- ไปค่ายตอนที่ยี่สิบสี่ : จากพี่ปืนถึงเมียพี่ปืน(1) -
ผมชื่อปืน!! แต่ชื่อในบัตรประชาชนที่ใช้มาตั้งแต่เกิดคือ
‘กัน อิสระวรวณิต’ เอาจริงๆ นะ สำหรับชื่อผมเนี่ยดูจะเป็นประเด็นปัญหามาตั้งแต่เกิดก็ว่าได้ ไอ้ปัญหาขัดแย้งที่ว่าเนี่ยเกิดจากพ่อและปู่ของผมที่ทะเลาะกันอย่างจริงจังในการตั้งชื่อ พ่อผมเป็นคนที่คลั่งไคล้เกี่ยวกับกีฬายิงปืนเป็นอย่างมาก ได้ยินจากแม่ว่าพ่อผมเนี่ยคืออดีตนักกีฬายิงปืนที่เกือบได้ติดทีมชาติแล้วถ้าหากว่าปู่จะไม่ลากคอมามาดูแลกิจการที่บ้านต่อ พ่อผมเลยจำใจทิ้งความฝันนั้นแล้วตั้งชื่อผมเป็นอนุสรณ์ถึงสิ่งที่ท่านรัก แต่นั่นเป็นเหตุให้บ้านแตกเพราะปู่ดันหลงใหลทุกอย่างที่เป็นไทยๆ ไม่ยินยอมหากจะใช้ชื่อ ‘กัน’ เป็นชื่อจริงของผม
สุดท้ายทั้งคู่พบกันคนละครึ่งทางโดยปู่ยินยอมให้มีชื่อเล่นว่า ‘ปืน’ และใช้ชื่อจริงที่มีความหมายเดียวกับชื่อเล่นว่า ‘กัน’ ผมเลยมีทั้งชื่อเล่นและชื่อจริงที่มีความหมายเดียวกันให้คนทั่วไปงุนงงสงสัยเล่นๆ นั่นแหละจึงเป็นที่มาของชื่อผม
ชีวิตผมตั้งแต่เด็กจนโตของผมไม่มีอะไรมาก ผมใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปโดยที่มีสายตาจับจ้องจากคนภายนอก ตอนเด็กๆ ผมไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกว่าเวลาไปไหนหรือทำอะไรทำไมคนทั่วไปถึงสนใจชีวิตผมนัก เพิ่งจะมารับรู้เอาตอนที่รู้ความนี่แหละว่าบ้านผมค่อนข้างมีชื่อเสียงในวงสังคม แต่ก็นั่นแหละ ผมทำอะไรสนใจใครที่ไหนเล่าไม่งั้นจะโดนแม่หมายหัวแบบนี้หรอครับ
ในบรรดาพี่น้องสามคนที่ผมเป็นพี่ชายคนโตและมีน้องชายและน้องสาวอย่างละคน ผมว่าผมเป็นคนที่ค่อนข้างหัวดื้อที่สุดในบรรดาพี่น้องเลยโดนแม่ซึ่งค่อนขอดพ่อประจำว่าเพราะตั้งชื่อให้ผมดุดันแบบนี้ไง ผมถึงโตขึ้นทำตัวไม่สนโลกแบบนี้
โธ่แม่ครับ! มันไม่เกี่ยวกับชื่อหรอกมันเป็นที่สันดานผมเอง
ผมมีเพื่อนสนิทที่มองตากันก็เห็นถึงสันดานข้างในอยู่สามคน และไอ้สามตัวที่ว่าเนี่ยสนิทกันมาตั้งแต่ประถมเลยรู้นิสัยรู้สันดานกันแบบปิดยังไงก็ไม่มิด ไอ้ห่าเม่นนี่คือตัวขี้หลีลูกเจ้าของร้านทองเยาวราชที่กลัวมาม๊ามันจนขี้ขึ้นสมองแต่พอได้แท็คทีมกับไอ้นะโมนี่พูดเลยว่ามันแซวกันจนคนถูกแซวอายจนไปไม่เป็น ใครจะคิดว่าไอ้แว่นท่าทางซื่อๆ อย่างไอ้นะโมมันจะปากดีได้ขนาดนี้ ส่วนคนสุดท้ายที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยที่แคะขี้มูกออกแล้วหยิบใส่ปากคือไอ้ไกด์
ผมกับไอ้ไกด์รู้จักกันตั้งแต่เกิดก็ว่าได้เพราะพ่อผมกับพ่อมันเป็นเพื่อนสนิทกัน พ่อมันเป็นอดีตกัปตันก่อนจะผันตัวเองมาเป็นผู้บริหารสายการบินพาณิชย์ชื่อดังระดับประเทศ และเพราะพ่อมันกับพ่อผมเคยหนีเมียไปซ้อมยิงปืนกันเป็นประจำโดยหนีบเอาพวกผมไปด้วย ดังนั้นผมกับมันเลยสนิทกันมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ที่มันตัดผมสกิดเฮดมาทีเดียวสาวมองกันจนตากลับ
ชีวิตของผมยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันหนึ่ง วันที่ผมถูกไอ้สามตัวนั่นลากไปเล่นสงกรานต์ที่สยามหลังจากที่ผมเพิ่งเลิกกับแฟนสาวไปหมาดๆ ตอนปิดเทอมใหญ่หลังกลับจากค่าย ผมจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันสงกรานต์วันแรกในเวลาราวบ่ายแก่ๆ ขณะที่นั่งมองไอ้พวกห่านั่นป้อสาว เด็กผู้ชายตัวขาวท่าทางขี้ก้างคนหนึ่งที่ถูกแปะแป้งจนขาววอกทั้งตัวทั้งหน้ากำลังหันรีหันขวางเพื่อหาช่องทางหนีวัยรุ่นแก๊งใหญ่ที่ไล่ปะแป้งมาแต่ไกล
ผมนึกภาพสีหน้าของเด็กนั่นไม่ออกหรอกแต่ถ้าให้คาดเดาคงกำลังทำหน้าเบ้เหมือนจะร้องไห้อยู่เต็มแก่ วินาทีนั้นผมคิดยังไงไม่รู้เข้าไปช่วยไอ้เด็กนั่นและถามจนได้ความว่ามาเที่ยวสงกรานต์กับเพื่อนผู้ชายอีกสองคนก่อนจะพลัดหลงกันระหว่างทาง ไม่นานหลังจากนั้นเด็กพวกนั้นก็ตามหากันจนเจอ ก่อนจะจากลาไป ผมบังเอิญหันไปเห็นใบหน้าขาวผ่องที่เพื่อนๆ น้องมันช่วยกันเอาน้ำเปล่ามาล้างจนสะอาด
หน้าตาน่ารักดีนี่หว่า!! เรื่องราวในวันนั้นผ่านเลยไปจนผมเกือบลืมมันไป และผมเชื่อว่าเด็กนั่นก็คงจะจำผมไม่ได้เช่นกันก็วันนั้นผมเล่นไว้เคราเสียยาว ผมเผ้าก็รุงรังเพราะเพิ่งกลับมาจากการไปทำค่ายมาหมาดๆ เรียกว่าสภาพผมในตอนนั้นอย่างกะมหาโจรเหมือนที่ช่วงนั้นแม่ค่อนขอดผมทุกวี่วัน
และสภาพอย่างนั้นใครจะไปจำกันได้!
เวลาผ่านไปไม่นานผมได้มีโอกาสวนกลับมาเจอเด็กนี่อีกครั้ง ช่วงที่รอเปิดเทอมขึ้นปีสองเหลือเวลาว่างราวๆ สัปดาห์กว่าๆ แม่ผมสั่งไปรับไปส่งน้องสาวที่ไปเรียนพิเศษที่สยามทุกวัน และบังเอิญยิ่งไปกว่านั้นคือไอ้เด็กนั่นกับเพื่อนสนิทผู้ชายอีกสองคนก็เรียนที่เดียวกับน้องสาวของผม ในตอนแรกที่เห็นก็เฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรเพราะเด็กนั่นก็เหมือนใช้ชีวิตวัยรุ่นแบบปกติทั่วไป
...จนกระทั่งวันหนึ่งในร้านกาแฟที่ผมมานั่งรอน้องสาวเป็นประจำ...
“อ๊ะ”
ผมหันขวับไปมองเจ้าของมือที่กำลังจับที่คีบขนมปังมาชนกับอันที่ผมถืออยู่ นั่นหมายความว่าเรากำลังเล็งขนมปังเนยสดชิ้นสุดท้ายในถาดเหมือนกัน ผมเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายที่หน้าเหยเกดูจะทั้งตกใจและแอบผิดหวังไม่น้อยเพราะผมคีบไอ้ขนมปังนั่นได้ก่อน
เด็กนั่นแบะปากเล็กน้อยก่อนจะยิ้มจืดๆ ให้ผมท่าทางเหมือนหมาหงอย หางลู่หูตกดูน่าเอ็นดูไม่หยอกถึงแม้จะเป็นเด็กผู้ชายก็เถอะ แต่ไอ้เด็กนี่คงเป็นตัวแทนของผู้ชายหน้าตาน่ารักผิดเพศ ซ้ำสัดส่วนยังดูสันทัดไม่เข้ากับเพื่อนมันแม้แต่น้อย คิดดูนะว่าไอ้หล่อสองคนนั้นคนหนึ่งสูงล่ำท่าทางเหมือนนักรักบี้ อีกคนสูงโปร่งขาวอย่างกะเกาหลี ส่วนเด็กนี่เวลายืนอยู่ตรงกลางระหว่างเพื่อนมันแล้วเหมือนหลุมอากาศยังไงยังนั้น
“เอ่อ ขอโทษครับ”
ฝ่ายตรงข้ามถอยมือออกไปก่อนจะก้มศีรษะขอโทษขอโพยผม แต่แววตาที่ทอดมองขนมปังนั่นตาละห้อยดูตลกดี ผมว่าเด็กนี่แม่งหน้าตาโคตรน่าแกล้งให้ร้องไห้ฉิบหาย ตอนนั้นผมเลยทำหน้านิ่งไม่ได้พูดได้จาอะไร ยิ่งวันนั้นผมสวมแมชปิดปากเพราะไม่สบายตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน ท่าทางไม่เป็นมิตรของผมคงทำให้เด็กนั่นกลัวเลยเตรียมล่าถอยไป
พอได้ลองแหย่มันจนพอใจแล้วหยิบขนมปังอย่างอื่นมาชำระเงินด้วย ก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะแล้วสะกิดเรียกมันก่อนจะยื่นขนมปังเนยสดเมนูของหวานที่ผมเกลียดที่สุดแต่ต้องจำใจมาซื้อให้น้องสาวทุกวัน แต่วันนี้เห็นทีน้องผมคงต้องกินขนมปังรสอื่นที่ผมซื้อมาเผื่อแล้วล่ะ
“ครับ?”
เด็กนั่นทำตาโตมองผมก่อนจะเอียงคอแล้วทำตาปริบๆ เมื่อเห็นขนมปังในมือผมที่ยื่นอยู่ตรงหน้า
“เอาไปสิ”
“แต่ว่า”
“ให้”
“หือ?”
ผมไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับเลยวางขนมปังนั่นไว้บนโต๊ะมันก่อนจะเดินกลับมาโต๊ะตัวเองที่อยู่อีกมุม แล้วเริ่มเปิดหนังสืออ่านรอน้องสาว โดยที่ไม่ได้คิดว่านั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมสนใจไอ้เด็กนั่นที่วิ่งดุ๊กๆ ตามมานั่งโต๊ะเดียวกับผม
“ผมขอนั่งด้วยนะครับ”
“......”
มันยังไม่ทันรอให้ผมตอบด้วยซ้ำ ก่อนหย่อนตูดลงนั่งแล้วยิ้มแป้นแล้นให้ เท่านั้นไม่พอยังอุตส่าห์แบ่งขนมปังต้นเหตุนั่นเป็นสองส่วนโดยยื่นส่วนหนึ่งของผม วินาทีนั้นผมถึงกับเผลอยิ้มกับท่าทางของเด็กนั่น
“แบ่งกันครับ”
“......”
ผมส่ายหน้าปฏิเสธตอนที่ฝ่ายตรงข้ามเลื่อนส่วนแบ่งมาให้ เด็กนั่นหน้ายู่ไปเล็กน้อยก่อนจะพยายามคะยั้นคะยอให้ผมกินด้วย สุดท้ายตื้อผมยังไงก็ไม่ได้ผลเลยเอาขนมส่วนนั้นไปนั่งกินเองเลย
เด็กน้อยเอ้ย! เรื่องราวมันไม่ได้จบอยู่แค่นั้นผมคิดว่าหลังชวนกินขนมเสร็จแล้วมันจะยอมล่าถอยกลับไป ที่ไหนได้ดันนั่งชวนคนแปลกหน้าที่นั่งปิดแมชตรงปากอย่างผมคุยเฉย ผมได้แต่ตอบอือๆ อาๆ ไปตามเรื่องตามราวแต่เสียงเจื้อยแจ้วนี่ก็ไม่หยุดสักทีราวๆ เกือบครึ่งชั่วโมงนั่นแหละที่เด็กนั่นยอมล่าถอยออกไปเพราะเพื่อนโทรตาม
ถึงอย่างนั้นตลอดเวลาครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาผมได้รู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเด็กนี่หลายอย่าง อาทิว่ามันมาเรียนพิเศษช่วงปิดเทอมทุกวันกับเพื่อนสนิทสองคนซึ่งวันนั้นเพื่อนมันสองคนมาช้าพอดี ไอ้เด็กหน้าขาวนี่ชอบกินขนมทุกชนิดเป็นชีวิตจิตใจเลยมารอเพื่อนมันที่ร้านนี้ และมันยังมีเป้าหมายว่าจะสอบเข้าคณะและมหาวิทยาลัยที่เดียวกับผมให้ได้ มันเป็นครึ่งชั่วโมงที่เด็กประหลาดคายความลับส่วนตัวให้คนแปลกหน้าอย่างผมซึ่งถามคำตอบคำ
ทุกถ้อยคำที่ถูกถ่ายทอดออกมานั่นทำให้ผมรู้จักเด็กคนนั้นพอสมควร แต่น่าเสียดายที่แม้จะรู้พื้นฐานของมันทุกอย่าง แต่ก็มีข้อยกเว้นที่ผมดันลืมถามคือ ‘ชื่อ’ เจ้าตัวมัน แต่ก็นั่นแหละเพราะมีน้องสาวเรียนพิเศษที่เดียวกันผมเลยไปหลอกถามจนได้คำตอบ ทีแรก
‘ปิ่น’ น้องสาวผมก็สงสัยเล็กน้อยว่าทำไมผมถึงสนใจเด็กจากโรงเรียนชายล้วนคนนั้น
เด็กเด็กประหลาดที่มีรอยยิ้มน่ามองที่ชื่อ
‘แรกพบ สิทธิวัจน์’ ผมถามตัวเองมาตลอดว่าเพราะมีอาการข้างเคียงจากการเลิกรากับแฟนเก่าหรือเปล่าถึงได้รู้สึกว่าอยากประชดชีวิตด้วยการเบี่ยงเบนหันมาสนใจเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารัก แต่ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นเพียงแค่สนใจเพราะยังไม่เคยเจอใครที่มีบุคลิกน่าเอ็นดูขนาดนั้น
“กูเจอเฟสน้องเขาแล้ว”
ไอ้เม่นยิ้มกริ่มก่อนจะโบกโทรศัพท์ในมือมันเป็นเชิงล้อเลียน ไม่นานหลังจากนั้นไอ้พวกห่านั่นก็มุงดูเฟสบุ๊คส่วนตัวของใครบางคนที่เปิดเป็นสาธารณะ ผมคลึงขมับถอนหายใจแรงๆ ให้ตายเถอะ อุตส่าห์ทำเฉยไม่ปริปากเล่าให้พวกมัน พวกแม่งยังเสือกไปขุดคุ้ยจนเรื่องมันแดงและไอ้เม่นกับไอ้นะโมก็ไม่รอช้าทั้งเสือกทั้งสืบเรื่องของเด็กนั่นทันที
“พวกมึงนี่ขี้เสือกจังวะ”
“เอ้าๆ” ไอ้เม่นพูดขำๆ “พูดดีๆ ไอ้ห่าปืนกูอุตส่าห์ไปสืบหาเฟสน้องเค้ามาได้แทนที่จะขอบคุณกู”
“ขอบคุณเหี้ยอะไร”
“อย่ามาไขสือก็เห็นมองเหม่อบ่อยๆ กว่าจะหลอกถามน้องปิ่นว่าทำไมช่วงนี้มึงดูมีอะไรแปลกๆ รึเปล่า และกว่าน้องสาวมึงจะเปิดปาก นี่ไม่รวมที่กูแอบสังเกตอาการมึงพร้อมๆ กับสืบเรื่องไอ้น้องน่ารักนั่นอีก”
“ถ้าไม่ใช่ก็เถียงสิ”
ไอ้นะโมมันท้าเย้วๆ ผมเลยหันไปสบตาไอ้ไกด์ที่แค่ไหวไหล่ทำเฉยไม่คิดจะช่วยอะไรกูเลยไอ้เพื่อนห่า
“ไร้สาระ”
“น้องแรกพบ แหมะ! แค่ชื่อก็กินขาดแล้วว่ามั้ยไอ้ปืน”
ไอ้ห่าเม่นทำตาพราวระยับ
“หน้าตาโคตรน่ารัก ยิ้มทีละลายเลยสัดเอ้ย”
“โอโห โพสว่าอยากสอบติดคณะเราด้วย”
“เออเว้ยหรือจะเป็นพรหมลิขิต”
“พอ! ไอ้สัด!”
ผมชี้หน้าพวกมันที่พร้อมใจกันปิดปากหัวเราะร่วนท่าทางโคตรกวนตีน
“ถ้าน้องมันน่ารักขนาดนี้ต่อให้เป็นผู้ชายพวกกูก็สนับสนุนให้มึงจีบนะ”
“ลองดูไอ้ปืน..นี่คือโลกใบใหม่ที่รอให้มึงค้นพบ”
ไอ้ห่านะโม!
“หุบปากเลยสัดแล้วเลิกดูเฟสน้องเขาได้แล้วกูไม่ได้คิดห่าอะไรทั้งนั้นแหละ”
“เอาความจริง?”
ผมถอนหายใจในตอนนั้นผมแค่รู้สึกว่าเด็กนี่ประหลาดดี ไม่ได้คิดอะไรไปในแนวนั้นด้วยซ้ำ แต่ไอ้พวกตัวชงเนี่ยแหละที่เปิดประเด็นแซวผมอยู่ทุกวี่วัน
“กูไม่เคยเห็นมึงสนใจใครนอกจากอันนามาก่อน” ไอ้ไกด์พูดขึ้น “พวกกูเลยอดแปลกใจไม่ได้ที่ได้ยินว่ามึงให้น้องปิ่นไปตามหาชื่อเด็กนั่น”
“เด็กนั่นน่าสนใจ”
“แล้วมึงชอบใจรึเปล่า?”
ไอ้เม่นสอดขึ้น ผมเลยมองมันตาเข้ม
“ตอนนี้ไม่”
“แล้วอนาคตล่ะ”
“ก็ไม่แน่” “โห่ๆๆๆ ไอ้ห่าปืน”
“ไอ้ขี้เก๊กเอ้ย”
“กูแนะนำให้อย่างเอามั้ย”
“อะไร?”
“คิดจะเป็นชายเหนือชาย ต้องเรียนรู้สไตล์ ‘คนข้างหลัง’ นะเฮ้ย”
พูดไม่ตอบมันยังตบตูดตัวเองแล้วทำตาปริบๆ ใส่ผมที่เห็นแล้วนึกอยากจะอ้วก
“กูจะอ้วก”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
*******************************
Reakpop Sitthiwat shared a link เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ - ไอซ์ ศรัณยู
Meawnaka
อะไรยังไง!!
BirdBird_Kub
แอบรักกูเหรอ??
นั่นณเดชแต่กูเศษหญ้า
วดฟ.คือมึงเรียนชายล้วนไง?
Reakpop Sitthiwat @Meawnaka @ BirdBird_Kub @นั่นณเดชแต่กูเศษหญ้า ไอ้พวกห่ากูแค่แชร์เพลง
นั่นณเดชแต่กูเศษหญ้า
ใจหายวาบจนเผลอขมิบตูดเลยสัด
Dol.Sontaya
ยิ่งเธอวางใจ ยิ่งสนิทกันมากเพียงใด
ยิ่งรู้สึกว่าเหมือนไกลออกไป ทั้งที่อยู่ใกล้ๆเธอ
Bank265_
แล่วๆๆๆๆๆๆๆๆ
Kam.kantapat
ร้องให้กูเหรอจ๊ะน้องแรก
Reakpop Sitthiwat @Kam.kantapat เหอะ!!
นั่นณเดชแต่กูเศษหญ้า
@Reakpop Sitthiwat @Kam.kantapat
เหยทำไมตอบแต่ไอ้เขมคนเดียวอ่ะ นี่พวกมึงสองคนเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อกันเอ่อ???
Reakpop Sitthiwat @นั่นณเดชแต่กูเศษหญ้า ไม่เสือกดิ
ทั้งๆ ที่บอกแค่ว่าสนใจเพราะเด็กนั่นประหลาดแต่ทำไมไม่รู้ผมถึงเผลอกดเข้าในหน้าเฟสบุ๊คส่วนตัวของใครบางคนจนเห็นมันแชร์เพลงๆ หนึ่งแล้วมีเพื่อนๆ เข้ามาแซว และที่น่าเอะใจคือมีใครสักคนที่ดูเหมือนจะมีประเด็นกันมาเม้นท์ตอบจนเพื่อนมันแซวเข้าให้ ผมเลยเผลอกดเข้าไปที่ชื่อคนที่ถูกชี้เป้าแล้วต้องถอนหายใจเมื่อเห็นมีหลายภาพที่สองคนนั้นแท็กหากันแทบจะทุกรูป นั่นแหละที่ทำให้เพิ่งสังเกตว่าเฟสบุ๊คของเด็กนั่นมีภาพของเพื่อนคนนั้นมากกว่ารูปตัวเองซะอีก
ท่าทางว่าเค้าลางเรื่องนี้จะเป็นจริง!
ทำไมไม่รู้ถึงรู้สึกโหวงในใจบอกไม่ถูก เอาจริงนะผมไม่ควรมารับรู้เรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่พอว่างทุกครั้งเป็นต้องเผลอกดเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวเด็กนั่น เฮ้ย พอรู้ตัวผมก็ส่องมันมาเป็นปีแล้วให้ตายเถอะ
ผมปิดโทรศัพท์มือถือแล้วเหม่อมองไปเบื้องหน้าอย่างไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกแบบนี้ของตัวเองได้อย่างไร นี่ไม่ใช่ตัวตนผมเลย ไม่ใช่เลย ผมไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยเฝ้ามองใครบางคนอยู่ข้างเดียวในมุมเงียบๆ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นว่ะ?
ทำไมถึงปล่อยให้รอยยิ้มของเด็กนั่นมีอิทธิพลกับผมขนาดนี้วะ!
ผมสะบัดศีรษะตัวเองแรงๆ
“เป็นไรวะปืน”
ผมยักไหล่เมื่อไอ้เม่นมันจ้องจับผิด
“เออวันนี้พวกเฮียๆ ชวนไปDemo”
“เชร้ดด ล้างท้องรอแดกของฟรีเลย”
“อืม”
ผมพยักหน้ารับไปท่าทางไม่ตื่นเต้นกับของฟรีที่ไอ้เม่นเล่าให้ฟังว่ารุ่นพี่เอามาล่อเพราะอยากให้เขามาช่วยงานเฟรชชี่ที่คณะแลกกับเหล้ามื้อหนึ่ง
เอาวะ!
ไปปลดปล่อยตัวเองซะบ้างเพราะผมรู้สึกว่าตัวเองดูจะจมอยู่เรื่องของเด็กนั่นมากนานเกินพอแล้ว ผมไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้สุดท้ายเลยพยายามเลิกสนใจเด็กนั่นที่เหมือนหลังๆ มาจะทำตัวติดกับเพื่อนสนิทคนนั้นจนเพื่อนในเฟสแซวกันอย่างสนุกสนาน
มันก็แค่ความสนใจในช่วงเวลาหนึ่งพอมีเรื่องราวต่างๆ ผ่านเข้ามาไม่นานก็จะเลือนราง เหมือนกับไม่นานหลังจากนั้นผมเริ่มไปใช้ชีวิตแบบวันไนท์สแตนด์แล้วหลงลืมเรื่องนี้ไปในที่สุด
งั้นเหรอวะ!
“เชี่ยปืน”
“........”
“น้องคนนั้น ไอ้น้องน่ารักของมึงแม่งสอบติดคณะเราวะ”
“อืม”
“ไม่ดีใจเหรอวะ”
ดีใจสิ แต่ในความดีใจแม่งกลับโหวงบอกไม่ถูกว่ะ เวลาเกือบสองปีที่ผมไม่ติดตามไม่ส่องมันเลย แต่ดูเหมือนวันเวลาที่ผ่านมาจะไม่มีค่าเลยจนเมื่อถึงวันนี้
Reakpop Sitthiwat
ติดแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ฮือ เว็บล่มจนกูจะร้องไห้ แม่งเอ้ย ผมสอบติดแล้วครับ
#ดีใจพ่อแม่ไม่อายส่งควายเรียน
เด็กนั่นสอบติดจริงๆ แล้วไม่ได้ติดแค่มันนะแต่ยังอุตส่าห์พ่วงเอาเพื่อนสนิทสองคนนั่นมาด้วย เฮ้ย ผมถอนหายใจแรงๆ เมื่อเห็นรายชื่อของนิสิตใหม่ที่ไอ้เม่นไปขอจากนายกสโมสรนิสิตเอามายืนยันและตอกย้ำกับผมอีกครั้ง
“แล้วไง?”
“กูว่ามันถึงเวลาแล้วมั้ง”
“เวลาอะไร?”
“มึงส่องมันมาตั้งหลายปีแล้วเดินหน้าจีบสักทีสิวะ”
“ใครบอกกูชอบไอ้เด็กนั่น”
“โอ้ยไอ้ห่าเอ้ย ปากมึงนี่ทำจากคอนกรีตเหรอถึงทั้งปากหนักปากแข็งขนาดนี้”
“ปากกูมันก็อยู่กับกูไม่ได้ไปขึ้นอยู่บนหน้ามึงหรอกไอ้ห่าเม่น”
“ไอ้ห่านี่กูเบื่อจะพูดกับมึงแล้ว”
“เอองั้นมึงก็รอให้น้องมันโดนหมาคาบไปแดกก่อนแล้วค่อยสำนึก”
พูดไม่พอไอ้นะโมยังสะบัดหน้าใส่ผมอีก
“เอาน่าพวกมึง”
ไอ้ไกด์พูดแทรกขึ้น “ปล่อยมันไปเถอะ ไอ้ปืนน่ะมันชอบแดกหญ้าแทนข้าว”
“อ้าวไอ้สัด”
ผมชี้หน้าพวกมันที่พร้อมใจกันหัวเราะร่วน พอเห็นผมไม่หือไม่อืออะไรหลังจากนั้นพวกแม่งก็เลิกพูดถึงเรื่องนี้ ดังนั้นผมกับเด็กนั่นจึงใช้ชีวิตอยู่ในรั้วคณะเดียวกันโดยที่นานๆ จะเดินสวนกันที เพราะปีหนึ่งอย่างมันมีวิชาหลักส่วนใหญ่ที่ประจำอยู่ที่คณะ ขณะที่ปีสามอย่างผมเรียนนอกคณะเป็นหลักบางทีเป็นเดือนด้วยซ้ำถึงได้มาเหยียบคณะสักที
ดังนั้นวิถีชีวิตของผมกับเด็กนั่นเลยเหมือนอยู่กันคนละโลกทั้งที่ใกล้กันขนาดนี้ และมันคงจะเป็นอย่างนั้นตลอดไปถ้าหากว่า
‘ค่ายปลายปี’ ของคณะจะไม่เวียนมาบรรจบอีกครั้ง ช่วงสอบปลายภาคเทอมสองจะเป็นช่วงที่เริ่มสมัครน้องๆ ในคณะให้ไปทำค่าย และพอสอบเสร็จสักอาทิตย์ก็จะเริ่มนัดประชุมและเตรียมออกค่ายอาสากัน
ผมและเพื่อนสนิทจะออกเดินทางล่วงหน้าไปเตรียมค่ายก่อน วันนั้นเราเลยมีประชุมกันก่อนที่ประธานจะจัดประชุมกับน้องๆ ที่ไปค่ายครั้งนี้ด้วยและนั่นทำให้ผมเห็นรายชื่อของมัน
...แรกพบ สิทธิวัจน์... วันนั้นแหละที่ทำให้ผมแอบได้ยินว่าเด็กนั่นไปค่ายเพราะหลงรักเพื่อนสนิทคนที่ผมคาดเดาเอาไว้ไม่มีผิด จริงๆ ไม่ได้จะแอบตั้งใจฟังหรอกผมมาที่นั่งเงียบๆ ใครจะไปคิดว่าจะเห็นฉากสำคัญของใครบางคนและนั่นทำให้ผมได้ยินเต็มสองหูว่ามันไม่เต็มใจไปค่าย
“มึงก็รู้ว่ากูไปค่ายเพราะมัน กูไม่เคยอยากไปที่ทุรกันดารแบบนั้น กูไม่อยากจะเสียสละเวลาไปทำเรื่องไร้สาระแบบนั้นด้วยซ้ำ”
“....”
“ช่างเถอะถึงยังไงกูก็ไม่อยากไปแล้ว ปิดเทอมทั้งทีนอนอยู่บ้านมีความสุขจะตาย ไม่รู้จะไปค่ายทำไมให้ลำบาก ถ้ามึงอยากไปก็ไปเถอะ ต่อให้พูดยังไงกูก็ไม่พาตัวเองไปลำบากในที่ทุรกันดารแบบนั้นหรอก”
ผมในฐานะคนในทำค่ายที่เตรียมงานมาเป็นเวลาปีๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่มันพูดออกมาก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เวลาเกือบสองปีที่ไม่ได้เจอหน้ากันและพูดคุยกันตรงๆ ทำให้เด็กน่ารักในวันวานเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เพราะความรักเหรอวะ เด็กที่มีแต่รอยยิ้มหวาน พูดจาน่ารักวันนั้นไม่มีเค้าลางเหลืออยู่เลย ในวันนี้ผมเห็นกับตาว่ามันเปลี่ยนไปแล้ว
ไม่อยากไปค่ายงั้นเหรอ?
เรื่องไร้สาระงั้นเหรอวะ?
“เฮ้ย”
ผมเดินออกมามุมหนึ่งแล้วจงใจเหยียบผ้าเช็ดหน้าของมันซึ่งปลิวมาทางนี้พอดี
“นี่”
เกือบสองปีที่ไม่ได้สบตากันในระยะประชิดขนาดนี้ มันดูโตขึ้นมากแต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปคือแววตากลมโตที่ดูดื้อดึง
“เหี้ย”
มันด่าผมและทำให้นึกอยากจัดการกับเด็กปากดีแบบมันจริงๆ
“หมายถึงหน้ามึงอ่ะเหรอ”
“หน้ากูขาวกว่าหน้ามึงแล้วกัน”
“แต่ส้นตีนกูขาวกว่าหน้ามึง”
“เฮ้ยกัน”
ผมคงได้ต่อปากต่อคำกับมันมากกว่านี้ถ้าหากว่าเพื่อนร่วมรุ่นบางส่วนที่ชอบเรียกชื่อจริงผมมากกว่าชื่อเล่นจะไม่ร้องเรียก ผมผละจากมันออกมาโดยไม่ทันไปดูใบหน้าขาวที่บึ้งตึงพร้อมจะกระโจนใส่ผมขนาดนั้น
เวลาเปลี่ยนคนเราก็ย่อมเปลี่ยนไป
เด็กน่ารักในวันนั้นคือเด็กที่ดูกวนตีนในสายตาผม
..แรกพบ...
ผมบอกตัวเองในใจว่าถ้าหากว่าเจอเด็กนี่ในค่ายผมจะทำทุกวิถีทางเพื่อสั่งสอนเจ้านั่น ในเมื่อมันกล้าพูดว่าจะไปเผชิญหน้ากับความยากลำบากและถิ่นทุรกันดาร ผมก็พร้อมจะจัดสิ่งเหล่านั้นให้มันได้พบเจอแบบของจริง
ผมแสยะยิ้มแล้วบอกตัวเองว่างานนี้สนุกแน่
“เฮ้ยปืน”
“อะไร?”
“คอนเฟิร์มแล้วนะเว้ย”
“เรื่อง?”
“แรกพบ สิทธิวัจน์ เช็คชื่อเรียบร้อยแล้วอยู่บนรถบัสพร้อมออกเดินทาง” ไหนบอกว่าจะไม่มาเหยียบในค่ายนี้ไง กูอุตส่าห์ภาวนาให้มึงไม่มานะไอ้น้องแรก แต่ในเมื่อมึงมาค่ายนี้กูบอกเลยว่ามึงจะไม่มีทางลืมค่ายนี้แน่ๆ
กูจะทำให้มึงจำมันไม่ลืม
กูจะทำให้มึงลืมเพื่อนสนิทที่มึงคิดไม่ซื่อได้จนหมดหัวใจ
กูจะทำให้มึงจำกูได้ทุกลมหายใจเข้าออก
มึงจะต้องรู้สึกกับกูเปลี่ยนไป
.
.
.
...และสุดท้าย...
กลับจากค่ายครั้งนี้ผมจะต้องมีแฟนที่ชื่อ ‘แรกพบ’ มันถึงเวลาแล้ว เวลาที่ผมต้องลงมือ ‘จีบ’ มันสักที ถ้าไม่อยากให้ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมันต้องสูญเปล่า
ระวังตัวและหัวใจของน้องให้ดี...เพราะพี่ปืนคนนี้จะ ‘เอาจริง’ เมื่อผัวเอาจริงและ....เอาแรงด้วย เดี๋ยวๆๆ ใช่เหรอ? 555555555+++++
แจ้งข่าวดีคือ #ค่ายสร้างรัก ผ่านพิจารณาสนพ.แล้วนะ ตอนนี้เรากำลังเขียนตอนพิเศษส่งน้า
อาจจะได้เล่มมากอดภายในปีนี้ถ้าทุกอย่างเสร็จเร็วเด้อ
หวีดในทวิตติด #ค่ายสร้างรัก และ #ทีมเมียพี่ปืน