อินทะโลดักฉัน
“สวัสดีครับ กลับมาเจอกันอีกครั้งทุกวันพฤหัส เวลาสองทุ่มเป๊ะๆ ไม่ขาดไม่เกิน หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้ตอบแฟนเพจเลย ต้องขอโทษจริงๆ ครับ พอดีว่าผมติดภารกิจเรื่องเรียนนิดหน่อยแต่ตอนนี้ก็ได้เคลียร์ตัวเองมาเป็นที่เรียบร้อย”
สัดกล้องเบี้ยว ไอ้ห่ากล้องเบี้ยวเพิ่งสังเกต แต่ด้วยความที่ขี้เกียจลุกออกจากเตียงเดินไปปรับให้เสียเวลา เลยจำต้องถ่ายมันทั้งอย่างนี้นี่แหละ
“มาเริ่มกันเลยดีกว่า เมื่อช่วงสัปดาห์ก่อนน้องที่คณะหรือแม้แต่เพื่อนๆ เองก็ตามได้บิ๊วให้ผมไปดูหนังเรื่องหนึ่ง”
ผมหยุดชะงักไปชั่วครู่ สร้างบรรยากาศให้คนดูรู้สึกตื่นเต้นอยู่นิดหน่อย ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก...
“ใช่แล้วครับ หนังเรื่องนั้นก็คือ...The girl that never stopped laughing 2 หรือชื่อไทยที่ทุกคนคุ้นหูกันดีอย่าง ‘เด็กหญิงผู้ฮาดั้น’ ภาคสองครับ”
รัวมือสิไอ้สัด! เดี๋ยวคลิปกร่อย
แต่ก็เหมือนว่าหน้าม้าที่อุตส่าห์ไปกอดเข่าขอร้องให้มาช่วยจะหายไปจากสารระบบหรือไม่ก็ตายห่าไปก่อนแล้ว ผมเลยต้องรีบขึ้นประเด็นใหม่อย่างเร็วรี่
“ตอนแรกเรื่องนี้มันไม่ได้ดึงดูดผมเลยนะ แถมเขาบอกว่าเรื่องราวไม่ได้เกี่ยวกับภาคแรกด้วย แล้วมึงจะทำภาคต่อทำเชี่ยอะไร แต่พอไปดูเท่านั้นแหละรู้เรื่อง! หนังเล่าเรื่องราวของเด็กหญิงไฮสคูลปีสุดท้ายคนหนึ่งที่ชื่อเอมี่ ซึ่งเธอมีอาการป่วยติดตัวมาตั้งแต่เด็ก เวลาที่ได้หัวเราะจะหยุดไม่ได้ครับ จริงๆ จะเรียกว่าโรคกรามค้างก็คงไม่ผิด แต่ผมจะไม่สปอยต่อว่ามันเป็นยังไง ทุกคนต้องไปโดนกันเอง มาพูดถึงบท ภาพ และเพลงประกอบก่อน...”
หลังจากนั้นกระบวนการร่ายยาวก็เริ่มต้นขึ้นผ่านการเล่าเรื่องของผม
งงกันล่ะสิว่าผมเป็นใคร ถ้าไม่รู้ก็จะย้ำให้ฟังชัดๆ อีกครั้ง ผมชื่อ ‘เติร์ด’ เป็นยูทูบเบอร์มือสมัครเล่น แต่จะบอกว่ามือสมัครเล่นก็คงไม่ถูกซะทีเดียวเพราะผมได้สร้างแอคเคาท์นี้มาเกือบปีแล้ว และถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร เพราะมียอดสับตะไคร้อยู่ที่สามหมื่นกว่าคน ส่วนแฟนเพจที่บอกไปก่อนหน้ามียอดไลค์ปัจจุบันอยู่ที่สามหมื่นสี่พันคนถ้วน
รู้สึกเป็นไอดอลเว่อร์
หลังจากอัดคลิปพูดคุยเรื่องหนังกันไปก็จะเข้าสู่กระบวนการตัดต่อ ใส่เสียง ใส่เพลง และอัพโหลดลงยูทูบให้ทุกคนได้ดูกันเสร็จสรรพ นี่ถือเป็นงานอดิเรกของผม และบุคคลสำคัญที่มักมีส่วนช่วยในงานอดิเรกเสมอก็คือเพื่อนรักคนนี้...
“มึง คลิปก่อนมีคนดูกูเยอะมากกกกกก” ถ้าถามว่ามันช่วยอะไรผม ก็ทุกอย่างนั่นแหละครับ แต่หลักๆ เห็นจะเป็นการนั่งฟังคนอย่างกูพล่ามเป็นน้ำไหลไฟดับเหมือนวันนี้
“สามร้อยวิว”
“ฮะ”
“สามร้อยวิว กูเพิ่งเปิดเข้าไปดูเมื่อสิบห้านาทีก่อน
“ยูทูบมึงมีปัญหาแน่นอน ลองดูใหม่นะ”
“ชื่อชาแนลมึงเลย รีวิวหนังเด็กหญิงผู้ฮาดั้น คนดูปัจจุบัน 314 วิว นี่คือเยอะของมึง?”
ห่า กูนึกว่ายังไม่กดเข้าไปดู
“ถ้าอยากให้คนดูหลักหมื่นวันหลังมึงก็มาช่วยกูรีวิวสิวะ เห็นมีมึงในคลิปทีไรยอดคนดูพุ่งพรวดๆ ตลอด” และคำพูดนี้ก็มักเป็นจริงเสมอ
เราทั้งคู่เรียนนิเทศศาสตร์ สาขาภาพยนตร์ ใครๆ ต่างก็เรียกเราว่าเด็กฟิล์ม ตอนนี้ผมก็อยู่ปีสามแล้วทั้งเรียนและทำกิจกรรมจนแทบไม่มีเวลาว่าง แต่แปลก...มีสิ่งหนึ่งที่ผมกับเพื่อนสนิทอย่างมันมักทำด้วยกันแบบไม่ขาดตกบกพร่อง นั่นคือการตีตั๋วเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์ นั่งดูจนกว่าหน้าจอที่ปรากฎเอนด์เครดิตจะเปลี่ยนเป็นสีดำเราถึงจะเดินออกโรง พร้อมกับคำวิจารณ์และการแลกเปลี่ยนทัศนคติอย่างออกรสออกชาติ
ผลพลอยได้จากการทำอะไรแบบนี้ ทำให้ผมต้องเจียดเวลามาทำช่องยูทูบเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนดู ผมแค่อยากรู้ว่าชาวบ้านเขาจะคิดเหมือนกันมั้ยหลังจากดูหนังเรื่องนั้นจบ เหมือนทุกอย่างจะเป็นไปได้สวยใช่มั้ยครับ เออ...แต่บางครั้งก็เหมือนจะไปได้แบบง่อยๆ ซะมากกว่า
วิดีโอของผมมักมีคนสนใจเข้ามาดูไม่มาก แต่ที่มากเป็นปกติเห็นจะเป็นวิดีโอที่มีเพื่อนของผมเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ถ้าเรื่องไหนมีมันมานั่งข้างๆ รีวิวหนังด้วย ฟันธงไว้เลยว่าวิวหลักหมื่นขึ้นแน่นอน
“ช่องมึง มึงก็รีวิวเองสิสัด”
“ก็ถ้ามีมึงมันก็ดังกว่ามั้ยล่ะ”
“อย่ามาเกาะกระแสกูดังครับคุณเติร์ด กูไม่ใช่คนหล่อใจดีสำหรับมึง” ผมถูกมือหนาผลักหัวแรงๆ ไปที ก่อนเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดจะเดินจ้ำอ้าวไปยังทางเดินเชื่อมตึก เร่งให้ผมต้องรีบสับเท้าตามอีกฝ่ายไปไม่ห่าง
“แล้วมึงหล่อสำหรับใครไม่ทราบ”
“หล่อสำหรับแฟนกูดิ”
จึ่ก! เหมือนโดนมีดปักลงตรงกลางใจ ความรู้สึกที่ว่าเจ็บจนพูดไม่ออกมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
“แล้ววันนี้ว่างป่ะ จะชวนไปดูหนัง” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“ไม่ว่ะ พอดีกูนัดกับแจมไว้ว่าจะพาไปกินข้าว ยังไงถ้ามึงอยากดูเรื่องไหนก็ดูไปก่อนได้เลย” เคว้ง คงเป็นประโยคเดียวที่อธิบายความรู้สึกตอนนี้ได้
สำหรับผม...คำว่าเพื่อนสนิทมันก็แค่สถานะที่เราสร้างเอาไว้เพื่อปกปิดความรู้สึกอะไรบางอย่างของตัวเองเท่านั้นแหละ ความจริงกูเกลียดคำนี้จะตาย ถ้ามันหายไปจากโลกนี้ได้ก็คงดี เพราะผม...กำลังแอบชอบเพื่อนสนิทข้างเดียวอยู่
ซึ่งบุคคลคนนี้ก็ใช่ว่าจะเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปเสียเมื่อไหร่ ไอ้นี่มันมีสิ่งที่เหนือกว่าชาวบ้านเขาอีกเยอะ และผมก็รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมันไปซะหมด
เพื่อนสนิทผมคนนี้ชื่อ ‘ค่าย’ ชื่อจริงชื่อนายขุนพล กริชภิรมย์ เกิดวันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน พ.ศ.เกิดขอไม่บอก แต่ พ.ศ. ตายคือปีนี้แน่นอนเพราะกูจะฆ่ามัน
ไอ้ค่ายเป็นคนกวนตีน มีพฤติกรรมแปลกประหลาดบางอย่างเช่น ชอบกินข้าวกลางวันเวลาเที่ยงตรง เพราะกระเพาะของมันเป็นอวัยวะที่เที่ยงตรงที่สุดในโลก
“เฮีย! เหมือนเดิม”
“รอก่อนอาค่าย วันนี้ลูกค้าเยอะ”
“ท้องผมร้องหนักมาก นี่เที่ยงแล้วเฮีย”
“งั้นวันนี้ลื้อก็ต้องไปแดกร้านอื่น ขี้เกียจลัดคิว”
“เฮียมีอะไรเหลือบ้าง แบบที่ตักกินเลยโดยไม่ต้องทำให้เสียเวลาอ่ะ”
“เฮ่อออออ~”
“มีใช่มั้ยเฮีย”
“อากิมฮวย ลื้อไปเอาข้าวเปล่าคลุกน้ำปลาให้อาค่ายที”
“อีกแล้วเหรอ เดือนนี้เฮียค่ายกินน้ำปลาหมดไปสองขวดแล้วนะเตี่ย”
แต่ทุกครั้งที่ผมเห็นมันกินข้าวคลุกน้ำปลา เจ้าตัวก็ไม่เคยบ่นให้ได้ยินสักครั้งว่าไม่อร่อย มีแต่บอกว่าโชคดีที่ยังกินทันเวลาซะอย่างนั้น ผมกลัวจริงๆ กลัวว่ามันจะตายห่าด้วยโรคไตมากกว่าแก่ตายไปพร้อมกัน
ไอ้ค่ายเป็นหนุ่มฮอต ถึงแม้ไม่ได้มีตำแหน่งการันตี แต่ด้วยความเจ้าชู้ประตูดินบวกกับหน้าตาที่เข้าขั้นอปป้าของสาวๆ ก็ทำให้มันมีแฟนมาแล้วเกือบทุกคณะ
“มึง ถามจริง ตั้งแต่คบกันมาเนี่ย มึงได้นับมั้ยว่าเคยมีแฟนมาแล้วกี่คน”
“ไม่ว่ะ เยอะเกิน”
“สักนิดก็จำไม่ได้เหรอ”
“แล้วมึงมาเสือกเรื่องเมียกูทำไมเนี่ยไอ้เติร์ด”
“เอ้า เพื่อนสนิทไม่มีสิทธิ์รู้เลยหรือไง”
“กูจำไม่ได้”
“เอางี้ ถ้ากูพูดชื่อคณะอะไรมา มึงพอจะบอกกูได้มั้ยว่าเคยมีแฟนอยู่คณะนี้หรือเปล่า” เพราะกับบางคน บางช่วงเวลา ผมก็ไม่รู้ไงว่ามันซุกกิ๊กเอาไว้อีกหรือเปล่า ที่ควงออกหน้าออกตาว่าเยอะแล้ว แต่ที่ไม่บอกอีกนี่คงมีอีกเป็นขบวน
“ว่ามาสิ”
“บริหาร”
“สามคนอ่ะ ชอบสุดคือน้อยหน่า” ฉาก ‘เจี๊ยบ ตัดยางเราทำไม’ ผุดขึ้นมาในหัวทันที
“สถาปัตย์”
“เด็กเออาร์ ติสท์ดีแต่ขี้อ่อย ไม่ชอบ”
“ศึกษา”
“ดาวคณะที่ชื่อปอยไง”
“เกษตรล่ะเกษตร” เท่าที่รู้จักกับมันมา ผมไม่เคยเห็นมันควงสาวคณะนี้เลย
“นางงามคันไถปีก่อนอ่ะ”
จึ่ก! ขนาดนางงามคันไถมึงยังฟาดเขามาแล้วเลยเหรอ
“สายสุขภาพล่ะ แพทย์ ทันตะ เภสัช สหเวช พยาบาล”
“น่าจะครบแล้วนะ”
“นิติ สังคม วิศวะ วิทยา”
“อืม”
“อืมคือส้นตีนไรวะ”
“คบหมดแล้ว”
“ไอ้ค่าย นี่มึงล่าแต้มเหรอไอ้สัด”
“แต่มีคณะเดียวและเมเจอร์เดียวที่กูไม่คบนะ”
“อะไร” ผมถามอย่างตื่นเต้น เพราะนี่อาจเป็นความหวังที่ทำให้ผมได้รู้ว่าจริงๆ แล้วมันก็เป็นคนเลือกคบคนเหมือนกัน...
“เด็กฟิล์ม กูถือคติไม่แดกเพื่อนร่วมเมเจอร์ว่ะ เข้าใจกูใช่มั้ย”
อีกฝ่ายตบบ่าผมปุๆ พร้อมกับรอยยิ้มทรงเสน่ห์เหมือนอย่างเคย จะให้กูเข้าใจอะไร เข้าใจว่าถึงแม้จะแอบชอบเพื่อนสนิทแค่ไหนแต่ก็ไม่มีวันได้ลงเอยอยู่วันยังค่ำน่ะเหรอ เจ็บสัด แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้าเข้าใจทั้ง...น้ำตา
ไอ้ค่ายเป็นคนไม่หวงของ แต่มีสิ่งหนึ่งที่มันหวงมากๆ และใครก็แตะต้องไม่ได้นอกจากสาวๆ ในสต๊อกของมัน นั่นคือบิ๊กไบค์ KTM 1190 ลูกรักที่ชื่อว่าชาร์ล
“สรุปวันนี้ไปดูหนังด้วยกันมั้ย”
“ไปดิ”
“เอารถใครไป”
“มึงก็ขับรถของมึง ส่วนกูจะเอาชาวีไป”
“ชาวีไหน”
“ชาร์ลเป็นชื่อเล่น ชาวีเป็นชื่อจริง”
“มึงตลกเหรอ”
“กูจริงจัง”
“ขอซ้อนท้ายชาวีมึงไปได้มั้ย”
“คงไม่ได้ว่ะ คันนี้ให้ได้แค่สาวนั่งเท่านั้น เข้าใจตรงกันนะครับเพื่อน”
เหมือนจะงงนิดหน่อยนะครับ แต่กูไม่เข้าใจมากๆ
ไอ้ค่ายเคยบอกกับผมว่า...การจะรักใครสักคน ถ้าเขาชอบเราจริงเขาก็ต้องมาหาเรา นั่นเลยเป็นเหตุผลที่มันไม่เคยจู่โจมเข้าหาเป้าหมายก่อน มีเพียงอีกฝ่ายเท่านั้นที่ตบเท้าเข้ามาให้มันไม่ขาดสาย
“มนุษย์เมียไลค์ว่ะ”
“ไลค์อะไร”
“รูปสาวที่กูคุย”
“นั่นไง แชทเด้งละ ตอบซะสิ”
Mint Supreeya พี่คะ นี่ใครอ่ะคะ ไลค์รูปพี่เต็มไปหมดเลย แถมมีเพื่อนร่วมกันกับพี่ด้วย
Khunpol Krichpirom อ๋อ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันอ่ะครับ
ปลิ้นปล้อนกะล่อนตอแหลนี่แหละนิสัยของมัน
และที่สำคัญ...มันเป็นคนสลัดทุกอย่างในชีวิตได้ง่ายมากกกกกก มากจนผมคิดว่าคนทั้งมหา’ลัยคงไม่มีใครเกิน
Rrrrrrr..!
“ครับ กำลังไปเดี๋ยวนี้แหละครับ” เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ของเพื่อนรักดังเข้ามาในโสตประสาท ทำให้ผมตื่นจากภวังค์ที่คิดย้อนกลับไปไกลโขกลับมาที่ปัจจุบันอีกครั้ง
ใช่ ตอนนี้เรากำลังอยู่ตรงทางเดินเชื่อมตึก อีกสิบเมตรข้างหน้าเป็นลานจอดรถและผมกับไอ้ค่ายก็ต้องแยกย้ายกันไปคนละทาง
“แจมมีอะไร”
“...”
“มันใช่เหรอ อย่างี่เง่าดิ”
“...”
“อย่าชวนทะเลาะ เบื่อ” เอาแล้วไงพ่อมึงเอ๊ย หนังม้วนเดิม เล่นมาจนถึงฉากเดิมซ้ำๆ ไม่ไปไหน ผมว่าผมเคยดูฉากนี้มามากว่าสิบรอบแล้วนะ ซึ่งทุกครั้งไอ้ค่ายก็จะเป็นเหมือนเดิมนั่นคือ…
“ท้าเลิกอีกแล้วเหรอ เอองั้นไปเลยครับพี่ไม่ว่า” จากนั้นมันก็วางสายไป คงเป็นผมที่ต้องเดินเข้าไปตบบ่าปลอบใจเหมือนอย่างเคย
“มึง...โอเคป่ะวะ”
“ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่” มันพูดด้วยสีหน้าเศร้าสลด ไม่เป็นไรนะมึง กูยังอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน ถ้ามึงไม่มีใครก็ยังมีกูเนี่ยแหละที่คอยปลอบใจ
กู...รัก...มึง ติ๊ง!
เสียงไลน์เด้ง อย่านะมึง อย่าหยิบมือถือขึ้นมานะไอ้เพื่อนเหี้ย อย่า!!
“น้องมิลค์บัญชีว่ะ” กูว่าตอนนี้หน้าของตัวเองคงเจื่อนกว่าไอ้ค่ายเป็นร้อยเท่า ขณะที่มือยังคาบ่าอีกฝ่ายอยู่เลย
“แล้ว...แล้วทำไมวะ”
“ส่องอยู่”
“แต่มึงเพิ่งเลิกกับแจม อย่าบอกนะว่า...”
“กูไม่ได้คบซ้อนเว้ย ยังไม่ทันจีบน้องเขาเลย แต่ตอนนี้โสดคิดว่าจีบได้แล้ว”
“...!!”
“กูไปก่อนนะ ขอตัวไปสร้างสัมพันธ์กับความรักครั้งใหม่แป๊บ เจอกันพรุ่งนี้เช้า ฝากซื้อมาม่าคัพรสต้มยำกุ้งให้กูด้วย โคตรรักมึงเลยว่ะ”
“เดี๋ยวไอ้ค่าย ไอ้เหี้ย!” สุดท้ายก็เหลือตัวคนเดียวเหมือนเดิม
ผมจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองต้องเผชิญกับเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ ตลอดระยะเวลาสามปีที่ผมชอบมันไม่เคยมีวันไหนเลยที่มันจะหันกลับมามอง อาจเป็นเพราะผมไม่กล้าที่จะบอกความใจในให้อีกฝ่ายรู้ด้วยล่ะมั้งเรื่องมันเลยจบลงตรงที่ผมเสียใจอยู่ฝ่ายเดียว
พรุ่งนี้มันก็จะมีคนใหม่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของมันเหมือนอย่างเคย พรุ่งนี้จะมีเพียงผมที่เดินเข้าไปหามันพร้อมกับของกินที่มันชอบ แต่มันไม่เคยรับรู้ว่าคนให้รู้สึกยังไง
พรุ่งนี้ความลับยังคงเป็นเพียงความลับ ถ้าไม่อยากเสียมันไปผมก็คงทำได้แค่ปิดปากเงียบและแอบรักข้างเดียวอย่างที่เคยทำมาตลอด เศร้าว่ะ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินคอตกกลับไปที่รถ
และทุกครั้งอีกเช่นกันที่เวลารู้สึกหดหู่ ผมจะกลับมาที่ห้องเพื่อเปิดเพลงในแล็ปท็อปเครื่องเก่าของตัวเอง แล้วเดินตรงดิ่งไปยังห้องน้ำทันที
ปล่อยให้เพลงเศร้าค่อยๆ ดังคลอเข้าไปในหู ผมร้องไห้ ไม่ได้ฟูมฟายแต่ก็ยังเสียใจ มือข้างหนึ่งดันผนังเอาไว้ ส่วนอีกข้างหมุนวาว์ลเปิดน้ำเพื่อให้ความเย็นช่วยคลายความเศร้า
เอ็มวีมา!
“ไอ้สัด น้ำไม่ไหล”
หมดมู้ดละไอ้เวร ต้องรีบวิ่งออกไปรีพีทเพลงเก่าก่อนหันไปหยิบขวดน้ำในตู้เย็นออกมา น้ำไม่ไหลก็แกะจากขวดน้ำดื่มเนี่ยแหละ สาดลงมา เอาให้ใจพังกันไปเลย
ซ่า!!
ไอ้ค่ายมึงควรรู้ไว้ ว่ามึงทำให้กูสูญเสียน้ำดื่มไปแล้วเท่าไหร่ เปลืองบรรลัยเลยว่ะ...
อินโทรมาแล้ว
นี่จิตติเป็นคนชิคชิคไงจำได้มั้ย
ฝากติดตามค่ายกับเติร์ด เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อด้วยนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าค่า