ผมถึงกับยืนกลั้นหายใจหลังจากได้ยินอดีตแฟนเก่าของไอ้ค่ายพูดประโยคหนึ่งออกมา ความเจ็บพลันแล่นเข้ามาในความรู้สึก กลัวว่าไอ้ค่ายจะตอบไม่ดี
แต่ที่กลัวกว่าคือทั้งคู่จะกลับไปรักกันอีกรอบ ผมแม่งโคตรเห็นแก่ตัวเลยว่ะ
เมื่อก่อนการแอบรักของผมคือการพิมพ์ข้อความผ่านแชตแล้วมานั่งลุ้นว่ามันจะอ่านหรือไม่อ่าน ตอบหรือไม่ตอบ นั่งลุ้นว่ามันจะคิดลึกซึ้งกับประโยคที่เราทักไปหรือตีมันเป็นคำพูดธรรมดาของความเป็นเพื่อน
เช่นคำว่าคิดถึงนะ มันจะคิดว่าเป็นคิดถึงแบบไหน
คำว่ารักนะ มันจะคิดว่ารักเป็นแบบไหน บางทีผมก็มานั่งกังวล ทำได้แค่พิมพ์ข้อความทิ้งไว้แต่ไม่มีโอกาสส่งไป ซึ่งผมไม่อยากเป็นแบบนั้นแล้ว
“คิดว่าไม่นะ”
“เพราะเติร์ดเหรอ”
“เราเลิกกันก่อนที่ไอ้เติร์ดจะมีอิทธิพลกับความรู้สึกของเราอีก เพราะงั้นอย่าให้มันต้องมาเกี่ยวข้องกับการเลิกกันของเราเลย ที่เลิกเพราะค่ายไม่ดีเอง” เพิ่งเห็นครั้งแรก ว่าไอ้ค่ายก็ยอมรับผิดด้วยตัวเอง ปกติแม่งชอบโทษฟ้าโทษดิน โทษโชคชะตาบ้าบอของมัน ทั้งที่มันทั้งนั้นเป็นคนก่อ
“ค่ายก็ไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ”
“ยอมรับ”
“ใจหมา”
เจ็บสัด! หงอเลยไอ้เสือของกู เลิกกันได้ไม่ดีด้วยไง บอกเลิกกันผ่านโทรศัพท์หลังจากนั้นก็ตัดขาดทุกอย่างราวกับคนไม่รู้จักกัน นี่ถ้าวันหนึ่งมันเกิดขึ้นกับผม ใครจะรับประกันความเจ็บปวดนี้ได้วะนอกจากโทษตัวเองที่เลือกตั้งแต่แรก
“เป็นเพื่อนกันได้มั้ย” แจมถามอีก
“คงไม่ได้หรอก เราไม่เป็นเพื่อนกับแฟนเก่า”
“เข้าใจ เออนี่ฝนไม่ยอมหยุดตกสักที แต่เรารีบคงต้องไปก่อนแล้ว”
“เอาเสื้อคลุมเราไปสิ อย่างน้อยก็ช่วยบังฝน” แจมไม่ตอบอะไรนอกจากพยักหน้า แล้วดึงเสื้อคลุมคณะขึ้นมาคลุมหัวแล้ววิ่งฝ่าสายฝนไป ไกลออกไปจนลับสายตา
ไม่มีคำบอกลามากกว่านั้น ไม่มีรอยยิ้มส่งท้ายให้กันและกัน เป็นการจากลาแค่ต่างคนต่างแยกย้ายแล้วมีชีวิตเป็นของตัวเอง
จะเจ็บแค่ไหนวะ
จะร้องไห้หนักแค่ไหน
จะกอดเสื้อคลุมตัวนั้นแล้วเอาแต่คิดถึงอดีตมั้ย
ผมคิดไปสารพัด ลองเอาใจตัวเองเข้าไปอยู่ในตัวผู้หญิงคนนั้น ที่ผ่านมา...ถูกแล้วเหรอที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็นคนแย่งความรักของใคร แต่ก็รู้สึกผิดขึ้นมาอยู่ดี
“คำว่าใจหมานี่เจ็บจี๊ดดดดดดดไปถึงกะโหลกเลยว่ะ ฮ่าๆ” เห็นเขาไปหน่อยล่ะได้ทีไอ้โบนเลยครับ มันหยอกไอ้ค่ายด้วยรอยยิ้มซึ่งคนโดนพาดพิงก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรนอกจากตอบกลับเสียงเรียบ
“กูไม่เจ็บนะ กูด้าน”
“มึงหักอกคนมาเยอะไง แต่แจมนี่คือคนที่มึงคบนานสุดคนนึงเลยนะ”
“ก็ไม่ถึงปีป่ะวะ”
“ถือว่านานในบรรดาผู้หญิงของมึง ครั้งหนึ่งมึงเคยบอกว่าชอบเขามาก”
“นั่นมันก่อนที่เราจะคบกันต่างหาก ก่อนที่เราจะได้รู้ว่าความรักมันมีเงื่อนไขมากกว่านั้น”
“...”
“สักวันเขาก็ต้องไปเจอคนดีๆ ต่อให้ตอนนี้เรายังคบกันอยู่ อนาคตก็ต้องเลิกกันอยู่วันยังค่ำ ความคิดของเราไม่ตรงกัน พยายามไปคนที่เจ็บที่สุดก็คือแจม”
“ดูเป็นพระเอกนะ แต่มันไม่ได้ฟังขึ้นเลยว่ะ”
“ก็ไม่ได้อยากทำให้ตัวเองดูดีนี่หว่าก็กูเหี้ยจริง แล้วรู้มั้ยว่าที่ผ่านมาทำไมกูถึงตัดคนคนหนึ่งออกจากชีวิตได้ฉึบฉับขนาดนั้น เพราะกูไม่อยากยื้อไง...ตัดไปเลยเขาก็จะได้ตัดใจ แต่ถ้ายื้อยังติดต่อกันอยู่ มึงคิดว่าเขาจะลืมกูเหรอ มีแต่อยากกลับมาคืนดี สุดท้ายก็เจ็บกันวนลูปไปอีก แบบนี้แหละดีแล้ว”
“...”
“ให้มันเป็นปัญหาของกูเถอะ”
“แต่บางทีกูก็ซวยที่ไปอยู่แทรกกลางระหว่างพวกมึงไงครับค่าย” ผมอดพูดไม่ได้
“ต่อไปไม่มีอีกแล้ว ขอโทษที่ทำให้มึงต้องมาเจออะไรแบบนี้”
“...”
“ขอโทษที่เห็นแก่ตัวไม่อยากเสียอะไรไปสักอย่าง ครั้งหนึ่งกูเคยบอกว่ากูดูแลของมีค่าไม่ได้ แต่มึงก็เป็นสิ่งแรกที่กูอยากดูแลนะ”
“มึงดูหนังเยอะไปแน่ๆ ขออะไรล้างตาหน่อยเถอะเวรเอ๊ย” หมดมู้ดทันที เมื่อเพื่อนโบนขัดจังหวะ
เอาเป็นว่าผมรับไว้แต่ก็ไม่ปักใจเชื่อ อย่างที่รู้กันดีวีรกรรมของไอ้ค่ายยาวเป็นหางว่าว วันไหนที่มันพิสูจน์ตัวเองให้เห็นผ่านการกระทำมากกว่าคำพูด วันนั้นผมถึงให้โอกาสมันได้ดูแล
ภารกิจขายบัตรท่ามกลางฝนที่เทกระหน่ำลงมายังคงดำเนินต่อไป หลายครั้งที่เราต้องตอบข้อความผ่านแฟนเพจเพราะมีคนแคนเซิลกะทันหันเนื่องจากอากาศไม่เป็นใจ ดังนั้นการขายบัตรเลยกินเวลาไม่นาน ถ้านับจากนี่ยืนง่อยๆ กันอยู่ก็แค่สามชั่วโมง
แต่ฝนไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตกเลย
“เดี๋ยวกูจะเข้าคณะก่อนกลับ”
“กูด้วย” ไอ้ทูบอกกับไอ้โบนพูดขึ้น
“กูจะกลับเลย เติร์ดมึงไปกับกู” ไอ้ค่ายมัดมือชก
“งั้นกูสองคนเอาแบ็กดรอปกลับแล้วกัน เจอกันพรุ่งนี้นะ” ไม่พูดเปล่าเพื่อนรักทั้งสองก็ช่วยกันแบกแบ็กดรอปเอาไว้เหนือหัวเพื่อใช้เป็นกำบัง
“เชี่ยค่าย”
“ว่าไง”
“อย่าทำเพื่อนกูเสียใจนะ” “เออ”
จากนั้นมันทั้งคู่ก็วิ่งฝ่าฝนไปแบบไม่หันหลังกลับมามองคนข้างหลังแม้แต่เสี้ยว แล้วเมื่อกี้คำพูดของไอ้ทูคืออะไรวะ ฝากฝังเหมือนกูเตรียมจะแต่งงานฟังแล้วเลี่ยนฉิบหายเลย
“เสื้อกูไม่อยู่แล้ว เอาหนังสือแล้วกัน” หลังมองดูเพื่อนสองคนวิ่งไปจนไกล มือหนาก็แกะกระเป๋าเป้พลางหยิบหนังสือคณะขึ้นมายื่นให้
“ไม่เอา เปียกแล้วก็อ่านไม่ได้อีก”
“หนังสือกูไม่สำคัญเท่าหัวมึงหรอก”
“จริงๆ มึงก็ไม่ได้รักหนังสือขนาดนั้น ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี”
“เดี๋ยวกูฟาดปากด้วยหรรมเลยนะ”
“ไอ้ค่าย ไอ้เหี้ย”
“ฝนตกเดี๋ยวมึงไม่สบาย”
“กระเป๋ากูก็มีใช้บังได้”
“มึงหวงหนังสือข้างในจะตายทำไมกูจะไม่รู้”
“งั้นรออยู่ตรงนี้จนกว่าฝนจะหยุดแล้วกัน” ทั้งที่ไม่รู้ว่ามันจะหยุดเมื่อไหร่ก็ตาม
“เห็นด้วย” เรายืนอยู่เงียบๆ ไม่นานคนข้างๆ ก็ถามต่อ “โกรธกูป่ะที่ยกเสื้อให้แจมไป”
“โกรธทำไมวะก็ของมึง”
“ฝนตกหนักกูเลยให้เสื้อไป เพราะวิ่งไปส่งเขาไม่ได้อีกแล้ว”
“...”
“แต่กับมึงเรายังต้องเดินไปด้วยกันอีกไกล ไม่ต้องมีเสื้อก็ได้แค่มีกันก็พอ”TRAILER
“ใส่เสื้อกันฝนมาทำไมวะ ไม่เห็นว่าฝนจะตกสักเม็ด”
“เดี๋ยวแม่งก็ต้องตก”
“มึงนั่งรถไฟ ไม่ได้จะเดินไปอย่าเว่อร์”
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมสามโหดที่เราว่าคูลนักหนาถึงได้ทำตัวปัญญาอ่อนขนาดนี้ นี่แม่งระริกระรี้มาหลายวันแล้วครับหลังจากปักหมุดและได้วันเดินทางที่แน่นอน
เวลาเดินเร็วมากในทุกๆ วัน...
มหา’ลัยปิดเทอมภาคเรียนแรกด้วยการสอบที่ทำเอาหืดจับ นี่เป็นการเดินทางที่แทบไม่ได้วางแผนใดๆ รู้แค่จะไป จุดหมายไม่ได้สำคัญเท่าระยะทาง แถมยังต้องคิดบทกันสดๆ อีกต่างหาก เราแบกเอาคำว่ามิตรภาพใส่ไว้เต็มกระเป๋า มีกล้องตัวโปรดของใครของมัน หนังสือคนละเล่ม กีตาร์หนึ่งตัว เพลงในไอพอดหนึ่งพันเพลง รองเท้าแตะหนีบ แว่นตา และหมวกคนละใบ
มันกำลังเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
กรุงเทพฯ – สุราษฎร์ฯ อะเกน
ฉากที่หนึ่ง ชานชาลาหมายเลขเจ็ด / หัวลำโพง / ตีสี่สี่สิบห้านาที “นี่ๆ ตรงนี้” ร่างสูงหยุดยืนอยู่ตรงเบาะนั่งฟากหนึ่ง มันชี้ให้คนที่เพิ่งเดินเข้ามาอย่างผมดูก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เบาะที่เรานั่งเป็นเบาะยาวนั่งได้สองคนหันหน้าเข้าหากัน เพราะงั้นเลยพอกับจำนวนสมาชิกสี่คนพอดีเป๊ะ เวลาเช้ามืดขนาดนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ ดูรวมๆ แล้วเหมือนอยู่บนตู้รถไฟสายมรณะมากกว่า
นานๆ ทีจะมีแม้ค้าเดินหาบของมาขาย พวกน้ำอัดลม ขนมกินเล่น หรือข้าวกล่องเล็กๆ ที่ขายโคตรแพง
“มึงเริ่มจดเลยไอ้เติร์ด ฉากแรกหลังจากขึ้นรถไฟ...ซื้อไก่ ป้าคร้าบ” ไอ้โบนโบกมือเรียกแม่ค้าไหวๆ
“เอาอะไรดีคะลูก”
“ไก่ครับ เอาข้าวเหนียวด้วย”
“น้ำดื่มมั้ยคะ”
“โค้กแล้วกัน กระป๋องละเท่าไหร่ป้า”
“สี่สิบห้าบาทจ้า”
เหยดแหม่...แพงกว่ากาแฟที่มอกูอีก จำได้ว่ากระป๋องนี้แค่สิบสามบาท แต่ราคากลับโหดบรรลัยแค่ได้ขึ้นมาอยู่บนรถไฟ นี่ผมควรจดเรื่องนี้ลงไปในบทหนังด้วยมั้ยเนี่ย
“งั้นเอาแค่ไก่พอครับ ข้าวเหนียวไม่ต้อง” จ่ายเงินทอนตังค์กันเสร็จสรรพผมก็เห็นไอ้โบนกับไอ้ทูนั่งแทะซี่โครงกันหรรษา ไหนเนื้อ?
“กูขอเส้นเรื่องก่อน” อย่างน้อยก็ควรเข้าวิชาการกันบ้าง ไม่ใช่มาเพื่อแดกอย่างเดียว
“เส้นเรื่องคือความสัมพันธ์ของกลุ่มคนที่เดินทางโดยรถไฟในหน้าฝน เริ่มต้นด้วยคำว่าเพื่อน และลงท้ายด้วยคำว่าแฟน” โอเค กูจะได้เขียนเป็นคอนเส็ปเอาไว้
“เดี๋ยวค่อยเขียนก็ได้ มึงตื่นแต่เช้านอนก่อนเถอะ” ไอ้ค่ายดึงสมุดออกจากมือผมไปวางไว้บนตัก
“กูไม่ง่วง” ดูเชี่ยโบนดิ แม่งยังแทะไก่อยู่เลย
“งั้นพูดถึงอนาคตของเราดีกว่า”
“นั่นกูยิ่งไม่อยากพูดเลย”
“ถ้าเดินทางเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรหนังแม่งจะยิ่งเอื่อยนะ อาจจะต้องเพิ่มสถานการณ์เข้าไป”
“เช่นสั่งเบียร์ใช่มั้ย แดกไก่กับเบียร์ดูเข้ากัน ป้าคร้าบบบบ” ขอความเข้ากันระหว่างประเด็นที่พูดเมื่อกี้ซิ ย้อนแย้งมากเว่อร์ แล้วป้าแม่ค้าแกก็มาไวยิ่งกว่าขีปนาวุธ
“เอาอะไรดีคะลูก”
“เบียร์หมีควายสี่กระป๋องครับ”
“กูไม่เอา” ผมรีบปฏิเสธพัลวัน ให้ตายกูก็จะไม่แดกแอลกอฮอล์อีก ลำพังแค่อ้วกทะลุง่ามนิ้วไอ้ค่ายในวันนั้นยังติดตาจนทุกวันนี้เลย
“ซื้อให้แล้ว เท่าไหร่นะครับ” ป๋าโบนควักจ่ายตังค์เสร็จเราก็มีเบียร์มาถือไว้ในมือคนละกระป๋อง ไอ้ค่ายเป็นคนแรกที่ยกขึ้นมากระดกทีเดียวหลายอึกอย่างไม่รีรอ แป๊บๆ หมดกระป๋องแทบไม่เหลือสักหยด
“กินมั้ย” มันถามผม
“ไม่”
“งั้นกูแดกแทน” ว่าแล้วมือหนาก็คว้าเบียร์อีกกระป๋องไปซดโฮกอย่างรวดเร็ว โอ้โหรักใครให้แดกเบียร์แทนงี้เหรอ ซาบซึ้งสัดๆ
“สันดานไอ้ค่าย กูซื้อให้ไอ้เติร์ดไม่ได้ใช้ให้มึงมาแดกแทน”
“มันแม่งเมาแล้วอ้วก ตัวก็มีแต่ผื่นแดงมึงไม่สงสารมันหรือไง อีกอย่างทำไมกูจะไม่มีสิทธิ์ในตัวมัน”
“เป็นผัวเมียกันแล้วเหรอ”
“สัด” รำคาญ!
“ดูที่รักมึงก่อน ปฏิเสธหน้าตายเลยนะนั่น เจ็บมั้ยไอ้ค่ายเขาไม่ยอมรับมึงอ่ะ”
“เติร์ด...กูเป็นอะไรสำหรับมึงนะ” เสียงทุ้มต่ำกัดฟันถามแกมบังคับ รู้ทั้งรู้ว่าผมคงไม่ตอบรับให้ไอ้โหดอีกสองคนเก็บไว้แซว มันก็ยังจะถามอีก
“ไม่ได้เป็นไร”
“มึงเป็นของกูไง”
“ตอนไหน!”
“ไม่ได้เป็นในทางพฤติกรรม แต่ก็เป็นในทางความรู้สึก” “กรู้วววววววว เก็บมุกนี้ไว้เล่นที่บ้านเถอะนะครับ ฟังแล้วรู้สึกแดกเบียร์ไม่คล่องคอเลย อะแค่กๆ”
บางทีผมก็คิดนะครับ ว่าตัดสินใจร่วมทริปกับพวกมันมาเพื่ออะไร เพื่อเที่ยวและดูโลเคชั่นในการทำหนัง หรือมาเพื่อให้มันทั้งสามตัวนั่งเผานิ่งๆ กันแน่
ฉากที่สอง รถไฟตู้ที่สิบหก / ทางรถไฟ / ตีห้าครึ่ง “ป้าขอเบียร์อีกสามป๋องครับ”
“ได้ค่าลูกกกกกก”
เหยดแหม่มึงเอ๊ย ตลอดเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงไอ้ค่าย ไอ้โบน และไอ้ทูไม่มีท่าทีว่าจะหยุดกระดกเบียร์แม้แต่วินาทีเดียว ถุงพลาสติกที่ขอจากพนักงานมาใส่ขยะตอนนี้เป็นที่บรรจุกระป๋องเบียร์เรียบร้อย นี่มึงมาเที่ยวหรือมึงมาเมา!
“เติร์ดกูคิดออกละ ในบทกูอยากให้มีฉากตัวเอกนั่งเล่นเกมส์ด้วย” ไอ้ทูที่เมาทีไรสมองมักจะบรรเจิดโพล่งไอเดียขึ้นมาให้ฟังเป็นฉากๆ
“เกมส์ยังไงวะ”
“แบบที่เราเล่นกันในปาร์ตี้พูลครั้งก่อนไง”
“จำไม่ได้ เล่นไปเป็นร้อยเกมส์”
“ก็ที่ให้พูดคำตอบออกมาก่อนแล้วให้ทายคำถามไง”
“ยังไงวะ วันนั้นไม่ได้เล่นเกมส์นี้” หรือผมเมาเกินกว่าจะจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ ไอ้โบนจึงเป็นฝ่ายสาธิตวิธีเล่นให้ผมฟัง
“สมมตินะ ถ้ากูพูดว่าเควนติน แทแรนติโนปุ๊บ มึงก็แค่ทายว่าคำถามจะเป็นอะไร แค่นั้น”
“เข้าใจละ แต่ทำไมต้องยัดบทกากๆ แบบนี้ไปใส่ในหนังสั้นด้วยวะ”
“มึงแม่งไม่คูลว่ะ สรุปทายว่าอะไร ไหนๆ ก็เล่นละต่อให้จบไปเลย” ไม่ได้ดูหน้ากูเลยครับว่าอยู่ในอารมณ์อยากเล่นหรือเปล่า
“ผู้กำกับหนังที่มึงชอบใช่ป่ะ”
“ถูกต้องนะคร้าบบบบบ สุดยอดมากเพื่อนเติร์ด” สนุกจังเล้ย
“กูทายมึงบ้างไอ้เติร์ด วิชาการตลาด” ไอ้ทูยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย มันยืดหลังนั่งตัวตรง สายตาจดจ้องมาที่ผมอย่างไม่ลดละ ขอโทษนะ...นี่มึงเล่นเกมส์กำจัดจุดอ่อนกันอยู่เหรอ
“วิชาที่มึงชอบคืออะไร”
“ผิด”
“วิชาที่มึงลงทะเบียนไม่ทันเป็นครั้งแรก”
“ผิด ตอนที่กูโอดโอยอยู่ในห้องอ่ะเพื่อนรัก”
“อ๋อ เอฟตัวแรกในชีวิต”
“ถูกต้องนะคร้าบบบบบ คำถามคือกูติดเอฟวิชาอะไรเป็นวิชาแรก” หัวฟวย นี่มึงล่อตั้งแต่ปีหนึ่งเลยนี่หว่า การตลาดสำหรับนักนิเทศฯ ง่ายกว่าอมฮอลล์ให้ละลายในปากอีก บ้าบอ
“กูขอบ้างๆ” แม้แต่ไอ้ค่ายก็ยังเอากับเขาด้วย “Flipped”
“ง่ายสัด หนังที่กูชอบคือเรื่องอะไร”
“ผิด” อ้าว
“หนังที่กูหยิบไปประมูลครั้งแรกในชีวิต”
“ผิด”
“คำถามคือหนังที่กูหยิบมาดูบ่อยที่สุดต่างหาก” เกิดความอื้ออึงในกลุ่มเพื่อนไปพักหนึ่ง เดี๋ยวนะ ไอ้ค่ายเกลียดหนังรัก แต่สุดท้ายคำตอบของหนังที่ดูบ่อยๆ กลับเป็นหนังรักเนี่ยนะ
“ดูจริงป่ะ” ผมถามย้ำ
“จริงดิ รักจนหัวปักหัวปำแล้วเนี่ย” มันส่งยิ้มมาให้จนปากแทบจะฉีกถึงใบหู “มึงทายกูบ้างดิ”
“คิดไม่ออก”
“งั้นกูถามอีกข้อให้มั้ย คำตอบคือตกลง”
“อะไรวะ ยืมเงินได้มั้ยเหรอ” ในขณะที่ตอบหัวใจกลับเต้นรัวแปลกๆ สายตาของเพื่อนที่นั่งฝั่งตรงข้ามก็แปลกๆ แม้แต่สีหน้าของไอ้ค่ายเองก็ไม่ต่างกัน
“ไม่ใช่”
“ไปเที่ยวกันมั้ย”
“ผิด กูรู้ว่ามึงรู้ว่ะเติร์ด”
“กูไม่รู้อะไรเลย มึงจะให้กูทายว่ายังไง”
“มึงรู้”
“พรุ่งนี้เลี้ยงข้าวมั้ย”
“ไม่ใช่”
“ไปส่งเข้าห้องน้ำหน่อย”
“รำคาญ บ่ายเบี่ยงอยู่นั่นแหละ คำถามคือเป็นแฟนกันมั้ย” “ง่ายอย่างนี้เลยเหรอ”
“เออ ง่ายอย่างนี้แหละ ตอบมา!”
“ให้ตอบเหี้ยไร มึงมีอยู่คำตอบเดียวว่าตกลงเนี่ย”
“เหยดดดดดดดดดดดดดดดดด”
“สรุปมึงเป็นแฟนกับกูแล้วนะเติร์ด ไหนจุ๊บเหม่งหน่อยซิ” สิ้นสุดคำพูดของไอ้ค่าย มือหนาก็คว้าหมับเข้าที่หน้าผมแล้วล็อกไว้อย่างแน่นหนา เสี้ยววินาทีต่อจากนั้นมันทำการอุกฉกาจด้วยการจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากผมอย่างแรงจนกะโหลกแทบยุบ
“เดี๋ยว กูไม่ได้ตกลง” ผมพูดอย่างจริงจัง กระทั่งเสียงยินดีของเพื่อนทั้งสามเริ่มซาลง
“คือยังไงวะ” ไอ้ค่ายถาม สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
“เรื่องคบกับมึงแบบคนรัก”
“...”
“ขอโทษว่ะ แต่กูว่าไม่ดีกว่า...” วินาทีนั้น ผมก็ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ...จางหายไป
เหลืออีกตอนเดียวก็จบแล้ว
รู้สึกใจหายเหมือนกันนะคะ ต่อไปจะไม่มีใครด่าค่ายแล้วคงเงียบเหงาน่าดู ฮ่าๆ
เราสนุกมากตอนได้อ่านคอมเมนต์จากคนอ่าน เพราะนับเป็นเรื่องที่พระเอกโดนด่ามากที่สุด
ต้องคิดถึงมากแน่ๆ
*เพิ่มเติม จิตติจะลงตอนพิเศษให้คนอ่านหนึ่งตอนนะคะ
เป็นฉาก NC ที่คนอ่านหลายคนรอมาทั้งเรื่อง สุดท้ายอยู่ตอนพิเศษ ฮือ...