ตอนนั้นผมเพิ่งอยู่ประถมปะวะ แถมยังเป็นเด็กผู้ชายด้วย โคตรเพ้อเจ้อ

"เพ้อเจ้อ หุบปากของมึงซะกู๊ด ถ้าไม่อยากโดนพี่ทาร์ตเตะออกจากร้าน"
ผมบอกมันด้วยน้ำเสียงดุๆ ก่อนจะผลักประตูกระจกเข้าไปเผชิญหน้ากับพี่ทาร์ตที่ยืนหน้าตึงอยู่ก่อนแล้ว น้าซันจะปลีกตัวไปเตรียมขนมได้ถูกเวลาเกินไปหรือเปล่าวะ รังสีอำมหิตแผ่กระจายจนจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว แต่ไอ้กู๊ดเนี่ยกลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเพราะเอาแต่ยิ้มเหมือนคนเสียสติ กูล่ะอยากถ่ายรูปมึงตอนนี้ไปประจานที่มหา'ลัยฉิบหาย

"พี่ทาร์ต... เป็นอะไรหรือเปล่า ลงจากรถไม่รอผมเลย"
เป็นประโยคแรกที่ตั้งใจจะถามเลยไม่รอให้เสียเวลา พี่ทาร์ตมองผมสลับกับไอ้กู๊ดแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

"เปล่า แล้วนี่ใคร"
เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและแข็งกว่าปกติจนผมเริ่มกลัว สาเหตุอาจจะมาจากไอ้เพื่อนตัวดีข้างๆ นี่ก็ได้ แต่... ไอ้กู๊ดยังไม่ได้ทำอะไรผิดหรือเปล่าวะ

"ผมชื่อกู๊ดครับ เป็นเพื่อนไอ้ปูน พี่จำผมได้หรือเปล่าอะ ตอนเด็กๆ เคยเจอกันอยู่บ่อยๆ"
ผมอ้าปากไม่ทันไอ้กู๊ดจริงๆ มันเลยแนะนำตัวเองและชวนพี่ทาร์ตคุยไปในตัว บรรยากาศยิ่งอึมครึมมากกว่าเดิมจนไม่สามารถที่จะทำตัวปกติได้ มือไม้เริ่มชื่นเหงื่อ ต้องทำยังไงดี...

พี่ทาร์ตไม่ได้ตอบในทันทีและเอาแต่มองสำรวจไอ้กู๊ดตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาแบบนั้นอาจจะดูน่าเกลียดแต่คนข้างๆ ผมไม่ถืออะไร แถมยังฉีกยิ้มเป็นมิตรให้คนที่กำลังจะกลายเป็นเสืออยู่แล้ว ไม่เข้าใจทำไมต้องทำหน้าตาถมึงทึงใส่ด้วยวะ

"อืม จำได้สิ สบายดีเหรอ"
บทสนทนาที่หลุดออกมาจากปากพี่ทาร์ตช่างไม่เป็นธรรมชาติเพราะน้ำเสียงที่นิ่งเย็นนั่น ปกติแล้วเขาจะอัธยาศัยดีและใช้โทนเสียงร่าเริงคุยกับทุกคนมากกว่า ตายแน่ๆ ไอ้กู๊ด

"สบายดีมากๆ เลยครับพี่ทาร์ต ได้ไอ้ปูนเป็นเพื่อนสนิทด้วยยิ่งดีเข้าไปใหญ่"
ไอ้กู๊ดพล่ามไม่หยุดจนผมต้องกระทุ้งศอกใส่ แต่ดูเหมือนมันไม่เข้าใจสถานการณ์เลยยังใช้น้ำเสียงเจื้อยแจ้วคุยต่อไปอย่างออกรส และพอดีกับที่น้าซันเรียกผมให้เข้าไปช่วยจัดขนมใส่ตู้กระจกเลยต้องปล่อยสองคนนั้นอยู่ด้วยกัน หวังว่าคงไม่ตีกันตายนะ

"ทาร์ตสร้างเรื่องวุ่นวายให้ปูนบ้างหรือเปล่าจ๊ะ"
น้าซันถามขึ้นในขณะที่ผมรับขนมมาจากมือเธอแล้วเรียงใส่ในตู้กระจกตามป้ายชื่อที่ติดเอาไว้

"อ่า... เปล่าครับน้า"
ผมโกหกครั้งที่สองของวันแล้ว จริงๆ ที่ทาร์ตสร้างเรื่องวุ่นวายไว้หนึ่งเรื่องโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวล่ะ... ทำให้คนอื่นหวั่นไหว แต่บอกใครไม่ได้หรอกเพราะมันเป็นความลับ

"จ้า... เอ้อปูน เมื่อกี้ทาร์ตถามน้าใหญ่เลยว่าไอ้เด็กคนผิวคล้ำๆ นั่นเป็นใคร"

"หา... น้าซันหมายถึงไอ้กู๊ดน่ะเหรอ"
ผมหันขวับไปมองหน้าน้าซันด้วยความสงสัย เธอพยักหน้ารับหงึกหงักให้กัน

"ใช่ ถามถึงไอ้เจ้ากู๊ดนั่นล่ะ น้าก็เลยบอกว่าเป็นเพื่อนกับปูนไง จำไม่ได้เหรอ ดูท่าทางทาร์ตจะออกอาการหวงปูนอีกแล้วนะ เพี้ยนจริงๆ เด็กคนนี้"
น้าซันพูดด้วยน้ำเสียงปลงๆ แล้วเอื้อมมือมาตบไหล่ของผมเพื่อเป็นการปลอบก่อนจะขอตัวไปนกขนมออกมาเพิ่ม

ผมพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำที่ได้ฟังเรื่องแบบนั้นจากปากน้าซัน เขาจะหวงไปทำไมในเมื่อตอนนี้ก็โตๆ กันแล้ว อีกอย่างนั้นก็เพื่อนแถมยังเป็นผู้ชายอีก หรือเพราะกลัวผมจะทิ้งเขาไปอยู่กับเพื่อนกันนะ ก็คนเพิ่งอกหักคงต้องการที่พึ่งทางใจล่ะมั้ง

"ปูน"
เสียงน้าซันดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ผมที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ สะดุ้งเล็กน้อย แต่หัวเราะแล้วส่งถาดขนมมาให้กันอีก ไม่นานนักทุกอย่างก็พร้อมขาย พี่ทาร์ตเดินไปพลิกแผ่นป้ายหน้าร้านจาก Close ให้เป็น Open เพิ่งสังเกตว่าไอ้กู๊ดย้ายไปนั่งที่โต๊ะเงียบๆ แล้ว โดนดุอะไรไปบ้างหรือเปล่าวะนั่น



ต่อด้านล่างเนอะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2017 16:29:48 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"ปูน มานี่"
พี่ทาร์ตส่งเสียงเรียกกันก่อนจะกวักมือเป็นสัญญาณให้เข้าไปหา ผมไม่รีรอที่จะเดินไปตรงนั้น ใครจะช้าอยู่ล่ะ ดูเขาอารมณ์เสียจะตายไป

"ครับ มีอะไรเหรอ"
ผมถามเมื่อเรายืนเคียงข้างกัน พี่ทาร์ตไม่ได้ตอบอะไรแต่หันไปลาน้าซันแล้วลากแขนกันออกจากร้านทันที อะไรยังไง ตั้งตัวไม่ทันเว้ย

"เดี๋ยวๆ พี่ทาร์ตจะรีบไปไหนครับ"
ผมรั้งข้อมือตัวเองเอาไว้เพื่อที่จะไม่ยอมเดินตามเขาไป พี่ทาร์ตชะงักแล้วหันมามองกันด้วยสายตาดุๆ

"อย่าถามมากจะได้ไหม"
เสียงแข็งใส่กันจนผมตกใจ ไม่กล้าที่จะบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมของเขาแม้แต่น้อย

"พี่โกรธอะไรผมครับ"
ผมเสี่ยงถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ แค่คิดว่าเขาโมโหและโกรธขึ้นมาจริงๆ น้ำตาก็พาลจะไหลออกมา

"ขึ้นรถก่อนแล้วจะบอก"
สรุปว่าโกรธกันจริงๆ ใช่ไหม... ผมต้องทำยังไงล่ะคราวนี้

"ก็ได้ครับ"
ได้แต่ตอบรับแล้วยอมให้เขาจูงมือไปที่รถแต่โดยดี เพราะไม่สามารถคาดเดาอารมณ์และไม่สามารถต้านทานอะไรจากเขาได้เลยจริงๆ

ขึ้นรถ สตาร์ทเครื่อง เปิดแอร์ แต่ไม่ได้เข้าเกียร์ ทุกอย่างยังคงอยู่ที่เดิมไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน ผมนั่งนิ่งในขณะที่อีกคนก็นิ่งไม่แพ้กัน ริมฝีปากหยักของเขาเม้มเข้าหากันแน่นคล้ายคนพยายามข่มอารมณ์ กลัว... กลัวพี่ทาร์ตโหมดนี้เหลือเกิน

"สนิทกันมากเหรอ"
อยู่ๆ เขาก็ถามอะไรแบบนี้ขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ก็นั่นเพื่อนสนิท ถ้าไม่สนิทกันมันจะเรียกแบบนั้นเพื่ออะไรวะ

"ห๊ะ อะไรนะครับ"
ผมถามย้ำเพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังถูกไหม

"กับกู๊ดน่ะ สนิทกันมากเลยเหรอ"
ชัดเจน...

"ก็ใช่ครับ เป็นเพื่อนสนิท"
ผมตอบกลับไปแล้วลอบมองใบหน้าด้านข้างของพี่ทาร์ต เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะถามต่อ

"กู๊ดชอบปูนหรือเปล่า"
คำถามของเขาทำให้ผมมึนงงไปชั่วขณะ หมายถึงชอบแบบไหนวะ หรือ... ไม่ใช่ละ เข้าใจผิดไปถึงไหนวะเนี่ย!

"ชอบ... เฮ้ย จะบ้าเหรอพี่ เพื่อนกัน ไอ้กู๊ดชอบผู้หญิง"
ผมตอบอย่างรวดเร็วแล้วหันขวับไปมองเขา พี่ทาร์ตเบนสายตากลับมาทางนี้พอดีทำให้เราสบตากัน

"งั้นเหรอ พี่ขอโทษที่หวงปูนมากไปหน่อย"
เขาถอนหายใจออกมาหนักๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มบางให้กัน ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย เมื่อครู่ไม่ได้หูฝาดแล้วใช่ไหมวะ หวงกันเพื่ออะไร ไม่เข้าใจ

"หา หวงผมทำไมล่ะพี่ กับไอ้กู๊ดนี่เพื่อนกันจริงๆ คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้หรอก ขนลุก"

"อืม... ก็ดี"
เขาตอบกลับมาสั้นๆ แค่นั้นไม่ได้ไขความกระจ่างอะไรเลยสักนิดเดียว ผมมองหน้าพี่ทาร์ตก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเตรียมใจถามคำถามต่อไป

"ถามจริงๆ นะ ทำไมถึงหวงผมไม่เลิกสักทีล่ะครับ"
ผมถามรัวๆ จนลิ้นแทบจะพันกัน พี่ทาร์ตเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะขมวดเป็นปม คำถามมันน่าเครียดขนาดนั้นเลยเหรอวะ

"น้องชายทั้งคน ไม่หวงได้ไง"
คำตอบแสนจะเบสิก แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากรู้แน่ๆ ไอ้ฟ่อนก็น้อง เป็นน้องแท้ๆ ด้วยไง สงสัยเว้ย สงสัย!

"แล้วกับไอ้ฟ่อนล่ะ ทำไมพี่ไม่หวงบ้าง คนเข้ามาจีบมันเยอะจะตายไป"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วให้ความสงสัยสุดๆ นี่เป็นเรื่องจริงที่ประสบพบเจอได้ทุกวันในชีวิตของไอ้ฟ่อนเลยนะ คนเข้ามาจีบไว้เว้นแต่ละวัน แต่เสือกไม่สนใจใครสักคน ตามตื้อตามตอแยแต่กับผมนี่ล่ะ...

"ไม่รู้สิ พี่อยากหวงปูนมากกว่า"
คำตอบของเขาทำให้ผมถึงกับอ้าปากพะงาบๆ ไม่ใช่เพราะหวั่นไหว แต่มันไม่ได้เพิ่มความกระจ่างขึ้นแม้แต่นิดเดียว

"งงอะ ไม่เข้าใจจริงๆ"
ผมบ่นออกไปพร้อมกับจ้องใบหน้าคมของเขา อยากได้คำตอบที่เป็นเหตุผลไม่ใช่แค่พูดผ่านๆ ให้เรื่องจบไง จะบอกว่าพี่ทาร์ตยังมีอาการเจ็ทแลคเลยมึนๆ เบลอๆ ก็คงไม่ใช่

"ช่างแม่งเถอะ พี่ก็ไม่เข้าใจ พูดมากๆ หิวแล้วเนี่ย วันนี้จะพาทัวร์ที่ไหนครับไกด์"
พี่ทาร์ตโบกมือไปมาเหมือนคล้ายให้ผมหยุดสงสัยสักที ถ้าในเมื่อเขาพูดว่าตัวเองยังไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นก็ปล่อยไปเถอะ ผมควรเปลี่ยนเรื่องตามใช่ไหม ช่างแม่งด้วยคนแล้วกันวะ

"กินหมี่ต้นโพธิ์ก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นพี่อยากไปไหนก็บอก เดี๋ยวไกด์คนนี้จัดให้"
เอาเป็นว่าตอนนี้เรื่องกินเรื่องเที่ยวสำคัญกว่าอะไรทั้งหมดแล้วกัน

ผมออกจากย่านเมืองเก่าเพื่อตรงไปร้านหมี่ต้นโพธิ์สาขาแรกที่อยู่ใกล้วงเวียนหอนาฬิกา เวลาใกล้เที่ยงแบบนี้ในวันธรรมดาคนจะเยอะเป็นพิเศษ พี่ทาร์ตเลือกโต๊ะที่อยู่ด้านใน เมนูอาหารหลากหลายจนเลือกไม่ถูก แต่ของขึ้นชื่อที่นี่คือ ผัดฮกเกี้ยนใส่ไข่ หมูสะเต๊ะ และห่อหมก

"พี่ครับ ผมเอาหมี่ฮกเกี้ยนหมูกับสะเต๊ะ"
ผมสั่งโดยไม่รีรอแล้วหันไปมองคนที่นั่งจดๆ จ้องๆ เมนูมาสักพักแล้ว แบบนี้ล่ะคนที่ห่างหายจากอาหารท้องถิ่นมานาน เลือกกินไม่ค่อยจะถูกสักเท่าไหร่

"พี่ทาร์ตกินอะไรครับ"

"เอ่อ... เอาหมี่ฮกเกี้ยนทะเลครับ"
พี่เขาสั่งจบคนรับออเดอร์ก็รีบเดินออกไปทันที มันเป็นปกติเพราะลูกค้าเยอะ ดีกน่อยที่วันนี้มีที่นั่ง ไม่อย่างนั้นคงต้องรอเป็นชั่วโมง

"พี่ทาร์ตอยากไปเที่ยวที่ไหนบ้างครับ"
ผมถามเขาออกไปแบบนั่นเพราะตั้งแต่กลับมาจากอเมริกาพี่ทาร์ตยังไม่ได้เลือกสถานที่เที่ยวเองเลยสักวัน มีแต่ตามทริปที่ผมวางไว้ก็เท่านั้น

"อืม... อยากเล่นน้ำ ป่าตองก็น่าจะดี"
พี่ทาร์ตส่งยิ้มมาให้หลังพูดจบแต่ผมหน้าเหลือสองนิ้วเพราะไม่ถนัดไปทางป่าตอง พูดง่ายๆ คือแค่ปีละครั้งที่ไปเหยียบที่นั่น งานหนักเลยล่ะขึ้นเขากับความวุ่นวายที่นั่นน่ะ

"เอ่อ... ผมหลงทางน่ะพี่ทาร์ต ไปป่าตองแค่ปีละครั้งได้มั้ง"
ผมตอบเสียงอ้อมแอ้มกลับไป เป็นฝ่ายให้พี่เขาเลือกสถานที่เองแต่กลับไม่สามารถพาเขาไปได้ มันน่าอายจริงๆ นะเว้ย

"อ้อ งั้นเอาที่ปูนไปได้ดีกว่า"
พี่ทาร์ตขำออกมาน้อยๆ แล้วส่งยิ้มมาให้กันอย่างไม่ถือสา ผมยกมือเกาท้ายทอยแก้เขินแล้วพยักหน้ารับและเสนอสถานที่ออกไป

"หาดในทอนกับหาดไนยางไหม"

"ก็ดีนะ"

ต้องกลับบ้านไปเอาเสื้อผ้าที่ต้องใช้เปลี่ยนเพื่อเล่นน้ำทะเลสินะ...




------------------------------------------------


ตอนที่ 4 มาแล้วเนอะ... พี่ทาร์ตมันจะออกอาการหวงน้องมากเกินไปแล้ว
น้องกู๊ดเลยซวยไป ตั้งแต่เล็กจนโต 55555 ไปแกล้งน้องชาย(?)คนอื่นก็เงี้ยล่ะ

ปล. ฝากติชมกันหน่อยเนอะ อยากรู้ว่าคนอ่านสนุกไหม ♥

ออฟไลน์ milin03

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ดูงงๆมึนๆกันทั้งสองคน

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
พี่ทาร์ตรีบรู้ตัวเร็วๆนะ  ออกอาการหวงหนักม๊ากมาก 

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ΩPRESTOΩ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 352
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-1

นี่คือตำนานรักคู่ซึนใช่ไหม
 :hao6:

สนุกนะจ๊ะคนเขียน เราชอบ
สู้ๆนะ
 :กอด1:

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
ตามๆ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5




สูตรที่ 5

Thai Tea Lava Cake
: เนยจืด/แป้งสาลี/ไข่ไก่/ไข่แดง/น้ำตาล/นมข้นจืด/ใบชาไทย :





เวลายามเที่ยงวันที่แดดร้อนระอุแทบจะเผาไหม้ให้ร่างกายของคนเรากลายเป็นของเหลว อากาศแบบนี่ควรจะนอนอยู่บ้านเปิดแอร์ช่ำๆ แต่กลับโดนพี่ชายตัวดีลากออกมาเพื่อจะไปห้างสรรพสินค้าเพราะอยากกินฟูจิและดูหนังเข้าใหม่ ผมแทบจะว้ากใส่เขาให้คอแตกเพราะโดนปลุกตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เพื่ออะไรเนี่ย!

พี่ทาร์ตกลายเป็นสารถีไปโดยปริยายเพราะผมไม่ยอมขับรถเอง อ้างว่าง่วงบ้างล่ะ ไม่สบายตัวบ้างล่ะ แต่จริงๆ แล้วคือขี้เกียจ เขาไม่ได้ว่าอะไรกลับมาสักคำและยอมแต่โดยดีไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ น่าแปลกที่วันนี้เขาไม่ได้แกล้งกันเลย

"ต้องลงอุโมงค์ปะวะ"
พี่ทาร์ตถามขึ้นในขณะที่เรากำลังผ่านอุโมงค์หน้าเทสโก้โลตัสไป ผมรีบส่ายหัวทันทีเพราะถ้าเราลงอุโมงค์หน้าโรงพยาบาลสิริโรจน์จะไปโผล่เกือบแถวๆ ตลาดนัดนาคาซึ่งมันจะเลยจุดหมายของเราซึ่งเป็นห้างเซ็นทรัล

"ไม่ๆ ชิดซ้ายเลยพี่ ค่อยไปยูเทิร์น"
ผมตอบอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าตีนผีอย่างพี่ทาร์ตจะพารถลอดอุโมงค์ไปซะก่อน ไม่อยากจะเชื่อว่าไอ้คนไม่ชำนาญเส้นทางจะเหยียบซะมิดไมล์ แอบใจหายใจคว่ำอยู่หลายครั้งแต่ไม่ได้บ่นอะไรออกไป ก็เราเป็นคนให้เขาขับเองนี่ ความผิดตัวเองล้วนๆ ไหมล่ะ

"อืม พี่ให้จองตั๋วหนังล้วงหน้าไว้ ปูนจองหรือยัง"
พี่ทาร์ตเหลือบสายตามองกันเล็กน้อยขณะที่รอยูเทิร์นรถ ผมเบะปากลงก่อนจะพยักหน้ารับแกนๆ แล้วเปิดแอพพลิเคชั่นจองตั๋วหนังล่วงหน้าให้เขาดูเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง บังคับคนอื่นมาเป็นเพื่อนไม่พอยังจะเลือกเรื่องผีอีก ถามความสมัครใจกันสักคำก็ไม่มี ไม่ได้กลัวนะ แต่ไม่ค่อยชอบแนวนี้สักเท่าไหร่

"จองแล้วน่า กลัวผมเบี้ยวหรือไง"
ผมบุ้ยปากใส่เขาไปเพราะก่อนหน้านี้เถียงกันเรื่องดูหนังไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็แพ้เนื่องจากพี่ทาร์ตจะเลี้ยงฟูจิ จะบอกว่าเห็นแก่กินก็เอาเถอะ ยอมรับ ก็เงินรายอาทิตย์จากแม่มันใกล้จะหมดพอดี...

"แค่ถามไง ดูทำปากเป็ดใส่พี่ดิ"
พี่ทาร์ตเอามือมาป้ายปากกันก่อนจะยูเทิร์นรถเข้าห้างสรรพสินค้า ปล่อยให้ผมยกมือขึ้นเช็ดเป็นพัลวัน ไม่รู้เอาไปจับอะไรมาบ้าง สกปรกว่ะ!

"เล่นไรเนี่ย มือโคตรเค็มเลย"
ผมโวยเสียงดังลั่นรถแล้วเบ้ปากใส่เขาอีกรอบ พี่ทาร์ตเหลือบมองกันแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากจนน่าหมั่นไส้ ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ

"ลืมล้างมือว่ะ ก่อนออกจากบ้านเพิ่งเข้าห้องน้ำไป"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยักคิ้วกวนๆ กลับมาให้กัน ผมรู้ทั้งรู่ว่าเขาแกล้งแต่มันก็อดหงุดหงิดไม่ได้เลยกำหมัดต่อยต้นแขนเขาไปเต็มแรง และมันส่งผลให้เขาร้องลั่นจนเกินจริง สำออยว่ะ

"โอย เจ็บ จริงจังไปได้วะ พี่แค่ล้อเล่นเอง"
พี่ทาร์ตหันมาทำหน้าเหยเกใส่กันก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ผมเหล่มองเขาและไหวไหล่อย่างไม่แคร์

"ไม่รู้ไม่ชี้ รีบหาที่จอดรถเถอะครับ"

วันธรรมดาแบบนี้ผู้คนจะเบาบางกว่าวันหยุดปลายอาทิตย์ ผมกับพี่ทาร์ตเดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นด้วยความหิวโหย ไม่ได้กินข้าวเช้าก็แบบนี้ล่ะ แม่ออกไปตั้งแต่เช้าส่วนแม่บ้านก็หยุด คนทำอาหารเป็นมันก็อิดออด เดี๋ยวจะถล่มให้หมดเนื้อหมดตัวเลยคอยดูเถอะ

"กินอะไรดี"
คำถามลอยๆ จากปากพี่ทาร์ตดังขึ้นในขณะที่ต่างคนต่างก้มลงอ่านเมนูอาหาร อยากกินซาซิมิ แต่อีกคนน่าจะไม่ชอบ... จำได้ว่าตอนเด็กๆ เขาโวยวายเรื่องกินเนื้อสดๆ อยู่บ่อยๆ

"พี่สั่งก่อนเลย ผมขอดูเมนูก่อน"
ผมบอกไปแบบนั้นพี่ทาร์ตก็พยักหน้ารับแล้วเริ่มสั่งอาหารที่ตัวเองอยากกินไปหลายอย่าง จนสุดท้ายแล้วผมเลือกปิดเมนูลงเพราะไม่แน่ใจว่าจะกินหมดหรือเปล่าในส่วนของคนพี่ ขืนสั่งเพิ่มอาจจะต้องใส่ห่อกลับบ้าน

เรากินอาหารอยู่ร่วมหนึ่งชั่วโมงเต็มก่อนจะเดินไปที่โรงหนังเพราะใกล้ถึงเวลาที่จองตั๋วไว้แล้ว พี่ทาร์ตจัดการจ่ายเงินทุกอย่างเรียบร้อยโดนที่ผมไม่ต้องหยิบกระเป๋าสตางค์เลยสักครั้ง แถมที่นั่งยังเป็นแบบโซฟาอีกด้วย รู้สึกเป็นคู่รักไปอีก... แอบเพลียว่ะ

"กินป๊อปคอร์นไหม"
อาเสี่ยเฉพาะกิจหันมาถามกันอย่างเอาใจเพราะผมยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับ คือไม่ชอบหนังผี ไม่อยากดู... จะนั่งรออยู่ข้างนอกเขาก็ไม่ยอมอีก เฮ้อ

"รสชีส น้ำโค้กด้วย"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ เพราะปฏิเสธดูหนังไม่ได้ก็เลยเลือกคล้อยตามและถลุงเงินพี่ทาร์ตไปดีกว่า อีกคนก็ไม่มีทีท่าว่าจะขัดใจอะไร แถมยังตามใจมากกว่าปกติด้วย... แปลกจนไม่รู้จะแปลกยังไงแต่ก็ขี้เกียจถามหาเหตุผล

"จ้าๆ น้องปูนของพี่"
พี่ทาร์ตตอบด้วยน้ำเสียงกวนๆ แล้วผละออกไปต่อแถวซื้อป๊อปคอร์น ปล่อยให้ผมยืนถอนหายใจด้วยความเซ็ง ไอ้คำว่าของพี่ๆ เนี่ย เมื่อไหร่จะเลิกใช้สักที กลัวว่าสักวันมันจะกลายเป็นความจริงขึ้นมาน่ะสิ เป็นของเขาฝ่ายเดียว แต่เขาไม่ได้เป็นของเราประมาณนั้น หมาไปอีก

ผมยืนรอสักพักพี่ทาร์ตก็กลับมาพร้อมป๊อปคอร์นและน้ำโค้กในมือ เขาพยักพเยิดหน้าเป็นสัญญาณให้เข้าไปในโรงหนังได้แล้ว อยากจะอิดออดอยู่หรอกแต่เห็นความกระตือรือร้นของอีกคนก็ทำไม่ลง ทำใจไว้แล้วว่าอีกเดี๋ยวต้องโดนล้อแน่ๆ เรื่องกลัว... เอ้ย ไม่ชอบดูหนังผีเนี่ย

"พี่ทาร์ต..."
ผมกระซิบเสียงเบาเมื่อเรานั่งดูตัวอย่างหนังมาได้สักพัก ภายใต้ความมืดเรายังคงเห็นเงารางๆ ของคนข้างตัวได้ไม่ยากนัก แต่อย่าให้บรรยายสีหน้าเลย โคตรลำบาก

"อะไรครับ"
ถามกลับมาด้วยเสียงเบาไม่แพ้กัน มือหนาจ้วงหยิบป๊อปคอร์นใส่ปากไม่หยุดต่างจากผมที่นั่งจิบน้ำโค้กในมือไปเรื่อย ได้แต่สงสัยว่าซื้อมาให้ใครกินกันแน่

"ทำไมเลือกดูหนังผีวะ หนังบู๊ก็มี"
พยายามใช้น้ำเสียงปกติในการถาม ไม่อยากให้เขาจับพิรุธได้เท่าไหร่ว่าผมกลัว... เออ ยอมรับก็ได้ว่ากลัวผี ดูแล้วมันติดตานอนไม่หลับ เดี๋ยวคืนนี้รู้กันและพี่ทาร์ตต้องรับผิดชอบผลของการบังคับทั้งหมดนี่ด้วย

"ก็... มีปูนมาดูด้วยกันไง"
เขาตอบกลับมาแบบนั้นยิ่งทำให้คนฟังงงเป็นสองเท่า มันเกี่ยวอะไรกับที่ผมมาดูด้วยล่ะ อยู่อเมริกาไม่มีใครไปด้วยหรือไงวะ

"เกี่ยวอะไรกันครับ ผมไม่เห็นจะเข้าใจ"
ผมยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ แล้ววางแก้วน้ำลง ตั้งใจจะรอฟังคำตอบจากเขาแต่กลับสะดุ้งเพราะเสียงดนตรีเริ่มต้นของหนังผี ดีนะที่ไม่แหกปากลั่นโรงหลัง ถ้าไม่อย่างนั้นคงโดนไล่ออกไปแน่ๆ

"ดูกับคนอื่นแม่งโคตรเซ็งไง ไม่มีใครอิน เอาแต่งนั่งวิจารณ์หนังอย่างนั้น ต้องจบแบบนี้ บลาๆ พี่เบื่อ แต่ปูนน่าจะไม่ใช่คนแบบนั้น"
เขาบอกยาวยืดก่อนจะเอื้อมมือมาโยกหัวกันอย่างถือวิสาสะ ไม่รู้จับป๊อปคอร์นแล้วแอบมาเช็ดหรือเปล่าผมเลยสะบัดหน้าหนีแล้วเอนตัวพิงพนักโซฟา

"แล้วรู้ได้ไงว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้นครับ รู้จักกันดีพอเหรอ"
ผมไม่ได้ตั้งใจจะกวนเลย แต่ระยะเวลาที่เราไม่ได้เจอกันมันนานมาก มากจนทำให้นิสัยของคนเราเปลี่ยนไป อยากรู้ว่าเขาเอาอะไรมาเป็นแนวคิดว่าน้องชายคนนี้จะไม่เป็นแบบนั้น ถ้าเกิดผมเป็นพวกชอบวิจารณ์หนังขณะดูจะไม่โดนพี่ทาร์ตเบื่อไปด้วยเหรอวะ แค่คิดก็รู้สึกหัวใจมันลีบๆ แบนๆ ชอบกล

"ก็นั่นสินะ ไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งนาน ปูนอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ แต่ที่แน่ๆ ความกลัวผีคงไม่เปลี่ยน... มั้ง"
ทิ้งเสียงในปลายประโยคแบบกวนๆ ทำให้ผมถึงกับคิ้วกระตุก ที่แท้พี่ทาร์ตก็จำได้ว่าผมกลัวผีมากแค่ไหน รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจแต่ก็ทำกันได้ลง แบบนี้ไม่เรียกว่าแกล้งแล้วจะเรียกว่าอะไรวะ หงุดหงิด

"ฝากไว้ก่อนเถอะพี่ทาร์ต"
ผมบ่นพึมพำในลำคอแล้วหยิบแก้วโค้กขึ้นมาดูดแรงๆ ด้วยความเจ็บใจ เกือบจะเรอแต่ปิดปากไว้ได้ทัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูพ่ายแพ้ไปซะทุกอย่าง เหนื่อยใจจริงๆ

หนังดำเนินไปอย่างลึกลับและระทึกขวัญ ผมถึงกับต้องถอดรองเท้าแล้วนั่งกอดเข่าตัวเองเอาไว้ ฉากไหนที่ผีโผล่ออกมาจะรีบเอาหน้าซุกขาทันที ไอ้คนข้างๆ ก็อินกับหนังจนไม่สนใจอะไรเลยด้วยซ้ำ จะแอบลุกไปฉี่ก็ไม่กล้าอีก ชีวิตหนอชีวิต

"นี่..."
ผมเสี่ยงสะกิดแขนพี่ทาร์ตเพราะเริ่มจะทนปวดฉี่ไม่ไหวแล้ว ไม่รู้โรงหนังจะเปิดแอร์แช่แข็งกันไปถึงไหนก็ไม่รู้ เขาหันมามองกันแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

"ปวดฉี่"
ผมบอกเสียงแผ่วและพยายามไม่จ้องจอขนาดยักษ์ตรงหน้า พี่ทาร์ตเอียงคอใส่กันเล็กน้อยเหมือนจะงงว่ามาบอกกันทำไม ลุกไปฉี่ก็สิ้นเรื่องอะไรประมาณนั้น

"ก็ลุกไปสิครับ จะอั้นทำไม"
ว่ากันด้วยเสียงดุๆ จนผมได้แต่คอตก ไม่ได้ตั้งใจจะอั้นฉี่ปะวะ น้อยใจได้ไหมล่ะ ก็รู้ทั้งรู้ว่าผมกลัวผี ถ้าทางไปห้องน้ำมันไม่วังเวงล่ะก็ไม่ต้องมานั่งง้อคนอย่างพี่ทาร์ตหรอก

"ไม่... ไม่กล้าไป ไปเป็นเพื่อนหน่อยได้ปะพี่"
ผมพูดเสียงเบาจนแทบกลืนหายไปกับเสียงหนัง แต่พี่ทาร์ตกลับได้ยินซะอย่างนั้น ดูเหมือนจะตั้งใจฟังกันสุดๆ

"เอางั้นเหรอ กลัวจริงๆ เหรอเนี่ย"
ยังมีหน้าจะมาถามย้ำ ควรง้างมือขึ้นตบกบาลสักทีไหมล่ะ

"เออดิ กลัวจริง เร็วๆ ไปด้วยกันหน่อย ฉี่จะแตกแล้ว"
ผมพูดเร็วๆ ก่อนเอื้อมมือไปเขย่าแขนอีกคนก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จะเอามือกุมเป้าก็กลัวคนอื่นมองแปลกๆ

"โอเคๆ ไปครับ"
พี่ทาร์ตพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วลุกขึ้นจากโซฟาก่อนจะกันมาคว้าข้อมือให้เดินออกไปพร้อมกัน ในขณะนี้ผมไม่ได้สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั่นเลยปล่อยให้เขาทำตามใจ

สุดท้ายผมก็สะบัดมือเขาออกและรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำแบบด่วนๆ ไม่น่ากินน้ำโค้กเข้าไปเยอะเลย ทรมานตัวเองฉิบหาย พอได้ปลดปล่อยก็รู้สึกสบายตัวและไม่อยากกลับเข้าไปในโรงหนังอีกแล้ว แต่พี่ทาร์ตยืนรออยู่น่ะสิ

"พี่ทาร์ต"
ผมเรียกอีกคนที่ยืนพิงกำแพงกดโทรศัพท์เล่นอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้กันโดยไม่มีการล้อเลียนใดๆ อย่างที่ควรจะเป็น

"จะกลับเข้าไปอีกไหม"
เขาถามอย่างรู้ทันซึ่งผมได้แต่รีบส่ายหน้าปฏิเสธ แค่ดูไปครึ่งเรื่องก็เหมือนจะนอนหลับไม่ได้ไปเป็นอาทิตย์แล้ว ขืนทนดูจนจบอาจจะนอนไม่ได้เป็นเดือน

"ไม่เอาแล้ว เดี๋ยวผมนั่งรอข้างนอก พี่ทาร์ตไปดูให้จบเถอะ"
ผมบอกก่อนจะออกเดินไปตามเส้นทางเก่าเพื่อกลับไปยังโซนโรงหนัง พี่ทาร์ตเดินเคียงข้างกันแบบไหล่เกยไหล่ บางทีก็รู้สึกว่ามันใกล้ชิดเกินไปหรือเปล่านะ

"ขี้เกียจดูแล้วว่ะ ง่วง"
เขาตอบก่อนจะหาวออกมายืนยันคำพูดของตัวเอง ผมว่าไม่จริงหรอกที่เขาจะง่วง ก็เมื่อครู่เห็นนั่งจ้องจอตาไม่กระพริบขนาดนั้น ดูท่าทางก็รู้ว่ากำลังสนุก

"งั้นเหรอครับ"
ผมถามกลับไปแค่นั้นเพราะไม่อยากเซ้าซี้เขามากนัก

"ไปเดินเล่นกันดีกว่า"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงแล้วยกแขนขึ้นมาโอบไหล่กัน ผมเหล่มองเขาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ ถ้าเป็นปกติแล้วการใกล้ชิดกันแบบนี้จะทำให้รู้สึกว่าโคตรน่าอึดอัด แต่ครั้งนี้มันกลับตรงกันข้าม ผิดไหมที่จะบอกว่ารู้สึกดี...

แผนกรองเท้ากีฬาเป็นอะไรที่ดึงดูดความสนใจของผมได้เป็นอย่างดี เพราะกำลังอยากได้คู่ใหม่ แต่วันนี้ไม่มีเงินมากพอจะซื้อเลยต้องข่มใจทั้งๆ ที่มองตาละห้อย... แม่นะแม่ลืมให้เงินรายอาทิตย์กับผมไปได้ แล้วไอ้เรื่องงบพาพี่ทาร์ตทัวร์ก็ยังเบี้ยว อยากจะร้องไห้วันละสามรอบจริงๆ

"อยากได้รองเท้าใหม่เหรอ"
พี่ทาร์ตถามขึ้นในขณะที่เรากำลังจะเดินผ่านแผนกขายรองเท้ากีฬาเพื่อจะลงบันไดเลื่อนไปยังชั้นล่าง ผมหันขวับไปมองหน้าเขาด้วยความแปลกใจว่ารู้ได้ยังไง เผลอแสดงความอยากได้ออกไปขนาดนั้นเลยเหรอวะ

"ก็... อยากได้ครับ แต่ตอนนี้มีเงินไม่พอ"
ผมตอบไปตามความจริงแล้วยิ้มแหยๆ ให้กับเขา ที่บ้านเป็นระบบให้ลูกใช้จ่ายเงินสดโดยไม่อนุญาตให้ใช้บัตรเครดิตเพราะจะเคยตัวเกินไป ทำแบบนี้จะได้รู้จักประมาณตนด้วย บัตรเอทีเอ็มโดนป๋ายึดเพราะเป็นช่วงปิดเทอม... โหดร้ายไหมล่ะ

"พี่ซื้อให้"

"ห๊ะ อะไรนะครับ"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงตกใจเพราะไม่แน่ใจว่าฟังผิดไปหรือเปล่า อยู่ๆ จะซื้อของราคาหลายพันให้เนี่ยนะ ไม่ใช่แล้วมั้ง จะเนื่องในโอกาสพิเศษอะไรใกล้ๆ นี้ก็ไม่มีซะด้วย

"เอ่อ พี่ซื้อให้ก่อนไง ปูนได้เงินจากแม่พลอยเมื่อไหร่ค่อยเอามาคืน"
เขาพูดตะกุกตะกักแล้วเบนสายตาไปมองทางอื่น ท่าทางแปลกๆ จนอยากตั้งคำถามอะไรสักอย่างแต่คิดไม่ออกว่ะ

"อ๋อ ถ้างั้นรบกวนพี่ทาร์ตด้วย"

กลับออกมาจากแผนกด้วยการหิ้วถุงใบโตเพราะบรรจุรองเท้าสองคู่ รุ่นเดียวกันแต่คนละสี คู่หนึ่งของพี่ทาร์ต อีกคู่เป็นของผม ไม่แปลกใจหรอกที่จะซื้อเหมือนกัน ก็มันเป็น New Arrival นี่ ถ้าใส่ไปไหนมาไหนพร้อมกันคงแปลกพิลึก

"พี่ทาร์ตจะไปไหนอีกไหม"
ผมถามในขณะที่เราลงบันไดเลื่อนไปสู่ชั้นล่าง เอาจริงๆ ตอนนี้เริ่มหิวอีกรอบแล้วล่ะ อยากกินขนมหวานๆ อย่างเช่นเค้กอะไรแบบนั้น รู้ว่าพี่ทาร์ตก็ชอบ แต่ขอถามความสมัครใจก่อนแล้วกัน

"อืม... หมายถึงในห้างหรือที่อื่น"
พี่ทาร์ตถามแล้วคว้าถุงรองเท้าจากมือผมไปถือซะเฉยๆ พอทำท่าจะเอากลับก็โดนสายตาดุๆ จ้องมา เอาเป็นว่าเขาอยากทำอะไรก็ปล่อยให้ทำไปก็แล้วกัน

"ในห้างดิ"
ผมบอกกลับไปแล้วมองใบหน้าด้านข้างของพี่ทาร์ต วันนี้เขาหยิบเอาต่างหูกลมๆ สีดำออกมาใส่ยิ่งเพิ่มความแบดเข้าไปอีก ไหนจะเสื้อเชิ้ตสีดำแหวกอกจนแทบถึงสะดือ ดูๆ ไปก็น่าหมั่นไส้ว่ะ

"อ้อ ขี้เกียจเดินแล้ว ปูนล่ะ"
เขาหันมามองกันแล้วเลิกคิ้วเหมือนกำลังรอคำตอบ ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไปเสียงเบาและไม่ยอมสบตาเขา อยากกินอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้

"อยากกินเค้ก..."
พูดออกไปเบาจนแทบเหมือนการกระซิบ แต่พี่ทาร์ตก็ได้ยินเหมือนเคย แถมยังทำหน้าครุ่นคิดแปลกๆ อีกด้วย และไม่นานนักเขาก็บอกมันออกมาให้ผมรับรู้

"เค้กเหรอ... อืม เอางี้ เดี๋ยวเราไปเดินท็อปแล้วซื้อวัตถุดิบไปทำเองดีกว่า ที่บ้านมีอุปกรณ์ทำเบเกอรี่ไหม"
พี่ทาร์ตพูดจบแล้วขยิบตาให้กัน ผมพยักหน้ารับคำของเขาเพราะที่บ้านมีอุปกรณ์ทำเบเกอรี่ของแม่ รู้ว่าคนข้างๆ ทำขนมเก่งแต่ลืมไปแล้วว่ามันอร่อยแค่ไหน...

"เอางั้นเลยเหรอพี่ แต่ผมกินเป็นอย่างเดียวนะ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วยักคิ้วกวนๆ ให้เขา พี่ทาร์ตเบ้ปากใส่กันแล้วยกมือหนาผลักหัวผมเบาๆ ขัดใจหน่อยไม่ได้ทำร้ายร่างกายตลอด

"เออๆ เดี๋ยวจะทำให้กินจนเลี่ยนไปเลย"

ผมลากพี่ทาร์ตไปที่ท็อปซุปเปอร์มาร์เก็ตโซนวัตถุดิบทำเบเกอรี่ เขาหยิบของที่ต้องการด้วยความคล่องแคล่วจนผมที่แอบมองอยู่อดทึ่งไม่ได้

"พี่ทาร์ต..."
ผมเรียกเขาเสียงเบาเพราะไม่อยากรบกวนการเลือกซื้อของ แต่ความอยากรู้ก็มีมากเหลือกเกินว่าพี่ทาร์ตจะทำเมนูอะไรให้กิน อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่แรกว่าเขาเป็นผู้ชายที่เกือบจะเพอร์เฟค ทำอาหารได้ ทำขนมได้ เรียนเก่ง ฐานะดี นิสัยดีพื้นฐานดี ดูแลคนอื่นได้ ยกเว้นเรื่องเดียวคือ... เรื่องผู้หญิง ถ้าวันไนท์สแตนได้ก็ทำ แต่เวลาคบใครก็คบคนเดียวนะ

"หือ มีอะไร"
พี่ทาร์ตชะงักมือที่กำลังจะหยิบถุงไวท์ช็อกโกแลตแล้วหันมามองหน้ากันพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ผมยกมือขึ้นถูท้ายทอยก่อนจะถามเสียงอ้อมแอ้มออกไป

"จะทำอะไรให้ผมกินเหรอ"

"เค้กลาวาชาไทยครับผม"
พี่ทาร์ตตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่สามารถทำให้สาวๆ ละลายไปกองอยู่กับพื้นได้ แต่ผมไม่สะทกสะท้านอะไรหรอกน่า... ที่พูดมาทั้งหมดโกหกนะ เพราะตอนนี้ใจสั่นฉิบหาย ไม่อยากกินเค้กแล้วได้ไหม โดนตามใจหรือเอาใจบ่อยๆ มันก็มีพลั้งเผลอกันบ้าง แย่แน่ๆ

"เอ้อ... น น่ากินเนอะ เดี๋ยวผมขอไปซื้อขนมคบเคี้ยวก่อนนะครับ"
ผมพูดเสียงตะกุกตะกักแล้วหาทางหนีโดยอ้างว่าจะไปซื้อขนมแต่เพิ่งจะได้กันหลังยังไม่ทันก้าวขาไปไหน มืออุ่นๆ ก็คว้าหมับเข้าที่ไหล่เพื่อรั้งกันเอาไว้ ได้แต่ร้องตะโกนในใจว่าปล่อยไม่ได้เหรอ อยู่ตรงนี้นานๆ มันเหนื่อยนะ เหนื่อยที่ต้องมาใจเต้นแรง ไม่อยากหวั่นไหวมากกว่าเดิมอีกแล้ว กลัวว่าสักวันจะชอบเขาในอีกความหมายเข้าให้

"ไปพร้อมกันสิ"
เข้ากระซิบใกล้ๆ แบบสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ผมผละตัวออกแบบเนียนๆ แล้วพยักหน้ารับทั้งๆ ที่ยังหันหลังให้พี่ทาร์ตอยู่ พยายามทำตัวเป็นปกติ เพราะไม่อยากให้เขาจับได้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรนอกลู่นอกทาง

"ที่บ้านมีใบชาไทยไหม"
เขาผละมือออกแล้วตั้งคำถามขึ้นก่อนจะเดินนำผมไปข้างหน้าอย่างชาๆ ใบชาแดงที่พี่ทาร์ตถามถึงนั่นอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ คงต้องถามแม่เอาแล้วล่ะ

"ขอโทรถามแม่นะครับ"
ผมบอกก่อนจะได้รับการพยักหน้าตกลงจากอีกคน มือเรียวล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาต่อสายถึงแม่ผู้บังเกิดเกล้า รอไม่นานนักเธอก็กรอกเสียงใสๆ มา

'สวัสดีค่ะคุณลูกชาย มีอะไรกับแม่หืม ร้อยวันพันปีไม่เคยจะโทรหา'
แม่ว่าด้วยเสียงหยอกล้ออย่างอารมณ์ดี เพราะโดยปกติแล้วผมไม่เคยโทรหาแม่ในเวลางานแบบนี่เลยสักครั้ง ไม่ใช่ว่ากลัวเธอจะยุ่งหรอก แต่ไม่มีอะไรจะคุยมากกว่าก็เจอหน้ากันเช้าเย็นทุกวัน

"โหย แม่อะ ไม่แซวดิครับ พอดีปูนจะถามว่าที่บ้านเรามีใบชาไทยหรือเปล่า"
ผมถามสิ่งที่อยากรู้ออกไปในขณะที่เดินตามพี่ทาร์ตไปต้อยๆ พอเหลียวซ้ายแลขวาถึงได้รู้ว่าพวกเราอยู่ในแผนกครีมอาบน้ำ... มาแถวนี้เพื่ออะไรวะ

'ใบชาไทยเหรอ มีสิ อยู่ที่ห้องครัวในตู้ ลูกจะเอาไปทำอะไรเหรอ'
แม่ถามด้วยน้ำเสียงสงสัย ผมหลุดยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ของที่พี่ทาร์ตต้องการแล้ว

"พี่ทาร์ตจะทำเค้กลาวาชาไทยให้กินครับ"
ผมตอบไปแล้วเหลือบมองพี่ทาร์ตที่กำลังเลือกครีมอาบน้ำโดยการเปิดฝาออกแล้วบีบขวดเบาๆ เพื่อให้กลิ่นมันฟุ้งขึ้นมา ตกลงว่าไม่ชอบกลิ่นสบู่ที่ใช้อยู่สินะ...

'ว้าว บอกพี่ทาร์ตทำเผื่อแม่ด้วยสิ  ไม่ได้กินฝีมือเขามานานม๊าก'
แม่พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นจนผมเผลอหัวเราะออกมา ความคิดเราสองคนเกมือนกันเด๊ะเลยสินะ ไม่ได้กินฝีมือพี่ทาร์ตนานมากจริงๆ

"ได้เลยครับ ผมไม่กวนแม่แล้วนะ ตอนเย็นก็รีบๆ กลับบ้านนะครับ"

'จ้าๆ'

บทสนทนาจบลงพอดีกับพี่ทาร์ตยื่นขวดครีมอาบน้ำยี่ห้อหนึ่งมาให้กัน ผมเลิกคิ้วมองด้วยความงงก่อนจะเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วยื่นมือไปรับมันมา

"คืออะไร"
ผมถามออกไปสั้นๆ แล้วมองขวดครีมอาบน้ำในมือสลับกับหน้าพี่ทาร์ต อีกคนคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะโน้มตัวลงมาใกล้กันเล็กน้อย ทำไมชอบลดระยะห่างระหว่างกันบ่อยนักนะ

"ชอบกลิ่นนี้"
เขาบอกกลับมาแค่นั้นแล้วก็เงียบไป ผมยิ่งขมวดคิ้วเพิ่งขึ้นเพราะยิ่งมึนหนักกว่าเก่าอีก ยื่นขวดมาให้แล้วบอกว่าชอบกลิ่นนี้ คือหมายความว่ายังไง

"ตกลงว่าที่บ้านมีชาแดงไหม"
อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องจนผมตามไม่ทัน อะไรของเขาวะ

"มีครับ พี่ทาร์ตอย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องดิ"
ผมพูดรัวๆ เพราะกลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนเรื่องไปอีกรอบ ไม่ชอบอะไรค้างๆ คาๆ สักเท่าไหร่เพราะมันน่าอึดอัด

"หืม เปลี่ยนเรื่องอะไรวะ"
พี่ทาร์ตดูจะงงเล็กน้อย เพราะเขาทำหน้าตื่นๆ เหมือนไม่เข้าใจว่าตัวเองไปเปลี่ยนเรื่องตอนไหน

"ก็เรื่องครีมอาบน้ำนี่ไง เอามาให้ผมทำไม"
ยิงคำถามกลับไปอย่างรวดเร็ว อีกคนก็ทำหน้าเหมือนคิดได้ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสดใส

"อ้อ... พี่ชอบกลิ่นนี้ไง อยากให้ปูนใช้เพราะเราอยู่ด้วยกันยี่สิบสี่ชั่วโมง"
เขาตอบเสร็จก็เดินไปจ่ายเงินทันทีโดยทิ้งให้ผมยืนอ้าปากพะงาบๆ เพราะพูดอะไรไม่ออกไปแล้ว สมองเบลอไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าตอนนี้ต้องรู้สึกยังไง แค่เขาบอกว่าชอบกลิ่นนี้ อยากให้ใช้ ก็ไม่ได้แปลว่าเขาหยอดเราปะวะ ไม่ได้แปลว่าเขาก็หวั่นไหวกับเราหรือเปล่า ปวดหัวเว้ย เลิกคิดแม่ง

ตอนนี้ผมกำลังยืนมองพี่ทาร์ตรื้อชามผสมแก้วออกจากที่เก็บจานเพื่อจะทำเค้กลาวาชาไทยให้กิน เขาเตรียมทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่วจนน่าอิจฉา เคยคิดที่จะเรียนทำอาหารหรือขนมเหมือนกันแต่ไปไม่รอด ดีสุดก็แค่ทอดไข่ดาวกับต้มมาม่า...

"ให้ผมช่วยทำอะไรปะพี่"
ผมเสนอตัวเข้าไปช่วยเพราะจะให้นั่งรอกินอย่างเดียวมันก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ พี่ทาร์ตชะงักมือแล้วเหล่สายตามองกันก่อนจะขำออกมาเล็กน้อย

"แน่ใจว่าจะช่วยไม่ใช่ทำลาย"
พี่ทาร์ตว่าติดตลกแต่ก็ส่งเนยจืดที่ยังเป็นก้อนมาให้กันพร้อมกับถ้วยที่สามารถเข้าไมโครเวฟได้

"ใครจะทำลายครัวบ้านตัวเองล่ะพี่ แล้วนี่ต้องทำยังไงบ้าง"
ผมถามก่อนจะแกะห่อเนยจืดออกทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาให้ทำอะไร ตาก็มองอีกคนอย่างรอคำตอบ รายนั้นเขากำลังจัดการกับชาไทยอยู่ คงจะเอานมร้อนใส่แล้วชงแบบปกติ

"เอาเนยใส่ถ้วยแล้วเอาไปใส่ไมโครเวฟ"
พี่ทาร์ตบอกโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองกัน ผมพยักหน้ารับก่อนจะแกะเนยจืดใส่ลงในถ้วยแล้วเอาเข้าไมโครเวฟตามที่อีกคนบอก กะเวลาไว้ประมาณครึ่งถึงหนึ่งนาที ก็จะได้เนยละลายเหลวๆ

"ให้ช่วยทำอะไรต่อดี"
ผมยกถ้วยเนยจืดละลายมาตั้งไว้บนเค้าน์เตอร์เหมือนเดิมก่อนจะเริ่มมองหาสิ่งที่ตัวเองน่าจะทำได้ต่อไป พี่ทาร์ตยกชามผสมใบใหญ่มาให้พร้อมกับตะกร้าที่ใส่ไข่ไก่ประมาณหกฟอง

"ตอกไข่สามฟองลงในชาม ส่วนอีกสามฟองแยกไข่ขาวออกเอาแต่ไข่แดงใส่ลงไป"

"เอ่อ... แยกยังไงครับ"
ผมถามด้วยความงง เพราะไม่รู้วิธีการแยกไข่แดงกับไข่ขาวออกจากกัน ก็เคยเห็นจากรายการทำอาหารอยู่บ้าง แต่ไม่กล้าลอง กลัวจะเสียหายและกลายเป็นนักทำลายอย่างที่พี่ทาร์ตว่า

"งั้นเอามาให้พี่ทำ ส่วนปูนไปเตรียมพิมพ์ขนมแล้วกัน เอาเนยทาให้ทั่วแล้วโรยน้ำตาลบางๆ"
พี่ทาร์ตยกชามผสมกลับไปพร้อมกับตะกร้าไข่ไก่แล้วลงมือทำส่วนของตัวเอง ผมแอบลอบมองเขาก่อนจะอมยิ้ม ดูท่าทางเขาตอนนี้แล้วช่างเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์เหลือเกิน ชักไม่อยากให้เขาไปจีบใครแล้วสิ อกหักต่อไปยาวๆ ได้ไหม คนที่อยู่ข้างๆ จะได้เป็นผม... ตอนนี้ควรจะเลิกฟุ้งซ่านแล้วกลับมาสนใจขนมมากกว่าเนอะ

ผมเตรียมพิมพ์เสร็จในเวลาถัดมา พี่ทาร์ตก็ผสมทุกอย่างเรียบร้อยพร้อมจะเทใส่พิมพ์เอาเข้าเตาอบแล้ว สีสันของมันเป็นสีส้มเหมือนน้ำชานมที่เราซื้อดื่มกันทั่วไป มีความหอมเตะจมูกจนทำให้ต้องกลืนน้ำลาย อยากกินแล้ว...

"เดี๋ยวปูนตักเนื้อเค้กใส่พิมพ์ประมาณสามส่วนสี่นะ พี่จะไปวอร์มเตาอบ"
เขาพูดจบก็เดินไปทางเตาอบที่นานๆ ครั้งจะได้ใช้เพราะแม่ทำแต่อาหารง่ายๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าขี้เกียจ ส่วนน้านวลก็ไม่ถนัดใช้เตาอบเหมือนกัน บ่นว่ามันซับซ้อนวุ่นวายอยู่บ่อยๆ

ผมตัดเนื้อเค้กใส่พิมพ์หกอันแล้วยืนรอจนพี่ทาร์ตบอกว่าให้ยกไปใส่เตาได้ หลังจากนั้นเขาก็ตั้งเวลาอบประมาณสิบห้านาทีก่อนจะผละตัวออกมาเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ไปล้าง

"ผมช่วยๆ"
ผมรีบเข้าไปช่วยพี่ทาร์ตเก็บทันที แต่โดนเขาส่ายหัวให้กัน

"ไม่ต้อง ของแค่นี้พี่เก็บเองได้ ปูนไปนั่งรอเถอะ"
เขาบอกก่อนจะคลี่ยิ้มให้กันแล้วเก็บทุกอย่างไปล้างด้วยตัวเอง จริงๆ ก็แอบคิดอยู่ว่าพี่ทาร์ตอาจจะจำได้ว่าน้องชายคนนี้แพ้น้ำยาล้างจานหรือเปล่าเลยสั่งห้าม แต่ดูๆ ไป อุปกรณ์มันก็น้อยจริงๆ นั่นล่ะ... เผลอดีใจอะไรที่มโนขึ้นมาเองอีกแล้ว

เผลอนั่งมองแผ่นหลังกว้างซะเพลินเลยสะดุ้งกับเสียงริงโทนโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ตอนแรกนึกว่าเป็นของพี่ทาร์ต แต่เปล่าเลย...

"ยอโบเซโย"
ผมทักทายไอ้ไนน์ที่โทรมาหากันด้วยภาษาเกาหลี พอปิดเทอมก็ไม่ค่อยได้ใช้กลัวจะลืมซะก่อน ต้องฟื้นความจำกันหน่อย

'ฉันกลับมาแล้วนะเว้ยปูน แกว่างเข้ามาเอาของฝากที่บ้านปะ'
เสียงใสๆ พูดด้วยความร่าเริง เดาไม่ยากว่ามันคงกำลังรื้อของที่ซื้อมาจากเกาหลีอยู่แน่ๆ เผลอๆ ไอ้จองฮันก็ช่วยด้วย

"วันไหน"
ผมถามกลับไปสั้นๆ แล้วมองคนที่กำลังเดินเข้ามาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ริมฝีปากหยักเอ่ยถามแบบไม่มีเสียงว่า 'ใคร' ผมเลยตอบกลับแบบเดียวกันว่า 'เพื่อน' พอได้คำตอบไปหัวคิ้วก็ย่นเข้าหากันแทบทันที อยากบอกนะว่า....

"ไอ้กู๊ดเหรอ"
ถามกลับมาเสียงเบาแต่มันแข็งกร้าวจนผมเผลอใจกระตุก ไม่ใช่ว่าอาการหวงน้องกำเริบอีกแล้วนะ นี่ก็ลืมถามไอ้กู๊ดไปว่าเผลอพูดอะไรสองแง่สองง่ามบ้างหรือเปล่า เพราะคำถามของพี่ทาร์ตมันทำให้ฉุกคิด 'กู๊ดชอบปูนหรือเปล่า'

'วันนี้ดิ'
ไนน์พูดอะไรมาผมไม่ได้สนใจฟังเลย




ต่อด้านล่างนะ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"ไม่ใช่ๆ ไอ้ไนน์ ผู้หญิง"
ผมผละโทรศัพท์ออกห่างแล้วตอบพี่ทาร์ตกลับไปด้วยเสียงกระซิบ ถ้าไม่รีบบอกกลัวว่าเดี๋ยวโทรศัพท์จะปลิวซะก่อน

"อ๋อ"
เขาครางรับแต่นั้นแล้วปล่อยให้ผมคุยโทรศัพท์ต่อ

'ไอ้ปูน แกฟังอยู่ปะเนี่ย ทำไมเงียบ'
ไอ้ไนน์ขึ้นเสียงใส่กัน สงสัยจะรอผมตอบอยู่ล่ะมั้ง แต่ก่อนหน้านี่มันพูดอะไรออกมาวะ ไม่ได้ฟังอะไรเลยเพราะกลัวพี่ทาร์ตจะฟาดงวงฟาดงา

"หา แกว่าอะไรนะ ขอใหม่อีกรอบ"
ผมถามย้ำ

'ฉันบอกว่าวันนี้ให้แกเข้ามาเอาของฝาก'

"อ๋อ... ไม่ว่างว่ะ แกค่อยเอามาให้ตอนเปิดเทอมเลยแล้วกัน"
ผมบอกปัดๆ ไป ถ้าขืนบอกว่าขี้เกียจไปหามันเดี๋ยวจะโดนด่ายาวๆ

'คนอยากแกมีธุระด้วยเหรอ หรือว่าแอบมีแฟนแล้วไม่บอกเพื่อน!'
เสียงแสบแก้วหูฉิบหาย แล้วเพ้อเจ้อเรื่องอะไรของมันอยู่วะนั่น!

"จะบ้าเหรอไงวะ ไม่มีเว้ย เพ้อเจ้อแล้ว ค่อยเอาไปให้วันเปิดเทอมนั่นล่ะ"
ผมพูดรัวๆ โดยไม่ได้มองพี่ทาร์ต และเขาก็ไม่ได้สนใจทางนี้ด้วยเพราะเอาแต่นั่งกดโทรศัพท์คล้ายว่าจะเล่นเกมอยู่ สีหน้าโคตรจริงจังอีกด้วย

'เออๆ ไม่คุยกับแกละ แค่นี้แหละ'
คิดจะโทรก็โทร คิดจะวางก็วาง... ประเสริฐที่สุดแล้วคุณหญิงไนน์

พี่ทาร์ตลุกขึ้นไปดูเตาอบว่าขนมได้ที่หรือยัง ส่วนผมก็นั่งชะเง้อคออยู่ที่เดิมเพราะไม่อยากเข้าไปเกะกะ ไม่ถึงห้านาทีเขาก็เค้กลาวาชาไทยหอมๆ ก็เลื่อนมาวางตรงหน้า

"เอ้า ชิมดิว่าอร่อยหรือเปล่า"
พี่ทาร์ตส่งช้อนมาให้ตรงหน้าก่อนจะยักคิ้วให้กัน ผมยื่นมือไปรับแล้วค่อยๆ บรรจงตัดเค้กช้าๆ เนื้อลาวาสีส้มไหลออกมาดูน่ากินมาก แถมกลิ่นชายังลอยตลบอบอวลอีกด้วย น้ำลายจะไหลว่ะ แต่ดูท่าทางมันยังร้อนอยู่เลย

"ระวังร้อนด้วย เอานมสักแก้วปะ"
พี่ทาร์ตใช้แขนค้ำโต๊ะแล้วโน้มตัวลงมาถามใกล้ๆ ผมที่ยังสนใจขนมไม่เลิกเลยพยักหน้ารับไป

ผมวางช้อนลงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเค้กเพื่ออัพลงไอจี ก็อีกคนจัดจานซะสวยแบบมืออาชีพเลยต้องอวดกันหน่อย

"ขอบคุณครับ"
ผมเอ่ยขอบคุณแล้ววางโทรศัพท์ลงและตักเค้กขึ้นมาหนึ่งคำก่อนจะเป่าแล้วเอาเข้าปาก ความนุ่มละมุนลิ้น ความหวานที่กลมกล่อมและกลิ่นชาที่แผ่กระจายนั้นเป็นตัวบ่งบอกได้อย่างดีว่ามันอร่อยแค่ไหน รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปากอย่างพอใจก่อนจะเงยหน้าเพื่อบอกพี่ทาร์ตถึงฝีมือของเขา แต่ต้องชะงักเมื่อใบหน้าหล่อๆ นั่นอยู่ห่างกันแค่คืบเดียว ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเขาจะอยู่ใกล้กันขนาดนี้

"เอ่อ..."
ผมผละตัวออกช้าๆ แล้วเบนสายตาไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว การที่เขาเข้ามาใกล้ในระยะประชิดแบบไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้มันทำให้หัวใจเต้นแรงจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกมาจากอก พี่ทาร์ตขยับตัวยืนตรงแล้วเกาหัวแก้เก้อก่อนจะเดินหนีไปเอานมใส่แก้วมาให้กัน บรรยากาศแปลกๆ จนไม่กล้าพูดอะไรออกไป

นมสดสีขาวนวลถูกวางลงตรงหน้าก่อนที่พี่ทาร์ตจะขอตัวขึ้นไปอาบน้ำเพราะร้อนจนเหนียวตัวไปหมด ผมพยักหน้ารับรู้แล้วก้มหน้าก้มตากินเค้กต่อไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ภาพใบหน้าหล่อๆ ที่อยู่ห่างแค่คืบเมื่อครู่ยังไม่จางหายไป ดวงตาคมในตอนนั้นสั่นไหวเล็กน้อยหรือเปล่านะ...

หลังจากฟาดเค้กลาวาชาไทยจนหมดผมก็เก็บจานไปล้างและกลับมานั่งอัพรูปขนมลงไอจีโดยแท็กไปหาพี่ทาร์ต แล้วพิมพ์แคปชั่นว่า 'อร่อยโดยไม่ต้องเสียเงิน เพราะมีคนทำให้กิน'

ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงที่ผมย้ายตัวมานั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น เหลือบไปมองทางบันไดก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่าทาร์ตจะเดินลงมาจากห้องจนน่าแปลกใจ ไม่ใช่ว่าอาบน้ำเสร็จก็นอนหลับงั้นเหรอ... หรือจะหนีหน้ากันเพราะเหตุการณ์น่าอึดอัดเมื่อครู่ มันควรสลับกันหรือเปล่า ก็เขาเป็นคนเข้ามาใกล้ผมเองนี่

"ปูน ชะเง้อมองอะไรลูก"
เสียงหวานๆ ของแม่ดังขึ้นทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว ด้วยความที่คิดอะไรเพลินๆ เลยไม่ได้ยินเสียงรถเข้ามาจอดในบ้าน

"ตกใจหมดเลยแม่"
ผมหันไปบอกเสียงตื่นๆ แล้วตรงเข้าไปช่วยแม่ถือกระเป๋า เธอเหล่สายตามองกันก่อนจะหัวเราะออกมาแล้วใช้มือเรียวขยี้หัวกันจนยุ่งเหยิงไปหมด

"ขวัญอ่อนจังเลยนะพ่อลูกชาย"

"นิดหน่อยครับ วันนี้เหนื่อยหรือเปล่า"

"ปกติน่า แล้วนี่พี่ทาร์ตไปไหน"
แม่ถามก่อนจะสอดส่ายสายตามองหาผู้ร่วมอาศัยอีกคน ผมเหลือบไปมองทางบันได้อีกครั้งก่อนจะชี้มือไปเป็นการบอกตำแหน่ง

"บอกว่าจะไปอาบน้ำตอนห้าโมงกว่าๆ ตอนนี้จะทุ่มแล้วยังไม่ลงมาเลยแม่ ตกส้วมตายไปหรือยังก็ไม่รู้"
ผมว่าด้วยเสียงเซ็งๆ แล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ แม่ อยากจะขึ้นไปดูอยู่หรอกว่าหมกตัวทำอะไรอยู่ในห้องแต่ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง ก็ไอ้อาการขัดเขินยังหลงเหลืออยู่เหมือนเดิมน่ะสิ เธอขมวดคิ้วมองกันแล้วใช้นิ้วดีดหน้าผากผม

"โอย แม่ดีดหน้าผากปูนทำไม"
ผมยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ ก่อนจะมองหน้าแม่ด้วยความสงสัย อยู่ๆ ก็ทำร้ายร่างกายกันเพื่ออะไรเนี่ย

"รู้ว่าพี่เขาหายไปนานแล้วทำไมไม่ขึ้นไปดูล่ะปูน ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง"

"ก็..."
พูดไม่ออกได้แต่ยิ้มแหยๆ ส่งไปให้ จะบอกแม่ได้ยังไงว่าผมเผลอหวั่นไหวกับลูกรักของเขาล่ะ... มีหวังโดนสอบสวนยาวแน่ๆ

"เอ้า ยังนั่งอยู่อีก รีบๆ ขึ้นไปดูพี่เขาเลย เดี๋ยวแม่จะไปอาบน้ำแล้วทำกับข้าวรอ"
แม่ตีขาผมแล้วเร่งให้ลุกขึ้นไปดูลูกชายสุดที่รักของเขา

"โอเคครับๆ ขอพะโล้ไก่ใส่ไข่นะแม่!"
ผมตอบไล่หลังแม่ที่เดินหายเข้าไปในห้องครัวก่อนจะแยกไปขึ้นบันไดเพื่อไปดูพี่ทาร์ตบ้าง แต่ประตูยิ่งใกล้เท่าไหร่หัวใจผมก็ยิ่งเต้นแรงจนน่ากลัว ควรจะสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วยืนทำสมาธิก่อนหรือเปล่านะ แต่ความคิดกลับแตกกระจายเมื่อคนในห้องโผล่ออกมา เขาดูตกใจแต่แค่แว็บเดียวเท่านั้นก็กลับไปเป็นปกติ

"มาตามพี่เหรอ"
เขาถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ ท่วงท่าที่ยืนใช้มือค้ำประตูดูแล้วโคตรน่าหมั่นไส้ แต่ผมพยายามไม่สนใจ

"ก็ประมาณนั้น หลับเหรอ"
ผมถามเขาแต่สายตากลับกรอกไปโฟกัสทางอื่น ตอนนี้เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างของพี่ทาร์ตมันมีอิทธิพลต่อหัวใจของผมเกินไปจนไม่กล้ามองเขาตรงๆ หวั่นไหวจนน่ากลัว รู้ว่ายิ่งใกล้ยิ่งถลำลึกแต่ไม่อยากถอนตัว พี่ทาร์ตทำหน้าฉงนสงสัยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะร้องขึ้นมาอย่างคนนึกได้

"อ้อ... ใช่ๆ อาบน้ำเสร็จก็เผลอหลับไปเลย โทษทีนะ"
พี่ทาร์ตตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเล็กน้อย แต่ดูยังไงก็ให้ความรู้สึกแปลกเหมือนไม่จริงใจ และอาจจะรวมไปถึงการโกหกด้วย แต่ผมขี้เกียจจะเซ้าซี้อะไรเลยปล่อยๆ ไป

"อื้อ ลงไปกินข้าวเย็นกัน"
ผมบอกก่อนจะเดินนำเขาลงบันไดไปชั้นล่าง

"ครับๆ"

วันนี้ก็จบลงพร้อมกับความสับสนในใจของผมเหมือนเดิม ยอมรับแบบไม่อายว่าเริ่มหวั่นไหวกับการกระทำสองแง่สองง่ามของพี่ทาร์ต ทั้งๆ ที่กลัวว่ามันจะกลายเป็นความชอบแต่กลับไม่อยากให้เขาห่างออกไป จะให้คุยให้ปรึกษากับใครก็ทำไม่ได้ คงต้องเก็บทุกความรู้สึกเอาไว้จนกว่าจะทนไม่ไหวเข้าสักวัน





------------------------------------------------------

ตอนที่ 5 มาแล้วเนอะ ฮุฮิ น้องปูนหวั่นไหวแล้ว พี่ทาร์ตล่ะเอาไงดี?
รีบๆ คิดนะยู เดี๋ยวคนอื่นจะคาบไปแ_กซะก่อน

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 6

Strawberry Pavlova
: ไข่ขาว/น้ำตาล/วิปปิ้งครีม/สตรอเบอร์รี่/สีผสมอาหาร :





'คืนนี้ไปกินเหล้ากัน'

คำชวนจากปากพี่ชายข้างบ้านยังคงตกค้างอยู่ในโสตประสาทการได้ยิน ไม่รู้ว่าอยู่ๆ เกิดคึกอะไรมาชวนกันไปกินเหล้าแบบนี้ จะบอกว่าเพราะคิดถึงแฟนเก่าก็คงไม่ใช่ เพราะเขายืนยัน นั่งยัน และนอนยันแล้วว่าหมดใจกับพี่เจนจริงๆ และสามารถทำใจได้แล้ว ผมยังคิดว่ามันเร็วเกินไปแต่พอได้รับคำยืนยันจากไอ้ฟ่อนด้วยเลยเชื่อสนิทใจ

ท่าทีกระอักกระอวนระหว่างกันยังคงมีให้เจอเป็นระยะๆ รู้สึกเหมือนมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกได้ ตัวผมเองคือหวั่นไหว ตัวพี่ทาร์ตคือความสั่นไหวในดวงตา หรือเราทั้งคู่กำลังอยู่ในสภาวะต้องทำความเข้าใจหัวใจตัวเองหรือเปล่านะ

ผมนั่งทอดสายตามองต้นไม้สีเขียวในสวนไปเรื่อยๆ อากาศวันนี้ไม่ได้ร้อนสักเท่าไหร่นักเพราะเมื่อคืนฝนเพิ่งตกไปหมาดๆ Macbook เครื่องเก่งที่หิ้วติดมือมาด้วยกำลังบรรเลงเพลงในลิสต์แบบสุ่ม กะว่าจะออกมานั่งทำงานที่ต้องส่งตอนเปิดเทอมแต่ดันไม่มีอารมณ์ซะอย่างนั้น จะให้นั่งทบทวนภาษาเกาหลีก็ขี้เกียจ... เฮ้อ

"ไหนบอกจะทำงานไง"
เสียงทุ้มถามขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของพี่ทาร์ตที่ถือจานขนมอบจากเตาร้อนๆ ติดมือมาด้วย ผมของกินด้วยดวงตาเป็นประกายจนอีกคนใช้นิ้วเคาะหน้าผากกันเบาๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา

"งานก็ไม่ทำ ยังจะตะกละอีกนะ"
เขาวางจานขนมลงแล้วทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ กัน ผมไม่สนใจคำว่ากล่าวนั่นแล้วเอื้อมมือไปหยิบของกินขึ้นมาพิจารณา หน้าตาดีนะ แต่มันเรียกว่าอะไรหว่า ไม่เห็นจะรู้จักเลย

"มันเรียกว่าอะไรครับ"
ผมถามแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเพื่อจะอัพลงไอจีเหมือนเคย พี่ทาร์ตมองกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบขนมขึ้นมาแล้วบอกชื่อของมัน

"Strawberry Pavlova"
สำเนียงภาษาอังกฤษดีจนน่าอิจฉา ชื่อขนมที่เขาบอกมาทำให้ผมฉงนเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ถามกลับไป เอาเป็นว่าลองกินเลยก็แล้วกัน

ลองกัดเข้าไปคำแรกก็พบว่ารสชาติและเนื้อสัมผัสของขนมตัวนี้เหมือนกับ Meringue ไม่มีผิด หวานแต่ไม่มาก กรอบนอกด้านในนุ่มนิ่มคล้ายมาชเมลโล่ตัดกับรสชาติเปรี้ยวๆ ของสตรอเบอร์รี่ด้วยแล้วมันอร่อยแบบบรรยายไม่ถูกเลยทีเดียว รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปากของผมก่อนจะเงยหน้ามองอีกคนที่มองกันอยู่แล้ว... โดนจ้องมานานเท่าไหร่แล้วนะเรา

"อร่อยไหม หวานไปหรือเปล่า"
พี่ทาร์ตถามก่อนจะส่งขนมเข้าปากไปอีกชิ้น เขาดูมีความสุขเวลาได้กินของหวานๆ เสมอ ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบเพราะมันได้รสชาติหวานกำลังพอดีนั่นเอง

"หวานกำลังดีเลยพี่ อร่อยมากครับ"
ผมตอบกลับไปแล้วยิ้มให้เขาก่อนจะหยิบขนมเข้าปากอีกชิ้น ตอนนี้ขอลืมเรื่องงานไปก่อนแล้วกัน ยังไงการกินก็สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด

"ดีใจที่ปูนชอบ"
พี่ทาร์ตตอบกลับมาโดยไม่มองหน้ากันแล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมต้องใช้ทำงานไปเปิดอ่าน หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแทบจะทันทีเมื่อสายตาปะทะเข้ากับตัวอักษรในนั้น ก็มันเป็นภาษาเกาหลีปะปนกับภาษาอังกฤษ

"เรียนภาษาเกาหลีเหรอ"
พี่ทาร์ตถามทั้งๆ ที่สายตายังคงไล่อ่านตัวอักษรภาษาอังกฤษในส่วนบรรยายการใช้ไวยากรณ์และอธิบายหลักการต่างๆ หนังสือที่เขาถืออยู่คือ Korean Grammar in Use : Beginning ที่ผมซื้อมาประกอบการเรียนของตัวเอง

"อือ ก็เรียนเอกเกาหลีไง เคยบอกพี่ทาร์ตไปครั้งนึง"
ผมตอบแล้วเหลือบมองเขาเป็นระยะ หวังว่าเขาจะพอนึกอะไรออกบ้าง แต่ทำใจไว้แล้วล่ะ เพราะเข้าใจว่ามันไม่ได้สำคัญกับชีวิตของพี่ทาร์ตสักเท่าไหร่

"อ๋อ โทษที จำไม่ได้ว่ะ"
พี่ทาร์ตตอบกลับมาก่อนจะวางหนังสือไว้ที่เดิมแล้วหยิบขนมชิ้นสุดท้ายใส่ปาก ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงออกว่ารู้สึกขอโทษแต่อย่างใด เอาเถอะ ชีวิตของเขามีอะไรให้น่าจดจำมากกว่าเรื่องนี้เยอะแยะ

"อืม ~ หิวน้ำจัง"
ผมพูดขึ้นลอยๆ แล้วหยิบหนังสือไวยากรณ์ภาษาเกาหลีมาเปิดออกเพื่อจะทำงานที่ค้างไว้ตั้งแต่เมื่อช่วงเช้า ไม่รู้อาจารย์นึกคึกอะไรให้เขียนสรุปเนื้อหาที่ได้เรียนผ่านมาในเทอมที่แล้ว

"เดี๋ยวพี่ไปเอามาให้"
พี่ทาร์ตเสนอตัวก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้านแบบเงียบๆ ผมละสายตาจากตัวหนังสือก่อนจะถอนหายใจเบาๆ ทำไมรู้สึกเหมือนคนอยากจะร้องไห้ตอนเขาบอกว่าจำไม่ได้เรื่องเรียนวะ... แบบนี้มันมากกว่าหวั่นไหวแล้วหรือเปล่านะ

ผมกางหนังสือไว้แบบนั้นแล้วเบนสายตามองไปรอบๆ สวนเผื่อว่าความคิดฟุ่งซ่านจะจางหายไป แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเพราะสมองยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องพี่ทาร์ตไม่จบไม่สิ้น ยกมือขึ้นเกาหัวจนยุ่งเหยิงด้วยความหงุดหงิดก่อนจะลุกพรวดไปหยิบสายยางมารดน้ำต้นไม้

"เฮ้ย... อยู่ๆ ก็เปลี่ยนไปรดน้ำต้นไม้ เป็นอะไรหรือเปล่า แล้วงานมันจะเสร็จไหมวะวันนี้"
พี่ทาร์ตที่ยืนพิงกรอบประตูกระจกเอ่ยถามกันขึ้น ใบหน้าหล่อๆ ดูไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ ก็เขานะเป็นพวกเคร่งกับเรื่องเรียนจะตายไป ในมือหนามีแก้วน้ำเปล่าที่ขึ้นไอเย็นบางๆ หิวน้ำ... แต่ไม่อยากเดินไปหาเพราะยังรู้สึกเหมือนอยากร้องไห้อยู่เลย ทำไมเป็นคนขี้น้อยใจขี้แยแบบนี้วะเรา

"เหลือเวลาอีกหลายวันน่าพี่ทาร์ต อย่าดุแทนป๋าดิ"
ผมมุ่ยหน้าใส่เขาแล้วขยับตัวไปรดน้ำดอกกุหลาบที่อยู่ถัดออกไป ไม่รู้จะกลบเกลื่อนอาการบ้าๆ นี้ได้อย่างไร ตอนนี้คงทำได้แค่หันหลังปิดบังทุกอย่างเท่านั้น เรื่องหัวใจมันยากจะเข้าใจจริงๆ เมื่อหวั่นไหวไปแล้วเพศก็กลายเป็นเรื่องที่สามารถมองข้ามกันได้สบายๆ

"ตามใจ ทำไม่ทันขึ้นมาอย่าบ่นนะปูน แล้วนั่นวางสายยางก่อนได้ไหม หิวน้ำไม่ใช่หรือไง"
พี่ทาร์ตเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวเดิมแล้ววางแก้วน้ำทั้งสองใบไว้ ผมเหลียวมองเขาเล็กน้อยก่อนจะกลับไปสนใจการรดน้ำต้นไม้เหมือนกับว่ามันสำคัญนักหนา ถ้าปล่อยปะละเลยแค่วินาทีเดียวดอกไม้อาจจะเหี่ยวตายอะไรประมาณนั้น

"ปูน... หรือต้องให้พี่เดินไปป้อนวะ"
เสียงแข็งใส่กันเพื่ออะไรวะ แค่ไม่ยอมวางสายยางแค่นี้ต้องโมโหด้วยหรือไง อารมณ์แปรปรวนเหรอ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายใส่กันเนี่ย

"เดี๋ยวเดินไปกินเองครับ"
ตอบกลับไปแบบนั้นแล้ววางสายยางลงก่อนจะเดินไปปิดก๊อกน้ำ ถ้าขัดใจเขาไปมากกว่านี้อาจจะโดนทำโทษอะไรสักอย่าง

ผมหย่อนตัวลงแล้วหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหาย เมื่อครู่ไม่ได้สนใจเลยว่าแดดร้อนมากขนาดไหน เพิ่งมารู้เดี๋ยวนี้เองว่าเหงื่อออกตามไรผมเต็มไปหมด

"หาเรื่องว่ะ มาคึกรดน้ำต้นไม้อะไรตอนเที่ยง"
พี่ทาร์ตบ่นงุ้งงิ้งแต่ก็ยื่นกระดาษทิชชู่มาให้กัน ผมไม่ได้รับมาในทันทีเพราะยังถือแก้วน้ำค้างอยู่ คนตรงหน้าคงรู้สึกว่าชักช้าเกินไปเลยลงมือเช็ดหน้าให้กันซะอย่างนั้น

"เฮ้ย เดี๋ยวเช็ดเองก็ได้ครับพี่"
ผมรีบวางแก้วน้ำแล้วผละตัวออกทันที พี่ทาร์ตชักสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมดึงมือกลับไปแล้วผลักกล่องทิชชู่มาให้กัน ดูเหมือนเขาทำตัวงุ่นง่านชอบกล ไม่แกล้งกันเหมือนเมื่อหลายวันก่อนแต่จะดุมากกว่า นิสัยเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเป็นไบโพล่าแน่ๆ

"คืนนี้จะไปกินเหล้าร้านไหนดีครับ ผมไม่ค่อยถนัดด้วยดิ"
ผมเช็ดหน้าพลางถามพี่ทาร์ตไปพลาง เขาขมวดคิ้วแน่นแล้วถลึงตาใส่กันเหมือนกำลังโกรธ เออ... ลืมไปว่าอีกคนเพิ่งกลับจากอเมริกานี่หว่า หาเรื่องใส่ตัวอีกแล้วไหมล่ะกู

"อย่าถามพี่สิเว้ย"

"อ่า... งั้นผมโทรถามไอ้กู๊ดแป็ปนะ มันชอบไปนั่งชิลล์บ่อยๆ"
ผมวางทิชชู่ในมือลงก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มือถือแต่ช้ากว่าอีกคนที่คว้ามันไปซะแล้ว

"อ่าว... เอามือถือผมไปทำไมอะ"
ผมถามด้วยความงุนงงและเอียงคอเล็กน้อยเพราะไม่เข้าใจว่าอีกคนจะหยิบโทรศัพท์ไปทำไม จะบอกว่าเอาไปเล่นตอนนี้ก็คงไม่ใช่ บอกไปว่าจะใช้อยู่หยกๆ นี่นา

"ไม่ต้องโทรถามมันหรอกน่า หาข้อมูลจากในเน็ตเอาก็ได้"
พี่ทาร์ตพูดก่อนจะโบกมือไปมาแล้วเนียนหย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อของตัวเองไปซะอย่างนั้น ถ้าผมเป็นผู้หญิงจะคิดว่าเขากำลังหึงแล้วนะ พูดถึงไอ้กู๊ดเมื่อไหร่ออกอาการแบบนี้ทุกที

"โอเค ตามนั้นครับ"

สุดท้ายแล้วร้าน Sound ก็เป็นสถานที่ลงเอยของการกินเหล้าในคืนนี้ มันตั้งอยู่แถวๆ วงเวียนม้าน้ำ จากการหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต หลายๆ คนบอกว่า บริการดี ดีเจเก่ง เปิดเพลงแนว EDM ซึ่งผมไม่รู้จักแต่อาจจะเคยฟังแต่เรียกไม่ถูก ที่สำคัญคือพนักงานเสิร์ฟหน้าตาดีโดยเฉพาะผู้ชาย... เชื่อสิว่าสาวๆ คงเยอะน่าดู

"พี่ทาร์ต ผมหิวข้าว"
ผมส่งเสียงอ้อนๆ ไปให้คนที่กำลังนั่งดูหนังทางช่องทรูแบบเอาเป็นเอาตายมาสักพักโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลยแม้แต่นิด มีแค่บางครั้งที่เขาจะเหลือบมองกัน บางครั้งก็ดุ บางครั้งก็เฉยเมย บางครั้งก็ดูเหมือนจะหึงจะหวงกัน ตกลงแล้วมันคืออะไร หรือผมคิดมากไปเอง

พี่ทาร์ตชะงักมือที่หยิบปลาเส้นเข้าปากแล้วหันมามองกันเล็กน้อย ผมส่งสายตาอ้อนๆ ไปให้เขาอย่างจริงจัง ก็เมื่อเที่ยงกินไปแค่มาม่ารสเผ็ดเอง

"อยากกินอะไรล่ะ เดี๋ยวไปทำให้ครับ"
เขาเอื้อมมือไปหยิบรีโมททีวีขึ้นมากดปุ่มปิดแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะบิดขี้เกียจไปมา ผมเอียงคอเล็กน้อยเมื่อต้องใช้ความคิดว่าตัวเองอยากกินอะไร รู้ว่าหิวแต่คิดเมนูไม่ออก นี่มันปัญหาโลกแตกระดับชาติเลยนะ

"ไก่ทอด... คิดไม่ออกว่ะพี่ ช่วยคิดหน่อย"
ผมช้อนตามองอีกคนแล้วยกขาขึ้นจัดสมาธิบนโซฟา โยกตัวไปมาเล็กน้อยเหมือนเด็กๆ เวลาคิดอะไรไม่ออกแล้วจะเป็นแบบนี้ตลอด

"หิวก็คิดดิ พี่กินได้ทั้งนั้นล่ะ"
พี่ทาร์ตปรายหางตามองกันเพียงเท่านั้นก่อนจะก้มลงดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่มีแสงสว่างวาบขึ้นมา ผมเหลือบไปเห็นพอดีว่าไอ้ฟ่อนโทรเข้า แต่เขาไม่ยอมรับและปล่อยให้ดับไปเอง

"ผมตามใจพี่ทาร์ต"
ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ปกติก็ไม่ใช่คนกินยากสักเท่าไหร่ มีคนทำให้ก็กินทั้งนั้นล่ะ

"แน่นะ"
พี่ทาร์ตเหล่ตามองกันอีกครั้ง ซึ่งผมก็พยักหน้ารัวๆ กลับไป

"แน่ครับผม"
ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นเพราะตอนนี้ท้องกำลังร้องโครกครากจนน่าอาย ขืนให้มานั่งคิดว่าอยากกินอะไรคงไส้ขาดพอดี

"แล้วถ้าพี่บอกว่าพี่อยากกิน..."
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาราวกับกระซิบแถมปลายประโยคยังแหบพร่าจนน่าขนลุก ผมขยับตัวจนชิดกับขอบโซฟา ไม่กลัวที่จะตกลงไปสักนิดเพราะเขาดูน่าอันตรายกว่าเยอะ ดวงตาคมเป็นประกายที่มองมามันหมายความว่ายังไง

"....."

"ถ้าพี่อยากกินปูนล่ะ จะยอมตามใจเหมือนเดิมไหม"
ที่ทาร์ตปล่อยให้ประโยคสุดท้ายลอดผ่านริมฝีปากหยักของตัวเองออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้ฉายแววล้อเล่นแต่อย่างใด น้ำเสียงจริงจังจนสามารถเขย่าหัวใจของผมอย่างน่ากลัว เขาบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่พูดออกมาแบบนั้น

"ห๊ะ... พะ พูดบ้าอะไรของพี่เนี่ย"
ผมถามกลับไปด้วยความตกใจและเบิกตาโตมองเขาอย่างหวาดหวั่น มือเรียวจิกลงบนโซฟาอย่างแรงโดยไม่สนว่ามันจะขาดหรือไม่ หัวใจเต้นแรงเกินไปแล้ว บ้าฉิบหายเลย!

"หึหึ ก็ปูนบอกว่าตามใจพี่นี่นา"
น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ขึ้น คิ้วสวยยักขึ้นลงเพื่อนกวนประสาทกัน แบบนี้แกล้งกันอีกแล้วแน่ๆ ไม่รู้ว่าอันเรื่องจริงอันไหนเรื่องหลอก แม่ง!

"โอย พี่ทาร์ตเป็นไบโพล่าหรือไงวะ เดี๋ยวแกล้ง เดี๋ยวดุ เดี๋ยวก็หวง ผมตามไม่ทันแล้ว"
ผมยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิงเพราะความสับสนและไม่เข้าใจ ดวงตารีไม่ได้สบมองคนที่ยังยืนค้ำกัวกันในตอนนี้ ไม่อยากรับรู้อะไรเลยสักอย่าง ไม่อยากหวั่นไหว ไม่อยากเป็นเด็กขี้มโนเข้าข้างตัวเอง ไม่อยากเป็นน้อง ไม่อยากรู้จัก ไม่อยากทำเหี้ยอะไรเลยสักอย่าง ร้องไหมมันจะช่วยไหมวะ อึดอัดจัง

"ไม่รู้ดิ คืนนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพี่เป็นอะไร"
เขาทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นแล้วก้าวขายาวๆ เดินเข้าครัวไป ปล่อยให้ผมนั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่ตามลำพัง กลับมาทำให้วุ่นวายใจแบบนี้ ไม่ต้องกลับมาก็ดีมั้ง... อยากให้ไอ้ฟ่อนอยู่ด้วยในเวลาแบบนี้จัง อยากรู้ว่าพฤติกรรมแสนประหลาดของพี่มันทั้งหมดคืออะไร

แต่สิ่งที่เขาพูดไปเมื่อครู่คือหมายความว่ายังไง อยากพิสูจน์ในร้านเหล้าอย่างนั้นเหรอ...

ผมจัดการความรู้สึกฟุ้งซ่านของตัวเองไปจนหมดแล้วพาพี่ทาร์ตออกจากบ้านในเวลาสองทุ่ม แม่ไปต่างจังหวัดเลยไม่ต้องตอบข้อซักถามของใครให้มากความ เหมือนเด็กใจแตกหนีเที่ยวยังไงก็ไม่รู้ แต่ช่างมันเถอะ แค่ไปกินเหล้าไม่ได้ฆ่าแกงใครหรือหิ้วสาวคนไหนไปกกซะหน่อย

ถนนสายหลักยังคงมีรถผ่านไปผ่านมาแต่ไม่ได้แออัดอย่างช่วงตอนเย็นแล้ว สองข้างทางเงียบสงบเพราะร้านค้าและบริษัทห้างร้านได้ปิดตัวลง กว่าจะคึกครื้นก็คงต้องรอให้ถึงใจกลางเมืองนั่นล่ะ บ้านนอกมันก็อย่างนี้ แหล่งท่องเที่ยวกระจุกรวมกันเป็นหย่อมๆ ไม่เหมือนเมืองหลวงที่มองไปทางไหนก็มีแต่แสงสี

เสียงเพลงยังคงบรรเลงช่วยให้บรรยากาศในรถไม่น่าอึดอัดเกินไป คนที่นั่งข้างกันนั้นแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินกรมท่าและพับแขนขึ้นถึงข้อศอก ทรงผมถูกจัดให้ดูเท่และแบดบอยในคราวเดียวกัน กางเกงยีนส์แนบไปกับขายาวทำให้มีเสน่ห์ขึ้นเป็นกอง รองเท้าหนังสีน้ำตาลยิ่งช่วยเสริมบุคลิกให้ดูน่าค้นหามากยิ่งขึ้น ทุกอย่างดูดีไร้ที่ติไปหมด แต่ผมไม่ชอบใจ หงุดหงิดแทบบ้า สาวๆ ต้องให้ความสนใจมากแน่ๆ ยิ่งในร้านเหล้านะ อ่อยได้เป็นอ่อย วันไนท์สแตนด์เพียบ

"คืนนี้พี่หล่อไหม"
พี่ทาร์ตถามก่อนจะหันมามองกันอย่างรอคำตอบ ผมเบ้ปากใส่เขาโดยยังคงจับจ้องไปที่ถนนตรงหน้า รู้อยู่แก่ใจยังจะถามอะไรอีก หล่อวัวตายควายล้ม หล่อไม่เกรงใจผีบ้านผีเรือน หล่อจนนางตานียังหวั่นไหวเลยมั้ง หงุดหงิดเว้ย! ทีผมจะใส่กางเกงขาสั้นยังห้ามแทบตาย แล้วนี่อะไรวะ ตัวเองทำอย่างกับจะไปเดินแบบ โคตรไม่ยุติธรรม

"ถามทำไมพี่ ก่อนออกจากบ้านไม่ได้ส่องกระจกหรือไง"
ผมว่าด้วยเสียงฉุนๆ และใช้เท้าแตะคันเร่งหนักขึ้น อะไรๆ ก็ขัดใจไปซะหมดทุกอย่าง อยากขับรถชิดขวาแล้วยูเทิร์นกลับบ้านให้รู้แล้วรู้รอด กินเหล้าไม่เห็นมีประโยชน์ตรงไหน

"ส่อง แต่อยากได้ความคิดเห็นจากปูนไง"
พี่ทาร์ตบอกด้วยน้ำเสียงสบายๆ ทำให้ผมต้องเหล่สายตามองเขาอย่างเบื่อหน่าย แสงไฟจากด้านนอกก็ทำให้เห็นหน้าเพียงลางๆ เท่านั้น จะให้ตอบยังไง... รู้ว่าเขาหล่อแต่ไม่อยากชมนี่

"ไม่มีความเห็นครับ"
ผมกลับไปด้วยเสียงราบเรียบแล้วทำทีท่าว่าสนใจถนนนักหนา ทางก็โล่งแต่ใจกลับไม่เป็นอย่างนั้น สมองพาลแต่จะคิดถึงเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิด ถ้าคืนนี้พี่ทาร์ตเจอผู้หญิงที่ถูกใจเข้ามันจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ...

"โธ่ เซ็งว่ะ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ ก่อนจะปรับเบาะให้เอนไปด้านหลังมากขึ้นแล้วล้มตัวลงนอนซะอย่างนั้น ทำไมสภาพเหมือนคนแก่อยากกลับบ้าน ไหนบอกว่าอยากท่องราตรีเมืองภูเก็ตไง

"ง่วงเหรอครับ"
ผมถามออกไปเพื่อลองเชิง ถ้าเขาตอบว่าง่วงล่ะก็ผมจะยูเทิร์นกลับที่สี่แยกมหา'ลัยราชภัฏภูเก็ตเลยทีเดียว

"ระดับนี้แล้ว ไม่มีคำว่าง่วงหรอกน้องปูน"

"ครับๆ"
ผมตอบปัดๆ ไปเพราะไม่อยากใส่ใจว่าเขาจะทำอะไรบ้าง อยากลองห่างจากพี่ทาร์ตดูบ้าง อยากถามใจตัวเองว่าที่เผลอหวั่นไหวไปนั้นเป็นเพราะความรู้สึกเปลี่ยนหรือแค่ไม่ชินที่เจอกันอีกครั้งหรือเปล่า

Sound Phuket
เสียงเพลงดังกระหึ่มออกมาจากด้านในร้านจนหูแทบแตก ผมไม่ค่อยชอบสถานที่แบบนี้สักเท่าไหร่ ส่วนมากถ้าอยากดื่มจะไปร้านนั่งชิลล์ บรรยากาศสบายๆ เปิดเพลงบีทไม่หนักขนาดนี้ แต่ดูท่าทางพี่ทาร์ตจะชอบแนวผับมากกว่า ก็เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตั้งแต่ลงมาจากรถแล้ว

"รู้สึกเหมือนจะอ้วกเลยว่ะ"
ผมบ่นพึมพำเมื่อเราเดินเข้ามาด้านใน แทบจะสื่อสารกับใครไม่ได้เพราะเพลงเสียงดังมากจนสะเทือนไปทั้งร่างพาลให้รู้สึกอึดอัดพะอืดพะอมแปลกๆ อาจจะปกติสำหรับนักเที่ยวแต่มันไม่ปกติสำหรับผมแล้วไม่เลย และไม่ชินแม้กระทั่งท่าทางที่พี่ทาร์ตแสดงออก เขาเดินนำไปโดยไม่รอผมแถมยังส่งยิ้มให้สาวๆ ที่มองมาอีกต่างหาก หางโผล่แล้วสินะ ลายความเจ้าชู้ขึ้นเต็มตัวยิ่งกว่ากลากเกลื้อนซะอีก

ผมเดินตามไปอย่างคนซังกะตาย เห็นท่าทีกระดี๊กระด๊าของพี่ทาร์ตแล้วรู้สึกหมั่นไส้ตะหงิดๆ ไม่ต้องถามว่าลืมแฟนเก่าได้หรือยังเพราะแสดงออกชัดเจนขนาดนั้น ถึงที่หมายก็ทิ้งตัวลงนั่งโดยไม่พูดอะไร ไม่อยากมองหน้าเจาด้วยซ้ำ หมั่นไส้ สาวๆ พวกนั้นก็ไม่รู้จะมองอะไรนักหนา สายตานี่อ่อยกันเต็มที่ ถ้าไม่เกรงใจคงเดินเข้ามาหาแล้วล่ะมั้ง

"ทำไมทำหน้าบึ้งแบบนั้น"
พี่ทาร์ตตะโกนข้ามโต๊ะมาถามกันด้วยสีหน้าระรื่น ดวงตาคมเป็นประกายและเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ผมไหวไหล่ก่อนจะพิงหลังลงกับพนักเก้าอี้ ขี้เกียจจะตอบ

"เอ้า ถามไม่ตอบอีกคนเรา"
พี่ทาร์ตพูดขึ้นก่อนจะทำสีหน้ายุ่งๆ ใส่ แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นเขาก็เปลี่ยนท่าทางไปเพราะเหล้ามาเสิร์ฟแล้ว พนักงานของที่นี่ดีนะ คอยชงเหล้าให้ไม่ต้องเหนื่อยลูกค้าจัดการเอง

ผมรับแก้วเหล้าสีอำพันมาถือไว้แล้วทอดสายตาไปเรื่อยๆ ก่อนจะกระดกมันให้ไหลผ่านลงคอไปช้าๆ ไม่ได้ดื่มนานจนรู้สึกว่าไม่ถูกปากยังไงไม่รู้ แอบคิดถึงนมสดที่บ้านจังเลย ขนมเค้กสักชิ้นก็คงดี ไม่ใช่กับแกล้าของคนขี้เมาอย่างนี้ เสียสุขภาพชะมัด แต่ช่างมันเหอะ ดูเหมือนพี่ทาร์ตจะชอบแอลกอฮอล์มากกว่า

"คนนั้นสวยปะ"
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พี่ทาร์ตขยับเข้ามานั่งข้างๆ กัน ผมสะดุ้งเล็กน้อยและหันไปมองหน้าคนถามด้วยความรู้สึกเบลอๆ คนไหนอะไร ใครสวย อยู่ๆ ก็ถาม งงว่ะ

"อะไร ใคร"
ผมถามกลับไปสั้นๆ ด้วยเสียงที่ดังจนรู้สึกแสบคอ ใบหน้าหล่อเหลาพยักพเยิดไปทางสองนาฬิกาเพื่อให้มองตามไป ดวงตารีเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนั้น เธอผมยาวดัดลอนเล็กน้อย ใส่เสื้อเอวลอยสีดำกับกางเกงยีนส์แนบขา บวกด้วยรองเท้าผ้าใบเก๋ๆ หนึ่งคู่ ดูเป็นคนห้าวๆ แต่โคตรสวย นี่น่ะเหรอสเปคของพี่ทาร์ต ห่างไกลจากเด็กกะโปโลอย่างผมเยอะ ก็ตั้งแต่เพศแล้วล่ะ ยังเอาความหวั่นไหวของตัวเองกลับมาทันไหมนะ

"อ้อ... สวยดีครับ ชอบเหรอ"
ผมถามกลับไปตรงๆ ถึงจะรู้สึกกลัวคำตอบและหน่วงๆ อยู่บ้างก็เถอะ ปากมันพาไปด้วยความหงุดหงิดนี่หว่า บอกแล้วว่าให้เลิกหยอดเลิกเต๊าะกันสักที ผลเป็นไงล่ะ ผมหวั่นไหวแต่เขาไม่รู้ไง สะเทือนใจไปอีกกู

"อืม ว่าจะเข้าไปทำความรู้จักสักหน่อย"
พี่ทาร์ตยักคิ้วให้กันแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ ท่วงท่าที่แสดงออกโคตรน่าหลงใหลจากมุมมองคนอื่น แต่สำหรับผม... น่าโมโหว่ะ ขี้เก๊กด้วย

"อืม ผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ"
ลุกพรวดออกมาจากตรงนั้นเพราะรู้สึกอยากร้องไห้ยังไงชอบกล ไม่สามารถออกปากห้ามเขาทำเรื่องแบบนั้น ไม่สามารถบอกว่าผมหวง ไม่สามารถแสดงอาการอะไรสักอย่างออกไป ขายาวๆ ก้าวไปเรื่อยๆ อย่างคนเร่งรีบจนถึงห้องน้ำ ความจริงแล้วไม่ได้ปวดฉี่แต่อย่างใด แค่มาสงบจิตสงบใจเท่านั้น ยืนมองตัวเองในกระจกก็รู้สึกสมเพช ปากบอกกับไอ้ฟ่อนว่ายังไงก็ไม่มีทางรู้สึกมากกว่าพี่น้องกับพี่ทาร์ต แล้วเป็นไงล่ะ อยากขำให้ฟันร่วง แม่ง

กว่าจะทำใจเดินกลับไปที่โต๊ะได้ก็เกือบครึ่งชั่วโมง ขายาวก้าวอย่างไม่เร่งรีบแอบเจอเพื่อนที่คณะอยู่สองสามคนก็ทักทายตามปกติ แต่เมื่อใกล้จะถึงที่หมายกลับต้องชะงักกึกเหมือนโดนสาป ผู้หญิงคนที่ถูกชมเมื่อครู่กำลังนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ของผม... น่าขำ ที่ตั้งเยอะแยะทำไมต้องเลือกตรงนั้น สรุปว่าพี่ทาร์ตไม่ต้องออกแรงอะไรเลยใช่ไหม เธอแค่รอจังหวะดีๆ ที่จะเดินเข้ามาหาสินะ ต่างคนต่างเล็งกันไว้แล้วอย่างนั้นเหรอ อยากหัวเราะให้คอแตกว่ะ เหมือนโดนกระทืบยังไงไม่รู้ โคตรหน่วงในใจ... คงชอบพี่ชายข้างบ้านเข้าให้แล้วล่ะ เชี่ยเอ้ย!

ผมกลั้นใจเดินกลับเข้าไปตรงนั้นด้วยรอยยิ้มที่ฝืนที่สุดในชีวิต ทั้งสองคนดูจะตกใจเล็กน้อยเมื่อมีก้างชิ้นใหญ่กลับมา แต่วางใจเถอะ ไม่เข้าไปขัดอะไรหรอก

"ท้องเสียเหรอไง หายไปตั้งนาน นึกว่าหนีกลับบ้านซะแล้ว"
พี่ทาร์ตเอ่ยถามกันด้วยเสียงแข็งๆ ไม่ได้แสดงความห่วงใยเหมือนปกติ ต่อหน้าสาวๆ ต้องทำเป็นดุน้องชายขนาดนี้เลยเหรอ ลืมไอ้การกระทำแปลกๆ ก่อนหน้านี้ของเขาซะเถอะ คนแบบนี้คงไม่มีวันหวั่นไหวกับผู้ชายหรอก ผมมันใจง่ายเองนั่นล่ะ เขาแค่แกล้งเล่นกลับจริงจังไปได้

"เออ ท้องเสียครับ กินของแสลงไปเยอะ"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ไม่แพ้กันแล้วยกมือเรียกพนักงานเพื่อเปลี่ยนแก้วใบใหม่ ไม่อยากจะหยิบแก้วใบเก่าให้เสียเวลา พี่ทาร์ตย่นคิ้วใส่แล้วมองกันด้วยความไม่พอใจ แต่ใครจะสนล่ะ ใช้น้ำเสียงหยาบกับมาก็หยาบกลับไป แฟร์ๆ

"เพื่อนเหรอทาร์ต"
ผู้หญิงคนนั้นถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามบุคลิกห้าวๆ ของเขา ผมเหลือบมองเธอเล็กน้อยแล้วหันไปรับแก้วเหล้าใหม่จากพนักงานแทน เขาถามพี่ทาร์ตก็ปล่อยให้ตอบเองก็แล้วกัน แค่นี้ก็ย่ำแย่มากพออยู่แล้ว ขืนให้พูดเองอาจจะตะโกนแบบคนโมโหก็เป็นได้

"เปล่าครับ น้องชายที่สนิทกันน่ะ"
พี่ทาร์ตตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มจนผมเผลอคิ้วกระตุก ให้มันได้แบบนี้สิไอ้คนสองมาตรฐาน อยากจะเอาเหล้าในแก้วสาดกน้าชะมัด แค่แอบชอบเขาไม่มีสิทธิ์โวยวายอะไรหรอก

"อ๋อ แล้วน้องชายทาร์ตจะกลับตอนไหนล่ะ เราจะได้ไปต่อกัน"

ผมหันขวับไปมองพวกเขาด้วยความตกใจ อะไรคือจะไปต่อกัน หมายความว่าขึ้นห้องเพื่อที่จะ... อย่างนั้นเหรอ เหี้ยเอ้ย ทำไมต้องมานั่งฟังอะไรแบบนี้วะ ร้องไห้ใส่เลยได้ไหม แล้วแม่งก็ยกเลิกนัดทุเรศนี่ไปซะ มือเรียวกำเขาหากันแน่นเพื่อระงับอาการสับสน พยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะแสดงสีหน้าแบบปกติ

"ปูน... คืนนี้พี่ไม่กลับบ้านนะ"
เขาหันมาบอกกันด้วยน้ำเสียงระรื่น ไม่ได้รู้สึกผิดเลยที่ปล่อยให้ผมกลับบ้านไปคนเดียว ไม่ได้สังเกตเลยว่าผมกำลังพยายามอดกลั้นมาแค่ไหนที่จะไม่ร้องไห้ ก็นะ... ที่นี่มันมืดใครจะเห็นตาแดงก่ำกันล่ะ

"ครับ... ผมกลับเลยแล้วกัน จะไปหาไอ้กู๊ด สวัสดีครับ"
ผมพูดรัวเร็วและเสียงดังก่อนจะก้าวขาฉับๆ ออกมาจากร้านทันที ไม่ได้สนใจฟังเลยว่าพี่ทาร์ตตะโกนอะไรไล่หลังกันมา เพิ่งเข้าใจว่าความรู้สึกของคนผิดหวังมันเป็นยังไง ถึงจะไม่เจ็บมาก แต่ก็ปวดหนึบในใจ... แค่เริ่มชอบก็โดนเขาปฏิเสธทางอ้อมกลับมาโดยการที่เขาหนีไปขึ้นเตียงกับผู้หญิง ควรจะถอยออกมาสินะ ควรเลิกรู้สึกดีกับการเต๊าะและหยอดของเขาสักที



ต่อด้านล่างเนอะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2017 16:30:53 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ไม่รู้ว่าขับรถมาถึงคอนโดของไอ้กู๊ดได้ยังไงทั้งที่ม่านน้ำตาบดบังทัศนียภาพมาตลอดทาง เพื่อนสนิทถึงกับเบิกตาค้างเมื่อเจอผมยืนอยู่หน้าห้องของมันในสภาพเละเทะ หัวยุ่ง เสื้อเชิ้ตยับยู่ยี่ กลิ่นเหล้าหึ่ง ก็แม่งนั่งตบตีตัวเองอยู่นานสองนานกว่าจะออกมาจากร้านได้

"ไอ้เหี้ยปูน! มึงไปทำอะไรมาเนี่ย ฟัดกับหมามาเหรอ ทำไมสภาพเป็นแบบนี้"
ไอ้กู๊ดโวยวายเสียงดังโดยไม่สนว่าคนข้างห้องจะเอาขวดมาปาหัวหรือเปล่า แต่ผมไม่มีกะจิตกะใจจะด่ามันเลยสักนิด เหมือนร่างกายไร้เรี่ยวแรงยังไงชอบกลเมื่อบทสนทนาระหว่างพี่ทาร์ตกับเธอคนนั้นวนเวียนอยู่ในหัว พยายามสลัดมันออกไปแล้วแต่ไรประโยชน์ คล้ายๆ บูมเมอแรงที่ขว้างออกไปแต่ก็กลับมาที่เดิม

"ขอเข้าไปข้างในก่อนได้ไหม เดี๋ยวเล่า"
ผมบอกมันก่อนจะยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาตัวเองเมื่อรู้สึกว่าน้ำตากำลังจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ ตอนนี้สับสนระหว่างคำว่าหวั่นไหวกับชอบไปแล้วเหลือเกิน... มันจุกไปหมด เหมือนโดนพี่ทาร์ตฮุกหมัดใส่ท้อง แม่ง ความรู้สึกคนเรามันซับซ้อนขนาดนี้เลยเหรอ

"เออๆ เข้ามา เมาปะเนี่ย"
ไอ้กู๊ดหลีกทางให้ผมแล้วดึงแขนให้เข้าไปด้านในก่อนจะปิดประตูลง

"เปล่า"
ผมตอบกลับไปด้วยเสียงยานคางแล้วเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยสภาพที่ใกล้เคียงกับซอมบี้ ยิ่งกว่าดื่มเหล้าจนเมาซะอีก แค่สองสามแก้วเนี่ยนะ เด็กๆ

"เล่าได้หรือยัง"
ไอ้กู๊ดเดินเข้ามาหากันพร้อมกับน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว ผมนั่งนิ่งมองพื้นอยู่แบบนั้นอย่างชั่งใจ ควรจะพูดเหรอ แต่มันอึดอัดไม่ไหวแล้วนี่หว่า บางทีมันอาจจะให้คำตอบกันได้เรื่องความสับสนนี้ว่าที่จริงแล้วความรู้สึกของผมมันอยู่ระดับไหน

"อือ... กูพลาดวะกู๊ด พลาดที่สุดในชีวิต"
ผมเริ่มเรื่องด้วยประโยคนี้ น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นสั่นเกินกว่าจะควบคุม หัวใจมันบีบตัวจนเจ็บไปหมดจนต้องยกมือขึ้นมากุมเอาไว้ ขยำเสื้อก็แล้ว... ทำไมไม่หายสักที

"เดี๋ยวๆ มึงพลาดอะไร กูงง"
ไอ้กู๊ดขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ ผมถอนหายใจออกมาก่อนจะเม้มปากแน่น ต้องพูดสินะ

"กู... อึก คิดว่าตัวเองชอบพี่ทาร์ตว่ะ"
อยู่ๆ ก่อนสะอื้นก็จุกอยู่ตรงคอหอย อาการปวดหนึบที่หัวใจรุนแรงขึ้นจนต้องงอตัวลงจนหน้าผากแตะกับหัวเข่า ไอ้กู๊ดไม่ได้ทำเสียงตกใจอะไรเลยสักนิด เหมือนว่าที่ผมพูดออกไปมันเป็นเรื่องปกติที่รู้กันอยู่แล้ว

"ฮะๆ กูว่าแล้ว ไม่แปลกใจหรอกที่มึงจะชอบพี่ทาร์ต"
ไอ้กู๊ดหัวเราะออกมาก่อนจะส่งมือมาตบๆ ลงบนหัวกันเบาๆ ผมเอียงคอมองหน้ามันอย่างไม่เข้าใจ

"ทำไมวะ..."
ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่งงสุดชีวิต ไอ้กู๊ดคลี่ยิ้มบ้างๆ แล้วตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ

"มึงจำตอนมัธยมได้ไหม ตอนที่กูบอกว่าชอบมึงน่ะ... แม่งเอ้ย ปฏิเสธอย่างไว แถมบอกว่าพี่ทาร์ตจะโกรธถ้ามีแฟน"
ไอ้กู๊ดเบ้ปากใส่กันแล้วผลักหัวผมเบาๆ อาจจะด้วยความหมั่นไส้หรืออะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมทำเพียงแค่ย่นคิ้วเพราะไม่เข้าใจว่าเกี่ยวอะไรกัน ตอนนั้นน่าจะประมาณม.สี่ล่ะมั้งที่โดนเพื่อนสนิทสารภาพรัก เป็นประสบการณ์ที่โคตรแย่แต่ก็ผ่านมันมาได้แล้ว

"ก็จริงนี่หว่า มันเคยขู่ไว้ตอนนั้น"
ผมพึมพำออกไป ตอนนั้นพี่ทาร์ตขู่กันผ่านทางตัวอักษรส่งตรงจากอเมริกามาในข้อความโทรศัพท์... ก็กลัวพี่ชายโกรธและอีกอย่างคือไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับผู้ชายด้วยแถมเป็นเพื่อนสนิทยิ่งไม่ใช่เลย ถือคติเพื่อนไม่กินเพื่อนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

"จนกูเลิกชอบ มีสาวให้มึงคุยตั้งกี่คนวะปูน ทำไมพอรู้สึกดีกับเขาเข้าให้ สุดท้ายมึงก็ถอยออกมาไม่ยอมคบ บอกได้ปะว่าเพราะอะไร อย่าเอาเรื่องพี่ทาร์ตโกรธมาอ้างนะ"
ไอ้กู๊ดมองกันด้วยแววตาจริงจังจนผมได้แค่เบนหนีก้มลงมองพื้นตามเดิม หลังจากนั้นมาก็มีคนนั้นคนนี้เข้าหาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้คบใครเป็นเรื่องเป็นราว... ไม่ได้กลัวพี่ทาร์ตโกรธเลย มันมีอะไรมากกว่านั้น เป็นอะไรที่ผมไม่เคยเข้าใจจนถึงตอนนี้มันน่าจะชัดเจนตามที่เพื่อนสนิทบอกแล้วจริงๆ

ตั้งแต่เด็กๆ แล้วสินะที่หัวใจผูกคิดกับคนๆ นี้ น่าตลกที่คิดว่าตัวเองแค่ติดพี่ชาย เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่ามันเป็นความรู้สึกที่มากกว่านั้น ยังจะใช้คำว่าชอบได้อีกหรือเมื่อเวลามันผ่านมานานขนาดนี้ รักอาจจะเหมาะสมกว่า

"....."

"เงียบแบบนี้แสดงว่าคิดได้แล้วใช่ไหมมึง"
ไอ้กู๊ดถามกันด้วยน้ำเสียงรายเรียบก่อนจะทิ้งตัวลงบนพนักพิงโซฟา ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพยักหน้ารับอย่างเลี่ยงไม่ได้

"อือ"
ตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนจะหลับตาลงเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดเรื่องนี้ แต่ไม่ได้ช่วยอะไรเพราะมีบางอย่างรบกวน บางอย่างที่เพิ่งเกิดไปเมื่อสักครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ป่านนี้พี่ทาร์ตจะไปอยู่ที่ไหนแล้ว... น้ำตาก็แม่งจะคลออะไรนักหนา กลายเป็นคนขี้แยได้ไงวะ

"ทำหน้าเหมือนจะตายเพื่ออะไรวะ เข้าใจตัวเองแล้วก็น่าจะมีความสุขไม่ใช่หรือไง พี่มันก็โสดนี่ ไม่ลองดูหน่อยเหรอ"
คำแนะนำของไอ้กู๊ดทำให้ผมลอบปาดน้ำตาเงียบๆ รู้ใจตัวเองในสถานการณ์แบบนี้มันเจ็บไม่ใช่เหรอวะ จะให้ไปหาความสุขจากที่ไหน เพิ่งปล่อยให้เขาไปขึ้นเตียงกับคนอื่นมาหมาดๆ ควรรู้สึกยังไง

"มันไม่คุ้มหรอก พี่ทาร์ตเป็นผู้ชาย"
พยายามเลี่ยงถึงการพูดสาเหตุที่แท้จริง ไม่อยากให้เขาดูแย่ แต่ผมเจ็บว่ะ ให้โทรไปห้ามตอนนี้เขาจะหยุดไหม เขาจะสนใจคำขอร้องของน้องชายข้างบ้านเหรอ

"แล้วไงวะ ทุกวันนี้พี่ทาร์ตก็ชอบเต๊าะมึงไม่ใช่หรือไง ผู้ชายปกติเขาเล่นกับน้องแบบนี้เหรอ มึงคิดดีๆ นะ"
ไอ้กู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อแล้วพาดแขนลงบนไหล่ของผม มันไม่เข้าใจความรู้สึกอะไรเลย... ไม่เลย

"จะให้คิดเชี่ยอะไรอีกล่ะ เมื่อกี้พี่ทาร์ตนัดผู้หญิงขึ้นห้องต่อหน้าต่อตา กูควรหวังห่าอะไรอีกวะกู๊ด!"
ผมสุดจะทนแล้วตวาดใส่เพื่อนพร้อมกับปัดมือมันออกก่อนจะก้มหน้าลงกับฝ่ามือตัวเองเพื่อปิดบังการร้องไห้ที่ไร้เสียงสะอื้น รู้ใจตัวเองพร้อมๆ กับอกหักมันรู้สึกเหี้ยขนาดนี้เลยเหรอวะ เจ็บเหมือนหัวใจจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

"อะ อะไรนะปูน... พี่ทาร์ตทำอะไรนะ"
ไอ้กู๊ดถามเสียงตะกุกตะกักเหมือนกำลังตกใจและไม่เชื่อหูตัวเองว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปเป็นความจริง

"พี่ทาร์ต อึก ไปขึ้นเตียงกับคนอื่นแล้ว"
ผมไม่สามารถกลั้นก้อนสะอื้นได้อีกต่อไปแล้ว มันจุกจนไม่รู้จะทำยังไง หัวสมองไร้ซึ่งความคิดใดๆ ไม่สามารถที่จะหาทางออกให้ตัวเองได้เลย

"ฉิบหาย... แล้วมึงปล่อยไปได้ยังไงไอ้ปูน ทำไมไม่ห้าม!"
ไอ้กู๊ดโวยเสียงดังแล้วจับยึดไหล่ของผมทั้งสองข้างเอาไว้ก่อนจะเขย่าเบาๆ เหมือนต้องการดึงสติให้กลับมา ดวงตารีมองเพื่อนสนิทด้วยความปวดร้าว ต้องใช้สิทธิ์อะไรในการห้ามคนๆ นั้นเหรอวะ แค่น้องชายข้างบ้านมันไม่มีค่าพอหรอก

"จะเอาสิทธิ์ที่ไหน... ไปห้าม วะ ฮึก"
เกลียดตัวเองที่ยิ่งพูดยิ่งร้องไห้ ซบหน้าลงกับไหล่ไอ้กู๊ดแล้วปล่อยให้น้ำตาซึมลงกับเสื้อยืดของมัน ตอนนี้ไม่มีคำว่าอายในพจนานุกรมของผมอีกแล้ว กายล้ายังพอทนแต่ใจล้าเหมือนจะตายจริงๆ

"โอยแม่ง อย่าร้องๆ ถึงพี่มันจะไปเอาคนอื่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะรักเขาปะวะ"
ไอ้กู๊ดดึงผมเข้าไปกอดแล้วใช้มือลูบหลังเพื่อเป็นการปลอบ ตอนนี้ร่างกายเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ น้ำตามากมายไหลรินมากมายไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยด้วยซ้ำ

"อือ... แต่ใครจะรับได้วะ อึก คนที่ตัวเองชอบไปเอากับคนอื่นน่ะ โคตรเหี้ยเลยกู๊ด"
ผมสะอื้นไปพูดไปด้วยเสียงที่แหบแห้งก่อนจะยกแขนขึ้นโอบกอดคนที่กำลังปลอบกันไว้แน่น กลัวว่าที่พึ่งพิงที่ดีที่สุดในเวลานี้จะเดินหนีไป

"เออๆ ใจเย็นนะมึง มันก็เหมือนคนที่แอบชอบไอ้พวกที่มีแฟนนั่นล่ะ... พี่ทาร์ตเป็นเสือผู้หญิงใช่ไหม"
มันถามออกมาแบบนั้น ส่วนผมก็ทำได้แค่พยักหน้าแล้วครางอือออกไปเบาๆ เป็นการตอบรับเท่านั้น

"อือ"

"ผู้หญิงแบบนั้นพี่ทาร์ตไม่สานต่อความสัมพันธ์หรอก ไม่คู่ควร แค่วันไนท์สแตนด์เท่านั้นล่ะ เชื่อกู"
ไอ้กู๊ดพูดปลอบกันด้วยเสียงนุ่มนวล ก็จริงอย่างที่มันว่าผู้หญิงแบบนั้นไม่เหมาะสมที่จะเอาเป็นแฟนเลยด้วยซ้ำ เจอกันครั้งแรกก็ชวนขึ้นเตียง... ไม่คู่ควรจริงๆ นั่นล่ะ

"อือ... กูจะพยายามทำใจเรื่องเหี้ยๆ นี้ซะ"
ผมพูดเสียงเบาก่อนจะผละตัวออกจากอ้อมกอดของเพื่อนสนิท มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ จนโดนไอ้กู๊ดตบหัวแล้วส่งกระดาษทิชชู่มาให้แทน โหดฉิบหาย เกลียดมันว่ะ คนยิ่งเสียใจอยู่จะทะนุถนอมกันหน่อยก็ไม่ได้

"เออ ดีมาก ถ้ามึงอยากเอาชนะใจมันก็ต้องเข้มแข็งเข้าไว้ กูเชื่อว่ามึงทำได้"
คำพูดซึ้งมากนะแต่มือมันนี่ดึงแก้มผมจนจะหลุดติดมือไปอยู่แล้ว เจ็บเว้ย แต่ก็นั่งเฉยๆ ให้ไอ้กู๊ดทำตามใจ ถือว่าตอบแทนที่รับฟังปัญหาชีวิตรักของตัวเองก็แล้วกัน

"ขอบใจนะมึง"
ผมฝืนยิ้มให้มันไปเล็กน้อย รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ ถ้าตรงกลับบ้านเลยอาจจะนอนจมกองน้ำตาไปแล้วก็ได้

"ครับคุณชาย แล้วนี่จะกลับบ้านหรือเปล่า"
มันถามจบก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจไปมาก่อนจะหาวหวอด ผมเหลือบตามองนาฬิกาติดผนังก็พบว่าตอนนี้ใกล้จะตีหนึ่งเข้าไปแล้ว จะให้ขับรถกลับก็คงไม่ไหว ปวดลูกตา

"ไม่ละ... ขอนอนกับมึงได้ไหม"
ผมขอด้วยเสียงอ้อนๆ เพราะปกติแล้วไอ้กู๊ดไม่ชอบให้ใครมาค้างที่ห้องแม้แต่เพื่อน ถ้ามาเพื่อนั่งเล่น ทำงานอะไรแบบนั้นไม่มีปัญหา

"แหม กูไม่ใช่ตัวแทนพี่ทาร์ตนะเว้ย"
ส่งเสียงเหน็บแนมมาให้ก่อนจะหันมาเบ้ปากใส่กัน คิดว่าหน้าตาดีจะทำอะไรก็ได้เหรอวะ

"ก็ไม่ใช่ไง"
ผมตอบกลับไปแล้วจ้องมันตาไม่กระพริบ

"ดีนะกูเลิกชอบมึงแล้ว ไม่งั้นจะจีบแม่งตอนอ่อนแอนี่ล่ะ"
ไอ้กู๊ดมองกันด้วยหางตาแล้วเอื้อมมือมาโยกหัวกันไปมา ไอ้นี่ได้ทีเอาใหญ่ผมไม่ว่าอะไรมันก็ลามปามกันจังวะ เดี๋ยวงับมือขาดเลยนี่

"คิดว่ากูจะใจอ่อนหรือไง ฝันว่ะ"
ผมปัดมือมันทิ้งอย่างไม่ใยดี แล้วขยับตัวหนีไปจนชิดขอบโซฟาอีกด้าน

"ให้กำลังใจหน่อยก็ไม่ได้"
พูดด้วยเสียงน้อยใจแต่หน้าตาระรื่นสิ้นดี คนอะไรตอแหลจริงๆ

"ไปไกลๆ ตีนกู"

"นี่ห้องกูไงความจำเสื่อมเหรอ"

"แล้วไง"
ผมว่าเสียงแข็งก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วก้าวขายาวๆ เข้าไปหาไอ้กู๊ดด้วยใบหน้าทะมึงทึง อีกฝ่ายยกมือขึ้นยอมแพ้เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ดี

"จ้าๆ ไม่เถียงจ้า มึงไปอาบน้ำเถอะไป เดี๋ยวเตรียมชุดให้"
ส่งยิ้มกว้างให้กันแล้วเปลี่ยนมาดันหลังผมไปทางห้องน้ำ พอสู้ไม่ได้ก็เป็นแบบนี้ทุกที ไก่อ่อนว่ะ

"เออๆ โอเค"

การอาบน้ำช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายลงไปมาก อารมณ์ที่เคยคุกรุ่นก็บรรเทาลงอย่างเห็นได้ชัด ผมใส่เสื้อผ้าของไอ้กู๊ดเรียบร้อยแล้วเดินไปหย่อนกายลงบนเตียงข้างๆ มันที่ยังนอนอ่านการ์ตูนเรื่องโปรดอยู่ ตอนแรกนึกว่าจะหลับโชว์กันซะอีกก็เห็นหาวหวอดๆ ตั้งหลายครั้ง

"ยังไม่นอนอีกหรือไง"
ผมถามก่อนจะทิ้งตัวลงนอน ไอ้กู๊ดเหลือบสายตามองกันเล็กน้อยก่อนจะทำปากบุ้ยใบ้ไปทางโต๊ะข้างเตียง อะไรของมันวะ

"อะไร"

"โทรศัพท์มึงสั่นไม่หยุด นอนไม่หลับ ใครแม่งไม่รู้ทั้งโทรทั้งไลน์มา ประสาทจะแดกแล้วกู"
ไอ้กู๊กทำหน้าบึ้งใส่กันก่อนจะยกหนังสือการ์ตูนขึ้นมาอ่านอีกรอบ ผมได้แต่มองโทรศัพท์ที่นอนนิ่งอยู่บนโต๊ะ หวังว่าคงไม่ใช่แม่...

"อ๋อ โทษทีว่ะ"
ผมเอ่ยขอโทษก่อนจะเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ดวงตารีชะงักกึกเมื่อเห็นว่าแจ้งเตือนทั้งหมดเป็นของใคร...

P' Tart 3 สายไม่ได้รับ และข้อความไลน์อีกสิบข้อความ เป็นบ้าอะไรของมันวะ

พี่ทาร์ต : ปูนอยู่ไหน
พี่ทาร์ต : ไปหาไอ้กู๊ดเหรอ
พี่ทาร์ต : ทำไมไม่ตอบ
พี่ทาร์ต : เป็นอะไรหรือเปล่า
พี่ทาร์ต : ไม่กลับบ้านเหรอ
พี่ทาร์ต : กำลังจะออกจากร้านแล้วนะ
พี่ทาร์ต : ปูน...
พี่ทาร์ต : เฮ้อ ไม่ตอบจริงๆ เหรอวะ
พี่ทาร์ต : พรุ่งนี้มารับพี่ที่คอนโด x ด้วย
พี่ทาร์ต : ฝันดี

ข้อความก่อนสุดท้ายทำให้ผมต้องเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ความรู้สึกหน่วงในใจเพิ่งจะทุเลาลง แต่ตอนนี้มันกลับมาอีกครั้ง ร่างกายสั่นเพราะต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ สัญญากับไอ้กู๊ดว่าจะเข้มแข็งก็ต้องทำให้ได้สิ

ปูน : ครับพี่




--------------------------------------------------------

ตอนที่ 6 มาแล้วนะ T T สงสารเจ้าปูนน้อยจังเลย
แต่ฟ้าหลังฝนสดใสเสมอนะฮะ อย่าเพิ่งท้อ
ถ้าไม่ไหวก็มาซบอกเราได้ แล้วจะไม่ปล่อยอีกเลย ฮิฮิ แย่งพี่ทาร์ต!!

ฝากติชมให้กำลังใจเรากันหน่อยเนอะ -/\-

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ ΩPRESTOΩ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 352
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-1

โอ๋นะน้องปูน

พี่ทาร์ตทำน้องเสียน้ำตา
 :m31:

ออฟไลน์ Gokusan

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +269/-1
อิพี่ทาร์ต~~~ มันใช่เรื่องมั้ย
นี่ห่วงเหรอ นัดให้น้องไปรับนี่ห่วงใช่มั้ย

รักได้ก็เลิกรักได้ เชื่อเหอะ

อยากรู้เหมือนกันว่าคุณชายทาร์ตคิดอะไร
แต่ลองใจเล่นกับความรู้สึกคนอื่นแบบนี้ ก็ต้องรับผลที่มีให้ได้นะ หมั่นไส้!!

ออฟไลน์ milin03

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
สงสารปูน เย็นชาใส่พี่ทาร์ตเลย ให้รู้ตัวซะมั่ง

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 7


Oreo Cheese Cake
: โอริโอ้/เนยจืดละลาย/เกลือ/ครีมชีส/น้ำตาลไอซิ่ง/วิปปิ้งครีม :

Tart's Part




"Poon Stop There!"
ผมมองตามร่างสูงโปร่งที่ก้าวฉับๆ ออกไปจากร้านด้วยอารมณ์หลากหลาย เป็นคนออกปากไล่เขาทางอ้อมให้กลับบ้านเองด้วยซ้ำ แต่ทำไมต้องร้อนใจขนาดนี้ด้วยวะ ไปหาไอ้กู๊ดอย่างนั้นเหรอ แม่งเอ้ย

ผัวะ

เสียงฝ่ามือกระทบเข้าศีรษะดังขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว เจ็บจนรู้สึกมึนและร้องไม่ออก ผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้านข้างปั้นหน้าบึ้งตึงใส่กันจนแทบจะเห็นรอยตีนกา เธอเป็นคนสวยนะแต่แก่กว่าผม... สองปี

"เล่นบ้าอะไรของยูห๊ะ นั่นน้องปูนที่อยู่ข้างบ้านใช่ไหม!"
เธอตะโกนใส่กันอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะฟาดมือลงบนแขนผมรัวๆ จะห้ามก็ไม่กล้าได้แต่ปล่อยให้ทำตามใส่ก่อนจะหลบเลี่ยงซ้ายขวาเอาตัวรอด

"โอย ไอเจ็บนะวิน เลิกตีกันสักทีเถอะน่า"
ผมโอดครวญใส่เธออย่างเซ็งๆ วินถลึงตาใส่กันก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างคนหัวเสีย ต่อจากนี้คงโดนสวดยาวแน่ๆ ทำใจไว้แล้วล่ะ

"ยูโกหกน้องทำไม เล่นอะไรอยู่ ไอไม่เข้าใจ"
วินถามด้วยน้ำเสียงดุๆ แล้วมองกันอย่างต้องการคำตอบ ผมเบนสายตาไปมองทางอื่นแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกรวดเดียวจนหมด จริงๆ แล้วแค่อยากพิสูจน์ความรู้สึกของปูน แอบสังเกตมาสักพักแล้วว่าเขาทำตัวแปลกๆ

"แค่อยากพิสูจน์อะไรบางอย่างน่าวิน อย่าขี้บ่นนักสิ"
ผมบอกวินแค่นั้นแล้วหันกลับไปมองเธอ ตอนนี้ไม่สามารถทำให้ใจสงบลงได้เลย ไม่รู้ป่านนี้ปูนจะไปอยู่ที่ไหนแล้ว ไปหาไอ้กู๊ดจริงๆ นะเหรอ แม่ง... อยากตามไปแต่ไม่รู้สถานที่ ทำไมน่าหงุดหงิดแบบนี้

"ยูว่าคนที่มีศักดิ์เป็นพี่แบบนี้เหรอทาร์ต ไอจะบ่นแล้วทำไมห๊ะ อยากพิสูจน์อะไรก็ไม่ควรใช้เรื่องนี้สิ มันแย่มากเลยนะ ทิ้งน้องแล้วไปกับผู้หญิงคนอื่น เลวว่ะ"
วินยังคงด่าผมด้วยอารมณ์หงุดหงิด ก็ถูกของเขาที่จะคิดแบบนั้น มันเลวจริงๆ ที่ทิ้งน้องแล้วไปกับผู้หญิงคนอื่น แต่การที่เราอยู่ด้วยกันทุกวันนั้น มันทำให้อะไรบางอย่างที่เคยชัดเจนมาตลอดกลับขุ่นมัวและเริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละนิด อาจจะด้วยวัยและอายุที่เพิ่มขึ้น การปฏิบัติตัวเหมือนตอนเด็กๆ เลยถูกบิดเบือน

"ไม่รู้จะทำยังไงนี่ รู้ว่าตัวเองเลวมาก แต่ไอก็สับสนเหมือนกัน จะบ้าตายอยู่แล้วเว้ย"
ผมทึ้งหัวตัวเองอย่างแรงเพื่อระบายความหงุดหงิดงุ่นง่านที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปูนเดินจากไป คิดได้ว่าไม่ควรใช้วิธีแบบนี้ลองใจเขาก็สายเกินไปแล้ว ดวงตาคมเหลือบมองโทรศัพท์อยู่หลายครั้งก่อนจะตัดสินใจส่งข้อความหาเขาทันที

Tart : ปูนอยู่ไหน
Tart : ไปหาไอ้กู๊ดเหรอ

พิมพ์ถามไปแบบนั้นก่อนจะวางโทรศัพท์ลงแล้วถอนหายใจยาวๆ ออกมา เหลือบไปเห็นวินมองกันด้วยแววตาขุ่นเคืองยิ่งหนักใจ ไอ้กู๊ดมันอยู่ส่วนไหนของจังหวัดภูเก็ตวะ อยากจะบ้าตาย ที่ร้อนใจแบบนี้เพราะตอนเด็กๆ จำได้ว่าไอ้นี่มันแสดงท่าทางว่าจะปลื้มปูนมาก ชอบหยอก ชอบแกล้ง เผลอๆ หอมแก้มอีก แม่ง... ไม่รู้ว่าปัจจุบันยังรู้สึกเหมือนแต่ก่อนอยู่หรือเปล่านั่นน่ะสิ ยอมรับว่าหวงน้อง แต่ไม่รู้ว่าความหมายมันเปลี่ยนไปหรือเปล่า

เรื่องความรู้สึกของมนุษย์มันช่างเข้าใจยากจริงๆ

"เรื่องอะไร"
วินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงดุๆ นิ้วเรียวไล้ไปตามปากแก้วอย่างเลื่อนลอย ดวงตากลมจับจ้องใบหน้าผม ทำแบบนี้มันรู้สึกอึดอัดจนอยากจะเดินหนี แต่ถ้าทำเท่ากับว่าหาเรื่องใส่ตัวเอง เพราะวินคงไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นแน่ๆ

"ไอคิดว่าปูนชอบไอว่ะวิน"
ผมพูดเสียงเบาก่อนจะเลื่อนมือไปจับแก้วเหล้าเอาไว้แล้วยกขึ้นกระดกรวดเดียวจนหมด รู้สึกว่าบางอย่างระหว่างเรามันแปลกๆ มาสักพักหนึ่งแล้ว เวลาเกือบสองอาทิตย์นั้นจะทำให้ปูนหวั่นไหวได้อย่างนั้นเหรอ มันเร็วไปหรือเปล่า เป็นความผิดของผมใช่ไหมที่คิดว่าการเต๊าะน้องเป็นเรื่องสนุก ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ ไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไร แต่ไม่เคยจินตนาการไว้เลยว่าจะมีผู้ชายสักคนมาชอบตัวเองแบบนี้ แถมเป็นคนใกล้ตัว... จะบอกว่าใกล้ก็พูดได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่ ก็ไม่ได้เจอกันมานานแล้วนี่เนอะ

ถ้าเกิดว่าปูนชอบผมจริงๆ แล้วผมล่ะ... รู้สึกยังไงกับปูนกันแน่นะ คิดอะไรไม่ออกเลยว่ะ

"ห๊ะ แล้วยูยังเลือกใช้วิธีเหี้ยๆ นี่อะนะ บ้าไปแล้ว!"
วินตะโกนเสียงดังลั่นในขณะที่จังหวะเพลงเบาลงทำให้โต๊ะที่อยู่รายล้อมหันมามองทางนี้เป็นตาเดียว แต่เราทั้งคู่ไม่ได้สนใจใครมากขนาดนั้น ก็มีเรื่องให้คิดให้เครียดและรู้สึกผิดจุกอก ผมยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากของเธอแล้วส่งเสียงชู่เบาๆ เป็นการเตือนว่าเราไม่ควรเอะอะโวยวายในที่แบบนี้

"ยูพูดไม่เพราะเลย เป็นผู้หญิงนะ แล้วอย่าเพิ่งด่ากันสิวะ ไอก็สับสนความรู้สึกตัวเองเหมือนกัน"
ผมพูดเสียงดุๆ กลับไปบ้างก่อนจะโดนวินปัดมือทิ้งอย่างไม่ใยดี เธอทำเสียงจิ๊จ๊ะแล้วยกมือขึ้นกอดอกพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ จนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ดวงตากลมเหลือบมองกันก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้คนฟังถึงกับจุก

"ถ้าไอเป็นปูนนะ ไอจะโกรธยู จะไม่คุย จะไม่ยุ่งด้วยเลย ทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้ นี่ไอคิดว่าน้องชายตัวเองน่าจะหาทางออกได้ดีกว่าที่ทำอยู่ แต่ไม่เลย เลือกใช้วิธีโง่มาก You're so stupid!"
วินตะโกนใส่หน้ากันเต็มๆ ก่อนจะทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างแรงด้วยอารมณ์หงุดหงิด ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับคืนมาจะเป็นตามที่เธอบอก แค่อยากพิสูจน์โดยไม่คำนึงถึงการทำร้ายจิตใจอีกคน ควรแก้ไขเรื่องนี้ยังไงดีวะ อยากจะโต้ตอบคนเป็นลูกพี่ลูกน้องแต่กลับสรรหาคำไม่ได้เลย ใบ้แดกไปซะอย่างนั้น

"วิน... ยูไม่ตกใจเหรอวะ ที่ไอสับสนเรื่องความรู้สึกที่มีกับผู้ชายน่ะ"
ตอบโต้ประโยคด้านบนไม่ได้ เลยเลือกตั้งคำถามแบบนี้ขึ้นมาเพราะดูท่าทางพี่สาวจะไม่ตกใจอะไรที่ผมบอกว่าสับสน มันกลายเป็นเรื่องธรรมชาติไปแล้วเหรอ

"โอย นี่มันสมัยไหนแล้ว ยูกับไอก็เรียนที่เมืองนอก โตที่เมืองนอกกันทั้งคู่นะ จะไปตกใจอะไรกับเรื่องแค่นี้ ที่น่าตกใจคือยูสับสนมากกว่า เกิดมายี่สิบกว่าปีเคยมีอาการแบบนี้กี่ครั้งล่ะ"
วินพูดจบแล้วหยิบแก้วค็อกเทลของตัวเองขึ้นมาจิบ ผมได้แต่นั่งมองจานกับแกล้มอยู่แบบนั้นเพราะสมองกำลังประมวลผลหาคำตอบให้กับคำถาม ไม่นานนักก็เปล่งเสียงตอบด้วยลำคอแห้งผาด

"ไม่เคย... ครั้งนี้ครั้งแรก"
มันเป็นครั้งแรกที่รู้สึกสับสนและทำอะไรไม่ถูกขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นเสือผู้หญิงและผ่านการมีแฟนมาไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ไม่เคยต้องมานั่งคิดอะไรวุ่นวายแบบนี้ หรือว่าผมจะชอบปูนวะ... แต่ผมก็ทำแบบนี้กับเขามาตั้งแต่เด็กนี่หว่า คอยดูแล เป็นห่วงเป็นใย หวงในฐานะพี่ชาย แต่ทำไมมันหน่วงๆ ในใจตอนที่น้องบอกจะไปหาคนอื่นวะ แม่ง เกิดโง่ดับเบิ้ลโง่ขึ้นมาอะไรตอนนี้

"เหอะ ถ้าเป็นแบบนี้ไอว่ายูต้องรีบคิดแล้วล่ะว่ารู้สึกยังไงกับน้องกันแน่ ขืนปล่อยไว้นานๆ ปูนอาจจะโดนหมาที่ไหนคาบไปก่อนที่ยูจะรู้ใจตัวเองซะอีก"
วินหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันจนผมได้แต่นิ่งค้างอยู่ที่เดิม ความรู้สึกตอนนี้คือไม่อยากให้ใครมายุ่มย่ามกับปูน เหมือนตัวเองกำลังเป็นหมาหวงก้างทั้งๆ ที่ยังสับสน ยอมรับว่าเห็นแก่ตัว

"....."

ยากฉิบหาย หัวจะระเบิด

เมื่อหัวสมองไม่ทำงานมือเลยเอื้อมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกหาปูนทันที แต่รอแล้วรอเล่าปลายสายก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับเลยสักนิด หรือจะขับรถอยู่กันนะ เปลี่ยนเป็นส่งไลน์เหมือนเดิมก็ได้วะ รู้ไหมว่าตอนนี้สกิลการพิมพ์แทบติดจรวด ไปแข่งอาจจะคว้าที่หนึ่งได้ไม่ยาก

Tart : ทำไมไม่ตอบ
Tart : เป็นอะไรหรือเปล่า

ข้อความเก่าน้องก็ยังไม่อ่าน นี่เพิ่มเข้าไปใหม่อีก อาจจะดูเหมือนคนบ้าที่เอาแต่คุยอยู่ฝ่ายเดียว แต่ผมไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้เลย ใจมันหวิวๆ กลัวว่าสิ่งที่วินพูดมาจะเป็นเรื่องจริง ถ้าปูนโกรธต้องง้อแบบไหนนะ ถึงจะไม่เข้าใจตัวเองว่ารู้สึกยังไงกับเขา แต่ก็ไม่อยากโดนเกลียด... คงเจ็บพิลึก

"ทาร์ต... ยูจะไม่ไปตามน้องเหรอ"
อยู่ๆ วินที่เงียบไปนานก็ถามขึ้นแล้วยื่นหน้ามาใกล้ ผมส่ายหน้าอย่างจนใจเพราะไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ถ้าตามกันง่ายๆ ไม่มานั่งกระดกเหล้าหรือถอนหายใจทิ้งแบบนี้หรอก

"ไอไม่รู้ว่าน้องไปที่ไหน คอนโดไอ้กู๊ดอยู่ตรงไหนของภูเก็ตยังไม่รู้เลย"
ผมถอนหายใจแล้ววางโทรศัพท์ลงที่เดิมอีกครั้งเนื่องจากนั่งจ้องจนตาแทบถลนก็ยังไม่มีอะไรตอบสนองกลับมาแม้กระทั่งการอ่านข้อความยังไม่มี นี่โดนปูนโกรธแล้วจริงๆ ใช่ไหม รู้สึกหน่วงว่ะ

"โทรหาหรือยัง ไลน์ไปก็ได้"

"ทำหมดแล้ว แต่ไม่มีการตอบรับเลยว่ะ"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง กำลังจะคว้าแก้วมากระดกอีกรอบแต่โดนวินห้ามไว้ซะอย่างนั้น อยากดื่มให้มันเมาๆ สักที จะได้ไม่ต้องว้าวุ่นขนาดนี้

"พอแล้วน่าทาร์ต เราออกไปจากร้านกันเถอะ"
วินพูดก่อนจะคลี่ยิ้มให้กันเล็กน้อยแล้วเรียนพนักงานมาคิดค่าเสียหายของคืนนี้ ผมกะจะจ่ายแต่พี่สาวคนดีก็ห้ามไว้แล้วบอกว่าเลี้ยงต้อนรับที่น้องชายยอมกลับไทยสักที

"ยูไม่กลับไปหาเพื่อนที่โต๊ะแล้วเหรอ"

"หึ ไม่แล้วล่ะ พวกนั้นมองยูเหมือนอยากเขมือบเข้าไปทั้งตัว ไอขนลุกแทน"

"อ้อ... โอเค"

ผมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดเพื่อส่งข้อความหาปูนอีกรอบด้วยมือที่สั่นเทามากกว่าเดิม ผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ยอมติดต่อกันเลย... จากที่หวงก็เริ่มเป็นห่วงกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นหรือเปล่า

Tart : กำลังจะออกจากร้านแล้วนะ

กดส่งไปแล้วมองมันอยู่แบบนั้นจนวินที่เดินอยู่ข้างๆ ต้องยกมือขึ้นบีบต้นแขนกันเบาๆ ดวงตากลมที่ฉายแววดุมาตลอดเวลากลับอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด คงสมเพชน้องชายคนนี้ล่ะมั้ง

"ให้เวลาปูนหน่อยไหม น้องอาจอยู่ในช่วงไม่อยากคุยอะไรกับยูก็ได้"

"ไอ... จะบ้าตายแล้ว แม่ง ไม่รู้จะทำไงดี"
ผมขยี้หัวตัวเองแรงๆ ไม่สนเลยว่ามันจะยุ่งเหยิงแค่ไหน เสื้อเชิ้ตที่ใส่เรียบร้อยมาในตอนแรกกลับหลุดลุ่ยเพราะการเคลื่อนไหวตัวแบบรุนแรงหลายต่อหลายครั้ง วินส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะผลักไหล่ให้เดินไปที่รถสีแดงคันหนึ่ง ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นของเธอ เห็นตัวเล็กๆ หน้าสวยๆ แบบนี้ขับรถครอบครัวด้วยว่ะ

"จะโทษใครล่ะ ยูทำตัวเองทั้งนั้น ไปขึ้นรถได้แล้ว"
วินโบกมือไล่ให้ผมเดินไปขึ้นรถด้วยท่าทางที่แสดงออกว่ารำคาญกัน จะขัดขืนจะงอแงก็คงไม่ใช่เรื่องเลยทำตามเธออย่างเลี่ยงไม่ได้

ภายในรถเงียบเชียบจนได้ยินเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศอย่างชัดเจน อยากจะเอื้อมมือไปเปิดวิทยุเพื่อคลายความตึงเครียดในสมองแต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวจะไปทำลายสมาธิคนขับรถ แต่เหมือนวินจะเข้าใจความคิดกันเลยเหลือบมองมาทางนี้เล็กน้อย

"จะเปิดวิทยุก็เปิดไป"
เธอพูดขึ้นแล้วตั้งใจขับรถต่อไป ผมพยักหน้ารับก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดวิทยุ เสียงเพลงเศร้าดังขึ้นจนอยากจะเปลี่ยนให้พ้นๆ แต่สุดท้ายก็ทนฟังมันจนจบเพลงไปได้ อยากเมา อยากนอนหลับแบบไม่รู้เรื่องฉิบหาย ไม่อยากคิดอะไรฟุ้งซ่านเลย

"วินอยู่คอนโดคนเดียวเหรอ"
ผมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา สายตามองทอดไปตามถนนที่ว่างเปล่า เมืองภูเก็ตยามค่ำคืนช่างเงียบสงบดีเหลือเกิน แต่บางครั้งก็ให้ความรู้สึกเหงาชอบกล

"คนเดียวสิ จะให้ไออยู่กับใครล่ะ แฟนก็ไม่มี"
วินพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไป ทั้งๆ ที่อายุเกือบจะสามสิบอยู่แล้วไม่ซีเรียสบ้างเหรอวะ ผมหันหน้ากลับมามองพี่สาวก่อนขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย

"ทำไมไม่มีแฟนวะ ยูก็สวยขนาดนี้ หรือว่าดุจนไม่มีใครกล้าจีบ"
วินเป็นคนที่สวยมาก หุ่นดี ส่วนสูงเทียบเท่านางแบบคนหนึ่งได้เลย น้ำเสียง กิริยาท่าทาง ฐานะ นิสัย ล้วนแต่ไม่มีข้อบกพร่อง ควรจะมีคนเข้ามาแจกขนมจีบเยอะแยะสิ แปลกใจจริงๆ ที่เห็นคนเพียบพร้อมขนาดนี้โสด

"ไม่มีคนที่ถูกใจน่ะ ยูเข้าใจปะ ตั้งแต่เกิดจนตอนนี้ยังไม่เห็นจะมีใครเข้ากับไอได้เลยสักคน"

"ขึ้นคานแน่ๆ เลยวิน"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะ แต่วินทำแค่เพียงไหวไหล่อย่างไม่แคร์อะไร ก็นะ... ไม่มีแฟนเธอก็อยู่ได้มาตลอด ไม่ใช่อุปสรรคอะไรสักหน่อย

"ว่าแต่ไอ ยูก็ระวังขึ้นคานนะทาร์ต ถึงจะมีแฟนมาแล้วหลายคน ยูก็ไม่เคยรักใครจริงๆ ใช่ไหมล่ะ กับเจนอะไรนั่นก็แค่อยากลองซื่อสัตย์ไม่ใช่เหรอ"
วินพูดอย่างกับมานั่งค้นความลับในหัวใจของผม ที่ว่ามาทั้งหมดนั่นเป็นความจริงที่ไม่อาจเถียงได้ ใช่แล้วที่บอกว่าไม่เคยรักใคร ใช่แล้วที่บอกว่าแค่อยากลองซื่อสัตย์... ทำไมกันนะ ถึงจะมีผู้หญิงแสนดีเข้ามามากแค่ไหน พวกเธอก็ดูน่าเบื่อไปซะหมด

"ยูรู้จักไอมากกว่าที่ไอรู้จักตัวเองอีกมั้ง"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงล้อเลียนแล้วคลี่ยิ้มบางๆ ออกมา รถจอดสนิทอยู่ที่คอนโดมีเนียมหรูแห่งหนึ่ง วินจัดแจงเก็บสัมภาระลงจากรถโดยมีน้องชายอย่างผมช่วยเธออีกแรง

ห้องพักตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่นที่ทำให้คนอยู่อาศัยรู้สึกผ่อนคลาย ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาหนังสีขาวสะอาดแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาปลดล็อกหน้าจออีกครั้ง ไม่มีแม้แต่การตอบกลับหรือสัญญาณการตอบรับจากปูนเลยแม้แต่นิดเดียว ที่วินบอกว่าควรให้เวลานั้น... ผมทำไมได้

Tart : ปูน...
Tart : เฮ้อ ไม่ตอบจริงๆ เหรอวะ

ส่งไปอีกสองข้อความก่อนจะโยนโทรศัพท์ไว้ข้างตัวแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างคนหมดแรง สภาพร่างกายตอนนี้ไม่พร้อมจะลุกไปอาบน้ำอีกรอบด้วยซ้ำ ทั้งทีรู้สึกง่วงจนตาแทบปิดแต่ไม่สามารถหลับได้เลย เป็นห่วงปูน... อยากขอโทษ แต่ถ้าโดนถามกลับมาว่าเรื่องอะไรจะให้ตอบยังไงล่ะ

"จะอาบน้ำไหม"
วินทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนจะส่งแก้วน้ำดื่มมาให้กัน ผมรับเอาไว้แล้วกระดกมันลงคอจนหมดในรวดเดียว

"มีชุดให้เปลี่ยนหรือไง"
ผมถามกลับไปแล้วเหลือบสายตามองคนข้างๆ ที่ทำหน้าเอ๋อๆ คงจะลืมไปแล้วว่าไม่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยน จะใส่ชุดของวินก็คงไม่ได้หรอก ขาดกันพอดี

"มีก็บ้าแล้ว ไอจะไปนอนแล้วนะ พรุ่งนี้ทำงานเช้า"
วินลุกขึ้นยืนก่อนจะบิดขี้เกียจเล็กน้อย ผมพยักหน้ารับแล้วใช้มือจิ้มเอวเธอเบาๆ เป็นการแกล้ง

"แกล้งเหรอ เดี๋ยวจะโดนเตะก้านคอนะยู ไอเรียนคาราเต้ได้สายดำแล้วด้วย ไม่อยากจะอวด!"
วินหันมาทำหน้ายุ่งใส่กันแล้วใช้มือผลักหัวผมเบาๆ ก่อนจะเดินหนีไปจัดการธุระของตัวเองเพื่อจะเข้านอน คิดว่าสาเหตุที่เธอโสดอาจจะเพราะผู้ชายทุกคนในโลกนี้อ่อนแอกว่าพี่สาวคนนี้ก็เป็นได้ ผู้หญิงอะไรเรียนคาราเต้จนได้สายดำ เล่นบาสฯ อีก สมัยเรียนนึกว่าจะกลายเป็นทอมบอยซะแล้ว แมนจริงๆ

ได้เวลาเข้านอนแต่ผมก็ยังตาสว่างอยู่บนโซฟาตัวเดิม แขนข้างหนึ่งยกขึ้นก่ายหน้าผาก ส่วนมืออีกข้างกดโทรศัพท์ไปมาอย่างคนไม่มีอะไรทำ แอพพลิเคชั่นสีเขียวมะนาวยังคงแจ้งเตือนข้อความมากมายจากเหล่าคนรู้จักหรือเพื่อนสนิทไม่หยุด แต่คนที่กำลังรอกลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่จะเปิดอ่านยังไม่เลย อยากเจอ อยากขอโทษต่อหน้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้

Tart : พรุ่งนี้มารับพี่ที่คอนโด x ด้วย
Tart : ฝันดี

ถ้าผมเป็นคนอ่านคงรู้สึกแย่มาก แต่ความอยากรู้ว่าปูนจะทำยังไงมีอยู่มากจนทำให้การแสดงออกเป็นในทิศทางไม่รู้สึกผิด ทั้งๆ ที่ใจว้าวุ่นแทบบ้า อยากโทรไปหาอีกครั้ง แต่เมื่อเหลือบมองเวลาตรงด้านบนขอบจอแล้วได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ป่านนี้คงหลับไปแล้วล่ะมั้ง

ผมกดล็อกหน้าจอแล้ววางมันทิ้งไว้บนโต๊ะรับแขกก่อนจะหลับตาลงเพื่อคลายความตึงเครียดลง ความคิดในสมองกระจัดกระจายจนหน้าโมโห ไม่สามารถตั้งสติหรือค้นหาคำตอบที่ยังค้างคาให้ตัวเองได้เลย ความสับสนในขณะนี้มีมากกว่าตอนตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศอีก

ร่างกายรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาดื้อๆ เหมือนมีตัวอะไรมานั่งทับกลางอก ผมพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากเพราะแสงอาทิตย์ยามเช้าแยงตา กว่าจะปรับโฟกัสได้มือหนาก็สัมผัสเข้ากับก้อนขนนุ่มนิ่ม...  มันคืออะไรวะ

"ไข่ตุ๋น ไปนอนอะไรบนตัวทาร์ตล่ะนั่น ลงมากินอาหารเร็ว!"
เสียงหวานๆ ของวินเรียกชื่ออะไรบางสิ่งบางอย่างที่นอนทับหน้าอกผมอยู่ ตากที่มือสัมผัสได้ว่าคือก้อนขนดวงตาก็ปรับความชัดเจนได้จนรู้ว่ามันคือสัตว์ชนิดหนึ่ง แต่คือตัวอะไรนั้นยังคงเป็นปริศนา ก็เล่นหันก้นให้กันขนาดนี้

"วินเลี้ยงตัวอะไรเนี่ย"
ผมถามออกไปด้วยเสียงงัวเงีย เหลือบไปมองอีกทางก็เห็นวินกำลังเทอาหารเม็ดใส่ชามอยู่ตรงมุมห้องก่อนจะหันมาทำหน้ายุ่งใส่กัน

"Scottish Fold"
คำตอบสั้นๆ ทำให้ผมเบิกตากว้างขึ้นทันที เพราะด้วยความที่ไม่ชอบแมวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งรู้ว่ามันกำลังนอนอยู่บนตัวไม่รู้จะทำยังไงดี อยากจะลุกหนีแต่ก็กลัวมันกัดเอา เล็บคม ฟันแหลม ถึงจะน่ารักแค่ไหนก็... บรื๋อ!

"ระ รีบเอามันลงไปจากตัวไอเลยนะวิน ไอไม่ชอบแมว"
ผมพูดเสียงตะกุกตะกักแล้วทำตัวแข็งเพราะกลัวเจ้าก้อนขนสีส้มขาวจะหันมาแยกเขี้ยวใส่กัน วินที่ยืนมองอยู่ทำหน้าเหมือนเจอมนุษย์ต่างดาวก่อนจะหัวเราะเสียงดังลั่นเพื่อเยาะเย้ยกัน ก็คนมันกลัวแมวนี่หว่า ตอนเด็กๆ เคยโดนข่วนเลือดซิบๆ จำฝังใจก็ไม่แปลก

"ยูทำให้ไอปวดท้องนะทาร์ต ตัวโตอย่างกับควายแต่กลัวแมวเนี่ยนะ ไอ้ไข่ตุ๋นมันใจดีน่า ที่ขึ้นไปนอนแบบนั้นคงถูกใจยู"
วินยังคงไม่ยอมเข้ามาอุ้มไอ้ตัวกลม ผมได้แต่แสดงสีหน้าเหยเกส่งไปให้เจ้าของมัน ไม่มีท่าทีว่าแมวตัวนี้จะขยับเลย ขนาดเทอาหารล่อไว้ขนาดนั้น แม่ง...

"ไม่เอาเว้ย ไอไม่ชอบ รีบอุ้มมันลงไปเลย"
ผมเริ่มพูดเสียงรอดไรฟัน คนมันกลัวอะไรก็ไม่กล้าทำ แม้แต่ขยับตัวก็เถอะ วินไหวไหล่แบบไม่แคร์อะไรก่อนจะหมุนตัวไปทางครัวหน้าตาเฉย เดี๋ยวสิวะ เอาแมวไปก่อน!

"วิน อย่าแกล้ง!"
ผมตะโกนออกไปอย่างลืมตัวทำให้ไอ้ไข่ตุ๋นสะดุ้งและกระโดดลงไปยืนบนพื้นทันที เห็นแบบนั้นก็เลยรีบดีดตัวขึ้นจากโซฟาด้วยความโล่งอก ลูบหน้าลูบตาตัวเองยกใหญ่ จริงๆ

"ไม่แมนเล้ย"

"เออ"

เช้านี้วินเป็นคนเตรียมอาหารให้ด้วยเมนูง่ายๆ อย่างไข่ดาว เบคอนทอดและขนมปังปิ้ง ผมที่โดนไล่ให้ไปล้างหน้าล้างตากลับมาหยิบโทรศัพท์มือถือเพื่อเอาไปชาร์จแบตฯ ปล่อยให้เครื่องดับไปตอนไหนยังไม่รู้เลย พอๆ กับที่เผลอหลับโดยไม่รู้เรื่องราวนั่นล่ะ

ผมยืนรอให้กระแสไฟเข้าตัวเครื่องสักพักแล้วกดปุ่มเปิดเครื่อง รอมันบูทอย่างใจจดจ่อเพราะลุ้นว่าปูนจะตอบอะไรกลับมาหรือยัง ไม่นานนักแจ้งเตือนมากมายก็ผุดขึ้นเต็มไปหมด มีสายไม่ได้รับจากไอ้ฟ่อนด้วยเถอะ ไว้ค่อยโทรกลับก็แล้วกัน ดวงตาคมสะดุดกึกเมื่อเห็นหนึ่งข้อความใหม่จากบุคคลที่รอมาทั้งคืน มันเป็นแค่คำตอบที่แสนสั้นแต่ทำให้ผมแทบกระโดดโลดเต้นไปทั้งห้อง

N' Poon : ครับพี่

"วิน!!! ปูนตอบไลน์แล้วเว้ย"
ผมเรียกวินด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นสุดขีด แล้วรีบพิมพ์ข้อความตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้รู้สึกดีใจและโล่งใจมากที่อีกคนยังคิดจะตอบกลับกันมาบ้าง แบบนี้ทำให้รู้ว่าเขายังอยู่ดี ไม่ได้เกิดเรื่องร้ายแรงอะไร

Tart : ปูน! ยอมตอบกันสักที อยู่ที่ไหนแล้ว

"โอย! เสียงดัง ตอบกลับมาว่าอะไรเหรอ"
ถึงวินจะดุกันแบบนั้นแต่ก็ยอมเดินออกมาจากห้องครัวทั้งๆ ที่ถือผลส้มเพื่อจะคั้นน้ำ ใบหน้าสวยๆ ขยับเข้ามามองหน้าจอก่อนที่คิ้วเรียวจะขมวดเข้าหากันแน่น

"แกพิมพ์ไปเป็นสิบครั้ง ไอ้ที่น้องตอบมาน่ะ รับทราบอันไหนล่ะ"

"นี่ไงๆ กำลังรอปูนตอบเว้ย"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นแบบไม่แคร์อะไร วินมองกันสักพักก่อนจะเดินกลับเข้าครัวโดยไม่พูดอะไรอีก

วินยกจานอาหารเช้ามาให้ถึงที่โดยไม่ปริปากบ่นเรื่องที่ผมไม่ยอมเดินไปที่โต๊ะกินข้าวเลยสักนิด แถมยังทิ้งตัวลงข้างๆ กันก่อนจะใช้มือเรียววางแปะลงบนหัวและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่โทรศัพท์เครื่องเก่งในมือเกิดแรงสั่น... สายเรียกเข้าจากปูน!!




ต่อด้านล่างเนอะ



ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"ฮะ ฮัลโหล!"
ผมกรอกเสียงตะกุกตะกักลงไปด้วยความตื่นเต้น ดีใจ ผสมปนเปกับความรู้สึกผิดลึกๆ ปลายสายไม่ได้ตอบกลับมาในทันทีแต่ได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ รอดออกมาพร้อมกับเสียงใครอีกคนที่กำลังบ่นเรื่องการทำอาหารเช้าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล คงเป็นไอ้กู๊ดนั่นล่ะ

'ครับ เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงจะไปรับ ลงมารอที่ชั้นล่างเลยก็ดี'
เสียงที่ตอบกลับมานั้นราบเรียบจนไม่สามารถจับอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ได้เลยสักนิดเดียว ผมเริ่มหวั่นใจแปลกๆ ไม่น่าปล่อยให้เรื่องราวมันค้างคาข้ามคืนเลยจริงๆ ดูเหมือนอะไรๆ ที่ทำลงไปนั้นจะแก้ยากเหลือเกิน

"อ่า... คือ แฮงค์น่ะ ปวดหัวฉิบหาย กลัวว่าจะเดินลงไปไม่ไหว ปูนช่วยขึ้นมารับบนห้องได้ไหม"
กลั้นใจร้องขอออกไปแบบนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่าทำอย่างนี้มันแย่กว่าเดิม ปูนอาจจะกลับบ้านไปเลยก็ได้โดยทิ้งผมเอาไว้ที่นี่ แต่เป็นวิธีแก้ปัญหาเดียวที่ผมคิดออก จะเคลียร์เรื่องเมื่อคืนให้กระจ่างชัด ไม่อยากว้าวุ่นใจแบบนี้อีกแล้ว โคตรทรมาน

'ไม่สะดวกมั้งครับ รบกวน 'ผู้หญิงของพี่' เปล่าๆ ลงมาเถอะ ไม่อย่างนั้นก็หาทางกลับเอาเองแล้วกัน'
น้ำเสียงเริ่มแข็งกระด้าง คำเน้นย้ำเรื่องผู้หญิงของพี่ทำให้ผมคิ้วกระตุก อาการวูบโหวงในช่องท้องชวนให้อยากอาเจียนเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ไม่ได้กินอะไรเข้าไป หรือว่าเครียดลงกระเพาะ

"ปูน... ช่วยขึ้นมาที่ห้องเถอะนะ พี่มีอะไรอยากบอกเยอะแยะเลย รวมทั้งเรื่องของผู้หญิงคนเมื่อคืนด้วย"
ผมพูดข้อร้องเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย อยากให้มาเห็นสภาพจริงๆ ว่าตอนนี้เป็นยังไง ผู้หญิงที่บอกจะหิ้วเมื่อคืนเป็นใคร อยากให้พบเจอด้วยตัวเขาเองไม่ใช่ว่าสักแต่พูดแล้วไม่มีหลักฐาน แต่ดูเหมือนมันจะยาก ยอมรับว่าตัวเองโง่ดักดานเรื่องความรู้สึกของคนอื่นจริงๆ

'ไม่จำเป็นต้องบอกหรอกครับ นั่นเรื่องส่วนตัวของพี่ จะไปนอนกับใคร เอากับใครมันก็ไม่ใช่เรื่องของผม'
ประโยคที่พูดออกมานั่นห่างเหินจนผมใจกระตุก ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นเมื่อสมองประมวลผลว่าปูนต้องเสียใจมากแน่ๆ ทำยังไงดี

"ปูน... เมื่อคืนไม่ได้เกิดอะไรแบบนั้นขึ้น พี่สาบาน"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น วินยกมือขึ้นมาตบบ่าเพื่อเป็นกำลังใจให้ แต่ในตอนนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย เรื่องรางกำลังแย่ลงไปทุกที

'ผม... อึก ไม่ได้แคร์อะไรนี่ครับ บอกแล้วไงว่าเรื่องของพี่'
เสียงปูนสั่นมากจนผมเดาว่าเขาคงกำลังร้องไห้ เพราะเสียงไอ้กู๊ดที่บ่นเรื่องอาหารเช้ากลับเงียบลงไปดื้อๆ อาจจะกำลังเดินเข้ามาปลอบ กอด ลูบหัว แค่คิดก็รู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจขึ้นมาแล้ว แม่ง

"ไม่ได้ร้องอยู่ใช่ไหม"
ผมถามออกไปแบบนั้นเพราะไม่รู้จะทำยังไงต่อไป สมองเหมือนเบลอไปชั่วขณะ มันไม่ได้จดจำเลยว่าก่อนหน้านี้ตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง ตลกเนอะ เหมือนคนความจำเสื่อมเลย

'หึ อันนี้มันก็เรื่องของผมครับ พี่ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก'
น้ำเสียงประชดประชันดังลอดออกมา ผมกำโทรศัพท์แน่นจนมันแทบแหลกคามือ ไม่ชอบให้ปูนเป็นแบบนี้ มันดูก้าวร้าวไม่น่ารัก มันห่างเหินจนรู้สึกหน่วงในอก จะโทษใครก็ไม่ได้หรอก ทำตัวเองล้วนๆ

"พี่เป็นห่วงนะปูน โกรธมากเหรอ ขอโทษครับ"
เป็นการถามที่สิ้นคิดที่สุดในโลกนี้แล้ว ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องราวเมื่อคืนมันหนักหนาแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงรู้สึกแย่เมื่อโดนทิ้งไว้กลางทาง ไม่จำเป็นที่จะต้องชอบอีกคนก็รู้สึกเจ็บได้เหมือนกัน

'ใครจะมีสิทธิ์ไป อึก โกรธพี่ครับ ผมก็แค่น้องชายคนหนึ่งที่โดนพี่ชายทิ้งเอาไว้กลางทางแล้วไปมีความสุขกับผู้หญิงคนอื่นต่อ แต่นี้นะ ไม่อยากคุยแล้ว'
สายตัดไปดื้อๆ ให้ผมต้องลนลานอย่างหนัก ตะโกนรั้งทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ทันแล้ว

"เดี๋ยวปูน!!"
หลังจากพูดคำนั้นออกไปแล้วก็รีบผละโทรศัพท์ออกมาเพื่อที่จะกดต่อสายไปหาปูนอีกรอบ แต่วินขัดจังหวะกันไว้ซะก่อนโดยการยื่นมือมารั้งกันไว้

"น้องคงไม่อยากคุยกับยู ถึงจะโทรไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก"
วินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วค่อยๆ ดึงโทรศัพท์ออกจากมือของผมแล้วเลื่อนจานอาหารเช้ามาให้แทน

"แต่..."
ผมขัดขึ้นแล้วมองหน้าวินด้วยดวงตาที่สั่นไหวพอๆ กับหัวใจ กลัว กลัวว่าอีกคนจะเกลียดกัน แต่คิดไปคิดว่าบางครั้งมันก็สมควรแล้วที่จะโดนแบบนี้ โง่เองนี่... แม่งเอ้ย

"เชื่อไอ เดี๋ยวไอจัดการเอง ยูกินข้าวเถอะ"
วินคลี่ยิ้มบางก่อนจะเอื้อมมือมาขยี้หัวกันเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ผมถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้แล้วพยักหน้ารับ

"อือ ขอบคุณนะวิน"

ผมใช้ส้อมจิ้มไส้กรอกเข้าปากอย่างเชื่องช้า ดวงตาคมจับจ้องแผ่นหลังของวินอย่างแน่วแน่ เธอกำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคนเรื่องเมื่อคืนและเรื่องเมื่อครู่ และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะใส่อารมณ์อย่างหนักด้วยเพราะเครื่องมือสื่อสารถูกผละออกจากใบหูอยู่หลายครั้งหลายคราว ในตอนนี้คิดว่าตัวเองได้รู้ซึ้งถึงจิตใจของคนเป็นโรคเครียดลงกระเพาะแล้วล่ะ เพราะกินอะไรไม่ลงเลย ท้องพยายามจะขย้อนทุกสิ่งทุกอย่างออกมาทุกเมื่อ

"โอย เพลีย!"
วินเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ด้วยใบหน้ายุ่งเหยิงก่อนจะโยนโทรศัพท์ ย้ำว่าโยนลงบนโต๊ะรับแขกอย่างไม่ใยดี ดูท่าทางแล้วคงหัวเสียอยู่ไม่น้อย และนั่นทำให้ผมสงสัยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

"ยูคุยกับใครเหรอ"
ผมถามก่อนจะวางส้อมในมือลง อาหารพร่องไปแค่ไส้กรอกคอกเทลสองชิ้น ดวงตากลมของเธอเหลือบมามองกันก่อนที่คิ้วเรียวสวยจะขมวดแน่น ลางสังหรณ์จะโดนเทศน์แน่ๆ

"ยูกินแค่นั้นน่ะเหรอ"

"อือ กินไม่ลงว่ะ"

"สำออยอะไรอีกวะ"
วินถามเสียงเซ็งๆ ก่อนจะเอนหลังพิงพนักโซฟาแล้วกอดอกมองกัน ดวงตากลมจับจ้องมาอย่างคาดคั้น ผมยอมรับนะว่าโดนด่าแบบนั้นหงุดหงิด แต่ไม่มีแรงจะเถียงอะไรมากมาย

"เฮ้ยๆ อย่าด่ากัน ไอปวดท้องเว้ย"
โวยวายพอเป็นพิธีก่อนจะถอนหายใจเบาๆ อยากจะถามย้ำอีกครั้งว่าเมื่อครู่วินคุยกับใครก็ไม่กล้า เรื่องตัวเองทั้งนั้นกลับขี้ขลาดได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

"ทำไม เครียดเหรอไง"
หลังจากที่เงียบไปสักพักวินก็ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เธอไม่ได้หันมองกันแต่ทอดสายตาไปเบื้องหน้าเพียงเท่านั้น

"เออ ก็ประมาณนั้น"
พูดเสียงเบาจนแทบเหมือนเสียงกระซิบ เพราะผมไม่เคยเครียดเรื่องอะไรมากขนาดนี้ ปวดท้องจนกินอะไรไม่ลง อาการหนักว่ะ

"เหอะ... ควรจะรู้ใจตัวเองได้แล้วมั้ง เป็นขนาดนี้"


"ทำไมวะ แปลกตรงไหน เป็นห่วงน้องจนเครียดเนี่ย"

"ยูเคยห่วงไอ้ฟ่อนแบบนี้ปะ ก็ไม่เคย แล้วปูนเป็นแค่น้องชายข้างบ้านยูจะวุ่นวายอะไรกับเขานักหนา"
คำพูดของวินทำให้ผมรู้สึกจุกจนไม่สามารถตอบกลับไปในทันที แต่ความคิดแบบเดิมๆ ก็ตอกย้ำว่าควรเชื่อแบบนั่น ทั้งๆ ที่รู้ตัวว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป จะบอกว่าไม่กล้ายอมรับก็คงใช่ มันไม่ชัดเจนและยังสับสน เวลาแค่หนึ่งวันไตร่ตรองอะไรไม่ได้มากนักหรอก

"ไอ้ฟ่อนมันเอาตัวรอดได้นี่หว่า ไม่จำเป็นต้องห่วง แต่ปูนน่ะ... ไม่รู้สิวะ ท่าทางน่าเป็นห่วงยังไงไม่รู้"
ความคิดแบบเดิมๆ ถูกพรั่งพรูออกจากปากด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้ดูปกติธรรมดาที่สุด ไม่มีท่าทางลังเลหรือสับสน แต่จริงๆ แล้วข้างในกลับรู้สึกขัดแย้ง บางสิ่งกำลังร้องเตือนว่ามันไม่ถูกต้อง ผมกำลังโกหกคำโต

"โอย ตามใจแล้วกัน ขี้เกียจยุ่ง แต่ไอขอเตือนนะ ถ้ายูไม่รีบเข้าใจความรู้สึกตัวเองตอนนี้อาจจะกลายเป็นความผิดพลาดตลอดชีวิตก็ได้"
วินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอะไรอยู่สักพักก่อนจะเดินออกไปทางห้องนอน

"....."
ผมได้แต่นั่งเงียบเพราะไม่มีอะไรจะพูดออกไป หัวสมองเบลอไปชั่วขณะทำให้ไม่สามารถคิดหรือวิเคราะห์ได้เลย หัวใจมันหน่วงๆ ปากมันหนัก ร่างกายเหมือนไร้เรี่ยวแรง หรือว่าจริงๆ แล้วผมจะชอบปูน... แต่นั่นผู้ชายแถมยังเป็นน้องที่เห็นกันมาตั้งแต่ยังแบเบาะ มันจะใช่จริงๆ เหรอวะ สับสนจนต้องทึ้งหัวตัวเองไปมาแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงของวินจากทางด้านหลัง

"จัดการเรื่องปูนให้แล้วนะ"

"ห๊ะ ยังไง"
ผมหันขวับไปมองหน้าเธอทันที อยากรู้มานานแล้วว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง เพราะฟังจากน้ำเสียงของปูนก่อนหน้านี้แล้ว ดูท่าทางคงไม่ยอมมาเจอหรือคุยกันง่ายๆ

"ไอ้ฟ่อนจะช่วยพูดเอง"
วินพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่แววตาเต็มไม่ด้วยความขุ่นหมอง ถ้าให้เดาคนที่เปล่งเสียงดังลอดโทรศัพท์ออกมาคงเป็นน้องชายของผมแน่ๆ แต่มันจะได้ผลเหรอ รายนั้นป่าวประกาศจะเป็นจะตายว่าชอบปูน ช่วยผมแล้วได้อะไรล่ะ

"ไหวเหรอวะ รายนั้นชอบปูนนะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงเครียดๆ แล้วยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง จากที่จะช่วยเหลือกลายเป็นเพิ่มภาระให้กันหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ปวดหัวเว้ย แม่ง

"เหอะ ก็ยังดีกว่าคนไม่รู้ใจตัวเองล่ะ ถึงฟ่อนจะชอบปูน แต่มันก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ขอบเขตมีแค่ไหน ชอบก็ไม่ได้แปลว่าอยากครอบครองเสมอไป ไม่ใช่หมาหวงก้างแบบคนแถวนี้ รู้สึกยังไงกับเขายังไม่รู้เลย แต่ออกอาการหวงจะเป็นจะตาย"
พูดจบก็ผลักหัวกันก่อนจะเดินผ่านไปเปิดโทรทัศน์ดูรายการยามสาย ผมเบิกตาค้างไม่กล้าขยับตัวไปไหน รู้สึกว่าหน้าชาๆ ปวดหัวใจหนึบๆ ก็จริงอย่างที่วินบอก ผมก็แค่หมาหวงก้างที่ไม่รู้ใจตัวเองแถมยังโง่อีกต่างหาก ต่อจากนี้ไปคงต้องเก็บเรื่องปูนมาคิดอย่างจริงจังแล้วล่ะ รู้สึกยังไงกันแน่วะ แล้วอยากให้เขาอยู่ในฐานะอะไรกันแน่ จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ช่างแม่งมันเถอะ แต่ก่อนอื่น... ต้องเคลียร์เรื่องที่เกิดขึ้นให้จบก่อน

สู้เว้ย!




---------------------------------------------------

พี่ทาร์ตมันสับสนพอๆ กับเราที่เบลอเลย...
นี่ล่ะหน่าคนที่ไม่เคยรักใครจริงๆ พอเกิดเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกขึ้นมาเลยหาทางไปไม่ถูก
มาลุ้นกันเนอะว่าเมื่อไหร่พี่มันจะหายโง่ แค่กๆๆ หายซึนสักที

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
สมน้ำหน้าพี่ทาร์ต :hao3: :hao3: :hao3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ΩPRESTOΩ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 352
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-1

จับอิพี่ทาร์ตมา  :beat:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
 :pig4: :pig4:

ชื่อแต่ละตอนชวนหิววววว  อยากกินขนมมมมมมม   :ling1:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5




สูตรที่ 8

Blueberry Yogurt Muffin
: ไข่ขาว/น้ำตาลทรายแดง/ไข่แดง/กรีกโยเกิร์ต/น้ำผึ้ง/นมสด/เกลือ/แป้งโฮลวีท/เบกกิ้งโซดา/บูลเบอร์รี่ :





โทรศัพท์เครื่องเก่งถูกตัดสายลงทันทีเมื่อความอดทนในการคุยหมดลง โดนทิ้งเมื่อคืนคงยังไม่สาแก่ใจของพี่ทาร์ตเท่าไหร่ เพราะเมื่อครู่ยังบอกให้ขึ้นไปรับบนห้องพักของผู้หญิงคนนั้น เขาจะรู้บ้างไหมว่าหัวใจคนๆ หนึ่งนั้นเปราะบางแค่ไหน มันปวดหนึบจนน้ำตาไหล ทำร้ายกันมากเกินไปหรือเปล่านะ

"ไม่ร้องดิวะปูน ขี้มูกย้อยแล้วเนี่ย สกปรก"
ไอ้กู๊ดทั้งปลอบทั้งด่ากันไปแต่ก็พยายามหยิบทิชชู่มาซับน้ำตาให้ ผมรู้ว่ามันไม่ได้จริงจังอะไรแค่อยากให้รอยยิ้มที่เคยมีกลับคืนมา แต่ตอนนี้มันยากเหลือเกิน

"กู... เจ็บ ทิ้งกันไม่พอ วันนี้พี่ทาร์ตยังบอกให้ขึ้นไปรับบนห้องผู้หญิงคนนั้นอีก จะตอกย้ำกันไปถึงไหนวะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแล้วฟุบหน้าลงกับมือทั้งสองข้างของตัวเอง ปล่อยน้ำตามากมายให้ไหลอยู่แบบนั้น อยากจะหยุดร้องอยู่หรอก แต่มันทำไม่ได้จริงๆ ยอมรับว่าตอนนี้ไม่มีความแมนหลงเหลือเลย เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่กำลังเสียใจเพราะความรัก ถ้ามีแล้วมันแย่แบบนี้ เลิกรู้สึกเลยดีไหม ถ้าทำได้ง่ายๆ คงดี

"ใจเย็นๆ นะเว้ยปูน พี่เขาบอกว่ามีเรื่องจะเคลียร์แล้วก็ไม่ได้เกิดการคลุกวงในกับผู้หญิงคนนั้นนี่หว่า จะไม่เชื่อหน่อยเหรอ"
เสียงไอ้กู๊ดดูไม่มั่นใจสักเท่าไหร่แต่ก็พยายามปลอบกัน ผมปาดน้ำตาทิ้งลวกๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิทด้วยดวงตาสั่นไหว ปากบางเม้มเข้าหากันแน่นจนรู้สึกเจ็บ ควรเชื่ออะไรคนอย่างพี่ทาร์ตเหรอ...

"จะให้เชื่ออะไรล่ะ... กูสับสนไปหมดแล้ว"
ผมไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนหลอกเพราะนิสัยขี้เล่นขี้แกล้งของเขาส่วนหนึ่ง ถ้าไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วก็ยากที่จะปักใจเชื่อคำพูดลมๆ แล้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานนั่น ถ้านึกใจแข็งสักนิดแล้วยอมไปรับพี่ทาร์ตอาจจะได้รู้อะไรที่อยากรู้ แต่ผมกลัว กลัวว่าหัวใจจะแหลกไปซะก่อน

"กูก็... ไม่ได้รู้จักพี่ทาร์ตดีเหมือนมึงหรอก"
กู๊ดมองกันนิ่งแล้วยกมือข้างหนึ่งมาลูบแผ่นหลังเป็นการปลอบประโลม ผมเผลอสะดุดลมหายใจของตัวเองไปหนึ่งจังหวะเมื่อได้ยินคำพูดนั้น รู้จักคนที่ชื่อธิติพัฒน์ดีอย่างนั้นเหรอ... คงไม่ใช่ในปัจจุบันหรอก

"รู้จักดีเหรอวะ... กูอาจไม่ได้รู้จักพี่ทาร์ตจริงๆ เลยก็ได้ ระยะเวลาเกือบสิบปีมันสามารถเปลี่ยนนิสัยคนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้สบายๆ อึก"
ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ขาดห้วงเพราะรู้สึกว่าก้อนสะอื้นจะขึ้นมาจุกอยู่ตรงหน้าอกอีกครั้ง หัวใจกำลังบีบตัวอย่างหนักจนต้องยกมือขึ้นมาจับที่ตำแหน่งนั้นไว้ ประคองมันให้คงอยู่เพื่อไม่ให้แตกสลายเพราะการทำลายของคนๆ หนึ่ง พี่ทาร์ตสมัยเด็กๆ คือคนที่ผมรู้จักดี แต่ในปัจจุบันแล้วเขาเหมือนเป็นคนแปลกหน้า

"แต่มันเปลี่ยนความรักของมึงไม่ได้ใช่ไหมปูน"
กู๊ดพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงแล้วมองกันด้วยแววตาเศร้า ผมได้แต่เม้มปากและไม่เปล่งเสียงอะไรออกไปแม้แต่นิดเดียว

"....."
จะให้ปฏิเสธก็พูดไม่ออก ยังอึ้งสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้รับรู้อยู่เลย ไม่เข้าใจด้วยว่าไปเผลอใจรักคนเจ้าชู้และไม่แคร์โลกแบบนั้นได้ยังไงกันนะ ขอคำชมว่าเขาเพอร์เฟ็คกลับมาได้ไหม

Rrrrr

เสียงริงโทนที่คุ้นหูทำให้ผมต้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อีกครั้งห่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู รายชื่อสายเรียกเข้าทำให้คิ้วขมวดจนแทบเป็นปม ไม่อยากคุยกับพี่ทาร์ตแต่ไอ้ฟ่อนดันโทรมาซะอย่างนั้น หวังว่าคงเป็นเรื่องอื่นนะ

"กูขอไปรับโทรศัพท์นะ"
ผมหันไปบอกไอ้กู๊ดก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินเซไปที่ระเบียงห้อง ดวงตารีหรี่ลงเมื่อเจอแสงแดดยามสาย ประเทศภูเก็ตไม่ว่าจะช่วงเวลาไหนก็ร้อนจนผิวจะไหม้อยู่ดี

"ว่าไง"
ผมกรอกเสียงที่พยายามปรับให้ปกติลงไปหลังจากสไลด์หน้าจอเพื่อรับสาย กระเพาะอาหารบีบตัวเล็กน้อยเพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักนิด ปวดว่ะ... แต่ยังทนได้

'เฮ้อ นึกว่าจะไม่รับสายกันซะแล้ว'
ปลายสายถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแต่นั่นทำให้ผมต้องขมวดคิ้วแน่น รู้สึกว่าคำพูดของไอ้ฟ่อนฟังแล้วมันทะแม่งๆ แปลกๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่

"อะไรของมึงวะฟ่อน บ่นอะไร"
ผมกรอกเสียงเซ็งๆ ใส่โทรศัพท์แล้วเสยผมที่ปรกหน้าขึ้นไปด้านบนเมื่อสายลมร้อนพัดผ่านไป ไอแดดทำให้ต้องหาที่หลบมุมอย่างช่วยไม่ได้

'เปล่าๆ พี่ปูนทะเลาะกับพี่ทาร์ตเหรอ'
ฟ่อนถามกลับมาด้วยประโยคที่ผมไม่อยากฟังมากที่สุดในตอนนี้ ลมหายใจสะดุดกึกแทบจะทันที ความคิดมากมายกำลังบีบคั้นให้อาการปวดหัวก่อตัวขึ้น บ้าเอ้ย ไม่น่ารับสายน้องมันเลยจริงๆ

"ไปเอาเรื่องนี้มาจากไหนวะ ตัวอยู่ตั้งกรุงเทพฯ ไม่ใช่หรือไง"
ผมเลี่ยงจะตอบคำถามตรงๆ แล้วใช้มือนวดขมับเบาๆ เป็นการช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด ดวงตาที่ผ่านการร้องไห้มาเมื่อครู่รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง ไม่อยากเป็นคนอ่อนแอแบบนี้เลย อะไรสะกิดนิดหน่อยก็ไม่ได้ พาลจะเป่าปี่อยู่เรื่อย

'นี่... ถึงฟ่อนจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่อยากให้พี่ปูนฟังสิ่งที่พี่ทาร์ตจะพูดได้ไหม'
น้ำเสียงวอนขอทำให้ผมต้องเม้มปากแน่น ที่จริงก็อยากจะกลั้นใจฟังเรื่องทั้งหมดจากปากพี่ทาร์ตอยู่หรอก แต่มันกลัว... กลัวว่าสิ่งที่เขาบอกว่าจะทำนั้นได้เกิดขึ้นไปแล้ว

"จะให้กูฟังอะไร เรื่องที่พี่ทาร์ตนอนกกผู้หญิงงั้นเหรอ อึก น่าขยะแขยงว่ะ"
ผมเลือกที่จะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบพยายามไม่แสดงอาการสั่นไหว แต่สุดท้ายก้อนสะอื้นก็จุกขึ้นมาอีกรอบ ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่... ไม่มีน้ำตาจะร้องไห้แล้ว ปวดหัวฉิบหาย

'เฮ้ย พี่ทาร์ตไม่ได้กกใครนะพี่ปูน ฟ่อนเป็นพยานได้เลย'
ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงตกใจและรัวจนแทบฟังไม่ออกแต่ก็จับใจความได้ว่าอีกคนไม่ได้นอนกกผู้หญิงอย่างที่ผมบอกไป ก็ถ้าไม่ใช่แบบนั้นมันจะแบบไหน เมื่อคืนยังชวนกันไปต่ออยู่เลย คิดแล้วก็ปวดใจจนกำหมัดแน่น อยากต่อยหน้าหล่อๆ นั่นสักที... หึ

"มึงจะแก้ตัวแทนพี่ทาร์ตทำไม น้องที่ประเสริฐงั้นเหรอ"
ผมพูดกระแทกไอ้ฟ่อนไปแบบนั้นก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่พื้นระเบียงโดยไม่สนใจว่ามันจะสกปรกแค่ไหน ตอนนี้เรี่ยวแรงในร่างกายหมดไปกับการร้องไห้ มือเรียวยกขึ้นขยี้ปลายจมูกไปมาเมื่อรู้สึกว่าหายใจไม่ออก เกลียดอาการที่เป็นอยู่สุดๆ เพราะเราไม่สามารถบังคับน้ำเสียงให้ปกติเหมือนเดิมได้อีกแล้ว

'แก้ตัวบ้าอะไรวะพี่ปูน พี่ทาร์ตมันอยู่กับพี่วินเว้ย เป็นลูกพี่ลูกน้องกับฟ่อนเอง ผู้หญิงคนเมื่อคืนนั่นน่ะ'
ไอ้ฟ่อนโวยวายกลับมาจนผมต้องผละหูออกจากโทรศัพท์แต่ยังคงได้ยินประโยคสนทนาชัดแจ๋ว ดวงตารีเบิกกว้างเมื่อคำพูดเหล่านั้นกระทบโสตประสาทการรับรู้เข้าอย่างจัง นี่มันเรื่องอะไรกัน ใครโกหก...

"อะไรนะ! ลูกพี่ลูกน้องงั้นเหรอ แล้วทำไม... เล่นบ้าอะไรกัน"
ผมโวยเสียงดังในต้นประโยคแต่กลับแผ่วช่วงท้ายเมื่อสมองรู้สึกสับสนขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องราวมากมายกำลังผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ความตึงเครียดเพิ่มจนรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด

'ถ้าบอกเรื่องจริงไปแล้ว พี่ปูนสัญญากับฟ่อนได้ไหมว่าจะไม่โกรธพี่ทาร์ตไปมากกว่านี้'
ปลายสายพูดเสียงแผ่วเหมือนต้องการขอร้องให้ผมใจเย็นลงอีกสักนิดและปรานีพี่ชายของเขาอีกสักหน่อย ผมส่ายหน้าไปมาด้วยความไม่เข้าใจอะไรสักอย่างก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองแรงๆ เพราะไม่รู้จะทำยังไงกับเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้มาเมื่อครู่ พี่ทาร์ตหลอกกันเพื่ออะไร คิดไม่ออกเลยว่ะ

"....."
คิดสะระตะไปเรื่อยจนเผลอเงียบใส่อีกคน

'พี่ปูน... ไม่เงียบสิ พี่ทาร์ตเครียดมากเลยนะ กินอะไรก็ไม่ลง'
น้ำเสียงร้อนรนถูกส่งมาจากปลายสาย ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อโดนดึงออกมาจากห้วงความคิดของตัวเอง พี่ทาร์ตเครียดอย่างนั้นเหรอ เชื่อได้สักสิบเปอร์เซ็นไหมล่ะคนแบบนั้น วันๆ ดูเป็นคนไม่คิดอะไรจะตายไป

"ช่างเขาสิ ทำไมกูต้องแคร์ด้วยล่ะ"
ผมบอกไปแบบนั้นเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าความรู้สึกลึกๆ ก็แอบเป็นห่วงคนใจร้ายอยู่เหมือนกัน แต่ความโกรธก็ยังคงมีหลงเหลืออยู่มากทำให้การใจอ่อนถูกปัดตกไปง่ายๆ เจ็บแล้วจำคือคนเพราะผมไม่ใช่ควาย

'แน่ใจเหรอว่าไม่แคร์'
ไอ้ฟ่อนถามย้ำด้วยน้ำเสียงที่แสดงความอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่ปิดบัง ผมได้แต่พ่นลมหายใจใส่โทรศัพท์แรงๆ เหมือนคนเริ่มรำคาญ หวังว่าทำแบบนี้คงจะลดความเผือกของมันลงได้บ้างล่ะนะ

"เออ บอกมาสักทีเถอะ กูเริ่มรำคาญมึงแล้ว"

'ร้ายใส่ตลอดคนอะไร'
มีตัดพ้อด้วยน้ำเสียงงอนๆ แต่ใครจะสนใจล่ะ ผมก็โกรธพี่ชายมันอยู่นะ เล่นสนุกกับความรู้สึกคนอื่นดีนัก ถ้าโดนเอาคืนบ้างจะเป็นยังไงนะ แค่คิดก็สนุกแล้ว

"ยังอีก ถ้าไม่พูดกูจะวางแล้วนะ เสียเวลา"
ผมขู่กลับไปอย่างนั้นแต่ใจจริงแล้วไม่ได้จะวางสายแต่อย่างใด อารมณ์ไม่คงที่ หิวก็หิว อยากรู้ก็อยากรู้ ใจก็ยังปวด... แม่ง น่าหงุดหงิดไปหมด

'เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งวาง คือพี่ทาร์ตอยากพิสูจน์ว่าพี่ปูน เอ่อ... ชอบตัวเองหรือเปล่าน่ะ เลยคิดวิธีงี่เง่าแบบนี้ขึ้นมา'
เสียงปลายสายเบามากแทบเหมือนการกระซิบแต่ผมกลับได้ยินอย่างชัดเจนจนทำให้หัวใจเต้นโครมครามอย่างน่ากลัว เมื่อครู่ไม่ค่อยแน่ใจว่าหูฟาดไปหรือเปล่า เลยยกมือข้างที่ว่างตบเบาๆ เข้าที่แก้มของตัวเองเพื่อเรียกสติที่เพิ่งหลุดลอยไปให้กลับมา ไอ้ฟ่อนบอกว่าอะไรนะ...

"อะ อะไรนะ พิสูจน์เรื่องอะไรนะ"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ดวงตารีเริ่มกรอกไปมาด้วยความกลัวปนตื่นเต้น สับสนมึนงงไปหมด ไอ้กู๊ดที่ยืนโบกมือให้กันจากในห้องก่อนจะพูดแบบไร้เสียงว่าอาหารมื้อเช้าเสร็จแล้วยังไม่สามารถทำให้ผมหลุดจากอาการเบลอๆ นี้ได้เลย ความหิวที่เคยมีมา อาการปวดหัวที่ไม่มีทางจะทุเลา ตอนนี้เหมือนมันจางหายไปแบบไร้ร่องรอย

'พิสูจน์ว่าพี่ปูนชอบพี่ทาร์ตหรือเปล่า'

"ห๊ะ... เฮ้ย เรื่องเหี้ยอะไรเนี่ย พิสูจน์อะไร บ้าไปแล้ว"
ผมพูดออกไปรัวๆ จนแทบฟังไม่เป็นภาษาคน หัวใจเต้นแรงจนรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา มือเรียวทาบลงบนหน้าอกเพื่อหวังว่าจะทุเลาอาการตกใจนี้ลงได้บ้าง ไม่เคยคิดจะสารภาพให้อีกคนรู้เพราะกลัวว่าจะถูกหนีหน้า กลัวว่าพี่ทาร์ตจะรับไม่ได้ที่มีน้องชายคิดไม่ซื่อแบบนี้ แล้วทำไมกลายเป็นว่าตัวเองโดนพิสูจน์ไปได้ แสดงออกมากไปอย่างนั้นเหรอ...

'พี่ทาร์ตมันโง่เรื่องแบบนี้น่ะ แล้วพี่ปูนชอบพี่ทาร์ตหรือเปล่า พอจะตอบฟ่อนได้ไหม'
เหมือนฟ่อนไม่ได้ฟังคำตอบของผมเลยด้วยซ้ำ ที่บอกว่าพี่ทาร์ตโง่นั่นหมายถึงอะไร วิธีการพิสูจน์อย่างนั้นเหรอ สงสัยแต่ไม่กล้าถาม ความรู้สึกตอนนี้มันหน่วงมากกว่าที่เขาขอไปต่อกับผู้หญิงอีก... ถ้าความจริงเรื่องที่ผมชอบเขาเปิดเผยขึ้นมาเรายังจะมองหน้ากันติดอีกไหมนะ

ผมไม่ควรโกรธเขาต่อแล้วเหรอ ทำไมต้องรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิดที่ทำให้อีกคนระแวงด้วยล่ะ ควรทำยังไงดี ตอนนี้รู้แค่อย่างเดียวว่าจะให้ใครล้วงความลับของตัวเองไปได้ ยิ่งเป็นไอ้ฟ่อนด้วยแล้วต้องปิดให้มิดชิดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์และน้ำเสียงของตัวเองก่อนจะกรอกเสียงเนือยๆ ลงไป

"จะเอาไปบอกพี่ทาร์ตเหรอไง"
แล้วทำไมผมต้องเลือกใช้ประโยคแบบนั้นแทนที่จะเป็นการปฏิเสธด้วยนะ ปากพาซวยจนต้องยกมือขึ้นมาตีๆๆ ด้วยความโง่ของตัวเอง ทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง แล้วไหนจะไอ้กู๊ดที่ยืนเท้าเอวมองกันอย่างเอาเป็นเอาตายนั่นอีก แค่ไม่ขยับตัวไปกินข้าวจำเป็นต้องสวมบทพ่อใจโหดเลยเหรอ ไม่เข้าใจว่ะ

'เปล่า... เรื่องอะไรที่ฟ่อนจะช่วยล่ะ ให้พี่ทาร์ตหาความจริงเอาเองสิ ที่ถามก็เพราะอยากรู้ จะได้เตรียมตัวถูก'
ปลายสายใช้น้ำเสียงที่ฟังสบายๆ มากกว่าตอนแรกอยู่เล็กน้อย ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่ฟ่อนพยายามสื่อสักเท่าไหร่ ถ้าได้คำตอบไปแล้วน้องมันต้องเตรียมตัวอะไรวะ งงในงงสุดๆ

"เตรียมตัวอะไรวะ"
ถามออกไปด้วยความงงก่อนจะโบกมือไล่ไอ้กู๊ดที่เริ่มเดินตรงมาทางนี้ สงสัยจะทนรอให้ผมไปกินข้าวเช้าไม่ไหวแน่ๆ แต่ใครใช้ให้มันแขวนท้องรอล่ะวะ ทำอย่างกับเป็นครอบครัวที่ต้องกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันไปได้ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว ดีนะที่ปัจจุบันนี้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ไม่มีคนไหนคิดไม่ซื่อเหมือนแต่ก่อน ถ้าเป็นแบบนั้น ตอนนี้คงลำบากใจแย่

'ก็เตรียมตัวอกหักหรือชอบต่อไปดีไง'
ปลายสายพูดเสียงกลั้วหัวเราะกลับมาจนจับทางอารมณ์ของมันไม่ถูก เรื่องที่ไอ้ฟ่อนชอบผมก็นานมาแล้ว ไม่รู้ว่าจริงจังแบบอยากได้เป็นแฟนหรือแค่ปลื้มคล้ายๆ อารมณ์เน็ตไอดอลอะไรประมาณนั้นหรือเปล่า แต่ดูเจ้าตัวก็ไม่ได้เดือดร้อนถ้าหากผมจะไปรักไปชอบหรือคบกับใครสักที วันไหนจะจับมานั่งเปิดอกคุยให้รู้เรื่องแบบจริงๆ จังๆ ค้างคามานานแล้ว

"มึงนี่มัน... คนอย่างพี่ทาร์ตใครจะไปชอบลงวะ เจ้าชู้ฉิบหาย แถมชอบวันไนท์สแตนด์ไปทั่ว"
ผมบอกปัดด้วยการยกเอาข้อเสียที่มีอยู่น้อยนิดแต่สำคัญสำหรับการรักใครสักคนขึ้นมาเป็นข้ออ้างที่จะบอกว่าตัวเองชอบพี่ทาร์ตหรือเปล่า ทั้งๆ ที่เรื่องพวกนี้มันโดยละทิ้งไปตั้งแต่ตอนที่รู้ตัวว่ามีใจให้เขาแล้ว ไม่รู้ว่าจะสามารถหลอกคนอย่างไอ้ฟ่อนไปได้นานสักแค่ไหน...

'ถึงพี่จะไม่ตอบฟ่อนหรือบ่ายเบี่ยงแค่ไหน แต่ฟ่อนก็รู้นะว่าตัวเองต้องอกหักอยู่แล้วล่ะ คนอย่างพี่ทาร์ตเจ้าชู้ก็จริงแต่คบใครก็คบทีละคน ให้ความสำคัญดูแลเอาใจใส่เต็มที่เลยนะ'
งานโฆษณาพี่ทาร์ตก็มาวะ แปลกใจอยู่นิดๆ ที่ไอ้ฟ่อนยอมพูดข้อดีของพี่ชายตัวเองในสถานการณ์แบบนี้ ปกติมันต้องต่อสู้กับศัตรูหัวใจไม่ใช่เหรอ ทำไมล่ะ...

"เกี่ยวอะไรกันวะ"
เพราะเรื่องที่มันพูดมาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่ผมบอกไปเมื่อครู่เลยสักนิด งงในงงอีกครั้งสินะ สรุปว่าเมื่อคืนผมกินเหล้าหรือไอ้ฟ่อนเมานมกันแน่ สื่อสารกันไปคนละทางแบบนี้

'ไม่เกี่ยวหรอก แต่ฟ่อนคิดว่าลางสังหรณ์ตั้งแต่เล็กจนโตของตัวเองแม่น คนสองคนอาจจะมองกันและกันไม่ออกว่าใครชอบใครอยู่หรือเปล่า แต่การที่เป็นคนนอกจะทำให้เราเห็นภาพมุมกว้างมากกว่า และสังเกตได้ง่ายกว่าด้วย พี่ปูนเข้าใจสิ่งที่ฟ่อนสื่อไหม'
แม้จะฟังดูเข้าใจยากไปหน่อยแต่นั่นก็ทำให้ผมสะดุดลมหายใจของตัวเองซะดื้อๆ มันก็จริงที่คนใกล้ๆ กันหรือคนที่เผลอชอบกันจะไม่รู้ตัว แต่คนนอกจะจับสังเกตอะไรที่มันแปลกปลอมได้ก่อน... พอจะรู้ความหมายที่ไอ้ฟ่อนต้องการจะสื่อแล้วล่ะ... อืม ขอโทษนะที่ทำให้อกหัก

"คิดว่า... นะ"
ตอบกลับไปด้วยเสียงที่แผ่วเบาก่อนจะยกมือขี้นลูบแก้มตัวเอง รู้สึกขัดเขินเมื่อโดนจับได้ว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถมีความลับกับน้องชายข้างบ้านที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ดวงตารีกวาดมองไปรอบๆ เพราะไม่รู้จะโฟกัสอะไรดีที่ทำให้หัวใจเต้นเป็นปกติ ความโกรธที่เคยมีต่อพี่ทาร์ตตอนนี้ก็ลดลงไปเยอะแล้ว... กลายเป็นกลัวว่าเขาจะตีตัวออกห่างหรือเปล่า ความรักมันช่างวุ่นวายซับซ้อนเหลือเกิน

'พี่ทาร์ตเป็นคนที่ไม่รู้ใจตัวเองที่สุดในสามโลกเลยล่ะ ฟ่อนบอกได้แค่นี้ หวังว่าพี่ปูนจะไม่โกรธไปมากกว่านี้นะ ต้องวางแล้วล่ะ มะรืนนี้ก็เค้าท์ดาวน์กันดีๆ นะ'
ฟ่อนวางสายไปแล้ว ทิ้งให้ผมตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ที่บอกกันว่าพี่ทาร์ตเป็นคนที่ไม่รู้ใจตัวเองมันหมายความว่ายังไงกันนะ... หรือจริงๆ แล้วอีกฝ่ายก็เริ่มสับสนและไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกอะไรอย่างนั้นเหรอ แบบนี้ผมคงมีลุ้นที่จะสมหวังในความรักครั้งแรกและครั้งเดียวนี่หรือเปล่านะ แค่คิดก็ตื่นเต้นไปหมดแล้ว แต่ต้องขอเอาคืนกันหน่อยล่ะ มาพิสูจน์ใจกันด้วยวิธีร้ายกาจแบบนี้ หึ

ว่าแต่... ลืมไปซะสนิทเลยว่ามะรืนนี้เป็นวันสิ้นปีแล้ว เค้าท์ดาวน์ที่ไหนกันดีล่ะ

เที่ยงวันที่ดวงอาทิตย์ตรงกับศีรษะแบบพอดิบพอดีทำให้อยากจะวิ่งไปแช่น้ำที่ไหนสักแห่ง เหงื่อเม็ดโตแย่งกันไหลลงไปตามแผ่นหลังและหน้าอกจนเสื้อเชิ้ตเปียกลู่แนบเนื้อ มือเรียวสะบัดเนื้อผ้าออกจากตัวเพื่อคลายร้อนก่อนจะเดินหลบเข้าไปด้านในของตึกสูงสิบห้าชั้นที่เรียกว่าคอนโดมีเนียม สุดท้ายผมก็พาตัวเองมาเหยียบที่นี่จนได้ แม่ง... โกรธเขาแต่ก็ถ่อสังขารมารับเขา ย้อนแย้งในตัวเองฉิบหาย

"ปูน!"
เสียงเรียกชื่อที่คุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลังซึ่งเป็นลิฟท์ที่จะนำผู้โดยสารไปสู่ชั้นต่างๆ ผมชะงักมือที่กำลังกระพือเสื้อแล้วรีบหมุนตัวกับไปมองพี่ทาร์ตที่รีบเดินมาทางนี้ด้วยใบหน้าตื่นๆ หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อระยะห่างสั้นลง อยากจะหนีแต่ขาไม่ขยับ คำว่าคิดถึงอยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาในสมอง แค่ทะเลาะกัน ห่างกันแค่คืนเดียวต้องอาการหนักแบบนี้เลยเหรอวะ เกลียดตัวเองจัง

"....."
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปก่อนจะหมุนตัวไปมองทางอื่น การจ้องหน้าเขาแบบนั้นมันทำให้ร่างกายควบคุมได้ลำบากยิ่งนัก มุมปากพาลจะคลี่ออกเป็นรอยยิ้มอยู่เรื่อย ต้องท่องไว้ในใจตลอดว่าเรากำลังโกรธเขาและจะไม่ยอมยกโทษให้ง่าย ก็บอกแล้วไงว่าเป็นคนไม่ใช่ควาย เจ็บแล้วจำต้องเอาคืนอย่างสาสมด้วย

"เฮ้ ควายหายหรือไง รอไอด้วยสิทาร์ต"
อีกหนึ่งเสียงดังขึ้นมาจากทิศทางเดียวกันทำให้ผมต้องเหลือบสายตาไปมอง จำได้ดีว่าเธอเป็นใครและนั่นทำให้ระบบการหายใจติดขัดขึ้นมาดื้อๆ ถึงแม้จะฟังคำบอกเล่าจากไอ้ฟ่อนมาแล้วบ้าง แต่มันก็อดหน่วงไม่ได้...

"ยูชักช้านะวิน ถ้าปูนหนีไปอีกจะทำยังไงวะ กว่าจะเจอตัวไอแทบจะอ้วกอยู่แล้ว"
น้ำเสียงร้อนรนนั่นทำให้ผมใจกล้าที่จะมองไปที่พี่ทาร์ตเพราะอยากรู้ว่าเขาแสดงอาการแบบไหนออกมา ใบหน้าหล่อเหลานั้นเรียบตึงจนให้ความรู้สึกน่ากลัว ดวงตาคมมีแววสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด แต่สำรวจรายละเอียดได้ไม่นานอีกคนก็มาหยุดกันตรงหน้าซะแล้ว สภาพยังอยู่ในชุดเมื่อคืน แสดงว่าไม่ได้อาบน้ำสินะ แล้วผู้หญิงที่ยืนหอบอยู่ด้านหลังน่ะ... ขนาดไม่มีเครื่องอางใดๆ ยังสวยได้ขนาดนี้ นับถือจริงๆ

"สวัสดีครับ"
ผมเลือกที่จะยกมือไหว้ทักทายทั้งสองคนด้วยใบหน้าเรียบเฉย มันอาจจะดูสุภาพที่ให้ความเคารพผู้ใหญ่แบบนี้ แต่สำหรับคนที่คิดว่าสนิทกันอย่างพี่ทาร์ตแล้วนั้น มันคงดูห่างเหินมาก เพราะสังเกตจากท่าทางของเขาแล้วน่าจะอึ้งอยู่ไม่น้อย การเอาคืนได้เริ่มต้นขึ้นแล้วล่ะ

"ปูน... นี่วิน เป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่เอง"
น้ำเสียงที่ใช้แนะนำตัวพี่วินนั้นสั่นเล็กน้อย ผมพยักหน้ารับก่อนจะคลี่ยิ้มบาง ส่งให้เธอไป

"ยินดีที่ได้รู้จักครับพี่วิน"
ผมเอ่ยทักทายเธอด้วยน้ำเสียงปกติ พี่วินเดินออกมายืนตรงหน้าพี่ทาร์ตแล้วถือวิสาสะเอื้อมมือมาแตะไหล่กันก่อนจะคลี่ยิ้มสดใสมาให้ ยอมรับว่าเป็นคนที่สวยมากจริงๆ แทบไม่ต้องเสริมเติมแต่งด้วยซ้ำ แต่ดูจากชุดที่สวมใส่แล้ว... คงยังไม่ได้อาบน้ำ เป็นผู้หญิงที่ไม่ห่วงภาพลักษณ์เลยสินะ

"ยินดีที่ได้รู้จักนะน้องปูน ขอโทษเรื่องเมื่อคืนที่ทำให้เข้าใจผิดด้วย ถ้าจะโกรธก็โกรธไอ้ทาร์ตคนเดียวนะ พี่ไม่เกี่ยวอะไรเลย"
พี่วินบุ้ยใบ้ไปทางพี่ทาร์ตด้วยใบหน้ายุ่งเหยิง ผมพยักหน้ารับพร้อมกับคลี่ยิ้มเล็กน้อยส่งให้เธอ เชื่อว่าถ้าเขาไม่บังคับผู้หญิงคนนี้ไม่มีทางทำเรื่องบ้าๆ นี่แน่ๆ

"เฮ้ย ยูจะทิ้งไอแบบนี้ไม่ได้นะวิน"
พี่ทาร์ตประท้วงเสียงดังแล้วทำท่าจะเข้ามาเขย่าตัวพี่วินแต่ผมเข้าไปขวางเอาไว้ด้วยใบหน้าบึ้งตึง เขาหยุดชะงักก่อนจะยกมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นสัญญาณว่ายอมแพ้แล้วถอยหลังออกไป ดูๆ แล้วก็เหมือนหมาโดนดุเลย หงอยเชียว

"เคลียร์กันเองเลย พี่ไปแล้วนะน้องปูน ไว้เจอกันใหม่"
พี่วินบอกกันแค่นั้นแล้วรีบวิ่งไปทางลิฟท์ทันทีโดยไม่ฟังเสียงทักท้วงของพี่ทาร์ตเลยสักนิด ผมเหลือบมองเขาก่อนจะเดินออกไปจากคอนโด อยากกลับบ้านไปนอนใจจะขาด ตั้งแต่เมื่อคืนยันตอนนี้ยังไม่ได้พักร่างกายเลย

"ปูนรอพี่ด้วยสิครับ"
เสียงตะโกนดังมาจากทางด้านหลังพร้อมกับสัมผัสที่ข้อมือ ผมชะงักเล็กน้อยก่อนจะมองลงไปที่ตำแหน่งนั้น

"ปล่อยครับ แล้วก็อย่าชักช้าด้วยผมง่วง"
ผมบอกเสียงแข็งแล้วจ้องหน้าเขาเขม็ง กะว่าถ้าไม่ยอมปล่อยมือคงสะบัดทิ้งแบบไม่เกรงใจแน่ๆ พี่ทาร์ตพ่นลมหายใจเบาๆ ก่อนจะยอมผละออกไปเงียบๆ แล้วคลี่ยิ้มแหยส่งมาให้ อยากจะหัวเราะอยู่หรอกกับท่าทางกล้าๆ กลัวๆ นั่น แต่ผมต้องเก๊กขรึมไว้ ไอ้โกรธมันก็ยังโกรธนั่นล่ะ แต่ไม่เคยเห็นเขาทำท่าทางแบบนี้ ตลกดี

"โกรธมากเลยเหรอปูน พี่ขอโทษ"
พี่ทาร์ตพูดเสียงอ่อยแล้วมองกันด้วยสายตาอ้อนวอน ผมกรอกตาเพื่อมองไปทางอื่นก่อนจะหันหลังเพื่อเดินหนีไปที่รถทันทีเพราะกลัวตัวเองยอมเขาอีกตามเคย หัวใจมันอ่อนแอเมื่ออยู่ใกล้...

อีกคนไม่ยอมปล่อยกันไปง่ายๆ เขาเดินกึ่งวิ่งเพื่อมาดักหน้ากัน ผมชะงักเท้าแทบไม่ทันก่อนจะตกใจเมื่อรู้ว่าใบหน้าของเราอยู่ห่างกันแค่คืบเดียว หัวใจเต้นระรัวกลัวเหลือเกินว่าจะหลุดออกมาด้านนอก ร่างกายไม่ยอมทำตามคำสั่งจากสมอง ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้เหมือนโดนคำสาป ดวงตาคมที่จับจ้องมานั้นมีแววขอร้องและสั่นไหวจนพาลทำให้หัวใจของผมกระตุก แย่ชะมัด

"ยกโทษให้พี่ได้ไหมครับ ขอโทษจริงๆ พี่โง่เองล่ะที่โกหกไปแบบนั้น แถมยังทำร้ายจิตใจปูนอีก ขอโทษนะ"
พี่ทาร์ตเอ่ยขอโทษพร้อมกับตัดพ้อการกระทำของตัวเองด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ผมเม้มปากแน่นแล้วเบนสายตามองไปทางอื่นก่อนจะกลั้นใจถอยหลังออกมาเพื่อให้ระยะห่างมีมากขึ้น พอเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงๆ ทำไมไม่สามารถเอาคืนเขาได้อย่างที่คิดไว้ล่ะ เกลียดตัวเองที่แพ้ทางคนๆ นี้เหลือเกิน

"พี่คิดดีแล้วไม่ใช่เหรอครับก่อนจะทำอะไรลงไป ผมไม่มีสิทธิ์ไปโกรธอะไรหรอก อยากทำอะไรก็ทำ"
ผมพูดออกไปแบบนั้นเพราะคิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ไปโกรธเขาจริงๆ พี่ทาร์ตอยากทำอะไรก็ไม่ผิดหรอก เป็นผมเองที่แคร์และรู้สึกมากไป ก็เป็นธรรมดาของผู้ชายส่วนมากที่จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ยอมรับว่าเสียใจ ยอมรับว่าเจ็บ แต่คนอย่างไอ้ปูนน่ะอยู่ในฐานะน้องชายอาจจะดีที่สุดแล้วก็ได้

"เฮ้ย ไม่พูดแบบนั้นดิ รู้ไหมว่าตอนที่ปูนลุกออกจากโต๊ะไปเมื่อคืนพี่กระวนกระวายแค่ไหน เพราะความอยากรู้บ้าๆ ของพี่แท้ๆ ไม่น่าทำเลยว่ะ กูแม่งโคตรโง่"
พี่ทาร์ตพูดพลางยกมือขึ้นทึ้งผมตัวเองแรงๆ จนผมอยากจะห้ามเพราะกลัวเขาเจ็บ แต่ความรู้สึกกลัวกลับแล่นขึ้นมาจุกอยู่กลางหน้าอกเพราะเรื่องต้นเหตุกำลังจะถูกยกขึ้นมาคุย... ความอยากรู้ว่าผมชอบเขาหรือเปล่าสินะ ไม่พูดถึงได้ไหม

"พอแล้วครับพี่ทาร์ต จะดึงให้ผมหลุดหมดหัวเลยหรือไง เดี๋ยวก็กลายเป็นตาแก่หัวล้านหาแฟนไม่ได้กันพอดี"
สุดท้ายก็ทนเห็นเขาทำร้ายตัวเองไม่ได้จนต้องเอื้อมมือไปจับข้อมืออีกคนเอาไว้ พี่ทาร์ตชะงักก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองกัน ดวงตาคมวูบไหวเล็กน้อย ผมไม่ชอบระยะที่ใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจแบบนี้เลย... หน้าร้อนว่ะ




ต่อด้านล่างนะ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"หายโกรธพี่หรือยัง"
เขาถามก่อนจะเป็นฝ่ายพลิกมาจับมือผมแทนแถมยังเอาไปแนบแก้มตัวเองอีก แบบนี้มันขี้โกงไม่ใช่หรือไง ใช้ลูกอ้อนมันไม่แฟร์เลย

"ไม่ครับ เพราะผมไม่ได้โกรธ"
ตอบกลับไปแล้วพยายามดึงมือออก แต่ยิ่งทำก็ยิ่งโดนกุมไว้แน่นขึ้นเรื่อยๆ จนผมหมดความพยายามเลยปล่อยให้อีกคนทำตามใจ ดวงตารีเสมองไปทางอื่นเพราะไม่กล้ามองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงอ้อนกันไม่เลิก ก็เป็นซะแบบนี้ เขาเคยทำตัวน่ารักแบบนี้กับใครที่ไหนบ้างล่ะนอกจากผมคนนี้ ไม่ให้หวั่นไหวได้ยังไงกัน

"งั้นอย่าทำตัวห่างเหินกันอีกนะครับ"
เขายอมปล่อยมือผมให้เป็นอิสระก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นละมุดจางๆ นี่พี่ทาร์ตไม่ได้อาบน้ำจริงๆ ใช่ไหม โคตรสกปรกเลย

"ไม่ได้ทำนี่"
ผมผละตัวออกแล้วย่นจมูกเล็กน้อย อยากกลับบ้านใจจะขาดแต่ต้องมาเคลียร์ปัญหาหัวใจของตัวเองแบบนี้ ง่วงก็ง่วง ดูท่าทางจะขับรถเองไม่ไหวแล้วเนี่ย เบลอๆ มึนๆ ไปหมด

"ยกมือไหว้ ไม่มองหน้า พูดเสียงแข็งยังไม่เรียกว่าห่างเหินอีกเหรอ"
คำตัดพ้อถูกยกออกมาใช้ชุดใหญ่ ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะออกเดินต่อเพื่อไปที่รถ ยกมือขึ้นปิดปากที่กำลังอ้ากว้างเพราะอาการหาว น้ำตาจะไหลอยู่แล้ว พี่ทาร์ตแม่งก็บ่นอยู่ได้ น่ารำคาญ

"จะแคร์ทำไมครับ ผมไม่ได้สำคัญอะไรกับพี่ขนาดนั้นหรอก"
บอกปัดๆ ก่อนจะเปิดประตูรถเพื่อจะเข้าไปนั่ง แต่ยังไม่ทันได้ย่อตัวพี่ทาร์ตก็ตรงเข้ามาจับไหล่ให้ผมพลิกตัวไปเผชิญหน้ากับเขา ท่าทางโคตรล่อแหลมเพราะสองแขนแกร่งคร่อมตัวกันเอาไว้ ไม่มีทางให้หนีเลย บ้าชะมัด

"สำคัญสิ... ไม่งั้นพี่จะง้อปูนทำไม"
เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและมองกันด้วยแววตาแน่วแน่ สถานการณ์แบบนี้อีกแล้ว... จะเอาตัวรอดได้ยังไงในเมื่อหัวใจเต้นแรงขนาดนี้ ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดกันยิ่งทำให้สติหลุดลอยไปง่ายๆ ใจหนึ่งก็เกลียดที่ต้องอยู่ใกล้ ใจหนึ่งก็ชอบที่มันอบอุ่น แม่ง... เหนื่อยกับตัวเองจัง

"สำคัญ... ยังไงเหรอ"
ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเพราะอยากรู้คำตอบจากปากเขามานานแสนนาน อยากรู้ว่าตัวเองมีค่าแค่ไหนในสายตาของพี่ทาร์ต ไม่กล้าสบตาเลยได้แต่โฟกัสตรงปลายคางมนของคนตรงหน้า เผลอเหลือบไปมองปากหยักครู่หนึ่งก่อนจะต้องกลืนน้ำลายลงคอ เกิดรู้สึกว่ามันน่าจูบ... อยากลองสัมผัสสักครั้ง แต่คงเป็นไปไม่ได้

"ปูนเป็นน้องชายของพี่แล้วอีกอย่าง... ปูนก็ชอบพี่ด้วยไม่ใช่เหรอ"
ตั้งแต่ต้นประโยคจนจบนั้น น้ำเสียงของพี่ทาร์ตไม่ได้หนักแน่นและมีความมั่นใจแม้แต่นิดเดียว เหมือนเขาเริ่มลังเลในความสัมพันธ์ของเราเข้าแล้ว ผมตกใจที่อยู่ๆ ก็โดนถามว่าชอบคนตรงหน้าเหรอ จะให้ตอบยังไงล่ะ ถ้าพูดเรื่องจริงจะรับได้ไหม จะรังเกียจกันหรือเปล่า จะทิ้งกันเหมือนเมื่อคืนไหม กลัว... โกหกไปคงดีกว่า

"พี่ทาร์ตหลงตัวเองไปหรือเปล่า ใครบอกว่าผมชอบพี่ล่ะ ผู้ชายเหมือนกัน ไม่เห็นจะมีอะไรน่าพิศวาสเลย"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างผลักอกพี่ทาร์ตให้ออกไปไกลๆ กลัวว่าความใกล้ชิดเกินเหตุจะทำให้เขาจับพิรุธในแววตาได้ แต่อย่าคิดว่าคนแบบนี้จะยอมแพ้ง่ายๆ นะ ไม่มีทางซะหรอก แต่มือหนาคว้าไหล่กันอีกครั้งเพื่อบังคับให้สบตา

"ไม่ชอบงั้นเหรอ แล้วที่ตาบวมแบบนี้ไม่ได้ร้องไห้เพราะคิดว่าพี่ไปนอนกกผู้หญิงหรือไงครับ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจมากขึ้นกว่าเดิม ดวงตาคมจดจ้องกันอย่างไม่ลดละ แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากเบนหน้าหนีตามเคย ลืมไปซะสนิทว่าหลักฐานมีอยู่เต็มหน้า ทั้งบวมทั้งแดง ใครดูไม่ออกว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักก็โง่แล้ว แต่ใครจะยอมรับสารภาพง่ายๆ ล่ะ หมั่นไส้คนหลงตัวเอง

"ใครร้องไห้เพราะพี่วะ โคตรมั่วเลย จะกลับบ้านแล้ว ง่วง!"
ผมผลักเขาออกอีกครั้งแล้วรีบกระชากประตูแล้วสอดตัวเข้าไปนั่งภายในรถทันที หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำหลังจากใช้วิธีเอาตัวรอดด้วยการโกหกคำโต ได้ยินพี่ทาร์ตตะโกนโวยวายอยู่นอกรถพอจะจับใจความได้ว่า

"พี่จะหาวิธีง้างปากปูนให้ได้ คอยดูเถอะ!"

ซวยแล้วไหมล่ะ... กลัวใจไอ้พี่ทาร์ตจริงๆ  ไม่รู้จะสรรหาวิธีพิศดาลอะไรมาง้างปากกัน

ผมขับรถออกมาจากคอนโดได้แค่ห้านาทีก็ต้องเปลี่ยนมือให้พี่ทาร์ตทำหน้าที่แทนอย่างช่วยไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าตาเริ่มเบลอๆ สติแทบจะหลุดลอยไปเฝ้าพระอินทร์อยู่หลายครั้งหลายคราว แต่พอเริ่มทิ้งตัวลงเพื่อนอนหลับ สารถีจำเป็นก็เอ่ยปากขึ้นท่ามกลางความเงียบ

"กลิ่นน้ำหอมติดเสื้อมันไม่ใช่กลิ่นเดิมที่ปูนเคยใช้นี่"
น้ำเสียงสงสัยถามขึ้น ผมเลิกคิ้วทั้งๆ ที่ยังกลับตาอยู่ อดแปลกใจไม่ได้ที่คนอย่างพี่ทาร์ตจะจดจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นั้นได้ ทั้งๆ ที่มันไม่สำคัญอะไร

"ก็... ไม่ใช่เสื้อผมไง"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ทั้งแหบและเบาคล้ายคนละเมอ ตอนนี้พยายามประคองสติให้คุยกับคนข้างๆ จนจบ จากที่เคยง่วงแบบสุดๆ กลายเป็นว่าโดนความอยากรู้สะกิดให้ตื่นขึ้นมาเล็กน้อย

"อย่าบอกนะว่ายืมเสื้อไอ้กู๊ดมาใส่"
สารถีจำเป็นพูดเสียงดังก้อนจะหันขวับมามองกันด้วยสาตาแข็งกร้าว ผมที่กำลังเบลอๆ เลยได้แต่พยักหน้ารับไปแบบนั้น ดีหน่อยที่รถกำลังติดไฟแดง ไม่อย่างนั้นคงอันตรายน่าดู

"ใช่ครับ นอนกับไอ้กู๊ดแล้วจะให้ผมใส่เสื้อใครล่ะ"
ตอบคำถามไปด้วยความเบลอแล้วยกมือขึ้นขยี้ตาเล็กน้อย ง่วงจะตายอยู่แล้วจะถามเซ้าซี้อะไรนักหนาวะ หรือว่า... พี่ทาร์ตไม่พอใจที่ผมใส่เสื้อไอ้กู๊ด ท่าทางแบบนี้มันคิดได้อย่างเดียวไม่ใช่เหรอ

"ถอดเดี๋ยวนี้แล้วเอาไปคืนมันเลย ไม่ชอบว่ะ ได้กลิ่นแล้วหงุดหงิด"
พี่ทาร์ตเบ้ปากใส่กันแล้วเอื้อมมือมากระตุกชายเสื้อเชิ้ตสีขาวของไอ้กู๊ดอย่างแรง ผมขยับตัวออกห่างแล้วดึงมันออกก่อนจะทำหน้ายุ่งใส่ จากที่ง่วงๆ ตอนนี้หายเป็นปลิดทิ้งแล้วล่ะ

"อะไรของพี่เนี่ย ทำตัวอย่างกับหึงกัน ชอบผมหรือไง"
ผมพูดออกไปแบบนั้นเพื่อจะเป็นการเอาคืนไม่ได้จริงจังอะไร แค่อยากให้พี่ทาร์ตทำหน้าตกใจก็เท่านั้น แต่ผิดคาดเมื่อมือหนาผละออกจากชายเสื้อไปกำพวงมาลัยไว้แน่น ริมฝีปากหยักเม้มจนขึ้นเป็นสีขาว สถานการณ์ตอนนี้ดูตึงเครียดยังไงชอบกล

"ตอนนี้ยังไม่รู้หรอกว่าพี่คิดอะไรกับปูนกันแน่ สับสนไปหมด"
น้ำเสียงของพี่ทาร์ตที่พูดประโยคนั้นออกมาเต็มไปด้วยความสับสน ดวงตาคมที่มองมานั้นมีแต่ความไม่แน่ใจและไม่อาจคาดเดาได้ พอจะรู้แล้วล่ะว่าสิ่งที่ไอ้ฟ่อนพูดคืออะไร ความรู้สึกของตัวเองเป็นยังไงก็ไม่เข้าใจสินะ ดูท่าทางความหวังของผมจะลิบหรี่มากกว่าที่คิดไว้แล้วล่ะ

"....."
พูดอะไรไม่ออกเลยว่ะ

"แต่ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับปูนเลย"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกระซิบ แต่มันกลับดังก้องในสมองผมวนไปวนมา หัวใจเต้นรัวเหมือนเพิ่งผ่านการแข่งวิ่งมาราธอนมา... ผมจะตายไหมนะ แก้มร้อนขึ้นมาแปลกๆ ด้วยล่ะ

"ขะ ขับรถดีๆ ล่ะ ผมจะนอนแล้ว"
ขอหนีก่อนแล้วกัน ตั้งรับอะไรไม่ทันจริงๆ  ถ้าเราใจตรงกันมันจะดีแค่ไหนนะ แค่คิดก็เขินตัวจะแตกแล้วเว้ย แม่ง เรียกความโกรธกลับคืนมาทีเถอะ ไม่ชอบตัวเองที่รู้สึกเหมือนสาวน้อยแรกแย้มแบบนี้เลย




----------------------------------------

ต่างคนต่างซึนใส่กันหนอ 5555555555 เมื่อไหร่จะสมหวังหนอ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ออกอาการขนาดนี้แล้วยังพากันปากแข็งได้อีกนะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 9

President Nama Chocolate
: ดาร์กช็อกโกแลต/วิปปิ้งครีม/เนยจืด/แบะแซ/ผงโกโก้ :





ช่วงปลายปีที่ใครต่างก็หวังให้อากาศประเทศไทยเย็นลงบ้าง สำหรับภูมิภาคอื่นอาจจะสมหวังดั่งใจปรารถนาแต่สำหรับภาคใต้แล้วมันก็แค่ฝันกลางวันที่แสงอาทิตย์ยังส่องสว่างจ้าและอุณหภูมิที่สูงจนน่าใจหาย ร้อนจนแทบอยากแก้ผ้าแล้วนอนแช่น้ำในอ่างให้สบายใจกันไปข้าง  แต่ก็หวั่นๆ กลัวจะมีคนคิดอกุศลขึ้นมา

ผมนอนแผ่ท่าปลาดาวอยู่บนพื้นในห้องนั่งเล่นตรงตำแหน่งที่ลมเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศตกกระทบลงมาพอดิบพอดี ในมือมีหนังสือการ์ตูนเรื่องโปรดและข้างๆ กันยังมีร่างสูงใหญ่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกม Play Station อย่างเมามัน โดยไม่สนใจสรรพสิ่งรอบข้าง นานๆ ครั้งจะได้ยินเสียงสบถเมื่อหน้าจอทีวีปรากฏคำว่า Game Over เห็นแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน จะจริงจังอะไรขนาดนั้น

เรื่องการเอาคืนพี่ทาร์ตยังคงดำเนินต่อไปเงียบๆ ถ้ามีโอกาสแหย่ให้เขาแสดงความรู้สึกออกมาเมื่อไหร่ผมก็พร้อมจะทำ แต่ในช่วงสองวันมานี้เรายังไม่ได้ก้าวออกจากบ้านเลยด้วยซ้ำ อาจจะเพลียที่ต่างคนต่างผิดใจกันก็เลยไม่มีกะจิตกะใจออกไปเที่ยวที่ไหน และมันพาลให้ผมไม่ได้คุยกับไอ้กู๊ดด้วย ก็เขาเล่นทำตัวติดเป็นปาท่องโก๋ขนาดนี้ เอื้อมมือคว้าโทรศัพท์ครั้งหนึ่งก็โดนจ้องเขม็ง แสดงความหงุดหงิดเกรี้ยวกราดออกมาทางสีหน้าจนผมลอบยิ้มอยู่หลายครั้ง

มันคือความสะใจเล็กๆ ที่ทำให้เขาแสดงอาการหงุดหงิดงุ่นง่านออกมาได้ ถึงจะไม่รู้ว่าความจริงแล้วพี่ทาร์ตคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่มันดูเป็นสัญญาณที่ดีจนบอกไม่ถูก เหมือนจะกังวลและไม่อยากให้ผมอยู่ใกล้ใครไปมากกว่าที่เขาทำ

"วันนี้จะไปเค้าท์ดาวน์กันไหม"
เสียงทุ้มถามขึ้นมาลอยๆ ในขณะที่ยังจ้องหน้าจอทีวีและกดจอยเกมจนมือเป็นระวิง นับถือพี่ทาร์ตนะที่สามารถแยกประสาทได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นผมทำสองอย่างพร้อมกันล่ะก็... พังไม่เป็นท่าแน่ๆ

"หึ ขี้เกียจ ปกติผมนอนหลับข้ามปีด้วยซ้ำ"
ผมตอบกลับไปแล้ววางหนังสือการ์ตูนวางไว้บนอกแล้วใช้มือขยี้ตาเล็กน้อยก่อนจะเปิดปากหาวอย่างไม่เกรงใจ พี่ทาร์ตหันมามองกันครู่หนึ่งด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอะไรบางอย่าง แต่เดาไม่ออกว่าเขาพยายามสื่ออะไรและทำไมต้องรีบหันหน้ากลับราวกับเจอเรื่องประหลาด แถมหูยังแดงอีก... หรือแอร์จะเย็นไม่พอวะ ได้แต่คิดแล้วเก็บความสงสัยไว้ในใจ

"มันน่าเบื่อเกินไปหรือเปล่าวะปูน จะขึ้นปีใหม่ทั้งที"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อยโดนไม่ยอมมองหน้ากันอีก ผมเองที่เป็นฝ่ายเหลือบสายตาจ้องเขาแทน ใบหน้าด้านข้างดูมีเสน่ห์มากจริงๆ หลงรักเขาทุกอย่างแบบนี้ก็แย่สิวะไอ้ปูน จะเอาคืนยังคิดแล้วคิดอีกว่ากลัวจะโดนเมิน ก็พี่มันเป็นคนประเภทที่จัดว่าหล่อเลือกได้นี่หว่า

ผมละสายตาออกจากใบหน้าคมคายนั่นเมื่อรู้ตัวว่าเผลอจ้องเขามาเกินไปก่อนจะลุกขึ้นนั่งและทำหนังสือการ์ตูนตกไว้ข้างตัว ในจังหวะที่กำลังเอื้อมไปหยิบมันกลับมานั้นอีกคนก็ทาบมือลงมากอบกุมกันไว้อย่างไม่ตั้งใจจนต้องรีบผละออกจากกัน ถ้าให้เดาคงจะช่วยเก็บให้ไม่ได้เจตนาหลอกจับมือหรอก แต่บรรยากาศตอนนี้มันกระอักกระอวนแปลกๆ เขินยังไงก็ไม่รู้

"ทะ โทษที จะช่วยเก็บหนังสือน่ะ"
เสียงพูดตะกุกตะกักดังขึ้นก่อนที่จะได้ยินเสียงอีกคนขยับตัวออกห่างไปหลายคืบ ผมยังคงก้มหน้ามองมือตัวเองอยู่แบบนั้น รู้อยู่แก่ใจว่าพี่ทาร์ตไม่ได้ตั้งใจแต่ยังใจเต้นแรงเหมือนคนบ้า ทั้งๆ ที่เมื่อหลายวันก่อนอาการไม่ได้หนักแบบนี้ พอรู้ใจตัวเอง อะไรๆ มันก็ดูเป็นเรื่องยากไปหมด อยู่ใกล้กันเกินไปก็ทำอะไรไม่ถูก บ้าชะมัด

"อยากเค้าท์ดาวน์เหรอ"
ผมเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้บรรยากาศแปลกๆ ระหว่างเราจางหายไปก่อนจะลุกขึ้นเอาหนังสือเจ้าปัญหาไปเก็บในตู้ แอบเห็นพี่ทาร์ตเหลือบสายตามองกันด้วยล่ะ ทำตัวแบบนี้จะไม่ให้หวั่นไหวคงยาก

"ปกติอยู่อเมริกาก็เค้าท์ดาวน์กับเพื่อนทุกปี แล้วปูนไม่คิดจะปาร์ตี้กับใครบ้างหรือไง"
พี่ทาร์ตหันกลับไปมองหน้าจอทีวีอีกครั้งเพื่อกลบเกลื่อนในตอนที่ผมกันมาเผชิญหน้า ขายาวๆ ก้าวกลับไปตำแหน่งเดิมก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ พี่ทาร์ตแล้วใช่หลังพิงกับโซฟา หัวใจยังเต้นแรงอยู่เลย ภาวนาว่าเสียงมันคงไม่ดังมากจนอีกคนรับรู้

"ป๋ากับแม่ไม่เคยว่างช่วงสิ้นปี ไอ้กู๊ดก็ปาร์ตี้กับญาติๆ ส่วนไนน์ก็เค้าท์ดาวน์กับแฟน จะให้ผมทำอะไรได้ล่ะนอกจากนอนอยู่บ้าน"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ เพราะไม่ได้ซีเรียสเรื่องปาร์ตี้สักเท่าไหร่ อย่างไอ้ฟ่อนมันก็ออกไปเค้าดาวน์กับเพื่อนที่โรงเรียนทุกปี ก็มีชวนไปบ้าง แต่เพราะไม่ได้สนิทกับคนอื่นขนาดที่จะร่วมสังสรรค์ได้เลยปฏิเสธไป นอนดูทีวี เล่นเกมยังสบายกว่าอีก ไม่เห็นว่าวันสิ้นปีมันจะพิเศษตรงไหน

"ชีวิตโคตรจืดชืด"
พี่ทาร์ตบนเสียงอุบอิบก่อนจะเลิกเล่นเกมแล้วหยิบโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมากดอะไรยุกยิกๆ น่าจะแชทคุยกับเพื่อนล่ะมั้ง แต่หัวคิ้วขมวดเข้าหากันขนาดนั้นเครียดอะไรอยู่หรือเปล่านะ

"ก็ผมมันคนธรรมดานี่หว่า จะไปมีสีสันในชีวิตอะไรนักหนา"
ผมตอบกลับไปแล้วยกมือขึ้นเสยผมเล็กน้อย เหลือบสายตามองพี่ทาร์ตก็พบว่าเขาเบ้ปากใส่ อะไรของเขาล่ะเนี่ย ไปเผลอให้ไม่พอใจอีกหรือเปล่า

"ปีนี้ก็ยกเลิกแผนนอนอืดได้แล้ว พี่จะเค้าท์ดาวน์เป็นเพื่อนเอง"
พี่ทาร์ตเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะส่งมือให้กันพร้อมกับรอยยิ้มที่ชวนให้ใจกระตุก ผมมองหน้าเขาด้วยความมึนงงและไม่เข้าใจการกระทำตรงหน้า คืออะไรยังไง ตามไม่ทัน...

"ยื่นมือมาทำไม"
ผมถามกลับไปแล้วจ้องเขม็งที่มือของเขาอยู่แบบนั้น ความจริงอยากมองหน้านั่นล่ะแต่ใจไม่กล้าพอ ก็ใครใช้ให้แจกจ่ายยิ้มกะล่อนแบบนั้นล่ะวะ ถึงจะหมั่นไส้มากก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าพี่มันหล่อ เกลียดว่ะ อย่าให้หล่อบ้างนะจะโปรยเสน่ห์บ้าง

"ช่วยให้ปูนลุกขึ้นง่ายๆ ไง"
พี่ทาร์ตยักคิ้วกวนๆ ให้กันแถมยังกระดิกนิ้วอีก ทำแบบนี้ใครมันจะอยากจับวะ ทำตัวโคตรมีพิรุธเลย ไม่ใช่ว่าทำตามที่เขาบอกปุ๊บแล้วปล่อยกันปั๊บ มีหงายหลังนะ ยังไม่อยากเจ็บตัวเว้ย

"ลุกไปไหน"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงตึงๆ สายตายังมองมือหนาด้วยความไม่ไว้ใจ จริงๆ พอคิดดูดีๆ แล้วไม่จำเป็นต้องช่วยกันก็ได้ปะวะ แค่ลุกขึ้นยืนมันจะไปยากอะไร หรือคิดจะแกล้งกันให้ใจสั่นเล่น

"ไปซื้อของมาปาร์ตี้คืนนี้ไง"
ความจริงถูกเฉลยพร้อมรอยยิ้มที่กว้างขึ้น และมันดูจริงใจจนผมได้แต่ก้มลงมองพื้น ไม่น่าเผลอเหลือบสายตาไปมองหน้าพี่ทาร์ตเลยจริงๆ เหมือนร่างกายเสียสมดุลไปชั่วขณะ

"....."
ผมพูดไม่ออกเพราะยังคงอึ้งเพราะอยู่ๆ โดนชวนปาร์ตี้ที่เหมือนจะมีกันแค่สองคน มันเหมือนคู่รักเกินไปไม่ใช่หรือไง... ทำไมต้องฟุ้งซ่านขนาดนี้ด้วยวะ

"เอ้า นั่งมึนอยู่ได้ จับมือแล้วลุกขึ้นมาสิ"
มีความเร่งในน้ำเสียงแต่แววตากลับแวววาวไม่น่าไว้ใจ มันดูเจ้าเล่ห์จนผมต้องใช้หางตามองพี่ทาร์ตอย่างหวาดระแวง

"แน่ใจนะว่าไม่ได้หลอกจับมือ"
เหล่สายตามองเขาด้วยความไม่ไว้ใจ ถามว่ายื่นมือให้ขนาดนี้อยากจับไหม มันก็อยากนั่นล่ะ โอกาสแต๊ะอั๋งอีกคนโดยไม่โดนล้อมีมากซะที่ไหนกันล่ะ พี่ทาร์ตมีท่าทีกระอักกระอวนก่อนจะหลบสายตากัน ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ บางครั้งก็อยากเรียนหมอเพื่อผ่าพิสูจน์สมองเขาดูบ้าง ทำตัวซับซ้อนแถมยังเดายากด้วย

"ไม่..."
พี่ทาร์ตพึมพำอะไรบางอย่างออกมาเบาๆ แล้วดึงมือตัวเองกลับไปก่อนจะเดินหนีไปซะอย่างนั้น ผมที่ยังเบลอๆ เลยได้แต่ลุกขึ้นอย่างรีบร้อนเซซ้ายเซขวาตามเขาไปติดๆ

"ห๊ะ ว่าไงนะ"
ผมถามย้ำเพราะยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน พี่ทาร์ตไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดินเลยด้วยซ้ำ หน้าตั้งไปที่โรงจอดรถจนผิดวิสัย ถ้าคิดเข้าข้างตัวเองสักนิด เหตุการณ์เมื่อครู่คงเป็นการหลอกจับมือกันไม่ผิดแน่ แต่เจ้าตัวรู้สึกขัดเขินขึ้นมาหรือเปล่านะที่โดนรู้ทัน หึหึ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็สนุกแล้วล่ะ

ความรู้สึกช้า... คำนี้อาจจะเหมาะกับพี่ทาร์ตที่สุดแล้วมั้ง

"รีบๆ เดินมาสักที เอากุญแจรถมาให้ด้วย!"
ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกดังมาจากโรงจอดรถผมเลยสะดุ้งเล็กน้อยเพราะกำลังขึ้นอะไรเรื่อยเปื่อย มือเรียวรีบควานหากุญแจรถที่อยู่ในลิ้นชักลวกๆ ก่อนจะสาวเท้าออกจากบ้าน

"โอเคครับ!!"

สารถีไม่จำเป็นอย่างพี่ทาร์ตอาสาขับรถให้โดยที่ตัวเองก็ยังจำเส้นทางในภูเก็ตไม่ได้สักเท่าไหร่ พักหลังๆ มานี่เขาไม่ค่อยให้ผมแตะต้องพวงมาลัยเลย มีออกไปกินข้าวระยะทางใกล้ๆ บ้าง แต่ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษ ไม่รู้เพราะว่าอยากเหยียบคันเร่งหรืออยากเอาใจ แต่ดูเหมือนข้อแรกมีความเป็นไปได้มากกว่า ความเร็วกับคนหล่อๆ เท่ๆ ดูจะเป็นของคู่กันไปแล้ว

"พี่ทาร์ต"
ผมเรียกชื่อคนด้านข้างด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย อยู่ๆ ก็คิดได้ว่าน่าจะชวนไอ้กู๊ดไปเค้าท์ดาวน์ที่บ้านด้วยกัน เพราะปีนี้มันโดนทิ้งให้อยู่คอนโดคนเดียวและคนอื่นไปต่างประเทศกันแบบยกแก๊งค์

"หืม"
เขาครางรับในลำคอพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถามว่าเรียกกันทำไม ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดสิ่งที่คิดออกไป ที่มีอาการแบบนี้ก็เพราะดูเหมือนพี่ทาร์ตจะไม่ค่อยชอบไอ้กู๊ดสักเท่าไหร่ หรือเขาดูออกว่ามันเคยชอบผมมาก่อนเลยหึง... บ้าน่า เผลอคิดเข้าข้างตัวเองอีกแล้ว โคตรฟุ้งซ่านเลย

"ชวนไอ้กู๊ดไปเค้าท์ดาวน์ด้วยกันได้ปะ"
พูดจบก็รอดูปฏิกิริยาของพี่ทาร์ตอย่างใจจดจ่อ ใบหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที และรู้สึกเหมือนตัวเลขดิจิตอลบ่งบอกความเร็วจะเพิ่มสูงขึ้นจนน่าใจหาย... ผมพลาดแล้วล่ะ ทำไงดีวะ ร้อนรนจนต้องบีบมือตัวเองไว้แน่น

"Just you and me. OK?"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิดเล็กน้อย ดวงตาคมไม่ยอมมองกันถึงแม้ว่าตอนนี้รถจะติดไฟแดงอยู่ก็ตาม ไม่รู้เขาไม่ชอบไอ้กู๊ดโดยการส่วนตัวหรือหวงผมกันแน่ แต่ที่น่าหมั่นไส้มากคือมาใช้ภาษาอังกฤษเรี่ยราดเดี๋ยวตอบกลับเป็นภาษาเกาหลีเลยนี่ หึ

"ทำไมครับ ถามจริงเหอะ นี่พี่ไม่ชอบไอ้กู๊ดหรือยังไง ทำไมถึงดูหงุดหงิดตลอดเวลาผมพูดถึงมัน"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงแสดงความสงสัยแบบไม่ปิดบังก่อนจะหันไปจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเขาเพื่อกดดัน พี่ทาร์ตเหลือบสายตามองเล็กน้อยแล้วเม้มปากเข้าหากัน คิ้วหนาขมวดจนแทบเป็นปม ดูไปดูมาก็ตลกดี ถามแค่นี้ทำไมต้องเครียดอย่างกับถ่ายไม่ออกมาสองอาทิตย์

"ก็ดูมันจะชอบปูน"
พี่ทาร์ตพึมพำประโยคนี้ออกมาจนแทบกลายเป็นเสียงกระซิบ เขาแตะคันเร่งเพื่อพารถมินิฯ สีขาวสะอาดเลี้ยวเข้าห้างสรรพสินค้า ผมมองใบหน้าด้านข้างของเขาด้วยหัวใจที่รัว เหมือนจะแสดงความหึงออกมาหรือเปล่านะ...

"อืม... บอกว่าเคยชอบดีกว่านะ แต่พี่พูดแบบนี้ไม่รู้สึกว่ามันแปลกๆ เหรอวะ"
ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้มพอกันแล้วเบนสายตามองออกไปนอกรถ ทำทีว่ายุ่งกับการหาที่จอดทั้งๆ ที่ใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวเลย แม่ง... ตื่นเต้นและกลัวไปพร้อมๆ กันมันเป็นแบบนี้นี่เอง

"ยังไง"
อีกคนถามกลับมาด้วยน้ำเสียงเครียดๆ และเหมือนเขาจะหันมามองกันครู่หนึ่งก่อนจะหักพวงมาลัยอีกครั้งเพื่อหาที่จอดรถ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะพูดเรื่องขัดเขินก่อนจะยกมือขึ้นลูบท้ายทอยไปด้วย อยู่ๆ มือไม่ก็ดูเกะกะไปหมด

"ก็... พูดเหมือนกับพี่กำลังหึงกันอยู่เลย"
เสียงเบาลงกว่าเดิมเกือบเท่าตัวเพราะเหมือนจะพูดเข้าข้างตัวเองมากไปหน่อย แต่ภาพรวมของการแสดงออกนั้นส่อไปได้ว่าพี่ทาร์ตอาจจะมีใจให้กันจริงๆ หรือบางครั้งคงมองผิดไปเอง ผมน่าจะเริ่มเข้าสภาวะสับสนกับเขาเหมือนกันแล้วมั้ง คิดอะไรวกไปวนมา วุ่นวายฉิบหาย

"มะ ไม่รู้เว้ย ลงไปดูท้ายรถได้แล้ว จะถอยจอด"
พี่ทาร์ตตอบเสียงตะกุกตะกักก่อนจะโบกมือไล่ให้ผมลงจากรถโดนไม่มองกันเลยสักนิด ผมเหลือกตาด้วยความเบื่อหน่ายก่อนจะถอนหายใจทิ้งด้วยความเซ็ง ทำไมถึงได้เปลี่ยนเรื่องด้วยวิธีน่าเกลียดแบบนี่วะ ทั้งที่ปกติก็เป็นเซียนถอยรถโดนไม่ต้องให้ใครดูท้ายอยู่แล้ว ผีซึนเข้าสิงหรือยังไง เดี๋ยวก็เปลี่ยนใจไปชอบคนอื่นเลยนี่ อย่าหาว่าไม่เตือน!

"ครับๆ สั่งจริง"
ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินไปดูท้ายให้คนที่ถอยหลังจอด พอทุกอย่างเรียบร้อยก็พากันเดินเข้าไปในห้างด้วยความไว้เพราะถ้ามัวอ้อยอิ่งอาจจะไหม้เกรียมเพราะแดดประเทศภูเก็ตได้

ผมเดินนำพี่ทาร์ตเพื่อไปเอารถเข็น แต่อีกคนกลับแซงกันแล้วอาสาทำหน้าที่นั้นแทน กลายเป็นว่าไอ้ปูนตัวปลิวซะอย่างนั้น แอบรู้สึกเขินๆ เพราะเหมือนโดนอีกคนเอาใจอยู่ เผลอเหลือบมองเขาไปหลายครั้งแต่ก็ต้องลอบถอนหายใจเมื่อใบหน้าหล่อๆ กลับเรียบเฉย ตกลงว่าใครเป็นไบโพล่ากันแน่...

"จะทำอะไรกินกันดี"
คำถามลอยๆ ของพี่ทาร์ตทำให้ผมชะงักไปเล็กน้อย ไอ้เรื่องคิดเมนูของกินเหมือนจะกลายเป็นปัญหาระดับชาติไปแล้ว เอาเป็นว่าขอตามใจพ่อครัวก็แล้วกัน

"อะไรก็ได้ครับ ผมคิดไม่ออก"
พูดจบก็ส่งยิ้มแหยไปให้เขาก่อนจะใช้มือจับตัวรถเข็น เผลอทำแบบนี้แล้วเหมือนตัวเองเป็นเมียพี่ทาร์ตยังไงไม่รู้ แต่เพราะต้องนำอีกคนไปแผนกอาหารสดไง มันเลยจำเป็น... มั้ง ช่างแม่งเถอะ คนจะมองอะไรนักหนาวะ ไม่เคยเห็นไอ้หล่อหรือไง แล้วจะเสือกใส่แว่นตาดำเพื่อ โอย ปวดตับ

"อะไรก็ได้มันไม่มีในโลกนะเว้ย คิดๆ มาสักสองเมนู"
พี่ทาร์ตเอื้อมมือมาผลักหัวกันเบาๆ พร้อมกับส่งสายตาดุๆ มาให้ แต่พอโดนผมจ้องกลับเขาถึงกับรีบเบนหน้าไปทางอื่น นี่เรามาถึงขึ้นที่ว่าไม่สามารถสบตากันได้แล้วเหรอ ยอมรับว่ามันก็มีเขินๆ บ้าง แต่ไอ้คนไม่รู้ใจตัวเองนี่ยังไง กลัวหวั่นไหวหรือรังเกียจกันวะ นี่ขนาดไม่ได้สารภาพว่าชอบไปตรงๆ นะ เฮ้อ น่าอึดอัดกับสถานการณ์แปลกๆ ชะมัด

"พี่ก็คิดให้หน่อย ผมกินได้หมดล่ะถ้ามันอร่อย แล้วนี่จะใส่แว่นตาอีกนานปะวะ คนมอง"
ผมบุ้ยใบ้ปากให้พี่ทาร์ตสังเกตรอบตัวเองว่าคนอื่นๆ มองมาทางนี้มากแค่ไหน พอจะเข้าใจอยู่หรอก ขาวๆ สูงๆ ล่ำๆ แบบนี้หาดูได้ค่อนข้างยากสักหน่อย แถมหล่อเทียบเท่าดาราอีก มันจะน่าอิจฉามากเกินไปแล้ว แต่คิดไปคิดมาหรือว่าผมหึงวะ...

"หึงเหรอ"
น้ำเสียงทุ้มดังขึ้นในระยะประชิดแบบไม่ทันตั้งตัวจนผมเผลอกำหมัดต่อยเข้าที่ต้นแขนของพี่ทาร์ตไปเต็มแรง พอได้สติกลับคืนมาก็รีบยกมือไหว้ขอโทษเขายกใหญ่ ก็คนมีนตกใจนี่หว่า ไม่ต่อยเอาที่หน้าก็บุญเท่าไหร่แล้ว

พี่ทาร์ตถลึงตามองกันก่อนจะลูบต้นแขนของตัวเองไปมาเพื่อลดอาการเจ็บแต่ไม่นานนักก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นบนใบหน้าซะอย่างนั้น รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ นะ เมื่อครู่เขาถามเรื่องอะไรไป... ผมจับใจความไม่ได้เพราะมัวตกใจ

"ยิ้ม... ยิ้มอะไร"
ผมถามก่อนจะผละมือออกจากรถเข็นแล้วเดินไปตรงชั้นวางขายสตรอเบอร์รี่ อยู่ๆ ก็พิศวาสมันขึ้นมากะทันหัน หยิบกล่องนั้นพลิกกล่องนี้ไปมา ทั้งๆ ที่ไม่มีสมาธิเลยสักนิด ลูกไหนช้ำตอนนี้ยังดูไม่ออกเลย จริงๆ แล้วไม่ได้อยากกินผลไม้ชนิดนี้เลยแต่กลัวสายตาระยิบระยับของพี่ทาร์ตที่มองมามากกว่า ก็เขาเก่งที่จะเดาความรู้สึกคนอื่นมากเกินไปและอีกอย่างคือเขาชอบแกล้งกัน

"ถามว่าปูนหึงเหรอครับที่มีคนอื่นมองพี่น่ะ"
พี่ทาร์ตเดินมายืนข้างๆ กันแล้วโน้มตัวมาพูดใกล้ๆ ผมที่กำลังถือกล่องสตรอเบอร์รี่อยู่ในมือเกือบทำมันตก หันไปถลึงตาใส่อีกคนเพื่อกลบเกลื่อนความวุ่นวายใจของตัวเอง เมื่อครู่นี้เขาหาว่าผมหึงเหรอ... ไม่ต้องเป็นแล้วมั้งไอ้ผู้จัดการโรงแรมน่ะ เปลี่ยนไปเป็นหมอดูท่าจะรุ่งกว่า

"หึงบ้าอะไร ทำไมต้องหึงล่ะครับ เป็นพี่น้องกันแค่นั้นเอง ไม่ใช่แฟน"
ผมวางกล่องสตรอเบอร์รี่ลงในรถเข็นลวกๆ แล้วเดินนำพี่ทาร์ตไปทางเนื้อสด ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ไล่หลังมาพร้อมกับเสียงล้อเลื่อนไปกับพื้น ตามกันมาติดๆ ชนิดที่ไม่กล้าหันไปมองเลยด้วยซ้ำ ถ้าตอนนี้แกล้งหยุดอยู่กับที่คงไม่วายโดนคนด้านหลังชนแน่ๆ

"ถึงปูนจะไม่ยอมบอก แต่พี่ก็ดูออกนะว่าเราคิดอะไรอยู่"
เสียงทุ้มดังขึ้นจากทางด้านหลังก่อนที่ฝ่ามือหนาจะวางลงบนหัวแล้วออกแรงลูบเบาๆ ผมรีบเบี่ยงตัวหนีโดยไม่หันไปมองเพราะกลัวว่าพี่ทาร์ตจะเห็นอะไรผิดปกติบนใบหน้าของตัวเอง ก็ตอนนี้มันเห่อร้อนและคาดว่าแก้มจะแดงมากซะด้วย ไม่รู้จะย้ำอะไรนักหนาว่าคนอื่นเขารู้สึกยังไง เอาเวลานี้ไปถามหัวใจโง่ๆ ของพี่ไม่ดีกว่าเหรอ...

"ดูอะไรออกครับ"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งๆ แต่ไม่ยอมหันไปสบสายตาด้วย คราวนี้เนื้อหมูสันในกลายเป็นของที่ถูกเลือกฆ่าเวลาเพื่อไม่ต้องเผชิญหน้าพี่ทาร์ตไปซะอย่างนั้น ดูชีวิตวุ่นวายเนอะ ทั้งๆ ที่ไม่เคยจ่ายตลาดเลยสักครั้ง ถ้าแม่รู้คงหัวเราะตายแน่ๆ ลูกหาทางออกได้อัจฉริยะมาก

ผมหยิบถุงมือพลาสติกมาใส่แล้วหยิบพลิกเนื้อหมูสันในไปมาทำอย่างกับว่าเลือกเป็น พี่ทาร์ตยืนกอดอกอยู่ใกล้ๆ กันเหมือนเขาจะเริ่มไม่พอใจ จริงๆ ที่ไม่ยอมบอกเขาไปว่าชอบมันก็มีเหตุผล ถึงจะไม่สำคัญสำหรับใครสักเท่าไหร่ แต่มันมีผลกับหัวใจ ตอนนี้ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าพี่ทาร์ตจะไม่หลีกหนีไปไหน คนเราเวลาคิดล่วงหน้ากับเจอสถานการณ์จริงมันแสดงออกคนละแบบกันจริงๆ นะ

"ช่างมัน พี่รอได้ แล้วนี่จะเอาสันในหมูไปทำอะไรครับ เลือกเป็นหรือไง"
ประโยคแรกเขาพูดด้วยน้ำเสียงตึงๆ และมันทำให้ผมใจกระตุกวูบจนเผลอชะงักมือ ไม่เข้าใจคำว่ารอของเขาหมายถึงอะไร รอให้สารภาพรักอย่างนั้นเหรอ ไม่มีทางซะหรอก ไหนๆ ก็โกหกไปแล้วก็ขอเอาคืนยาวๆ บ้าง ชอบทำให้คนอื่นว้าวุ่นใจดีนัก

ประโยคถัดมาเขาถามด้วยน้ำเสียงติดสงสัยเพราะผมยังไม่ได้บอกเลยสักคำว่าเย็นนี้จะกินเมนูอะไร แถมยังเคยบอกไปก่อนหน้านี้ว่าทำอาหารไม่เป็น โดยจับไต๋ได้อีกแล้วไหมล่ะ รู้สึกช่วงนี้ทำอะไรก็พลาดไปหมด แม่ง

"เอ่อ... ทำบาร์บีคิวได้ปะ"
ผมถามก่อนจะตัดใจวางชิ้นเนื้อในมือลงแล้วถอดถุงมือพลาสติกทิ้ง เพราะถ้าให้จับๆ คลำๆ ต่อไปอาจจะโดนพนักงานด่าเอาได้ พี่ทาร์ตเหลือบมองกันก่อนจะหัวเราะออกมาแล้วจัดการหน้าที่จับจ่ายของสด

ผมปล่อยให้เขาเลือกวัตถุดิบทำอาหารสำหรับปาร์ตี้คืนนี้ ส่วนตัวเองเดินเตร็ดเตร่อยู่ไม่ใกล้ไม่ใกล้สักเท่าไหร่เพราะโดนใช้ให้ไปซื้อเครื่องดื่มกับขนมขบเคี้ยวซึ่งห่างจากแผนกขายของสดไม่มาก นานๆ ครั้งจะได้มีโอกาสเพลิดเพลินกับน้ำอัดลมรสชาติต่างๆ เลยเผลอหยิบมาสองขวด ปกติแล้วแม่จะห้ามนักห้ามหนา บอกว่าไม่ดีต่อสุขภาพบ้าง น้ำตายเยอะบ้าง มันเป็นกรดจะทำให้ปวดท้องบ้าง เข้าใจว่าเธอหวังดี แต่บ้างครั้งผมก็อยากกิน...

ในขณะที่อุ้มขวดน้ำอัดลมสีดำไว้ที่แขนด้านซ้ายและขวดน้ำอัดลมสีแดงไว้ด้วยแขนด้านขวาทำให้ยากลำบากต่อการหยิบขนมเลยได้แต่ยืนมองเพื่อเลือกสิ่งที่ต้องการก่อนแล้วค่อยเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมรถเข็นของพี่ทาร์ต ดวงตารีกวาดมองไปเรื่อยๆ จนสะดุดเข้ากับใครบางคนที่คุ้นหน้าชอบกล พอเขาหันมาเต็มๆ เราก็ส่งยิ้มกว้างให้กันทันที เพื่อนในสาขาที่เรียนนั่นเอง

"ตัวเล็ก ~ มาทำอะไรวะ"
เสียงทุ้มติดแหบเล็กน้อยเรียกกันด้วยคำที่ผมต้องเบ้ปากทันที ไม่เข้าใจว่าทำไม 'ไอ้กาย' ต้องเรียกผู้ชายที่สูงร้อยแปดสิบเซ็นติเมตรว่าตัวเล็ก แต่ถ้าประเมินจากขนาดตัวมันแล้วก็คงเหมาะสม เพราะเพื่อนคนนี้เล่นกล้าม ที่สำคัญไปกว่านั้นคือหล่อ ผิวสีน้ำผึ้ง สาวติดตรึม

"เรียกแบบนั้นเกรงใจความสูงกูบ้างเถอะ ตัวลงตัวเล็กอะไรวะ ขนลุก"
ผมบอกด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ ในขณะที่ไอ้กายก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินเข้ามาหาก่อนที่จะยกมือขึ้นขยี้หัวกันจนยุ่งเหยิงแบบที่ปกติชอบทำ ทำไมชอบเห็นว่าผมเป็นเด็กๆ อยู่เรื่อยก็ไม่รู้วะ จะว่าเอ็นดูคงไม่ใช่ หมั่นไส้มากกว่ามั้ง

"ไอ้เหี้ยนี่ กูอุตส่าห์เซ็ตผม"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วเบี่ยงตัวหลบเพราะไม่มีมือจะปัดออก ไอ้กายหัวเราะเอิ๊กอ๊ากก่อนจะมองของในอ้อมกอดแล้วเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงอยากถามอะไรบางอย่าง

"ทำไมไม่เอารถเข็นมาใส่วะ อุ้มขวดน้ำอัดลมอย่างกับเด็ก กูช่วยถือปะ"
ไอ้กายยื่นมือมาขอขวดน้ำอัดลมแต่ผมกลับส่ายหน้ารัวๆ จะมาช่วยถืออะไรล่ะ แค่นี้มันเรื่องจิ๊บๆ แล้วอีกอย่างมันจะมาเสียเวลาตรงนี้ทำไม มากับใครยังไม่รู้เลย

"ถือเองได้เว้ย รถเข็นอยู่กับพี่ แล้วมึงมากับใครเนี่ย"
ผมยักคิ้วกวนให้มันแล้วถามกลับไป กลัวว่าไอ้กายจะมากับสาวๆ ในสต็อกน่ะสิ ไม่อยากโดนเขม่นสักเท่าไหร่ ก็ที่มอชอบเอาพวกเราไปเป็นคู่จิ้นกัน... แม่ง เพื่อนๆ ชอบบอกว่าเป็นสายเมะชนเมะ คือส้นตีนไรวะ ใครรู้บอกที

ไอ้กายขมวดคิ้วแน่นแล้วจ้องหน้ากันเขม็ง แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยอะไรบางอย่าง ผมเลยทำแค่เลิกคิ้วเป็นเชิงถามกลับไป เริ่มจะเมื่อยแขนเพราะขวดน้ำอัดลมแล้วสิ พี่ทาร์ตเหมาหมดห้างยังวะ ก่อนแยกย้ายกันบอกว่าขอเวลาสิบนาทีจะตามมา นี่มันเกินแล้วไม่เห็นแม้แต่เงา

"พี่ไหนวะ มึงเป็นลูกคนเดียวไม่ใช่เหรอ"
ไอ้กายถามขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ แววตาส่อแววใคร่รู้อย่างเต็มที่ บางทีผมก็คิดว่าท่าทางของมันแปลกๆ นะ เหมือนจะเกินเลยคำว่าคู่จิ้นยังไงไม่รู้ ทั้งที่ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน ไม่ได้สนิทกัน แต่รู้เรื่องส่วนตัวพอสมควร ไอ้กู๊ดเคยพูดเล่นๆ ว่า มันอาจจะเนียนจีบผมจริงๆ ก็ได้... บ้าไปแล้ว

"พี่ชายข้างบ้าน เฮ้ย พี่ทาร์ตทางนี้ๆ จะเข็นรถไปไหนครับ!"
ผมตอบไอ้กายจบก็เหลือบสายตาไปเห็นพี่ทาร์ตที่กำลังจะเข็นรถผ่านไปเลยร้องเรียกเอาไว้แล้วก้าวขายาวๆ ตรงไป เขาหยุดกึกก่อนจะยืนรอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่พอเห็นคนด้านหลังถึงกับเปลี่ยนท่าทางทันที เกิดอะไรขึ้นอีกวะ




ต่อด้านล่างน้า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-05-2017 16:31:25 โดย Ch0cmint »

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
"ใคร"
เสียงเย็นๆ หลุดออกจาปากพี่ทาร์ตทันที่ทีผมวางขวดน้ำอัดลมทั้งสองลงในรถเข็น ดวงตาคมมองผมสลับกับไอ้กายอย่างไม่ลดละ รู้สึกว่าบรรยากาศมันเริ่มแปลกๆ ตึงเครียดยังไงชอบกลวะ ยืนอยู่ตรงกลางเหมือนไปขวางทางปืนยังไงก็ไม่รู้

"เพื่อนที่มหา'ลัยครับ เรียนสาขาเดียวกัน ชื่อกาย"
ผมตอบไปก่อนจะเหลือบมองคนที่เดินตามหลังกันมาแล้วหยุดยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะยกแขนขึ้นมาพาดบ่าทั้งๆ ที่ปกติแล้วไอ้กายจะไม่ทำแบบนี้ พี่ทาร์ตถึงกับกัดฟันจนเห็นสันกรามนูนขึ้น ถ้าคนไม่สังเกตจะไม่เห็นหรอก แต่พอดีผมเก็บรายละเอียดคนที่ตัวเองชอบเป็นอย่างดีน่ะ

"นี่เหรอพี่มึง หล่อดี"
ไอ้กายก้มหน้าลงมาพูดใกล้ๆ ใบหู ผมผละตัวออกเล็กน้อยก่อนจะหันไปถลึงตาใส่ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำท่าทางแบบนี้ต่อหน้าพี่ทาร์ตด้วยวะ หรือเรื่องที่ไอ้กู๊ดเคยพูดเล่นๆ ไว้จะเป็นเรื่องจริง ถ้าใช่ผมคงต้องหาทางหนีแล้วล่ะ โดนผู้ชายที่เป็นเพื่อนจีบมันไม่สนุกหรอก

"เออ พี่กูเอง ไหว้ด้วยก็ดี แก่กว่ามึงหลายปี"
ผมพูดแหย่ไอ้กายไปก่อนจะเนียนเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนมันได้สำเร็จ จากที่ประเมินสถานการณ์ทางสีหน้าของพี่ทาร์ตแล้ว ถ้าหลุดออกจากตรงนี้ไปได้เมื่อไหร่เขาต้องลากผมไปซักฟอกยาวแน่ๆ ความพี่หวงน้องมันต้องบังเกิด ไม่ต้องเอี่ยวเรื่องความรู้สึกซับซ้อนของเขาหรอก

ไอ้กายตัวดีทำเพียงเลิกคิ้วก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างออกมา ไม่มีทีท่าว่าจะยกมือไหว้อะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ดีหน่อยที่พี่ทาร์ตไม่ได้ถือเรื่องสัมมาคาราวะเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นคงโดนมองแบบหาเรื่องไปแล้ว

"สวัสดีครับ แล้วก็... ผมจะไม่ยอมแพ้พี่หรอกครับ"
ไอ้กายพูดจบก็โค้งตัวให้พี่ทาร์ตก่อนจะกันมาโบกมือให้ผมแล้วเดินผ่านพวกเราออกไปจากตรงนี้ แต่แทนที่บรรยากาศอึมครึมจะจางหายไปกลับหนักอึ้งมากกว่าเก่าเพราะไอ้ประโยคท้ายนั่น มันจะไม่ยอมแพ้เรื่องอะไรวะ ดวงตาคมตวัดมองกันด้วยความแข็งกร้าว ใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึงจนน่ากลัว หนึ่งวันกี่อารมณ์ล่ะนี่ ตามไม่ทันเว้ย

"พี่ทาร์ต... ซื้ออะไรมาบ้างครับเนี่ย"
ผมพยายามทำเสียงร่าเริงเพื่อชวนเขาเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะรู้ดีว่าอีกคนจะไม่ยอมให้เหตุการณ์หรือประโยคที่พูดไปเมื่อครู่ผ่านหูไปง่ายๆ ดวงตาคมจ้องแบบไม่ลดละ รู้สึกเหมือนมีใครเอาสก็อตเทปมาพันตามตัวเลยว่ะ อึดอัดโคตรๆ จนต้องเบี่ยงตัวหนี

"ปูนรู้หรือเปล่า"
อยู่ๆ พี่ทาร์ตก็ถามอะไรที่ผมไม่เข้าใจขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตึงๆ

"หา... เรื่องอะไรครับ"
ผมหันขวับไปมองหน้าเขาแล้วถามออกไปด้วยความงง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าต้องการสื่ออะไร พี่ทาร์ตเม้มปากเข้าหากันแน่นแล้วเบนสายตาไปทางอื่นเหมือนไม่อยากจะเห็นหน้ากัน

"เรื่องเพื่อนปูนคนเมื่อกี้น่ะ"
เสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างสั่นเครือ ไม่ใช่เพราะว่าเขาจะร้องไห้ แต่หงุดหงิดจนตัวสั่นต่างหาก สังเกตได้จากหมัดที่กำแน่นตั้งแต่ไอ้กายยังยืนอยู่ตรงนี้นั่นล่ะ

"หือ เรื่องไหนครับ"
ผมยังคงมึนอยู่กับเรื่องที่พี่ทาร์ตยกมาคุย ทำไมต้องเกริ่นอะไรแปลกๆ เข้าใจยากออกมาด้วย เข้าประเด็นตังแต่แรกก็จบไปแล้วปะวะ

"มันชอบปูน และกำลังจีบ"
พี่ทาร์ตหันมาจ้องกันเขม็ง แววตาที่ใช้มองกันนั้นกำลังสั่นไหว สีหน้าเหมือนกำลังเจ็บปวดหรือสับสนกับอะไรบางอย่าง ผมอึ้งอยู่เล็กน้อยที่เขาทักเรื่องไอ้กายแบบนี้ หรือว่าคนอื่นดูออกนานแล้วเรื่องที่มันชอบผม ทำไมตัวเองถึงไม่รู้อะไรขนาดนี้วะ โอย

"เอ่อ... ไอ้กู๊ดก็เคยบอกนะ แต่ผมไม่คิดว่าคนอย่างไอ้กายจะชอบผู้ชาย"
ผมตอบกลับไปด้วยเสียงแผ่วๆ ยกมือลูบท้ายทอยเล็กน้อย จริงอยู่ที่ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะชอบผู้ชาย ก็วันๆ เอาแต่จีบสาวทิ้งๆ ขว้างๆ แจ็กพอตดันแตกที่ผมได้ซะนี่... แม่ง

พี่ทาร์ตถอนหายใจยาวๆ ออกมาก่อนจะคว้าข้อมือของผมไปจับไว้แล้วก้าวขาพาทั้งคนและรถเข็นให้เคลื่อนที่ต่อ ผมเหลียวซ้ายแลขวาไปตลอดทางเพราะผู้ชายกับผู้ชายทำแบบนี้มันแปลกแต่ไม่กล้าสะบัดออกเลยว่ะ ดูท่าทางอารมณ์ของเขาจะไม่เสถียรเอาซะเลย เหมือนจะปะทุและเตรียมระเบิดได้ตลอดเวลา เดินๆ ไปเงียบๆ คงปลอดภัยกว่า

"สมัยนี้อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น จากแววตาและท่าทางที่มันทำเมื่อกี้ก็ดูออกแล้ว ปูนควรระวังตัวให้มากกว่านี้"
พี่ทาร์ตพูดโดยไม่หันมามองหน้ากันแม้แต่น้อยเลยไม่รู้ว่ากำลังแสดงสีหน้าแบบไหนอยู่ แต่จากน้ำเสียงแล้วพอจะเดาได้ว่าต้องขมวดคิ้วอยู่แน่ๆ หวง หึง หรือรู้สึกอะไรกันแน่ อยากรู้จริงๆ ลองหยั่งเชิงหน่อยก็แล้วกัน

"ไม่ต้องขนาดนั้นมั้งพี่ ถ้ามันจะชอบผมจริงๆ ก็ช่างเถอะ ไม่ได้ซีเรียสอะไร อีกอย่างก็ผู้ชายเหมือนๆ กัน จะระวังตัวไปทำไม"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ทั้งที่ในใจไม่อยากให้ไอกายชอบกันเลยจริงๆ เพราะอนาคตคงเจอเรื่องยุ่งยากอีกเยอะ พี่ทาร์ตก็ไม่รู้ใจตัวเองสักที จะไปหาไม้กันหมาไดจากที่ไหนล่ะ ยิ่งมันบอกว่าไม่ยอมแพ้อีก ชีวิตไอ้ปูนจะพังพินาศก็คราวนี้ล่ะครับ ผู้ชายจะตีกันแย่งผมเหรอ... แค่คิดก็ไม่ไหวแล้ว เหี้ยกว่านี้มีอีกไหมล่ะ

พี่ทาร์ตหยุดชะงักเท้าแล้วหันขวับมามองกัน ผมที่เดินเพลินเลยยั้งตัวไม่ทันจนชนเข้ากับปากของเขา ดีหน่อยที่ไม่ได้แรงมาก แต่ท่าทางล่อแหลมเหมือนอีกคนกำลังจุมพิตหน้าผาก พอตั้งสติได้ก็รีบผละออกจากดันแล้วกันมองซ้ายมองขวา ฉิบหายสุดๆ ตรงที่มีคนมองมาทางนี้ จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนวะเนี่ย แต่ความคิดกลับโดนทุบจนแหลกเมื่อเขาเปิดปากพูดอีกครั้ง

"ไม่ซีเรียสแปลว่าชอบให้มันมายุ่มย่ามเหรอ จะปล่อยให้มันจีบงี้เหรอวะ แม่ง"
พูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวสุดๆ จนผมสะดุ้ง  ดูท่าทางมันจะใช้คำว่าหงุดหงิดไม่ได้แล้ว ต้องเปลี่ยนใหม่เป็นคำว่าโมโหถึงจะเหมาะ แรงบีบที่ข้อมือก็แรงขึ้นจนผมต้องนิ่วหน้าเพราะเจ็บ พี่ทาร์ตเข้าใจผิดไปถึงไหนต่อไหนแล้วเนี่ย บ้าเอ้ย

"เฮ้ย อย่าเข้าใจผิด ผมหมายความว่าถ้ามันชอบกันจริงๆ ก็ไม่แคร์ไง ไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นกับไอ้กายสักหน่อย พี่ทาร์ตอย่าอารมณ์เสียสิครับ"
ผมรีบอธิบายจนลิ้นแทบจะพันกันพร้อมกับสังเกตสีหน้าอีกฝ่ายไปด้วย พี่ทาร์ตนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนพยักหน้ารับแล้วถอนหายใจออกมายาวๆ ความอึดอัดที่ข้อมือคลายลงและผละออกจากกันในที่สุด

"ถึงพี่จะไม่มีความชัดเจนอะไรเป็นหลักประกันได้เลยว่าสุดท้ายแล้วตัวเองจะรู้สึกยังไงกับปูนก็เถอะ แต่ขอได้ไหมว่าอย่าไปหวั่นไหวกับมัน ยอมรับว่าเห็นแก่ตัว งี่เง่า เป็นหมาหวงก้าง..."
น้ำเสียงที่พูดออกมาเต็มไปด้วยความสับสนไม่แน่ใจ แต่แววตากลับแสดงความหนักแน่นและยืนยันประโยคเหล่านั้นว่าคิดมาดีแล้ว เขาเว้นจังหวะหายใจเล็กน้อย ผมรู้ว่าพี่ทาร์ตยังพูดไม่จบเลยไม่ได้ตอบโต้อะไรออกไป


"....."
ยืนกระพริบตาปริบๆ มองใบหน้าเคร่งขรึมนั่น บางทีมันก็เพลินดี ยิ่งพูดด้วยอารมณ์แกว่งๆ ยิ่งน่าตื่นเต้น ใจสั่นฉิบหาย

"แต่คนอย่างไอ้กายน่ะ เลวกว่าพี่ได้เป็นสิบเท่าแน่ๆ เชื่อเถอะ ผีเห็นผีประมาณนั้น"

"พูดอย่างกับว่าผมชอบพี่อยู่งั้นล่ะ..."
ผมบ่นอุบอิบได้แค่นั้นเพราะรู้สึกหมั่นไส้และขัดเขินอยู่เล็กน้อย ที่พูดมายาวเหยียดคือเป็นห่วงกลัวว่าจะเสียใจเพราะไอ้กายสินะ เหมือนให้ความหวังกันมาเกินครึ่งทางด้วยซ้ำ พี่ทาร์ตแสดงอาการหึงหวงขนาดนี้ยังต้องคิดอะไรให้มากมายอีกวะ แต่ก็ไม่สามารถเอาการกระทำเล็กๆ น้อยๆ มาตัดสินคนที่มีตรรกะซับซ้อนได้หรอก วกวนวุ่นวาย

"ชอบพี่แต่ปากแข็ง จะเอาคืนเรื่องที่โดนลองใจล่ะสิ"
พี่ทาร์ตพูดด้วยเสียงทะเล้นแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ความตึงเครียดเมื่อครู่สลายหายไปในพริบตาเหลือแต่คนเจ้าเล่ห์อยู่ตรงนี้ จิ้มตาให้บอดได้ไหมวะ เกลียด

"เพ้อเจ้อว่ะ"
ผมผลักไหล่เขาออกแล้วเดินหนีทันที เพราะไม่สามารถปฏิเสธออกไปได้ตรงๆ ว่าไม่ชอบพี่ทาร์ต พอโดนจับความรู้สึกได้ทีไรเป็นอันต้องรู้สึกร้อนวูบบนใบหน้าทุกทีไป ไม่รู้ว่าจะเขินอะไรนักหนา ถ้าอีกฝ่ายบอกรักก็ว่าไปอย่าง จะบิดให้ตัวเป็นเกลียวเลยเถอะ

"เฮ้ยๆ ด่ากันแล้วเดินหนีแบบนี้พี่จะโมเมเอาเองว่ายอมรับนะ ชอบพี่ใช่ไหมวะปูน!"

ยังจะตะโกนตามหลังมาอีก!

เออ ยอมรับทางอ้อมแล้วไง แม่ง แบบนี้ไม่ต้องบอกตรงๆ แล้วมั้งว่าชอบน่ะ รู้ทันไปซะทุกเรื่อง เกลียดเว้ย เกลียดที่สุด!!!

เวลาผ่านมานานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ แต่เราทั้งสองคนยังนั่งปาร์ตตี้กันอยู่ในบริเวณสวน พี่ทาร์ตนั่งจิบไวน์อยู่ที่โต๊ะ ส่วนผมปลีกตัวออกมาย่างของกินเพิ่ม

ปลาหมึกสีใสบนเตาย่างค่อยๆ กลายสภาพเป็นสีขาวขุ่นและงอเข้าหากันจนเหลือตัวนิดเดียว ผมใช้ที่คีบสแตนเลสคีบมันใส่จานเปลที่ถือไว้ตั้งแต่ที่แรก ดวงตารีเหลือบมองอีกคนเป็นระยะๆ พี่ทาร์ตกำลังเหม่อมองท้องฟ้าสีนิลยามค่ำคืน ดวงดาวเล็กๆ กระจายตัวอยู่หลายจุด จะคิดอะไรอยู่นะ...

ผมละสายตาจากเขาเมื่อรู้ว่าตัวเองเผลอมองนานไปหน่อย บาร์บีคิวหมูที่ย่างไว้บนเตาก็สุกพอดีเลยหยิบจับใส่จานและกลับไปหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ก่อนจะยื่นอาหารในมือให้พี่ทาร์ต ใบหน้าหล่อหันมาเลิกคิ้วใส่กันเล็กน้อยเหมือนต้องการถามแต่ก็ยอมรับจานไปง่ายๆ

"ย่างมาให้กินไง ก็เห็นจิบแต่ไวน์จะเอาอะไรไปอิ่ม"
ผมบอกก่อนจะคว้าแก้วไวน์ของตัวเองขึ้นมาจิบบ้าง ดื่มไปก็เยอะ เริ่มรู้สึกมึนๆ เหมือนกัน แต่อย่างว่าอยู่บ้านจะไปกลัวอะไร นอกจากกลัวตัวเองเผลอทำรุ่มร่ามกับอีกคน

"อืม... ขอบคุณครับ แต่ว่าพี่เริ่มเมาแล้วล่ะ มือไม่มีแรงเลย"
หันมาทำตาหวานเชื่อมให้กันจนผมเริ่มอยู่ไม่สุข จะมาไม้ไหนอีกคนเรา พอเมาแล้วสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวจนน่ากลัว

"ไม่มีแรงแล้วจะถือแก้วไวน์ได้ยังไง"
ผมเบ้ปากแล้วมองมือของเขาที่ยังคงถือแก้วไวน์ได้ปกติ ไม่สั่นไหวหรือมีท่าทีอ่อนแรงเลยด้วยซ้ำ ดวงตาคมที่ปรือช่ำทำให้สมองเริ่มคิดเรื่องอกุศล ถ้าเกิดอยู่ๆ เขาพุ่งเข้ามาจูบกันจะทำยังไงนะ

"ไม่มีแรงหยิบของกินใส่ปากไงครับ ปูนป้อนพี่หน่อยสิ"
ปากหนักสีส้มอ่อนขยับขึ้นลงเป็นประโยคที่ใช้น้ำเสียงออดอ้อน ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากแล้วสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น ไม่อยากมองพี่ทาร์ตตอนนี้เลย กลัวตัวเองจะพุ่งเข้าไปจูบเขานี่สิ ถ้าทำจริงเช้ามาคงมองหน้ากันไม่ติด

"หึ คิดว่าผมโง่หรือไง กินเองไม่ได้ก็ไม่ต้องกินครับ"
พยายามทำเสียงตึงๆ ใส่เขาไปทั้งๆ ที่หัวใจเต้นระรัวและใบหน้าร้อนผ่าว โดนอ้อนแบบนี้ใครจะไม่โอนอ่อนบ้างล่ะ แต่ไม่อยากทำให้อีกคนได้ใจไปมากกว่านี้ หมั่นไส้ว่ะ

"โห... ใจร้ายจังวะคนเรา อุตส่าห์เปิดโหมดอ้อน"
พี่ทาร์ตบ่นอุบอิบก่อนจะยอมกินอาหารในจานด้วยตัวเอง ผมเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนจะแอบคลี่ยิ้ม เห็นท่าทางงอนเป็นเด็กๆ ก็อดที่จะเอ็นดูไม่ได้

ต่างคนต่างนั่งดื่มด่ำบรรยากาศวันส่งท้ายปีเก่าไปเรื่อยๆ มีพูดคุยกันบ้างเป็นครั้งคราวเรื่องสรรพเพเหระ อย่างเช่นผมเปิดเทอมวันไหน หรือเรื่องที่พี่ทาร์ตจะขอพ่อของเขาทำงานที่ร้านขนมก่อนหนึ่งปีแล้วค่อยกันไปจับงานผู้จัดการโรงแรม

"นับถอยหลังกันเถอะ"
อยู่ๆ พี่ทาร์ตก็พูดขึ้นในขณะที่ตาก็มองนาฬิกาขอมือไปด้วย อีกไม่กี่วินาทีจะเข้าสู่ปีใหม่แล้วสินะ

"อื้อ"
ผมตอบรับในขณะที่อีกคนขยับมานั่งข้างๆ กันแล้วใช้แขนพาดพนักเก้าอี้ ท่าทางเหมือนโอบกอดกันไว้เลย... เมาแล้วจะคิดอะไรให้วุ่นวาย

"แปด"
รับรู้ได้ถึงสายตาของพี่ทาร์ตที่จับจ้องมาทางนี้

"เจ็ด"
ผมหันกลับไปสบตากับเขา

"หก"
ใบหน้าหล่อขยับเข้ามาใกล้กันอีกเล็กน้อย

"ห้า"
สัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ และกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ใกล้กันเกินไปแล้ว จะทำยังไงดี

"สี่"
สายลมเอื่อยๆ พัดผ่านจนเส้นผมพลิ้วไปตามแรงลม มือหนาของพี่ทาร์ตยกขึ้นมาเกลี่ยแก้มกันเบาๆ อยากจะหนีแต่ไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย

"สะ สาม"
เสียงผมเริ่มตะกุกตะกักเมื่อปลายนิ้วเริ่มไล้ไปตามแก้ม ดวงตาคมหวานเชื่อมเหมือนกำลังยั่วยวนกันให้ตบะแตก

"สอง"
เสียงพี่ทาร์ตแผ่วเบาราวกับกระซิบ ใบหน้าหล่อขยับเข้ามาใกล้อีกระยะจนปลายจมูกของเราแทบจะแตะกัน ผมหลุบสายตาลงต่ำเพราะไม่มีความกล้าเลยสักนิด ยิ่งมือหนาเลื้อยมาประคองท้ายทอยไว้ยิ่งทำให้หัวใจเต้นรัว จะบ้าตายอยู่แล้ว

"หนึ... หนึ่ง"

"Happy New Year My Poon"
ใกล้จนปลายจมูกแตะกัน... หัวใจกำลังจะทะลุออกมาจากอกแล้วสินะ

"สะ สุขสันต์วันปี... อื้อ"
ผมพูดยังไม่ทันจบประโยคอะไรหนักๆ ก็กดลงมาบนริมฝีปากจนต้องหลับตาปี๋ แต่ไม่นานนักก็ตั้งสติได้ นี่มันไม่ใช่สิ่งที่คิดไว้ปะวะ พี่ทาร์ตหลับไปต่อหน้าต่อตาแถมยังเอาหัวมากระแทกปากกันอีก โอย แม่ง จะทำให้ลุ้นจนก้นไม่ติดเก้าอี้ไปเพื่ออะไรวะ เฮ้อ แต่สุดท้ายผมก็ยิ้มออกมา ก็ดีนะที่เราไม่ได้จูบกัน... ไม่อย่างนั้นคงกระอักกระอวนแน่ๆ

"ฝันดีนะครับพี่ทาร์ต... ของผม"
บอกฝันดีเขาไปก่อนจะจัดท่าทางให้นอนซบลงมาบนไหล่ของตัวเอง ขออยู่แบบนี้สักพักแล้วกันเนอะ จะให้ลากคนที่ตัวใหญ่กว่าในสภาพมึนๆ เมาๆ คงไม่ไหว

ถ้าผมเอะใจแล้วก้มไปมองใบหน้าหล่อๆ นั่นสักนิดคงได้เห็นรอยยิ้มบางๆ ไปแล้วล่ะ





----------------------------------------------

สวัสดีวันปีใหม่ไทยฮับ สุขสันต์วันครอบครัวน้า
พาที่ทาร์ตกับน้องปูนมาเสิร์ฟแล้ว อึ๋ย ตอนนี้เหมือนจะหวานแต่ก็ไม่สุด 5555
ดูเหมือนคู่แข่งจะเผยตัวออกมาแล้ว

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:

Happy สงกรานต์

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5



สูตรที่ 10

Strawberry Shortcake Cookie
: เนย/น้ำตาล/ไข่ไก่/กลิ่นวนิลลา/แป้งอเนกประสงค์/เกลือ/ผงฟู/เบกกิ้งโซดา/วิปปิ้งครีม/สตรอเบอร์รี่/ช็อกโกแลต :




ช่วงหยุดยาวในเทศกาลปีใหม่ได้ผ่านไปแล้ว ทุกอย่างกลับมาสู่สภาวะปกติ และคนที่เดินทางไปต่างแดนก็กลับมาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ผมควรจะดีใจที่ป๋ากับแม่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่เปล่าเลย มันกลับรู้สึกโหวงเหวงแปลกๆ เพราะใครคนหนึ่งที่เคยใช้ชีวิตด้วยกันร่วมครึ่งเดือนนั่นหายไป...

อาจจะดูเพ้อเจ้อไปหน่อย พี่ทาร์ตแค่กลับไปอยู่บ้านของตัวเองก็เท่านั้น แต่เราไม่ได้เจอกันทุกวันหรอกนะ เพราะเขาต้องเริ่มไปทำงานที่ร้านขนมแล้ว บางทีก็อยากติดสอยห้อยตามไปช่วยงานอยู่หรอก คิดไปคิดมาคงไม่ดีกว่า เดี๋ยวป๋ากับแม่จะจับพิรุธได้ ยังไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมเผลอชอบผู้ชายแถมยังเป็นพี่ชายข้างบ้าน พวกท่านไม่แคร์หรอกว่าผมจะเบี่ยงเบนอะไร ขอแค่เป็นคนดีไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครก็พอ โคตรรักอะบอกเลย

ผมเดินลงบันได้ด้วยความงัวเงีย มือเรียวยกขึ้นขยี้ตาไปมาเล็กน้อยเพราะเพิ่งตื่น กลิ่นหอมของอาหารเช้าลอยมาแตะจมูกจนทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงาน ตอนแรกว่าจะลุกขึ้นมาส่งป๋ากับแม่ไปทำงานแล้วกลับไปนอนต่อ ตอนนี้เปลี่ยนใจอยู่กินข้าวเลยแล้วกัน

"เฮ้ย!"
ผมร้องเสียงดังเมื่อเห็นใครคนหนึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีกำลังนั่งเคี้ยวแซนวิชอยู่ที่ห้องนั่งเล่นทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเวลานี้เขาควรไปทำงานที่ร้านขนมแล้วสิ... พี่ทาร์ตหันมองกันก่อนจะคลี่ยิ้มเพื่อทักทาย นี่มันอะไร เกิดอะไรขึ้นวะ งง

"ร้องโวยวายทำไมวะ นี่พี่ไม่ใช่ผี"
พี่ทาร์ตบ่นอุบก่อนจะยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาดื่ม ผมมองซ้ายมองขวาหาป๋ากับแม่แต่ไม่เห็นใครสักคน คงจะออกไปทำงานกันแล้ว

"ตกใจนี่หว่า โผล่มาบ้านคนอื่นตั้งแต่เช้าแบบนี้"
ผมพูดเสียงอ่อยก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงที่โซฟาเดี่ยวพลางปิดปากหาว ง่วงก็ง่วง หิวก็หิว ยังต้องมาเจอพี่ทาร์ตในสภาพหัวฟูฟ่องอีก แต่จะว่าไปเขาก็อยู่ในชุดสบายๆ เหมือนกันนี่หว่า ไม่ออกไปทำงานหรือไงนะ

"พอดีแม่พลอยฝากซื้อของพี่ก็เลยเอามาให้แล้วได้แซนวิชเป็นของตอบแทนนี่ล่ะ"
พี่ทาร์ตตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วคลี่ยิ้มส่งมาให้ ผมที่เผลอมองเขานานไปหน่อยเลยได้สติแล้วเบนสายตามองทางอื่น ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะจ้องอะไรเขานักหนาเหมือนกัน โดนจับได้ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบก็ไม่จำสักที ยิ่งคิดถึงเหตุการณ์ในคืนส่งท้ายปีเก่าหัวใจก็ยิ่งเต้นแรง... ไม่ไหว ทำไมคนๆ นี้ถึงมีอิทธิพลมากมายต่อตัวเองเหลือเกิน

"อ๋อ อือ... แล้ววันนี้ไม่ไปทำงานเหรอ"
ถามออกไปด้วยความอยากรู้โดนไม่มองหน้าอีกฝ่าย มือเรียวคว้าเอารีโมททีวีมาเปิดดูเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง ทำเป็นไม่สนใจแต่จริงๆ แล้วหูผึ่งสุดๆ

"ก็... อยากอยู่กับปูนน่ะ ไม่ได้เหรอ"
พี่ทาร์ตขยับเข้ามาใกล้กันแล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ด้วยความที่ตกใจผมเลยหันขวับไปมองหน้าเขาก่อนจะถลึงตาใส่แล้วรีบเบนสายตาไปทางอื่นเมื่อเจอกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม หัวใจพาลเต้นแรงไปหมด นี่เขาเรียกว่าเต๊าะใช่ไหม... แม่ง อีกแล้วนะ เป็นหมาหยอกไก่อยู่ทุกวัน เมื่อไหร่จะรู้ใจตัวเองสักทีวะ

"ห๊ะ ตะ ตลกแล้วพี่ทาร์ต จะมาอยากอยู่กับผมทำไม"
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ถึงแม้ลึกๆ จะรู้ว่าอีกคนคงพูดไปอย่างนั้น แต่ก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้ โดนแบบนี้บ่อยๆ ทุกวันไม่ใช่ว่าชินหรอกนะ ยิ่งหวั่นไหวมากกว่าเดิมอีก

"เขินเหรอ"
น้ำเสียงทะเล้นดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลทำให้ผมผุดลุกขึ้นจากโซฟาแทบจะทันที ขืนนั่งต่อไปหัวใจอาจจะวายได้

"อะไร ใครเขินวะ ขี้มโน"
ผมโวยเสียงดังแล้วขยับตัวหนีไปยืนข้างโซฟาเมื่อเห็นมือหนาเอื้อมมา ไม่รู้ว่าเขาตะทำอะไร แต่ขอหลบไว้ก่อนดีที่สุด

"ก็หน้าแดง"
แม่ง... อย่ามองหน้ากันสิ

"ร้อนไง"
ตอบแบบสิ้นคิดสุดๆ

"แอร์ยี่สิบห้าองศา"
นี่ก็กวนตีนอีก

"ไม่คุยด้วยแล้วแม่ง... ขี้แกล้ง"
แพ้ราบคาบ ไม่เถียงต่อแล้ว

"โอ๋ๆ นะครับ พอดีแม่ขอให้ทำขนมน่ะ จะเอาไปฝากเพื่อนๆ ตอนเย็น พี่ก็เลยได้สิทธิ์อยู่บ้าน"
พี่ทาร์ตบอกเหตุผลที่ตัวเองไม่ต้องไปช่วยงานที่ร้านขนมกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติ ผมเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ พูดถึงขนมก็อยากกินขึ้นมาซะดื้อๆ

"อืม... ผมไปหาอะไรกินล่ะ"
ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจ้ำอ้าวเข้าห้องครัวทันที ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ไล่หลังมาแล้วพาลหงุดหงิดยังไงก็ไม่รู้ เป็นบ้าหรือยังไง เส้นตื้นเหรอ

"นี่ปูน... ถ้าว่างก็ไปช่วยพี่ได้นะ!"
เสียงเขาตะโกนไล่หลังมาทำให้ผมต้องจิ๊ปาก แล้วหันหลังกลับไปมองทางห้องนั่งเล่น ก็ไม่ได้จะเห็นหน้าเขาหรอก แต่จะตอบกลับไปต่างหาก

"ไม่ว่างเว้ย จะทำงาน"
เชื่อดิ ว่าอีกสักพักผมก็จะไปโผล่ที่บ้านอีกหลัง เฮ้อ

พี่ทาร์ตได้เมนู Strawberry Shortcake Cookie เป็นของฝากเพื่อนป้าอุ่นแถมยังแบ่งใส่จานส่งข้ามรั้วมาให้กันด้วย ส่วนผมก็แค่ทิ้งงานตรงหน้าแล้วเอื้อมมือไปรับมาอย่างเต็มใจก็แค่นั้นเอง เรื่องขนมไม่พลาดอยู่แล้ว รสชาติหวานๆ ละลายในปากช่างชวนให้หลงใหล แต่คนทำจะรู้ไหมว่าผมหลงรักเขา...

"ทำงานไปถึงไหนแล้วล่ะ"
พี่ทาร์ตถามขึ้นในขณะที่ตัวเขาเองกำลังล้างรถที่เพิ่งได้มาเมื่อต้นอาทิตย์ก่อน ทะนุถนอมอย่างกับลูก ไอ้ฟ่อนเคยโดนบ่นตอนเอาลูกชิ้นทอดขึ้นไปกินระหว่างกลับบ้าน หูชาไปเลยไง กลิ่นติดเบาะบ้างล่ะ กลัวน้ำจิ้มจะหกเลอะเทอะบ้างล่ะ ผมก็ได้แต่ส่ายหน้าปลงๆ ความเนี๊ยบของเขา

"ใกล้เสร็จแล้วครับ"
ผมตอบกลับไปทั้งๆ ที่มือยังคงหยิบขนมใส่ปากและตาดูเอ็มวีเพลงใหม่ของศิลปินเกาหลีที่ชอบ ขอพักสักสิบยี่สิบนาทีเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดหน่อยเถอะ นั่งหลังขดหลังแข็งมาหลายชั่วโมงแล้ว อันที่จริงไม่ต้องแบกงานมาทำในสวนก็ได้... แต่อยากอยู่ใกล้ใครบางคนไง เป็นเอามากเนอะ เกลียดตัวเองชะมัด

"เย็นนี้ออกไปกินข้าวข้างนอกด้วยกันปะ ไอ้ฟ่อนอยากกินพิซซ่าน่ะ"
อยู่ๆ ก็ชวนกันออกไปกินข้าวข้างนอก ผมชะงักมือที่กำลังจะหยิบขนมเข้าปากอีกชิ้นแล้วไตร่ตรองว่าควรจะตอบรับดีหรือเปล่า เป็นส่วนเกินไหม ถึงแม้จะสนิทกันแค่ไหน บางทีก็ต้องมีเวลาครอบครัวกันบ้าง

"อ่า แล้วมีใครไปบ้าง"
ถามเพิ่มเพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนจะวางขนมในมือลงแล้วทอดสายตาไปยังแผ่นหลังของพี่ทาร์ต เสื้อยืดสีขาวชื้นเหงื่อแนบกับผิว ดูไปดูมาโคตรเซ็กซี่... หน้าจะร้อนเพื่ออะไรวะ โอย อยากจะบ้าตาย เลิกคิดอกุศลกับเขาไม่ได้สักที

"ถ้าปูนไป ก็แค่สามคนนี่ล่ะ ป๋ากับแม่ไม่ชอบกิน"
เขาตอบกลับมาโดยที่ยังขะมักเขม้นล้างรถไม่หยุดหย่อน เชื่อว่าสะอาดทุกซอกทุกมุมแน่นอน ผมพยักหน้ารับคำตอบของเขา ถึงจะมีไอ้ฟ่อนเป็นก้างก็อย่าไปแคร์ บางครั้งอาจจะเร่งปฏิกิริยาอะไรบางอย่างในตัวของพี่ทาร์ตให้ไวขึ้นก็เป็นได้

"อ๋อ ไปก็ได้"
ผมตอบกลับไปแล้วเริ่มลงมือทำงานอีกครั้งหนึ่ง มือเรียวพิมพ์ตัวอักษรภาษาเกาหลีอย่างชำนาญโดยไม่ต้องมีไกด์ไลน์ใดๆ ในช่วงแรกๆ ก็อยากหาสติ๊กเกอร์มาติดคีย์บอร์ดไว้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้วล่ะ

"คิดไว้เลยนะว่าอยากกินพิซซ่าหน้าอะไร"
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสดใส ผมชะงักมือที่พิมพ์งานทันทีแล้วช้อนสายตามองคนที่ยังก้มหน้าก้มตาขัดถูล้อรถ อะไรคือให้เลือกหน้าพิซซ่า หน้าที่นี้ควรเป็นของไอ้ฟ้อนคนอยากกินไม่ใช่หรือไงวะ

"เดี๋ยวๆ... ต้องให้ไอ้ฟ่อนเลือกดิ นั่นคนอยากกินนะพี่"
ผมท้วงกลับไปแล้วนั่งนิ่งรอคำตอบ พี่ทาร์ตเปลี่ยนไปหยิบสายยางมาล้างทำความสะอาดคราบฟองออกจากตัวรถก่อนจะพูดประโยคที่ชวนให้ใจสั่น

"ไม่ พี่อยากตามใจปูนมากกว่า"
เขาหันมาสบตาพร้อมกับคลี่ยิ้มละมุนส่งมาให้กัน แค่เพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถทำให้ผมหน้าร้อนขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ดวงตารีเบนหลบไปทางอื่นเพราะไม่สามารถต้านทานความเป็นพี่ทาร์ตได้เลย ทรมานที่จะต้องอยู่ใกล้ แต่ก็ออกห่างไม่ได้... คนเรามีความคิดที่ช่างซับซ้อนเหลือเกิน

"พี่ทาร์ต... อย่าเต๊าะถ้าไม่คิดอะไรกับผม"
ผมพูดเสียงเบาเพราะไม่ต้องการให้เขาได้ยิน แต่มันเป็นจังหวะที่พี่ทาร์ตปิดน้ำพอดี... ซวยฉิบหาย อยากจะตีปากตัวเองซ้ำๆ พลาดอีกแล้ว

"รู้ได้ไงว่าพี่ไม่คิด"
คำตอบที่ได้กลับมาทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจแล้วกำชายเสื้อตัวเองแน่น ความรู้สึกปั่นป่วนในท้องกำลังทำให้เสียการทรงตัวอย่างรุนแรง

"หมายความว่ายังไง"
ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ดวงตารีมองไปตามสนามหญ้าอย่างไร้จุดหมาย หัวใจเต้นระรัวเพราะกลัวคำตอบ... ตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนรู้ว่าศิลปินที่ชอบจะมาเปิดคอนเสิร์ตที่ไทยซะอีก

"พี่คิดว่าตัวเองรู้สึกกับปูนไม่เหมือนเดิม แต่ยังไม่ค่อยมั่นใจว่าชอบจริงๆ หรือเปล่า"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงสั่นไหว มือหนายกขึ้นลูบท้ายทอยเหมือนกับคนที่หาทางออกให้ชีวิตไม่ได้ ดวงตาคมที่มักจะชอบมองจ้องกันนั้นกลับเบนไปในทิศทางอื่นแทน และนั่นทำให้ผมมีโอกาสสังเกตเขาอีกครั้ง ใบหน้าหล่อๆ นั่นแสดงความสับสนออกมาอย่างชัดเจน หัวคิ้วขมวดแทบเป็นปม ปากหนักเม้มเข้าหากัน... ไม่อยากกดดันแต่ก็อยากรู้ว่าเขาคิดยังไง แต่คงต้องปล่อยไปเพราะไม่สามารถทำอะไรได้ ผมไม่ใช่คนที่เก่งเรื่องความรักเหมือนกันนี่หว่า กว่าจะรู้ตัวก็ใช้เวลาพอควรเหมือนกัน

"เหรอ..."
หาคำพูดของตัวเองเจอแค่นั้นล่ะ

"อืม... ยังเล่นกีต้าร์เป็นอยู่หรือเปล่า"
พี่ทาร์ตวางสายยางในมือลงแล้วหันมาถามกันด้วยน้ำเสียงสบายๆ ผมที่กำลังเหม่อเลยสะดุ้งเล็กน้อย อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง เฮ้อ

"ก็เป็นนะ ทำไมครับ"
ผมขยับตัวนิดหน่อยแล้วตอบกลับไป หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าอยู่ๆ เขาจะถามเรื่องนี้ งานการไม่ต้องทำแล้วมั้ง เมื่อครู่พิมพ์ไปได้แค่บรรทัดเดียวเอง เปิดเทอมอาทิตย์หน้านะเว้ย...

"ร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิ"
พี่ทาร์ตพูดขอกันก่อนจะปีนข้ามรั้วมาทางนี้ เสื้อสีขาวที่ผมคิดว่าเปียกแต่เหงื่อทางด้านหลังนั้นแท้จริงแล้วด้านหน้าเปียกลู่ไปทั้งผื่น นี่ล้างรถหรืออาบน้ำกันแน่ ที่เลวร้ายคือทำไมสายตาชอบไปจ้องเขาอยู่เรื่อยนะ บ้าบอฉิบหาย

"อ่า งั้นขอไปเอากีต้าร์ก่อนนะ"
ผมเบนหน้าหนีร่างกายของเขาแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แต่ลืมไปซะสนิทว่าบนตักมีหนังสือไวยากรณ์ภาษาเกาหลีตั้งอยู่เลยทำให้มันหล่นลงบนพื้นหญ้า ตอนที่จะก้มลงไปเก็บก็ไม่ทันความไวอีกคนหนึ่ง เกือบโน้มตัวลงไปจูบกระหม่อมเขาแล้วไหมล่ะ ยืดตัวและถอยหลังแทบไม่ทัน

"ระวังหน่อยสิ"
พี่ทาร์ตช้อนตามองกันก่อนจะวางหนังสือลงบนโต๊ะเหมือนเดิม ผมพยักหน้าหงึกหงักรับคำก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปหยิบกีต้าร์ในบ้านทันที ก็เมื่อครู่หน้าเขาแทบจะชนกับท้องผมอยู่แล้ว เสียววูบไปหมด ให้ตายเถอะ

ผมวิ่งขึ้นบันไดแล้วเปิดประตูห้องนอนเพื่อจะเข้าไปหยิบกีต้าร์ แต่แทนที่จะรีบคว้ามันแล้วลงไปด้านล่างกลับทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอย่างหมดแรง เมื่อไหร่จะชินกับระยะห่างแค่นั้นสักทีวะ แบบนี้จะไปสู้พี่ทาร์ตได้ยังไง โดนเขาแอคแทคใส่บ่อยๆ ใจอ่อนระทวยไปหมด การจะเอาคืนเป็นไปได้ยากสุดๆ

อยู่ๆ ความคิดที่ว่าถ้าลองสารภาพความรู้สึกออกไปตอนนี้ พี่จะทำหน้าแบบไหนนะ จะเขินผมบ้างหรือเปล่า อยากรู้ก็ต้องลงมือปฏิบัติใช่ไหม... เอาวะ วันนี้ล่ะ ขี้เกียจจะเก็บเอาไว้ให้อึดอัดหัวใจเล่นคนเดียวแล้ว แบ่งเบาให้อีกคนแบกรับมันบ้างดีกว่า

ผมหยิบกีต้าร์แล้วเดินลงบันไดด้วยความรู้สึกกล้าๆ กล้วๆ เท้าแตะลงพื้นกระเบื้องชั้นล่างทำให้ต้องสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกขวัญกำลังใจ ดวงตารีเหลือบเห็นเป้าหมายกำลังนั่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับในมือถือโทรศัพท์ ดูท่าทางกำลังมีความสุขกับการได้คุยกับใครสักคนในโลกโซเชี่ยล รู้สึกหมั่นไส้และอิจฉาคนๆ นั้นจังที่ทำให้พี่ทาร์คยิ้มละมุนแบบนั้นได้

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปแล้วก้าวขายาวๆ ไปหาเป้าหมาย เขาหันมามองกันเล็กน้อยก่อนจะกลับไปพิมพ์อะไรยุกยิกลงในโทรศัพท์อีกครั้ง ตอนนี้ยังเปลี่ยนใจทันไหม ไม่อยากสารภาพอะไรแล้วว่ะ ดูเหมือนเขาจะมีคนที่ให้สนใจมากกว่าผมซะอีก... จะบอกว่าน้อยใจก็คงได้ งี่เง่าเนอะ

"อยากฟังเพลงอะไร"
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วยกกีต้าร์ขึ้นมาวางบนขาและเริ่มปรับสาย พี่ทาร์ตไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเลยสักนิดเดียว คงไม่ได้ฟังกันสินะ ก็เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับหน้าจอโทรศัพท์

"พี่ทาร์ต"
ผมเพิ่มเสียงอีกเล็กน้อยก่อนจะจ้องเขาด้วยสายตาหงุดหงิด ถ้าอยากคุยกับคนอื่นนักก็กลับบ้านตัวเองไปเลยไหม ขอให้ร้องเพลงก็จะร้องอยู่นี่ไง ทำไมไม่สนใจกันบ้างวะ แล้วที่บอกว่าสับสนน่ะ โกหกหรือเปล่ายังไม่รู้เลย หมาหวงก้างเพราะโดนไอ้กายเย้ยไว้หรือเปล่านะ

"หืม โทษทีๆ คุยกับเพื่อนเพลินไปหน่อย ปูนว่าไงนะ"
พี่ทาร์ตวางโทรศัพท์ลงแล้วหันมามองหน้ากันด้วยใบหน้าที่ยังเปื้อนยิ้ม ผมกระแอมเบาๆ แล้วเบนสายตาไปทางอื่น คุยกับเพื่อนจริงๆ เหรอวะ ไม่อยากจะเชื่อเลย ตั้งแต่กลับมาภูเก็ตเพิ่งได้ยินเขาพูดถึงเพื่อนก็วันนี้ล่ะ

"ถามว่าอยากฟังเพลงอะไรครับ"

"ตามใจเลย"

"อืม..."

ผมนั่งคิดเพลงที่อยากร้องให้เขาฟังอยู่สักพักก่อนจะบรรจงปลายนิ้วมือพิมพ์หาคอร์ดกีต้าร์ในเว็บกูเกิ้ล มันอาจจะเก่าไปหน่อยแต่ความหมายเหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้แน่นอน... อาจจับอกว่าเป็นการบอกรักทางอ้อมก็คงได้

"มอง มองเธอมาแสนนาน
ฉันไม่กล้าต้องคอยหลบตาเธอเสมอ ~"
เสียงทุ้มนุ่มค่อยๆ ส่งคำร้องหวานๆ ออกมาจากริมฝีปากบาง ดวงตารีจ้องมองใบหน้าด้านข้างของพี่ทาร์ตแบบไม่วางตา ถึงเขาจะเอาแต่สนใจโทรศัพท์ในมือแต่ผมก็ยังตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป อยากฟังคำสารภาพไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่มองกันบ้างเลยล่ะ

"กลัวว่าวันหนึ่งถ้าเธอรู้ว่าฉัน
ปิดบังความจริงอะไรเอาไว้ ~"
พี่ทาร์ตวางโทรศัพท์ในมือลงแล้วแต่ดวงตาคมไม่ได้จับจ้องมาทางนี้แต่อย่างใด มันทอดยาวไปที่บรรดาดอกไม้นานาพันธุ์ในสวนแทน สนใจผมบ้างสิวะ อุตส่าห์รวบรวมความกล้าเพื่อร้องเพลงสารภาพรักเลยนะ ใจร้ายจัง

"ความลับที่ฉันซ่อนไว้
ไม่เคยบอกใคร จะอดใจไม่ไหว ~"
เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วออกเดินไปด้านหน้า ผมทอดสายตามองตามร่างสูงไปทั้งๆ ที่ปากยังขยับเนื้อร้องเพลงความลับไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าพี่ทาร์ตกำลังรู้สึกยังไงกันแน่ แล้วตอนนี้เขาคิดจะทำอะไรอยู่นะ

"ยิ่งฉันใกล้เธอเท่าไหร่ ยิ่งอยากจะเผยใจ เมื่อสบสายตาก็ยิ่งหวั่นไหว ~"
พี่ทาร์ตหยุดอยู่หน้ากระถางต้นดอกกุหลาบแล้วหันมาคลี่ยิ้มให้กัน ผมรู้สึกได้ว่าเสียงตัวเองสั่นจนยากจะควบคุม ดวงตาคมที่ทอดมองมาทางนี้มันช่างหวานละมุนและทำให้หัวใจเต้นรัวเหลือเกิน

"มันยากเหลือเกิน จะเก็บซ่อนความรักเอาไว้ และความลับในใจของเธอ มีฉันอยู่บ้างไหม ~"
เพลงท่อนนี้ทำให้ผมเบนสายตาหนีไปทางอื่น เสียงร้องที่เปล่งออกไปเบาจนน่าใจหาย ความลับในหัวใจของพี่ทาร์ตจะมีผมบ้างหรือเปล่านะ ถ้าสุดท้ายแล้วพวกเรารู้สึกต่างกัน ผมควรจะทำยังไงล่ะ ไม่เคยคิดถึงข้อนี้มาก่อนเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาอาจจะเป็นการคิดไปเองฝ่ายเดียวก็ได้ แย่เนอะ ตอนนี้รู้สึกคัดจมูกจนไม่สามารถอ้าปากต่อได้แล้ว ทำไงดี เพลงยังไม่จบท่อนเลยเถอะ

"โปรดบอกความในใจ ให้ฉันรู้ทีนะเธอ ~"
แต่เสียงของใครคนหนึ่งที่ยังยืนอยู่หน้ากระถางกุหลาบกลับดังขึ้นมาเพื่อร้องเพลงให้สมบูรณ์ ผมชะงักมือที่เล่นกีต้าร์แล้วมองแผ่นหลังกว้างนั่น ไม่คิดว่าพี่ทาร์ตจะร้องเพลงนี้ได้ด้วยซ้ำ เพราะเล่นไปอยู่อเมริกาตั้งแต่เด็กๆ

"สารภาพรักกับพี่ผ่านเพลงนี้เหรอ"
เสียงทุ้มเอ่ยถามกันทั้งๆ ที่เขายังยืนหันหลังอยู่ตรงนั้น ผมเม้มปากแน่นความตั้งใจในตอนแรกที่จะสารภาพกลับสลายไปหมด กลัว... ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาก็รู้อยู่แล้วว่าผมคิดยังไง แต่การพูดเพื่อเน้นย้ำด้วยตัวเองนั้นมันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

"ถ้าบอกว่าใช่ล่ะ จะรับได้หรือเปล่า"
ผมพูดด้วยเสียงค่อนข้างเบาแล้วกอดกีตาร์เอาไว้แน่นราวกับมันจะหนีหาย ดวงตารีมองต่ำลงที่พื้นหญ้าเพราะไม่มีความกล้าใดๆ ในการสบตากับพี่ทาร์ตที่กำลังเดินกลับมาทางนี้

"อืม... รับได้สิ ดีใจที่ได้ฟังว่าปูนรู้สึกยังไงกับพี่"
เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมก่อนจะเอื้อมมือมาลูบหัวกันเบาๆ ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองเลยด้วยซ้ำว่าพี่ทาร์ตกำลังแสดงสีหน้าและแววตาแบบไหน หัวใจเต้นระรัวเพราะคำว่าดีใจ... ไม่รังเกียจกันจริงๆ ใช่ไหม

"อื้อ... ผมขอโทษนะพี่ทาร์ต ที่รู้สึกแบบนี้ ขอโทษที่ไม่สามารถเป็นน้องชายให้ได้เหมือนเมื่อก่อน"
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องขอโทษเขา แต่รู้สึกว่าตัวเองทำผิดที่ไม่สามารถเป็นน้องชายให้พี่ทาร์ตได้เหมือนเดิม อาจจะตั้งแต่วันแรกที่ผมจำความได้หรือเปล่านะ คนๆ นี้ไม่เหมาะแก่การเป็นพี่ชายเลย

"ขอโทษเพื่ออะไรเนี่ย พี่น่าจะเป็นคนพูดคำนี้หรือเปล่า เพราะทำตัวก้ำกึ่งไม่ชัดเจนสักที"
พี่ทาร์ตโยกหัวกันเบาๆ ก่อนจะผละมือออกไป ผมกลั้นใจช้อนสายตามองอีกคนด้วยความอยากรู้ แล้วก็ได้พบว่าเขากำลังมองมาทางนี้ด้วยดวงตาที่สั่นไหว

"พี่ทาร์ตไม่ผิดหรอก ยังสับสนอยู่นี่ครับ ผมรอได้ ถึงแม้ว่าสุดท้ายผลลัพธ์มันจะออกมาแย่ก็เถอะ"
พูดแบบนั้นออกไปเพื่อให้เขาสบายใจและไม่เก็บเอามันไปเครียด เรื่องของความรู้สึกเราไม่สามารถเร่งรัดหรือบังคับมันได้ผมเข้าใจดี ทั้งๆ ที่กังวลว่าพี่ทาร์ตอาจไม่รู้สึกเหมือนกันและตัวเองคงต้องเสียใจเข้าสักวันแต่ก็พยายามใจเย็น...

"ไม่หรอกปูน พี่รู้แต่ยังไม่เชื่อตัวเอง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเป็นเสือผู้หญิง อยู่ๆ ดันรู้สึกดีกับผู้ชายขึ้นมา ไปไม่ถูกเหมือนกัน"
นี่เขากำลังสารภาพว่าชอบผมหรือเปล่านะ ใจเต้นแรงฉิบหายเลย กีต้าร์จะแหลกคาอ้อมกอดอยู่แล้ว

"สรุปว่า... พี่ก็รู้สึกเหมือนผมอย่างนั้นเหรอ"
ถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ดวงตารีเหลือบมองพี่ทาร์ตครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างกล้าๆ กลัวๆ จนโดนเขาดึงแก้มซะอย่างนั้น เจ็บอะ

"แค่ชอบๆ ยังไม่ถึงขั้นอยากเป็นแฟน เข้าใจใช่ไหม ขอตบตีกับความรู้สึกตัวเองสักพัก กลัวว่าจะเผลอทำให้ปูนเสียใจน่ะ รอได้ใช่ไหม"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะเอื้อมมือมาตบแก้มกันเบาๆ เพราะผมเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจนคางแทบชิดกับอก ถามว่าเขาใจไหม ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอก แต่จะทำอะไรได้ล่ะนอกจากตอบรับไป

"อื้อ ก็ชอบไปแล้ว ให้รอก็คงไหวล่ะ"

"ทำตัวน่ารักจังวะ อย่าเผลอใจไปชอบไอ้กายซะก่อนล่ะ"
พี่ทาร์ตพูดเสียงเครียดๆ ก่อนจะใช้มือเชยคางกันให้สบตา ผมสะบัดหน้าออกแล้วยกหนังสือขึ้นมาบังเอาไว้ พูดแบบนั้นแล้วถึงเนื้อถึงตัวไม่คิดว่าคนอื่นจะหัวใจวายตายบ้างหรือไง ชมไม่พอยังจะหวงอีก

"อืม... ถ้าพี่ให้ผมรอนานเกินไปก็ไม่แน่นะ"
ทั้งๆ ที่เขิน แต่ก็อยากแกล้งเลยพูดออกไปแบบนั้น ใครจะไปชอบไอ้หมากายกันล่ะ ถึงจะหล่อแค่ไหนผมก็ไม่สนหรอก ก็รักแค่พี่ทาร์ตคนเดียวนี่ล่ะ สายตายังมองผู้หญิงเป็นปกติอยู่เถอะ แต่ตอนนี้ไม่กล้าลดหนังสือลงจากหน้าด้วยซ้ำ กลั้นยิ้มไม่อยู่เลยเว้ย แม่ง

"ปูน... อย่าลองดี"
พี่ทาร์ตพูดเสียงแข็งก่อนจะโน้มตัวมาใกล้กัน ผมผงะถอยหลังจนเกือบหงายลงจากเก้าอี้ หนังสือยังคงบดบังใบหน้าด้านล่างอยู่เหมือนเดิม

"อะไร จะทำอะไรผมล่ะ"
ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นอย่างไม่ปิดบัง อยากจะลุกหนีออกไปจากตรงนี้แต่ระยะห่างที่เหลือระหว่างเราทำให้ไม่สามารถขยับไปไหนได้จริงๆ ถ้าผิดพลาดขึ้นมาอาจจะมองหน้ากันไม่ติด... เพราะมันใกล้จนแทบจะจูบกันได้อยู่แล้วเนี่ย

"อยากโดนตีตราจองไหมล่ะ"
ถามด้วยน้ำเสียงทะเล้นและใบหน้ากรุ้มกริ่ม ผมเบนสายตามองไปทางอื่นแทนที่จะจ้องหน้าของเขา ลมหายใจที่เป่ารดลงมาทำให้หัวใจกระตุกนับครั้งไม่ถ้วน ใครก็ได้โผล่มาช่วยที ระยะอันตรายเกินไปแล้ว

"ห๊ะ... จะ จองอะไร ไม่เอา"
ผมใช้หนังสือในมือดันหน้าพี่ทาร์ตออกไปห่างๆ แล้วใช้จังหวะนี้ลุกขึ้นเต็มความสูงเพื่อเตรียมหนี ไม่รู้หรอกว่าวิธีการจองอะไรนั่นของเขาต้องทำยังไงบ้าง แต่ลางสังหรณ์บอกว่ามันต้องเป็นอะไรที่สามารถทำให้หัวใจวายได้

"มานี่เลย ให้พี่จองซะดีๆ"
ไม่พูดเปล่ายังสาวเท้าเข้ามาหากันจนผมต้องก้มลงคว้ากีต้าร์มาถือไว้ กะว่าถ้าไม่ฟังกันจะใช้ไอ้นี่ล่ะฟาดแสกหน้าไปเลย

"เฮ้ย อย่าเข้ามานะ ผมฟาดด้วยกีต้าร์จริงๆ อะ!"
ผมยกกีต้าร์ขึ้นมาเตรียมฟาดพี่ทาร์ตจริงๆ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่กลัวและยังขยับเข้ามาใกล้ พยายามถอยหลังแล้วแต่ขายาวๆ นั่นก็ยังก้าวตามมาจนหาทางหนีต่อไปไม่ได้

"ปูนไม่กล้าทำหรอกน่า"
พี่ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นก่อนจะเท้ามือเข้ากับกำแพงบ้านกั้นทางหนีเอาไว้ ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยฟาดกีต้าร์ลงบนหัวเขาจริงๆ

ตึง!

กะแรงผิดไปหน่อย หน้าผากพี่ทาร์ตเลยปูดเป็นลูกมะนาว ผมขอโทษ ~

เวลาสี่โมงเย็นผมกับพี่ทาร์ตออกจากบ้านเพื่อไปรับไอ้ฟ่อนที่โรงเรียน แทนที่จะได้นั่ง BMW คันใหม่เบาะนุ่มๆ กลับกลายเป็นว่าต้องนั่งมินิฯ ของตัวเองซะอย่างนั้นเนื่องจากฝนที่เทลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย อืม... เดี๋ยวมันก็เลอะโคลนกลับมาอีก ใครจะล้างให้ผมล่ะเนี่ย!

"นั่งทำหน้าบึ้งอยู่ได้"
พี่ทาร์ตเอื้อมมือมาจิ้มแก้มกันในขณะที่กำลังขับรถอยู่ ผมเบี่ยงหลบแล้วจิ๊ปากด้วยความหงุดหงิด เพราะก่อนออกมาไม่สามารถเอาชนะเขาได้เลยต้องยอมหยิบกุญแจรถส่งให้ซะอย่างนั้น

"ก็คนมันขี้เกียจล้างรถ อาทิตย์หน้าก็เปิดเทอมแล้ว"
ผมบอกด้วยเสียงขึ้นจมูกแล้วเบ้ปากใส่คนข้างๆ พี่ทาร์ตเหลือบตามองกันเล็กน้อยก่อนจะขำออกมาแล้วส่ายหน้าอย่างปลงๆ

"ทีตอนไปรับพี่ที่สนามบินล่ะ โคตรสกปรกเลย สีรถก็แทบดูไม่ออก"
พี่ทาร์ตเบ้ปากใส่กันก่อนจะเอื้อมมือมาผลักหัวผมเบาๆ ก็ตอนนั้นไม่ได้สนใจนี่ว่าใครจะมองรถตัวเองยังไง ดีใจที่ได้เจอเขามากกว่า... ก็แค่ข้ออ้างของคนขี้เกียจล้างรถเท่านั้นล่ะ

"มันไม่เหมือนกันนี่หว่า ไปสนามบินไม่เจอคนรู้จักสักหน่อย แต่ไปมหา’ลัยน่ะ คนรู้จักเยอะแยะ อาย"
ผมบ่นกระปอดกระแปดแล้วซุกหน้าลงกับคอนโซลรถ ก็ตอนที่ไม่ล้างรถทีไรเพื่อนชอบเอาไปล้อทุกทีนี่หว่า อย่างไอ้หายนี่ตัวดีเลย ถึงขนาดหาว่าเจ้าของมันก็คงไม่อาบน้ำมาเหมือนกัน แม่ง... คิดได้ไงวะ แถมยังอาสาจะมาอาบน้ำให้กันด้วย ขนลุกฉิบหาย

"หน้าบางขึ้นมาซะงั้น เดี๋ยวพี่ล้างให้เอง หายงอนได้แล้ว โอเคปะ"
พี่ทาร์ตเสนอมาแบบนั้นด้วยใบหน้ายุ่งเหยิงแต่ผมรีบพยักหน้ารับแล้วคลี่ยิ้มกว้างทันที แบบนี้ไม่ว่าจะเอารถผมไปตกบ่อโคลนที่ไหนก็ยอมล่ะวะ มีคนล้างรถให้แล้ว สบาย



ต่อด้านล่างเนอะ

ออฟไลน์ Ch0cmint

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +153/-5
ไม่คิดว่าการมากินพิซซ่าจะรู้สึกอึดอัดได้ขนาดนี้ ดวงตากลมจ้องผมกับพี่ทาร์ตสลับกันแบบไม่หยุดหย่อน จะขยับแต่ละทีก็ต้องระแวงไอ้ฟ่อนตลอดเวลา เพราะไอ้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามชอบตักนั่นยื่นนี่มาให้กันบ่อยๆ ปกติต่างคนต่างกินเลยผิดวิสัย

"นี่... ฟ่อนตกข่าวอะไรไปหรือเปล่า"
หลังจากเงียบกันไปนานไอ้ฟ่อนก็ถามขึ้นก่อนจะเอื้อมมือมารั้งแขนกันไว้ ผมหันไปเลิกคิ้วใส่เป็นเชิงถามว่ามีอะไรทั้งๆ ที่พอจะเดาได้ว่าน้องสื่อถึงอะไร

"อะไร"
ผมถามกลับไปแล้วแกะมือมันออกด้วยหน้าตาเรียบเฉย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วตักสลัดผักใส่จานตัวเอง ไม่วายไอ้พี่ทาร์ตยกไก่นิวออลีนให้อีก อยากปากระดูกใส่หน้าเหลือเกิน ไอ้ฟ่อนสงสัยขนาดนั้นยังไม่หยุดทำตัวแปลกๆ อีก จะเอาใจกันค่อยทำเวลาอื่นไม่ได้หรือไงวะ

"พวกพี่ดูแปลกๆ นะ หวานๆ ยังไงก็ไม่รู้"
ไอ้ฟ่อนมองกันด้วยสายตาจับผิดแล้วหันมาจ้องหน้าผมที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน ส่วนพี่ทาร์ตไม่สนใจสรรพสิ่งรอบข้างเพราะเอาแต่แทะไก่นิวออลีน แค่ตักอาหารให้กันยังโดนจับผิดขนาดนี้ ต่อไปคงทำอะไรต่อหน้าน้องมันไม่ได้แล้วล่ะ ไม่ใช่จะปิดบัง แต่เกลียดที่ต้องโดนแซวหรือโดนงอแงใส่

"หวานบ้าอะไรของมึง ก็ปกติปะวะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงตึงๆ ก่อนจะตักสปาเก็ตตี้ใส่จานให้ไอ้ฟ่อนเป็นการกลบเกลื่อนว่าเรื่องที่พี่ทาร์ตทำมันปกติแต่ไหน แต่น้องกลับรั้งข้อมือผมไว้ซะอย่างนั้น

"ไม่ต้องเฉไฉ บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพี่สองคน"
ไม่ต้องดงต้องแดกแล้วมื้อเย็นเนี่ย มันเล่นกางแขนบังอาหารจนหมดแบบนี้ อยากจะเอื้อมมือเขกหัวสักทีก็สงสาร การเป็นคนไม่รู้อะไรเลยมันทรมานผมเข้าใจ แต่จะให้บอกไปตรงๆ ก็เขินไง...

"ไม่เสือกสิครับน้องชาย"
พี่ทาร์ตว่าด้วยเสียงดุๆ แล้วใช้มือตีแขนไอ้ฟ่อนดังสนั่น ใบหน้าหวานเหยเกเพราะความเจ็บปวด ได้ยินเสียงขบกรามดังกรอดๆ ดวงตากลมกันมามองหน้าผมเขม็ง... รู้สึกว่าตัวเองจะโดนทำอะไรพิเรนทร์ๆ ใส่แน่ๆ จะขยับหนีก็ไม่ได้ เสือกนั่งด้านในติดกระจกร้าน

"ถ้าพี่ทาร์ตไม่ยอมบอก ฟ่อนจะหอมแก้มพี่ปูน!"
ไอ้ฟ่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วขยับเข้ามาใกล้จนแทบจะเกยตักกัน ผมสะดุ้งตกใจเพราะไม่สามารถหนีไปไหนได้ เลยทำแค่ยกมือขึ้นดันหัวมันออกไปไกลๆ อย่างนึกรังเกียจ

"เฮ้ยๆ เกี่ยวอะไรกับกูวะเนี่ย ถอยออกไปไกลๆ ไม่งั้นกูถีบมึงตกเก้าอี้จริงๆ ด้วย"
ทั้งโวยวายทั้งดันไอ้ฟ่อนออกไปห่างๆ ผมรู้ว่าที่น้องมันขู่ๆ มาน่ะ ลงมือทำจริงแน่ๆ คิดแล้วก็ขนลุก นี่ถ้าโต๊ะกว้างกว่านี้ผมคงยกเท้าขึ้นมายันแล้ว แม่ง

"อย่ายุ่งกับปูนดิ กูหวง ถอยออกมาเลยไอ้ฟ่อน"
พูดทาร์ตพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดก่อนจะกระชากคอเสื้อด้านหลังของไอ้ฟ่อนจนหน้าหงาย น้องดีดดิ้นโวยวายจนคนอื่นๆ ในร้านหันมามอง เดือดร้อนผมต้องก้มหัวขอโทษพวกเขาแทน นี่เขาเรียกศึกระหว่างพี่น้องหรือเปล่า อยากเรียกว่าศึกชิงนายเลย กระดากปากสุดๆ

"โอย อะไรอะ นี่แสดงว่าพวกพี่สารภาพรักกันแล้วเหรอ มีหงมีหวง!”
ยังคงโวยวายไม่หยุดจนผมต้องเอื้อมมือไปอุดปากมัน ส่วนพี่ทาร์ตยอมปล่อยมือจากคอเสื้อน้องแล้วกลับไปนั่งที่ตัวเองก่อนจะหันมายักคิ้วกวนๆ ให้กัน ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยเตะหน้าแข้งเขาไปหนึ่งที จะยั่วโมโหอะไรชาวบ้านนักหนานะ

"ตามนั้น"
พี่ทาร์ตตอบกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ แล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเป็นสัญญาณว่าจะไม่พูดอะไรต่ออีก ไอ้ปูนเลยหันมาจ้องหน้าผมแทนแล้วถามด้วยน้ำเสียงรอดไรฟัน

"แล้วพี่ปูนว่าไง!"

"ก็เออ ตามนั้นล่ะ ถามไรมากมายวะ คนจะกิน"
ผมตอบโดนไม่มองหน้าไอ้ฟ่อนแล้วใช้มือผลักหัวมัน ต้องมาพูดอะไรแบบนี้ก็เขินนะเว้ย แล้วไอ้พี่ทาร์ตน่ะจะเอาเท้ามาเขี่ยกันอีกนานไหม เดี๋ยวพ่อถีบเป้าเลยนี่ กวนตีนฉิบหาย

"ฮึ่ย!! ไม่ยอมอะ ทำไมฟ่อนต้องอกหักด้วย"
ไอ้ฟ้อนทำหน้ายุ่งก่อนจะเบะปากแล้วกอดอกแน่นเหมือนเด็กโดนขัดใจ ผมได้แต่มองแล้วลอบถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย รู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้มันแสดงท่าทีปัญญาอ่อน แต่ขอบายล่ะ ให้พี่ทาร์ตจัดการเองแล้วกัน กินดีกว่าเนอะ

"โอ๋ๆ นะน้องฟ่อน เดี๋ยวกูบอกไอ้อินให้มาดามใจมึง โอเคปะ"
พี่ทาร์ตเอื้อมมือมาบีบแก้มไอ้ฟ่อนจนแดงไปหมด ผมได้ยินเสียงน้องซี้ดปากแล้วได้แต่นั่งเจ็บแทน จากที่หน้าบึ้งอยู่แล้วตอนนี้เป็นตูดเลยไง แล้วพี่อินอะไรนั่นเขาเป็นเพื่อนพี่ทาร์ตเหรอวะ ชื่อคุ้นๆ แต่นึกไม่ออก

"ไอ้พี่อินอ้วนดำอะนะ ไม่เอาอะ ฟ่อนไม่ชอบ"
ไอ้นี่ก็ปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมกับเบะปาก คิดว่าตัวเองน่ารักเลือกได้อย่างนั้นเหรอ เคะราชินีเอาแต่ใจชัดๆ ถ้ามันคบกับผมคงเลิกกันไปนานแล้วล่ะ นิสัยน่ารำคาญยังไงก็ไม่รู้...

"หึหึ ถ้ามึงเห็นมันปัจจุบันจะไม่พูดแบบนี้"
พี่ทาร์ตยักคิ้วกวนๆ ส่งให้ไอ้ฟ่อนก่อนจะหันมาคลี่ยิ้มหวานให้กัน ผมเลยกลบเกลื่อนความเขินด้วยการเบ้ปากใส่แล้วคว้าเฟรนฟรายในจานของน้องมากิน รู้สึกเขาหวานจะขึ้นยังไงไม่รู้ ไม่ชินนิสัยเลี่ยนๆ ของเขาเลยว่ะ

เออ ผมว่าพี่อินอะไรนั่น... ปัจจุบันต้องหล่อระดับนายแบบแน่ๆ อะ ไม่อย่างนั้นพี่ทาร์ตคงไม่กล้าพูดแบบนั้น




-----------------------------------------------

ตอนที่ 10 มาแล้วนะ ... ช่วยคอมเม้นท์ติชมให้กำลังใจเราหน่อยนะ T T
คือไม่มีผลตอบรับกลับมาเราก็ไม่รู้ว่าทุกคนคิดยังไงบ้าง สนุกหรือเปล่าไรงี้
แอบกังวลว่ามันจะไม่สนุกน่ะ ฮือ

ออฟไลน์ milin03

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 481
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
อยากเจอพี่อิน :hao7: :hao7: :hao7:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด