14
“ชื่อ! เสียง! เลื่องลือ ระบือ หนึ่งสองสาม ลั่น! ใครมาหยามเกียรติของเรา เราเข้า หนึ่งสองสาม สู้! เลือดวิศวะ วิศวะของเรา เราเชิดชู เราสู้! เพื่อนำเอาชัยมา!”
เสียงเชียร์กระหึ่มฮอลล์ รุ่นน้องปีหนึ่งคณะวิศวะบนแสตนด์ที่ตอนนี้แปลงกายตัวเองเป็นม้าลายตามธีมไลออนคิง ส่วนตรงกลางสนามผู้นำเชียร์หรือเชียร์ลีดเดอร์ก็ปีนสเตจป่ายสเตจกลิ้งเกลือกเข้ากับเพลงเปิดการ์ตูนคลาสสิกที่ทุกคนคงจะฮัมตามได้
ไอ้อู้ซ้อมหนักจนละเมอร้อง นาาาาา ซิเพ่นยาาาา บาบากี ชีวาวา ให้เค้าต้องสะดุ้งตอนกลางคืนอยู่หลายคืน คิดว่าใครมาก่อพิธีกรรมเชิดสิงโตอะไรในห้อง ที่ไหนได้ลูกหมาละเมอ บางทีก็ซ้อมหนักเกินลุกขึ้นมาฟันการ์ดตอนกลางคืนแต่ไปการ์ดง่อยตอนซ้อมจริงให้ไอ้ภูมิต้องมาบ่นให้ฟัง
ซ้อมหนักมาหลายเดือนให้เค้าต้องไปคอยส่งข้าวส่งน้ำทายาแอบทายาให้เวลามันนอน ในที่สุดก็ถึงวันแข่งจริง ตอนนี้ผมอยู่ในฮอลล์ครับ มานั่งดูลูกหมาแข่งลีด เป็นการแข่งที่จริงจังเพราะต้องฟาดฟันกับทุกคณะ ปัจจุบันหมาชิวาว่าได้กลายเป็นร่างเป็นลูกเสือ กลิ้งอยู่ตรงสนามแล้วเรียบร้อย ปกติจะหาคนยากมากๆเพราะสนามมันใกลจากสแตนด์คนดู แต่ยกเว้นกรณีอู้ครับ เพราะหาได้ไม่ยากมันจะเป็นลูกสิงโตที่ยังไม่โตที่สุดในฝูงแล้ว เหมือนเป็นสิงโตแดกมังเลยแคระแกรนร่างกายไม่โตเพื่อนพวกพ้อง
เนื้อเรื่องที่ถ่ายทอดผ่านเสียงและท่าเต้น จากที่เปิดมาอย่างสงบสุขตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงสงครามสิงโต ที่ต้องมาสู้กัน ซึ่งก็ละทึกใจคนดูครับ ทั้งโดดโยนขึ้นปีนตัวกระโดดจากสเตจ จีนมาเห็นเป็นต้องเอาไปลองเต้นกายกรรม น้องปีหนึ่งมันก็ทำได้เหมือนเพิ่งหลุดมาจากป่าจนน่าชื่นชม ส่วนไอ้คนสอนพวกมันมาก็นั่งยิ้มแก้มเกือบเท่าสแตนด์อยู่ข้างๆผมเนี่ยแหล่ะ
“ใจว่ะเด็กปีนี้ เต้นจริงดีกว่าซ้อมเยอะเลย”
“เออ กูยอมเลย ขนาดท่ายากยังเต้นได้ดี” จบวิศวะไปไม่มีงานทำ ลองไปแคสงานสวนสัตว์แกล้งเป็นแม่ลิงหลอกลูกลิงน่าจะเวิร์คอยู่เหมือนกัน
“มึงดูๆ ท่อนนี้เด็ด” ผมโฟกัสที่สนามอีกรอบ ถึงในสนามตอนนี้จะมีน้องเต้นเป็นเสือสิบตัว ลิงห้าตัว ยีราฟอีกสอง และนานาสัตว์ แต่สายตาผมก็โฟกัสอยู่แค่ลูกเสือที่วิ่งดุ๊กไปดิ๊กมาอยู่ท่ามกลางสัตว์ป่าซึ่งตอนนี้โดนไอ้ลิงยักษ์เดาว่าน่าจะเพื่อนมันที่ชื่อเติ้ลนั่นแหล่ะคว้าแล้วจับต่อตัวยกขึ้น
“ไอ้เหี้ย จับดีๆนะมึง” ผมลุกขึ้นยืนด้วยความใจไม่ดี หายใจอย่างติดขัด ขึ้นแล้วไม่ยอมลงซักทีด้วย โพสจบทำไมนานจังวะ ขาไอ้ลูกหมามันสั่นแล้วไม่เห็นหรอ เดี๋ยวแม่งร่วงทำไงเนี่ย ซักพักฝั่งสแตนด์ส่งเสียงเคาะจังหวะหนึ่งสองสาม ไอ้ลูกหมาก็ถูกยันขึ้นแล้วปล่อยร่วงลงมา
ร่วงพร้อมใจกูเนี่ยแหล่ะครับ วาบเลย
ถึงจะรู้ว่าเพื่อนรอรับ ไอ้ภูมิสอนมายังไงเรื่องความปลอดภัยมันต้องมีอยู่แล้ว แต่จังหวะที่ตัวเล็กๆหล่นมา ทำเอาหยุดหายใจห้าวิเต็ม
“เอ้า นั่งครับคุณ” ภูมิพูดกลั้วหัวเราะ เอาตีนเขี่ยตูดผมให้ผมนั่งลง
“ไม่นั่งแล้ว ไปเตรียมแข่งบอล” ผมกระแทกเท้าเดินออกจากยิมด้วยความหงุดหงิด เหลืออีกเป็นสิบคณะที่แข่งแต่ดูแค่คณะตัวเองบวกใกล้ได้เวลาที่ผมแข่งบอลแล้ว เลยต้องรีบออกจากยิมไปที่สนามบอล วันนี้มีคนแน่นเต็มไปหมดเพราะนอกจากจะมาเชียร์เฟรชชี่เกมแล้วก็ยังมีพวกชาววิศวะภาคอุตสาการจากหลายมหาลัยมารวมตัวกันอีกด้วย กว่าเค้าจะเดินถึงสนามบอลโดนเบียดจนหงุดหงิดเพิ่มขึ้นไปอีก
ผมเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแต่งตัวก่อนจะออกมาเจอไอ้พี่พี่ยืนกอดอกหน้ายู่เป็นตีนไก่อยู่แถวๆสนาม อ้อ สาเหตุไม่ต้องถามหรอก ผมรู้อยู่แล้ว
“ไม่หงุดหงิดดิพี่” หญิงก็ยืนลูบหัวลูบหางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลครับ
“ไม่หงุดหงิดได้ไงวะ ปีหนึ่งปีนี้มันเล่นแรง ถ้ามึงล้มไปจะทำไง”
“ก็ลุก”
“หญิง”
“พี่ นี่ว่าเราคุยกันหลายรอบแล้วนะว่ากูไม่ใช่ผู้หญิง” ไอ้พี่ได้แต่ขมวดคิ้วพ่นลมหายใจทางจมูกคว้าหัวไอ้หญิงไปหอมอย่างเซ็งๆ เล่นกอดกันข้างสนามให้เค้ากรี๊ดกันกระหน่ำ กูหล่ะยอมใจ เค้าชินกันทั้งมหาลัยแล้วครับสำหรับคู่นี้ มันคลุกเข้าวงในกันบ่อยจนชินตา ผมมองไอ้คู่เกย์ข้างหน้าก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ เออ นี่มันคือผู้มีประสบการณ์จริงเลยนี่หว่า
“ไอ้พี่”
“ไปไกลๆตีนเลยหมอ เอาหญิงลงนี่ความคิดมึงใช่ไหม ไม่ชั่วแต่หน้านะมึงเนี่ย”
“กูมีอะไรจะปรึกษา”
“ไปคุยกับผ้าม่านไป กูไม่รับ”
“เดี๋ยวกูถอนหญิงออกจากตัวจริงให้”
“อ่ะ มึงมีอะไรว่ามา” ตามด้วยเสียงกรี๊ดกระหน่ำเพราะไอ้ภูมิเปลี่ยนเสื้อโชว์แพคในสนาม ดังจนฟังไม่รู้เรื่อง ผมเลยเปลี่ยนที่คุยเดินนำมันออกมาหลังสนาม ไอ้พี่ขมวดคิ้วนิดหน่อยแต่ก็เดินตามออกมา
“มึงจะหาเรื่องอะไรกูอีกเนี่ย รับมือความชั่วของมึงไม่ทัน”
“มึงรู้ตัวได้ยังไงวะว่ามึงชอบหญิง” ผมยิงคำถาม ไอ้พี่ถึงกับนิ่ง ก่อนจะยกแขนขึ้นกอดตัวเองแบบตุ๊ดกลัวหิ่งห้อย
“ไอ้ห่า มึงอย่าบอกนะว่าจะสารภาพรักกู”
“กับตีนเถอะ”
“หรือจะสารภาพรักหญิง แดกตีนกูก่อนนี่ไอ้สัด!” คุยกับแม่งเหมือนคุยกับถั่วเขียวอ่ะนี่พูดจริง นอกจากจะตอบไม่ตรงคำถาม ยังเสือกเปลี่ยนคำถามเองอีกต่างหาก ใหญ่แต่ตัวสมองเท่าหัวนมมด
“กูถามใหม่ มึง.. มึงรู้ตัวได้ยังไงวะว่ามึงชอบ..
ผู้ชาย”
“อ้อ ไอ้อู้หน่ะหรอ”
เห้ย..
“ตกใจทำไม ใครเค้าดูออกไหมวะ มึงเล่นตีกับไอ้โยขนาดนั้น” ไอ้พี่หัวเราะเบาๆแบบที่ชอบทำ ซึ่งก็ยังดูกวนส้นตีนตั้งแต่วันแรกที่เห็นยันปัจจุบัน
“ก็.. เออ มึงตอบคำถามกูมาก่อน” ผมถามต่อ ระหว่างนั้นก็ได้แต่คิด อะไรวะ นี่กูชัดเจนขนาดคนรอบข้างรู้ขนาดนี้เลยหรอ ทำไมคนอื่นรู้ก่อนกูอีกวะ
“คำถาม? อ่อ กูไม่ได้รู้ตัวอะไรหรอก ว่าไงดีวะ มันก็เหมือนการชอบใครซักคนนั่นแหล่ะมึง เราแค่รู้สึกอยากอยู่กับเค้า อยากดูแล ไม่อยากให้ใครมายุ่ง กูไม่รู้เหมือนกันว่ามันต่างจากการตกหลุมรักผู้หญิงยังไงเพราะกูไม่เคยตกหลุมรักผู้หญิงแต่เดาเอาว่ามันคงคล้ายๆกันนั่นแหล่ะ อย่าคิดให้มันเยอะ เดี๋ยวเยี่ยวเหนียว” ไอ้พี่ตอบยาวเหยียดพร้อมกับกอดอกพิงผนังไปด้วย
“มึงไม่รู้สึกแปลกหรอวะ”
“แปลกตรงไหน”
“ที่อีกฝ่ายเป็น..” ไอ้พี่พลูลมหายใจออกมาแล้วตอบกลับผมนิ่งๆ
“เวลาเราจะชอบใครซักคนมันก็คือชอบมึง เกิดเป็นผู้ชายกูก็ชอบ ผู้หญิงกูก็ชอบ เป็นหมากูก็ชอบ มึงจะไปหาเหี้ยอะไรมากมายมาคิดวะ ชอบก็ชอบ”
“…”
“ความรักอ่ะ ไม่ต้องหานิยมอะไรให้มันเรื่องมากนักหรอก ไร้สาระ”
“...”
“แอบชอบมันมีแค่สองคำตอบหมอ สมหวังกับไม่สมหวัง”
“...”
“คนกำหนดก็มีแค่มึง ถ้ามึงกลัวก็อยู่สถานะพี่ชายของมึงไปแบบนี้ มึงต้องยอมรับสถานะมึงให้ได้ มึงทำได้แค่ดูแลแบบดมห่างๆแบบที่มึงทำ รอให้พี่รหัสมันคาบไปแดก แล้วค่อยมาเสียใจทีหลังอะไรแบบนี้” ไอ้พี่ไหวไหล่แบบไม่สนใจเดินกระแทกไหล่ผมกลับเข้าสนามไปแต่ก็ยังตะโกนไล่หลังมา
“เอาหญิงออกจากตัวจริงให้กูด้วย!!!”.
.
.
ผลเป็นเศรษฐศาสตร์ชนะไป 3-2 เฉือนกันนิดเดียว แอบรู้มาอีกว่าสแตนด์กับลีดได้ที่สาม ผมไม่ได้คาดหวังอะไรกับการแข่งบอลเพราะไม่ได้อยากเอาชนะอะไรอยู่แล้ว มีเรื่องอื่นให้น่าคิดมากกว่า อ้อ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องที่ทำให้ใจเต้นผิดจังหวะระหว่างการแข่งหล่ะก็มีครับ ตอนระหว่างแข่งเหลือบตาไปเห็นหน้าโง่ๆอยู่ข้างสนาม ดุ๊กไปดิ๊กมา หัวพ้นขอบสนามมาไม่สุด มัวแต่มองว่าเมื่อไหร่มันจะเขย่งหน้าพ้นขอบ แทนที่จะเตะบอลดันไปเตะขาไอ้พี่แทน ถูกมันคาดโทษไว้ แต่ไม่ได้สนใจซักเท่าไหร่ ขนาดที่ต้องสนใจแต่ลูกกลมๆในสนามสติดันไปจ่อกับหน้ากลมๆข้างสนามแทน
...หนักแล้วหล่ะหมอ
“มึงแพ้แล้วมึงจะยิ้มทำไมเนี่ย” ไอ้ภูมิเอาศอกถลุงท้องผม
“กูไม่ได้ยิ้ม”
“อีกนิดปากมึงจะเลยไปติดขมับละ” ผมยกขึ้นจับขมับ เห้ย บ้าไปแล้ว ปากติดขมับนี่ออกรายการทีวีได้เลยนะ
“พี่ภูมิ! ” เสียงโฮ่งเล็กๆจะโกนมาจากที่แสตนด์เชียร์ ไอ้ลูกหมายิ้มกว้างหางกระดิกดิ๊กๆ
“อ้อ นี่สาเหตุสินะ...”
รู้ดีไปหมด...
ว่าแต่ทำไมเรียกไอ้ภูมิไม่เรียกชื่อเค้าวะ หมอกับภูมิชื่อก็พยางค์เดียวเหมือนกัน ยืนติดกันด้วยเนี่ย
แล้วมันทำไมหรือกูเป็นวิญญาณ ได้แต่คิดแล้วก็พาลหงุดหงิด ยิ่งเห็นมันพยายามตะเกียกตะกายมาโชว์ยิ้มแป้นๆบนหน้ามันให้คนเห็นทั้งสนามยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
“ว่าไงไอ้น้อง” ไอ้ภูมิเงยหน้ายิ้มให้มัน เพราะแสตนด์คนดูอยู่สูงกว่า มองมุมนี้ตัวมันยิ่งเล็กกว่าเดิมอีก โผล่มาแต่หน้ากลมๆ
“พี่แพ้บอล ผมก็แพ้ลีด โคตรสายใยพี่น้องเลยว่ะ”
“มันน่าอวดไหมวะเนี่ย”
“อู้มึงลงมาคุยดีๆดิ๊ ปีนรั้วเดี๋ยวตก” ผมเปิดฝาน้ำเตรียมกระดก ตาเหลือบไปมองเห็นมันปีนรั้วคุยโดยมีเพื่อนมันสองสามตัวคอยพยุงอยู่ข้างๆ เห็นแล้วทุลักทุเล มันพยักหน้ารับ วิ่งผลุบหายเข้าไปซักพักก็ลงมาโผล่ตรงสนาม
ใบหน้าแป้นลูกหมาโผล่มาชัดๆเลยเพิ่งสังเกตว่าหน้าที่คุ้นเคยไม่เหมือนที่เคยเห็นทุกวันก่อนนอน
“นี่หน้าหรือหนังสือเรียน ทำไมหนาขนาดนี้” ผมเดินเข้าไปจับหน้ามันหันซ้ายหันขวา แก้มสีชมพูนี่ชมพูอยู่แล้วหรือมันมาปัดๆเอาใหม่วะ แล้วนี่ทาลิปหรอทำไมปากแดงขนาดนี้ แล้วทำไมแต่งหน้าตรงคางต้องสีเข้มหรือมันทาไม่เต็มหน้า แล้วมันเป็นเครื่องสำอางประเภทไหนที่เหงื่อออกแล้วยังไม่หลุดขนาดนี้วะ ปูนป่ะเนี่ย ไม่รู้ตัวมือเขาก็ป้วนเปี้ยนอยู่เต็มหน้าไอ้ตัวดีจนมันต้องสะบัดหน้าออกด้วยความรำคาญ
“เจ็บๆ แต่งหน้าลีดมันก็หนาแบบนี้แหล่ะพี่ เนี่ยเดี๋ยวต้องไปลบแต่งหน้าเดือนต่อ หน้าพังแน่เลย” มันบ่นๆ ระหว่างบ่นผมก็เอามือปาดๆแก้มมันออก โปะมาได้หนาอะไรขนาดนี้คนแต่งหมั่นไส้ลูกหมาเค้าป่ะวะ ขูดไปถมถนนได้เลยมั้ย
“ทำไมอ่ะพี่หมอ มันแต่งหน้าแล้วไม่น่ารักหรอ” เพื่อนคนนึงในกลุ่มมันถามมา หน้าโง่ๆ จำไม่ติดน่าจะชื่อเติ้ลรสแอปแปด เพราะให้ภูมิตั้งให้
“ไม่”
“เห้ย จริงอ่ะ นี่พี่ตากล้องสโมถ่ายไปตั้งเยอะ ตลกหรอพี่”
“ไม่ได้ตลกแต่ไม่น่ารัก” ผมลองเอานิ้วถูๆดู หลุดติดมือมาเลย
“เดี๋ยวผมรับไปลบดีกว่า เสียเซลฟ์ว่ะ” ไอ้อู้งอหน้า ผมเลยดีดเหม่งมันไปหนึ่งที ทำหน้างอนๆแบบนี้เห็นแล้วมันอยากแกล้งจริงๆ แต่ถึงงั้นผมไม่แก้หรอกว่ามันน่ารัก เพราะไม่น่ารักจริงๆ ผมไม่ชอบ หน้าแก่กว่าเดิมเยอะเลย แถมยังดูเคลือบๆไปหมด ยิ้มทีเห็นรอยย่นร่องแก้มเลย แต่งหน้าลุคปีสี่หรอวะ แต่งยังไงให้ปีหนึ่งหน้าแก่ขนาดนี้
“แข่งเดือนกี่โมง”
“เนี่ย เดี๋ยวต้องไปแสตนบายแล้ว พี่ขึ้นต่อจากประกาศผลเลยใช่ป่ะ”
“ไม่ๆ วงมหาลัยอื่นขึ้นก่อนวงแล้วกูวงปิด” มันพยักหน้ารับ
“พี่หมอต้องซื้อดอกไม้โหวตผมด้วยนะ ในงานมันมีให้ซื้อ” ผมมองปากแดงๆของมันขยับขึ้นขยับลงแล้วรู้สึกปั่นป่วนในท้อง แม่งเอ๊ย เหมือนพอถูกชี้ทางธรรมว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไง ไหงมันน่ารักขึ้นวะ โคตรน่างับ ปากผู้ชายมันเล็กจิ้มลิ้มขนาดนี้ก็ได้หรอ
... เห็นหน้าเด็กขอดอกไม้ก็อยากจะซื้อให้ทั้งสวนและที่ดินเลย ไอ้แบบนี้มันคือความรู้สึกของพวกเสี่ยงเลี้ยงเด็กเค้ารู้สึกกันใช่ไหม
หนักแล้วหมอหนักแล้วจริงๆ ใจจะล้มละลายไม่พอ สถานะทางการเงินกูก็เริ่มสั่นคลอนแล้ว
“เออ มึงก็เข้าใจขอถูกคนนะอู้”
“พี่หมอไม่ซื้อให้มึงหรอก ใช่มะพี่”
ใช่..
ใช่ห่าอะไร กูกำแบงค์พันแล้ว!
“ไรวะ โคตรขี้งก ไม่คุยด้วยแล้วผมไปเตรียมตัวก่อนดีกว่า” มันยู่หน้าแบบที่ชอบทำเวลางอนๆ หมั่นไส้จนต้องยกนิ้วไปคีบจมูกมันซักที
“มึงต้องมาดูกูนะ สัญญามาไอ้ลูกหมา”
“ย้ำรอบที่ร้อยละพี่ จะร้องเพลงอะไรมาตื๊อขนาดนี้อ่ะ ไหนบอกชื่อเพลงมาซิ”
“เพลงน้ำตาบักเตี้ย”
“ไอ้เหี้ยพี่หมอ”
“เออน่า มึงก็มาฟังเองดิวะ” ผมผลักหน้าแป้นมันเบาๆ แต่หัวมันดันเซแท่ดๆไปไกล กะแรงเล่นด้วยไม่ค่อยถูกเลยไอ้ลูกหมานี่
“โห่ยยยย ไรวะพี่ แค่เพลงแค่นี้ก็บอกไม่ได้อ่อ”
“เห้ยอู้ ได้เวลาที่พี่ปีสองนัดมึงแล้ว ไปเถอะ” เพื่อนมันสะกิดยิกๆ ไอ้อู้ยกมือถือขึ้นมาดูนาฬิกาก่อนจะสะดุ้งเฮือก ท่าทางกลัวขึ้นสมองขนาดนี้เดาเอาว่าน่าจะไม่พ้นหญิง เพราะหญิงไม่ได้ลงแข่งบอล หญิงคงย้ายไปอยู่ฝ่ายจัดการดาวเดือนแทน ในสายตาผมหญิงเป็นน้องคณะที่นิสัยดี ยิ้มง่าย เข้ามาด้วยลุคทอมห้าวๆแต่ก็เวลาทำกิจกรรมก็จริงจังขนาดเป็นพี่ว้ากได้
“ชิบหายละ ไปแล้วนะพี่ เจอกันที่เวที” ไอ้ลูกหมารีบหันหัววิ่งออกไปทางประตูยิมพร้อมกับเพื่อน ถึงจะย้ำไปแล้วร้อยรอบ แต่ก็จะขอย้ำรอบที่ร้อยหนึ่งหน่อยเถอะวะ
“อู้! มึงต้องมาดูกูนะ!!”
“อื้อออออ!!” มันหยุดหันมาป้องปากตะโกนแล้วก็วิ่งต่อ ขาสั้นๆซอยยับแต่ดันตามเพื่อนที่วิ่งเหยาะๆไม่ทันไม่รู้จะสงสารหรือเอ็นดูมันดี แต่ที่แน่ๆ
ปากกูติดขมับอีกแล้ว ให้ตาย ...
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]