- ไปค่ายตอนที่สิบแปด : วิถีคนจริง -
~ตัวกลมกับพี่ชายข้างบ้าน~ “ระวังหน่อย”
“......”
“เดินดูทางด้วยสิวะ มึงมัวแต่ดูอะไรอยู่เนี่ย”
ผมก็มองพี่นั่นแหละ!
แต่ผมไม่ตอบแบบนั้นออกไปหรอก ขืนพูดออกไปได้โดนพี่มันด่าตายแน่ ผมเลยแกล้งเงียบทำพยักหน้าเออออไปกับสิ่งที่พี่มันพูดจนพี่ไกด์หันมามองเพราะเห็นผมเงียบไป ระหว่างนั้นผมเลยจับแขนพี่ไกด์ที่พยุงอยู่ เพราะก่อนหน้านี้ผมเกือบลื่นตรงหินเนื่องจากตรงนั้นมีตะไคล้น้ำค่อนข้างเยอะ
“เป็นอะไร?”
“เปล่าครับ”
พี่มันหรี่ตามองราวกับไม่ค่อยเชื่อนักแต่เพราะตอนนี้เป็นเวลาทำงาน คือพวกเรากำลังทำฝ่ายชะลอน้ำเป็นวันที่สองแล้วครับ ซึ่งกำหนดคร่าวๆ คือมันจะต้องเสร็จสิ้นภายในวันนี้ ดังนั้นชาวค่ายจึงร่วมแรงร่วมใจกันทำงานอย่างขะมักเขม้น บ้างก็ลำเลียงกระสอบใส่ทรายนำมาวางเรียงเป็นแนวยาว บางก็นำหินก้อนใหญ่บริเวณนั้นมาเรียงเป็นสันแนวกั้น จากที่ผมสังเกตตอนนี้ฝายชะลอน้ำของพวกใกล้จะเสร็จสมบรูณ์แล้วเหลือลำเลียงวัสดุที่ใช้ในการกั้นน้ำมาวางเรียงเพื่อให้เข้ากับพื้นที่ที่พวกเราปรับสภาพไว้เมื่อวาน
อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อนแต่เพราะได้จุ่มเท้าอยู่ในน้ำเลยทำให้คลายร้อนและรู้สึกสดชื่นอยู่บ้าง ถึงแม้คราบเหงื่อไคลจะไหลนองเต็มหน้าผมก็ตาม
“อ๊ะ”
ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ หมวกปีกสานอันหนึ่งถูกนำมาวางแปะที่ศีรษะและเจ้าของหมวกที่ว่ายังยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าแล้วมองหน้าผมอย่างงงๆ ว่าทำไมผมถึงทำสีหน้าสีตาปลื้มอกปลื้มใจขนาดนั้น
“ขอบคุณครับ”
“อือ”
“แล้วพี่ไม่ร้อนเหรอ”
ผมสั้นสกินเฮดขนาดนั้นแดดส่องไม่แรงยังทะลุถึงหนังศีรษะอย่างไม่ต้องสงสัยเลย พี่ไกด์ไหวไหล่เป็นเชิงปฏิเสธคำถามของผม
“กูหัวแข็งกว่ามึงเยอะ”
“ผมก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอก”
“อ๋อเหรอ”
พี่ไกด์เบะปากท่าทางเหม็นเบื่อ แต่ทำเอาคนมองแบบผมถึงกับใจกระตุกกับบุคลิกไม่สนโลกของคนตรงหน้า
“แล้วหมาตัวไหนที่มันไปโดดน้ำแป๊บเดียวแต่ดันเสือกเป็นไข้วะ?”
“.......”
ผมอ้าปากค้าง
“นั่นเพราะผมไม่ชินกับอากาศที่นี่หรอก”
“ตอแหล”
“โว๊ะ!”
ผมเบ้ปากมองอีกฝ่ายตาขวางบ้าง
“พี่แม่งทำไมชอบพูดไม่เพราะกับผมจังวะ? หึ แล้วยังชอบด่าผมอีกด้วย?”
“กูพอใจจะพูดมึงแบบนี้มีปัญหาอะไรมั้ย?”
“ไหนบอกว่าผมน่ารักไง”
ผมกอดอกทำหน้าบึ้งตึงเพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความไม่พอใจ
“กูเคยพูดเหรอ?”
พี่ไกด์ถามผมหน้าตาย แล้วเลิกคิ้วท่าทางกวนๆ จริงๆ แล้วต้องพูดว่าท่าทางกวนตีนต่างหาก
“มึงหูฝาดรึเปล่า?”
“ไอ้พี่ไกด์”
“พูดดีๆ เรียกกูว่าไอ้เดี๋ยวมึงจะโดนดี”
“ไม่กลัวทีพี่ยังพูดไม่เพราะกับผมเลย”
ผมแลบลิ้นให้อีกฝ่ายเสร็จแล้วรีบขยับตัวหนีเพราะพี่มันขยับมาใกล้พร้อมกับมือที่ยกขึ้นสูงเตรียมโบกกระบาลผมแน่นอน แต่อารามรีบร้อนผมเลยก้าวพลาดเผลอไปเหยียบหินที่มีตะไคล้น้ำเกาะจนลื่นถลาอีกครั้ง และครั้งนี้ผมรีบคว้าคออีกฝ่ายเอาไว้แล้วจึงโผเข้าไปหาพี่มันเต็มๆ
...ฟอด!...
เต็มๆ เลย ฮือ เต็มๆ แก้มพี่ไกด์จังเบ้อเริ่มเลยแม่ง ผมตัวชาหน้าสั่นทำอะไรไม่ถูกจนอีกฝ่ายดันตัวออกแล้วกรอกตาไปมายืนจ้องผมอย่างระอา
“หน้าแดงทำห่าอะไร?”
“กะ ก็ผม ”
“เออดีนี่! สะดุดเอง ล้มใส่กูเอง ปากมาโดนแก้มกูเอง เสือกมาเขินเองอีกต่างหาก”
“อย่าย้ำดิ”
ผมหรุบตามองพื้นได้ยินเสียงหัวเราะอ่อนๆ จากอีกฝ่าย
“มึงนี่เก่งแต่ปาก”
“.......”
“ปากบอกรักกูอย่างโน้นอย่างนี้ พอโดนแค่นี้ถึงกับสาวแตก มึงนี่มันย้องแย้งสัด”
“ผมชอบพี่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเคยเรื่องแบบนี้สักหน่อย ใครมันไปเจนสนามเหมือนพี่ล่ะ”
ผมค้อนให้
“แค่โดนแก้มกู มึงยังทำเหมือนจะเป็นลมขนาดนี้ ถ้ามึงถูกกูจูบขึ้นมาจริงๆ มึงจะไม่เป็นลมไปเลยรึไง”
คงเป็นลมแหละ! แต่เดี๋ยวนะ เมื่อกี้พี่ไกด์มันพูดว่าไงนะ?
พี่ไกด์จะจูบผมเหรอ! ไอ้สัด หน้าร้อนเหมือนมีเตามาตั้งบนหน้าเลยเว้ย ถถถถถ หัวจิตหัวใจดวงน้อยๆ ของไอ้ตัวกลม
“มึงคิดไปถึงไหนแล้วเนี่ยไอ้กลม?”
ผมอ้าปากค้างยืนนิ่งพูดไม่ออก ตรงกันข้ามกับอีกฝ่ายที่กดยิ้มมุมปากแล้วค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ
“พะ พี่จะทำอะไร”
“กลม”
“ฮื่อ”
“มึงชอบกูไม่ใช่เหรอ?”
ไอ้ชอบมันก็ชอบนั่นแหละ แต่ทว่า...
“ไอ้ห่าพี่ไกด์”
“ตัวกลม”
แม่งงงงงงงง หยุดกระซิบใส่หูผมแบบนี้เลยนะ ผมหลับตาปี๋ตอนที่พี่มันขยับหน้าเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะหยุดนิ่งแล้วหัวเราะในลำคอ
“มึงคิดว่ากูจะจูบมึงจริงๆ รึไง?”
ไอ้สัดมึงห้ามหน้าแดงนะไอ้กลม มึงห้ามให้พี่ไกด์รู้เลยว่ามึงเขินพี่มันหนักมาก
พี่ไกด์ส่ายหัวและดีดหน้าผากผมเบาๆ
“เลิกเพ้อเจ้อแล้วทำงานต่อได้แล้วไอ้คนขี้มโน”
“พี่แม่ง”
“หึหึ”
ตอนที่ฝ่ายนั้นหันกลับไป มือผมแม่งเสือกคว้าชายเสื้อพี่มันไว้เฉย
“อะไรอีก?”
ผมหรุบตามองพื้นแล้วพูดงึมงำในลำคอ
“ถ้ามึงยังทำเสียงน่ารำคาญแบบนั้นอีก กูจะกระทุ้งคอให้พูดไม่หยุดเลยเดี๋ยวก่อน”
“โว๊ะ”
คนจะพูดดีๆ ด้วยสักหน่อยเสือกมาทำให้บรรยากาศหวานๆ ดับวูบด้วยคำพูดเถื่อนๆ ตามสไตล์พี่มันอีก
“ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะเป็นลมรึเปล่าตอนพี่จูบ”
“แล้ว?”
“พี่คงต้องพิสูจน์” “มึงว่าไงนะ?”
พี่ไกด์เหลือบตามองผมนิ่งๆ แล้วกดยิ้มมุมปาก
“ก็”
“งั้นก็ทำให้กูอยากพิสูจน์มึงสิ? ถ้ามึงทำได้...กูจะพิสูจน์ ‘มึง’ด้วย ‘ตัวกูเอง’?” ไอ้สัดไปต่อปากต่อคำพี่มันแล้วเป็นไงสุดท้ายคนที่อายทำไมเป็นผมวะ
พี่ไกด์แม่ง...ยิ้มแล้วโคตรหล่อเลย
อ้ากกกกกกก หัวใจผมเต้นแรงมาก
~ตัวกลมกับพี่ชายข้างบ้าน~****************************************
“ไชโย”
“เย่ๆๆๆ”
เสียงตบมือโห่ร้องของชาวค่ายดังขึ้นตอนบ่ายแก่ๆ หลังจากที่ผลงานการสร้างฝายชะลอเสร็จสมบรูณ์ ภาพความสำเร็จนั่นทำให้ผมอดใจไม่ไหวต้องยกโทรศัพท์ขึ้นบันทึกเป็นความทรงจำไม่ต่างจากชาวค่ายคนอื่นๆ แต่ที่ดูจะตื่นเต้นสนุกสนานกว่าใครเพื่อนคงเป็นเด็กๆ ชาวบ้านที่จับจูงกันมาดูการทำฝายชะลอน้ำกันตั้งแต่บ่าย แรกๆ ก็ช่วยขนหินขนกระสอบทรายอยู่หรอกไปๆ มาๆ ดันชวนกันเล่นน้ำซะนี่
ผมอมยิ้มมองพี่ปิงปองโดนเด็กพวกนั้นรุมสาดน้ำ พอเปียกม่อล่อกม่อแลกแล้วพี่แกก็วิ่งไล่จับกับเด็กๆ อย่างสนุกสนานจนลืมอายุไปเลยทีเดียวแล้วสุดท้ายพอเหนื่อยก็พากันมานั่งแปะริมลำธารแล้วชี้ชวนให้เด็กๆ ดูปลาตัวเล็กตัวน้อยที่ว่ายวนอยู่ในลำธารสีใส
“ทำไมพี่ๆ ถึงมาสร้างฝายให้พวกเราล่ะครับ”
เด็กน้อยคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นอย่างไร้เดียงสา แววตากลมโตเป็นประกายใสซื่อน่าเอ็นดูทำเอาพี่ปิงปองลูบหัวลูบหูอย่างเอ็นดู
“พวกพี่อยากช่วยรักษาน้ำและป่าให้พวกหนูๆ ไงจ๊ะ”
“ทำไมต้องรักษาหรือคะ? น้ำและป่าของพวกเราไม่สบายเหรอ?”
ผมถึงกับหัวเราะร่วนก่อนจะตัดสินใจนั่งยองๆ ข้างพี่ปิงปองที่ถึงกับทำหน้าเหวอ เด็กน้อยทำหน้างุนงงที่เห็นผมขำถึงแกจะไม่เข้าใจก็ยังอุตส่าห์ยิ้มให้ผมเสียกว้างเชียว
“รักษาที่พวกพี่หมายถึงคือการปกป้องดูแลค่ะ เหมือนที่คุณพ่อคุณแม่ของหนู ปกป้องดูแลพวกหนูยังไงคะ”
“อ๋อ”
พวกเด็กๆ พากันพยักหน้าเข้าใจ
“แล้วทำไมต้องปกป้องป่ากับน้ำด้วยล่ะคะ”
“ก็เพื่อที่เวลาหนูโตขึ้น หนูจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ในธรรมชาติที่อุดมสมบรูณ์ เมื่อโตขึ้นจะได้ส่งต่อมันให้กับลูกหลานของหนูไงคะ” พี่ปิงปองอมยิ้มเมื่อเด็กๆ เกาศีรษะอย่างไม่เข้าใจ “ไม่เป็นไรเนอะเดี๋ยวโตขึ้นหนูจะเข้าใจเอง”
“ครับ/ค่ะ”
“ว่าแต่พวกหนูสัญญากับพี่ๆ ได้มั้ยว่าดูแลรักษาสิ่งที่พวกพี่สร้างไว้ ให้ดีที่สุด”
“สัญญาจ้า”
“ดีมาก”
“โตขึ้นพวกหนูจะเป็นแบบพี่ๆ”
“เยี่ยมไปเลย”
ผมยกนิ้วโป้งให้เด็กๆ ซึ่งพากันตบมือเปาะแปะ ตอนนั้นผมลอบสบตากับพี่ปิงปองซึ่งแสดงออกเหมือนกันว่ากำลังปลาบปลื้มกับคำพูดของเด็กๆ นักหนา
ไม่ต้องใช้คำสวยหรู
ไม่ต้องบอกว่าตัวเองเป็นคนดีแต่แค่แสดงตัวอย่างที่ดีก็พอ แค่นี้ผมก็เชื่อว่าเด็กๆ พวกนี้จะเติบโตมาอย่างดีงาม เพราะส่วนลึกผมมีความคิดที่ว่าเบ้าหลอมที่ดีของเด็กน้อยไม่ใช่เพราะคำสอนที่สวยหรูแต่คือแบบอย่างของการประพฤติตนที่ดีต่างหาก
“อ้าวพวกเรากลับค่ายได้แล้ว”
หลังจากเล่นน้ำกับเด็กๆ อยู่พักหนึ่งไม่นานหลังจากนั้นพี่ปิงปองก็เรียกรวมพลชาวค่ายทุกคนเพื่อเดินกลับค่าย เนื่องจากวันนี้เสร็จสิ้นการสร้างฝายชะลอ บรรดาพ่อแม่บุญธรรมมีนัดกันพาลูกค่ายของแต่ละคนไปกินข้าวที่บ้าน พูดง่ายๆ ก็คือวันนี้แต่ละคนจะไปกินข้าวนอกค่ายที่บ้านพ่อแม่บุญธรรมของแต่ละคนซึ่งเป็นกิจกรรมที่พวกเราตื่นเต้นมากเพราะจะได้ออกไปเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านถึงเรือนชาน
ดังนั้นวันนี้พี่ปิงปองเลยปล่อยพวกเราฟรีโดยมีกำหนดให้ทุกคนกลับมาพร้อมกันที่ค่ายตอนสามทุ่มเพราะคืนนี้จะมีการประชุมเรื่องเตรียมสถานที่เนื่องจากพรุ่งนี้อาจารย์ฝ่ายกิจการนิสิตและนายกสโมสรนิสิตที่คณะจะเดินทางมาตรวจค่ายปลายปีของคณะเรา
พอกลับมาถึงค่ายตอนบ่ายแก่ๆ นั้นพวกเราถึงกับยิ้มแก้มปริเพราะเห็นพ่อแม่บุญธรรมมายืนรอรับพวกเรา บ้างก็ปั่นจักรยานมา บ้างก็ขี่มอเตอร์ไซค์มารับถึงที่ ภาพตรงหน้าทำให้รู้สึกตื้นตันใจจริงๆ ที่ชาวบ้านที่นี่ให้ความสำคัญพวกเราถึงขนาดนี้ ผมโบกมือลาเพื่อนๆ ที่แยกย้ายไปกับพ่อแม่บุญธรรมของตัวเองก่อนจะเดินไปหาแม่บุญธรรมของผมที่กวักมือเรียกไหวๆ อยู่ไม่ไกล
“อ้าย”
น้องพงษ์ลูกชายของแม่บุญธรรมรีบวิ่งมาเขย่ามือผมอย่างดีใจ ก่อนจะกระตุกมือผมให้ออกเดินเคียงข้างไปกับแม่บุญธรรมที่รอท่าอยู่
“เหนื่อยมั้ยลูก?”
แม่บุญธรรมซึ่งผมมารู้จักชื่อภายหลังว่าชื่อ “แม่นิด” ถามเสียงอ่อนโยนระหว่างทางไปบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนที่พักนัก
“ไม่เลยครับแม่นิด”
“วันนี้แม่ทำอาหารไว้เยอะเลยนะ ไม่รู้ว่าน้องแรกจะชอบอะไรบ้าง”
ผมยิ้มหวานตอบตอนแรกที่ได้ยินฝ่ายนั้นแทนตัวเองว่าแม่ผมก็เคอะเขินไม่น้อย แต่อีกฝ่ายดูจะเรียกผมอย่างเอ็นดูมันเลยทำให้ความรู้สึกแปลกๆ มลายหายไปเหลือก็แต่ความรู้สึกยินดีและตื้นตันใจ คิดดูสิว่าพวกเรามาอยู่ในที่ห่างไกลแล้วได้รับความเอ็นดูเหมือนลูกหลานแบบนี้ มันอดไม่ได้จริงๆ ที่จะรู้สึกดีขนาดนี้
“ผมกินได้ทุกอย่างครับ”
“ดีจริง”
แม่นิดหัวเราะร่วน และไม่นานหลังจากนั้นแม่บุญธรรมก็พาผมเดินทะลุส่วนหน้าบ้านที่เป็นร้านค้าไปยังบ้านไม้เรือนไทยยกพื้นสูงแบบชาวเหนือ บริเวณใต้ถุนบ้านมีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยกำลังนั่งล้อมลงคุยกันอยู่ ผมชะงักกึกเมื่อเห็นร่างโดนเด่นของคนหนึ่งในนั้นกำลังคุยอย่างออกรสออกชาติ
“พี่ปืน”
ฝ่ายนั้นหันมามองผมแล้วกดยิ้มมุมปาก
บังเอิญเกินไปแล้ว!!
“มาพอดี มาๆ”
กลุ่มคนเหล่านั้นกวักมือเรียกผม นั่นแหละถึงทำให้ผมได้รู้ว่าแม่บุญธรรมของผมกับแม่บุญธรรมของพี่ปืนเป็นพี่น้องกันเลยจัดเลี้ยงข้าวพวกเรารวมกันมันเลยกลายเป็นเหมือนการรวมญาติ ผมเลยยกมือไหว้ไปรอบๆ ก่อนจะได้รับการแนะนำให้รู้จักกับบรรดาลุงๆ ป้าๆ
หลังจากนั้นคนเหล่าก็เรียกให้ผมนั่งล้อมวงกินข้าวแบบขันโตกง่ายๆ ระหว่างนั้นผมไม่ค่อยได้คุยกับพี่ปืนหรอก เพราะพี่มันกำลังคุยติดพันกับผู้ใหญ่ท่านอื่น ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องอยู่ตลอดเวลาแล้วพอมองกลับไปผมก็เห็นเพียงสันกรามที่แข็งแรงกำลังขยับเพราะคุยกับคนอื่นอยู่ ผมแน่ใจว่าไม่ได้รู้สึกไปเองจนกระทั่งเงยหน้าขึ้นครั้งนี้สบเข้ากับแววตาคู่คมที่มองผมแล้วกดยิ้มมุมปากอีกครั้ง
เชี่ยเอ้ย! หัวใจผมนี่มันยังไงวะถึงได้ทรยศเจ้าของให้อับอายด้วยการเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้ว จนผ่านมื้อเย็นไปผมก็เพิ่งสังเกตว่าพี่ปืนหยิบเอากีต้าร์ติดมาด้วย เด็กน้อยลูกหลานบ้านนี้รวมน้องพงษ์ลูกแม่บุญธรรมผมตื่นเต้นกันใหญ่
เด็กปรบมือเกียวกราวเมื่อพี่ปืนเริ่มเกลากีต้าร์ ส่วนผู้ใหญ่คนอื่นๆ นั่งเงียบๆ รอฟังอย่างสนอกสนใจไม่ต่างกันเลย ผมซะอีกที่รู้สึกขัดเขินแปลกๆ ตอนที่พี่มันขึ้นอินโทรเพลงคุ้นหู
**แม้ว่าใครไม่สน...แม้ใครมองเธอไม่สำคัญ
แต่ฉัน ไม่ใช่เลย...ฉันว่าเธออ่อนหวาน
ยิ่งเนิ่นนานยิ่งน่าสนใจ...เธอเป็นอะไรที่ใช่เลย**
เสียงทุ้มที่เพลงออกมาทำเอาแม่ยกวัยกลางคนปรบมือกันเกรียวกราวไม่ต่างจากสมุนเด็กน้อยที่มองกันตาวาวท่าทางประทับใจสุดๆ ผมนิ่งเงียบเมื่อรู้สึกถึงความร้อนชื้นในฝ่ามือพอๆ กับความรู้สึกปั่นป่วนมวนท้องไปหมด
**เธอน่ารัก เธอสดใส...กว่าคนไหน
ตกหลุมรักเธอ....เธอน่ารัก
เธอสดใส โปรดจำไว้...จะรักที่เธอเป็นแบบนี้**
แม่ง!!!!
พี่ปืนหันมาจ้องผมแล้วยิ้มอ่อนๆ แต่รอยยิ้มและเนื้อเพลงนั่นทำเอาใจผมสั่นไหวเหมือนใครมาตีกลองระรัวอยู่ในอก โอ้ย ให้ตายเถอะ ทำไมพี่ปืนถึงมีอิทธิพลกับใจผมขนาดนี้วะ แย่แล้ว แย่แน่ๆ ผมกลัวหัวใจตัวเองจะถลำลึกลงไปกว่านี้จัง
แค่ทุกวันนี้ที่ผมยอมรับความรู้สึกว่าผมชอบพี่ปืน ผมยังจัดการกับความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ได้ยากขนาดนี้ ถ้าปล่อยหัวใจของเองไปไกลกว่านี้คงลำบาก
**ชอบเวลาเธอเขิน...ชอบที่เธอเป็นคนยิ้มเก่ง**
ให้ตายเถอะ...ถ้าหัวใจจะเป็นอวัยวะที่หักห้ามใจยากที่สุดขนาดนี้
ยากเกินทัดทานเหลือเกิน
“เอ่อ อากาศวันนี้เย็นดี เอ่อ เนอะ”
ผมเปิดประเด็นหลังจากที่กินข้าวที่บ้านแม่บุญธรรมเสร็จพร้อมกับรับศีลรับพรแล้วผูกแขนรับขวัญจากบรรดาผู้ใหญ่กันเรียบร้อยแล้ว พวกเราเลยขอตัวกลับ จริงๆ พวกท่านจะมาส่งแต่พี่ปืนบอกว่าวันนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงดังนั้นท้องฟ้าเลยสว่างด้วยแสงจันทร์ พวกเราเลยตัดสินใจเดินทอดน่องกลับกันเอง แต่บรรยากาศระหว่างทางก็ช่างเงียบสงัด ยามค่ำของต่างจังหวัดเงียบเหงาจับใจ ดีว่าวันนี้มีแสงจากดวงจันทร์นำทางและระหว่างทางมีรถชาวบ้านผ่านมาเป็นระยะเลยทำให้บรรยากาศไม่น่ากลัวนัก
“นอกจากเรื่องดินฟ้าอากาศมึงมีเรื่องอื่นอีกมั้ย?”
ผมขมวดคิ้วใส่อีกฝ่ายที่มองผมยิ้มๆ
“ก็มันเงียบนี่ ผมก็อยากชวนคุยให้มันมีเสียงบ้างเหอะ”
พี่ปืนกดยิ้มมุมปาก
“กูชนะพนัน”
ผมชะงักรู้สึกว่ามือไม้เกะกะไปหมด
“......”
“ช่วยคิดหน่อยสิว่ากูควรจะทำยังไงต่อไปดี?”
“......”
“ตอบกูสักหน่อยสิแรก”
“ฮื่อ”
“ก้มหน้าหาเห็บอยู่รึไง กูถามก็เงยหน้าขึ้นมาตอบหน่อยสิ แล้วไอ้เสียงงึมๆ งำๆ เนี่ยขอทีเหอะ กูฟังแล้วขัดหูชะมัด”
“ก็พี่แม่ง”
“กูทำไม”
พี่ปืนถามยิ้มๆ เป็นรอยยิ้มที่มีต่อหัวใจผมมากจริง แม่งเพราะมึงนั่นแหละที่ทำให้เขินเหมือนคนเสียสติขนาดนี้
“มึงเขิน?”
“ผมไม่คุยกับพี่แล้ว”
พี่ปืนหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาโยกศีรษะผม
**เธอน่ารัก เธอสดใส...กว่าคนไหน
ตกหลุมรักเธอ....เธอน่ารัก**
ในความเงียบพี่ปืนปล่อยเสียงทุ้มชวนให้หลงใหลออกมาเหมือนใช้เสียงเพลงเป็นเพื่อน เพราะผมเองก็ปิดปากเงียบอย่างไม่รู้จะชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องอะไรกันต่อดี
“ร้องทำไมอีกเนี่ย ก่อนหน้านี้พี่เพิ่งร้องไปเอง”
ผมถามกวนๆ เมื่อพี่มันเริ่มปีนคีย์เพลงซะแล้ว
พี่ปืนกระตุกยิ้มมุมปากแล้วหันมามองผมตรงๆ ถ้าผมรู้คำตอบของพี่ปืนก่อนหน้านี้ผมจะไม่เอ่ยประโยคก่อนหน้านี้ออกไปเลย ผมจะไม่ทำให้หัวใจของตัวเองต้องทำงานหนักแบบนี้เลยจริงๆ นะ
“ก่อนหน้านี้กูแค่ร้องให้มึงฟัง”
“.....”
“แต่เมื่อกี้ กู ‘ร้องจีบ’ ” .
.
.
บึ้ม! ถ้าร่างกายผมเป็นระเบิดเวลา ตอนนี้มันคงแหลกสลายเป็นจุณเพราะคำพูดเมื่อกี้นี้
ในส่วนนี้คนจริงไม่พูดมาก ชัดๆ ตรงๆ ฮือเขิน 5555555+++
หวีดในทวิตติด #ค่ายสร้างรัก และ #ทีมเมียพี่ปืน เด้อจ้าเด้อ
______________________________________________________________________________
เครดิตเพลง
เพลง : เธอน่ารัก ศิลปิน : บีโอวาย