- ไปค่ายตอนที่สิบหก : อธิษฐานกลางลานดาว -
โห่ ฮี่ โห่ ฮี่ โห่ ฮี่ โห่ๆๆๆๆๆ.......ฮิ่วววววว
เสียงขันหมากฝ่ายเจ้าบ่าวกำลังเคลื่อนขบวน สีหน้าของบรรดาญาติพี่น้อง และชาวบ้านรวมถึงกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่มาทำค่ายเต็มไปด้วยความสนุกสนาน พี่ปิงปองปลุกพวกเราตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อให้ทุกคนมาเป็นสักขีพยานในงานมงคลของลูกชายผู้ใหญ่บ้าน นอกจากพวกเราแล้วชาวบ้านที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีก็พร้อมใจกันมาร่วมงาน
ผมสังเกตว่าทั้งเจ้าภาพเองและผู้คนที่มาร่วมงานซึ่งเป็นผู้หญิงจะสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวคอปาดทรงกระบอกซึ่งมีการตัดเย็บแบบธรรมดา ส่วนล่างก็นุ่งผ้าซิ่นลายพื้นเมืองสีสดใส ส่วนการแต่งกายของผู้ชายบางก็เป็นเสื้อม่อฮ่อม บางก็เป็นคอจีนกระดุมไม้ ส่วนท่องล่างเป็นกางเกงแบบพื้นบ้านหรือกางเกงสะดอขายาว การแต่งการแบบพื้นถิ่นนั่นทำให้อดใจไม่ไหวต้องยกมือถือขึ้นมาถ่ายไว้เป็นที่ระลึก
ส่วนผมเองก็ไม่น้อยหน้าเพราะตอนเช้าตรู่แม่บุญธรรมเอาเสื้อผ้าฝ้ายคอจีนแต่งนาคาแดงแขนยาวเข้ากับกางเกงยีนสีซีดของผมได้อย่างพอดิบพอดี ไม่ว่าแต่ผมเลยทุกคนในค่ายต่างพากันแต่งกายให้เข้ากับชาวบ้านราวกับว่าเป็นคนพื้นถิ่นเรียกเสียงเอ็นดูจากพวกชาวบ้านที่ชมเปาะว่าพวกเราช่างทำตัวเข้ากับบรรยากาศที่นี่ซะอีก
ตอนนี้เป็นเวลาสายแล้วซึ่งเป็นฤกษ์งามยามดีที่ชาวบ้านว่าสมควรที่จะยกขบวนขันหมากไปบ้านเจ้าสาวซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน เพราะระยะทางจากบ้านเจ้าบ่าวไปบ้านเจ้าสาวไม่ไกลมากนักดังนั้นพวกชาวบ้านจึงพากันเดินเป็นขบวนแล้วถือขันหมากของหมั้นตามประเพณีฟ้อนรำไปตามทางเดิน
“ฮิ้วๆๆๆๆ”
เสียงกลุ่มเจ่ แก๊งดอกไม้และพี่ปิงปองซึ่งไปรำนำขบวนอยู่ด้านหน้ากับชาวบ้านบางส่วนดูสนุกสนาน ส่วนคนอื่นๆ เดินอยู่ในขบวนช่วยหยิบจับของในพิธีกรรม ผมเผลอยิ้มออกมาเพราะไม่เคยเห็นประเพณีแต่งงานแบบพื้นบ้านแบบนี้มาก่อน เลยถือเป็นโอกาสที่ได้สัมผัสวิถีชีวิตของคนที่นี่ จริงๆ งานนี้มันไม่ใช่งานแต่งเอิกเกริกยิ่งใหญ่ลงข่าวในหน้าสังคม แต่บรรยากาศที่นี่กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นเป็นกันเองซ้ำยังสอดแทรกวัฒนธรรมความเชื่อของคนพื้นถิ่นซึ่งปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย
ผมว่านอกจากพวกเรามาให้ในสิ่งที่ขาดกับคนที่นี่แล้ว ผมกลับคิดว่าพวกเรากำลังได้รับในสิ่งที่ไม่พบเห็นมาก่อนและไม่สามารถหาได้จากเมืองใหญ่ มันเป็นความรู้สึกอิ่มเอิบที่ได้เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับในเวลาเดียวกัน
“ชอบมั้ย?”
เสียงไอ้เขมกระซิบถามพี่เก้าที่พยักหน้ารับด้วยอาการตื่นเต้นราวกับเด็กๆ
“ผมจะจำไว้ว่าพี่ชอบงานแต่งแบบล้านนา”
“อือ”
“สักวันคงจะได้จัด”
“พูดอะไรเล่า”
“เขินทีไรทำไมต้องทุบผมด้วยเนี่ย”
“เงียบไปเลย”
ผมยิ้มขำมองสองคนข้างหน้ากระซิบกระซาบจีบกันไปมา ให้ตายเถอะคนคู่นี้ ไม่น่าเชื่อเมื่อถึงวันหนึ่งผมจะยอมใจยอมรับแล้วรู้สึกยิ้มไปด้วยกับบทสนทนาของคนทั้งคู่ หากเป็นเมื่อก่อนคงได้รู้สึกคันยุบยิบในใจทั้งคงรู้สึกขวางหูขวางตา แต่วันนี้ผมกลับมีความคิดว่าทั้งคู่ก็ดูเหมาะสมกันดี
ผมยักไหล่แล้วมองไปรอบๆ เห็นแก๊งสี่โจรที่วันนี้ดูดีจนลูกสาวชาวบ้านมองตามละห้อยโดยเฉพาะไอ้ตัวหน้าแก๊งที่วันนี้ใส่เสื้อแบบเดียวกับผมเลย แต่ทำไมเวลาที่เสื้อตัวนั้นอยู่บนตัวไอ้พี่ปืนถึงได้ดูดีแตกต่างจากผมนัก ผมลอบมองสำรวจพี่มันเงียบๆ ใบหน้าคมคายนั่นยิ้มแย้มกับชาวบ้านที่เดินคุยกันมาตั้งแต่บ้านเจ้าบ่าว ถ้าไม่มีเจ้าบ่าวงานนี้มีหวังไอ้พี่ปืนนี่แหละที่จะได้เป็นเจ้าบ่าวที่สาวๆ หมายตาแน่ๆ ไม่เชื่อก็ดูสิว่า เสื้อผ้าหน้าผมพร้อมขนาดนั้นไปยืนตำแหน่งเดียวกับเจ้าบ่าวใครจะไม่คิดว่าเป็นเจ้าบ่าวเสียเองบ้างล่ะ
เหอะ! วันนี้ไอ้พี่ปืนแม่งดูดีเกินไปละ!
แต่เอาเข้าจริงมันไม่ได้แต่งอะไรนักหน้าหรอกแค่เซ็ทผมกับแต่งตัวแปลกไปเท่านั้นแหละ แต่ก็นั่นเพราะหนังหน้ามันดีอยู่แล้วไง ไม่อย่างนั้นสาวๆ หมู่บ้านนี้จะทำตาเล็กตาน้อยใส่มันขนาดนี้เหรอ ผมแอบเบ้ปากใส่แผ่นหลังมันซึ่งก็ช่างบังเอิญที่ฝ่ายนั้นหันมาทางนี้พอดี พี่มันเลยเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าผมมีอะไร แต่ยังไม่ทันได้ตอบไร คู่หูเจ้าเดิมก็โผล่มายืนบังภาพตรงหน้าผมแล้วยักคิ้วเป็นเชิงล้อเลียน
“ไงไอ้แรก”
“อ้าวพี่”
ผมยิ้มให้ไอ้พี่เม่นซึ่งเนียนมาวางแขนที่บ่าผม ส่วนพี่นะโมก็ขยับมาเดินตีคู่กันผมราวกับนัดหมายกับเพื่อนคู่หูไว้
“แต่งซะหล่อเลยนะวันนี้”
“แหม ว่าแต่ผมพวกพี่ก็เหอะสาวๆ มองกันตากลับแล้วมั้ง”
“ธรรมดา” พี่เม่นยักไหล่ “กูรู้ว่าพวกกูมันหล่อจนสาวเหลียว”
ผมเบ้ปากแล้วทำหน้าเหม็นเบื่อจนพวกพี่มันหัวเราะร่วนซ้ำยังโยกศีรษะผมแรงๆ เหมือนมันเขี้ยวเล่นเอาทรงผมที่เซ็ทมาอย่างดีถึงกับเป๋ไม่เป็นทรง
“พี่แม่งทำไมชอบแกล้งผมจังวะ”
“มึงรู้มั้ย” พี่นะโมกระซิบข้างหูผมเบาๆ “ยิ่งทำแบบนี้พวกกูยิ่งอยากแกล้ง ฮ่าๆๆ”
“โว๊ะ!”
“คนห่าอะไรเถียงไม่ได้ก็เม้มปากทำค้อนประหลับประเหลือกเหมือนตุ๊กตาคอหลวม”
โอโห ไอ้ห่าพูดซะผมเห็นภาพเลยแม่ง
“คนเว้ยไม่ใช่ตัวประหลาด”
“เออน่ะถึงจะประหลาดยังไงมันก็มีคนตาถั่วมาตกหลุมอยู่ดีล่ะโว้ย”
“ห่ะ?”
ผมทำหน้างงมองสองคนนั้นที่มองหน้าผมสลับกันไปมาแล้วเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เมื่อกี้นะมีลุงป้าคู่หนึ่งมาคุยกับไอ้ปืนว่าแกมีหลานสาววัยแรกรุ่นคนนึง”
แล้วไงวะ?
“เขาอยากได้ไอ้ปืนไปเป็นหลานเขย”
เชร้ดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ก็รู้ว่าพี่มันหนังหน้าดีแต่ไม่คิดว่าจะมีคนมารุมแยกกันจองตัวแบบนี้เลยให้ตายเถอะ ผมนึกภาพตามแล้วเผลอยิ้มขำออกมา
“แต่ไอ้ห่าปืนแม่งเสือกปฏิเสธ”
หือ?
“มึงรู้มั้ยว่ามันพูดว่าอะไร”
ผมส่ายหน้าหวือใครจะไปรู้ล่ะ ผมไม่ได้ขี้เสือกขนาดนั้นสักหน่อย ว่าแต่ว่าพี่มันพูดว่าอะไรวะ
“มันบอกว่าชาตินี้คงไม่บุญวาสนาหาสาวมาร่วมหัวจมท้ายด้วยกันหรอก แต่ถ้าเป็นไอ้หนุ่มที่ใส่เสื้อผ้าฝ้ายแบบเดียวกันก็ไม่แน่” อะไรซิ!
เสื้อผ้าฝ้ายแบบเดียวกัน? เสื้อผ้าฝ้ายคอจีนแต่งนาคาแดงแขนยาว?
เสื้อที่เหมือนกับพี่ปืนมีแค่คนเดียวที่สวมใส่และคนๆ คือผม!
เหยดแหม่แล้วมั้ยล่ะ
“หึ”
ไอ้ฉิบหาย! เพราะอากาศร้อนๆ แน่ๆ เลยที่ทำให้หน้าผมร้อนขนาดนี้
“ฮิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
เสียงร้องโห่ของชาวบ้านที่รำอยู่หน้าขบวนโห่ดังขึ้น พร้อมกับเสียงโห่ร้องของไอ้พี่เม่นกับพี่นะโมที่โห่รับนี่มันยังไง เชี่ย อยู่ไม่ไหวแล้วโว้ยยยยยยยย
“เดินดีๆ น้องแรกขามึงแทบจะพันกันอยู่แล้ว”
“ผมเจ็บเท้าหรอก”
“เหรอออออออออ”
“เอออออออออออ”
“ระวังตกหลุม”
ไอ้พี่เม่นตะโกนเสียงดังก่อนจะชี้ไปข้างหน้าทำเอาผมสะดุ้งโหยง แต่มองให้ตายก็ไม่เห็นว่ามีหลุมอะไรเลย
“มันมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นหรอก ต้องใช้หัวใจมอง”
โคตรเสี่ยว...แต่ฟังแล้วเสียดวาบไปทั้งหัวใจ
“ฮิ่วๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
ฮิ่วพ่องงงงงงงงง
สุดท้ายขบวนขันหมากของเจ้าบ่าวก็เคลื่อนมาถึงบ้านเจ้าสาวที่อยู่กลางหมู่บ้านพอดี เมื่อขบวนแห่มาถึงญาติฝ่ายจ้าสาวก็ออกมารอรับ ตอนนั้นผมกับชาวค่ายนิ่งเงียบสังเกตการณ์ดูก่อนเจรจาระหว่างผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายซึ่งมีการทำตามประเพณีแต่โบราณคือมีการกั้นประตูเงินและประตูทอง เป็นด่านทดสอบเจ้าบ่าวเพราะการจะได้ผ่านเข้าไปนั้นเจ้าบ่าวต้องตอบคำถามแล้วจ่ายเงินให้คนกั้นประตู ซึ่งระหว่างการเจรจานั้นเต็มไปด้วยความสนุกสนานเพราะมีเสียงโห่ร้องแซวจากรอบทิศดังมาเป็นระยะ
“วันนี้เป็นวันดี เป็นวันมงคลหมู่เฮาจะเอาแก้วมาสวมหัวแหวน จะเอาทองมาเป๋นแผ่นเดียวกั๋น ขอทางฝ่ายเจ้าสาวจงอินดูเมตตาหื้อเข้าไปเทอะ”
อีกฝ่ายตอบ
“วันนี้เป็นวันดียามดี มีจายหนึ่งญิงหนึ่ง จะมาอยู่แปงแต่งสร้างโตยกัน เจินเข้ามาเลย”
ผมยืนมองประเพณีงดงามนั่นแล้วเผลออมยิ้มออกมา ไม่นานขบวนเจ้าบ่าวก็สามารถผ่านทุกประตูเข้าไปด้านใน ซึ่งจัดให้เป็นพื้นที่ประกอบพิธีผูกแขนซึ่งมีการเตรียมเอาไว้สำหรับคนในครอบครัว พวกเรายืนนิ่งฟังภาษาล้านนาที่ฟังไม่ค่อยเข้าใจนักแต่เป็นสำนวนที่ไพเราะเหลือเกิน
“หื้อรักกัน แพงกัน หื้อเจริญก้าวหน้า มีลูกเต็มบ้าน มีหลานเต็มเมือง”
ผมกวาดตามองไปรอบๆ เห็นสาวๆ ชาวค่ายถึงกับน้ำตาคลอไปกับคำอวยพรที่ฟังไม่เข้าใจนักแต่ก็สามารถรับรู้ได้ว่ามันคงเป็นคำมงคล สังเกตได้จากสีหน้าบ่าวสาวที่ยิ้มให้กัน เจ้าสาวร้องไห้อย่างตื้นตันจนเจ้าบ่าวต้องเตะมือเพื่อปลอบประโลม
ภาพตรงหน้ามันอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก
การแต่งงานอาจเรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตที่แท้จริง ถึงแม้ไม่รู้ว่าอนาคตที่ใช้ร่วมกันจะเป็นเช่นไร แต่มันคงเป็นการเริ่มต้นที่น่าจดจำสำหรับคู่บ่าวสาวที่กำลังจะก้าวเข้าสู่การเป็นคู่ครองที่แท้จริง ภาพบรรยากาศการแต่งงานแบบพื้นบ้านซึ่งยังยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมานานสำหรับผมแล้วมันเป็นภาพที่สวยงามจับใจจริงๆ
“หื้อฮักกั๋น แพงกั๋น อยู่ตราบเสี้ยงชีวิต”
ผมแน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเองว่าในเสี้ยววินาทีนั้นใครคนหนึ่งกำลังหันมองมาที่ผม ใครที่ผมเผลอนึกถึงว่าหากวันใดวันหนึ่งข้างหน้าที่พี่มันได้เป็นเจ้าบ่าวขึ้นมา มันคงจะเป็นเจ้าบ่าวที่สมบรูณ์แบบที่สาวๆ ต่างใฝ่ฝันถึง หัวใจผมสั่นระรัวขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล ตอนที่พี่ปืนจ้องมองมาทางนี้ ริมฝีปากหน้าขยับพูดอะไรสักอย่างที่ไม่สามารถจับใจความได้ แต่ผมก็ยังอุตส่าห์หวั่นไหวไปกับคำพูดไร้เสียงนั่น
ผมก้มหน้านิ่งรู้สึกว่ามือไม้เกะกะด้วยความเขินอาย
************************************************
~ตัวกลมกับพี่ชายข้างบ้าน~ ผมกำลังรู้สึกอึดอัดในใจครับ มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่ที่เห็นพี่ไกด์และแก๊งสี่โจรคนอื่นๆ กำลังโดนสาวน้อยสาวใหญ่ในหมู่บ้านรุมล้อมเอาใจตั้งแต่บ้านเจ้าบ่าวจนจบงานในช่วงเช้า จริงๆ ผมไม่ควรใส่อารมณ์ขนาดนี้หรอกถ้าหากว่าไอ้พี่ไกด์มันจะไม่ยิ้มเรี่ยราดจนสาวเหลียวได้อย่างหน้าชื่นตาบานขนาดนี้ ผมรู้ดีว่าอารมณ์ประหลาดของตัวเองตอนนี้คืออะไร?
แล้วยังไงล่ะผมมีสิทธิ์อะไรไปหึงหวงพี่มันวะ?
“แม่ง”
ผมสบถแล้วทำเสียงงึมงำในลำคอถึงอย่างนั้นไอ้เก้าซึ่งกำลังจดจ่อสมาธิในการตีเส้นสนามอย่างบรรจงอยู่ข้างๆ ถึงกับหันมามองผมอย่างสงสัย
“เป็นอะไรวะกลม”
ผมถอนหายใจแรงแล้วส่ายหน้า ก่อนจะเบือนสายตามองไปรอบๆ ซึ่งบัดนี้สมาชิกในค่ายต่างกลับมาจากงานแต่งเมื่อเช้าแล้วเป็นช่วงเวลาที่พื้นสนามแห้งพอดี ดังนั้นพี่ปิงปองและแก๊งสี่โจรเลยนำทีมพวกเราตรวจความเรียบร้อยของสนามกีฬาเอนกประสงค์พร้อมกับตีเส้นสนาม นอกจากนี้ยังแบ่งกลุ่มคนบางส่วนไปทำป้ายชื่อสนามเพื่อนำมาตั้งไว้เป็นที่ระลึก
เวลาบ่ายแก่ๆ อีกไม่กี่ชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะตกดินไปเหมือนทุกๆ วัน จริงๆ วันนี้พี่ปิงปองอนุญาตให้พวกเราหยุดพักได้ แต่แทบทุกคนต่างมาช่วยกันตีเส้นสนามกับทำป้ายกันอย่างพร้อมใจ ดังนั้นถ้าจะนอนพักผ่อนเย็นนี้คงไม่สายไปหรอกเพราะพวกเราได้รับอนุญาตว่าหากใครไม่สะดวกไปร่วมพิธีแต่งงานในตอนเย็นให้พักผ่อนอยู่ค่ายได้ เนื่องจากพรุ่งนี้เราต้องลุยทำฝายชะลอน้ำกันต่อ
ผมเหลือบตามองแก๊งสี่โจรที่คุยอะไรกันสักอย่างท่าทางดูชวนหัวไม่น้อยเพราะเห็นพี่เม่นกับพี่นะโมหัวเราะร่วน ไม่ต่างจากพี่ไกด์ขยับรอยยิ้มท่าทางอารมณ์ดีไม่น้อย ยิ่งเห็นรอยยิ้มของตรงหน้าผมยิ่งรู้สึกหน่วงๆ ในใจบอกไม่ถูก
พี่ไกด์ไม่เคยยิ้มให้ผมแบบนี้เลย ไม่เคยเลยที่ผมจะได้รับมันสักครั้ง แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะเต็มใจแจกจ่ายให้กับบรรดาเพื่อนเจ้าสาวเมื่อเช้าอย่างตั้งใจ ผมอาจจะคิดมากไปเอง แต่ให้ตายเถอะทำไมความรู้สึกแบบนี้เหมือนกับว่าตัวเองกำลังอิจฉาริษยาคนอื่น ซ้ำยังหวงแหนรอยยิ้มพี่ไกด์จนอยากจะเก็บรอยยิ้มนั้นเอาไว้ครอบครองคนเดียวราวกับคนแก่ตัว
ผมไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย!
“เฮ้ย”
“ไหวมั้ยเนี่ยมึง”
ผมพยักหน้าตอบรับให้กับไอ้เก้าหวานใจของน้องเขม ผมนิ่งพิจารณาใบหน้าจิ้มลิ้มของมันแล้วนึกเปรียบกับตัวเองก่อนจะถอนหายใจ ก็มันน่ารักอย่างนี้นี่ไงน้องเขมถึงได้รักปักใจแทบจะถวายหัวให้ ตรงกันข้ามกับผมที่ไม่ได้น่ารักน่าทะนุถนอม ไอ้พี่ไกด์มันถึงไม่แม้แต่จะชายตามองผมเลยสักครั้ง
ทั้งๆ ที่พยายามให้กำลังใจตัวเองมาตลอด
“ฉะนั้นมึง ‘อย่ายอมแพ้’ ง่ายๆ ซะล่ะ” พี่เป็นคนบอกผมเองไม่ใช่เหรอคำๆ นั้น แต่ทำไมถึงแสดงออกให้ผมรู้สึกตรงกันข้ามนัก ผมถอนหายใจแรงๆ อีกครั้ง อาจเพราะก่อนหน้านี้ผมเคยเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางถึงมองไม่เห็นว่าเวลาพี่มันอยู่กับผู้หญิงมันแสดงออกแตกต่างจากที่อยู่กับผมขนาดไหน
หรือความพยายามของผมที่แล้วมามันจะสูญเปล่าจริงๆ
หรือว่ามันถึงเวลาที่ต้องทำใจยอมรับความเป็นจริง
หรือว่า....ผมควรหยุดสักที!!
“เฮ้ย”
ผมถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะผุดลุกขึ้นยังไม่ทันที่ไอ้เก้ามันจะเปิดปากถามอีกครั้ง ผมก็ชิงตอบมันเสียก่อน
“กูจะไปช่วยในครัวนะ”
“อ๋อเออ”
ฝ่ายนั้นเกาหัวงงๆ ก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้น้องเขมคนรักมัน ผมมองภาพนั้นแล้วได้แต่ยิ้มบางๆ ก่อนจะผละล้างหน้าล้างตาให้ตัวเองสดชื่นเสียหน่อยจะได้เลิกคิดฟุ้งซ่านซะที พอดีกับที่เพื่อนสาวหลายคนถือถาดใส่แก้วน้ำออกมาเตรียมเอาไปเสิร์ฟให้กับชาวค่ายที่กำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น วันนี้เวรทำอาหารคือปีสองครับดังนั้นหน้าที่สวัสดิการของวันนี้เลยต้องรับผิดชอบด้วย
ผมเห็นสาวๆ ถือของหนักเลยอาสาเข้าไปช่วย ผมถือถาดเดินตามสาวๆ ไปบริการน้ำท่าให้กับชาวค่ายซึ่งบัดนี้นั่งรวมเป็นกลุ่มตามสุมทุมพุ่มไม้เพราะเป็นเวลาที่เลิกงานแล้ว ทุกคนเลยวางมือเพื่อนั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศยามบ่ายแก่ๆ
“เฮ้ยกลมทางนี้”
ผมชะงักปลายเท้าตอนที่พี่เม่นโบกมือเรียกให้ไปเสิร์ฟแถวนั้นซึ่งมีแก๊งสี่โจรนั่งกันหน้าสลอนอย่างพร้อมเพรียงรวมถึงคนที่ทำให้ผมเผลอค้อนใส่อย่างไม่รู้ตัว
“ทำไมหน้าเป็นตูดอย่างงั้นวะไอ้กลม ใครทำอะไรมึง”
“เปล่าพี่”
ผมตอบปัดๆ แต่จังหวะที่พี่ไกด์เงยหน้าขึ้นมาทางผมก็เลยแอบชักสีหน้าใส่จนฝ่ายนั้นคิ้วกระตุก พี่ไกด์มันมองนิ่งแล้วพูดลอยๆ ขึ้นมา
“หยิบมาสักแก้วสิ”
“มีมือก็หยิบเองสิ ทีพี่มีปากพี่ยังยิ้มให้คนอื่นได้เลย”
ผมตอบเสียงบูดสนิททำเอาพี่ไกด์ชักสีหน้า ส่วนแก๊งสี่โจรที่เหลือลอบยิ้มแล้วมองผมเงียบๆ
“เป็นเหี้ยอะไร?”
พี่ไกด์พูดเสียงดุดันจนผมหน้าเสีย
“.......”
“พูดออกมาว่าเป็นอะไร”
“ผมเปล่า”
“มึงกวนตีนกูเมื่อกี้นี้หมายความว่าไง?”
ผมเม้มปากแน่นแต่ท่าทางแบบนั้นคงไปกวนตีนคนที่อารมณ์กำลังขึ้น พี่ไกด์เลยปราดเข้ามากระชากไหล่ผมไม่เบานักเล่นเอาถาดที่ถืออยู่แทบร่วงลงพื้น ดีว่าพี่เม่นกับพี่นะโมถลาไปช่วยประคองถาดให้ ผมเลยจำใจปล่อยถาดในมือให้พี่พวกแกพอพี่ไกด์เห็นผมมือว่างเลยกระตุกแขนผมแรงๆ
“ใจเย็นไอ้ไกด์ มึงกระชากกลมมันขนาดนั้นเดี๋ยวน้องมันก็ขาดเป็นสองท่อนหรอก”
พี่ปืนเข้ามาช่วยผมเลยสะบัดแขนจากการฉุดกระชากของพี่ไกด์แล้ววิ่งไปหลบหลังพี่ปืน
“ถอยไปไอ้ปืน กูจะคุยกับไอ้กลม” พี่ไกด์เหลือบตามองผม “มึงโผล่ออกมากลม มาเคลียร์กันตรงๆ ว่ามึงเป็นเหี้ยอะไร”
“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับพี่”
พี่ไกด์เม้มริมฝีปากแน่นแล้วกอดอกมองผมนิ่ง
“ปืน เมื่อกี้กูเห็นน้องแรกไปทางโรงครัว”
พี่ปืนชะงักก่อนจะไหวไหล่แล้วหันมายิ้มน้อยๆ ให้ผมก่อนจะตบบ่าผมเบาๆ “คุยกันดีๆนะ”
อ้าว! ทิ้งกันง่ายๆ แบบนี้ก็ได้เหรอ!
ผมอ้าปากค้างมองตามแผ่นหลังพี่ปืนที่เดินไปทางโรงครัวอย่างว่องไว กลับมาก่อนพี่ปืนมาช่วยผมก่อนสิวะ แม่งเอ้ย ผมทึ้งหัวตัวเองมองไปรอบๆ พอไม่มีพี่ปืนก็ไม่ต้องพูดถึงพี่เม่นกับพี่นะโมเลยที่แวบหายไปตอนไหนไม่รู้ พี่ไกด์กดยิ้มมุมปากแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเล่นเอาผมถอยหลังแทบไม่ทัน
“พูด!”
“.....”
“เอ่อ”
“กูให้โอกาสมึงพูดแล้วนะ...มีอะไรพูดมา”
ผมทำหน้างอ
“......”
“ถ้ายังเงียบกูจะบีบปากมึงให้พูด”
แม่ง! ไอ้คนชอบใช้กำลัง
“ใช่สิผมไม่ใช่ผู้หญิงพวกนั้นนี่”
“......” พี่ไกด์ทำหน้างงเหมือนไม่เข้าใจว่าผมพูดอะไร
“มึงพูดเรื่องอะไร?”
“พี่แม่ง” ผมพ่นลมหายใจแรงๆ
“ทำไมผมต้องมาชอบคนอย่างพี่วะ แม่งโคตรเสียเปรียบเลย ขณะที่ผมแสดงออกชัดเจนว่าผมชอบพี่ แต่พี่กลับทำเฉยซ้ำยังคุยกับคนอื่นไปทั่ว พี่รู้ป่ะ? พี่แม่งพูดกับผู้หญิงโคตรดีโคตรสุภาพ แล้วดูที่พี่พูดกับผมดิ แม่งผมนอยนะเว้ย”
พอได้ระบายออกมาอย่างยืดยาวผมก็หอบนิดๆ ก็เล่นพูดไม่หายใจเลย ผมพ่นลมหายใจออกแรงๆ ต่างจากพี่ไกด์ที่ยืนกอดอกยิ้มขบขันผมอยู่
“มึงหึงกู?”
“เออสิ”
เชี่ย ผมตาค้างปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน พี่ไกด์กดยิ้มมุมปากก่อนจะยิ้มออกมากว้างๆ ด้วยรอยยิ้มที่ผมปรารถนามาตลอด ผมยืนนิ่งหัวสมองมึนเบลอไม่ต่างจากเนื้อตัวที่รู้สึกชาวาบตรงกันข้ามกับหัวใจที่เต้นอย่างรุนแรง เหมือนวันนั้นไม่มีผิด เหมือนวันที่ผมตกหลุมพี่ไกด์ วันนั้นหัวใจผมเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมาจากอกไม่ต่างจากวันนี้
ให้ตายเถอะ! ผู้ชายตรงหน้าจะทำให้ผมตกหลุมรักเขาไปอีกสักกี่ครั้ง?
“ผม เอ่อ ผมไม่ได้”
“ถ้ามึงอยากหึงกู...ก็หึงต่อไปเถอะ” อะไรนะ?
“ทำไมมึงต้องอยากให้กูแสดงออกกับมึงเหมือนคนอื่นๆ?”
ผมยืนนิ่งขณะที่หัวใจสั่นระรัวอยู่ในอก
“พี่ไกด์”
“กูเป็นแบบนี้กับมึงคนเดียวไม่ดีเหรอ?”
“........”
“หรือมึงอยากจะเหมือนคนอื่นๆ?”
ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
รู้สึกว่านอกจากหัวใจจะเต้นแรงยังรู้สึกถึงความร้อนแถว ต้นคอลามขึ้นมาถึงใบหน้า
“ผมไม่ได้น่ารักเหมือนคนอื่น”
“ทำไมต้องเหมือนคนอื่น? เป็นแบบที่มึงเป็นที่แหละดีแล้ว”
“......”
“น่ารักดี” บึ้ม! เหมือนแก้มจะระเบิด!
~ตัวกลมกับพี่ชายข้างบ้าน~ (มีต่อค่ะอยากเพิ่งปาดเค้านะ)