(Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (Omegaverse) Love Bites ซ่อนรอยรัก Special (13/7/19) P.6  (อ่าน 43414 ครั้ง)

ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
บทที่ 13



“จะให้นั่งรออีกนานแค่ไหน?” ริชาร์ดนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวในห้องรับรองสุดหรู ไม่ได้ตกอยู่ในสภาพโดนมัดมือมัดเท้าโดนซ้อมรุมกินโต๊ะ หรือถูกขังในห้องโกดังสกปรกเยี่ยงคนที่ถูกลักพาตัวมาควรจะเป็น มีแค่คนยืนเฝ้าประหนึ่งบอร์ดี้การ์ดสองคน และหนึ่งในนั้นก็มีคนที่มีรอยช้ำที่มุมปากซึ่งก็เกิดจากหมัดของเขาเองนั่นแหละ

“กรุณารออยู่เฉยๆเถอะครับ พวกผมไม่อยากเจ็บตัว” สถานะดูจะกลับกัน ปกติมีแต่คนร้ายขู่เหยื่อไม่ให้ขัดขืนหากไม่อยากเจ็บตัว แม้แต่คนโดนพาตัวมาเองก็ยังสงสัยว่าเป็นบ้าอะไรกันไปหมด

คนรับใช้ที่กำลังจะเสิร์ฟกาแฟเพิ่มให้ แต่แขกที่ถูกเชิญมาแบบไม่เต็มใจนักยกมือปฏิเสธเนื่องจากดื่มรอเจ้านายของคนพวกนี้ไปหลายแก้วแล้ว เกรงว่าคาเฟอีนจะทำให้คืนนี้นอนไม่หลับ แต่เอาเข้าจริงโดนหิ้วมาแบบนี้ต่อให้ได้นอนบนเตียงคิงไซส์เหมือนโรงแรมห้าดาวยังไงก็หลับไม่ลงหรอก

“เขาเป็นใคร?” ซีอีโอหนุ่มหันไปถามอีกคนที่ยืนกดโทรศัพท์เงียบๆ อีกฝ่ายเลยหยุดมือเงยหน้าขึ้นมาตอบเขากวนๆ ว่า ‘เดี๋ยวก็รู้’

ให้ตาย...เป็นการโดนลักพาตัวที่น่าเบื่อมาก ไม่เห็นตื่นเต้นเหมือนในละครสักนิด

ริชาร์ดนั่งเงกไร้ความตื่นเต้นไปอีกพักใหญ่ๆ จนในที่สุดคนที่สั่งให้ไปพาตัวเขามาก็ปรากฏตัวเสียที เท่าที่ริชาร์ดประเมินด้วยสายตาดูแล้ว ชายหนุ่มตรงหน้าเขาหน้าตาค่อนไปทาง ‘คนใจดี’ พอใช้ได้ แอบคิดในใจคงอายุมากกว่าเขานิดหน่อยแต่ก็คงแค่ไม่กี่ปี และไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนเคยเห็นหน้าผู้ชายคนนี้ที่ไหนมาก่อน ทั้งๆที่เพิ่งจะเคยพบกันเป็นครั้งแรก

อีกฝ่ายยื่นมือมาให้เพื่อทักทาย ซีอีโออัลฟ่าจึงต้องลุกขึ้นยืนจับมือตามมารยาท และแอบยืดในใจเพราะตนสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด

“ต้องขอโทษมิสเตอร์เบอร์ตั้นด้วยจริงๆ ที่เด็กๆ ของทางนี้ทำรุนแรงเกินกว่าเหตุไปหน่อย” เมื่อปล่อยมือออก ลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ส่งผ้าเช็ดมือมาให้เจ้านายของตนเช็ดมือราวกับเพิ่งแตะต้องสิ่งสกปรกมา

ควรจะขอโทษที่ปล่อยให้เขารอจนเอียนกาแฟสำเร็จรูปรสชืดๆ พวกนี้ดีกว่าไหม? แล้วไอ้ท่าทางราวกับเห็นเขาเป็นสิ่งน่ารังเกียจแบบนี้มันหมายความว่าไง

“คุณเป็นใคร แล้ว ‘เชิญ’ ผมมาที่นี่ต้องการอะไร?” ริชาร์ดจงใจเน้นเสียงนิดหน่อย ยังแอบหัวเสียเพราะรถคันโปรดโดนลูกน้องของทางนั้นทุบเสียจนหมดราคา ถึงมีประกันรถแต่ขอเรียกเก็บค่าซ่อมกับค่าทำขวัญเพิ่มด้วยได้มั้ย?

“ถ้าคุณรู้ว่าผมเป็นคนทำให้ประธานรอสเกรย์ต้องนอนหมดสภาพอยู่ที่บ้านของตัวเอง คุณจะยังอยากทำความรู้จักกับผมอยู่มั้ยครับ” รอยยิ้มและคำพูดแสนนุ่มนวลออกมาจากปากคนตรงหน้า แต่ด้วยสิ่งที่เอ่ยออกมาทำเอาริชาร์ดเริ่มรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ คนตรงหน้าช่างคล้ายกับตัวร้ายในหนังสมัยนี้ที่ดูเป็นผู้ดีรักสันติแต่จริงๆ ทั้งอันตรายและร้ายลึก

“คุณเป็นโอเมก้างั้นเหรอ?” แม้จะไม่ได้กลิ่นฟีโรโมน แต่ด้วยความที่ตนก็เคยเห็นโอเมก้ามามากพอจะแยกแยะออกได้ด้วยรูปร่างภายนอก หรือแม้แต่คนที่ภายนอกดูคล้ายเบต้าอย่างลาซารัสเขาก็คลุกคลีอยู่ด้วยกันมาสักพักใหญ่พอจะจับสังเกตได้

แววตาของอีกฝ่ายถลึงจ้องมองมาที่เขาราวกับเข็มแหลมทิ่มแทง หากแต่ริมฝีปากปากกลับยังคงยิ้มดังเดิม “สมแล้วที่เป็นนายหน้าค้าโอเมก้า มองปราดเดียวก็รู้ได้เลยสินะครับ”

“ห้ะ? ว่าใครเป็นนายหน้ากันนะ?” ซีอีโอหนุ่มกังขากับอาชีพใหม่ที่โดนยัดเยียดให้ แต่ก็พอจะเดาได้แล้วว่าทำไมตนถึงโดนอุ้มมาแบบนี้ “นายเข้าใจอะไรผิดแล้วจับตัวมาผิดคนรึเปล่า ฉันไม่ได้ทำงานแบบนั้นสักหน่อยนะ”

“อยากจะปฏิเสธยังไงก็เรื่องของคุณเถอะครับ” อีกฝ่ายเชิญตัวเองนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ ร่างสูงก็ขอนั่งตามแม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้นั่ง ดูท่าทางเขาจะเจอคนหัวรั้นประเภทพูดอธิบายด้วยไม่รู้เรื่องเข้าให้ซะแล้ว แถมดูท่าทางจะเกลียดชังอัลฟ่าเข้ากระดูกดำเลยด้วย

“ประธานเขาไปทำอะไรให้คุณ ถึงต้องไปทำร้ายเขาด้วย”

“ถามตามมารยาทหรือว่าเป็นห่วงเขาจริงๆกันล่ะครับ”

“เอาตรงๆ ก็ถามไปงั้นล่ะ แอบสะใจด้วยซ้ำ”

“โฮ่…” โอเมก้ามากวัยกว่ายกมือเท้าคางมองริชาร์ดด้วยแววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูเหมือนจะพอใจที่อัลฟ่าตรงหน้าไม่ได้ลงรอยกับประธานคนนั้น “เห็นมิสเตอร์เบอร์ตั้นบอกว่าผมเข้าใจคุณผิด งั้นจะช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าเรื่องจริงๆ เป็นยังไง”

ปกติแล้วซีอีโอหนุ่มแทบจะไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร แต่ดูจากสายตาเอาจริงคู่นั้นแล้วลองเขาไม่คายความลับออกมาดูสิ ได้ไปนอนเป็นผักตามพี่ชายคาเล็มอีกคนแหงๆ

ให้ตาย...เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอโอเมก้าที่น่ากลัวกว่าอัลฟ่าก็วันนี้แหละ

เป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงที่ริชาร์ดนั่งเล่าพลางอธิบายให้อีกฝ่ายฟังว่าเหตุใดเขาจึงติดต่อกับอัลฟ่ามากหน้าหลายตาและส่งตัวโอเมก้าซึ่งเป็นผู้ป่วยของเพื่อนให้คนเหล่านั้นรับไปดูแลต่อ

“จำเป็นถึงขนาดต้องส่งตัวโอเมก้าให้อัลฟ่าพวกนั้นด้วยหรือครับ ถ้ารักษาจนแข็งแรงหายดีได้ขนาดนั้นก็น่าจะจบแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตต่อจากนั้นด้วยตัวเอง”

ริชาร์ดมุ่นคิ้วแต่ก็นั่งฟังต่อ ดูท่าทางคนตรงหน้าเขาจะไม่ค่อยชอบใจวิธีการนี้สักเท่าไหร่

“พวกคุณดูถูกโอเมก้าอย่างเราเกินไป คิดหรือว่าเราจะเอาตัวรอดกันไม่ได้หากขาดอัลฟ่าคุ้มหัว คุณและเพื่อนอาจจะทำไปด้วยความหวังดีต่อโอเมก้าที่ถูกกดขี่ แต่ในมุมมองของผมมันเหมือนกับพวกคุณเก็บสัตว์ที่บาดเจ็บเพราะถูกทำร้ายมารักษาจนหาย แล้วหาคนใจดีมารับไปเลี้ยงดูแทน”

“ถ้าใช่แล้วมันผิดด้วยหรือ หรือสิ่งที่พวกเราทำมันยังไม่ดีพอ คุณบอกมาสิว่าเราควรช่วยเหลือพวกเขายังไงต่อ?”

“นั่นก็…” จู่ๆ โอเมก้ามากวัยกว่าก็ชะงักไป ทำไมเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่ถึงกลายเป็นการปรึกษาเพื่อหาทางออกให้ทุกฝ่ายก็ไม่ทราบ “...เอาเป็นว่าตอนนี้ผมเชื่อแล้วว่าคุณไม่ได้ทำเรื่องผิดมนุษยธรรมอย่างที่ทางเราได้เข้าใจผิดไป มิสเตอร์เบอร์ตั้น”

“ถ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” แม้ว่าในใจจะยังโกรธในหลายๆ เรื่องจนอยากฟ้องร้องให้ไปสู้กันในชั้นศาล แต่ริชาร์ดก็เห็นสมควรว่ายอมๆ ให้มันจบเรื่องไปเสียดีกว่า อย่างไรเสียมันก็แค่เรื่องเข้าใจผิด “แต่ว่าก็ว่าเถอะ…คุณไปได้ยินข่าวลือพรรค์นั้นมาจากไหนว่าผมเป็นนายหน้าค้าโอเมก้า?”

“มีใครบางคนที่เจ็บแค้นเพราะสิ่งที่คุณทำไว้กับเขาบอกผมมาน่ะ”

แล้วเอ็งก็หลงเชื่อเนี่ยนะ?

“ใคร?” เขากอดอกพยายามนั่งนึก ถึงจะไม่คิดว่าตัวเองไปสร้างศัตรูไว้ที่ไหนแต่บางทีก็คงไปเหยียบหางใครเข้าโดยที่ไม่รู้ตัวแน่ๆ

“พ่อของคุณนั่นแหละมิสเตอร์” ชายหนุ่มโอเมก้าหัวเราะคนที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจนคิ้วหนาๆ นั้นแทบจะพันกันเป็นโบอยู่รอมร่อ “ผมถูกใจไวน์ที่เขาผลิตเลยเดินทางไปติดต่อซื้อขายไวน์ถึงที่ฟาร์ม แล้วพวกเราก็ดื่มกันไปพอสมควร แต่เขาเมามากก็เลยพล่ามเรื่องของลูกชายเนรคุณที่เอาพ่อไปทิ้งไว้ที่บ้านนอกแล้วก็เรื่องอื่นๆ ให้ฟังเยอะแยะเลยล่ะครับ เขาด่าคุณว่าสารเลวซะจนผมมองภาพลักษณ์คุณติดลบไปเลยล่ะ”

ไอ้แก่เอ๊ย! ให้ไปทำไร่องุ่นอยู่สงบๆ แถบชนบทดีๆ ไม่ชอบ ดูท่าจะอยากโดนส่งไปบ้านพักคนชรามากกว่าสินะ!

“โว้ย! จบเรื่องเมื่อไหร่จะโทรไปด่าให้ลืมวิธีหมักไวน์เลยคอยดู!” จากที่รักษามาดมาตลอด ตอนนี้ริชาร์ดโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยากวิ่งไปเตะก้นพ่อบังเกิดเกล้าที่ปากพาจน เกือบจะส่งลูกตัวเองไปนอนก้นทะเลแล้วมั้ยล่ะ

“เดี๋ยวผมจะให้เด็กๆ ไปส่งคุณก็แล้วกัน ส่วนเรื่องค่าเสียหายและเรื่องอื่นๆ ทางผมจะรับผิดชอบเอง”

มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว! ซีอีโอหนุ่มได้แต่ว้ากคนเดียวในใจ โทรศัพท์และถุงจากร้านจิวเวลลี่ที่โดนยึดไปในตอนแรกถูกส่งคืน เขาเปิดดูกล่องแหวนเช็คความเรียบร้อยว่ายังไม่บุบสลายก่อนจะเปิดเครื่องเพื่อโทรหาเจสสิก้าว่าตนปลอดภัยดีแล้วซะอีก

“เหวอ! โทรมาให้เพียบ” ปลายนิ้วกดโทรหาคนที่กระหน่ำติดต่อเขาแทบจะเรียงคนเพราะดูท่าทางจะพิมพ์อธิบายไม่ไหว จนกระทั่งถึงเบอร์เพื่อนสนิท “เออๆ ไม่เป็นไรแล้ว แค่เรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย”

โอเมก้ามากวัยกว่ามองดูริชาร์ดที่อิมเมจผิดกับที่ตนคาดไว้ ถึงจะเป็นอัลฟ่าแต่ก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายขนาดนั้น ก่อนจะหันไปสั่งคนให้เตรียมรถไปส่งซีอีโอเบอร์ตั้น

“อืม...แล้วเจอกันนะคาเล็ม” ร่างสูงกดวางสายพลางถอนหายใจ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเจ้านายของพวกที่ลักพาตัวเขาจ้องมองมาทางนี้ด้วยสายตาตกตะลึงผิดปกติ

“ตะกี้คุณคุยกับใคร?”

“เอ่อ เพื่อนน่ะ คนที่เป็นหมอรักษาโอเมก้าที่เล่าให้ฟัง”

“ชื่อล่ะ? เขาชื่ออะไร?” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่าทางนั้นดูลนๆ พิกล

“ศจ.ด็อกเตอร์คาเล็ม รอสเกรย์ น้องชายของประธานรอสเกรย์ แต่พวกนั้นไม่ถูกกันหรอกนะ พี่กับน้องนี่คนละเรื่องกันเลย” ริชาร์ดรีบแก้ต่างให้เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะเล่นงานคุณพี่ชายจนหมดสภาพไปหมาดๆ เกรงว่าจะพาลไปถึงพวกน้องชายด้วย

“เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้ว” อีกฝ่ายถอนหายใจแล้วยกมือขยี้ผมตัวเองเบาๆ “งั้นเหรอ...เผลอเสียมารยาทกับเพื่อนของเขาซะแล้วสินะ”

“ห้ะ?”

“มิสเตอร์เบอร์ตั้น ผมอยากจะรบกวนขอให้คุณพาผมไปเจอกับด็อกเตอร์คาเล็มหน่อยจะได้รึเปล่า”

ประโยคขอร้องแต่ฟังดูราวกับเหมือนจะบังคับกลายๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วใครล่ะจะกล้าปฎิเสธ



(ยังมีต่อ)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คนที่จับริชาร์ด มาเป็นหัวหน้าและเป็นโอเมก้า  :katai1: :katai1: :katai1:
ท่าทางชื่นชอบคาเล็ม เพราะคาเล็มผลิตยาเพื่อโอเมก้า
เข้าใจผิดกัน เพราะพ่อริชาร์ด แต่ไม่สืบเรื่องริชาร์ดมาก่อนเลย
แต่เกิดเรื่องนี่ทำให้ริชาร์ดเข้าใจพ่ออีกระดับหนึ่งละ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ 2pmui

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1510
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-6
ในที่สุดเราก็เจอโอเมก้าแซ่บๆ
เชียร์อิตาโอเมก้าคนนี้ ทำไมไม่จัดการอิตาริชสักดอกสองดอกค่อยคุยกันน้า เสียดายจัง  :laugh:

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ฉันไม่นึกว่าจะหักมุมแบบนี้

ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
รู้สึกเหมือนจะหักมุมนิดๆๆๆๆๆ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2

ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura

“กลัวรึเปล่าคะคุณแมทเวย์?”

“ไม่ครับ…ไม่” จะพูดว่ากลัวพวกคุณมากกว่าก็กระไร… ลาซารัสนั่งตัวลีบหดอยู่ในรถคันหรูโดยมีสองสาวใช้นั่งขนาบข้างและอีกหนึ่งคนนั่งที่ด้านหน้า แน่นอนว่าทุกคนแม้แต่คนขับรถยังคงอยู่ในโหมด ‘เฝ้าระวัง’ ที่มีอาวุธครบมือ พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปที่ตึกสำนักงานของริชาร์ดเพื่อพบกับคาเล็มในช่วงบ่าย แดดจ้าภายนอกไม่สามารถช่วยเพิ่มอุณหภูมิในตัวของลาซารัสได้แม้แต่น้อย รถแอร์ก็เย็น ตัวเขาก็เย็นไปด้วย…

“วันนี้คุณแมทเวย์ไม่ได้กินยาระงับอาการฮีท น้ำหอมก็ไม่ได้ฉีดมา เกรงจะเกิดอันตรายต่อคุณได้ คุณริชาร์ดก็เลยบอกว่าให้พวกเรามาด้วยน่ะค่ะ” เจนหันมาอธิบายชายหนุ่มที่ทำตัวไม่ถูก

“ปลอดภัยจริงๆสินะครับ” ลาซารัสโล่งอก แม้ตอนนี้อัลฟ่าเจ้าของชีวิตจะไม่ได้โผล่มาให้เห็นว่ายังครบสามสิบสองดี แต่ก็ทำให้โล่งใจไปมาก ตอนนี้เขาเลยเริ่มตื่นเต้นที่จะได้เจอกับคาเล็มมากกว่า หลังจากที่แอบนัดไปเจอกันที่ร้านอาหาร พวกเขาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย… แค่เดือนนิดๆเอง ทำไมรู้สึกนานขนาดนี้กันล่ะ

“ถึงแล้วสาวๆ พาคุณแมทเวย์ขึ้นไปหาคุณเบอร์ตั้นดีๆล่ะ อย่าลากไปกินกันซะก่อน” พี่ชายคนขับรถที่ดูจะแก่กว่าเพียงไม่กี่ปีพูดแซว

“ดูแลรถดีๆล่ะกันย่ะ เดี๋ยวก็โดนทุบพังอีกคัน” ลอร่าแซวกลับและเปิดประตูลงไป ทั้งสามสาวอยู่ในชุดสูทลำลองสบายๆอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน คงเพื่อที่จะได้ออกมาข้างนอกได้สบายๆตัว

ลาซารัสที่ตอนนี้ไร้ปราการป้องกันใดๆก้าวเข้าไปในตึกสูงใหญ่อย่างกล้าๆกลัวๆ พอไม่ได้กินยามาแล้วก็กลัวตัวเองจะไปเผลอฮีทตอนได้กลิ่นอัลฟ่าที่ไหนจริงๆ.. แต่เนื่องจากตอนนี้เวลาบ่ายกว่าๆ แดดจ้าสว่างยันด้านในตัวอาคาร เหล่าพนักงานคนอื่นๆก็เข้าไปทำงานกันหมดแล้ว เหลือเพียงพนักงานต้อนรับที่ดูจะรู้ว่าควรพาพวกเขาไปที่ไหนเมื่อเห็นหน้าของสาวใช้ที่มาด้วย

พนักงานต้อนรับชายเดินพาพวกเขาไปยังที่นัดพบ ลาซัสใจเต้นระส่ำ เขาจะได้เจอคาเล็มแล้ว.. จะได้ลองยาแบบไหน? ที่สำคัญคือเขาอยากขอโทษเรื่องเมื่อวันก่อนด้วย… ตอนนี้หลายต่อหลายเรื่องตีกันในหัวโอเมก้าหนุ่มจนเหม่อลืมมองทางและปล่อยให้สาวๆลากเขาไป

“คุณแมทเวย์คะ ถึงแล้วค่ะ”

“ฮ้ะ?”

“ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นก็ได้ค่ะ หน้าซีดหมดแล้ว” เจนหัวเราะและพาเขาเข้ามาในร้านกาแฟขนาดใหญ่ที่อยู่ในอาคาร พนักงานประปรายภายในร้านบ้างหันมามองเขาเหมือนจะแปลกใจที่มีลูกค้าขาจรเข้ามา แต่ก็ไม่ได้จ้องอยู่นานเพราะกำลังรีบปั่นงานกันอยู่…

“ค...คุณริชเค้านัดที่นี่เหรอ?” ร่างโปร่งมองไปมาก่อนไปสะดุดตากับบาริสต้าแสนคุ้นเคยตรงเคาท์เตอร์ สีผมจัดจ้านนั้นทำให้เขาจำได้ในทันที “คุณโคลวิส?”

“สวัสดีลาซารัส” โคลวิสกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม “ทำหน้าตื่นเชียว ไม่ได้มาครั้งแรกไม่ใช่เหรอ?”

“ครับ.. แต่ ไม่เคยเดินมาแถวๆนี้น่ะ” ลาซารัสพูดไปเรื่อยพลางกวาดตามองหาคนอื่นๆที่นัดไว้ “แล้ว...คุณริช...เอ๊ย! คุณ ริชาร์ดล่ะครับ?”

“ยังไม่มา แต่เหมือนเพื่อนเขาจะมาแล้วล่ะ” บาริสต้าหัวสีเดินพาเขาไปที่หน้าห้องประชุมที่ริชาร์ดได้ทำการจองไว้ ความจริงพอรู้ว่าริชาร์ดจำเป็นต้องใช้ ห้องอื่นๆก็ดันพากันโล่งโจ้งราวกับไม่อยากรบกวนเจ้านาย “เอาอะไรมั้ย?”

“ไม่เป็นไรครับ”

“โอเค งั้นคุณผู้หญิงเชิญลือกที่นั่งได้เลยครับ” โคลวิสหันไปหาสาวน้อยที่ท่าทางจะรู้จักกันอยู่แล้ว

“ค่า”

“ขอมอคค่าเหมือนเดิมนะ!”

“ฉันเอาลาเต้เย็น”

เหมือนคนที่พามาจะรู้งาน พวกเธอผละออกจากลาซารัสไปเมื่อมาส่งถึงที่หมายอย่างสวัสดิภาพและไปเลือกโต๊ะที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ลาซารัสหันมามองประตูกระจกฝ้าเบื้องหน้า เงาคนสองคนในนั้นก็พอจะเดาได้ว่ามีใครอยู่ข้างในบ้าง

ตอนนี้ในอกเขาบีบแน่นไปหมด ประหม่าสุดๆทั้งที่ก็มั่นใจว่าเตรียมตัวมาดีแล้ว จะทำหน้ายังไงดี? ไม่สิ แค่ทำตัวปกติก็พอแล้วนี่? ทำไมมันยากจัง! ร่างโปร่งสูดหายใจเข้าลึกและกลั้นใจเปิดประตูเข้าไปข้างใน

“อ้าว มาคนเดียวรึ?” เออร์แฟนทักเขาขึ้นมาก่อน โต๊ะขนาดกลางกับเก้าอี้ห้าถึงหกตัวถูกวางอย่างระเกะระกะเล็กน้อยเหมือนกับว่าเมื่อเช้าเพิ่งจะมีคนเข้ามาใช้แล้วลืมเก็บ

“ครับ” ลาซารัสตอบสั้นๆ ดวงตาสีฟ้าสดเลื่อนไปมองอีกคนที่นั่งจ้องแท็ปเล็ตในมือด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเป็นปกติ เขาอยากจะทักเหลือเกินแต่ความกล้าที่มีมันก็ดันฟ่อซะหมด โอเมก้าหนุ่มยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าประตูครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆขยับไปนั่งที่เก้าอี้ที่ใกล้ตัวเขาที่สุดตอนนั้น

“มานี่” ในที่สุดคาเล็มก็ละสายตามาหา เขายกมือขึ้นกวักเรียกเหมือนเรียกเด็กตัวน้อยที่กำลังกลัว ลาซารัสสะดุ้งแล้วลุกพรวดไปหาแทบจะทันที “นั่งตรงนี้”

“ค...ครับ” ร่างโปร่งตอบรับเสียงสั่นแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆคาเล็ม คุณหมอยกกระเป๋าขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วหยิบซองยาจำนวนมากออกมาวางไว้ รวมทั้งขวดน้ำหอมที่สีด้านในดูแปลกตากว่าปกติ และนาฬิกาเจ้ากรรมนั่น! เขาต้องใส่มันอีกเหรอ!?

“...เอ่อ..”

“พอดีไม่ค่อยมีเวลาน่ะ คงต้องบอกเรื่องเวลากินยาเลย..แล้วก็ผลข้างเคียงที่ต้องรีบหยุดยาแล้วรายงานฉันได้” คาเล็มไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูดอะไรมากความและเริ่มสาธยายเรื่องยาตัวใหม่ที่เขาจะจ่ายให้ “ซองนี้ ยาระงับอาการฮีท คล้ายกับแบบปกติที่ให้นายกิน แต่ฉันเปลี่ยนไปใช้สารตัวอื่นที่ไม่มีการตกค้าง ไม่แน่ใจเรื่องการออกฤทธิ์ว่ามันจะมีประสิทธิภาพขนาดไหน เพราะงั้น กินแค่หนึ่งเดือนแล้วบันทึกผลมาให้ฉัน เดี๋ยวจะพิจารณาเปลี่ยนยาให้”

ยาหลายต่อหลายซองถูกยกขึ้นมาวางและเก็บลงไปพร้อมกับคำอธิบายยาวพรืด แต่ด้วยภาษาเข้าใจง่ายทำให้ไม่ยากต่อการจำ ลาซารัสเองก็กันพลาดด้วยการจดตามจากกระดาษที่ยึดสมุดของคาเล็มมาเขียนโดยที่คาเล็มเองนั่นแหละที่ยื่นมาให้

“สุดท้าย..นายอาจจะไม่ชอบมัน แต่ก็คงต้องขอให้ใส่มันไว้”

“ครับ..” ลาซารัสยิ้มแห้งให้กับนาฬิกาที่คาเล็มยกขึ้นมาให้ดู ส่วนเรื่องที่ว่ามันทำอะไรได้บ้างเขาก็จำได้แม่นยำทีเดียว แต่เหมือนเรือนนี้จะขนาดใหญ่กว่าอันเก่าหรือเปล่านะ?

“แต่อันนี้ไม่เหมือนอันเดิมนะ มันจะคอยเตือนให้นายกินยาด้วย กันลืมน่ะ” คาเล็มหยิบข้อมืออีกฝ่ายขึ้นมาอย่างถือวิสาสะและใส่ให้ทันที “และ..มันจะฉีดยาให้นายทันทีถ้านายไม่ได้รับยา…”

“หา!?”

“ริชาร์ดมาแล้วนะ” เออร์แฟนเงยหน้าขึ้นมาบอกคาเล็มที่กำลังง่วนอยู่กับการพยายามใส่นาฬิกาให้อีกฝ่าย “....เรื่องสัญญาเดี๋ยวฉันไปคุยกันข้างนอก ยังไงก็ให้โอเมก้าฟังไม่ได้อยู่แล้ว”

ว่าแล้วเออร์แฟนก็เดินออกจากห้องประชุมนี้ไป ปล่อยให้คุณหมอกับตัวทดลองอยู่ในห้องกันลำพังสองคน คาเล็มจัดการนาฬิกาให้กระชับแน่นพอจะไม่ให้หล่นหายไปไหนแม้จะเล่นกีฬาหนักขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อเขาสวมมันให้ลาซัสได้เรียบร้อย เขายังไม่ยอมปล่อยมือนั้นออก ...ทั้งสองไม่ได้มองหน้ากัน…

“...หัวใจเต้นเร็วนะ” คาเล็มพูดเมื่อเห็นว่านาฬิกามันแสดงอัตราการเต้นของหัวใจของอีกฝ่ายบนหน้าปัด แต่ไม่ต้องมองมันเขาก็รู้อยู่แล้วว่าเพราะอะไร… “เหนื่อยเหรอ?”

“นิดหน่อยครับ” ลาซารัสตอบสั้นๆ พยายามไม่ให้เสียงสั่น “คุณหมอ...สบายดีรึเปล่า?”

“ก็ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร” คำพูดที่แสนคุ้นเคยจากคนที่เคยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันจนถึงเมื่อไม่นานมานี้ ลาซารัสแอบโล่งใจที่คุณหมอคาเล็มก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

“เรียบร้อยแล้ว นายกลับไปพักผ่อนได้แล้วล่ะ”

“เอ๊ะ? เดี๋ยวนะครับ ให้กลับเลยเหรอ?”

ทว่าร่างโปร่งก็นึกขึ้นได้ว่าคนที่มารับยาทดลองวันนี้ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว บางทีคุณหมออาจจะต้องคุยเรื่องยากับคนอื่นๆอีกก็เป็นได้ แต่นี่ก็เขาไม่เห็นใครอื่นเลย “แล้ว...คนอื่นๆล่ะครับ?”

“ถ้าหมายถึงโอเมก้าที่สมัครใจมาเป็นตัวทดลองเหมือนกับนายล่ะก็ พวกเขามารับยาเสร็จแล้วก็กลับไปแล้วล่ะ นายเป็นคนสุดท้ายของวันนี้”

“งั้นหลังจากนี้คุณหมอก็ว่างแล้วสินะครับ”

“ก็นะ...แต่เดี๋ยวฉันต้องไปเคลียร์ธุระส่วนตัวอีก เสร็จแล้วก็คงจะกลับเลย” ลาซารัสไม่แน่ใจว่าตนรู้สึกไปเองหรือเปล่านะว่าเหมือนคาเล็มจะพยายามไล่ให้เขากลับบ้านเร็วๆ ยังไงก็ไม่รู้ นี่เขาเพิ่งจะมาถึงเองนะ ทำไมทำอย่างกับว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่คนไข้มารอพบหมอตามนัดแล้วก็ได้ยากลับไปกินเพื่อรอดูผลอีกทีแบบนี้ล่ะ!

“ผม...ขอคุยกับคุณหมอหน่อยได้มั้ยครับ คือ…” คนตัวเล็กกว่าแอบกำมือแน่น ชั่งใจอยู่สักพักจึงสารภาพออกไป “ก่อนหน้านี้ผมดันฮีท แล้วก็...ทำกับคุณริชไป”

“อืม...ฉันรู้แล้ว”

“เอ๋?”

“...รู้แยู่แล้วล่ะว่ามันคงจะต้องเกิดขึ้น แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่นา” คาเล็มตอบโดยที่พยายามทำหน้านิ่งเป็นปกติ ไม่ให้ลาซารัสจับสังเกตได้ว่าเขารู้มาจากริชาร์ดก่อนหน้านี้แล้ว ทว่า...

“คุณริชบอกไปแล้วใช่มั้ยครับ…” แม้จะพูดเหมือนตั้งคำถาม แต่โอเมก้าหนุ่มค่อนข้างแน่ใจว่าอัลฟ่เจ้าของคนปัจจุบันจะต้องโพล่งไปแล้วแน่ๆ เรียกว่าเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียของคนๆนั้นเลยก็ว่าได้ที่ไม่คิดจะปิดบังความลับกับคนตรงหน้าเขา

“อือ…” ดวงตาหลังกรอบแว่นมองอดีตโอเมก้าของตนที่แอบกัดปากแน่นจนเขาต้องบอกให้อีกฝ่ายหยุด ไม่งั้นคงได้กัดจนปากห้อเลือดเป็นแน่ “เดี๋ยวปากจะเป็นแผลเอานะ”

ดวงตาสีฟ้าพยายามข่มความโกรธเอาไว้ จริงๆแล้วเขาไม่มีสิทธิจะโกรธคนๆนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่ว่า...เขาเองก็อุตส่าห์ขอร้องไม่ให้ริชาร์ดบอกคุณหมอ ทั้งๆที่สัญญาไว้แล้วแต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ผิดคำพูดกับเขาได้อย่างหน้าตาเฉย

จู่ๆลาซารัสก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้จนคาเล็มยังสะดุ้งตกใจ ร่างโปร่งหันหลังให้คุณหมออัลฟ่าตั้งใจจะออกจากห้องไปชกหน้าคนปากโป้งให้หายแค้นสักที

“เดี๋ยวสิ มานั่งคุยกันก่อนดีกว่าน่า” คาเล็มกุลีกุจอลุกไปลากลาซารัสกลับลงมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมอย่างผิดสังเกตุ “อ่า.. คงจะเริ่มบทสนทนาได้ไม่ดีเท่าไหร่ เอาใหม่ละกันนะ”

“....ที่คุณเออร์แฟนบอกว่า โอเมก้าฟังไม่ได้อะไรนั่นรึเปล่าครับ?” เห็นความผิดปกตินั้นลาซารัสก็ลองถามคาเล็มไปตรงๆ คนถูกถามสะดุ้งแล้วยกมือขึ้นปิดหน้าบางส่วนเหมือนตกใจที่โอเมก้าหนุ่มเดาได้แม่นเกินคาดเดา “สัญญาอะไรเหรอครับ?”

“ถ้าโอเมก้ารู้ได้ฉันจะรั้งนายไว้ในนี้เหรอ?”

“...นั่นน่ะสิ”

“จริงๆ..ฉันก็ยังอยากคุยกับนายอยู่” เมื่อคุณหมอเอ่ยออกมาแบบนั้นลาซารัสก็เงยหน้าขึ้นมาสบเข้ากับดวงตาสองสีที่หลังกรอบแว่น ตอนนี้มันแลดูอ่อนโยนลงเล็กน้อย สีหน้าที่เคยเคร่งเครียดอยู่เสมอก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด นั่นทำให้คนหัวร้อนเริ่มใจเย็นลงบ้าง “เอาเรื่องทั่วๆไปก็ได้ เรื่องนั้นก็...ช่างมันเถอะ”

“ครับ!” เด็กหนุ่มยิ้มออกมาแทบจะทันที “ตอนนี้...เอ่อ ผมทำขนมดีขึ้นแล้วนะครับ! แต่กล่องอยู่กับเจนข้างนอกน่ะ เดี๋ยวออกไปได้แล้วผมจะเอามาให้คุณหมอชิมนะครับ”

“อ่าฮะ” หลังจากพยายามมาหลายต่อหลายครั้งจนรูปซากศพขนมที่ทำพลาดจำนวนมากเรียงรายอยู่ในกล่องข้อความของเรนเดลเพื่อส่งมาให้คุณหมอดูก็พอจะเดาได้ “แต่ไม่นึกว่านายจะทำมาวันนี้นะ.. ได้นอนมั้ยเนี่ย?”

“ไม่ได้ทำของยากมากน่ะครับ รอยัลไอซิ่งเอง” คาเล็มหุบยิ้มลง นี่เขาคาดหวังให้เป็นของโปรดของเขาอย่าง พุดดิ้ง แสนอร่อยนั่นนะ! “พอดีผมไม่มีสมาธิเลยอ่ะครับ เลย..”

“อืมๆ ไม่เป็นไรหรอก” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่แววตากับสีหน้าเหมือนโลกใบนี้พังทลายลงก็ปรากฎบนใบหน้าคาเล็มชัดเจนจนลาซารัสรู้สึกขำมากกว่า ร่างโปร่งกลั้นหัวเราะเอาไว้จนกลายเป็นการทำหน้าตาตลกใส่เสียนี่ โชคดีที่คาเล็มไม่ได้เงยหน้ามามอง “ได้ข่าวว่าขับรถเป็นแล้ว? แถมดูจะเก่งกว่าทำอาหารด้วย?”

“ครับ…” เหมือนโดนแซวเรื่องฝีมืออันห่วยแตกของงานครัวจนคนโดนว่าทำตัวลีบเล็กลงไปอีก “ต่อไป ก็กะว่าอยากจะลองเรียนยิงปืนเหมือนที่บอกคุณหมอนั่นแหละครับ”

“อือฮึ ยังไม่ได้ถามเลย ทำไมถึงอยากลองล่ะ”

“คือว่า.. พอนึกว่าคุณหมอส่งผมมาอยู่กับคุณริชเพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยแล้ว ผมก็เป็นห่วงคุณหมอเหมือนกัน คุณริชเล่าเรื่องพี่ชายของคุณหมอให้ฟัง...ท่าทางจะเป็นคนอันตรายน่าดูเลย” ลาซารัสก้มหน้าลง พอนึกถึงสายตาของพี่ชายคนโตตระกูลรอสเกรย์เขาก็เผลอนั่งตัวเกร็งขึ้นมา “เป็นคนน่ากลัวมากด้วย.. ถ้าผมมีทักษะอะไรที่พอจะช่วยคุณหมอได้ ผมก็อยาก…”

คาเล็มถอนหายใจให้กับความคิดตื้นๆราวกับเด็กๆ และหลุดส่งเสียงหัวเราะในลำคอ “ขอบใจที่เป็นห่วงนะ แต่ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า เจอมาเยอะแยะแล้ว”

“ก็เพราะแบบนั้น ผมเลยไม่อยากถ่วงคุณหมอนี่นา! ...อ..อีกอย่างมันก็ดูเท่ดี..”

“นายจะฝึกเพราะมันเท่เฉยๆนั่นแหละ”

“เปล่านะครับ ผมอยากเป็นกำลังให้คุณหมอจริงๆ! คิดดูสิครับ สมมุติว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นผมจะได้ปกป้องคุณหมอได้ไง!” ลาซารัสมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตามุ่งมั่นจนคาเล็มแอบรู้สึกปลื้มปิติในใจ

“ขอบใจนะ ดีใจที่นายอยากช่วย แต่เรื่องใหญ่ขนาดว่าต้องชักปืนมายิงกันเนี่ยมันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายขนาดนั้นเหมือนในหนังหรอกน่า”

โครม!

เสียงดังเอะอะจาดด้านนอกห้องทำเอาทั้งสองคนสะดุ้งจนลุกขึ้น ก่อนเสียงคนโวยวายจะดังแว่วมาเข้าหู นั่นเป็นเสียงของเออร์แฟนแน่นอน แต่อีกเสียงนั้นทั้งลาซารัสทั้งคาเล็มไม่เคยได้ยินมาก่อน พวกเขามองหน้ากันก่อนตัดสินใจจ้ำเท้าเดินตรงไปที่ประตู

“นายไม่ต้องก็ได้” คาเล็มยกแขนขึ้นกันร่างโปร่งที่เดินตามเขามาติดๆให้ถอยกลับไป

“ทำไมล่ะครับ?”

“ถ้าเกิด..เป็นไอ้พวกไม่หวังดีเกี่ยวกับคดี…” ดวงตาของคุณหมอเจือด้วยแววความเป็นห่วงและวิตกกังวลชัดเจน “เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งออกไปจนกว่าฉันจะบอกว่าปลอดภัยนะ”

คาเล็มแง้มประตูออกมาดูเหตุการณ์ภายนอก โต๊ะร้านกาแฟตัวหนึ่งลงไปกลิ้งเอกเขนกบนพื้นพร้อมกับเก้าอี้หนึ่งตัว แก้วกาแฟที่หมดเกลี้ยงแล้วก็แตกอยู่ใกล้ๆที่นั่น ตอนนี้เขาเห็นแค่เออร์แฟนที่ยืนทำหน้าตื่นตระหนก..ระคนด้วยความ...สับสน? ไม่สิ...สีหน้าของชายหนุ่มรูปงามออกแนวโกรธเกรี้ยวเล็กน้อยอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เมื่อเหล่ไปทางสามสาวใช้ที่มากับลาซารัส พวกเธอกลับทำแค่นั่งตะลึงอยู่เฉยๆ.. เท่าที่รู้จักกันมา คนใช้บ้านริชาร์ดก็สัญชาตญาณดีพอจะตัดสินใจว่าเหตุการณ์มันย่ำแย่จนพวกเธอต้องออกมาควบคุมสถานการณ์หรือไม่

เห็นดังนั้นคาเล็มก็เปิดประตูออกมาโดยพยายามไม่เปิดจนสุดเพื่อไม่ให้ลาซารัสถูกใครก็ตามที่ก่อเรื่องเห็นตัวเข้า “เกิดอะไรขึ้น?” คุณหมออัลฟ่าหันรีหันขวางเพื่อมองหาคนอธิบาย จะบอกว่าริชาร์ดไม่พอใจสัญญาก็คงไม่ใช่ หมอนั่นไม่ใช่คนโมโหร้ายแบบนี้หรอก

“โทษทีคาเล็ม ทำพวกนายตกใจหมดเลย” ริชาร์ดที่ยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะตอบออกมา...ทว่า อีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆเขานั้นกลับไม่คุ้นตาเอาเสียเลย เท่าที่มองด้วยสายตา ขนาดตัวที่ค่อนข้างเล็กแม้จะใส่เสื้อตัวหนาก็ยังคงปกปิดไม่ได้นี่.. โอเมก้า? ทำไมมีโอเมก้าคนอื่นอยู่ตรงนี้? แถมจากการแต่งตัวก็ไม่น่าใช่พวกที่เขาหรือเพื่อนเคยช่วยจากการโดนกดขี่แน่ๆ

“คาเล็ม?...” ชายแปลกหน้าที่สวมแว่นกันแดดปกปิดดวงตาเอาไว้หันมาหาเขา แม้จะนึกไม่ออกว่าไปเจอกันที่ไหน แต่ทำไมบรรยากาศของคนๆนี้ถึงคุ้นนัก?

“...ริชาร์ด...ใครวะ?” คุณหมอแง้มประตูไว้เผื่อลาซารัสอยากดูสถานการณ์ ก่อนเขาจะเดินมาลากแขนเพื่อนตัวเองออกมากระซิบให้ห่างจากที่เกิดเหตุ “ว่าแต่แกไม่เป็นไรใช่มั้ย ที่โดนลักพาตัวไปน่ะ นี่หนีออกมาได้เรอะ?”

“ไม่ได้หนี ก็ไอ้คนพาตัวฉันไปก็หมอนั่นแหละ”

ยิ่งพูดยิ่งทำให้สองคิ้วขมวดแทบจะผูกเป็นเส้นเดียวกัน หางตาแอบเหลือบเห็นว่าชายที่ดูอ่อนวัยกว่าเขาอยู่หลายปีนั้นยังคงจับจ้องมา “หา? แล้วแกพาผู้ร้ายลักพาตัวมาทัวร์บริษัทรึไง?”

ก็ไม่ได้อยากเลยสักนิดครับท่าน นี่น่ะโดนบังคับให้พามาด้วย ไม่งั้นไม่ได้กลับมาครบสามสิบสองอย่างที่เห็นนี่หรอก...ริชาร์ดทำหน้าปลดปลงอยากโพล่งออกไปใจจะขาด “เขาอยากมาเจอแกด้วย”

“ฉัน?” แม้จะเจอโอเมก้ามาขอความช่วยเหลือมากมาย แต่ดูจากท่าทางของฝ่ายนั้นแล้วอย่าว่าแต่มาขอความช่วยเหลือเลย ดูท่าทางจะแกร่งกว่าโอเมก้าหน้าไหนๆที่เขาเคยเจอมาทั้งชีวิตอีก

โอเมก้าปริศนาดันร่างสูงใหญ่ของซีอีโอให้ถอยห่างก่อนจะมายืนประจันหน้ากับคุณหมอ ลาซารัสเห็นท่าไม่ค่อยดีเลยเดินมาเอาตัวขวางไม่ให้เข้าใกล้ตัวคาเล็ม

“ไอ้หนู ถอยไป” แม้จะใส่แว่นกันแดดสีเข้มสนิทจนแทบมองไม่เห็นดวงตา แต่น้ำเสียงข่มขู่ก็ทำเอาโอเมก้าด้วยกันเองยังประหม่า คนๆนี้ใช่โอเมก้าแน่เหรอ? บอกว่าเป็นอัลฟ่ายังจะเชื่อมากกว่าอีก

“ม...ไม่ครับ! ผมไม่ให้คุณทำร้ายคุณหมอหรอก!” ดวงตาสีฟ้าจ้องกลับแม้จะแอบกลัว คาเล็มพยายามดึงร่างโปร่งให้ถอยมาอยู่ข้างหลังเขา ทว่าโอเมก้าที่ท่าทางอันตรายคนนั้นกลับหัวเราะใส่ทั้งคู่

“หึๆ ฉันอาจจะสั่งสอนพวกอัลฟ่าน่ารังเกียจมาเยอะ แต่กับเขา...ฉันไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกน่ะ” คำอธิบายนั่นไม่ได้ช่วยให้คนฟังคลายกังวลลงเลยสักนิด แถมยังระแวงหนักกว่าเดิมเสียอีก

“นายเป็นใคร? ฉันไปทำอะไรให้งั้นรึ?” ดวงตาหลังกรอบแว่นจ้องตอบและดึงแขนลาซารัสให้มาอยู่ข้างๆตัว เมื่อเห็นดังนั้นริชาร์ดก็ออกอาการเป็นห่วงทั้งคู่ แต่ข้างหลังเขามีลูกน้องของโอเมก้าคนนั้นประกบอยู่เลยเข้าไปใกล้ไม่ได้

“ขอโทษที่แนะนำตัวช้าไปหน่อย” คนกล่าวถอดแว่นกันแดดออกมาเก็บ โอเมก้าคนดังกล่าวมีดวงตาสีเขียวอ่อนปนเทาเหมือนกับคุณหมอคาเล็มไม่มีผิดเพี้ยน และเป็นดวงตาแบบเดียวกับคนที่เขารู้จักเป็นอย่างดี...ดวงตาที่เหมือนกับแม่ของเขา

“นาย...หรือว่าจะเป็น...” แทบทุกสายตาหันมาจับจ้องคุณหมอรอสเกรย์ที่ดูท่าจะรู้จักแขกไม่ได้รับเชิญคนนี้ “นายคือคาร์เมนเหรอ?”

“...อือ” คำตอบรับแสนเรียบง่ายพร้อมกับรอยยิ้มที่เห็นแล้วรู้สึกอยากจะเข้าไปปลอบนี่มันช่าง...

“เฮ้ย! / หวา!”

เสียงร้องฮือฮาดังไปทั่วบริเวณเมื่อโอเมก้านามคาร์เมนโผเข้ากอดร่างของคาเล็ม แถมคุณหมอก็ยังกอดตอบอย่างไม่ลังเล ทำเอาทุกคนที่จ้องดูมวยอยู่ดีๆ ต่างก็คิดมโนกันไปต่างๆ นานา นี่ถ้าไม่มีความเกรงใจคงได้ยกกล้องมือถือมากดถ่ายรูปไปแล้ว
ลาซารัสยืนแข็งตัวค้างเป็นหิน กว่าจะขยับตัวได้อีกทีก็ตอนที่เห็นทั้งคู่คลายวงแขนออกจากกัน

“คาเล็ม คนรู้จักเหรอ?” ต้องสนิทกันขนาดไหนถึงได้กอดกันแน่นขนาดนั้นทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากัน ส่วนลาซารัสนั้นแม้จะอยากกอดคุณหมอแทบตายยังทำได้แค่คิดด้วยซ้ำ!

“น้องชายฉันเอง”

“ห้ะ!?” เพื่อนรักที่ไม่รู้ว่ายังโดนนับเป็นเพื่อนรักเหมือนเดิมอยู่มั้ยทำหน้าปั้นยาก “เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนนะ! คนนี้เหรอที่เคยเล่าว่า…”
เสียงของอัลฟ่ามากวัยเงียบลงเมื่อโดนมือของใครบางคนมาจับบ่า “เออร์แฟน? มีอะไร เรื่องสัญญาไว้ทีหลังได้มั้ย”

“...ทายาทที่เป็นโอเมก้าเพียงคนเดียวของตระกูลรอสเกรย์ที่เคยตกเป็นข่าวซุบซิบเมื่อสี่สิบปีก่อนว่าถูกแม่อุ้มหายไปหลังงานศพของผู้นำตระกูลสินะ” อัยการหนุ่มกล่าวสรุปใจความให้คนที่อยู่ในวงล้อมได้ยินกันแค่นั้น “สำหรับตระกูลนั้นแล้วการมีลูกที่เกิดมาเป็นโอเมก้านับเป็นความอับอายไม่ต่างไปจากการมีลูกที่เกิดกับคนรับใช้ แม่ของคาเล็มคงคิดดีแล้วล่ะถึงได้พาหนีไปตั้งแต่เล็ก”

ไปเอาข้อมูลนั้นมาจากไหนวะครับคุณอัยการ เรื่องมันเกิดก่อนที่เอ็งจะเกิดอีกไม่ใช่เหรอ! หลายคนในที่นั้นได้แต่คิดสงสัยในใจ
ลาซารัสแอบจ้องมองไปยังใบหน้าน้องชายของคุณหมอ ความรู้สึกโล่งอกเหมือนได้ยกภูเขาออกไปนั้นทำเอาเขาแทบทรุดลงนั่งพื้นเลย

“แต่...พวกนายทั้งคู่ก็ไม่เคยเจอกันเลยไม่ใช่เหรอ?” ริชาร์ดมองสองพี่น้องที่กอดกันกลมเมื่อสักครู่ราวกับคิดถึงแทบใจจะขาด “ไม่สิ...สำคัญกว่านั้นคือทำไม เอ่อ...คุณคาร์เมนถึงอยากมาเจอพี่ชายกันล่ะ”

ริชาร์ดไม่กล้าเรียกชื่อน้องชายเพื่อนห้วนๆ นั่นแสดงให้เห็นว่าคาร์เมนเป็นโอเมก้าที่ ‘พิเศษ’ เสียจนแม้แต่อัลฟ่ายังแอบหงออย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน แม้จะเคยพบโอเมก้าที่เกิดในตระกูลที่อัลฟ่าเป็นใหญ่ก็ยังไม่รู้สึกเกร็งขนาดนี้

“ไปหาร้านหรือที่เป็นส่วนตัวกว่านี้นั่งคุยก่อนดีกว่า เรื่องมันยาว” คาร์เมนสรุปก่อนจะสวมแว่นกันแดดกลับเหมือนเดิมแล้วเดินไปหาเจ้าของร้านกาแฟ มือล้วงเข้าไปในเสื้อตัวใหญ่และหยิบแบงค์เป็นปึกส่งให้กับมือโคลวิส คนที่นั่งจ้องอยู่ใกล้ๆถึงกับตาวาวส่วนคนรับเงินมาก็เกร็งจนทำตัวไม่ถูก

“ค่าเสียหายที่ทำร้านพัง ไม่พอเดี๋ยวจะเซ็นเช็คให้”

ไม่ต้องครับพี่! แค่นี้ผมก็ซื้อโต๊ะซื้อแก้วยกชุดใหม่ได้ทั้งร้านแล้ว!

ทุกคนต่างคิดเหมือนกันหมดว่า เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเจอโอเมก้าที่ ‘แมนสมเพศ’ ขนาดนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ!


(ยังมีต่อ)

ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
คาร์เมนเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังว่าหลังจากแม่หนีออกมาจากบ้านใหญ่ตระกูลรอสเกรย์ ก็ได้พาคาร์เมนที่ยังเล็กกลับไปอยู่ที่บ้านเดิมของเธอ แต่ก็ถูกปฏิบัติราวกับไม่เคยเป็นลูกบ้านนี้ และไม่นับคาร์เมนเป็นหลานแท้ๆด้วยซ้ำ เธอต้องทำงานอย่างหนักไม่ต่างจากพวกคนงานแต่กระนั้นเธอก็ยังเลี้ยงดูคาร์เมนเป็นอย่างดี แม้จะลำบากแต่ก็มีความสุขตามประสาแม่ลูก

ทว่าด้วยสภาพร่างกายของโอเมก้าที่ไม่ได้ถูกสร้างมาให้แบกรับการทำงานใช้แรงกาย พอหลายปีเข้าผู้เป็นแม่ก็ล้มป่วยเพราะทำงานหนักเกินไป เขาคิดว่าหากยังอยู่ที่นี่ต่อไปล่ะก็แม่คงอยู่ได้อีกไม่นาน จึงเก็บข้าวของที่จำเป็นแล้วพาแม่หนีออกบ้านไปตายเอาดาบหน้ากันสองแม่ลูก ทำงานแลกเงินมาได้เท่าไหร่ก็เอามาเป็นค่ายาค่ารักษาแม่จนหมด เพิ่งจะมามีรายได้มั่นคงดีขึ้นก็ตอนที่เขาโตพอจะหาเงินได้มากพอจะจ้างพยาบาลและคนดูแลแม่ได้

“ถึงจะหาคนมาดูแลอย่างดีแล้ว แต่….พูดตรงๆคิดว่าแม่คงอยู่ได้อีกไม่นาน…” คาร์เมนเอ่ยเสียงเบากับพี่ชายที่นั่งข้างๆ ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดได้ย้ายที่จากบริษัทมานั่งคุยที่บ้านพักนอกเมืองของริชาร์ด ถ้าจะเรียกแบบเข้าใจง่ายๆ ก็เซฟเฮาส์เพราะบ้านคาเล็มก็ไม่สามารถไปได้ ไม่อย่างนั้นความลับเรื่องที่อยู่ของคุณหมออาจจะหลุดออกไปได้ เพราะริชาร์ดเองก็กำลังเป็นที่จับตามองของพวกนักข่าว จะให้คาเล็มมาโดนหางเลขถูกโจมตีในเวลาที่กำลังเตรียมการจะสู้คดีไม่ได้

ตอนนี้ในห้องรับรองของบ้านพักของริชาร์ดมีคาเล็มกับคาร์เมนที่กำลังถามไถ่ทุกข์สุขกันอย่างคร่าวๆ กับริชาร์ดที่อาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยนั่งแยกไปคุยกับเออร์แฟนและลาซารัสอยู่อีกมุมห้อง

“นั่นแหละ ถ้านายยินยอมตามนี้ก็ลงชื่อตรงนี้นะ” เออร์แฟนอธิบายเรื่องสัญญาของเจ้าของโอเมก้าให้ฟังจนหมดแล้วก็อธิบายไปว่า หากเกิดแพ้ยามากๆก็สามารถขอหยุดการทดลองได้ และมีการคุ้มครองหลังจากรักษาตัวจากผลค้างเคียงและอาการแพ้ยาจากโรงพยาบาลได้ตลอดจนกว่าจะกลับเป็นปกติ “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกน่ะ ตอนนี้นายเป็นเจ้าของพ่อเป็ดน้อย นายก็ต้องเป็นคนลงชื่อนั่นแหละ”

“เป็ดน้อย?” ลาซารัสขมวดคิ้ว ริชาร์ดเองก็ทำหน้างงงวยไม่แพ้กัน

“อ่านดูก็แฟร์ดี” ริชาร์ดนั่งไล่อ่านสัญญานับสิบหน้าอย่างละเอียดเป็นรอบที่สามเพื่อตรวจสอบทุกอย่างโดยละเอียด ติดเป็นนิสัยจากการทำข้อตกลงทางการค้ามานักต่อนัก ทำเอาเออร์แฟนต้องพูดเสริมไปซะหลายข้อกว่าเจ้าตัวจะยอมคว้าปากกามาลงชื่อรับ
“แล้วไปทำอีท่าไหนถึงโดนน้องชายหมอนั่นจับไปล่ะ? เขาเข้าใจผิดอะไรรึ?” อัลฟ่าผู้สง่างามมองไปทางคาร์เมนที่ยังคงคุยเรื่องคุณแม่ที่ล้มป่วยกับคาเล็มอยู่

“โดนพ่อฉันปั่นหัวเอาน่ะสิ ไอ้แก่นั่น...ต้องจัดการให้หลาบจำซะแล้วมั้ง” พูดไปริชาร์ดก็กัดฟันกรอด ตอนนี้บทสนทนาดูจะไม่ได้จริงจังมาก บรรยากาศผ่อนคลายลง ลาซารัสเองก็สังเกตุว่าเออร์แฟนมองไปทางคาร์เมนไม่วางตาจนน่าสงสัย

“งี้นี่เอง..” อัยการหนุ่มแอบขำที่เรื่องมันบานปลายเพราะปัญหาพ่อลูกไม่ลงรอยกัน

“ขอโทษครับ.. เมื่อตอนที่อยู่ในร้านกาแฟ ทำไมจู่ๆ คุณคาร์เมนถึงได้…” โอเมก้าหนุ่มเอ่ยถามเมื่อทั้งสองเงียบจากการพูดคุยไปสักพัก

“...อ๋อ” ริชาร์ดยกมือขึ้นเกาศีรษะ “เอ่อ… มัน.. ค่อนข้างน่าประหลาดใจนิดหน่อย”

“หมอนั่นเป็นโซลเมทกับฉัน”

“......ห้ะ?” ลาซารัสตัวแข็งทื่อมองอัยการหนุ่มสลับกับโอเมก้าที่ดูแล้วอายุคงจะเกือบๆ สี่สิบในอีกไม่กี่ปี

“อย่าเสียงดังนักสิ เดี๋ยวเขาก็อาละวาดอีกหรอก” เจ้าของบ้านปรามไม่ให้เออร์แฟนพูดดังจนไปเข้าหูของคนที่ถูกพูดถึงอยู่ “ก็เห็นอยู่นี่ว่สตอนนั้นเขาโมโหจนคว่ำโต๊ะไปเลย”

“อย่างกับว่าฉันโอเคงั้นแหละ” ดวงตาสีทองตวัดมามองอย่างไม่พอใจ “แต่ดีนะว่าฉันควบคุมตัวเองได้น่ะ”

“เอ่อ.. มันไม่โอเคตรงไหนเหรอครับ?” ลาซารัสถามต่อหลังจากที่นิ่งไปนาน ถึงจะไม่เคยเจอกับตัวสักครั้งแต่ก็ได้ยินมาว่าโซลเมท หรือคู่แห่งโชคชะตานั้นว่ากันว่าน้อยคู่นักที่จะมีโอกาสได้เจอกัน แม้แต่ในตลอดช่วงชีวิตของอัลฟ่ากับโอเมก้าแห่งพรหมลิขิตที่ฟ้าให้เกิดมาคู่กันก็ใช่ว่าจะได้เจอกันง่ายๆ

นี่มันไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่น่าประทับใจหรอกเหรอ?

อัยการอัลฟ่ากันมาจ้องโอเมก้าเจ้าของดวงตาสีฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยความสงสัย

“นี่… นายมองไปทางนั้นนะ” เออร์แฟนชี้นิ้วสั่งให้จ้องมองคาร์เมนอย่างแอบๆ และก้มลงมากระซิบให้ได้ยินกันเพียงสามคน “ตาลุงวัยกลางคนขี้โมโห อีโก้จัด ชอบวางอำนาจอยู่เหนืออัลฟ่า ที่สำคัญไม่ใช่สเป็คฉันเลยสักนิด นี่มันเรียกว่าเลวร้ายสุดๆไปเลยไม่ใช่เหรอ!?”

“ได้ยินนะโว้ย!” คาร์เมนตะโกนตอบมาจากอีกมุมห้องหนึ่ง จะหูดีเกินไปแล้ว! “พูดอะไรช่วยดูตัวเองบ้างเหอะ อัยการหน้าเลือดที่ขูดรีดคนอื่น มีทั้งบ่อนฟอกเงินทั้งแก็งค์มาเฟียในครอบครอง แถมทำงานให้คนสกปรกตั้งเยอะแยะน่ะ ฉันเองก็ไม่อยากได้นายเป็นโซลเมทเหมือนกันนั่นแหละ!”

“หา!? นี่พวกนายเป็นโซลเมทกัน!!?” คุณหมอเพิ่งจะรู้เรื่องก็ทำหน้าแตกตื่นแล้วมองทั้งสองคนสลับกันระรัว “เอ๊ะ? แล้ว...ทำไม…”

“ผมกินยาต้านอาการฮีทไว้... ยาที่พี่สร้างมานั่นแหละ” คาร์เมนหันกลับมาตอบคุณพี่ชายเมื่อเดาประโยคคำถามที่ยังไม่ทันจะออกจากปากดี ด้วยน้ำเสียงนุ่มฟังแล้วรื่นหูต่างจากที่ตวาดใส่อัยการหนุ่มเหมือนร็อคเกอร์แทบจะฟ้ากับเหว

“ความจริงฉันก็เกือบแย่... แต่ความรู้สึกที่ว่า เหมือนฟ้าลงโทษนี่มันทำเอาหมดอารมณ์ทุกอย่างเลย” เออร์แฟนยักไหล่ ดูไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของคาร์เมนเท่าไหร่ ลูกค้าหรือคู่กรณีปากร้ายกว่านี้ก็เจอมาแล้ว แค่นี้นับว่าเด็กๆ

“เด็กเหลือขออย่างแกอย่าหวังเลยว่าฉันจะเอา”

เหมือนเห็นเค้าลางหายนะจากคู่โซลเมทที่ไม่ได้มีความโรแมนซ์ให้แก่กันเหมือนในเรื่องเล่าเลยสักนิด  แต่ละคนเลยต้องทำหน้าที่กรรมการห้ามมวยไม่ให้ทั้งคู่เข้าใกล้ในระยะที่จะฟาดเท้าฟาดปากกันได้

เมื่อจบเรื่องจบธุระของทั้งเออร์แฟนทั้งคาเล็ม รวมทั้งธุระไม่คาดหมายของคาร์เมน ทุกคนก็มานั่งรวมโต๊ะกันอีกครั้ง สาวใช้ที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยทั้งในฐานะบอร์ดี้การ์ดและคอยดูแลรับใช้ก็ยกทั้งขนมของว่างและชายามบ่ายมาเสิร์ฟอย่างรู้งาน

“อ่ะ คาเล็ม นี่ของที่ฝากซื้อ” ริชาร์ดยื่นถุงในมือที่ใส่กล่องแหวนให้กับเพื่อน

“ฝากซื้อ? พี่ฝากเขาซื้อแหวนไปทำไมรึ?” คาร์เมนเงยหน้ามามองอย่างสงสัย อัลฟ่าทั้งสองถึงกับหันไปมองเป็นตาเดียวกัน นี่ยึดทรัพย์สินตอนลักพาตัวไปแล้วยังแอบส่องดูของข้างในอีกเหรอ!?

“แหวน?” ทั้งลาซารัสและเออร์แฟนมองทั้งสองด้วยสายตาแปลกประหลาดแต่คนละห้วงอารมณ์ ลาซารัสนั้นดูจะงุนงง แต่เออร์แฟนนี่สิ ท่าทางจะคิดว่าพวกเขากลายสภาพจากเพื่อนรักกลายเป็นรักเพื่อนไปแล้ว

“...เอาเป็นว่านี่มันเรื่องของฉัน ...แล้วก็ไม่ใช่อย่างที่นายคิดด้วยเออร์แฟน!” คาเล็มตวาดใส่คนที่ยังไม่หยุดมอง “ในเมื่อหมดธุระแล้ว..ก็แยกย้ายได้แล้วมั้ง?”

“ยัง มีเรื่องพี่ชายตัวดีของนายที่ยังไม่ได้เคลียร์อยู่” เออร์แฟนเปิดประเด็นใหม่ต่อทันที

ลาซารัสและริชาร์ดหันขวับมาทางคนพูด งานนี้พี่ชายของคาเล็มมาเกี่ยวอะไรด้วย?

อัยการหนุ่มเล่าว่าตอนที่ริชาร์ดหายตัวไป คาเล็มโทรศัพท์ติดต่อไปที่บ้านใหญ่เพราะคิดว่าเป็นฝีมือของพวกอดีตลูกความในความดูแลของตน

ริชาร์ดเหล่ไปทางคาร์เมนที่ลอบยิ้มชวนสยองเบาๆ ก่อนเขยิบย้ายก้นนั่งเว้นระยะห่างออกมา

“จะไปเยี่ยมหน่อยมั้ย ไม่สิ...ผมว่าพี่ควรรีบไปดูใจพี่ชายใหญ่นั่นก่อนจะได้เจออีกทีในงานศพจะดีกว่านะ”

แต่ละคนรู้สึกหนาวสันหลังแปลกๆ กับใบหน้าของโอเมก้าวัยกลางคนที่ยิ้มสดใสจนใบหน้าดูลดอายุลงไปหลายปี ตรงกันข้ามกับวาจาที่พูดเหมือนต้องการแช่งให้ฝ่ายนั้นลงโลงไปในเร็ววัน



“แหมๆๆ อุตส่าห์ชวนมาแค่สองคน แต่สงสัยนายจะหูตึงจริงๆนั่นแหละคาเล็ม นี่ฉันนับรวมกันได้สองโหลเลยนะเนี่ย ฮ่าๆๆ!”

คาร์เรย์หัวเราะลั่นเมื่อน้องชายอัลฟ่าคนเล็กยกพวกมาบุกบ้าน ซึ่งนอกจากจะมีเพื่อนซี้อัลฟ่าตัวพ่ออย่างซีอีโอยักษ์ใหญ่กับอัยการหน้าเลือดติดมาด้วยแล้ว ที่เหลือก็เป็นบอร์ดี้การ์ดในชุดเมดกับลูกน้องเบต้าสูทดำมาดมาเฟีย แต่แทนที่พี่รองจะหัวเสียกลับดูไม่สะทกสะท้านสักนิด แถมยังสั่งให้พวกพ่อบ้านรีบเตรียมสำรับดินเนอร์เพิ่มอย่าให้ขาดตกบกพร่อง

เมื่อเข้ามาถึงด้านในห้องโถงกลางบ้าน คาเล็มก็เห็นพี่ใหญ่ที่นั่งตาลอยอยู่บนรถวีลแชร์โดยมีอาเซลอดีตเพื่อนร่วมงานที่สถาบันวิจัยเป็นคนเข็นและดูแลใกล้ๆไม่ห่าง พอฝ่ายนั้นเห็นคาเล็มก็หลบสายตาและเข็นรถเดินผ่านไปทางสวนหย่อม

“คาเซล่าไม่อยู่หรอก ตอนนี้เป็นตัวแทนประธานบริษัททำงานแทนพี่ใหญ่ เดี๋ยวเย็นๆก็กลับแล้ว” แม้จะไม่ได้มีใครถามแต่เห็นน้องเล็กหันหน้าเหมือนมองหาใครบางคนเขาก็เลยชิงบอกก่อน

“ฉันไม่ได้มองหาคาเซล่า แต่เป็นพี่สะใภ้ต่างหาก” จะเรียกคำนั่นก็พูดได้ไม่เต็มปาก เจ้าสาวที่อายุน้อยคราวลูกมาแต่งงานกับอัลฟ่าแบบพี่ชายคนนั้นได้นี่คิดยังไงก็คงเพราะผลประโยชน์ของทางครอบครัวอยู่แล้ว

“หย่ากันแล้ว” คาร์เรย์ตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไป “เห็นสภาพพี่ใหญ่แล้วนี่ คิดว่าใครจะทนอยู่ด้วยได้ล่ะ นอกจากหมอนั่น”

“หมอนั่น?” ดวงตาหลังกรอบแว่นหันไปดูพี่ชายและเพื่อนเก่าที่กำลังพาเดินเล่นอยู่ในสวน สีหน้าเป็นห่วงเป็นใยเกินกว่าใบหน้าของหมอที่ดูแลผู้ป่วยแบบนั้นของอาเซลเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลยตอนที่ทำงานด้วยกัน “หรือว่า...อาเซลชอบพี่ใหญ่งั้นเหรอ!?”

คาเล็มยื่นใบหน้าเข้าไปถามเสียงเบา

“โอ้ละหนอชีวิต รักฝ่ายเดียวที่เป็นไปไม่ได้ของเบต้าชายธรรมดาที่หลงรักอัลฟ่าชายผู้แบกรับหน้าตาของตระกูลไว้ ช่างน้ำเน่าเสียยิ่งกว่าบทละครเสียอีกว่ามั้ย ฮะๆๆ!”

คาร์เรย์หัวเราะดังราวกับจะให้เสียงนั้นได้ยินไปถึงหูคนข้างนอก แต่ไม่ว่าจะได้ยินหรือไม่เขาก็หาได้สนใจความรู้สึกคนถูกว่ากระทบ

“แต่ว่าความรักที่เป็นไปไม่ได้พรรค์นั้นก็ยังเทียบไม่ได้กับโศกนาฎกรรมที่พี่ใหญ่เป็นคนเริ่มหรอกนะ”

ทุกคนถูกคาร์เรย์เชิญมายังห้องที่รายล้อมไปด้วยภาพเหล่าบรรพบุรุษของตระกูลรอสเกรย์ที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคสมัยพวกเขาก็สร้างความรุ่งเรืองเป็นหน้าตาให้แก่ประเทศเสมอมา ในฐานะตระกูลที่ให้กำเนิดบุคคลสำคัญที่เป็นดั่งฟันเฟืองขับเคลื่อนประทศ

แต่ทว่า...สิ่งนั้นกลับไม่ได้แสดงให้เห็นในคนรุ่นปัจจุบันดังที่รุ่นเก่าเคยทำไว้เลย

สำหรับผู้นำตระกูลรอสเกรย์ที่มีหน้ามีตาในสังคม ก็ย่อมต้องการทายาทที่ดีพร้อมเหมือนที่ผู้นำคนก่อนให้กำเนิดสายเลือดอัลฟ่าออกมามากมาย แต่ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่พระเจ้าก็ไม่เคยประทานลูกให้กับคาร์บฮอลล์ผู้นำคนปัจจุบันเลย

ไม่ว่าจะมีภรรยาสักกี่คน ใช้ยากระตุ้นช่วยเพิ่มสมรรถภาพ อีกทั้งยังปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางถึงวิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้เด็กที่จะสืบทอดเป็นผู้นำคนต่อไปเกิดขึ้นมา แต่ก็ไร้ความหมาย...

‘อัลฟ่าไร้น้ำยา’ นั่นคือคำปรามาสที่คนอื่นพูดถึงเขาลับหลัง เป็นเวลาหลายปีกว่าที่เขาจะยอมตัดสินใจไปตรวจร่างกายเพื่อพบว่าตัวเขาไม่สามารถมีลูกได้ ไม่ใช่ความผิดของพวกโอเมก้าหรือเบต้าผู้หญิงคนใด แต่เขาเองต่างหากที่ขาดคุณสมบัตินั้น

‘ไม่...มันต้องไม่เป็นแบบนี้’

‘มันไม่ใช่ความผิดของฉัน พวกนั้นต่างหากที่มีลูกให้ฉันไม่ได้’

ความกดดันเหล่าทำให้พี่ใหญ่เครียดและต้องกินยาอยู่เสมอ  แต่ผลข้างเคียงจากยาระงับความเครียดที่สะสมมาเป็นเวลานานก่อให้เกิดผลข้างเคียง บุคคลิกของคาร์บฮอล์ลบ้างเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางครั้งเฉยชาแต่อยู่ๆก็ลุกขึ้นมาเสียสติจนคุมไม่อยู่ เรื่องนี้ถูกปิดไม่ให้คนนอกรู้เพื่อรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล แม้แต่คาเล็มที่ตอนนั้นออกจากบ้านไปใช้ชีวิตของตัวเองข้างนอกแล้วก็ไม่รู้เรื่องนี้

จนกระทั่งครั้งที่คาร์บฮอลล์ได้รู้ข่าวที่คาเล็มโด่งดังเพราะประสบความสำเร็จในการผลิตยาระงับอาการฮีทในโอเมก้าที่แทบไม่มีผลข้างเคียงและมีคนรักที่กำลังจะแต่งงานกัน ตรงข้ามกับเขาที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ จากปัญหาสุขภาพทำให้ไฟแค้นที่สุมในอกระเบิด

‘ฉันคนนี้เป็นพี่ชายคนโตและผู้นำตระกูล แต่กลับถูกน้องชายแซงหน้าไปก่อน ยกโทษให้ไม่ได้!’

แล้วคาร์บฮอล์ลก็ได้วางแผนทำลายน้องชายร่วมสายเลือดให้ย่อยยับคามือ เขาดึงตัวอาเซลที่หลงรักตัวเองมาเป็นพวกเพื่อใช้วิธีสกปรกทำให้คาเล็มเสียความน่าเชื่อถือ ใช้คนของตนลักพาตัวเอาคนรักมาจากคาเล็ม กักขังหน่วงเหนี่ยวและบังคับข่มขืน ทว่า...เมื่อโนเอลสามารถตั้งท้องลูกของพี่ใหญ่ได้เขาจึงเปลี่ยนท่าทีมาคอยประคบประหงมดูแลอย่างดีเพื่อให้เด็กคลอดออกมาอย่างปลอดภัย แต่โนเอลกลับทำร้ายร่างกายตัวเองจนแท้งลูกและเสียชีวิตเพราะเสียเลือดมากไประหว่างทางที่นำตัวส่งโรงพยาบาล

หลังงานศพของโนเอลจบลงพร้อมกับการยัดเงินมหาศาลเพื่อจ้างทนายว่าความจากคนของเออร์แฟนที่ได้ผลสรุปในชั้นศาลลงความเห็นว่าโนเอลเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ คาร์บฮอล์ลก็ต้องเข้ารับการบำบัดเป็นเวลานานกว่าจะเริ่มกลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง แต่ก็ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เกือบตลอดเวลา

เขาตัดใจเรื่องที่จะหาวิธีมีทายาทสืบสกุลแล้วแต่งงานการเมืองกับหญิงสาวจากตระกูลผู้ดีทัดเทียมกันแต่อายุน้อยคราวลูกหลาน ทว่าก็ยังผูกใจเจ็บไม่ยอมตัดใจเรื่องคาเล็ม พอเห็นน้องชายกำลังจะลุกขึ้นสู้อีกครั้งหลังจากถูกเหยียบจมดินไปแล้ว เขาก็คิดหาทางที่จะถอนรากถอนโคนไม่ให้กลับมาผงาดได้อีก แต่คาเล็มที่เก็บตัวมาเป็นสิบปีไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครก็ไม่มีจุดอ่อนให้เล่นงานมากนัก จะลงมือทำอะไรริชาร์ดที่เป็นเพื่อนสนิทก็กลัวจะเอิกเกริกเกินไป จึงต้องลองเสี่ยงวัดดวงกับตัวเลือกอันน้อยนิด

คาร์บฮอลล์ได้ไปว่าจ้างนักสืบให้ตามหาแม่และน้องชายของคาเล็มเพื่อคิดจะใช้ต่อรองกับน้องชายตัวปัญหา แต่สิ่งที่ผู้เป็นพี่ใหญ่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนก็คือน้องชายโอเมก้าเพียงคนเดียวที่คิดว่าคงจะไร้พิษสงนั้นกลับเป็นตัวอันตรายเสียยิ่งกว่าคาเล็มที่เคยคิดว่าเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่

ตอนที่ได้ยินว่าคาร์เมนทำงานอยู่ในเขตย่านเริงรมย์ซึ่งเต็มไปด้วยสถานที่ซึ่งเบื้องหลังทำงานผิดกฏหมายแต่ตำรวจไม่มีอำนาจทำอะไรได้ เขาคิดว่าน้องชายโอเมก้าตัวน้อยๆ ที่ทำงานประเภท ‘รับแขก’ ให้คนเหล่านั้นจะมาต่อกรอะไรกับอำนาจของประธานรอสเกรย์ได้

ทว่า...มันเกินกว่าที่คาดหมายไปมาก

‘อย่าเข้าไปยุ่งกับคาร์เมน เขาอันตรายเกินไป’ นั่นเป็นคำเตือนจากนักสืบที่เขาจ้าง แต่ไม่บอกรายละเอียดอะไรราวกับถูกข่มขู่มาว่าหากปากโป้งจะได้ไปนอนเป็นอาหารปลาในทะเลน้ำลึก

ในเอกสารที่นักสืบให้มามีรายละเอียดไม่มากนัก รูปที่ถ่ายติดใบหน้าของคาร์เมนรูปเล็กๆจากระยะไกล ซึ่งในข้อมูลบอกว่าเขาทำงานเฉพาะช่วงกลางคืนและกลางวันจะแวะมาคอยดูแลแม่ที่เจ็บออดๆ แอดๆ ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นเหมือนบ้าน คาร์บฮอล์ลคิดว่างานนี้จะหวานหมูจึงสั่งคนให้ไปพาตัวแม่ของคาร์เมนมาเพื่อใช้ล่อตัวลูก แต่พวกลูกน้องที่ส่งไปไม่มีใครได้กลับมาตัวเป็นๆ แต่กลับมาเป็น ‘ชิ้นส่วน’

กว่าคาร์บฮอล์ลจะรู้ตัวว่าไปแตะต้องสิ่งที่ไม่ควรยุ่งเข้า เขาก็ถูกข่มขู่สารพัดจนโรคเก่ากำเริบกลับมาเสียสติอีกครั้งแถมอาการรุนแรงกว่าเดิม และหวาดระแวงกลัวว่าจะถูกคาร์เมนทำร้าย ยากล่อมประสาทที่กินเกินขนาดก็ไปทำให้เห็นภาพหลอนวิญญาณของโนเอลมาตามรังควาน เขาสะดุ้งตื่นกลางดึกและวิ่งหนีออกไปที่ระเบียง และพลาดตกลงมาศีรษะกระแทก เส้นเลือดแตกและคั่งในสมอง กะโหลกส่วนที่แตกทิ่มทำให้สมองบางส่วนเสียหาย กลายเป็นอัมพาตไปทั้งตัว

แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ข่าวนี้ เพราะขืนปล่อยให้ข่าวแพร่กระจายชื่อเสียงของรอสเกรย์ก็จะยิ่งดิ่งลงเหว นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมพวกคาเล็มและเออร์แฟนถึงเตรียมการต่างๆไปได้อย่างราบรื่น

“พี่ใหญ่ก็ต้องวางมือเพราะล้มป่วย น้องชายก็จะได้ล้างมลทินที่โดนป้ายสี เป็นอันว่าแฮ้ปปี้กันถ้วนหน้าทุกคนเลยเนอะพวกนายว่างั้นมั้ย! นี่ฉันกะว่าจะเอาบทไปขายทำเป็นละครเวทีหรือละครโทรทัศน์เรตติ้งคนดูคงพุ่งกระฉูดได้เอามาฉายซ้ำแหงๆ!”

มีเพียงแค่คาร์เรย์ที่เล่าความพังทลายของพี่ใหญ่ด้วยความบันเทิง ผิดกับเหล่าผู้ฟังที่แสดงสีหน้าแตกต่างกันออกไป

คาเล็มช็อคจนสมองว่างเปล่าตอนที่ได้รู้ว่าอดีตคนรักของเขาต้องทุกข์ทรมานแค่ไหน แต่กลับไม่มีโอกาสได้รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ส่วนริชาร์ดกับเออร์แฟนนั้นดูจะหน้าซีดเพราะเรื่องของคาร์เมนเสียมากกว่า

“แหมๆ ตอนที่ได้ยินว่าคุณริชาร์ดโดนอุ้มไปนั่นคิดว่าจะแย่แล้วซะอีก เท่าที่รู้มาดูเหมือนคาร์เมนจะมีงานอดิเรกที่ชอบสั่งสอนอัลฟ่าซะด้วย รอดมาได้ไงโดยไม่มีรอยขีดข่วนสักนิด เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ย”

“ก็แค่เรื่องเข้าใจผิด ไม่มีอะไรมากกว่านั้น” ริชาร์ดตอบ

“อ้อ... โชคดีนะนี่ที่เขายอมฟังคุณ ตอนที่พี่ใหญ่โดนเล่นงานนี่ไม่มีโอกาสได้เจรจาต่อรองเลยสักนิดเดียว สงสัยเขาอาจจะอยากเก็บคุณไว้เล่นด้วยวันหลังก็ได้”

ริชาร์ด เบอร์ตั้นรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้กลัวจะโดนโอเมก้าคนนั้นทำอะไรๆ คงเพราะว่าได้เห็นสภาพของประธานรอสเกรย์นั่นล่ะ ส่วนอีกคนก็ได้รู้ว่าโซลเมทของตนผ่านโลกมามากและเป็นตัวอันตรายขนาดไหนก็นั่งเงียบไม่พูดไม่จาทั้งที่ไม่ใช่นิสัยติดตัวของอัยการเออร์แฟนเลย

“อย่าเพิ่งทำหน้าเหม็นเบื่อแบบนั้นสิพวกนาย ฉันยังมีเรื่องอีกตั้งเยอะแยะจะเล่าให้ฟังนะ เรื่องของคาร์เมนงี้ยาวเป็นหางว่าวเล่าวันเดียวก็คงไม่จบ อ้อ! แล้วก็ยังมีเรื่องที่ว่าหุ้นบริษัทรอสเกรย์กำลังร่วงเอาๆ ยังกะน้ำตกนี่ก็เด็ดมากเลยนะ!” พี่รองมองสีหน้าน้องชายกับเพื่อนและฉีกยิ้มกว้าง สีหน้าพวกเขาตอนนี้ล้วนสุดยอดยิ่งกว่าที่คิดจนอยากถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกเสียจริงๆ

แต่...เขาล่ะสงสัยจริงว่าทำไมเออร์แฟนถึงทำสีหน้าขุ่นเคืองไม่แพ้สองคนนั้นเลย อยากรู้จริงว่าอะไรทำให้คุณอัยการไร้พ่ายคนนั้นทำหน้าเหมือนโลกแตกแบบนี้

“เฮ้อ...แต่ฉันน้อยใจแกจริงๆ ว่ะคาเล็ม บอกแล้วไงว่าให้พาโอเมก้าตาสีฟ้าสวยคนนั้นมาให้เจอหน้าหน่อย ขอแค่นี้ทำเป็นหวงไปได้ นี่อุตส่าห์คายเรื่องพี่ใหญ่จนหมดเปลือกแล้วแท้ๆเลยน้า”

“ขอโทษด้วยนะ แต่เกรงว่าโอเมก้าคนนั้นที่ว่าจะเป็นคนของฉันน่ะ” ริชาร์ดที่กลับมาตั้งสติได้รีบออกตัว “วันนั้นฉันติดธุระไปร่วมงานแต่งไม่ได้ แถมขาของคาเล็มก็ไม่ค่อยจะดีเลยฝากให้เขาไปดูแลชั่วคราวน่ะ”

“อ้าวเหรอ? ว้า...คุณนี่โชคดีจังริชาร์ด แต่งเมื่อไหร่รีบบอกนะ ฉันจะรีบไปอวยพรให้เจ้าสาวเป็นคนแรกเลย”

หน้าด้านโคตร! พี่ใหญ่ที่อัมพาตกินไปแล้วของนายแค่ใช้สายตาหยาบโลน แต่นี่เล่นจะเข้าถึงเนื้อถึงตัว ไอ้คนตระกูลนี้มันยังไงกันฟะ!...ยกเว้นคาเล็มคนเดียวนะ

เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น คาเซล่าซึ่งรีบกลับจากที่ทำงานปรี่มาหาพี่ใหญ่ก่อนใคร แถมพอเห็นหน้าเหล่าบรรดาแขกรับเชิญของคาร์เรย์ก็ปฎิเสธการนั่งร่วมโต๊ะขอแยกตัวไปนั่งกินอาหารเย็นกับพี่ชายคนโตและหมออาเซลยังดีซะกว่า

แม้อาหารจะเลิศหรูรสชาติโอชาเพียงใด แต่บรรยากาศก็ยังอึมครึม มีแค่เจ้าภาพคนเดียวที่ทำตัวราวกับเป็นงานนัดพบและพยายามพูดชวนคุยทั้งที่ส่วนใหญ่ไม่อยากจะเสวนาด้วยแล้ว

“จริงๆ ก็อยากจะจัดปาร์ตี้ต้อนรับการกลับมาของนายมากกว่านะ บ้านเราไม่เคยอยู่กันพร้อมหน้าขนาดนี้มาตั้งนานแล้ว”

“อยากหาเรื่องจัดงานเลี้ยงเองล่ะสิไม่ว่า” คาเล็มรู้นิสัยพี่รองของตนดีว่าเป็นพวกหนุ่มเจ้าสำราญแถมยังไม่ชอบทำงาน  ทั้งที่เรียนจบได้เกียรตินิยมมาตั้งไม่รู้กี่สถาบัน แต่นอกจากเรื่องนั้นแล้วก็ไม่เห็นจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งที่มีคนใหญ่คนโตมาทาบทามหรือจะตั้งบริษัทเป็นของตัวเองก็ย่อมได้แต่กลับไม่ทำ

“แล้วนี่เรื่องยาไปถึงไหนแล้วล่ะ” คาร์เรย์เอ่ยถามคนเป็นน้องอย่างสนอกสนใจ “อ่ะ แต่นายคงไม่ตอบฉันหรอกเนอะ”

“ใช่ เพราะงั้นอย่าคิดว่าจะได้รู้อะไรอีก” คาเล็มตอบด้วยเสียงสุดจะรำคาญ ไม่อยากจะให้พี่ๆ คนไหนเข้ามายุ่งเรื่องคดีนี้แม้แต่คนเดียว

“อย่าทำหน้าดุสิ หน้าจะแก่เกินอายุเอานะ” พี่รองแสนชิลแอบแซวคุณหมอและหันไปสนใจอาหารในจานต่อ “เรื่องคดีนี่ฉันไม่สนใจอยู่แล้ว จะทำอะไรก็ทำไปเหอะ พี่ใหญ่น่ะมัวแต่ยึดติดไอ้ค่านิยมงี่เง่านั่นเลยมีสภาพแบบนี้ไง ฉันไม่เอาด้วยหรอก”

“สมกับที่ใครต่อใครเรียกว่าเสือขี้เกียจแห่งรอสเกรย์เลยนะ” เออร์แฟนเอ่ยสมญานามที่โดนคนนอกแต่งตั้งให้อย่างไม่เป็นทางการใส่หน้าเจ้าภาพ คาร์เรย์หัวเราะชอบใจ ท่าทางเจ้าตัวจะประทับใจชื่อนี้มากกว่าโกรธเคืองซะอีก

“เอาล่ะ งั้นเลิกคุยเรื่องเครียดๆดีกว่า” ก็เหมือนจะมีแต่พ่อเสือสำราญคนนี้แหละที่ไม่ได้เครียดอยู่คนเดียว “แต่คราวหน้าขอเจอหน้าโอเมก้าคนนั้นหน่อยละกันนะคุณริชาร์ด”

“นายจะอยากเจอไปทำไม?” ริชาร์ดตัดบทไร้เยื้อใย

“แหม ก็นานๆ จะเจอโอเมก้าดวงตาสวยแบบนั้นนี่ อยากเห็นหน้ายลโฉมอีกสักครั้งน่ะนะ”

คาเล็มได้แต่นั่งเก็บอาการเอาไว้ ตอนนี้แม้พี่ใหญ่จะสิ้นฤทธิ์แล้วแต่เขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดี อย่างน้อยๆก็ขอให้คดีมันจบจริงๆเสียก่อน เขาจะได้เอาเวลาที่เหลือไปหาที่ปลอดภัยแล้วค่อยพาลาซารัสกลับมาก็ยังได้ ...ถ้ายังอยากกลับมาอยู่ด้วยน่ะนะ

คาร์เรย์แอบสังเกตุปฎิกิริยาน้องชายอยู่เป็นระยะไม่ให้ใครจับได้ ...ไม่เนียนเลยนะไอ้น้องชาย…


(ยังมีต่อ)

ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura

ทางด้านลาซารัสที่โดนปล่อยให้อยู่กับคาร์เมนสองคนในบ้านพักนอกเมืองที่สงบเงียบ เขาได้แต่นั่งเกร็งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกันกับคาร์เมน โอเมก้าที่ดูจะเป็นรุ่นน้ารุ่นอาได้นั้นกำลังหยิบป็อปคอร์นใส่เข้าปากไปพลางดูหนังไปด้วยอย่างสบายใจ

“ไม่กินเหรอ” คาร์เมนที่ตอนนี้ไม่ได้ใส่แว่นกันแดดและเสื้อคลุมตัวหนาได้ยื่นถ้วยป็อปคอร์นมาให้

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่” ลาซารัสยกมือทำปางห้ามญาติ

พอไม่มีเสื้อกันหนาวตัวใหญ่เสริมไหล่แล้ว คาร์เมนก็ตัวเล็กกว่าลาซารัสเสียอีก แม้จะเล็กน้อยแต่มวลกล้ามเนื้อก็ต่างกันค่อนข้างมากทำให้อีกฝ่ายดูผอมกว่าเขามาก

ทว่า...ทั้งการวางตัว บุคลิกและอำนาจที่เขามีทำให้คนข้างๆ นี้ดูน่าเกรงขาม จนลาซารัสอยากเป็นแบบนี้บ้าง โอเมก้าที่ทำตัวได้ทัดเทียมกับอัลฟ่านี่หาได้ยากเหลือเกิน

“ใครเป็นเจ้าของนายน่ะ?” เผลอเหม่อครู่เดียวคาร์เมนก็ขยับเข้ามาใกล้เขาและเริ่มซักประวัติกันเสียแล้ว “ริชาร์ด?”

“เอ่อ..ใช่ครับ”

แม้ไม่ได้โกหก แต่เหมือนอีกฝ่ายจะยังแคลงใจ เขาจึงวางถ้วยป็อปคอร์นลง..แล้วดันร่างลาซารัสลงไปนอนราบกับโซฟาอย่างง่ายดาย!

“ห้ะ!? เดี๋ยวๆ!!” สองมือยกขึ้นจะผลักอีกฝ่ายออก แต่โดนคว้ารวบได้หมด ร่างที่ผอมกว่าขึ้นคร่อมทับไว้กลางลำตัวทำให้ไม่สามารถดันตัวลุกขึ้นได้ นี่มันโคตรจะเชี่ยวชาญชัดๆ!

“คุณ..คาร์เมน!!”

“นิ่งซะ ไม่งั้นฉันอัดร่วงแน่” คำขู่ได้ผลชะงัก ลาซารัสที่สัมผัสมาได้ตั้งแต่เจอหน้ากันแล้วว่าอีกฝ่ายโหดพอตัวทำให้ร่างกายสงบนิ่งลงตามที่สั่ง คาร์เมนก้มลงแกะปลอกคอของคนข้างล่างออกด้วยฟันของตัวเองเพราะสองมือยังไม่ยอมปล่อยจากข้อมือของลาซารัส

เมื่อแกะปลอกคออันสวยออกได้เขาก็พบรอยกัดสองรอยอยู่บนคอของลาซารัส มือหนึ่งยอมปล่อยมาจับหน้าของโอเมก้าอ่อนวัยกว่าหันไปมาเพื่อสำรวจรอยสองรอยนั้น

“..ขนาดฟันไม่เท่ากัน โดนกัดจากอัลฟ่าสองคนสินะ”

“ครับ..” โดนต้อนจนมุมแถมยังโดนอ่านขาดหมดแบบนี้ลาซารัสก็ทำได้แค่ไม่ไปกระตุกต่อมอารมณ์ให้อีกฝ่ายโมโหจนพลั้งมือฆ่าเขาเท่านั้น..

“หนึ่งในสองคนนั้นคือพี่...คาเล็มเหรอ?”

“ …” ใบหน้ามนขึ้นสีแดงจางเห็นได้ชัดเจน กับดวงตาสีฟ้าที่หลบไปทางอื่น ไม่ต้องตอบก็ยังได้ คาร์เมนเม้มปากเล็กน้อยแล้วลุกออก ปล่อยตัวลาซารัสให้เป็นอิสระ

“ขอโทษที่ละลาบละล้วงนะ” คนตัวเล็กกว่าดึงอีกฝ่ายขึ้นมานั่งตามเดิมและส่งปลอกคอคืนให้

จะพูดว่าไม่เป็นไรก็ดูเป็นการโกหกไปนิด ลาซารัสรับปลอกคอคืนมาและสวมมันคืน สักพักนาฬิกาบนข้อมือก็สั่นเบาๆ เตือนให้กินยา ซึ่งเขาก็รีบไปจัดแจงหายามากินทันที

“นั่นยาตัวใหม่ของคาเล็มเหรอ?” อีกฝ่ายสนอกสนใจอย่างมากและเดินตามมาส่องดู

“ใช่ครับ” พอกลืนยาจนหมดดีก็ดื่มน้ำตามต่อ นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องกินยาตัวใหม่ของคุณหมอ ต้องคอยสังเกตุอาการตัวเองสินะ?

“ดีจังนะ ฉันเองก็อยากเข้าร่วมด้วย แต่อย่างฉันคงช่วยอะไรไม่ได้มาก..”

“เอ่อ.. ถ้าลองถามดูคุณหมออาจจะ..” แต่ไม่ทันจะพูดจบคาร์เมนก็จรดปลายนิ้วลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายแล้วส่ายหน้าช้าๆ เป็นการบอกว่าคงเป็นไปไม่ได้

ดวงตาสีฟ้าเผลอมองต่ำลงไปยังชายเสื้อกล้ามที่โผล่พ้นเอวของโอเมก้ามากวัยกว่า รอยแผลผ่าตัดใต้ร่มผ้าที่รูปร่างแบบนั้นมันดูเหมือนกับว่า…

“สนใจเจ้านี่เหรอ?” ร่างเพรียวกว่าเลิกเสื้อตัวเองขึ้นจนเปิดเห็นไปถึงไหนต่อไหน ทำเอาลาซารัสเป็นฝ่ายเขินเสียเอง แต่พอลืมตามองดูชัดๆ ก็พบว่าไม่ได้มีแผลแค่ที่เดียว

“ขายไปแล้วล่ะเจ้าพวกนี้น่ะ”

“เอ๊ะ?” ลาซารัสมองหน้าคาร์เมนสลับกับแผลเป็นเหล่านั้น “ที่ว่าขายไปแล้วหมายถึง...อวัยวะ?”

“กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ฉันก็ผ่านอะไรมาเยอะกว่าที่นายคิดอีกนะ” เขาพูดและหันหลังให้ดูแผลเป็นเพิ่ม “แน่นอนว่าที่ขายน่ะไม่ได้มีแค่ที่ตาเห็นหรอก”

“...ทำไมถึงเอาให้ผมดูล่ะครับ?” ร่างโปร่งยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ซึมออกมาอย่างไม่ตั้งใจ “หรือจะบอกให้ผมเตรียมใจไว้เผื่อสักวันต้องเป็นอย่างคุณ?”

“ฉลาดไม่เบา แต่ฉันคิดว่าอย่างนายคงไม่โดนอะไรแบบนี้หรอก” ดูจากอัลฟ่าที่เป็นเจ้าของเด็กหนุ่มโอเมก้าคนนี้คงไม่มีทางเจอเรื่องร้ายๆ อย่างที่เขาเคยเจอมาแน่นอน “ไปเจอกันได้ยังไงล่ะ? ฉันรู้มาว่าคาเล็มเก็บตัวเงียบน่าดู”

“คือ เรื่องมันค่อนข้างยาวน่ะครับ…”

“ไม่เป็นไร ฉันอยากฟัง ไม่สิ...เล่ามาให้หมดเปลือกซะ” คาร์เมนเอ่ยบังคับกลายๆ สายตาที่เหมือนคุณหมออัลฟ่าแต่กลับดูน่ากลัวกว่าทั้งที่เป็นโอเมก้าเหมือนกันทำเอาปฏิเสธไม่ลง นี่สลับเพศรองกันรึเปล่าเนี่ย!

“อย่างนี้นี่เอง…” พอรีดเค้นเรื่องราวทั้งหมดจากลาซารัสได้แล้วคาร์เมนก็บีบถ้วยป๊อบคอร์นจนแหลกคามือ ส่วนที่หล่นกระจายลงพื้นก็โดนเหยียบจนบี้แบนไม่เหลือเค้าข้าวโพดคั่วน่าทานอีกต่อไป “ไว้กลับมาเมื่อไหร่ฉันจะเชือดเจ้าริชาร์ดนั่นเอง!”

“ใจเย็นๆก่อนนะครับคุณคาร์เมน!” ลาซารัสเอยห้ามเพราะมีพวกสาวใช้ของริชาร์ดอยู่ด้วย แค่นี้บรรยากาศในบ้านก็แย่พอแล้วเพราะว่าตัวการที่ลักพาตัวเจ้านายของพวกเธอนั่งอยู่ที่นี่ พวกสาวๆ เลยไม่ชอบใจนักที่ต้องมาทำหน้าที่ดูแล นี่ถ้าเขาไม่อยู่ตรงนี้ล่ะก็สงสัยบ้านหลังนี้ได้เละเป็นโจ๊กแน่!

“ฉันไม่ได้ทำเพื่อนายสักหน่อยเจ้าหนู” โอเมก้ามากวัยกว่ากำหมัดแน่น “ฉันโกรธที่เจ้านั่นมันทำให้คาเล็มต้องเจ็บปวด แล้วก็ไม่สนเหตุผลหรอกว่าหมอนั่นจะตั้งใจหรือว่าพลาดท่าเสียทีนาย”

“ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นนะครับ!” ลาซารัสตะโกนเสียงสั่น “ผมเองก็ไม่ได้อยากให้มันเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นเลยสักนิดเดียว!”

“แต่มันเกิดขึ้นไปแล้ว พวกนายสองคนทำพลาดและทำร้ายจิตใจคาเล็มทั้งคู่ บอกตามตรงนะฉันว่าจบเรื่องนี้แล้วพวกนายสองคนน่ะเลิกมาข้องแวะกับเขาจะดีกว่า มีแต่จะตอกย้ำแผลในใจเขาขึ้นมาใหม่ซ้ำๆ...นี่พวกหล่อนว่างมากนักรึไงฟะ!? สาระแนจริง!” คาร์เมนชี้นิ้วใส่คนตรงหน้าและหันหน้าไปตะคอกไล่พวกสาวใช้ที่มาแอบฟังพวกตนคุยกัน “สมแล้วที่เป็นคนรับใช้เจ้านั่น เลี้ยงดูสั่งสอนกันมาแบบไหนแค่ดูนิสัยพวกคนที่ตามก้นต้อยๆ ก็พอจะเดาสันดานเจ้านายมันออกแล้ว”

“คุณพูดเกินไปแล้วนะครับคุณคาร์เมน พวกเธอแค่ต้องคอยเฝ้าดูผมตามที่คุณริชสั่งเท่านั้นเอง” ร่างโปร่งออกตัวปกป้องพวกผู้หญิง “แล้วก็ถึงคุณจะห้ามผมไม่ให้เจอคุณหมอก็คงต้องผิดหวังหน่อยนะครับ เพราะว่าผมน่ะมีสัญญาที่ต้องเป็นตัวทดลองยาตัวใหม่ให้กับคุณหมอ ยังไงก็ช่วยรอจนกว่าผมจะทนการทดลองไม่ไหว หรือไม่ก็จนกว่ายาจะเสร็จสมบูรณ์แล้วกันนะครับ”

ไอ้เด็กนี่ไม่ได้หงอเหมือนอย่างที่คิดเลยนี่หว่า…

“ก็ได้ แล้วฉันจะรอดูแล้วกัน” คาร์เมนหยิบเสื้อคลุมมาสวมตามเดิมและเดินออกไปทางประตู แต่ก็หันหน้ากลับมาพูดทิ้งท้ายกับลาซารัส “อ้อ...ฝากคำพูดไปบอกเจ้าอัยการหน้าเลือดนั่นด้วยก็แล้วกันว่าให้ระวังตัวไว้ให้ดี ถ้าขืนโผล่หน้ามาให้ฉันเห็นอีกล่ะก็คราวหน้าจะชกให้หน้ายุบจนต้องไปศัลยกรรมใหม่ทั้งหน้าเลย”

แต่นั่นมันโซลเมทคุณไม่ใช่รึไงครับ!!


TBC.




*****************************************************************************************


ต่อไปคิดว่าจะรอให้จบตอนก่อนแล้วมาลงทีเดียวนะคะ O]=[

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ตัวเล็กดูเกเรกว่าใคร

ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
บทที่ 14



แม้จะลั่นวาจาไปเช่นนั้น ทว่าตอนนี้คาร์เมนกำลังนั่งหน้าบูดอยู่ข้างๆพี่ชายของตนในขณะที่อีกข้างนั้นมีเออร์แฟนนั่งกดมือถือระรัวนิ้วสั่งงานลูกน้องอยู่ ทั้งสามกำลังกลับไปที่บ้านของคาเล็มด้วยรถของอัยการหนุ่ม แต่บรรยากาศในรถตอนนี้มันเคร่งเครียดสิ้นดี…
“ทำไมนายต้องมาด้วยล่ะเนี่ย?” ในที่สุดคาร์เมนก็เอ่ยถามไปยังโซลเมทของตัวเอง
“คาเล็มเป็นลูกความฉัน จะมาส่งก็ไม่แปลกนี่ นายนั่นแหละ ไม่กลับบ้านกลับช่องรึไง” เออร์แฟนตอบโดยที่นิ้วเริ่มเปลี่ยนไปเสิร์ชหาข้อมูลเรื่องโซลเมทเพิ่มเติม เผื่อว่าเรื่องนี้มันจะเป็นเพียงความเข้าใจผิดกันเท่านั้น...
“พี่น้องไม่ได้เจอกันตั้งหลายสิบปี ไม่คิดจะให้อยู่พูดคุยกันก่อนเลยเรอะ”
คาเล็มที่นั่งนิ่งเป็นกำแพงกั้นไม่ให้สองคนนี้ลงมือต่อยตีกันในรถก็ทำได้เพียงถอนหายใจและทำตัวสงบเสงี่ยมอย่างเหนื่อยหน่ายใจกระทั่งถึงหน้าบ้าน…
เออร์แฟนขอตัวกลับก่อนเพราะไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาเจอโซลเมทตัวเอง… แม้จะไม่ชอบใจเพราะความคาดหวังถึงโอเมก้าในอุดมคติต้องมลายสิ้น แต่ร่างกายมันก็ส่งสัญญาณเรียกร้องอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลาที่วนเวียนใกล้ๆ ตัวคาร์เมน
“พรุ่งนี้ฉันว่าจะไปหาแม่สักหน่อย เพราะงั้นขอพักเรื่องคดีวันนึงนะ” คาเล็มยื่นหน้าเข้ามาในรถเพื่อแจ้งธุระกับทนายของตน
“โอเค คิดซะว่าพักผ่อนละกัน” เออร์แฟนยักไหล่ “ให้คนมารับมั้ย?”
“ก็ดี มีบอร์ดี้การ์ดนายแล้วอุ่นใจขึ้นมาเยอะ”
“คาเล็ม…บอกตรงๆนะ ถึงพี่ชายนายจะเป็นแบบนั้นไปแล้ว แต่ฉันยังรู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่ดี” เออร์แฟนเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังขึ้นเพื่อยืนยันความรู้สึกของตัวเองด้วย “อย่าเพิ่งลดการระวังตัวละกัน”
“...อืม”
เมื่อตกลงนัดหมายเวลากันเรียบร้อย รถสีดำติดฟิล์มทึบสองสามคันก็แล่นจากไป เหลือเพียงสองพี่น้องยืนอยู่หน้าบ้าน
“มาแอบอยู่นี่เอง” คาร์เมนเริ่มเดินสำรวจรอบๆ แม้จะมืดแล้วก็มีแสงจากเสาไฟรอบๆพอส่องให้เห็นอาณาบริเวณได้ทั่ว “มิน่าล่ะ พวกนั้นถึงหาพี่ไม่เจอสักที”
“อา.. ช่างเรื่องพวกพี่ใหญ่เขาก่อน ฉันว่าเรนเดลคงตกใจที่ได้เจอนายแน่ๆ”
“เรนเดล! คุณเรนเดลยังอยู่สินะ!”
“นี่แช่งเขารึไง”
เป็นไปตามคาด เมื่อพ่อบ้านเพียงคนเดียวของที่นี่เดินออกมาต้อนรับแล้วรู้ว่าคาร์เมนติดรถมาด้วยเขาก็แทบจะทรุดลงร้องไห้ สำหรับเขาแล้วทั้งสองคนเขาก็ดูแลมาราวกับเป็นลูกของตัวเองไปแล้วจริงๆ ยิ่งคาร์เมนตอนเด็กที่เกิดมาเป็นโอเมก้าเพียงคนเดียวในตระกูลที่เต็มไปด้วยลูกหลานอัลฟ่า เขายิ่งรู้ดีว่าชีวิตของเด็กน้อยคงไม่สวยงามแน่ๆ…
“เปลี่ยนไปเยอะเลยนะคุณเรนเดล คุณดูแก่ลงไปเยอะเลย สงสัยผมคงได้จับคุณอุ้มสูงๆ แทนแล้วมั้ง” น้องชายโอเมก้าของคุณหมอยังจำได้ดีว่าตอนยังเด็กนั้นเขาเห็นเรนเดลเป็นเหมือนพ่อมากกว่าพ่อบังเกิดเกล้าแท้ๆ ของตนเสียอีก
ในความทรงจำต่อผู้คนที่ทำดีกับเขาเพียงน้อยนิดนั้น พ่อบ้านตรงหน้าเป็นคนรับใช้เพียงไม่กี่คนในบ้านใหญ่ที่เอ็นดูเขาเหมือนลูกเหมือนหลาน ไม่ทำตัวเหินห่างราวกับเป็นคนอื่น
“กระผมเองก็จำคุณชายน้อยแทบไม่ได้เลยเหมือนกันครับ แต่แววตาของคุณเหมือนคุณนายมากๆ...”
“ผมไม่ใช่คุณชายน้อยแล้วนา... นี่อย่าบอกนะว่ายังเรียกพี่ว่านายน้อยอยู่อีก” คาร์เมนหันไปหัวเราะพี่ชายของตนเมื่อพ่อบ้านพยักหน้าแทนคำตอบ “มาเรียกผู้ชายรุ่นลุงสองคนเป็นเด็กๆ แบบนี้ไม่เขินแย่เลยเหรอ”
“ขอประทานโทษครับ กระผมพูดจนมันติดเป็นนิสัยไปแล้ว”
“ให้เรนเดลเรียกไปเถอะ เขาเคยชินของเขาแบบนั้นจะมาเปลี่ยนอะไรเอาป่านนี้”
“ก็จริงเนอะ แต่อย่างผมนี่คงเป็นคุณชายน้อยกับเค้าไม่ไหวแล้วมั้ง” คาร์เมนชี้ให้ดูรูปร่างหน้าตาของตน ทำเอาพ่อบ้านและพี่ชายเผลอขำไปตามๆกัน คาร์เมนเองก็ยิ้มตาม เหมือนบรรยากาศวันวานแสนสุขกลับมาอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานนับสิบๆปี
คาเล็มวานให้พ่อบ้านไปจัดห้องและที่นอนให้น้องชายพักค้างคืน แต่คาร์เมนขอเลือกนอนที่โซฟาเพราะปกติเขาต้องไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลก็เลยคุ้นชินกับการนอนโซฟามากกว่าเตียง
“โซฟามีเจ้าของแล้วนะ ต้องขออนุญาตเจ้าตัวข้างหลังนายก่อน” คาร์เมนมองตามที่พี่ชายชี้นิ้วไปก็เจอสุนัขตัวใหญ่โดดเข้ามาคลอเคลียในระยะประชิด
“ว้าก! ใหญ่โคตร! แต่ไหงเชื่องจังเนี่ย!” คาร์เมนลงไปฟัดกับจูเลียตที่พื้น คงเพราะพักนี้เจอคนแปลกหน้าบ่อยเลยทำเอาสัตว์เลี้ยงที่คอยไล่แขกกลายเป็นรับแขกทุกคนไปแล้ว
คุณหมอปล่อยให้น้องชายนั่งเล่นกับสัตว์เลี้ยง ส่วนตนเดินไปเก็บข้าวของที่วางเกลื่อนไว้ที่โต๊ะเนื่องจากสั่งเรนเดลไว้ว่าอย่าเพิ่งรีบเก็บกวาด
“ขอผมดูห้องทำงานของพี่หน่อยได้มั้ย?” ถามไปตามมารยาทแล้วก็ลุกพรวดเดินตามไปติดๆ พอมาถึงห้องทำงานก็แสดงปฏิกิริยาเหมือนตอนที่ลาซารัสมาเห็นห้องนี้เป็นครั้งแรกไม่มีผิด ทำเอาเจ้าของห้องเผลอเหม่อลอยไม่รู้สึกตัวกระทั่งน้องชายโอเมก้าเดินเข้ามาประชิดตัวนั่นแหละถึงได้สะดุ้งตื่นจากภวังค์
“พี่เหนื่อยเหรอ?” คาร์เมนถอดแว่นเก็บมองสีหน้าของผู้เป็นพี่ที่ดูค่อนข้างเหนื่อยล้า
“อืม...ก็นิดหน่อยน่ะ วันนี้เจออะไรๆ พร้อมกันตั้งหลายเรื่องนี่นะ”
“...ให้ผมช่วยผ่อนคลายให้เอามั้ยล่ะ?”
“หา?”
คาเล็มที่ยังไม่เข้าใจคำพูดของน้องชายแท้ๆดี ก็โดนคาร์เมนดันร่างเขาจนติดประตูห้องทำงาน มือหนึ่งของโอเมก้าคนน้องเอื้อมไปปิดล็อคห้องก่อนอีกมือจะประคองหน้าของพี่ชายให้รับจูบจากตนอย่างรวดเร็ว แต่เพียงเสี้ยววินาทีที่โดนกดริมฝีปากเข้ามาหา คาเล็มก็ยกสองมือขึ้นจับบ่าอีกฝ่ายแล้วดันออกให้ห่างจากเขา แต่คาร์เมนไม่ยอมผละตัวออกไปง่ายๆ สองแขนตรงเข้าโอบเอวพี่ชายไว้แน่นจนท่อนล่างพวกเขาแนบชิดกัน
“ทำอะไรของนาย!?” แม้จะดันอีกฝ่ายออกจากหน้าได้ แต่ตอนนี้เขากำลังถูกคาร์เมนซุกหน้าอยู่ข้างตัวเหมือนกำลังสูดดมกลิ่นฟีโรโมนของเขาอยู่
“ก็..ผ่อนคลายให้พี่ไง” คาร์เมนกระซิบด้วยน้ำเสียงซุกซนโดยไม่สนใจความสมัครใจของอีกฝ่าย กลิ่นฟีโรโมนหอมเย้ายวนโชยฟุ้งเป็นสัญญาณว่าเขาคงเริ่มถูกกลิ่นของคาเล็มกระตุ้นเข้าให้แล้ว แม้ทั้งสองคนจะฉีดน้ำหอมดับกลิ่นไว้ แต่เวลานี้มันคงจางไปหมดแล้วเป็นแน่
“คาร์เมน ฉันไม่รู้หรอกว่านายกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ แต่หยุดซะ!” คุณหมอออกแรงแกะแขนน้องชายออกอย่างง่ายดาย แล้วดันอีกฝ่ายออกห่างจากตน “แบบนี้...มันไม่เหมาะสม แล้วอีกอย่าง..ฉันก็มีโอเมก้าของตัวเองแล้ว”
“หมายถึงลาซารัสน่ะเหรอ?”
“นายรู้?”
“อืม เค้นจากเจ้าหนูนั่นมาหมดแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ยิ่งไม่ควรทำแบบนี้เข้าไปใหญ่!” คาเล็มขึ้นเสียงเล็กน้อย “ไม่สิ ถึงฉันจะไม่มีโอเมก้าของฉัน แต่นายก็..”
“กับเจ้าเด็กนั่นที่คอยแต่ทำให้พี่เจ็บปวดน่ะนะ?” คาร์เมนขัดคำพูดของอีกฝ่ายแล้วมองตรงเข้าไปยังดวงตาสองสี “พี่จะมั่นใจได้ยังไงว่าเด็กนั่นมันรักพี่จริงๆ แล้วอีกอย่าง...ผมไม่สนใจเรื่องที่ว่าเราเป็นพี่น้องกันหรอก”
คุณหมอสะอึกกับคำพูดของน้องชายแถมยังแอบตกใจกับความคิดแบบนั้นจนไม่รู้จะหาคำไหนมาโต้ตอบ คาร์เมนที่ตัวผอมบางกว่าลาซารัสค่อนข้างมากกลับทำให้เขานิ่งงันได้โดยไม่ต้องออกแรงอะไรเลย แค่เพียงดวงตาแฝงความคาดเดาไม่ออกกับรอยยิ้มยั่วยวนนั้นก็ทำเขาละสายตาไม่ได้ราวกับต้องมนต์สะกด
“พี่ไม่เหมือนอัลฟ่าคนอื่นๆ ที่คอยแต่จะกดหัวโอเมก้า แต่พี่พยายามทำเพื่อพวกเราตั้งมากมาย ตอนที่เห็นพี่เปิดตัวยาที่วิจัยในทีวีวันแรก ผมก็ใจเต้นไม่หยุด รู้สึกอยากอยู่ข้างๆ พี่มาตั้งแต่ตอนนั้น”
พอเห็นว่าคาเล็มนิ่งเงียบไปก็ได้เริ่มอธิบายความคิดตัวเอง สองมือยกขึ้นลูบใบหน้าของพี่ชายที่เต็มไปด้วยริ้วรอยจากอายุที่มากขึ้นและความทรุดโทรมจากการโหมงานหนักมายาวนาน “พี่ทุ่มเทเพื่อคนอื่นตลอดมา ผมรู้...แค่เห็นข่าวก็พอจะเดาได้เลยล่ะ เพราะงั้น…”
ระหว่างที่กำลังพูดอยู่ คาร์เมนเลื่อนมือลงต่ำไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวแล้วลูบไปตรงส่วนกลางของพี่ชายที่เริ่มจะตื่นตัวเพราะกลิ่นฟีโรโมนของคาร์เมนที่เริ่มอบอวล
“เฮ้ย!? เดี๋ยว..!”
“..และผมก็ไม่เห็นว่าไอ้หนูนั่นจะเหมาะกับพี่ตรงไหน” ร่างเล็กกว่ายกแขนข้างหนึ่งโอบคอคาเล็มไว้แล้วซุกหน้าลงไปบนบ่าอีกฝ่าย ทำให้จมูกของพี่ชายอยู่ใกล้กับจุดปล่อยฟีโรโมนตรงซอกคอของตนจนกลิ่นที่ได้รับนั้นเข้มข้นชัดเจน ทั้งยังมือที่นวดเฟ้นช่วงล่างก็ทำหน้าที่อย่างเชี่ยวชาญจนไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างกายของอัลฟ่าที่โดนไล่ต้อนก็เริ่มร้อนรุ่มไปหมดแม้กระทั่งลมหายใจ “เชื่อสิ...ผมทำให้พี่สนุกได้มากกว่าเจ้าเด็กไม่ประสีประสานั่นอีก”
“อึก…” คาเล็มกลืนน้ำลายลงคอ สติของเขาเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเหมือนคราวที่ลาซารัสเข้าช่วงฮีทในรอบปี กลิ่นหอมที่ทำให้อัลฟ่าต่างคลั่งซะจนสูญเสียความมีเหตุผลไปจนสิ้น ส่วนกลางที่คับแน่นกางเกงตื่นตัวเต็มที่ด้วยมือที่ช่ำชองของคนคุมเชิง ฝ่ายน้องชายโอเมก้าเองก็สัมผัสได้ว่าใต้ร่มผ้าของตนเริ่มชื้นเพราะน้ำหล่อลื่นซึมออกมา ร่างกายสั่นระริกด้วยความกระสันอยากถูกพี่ชายร่วมสายเลือดสัมผัสจนทนไม่ไหว
“พี่ไม่เห็นเหรอว่าร่างกายของผมมันต้องการพี่แค่ไหน...” คาร์เมนดึงมือของพี่ชายให้สัมผัสผิวกายของตน และเผลอส่งเสียงครางเบาเมื่อคุณหมอถอดเสื้อนอกของเขาออกให้มันลงไปกองที่พื้น พร้อมกับเริ่มกดจูบไล้ปลายลิ้นร้อนไปตามซอกคอและไหปลาร้าของตน
“คาร์เมน…” คุณหมอเรียกชื่ออีกฝ่ายเหมือนคนละเมอ มือทั้งสองลูบคลำสะโพกแน่นและเลื่อนลงไปกดช่องทางคับแน่นด้านหลังกดคลึงตรงจุดไวต่อสัมผัสผ่านเนื้อผ้า ร่างเล็กกว่าเขาเองก็เริ่มทนไม่ไหวปล่อยมือออกจากแกนกลางร่างสูงและรีบถอดเข็มขัดรูดซิปกางเกงตัวเองลงจนร่นลงมาพอให้เริ่มบรรเลงต่อได้ทันที
“เข้ามาสิพี่…” น้ำเสียงเชื้อเชิญต้องการอย่างที่สุด แต่คาเล็มก็เหมือนจะยังพยายามฝืนสัญชาตญาณของตัวเองอยู่ คาร์เมนจึงกระชากตัวพี่ชายให้นั่งลงมาที่พื้นโดยที่หลังยันประตูไว้ ส่วนตนนั่งกดสะโพกลงมาทับความเป็นชายที่ยังคงคับแน่นใต้กางเกงอยู่แบบนั้น “หรือถ้าไม่อยากใส่เข้ามาล่ะก็เดี๋ยวผมทำให้พี่เสร็จทั้งแบบนี้เลยนะ”
“ถ้าหากไม่หยุดตอนนี้...นายกับฉันก็จะไม่ใช่พี่น้องกันอีกแล้วนะ” คาเล็มเค้นคำพูดอย่างยากลำบาก ตอนนี้ร่างกายมันไม่ฟังคำสั่งของเขาแล้ว ก็ได้แต่ภาวนาให้น้องชายเป็นคนหยุดสถานการณ์นี้ลงเสียที “และฉันจะ...ไม่ไปเจอแม่กับนายอีกเลยตลอดชีวิต”
“......” เหมือนจะได้ผล คาร์เมนหยุดการเล้าโลมทุกอย่าง แต่ก็ยังไม่ลุกไปจากตัวเขา
แสดงว่ามาถูกทางสินะ...
“ไม่ใช่แค่ไม่ไปเจอ แต่นายจะไม่ได้เห็นหน้าฉันอีกเลย ต่อให้ใช้เวลาอีกทั้งชีวิตนายก็จะไม่มีทางได้เห็นฉันอีกแม้แต่เงา เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่นายหรือพี่ใหญ่ก็หาฉันไม่เจอ...”
“ทำไมต้องขู่กันถึงขนาดนี้ด้วยล่ะพี่…” ดวงตาสีสวยสลดลงเหมือนคนถูกลงโทษทัณฑ์รุนแรง คาเล็มต้องเมินหน้าหนีเพราะกลัวว่าจะเผลอใจอ่อน สุดท้าย...คาร์เมนก็ถอดใจหยิบยาระงับในกระเป๋าเสื้อนอกของตนมากิน แต่เป็นปริมาณที่เยอะจนคุณหมออัลฟ่ายังตกใจ “แล้วยาของพี่ล่ะ?”
ดวงตาหลังกรอบแว่นชี้ไปที่กระเป๋าซึ่งวางไว้บนโต๊ะทำงาน “มียาทดลองตัวใหม่ของฉันอยู่ในนั้น”
น้องชายจึงลุกขึ้นเดินไปหยิบขวดยาและเข็มฉีดมาให้ ราวกับรู้จักดีว่าพวกอัลฟ่ามียาระงับฉุกเฉินที่ออกฤทธิ์ได้ผลเร็วกว่ายากิน
...แล้วสถานการณ์สุ่มเสี่ยงก็จบลงด้วยดีชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดอีกครั้ง
“เฮ่อ...ประเมินพี่ต่ำไปหน่อยแฮะ ทั้งๆที่ไม่เคยมีใครรอดเวลาโดนผมกดเลยแท้ๆ” คาร์เมนทำหน้าเซ็งหลังปรับอารมณ์ทุกอย่างกลับเข้าที่
“คิดว่านายจะเกลียดพวกอัลฟ่าเข้าไส้ซะอีก…” ไหนจะกลั่นแกล้งริชาร์ดจนหัวปั่น ทั้งยังสาบานว่าชาตินี้ไม่มีวันเอาโซลเมทอย่างเออร์แฟน การกระทำอันอุกอาจแฝงความเอาแต่ใจนี้มันทำให้อยากรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นน้องชายร่วมสายเลือดไปเจออะไรมาบ้าง
“เกลียดสิ แต่เวลาเห็นสีหน้าตอนที่พวกนั้นพลาดท่าเสียประตูหลังให้โอเมก้าอย่างผมมันสะใจกว่าอีก” คนเป็นพี่ชายแทบช็อคเมื่อได้รู้ว่าน้องชายโอเมก้าของตนเป็นนักล่าแต้ม แถมตัวผอมแค่นี้ยังจะกดอัลฟ่าได้อีกด้วย!
ในฐานะพี่ชายควรจะห้ามดีมั้ย!?
“ฉันอยากให้นายเลิกทำพฤติกรรมเสี่ยงแบบนั้นนะคาร์เมน และอีกอย่างตอนนี้นายก็ได้เจอโซลเมทของตัวเองแล้วด้วย นายน่าจะ...”
“ใครจะไปสนเรื่องหลอกเด็กแบบนั้น!” คาร์เมนเผลอตะโกนเสียงลั่นก่อนจะกดเสียงตัวเองให้เบาลง “...ผมไม่ต้องการเป็นคู่ของไอ้เด็กอัลฟ่าหน้าเลือดเห็นแก่เงินพวกสารเลวพรรค์นั้นหรอก”
“มันเป็นงานของเขานี่ หมอนั่น...เออร์แฟนเองก็เลือกลูกความตามใจชอบไม่ได้หรอกนะ”
“แต่จะปฏิเสธก็ได้ไม่ใช่รึไง! ถ้าไม่ใช่เพราะพี่โดนพวกนั้นเล่นงานจนถอดใจยอมแพ้ไปครั้งหนึ่ง ป่านนี้ยาของพี่ก็คงจะถูกกฏหมายไปนานแล้ว และพวกโอเมก้าก็ไม่ต้องไปซื้อยาระงับห่วยๆ ราคาถูกเกรดต่ำมากินจนร่างกายพังไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่หรอก!”
“ก็จริง...แต่ตอนนี้เขาอยู่ข้างเราแล้ว ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น” คุณหมอจ้องน้องชายโอเมก้าที่กำลังโกรธจนหน้ามืดตามัว ช่างเหมือนตัวเขาเมื่อก่อนที่เกลียดชังฝ่ายนั้นซึ่งว่าความให้กับพวกพี่ชายต่างแม่ไม่มีผิด
คาร์เมนกัดฟันตัวเองแน่นพยายามข่มโทสะที่โชคชะตาช่างเล่นตลกกับชีวิต ทว่าแค่นึกถึงตอนที่ได้กลิ่นฟีโรโมนจากตัวอัยการหนุ่มคนนั้น คาร์เมนก็รู้สึกเอ่อล้นด้วยความต้องการอย่างที่ไม่เคยได้รู้สึกจากอัลฟ่าคนไหนมาก่อนในชีวิต แม้ว่าเมื่อกี้นี้จะได้กลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าผู้เป็นพี่ชาย แต่ความรู้สึกในตอนนั้นมันก็เทียบกันไม่ได้ หากว่าเขาไม่กินยาระงับที่พกติดตัวไว้ก่อนก็คงกระโจนเข้าใส่เออร์แฟนอย่างไร้ยางอายไปตั้งแต่ตอนที่เจอหน้ากันแล้ว
“แล้วก็..” คาเล็มเรียกสติน้องชายให้กลับสู่ปัจจุบันเพื่อฟังเขาพูดต่อ ใบหน้าสูงวัยกว่าขมวดคิ้วเข้าหากันคล้ายจะไม่พอใจเล็กน้อย “ที่นายบอกว่าลาซารัสไม่เหมาะกับฉันน่ะ อันนี้มันออกจะก้าวก่ายไปหน่อยนะ”
“...ผมก็แค่พูดตามที่เจ้าเด็กนั่นเล่าให้ฟัง” ที่จริงควรจะบอกว่าอีกฝ่ายซื่อบื้อเกินไปหรือโกหกไม่เป็นดี... อาจจะกลัวเขาจนเปิดปากออกมาทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ก็เพราะเห็นว่าเขาเป็นน้องชายของคาเล็ม... เอาเถอะ จะอย่างไหนก็เหมือนๆกัน เพราะว่าเขารู้เรื่องเกือบทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว
“ก็ไม่อยากจะพูดแบบนี้หรอก แต่ว่า..” คาเล็มถอนหายใจ “นี่ชีวิตของฉัน ฉันขอตัดสินใจเองว่าอะไรเหมาะหรือไม่สำหรับตัวฉันเอง”
คาร์เมนแอบเม้มปากตัวเอง ทั้งสองคนลุกขึ้นยืนหลังจากที่บทสนทนาเงียบหายไปสักพัก และจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่เพราะได้ยินเสียงเรนเดลเรียกหาพวกเขาทั้งคู่ดังแว่วมาจากด้านนอก
“งั้นผมจะทำตัวแบบนี้ต่อไปก็ได้สินะ”
“หือ? มันไม่เหมือนกันนะ นั่นฉันเตือนนายเพราะ...”
“ผมก็เตือนพี่เหมือนกันแหละ” น้องชายขัดคอแล้วมุ่ยหน้าใส่ ก่อนจะเปิดประตูเดินออกไป “พรุ่งนี้ไปหาแม่กันก่อน ค่อยมาว่ากันเรื่องนี้ ...บอกก่อนเลยว่าผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก!”
ไปได้ความดื้อมาจากใครกันนะ?
คาเล็มถอนหายใจและเดินตามออกมาแล้วตรงกลับไปที่ห้องตัวเอง ในขณะที่คาร์เมนเองก็จ้ำเท้าไปยังห้องที่เรนเดลเตรียมไว้ให้ เมื่อปิดประตูห้องโดยกล่าวราตรีสวัสดิ์กับพ่อบ้านเพียงหนึ่งเดียวในบ้านนี้ คาร์เมนก็ตรงไปทิ้งตัวลงบนเตียงนอนนุ่มพร้อมผ้าปูใหม่เอี่ยมหอมกลิ่นแดดทันที ริมฝีปากเผลอหอบหายใจถี่และปิดตาแน่นคล้ายจะเวียนหัวคลื่นเหียน ผลจากยาส่งผลค่อนข้างแรงเนื่องจากอวัยวะภายในของตัวเองก็ไม่ได้เพียบพร้อมพอจะรับผลกระทบที่ส่งมายังร่างกาย
ทว่า ถ้าไม่กินเข้าไปขนาดนั้นยาก็ไม่สามารถหยุดอาการฮีทของเขาได้…
“อย่าเพิ่งไปเป็นตัวถ่วงพี่เขานะ…” คาร์เมนเอ่ยกับตัวเองแล้วลืมตามองมือของตนที่ออกอาการสั่นระริกบางเบา แม้จะไม่มาก แต่มันก็เป็นสัญญาณชัดเจนว่าเขาไม่ควรจะกินยาเกินขนาดแบบนี้บ่อยๆเหมือนสมัยที่ยังแข็งแรงดีอยู่ ความจริงเขาอยากจะรอให้เรื่องวุ่นๆรอบตัวของของคาเล็มจบไปก่อนค่อยมาพบกัน ...แต่เวลามันไม่มีแล้วนี่สิ...

ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
“คุณผู้ชาย ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ?”
“อื้อ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะทุกคน” ริชาร์ดยืนเป็นหลักให้เจสสิก้าที่ปรี่เข้ามาหาเขา หญิงสูงวัยแทบจะโผเข้ากอดเหมือนได้ลูกชายคืนจากการโดนเรียกค่าไถ่ ไหนจะสาวใช้อีกหลายชีวิตที่รุมล้อม จะให้ปลอบสาวๆ ทั้งหมดนี่ทีเดียวคงใช้เวลานานโข!
ลาซารัสยืนมองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ไม่อยากเข้าไปรบกวนอะไร เขาเดินไปนั่งลงที่โซฟาใกล้ๆ คิดทบทวนเรื่องราวในวันนี้รวมทั้งตรวจเช็คยาว่ากินครบถ้วนดีหรือยัง ถึงเขาจะจำได้แต่ก็กันลืมไว้ด้วยการจดไว้ในมือถือของตัวเอง
“มียาที่ต้องตื่นมากินด้วยนี่นา..” ว่าแล้วปลายนิ้วก็จิ้มตั้งเวลาปลุกไว้อย่างรวดเร็ว
‘..จบเรื่องนี้แล้วพวกนายสองคนน่ะเลิกมาข้องแวะกับเขาจะดีกว่า มีแต่จะตอกย้ำแผลในใจเขาขึ้นมาใหม่ซ้ำๆ..’ คำพูดของคาร์เมนยังวนเวียนอยู่ในหัวของลาซารัสจนโอเมก้าหนุ่มเผลอนั่งเหม่อไปพักใหญ่แม้บรรยากาศจะวุ่นวายแค่ไหนก็ตาม ดวงตาสีฟ้าหลบต่ำแม้ไม่มีใครจ้องมองอยู่ ความรู้สึกเจ็บจุกในอกที่รู้สึกอยู่ตั้งแต่ตอนที่เห็นหน้าคาเล็มวันนี้เหมือนยิ่งชัดเจนขึ้น
“นี่ๆ ไม่เป็นอะไรแล้วน่า เพราะงั้นเลิกร้องไห้กันได้แล้วนะ...หือ?..” เจ้าของบ้านหันไปเห็นว่าลาซารัสนั่งซึมอยู่จึงต้องขอตัวจากเหล่าบริวารที่แสดงความห่วงใยแล้วปลีกตัวไปหา
“อ่ะ...คุณเจสสิก้าล่ะครับ?” โอเมก้าหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนที่เดินเข้ามาและเปลี่ยนไปมองที่กลุ่มสาวใช้กับพ่อบ้านที่กำลังแยกย้ายกัน ในนั้นมีเจสสิก้าที่เดินออกไปโดยมีสาวๆสองสามคนคอยประคอง แต่ใบหน้าโล่งใจของเธอทำให้เขาคลายกังวลลงโดยไม่ต้องให้ริชาร์ดตอบเลย
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ..นายล่ะ?” คนถามทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวเล็กข้างๆ “เป็นอะไรรึเปล่า?”
แม้จะมีเรื่องมากมายสุมในอกแต่ลาซารัสไม่สามารถพูดออกไปได้ เขาเรียบเรียงลำดับอะไรในหัวไม่ถูกสักอย่าง แต่กระนั้นริชาร์ดก็นั่งรอเขาตอบโดยไม่ได้เร่งเร้า ลาซารัสจึงตัดสินใจพูดความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดออกมาก่อน
“ผม..รู้สึกผิดกับคุณหมอน่ะ” เขาถอนหายใจรอบที่ร้อยออกมาหลังจากพูดจบ
“อืม..” ริชาร์ดพยักหน้า พอเห็นใบหน้าเพื่อนรักวันนี้ยิ่งทำเอาอยากต่อยตัวเองเข้าไปใหญ่ ไม่ได้เจอกันแค่พักเดียวแต่คาเล็มดูซูบลงไปเยอะ “คาเล็มคงไม่ได้พูดอะไรกับนายหรอกมั้ง? ...แต่คาร์เมนนี่สิ”
“จะคนไหนพูดก็เหมือนกันแหละครับ” โอเมก้าหนุ่มหันมามองดุ “มันเรื่องจริงนี่นา”
“ขอโทษๆ ...พอดีเลย.. ฉันกำลังคิดว่าจะตัดใจน่ะ”
“ตัดใจ?”
“ใช้คำผิดไปหน่อย.. ต้องบอกว่า ฉันจะเลิกเป็นมือที่สามแล้วไง” ริชาร์ดยิ้มให้อีกฝ่ายเหมือนกับที่ผ่านมา แต่ทำไมวันนี้มันดูฝืนชะมัดเลย.. “ความจริงฉันไม่ควรจะคิดอะไรกับนายแต่แรกแล้วล่ะนะ”
ลาซารัสไม่ได้ตอบอะไร เขามองหน้าอัลฟ่าเจ้าของชีวิตในตอนนี้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นมาหยุดตรงหน้า ..และชกเข้าไปที่เบ้าหน้าอีกฝ่ายเสียเต็มแรงจนริชาร์ดแทบตกจากโซฟา ถึงจะบอกว่าเต็มแรงแต่ก็ไม่ได้มากพอจะทำให้คนโดนร้องโอดโอยแต่อย่างใด
“ชกผม”
“เฮ้ย!?”
“บอกให้ชกผมไงครับ!”
“ใครจะไปทำลงฟะ!?”
เมื่อเห็นริชาร์ดไม่คิดจะสวนคืน เจ้าตัวก็เลยจัดการชกตัวเองไปเต็มแรง แต่ท่าทางจะแรงกว่าที่อัดใส่ร่างสูงไปมาก ลาซารัสที่แทบหมดสภาพจึงล้มลงไปคลานข้างๆ โซฟา
“อูย.. ถือว่าหายกันนะครับ”
“หายกันอะไรเล่า!? นายทำบ้าอะไรเนี่ย” แม้จะเจ็บหน้าตัวเอง แต่ริชาร์ดก็ยังพยายามดูว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรมากไหม เห็นว่าไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออกก็โล่งใจไปเล็กน้อย
“ไม่รู้สิครับ แค่อยากทำ”
“หา?”
“งั้น..ต่อจากนี้ มาทำข้อตกลงกัน!” ลาซารัสเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับลุกขึ้นมายืนต่อหน้าเจ้าของบ้านอีกครั้ง “ตอนนี้ผมที่กินยาอยู่ตลอดคงไม่ฮีทง่ายๆแล้ว แต่นอกจากเวลาออกไปข้างนอก ผมจะฉีดน้ำหอมดับกลิ่นฟีโรโมนตลอด รวมทั้ง...คุณกับผมห้ามเข้าใกล้กันเกินจำเป็นแล้วด้วย!”
“...เอ่อ..” ริชาร์ดตามความคิดอีกฝ่ายไม่ทันเลยทำได้แค่พยักหน้าตอบ
“ขอโทษนะครับที่ต้องทำแบบนี้ทั้งที่มาขออาศัยบ้านคุณแท้ๆ..” ลาซารัสก้มหัวลงเสริมสิ่งที่ตนพูด “แต่ผมจะให้เกิดเรื่องแบบเมื่อวันก่อนไม่ได้ ผม..ไม่อยากทรยศคุณหมออีกแล้ว”
“อ..อืม เข้าใจ”
“รวมทั้งคุณเองด้วยครับคุณริช”
“...?” ริชาร์ดเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างฉงนสงสัย โอเมก้าหนุ่มเลยยกแขนข้างที่สวมนาฬิกาไว้ขึ้นมาให้อีกฝ่ายเห็น บนหน้าปัดนั้นมีนาฬิกาจริงๆ อยู่เพียงหนึ่งในสี่ของหน้าจอ ที่เหลือคือเวลานับถอยหลังสำหรับกินยาแต่ละเม็ด หน้าจอแจ้งเตือนอาการฮีท และอัตราการเต้นของหัวใจ…จนในที่สุดลาซารัสก็ได้คำตอบที่ตนคาใจมาตั้งแต่ตอนนั้น
“ผม..ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณครับ..พูดตรงๆ ตอนนี้ผมรู้สึกกลัวคุณนิดหน่อยด้วยซ้ำ..”
“อื้อ...เข้าใจแล้ว” อัลฟ่ามากวัยกว่าถอนหายใจยาวพร้อมกับยิ้มออกมาเหมือนทุกที “ก็อย่างที่บอกว่าฉันผิดเองแหละที่ดันไม่ห้ามใจตัวเองน่ะ”
ความเงียบลงปกคลุมไปทั่วโถงรับแขก มีเพียงเสียงนาฬิกาเรือนโตที่คอยส่งเสียงว่าเวลายังคงไหลไปไม่มีหยุด จนทั้งสองตัดสินใจกลับไปพักผ่อนเพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว ระหว่างเดินกลับขึ้นไปชั้นสองเพื่อแยกย้ายไปห้องของตัวเอง ทั้งคู่ก็ไม่ได้ปริปากอะไรออกมาแม้แต่น้อย
“งั้นราตรีสวัสดิ์นะครับ” โอเมก้าหนุ่มค้อมศีรษะให้เล็กน้อยแล้วหันเดินไปอีกฝั่ง
“เอ้อ... ลาซัส” ริชาร์ดเรียกอีกฝ่ายไว้ก่อนจะแยกไปคนละทาง เขาอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่งเหมือนกำลังคิดเพื่อจะเรียบเรียงคำพูด
“ครับ?”
“ฉันขอโทษนะ” คำพูดเรียบง่ายไร้การปรุงแต่งใดๆ ออกจากปากมาในที่สุด “ทำตัวไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่ที่ดีเลย”
“...เอาไว้ค่อยมาแก้ตัววันหลังแล้วกันนะครับ..ผมเองก็ด้วย”
“อืม.. แล้วก็..ฉันเองก็อยากกลับไปเป็นพี่ชายนาย...เหมือนเมื่อก่อนหน้านี้ แต่ให้เวลาฉันหน่อยแล้วกัน”
ลาซารัสไม่พูดอะไรต่อ เขาทำได้แค่ยิ้มบางๆตอบและหันหลังเดินกลับไปห้องของตัวเอง เมื่อร่างโปร่งลับตาหายเข้าไปหลังบานประตู รอยยิ้มของคนที่มักจะทำตัวสบายๆ อยู่เสมอก็หุบลงกลายเป็นรอยยิ้มแห้งแสนเหน็ดเหนื่อยและปวดร้าวแทน แต่เขาไม่คิดจะให้ใครเห็นมันอย่างแน่นอน
“...เจ็บชะมัดเลยแฮะ…”



“มีเรื่องกลุ้มใจอะไรหรือครับคุณ?” บาร์เทนเดอร์เอ่ยถามชายหนุ่มผู้เป็นลูกค้าซึ่งกำลังนั่งดื่มเพียงลำพังตั้งแต่เข้ามาในร้าน จนใกล้จะได้เวลาปิดร้านก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม ทีแรกก็คิดว่านัดคนไว้แต่ดูท่าทางจะไม่ใช่แบบนั้น
“...ชีวิตนี่มันมีเรื่องตลกร้ายได้เสมอเลยนะมาสเตอร์” อัยการหนุ่มที่ตอนนี้อยู่ในสภาพกึ่มๆได้ที่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนั่งควงแก้วเหล้าสีสวยในมือ...เป็นแก้วที่ห้า
“อยากระบายมั้ยล่ะครับ?” แววตาของบาร์เทนเดอร์ประจำบาร์ใจกลางเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคอนโดของเออร์แฟนจ้องมองไปยังดวงตาของลูกค้าที่ตอนนี้ฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยากไปแล้ว
มือที่เช็ดแก้วนำไปวางหลังเคาท์เตอร์เปลี่ยนมาชงเหล้าสูตรพิเศษของตัวเอง เพราะไม่มีลูกค้าคนอื่นนอกจากชายหนุ่มรูปงามซึ่งคงจะเป็นแขกรายสุดท้ายของร้านในค่ำคืนนี้แล้ว “แก้วนี้ผมเลี้ยงแล้วกันนะครับ”
“คิดจะมอมเหล้าลูกค้ารึไง?” เออร์แฟนเงยหน้าขึ้นมาหลังแก้วเหล้าถูกเสิร์ฟ บาร์เทนเดอร์หัวเราะเบาๆ ก่อนยกขึ้นมาจิบเองอึกหนึ่ง
“ทดสอบพิษให้แล้วครับ” มาสเตอร์โค้งสวยๆให้ทีหนึ่ง อัยการหนุ่มเผลอหลุดขำเลยตกลงยอมดื่มต่ออีกสักแก้ว คงไม่ถึงกับเมาจนเดินกลับห้องไม่ถูกหรอกกระมัง…
เครื่องดื่มรสเบาแต่ร้อนแรงแสบไปทั้งคอและทรวงอก ทำเอารู้สึกเหมือนได้รับการถ่ายทอดความรู้สึกมากมายในใจให้แสดงออกมาเป็นการเจ็บปวดทางกายภาพ เออร์แฟนค่อยๆจิบเครื่องดื่มรสเลิศไปทีละนิดและเริ่มเปิดปากถึงสิ่งที่อัดอั้น “มาสเตอร์เคยผิดหวังในความฝันของตัวเองมั่งมั้ย”
“ก็หลายครั้งนะครับ” บาร์เทนเดอร์ตอบและเริ่มเก็บกวาดเคาท์เตอร์ไปพลางในส่วนที่ไม่จำเป็นต้องใช้ “ผมไม่ได้ประสบความสำเร็จตั้งแต่แรกๆหรอกครับ กว่าจะมีร้านนี้ได้ก็ลำบากแทบแย่”
“ไม่ๆ ผมหมายถึง เรื่องคู่ครองในฝันของคุณ”
“ครับ?”
“เรารึอุตส่าห์ตั้งความหวังว่าสักวันจะต้องเจอคู่แท้ที่เกิดมาเพื่อเรา ทั้งสวย นิสัยน่ารัก ฉลาดแล้วก็เรียบร้อยเป็นกุลสตรี เป็นคนที่เหมาะสมกับการลงทุนลงแรงไปตั้งมากมาย” การลงทุนที่เออร์แฟนพูดถึงก็คงเปรียบเปรยกับการผลักดันให้ยาของคาเล็มเป็นยาถูกกฎหมายให้ได้นั่นเอง ทว่าบาร์เทนเดอร์หนุ่มก็คงไม่รู้ว่าเออร์แฟนหมายถึงอะไร เพราะเขากำลังทำสีหน้าฉงนสงสัยอย่างปิดไม่อยู่ “แล้วมันดันมาพังทลายเพราะดันเจอโซลเมท! ...โซลเมทที่ทำให้ความฝันที่จะมีครอบครัวแสนสมบูรณ์แบบในอุดมคติของฉันปลิวหายไปนั่นน่ะ!!”
“อ๋อ..” คนฟังพอจะจับใจความได้แล้วจึงยิ้มบางเบาให้อย่างต้องการปลอบประโลม “แหม มันจะเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
“ยิ่งกว่าที่คุณคิดแน่นอน!” เออร์แฟนชี้นิ้วไปหาอีกฝ่าย แต่ทางบาร์เทนเดอร์ก็ไม่ได้ถือสาอะไรเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาหาเรื่อง เพียงแต่อารมณ์มันพาไปเท่านั้น “เป็นโอเมก้ารุ่นคุณลุง ไร้การดูแลตัวเองโดยสิ้นเชิง แถมยังปากดีขี้หาเรื่อง ไม่มีเศษเสี้ยวของคำว่าน่ารักเลยสักนิด!”
“งี้นี่เอง แล้วคุณรู้จักเขามานานหรือยังครับ?”
“ครึ่งวัน”
“หา?” บาร์เทนเดอร์สะบัดหน้ากลับมามองอีกฝ่ายหลังจากหันหลังไปจัดการเก็บแก้วที่ด้านหลังให้เป็นระเบียบ “คุณเพิ่งเจอเขาเองนี่ครับ”
“ใช่”
“อืม...ถ้าอยากได้คำแนะนำ ผมว่าลองติดต่อพูดคุยทำความรู้จักกันอีกสักพักไม่ดีกว่าเหรอครับ เจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงไม่น่าจะทำให้รู้จักเขาดีหรอกกระมัง” ถึงที่ผ่านมาบาร์เทนเดอร์หนุ่มจะทำหน้าที่รับฟังเท่านั้น แต่กรณีนี้เขาอยากจะออกปากเสียจริง มีอย่างที่ไหนถึงมาฟูมฟายราวคนอกหักโดยที่ยังไม่ทันได้ทำความรู้จักกับอีกฝ่ายเลย!?
ถึงจะหัวแข็งแค่ไหนแต่ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปค่อนข้างมาก ทำให้อัยการหนุ่มหรี่ตามองและพยักหน้าเหมือนเพิ่งโดนเตือนสติ เขาเงียบและครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ภายใต้บรรยากาศเงียบสงบในร้าน มีเพียงพนักงานไม่กี่คนที่กำลังเก็บกวาดร้าน เออร์แฟนลุกพรวดขึ้นจนมาสเตอร์ยังตกใจและวางเงินค่าเหล้าไว้ในจำนวนที่เกินราคาไปมาก
“ไม่ต้องทอน” ร่างสูงพูดดักคอเมื่อเห็นบาร์เทนเดอร์กำลังจะหาเงินทอนให้เขาและเดินออกจากร้านมาทั้งอย่างนั้น ด้านนอกมีรถของเขาที่จอดรออยู่พร้อมบอร์ดี้การ์ดสามคนเดินเข้ามาประคอง แต่เออร์แฟนก็ยกมือห้ามเป็นสัญญาณว่าเขาเดินเองได้
อัยการหนุ่มมองขึ้นไปบนฟ้า คืนนี้ดวงจันทร์เพียงครึ่งเดียวนั้นฉายแสงเดียวดายที่ด้านบนหัว ก่อนเออร์แฟนจะตะโกนออกมา “หึ… คิดว่าแค่นี้จะทำให้ฉันยอมแพ้รึไง อยากเห็นฉันหมดท่าล่ะสิ ไม่มีทางหรอกโว้ย! ฮ่าๆๆ!”
ลูกน้องทั้งสามรีบเข้ามารวบตัวหัวหน้าของตนเข้าไปในรถและขับออกจากบริเวณนั้น ท่าทางเขาจะเมาจนไม่รู้เรื่องอีกแล้ว…


รถฟอร์ดกาแล็กซี่สีดำที่บอร์ดี้การ์ดของเออร์แฟนมาคอยประกบคุ้มกันคาเล็มและคาร์เมนได้ขับไปถึงโรงพยาบาลที่แม่ของทั้งคู่พักฟื้นอยู่ แม้ว่าผู้เป็นน้องชายจะไม่ชอบใจนักที่ต้องเดินทางมาโดยอาศัยรถของโซลเมทคู่อาฆาต แต่ก็ต้องยอมรับว่าคนๆ นั้นเอาใจใส่และระวังความปลอดภัยให้พี่ชายของเขาดีมากอยู่ไม่น้อย แต่นั่นไม่ได้แปลว่าจะทำให้ความชิงชังที่มีต่อเออร์แฟนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วลดลงได้
“งั้นพวกเราจะรออยู่ที่รถนะครับคุณหมอ” หนึ่งในคนคุ้มกันเอ่ยและสั่งให้บอร์ดี้การ์ดตามไปคุ้มกันทั้งสองข้างในโรงพยาบาลเพียงคนเดียว โอเมก้าผู้เป็นน้องชายจึงเดินนำพี่ชายเข้าไปยังอาคารผู้ป่วยในและพาขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นที่มารดานอนพักรักษาตัวอยู่ โดยมีพยาบาลพิเศษคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
“วันนี้พาเพื่อนมาเยี่ยมคุณแม่เหรอคะคุณคาร์เมน?” พยาบาลสาวท่าทางใจดีทักทายคาร์เมนอย่างคุ้นเคยและยิ้มให้ชายที่มากับญาติคนไข้
“นี่พี่ชายผมเองครับ” พอได้ยินดังนั้นสีหน้าของคุณพยาบาลก็แปลกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าคนไข้ที่เธอดูแลอยู่และมักจะเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลแห่งนี้มาเป็นปีจะมีลูกชายถึงสองคน “เพิ่งจะหากันเจอกันเมื่อวานนี้เอง”
“อย่างนั้นเองเหรอคะ ถ้างั้นก็เชิญตามสบายนะคะ”  เมื่อพยาบาลพิเศษเดินออกไปแล้วคาเล็มก็แอบสังเกตเห็นว่าคาร์เมนยังมองตามหลังเธอไปอยู่
“นายชอบเธอเรอะ?” ผู้เป็นพี่ชายสะกิด น้องชายเลยหันขวับไปมุ่นคิ้วใส่พร้อมกับส่ายหน้ารัวๆ
“เค้าแค่ดูแลแม่ดีมาตลอด ผมก็เลยถูกใจพยาบาลคนนี้มากก็เท่านั้นเอง” คาร์เมนเดินไปที่เตียงคนไข้ ใบหน้าก้มลงหอมแก้มผู้เป็นแม่ที่ยังนอนอยู่ “แม่ครับ ผมมาเยี่ยมแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงลูกชายที่รัก หญิงชราร่างกายซูบผอมก็ค่อยๆปรือตาขึ้นมาช้าๆ และหันใบหน้าไปหาต้นเสียง
“คาร์เมน? ไปไหนมาเหรอลูก เมื่อวานไม่เห็นมาอยู่เป็นเพื่อนแม่เลย งานยุ่งเหรอ?” แม้ว่าเสียงจะแหบแห้งและพูดเนิบช้า แต่ก็ถามถึงลูกชายเสียยืดยาว
“นิดหน่อยครับแม่” คาร์เมนหันไปพยักหน้าให้คาเล็มเดินเข้ามา “ลุกไหวมั้ย ผมพาคนมาเยี่ยมแม่ด้วยล่ะ”
“ใครเหรอ?” หญิงชรายิ้มแปลกใจเพราะไม่มีใครนอกจากลูกชายของเธอมาเยี่ยมคนแก่ใกล้ลาโลกคนนี้มานานแล้ว “แหมๆ ขอบคุณมากนะคะที่แม่เยี่ยมดิฉัน ไม่ทราบว่าคุณเป็น…”
ใบหน้าที่ซูบผอมหันไปหาร่างสูงสวมแว่นกรอบหนาที่ยื่นช่อดอกลิลลี่สีเหลืองมาเยี่ยมไข้เธอ หญิงชรารับมาถือไว้ด้วยความขอบคุณ “เอ...แปลกจัง ดิฉันรู้สึกคุ้นหน้าคุณอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะค่ะ หรือเพราะแก่แล้วก็เลยหลงๆ ลืมๆ กันนะ?”
“แม่…” เสียงทุ้มสั่นเครือเพียงแค่เริ่มต้นเอ่ยประโยคแสนสั้น “คุณแม่...สบายดีรึเปล่าครับ?”
“อา ก็อย่างที่เห็นนี่ล่ะค่ะ คนแก่ร่างกายเจ็บออดๆ แอดๆ เป็นภาระให้ลูกไม่เว้นแต่ละวันเลย” เธอหันหน้าไปหอมแก้มคาร์เมนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างรักใคร่และภูมิใจในตัวลูกชาย “แม่ล่ะเป็นห่วงจริงๆ ว่าใครจะมาช่วยดูแลลูกคนนี้ได้บ้าง ชอบทำเป็นเก่งอยู่เรื่อยเลยเด็กคนนี้ ตัวก็เล็กนิดเดียวว่ามั้ยคะ”
“แม่ครับ...อย่าเพิ่งเผาผมต่อหน้าพี่สิ”
“พี่?” ผู้เป็นแม่กะพริบตาสองสามทีด้วยความงุนงงก่อนหันกลับไปมองใบหน้าของแขกที่มาเยี่ยมไข้อย่างพินิจดูดีๆ อีกครั้ง “ขอโทษนะคะ รบกวนช่วยถอดแว่นแล้วเข้ามาใกล้ๆหน่อยจะได้มั้ยคะ ดิฉันสายตาไม่ค่อยดีแล้วน่ะค่ะ”
 คาเล็มเดินมานั่งข้างๆ เตียงผู้ป่วยอีกฝั่งก่อนจะถอดแว่นที่สวมอยู่และปัดผมที่ปรกใบหน้าออก พอหญิงชราได้เห็นใบหน้าในระยะใกล้แบบนี้แล้ว หัวใจก็เต้นรัวเสียจนแทบจะระเบิดออกมา
“พระเจ้า! ค...คาเล็ม นี่ลูกจริงๆเหรอ!?” มือที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นยกขึ้นปิดปากตัวเองคล้ายกลัวว่าจะส่งเสียงร้องออกมาดังมากเกินไป
  “ครับ” คาเล็มตอบสั้นๆก่อนจะโดนสองแขนของแม่ที่ห่างหายไปนานสวมกอดไว้ เขาตอบรับด้วยการกอดกลับหลวมๆ เพราะเกรงจะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บ
“แม่นึกว่าจะไม่มีวันได้เจอลูกอีกแล้ว..” เสียงของหญิงชราแหบแห้งสั่นเครือด้วยความปิติ มือลูบแผ่นหลังกว้างคล้ายจะปลอบโยนทั้งที่ตัวเธอเองก็กำลังหลั่งน้ำตาแห่งความสุขอยู่ เมื่อทั้งสองผละออกจากกันคาเล็มก็เรียบเรียงคำพูดไม่ถูก ทั้งที่ก่อนมาเขาคิดไว้อย่างดีแล้วแท้ๆว่าจะกล่าวอะไรกับผู้เป็นแม่บ้าง แต่พอเห็นหน้าเธอเขาก็ลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง
“คือ..ผม.. ขอโทษที่ไม่ได้ตามหาคุณแม่กับคาร์เมน” พอตั้งสติได้เขาก็เอ่ยคำขอโทษออกมาก่อน ที่ผ่านมาเขามีโอกาสที่จะหาทั้งสองคนตั้งหลายครั้ง แต่ความน้อยใจเล็กๆ ในก้นบึ้งของหัวใจก็ดันรั้งเขาไว้ บวกกับไม่มั่นใจว่าสาเหตุที่แม่พาคาร์เมนหนีไปแล้วไม่ได้พาเขาไปด้วยนั้นเป็นเพราะอะไร
หากว่าเขาหาทั้งสองคนเจอ แต่ทั้งสองไม่ได้อยากเห็นหน้าเขาล่ะ?
“ถ้าหากว่าผมพาแม่กับน้องมาอยู่ด้วย ทั้งสองคนคงไม่ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้.. เอ่อ..” คาเล็มก้มหน้าไม่กล้าสบตากับผู้เป็นแม่ ความกังวลใจที่อัดแน่นกระจัดกระจายภายในหัวอย่างช้าๆ จนทำให้ตอนนี้คำพูดของเขาดูติดขัดไปหมด “แต่ว่าผมไม่ได้โกรธเรื่องที่โดนปล่อยไว้ในบ้านนั้นคนเดียวหรอกนะครับ.. ผมเข้าใจทั้งสองคนดี..”
ทว่า ก่อนคาเล็มจะพูดจนจบดี ผู้เป็นแม่ก็ยื่นมือมาแตะที่มืออุ่นของลูกชายเบาๆ คล้ายจะบอกให้เขาหยุดพูดเสียก่อน รอยยิ้มแสนงดงามแม้จะโรยราตามสังขารส่งมาหาลูกชายของตนอย่างรักใคร่ อีกมือยกขึ้นลูบหยดน้ำใสที่กำลังคลอเบ้าตาของคาเล็มเบาๆ ท่าทางลูกชายของเธอจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
“แม่ขอโทษนะ ..ที่ทิ้งลูกไว้ที่นั่นคนเดียว”
หยาดน้ำตาใสไหลอาบลงมาจากดวงตาสองสีคู่นั้นอย่างห้ามไม่อยู่จนแม่ต้องดึงลูกชายคนโตของตนเข้ามากอดปลอบ คาเล็มซุกหน้าลงบนไหล่เล็กของผู้เป็นแม่เหมือนเด็กน้อยโหยหาความอบอุ่นจากคนตรงหน้า
“แม่กับน้องไม่เคยโกรธลูกเลย แต่ก็ไม่กล้าพอจะกลับไปหาลูกเหมือนกัน” มือของหญิงชรายกขึ้นลูบผมของคาเล็ม แม้จะผอมแห้งไร้เรี่ยวแรงแต่เธอก็พยายามนั่งเป็นหลักให้ลูกชายของตัวเองได้พักพิง “ตอนที่ยังเห็นหน้าลูกในทีวี แค่นั้นใจแม่ก็แทบสลาย ว่าทำไมแม่ถึงทำให้ลูกมีดวงตาเศร้าสร้อยขนาดนั้นได้ลงคอ”
คาร์เมนที่นั่งเช็ดน้ำตาอยู่เงียบๆ ที่ข้างเตียงเองก็โดนคุณแม่ดึงเข้ามากอดด้วยอีกคน เป็นครั้งแรกที่สามแม่ลูกได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้า สามสิบกว่าปีที่ผ่านมาแทบจะไม่มีความหมายเท่ากับช่วงเวลาแสนล้ำค่านี้เลย
เวลาช่างผ่านไปเร็ว เมื่อหมดเวลาเยี่ยมเพื่อให้ผู้ป่วยได้พักผ่อน คาร์เมนก็เดินออกมาคุยกับพี่ชายของตนที่สวนหย่อมในพื้นที่ของโรงพยาบาล
“แล้วนายจะเอายังไงต่อคาร์เมน ให้พี่พาแม่ย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลที่มีเครื่องมือพร้อมกว่านี้ดีมั้ย?” คาเล็มยกกาแฟกระป๋องขึ้นดื่มไปพลางปรึกษาเรื่องแม่กันต่อ
“ไม่ล่ะ ผมไม่ได้ไปหาพี่เพราะอยากให้ช่วยเรื่องแม่หรอก แค่อยากให้เจอกันก่อนจะสายเกินไปน่ะ” คาร์เมนเอนหลังไปกับม้านั่ง และปล่อยควันจากบุหรี่ในปากให้ลอยขึ้นไปช้าๆ “ตอนนี้ก็ทำให้แม่สมหวังอย่างที่ตั้งใจแล้วด้วย สบายใจขึ้นเป็นกองเลย”
“แต่ดูแม่ก็สบายดีนะ ตอนแรกคิดว่าจะแย่กว่านี้ซะอีก” จากที่น้องชายโอเมก้าเล่าให้ฟังทีแรก เขาคิดว่าแม่คงอาการแย่จนไม่สามารถลุกขึ้นมาทำอะไรได้เหมือนพี่ใหญ่ แต่ก็นับว่าดีแล้ว...
“อืม...ภายนอกก็ดีอยู่หรอก...” คาร์เมนเอ่ยเสียงเบาลงและขยี้บุหรี่ที่หมดมวนแล้วทิ้ง “ยังไงก็ขอบคุณที่มาเจอแม่ด้วย ตั้งแต่พรุ่งนี้พี่ก็คงไม่ว่างแล้วสินะ ไหนจะเรื่องทดสอบยาตัวใหม่กับวิ่งเต้นทำเรื่องให้ลิขสิทธิ์ยาของตัวเองถูกกฏหมายอีก”
“แต่ถ้าพอมีเวลาฉันก็จะมาเยี่ยมแม่นะ”
“อย่าเลย รบกวนพี่เปล่าๆ มีพยาบาลคอยดูแลแม่ตลอดอยู่แล้วด้วย แต่ถ้าจะมาก็ติดต่อผมมาก่อนได้ แม่คงดีใจที่ได้เจอหน้าพี่อีก”
“แล้วนายล่ะคาร์เมน?”
“หือ?” ดวงตาหลังแว่นกันแดดหันมาจ้องหน้าพี่ชาย “ผมทำไมเหรอ?”
“ฉันว่านายเองก็ควรได้รับการรักษาที่ถูกต้องได้แล้วนะ ร่างกายเป็นแบบนั้นแล้วยังกินยามากขนาดนั้นมันจะรับไม่ไหวเอาได้” คาร์เมนทำหน้าเซ็งไปนิดหน่อย ดูเหมือนจะโดนจับได้ซะแล้วว่าร่างกายไม่สมประกอบ สมแล้วล่ะที่พี่ชายของตนคลุกคลีอยู่กับผู้ป่วยโอเมก้ามานับไม่ถ้วน
“หึๆ ถ้าผมไม่กินขนาดนั้น พี่ก็ได้กลายเป็นของๆผมไปแล้วนะ” คนตัวเล็กกว่าหัวเราะแล้วขยับตัวมานั่งเบียดพี่ชายอัลฟ่าของตัวเอง “ขนาดผมเป็นอย่างนี้พี่ยังขัดขืนแทบไม่ได้เลย ถ้ารักษาจนผมดีขึ้นล่ะก็พี่อาจจะไม่รอดก็ได้นะ”
“ยังจะมาล้อเล่นแบบนี้อีก วันนี้นายกลับบ้านไปเอาของที่จำเป็นมาค้างอยู่บ้านฉันสักระยะก่อน ฉันจะปรับสูตรยาระงับที่เหมาะกับร่างกายนายในตอนนี้ให้” ร่างสูงลุกขึ้นหนีก่อนโยนกระป๋องกาแฟที่ดื่มหมดแล้วลงถังขยะ
“เฮ้ๆ! ผมต้องทำงานนะพี่ ไม่งั้นจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่ารักษาแม่กันล่ะ” คาร์เมนแย้ง แค่หยุดงานไปวันเดียวเขาก็เสียรายได้ไปมากแล้ว ถ้าหยุดนานกว่านี้เกรงว่าจะกระทบค่าใช้จ่ายเอาได้
“เรื่องแม่น่ะนายทำมามากพอแล้ว ที่เหลือให้ฉันจัดการเอง ถ้านายไม่รักษาตัวซะตั้งแต่ตอนนี้นายเองก็จะแย่ตามไปด้วย”
“ผมไม่…” พอจะปฏิเสธความช่วยเหลือจากคุณพี่ชายก็ถูกหยุดด้วยสายตาดุที่จ้องเขม็งมา แม้ปกติเขาจะไม่กลัวอัลฟ่าหน้าไหน แต่กับคาเล็มเป็นข้อยกเว้นกรณีพิเศษ
มือของคุณหมอยกขึ้นบีบบ่าทั้งสองข้างของน้องชาย “ทำเพื่อตัวเองบ้างเถอะคาร์เมน หรือไม่ก็ทำเพื่อแม่อีกสักนิด ถ้านายเป็นอะไรไปซะก่อน แม่คงใจสลาย”
“...พี่นี่ชอบเอาแม่มาอ้างให้ผมยอมแพ้ตลอดเลย” เป็นอีกครั้งที่คำขู่ของคุณหมออัลฟ่ามีผลต่อน้องชายโอเมก้า แพ้ทางจริงๆ เลยให้ตาย...
“ก็นายดื้อเองนี่” คาเล็มปล่อยมือแล้วขยี้ผมอีกฝ่ายจนยุ่งไม่เป็นทรง
“โอเคๆ ผมยอมให้พี่รักษาก็ได้ แต่ไม่ขออยู่บ้านเดียวกับพี่หรอกนะ”
“ทำไมล่ะ? หรือว่า...นี่นายยังคิดจะเล่นพิเรนท์กับฉันอีก!” ร่างสูงถอยออกมาตั้งหลักเตรียมตั้งการ์ดเผื่อโดนจู่โจมกลางวันแสกๆ
โถ...ทำยังกับน่ากลัวตายเลยคุณพี่ชาย...
“ผมบอกแล้วนี่ว่าไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก แต่เหตุผลหลักจริงๆ เพราะผมไม่อยากเห็นหน้าไอ้ทนายคนเก่งของพี่ด้วย หมอนั่นเข้าๆ ออกๆ บ้านพี่ตลอดเลยใช่มั้ยล่ะ?”
“ตอนที่เออร์แฟนมาที่บ้านฉัน นายก็ขังตัวเองอยู่ในห้องชั้นบนไปสิ ถ้ากลัวว่าลงมาเจอกันแล้วจะเป็นเรื่องน่ะ” คาเล็มเสนอทางออกให้ทั้งสองฝ่าย ต่อให้เป็นโซลเมทกันแต่ถ้าไม่อยู่ใกล้กันในระยะอันตรายยังไง ฟีโรโมนก็ไม่มีผลอยู่ดี แม้จะไม่รู้ว่าตอนที่คาร์เมนฮีทจะปล่อยฟีโรโมนดึงดูดรุนแรงเหมือนลาซารัสรึเปล่าก็เถอะ
“เหอะ...ทนายดีๆ มีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องเป็นไอ้เด็กอวดดีนั่นด้วยนะ” คาร์เมนบ่นโดยไม่แคร์เลยว่าลูกน้องของเออร์แฟนจะยืนคุ้มกันอยู่ใกล้ๆ และได้ยินเจ้านายโดนนินทาในระยะเผาขน
“ถ้าไม่ใช่เออร์แฟนเราก็ไม่มีทางทำอะไรได้ราบรื่นหรอก โชคดีแค่ไหนที่ไม่ได้เป็นศัตรูกันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” แม้จะพูดไปตามความจริง แต่คนน้องก็อดคิดไม่ได้เลยว่าพี่ชายกำลังอวยอัลฟ่าคนที่ตนไม่ชอบหน้าคนนั้นอยู่
“ครับๆ คุณพ่อพระมาโปรด ถ้างั้นก่อนแวะไปบ้านผมก็ช่วยพาไปหาอะไรกินหน่อยนะครับ น้องหิวจนจะกินพี่คาเล็มได้ทั้งตัวแล้ว” ไม่พูดเปล่าแต่มือยังลูบคางที่เต็มไปด้วยเคราชวนจั๊กจี้ของพี่ชายสุดที่รักอีก
“อยากกินรองเท้าแทนมั้ย?” ดวงตาหลังกรอบแว่นมองตาขวางคล้ายจะเตือนกลายๆ ว่าเอาจริงนะ
“โหย...พี่หยาบคายจัง แต่ผมก็ชอบนะ” พูดจบก็ชิ่งหนีเข้าไปหลบในรถฟอร์ดที่อยู่ห่างออกไป ก่อนที่คุณหมอจะได้ทันถอดรองเท้ามาเขวี้ยงใส่น้องชายตัวดีเสียอีก
ทำไมรอบตัวเขามีแต่พวกกวนประสาทกันนะ ไม่เข้าใจเลยว้อย!
“แต่ก่อนอื่น...ขอยืมโทรศัพท์หน่อย” คาเล็มตามมาขึ้นรถแล้วยื่นมือมาหาน้องชาย ซึ่งคาร์เมนก็หยิบขึ้นมาให้แต่โดยดี แม้จะสงสัยว่าพี่ชายจะโทรหาใครแต่คิดว่าเดี๋ยวก็คงรู้เองนั่นแหละ…
คุณหมอกดเบอร์ที่แสนคุ้นเคยแล้วโทรออก รอให้ปลายสายรีบๆ รับเสียที…

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมากลางโต๊ะอาหารทำให้เจ้าของบริษัทอย่างริชาร์ด เบอร์ตั้นซีอีโอคนปัจจุบันหันไปมอง เขาสั่งห้ามเลขาฯไม่ให้เอาเบอร์ส่วนตัวของเขาให้ใครในองค์กรหรือลูกค้าไปแล้ว และเบอร์ที่ปรากฎก็ไม่ใช่เบอร์ที่คุ้นตาอีกต่างหาก
คนโทรผิดรึเปล่านะ...เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดรับสาย “ฮัลโหล?”
“ฉันเอง” เสียงของคาเล็มทำเอาริชาร์ดเลิกคิ้วแปลกใจ “นี่เบอร์น้องฉัน วันนี้พาลาซัสไปไหนรึเปล่า?”
“อ๋อ...ว่าจะพาไปนั่งที่ร้านกาแฟในตึกก่อนน่ะ เดี๋ยวตอนบ่ายหลังจบประชุมฉันจะพาเขาไปฝึกยิงปืนที่เคยขอไว้ มีอะไรรึ?” ริชาร์ดหันไปมองคนที่ถูกถามถึง ซึ่งลาซารัสเองก็รู้ตัวแล้วว่าคนที่โทรมาคงถามหาตัวเขาจึงมองกลับไปด้วยสายตาฉงน
“เหรอ งั้นอีกสักสองชั่วโมงฉันจะไปหาที่นั่นนะ” เมื่อบอกกล่าวเสร็จก็ไม่รอให้ถามถึงเหตุผล คาเล็มกดวางสายอย่างรวดเร็วแล้วยื่นมือถือคืนแก่คาร์เมนซึ่งนั่งหน้าบูดอยู่ข้างๆ “...อะไร?”
“ไม่เข้าใจพี่เลยจริงๆ ทำไมถึงยึดติดกับสองคนนั่นขนาดนั้น โดยเฉพาะเจ้าหนูโอเมก้านั่น” คาร์เมนคว้ามือถือของตัวเองคืนอย่างหัวเสีย “ผมก็นึกว่าเรื่องด่วนซะอีก”
“ด่วนสิ”
“เฮ้อ..” น้องชายถอนหายใจยาวอย่างสุดจะเซ็ง
“แต่ก็ไปเก็บของที่บ้านนายก่อนละกัน”


ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura

จากกำหนดการณ์เดิมที่น่าจะเรียบร้อยดีกลายเป็นว่าตอนนี้ลาซารัสกำลังไร้สมาธิในการอ่านหนังสือที่พกมาโดยสิ้นเชิง เพิ่งจะเจอคาเล็มไปเมื่อวานนี้ แต่เรื่องมันเยอะจนเขาตั้งสติไม่ทัน โฟกัสกับอะไรไม่ได้เลยทำได้แค่พยายามกินยาให้ตรงเวลาก่อน มาวันนี้คิดว่าคงจะมีแค่โปรแกรมไปฝึกยิงปืนอย่างที่อยากเรียนเฉยๆ แต่คุณหมอกำลังจะมาหาเขาอีกรอบ!?
“ทำหน้าตลกจังนะลาซารัส” เสียงคุ้นหูทักเรียกสติเขา โคลวิสเดินเอาแก้วกาแฟมาเสิร์ฟตามที่ลาซารัสสั่งไว้แล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆ “มานั่งรอคุณริชาร์ดเหรอ?”
“ค..ครับ” เมื่อสติรู้ตัวกลับเข้าร่างเขาก็หยิบกาแฟแก้วเล็กขึ้นมาจิบ มันขมไปสักหน่อยจึงได้เอาน้ำตาลกับคอฟฟี่เมทที่แนบมาข้างๆ ถ้วยเทลงไปจนหมดที่มี
“หวานนะแบบนั้น”
“ผมไม่ใช่คอกาแฟที่ดีเท่าไหร่ แต่กลิ่นกาแฟในร้านหอมมาก ก็เลย...สั่งสุ่มๆมา” คำตอบนั้นทำเอาโคลวิสหลุดขำเพราะเห็นอยู่แล้วว่าลาซารัสมองเมนูอยู่สักพักหนึ่งก็สั่งกาแฟไอริชมาซะอย่างนั้น
“ฮะๆๆ ขอโทษนะ ฉันควรจะถามนายก่อน จะได้แนะนำแบบดื่มง่ายๆให้” หนุ่มผมสียิ้มอย่างเอ็นดู “เปลี่ยนมั้ย?”
“ไม่เป็นไรครับ! อุตส่าห์ชงมาแล้ว” ลาซารัสยกแก้วขึ้นลองจิบ ดีขึ้นมาหน่อยแต่เขาก็ยังอยากได้น้ำตาลเพิ่มอยู่ดี…
ในร้านกาแฟวันนี้ผู้คนบางตา อาจจะเพราะงานด่วนที่เข้ามาเลยไม่มีใครกล้ามานั่งเอ้อระเหยในร้านกาแฟเท่าไหร่ จะมีก็แต่คนแวะมาซื้อด้วยท่าทีเร่งรีบจนบาริสต้าอยากจะเสกกาแฟให้ลูกค้าแทนการชงเลย เมื่อไม่มีคนแล้วโคลวิสจึงเดินมานั่งเป็นเพื่อนลาซารัสที่ดูเหมือนจิตใจจะไม่อยู่กับหนังสือในมืออย่างเป็นห่วง
“หรือว่า...กำลังรอคุณหมอคนนั้นอยู่เหรอ?”
“ใช่ครับ” ในที่สุดลาซารัสก็ปิดหนังสือในมือลง จะฝืนอ่านตอนนี้คงไม่มีอะไรเข้าหัวอย่างแน่นอน “ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณหมอมีธุระอะไร..”
“มาขอหมั้นมั้ง?”
พรึ่ด! กาแฟที่กำลังจิบแทบจะพ่นออกจากปาก โชคดีที่ไม่ได้หกเลอะเทอะ แต่ลาซารัสก็สำลักไปเล็กน้อยอยู่ดี
“แกล้งสนุกจริงๆด้วย!” โคลวิสยกมือขึ้นปิดปากกุมท้องและตัวสั่นจากการกลั้นขำไม่ให้ดังจนเกินไป
“คุณ...โคลวิส! ตอนนี้ผม…” ลาซารัสหน้าแดงจนถึงหู พยายามจะอธิบายหรือแก้ต่างอะไรต่อมิอะไร “หรือว่าคุณ...รู้เรื่องของผมแล้ว?”
โคลวิสพยักหน้าให้เหมือนจะรู้ว่าลาซารัสจะถามอะไร พอรู้แบบนั้นแล้วแทนที่ลาซารัสจะตกใจหรือสับสน เขากลับโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก...
แต่โคลวิสก็เปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันแย่จนเกินไป การที่มีลูกค้านั่งอมทุกข์อยู่ในร้านคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก ตอนนี้กลายเป็นว่าทั้งสองคนเริ่มสอบถามเรื่องชีวิตประจำวันของกันและกันแทน หลังจากแลกเบอร์กันวันนั้นทั้งคู่ยังไม่ได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวเลย วันนี้จึงเรียกได้ว่าพวกเขาเพิ่งจะได้ทำความรู้จักอีกฝ่ายจริงๆ จังๆ
“แล้วนายจะร้องไห้ทำไมเนี่ย...”
“ก็…” ลาซารัสนั่งน้ำตาเอ่อเพราะได้ฟังช่วงชีวิตวัยรุ่นแสนระทมทุกข์ของโคลวิส ทั้งช่วงเวลาที่มีความสุขกับแฟนอัลฟ่าที่สุดในโลก วาดภาพความฝันของอนาคตไว้ด้วยกันอย่างดิบดี สุดท้ายเขาก็ถูกทิ้งเพียงเพราะอีกฝ่ายเจอโอเมก้าที่ถูกใจมากกว่า..
“ไม่เอาสิ ฉันว่าที่นายโดนขายตั้งสองสามรอบมันน่าหดหู่กว่าอีกนะ” บาริสต้าหนุ่มหันไปหยิบทิชชู่มายื่นให้เด็กขี้แง “ไม่รู้สึกแย่กับตัวเองบ้างรึไง?”
“นิดหน่อยครับ...แต่ตอนที่คุณพ่อเอาผมมาทิ้งไว้กับโอนเนอร์...ผมยังจำความไม่ค่อยได้เลย พูดตามตรงว่าตอนนี้ก็จำหน้าพวกเขาไม่ได้แล้ว…” ลาซารัสพูดทั้งที่เช็ดน้ำตาน้ำมูกออกจากหน้าตัวเอง “ส่วนโอนเนอร์...เขาเลี้ยงดีก็จริง แต่ว่า..ก็แค่เลี้ยงไว้น่ะนะ”
ลาซารัสก้มหน้าลงเล็กน้อย เขานึกถึงคำพูดของเจสสิก้าที่พูดกับเขาวันก่อน
'ไม่มีอะไรโหดร้ายไปกว่าการไม่มีบ้านให้กลับหรอกนะคะ’
เขาไม่มั่นใจว่าเข้าใจคำนั้นดีหรือเปล่า บ้านสำหรับเขามันก็คือที่อยู่อาศัยสินะ? เท่าที่ผ่านมาเขาก็อยู่โดยการได้รับการเลี้ยงดูจากคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติ และโดนบอกเสมอมาว่าจะไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกต่อไป เมื่อตอนที่ลาซารัสออกจากบ้านของโอนเนอร์มาก็ไม่มีความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ใดๆเลย.. มันผิดปกติหรือเปล่านะ?
“...น่าสงสารจริงๆ” โคลวิสส่ายหัวแล้วยกมือขึ้นลูบผมสีน้ำตาลเข้มของอีกฝ่ายเหมือนเจ้านายลูบปลอบสุนัข แม้จะเป็นสุนัขที่ตัวใหญ่กว่าเขาก็ตาม
“เอ๋!? ผมไม่เป็นอะไรนะครับ! ผมว่าผมโชคดีด้วยซ้ำที่เจอแต่คนดีๆ คอยดูแลน่ะ” ลาซารัสพูดออกไปแบบนั้นแต่เขาก็ไม่ได้ปัดมือของโคลวิสออก แถมยังปล่อยให้ลูบอยู่แบบนั้นต่อด้วย “ก็..อย่างโอนเนอร์เขาก็ดูแลดีนะครับ สอนผมตั้งหลายอย่าง หรือคุณหมอเองก็คอยเป็นห่วง...แถม… อ่า.. ใช่! คุณริชาร์ดก็..”
“พอแล้วน่า ฟังจนฉันเริ่มจิตตกจะแย่แล้ว” โคลวิสยิ้มแห้งๆ ให้อีกคน นี่เขากำลังพูดถึงเรื่องที่เข้าใจไม่ยากให้ฟังเชียวนะ... เจ้าเด็กนี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ‘บ้าน’ ที่ควรจะเป็นจริงๆมันคืออะไร…
“อ่า ขอโทษครับ”
“ไม่ต้องหรอกๆ! ว้า~ บรรยากาศแย่ลงอีกแล้วสิ”
“ผม..คงมีเรื่องต้องเรียนรู้อีกเยอะเลย” ทั้งที่เคยคิดเสมอว่าตนโตพอจะรู้ทุกอย่างดี แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้รู้อะไรเลย...
“งั้นอยากถามหรือปรึกษาอะไรก็โทรหาหรือทักแชทมาได้ตลอดนะ” โคลวิสยิ้มให้อีกฝ่าย เป็นรอยยิ้มแสนจริงใจที่ไม่เคยเห็นจนลาซารัสรู้สึกผ่อนคลายลงไปมาก “โอ๊ะ? คนที่นายรอมาหาแล้วแน่ะ”
เมื่อหันไปทางประตูร้าน คาเล็มที่เพิ่งมาถึงก็เดินตรงเข้ามาหาพวกเขาแทบจะทันที ภายในร้านก็ไม่มีใครนั่งอยู่นี่นะ จึงไม่จำเป็นต้องกวาดตามองหาด้วยซ้ำ
“เอสเพรสโซ่แก้วนึง” คาเล็มหันไปบอกกับบาริสต้าอีกคนที่ยืนอยู่ตรงเคาท์เตอร์ ซึ่งคาร์เมนที่เดินตามมาติดๆเองก็ยกมือขึ้นให้สัญญาณว่าเอาแบบเดียวกัน ทั้งสองเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับลาซารัสแล้วก็โคลวิส ซึ่งเจ้าของร้านเองก็ขอตัวออกมาก่อนเพราะอยากให้ลูกค้าทั้งสามได้คุยกันเป็นส่วนตัวมากขึ้น
“ขอโทษที่นัดเจอกะทันหันนะ” คาเล็มนั่งพักสักครู่ ท่าทางจะรีบเดินมาเพราะลาซารัสแอบเห็นคุณหมอหอบเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรครับ คุณหมอพักก่อนก็ได้” ไม่รู้หรอกว่าคาเล็มมีเรื่องอะไรจะคุยด้วย แต่เขาเห็นอีกฝ่ายดูรีบร้อนแบบนี้ก็รู้สึกใจคอไม่ดี ดวงตาของคาเล็มเองก็มีสีแดงจางๆอยู่ นี่เขาไม่สบายรึเปล่า!? “อ่ะ..สวัสดีครับคุณคาร์เมน”
“สวัสดีไอ้หนูไฝ”
“หะ...หา!?”
“จำชื่อไม่ได้น่ะ” คาร์เมนยิ้มกวนให้ แต่เขาจำชื่อเรียกยากของอีกฝ่ายไม่ได้จริงๆ… จึงเรียกสิ่งที่ตนเห็นแล้วจำได้ทันทีนั่นคือไฝใต้หางตาทั้งสองข้างของโอเมก้าหนุ่มรุ่นน้อง ที่แทบจะเป็นจุดตำหนิเดียวบนใบหน้ามนนั้น ...พูดไปก็แอบอิจฉาเบาๆนะเนี่ย
“ผมชื่อ ลาซารัส แมทเวย์ครับ” แม้จะแนะนำตัวไปทีหนึ่งแล้วเมื่อวานแต่เขาก็กัดฟันพูดชื่อตัวเองให้อีกฝ่ายฟังอีกรอบ
“เรียกยากชะมัด เรียกไฝน้อยนี่แหละ น่ารักเหมาะกับนายจะตาย”
“...เรียกว่าเป็ดน้อยนี่ดูน่ารักไปเลยแฮะ..”
“คุณหมอ!?” ลาซารัสหันไปมองคาเล็มด้วยสายตาสุดเสียใจที่แม้แต่คุณหมอก็ยังสรรหาชื่ออื่นมาให้เขา ว่าแต่ทำไมต้องเป็ดด้วยล่ะ!?
“โอ้ว นั่นก็ดีนะพี่ ไอเดียดีจริงๆ” คาร์เมนทำมือทำไม้บอกใบ้ให้รู้ที่มา คำว่าเป็ดนี่มาจากปลายผมของลาซารัสที่มักจะกระดกจนเป็นหางเป็ดนั่นเอง
“นี่ไอเดียเออร์แฟน”
“....ผมจะเรียกไฝน้อยต่อไปละกัน” เพราะว่าไม่อยากเรียกชื่อล้อเลียนซ้ำซ้อนกับใครอื่นที่ไม่ชอบหน้านั่นเอง
“ไม่เอาทั้งนั้นครับ!”
“พอๆ ...ลาซัส คือ...ฉันจะมาบอกว่า ฉันคงไม่ได้มาเยี่ยมนายบ่อยๆ หรือบางครั้งการเก็บข้อมูลยาก็คงจะติดต่อผ่านโทรศัพท์หรือไม่ก็ให้พวกผู้วิจัยคนอื่นมาหาแทนนะ” คาเล็มแจงสิ่งที่เขาต้องการจะมาบอกอีกฝ่าย “ขอโทษที่ต้องรีบมาบอก เพราะหลังจากนี้ฉันคงต้องทำงานหนักขึ้น แถมยังต้องดูแลแม่กับรักษาคาร์เมนด้วย”
“ครับ ผมเข้าใจ” ลาซารัสยิ้มบางให้คาเล็ม “ผมก็จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด คุณหมอไม่ต้องกังวลหรอกครับ”
“อีกอย่างคือ.. เรื่องพี่ชายของฉัน ตอนนี้คิดว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว แต่ฉันก็อยากจะบอกนายว่าอย่าไว้ใจใครง่ายๆล่ะ” คาเล็มเบาเสียงและยื่นหน้าเข้าไปเพื่อกระซิบให้ชัดถ้อยคำ
“อ่ะ.. ได้ครับ” โอเมก้าหนุ่มพยักหน้าจนผมที่เพิ่งโดนล้อกระดกส่ายตามแรงโยกศีรษะ “เอ...แต่ถ้าจะบอกเรื่องพวกนี้...โทรบอกผมก็ได้นี่ครับ”
คาร์เมนที่นั่งอยู่ข้างๆ พี่ชายพยักหน้าเห็นด้วยกับลาซารัสโดยไม่หันมามองหน้าเขา คาเล็มจึงคลี่ยิ้มจางๆให้ ก่อนจะหยิบเอากล่องเล็กๆ กล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ทสีอ่อน สิ่งที่คาเล็มหยิบออกมาจากกล่องนั้นทำเอาทั้งลาซารัสทั้งคาร์เมนนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อ นี่ยังไม่รวมโคลวิสซึ่งเดินถือแก้วกาแฟมาเสิร์ฟก็ตะลึงไม่ต่างกัน ก็เขาเพิ่งจะเล่นมุขนี้ไปเองนะ!
ในมือของคาเล็มตอนนี้คือแหวนสีเงินเรียบหรูสลักลายซิมโบลของพระอาทิตย์ขนาดเล็กไว้กลางวง เขาคว้ามือของลาซารัสขึ้นมาและใส่มันเข้าไปที่นิ้วนางข้างซ้ายของอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไรระหว่างนี้สักคำ
“...หลวมแฮะ” คาเล็มมุ่นคิ้ว อุตส่าห์คิดว่าเพื่อนรักที่ตนวานไปซื้อแทนให้น่าจะเลือกมาได้พอดิบพอดีแล้วซะอีก ชักอยากจะรู้ว่าใช้วิธีวัดนิ้วมาแบบไหนกัน..
“อา…” ลาซารัสกระพริบตาปริบๆ มองแหวนบนนิ้วตัวเองโดยที่มือหนาของคุณหมอยังไม่ยอมปล่อยมือเขา “คุณหมอ..? นี่คือ?”
“..ลาซัส.. ที่ผ่านมาฉันยังไม่ทันจะได้ทำอะไรเพื่อนายเลย...ไม่ได้หมายถึงเรื่องให้ที่อยู่หรือเลี้ยงดูนะ..” คาเล็มหมุนแหวนให้รูปพระอาทิตย์มาอยู่ตรงกลางนิ้วพอดี “นายพยายามจะเอาชนะใจฉันอยู่คนเดียวมาตลอดตอนที่อยู่ด้วยกัน พอนายไม่อยู่ฉันก็เพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้กลับไปทำเรื่องที่สมควรจะทำนี่เลยสักครั้ง”
“ค..ครับ? เรื่องอะไรเหรอ?” ตอนนี้ในหัวลาซารัสหมุนติ้วไปหมด สมองโล่งขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก ไม่ใช่แค่การกระทำ..แต่กลิ่นนี้มัน…
“ถึงจะไม่ค่อยได้เจอกัน แต่เตรียมใจไว้เถอะ ฉันจะทำให้นายหลงฉันหัวปักหัวปำเลย” คาเล็มจูบลงบนแหวนและจงใจให้ริมฝีปากอุ่นแตะกับผิวเนื้อตรงโคนนิ้วเบาๆพอให้รู้สึกวาบหวาม ดวงตาสองสีช้อนมองลาซารัสด้วยแววตาเอาจริง แบบเดียวกับที่เขาเคยเห็นในวิดีโอที่บังเอิญไปเจอเข้าเมื่อตอนที่ยังอยู่บ้านของคาเล็ม..
เพียงแต่ไม่ใช่แค่ภาพเคลื่อนไหว คราวนี้เขารับรู้ได้ทั้งสัมผัส เสียง และ...กลิ่น… กลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าที่โชยฟุ้งด้วยความรู้สึกลุ่มหลงอย่างห้ามไม่ได้ แต่ลาซารัสที่กินยาของคาเล็มตามเวลาไว้อยู่แล้วนั้นก็เพียงแค่ใจเต้นโครมครามเสียงดัง ใบหน้าแดงจัดและทำตัวไม่ถูก เขาไม่เคยเจอคาเล็มในโหมดนี้ด้วยซ้ำ!
ทว่าคนที่โดนผลกระทบจากกลิ่นและสัญชาตญาณของอัลฟ่าเพียงคนเดียวในที่นั้นไม่ได้มีเพียงแค่ลาซารัส.. ทั้งคาร์เมนและโคลวิสต่างก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกับลาซารัส และทั้งสองคนไม่ได้กินยาระงับอาการฮีทดักไว้ด้วย!
“อุ๊บ..”
“อึก…อา..”
ทั้งคู่ฮีทพร้อมกันจนส่งกลิ่นฟีโรโมนของตนออกมาชัดเจน โชคดีที่ร้านกาแฟเป็นร้านแบบปิดกลิ่นของทั้งคู่จึงไม่ได้โชยออกไปด้านนอก คาร์เมนล้วงหายาในกระเป๋าแจ็คเก็ตของตนออกมาให้ตัวเองกินเท่าที่สติจะพอมี แต่โคลวิสนี่สิ.. ร่างของบาริสต้าหัวสีนั่งคุดคู้อยู่กับพื้น มือหนึ่งยกขึ้นพยายามปิดปากปิดจมูกตัวเองไม่ให้สูดเอากลิ่นนั้นเข้าไปพร้อมๆกับพยายามไม่ส่งเสียงแปลกๆจากร่างกายที่เริ่มโหยหาอ้อมกอดใครสักคนออกมา แม้มันจะไม่ได้ผลก็ตาม
“ขอโทษนะ ฉันน่าจะบอกนายก่อน” คาเล็มหันมาแกะซองยาให้คาร์เมนที่มือสั่นจนแกะให้ตัวเองไม่ได้ เมื่อหันไปหาโอเมก้าอีกคนก็พบว่าเพื่อนบาริสต้าของทางนั้นรีบนำยากับน้ำมาให้แล้ว เรื่องแบบนี้ใช่จะไม่เคยเกิดขึ้นในร้าน อัลจึงรับมือกับมันได้ทันท่วงที
ลาซารัสยกมือขึ้นทาบอกตัวเอง หัวใจเต้นแรงและรับรู้ได้ว่าหน้าเขานั้นร้อนมาก คล้ายกับตอนที่ฮีท ทว่าตอนนี้เขายังคงปกติดีและไม่ทรมานจนถึงกับทรุดลงไปเหมือนอีกสองคน ค่าที่อ่านได้จากนาฬิกาถูกส่งเข้าไปที่มือถือของคาเล็มจนมันร้องเตือนว่าเก็บข้อมูลทางกายภาพได้ครบแล้ว
“อืม...ยาได้ผลดีสินะ” ตัวอัลฟ่าคนก่อเรื่องดูจะไม่ทุกข์ไม่ร้อนและหยิบกระดาษขึ้นมาจดสิ่งที่เกิดขึ้น “รู้สึกยังไงบ้างลาซัส?”
“คุณหมอช่วยดูสถานการณ์ก่อนสิครับ!!” นี่มันใช่เวลามาทำการทดลองมั้ย! แถมยังทำน้องชายตัวเองกับเพื่อนของเขาเกือบซวยไปด้วยเนี่ย!
เมื่อยาออกฤทธิ์ทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติ แต่โคลวิสนั้นไม่กล้าเฉียดมาใกล้โต๊ะที่พวกคาเล็มนั่งอยู่อีกเลย ทำได้แต่มองดูห่างๆอยู่ที่เคาท์เตอร์ จนกระทั่งลูกค้าที่แอบก่อปัญหาให้ตนเบาๆ ดื่มกาแฟจนเสร็จและลุกออกไปนั่นแหละ คุณเจ้าของร้านกาแฟถึงได้กล้าเดินมาหาคนที่เพิ่งจะได้หมั้นสายฟ้าแล่บที่ร้านของตนไปหมาดๆ
“แหม เห็นคู่อื่นๆ ขอหมั้นกันกลางร้านอาหารมาก็เยอะ แต่เพิ่งจะเคยเจอกับร้านตัวเองนี่แหละนะ” บาริสต้าหนุ่มถือวิสาสะนั่งลงคุยกับโอเมก้าหนุ่มอ่อนวัยกว่าที่กำลังทำหน้ามีความสุขยิ่งกว่าที่เคยเจอกันครั้งไหนๆ
“มะ...ไม่เอาสิครับ! แค่นี้ผมก็เขินจะแย่อยู่แล้วนะ” โอเมก้าอ่อนวัยกว่ายกกาแฟขึ้นมาดื่มแก้เขิน รสชาติขมติดลิ้นแม้จะใส่เครื่องปรุงไปแล้ว แต่ก็พอจะดึงสติให้กลับมาได้นิดหนึ่ง
“แล้วคุณริชาร์ดไม่ว่าอะไรเหรอ?”
พอโคลวิสพูดมาแบบนั้น ลาซารัสก็แอบรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อย เขาเพิ่งจะพูดตัดรอนอีกฝ่ายไปไม่ทันไร มาวันนี้ก็โดนคุณหมอขอหมั้นถึงที่บริษัท ถึงแม้ซีอีโออัลฟ่าคนนั้นบอกว่าจะยอมถอยห่างออกมาก็เถอะ
“ลูกค้ามาแล้วนะ” อัลเดินมาสะกิดเรียกเพื่อนเมื่อลูกค้าเริ่มทยอยมาซื้อกาแฟช่วงพักกันแล้ว โคลวิสเลยต้องขอตัวลุกไปทำงานก่อน
“ค่อยๆ คิดไปแล้วกัน แต่อย่าลืมนะลาซารัส ไม่ว่านายจะเลือกทางไหน ก็จะมีอีกคนที่ต้องเจ็บปวดอยู่ดี”
“เดี๋ยวครับคุณโคลวิส!” มือที่รีบร้อนวางถ้วยกาแฟเอ่ยเรียกเจ้าของร้าน เพราะเขาเองก็คงต้องกลับไปที่ห้องทำงานของริชาร์ดแล้วเหมือนกัน “ไม่มีวิธีดีๆ ที่จะรักษาน้ำใจของทุกคนไว้เลยเหรอครับ?”
“...บางทีการพยายามฝืนทำดีกันต่อไปแบบนั้น มีแต่จะเป็นการทำร้ายทุกฝ่ายโดยไม่รู้ตัวก็ได้นะ อีกอย่าง...คุณริชาร์ดก็น่าเห็นใจอยู่” น้ำเสียงของคนพูดฟังดูเศร้าอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาสีฟ้ามองดูสีหน้าของผู้ที่ให้คำปรึกษากับเขาก็เกิดนึกอยากถามอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา...
“ถ้าหากคุณโคลวิสเป็นผม คงจะเลือกคุณริชาร์ดสินะครับ”
“หาาา!?” ใบหน้าที่ซึมเหมือนตัวเอกเอ็มวีเพลงเศร้าหันขวับมาทันที “ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”
“ไม่ใช่ว่าคุณชอบคุณริชหรอกเหรอครับ” 
หนุ่มโอเมก้าเจ้าของร้านหันขวับไปหาเพื่อนบาริสต้าที่รีบส่ายหน้าปฏิเสธว่าตนไม่ได้ปากโป้งเรื่องนี้ออกไปให้ใครรู้แน่นอน ก่อนจะหันกลับมาหาลาซารัสอีกทีคล้ายจะถามว่าไปรู้มาจากไหน
 “คือ...เวลาที่พูดถึงคุณริชหรือตอนที่เค้ามาอยู่ใกล้ๆ ผมมักจะได้กลิ่นฟีโรโมนของคุณโคลวิสน่ะครับ ก็เลยคิดว่าน่าจะใช่”   
“.......” มือที่ชงกาแฟมานักต่อนักนวดขมับตัวเอง ทั้งที่คิดว่าพยายามทำตัวไม่ให้ใครจับได้แล้ว แต่ไอ้ฟีโรโมนเจ้าปัญหานี่ยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ด้วยสินะ “...ขอร้องล่ะนะ ช่วยปิดเรื่องนี้ไว้ที”
“ครับ…” คนอ่อนวัยกว่าตกปากรับคำโดยไม่ถามอะไรต่อ เพราะเขาก็พอจะเข้าใจเหตุผลของคนตรงหน้าดี การจะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนหลังจากผ่านอดีตอันแสนเจ็บปวดมามากมายนั้นมันไม่ง่ายเลย
ลาซารัสแอบตั้งคำถามกับตัวเองในใจ ตัวเขาจะสามารถแก้ไขสิ่งผิดพลาดที่ผ่านมาและกล้าพอที่จะเดินหน้าเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหรือไม่ แล้วมันจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกันล่ะ…
ระหว่างที่กำลังคุยกันอยู่ ทั้งสองคนรวมทั้งพนักงานต่างก็ไม่ได้สนใจรอบข้างมากนัก อีกมุมหนึ่งของร้านมีลูกค้าที่เพิ่งจะคุยกับฝ่ายขายของบริษัทเสร็จ แม้จะจบลงด้วยการปฎิเสธงานเพราะตารางงานไม่สามารถทำร่วมกันได้ แต่ท่าทางลูกค้าเองก็ดูสนใจจะติดต่อกลับมาอีกครั้ง
“ไว้คราวหน้าหากตารางงานของทางนี้ว่างแล้วผมมีโปรเจ็คใหม่พอดี จะลองมาคุยดูใหม่นะครับ ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา”
“ไม่เป็นไรครับ หวังว่าจะได้ร่วมงานกันอีก อ่ะ..แล้วก็เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่...”
“อ๋อ ผมไม่ถือสาหรอกครับ มันทำให้บรรยากาศน่ารักไปอีกแบบด้วย ฮะๆ”
สองมือยกขึ้นจับมือกันด้วยท่าทีทางการ ก่อนพนักงานขายของตึกจะลุกออกจากตรงนั้นไปก่อนเพราะลูกค้ายังอยากจะนั่งจิบกาแฟเพลินๆ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูและเริ่มเช็คข้อความ เป็นเรื่องปกติที่จะมีการพูดคุยทำข้อตกลงในร้านกาแฟนี้ ทว่าสิ่งที่ลูกค้ารายใหม่กำลังเขียนส่งไปหาใครบางคนที่อีกปลายทางของอีเมล์นั้นกลับไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซื้อขายเมื่อครู่เลย
'โอเมก้าตาสีฟ้าคนนั้นเป็นของคาเล็ม รอสเกรย์อย่างแน่นอนครับ’
เมื่อกดส่งออกไป คุณลูกค้าจำเป็นก็นั่งรอเพียงไม่ถึงนาทีก็ได้รับข้อความกลับมาด้วยคำสั้นๆง่ายๆ
'ขอบคุณ’
เมื่ออ่านจบ ชายวัยกลางคนก็ลุกขึ้นและออกจากร้านไปเงียบๆโดยไม่ได้ลงมือทำอะไรทั้งนั้น แถมยังเดินไปเอ่ยปากชมรสชาติกาแฟของร้านอย่างเป็นกันเอง
ริชาร์ดที่เพิ่งจะเลิกประชุมรีบเดินมาที่ร้านกาแฟหลังจากอะไรๆสงบลงไม่นานนัก เขาเดินมาสั่งอะไรกินเป็นแก้วที่สองแก้เครียด ปกติจะกินกาแฟให้หายง่วงแต่ตอนนี้อยากได้น้ำตาลเข้าสมองมากกว่า..
“กินน้ำตาลเยอะไปแล้วครับ” อัลที่รับหน้าที่ชงเครื่องดื่มแทนหันมาแซวเจ้าของตึก..
“อืม.. แค่ช่วงนี้แหละ” พอหันไปทางลาซารัสก็พบว่าเขากำลังนั่งคุยกับโคลวิสด้วยท่าทางสนใจอะไรบางอย่างในมือถืออย่างมาก ความอยากรู้มีมากเกินสติที่ยังไม่กลับจากการประชุมดีเลยทำให้เขาก้าวไปหาทั้งสองคน
“อ่ะ คุณริชาร์ด สวัสดีครับ” โคลวิสหันมาค้อมหัวให้ซึ่งริชาร์ดก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องทำตัวเป็นทางการมากนักก็ได้
“ดูอะไรอยู่น่ะ?”
“ผมกำลังสนใจเอ็มเอ็มเอครับ” ลาซารัสยกมือถือใส่หน้าอีกฝ่าย ในภาพปรากฎศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบร่วมสมัยที่กำลังเป็นที่นิยม “ถ้า..ไม่ว่าอะไร ผมก็อยากลองเรียนดูน่ะครับ”
“เอาสิ ดีต่อตัวนายด้วยซ้ำ” ระหว่างที่พูด สายตาก็เหลือบไปเห็นแหวนที่นิ้วของลาซารัส เขาจำมันได้ทันที ก็เลือกมากับมือนี่นะ.. ที่คาเล็มขอมาเจอลาซารัสก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง “แต่จะไหวรึ เดี๋ยวก็จะเรียนยิงปืนด้วยแล้วนะ?”
“แค่นี้ยังทำไม่ได้ผมคงจะอ่อนแอกว่าสาวๆในบ้านคุณริชอีกล่ะมั้ง…”
“โอเคๆ.. นายเสนอให้เหรอ?” เขาหันไปถามบาร์ริสต้าข้างๆ แล้วหย่อนตัวลงบนเก้าอี้เพื่อนั่งพักและรอเครื่องดื่มของตน
“เห็นบอกว่าอยากดูเท่น่ะ” พอได้ยินคำตอบจากปากโอเมก้าหัวสีแล้วริชาร์ดถึงกับกรอกตาแล้วยิ้มอย่างอาดูร
พวกเขานั่งคุยกันสักพัก เครื่องดื่มที่สั่งก็ยกมาเสิร์ฟ ช็อกโกแลตร้อนที่ปกติจะหวานบาดคอตอนนี้ถูกดื่มรวดเดียวจนหมดแก้วเหมือนประชดชีวิต โคลวิสแอบมองริชาร์ดที่แม้จะทำตัวปกติ แต่เมื่อลาซารัสเผลอเขาก็ยังส่งสายตาอาลัยอาวรณ์ไปหาอย่างช่วยไม่ได้ ..ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกหรอกนะ…
“ขอบใจที่ดูแลลาซัสให้นะ” ริชาร์ดหันมากล่าวขอบคุณกับโคลวิสแล้วลุกขึ้นเป็นสัญญาณให้ลาซารัสเตรียมตัวไปได้แล้ว
“ไม่เป็นไรครับ แต่ได้แค่วันที่ลูกค้าน้อยๆนะ” โคลวิสยักไหล่ให้แล้วรีบเดินกลับไปหลังเคาท์เตอร์ทันทีที่ตนหมดธุระ
ทั้งริชาร์ดและลาซารัสเดินออกจากร้านไป จะว่าไปแล้ว เรื่องยานี่ต้องทดลองกินกันเป็นปีๆ แถมเท่าที่เห็น เหมือนว่าคาเล็ม รอสเกรย์จะไม่ได้มาเยี่ยมลาซารัสบ่อยๆแล้ว.. เด็กคนนั้นจะทนรอได้ขนาดไหนกันนะ…
แต่ความสงสัยในใจของโคลวิสก็ได้ภาพรอยยิ้มของลาซารัสตอนที่เขามองแหวนบนนิ้วให้คำตอบ บาริสต้าหนุ่มส่ายศีรษะ ก่อนกลับไปสนใจงานของตัวเองต่อ ภาพตัวเองในสมัยที่ยังคงเชื่อในความรักสุดหัวใจนั้นซ้อนทับขึ้นมา
“เด็กน้อยจริงๆ..”


ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แม้ปากจะบอกว่ายุติความสัมพันธ์แต่สายตาริช ยังอาดูร
แสดงว่าที่ผ่านมาไม่ใช่แค่แพ้ฟีโรโมนของลาซารัสเท่านั้น
มันมีความชอบพอแอบแฝงตัวอยู่ด้วย

คาร์เล็ม ให้แหวนนี่ดีต่อการแสดงความเป็นเจ้าของ
ริช ก็รับรู้ว่าคนนี้ของเพื่อน
ลาซารัส ก็มั่นใจในความรักของคาร์เล็ม

อย่างนี้น่าจะดีต่อโคลวิส ว่าริชว่างแล้ว

แต่ใครที่รับข้อความว่าโอเมก้าตาสีฟ้าเป็นของคาร์เล็ม :katai1:
       :L1: :L1: :L1: 
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1

ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura

บทที่ 15

 
 
เสียงลมทะเลและคลื่นซัดโขดหินริมหาดแว่วมากระทบใบหูสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย เคล้าเสียงนกนางนวลที่บินอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก หาดทรายสีขาวค่อนข้างร้างผู้คนเพราะไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวและเดินทางมาค่อนข้างลำบาก รวมทั้งความเจริญที่ยังไม่แผ่ขยายมาถึงทำให้หาดเล็กๆนี้ยังไม่เป็นที่นิยม แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครย่างกรายมาเสียทีเดียว คนที่เสาะแสวงหาบรรยากาศดีๆและธรรมชาติที่ยังคงสวยงามก็เดินทางมาถ่ายรูปกันอยู่

“คุณแม่ไม่น่าลงมาเดินแบบนี้นะครับ” คาเล็มเอ่ยกับหญิงชราข้างกายที่เขาคอยพยุงไว้ คุณแม่ที่เริ่มดีขึ้นจากการพักรักษาตัวและเปลี่ยนมาอยู่ที่โรงพยาบาลที่คาเล็มทำงานอยู่ ซึ่งมีความพร้อมและวิจัยเรื่องสรีระของโอเมก้ามายาวนานกว่าที่อื่น ผ่านมาได้เกือบปี ตอนนี้คุณแม่คาร่าของเขาก็เริ่มกลับมาแข็งแรงขึ้นจนพอจะเดินได้แล้ว

“ก็แม่เบื่อรถเข็นแล้วนี่นา” หญิงร่างเล็กยิ้มให้ลูกชายและก้าวเท้าช้าๆลงไปที่หาดทรายสีขาว “มาทะเลทั้งทีถ้าเท้าไม่ได้แตะทรายเลยก็เหมือนมาไม่ถึงเนอะ”

ว่าแล้วเธอก็ถอดรองเท้าออกช้าๆและวางเท้าลงบนทรายอุ่นและค่อยๆย่ำไปบนนั้นด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข เห็นแบบนี้คาเล็มก็ทำได้เพียงลอบถอนหายใจแล้วจูงมือแม่ของตนเดินไปเรื่อยๆ

“แม่อยากกินอะไรตอนเที่ยงนี้มั้ยครับ?” คาร์เมนก้มลงเก็บรองเท้าผู้เป็นแม่ขึ้นมาและเดินตามทั้งสองมาช้าๆ

“กินจุขึ้นนะเรา เพิ่งจะกินไปเมื่อช่วงสายนี่เอง ก็รีบพูดถึงมื้อเที่ยงแล้วเหรอ” คุณแม่คาร่าหันมาแซวลูกชายคนเล็กด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ขอแม่ดูทะเลก่อนสิ แม่ยังไม่เคยมาเลยนะ”

คาร์เมนยักไหล่แล้วเดินกลับไปที่รถระหว่างที่คาเล็มยังคงเดินจูงมือเธอเดินเล่นบนหาด น้องชายขึ้นไปบนรถฝั่งคนขับและถอยรถลงมาที่หาดก่อนเปิดท้ายรถออกและนำเก้าอี้พับที่นำมาด้วยมากางตั้งเป็นที่นั่งรอให้คุณแม่คาร่าที่คงจะเหนื่อยในอีกไม่นานมานั่งรับลมแทน จะว่าไป พอเขาไม่ต้องไปทำงานอะไรๆที่เคยทำอยู่ ตอนนี้ร่างกายเขาก็ค่อยๆดีขึ้น แม้อวัยวะจะยังคงไม่ครบอยู่แบบนี้ก็ตาม...

“ว่าแต่คาเล็ม เห็นคุณเรนเดลบอกว่าลูกมีแฟนแล้วเหรอ?”

“พรึ่ด...”

คุณแม่คาร่าถามลูกชายด้วยดวงตาเป็นประกายจนลูกคนโตสำลักน้ำที่กำลังดื่ม ส่วนคาร์เมนนั้นก็ทำหน้าบอกบุญไม่รับอย่างเห็นได้ชัด

“ลูกดูแลแม่มาตั้งนาน ไม่เห็นจะบอกแม่สักคำเลย”

“ก็...เรื่องมันยาว แล้วตอนนี้งานผมก็ยุ่งๆ…” คุณหมอดันแว่นขึ้น ทำตัวไม่ถูกพอโดนถามตรงๆ อุตส่าห์บอกเรนเดลแล้วแท้ๆว่าอย่าเพิ่งพูด! “ผมแค่อยากจะเคลียร์ไปทีละเรื่องน่ะครับ”

“มัวแต่เอาเวลาไปทุ่มเทกับงาน แล้วยังต้องมาดูแลแม่กับน้องอีก แบบนี้จะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลแฟนล่ะจ๊ะ” หญิงชราตื่นเต้นเพราะคาดหวังที่จะได้เห็นหน้าคนรักของลูกชาย

“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอกแม่ มีคนคอยดูแลแฟนพี่เค้าให้อยู่แล้ว”

“คาร์เมน!” คุณหมอหันไปแว้ดเสียงดังใส่น้องชายที่ปากสว่างพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องออกมาต่อหน้าแม่

“หมายความว่ายังไงกัน?” คาร่ามองลูกชายทั้งสองของเธอที่ทำเหมือนกำลังปิดบังเรื่องสำคัญกับเธอไว้

“เอ่อ…”

“ก็พอดีว่าพี่ชายของแฟนพี่เค้าน่ะดันขี้หวงน่ะสิครับแม่ นานๆจะให้มาเจอกันสักที”

คุณน้องชายที่แกล้งพูดจาตบหัวพี่ชายจนเกือบทิ่มชายหาดก่อนจะดึงขึ้นมาลูบหลังช่วยชีวิตไว้หันไปพยักหน้าให้ “หวงยังกับจงอางหวงไข่เลยเนอะพี่”

“เออ…” คาเล็มตอบรับไปตามน้ำ ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ตัวดี!

“แหม...ลำบากแย่เลยนะ”

“เรื่องนี้ไว้ทีหลังแล้วกันครับ” คาเล็มตัดบทสนทนาและพาแม่กับน้องชายกลับขึ้นรถหลังจากนั่งพักจนหายเหนื่อยและมุ่งหน้าไปยังที่หมายต่อไปของการขับรถเล่นในวันพักผ่อน…

กว่าหนึ่งปีแล้วที่เขาแทบจะไม่ได้ไปเจอลาซารัสที่ยังคงพักอาศัยอยู่ที่บ้านของริชาร์ด สิ่งทำได้ก็เพียงมีแต่โทรหาวันละครั้งหรือสองครั้ง แชทคุยผ่านมือถือกันบ้างเท่าที่เวลาว่างจะมี ทว่าทุกครั้งก็ไม่เคยใช้เวลามากเกินกว่าสิบนาทีเพราะเขาเองไม่ใช่คนพูดเก่งช่างคุยอะไรนัก แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคุณหมอ แค่ได้ยินเสียงว่าอีกฝ่ายสบายดีก็มีกำลังใจล้นปรี่ ลุยงานต่อได้

แต่กับอีกฝ่ายนี่สิ.. แม้จะให้แหวนหมั้นไปแล้วแต่คาเล็มก็ยังคงเผื่อใจไว้ว่า เวลาที่ผ่านมามันอาจจะนานเกินไปจนอดกังวลไม่ได้ว่าลาซารัสจะยังรู้สึกพิเศษกับตนอยู่หรือเปล่า.. ซึ่งหากมันลงเอยแบบนั้น เขาก็คงมีแต่ต้องยอมรับ..

 
“คุณแมทเวย์กำลังออกกำลังกายอยู่น่ะค่ะ อาจจะช้าสักนิด ต้องขออภัยด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมมากะทันหันเอง” เออร์แฟนยิ้มให้แม่บ้านสูงวัยที่มาต้อนรับเขาด้วยตัวเอง เจสสิก้าโค้งให้เขาครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปบอกสาวใช้ให้ไปตามคนที่อัยการหนุ่มมีธุระด้วยมาหา

“ริชาร์ดไม่อยู่เหรอครับ?”

“กำลังกลับมาค่ะ รายนั้นก็คงเพิ่งจะโดนลูกค้าถล่มอยู่กระมังคะ” เจสสิก้าเอ่ยติดตลกราวกับแซวลูกชายตัวเองเล่น

“ครับ งั้นเดี๋ยวรอเขาก่อนก็ได้ จะได้คุยทีเดียวเลย” เออร์แฟนยิ้มให้แม่บ้านอย่างเป็นมิตร วันนี้เขาต้องมาคนเดียวเพราะคาเล็มมีนัดพาแม่ของเขาไปเที่ยว ซึ่งเออร์แฟนก็ไม่ว่าอะไรเพราะเรื่องนี้ไม่ค่อยสลักสำคัญอะไรนัก

“สวัสดีครับคุณเออร์แฟน” เสียงคุ้นหูทักมาจากอีกฝั่งของห้องรับแขก ลาซารัสในชุดออกกำลังชุ่มเหงื่อกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทักทายเขาอย่างรีบร้อน นี่ถ้าเป็นอัลฟ่าคนอื่นมาได้กลิ่นฟีโรโมนที่มาพร้อมกับหยาดเหงื่อของเจ้าตัวจะทำยังไงกันนะ…

เออร์แฟนได้แต่แอบบ่นในใจ ยังไงก็เป็นเจ้าหนูที่ไม่ค่อยระมัดระวังตัวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

“ไง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน...ตัวใหญ่ขึ้นรึเปล่า?” ดวงตาสีทองอ่อนหรี่มองสำรวจร่างกายของโอเมก้าตรงหน้าอย่างประหลาดใจ

“ครับ!... เอ… ตัวใหญ่นี่หมายถึงล่ำขึ้นใช่มั้ยครับ” โดนทักแบบนี้ก็ชวนคิดไปอีกทางว่าเขาอาจจะอ้วนขึ้น...นี่ก็คุมอาหารแล้วนะ!

“ไม่รู้สิ ร่างกายนาย นายก็ต้องดูแลเอาเอง” เออร์แฟนยักไหล่แล้วยกชาขึ้นจิบ ความจริงจะพูดว่าล่ำขึ้นอย่างเต็มปากเต็มคำก็พูดได้.. แต่เขาอาจจะติดเชื้อคาเล็มมาก็ได้ พักนี้เลยคิดว่าการแกล้งคนตรงหน้ามันก็สนุกดี…

“....วันนี้มีเรื่องอะไรเหรอครับ ทำไมมาไม่บอกล่วงหน้าเลย” ลาซารัสเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกแย่ “ปกติคุณจะโทรมาบอกล่วงหน้าตลอดนี่นา”

“นิดหน่อย พอดีฉันต้องวิ่งเอาไอ้นี่ไปให้ทุกคนน่ะ” อัยการหนุ่มยื่นซองสีน้ำตาลปิดผนึกอย่างดีให้กับอีกฝ่าย “คำสั่งเบิกตัวพยานจากศาลน่ะ”

“เอ๋!? เดี๋ยวนะครับ ไม่ใช่ว่าการพิจารณาคดีครั้งต่อไปมันต้องอีกสามเดือนเหรอ?”

“ตอนแรกน่ะใช่… แต่จู่ๆศาลก็เปลี่ยนวันนัด กำลังสงสัยอยู่ว่าทางบ้านรอสเกรย์เป็นต้นเหตุรึเปล่า แต่ส่งลูกน้องไปสืบแล้ว ตอนนี้ยังอยู่กันสงบเรียบร้อยเหมือนเดิมเลย” ว่าไปพลางก็มองมือถือตัวเองไปด้วย ไร้วี่แววข้อความหรือสายเรียกเข้าสักสาย “ที่เหลือรอริชาร์ดกลับมาแล้วค่อยคุยทีเดียวเลยแล้วกัน”

“ครับ...อ่ะ! คุณหมอ.. ไม่ได้มาด้วยสินะ..” ลาซารัสพูดเสียงเบาลงเหมือนผิดหวังเบาๆ หลายครั้งที่เออร์แฟนมาหาเขาที่บ้านของริชาร์ด แต่คาเล็มก็แทบจะไม่ได้มาด้วยเลยสักครั้ง.. ปลายนิ้วลูบแหวนบนนิ้วของตนที่ยังคงสวมมันไว้ตลอดมาด้วยสีหน้าเหงาหงอยเล็กน้อย

“วันนี้คาเล็มพาแม่กับน้องชายไปเที่ยวพักผ่อนที่ทะเลน่ะ”

“ทะเลเหรอครับ?” เมื่อปีที่แล้วจำได้ว่าริชาร์ดเคยบอกว่าจะพาเขาและคุณหมอไปทะเลพร้อมกัน แต่จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปเลย “แล้วอาการของพวกเขาเป็นยังไงบ้างครับ?”

“ก็ดีนะ ตอนนี้แม่ของเขากลับมาเดินได้แล้วหลังจากทำกายภาพมาเป็นปี”

“คุณคาร์เมนล่ะครับ หาคนบริจาคอวัยวะที่เข้ากันได้แล้วรึยัง?”

แม้จะไม่ได้ติดต่อกันบ่อยนัก แต่คาร์เมนก็ได้เปิดใจเล่าเรื่องตอนที่ยังไม่เจอกับพี่ชายให้ลาซารัสฟังว่า...เพื่อที่จะหาเงินจำนวนมากในเวลาอันสั้นมารักษาแม่ คาร์เมนยอมขายอวัยวะภายในบางส่วนของตัวเองให้กับตลาดมืด เพราะอวัยวะของโอเมก้าที่ต้องใช้ผ่าตัดปลูกถ่ายนั้นมีคนบริจาคน้อย จึงเป็นที่ต้องการอย่างมากและมีราคาสูงลิบลิ่ว

“...คงยากหน่อย ปกติการจะหาอวัยวะที่เข้ากันได้ก็ต้องรอคิวนาน ยิ่งเป็นโอเมก้าด้วยแล้วแทบจะต้องพลิกแผ่นดินกันหาเลยทีเดียว”

ในโอเมก้ารายที่เจ็บป่วยจนถึงกับต้องทำการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะนั้นใช่ว่าจะมีโอกาสทำได้ง่ายๆ เพราะว่ามีความเสี่ยงในเรื่องของความเข้ากันได้และไม่ได้ของอวัยวะระหว่างผู้บริจาคกับผู้รับ ดังนั้นจึงเป็นอะไรที่ทำได้ยากยิ่ง ส่วนใหญ่ที่เห็นสามารถเข้ากันได้มักเป็นพ่อแม่ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลเดียวกัน แต่ก็มีส่วนน้อยอีกนั่นแหละที่ยอมสละอวัยวะตัวเองให้กับโอเมก้า และการทำเช่นนั้นเองร่างกายก็จะทรุดลงอย่างรวดเร็ว

คาร์เมนก็รู้เรื่องนั้นดี...แต่สำหรับเจ้าตัวแล้วชีวิตของแม่นั้นไม่มีอะไรมาทดแทนได้ ต่อให้ต้องขายอวัยวะจนร่างกายอาจไม่เหลือสักชิ้นให้นำไปทำพิธีทางศาสนาหลังจากที่ตายไปแล้วก็ตาม

“ไม่มีวิธีที่จะได้มาเร็วกว่านี้เลยเหรอครับ”

“นายจะสละตัวเองให้คาร์เมนรึไง?”

“เอ่อ...ก็ถ้าหากว่าอวัยวะของผมจะเข้ากันได้กับร่างกายของเขาล่ะก็…”

“หยุดเลย!” เออร์แฟนรีบยกมือขึ้นมาห้ามทันที “ขืนนายทำแบบนั้นคาเล็มจะรู้สึกยังไง ต่อให้เป็นน้องชายแต่นายก็สำคัญกับเจ้านั่นนะ”

“...ขอโทษที่คิดอะไรตื้นๆนะครับ” ลาซารัสพอจะรู้มาว่าต่อให้มีอวัยวะไม่ครบ แต่ถ้าดูแลตัวเองดีๆ ให้ร่างกายแข็งแรงก็ไม่เกิดผลเสีย ดูอย่างคาร์เมนสิขนาดอวัยวะภายในพร่องไปตั้งหลายอย่าง แต่ยังมีแรงงัดข้อกับอัลฟ่าได้อย่างสูสีเลย

“อยากเจอคาเล็มมากขนาดนั้นเชียวเหรอ?”

“...ครับ” ลาซารัสพยักหน้าน้อยๆอย่างไม่คิดจะปิดบังความรู้สึกตัวเอง “แต่ผมก็ไม่อยากให้คุณหมอต้องหยุดงานมาหรอกครับ เพราะสิ่งที่คุณหมอทำเองก็จะช่วยเหลือโอเมก้าคนอื่นได้อีกเยอะแยะ แถมตอนนี้คุณหมอเองก็เจอกับคุณแม่ที่ไม่ได้เจอมานาน… ควรให้พวกเขาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุดคงจะดีกว่า”

“...เฮ้อ! ให้ตายเถอะ” จู่ๆเออร์แฟนที่นั่งฟังเงียบๆก็ถอนหายใจแล้วสบถออกมาอย่างแรงจนโอเมก้าหนุ่มที่นั่งตรงข้ามถึงกับสะดุ้ง “ทีแรกก็กะจะเซอร์ไพรส์ตามที่หมอนั่นขอนะ แต่เห็นหน้านายแล้วมันอดสมเพชไม่ได้จริงๆ”

“ครับ?” ลาซารัสกระพริบตาปริบ

“วันนี้คาเล็มตั้งใจจะมาจัดปาร์ตี้วันเกิดที่นี่”

“...เดี๋ยวนะ วันเกิดคุณหมอมันอาทิตย์ที่แล้วนี่ครับ?” ดวงตาสีฟ้าขมวดคิ้ว เขาไม่น่าจะจำผิดหรอก แถมยังโทรไปอวยพรคุณหมอตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว หากว่าจะจำวันคลาดเคลื่อนคาเล็มก็คงจะแซวจนเขาจนอายไปชั่วลูกหลานแหงๆ

“ใช่ แต่อาทิตย์ที่แล้วเขาฉลองที่บ้านกับแม่และน้องชายไง ...คาเล็มก็อยากเจอนายเหมือนกันนะ”

“...อย่างนี้เอง” ลาซารัสพยักหน้าเชื่องช้าเหมือนยังไม่ค่อยจะเชื่อที่ได้ยินมากนัก แต่ครู่เดียวใบหน้ามนก็เริ่มมีรอยยิ้มน้อยๆระบายอยู่ ความยินดีที่ปิดไม่อยู่นี้ทำให้อัยการหนุ่มส่ายหน้าและอมยิ้มตาม

“นายนี่คิดอะไรก็ออกมาทางสีหน้าหมดเลยนะ”

“ง..งั้นผมขอตัวสักครู่นะครับ!” ลาซารัสลุกพรวดขึ้น ตั้งใจจะไปอาบน้ำล้างตัวแล้วเปลี่ยนกำหนดการณ์ตัวเองในวันนี้เพื่อรอเจอหน้าคุณหมอเลยทีเดียว

“ไม่ต้องรีบหรอก คงออกไปทำธุระก่อน กว่าจะมาถึงที่นี่ก็เย็นๆล่ะมั้ง”แต่พูดไม่ทันจบดีร่างโปร่งก็รีบแจ้นกลับไปทางที่มาอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เออร์แฟนนั่งจิบชาและคุ้กกี้ที่แม่บ้านนำมาให้เพียงลำพังในห้องรับแขก จนสาวใช้ต้องเดินมาขอโทษขอโพยที่โดนปล่อยให้อยู่คนเดียวแบบนั้น แต่เออร์แฟนก็ไม่ได้ว่าอะไรและขอไปนั่งฆ่าเวลาที่ห้องสมุดของบ้านแทน…

 
 
เมื่อส่งแม่กลับไปพักที่บ้านโดยมีคาร์เมนและเรนเดลคอยดูแลแทน คาเล็มก็ขับรถออกมาในเมืองเพียงลำพังเพราะคาร์เมนยืนยันว่าจะไม่ยอมไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดย้อนหลังนั่นด้วยถ้าหากว่าอัยการหน้าเลือดคนนั้นอยู่! ...นั่นทำให้เขาได้ฉายเดี่ยวเป็นวันแรกหลังจากที่รับน้องชายของตนมาอยู่ด้วย เพราะคาร์เมนแทบจะเกาะติดหนึบเขาไปทุกที่ยกเว้นตอนที่ต้องคุยงานกับเออร์แฟน..
คาเล็มขับรถมาจอดหน้าร้านกาแฟเล็กๆ ร้านหนึ่งและตรงเข้าไปสั่งเครื่องดื่มแก้กระหายก่อนจะเลือกเข้าไปนั่งที่มุมในสุดที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวของร้าน ไม่นานนักคนที่เขานัดไว้ก็เดินเข้ามาในร้านอย่างตรงต่อเวลา

“ไง ขอโทษที่ทำให้รอ” เสียงคุ้นหูของเพื่อนรักเพียงคนเดียวเอ่ยทักให้เขาเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์

“ไม่หรอก เพิ่งจะมาไม่นาน” มือกดปิดเกมที่เพิ่งจะเปิดได้ไม่กี่นาทีลงแล้วหันมาสนใจคนที่นัดหมายกันไว้แทน “ช่วงนี้งานเป็นยังไงบ้าง?”

“เจอลูกค้าอวดดีน่ะสิ ไม่ได้มีความรู้เลยแท้ๆ แต่พยายามออกไอเดียจนงานเละเทะไปหมด” ริชาร์ดบ่นแบบสรุปรวบยอดพลางส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่าย

“แล้วพวกสาวๆล่ะ?” คาเล็มกวาดตามองออกไปนอกร้านก็ไม่พบกับสาวใช้ที่ริชาร์ดบอกว่าพาออกมาซื้อของไปจัดงานปาร์ตี้ตามที่ได้คุยตกลงกันไว้

“ยังซื้อของไม่เสร็จ... จริงๆ คือเสร็จแล้วล่ะ แต่ฉันปล่อยให้เดินช็อปของส่วนตัวพวกหล่อนบ้าง”

“อ่าฮะ” คาเล็มพยักหน้ารับรู้ กาแฟที่พวกเขาสั่งมาเสิร์ฟหอมกรุ่นช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายทั้งคู่ ต่างคนต่างเงียบลงไปครู่ใหญ่เหมือนกำลังนึกอยู่ว่าจะเริ่มต้นประโยคสนทนาอย่างไรดี เพราะที่นัดมาเจอกันก่อนจะเข้าไปที่บ้านของริชาร์ดนั้น คาเล็มบอกว่าอยากเคลียร์อะไรบางอย่าง ซึ่ง...ริชาร์ดเองก็พอจะเดาได้ไม่ยาก

“จะครบปีแล้วเหรอเนี่ย...ที่ประมูลลาซัสมาน่ะ” คาเล็มพูดทำลายความเงียบ บรรยากาศในร้านกาแฟทำเอาอยากจะเปลี่ยนสถานที่ไปนั่งเปิดใจกันที่ร้านเหล้า แต่ติดที่กลางวันแสกๆ แบบนี้คงไม่มีร้านไหนเปิด

ริชาร์ดพยักหน้ารับน้อยๆ เป็นเชิงรับรู้ว่าตนฟังอยู่ แม้จะผ่านมานานแล้วแต่ความรู้สึกผิดในตอนนั้นยังคงตามเล่นงานเขาอยู่ ตอนนี้จะพูดว่ากลับมาเป็นปกติก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก แม้คาเล็มจะกลับมาคุยกันเหมือนเดิม แต่เหมือนมีเส้นบางๆที่มองไม่เห็นกั้นพวกเขาอยู่อย่างไรไม่รู้ และกับลาซารัสนั้น.. พวกเขาก็คุยกันได้เหมือนเมื่อตอนที่พบกันแรกๆ โดยไม่มีความคิดเกินเลยนั้นอีกแล้ว.. พอเป็นแบบนี้ริชาร์ดเลยเริ่มสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่าในตอนนั้นทำไมเขาถึงหลงใหลลาซารัสขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขายังไม่เคยรู้สึกอะไรด้วยเลยแท้ๆ?

“ไม่ต้องเครียดหรอก.. ไม่ได้มาพูดเรื่องนั้น… ไม่สิ ต้องบอกว่า ฉันไม่ถือโทษโกรธอะไรแล้ว ตั้งแต่ที่ฉันเอาแหวนให้ลาซัสไป นายก็ไม่ได้ยุ่งกับเขาแล้วนี่?”

“อา...ใช่” เพื่อนรักผงกหัวขึ้นลงช้าๆ ตั้งแต่วันที่เขาบอกว่าจะตัดใจ ริชาร์ดก็เว้นระยะห่างเต็มที่จนทำเอาคนในบ้านอึดอัดไปพอสมควร “งั้น...ก่อนอื่น เรื่องในตอนนั้น ฉันไม่มีอะไรจะแก้ตัวด้วย ขอโทษจริงๆ ที่ทำให้นายเสียความรู้สึก”

“โฮ้ย! พอๆ...ขอโทษกันไปมาแบบนี้ไม่จบไม่สิ้นสักที” คาเล็มยกมือห้ามริชาร์ดก่อนที่อีกฝ่ายจะก้มหัวลงไปจนติดชิดเข่าเสียก่อน “บอกแล้วว่าฉันไม่ติดใจแล้ว และอีกอย่างคือ…”

เสียงคาเล็มเบาลงจนทำเอาซีอีโออ่อนวัยกว่าเอียงคอเล็กน้อยเป็นเชิงสงสัย แต่คาเล็มก็ไม่มีคำตอบอื่นต่อจากประโยคเมื่อครู่ ซึ่งคนรอฟังก็ไม่ได้เร่งเร้าอะไรพลางยกแก้วกาแฟนั่งจิบรอในท่ามกลางบรรยากาศร้านที่เริ่มมีผู้คนคึกคัก

“ให้ตายสิ ทำไมฉันไม่ใจกล้าเหมือนกับแกบ้างนะ” คุณหมอบ่นอุบออกมาแล้วเปลี่ยนมานั่งหลังตรงราวกับกำลังรวบรวมความกล้าเพื่อเตรียมใจที่จะพูดอะไรบางอย่าง “ฉันขอโทษ เรื่องแม่ของแกด้วยนะ”

“....ห้ะ?” ริชาร์ดขมวดคิ้วจนหน้าผากย่น เรื่องแม่ของเขาที่เสียไปตั้งแต่เขาเป็นวัยรุ่นหัวร้อนเมื่อครั้งนั้นมันก็… จะยี่สิบปีแล้ว “ขอโทษเรื่องอะไร?”

“ที่ฉันยื้อชีวิตคนๆนั้นไว้ไม่ได้” ดวงตาหลังกรอบแว่นมองใบหน้าของลูกชายอดีตคนไข้ในความดูแลของตน

“นั่นมันก็ช่วยไม่ได้ไม่ใช่เหรอ” จริงอยู่ว่าตอนที่จัดงานศพก็เห็นคาเล็มเอาแต่พูดขอโทษอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่คิดว่าแม้กระทั่งตอนนี้จะยังรู้สึกผิดอยู่อีก

“นั่น...เพราะว่าฉันเป็นคนทำให้เป็นแบบนั้นเอง”

“นาย...ว่าไงนะ?” มือที่ถือแก้วกาแฟพลันวางลงกับโต๊ะเพราะรู้สึกได้ว่ามือของตนมันสั่นแปลกๆ “ที่พูดนั่นหมายความว่ายังไง? นายตั้งใจปล่อยให้แม่ฉันตายงั้นเหรอ?”

“........” ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมาจากปากของคาเล็ม จะมีก็แต่ใบหน้าที่แสดงออกว่ายอมรับผิดทุกอย่างต่อสิ่งที่ทำลงไป

“ทำไมนายทำแบบนี้ เพราะแม่ฉันขอร้องให้นายทำเหรอ?” ริชาร์ดไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างคาเล็มจะทำอะไรแบบนั้นได้ลงคอ หรือไม่อย่างนั้นมันต้องมีเหตุผลอื่นที่บีบบังคับให้ต้องทำอย่างแน่นอน

“ฉันบอกคนๆนั้นไปว่าหมดหนทางที่จะรักษาแล้ว ยังไงก็ไม่สามารถกลับไปเป็นปกติได้และต้องอยู่ในสภาพนอนติดเตียงไปตลอดชีวิต”

“แล้วยังไงอีก…” ริชาร์ดพยายามคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น “นายเลยบอกให้แม่ฉันทำใจยอมรับสภาพจนท่านตรอมใจตายไปทั้งอย่างนั้นงั้นเหรอ?”

“เปล่า...ฉันเสนอตัวเลือกให้สองทาง อย่างแรกคือให้ฉีดยาที่ช่วยให้ไปอย่างสงบไม่ต้องทนทรมานกับการรักษาที่ไร้ประโยชน์ และสอง...คือให้ยาที่อาจทำให้ร่างกายมีโอกาสกลับมาพอเดินได้…แต่อาจเสี่ยงต่อผลข้างเคียงและโรคแทรกซ้อนเพราะร่างกายของคนๆนั้นอ่อนแอเกินไปจะรับไม่ไหวเอาได้”

“...แล้วแม่ก็เลือกข้อแรก?” คนฟังคาดเดา และคุณหมอก็พยักหน้าช้าๆ

“ต่อให้กลับมาเดินได้ แต่ก็ไม่มีทางได้เจอหน้าและกอดลูกชายเพียงคนเดียวอีกแล้ว แม่นายพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะตัดสินใจให้ฉันฉีดยา…” 

มือหนากำแน่นจนสั่นเกร็ง ขอบตารื้นจนแดงหากแต่ไม่มีน้ำตาใดๆไหลออกมา จะมีก็แต่เสียงที่สบถดังทำเอาคนทั้งร้านต้องหันมามองก่อนเจ้าตัวจะออกไปสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำเพียงลำพัง เพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย ต่อให้เป็นการตัดสินใจของคนไข้ แต่การที่ต้องมารับรู้ความจริงทีหลังแบบนี้ มันก็…

“ทำไมถึงต้องมาทำให้ฉันอยากเกลียดนายขึ้นมาอีกครั้งด้วย…”
 

 
“ต่อให้ไม่ผิดกฏหมายเพราะประเทศนี้อนุญาตให้หมอทำการุณยฆาตผู้ป่วยได้ตามความสมัครใจที่จะไม่รักษาต่อแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังมองว่ามันผิดจริยธรรมของหมอที่มีหน้าที่รักษาอยู่ดี”

เออร์แฟนร่ายมาตรากฏหมายให้ฟังในห้องสมุดของคฤหาสน์เบอร์ตั้นที่เจ้าบ้านเข้ามาขอคุยด้วยหลังจากไปรับตัวเจ้าภาพวันเกิดมาตามกำหนดการณ์เดิม ทว่าก็มากันเร็วกว่าที่นัดไว้ “สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตัวผู้ป่วยหรอก แต่เป็นคนในครอบครัวมากกว่า พวกหมอเองก็ต้องระวังเรื่องทางกฎหมายมากขึ้น เพราะงั้นถึงจะบอกว่าเป็นเจตนารมย์ของตัวผู้ป่วยเอง แต่ถ้าญาติไม่ยินยอมด้วยและเอาเรื่องหมอที่รักษา ก็สามารถเป็นคดีความได้เหมือนกัน”

“...ที่คาเล็มปิดเงียบมาจนถึงตอนนี้เพราะถึงฟ้องร้องไปตอนนี้ก็ไม่มีความหมายสินะ” เรื่องมันตั้งยี่สิบปีก่อน คดีคงจะหมดอายุความไปเรียบร้อยแล้ว “ให้ตาย...ไอ้เรารึก็มองหมอนั่นเป็นพ่อพระนักบุญมาตลอดแท้ๆ”

“มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเหมือนฉันน่ะหาไม่ได้ง่ายๆหรอกนะ” ริชาร์ดถึงกับต้องแอบหันไปทำท่าอ้วกเบาๆ แต่คนตาไวก็เห็นอยู่ดี “รู้แบบนี้แล้วจะทำยังไงต่อล่ะ?”

“เรื่องคาเล็มน่ะรึ?”

“อืม.. พูดตรงๆ นี่เป็นเรื่องไม่สมควร แต่ฉันอยากให้พวกนายเลิกแล้วต่อกันไป เพื่อไม่ให้กระทบลูกความฉันน่ะ หลายเดือนมานี้คาเล็มดูผ่อนคลายลงเยอะถึงจะยังโหมงานไม่หยุดก็เถอะ” พูดแล้วก็หันไปจิบชาที่โต๊ะข้างๆอย่างไม่รีบร้อน และเพื่อไม่ให้เป็นการกดดันริชาร์ดมากเกินไปด้วย.. “ถ้าสภาพจิตใจเขากลับมากลัดกลุ้มใจอีก มันจะกระทบงานฉันด้วย”

“.....” ริชาร์ดไม่ตอบ ทว่าเดินออกจากห้องไปเงียบๆ ทิ้งให้อัยการหนุ่มนั่งอ่านหนังสือรอบทสรุปต่อไป ก็หวังเพียงแต่ว่าทั้งสองคนจะเคลียร์กันได้ก่อนมื้อเย็น ไม่งั้นแผนที่วางไว้ว่าจะมาสังสรรค์กันคงกร่อยไม่เป็นท่าแน่นอน...

“คาเล็มเอ๊ย...จะสารภาพบาปก็เลือกจังหวะให้มันดีๆ หน่อยสิวะ”

เมื่อเดินจากห้องอ่านหนังสือมาครู่หนึ่งก็ถึงห้องนอนของเจ้าของคฤหาสถ์ ริชาร์ดเดินเข้าห้องและตรงดิ่งไปตรงชั้นวางของที่มีข้าวของกระจัดกระจาย เขานั่งลงกับพื้นและเปิดลิ้นชักล่างสุดออก ข้างในนั้นถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบผิดกับของบนโต๊ะทั้งหมด กล่องของขวัญสีซีดและแอบมีฝุ่นจับเล็กน้อยเรียงรายอยู่ข้างในนั้น แม้จะเป็นเพียงกล่องเปล่าแต่เขาก็เก็บมันไว้ทุกชิ้นอย่างดี ส่วนของขวัญข้างในนั้น เขาได้นำมันออกมาใช้แล้วทั้งหมด ไม่ว่าจะนาฬิกาข้อมือเก่าคร่ำครึที่ยังคงสวมไว้ ปากกาแท่งสวยที่แม้หมึกจะหมดไปนานมากแล้วแต่เขาก็ยังคงเหน็บมันไว้คู่กระเป๋าเสื้อ และอีกอย่างที่เขาเก็บและรักษามันอย่างดี ริชาร์ดหยิบเอาซองจดหมายเล็กๆข้างกล่องหน้าสุดออกมาเปิดอ่านอย่างระมัดระวังเพราะมันเริ่มจะกรอบหมดแล้ว..

 
ถึงริชาร์ด
แม่ขอโทษนะ ที่ทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ ขอโทษที่ไม่ได้เจอลูกอีกเลยช่วงหกปีหลังมานี้ แม่อยากจะแข็งแรงขึ้นแล้วเดินไปกอดลูกด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้แค่แรงจะเขียนจดหมายนี้ก็แทบไม่เหลือแล้ว

แก้วตาดวงใจของแม่ ขอให้ลูกมีความสุขมากๆนะ  ขอให้แข็งแรงแล้วก็โตไปเป็นคนที่อ่อนโยน แม่ทำให้ลูกได้เพียงแค่อวยพร แม่ทำให้ได้เพียงเท่านี้ ขอบคุณลูกที่หมั่นมาเยี่ยมเสมอ มันเป็นช่วงเวลาที่วิเศษที่สุดในชีวิตของแม่แล้ว

ปล. คุณหมอรอสเกรย์เองก็ต้องเจอช่วงเวลาที่ยากลำบากกับความเอาแต่ใจของแม่เหมือนกัน เพราะงั้น ถ้าลูกทำได้ก็ช่วยอยู่เคียงข้างคุณหมอด้วยนะ

ทั้งหมดนี้ คือการตัดสินใจของแม่เอง

แม่รักลูกนะ


 

ริชาร์ดอ่านจดหมายนั้นด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย เขาเคยร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลังด้วยความเสียใจหลังจากอ่านจดหมายนี้จบ แน่นอนว่าคนที่เอามันมาให้เขานั้นคือคาเล็ม แต่ตอนนั้นด้วยความที่ความคิดอ่านยังเด็ก บวกกับยังไม่ทราบความจริง ริชาร์ดก็เลยตีความไปอีกทางหนึ่ง ว่าคาเล็มนั้นพยายามเต็มที่แล้วในการช่วยต่อชีวิตแม่ของเขามาได้จนเขาโตเป็นวัยรุ่น ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้จดจำหน้ามารดาของตัวเองเป็นแน่..

เขาเงยหน้าขึ้นมามองออกไปนอกหน้าต่าง มองท้องฟ้ายามเย็นมี่เริ่มเปลี่ยนสีทีละน้อย เหมือนกำลังถามแม่ของตัวเองข้างบนสวรรค์ว่าเขาควรทำอย่างไรดี..
 

ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
 
ตอนนี้คาเล็มนั่งนิ่งอยู่บนโซฟารับแขกตัวกว้างของบ้านริชาร์ด แม้ริชาร์ดจะใจเย็นลงแล้วแต่สีหน้าแววตาของอีกฝ่ายทำเอาคาเล็มยังรู้สึกแย่อยู่ แม้ว่าจะโล่งใจที่ในที่สุดเขาก็กล้าพูดออกไปสักที หลังจากเก็บความรู้สึกผิดไว้ในใจมานานกว่ายี่สิบปีราวกับยกภูเขาก้อนใหญ่ไปจากอก แต่ก็ได้อีกก้อนมาแทนที่เพราะเคยสัญญากับคนที่จากไปแล้วว่าจะไม่บอกเรื่องนี้ให้ริชาร์ดรู้...

“คุณหมอ..”

น้ำเสียงคุ้นหูดึงสติคาเล็มออกจากอาการเหม่อลอย ก่อนคนถูกเรียกจะเงยหน้าขึ้นช้าๆตามทิศทางเสียง..

ลาซารัสยืนนิ่งข้างโซฟาฝั่งที่คาเล็มนั่งอยู่ ร่างโปร่งสมส่วนที่ดูหนาขึ้นผิดตากับใบหน้าได้รูปแสนคุ้นเคยทำเอาคาเล็มอยากลุกขึ้นไปกอดมันเสียเดี๋ยวนั้น แต่ติดตรงที่ว่าตอนนี้อีกฝ่ายก็ยังคงมีสถานะเป็นโอเมก้าของริชาร์ดอยู่นั่นแหละ.. ทั้งคู่ไม่พูดอะไรกันสักคำ แถมพอมันเงียบแบบนี้ยิ่งทำเอาประหม่า ต่างคนต่างหลบหน้าหลบตาไปทางอื่น ลาซารัสนั่งลงบนโซฟาข้างๆคุณหมอ และนั่งเงียบกันอยู่นาน...

“คุณหมอสบายดีมั้ยครับ?” คำถามไม่เข้ากับสถานการณ์อย่างแรง เพราะพวกเขามักจะส่งข้อความหากันตลอด หรือไม่ก็โทรคุยกันไปเลย ทำให้ยังไงเสียก็รู้สารทุกข์สุกดิบกันอยู่ก่อนแล้ว

“ก็เรื่อยๆ.. ว่าแต่อ้วนขึ้นรึเปล่าเนี่ย?”

“...นี่ผมก็ออกกำลังกายตลอดนะครับ”

“กินเยอะด้วยล่ะสิ” คาเล็มยังคงพูดหยอกต่อไป ก็เห็นหน้าลำบากใจของลาซารัสแล้วเขารู้สึกสนุก..เหมือนเมื่อไม่นานมานี้

“ไม่ครับ.. เอ่อ ...คือ…”

“คิดถึงนายชะมัดเลย” จู่ๆคาเล็มก็เปลี่ยนบทสนทนา แล้วเอื้อมมือมาจับมืออีกฝ่ายไว้โดยไม่ให้ตั้งตัว

“คุณหมอ...เป็นอะไรรึเปล่า?” แม้ใบหน้าจะเริ่มขึ้นสีเพราะเขินแค่ไหน แต่ความเป็นห่วงก็มีมากกว่า จำได้ว่าริชาร์ดและคาเล็มออกไปเจอกันข้างนอกก่อนจะมาที่บ้านหลังนี้ ทว่าบรรยากาศของอัลฟ่าทั้งสองดูหนักอึ้งยังไงก็ไม่รู้ “ทะเลาะกับคุณริชมาเหรอ…”

“เปล่า เพิ่งเคลียร์กันมา ก็แค่...คงต้องใช้เวลาสักหน่อย” คาเล็มเลือกที่จะไม่บอกรายละเอียดกับลาซารัส เขาเริ่มกลัวขึ้นมาอีกครั้งว่าจะโดนเกลียดเหมือนกับริชาร์ดก่อนที่จะรู้ความจริงเรื่องที่เขาปิดบังไว้

“ครับ...แต่ผมว่าคุณริชคงเข้าใจคุณหมอนะ”

“คิดยังงั้นเหรอ?” ใบหน้าที่เหนื่อยอ่อนเงยขึ้นมาสบตาสีฟ้า

“อื้ม...ขนาดผมอยู่กับเขามาแค่ปีเดียวยังรู้เลยว่าคุณริชเค้าแคร์คุณหมอมากขนาดไหน คุณหมอสิรู้จักคุณริชมานานกว่าผมอีก เพราะงั้นก็น่าจะรู้ดีกว่าผมนะครับ”

“.....ขอกอดทีนะ”

“ห้ะ? ครับ?” ไม่ทันจะได้ตั้งตัว วงแขนกว้างก็ดึงมืออีกฝ่ายเข้าหาตัวและโอบกอดร่างโปร่งเข้ามาแนบชิด ลาซารัสที่หน้าแดงระเรื่ออยู่แล้วก็ยิ่งเขินอายหนักขึ้นอีกจนเพิ่มระดับเป็นแดงเท่าลูกมะเขือเทศ

“ยังหอมเหมือนเดิมเลยนะ…” เสียงทุ้มต่ำที่ทำเอาใจสั่นไปหมด ลาซารัสเองก็ใจเต้นระรัวจนแทบจะระเบิดออกมาข้างนอกอยู่แล้ว จมูกได้รูปกดฝังลงที่ต้นคอสูดกลิ่นหอมรัญจวนจากฟีโรโมนที่ปล่อยออกมา

เดี๋ยว!...นี่มันกลางบ้านคุณริชนะครับ!

“ขอบใจที่รอฉันนะ” มือหนาข้างที่ยังคงจับมือลาซารัสไว้ลูบบนแหวนที่เขาเป็นคนให้อย่างเบามือ

“...ครับ” มือที่ยังว่างโอบกอดคุณหมอตอบอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่เมื่อยอมลดอาการเกร็งลงแล้วสวมกอดตอบ กลับพบว่าร่างอีกฝ่ายสั่นเล็กน้อย ลาซารัสจึงเงี่ยหูฟังดีๆ.. “คุณหมอ!?”

“โทษทีๆ ฉันนี่ไม่ไหวเลย” คาเล็มเช็ดดึงแว่นออกไปให้พ้นทางแล้วซุกหน้าลงบนบ่าของคนที่ตนรัก ปล่อยให้น้ำตาจากความกังวลใจและความกลัวต่างๆนานาไหลลงเปรอะเสื้อของคนที่กอดอยู่

ลาซารัสไม่ว่าอะไร แต่ปล่อยคาเล็มไว้แบบนั้นพลางลูบปลอบเหมือนปลอบเด็กไปเรื่อยๆ เนิ่นนานเสียจนนาฬิกาบนผนังจะล่วงเลยเข้าสู่ช่วงดินเนอร์ คาเล็มที่เริ่มสงบสติลงได้ก็ผละออกแล้วเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองให้เรียบร้อย และจัดแจงเสื้อผ้าทรงผมแว่นตาให้อยู่ในที่ทางเดิมของมัน

“ขอบใจนะ” คาเล็มยิ้มน้อยๆให้คนที่ทำตัวเป็นที่รองน้ำตาตัวเอง…

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าทำให้คุณหมอสบายใจขึ้นได้บ้างก็ดีใจแล้ว” ลาซารัสยิ้มตอบ รู้สึกโล่งใจที่เห็นคุณหมอดีขึ้น แต่ติดตรงที่ยังใจเต้นไม่หายเลยนี่สิ..

“อา ใช่.. จะบอกว่าเย็นนี้ไม่ต้องกินยาระงับอาการฮีทนะ”

“เอ๋?”

คาเล็มไม่พูดเปล่า เขาดึงข้อมือข้างที่มีนาฬิกาของโรงพยาบาลขึ้นมาและเริ่มจิ้มหน้าจอไปมาเหมือนจะสั่งยกเลิกการบังคับฉีดยาระงับอาการฮีทที่จะฉีดให้ทันทีหากลืมกินตามกำหนด.. “แค่ยาลดการรับรู้กลิ่นก็พอแล้ว” ร่างสูงแอบขยิบตาให้ก่อนจะปล่อยมือข้างนั้นเป็นอิสระ

“อ่ะ...เอ่อ…” ลาซารัสหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบเพราะพอจะเดาได้ว่าคาเล็มวางแผนจะทำอะไร แม้จะคิดไม่ออกว่าจะหาเวลาไหนปลีกตัวออกมาก็ตาม “ค...คุณหมอครับ.. นี่มันออกจะ...”

“ขอโทษนะ แต่ฉันตั้งใจไว้แบบนี้แต่แรกแล้วล่ะ” เรื่องจัดงานฉลองวันเกิดย้อนหลังนั้นไม่ได้โกหก เพียงแต่จุดประสงค์ที่แอบแฝงอยู่ก็คือการมาเจอกันเพราะเรื่องนี้ “จะเรียกว่า...อยากเจอนายจนทนไม่ไหวแล้วก็ได้”

“คุณหมออ่า…” ลาซารัสหน้าแดงจนถึงใบหู แถมตอนนี้ยังละจากสายตาที่จ้องมาอย่างหิวกระหายชัดเจนนั้นไม่ได้เลย

เมื่อทั้งสองลุกออกจากห้องนั่งเล่นและเดินไปหาเออร์แฟนในห้องอ่านหนังสือเพื่อไปทานมื้อเย็นพร้อมๆกัน พวกเขาก็เจอเข้ากับริชาร์ดที่เดินสวนมาจากอีกทางพอดี เท่านั้นเองบรรยากาศผ่อนคลายเมื่อครู่ก็ดูจะอึมครึมขึ้นมาอีกครั้ง ริชาร์ดยกมือขึ้นโบกทักทายลาซารัสช้าๆ พร้อมรอยยิ้มระบายมุมปากจางๆ คนถูกทักก็เลิกคิ้วก่อนจะค้อมหัวเล็กน้อย.. ซึ่งปกติพวกเขาก็ทักทายกันแต่เพียงเท่านี้อยู่แล้ว

“จะไปตามเออร์แฟนเหรอ?” ริชาร์ดเอ่ยถามเสียงเบา แม้ใบหน้าจะยังยิ้มแย้ม แต่แววตานั้นมีร่องรอยความเศร้าอยู่ชัดเจน

“อืม” คาเล็มพยักหน้าแทนคำตอบ ก่อนจะยืนรอดูว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรต่อ ซึ่งริชาร์ดเองก็เฉไฉสายตาไปทางอื่นเหมือนกำลังคิดอยู่

“ขอถามตรงๆเลยนะ.. ที่นายยกโทษให้ฉันเรื่องลาซัสนี่… ก็เพราะอยากให้ฉันยกโทษให้นายเหมือนกันเหรอ?” คำถามทำเอาลาซารัสมึนงง ไม่รู้ว่าพวกเขามีเรื่องอะไรกัน แล้วที่สำคัญคือ คุณหมอต้องการให้ริชาร์ดยกโทษให้เรื่องอะไร? พวกเขาไปทำอะไรมาเมื่อกลางวัน??

“...ใช่...แต่ก็แค่ส่วนหนึ่ง” คุณหมอหลับตาลงเป็นสัญญาณของการจำยอมต่อความรู้สึกของตัวเอง “ถึงนายจะไม่ให้อภัยฉันก็ไม่ว่าอะไร มันเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”

“...ทำไมไม่คิดว่า เป็นการช่วยให้คนๆหนึ่งไม่ต้องทรมานไปมากกว่านี้ล่ะ?”

“เคยคิด..” คาเล็มกำมือตัวเองแน่นก่อนจะกลั้นใจพูดทุกสิ่งในใจออกมา “แต่พอเวลาผ่านไป ฉันกลับมีความคิดที่ว่า… ถ้าตอนนั้นฉันเก่งกว่านี้ มีความรู้ หรือมีอำนาจในการตัดสินใจมากกว่านี้… ฉันคงช่วยเขาได้”

“คุณ...หมอ?” ลาซารัสเผลอเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายแล้วจับแขนเสื้อเขาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ

“แม่นายคงจะรอด.. แล้วฉันก็ไม่ต้องทำเรื่องแบบนั้น!”

“พอแล้ว” น้ำเสียงเรียบของริชาร์ดดึงสติของคาเล็มไว้ เมื่อคุณหมอเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน กลับพบภาพของริชาร์ดที่กำลังเงื้อหมัดใส่หน้าเขาอยู่ ปฎิกิริยาโต้ตอบสั่งให้เขาหลับตาลงแล้วยกมือขึ้นป้องกันตัว

“คุณริช!?” ลาซารัสกำลังจะเข้ามาห้าม ...ทว่าร่างโปร่งก็หยุดชะงักนิ่งไปทันที

แปะ…

หมัดที่กำแน่นแตะลงบนแก้มของคาเล็มบางเบาผิดกับทีท่าที่เงื้อเสียสุดตัว ริชาร์ดค้างหมัดตัวเองไว้แบบนั้นสักครู่ก่อนเอามือไปให้พ้นหน้าเพื่อน

“ฉันโกรธมากนะรู้มั้ย...ที่นายมีอะไรก็ไม่บอกกันอยู่เรื่อยเลย” หน้าของริชาร์ดเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มที่ดูเจ็บปวดจนปิดไม่อยู่ “นายเป็นเพื่อนฉันนะโว้ย! รู้จักกันมาตั้งแต่ฉันทำไมไม่ยอมปริปากเวลาไม่สบายใจมั่งเลยวะ!?”

“...?...??” คุณหมอยังคงทำหน้าฉงน แม้จะรับรู้รับทราบทุกคำพูดของอีกฝ่ายก็ตาม

“ใช่ ฉันมันพวกโมโหร้าย! แต่...ไม่ใช่ว่านายก็รู้จักฉันดีรึไง ฉันเคยจะเลิกคบนายจริงๆบ้างมั้ย…”

ช่วงชีวิตมิตรภาพที่ผ่านมา ใช่ว่าจะราบรื่นลงเอยด้วยดีทุกครั้ง ด้วยนิสัยแทบจะคนละขั้วทำให้สองอัลฟ่าทะเลาะและจิกกัดกันบ่อยครั้ง บ้างก็หนักถึงขั้นแทบเลิกรากัน แต่สุดท้ายไม่ว่าจะด้วยเวลาช่วยเยียวยาหรือมีใครกล่อมเล็กๆน้อยๆ ทั้งคู่ก็กลับมามองหน้ากันได้เช่นเดิม.. แต่หนนี้เหมือนปัญหาที่คั่งค้างสะสมมานานจะใหญ่เกินกว่าที่คาเล็มจะจินตนาการออกว่าอีกฝ่ายจะให้อภัยเขาได้อย่างไร...กระนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้…

“...ขอโทษ” คาเล็มเอ่ยเสียงเบาทั้งที่ยกมือขึ้นกุมหน้าที่ถูกต่อยด้วยหมัดเบาหวิวนั่น

“เออ! ...ก็แค่นี้เอง!”

“แค่นี้ก็ได้เหรอ?..”

“แล้วจะอะไรมากมายวะ!?” ริชาร์ดยักไหล่แล้วถอนหายใจ “...ให้พูดจากใจจริงฉันก็ยังโกรธ.. แต่พอได้ไปนั่งสงบสติอารมณ์ก็ถึงได้รู้ว่า ที่ผ่านมานายก็รู้สึกผิดมามากแล้ว.. จากการกระทำของนายน่ะนะ”

คาเล็มเหลือบไปมองลาซารัสที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ เขาเอาแรงผลักดันจากเรื่องนี้มาเป็นความต้องการที่จะช่วยเหลือโอเมก้าคนอื่นๆให้แรงกล้าขึ้น อย่างน้อยๆก็เพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่าได้ทำอะไรไถ่โทษสิ่งที่ตนทำไปบ้าง แม้จะรู้ว่ามันเทียบกันไม่ได้ก็ตาม “...ต่อยคนแก่มาได้ มันเจ็บนะ…”

“...เฮ้อ” ริชาร์ดถอนหายใจแรงแล้วเดินเข้าไปกอดคาเล็มไว้ด้วยสภาพเหมือนพ่อกอดลูกชายยามที่ต่อยแพ้เพื่อนกลับมาบ้าน “ขอโทษครับคุณหมออออ คราวหน้าจะไม่ใช้กำลังแล้วครับ”

แปะๆๆ…

เสียงปรบมือรัวดังมาจากข้างหลังจนสองอัลฟ่าที่กอดกันอยู่ต้องหันมาดูก็พบว่าลาซารัสบ่อน้ำตาแตกไปแล้ว แถมยังโผเข้ามาขอผสมโรงกอดทั้งคู่แน่นอีก

“เล่นอะไรกันน่ะพวกนาย?” เออร์แฟนที่เดินออกมาจากห้องอ่านหนังสือมองดูสามคนที่กอดกันกลมยังกับเพิ่งจบงานปัจฉิมนิเทศ แต่ก็พอจะเดาได้อยู่หรอกว่าอะไรทำให้ต้องอยู่กันในสภาพนั้น

อย่างน้อยๆก็เคลียร์กันจบได้สวยกว่าที่คิดล่ะนะ เขานึกว่าลุงอัลฟ่าสองคนนี้จะซัดกันหมัดต่อหมัดจนกว่าจะหมอบก่อนจะปรับความเข้าใจกันได้แบบในหนังลูกผู้ชายซะอีก


งานวันเกิดย้อนหลังของหมอคาเล็มในวันนี้เลยถือเป็นการฉลองที่เพื่อนรักทั้งสองกลับมาคืนดีกันได้อีกครั้ง หลังจากผ่านเรื่องยุ่งๆหลายเรื่องกันมาเป็นปี ทั้งอาหารคาวหวานมากมายหลากหลายเมนูแทบจะเป็นบุฟเฟ่ต์นานาชาติที่ล้วนลิสต์มาจากอาหารที่คาเล็มค่อนข้างชอบทั้งสิ้น แต่จะอะไรก็คงไม่อร่อยเท่าพุดดิ้งที่รักอีกแล้ว

“คุณหมอครับ กินเยอะขนาดนั้นเดี๋ยวค่าน้ำตาลในเลือดจะพุ่งเอานะ..” ลาซารัสที่นั่งข้างๆอยู่คอยห้ามปราม ถึงจะไม่ค่อยได้ผลนักก็ตามเพราะนี่ก็จานที่สี่เข้าไปแล้ว..

“นานๆทีเองน่า...นี่ฉันไม่ได้กินมาตั้งนานแล้วนะ” คาเล็มพูดเสียงอ่อน แม้ใบหน้าจะยังเรียบนิ่งก็ตาม

“เป็นหมอแต่ไม่ดูแลตัวเองเลยเนี่ยนะ?” เออร์แฟนเห็นท่าว่าโอเมก้าเพียงคนเดียวในที่นี้จะห้ามไม่ไหวเลยช่วยพูดด้วย “นายอย่าลืมสิว่ามีเค้กรออยู่อีก”

“หมอก็คนนะ ต้องมีอะไรที่ชอบกินแม้มันจะไม่ดีต่อสุขภาพทั้งนั้นแหละ ส่วนเค้กก็ให้ลาซัสกินไปสิ”

“ทำไมให้ผมกินคนเดียวล่ะ!?”

“ฉันช่วยกินก็ได้นะ” ริชาร์ดแทรกขึ้นมาก่อนจะดีดนิ้วเป็นสัญญาณให้สาวใช้เดินไปหรี่ไฟลงให้ห้องเริ่มสลัว ก่อนประตูทางเข้าห้องทานอาหารส่วนตัวจะเปิดออก เค้กวันเกิดขนาดใหญ่ที่น่าจะกินได้ทั้งคฤหาสน์ก็เข็นเข้ามา

เพลงวันเกิดถูกขับร้องด้วยทำนองที่เป็นกันเองและทั้งสี่คนก็ร่วมร้องไปด้วย แต่เทียนที่ปักไว้อยู่สูงเกินกว่าคาเล็มจะเป่าได้ กว่าจะหาวิธีเป่าให้ดับได้ก็กินเวลาไปนานกว่าร้องเพลงนานโข… โดยใช้สมุดที่คาเล็มพกติดกระเป๋ามาแล้วยืนบนเก้าอี้เพื่อพัดให้มันดับแทนการเป่า อนาถไปสักนิดทว่าก็ไม่มีใครคิดอะไร ซ้ำยังรู้สึกตลกดีด้วยที่เห็นคุณหมอมาดนิ่งขี้รำคาญยอมทำอะไรแบบนี้

“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ฉันเตรียมเกมพิเศษมาให้เล่นแก้เหงาด้วย เผื่อจะเบื่อกัน” เออร์แฟนพูดขึ้นระหว่างกำลังตัดเค้กแจกจ่ายให้สาวใช้และพ่อบ้านเอาไปกินกัน

“ไม่นึกว่าคนแบบนายก็ชอบเล่นเกม” ริชาร์ดเลิกคิ้วระหว่างที่กำลังรินเหล้าต่อเนื่อง

“คุณริชดื่มมากไปรึเปล่าครับ?” ตั้งแต่เริ่มงานมาก็ยังไม่เห็นอีกฝ่ายห่างจากแก้วเหล้าเลยอดเป็นห่วงนิดๆไม่ได้

“อย่าเพิ่งรีบเมาซะล่ะ เพราะเกมนี้นายได้ซัดเป็นแก้วแน่” เออร์แฟนหยิบเอากระดาษม้วนสี่ชิ้นขึ้นมาจากกระเป๋า “เกมพระราชา”
เกมพระราชาในกฎของเออร์แฟนนั้น ต้องหมุนขวดเลือกคนเป็นราชา ก่อนทั้งสี่จะสุ่มหยิบเลขจากกระดาษม้วนสี่ใบนี้ และให้พระราชาเลือกเลขและสั่งให้คนที่ได้เลขนั้นทำอะไรก็ได้ ในช่วงแรกๆก็มีทั้งเล่าความลับหรือแฉตัวเองจนถึงการดื่มเหล้าให้หมดแก้วหรือกินเค้กคนละคำ

แต่...คนที่ซวยที่สุดคือเออร์แฟนที่โดนลงโทษในเกมพระราชาอย่างต่อเนื่อง เพราะริชาร์ดกับคาเล็มดันดวงขึ้นได้เป็นพระราชาสลับกันรอบต่อรอบ แถมยังอุตส่าห์เดาเลขถูกเกือบจะทุกรอบ จนหวยแทบจะลงใส่ตัวคนเสนอเกมซะเอง ส่วนลาซารัสนั้น ถ้าโดนลงโทษก็จะโดนอนุโลมเสียทุกครั้ง หรือได้เป็นพระราชาก็ไม่กล้าสั่งอะไรแรงๆอยู่ดี

“ห..ให้หมายเลขสาม...หอมแก้มคุณริชหนึ่งที..”

“เสียใจด้วยนะลาซัส ฉันเองแหละหมายเลขสาม” ริชาร์ดโชว์เลขในมือให้ดูเป็นการยืนยันพลางหัวเราะร่วน ท่าทางจะเมาไประดับหนึ่งแล้วเสียด้วย ซึ่งสภาพก็ไม่ได้ต่างกับเออร์แฟนมากนัก เพราะอัยการหนุ่มโดนลงโทษซดเหล้าไปหลายอึกเนื่องจากโดนหวยลงบ่อยกว่าใครเพื่อน

“งั้น..หอมแก้มคุณหมอก็ได้ครับ” ด้วยความสงสารเออร์แฟนเลยเปลี่ยนทิศทางการลงโทษไปลงกับคาเล็มแทน ขอโทษนะครับคุณหมอ!

“ไหงงั้นล่ะ!?” คาเล็มแผดเสียง แม้จะไม่ได้เมามายเท่าอีกสองคนเพราะดื่มไปน้อยกว่าและคอแข็งกว่ามาก แต่ท่าทางก็เริ่มกรึ่มๆแล้วเช่นกัน “เฮ้ย! หยุดเลยไอ้ริชาร์ดดด!!”

“กฎก็ต้องเป็นกฎซี่!!”

พอมาถึงเกมรอบสุดท้ายก่อนปิดงานเพราะนาฬิกาตีบอกเวลาล่วงเลยเที่ยงคืนมาแล้ว ก็เลยถึงคราวที่เออร์แฟนได้โอกาสเป็นพระราชาปิดเกม เพราะฉะนั้นงานนี้ต้องยิ่งใหญ่! อัยการหนุ่มที่โดนแกล้งมาตลอดงานจึงหัวเราะชั่วร้ายเป็นพิเศษบวกกับฤทธิ์เหล้าที่ทำคนคออ่อนบุคคลิกเปลี่ยนจนจำแทบไม่ได้

“ขอสั่งให้หมายเลขสองกับสามจูบกันแบบเฟรนส์คิสเดี๋ยวนี้!”

แล้วหวยก็มาลงที่ริชาร์ดกับคาเล็ม อันที่จริงต้องบอกว่าหวยล็อคด้วยซ้ำเพราะว่าเออร์แฟนสังเกตเห็นหมายเลขของทั้งคู่ที่จับได้ในรอบนี้ คนโดนสั่งสองคนแทบจะพ่นน้ำเปล่าที่กำลังจิบ

“ไม่เอาโว้ย!” คาเล็มโวยวายขึ้นมา แค่หอมแก้มก็แย่แล้ว!!

“คำสั่งของพระราชาถือเป็นที่สุด” เออร์แฟนชี้นิ้วใส่หน้าคาเล็มและวนเป็นวงกลมเหมือนกำลังทำท่าสะกดจิต

“เป็นลูกผู้ชาย คำไหนก็คำนั้น!” นี่ก็เมากู่ไม่กลับแน่นอน ริชาร์ดโผเข้าหาเพื่อนจนล้มลงไปกองที่พื้นทั้งคู่ สองมือจับหน้าคาเล็มไว้มั่นหมายจะทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด แต่คุณหมอก็สู้สุดชีวิตรักษาเอกราชจากการโดนอัลฟ่าด้วยกันรุกราน ซึ่งก็ไม่พ้นสู้แรงเพื่อนไม่ได้ จำต้องรับจูบรสเหล้าเข้าปากไปนานสองนานด้วยสีหน้าราวกับจะตายเอาให้ได้… จนริชาร์ดหลับทับบนตัวเขาไปทั้งอย่างนั้น

“ไอ้ริชาร์ด!! รอแกตื่นก่อนเหอะ!....แกด้วยไอ้เออร์แฟน!!” คาเล็มร้องโหวกเหวกและชี้นิ้วขึ้นมาใส่อัยการหนุ่มที่นั่งขำจนจะตกเก้าอี้

“ฉันก็เดาไปเรื่อย นึกว่าจะให้นายได้จูบเป็ดน้อยให้สมการรอคอยหน่อยไง” แม้จะเมาแล้วแต่ก็ยังคงแก้ตัวให้พ้นผิด ก่อนจะลุกออกจากโต๊ะอย่างโซเซแล้วกดมือถือเรียกลูกน้องตัวเองที่นั่งรออยู่อีกห้องให้มารับและพาเขากลับเพื่อหนีสายตาอาฆาตแค้นของคาเล็ม “กลับล่ะ เจอกันพรุ่งนี้”

“อ่ะ? ให้ผมไปส่งที่หน้าประตูมั้ยครับ?”

“ไม่ต้องๆ นายเอาเจ้าบ้านกลับห้องไปนอนดีๆเหอะ” แม้จะเมาแล้วแต่ท่าทางสติรับรู้จะดีกว่าริชาร์ดเยอะมาก..

“หลับไปแล้วจริงๆด้วยอ่ะ..” ลาซารัสเดินมาช่วยยกร่างหนักอึ้งของริชาร์ดออกจากตัวคุณหมอก่อนคาเล็มจะขาดอากาศหายใจเพราะโดนทับ พอเช็คสำรวจสติก็พบว่าริชาร์ดได้สลบเหมือดไปแล้ว และท่าทางปลุกไปก็คงไม่ยอมตื่นง่ายๆแน่

เมื่อเออร์แฟนเดินหายออกจากห้องไป คาเล็มก็ลุกขึ้นมาหยิบแก้วน้ำเปล่ากินล้างปากไปหลายอึก ด้วยสีหน้าท่าทางเหมือนจะรับไม่ได้อย่างแรง… “มันไม่ได้เมาจริงๆ หรอก ฉันคิดว่างั้นนะ”

“งั้นเหรอครับ?” ลาซารัสยิ้มแห้ง ก่อนจะเดินไปบอกพ่อบ้านที่ยังคงรออยู่ให้มาเก็บกวาดโต๊ะอาหารทั้งหมด “คุณหมอกลับยังไงเหรอครับ?”

“ไม่ได้กลับ…คืนนี้ฉันจะค้างที่นี่”

ลาซารัสพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าคาเล็มบอกเป็นนัยอะไรเขาไว้เมื่อตอนหัวค่ำ ทำให้ดวงหน้ามนที่มีสีแดงจางจากแอลกอฮอล์ที่กินเข้าไปเพียงนิดนั้นแดงจัดขึ้นมา “อ่ะ...เอ่อ...งั้นขอหิ้วคุณริชกลับไปห้องนอนก่อนนะครับ”

“มา ฉันช่วย”

ทั้งสองคนช่วยกันหิ้วปีกคนตัวใหญ่สุดกลับห้องอย่างทุลักทุเล แม้จะตบๆหน้าเรียกสติให้ริชาร์ดรู้ตัวและตื่นมาเดินกลับเอง แต่เจ้าตัวก็ทำแค่มุ่ยหน้าและส่งเสียงหงุดหงิดใส่เท่านั้น ...ทำไมถึงได้ดื้อขนาดนี้กันนะ

กว่าจะมาถึงห้องนอนของเจ้าของบ้านก็เล่นเอาหอบเหมือนเพิ่งไปแข่งกีฬามา จัดแจงถอดเสื้อนอกออกแล้วห่มผ้าอะไรให้เรียบร้อยจึงค่อยๆย่องออกมาจากห้องอย่างเงียบเชียบ

“คุณหมอจะอาบน้ำก่อนมั้ยครับ เดี๋ยวผมพาไป…”

“ไปห้องนายก่อน เดี๋ยวค่อยอาบทีเดียว” คำตอบนั้นไม่ได้ช่วยให้คนฟังสงบใจลงได้เลย ในเมื่อมันมีความหมายว่า ‘ให้ไปอาบน้ำด้วยกันหลังจากนี้’ ...ถึงจะรู้อยู่แล้ว แต่ใจก็ยังไม่พร้อมเลยอยู่ดี!

โอเมก้าหนุ่มไม่มีเวลาให้ได้เตรียมใจนานนัก เพราะห้องนอนของเขาไม่ได้ไกลจากห้องของเจ้าบ้านเลย ขณะที่กำลังไขกุญแจห้องลาซารัสก็นึกขึ้นได้ว่าในห้องยังมีเจ้าพวกขนฟูนอนอยู่ด้วย

“คุณหมอครับ ห้องนี้คงจะไม่ได้ พวกก้อนขนนอนอยู่…”

ดวงตาหลังกรอบแว่นมองเข้าไปในห้องก็เห็นเหล่าองครักษ์(?)ขนฟูนอนเกลือกกลิ้งกันเต็มพื้นจนแทบจะกลืนไปกับพรม  ส่วนพวกตัวเล็กก็หลับเรียงเป็นฮอทด็อกอยู่บนเตียงกว้าง

“ฉันเมาแล้วรึเปล่านะ รู้สึกจำนวนมันเยอะขึ้นยังไงไม่รู้” คาเล็มลองถอดแว่นออกมาเช็ด

“แหะๆ แมร์รี่เพิ่งจะคลอดลูกออกมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เองครับ เกิดวันเดียวกับคุณหมอเลย”

เขาควรจะดีใจมั้ยที่มีลูกหมามาเกิดวันเดียวกันเนี่ย…คุณหมอจึงต้องถอนตัวจากห้องนอนของลาซารัสอย่างช่วยไม่ได้ หมอก็เกรงใจหมาเป็นเหมือนกันนะ

“อ้าว? คุณหมอรอสเกรย์ ดิฉันนึกว่ากลับไปพร้อมคุณอัยการแล้วเสียอีกค่ะ” เจสสสิก้าที่กำลังเดินตรวจดูความเรียบร้อยของบ้านเพื่อเตรียมปิดไฟในคฤหาสน์ พอเห็นคาเล็มกับลาซารัสอยู่ด้วยกันสองคน หญิงชราก็ยกมือขึ้นปิดปากเล็กน้อย แล้วหล่อนก็รีบนำทางไปยังห้องพักและจัดแจงจัดที่นอนให้แขกของเจ้านายได้พักผ่อนทันที

“คืนนี้พักผ่อนได้ตามสบายนะคะ อย่าหักโหมมาก เดี๋ยวพรุ่งนี้จะให้คนยกอาหารมาให้ตอนสายๆ ค่ะ” หญิงชราค้อมหัวให้ตามมารยาทก่อนเดินออกไปจากห้อง ดูจากรอยยิ้มที่หัวหน้าแม่บ้านส่งมาให้ทั้งสองคนแล้ว คาดว่าหล่อนคงจะคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

“คุณหมอครับ…” โอเมก้าหนุ่มยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองเหมือนอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี โดนคุณแม่บ้านที่อยู่ด้วยกันมานานมองออกทะลุปรุโปร่งหมดเลยแบบนี้ พรุ่งนี้จะกล้ามองหน้ากันติดได้ยังไง!

“...อย่าทำให้คนแก่เสียน้ำใจสิ” คาเล็มกดปิดกลอนล็อคประตูห้องแล้วเริ่มปลดประดุมข้อมือตัวเอง

คุณหมอยังจะเดินหน้าต่อได้อีกเหรอครับ! จะมีความมุ่งมั่นแบบแปลกๆเกินไปหน่อยรึเปล่า!

“คือว่า...ช่วยรอแป๊บได้มั้ยครับ ผมจะไปเอาของที่ห้องสักหน่อย ตะกี้ลืมหยิบมา”

“ถ้ายาคุมกับถุงล่ะก็ฉันเตรียมมาแล้ว” คาเล็มตอบหน้านิ่งเสียจนลาซารัสอยากจะกรีดร้อง ทำไมพร้อมยังกับวางแผนมาแล้วได้ขนาดนี้ครับ!

“เดี๋ยวมาครับ!” ร่างโปร่งไม่รอให้อัลฟ่ามากวัยกว่าอนุญาตแล้วรีบพุ่งตัวออกไปจากห้องทันที คุณหมอก็เลยเดินไปนั่งรอที่ปลายเตียง แต่ก็ยังไร้เงาของคนที่บอกว่าจะไปแป๊บเดียว

“เอาเถอะ…” พอคิดว่าลาซารัสคงกำลังเตรียมใจอยู่ เขาก็ขยับตัวเอนลงไปนอนที่หัวเตียงและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาน้องชาย เพราะรู้ดีว่าเวลานี้คาร์เมนยังไม่เข้านอน “ไง แม่หลับรึยัง?”

“หลับไปตั้งแต่หัวค่ำแล้วล่ะพี่” เสียงของน้องชายฟังไม่ค่อยถนัดนัก คาดว่าจะเป็นเสียงแทรกจากโทรทัศน์ เพราะคืนนี้มีรายการแข่งขันกีฬาฟุตบอลที่น้องชายชอบ “เลี้ยงดีๆสิวะ เดี๋ยวก็โดนยิงนำไปก่อนหรอก!”

“เชียร์เบาๆสิ เดี๋ยวแม่ตื่น” คนเป็นพี่เอ็ดน้องชายที่ดูจะอินกับเกมการแข่ง “พรุ่งนี้คงจะกลับบ่ายๆนะ เอาอะไรมั้ยเดี๋ยวซื้อกลับไปฝาก?”

“ไม่ล่ะ อ้อ! เห็นคุณเรนเดลบอกว่าหลอดไฟห้องน้ำมันเหมือนจะเสียแล้วล่ะพี่ เมื่อเย็นไฟมันตกน่ะ”

“งั้นเดี๋ยวจะซื้อเข้าไปให้ มีแค่นี้สิ...นะ”

“พี่? เป็นอะไรรึเปล่า?” คาร์เมนกรอกเสียงถามเพราะจู่ๆพี่ชายของตนก็เงียบไป

“ไม่มีๆ แค่นี้ก่อนนะ แบตจะหมดแล้วล่ะ” น้ำเสียงของคาเล็มดูลนๆ รีบร้อนผิดปกติ ก่อนที่สายจะตัดไป เหลือทิ้งไว้แต่ความสงสัยของน้องชาย เพราะว่าปกติพี่ชายก็พกเพาเวอร์แบงค์สำรองตั้งสองสามก้อน จะกลัวแบตหมดไปทำไม…?



ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
“มาตรวจกะดึกเหรอ?” คาเล็มวางโทรศัพท์ไว้ข้างหมอนพร้อมกับกระตุกรอยยิ้ม ก่อนจะจ้องไปมองลาซารัสที่เข้ามาในห้องพร้อมกับชุดที่...ต้องบอกว่าโคตรจะเร้าใจ โอเมก้าหนุ่มในชุดคอสเพลย์เป็นนางพยาบาลชุดสีชมพูกระโปรงสั้นเหนือเข่า แถมยังใส่ถุงน่องสูงมาอีก ก็ว่าทำไมถึงได้หายไปนานนัก เพราะใช้เวลาหมดไปกับการแต่งตัวนี่เอง

“....ก็เห็นคุณหมอบอกว่าชอบชุดพยาบาล…” ลาซารัสตอบคำถามทั้งที่คาเล็มยังไม่ได้ถามอะไร เจ้าตัวเดินมาใกล้กับเตียงกว้างที่คาเล็มเลื่อนตัวลงไปทำทีเป็นเป็นคนไข้นอนรอให้พยาบาลมาตรวจ “ที่คุยกันอาทิตย์ก่อนไง..”

“นายเลยไปซื้อมาเหรอ?” สายตาของคุณหมอไล่มองสำรวจตั้งแต่ใบหน้าสีแดงจัดลงมาจนถึงชายกระโปรงที่ขึ้นมาสูงทุกครั้งที่คนใส่ขยับตัว

“ตัดเองต่างหาก” ลาซารัสเลื่อนมือมาดีดหน้าผากให้คาเล็มหยุดหัวเราะและเลิกใช้สายตาแทะโลมแบบนั้น ก่อนเขาจะเขินจนหน้าแดงไปมากกว่านี้ แล้วที่ยอมลงทุนตัดเองนี่ก็เพราะไซส์ที่สั่งซื้อทางเน็ตมันไม่มีนี่ “...แต่...ผ้าที่มีอยู่ไม่พอตัด ก็เลย…”

“คับไปหน่อย?” ต้องบอกว่าทั้งคับทั้งสั้นเลยต่างหาก เห็นแล้วขึ้น...

“....” ไม่พูดตอบ แต่โอเมก้าหนุ่มพยักหน้าให้แทน “...แล้ว...แล้วผมต้องทำอะไรมั่ง?”

“อ้าว เป็นพยาบาลจะมาถามคนไข้ได้ไงล่ะ?” คาเล็มหัวเราะร่วนแล้วนอนรอดูว่าลาซารัสจะทำอะไรต่อไปด้วยใจที่เต้นระทึก ทั้งตื่นเต้นที่ได้เห็นคนรักในชุดสุดลามกสำหรับเขา ยิ่งมันแน่นไปหมดตั้งแต่อก เอว กระทั่งถึงสะโพกขนาดนี้ มีหรือจะไม่ให้คิดไปไกลจนเขาเริ่มรู้สึกได้ว่าคาเล็มน้อยเริ่มตื่นตัวหน่อยๆ โดยไม่ต้องพึ่งกลิ่นฟีโรโมนของลาซารัสแล้ว

“....งั้น… คุณหมอ...เอ ตอนนี้ต้องเรียกคุณคาเล็มนี่นา?” ลาซารัสคลานเข่าขึ้นมาบนเตียงข้างหนึ่งเพื่อเอามือมาแตะที่หน้าผากของคาเล็มก่อนจะค่อยๆเลื่อนผ่านข้างแก้มมาจนถึงลำคอ “ไม่มีไข้นี่นา แต่คงต้องเอาปรอทมาวัดให้แน่ใจก่อนนะครับ”

“คุณพยาบาลไม่เรียบร้อยเลยนะ” คาเล็มคว้ามือที่ยื่นมาจับคอของเขาไว้ ส่วนอีกมือแตะลงบนช่วงอกที่เสื้อด้านบนไม่สามารถติดกระดุมได้ ไม่รู้เขาคิดไปเองรึเปล่าว่าช่วงกลางอกดูจะแน่นขึ้นกว่าเก่า...

“ม….มันติดไม่ได้น่ะครับ” ลาซารัสตกใจกับการแตะเนื้อต้องตัวที่ไม่คาดคิด แต่ก็ไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้นิ้วของคาเล็มไล้ไปมาอยู่อย่างนั้น

“แล้วก็เครื่องแบบพยาบาลเค้าไม่ให้ใส่ถุงน่องสีเข้มนะ มันต้องสีขาวสิ” คาเล็มเปลี่ยนไปลูบต้นขากระชับไร้ส่วนเกินข้างที่ยกขึ้นมาบนเตียง สัมผัสของเนื้อถุงน่องทำเอาความนึกคิดเตลิดไปไกล  “ปรอทวัดไข้นี่มันต้องเอาติดตัวมาแต่แรกรึเปล่า เป็นพยาบาลแต่ขี้ลืมนี่ใช้ไม่ได้เลยนะ”

“ค...คือ.. ปรอทน่ะ…” ลาซารัสคลานขึ้นมานั่งคุกเข่าคร่อมร่างคาเล็มแล้วเลื่อนมือลงไปปลดกระดุมเสื้อช่วงล่างออกไปสองสามเม็ด ก่อนเปิดชายเสื้อที่ยาวปิดต้นขาเป็นกระโปรงขึ้น ให้เห็นส่วนกลางที่เริ่มแข็งขืนของตนเอง “ย...อยู่นี่แล้วครับ”

“....ไอ้เด็กลามก” คาเล็มยันตัวขึ้นแล้วรวบเอวอีกฝ่ายลากลงมานอนแผ่กับเตียงกว้าง และตามไปประกบจูบแนบแน่นอย่างโหยหา สองมือลูบไล้ตั้งแต่ต้นขากระชับไปจนสะโพกแน่นที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ปลายนิ้วซุกซนไต่ขึ้นมาถึงส่วนชายกระโปรงชุดพยาบาลไล่ขึ้นมาจนถึงขอบถุงน่องที่เอว เมื่อจูบแลกลิ้นจนหนำใจก็เลื่อนตัวลงไปหาความเป็นชายที่อัดแน่นในกางเกงของคนใต้ร่าง

“คุณ...หมอ…” ลาซารัสเปล่งเสียงครางสั่นเครือเบาๆทุกครั้งที่โดนจมูกได้รูปกดลงไปหยอกล้อกับแก่นกลางของตนอย่างห้ามไม่อยู่

“ได้ยินเสียงนายโดยไม่ผ่านมือถือนี่ดีจริงๆ” คาเล็มเม้มปากและกัดเอาถุงน่องบางตรงช่วงกลางตัวเสียขาดวิ่นอย่างใจร้อน “วิวดีนะตรงนี้”

“งือ...เพิ่งจะซื้อมาเองนะครับ” โอเมก้าหนุ่มในชุดพยาบาลแอบประท้วง ถึงจะไม่ใช่ของราคาแพงแต่เพิ่งจะเริ่มก็โดนคุณหมอฉีกเล่นซะแล้ว

“ไว้ซื้อให้ใหม่น่า เอาแบบที่มีลูกไม้ด้วย” เสียงทุ้มต่ำเริ่มหายใจแรงแต่ยังคงอดทนและกดปลายนิ้วเล่นหยอกล้อกับแกนกลางที่เริ่มมีหยาดน้ำสีใสของนางพยาบาลปริ่มออกมา

“อึ่ก...คุณหมอ...ชอบแบบนี้เองเหรอครับ” ร่างโปร่งบิดเร้าเล็กน้อย ตอนนี้เขารู้สึกหวิวๆ ที่ช่องท้องไปหมด แถมตอนนี้มือของคาเล็มก็กำรูดตัวตนของเขาเชื่องช้าสลับกับเร็วเหมือนกับว่าจงใจจะแกล้งให้ปั่นป่วน

“ชอบเพราะนายเป็นคนใส่ให้ดูต่างหากล่ะ” มือหนาปล่อยแก่นกลางของคนรักออกแล้วใช้ปากครอบครองแทน ร่างโปร่งถูกยกสะโพกขึ้นสูงจนลอยขึ้นจากเตียงนุ่มให้อยู่ในตำแหน่งที่ร่างสูงกว่าก้มลงมาปรนเปรอได้ถนัด

“อะ! เดี๋ยวครับ ฮะ! ช้ากว่านี้หน่อยคุณหมอ” ปลายลิ้นร้อนลากเลียสลับดูดดุนส่วนหัวจรดปลาย หยอกเล่นกับรอยหยักเสียจนลาซารัสเสียวซ่านไปหมดเผลอหนีบขาเข้ามา ก่อนจะถูกมือหนาจับแยกออกกว้าง เกร็งเสียจนแทบจะเป็นตะคริวจนเจ้าของเสียงครางหวานต้องขอร้องให้หยุดทำกามกิจ “ฮ่ะ...อ่ะ ทำไมใจร้อนจังครับ”

“ฉันรอนายมาตั้งปี แล้วนายก็ใส่ชุดโคตรยั่วนี้มาหาฉัน จะให้ฉันใจเย็นลงไหวหรือเด็กน้อย?” คาเล็มผละออกห่างเพียงเล็กน้อยเพื่อปลดกระดุมเสื้อถอดออกทิ้งให้มันตกลงไปข้างเตียง “ยังวัดไข้ไม่เสร็จเลย ปรอทนี่สั่นไปหมดเลยนะ”

คาเล็มก้มลงมาปรนเปรอที่แกนกลางร่างเล็กกว่าอีกครั้งอย่างหิวกระหายกว่าคราแรก โพรงปากอุ่นร้อนแทบจะครอบครองจนมิดทำเอาคนถูกต้อนร้องเสียงหลง มือปัดป่ายหาที่ยึดจิกทึ้งทั้งหมอนและที่นอน ยิ่งครางด้วยความเสียวซ่านเท่าไหร่ ปลายลิ้นชำนาญกลับยิ่งดูดเม้มราวกับจะรีดเร้นสิ่งที่จวนจะระเบิดในร่างกายให้ปะทุดั่งแม็กม่าในปล่องภูเขาไฟออกมา 

“อ๊ะ! อ๊าา!” ร่างโปร่งกระตุกเกร็งฉีดเอาน้ำอุ่นเข้าไปในโพรงปากที่รอรับอยู่จนเต็มล้นทะลักออกมาเลอะมุมปากของคุณหมอ แถมยังกลืนลงไปจนเกือบหมดเหลือแค่ส่วนที่ไหลเยิ้มปริ่มตามท่อนเอ็นเท่านั้น “ข...ขอโทษครับ ผมไปก่อนคุณหมอซะแล้ว”

“ก็ฉันตั้งใจนี่” ปลายนิ้วหัวแม่มือปาดคราบสีขาวขุ่นมุมปากออก “วัดไข้ได้เท่าไหร่ล่ะคุณพยาบาล?”

“ม...ไม่มีไข้ครับ” ใบหน้ามนแดงซ่านแต่ยังคงพูดตามที่คนไข้เล่นสวมบทบาท ดวงตาสีฟ้ามองตามมือของร่างสูงที่ตอนนี้ปลายนิ้วเลื่อนลงไปยังช่องทางร่วมรักของตนที่เริ่มมีน้ำหล่อลื่นเตรียมพร้อมรอแล้ว

“เหรอ...แต่คุณพยาบาลดูท่าทางจะไม่สบายซะเองนะ ทั้งหน้าแดง ทั้งหอบหายใจแรง ตัวก็สั่น สงสัยจะหนาว” เสียงทุ้มวินิจฉัยอาการคนใต้ร่าง มาคราวนี้พยาบาลดูท่าจะกลายเป็นคนไข้เสียเองแล้ว

“คุณหมอ…” ลาซารัสเผลอกลืนน้ำลายเมื่อมืออีกข้างของคาเล็มเริ่มปลดเข็มขัดและรูปซิปกางเกงที่คับแน่นลง

“หมอคงต้องฉีดยาให้สักสองสามเข็มแล้วล่ะ”   

ลาซารัสกลืนน้ำลายลงคอ ไม่ได้เจอคาเล็มน้อยมานานสงสัยเขาจะลืมความรู้สึกตอนถูกรุกล้ำไปแล้วแน่ๆ ก็ตอนนั้นเขาเข้าช่วงฮีทจะไปเหลือสติอะไรให้จดจำล่ะ “..ม...ไม่เจ็บใช่มั้ยครับคุณหมอ?”

“ไม่หรอก แค่มดกัดนิดเดียว” คาเล็มดึงตัวคุณพยายาลให้เข้ามาหาและวางสะโพกของลาซารัสไว้บนตักตนก่อนมือจะจับเอาส่วนแข็งขืนจ่อไว้ที่ช่องทางด้านหลังที่ชุ่มน้ำหล่อลื่นไปหมด เมื่อกดส่วนหัวให้เข้าไปได้เล็กน้อยแล้วเขาก็จับขาเรียวทั้งสองแยกออกให้เหมาะทั้งท่วงท่าและถนัดมือ ก่อนจะสอดใส่เข้ามาจนมิดด้ามในคราเดียว

“อ๊ะะ!! อ๊า…!” ร่างโปร่งกรีดร้องลั่นอย่างเจ็บปวดระคนสุขสมเต็มอก ทั้งเจ็บที่โดนล่วงล้ำเข้ามาโดยไม่บอกกล่าวก่อนและยังโหยหาสัมผัสจากคนรักจนความรู้สึกมันปนเปกันไปหมด “ฮ่ะ..อา… คุณหมอโกหกอ่ะ”

“มันเป็นแค่คำปลอบเฉยๆ เด็กประถมยังรู้เลย” คาเล็มขยับสะโพกออกมาแล้วกระแทกสวนเข้าไปแบบเดิมซ้ำๆอยู่อีกหลายครั้งกว่าช่องทางนั้นจะเริ่มขยับขยายรับได้พอดีกับตัวเขา “อา...ของนายนี่แน่นดีจริงๆ..”

“คุณหมอ หลุดแล้ว..” ร่างที่ถูกบังคับขยับอย่างเอาแต่ใจเอ่ย เขาไม่ได้หมายถึงลำท่อนที่หลุดหรอก แต่เป็นสติของคุณหมออัลฟ่านี่แหละที่เตลิดหลุดไปไกลแล้ว

“ก็นายน่ารัก” คาเล็มเลียริมฝีปากตัวเองและปลดกระดุมเสื้อของนางพยาบาลออกจนหมด สายตาไล่เชยชมร่างกายที่ฟิตมาอย่างดี แม้พูดไม่ได้เต็มปากว่าเนื้อแน่นมีมัดกล้ามอย่างอัลฟ่า แต่สำหรับโอเมก้าแล้ว นี่นับว่าเป็นร่างกายที่สมส่วนยอดเยี่ยมอย่างหาดูได้ยากไปเลย

“อ่ะ..อื้อ…!” ลาซารัสกัดฟันแน่นเมื่อจู่ๆคาเล็มก็ก้มลงมากัดเข้าที่คอเขา...ฝั่งที่เป็นรอยกัดของริชาร์ดเมื่อปีก่อน คาเล็มกัดย้ำลงไปใหม่ซึ่งมันต้องกัดแรงกว่าเดิมเพื่อตีตราทับ ระหว่างนั้นคุณหมอยังทำการขยับท่อนล่างฉีดยาต่อเพื่อดึงความสนใจไม่ให้คนรักเจ็บปวดมากอีกด้วย

“เท่านี้ก็เรียบร้อย” พูดจบคาเล็มก็ผละจากต้นคอแล้วลากลิ้นยาวลงมาจนถึงแผ่นอกที่กำลังกระเพื่อมไหวอย่างแรงจากการหอบหายใจ ทั้งดูดเม้มและกัดทิ้งรอยจูบสีเข้มกับรอยฟันไว้ทั่ว ยังดีว่าที่อื่นนอกจากคอก็ไม่มีรอยไหนที่ออกมาข้างนอกร่มผ้า

“คุณหมอครับ ช่วยฉีดยาเข้ามาที” วงแขนโอบรอบคอให้ใบหน้าของทั้งคู่ขยับเข้ามาใกล้ชิดกัน กลิ่นฟีโรโมนที่ต่างคนต่างได้กลิ่น กระตุ้นความกระสันอยากจากเดิมเป็นเท่าทวี อีกทั้งยังความรู้สึกโหยหาที่ต่างก็ไม่ได้สัมผัสตัวตนของกันและกันมานาน ในเวลานี้ไม่มีอะไรที่จะมาหยุดความคลั่งไคล้ที่ต่างคนต่างมีให้กันไม่เคยเสื่อมคลาย

“เด็กดี เจ็บนิดหน่อยนะ” คาเล็มปลอบโยนเสียงอ่อน เขาอยากถนอมร่างนี้ไว้แนบกาย แต่ตัวเขาก็ต้องการอีกฝ่ายจนแทบไม่ไหว อยากจะครอบครองมาตลอดตั้งแต่สูญเสียไป อยากสัมผัสทั้งใบหน้า แก้ม จมูก ริมฝีปาก ทุกส่วนของร่างนี้...ต้องการไปหมดแทบทุกอย่าง

เสียงหอบหายใจสองเสียงแทบจะดังประสานกันสลับกับเสียงครางหวานกระเส่าด้วยแรงอารมณ์ที่โหมกระหน่ำ

กว่าหนึ่งปีที่ได้เห็นและพูดคุยกันผ่านเพียงหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ เพียงอย่างเดียว กว่าสิบสองเดือนของการรอคอยที่ไม่รู้ว่าจะมีใครลืมความรู้สึกที่เคยให้สัญญาต่อกันเอาไว้ กว่าสามร้อยหกสิบห้าวันที่เฝ้าฝันถึงวันที่จะได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งเป็นครอบครัว มิใช่เพียงผู้อยู่อาศัยกับเจ้าชีวิต

ต่างคนต่างต้องการ...และทั้งหมดนั้นได้ถูกเติมเต็มในตอนนี้ ณ ค่ำคืนนี้

“ผมรักคุณหมอนะครับ…”

“ฉันก็รักใครไม่ได้อีกแล้วนอกจากนาย…”

คาเล็มโน้มลงไปจูบและสวมกอดร่างด้านใต้ไว้แนบแน่นก่อนขยับสะโพกกระแทกเข้าไปจนมิดและปลดปล่อยความต้องการของตัวเองเข้าไปในตัวอีกฝ่าย แต่ยังมีสติพอที่จะไม่เผลอดันเข้าไปข้างในจนสุด ไม่งั้นเกมรักคงได้จบลงตั้งแต่ตรงนี้

“เข็มที่หนึ่งนะครับ หันหลังมารับอีกเข็มนะเด็กดี” พูดจบคาเล็มก็ถอนความเป็นชายของตนที่ยังแข็งขันสู้งานอยู่ออกมา ลาซารัสยันตัวขึ้นนั่งและถอดชุดพยาบาลแสนเกะกะนั้นทิ้งไป แม้จะหวั่นแอบใจบ้างเพราะท่านี้เขามักจะจุกเพราะส่วนนั้นมันจะเข้าไปลึกมากจนแทบทนเจ็บไม่ไหวทุกที… แต่คราวนี้เขากลับมีความรู้สึกอยากลองขึ้นมาอีกครั้งเสียดื้อๆ

“เข็มนี้เจ็บแหงเลย..” ลาซารัสบ่นอุบแต่ก็นอนคว่ำลงกับเตียง ปล่อยคาเล็มจัดแจงยกสะโพกของเขาขึ้นให้อยู่ในท่าคุกเข่าเพื่อให้สอดใส่ได้ถนัด

“เป็นคุณพยาบาลที่รู้ดีจริงๆ” คุณหมอกดแทรกท่อนเอ็นร้อนของตนเข้าไปในช่องทางนุ่มที่มีน้ำรักสีขุ่นเปรอะอยู่ทั่ว และนั่นก็ช่วยทำตัวเป็นสารหล่อลื่นด้วยอีกแรง ทำให้รอบที่สองนี้เขาเข้าไปได้ง่ายกว่ามาก

“อึ่ก! อ๊า!! อ๊ะ.. คุณหมอ ช้ากว่านี้หน่อย!” โอเมก้าหนุ่มร้องระงมเพราะคาเล็มเล่นโถมตัวใส่อย่างรวดเร็วตั้งแต่เริ่ม ทำให้ร่างโปร่งปรับตัวไม่ทันที่โดนรุกล้ำเข้ามาด้วยท่วงท่านี้

“ขอโทษที..” ถึงจะเอ่ยขอโทษออกไปแต่การกระทำนั้นตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง ยิ่งสอดใส่รุนแรงเท่าไหร่เสียงครางกระเส่าของลาซารัสยิ่งหวานรัญจวนใจยิ่งนัก แผ่นหลังชื้นเหงื่อเริ่มเต็มไปด้วยรอยจูบสีเข้มของคาเล็ม ริมฝีปากกัดและดูดเม้มทิ้งร่องรอยเอาไว้มากขึ้นเรื่อยๆ จนมาหยุดที่หลังคอของลาซารัส

“ฮ่ะ..อ๊า คุณหมอ...ผมจะ..” ช่องทางร่วมรักเริ่มบีบตัวแน่น สะโพกของลาซารัสที่คอยขยับหนีความเจ็บปวดเมื่อครู่เริ่มตอบรับพร้อมกับขยับรับจังหวะที่เร็วและแรงขึ้น ยิ่งจุดกระสันด้านในโดนเสียดสีหนักข้อเข้า อะไรๆที่ยังคั่งค้างก็เตรียมปะทุออกมาอย่างไม่อาจควบคุม

“อย่างนั้นแหละ เด็กดี…” มือข้างหนึ่งเท้าแขนอยู่ข้างศีรษะของคนข้างล่าง ส่วนอีกข้างเอื้อมลงไปหาส่วนอ่อนไหวของอีกฝ่ายและช่วยปรนเปรอด้วยอีกต่อ เพื่อเร่งเร้าให้อีกฝ่ายถึงที่หมายเร็วขึ้น

“อ๊าา! ฮ่ะ..! อ๊ะ..?” ร่างโปร่งกระตุกเกร็งก่อนจะปลดปล่อยความต้องการทั้งหมดออกมาจนเปรอะเลอะผ้าปูที่นอน ช่องทางด้านหลังตอดรัดท่อนเอ็นขนาดใหญ่ร้อนระอุที่ยังคงกดตัวแทรกอยู่ราวกับกำลังเรียกร้องให้รุกล้ำข้างในตัวเขาอีก แต่รอบนี้คาเล็มไม่ได้เสร็จด้วย และเมื่อสติรับรู้เริ่มกลับมา เขาจึงได้ถึงรู้สึกถึงแรงกัดที่หลังคอของตัวเอง “คุณหมอ...กัดทำรอยเพิ่มอีกแล้วเหรอครับ?”

“ใช่...ครั้งหน้าถ้ามีใครมาทำอะไรอีกจะได้รู้ว่านายมีเจ้าของแล้ว” ฟันคมแกล้งงับลงบนแก้มคนรักอย่างหมั่นเขี้ยว

“นี่คุณหมอยังกลัวว่าจะมีใครมาทำอะไรผมอีกเหรอครับ?”

“ก็...ไม่รู้สินะ ขนาดริชาร์ดที่ฉันเคยคิดว่าการ์ดป้องกันแข็งยังเผลอตัวได้ กับอัลฟ่าคนอื่นฉันยิ่งไม่ไว้ใจใหญ่เลย” ร่างสูงทิ้งน้ำหนักตัวลงทาบทับจนลาซารัสเผลอร้องเป็นกบโดนรถทับ “ถ้าไม่ใช่หมอนั่นล่ะก็ฉันฆ่าทิ้งไปนานแล้ว”

“ขืนทำแบบนั้นพวกคุณเจสสิก้าตามเอาคืนคุณหมอแหงๆ เลยครับ” พอคิดภาพกองทัพสาวเมดในคฤหาสน์เบอร์ตั้นยามพร้อมรบนั้นน่ากลัวขนาดไหน เขาก็นึกภาพคาเล็มหนีรอดจากพวกเธอไม่ออกเลย…

“งั้น...หนีตามกันเลยได้มั้ย”

“เอาจริงเหรอครับ! ผมไปเก็บของตอนนี้ทันมั้ย?” จมูกได้รูปของโอเมก้าหนุ่มโดนบีบเบาๆ เพราะคุณหมอแค่แกล้งพูดไปอย่างนั้น แต่ลาซารัสกลับรับมุขเป็นจริงเป็นจังจนน่าอ่อนใจ

“ยัง...แต่อีกไม่นานหรอก พอเรื่องจบแล้วฉันกะว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น ช่วยอดทนรออีกนิดนะ” นิ้วที่บีบจมูกเปลี่ยนไปลูบผมสีน้ำตาลที่ยาวขึ้นเล็กน้อย แต่ผมก็ยังกระดกเป็นเป็ดน้อยเหมือนเดิม

“...ครับ ผมรอได้” ดวงตาสีฟ้ายิ้มปริ่มด้วยความสุขจนกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นไว้ไม่อยู่ คาเล็มก้มลงมาจูบซับน้ำตา ก่อนจะเลื่อนลงมากดจมูกที่ซอกคอคนรักอีกครั้ง “...คุณหมอ?”

“ยังฉีดยาไม่ครบเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ ใบหน้าที่กำลังซึ้งจนถึงเมื่อกี้เลยกลับมาแดงเห่อร้อนอีกครั้ง

“คุณหมอออ ช่วยเบาๆมือหน่อยสิครับ! อ๊าา!”
   
 
 

TBC.





*****************************************************************************************

หายไปนาน ยังมีชีวิตอยู่ค่ะ แอร๊... O]=[

ขอโทษที่ทำให้คอยนานนะคะ จะพยายามเคลียร์ตารางชีวิตให้ดีกว่านี้แล้วหาเวลามาปั่นต่อค่ะ Y_Y
   
 

ออฟไลน์ YADA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้วววววว ยาเข็มหย่ายยยยยยยย  :z13:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ joyly

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คุณหมออออ :katai1:

ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ ตอนนี้เพิ่งอ่านจบไป 4 ตอน

ตัวละครแต่ละตัวมีลักษณะนิสัยที่น่าสนใจมากค่ะ
ส่วนเนื้อเรื่องเองก็ปูประเด็นได้ดีเช่นกัน

ส่วนตัวคิดว่าเป็นนิยายที่ดี ไม่ซ้ำกับเรื่องอื่น น่าอ่าน น่าติดตาม นับถือคนเขียนเลยค่ะ

แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีบางจุดที่เห็นว่าควรปรับอยู่เช่นกัน
ในฐานะคนที่ยังอ่านไม่ครบทุกตอน เราจึงขอแสดงความคิดเห็นเฉพาะเนื้อหาช่วงตอนแรกก่อนนะคะ (พอตามอ่านจนครบแล้วจะกดเม้นอีกรอบนึง)

1. การใช้คำพูดของพระเอก ถ้าคิดตามว่าเป็นชายวัย45 ทั้งยังเป็นด็อกเตอร์ด้วยแล้ว เรามีความรู้สึกว่าลักษณะและคำพูดคำจาน่าจะมีความเป็นผู้ใหญ่ สุขุม เยือกเย็นกว่านี้ค่ะ โดยเฉพาะถ้าอิงตามที่โปรยเหตุการณ์หนักหนาสาหัสต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตเอาไว้ตอนต้นเรื่องแล้วด้วย คิดว่าตัวตนของพระเอกน่าจะเรียบนิ่งหรือเย็นชากว่านี้

2. อาการฮีทของโอเมก้า ตามหลักแล้วจะมีช่วงเวลาของการฮีทอยู่ค่ะ และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการฮีทขึ้นกระทันหันก็จริง แต่นั่นคือกรณีของการถูกกระตุ้นด้วยสภาพแวดล้อม ผลข้างเคืองจากการใช้ยา หรือการได้กลิ่นของอัลฟ่าที่เป็นFated pair ความเขินอายและอารมณ์ทางเพศไม่ได้นำไปสู่อาการฮีทนะคะ นึกภาพไม่ออกเลยค่ะว่าต้องมีความรู้สึก 'อยาก' ขนาดไหนกันนะถึงจะกระตุ้นให้ฮีทได้(...) เราไม่ได้จะบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้แต่มันมีเปอร์เซ็นต่ำมาก ใช่ว่าจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ เลยอยากให้คนเขียนแยกอาการฮีทกับการมีอารมณ์ออกจากกัน

3. ฟีรีโมนของโอเมก้าเวลาเข้าสู่ฮีทจะรุนแรงมากและยังสามารถแผ่รัศมีฟุ้งกระจายได้กว้างมากเลยทีเดียว ดังนั้นการอยู่แยกห้องจึงเป็นเพียงทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าถึงตัวกันและกันยากขึ้นเท่านั้น ไม่ได้ทำให้หลีกเลี่ยงการรับรู้กลิ่นได้นะคะ

นี่เป็นความขัดข้องใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรารู้สึกได้ในตอนนี้ค่ะ
ทั้งหมดทั้งมวลเป็นการแสดงความคิดเห็นในฐานะคนอ่าน แต่ไม่ได้แปรว่าเราตั้งใจจะบังคับให้เปลี่ยนแปลงอะไรตามเรานะคะ
ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ ค่ะ
เราจะพยายามตามอ่านให้ทันนะคะ

ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
: ตอบคุณ ZYSQ_

ขอบคุณเรื่องบทพูดของคุณหมอนะคะ อาจจะปรับแก้หลังจากนี้ไม่ก็ตอนรีไรท์ แต่อาจจะไม่มากเพราะกลัวบุคลิกจะเปลี่ยนจากตอนแรกมากไป

แต่เรื่องอาการฮีทของโอเมก้างี้ ทางเราเข้าใจแบบนี้เองตั้งแต่ต้น แถมหลายเรื่องก็นิยาม+อาการรุนแรงไม่เหมือนกัน เลยเอาเท่าที่เข้าใจค่ะ ถ้าหากเปลี่ยนตอนนี้เกรงว่าจะขัดกับช่วงแรกเกินไป แต่ถ้าในภายภาคหน้าถ้าได้มีการเขียนเกี่ยวกับโอเมก้าเวิร์สอีกจะเอาไปปรับปรุงนะคะ

ออฟไลน์ whistle

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 766
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-4
แทบจะรอตอนต่อไปไม่ไหวแล้วอ่ะ

ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
บทที่ 16



สถานการณ์ฝั่งบ้านของคุณหมอคาเล็มในเวลาต่อมา

“แม่ครับ เช้านี้มีอะไรกิน...แก! เสนอหน้ามาอีกแล้วเหรอ!?” คาร์เมนตะโกนโหวกเหวกลั่นบ้านทันทีที่ตื่นขึ้นมาก็เจอหน้าคนที่ชวนให้ความดันขึ้นแต่เช้า

“คาร์เมน อย่าเสียมารยาทกับแขกสิลูก” คาร่าดุลูกชายคนเล็กก่อนจะหันมาค้อมหัวเบาๆ ให้แขกร่วมโต๊ะ ซึ่งทางคนที่นั่งอีกฝั่งของโต๊ะอาหารเองก็ไม่ได้ถือสา แถมยังยิ้มน้อยๆทักทายคนเพิ่งตื่นอย่างเป็นมิตรเสียจนคาร์เมนขนลุกไปหมด

“ไม่เป็นไรครับมาดาม” เออร์แฟนส่งยิ้มชวนละลายมาให้ จนคุณแม่แทบจะหลงเสน่ห์อัยการหนุ่มเสียเอง

แม่อย่าไปหลงกลมันสิครับ! ไม่เห็นหางที่มันซ่อนไว้ข้างหลังเหรอ!?

“พี่ยังไม่กลับ” คาร์เมนตอบด้วยโทนเสียงอ่อนสุดจะอดกลั้นเพื่อไม่ให้แม่เขาต้องเอ่ยปากดุอีก โอเมก้าร่างเล็กขยับตัวเดินชิดติดผนังไปทางครัวเพื่อหาอะไรกินและพยายามไม่สบตากับอีกฝ่าย นี่ก็ชอบโผล่มาหาไม่บอกกล่าวก่อน ถ้าไม่ได้กินยาระงับดักไว้ทุกวันล่ะก็มีหวังเกิดเรื่องแน่!

“ผมไม่ได้มาหาคุณคาเล็มครับ ผมก็ทราบว่าเขายังไม่กลับมา แต่ผมมาเยี่ยมคุณแม่น่ะ เห็นลูกชายคนโตไม่อยู่เกรงว่าจะมีอะไรขาดตกบกพร่อง” ว่าแล้วก็ตักอาหารส่งให้หญิงชราด้วยท่วงท่าสง่างามกับถ้อยคำแสนสุภาพ ทำแต้มชนะใจคุณแม่เข้าไปทุกที “แล้วก็มาดูด้วยว่าคุณลำบากอะไรหรือเปล่า”

“ไม่ - ลำ - บาก -อะ - ไร -  เลย” สุดท้ายก็ชงเพียงกาแฟแก้วเดียวเพราะไม่อยากจะอยู่ในครัวนานไปกว่านี้แล้ว

“คาร์เมน มากินข้าวกับแม่สิ” ประกาศิตของมารดาบังเกิดเกล้าทำเอากาแฟที่ยังไม่โดนดื่มแม้แต่หยดเดียวต้องร่ำไห้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากกินข้าวนะ แต่พอเห็นไอ้คนที่นั่งหัวโด่ปล่อยออร่าเจ้าชายจอมปลอมน่าหมั่นไส้คนนั้นแล้วมันกินอะไรไม่ลง!

“ผมยังไม่ค่อยหิวครับ” คนดื้อแพ่งตอบปฏิเสธเสียงอ่อน ก่อนยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม แต่ยังไม่ทันจะได้ลิ้มรสความขมกลมกล่อม  เพียงแค่ได้กลิ่นแตะจมูก คาร์เมนก็แทบจะเทกาแฟที่เพิ่งชงใหม่ๆมาทิ้งไป

ทำไมกลิ่นกาแฟวันนี้มันพิลึกแบบนี้วะ? จะว่าคุณเรนเดลปล่อยให้ของหมดอายุก็ไม่น่าจะใช่…

“เหม็น…” คาร์เมนเอามือปัดกลิ่นไปมาพลางมองหาว่าต้นตอของกลิ่นมาจากไหน “คุณเรนเดลลืมทิ้งขยะเหรอ?”

“คาร์เมน กินข้าว…” น้ำเสียงของคาร่าเปลี่ยนไป เท่านั้นแหละคุณลูกชายถึงได้รีบย้ายก้นมานั่งลงข้างๆแม่ เพราะรู้ว่าแม่เริ่มหงุดหงิดแล้ว พอเออร์แฟนเห็นท่าทางเกรงใจมารดาของโซลเมทตัวเองก็พยายามกลั้นขำเต็มที่ ก่อนจะเผลอหลุดร้องเสียงหลงเพราะโดนเตะหน้าแข้ง คาร์เมนยิ้มเยาะได้แค่ครู่เดียวก็โดนแม่หยิกใบหูจนนิ่วหน้า

“เจ็บๆๆ! หูจะหลุดแล้วแม่ครับ!”

“เจ็บแล้วก็จำด้วยว่าอย่าเกเร ชอบแกล้งคนอื่นจริงๆเลยลูกคนนี้” คาร่าปล่อยมือเมื่อเห็นว่าลูกชายตัวดีร้องครางหงิง เธอตักอาหารใส่จานให้คาร์เมน แต่ลูกชายกลับเบือนหน้าออกจากจานเสียอย่างนั้น “เป็นอะไรน่ะลูก นี่ของโปรดของลูกไม่ใช่เหรอ?”

“มัน...กลิ่นแปลกๆ แม่ไม่ได้กลิ่นเลยเหรอครับ?” เขาเลื่อนจานออกห่างจากตัว

“ไม่สบายรึเปล่าลูก” เธอยกมือขึ้นแตะหน้าผากแต่ก็ไม่เห็นรู้สึกว่าลูกชายจะมีไข้ 

“ก็คิดว่าไม่ครับ” ทีแรกก็ว่าปกติดีอยู่หรอก แต่ทำไมจู่ๆก็รู้สึกเหมือนโลกหมุนขึ้นมายังไงก็ไม่รู้…



“หือ? ไม่สบายเหรอ?” คาเล็มขยี้ตาช้าๆ มือควานหาแว่นที่วางทิ้งไว้บนหัวเตียงมาสวมก่อนจะลุกขึ้นนั่งเรียกสติตัวเอง “ไปทำอะไรมารึเปล่า?”

“ไม่รู้สิ เมื่อคืนก็ปกติดี แถมตอนลงมาจากห้องยังปากดีใส่คุณเออร์แฟนได้ปกติสุดๆเลยด้วย แต่จู่ๆก็เวียนหัวแล้วอาเจียนไม่หยุดเลย” คาร่าพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงลูกชายคนเล็กของตน แม้จะแอบจิกไปเล็กน้อย แต่คาเล็มก็รู้ว่าแม่นั้นเป็นห่วงลูกมากแค่ไหน “ดีที่คุณเออร์แฟนมาหาแต่เช้า เลยพามาส่งที่โรงพยาบาลก่อน”

“อา..” จะถามว่าเพราะเหม็นหน้าอัยการหนุ่มคนนั้นจนป่วยหรือเปล่าก็คงไม่เหมาะสินะ “งั้นเดี๋ยวผมไปหานะครับ”
เมื่อวางสาย คาเล็มกำลังจะหันไปปลุกคนข้างตัว ก็พบแต่ความว่างเปล่า.. เมื่อครู่รับสายโทรศัพท์ก็ไม่ได้สำรวจรอบๆก่อนเสียด้วย แต่เขาก็ได้คำตอบว่าลาซารัสหายไปไหนก็เมื่อประตูห้องน้ำเปิดออกนั่นเอง “อ้าว.. ผมทำเสียงดังไปรึเปล่า?”

“ไม่ๆ พอดีแม่ฉันโทรมา เหมือนคาร์เมนจะไม่สบายน่ะ” คุณหมอตอบรวบรัดและลุกขึ้นไปควานเอาเสื้อผ้าที่ติดตัวมาเปลี่ยนจากในกระเป๋า “เดี๋ยวคงต้องตามไปที่โรงพยาบาล ..ขอโทษนะ พอดีกะทันหันไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรครับ ไปดูคุณคาร์เมนเถอะ” ลาซารัสเดินมากอดอีกฝ่ายแล้วหอมแก้มคล้ายจะให้กำลังใจ “ผมเองก็กะว่าจะออกไปเรียนทำขนมกับคุณโคลวิสด้วย”

“โคลวิส? ...โอเมก้าร้านกาแฟที่นายเล่าให้ฟังบ่อยๆ?”

“ใช่ครับ”

“งั้นจะรอกินนะ” คาเล็มยิ้มตอบและเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว

ลาซารัสเดินออกจากห้องไป เขาจัดแจงบอกกับเจสสิก้าว่าคาเล็มอาจจะไม่ได้อยู่ทานข้าวเช้าเพราะรีบกลับ ให้จัดรถไปส่งให้แทน ส่วนตัวเขาเองนั้นก็เดินไปห้องอาหารตามเวลาเดิมที่เคยทำมาตลอด ถึงจะยังปวดทั้งเอวทั้งสะโพกเพราะคุณหมอจัดเสียหนักก็ตาม..

“อ้าว.. นึกว่าจะแฮงค์อยู่ซะอีก”

“ทักอะไรไม่เป็นมงคลเล้ย” ริชาร์ดที่ควรจะนอนหมดสภาพบนเตียงจากการดื่มมากเกินไปนั้น กลับนั่งเท้าคางมองหนังสือพิมพ์ในมือด้วยท่าทางที่… ควรไปนอนต่ออย่างที่สุดอยู่..

“คุณหมอจะรีบไปหาคุณคาร์เมนนะครับ คงไม่ได้มาทานข้าวเช้าด้วย”

“หือ? เป็นอะไรน่ะ?”

“ไม่สบายจนเข้าโรงพยาบาล ..ถ้าไม่เป็นไรมากก็คงดี”

“เอ๋!?” ริชาร์ดเองก็ดูตกใจไม่น้อยกับข่าวที่ได้ยิน ร่างสูงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่วางสงบนิ่งข้างตัวขึ้นมา

“ถ้าจะเลื่อนนัดประชุมก็หยุดเลยครับ”

“นี่ไม่ได้สำคัญมากซะหน่อย” ริชาร์ดมุ่ยหน้าเมื่อโดนอ่านใจได้

“แต่อาทิตย์ก่อนคุณเองก็เลื่อนประชุมไปรอบนึงแล้ว เป็นถึงซีอีโออย่าทำแบบนี้บ่อยสิครับ เดี๋ยวลูกน้องก็เอาอย่างหรอก” ลาซารัสยกแขนขึ้นกอดอกแล้วมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดุ ทำเอาอัลฟ่าที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะหงอไปเล็กน้อย “ถ้าเป็นห่วง ประชุมเสร็จค่อยไปเยี่ยมก็ได้ครับ คุณหมอคงเข้าใจ”

“กลายเป็นคุณแม่ไปแล้วจริงๆด้วย” ริชาร์ดเอนตัวหลบหมัดที่ลอยมาอย่างเชื่องช้าพลางดื่มกาแฟดำแก้เมาค้าง ก่อนหน้านี้ใช่ว่าจะไม่เคยโดนริชาร์ดแซวเรื่องการทำตัวเป็นคุณแม่คอยดูแลเขาและความเรียบร้อยในบ้าน สงสัยจะปล่อยไว้กับพวกสาวใช้มากไป ตอนนี้แทบจะกลายเป็นเจสสิก้าคนที่สองแล้ว

“และกันคุณเบี้ยว เดี๋ยวผมขับไปส่งที่ตึกเอง”

“โหย นี่ไม่ต้องระแวงขนาดนั้นหรอกครับพ่อคุณ ขับพาคุณหมอไปส่งที่โรงพยาบาลไม่ดีกว่าเหรอ?”

“ผมให้คนไปส่งแทนแล้ว อีกอย่างผมมีนัดกับคุณโคลวิสด้วย” ลาซารัสกดมีดหั่นไข่แดงอย่างแรงจนไข่เหลวๆมันพุ่งขึ้นมาเหมือนโดนมีดหมอหั่นลงไปในเนื้อคนเป็นนัยว่า ถ้าปฎิเสธเขาอาจจะมีสภาพไม่ต่างกับไข่ในจานนั้นมากนัก

“ค้าบ กลัวแล้วครับ” ริชหน้าซีดลงเล็กน้อย ช่วงเกือบปีที่ผ่านมาลาซารัสเรียนทั้งยิงปืนจนสามารถขอใบอนุญาตพกอาวุธมาได้เมื่อไม่นานมานี้ ไหนจะไปร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้เพื่อเอามาป้องกันตัวอย่าง MMA จนคล่องแคล่วซะอีก แม้ขนาดตัวจะต่างกัน แต่ริชาร์ดก็มั่นใจว่าเขาคงโดนอีกฝ่ายจับหักแขนได้ไม่ยากนักในตอนนี้.. แถมกล้ามเนื้อที่เริ่มแน่นมากขึ้นจากการออกกำลังต่อเนื่อง แม้จะไม่มาก แต่ก็มั่นใจได้ว่าคงไม่โดนใครฉุดเอาง่ายๆเหมือนเมื่อก่อนอย่างแน่นอน

“ให้เวลาสี่สิบนาที แล้วผมจะไปรอที่รถนะครับ”

“ห๊ะ!? นายไม่ให้เวลาหายแฮงค์ก่อนเลยเหรอ!?”

“หายแล้วนี่ครับ” ลาซารัสยิ้มกวนส่งให้ “ไปสายไม่ดีต่อภาพลักษณ์บริษัทนะ”

“ครับ…” สุดท้ายริชาร์ดก็ทำได้แค่ตอบรับเงียบๆ และรีบยัดอาหารเช้าแสนอร่อยตรงหน้าลงไปให้เร็วที่สุดเท่านั้น…



เมื่อลาซารัสขับรถมาจอดส่งเจ้าของบริษัทเข้าตึกไปแล้วเขาก็นำรถไปจอดและเดินขึ้นตึกสำนักงานไปยังร้านกาแฟที่นัดหมายกันไว้ หลายครั้งที่เขาว่างจากการเรียนอะไรต่อมิอะไรที่ต้องการ เขาก็มานั่งเล่นกับโคลวิส ไม่ก็ขอให้สอนทำขนมให้ ซึ่งเทียบกับอย่างอื่นๆแล้ว มันดันเป็นสิ่งที่ยากแสนยากสำหรับเขาเหลือเกิน…

“มาเช้าจัง” โคลวิสผงะเล็กน้อยเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอกับคนที่นัดไว้

“เดี๋ยวผมนั่งรอตรงโน้นนะ”

“ชามิ้นท์?”

“ครับผม” ลาซารัสพยักหน้าแล้วรีบเดินไปที่มุมในสุดของร้าน ช่วงเช้าที่ผู้คนจะแห่มาซื้อกาแฟไปช่วยเปิดผนึกดวงตาที่แสนอ่อนล้ากันนั้นทำเอาหลังเคาท์เตอร์วุ่นวายไม่น้อย พนักงานก็มีแค่สองคนนี่นา.. ความจริงเขาก็อยากจะมาทำงานด้วยอยู่หรอก แต่แค่ชงกาแฟให้กินได้ยังทำแทบไม่ได้ เดี๋ยวทำชื่อเสียงของร้านป่นปี้ซะเปล่าๆ…

“ขอกาแฟดำกับมอคค่า แล้วก็แซนวิชไข่เบคอนด้วยค่ะ”

“โอ๊ะ? นั่นคุณเลขานี่นา” ลาซารัสสังเกตเห็นเลขาสุดสวยของริชาร์ดที่เข้าคิวมาสั่งกาแฟไปให้เจ้านาย ส่วนเมนูหลังคงเป็นมื้อเช้าของตัวเอง ปกติมักจะมีออร่าหว่านเสน่ห์ตลอดเวลา แต่สงสัยตอนนี้คงจะงานล้นมือจนไม่มีเวลามาคิดเรื่องนั้นกระมัง เลยทำเอาใบหน้าสวยเผยตัวตนจริงๆ โผล่ออกมาซะแล้ว…

แต่ก็.. อยากให้มาซื้อกาแฟด้วยตัวเองชะมัด คุณโคลวิสคงดีใจไม่น้อยเลย

“โทษทีนะลาซัส แต่ช่วยเอาขนมกับกาแฟนี่ใส่ถุงให้ลูกค้าหน่อยได้มั้ย?” เมื่องานในร้านล้นมือเกินกว่าที่คิด บาริสต้าหนุ่มจึงต้องไหว้วานเพื่อนให้ช่วยเป็นพนักงานชั่วคราว

“อื้อ ได้สิ” พอตกปากรับคำ อัลก็ส่งผ้ากันเปื้อนยูนิฟอร์มของร้านให้พนักงานจำเป็นแทบจะในทันที ถึงจะเก้ๆกังๆอยู่บ้างเล็กน้อย แต่สักพักพนักงานมือใหม่ก็เป็นงานเร็ว ตั้งแต่รับออร์เดอร์ เสิร์ฟ ยันคิดเงินด้วยเครื่อง จึงช่วยให้ทั้งโคลวิสและอัลให้ผ่านพ้นวิกฤตซอมบี้กาแฟตอนเช้าไปได้

อัลนั่งชาร์ตแบตด้วยลาเต้มัทฉะสเปเชี่ยลหลังเจอศึกหนักอยู่ใต้เคาท์เตอร์ จนโคลวิสต้องมาไล่ให้ไปนั่งที่อื่นเพราะเกะกะ แม้จะพ้นช่วงเวลาโด๊ปคาเฟอีนเร่งด่วน แต่คนซื้อก็ยังมากันเรื่อยๆมิได้น้อยลง

“วันนี้คนเยอะจังเลยนะครับ”

“ใกล้วันหยุดยาวแล้วก็เลยต้องเร่งปิดจ๊อบกันน่ะสิ บางคนนี่เห็นเดินมาซื้อกาแฟแต่งตัวชุดเดิมกับเมื่อสองวันก่อนเลย สงสัยจะอยู่โยงยังไม่ได้กลับบ้านกัน”

“เห…” ลาซารัสนึกถึงริชาร์ดที่ทำท่าจะไม่เข้าบริษัทเมื่อเช้านี้ อยู่ด้วยกันมาหนึ่งปีเต็ม เขาเห็นรายนั้นทำงานอยู่ที่บ้านแทบจะตลอด ผิดกับสภาพเหล่ามนุษย์เงินเดือนทั่วไปลิบลับจริงๆนั่นล่ะ “ว่าแต่คุณคาร์เมนจะเป็นยังไงบ้างแล้วนะ?”

ร่างโปร่งกดมือถือถามไปยังคุณหมอที่ตอนนี้น่าจะอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว แต่ถึงจะขึ้นว่ามีคนอ่านทว่าก็ไม่มีสัญญาณใดๆตอบกลับมา รู้สึกเป็นห่วงคุณคาร์เมนขึ้นมาซะแล้วสิ

“งั้นวันนี้ลองทำเจ้านี่แล้วกันนะ” โคลวิสยื่นการบ้านของวันนี้ให้ลาซารัส เป็นขนมที่ยากเอาเรื่องเลย

“มาการองเลยเหรอครับ?”

“อันนี้ให้ไปฝึกทำที่บ้าน เพราะเดี๋ยวฉันก็คงต้องปิดร้านช่วงหยุดยาว พอดีมีจ๊อบกับวงในงานเทศกาลดนตรีช่วงกลางคืนน่ะ เลยว่าจะหยุดไปซ้อมช่วงกลางวันกันหน่อย”

“โคลลล! นายจะทิ้งให้ฉันเฉาตายกับช่วงหยุดยาวแบบนี้เหรอ” อัลคุกเข่ากอดขาเพื่อนบาริสต้า ไม่อายสายตาคนในร้านที่จ้องมาด้วยความขบขัน

“งั้นนายก็มาเปิดร้านเอามั้ย? น่าจะมียามหรือช่างซ่อมบำรุงแวะเข้ามาที่ตึกเกือบทุกวันอยู่หรอก”

“นึกได้ว่ามีเกมที่ซื้อมาดองไว้ ช่วงหยุดยาวว่าจะนั่งเคลียร์ให้จบน่ะ” อัลปล่อยขาเพื่อนร่วมอาชีพแล้วนั่งดูดอากาศเพราะครื่องดื่มในแก้วหมดไปตั้งนานแล้ว “ว่าแต่งานดนตรีจัดที่ไหน เมื่อไหร่น่ะ?”

“เข้าเน็ตหาเอง” บาริสต้าหัวสีจงใจตอบกวน “ไม่มีตั๋วเข้าฟรีให้หรอกนะ”

“ไหงงั้นเล่าาา”

“เคลียร์เกมไปสิ” อัลดีดดิ้นเป็นปลิงโดนน้ำร้อน ส่วนลาซารัสก็ได้แต่มองพลางยิ้มอ่อน เพราะกำลังหนักใจกับเจ้ามาการองเพราะวิธีทำไม่ได้ง่ายเท่าไหร่ แถมยังหวานเอามากๆด้วย สงสัยต้องขับรถไปซุปเปอร์ฯซื้อของมาเตรียมไว้เยอะๆซะแล้วสิ



ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
ณ โรงพยาบาล

“คนไข้ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ แค่เป็นกรดไหลย้อนเท่านั้นเอง” คำวินิจฉัยอาการของแพทย์หญิงหลังจากตรวจดูอาการของคาร์เมนที่นอนอยู่ในห้องพักฟื้น ทำเอาแต่ละคนโล่งใจไปตามๆกัน

“โล่งอกไปที นึกว่าจะเป็นอะไรมากซะอีก” คาร่าผู้เป็นแม่ที่กังวลมาตลอดทางถอนหายใจด้วยความโล่งใจ

“แล้ว...คุณคนไหนชื่อคุณเออร์แฟนคะ?” คุณหมอหญิงที่ได้ตรวจดูอาการของคาร์เมนถามหาเจ้าของชื่อ “หมอขอคุยด้วยสักครู่นะคะ”

“ครับ?” ร่างสูงผมยาวอยู่คุยกับคุณหมอต่อ ส่วนคาเล็มกับแม่ขอตัวไปดูอาการของคาร์เมน “มีอะไรเหรอครับ?”

“ที่จริงแล้ว...คนไข้ได้ขอร้องหมอเอาไว้ว่าให้บอกอาการป่วยต่อหน้าญาติๆไปแบบนั้นน่ะค่ะ”

“อ่ะ…” อัยการหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบกลับมาตั้งสติถามต่อ “แล้วที่จริงเขาป่วยเป็นอะไรเหรอครับ?”


เมื่อแม่และพี่ชายของโซลเมทออกมาจากห้องเยี่ยมเพื่อขอตัวลงไปซื้อกระเช้าผลไม้ เออร์แฟนก็ เดินเข้าไปในห้องพักฟื้นต่อทันที เขาเห็นโอเมก้ามากวัยทว่าร่างเล็กกว่าตนนั่งเอนหลังหลับตาอยู่บนเตียง สีหน้าดูเหนื่อยอ่อนเพราะเพิ่งจะเริ่มมีเรี่ยวแรงหลังจากได้น้ำเกลือไปประมาณหนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆเมื่อรู้สึกได้ว่าร่างสูงขยับเก้าอี้เข้ามานั่งจ้องมองเขาที่ข้างเตียง

“...คุณเป็นยังไงบ้าง?” เออร์แฟนถามด้วยความเป็นห่วงอย่างจริงใจ

“ก็ดี…” คาร์เมนเองก็เหมือนจะรับรู้ เพราะเขาไม่ได้พูดห้วนใส่หน้าอีกฝ่ายเหมือนที่เคยทำมาตลอด “ได้ยินที่หมอพูดแล้วใช่ไหม…”

“ครับ...” เรื่องอัยการหนุ่มรู้สึกใจไม่ดีนัก ถึงแม้สภาพร่างกายของคนป่วยตรงหน้าจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะดีพร้อมเหมือนคนที่มีร่างกายปกติ “เธอบอกว่าที่คุณยังอยู่มาได้จนป่านนี้ต้องบอกว่าปาฏิหารย์ คนปกติขาดอวัยวะภายในไปตั้งขนาดนี้คงอยู่ได้ไม่นาน...”

“แต่ก็ดันอยู่รอดมาจน...ป่านนี้ได้ ไม่รู้ว่าพระเจ้ามีเมตตาหรือใจร้ายดีนะ” คาร์เมนเอ่ยอย่างปลดปลงชีวิต เขาเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำมาดื่มแต่ดันสำลักจนเลอะเทอะไปหมด เออร์แฟนรีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับให้ คาร์เมนเห็นลายปักที่ผ้าเนื้อดี ดูแค่นี้ก็พอจะรู้ว่าแล้วว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ผืนเดียวมีราคาแพงแค่ไหน

“เธอบอกแค่นั้นสินะ” คาร์เมนหมายถึงหมอหญิงที่เรียกเออร์แฟนไปคุยด้วยก่อนจะเข้ามา

“ยังมีเรื่องอื่นอีกเหรอ คราวนี้อะไร!? ระ...หรือคุณหมอบอกคุณจะอยู่ได้อีกไม่นาน?”

“ใจเย็นๆ สิไอ้นี่! ยังไม่ตายตอนนี้โว้ย” คาร์เมนมองดูอัลฟ่าโซลเมทที่ร้อนใจผิดนิสัย ดูท่าทางคงต้องบอกตรงๆ มัวแต่อ้อมแอ้มอยู่แบบนี้ไม่ได้ จะได้นัดแนะอะไรๆต่อได้ถูก

“แล้ว...ตกลงว่า?” เออร์แฟนที่ดึงสติกลับมาเข้าที่นั่งลงฟังดีๆอีกครั้ง

“มีเด็กแล้ว…”

“........หา!?” อัยการหนุ่มถึงกับยืนขึ้นร้องลั่นห้องจนคาร์เมนต้องจับปอยผมยาวอีกฝ่ายดึงลงมาให้นั่งที่เดิม

“เบาๆสิโว้ย! เดี๋ยวก็ดังออกไปข้างนอกหรอก” คาร์เมนพยายามลดเสียงเบาเหมือนไม่อยากเอ่ยออกมานัก เพราะกลัวพี่ชายกับแม่จะเปิดประตูเข้ามาได้ยินพอดี “ฉันไม่อยากบอกพวกเค้าตอนนี้ เพราะงั้นนายก็รูดซิปปากไว้ให้ดีๆด้วย”

เออร์แฟนพยักหน้ารับช้าๆ เหมือนระบบคำสั่งเพิ่งเข้าสมอง

“หมอบอกว่าสองเดือนกว่าแล้ว ก็น่าจะเป็นตอนที่ฉันเข้าช่วงฮีทเมื่อสามเดือนที่แล้วนั่นพอดีกับที่...พลาดทำกับนายไป” คาร์เมนยกมือนวดขมับ ในชีวิตต่อให้เข้าช่วงฮีทมากี่ครั้งก็รักษาตัวให้ปลอดภัยไม่มีปล่อยให้ตั้งครรภ์มาได้ตลอดแท้ๆ แต่กลับมาท้องกับโซลเมทเสียได้

“คุณจะไม่ปรึกษาทั้งสองคนนั้นจริงๆเหรอ?” ถึงยังไงนี่ก็หลานของทั้งคู่ แถมเรื่องใหญ่แบบนี้ยังไงเสียอีกไม่กี่เดือนก็ต้องรู้อยู่ดี
“ไม่ต้อง ไม่งั้นฉันจะเรียกนายมาคุยด้วยทำไมกันล่ะ” ชีวิตดีๆของสามคนแม่ลูกกำลังไปด้วยดี จะมาพังเพราะเรื่องนี้เขาไม่ยอมเด็ดขาด

“แล้ว…จะให้ผมช่วยอะไรคุณบ้าง?”

“นายไม่ต้องช่วยหรือรับผิดชอบอะไร ฉันจะยกเด็กให้ทันทีหลังคลอดออกมาอย่างปลอดภัยแล้ว”

“เดี๋ยวนะ...คุณหมายความว่าไง?”

คาร์เมนถอนหายใจหนัก “อย่ามาฉลาดน้อยตอนนี้จะได้มั้ย ฉันพูดเข้าใจยากตรงไหน”

“ไม่ๆๆ คุณอย่ามาตัดสินใจเอาเองแบบนี้ ผมไม่ได้ต้องการโอเมก้ามาเป็นแม่อุ้มบุญแค่คลอดเด็กให้เหมือนที่คนอื่นทำ ผมเคยพูดให้ฟังแล้วว่าผมอยากมีครอบครัวที่…”

“แล้วฉันมีอะไรที่ดีพร้อมเหมือนนายบ้าง ไอ้เด็กเมื่อวานซืน” นิ้วมือข้างที่ไม่มีสายน้ำเกลือคาอยู่ชี้มาที่ตนเอง “ถ้าหากฉลาดเหมือนที่ชอบคุยอวดดีให้ฟังนักหนา ก็เอาเด็กไปแล้วหาคนดีๆให้มาเป็นแม่มันแล้วก็เมียแกซะ ไม่ใช่โอเมก้าแก่กว่าเป็นสิบปีร่างกายไม่สมประกอบแบบนี้ เออ...แต่บางทีอาจจะไม่มีโอกาสได้คลอดออกมาลืมตาดูโลกก็ได้…”

เออร์แฟนไม่คิดจะพูดปลอบด้วยถ้อยคำแสนคุ้นหูเหมือนเช่นที่หลายๆคนชินชา.. ทุกอย่างจะดีขึ้น หรือ สู้ๆนะ.. ตอนนี้ในหัวเขามีแต่หนทางเป็นไปได้ที่จะช่วยโซลเมทของตัวเองให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นแม้สักนิดก็ยังดี ซึ่งอะไรๆในหัวก็แสดงออกทางสีหน้ามาหมดทุกอย่างจนคาร์เมนแทบไม่ต้องเดา

“ฉันบอกให้ตัดใจ ไม่ใช่หาทางออก”

“ถ้ายอมแพ้ง่ายๆก็ไม่ใช่ผมแล้ว” เออร์แฟนยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจจนน่าประเคนหมัดให้สักสองสามชุดเผื่อว่าหน้าคมคายเหมือนรูปปั้นแกะสลักนั้นจะดูเป็นคนมากขึ้น “ผมบอกคุณไปตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อนแล้วนี่”

“...นายมันเป็นไอ้บ้าเหมือนที่พี่พูดไว้เลย..” คาร์เมนส่ายหน้าแล้วหันไปทางอื่น เป็นเพราะว่าไม่อยากจะต่อปากต่อคำอีกฝ่ายไปมากกว่านี้ “ต้องหาข้ออ้างที่จะไม่ให้พวกเค้ารู้ แม่กับพี่ต้องจับไต๋ได้แน่ถ้าฉันยังอยู่ที่บ้านกับพวกเค้า”

“คุณคิดจะทำอะไร?”

“ฉันจะไปอยู่ที่อื่นสักพัก หนีไปคลอดเด็กก่อนแล้วค่อยกลับมาบ้าน” คาร์เมนกำลังนั่งนึกถึงเพื่อนเก่าที่ตนจะสามารถไปขออาศัยอยู่ชั่วคราวได้

“มาอยู่กับผม”

“ว่าไงนะ?”
“คุณไม่ต้องไปแอบคลอดที่ไหนหรอก มาอยู่กับผมนี่แหละ”

“พูดจาไม่รู้เรื่องรึไง ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่ให้พวกพี่เค้ารู้”

“ผมมีวิธีดีๆ แต่ไม่ว่ายังไงคุณก็ต้องย้ายมาอยู่กับผม ถ้าปฏิเสธผมจะบอกเรื่องนี้กับคาเล็ม”

“ไอ้…” คาร์เมนโกรธจนหน้าเขียวหน้าแดง ไม่น่าไปหวังขอความร่วมมือจากอัยการบ้านี่เลยจริงๆ “...อย่าบอกนะว่าไอ้วิธีการดีๆที่ว่าคือแต่งเข้าบ้านนายน่ะ!?”

“...ก็มีส่วนตรงสเป็คผมอยู่นะ” เออร์แฟนยิ้มกว้างให้อย่างพึงพอใจแทนที่จะตกตะลึงที่โดนอ่านทางเสียขาด แต่นั่นกลับยิ่งทำให้คาร์เมนกุมขมับตัวเองหนักกว่าเดิม “ผมไม่ดีตรงไหนล่ะ?”

“ทุกอย่างเลย!” คาร์เมนแผดเสียงใส่ นั่นทำเอาเขาสำลักน้ำลายแทบขาดใจอยู่ครู่ใหญ่ “ช่วยสนใจฟังกันหน่อยได้มั้ย ไอ้นิทานหลอกเด็กนั่นมันก็แค่เรื่องเล่า! นายไม่เข้าใจเหรอ!? ใครมันจะบ้าไปรู้สึกชอบคนที่เพิ่งเจอหน้ากันตั้งแต่แรกเจอได้กัน!!?”

“หรือคุณจะปฎิเสธว่าไม่รู้สึกอะไรกับผมเลย?”

“เออ!” คาร์เมนรีบตอบโดยไร้ความลังเล แม้ในใจลึกๆเขาจะยังคงกังขาความรู้สึกแปลกประหลาดที่ควบคุมไม่ได้นี้อยู่ หัวใจเต้นผิดจังหวะแทบทุกครั้งที่เจอหน้า หรือจะกลิ่นฟีโรโมนที่หอมเย้ายวนกว่าทุกๆคนที่เคยเจอมา แต่..เขาก็มีสติพอจะตั้งคำถามและหาคำตอบ หากไม่มีเหตุผลที่ตัวเองยอมรับได้ เรื่องของ โซลเมท ก็เป็นอะไรที่เขาไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่นัก “ฉันไม่เคยเชื่อว่า โซลเมท มันจะมีจริงหรอกนะ”

“เหรอ ดีจังนะ ผมก็ไม่เชื่อเรื่องแบบนั้นเหมือนกัน” ร่างสูงสง่ายักไหล่ “แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ขอปฎิเสธ ว่ารู้สึกพิเศษกับคุณ… แน่นอนว่ามันออกจะไร้เหตุผลไปหน่อย ผมก็รู้”

“........ปกติแกอ่านนิยายน้ำเน่ากับเค้ามั้ย?”

“มีบ้าง บทประพันธ์ทุกรูปแบบมีความงามของมัน อยู่ที่จะมองหารึเปล่าเท่านั้น” เออร์แฟนส่งยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายเคยเห็นมาก่อนหน้านี้..ก็เมื่อตอนที่พลาดไปครั้งนั้นนั่นแหละ..

คาร์เมนหรี่ตามองคนข้างเตียง ตั้งแต่วันที่หมอนี่โผล่หน้ามาบอกโต้งๆว่าจะขอจีบต่อหน้าต่อตาทั้งพี่ชายและคุณแม่ในบ้านพักอาศัยก็แทบทำเอาเขาอยากมุดดินหนีจะตาย ไม่นึกว่าเด็กน้อยข้างๆจะจริงจังถึงขั้นกัดไม่ปล่อย ทั้งปฎิเสธเสียงแข็ง ออกปากไล่ กระทั่งหลบหน้าก็แล้ว...คนบ้าคนนี้ก็ตื๊อไม่เลิกราสักที “ทำได้งั้นก็ลองเกลี้ยกล่อมฉันดูสิ ก่อนที่ฉันจะหนีออกจากบ้านน่ะ”

เมื่อพูดไปแบบนั้น จู่ๆสองมือหนาของอัลฟ่าก็คว้ามือข้างที่ไม่มีสายน้ำเกลือไปกุมไว้ ทำเอาคาร์เมนถอนหายใจออกมาอีกรอบ แต่เมื่อจะหันมาห้ามปรามอะไรก็เจอเข้ากับใบหน้าของอีกฝ่ายที่ยื่นเข้ามาใกล้กว่าปกติเล็กน้อย ดวงตาสีทองเช่นเดียวกับผมสลวยจ้องมองมาด้วยสีหน้าจริงจัง ทำเอาคนโดนมองคล้ายต้องมนตร์สะกดจนไม่อาจละสายตาได้

“ผม...อา คุณไม่ชอบให้พูดแบบนี้นี่นา” เออร์แฟนหลบตาไปเล็กน้อยก่อนหันกลับมามองหน้าอีกฝ่ายอีกรอบ “ถ้าไม่อยากจะอยู่กับผม ยังไงก็ช่วยสู้ต่อเพื่อแม่คุณกับคาเล็มก็ยังดีครับ ตราบใดที่คุณยังอยู่ ผมก็ยังไม่ยอมแพ้เหมือนกัน”

“...ไอ้เด็กขี้โกง” เจอคำพูดออดอ้อนตรงไปตรงมาแบบนี้ทีไรเขาออกปากไล่อีกฝ่ายไปไม่ได้เสียทุกที แม้จะไม่อยากยอมรับเท่าไหร่แต่คาร์เมนก็ไม่สามารถปฎิเสธจุมพิตที่โน้มลงมาหาได้เลย…

ทั้งที่ปกติจะเกลียดกลิ่นโคโลญจน์ชวนเวียนหัวของอีกฝ่าย แต่ตอนนี้มันกลับหอมหวนชวนเคลิ้มฝันจนยากจะถอนตัว

“...พอได้แล้ว” กว่าคนถูกรุกจะรู้สึกตัวก็ตอนที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์จากแม่ที่ส่งไลน์มาหา ทว่าเออร์แฟนก็ยังไม่ผละตัวออกง่ายๆ

“ผมไม่ได้สัมผัสคุณมาตั้งนาน ขออีกนิดนึงนะ…” ไม่รอให้โอเมก้าโซลเมทตอบรับหรือปฏิเสธ ริมฝีปากหยักก็ประกบแนบลงมาอีกครั้งอย่างเอาแต่ใจ กว่าจะยอมถอยก็ตอนที่ได้ยินเสียงประตูเปิดเข้ามา

“หิวมั้ยลูก แม่ซื้อของกิน...อ้าว? ทำไมหน้าแดงแบบนั้นล่ะจ๊ะ มีไข้เหรอ?” หญิงสูงวัยวางของในมือก่อนจะปรี่เข้าไปดูอาการ คาร์เมนรีบยกมือปัดบอกไปว่าแอร์มัยเสียก็เลยร้อน “เอ...แต่แม่ก็ว่าเย็นอยู่นะ”

คาเล็มแอบเดินไปสะกิดหลังของอัยการหนุ่มที่ยืนเก็บสีหน้าเกือบจะไม่มิดพลางกระซิบถาม

“ฉันได้กลิ่นฟีโรโมนของคาร์เมน นายทำอะไรเขารึเปล่า?”

“ก็...นิดหน่อย” เออร์แฟนตอบก่อนจะยิ้มกว้าง คุณหมอแอบขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะชำเลืองมองน้องชายของเขาที่กำลังออดอ้อนแม่

...ไม่น่าจะหน่อยหรอกมั้ง

“เดี๋ยวหลังจากนี้ขอคุยเรื่องคาร์เมนหน่อย”

“มีเรื่องอะไรอีกล่ะ?”

“เดี๋ยวก็รู้น่าคุณพี่”

“ตะกี้ว่าไงนะ?” คาเล็มหันขวับเพราะคิดว่าหูแว่วไปเอง แต่อัลฟ่าอายุน้อยกว่ากลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้  นับวันเออร์แฟนชักจะคล้ายริชาร์ดเข้าไปทุกทีแล้ว

“คือจะบอกว่า.. ให้คาร์เมนไปอยู่กับฉันก่อนก็ได้นะ” เออร์แฟนคุยกับคาเล็มเสียงเบาไม่ห่างจากเตียงมากนัก

“หา? ทำไม??” คาเล็มเลิกคิ้วพลางยกมือขึ้นกอดอก “เทียวไปเทียวกลับบ้านฉันแทบทุกวันอยู่แล้วจะหอบคาร์เมนไปอยู่ด้วยเพื่อ?”

“ก็จากคอนโดฉันมาถึงโรงพยาบาลมันใกล้กว่าแถมสะดวกกว่าด้วย ไม่รู้ว่าจะออกอาการอีกเมื่อไหร่ แถมตอนนี้นายก็ยุ่งสุดๆอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ?”

“นายก็ยุ่งไม่ต่างจากฉันนี่.. อีกอย่างเรื่องนี้ไม่น่าจะคุยกันสองคนได้ ขอถามแม่กับคาร์เมนก่อนละกัน”

กลายเป็นว่าทั้งหมดในห้องนั้นกำลังตกลงกันเรื่องที่พักใหม่ของคาร์เมนที่เออร์แฟนเสนอให้ โดยคอนโดดังกล่าวอยู่ในย่านที่พักอาศัยกลางเมืองที่ไม่ได้ไกลจากโรงพยาบาลนี้มากนัก เรื่องความปลอดภัยนั้น เออร์แฟนก็มีลูกน้องบอร์ดี้การ์ดอยู่เป็นโหลๆ หากต้องการ.. ซึ่งความจริงก็ไม่มีอะไรต้องห่วงมากเท่าไหร่ จะเหลือก็แต่…

“แต่ว่า...พวกเธอเนี่ยเป็นโซลเมทกันใช่มั้ยจ๊ะ? แบบนี้มันไม่…” คาร่ามองทั้งสองคนสลับกันด้วยสายตาที่ดูก็รู้ว่าห่วงเรื่องอะไรอยู่ “สรุปว่าลูกโอเคกับพ่อหนุ่มคนนี้แล้วเหรอ?”

“ไม่ครับ” คาร์เมนตอบคำถามด้วยคำตอบเดิมเหมือนที่เขาบอกกับผู้เป็นแม่มาตลอดตั้งแต่แม่รู้ว่าอัลฟ่าอัยการคนนี้เป็นโซลเมทกับลูกตัวเอง “เดี๋ยวผมหาทางออกให้ปัญหาผมเองก่อน ผมถึงจะบอกเรื่องอื่นๆ กับแม่นะครับ”

“อืม.. แม่เข้าใจจ้ะ การท้องเนี่ยมันก็เรื่องใหญ่จริงๆนั่นแหละนะ”

“ขอบคุณ.... อะไรนะครับ!?” คนป่วยจ้องหน้ามารดาหน้าซีด “แม่ครับ ผมไม่ได้ท้องนะแม่”

“คาร์เมน แม่น่ะมีลูกมาตั้งสองคนแล้วนะ อาการแบบนี้ปิดแม่ไม่ได้หรอกจ้ะ” คาร่ายิ้มอ่อนให้ลูกชายโอเมก้าของเธอ “สามเดือนก่อนลูกก็เข้าช่วงฮีทด้วย แม่ว่ายังไงก็คงไม่ผิดหรอกจ้ะ.. แค่แม่ตกใจนิดหน่อยตรงที่แม่ไม่รู้ว่าลูกสองคนแอบไปกุ๊กกิ๊กกันตอนไหน”

ขณะที่คาเล็มมองแม่กับน้องชายอยู่นั้น ดวงตาหลังกรอบแว่นก็ชำเลืองไปหาอัยการอัลฟ่าที่กำลังแกล้งโทรศัพท์หาลูกน้อง

“มีอะไรจะสารภาพมั้ย?” ต่อให้คุมโทนเสียงเดิม แต่เออร์แฟนก็รู้เลยว่าที่อากาศมันหนาวขึ้น สาเหตุไม่ใช่มาจากแอร์แน่นอน นั่นเพราะเขากำลังเหงื่อตกอยู่นี่ไง

“...จำเลยยอมรับผิดเต็มประตูแล้วครับ” แม้ปากจะพูดเหมือนสำนึก แต่สีหน้ากลับชื่นมื่นจนศาลอยากเพิ่มโทษมากกว่าลดโทษให้ซะอีก เห็นแบบนั้นคาเล็มเลยทำได้แค่ถอนหายใจเพราะไม่อยากก่อเรื่องอะไรในโรงพยาบาล บวกกับคุณแม่เองก็ดูจะถูกใจพ่ออัยการคนนี้อยู่ไม่น้อย..

“สรุปว่ายอมเค้าแล้วจริงๆ ใช่มั้ยลูก” คาร่าก้มลงกระซิบกับลูกชายโอเมก้าด้วยหน้าตาดีอกดีใจจนออกนอกหน้า ก็แหงล่ะ...อัลฟ่ามาดเจ้าชายในนิทานสาวน้อยแบบนี้ไม่ได้หาง่ายๆ แม้จะเป็นแค่ฉากหน้าเพื่อเอาใจผู้เป็นแม่ก็ตาม..

“ไม่ครับ!”

“โถๆ ปากแข็งจริงๆเลยลูกคนนี้”

พูดอย่างนี้ก็จับใส่พานมัดถวายเลยก็ได้ครับแม่!!


“ขอบคุณที่ช่วยนะลาซัส” โคลวิสเดินมาตบบ่าพนักงานจำเป็นที่เพิ่งจะถูพื้นจนเสร็จเรียบร้อย วันนี้ปิดตั้งแต่บ่ายเนื่องจากหลังจากพรุ่งนี้ไปก็เป็นวันหยุดยาวแล้ว ทางออฟฟิศเองก็คงจะเงียบเหงาลงไปพอสมควร โคลวิสและอัลจึงเล็งเห็นว่า รีบชิ่งก่อนจะเสียค่าไฟฟรีจะดีกว่า

“ไม่เป็นไรครับ คิดซะว่าตอบแทนที่ช่วยสอนทำอาหารละกัน..อ่ะ ขอบคุณ” ลาซารัสวางไม้ถูพื้นลงก่อนจะรับแก้วน้ำเปล่าจากอัลมาดื่มจนหมดในคราเดียว

“ไปไหนกันต่อน่ะ?” อัลถามพลางรับแก้วน้ำเปล่าคืนมาและยกขวดขึ้นใส่หน้าลาซารัสเป็นการถามว่าอยากได้อีกสักแก้วไหม แต่เขาก็ส่ายหน้าช้าๆแทนคำตอบ

“ไปซื้อของมาตุนน่ะสิ นี่สต็อกก็จะเกลี้ยงแล้ว” โคลวิสพูดพลางเปิดตู้รื้อดูทุกตู้เพื่อสำรวจว่าต้องซื้ออะไรเพิ่มบ้าง และเดินวนเวียนเข้าออกทั้งหน้าร้านหลังร้านอย่างต้องการเช็คให้ชัวร์ “แล้วก็จะซื้อของไปทำอาหารกินเย็นนี้กันด้วย”

“หา!? พวกนายจะไปกินข้าวเย็นกันไม่ชวนฉันเหรอ!?” อัลทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ก็อาหารฝีมือโคลวิสน่ะอร่อยสุดๆไปเลยนี่นา “ข..ขอฉันไปด้วยนะ”

“ที่ไม่ได้ชวนนายเพราะกะจะให้ลาซัสทำอาหารต่างหาก”

“....อ่ะ..อ้อ….งั้น...ไม่เป็นไรน่า! คิดซะว่ามีคนชิมไง!”

“นี่อยากไปกินฟรีสินะครับ” ลาซารัสพูดเสียงเบา

“...ฉันก็แค่เหงาเท่านั้นเอง พวกนายอย่าทิ้งฉันเซ่” อัลลงไปนั่งกอดขาเพื่อนรักที่เดินมาทางนี้พอดิบพอดี น้ำเสียงออดอ้อนกับท่าทางน่าสงสารนั่นทำให้โคลวิสตัดสินใจอนุญาตให้เพื่อนเบต้าตามไปกินอาหารรสชาติแรนด้อมฝีมือลาซารัสได้

 “งั้นแวะซุปเปอร์ตรงหัวมุมเมืองก่อนก็ได้...หือ?” ระหว่างทั้งสามคนกำลังเดินไปยังชั้นจอดรถใต้ดิน พวกเขาก็พบกับชายวัยกลางคนในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มคนหนึ่งที่เหมือนจะมองซ้ายมองขวาอย่างลนลานอยู่ที่ทางเดิน ลาซารัสจึงเอ่ยทักขึ้นมาก่อน “ขอโทษครับ มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ?”

“อ่ะ...เอ่อ… ผมจำทางไปลานจอดรถไม่ได้น่ะครับ ตึกสำนักงานนี่ก็ใหญ่ชะมัดเลย” ชายคนนั้นยิ้มแห้งส่งให้ เหมือนจะอายนิดๆที่ดันลืมทางกลับเสียได้

“พวกเราเองก็กำลังเดินไปลานจอดรถพอดี เดินตามพวกเราไปก็ได้ครับ” โคลวิสส่งยิ้มให้ แอบจำได้ว่าชายคนนี้คือคนที่มาติดต่อเรื่องซื้อขายอยู่สองสามครั้งในร้านกาแฟ แต่เท่าที่แอบฟังได้คือไม่ลงตัวกันเรื่องของแผนงาน แต่ก็ไม่ได้รู้ละเอียดนัก ที่เขาจำได้ก็เพราะคนๆนี้มักจะใส่เสื้อโค้ทตัวหนาสีน้ำตาลอ่อนที่ดูไม่เข้ากับบุคลิกทุกครั้งที่เจอนั่นเอง

“ด..ได้เหรอครับ? ขอบคุณมากๆเลยครับ!” อีกฝ่ายค้อมหัวให้อย่างสุภาพและเดินตามพวกเขาไปโดยเว้นระยะห่างสักเล็กน้อย
ทั้งสามคนเดินคุยกันเรื่อยเปื่อยตามประสาเพื่อน กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่เท้าพากันเดินมาถึงลิฟต์ที่จะลงไปยังลานจอดรถภายในตึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยพวกเขาแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีอีกคนตามมาด้วย ลาซารัสกดลิฟต์ไปยังชั้นที่เขาเอารถไปจอดไว้ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าคนที่ขึ้นมาด้วยอาจจะไม่ได้จอดชั้นเดียวกัน

“อ่ะ จอดรถไว้ที่ชั้นไหนเหรอ...ครับ?”

แต่ภาพที่เห็นเมื่อเขาหันไปมองคือ ชายวัยกลางคนที่ยืนประชิดอยู่กับตัวโคลวิส ในมือถือปืนสีดำขนาดเล็กที่โดนซ่อนไว้จากกล้องวงจรปิดด้วยแขนเสื้อโค้ทที่ใหญ่เทอะทะนั่นพอดิบพอดีนั้น กำลังเล็งจ่อไว้ที่เอวของโอเมก้าหัวสีจนปากกระบอกนั้นกดติดลำตัวไม่เว้นระยะใดๆ

“ชั้นแอลสอง” ชายแปลกหน้าพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามปกติ หากแต่สีหน้านั้นออกอาการประหม่าได้ชัดเจน แม้จะรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่มีประสบการณ์ในการก่อเรื่องแบบนี้ แต่ลาซารัสก็ไม่อยากเสี่ยงพลาดพลั้งอะไร.. ช่างเลือกคนได้ถูกจริงๆ เพราะถ้าหากมาจี้เขาแทนคงยังพอจะยื้อแย่งปืนนั่นมาได้ อัลเองก็ตัวแข็งทื่อไม่แพ้กัน เขามองหน้าโคลวิสสลับกับลาซารัสไปมาเพราะทำอะไรไม่ถูก

ลาซารัสกัดฟันแล้วกดชั้นตามที่อีกฝ่ายบอก อย่างน้อยๆถ้าลงไปในพื้นที่โล่งอาจจะพอทำอะไรได้บ้าง สายตาเพ่งมองว่ามันคือปืนรุ่นอะไร แต่เมื่อเห็นได้ชัดเจนลาซารัสก็แอบสบถในใจเพราะดันเป็นปืนที่เหมาะเจาะ น้ำหนักเบา แถมแม่นยำในการยิงระยะประชิดเสียอีก สงสัยจะไม่ใช่โจรกระจอกซะแล้วสิ...

ระหว่างที่กำลังคิดหาทางออก ลิฟต์ที่ออกแบบมาให้ทำงานได้ดีเกินกว่าตึกใดๆในเมืองก็มาถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว เมื่อประตูหนาเปิดออก พวกเขาก็พบกับชายในชุดสูทสีเทาเข้มอีกสองคนที่ใส่แว่นตาปกปิดดวงตายืนรออยู่อีกสองสามคนโดยที่โดยรอบไม่มียามอยู่เลยแม้แต่คนเดียว ทั้งที่ปกติจะมีอยู่ชั้นละสองสามคนสิ!

“เดินไป นิ่งๆล่ะ ถ้าโหวกเหวกล่ะก็ไม่รับประกันความปลอดภัยนะ” ชายแปลกหน้าที่ติดมาด้วยเอ่ย ทั้งสามคนจึงต้องยอมเดินออกไปแต่โดยดี ไม่งั้นก็เดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“ต้องการอะไรเหรอครับ พวกเราไม่มีเงินให้หรอกนะ” ลาซารัสเริ่มต่อรอง อย่างน้อยๆขอรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรก็ยังพอจะหาทางรอดได้

“ไม่ได้ต้องการเงินหรืออะไรหรอก แค่ตามไปดีๆ สัญญาว่าจะไม่ทำอันตราย” ชายร่างใหญ่อีกสองคนเดินตามมาประกบพวกเขา ทั้งหมดถูกบีบให้เดินไปทางลานจอดรถที่แสงค่อนข้างน้อย และไปหยุดข้างรถตู้สีดำคันใหญ่คันหนึ่ง เมื่อไปถึง ประตูรถตู้ก็เปิดออกพอดี “ขึ้นไปสิ ค่อยๆขึ้นล่ะ อย่าตื่นตูม”

“ไหนว่าโอเมก้าตาสีฟ้านี่คนเดียวไง” ชายในชุดสูทอีกคนบนรถท้วง

“ก็เห็นพวกมันมาด้วยกัน เลยช่วยไม่ได้ ต้องเอามาหมด”

ลาซารัสกัดฟันกรอด นี่เขาพาทั้งสองคนมาซวยหรือนี่!?

ทั้งสามถูกพาขึ้นรถและจับปิดตาไม่ให้มองเห็นแถมยังมัดมือไม่ให้ขัดขืน รถตู้สีดำค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปจากอาคารจอดรถอย่างไม่รีบร้อน

“เฮ้ ปลดล็อคนาฬิกาของเป้าหมายด้วย เผื่อมี GPS ติดตามตัวขึ้นมาล่ะยุ่งเลย” คนที่นั่งข้างคนขับสั่งไปยังพวกที่คุมตัวทั้งสามด้านหลังรถ ลาซารัสถูกดึงข้อมือที่โดนพันธนาการไว้

“บอกรหัสมา” น้ำเสียงข่มขู่และแรงบีบข้อมือนั้นไม่ปรานีแม้ว่าจะเป็นเป้าหมายที่ถูกพาตัวมาก็ตาม

“ผมไม่รู้รหัส…” ถึงจะเคยเห็นคุณหมอคาเล็มปลดล็อคมาแล้วหนหนึ่ง แต่ตอนนั้นมันตั้งตัวไม่ทันก็เลยจำอะไรไม่ค่อยได้

“ช่วยไม่ได้ งั้นออกจากตึกไปแล้วก็รีบชิ่งให้ไวเลย” คนสั่งการสบถอย่างไม่สบอารมณ์นักพลางยกมือถือขึ้นโทรหาคนจ้างวาน แต่สามคนที่ถูกลักพาตัวก็แอบใจชื้นขึ้นมาว่าอาจยังพอมีความหวังที่จะมีคนตามมาช่วย ทว่า...กว่าจะถึงตอนนั้น พวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง




ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura
“ลาซัสยังไม่กลับ?”

“ใช่ ฉันเลยโทรมาถามเนี่ยว่าเขาได้ไปเยี่ยมคาร์เมนที่โรงพยาบาลรึเปล่า?”ริชาร์ดติดต่อมายังเพื่อนสนิทหลังจากที่กลับบ้านมาแล้วพวกสาวๆ รายงานว่าโอเมก้าหนุ่มยังไม่กลับมาเลยตั้งแต่ออกไป

“ไม่ได้มานะ นี่ก็เพิ่งจะกลับจากพาคาร์เมนไปส่งที่คอนโดเออร์แฟนชั่วคราวเพราะยังต้องเข้าออกโรงพยาบาลอีกหลายครั้งได้ไม่นานเอง”

แม้ในใจของริชาร์ดจะงุนงงและเต็มไปด้วยคำถามว่าไปทำอีท่าไหน สองคนนั้นถึงได้ย้ายไปอยู่ด้วยกันยังกับคู่แต่งงานใหม่ แต่ตอนนี้เรื่องของลาซารัสต้องมาก่อน “ปกติก็ไม่เคยเถลไถลไปไหนมาไหนโดยไม่บอกกล่าวนี่นา น่าเป็นห่วงแล้วสิ แถมยังปิดเครื่องอีกต่างหาก ติดต่อไม่ได้เลยเนี่ย”

“เมื่อเช้าบอกว่าจะไปทำขนมกับคนที่ชื่อโคลวิสนี่”

“เออ...จะว่าไปวันนี้ร้านกาแฟก็ปิดเร็วตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้วด้วย งั้นก็น่าจะแยกกันตั้งนานแล้วนี่นา” ซีอีโอเบอร์ตั้นยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “ตั้งแต่ตอนนั้นผ่านมาก็น่าจะราวๆสองสามชั่วโมงได้แล้ว”

คาเล็มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ไดีอย่างไรก็ไม่รู้ คุณหมออัลฟ่าเปิดกระเป๋าหยิบแท็บเล็ตของตัวเองขึ้นมาและรีบเปิดแอพของนาฬิกาที่ให้ลาซารัสสวมไว้ตลอดเวลา “เดี๋ยวฉันจะลองเช็คดูก่อนว่าตอนนี้ลาซัสอยู่ที่ไหนแล้ว”

นิ้วมือรีบกดเข้าไปดูอย่างเร่งร้อน เมื่อจุดสีแดงปรากฏขึ้นบนหน้าจอสี่เหลี่ยม คาเล็มก็รีบโทรศัพท์พร้อมกับส่งต่อข้อมูลไปให้เออร์แฟนที่คอนโดรีบตรวจสอบว่าตอนนี้ลาซารัสไปอยู่ที่ไหน

“ทำอะไรของมันอยู่เนี่ย รีบๆรับเร็วๆสิวะเออร์แฟน!”



คาร์เมนที่ย้ายเข้ามาในคอนโคของเออร์แฟนอย่างกะทันหันกำลังสอดส่ายสายตามองไปทั่วห้องที่ถูกเก็บกวาดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

“สะอาดดีใช้ได้นี่” คำชมนั้นทำเอาเจ้าของห้องแอบยืดในใจ ไม่เสียแรงที่สั่งแม่บ้านให้มาทำความสะอาดด่วนไว้ล่วงหน้า “ไหนดูซิ... ซ่อนอะไรน่าอายไว้บ้างรึเปล่า”

คนเค้าเพิ่งเก็บจนเรียบไปเองนะ...

"โฮ่...ชอบแบบนี้นี่เองสินะ" รวดเร็วจนเจ้าของห้องยังอึ้งว่าทำไมหาเจอง่ายขนาดนี้ เมื่อคาร์เมนเจอของเล่นที่เออร์แฟนซุกไว้ก็หยิบขึ้นมาไล่ดู แต่ละอันนี่เข้าข่ายโรคจิตใช้ได้

"แหม่...มันก็..." เออร์แฟนแอบเกาแก้มแก้เขินและหันไปมองทางอื่น

"ทิ้งซะเลยดีมั้ย" ว่าแล้วก็เดินมองหาถังขยะ เอาเท้าเหยียบที่แท่นทำท่าจะทิ้ง ซึ่ง...อัยการหนุ่มรีบเดินกึ่งวิ่งไปคว้ามาไว้ในมือแล้วกอดไว้แน่นราวกับเด็กหวงของ ท่าทีแบบนั้นทำเอาโอเมก้าร่างเล็กทำหน้าดูแคลน "เล่นเป็นรึไงไอ้หนู?"

“เปลี่ยนมาไม่รู้กี่รอบแล้ว" อัลฟ่าอ่อนวัยกว่ายิ้ม มันใช่เรื่องที่น่าภูมิใจมั้ย

"โรคจิตใช่เล่นนี่หว่า" คาร์เมนหัวเราะเบาๆ แล้วรื้อนู่นนี่ต่อจนห้องกลับมาเละเทะอีกรอบ

"นี่...หยุดรื้อสักทีได้มั้ย ก่อนที่ฉันจะจับนายเล่นของเล่นพวกนี้จนหนำใจ..." แม้จะขู่ไปแบบนั้น แต่อีกคนก็ยังรื้อต่อทำเป็นหูทวนลม แถมหาเจออีกแล้ว นี่มีเรดาห์ตรวจจับของลามกรึไง

"ว้าว...ยังมีซุกไว้ที่โต๊ะนี้อีกแฮะ"

"...คาร์เมน" เจ้าของห้องเรียกด้วยน้ำเสียงดุ แล้วเดินมาจับข้อมือทั้งสองข้างจากด้านหลัง "ผมรู้นะว่าคุณกำลังท้าทายผมน่ะ"
"คิดมากไปมั้ยไอ้หนู ฉันแค่ช่วยทิ้งของไม่จำเป็นออกไปจากห้องให้นายต่างหาก" คาร์เมนพยายามสลัดมือออก แต่อีกฝ่ายเพิ่มแรงบีบไม่ยอมปล่อยง่ายๆ

"ทำไมล่ะ ไม่ชอบของเล่นพวกนี้เหรอ?" เออร์แฟนเอาคางมาเกยบ่าอีกฝ่ายไว้แล้วเริ่มหายใจเอาลมร้อนใส่ต้นคอของคาร์เมน
"แล้วจำเป็นต้องชอบอะไรเหมือนนายด้วยรึไง?" คาร์เมนรู้สึกว่าร่างกายของตนเริ่มตอบสนองต่ออีกฝ่ายขึ้นมาอีกแล้ว อะไรๆมันก็ปลุกขึ้นมาได้ง่ายดายเหลือเกินเมื่อเป็นสัมผัสจากโซลเมทคนนี้

"ไม่ใช่อย่างนั้น.. แต่.." ใบหน้าคมคายซุกหน้าลงไปบนต้นคอแล้วเริ่มจูบดูดเม้มอย่างแรง พอคาร์เมนจะก้มหนีก็ปล่อยมือตัวเองมาจับใบหน้าให้เงยขึ้น "ผมอยากเห็นคุณตอนโดนใช้ของเล่นพวกนี้แล้วสิ"

เพิ่งย้ายเข้ามายังไม่ทันข้ามวันก็จะเอาเลยเรอะ...แต่ดูจากปริมาณของเล่นในห้องแล้ว สงสัยว่าจะไม่ได้ทำกับใครเลยมาสักพักใหญ่แล้วล่ะ

"...ลองมาแลกกันสิ" เหมือนจะไม่คิดปฏิเสธคำขอเอาแต่ใจของอีกฝ่าย "ถ้านายยอมใส่แพมเพิร์ส ฉันจะเล่นด้วยก็ได้"

"....เรื่องสิ" เออร์แฟนไม่สนใจข้อแลกเปลี่ยน แล้วล้วงมือเข้าไปในกางเกงอีกฝ่ายแม้คาร์เมนจะต่อต้านแต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้อยู่ดีเพราะเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา มือของอีกคนเริ่มลงมือลูบไล้แก่นกลางที่เริ่มตื่นตัว "แค่นี้ก็แข็งซะแล้วเหรอ ช่วงนี้ความรู้สึกไวจังนะ.. งั้นผมไม่เล่นของเล่นก็ได้ แต่คุณจะโดนผมกินตอนนี้นี่แหละ"

“ไอ้หื่นนี่!”

ไม่พูดเปล่า คนตัวสูงกว่าโน้มใบหน้าลงมาหมายตั้งใจจะจูบ แต่คาร์เมนเบี่ยงหลบ “คุณเนี่ย ถ้าดูไปทีละส่วนก็สวยดีนะ..” เออร์แฟนไล่สายตามองตาสีเขียวอ่อนสลับกับมองริมฝีปากปากหยักได้รูปที่มักจะพล่ามแต่คำพูดเสียดหูคนฟัง ซึ่งก็คงมีแต่เขาคนเดียวนี่แหละมั้งที่โดนบ่อยกว่าใครเพื่อน

"ดูตรงนี้สิ ยังงดงามไร้ตำหนิอยู่เลย" ดวงตาสีทองจ้องมองต้นคอที่ยังไร้รอยกัด กว่าคาร์เมนจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ฟันขาวคมก็กัดที่ต้นคอเข้าอย่างจัง คนตัวเล็กกว่าที่เรี่ยวแรงเคยมีเหลือเฟือพลันอ่อนยวบขึ้นมาเสียดื้อๆ ความเจ็บปวดจากต้นคอแผ่ซ่านไปทั่วร่าง กระนั้นอีกความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวขึ้นมากลับกำลังร่ำร้องอย่างยินดีในอกยังไงยังงั้น

"ไม่พยศแล้วเหรอ ร่างกายคุณนี่ซื่อตรงน่ารักกว่าที่คิดอีกนะ"

"แก!! กล้าดียังไงมากัดคอคนอื่น!!"

"ผมก็แค่ตีตราจองโซลเมทของตัวเองต่างหาก" เออร์แฟนยิ้มกวนให้ก่อนจะเลียรอยกัดอย่างเอาแต่ใจ แม้คาร์เมนจะพยายามออกแรงดิ้นแต่เออร์แฟนก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ ก็ลองปล่อยมือตอนนี้ดูสิ คงถูกแมว(?)ตะปบหน้าแหกทันทีแน่นอน

แต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มทำอะไรอย่างที่ใจอยาก เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะและเป็นระฆังช่วยชีวิตคาร์เมนด้วย

“ใครโทรมาตอนนี้?” ยกมือถือขึ้นดูเห็นชื่อคนโทรมา พอเห็นว่าเป็นสายจากคาเล็มก็เลยรีบรับทันที “ว่าไง?”

“มีเรื่องให้ช่วยด่วนเลย ลาซัสยังไม่ได้กลับบ้าน” เท่านั้นเองเออร์แฟนก็รีบปล่อยมือผละออกจากโซลเมททันที

“ที่นี่มัน…” พอได้ฟังรายละเอียดจากคุณหมอ อัยการหนุ่มก็รีบเดินไปเปิดคอมแล้วตรวจสอบให้ตามที่ถูกไหว้วานทันที
คาร์เมนที่คูลดาวน์ตัวเองด้วยการกินยาระงับอาการฮีทเดินมาดูเออร์แฟนที่กำลังเคร่งเครียดเรื่องของพี่ชายตน เขาเดินมาอยู่ข้างหลังคนที่กำลังกดมือถือหาลูกน้องมือเป็นระวิง

“เกิดอะไรขึ้น?” ดวงตาสีเขียวอ่อนจ้องไปที่หน้าจอคอมบนโต๊ะที่มีจุดสีแดงและแผนที่แสดงตำแหน่งของจุดที่สีแดงกะพริบอยู่ “มีเรื่องอะไรที่เขตเริงรมย์นี่กัน?”

เออร์แฟนหันขวับมาแทบจะทันที “คุณรู้เหรอว่าที่นั่นคือที่ไหน!?”

“นี่นายคิดว่าฉันทำงานแถวนั้นมากี่ปีแล้ว ถนนทุกซอยแม้แต่หมาทุกตัวก็จำได้หมดนั่นแหละ” คาร์เมนหันไปจ้องดูที่หน้าจออีกครั้ง “บอกได้รึยังว่ามีเรื่องอะไรกัน?”

“แป้บนะ” เออร์แฟนมองโทรศัพท์ที่ข้อความแจ้งเตือนระรัวเพราะลูกน้องหลายคนเข้ามารายงานแทบจะพร้อมๆ กัน “จุดสีแดงนั่นดูเหมือนจะเป็นลาซารัสที่ถูกลักพาตัวไป”

“แย่แน่...ขืนชักช้าล่ะก็ เจ้าหนูนั่นอาจจะโดนทำให้เจอฝันร้ายไปตลอดชีวิตก็ได้” คาร์เมนเดินไปหาโทรศัพท์ของตนต่อสายหาพรรคพวกที่ยังคงติดต่อกันอยู่บ้าง “นี่ฉันเอง เออ อยากให้ช่วยเช็คดูให้ทีว่ามีโอเมก้าผู้ชายโดนพาตัวไปที่นั่นรึเปล่า จุดเด่นคือตาสีฟ้า มีไฝใต้หางตาทั้งสองข้าง อ่อ! ผมชี้เหมือนเป็ดด้วย รีบหน่อยล่ะ!”

อัยการหนุ่มลอบมองดูคนที่พยายามหาทางช่วยอีกแรง “ผมคิดว่าคุณจะไม่ชอบลาซารัสเสียอีก”

“ใครมันจะไปชอบเจ้าเป็ดน้อยนั่นกัน แต่นี่มันคนละเรื่อง” คาร์เมนต่อสายใหม่ไปยังคนของสถานีตำรวจที่ตนพอจะใช้งานได้ในเวลาแบบนี้ แต่จากบทสนทนาที่ลอบฟังดูก็ออกแนวขู่บังคับปลายสายไม่มากก็น้อย “ถ้าไม่อยากโดนเด้งกลับไปเป็นจราจรก็ทำตามที่ฉันบอกซะ!”

อัยการหนุ่มลอบคิดในใจ คาร์เมนเคยบอกว่าเขาหน้าเลือดและเจ้าเล่ห์ไม่เลือกวิธีการ แต่เจ้าตัวก็กำลังใช้วิธีการคล้ายๆกันกับเขาอยู่เหมือนกัน...

ครู่ต่อมา ทางเบ๊ของคาร์เมนเองก็ส่งข่าวมาบอกว่าไม่พบโอเมก้ารูปพรรณตรงตามที่ว่า จะมีก็แต่เบต้าผู้ชายคนหนึ่งโดนลากมาทิ้งไว้ก็เท่านั้น

“ส่งรูปมา” คาร์เมนสั่งและรอประมาณ 2-3 นาทีก็ได้รูปถ่ายใบหน้าของคนที่ว่า “หน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน” ว่าแล้วก็กดส่งรูปไปในแชทกลุ่มที่ตนเพิ่งตั้งขึ้นมาในระหว่างที่รอให้พรรคพวกดำเนินการ ทั้งริชาร์ดและคาเล็มที่โดนดึงเข้ามาในกลุ่มก็จะได้ตามข่าวจากคาร์เมนอีกทางหนึ่ง

“ใครรู้จักหมอนี่บ้าง” คาร์เมนส่งรูปไปให้ดู

“อัล?” ริชาร์ดจำได้ว่าผู้ชายในรูปเป็นเพื่อนที่ทำงานของโคลวิส “ทำไมเขาถึงโดนลากไปที่นั่นได้ล่ะ?”

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่นั่นน่ะถึงจะเป็นเบต้า ถ้ารูปร่างหน้าตาพอจะเอามาขายได้ก็ไม่แน่อยู่...” คาร์เมนกล่าวไว้ในแชท ทำเอาคนที่เห็นข้อความนั้นไม่รู้จะคอมเมนท์ตอบอย่างไรดี

ขณะที่แต่ละคนกำลังสับสนอยู่นั้น ลูกน้องของเออร์แฟนก็รายงานว่ามีรถตู้สีดำคันใหญ่เข้าไปในคฤหาสน์รอสเกรย์ แถมติดฟิล์มดำทั้งหมดจึงไม่รู้ว่ามีใครอยู่ในนั้นบ้าง

“สรุป...คนที่อยู่เขตเริงรมย์คืออัล แล้วทำไมนาฬิกาของลาซัสถึงได้ไปอยู่ที่นั่นด้วยล่ะ?” ริชาร์ดเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีแบบสุดๆแล้ว “คาเล็ม ฉันว่าเครื่องมันไม่ได้ติดอยู่ที่ลาซัสแล้วล่ะ!”

“ไม่บอกก็รู้แล้ว! ริชาร์ด! แกรีบล่วงหน้าไปที่คฤหาสน์ก่อนเลย!” คาเล็มวางสายไป เพิ่งกลับมาถึงบ้านและพาแม่ขึ้นไปนอนกลางวันได้ไม่เท่าไหร่ก็เกิดเรื่องเสียแล้ว “เรนเดล ฝากแม่ด้วยนะ”

เรนเดลยื่นกระเป๋าสัมภาระที่เตรียมอย่างเร่งด่วนให้ ทว่าคาเล็มก็เดินผ่านไปโดยไม่สนใจมันเลยสักนิด เขาคว้าเอากุญแจรถกับเสื้อคลุมของตัวเองและรีบก้าวเท้าไปยังโรงจอดรถอย่างรวดเร็ว ส่งตัวเองเข้าไปนั่งประจำที่และเสียบกุญแจสตาร์ทเครื่องเตรียมออกตัว...แต่คาเล็มก็หยุดชะงักไปทั้งอย่างนั้น ดวงตามองจ้องไปยังสองมือบนพวงมาลัยที่สั่นระริก

ความหวาดวิตกเริ่มครอบงำจิตใจ ความรู้สึกที่เขาเกือบจะลืมมันไปได้แล้วตั้งแต่ทำใจเรื่องคนรักเก่าได้มันหวนมาหลอกหลอนเขาอีกรอบ คาเล็มกัดฟันแน่นพยายามข่มความรู้สึกตัวเองให้เป็นปกติ แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งแย่ลง..

ก็อก..ก็อก…

เสียงเคาะกระจกรถทำให้คาเล็มหลุดจากห้วงความคิด เขาหันไปทางต้นเสียงซึ่งอยู่ข้างนอกนั่น เรนเดลมองเข้ามาด้วยความเป็นห่วง แต่ในมือก็ยังคงยื่นกระเป๋าโชว์ให้คาเล็มดูว่าเขาลืมของ..

“กระผมรวมของที่อาจจะจำเป็นต้องใช้ไว้ให้ พกติดตัวไว้ก็ดีนะครับ” พ่อบ้านสูงวัยพูดด้วยน้ำเสียงราวกับปลอบโยน “ไหวรึเปล่าครับนายน้อย?”

“...ไหว” คุณหมอเปิดกระจกรับกระเป๋าขนาดพกพาสะดวกมาพลางตอบอย่างไม่มั่นใจนัก

“ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยครับ” เรนเดลยื่นมือเข้ามาลูบบนบ่าของนายจ้างตน “ตอนนี้ไม่เหมือนครั้งนั้น นายน้อยมีทั้งเพื่อนที่คอยช่วยเหลือเต็มที่ ครอบครัวคอยให้ที่พักพิง เพราะฉะนั้นตอนนี้มั่นใจในตัวเองเข้าไว้นะครับ”

“...ขอบคุณนะเรนเดล” แม้จะยังกังวลอยู่ แต่สิ่งที่เพิ่มพูนขึ้นมาในใจของคุณหมออัลฟ่าคือ ความหวัง.. อย่างน้อยๆตอนนี้เขาก็ไม่ได้สู้อยู่คนเดียวเหมือนเมื่อตอนนั้นแล้ว คาเล็มปิดกระจกและถอยรถออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็วโดยมีเรนเดลตะโกนไล่หลังตามไปว่าให้ระมัดระวังตัวด้วย..

ขอให้ทันทีเถอะ! คาเล็มภาวนาในใจตลอดทาง และแม้จะดูไม่ดีนักแต่เขาก็ขอร้องให้ดวงวิญญาณของโนเอลช่วยคุ้มครองลาซารัสให้ปลอดภัย อย่าให้ต้องพบเจอกับโศกนาฎกรรมเหมือนที่เคยเกิดขึ้นเลย



เพี้ยะ!!

“เมื่อไหร่จะเลิกทำเรื่องบ้าๆแบบนี้สักที!” หญิงสาวอัลฟ่าตบหน้าพี่น้องของเธออย่างแรงจนตัวเองมือเจ็บไปด้วย “นายอยากจะไปมั่วนอกบ้านที่ไหนมันก็เรื่องของนาย แต่พี่ใหญ่กับฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามาทำเรื่องพรรค์นี้ที่บ้านอีก!”

“ว้า~.. นิดๆหน่อยๆเอง” คาร์เรย์ยิ้มแห้งขณะยกมือลูบแก้มข้างที่โดนตบ แม้จะไม่เห็นแต่เขามั่นใจว่าตอนนี้มันกำลังแดงจัดอย่างแน่นอน “เฮ้อ.. อย่างที่ได้ยินน่ะแหละพวกนาย เดี๋ยวไปเปิดห้องข้างนอกเอาละกันนะ”

คาร์เรย์ที่ยืนอยู่หน้าห้องหันกลับเข้าไปและตะโกนบอกเหล่ามิตรสหายมากหน้าหลายตาซึ่งล้วนเป็นอัลฟ่าปลายแถวซะส่วนใหญ่ มีบ้างที่จะเป็นอัลฟ่าเพ็ดดีกรีแบบเขา แต่ก็ทำตัวเหลวแหลกไม่ต่างกันนัก บางส่วนในนั้นคือโอเมก้าที่มีจำนวนน้อยกว่าอัลฟ่าเยอะ จากสภาพเกือบเปลือยของแต่ละคนอีกทั้งยาและเครื่องดื่มมึนเมาที่ยกมาวางเรียงรายก็พอจะเดาได้ว่าพวกเขามามั่วสุมทำอะไรกัน..

“ขอโทษนะคร้าบคุณพี่สาว” เพื่อนบางคนที่เมาได้ที่แล้วก็กำลังจัดแจงแต่งตัวและทยอยออกจากห้องไปเพื่อไปหาความสำราญกันที่อื่น

“อย่าเพิ่งไป นายน่ะอยู่นี่ก่อน มีเรื่องจะคุยด้วย” คาเซล่าเรียกพี่น้องรุ่นราวคราวเดียวของตนไว้ “เรื่องพี่ใหญ่นั่นแหละ”

“จะอะไรอีกล่ะ ตอนนี้พี่เค้าก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว แถมเธอก็เป็นคนคุมงานบริษัททั้งหมดแทน อยากทำอะไรก็ทำไปสิ” คาร์เรย์โบกมือใส่พี่น้องคนละแม่ของตนแล้วหันหลังเดินออกมาโดยไม่คิดจะอยู่ฟังสิ่งที่คาเซล่ากำลังจะพูดให้จบ

เขาย่างเท้าอ้อยอิ่งไปยังโรงจอดรถของคฤหาสน์รอสเกรย์ แต่ก่อนจะก้าวออกจากบ้านไป หางตาก็พลันสะดุดเข้ากับกลุ่มบอร์ดี้การ์ดของตระกูลกำลังแอบกระซิบกระซาบและเดินกันขวักไขว่จนผิดสังเกต คาร์เรย์แอบมองตามทิศทางที่บอร์ดี้การ์ดเดินไปนั้น คือทางที่มุ่งไปยังห้องของพี่ใหญ่อดีตผู้นำของตระกูล ในทีแรกนั้นคาร์เรย์ยังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขารับรู้ได้ว่าต้องมีเรื่องสนุกๆเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะถ้ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับคาร์บฮอลล่ะก็ คาเซล่าต้องเป็นคนไปดูเองแล้ว ไม่ปล่อยให้เหล่าสมุนทำตัวลับๆล่อๆแบบนี้แน่นอน

“เอ… เกิดอะไรขึ้นกันน้า…” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมาก่อนเขาจะยกโทรศัพท์มาโทรหาเพื่อน “ออกไปกันก่อนเลย ไปที่บ้านพักส่วนตัวฉันเหมือนเคยก็ได้ เดี๋ยวให้คนดูแลบ้านไขกุญแจให้ ขอตรวจความเรียบร้อยในบ้านซะหน่อยว่ามีใครแอบทำอะไรไม่ดีไว้รึเปล่า หึๆๆ”



“คุณโคลวิส ยังอยู่รึเปล่าครับ?” ลาซารัสที่ยังโดนผูกผ้าปิดตาไว้เรียกหาคนที่ถูกพามาด้วยกัน เพราะก่อนหน้านี้อัลก็ถูกคนอื่นลากลงไปจากรถกลางคัน เขาจึงกังวลกลัวว่าเพื่อนโอเมก้าอีกคนที่ติดร่างแหมาด้วยจะเป็นอันตราย

“ยังอยู่ดี นายล่ะเป็นยังไงบ้าง?” เสียงตอบรับที่ดังชัดทำให้เบาใจว่าทั้งคู่ยังอยู่ด้วยกันไม่มีใครหายไปไหน แต่มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดแบบนี้ก็ใจเสียได้เหมือนกัน “ยังเจ็บอยู่รึเปล่า?”

“...ก็พอตัวครับ” โอเมก้าอ่อนวัยกว่าตอบพลางเอามือที่โดนจับมัดไพล่หลังลูบข้อมือข้างที่โดนบังคับถอดนาฬิกาออกไป เพราะคนพวกนั้นพยายามที่จะถอดทิ้งออกไปให้ได้จึงลงมือหนักเสียจนนึกว่าโดนตัดข้อมือทิ้งไปแล้วซะอีก

“ตอนนี้มีแค่พวกเราสองคนสินะ” โคลวิสถามเสียงเบาเพราะไม่แน่ใจว่ายังมีคนเฝ้าอยู่มั้ย

“น่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ ไม่ได้ยินเสียงคนอื่นคุยกันมาสักพักแล้วด้วย”

“นี่...แล้วทำไมคนพวกนั้นถึงต้องการตัวนายล่ะ?” บาริสต้าหนุ่มเอ่ยสิ่งที่ตนคาใจมาตลอดทาง “...คือฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะสงสัยนายหรอกนะ แต่แบบว่ามัน...”

“อา เข้าใจครับ” โดนจับมาโดยไม่รู้อะไรเลยแบบนี้เป็นใครก็ต้องวิตกเป็นเรื่องธรรมดา “แต่...ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าเป็นพวกไหน แต่ถ้าจะให้เดา...คงเป็นฝีมือพวกพี่ๆของคุณหมอคาเล็ม”

“คุณหมอ? ที่เป็นเพื่อนคุณริชาร์ดน่ะเหรอ? แล้วพี่ชายคุณหมอคนนั้นมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย?”

“อ่า...เรื่องมันค่อนข้างซับซ้อนน่ะครับ ถ้าให้เล่าแบบละเอียดคงยาว...”

ลาซารัสจึงเล่าเรื่องแบบรวบรับที่สุดเท่าที่พอจะทำให้โคลวิสเข้าใจสถานการณ์ระหว่างพวกเขาสามคน กับปัญหาคาราคาซังของพี่น้องรอสเกรย์เท่าที่พอจะเล่าให้ฟังได้

“ขอโทษนะครับที่พาคุณกับคุณอัลมาซวยไปด้วย”

บาริสต้าหนุ่มได้ฟังเรื่องราวเกือบทั้งหมดก็เลยกระจ่างเสียทีว่ามันมีที่มาที่ไปยังไง เขานิ่งไปราวกับกำลังใช้ความคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมา ที่จริงแล้วเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นความผิดของลาซารัสเลยแม้แต่น้อย มีแต่พวกอัลฟ่าหัวเก่านี่แหละที่มักก่อปัญหาสร้างความลำบากให้กับโอเมก้าอย่างพวกเขา

“เรื่องนั้นน่ะช่างมันก่อนเถอะ แต่ถ้าลองเป็นแบบนี้ก็เท่ากับว่าตอนนี้นายกำลังตกอยู่ในอันตรายสุดๆเลยไม่ใช่เหรอ” แม้ว่าตนจะถูกพาตัวมาด้วยแต่ก็ยังไม่น่าห่วงเท่าลาซารัสที่ตกเป็นเป้าหมายตั้งแต่แรก

“ผม…” ลาซารัสเม้มริมฝีปากแน่น เจ็บใจที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้เลยในเวลาแบบนี้ ทั้งๆที่ตลอดหนึ่งปีมานี้เขาพยายามเรียนรู้วิธีการที่จะปกป้องตัวเองจนมั่นใจว่าจะสามารถดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องรบกวนหรือให้ใครคุ้มครอง แบบนี้ก็เท่ากับว่าเขาไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนเลยสักนิด “ไม่ต้องกลัวนะครับคุณโคลวิส ผม...ผมจะปกป้องคุณเอง!”

“หา?” โอเมก้าหนุ่มหัวสีงงไปหมดที่จู่ๆ ลาซารัสก็พูดอะไรเหมือนพระเอกหนังออกมาในเวลาแบบนี้ จากที่เครียดจนถึงเมื่อครู่ก็พลันหลุดหัวเราะออกมา “ฮะๆๆ! โทษทีๆ ไม่ได้ตั้งใจหัวเราะนายนะ”

“ไม่เป็นไรครับ” ลาซารัสยิ้มให้ตัวเอง นั่นสินะ...จะช่วยคนอื่นก็เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะลาซัสเอ๋ย…

“ขอบใจนะ” โคลวิสยิ้มบาง แต่เพราะปิดตาอยู่ลาซารัสจึงไม่ได้เห็นว่าเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยคามเศร้าเล็กๆ เอาไว้ด้วย

อา...พอจะเข้าใจขึ้นมาแล้วล่ะว่าทำไมคุณริชาร์ดถึงได้ชอบนาย ถึงจะดูซื่อๆ อ่อนโลกตามใครไม่ค่อยทัน แต่ความตรงไปตรงมาและสดใสแบบนี้ เป็นใครก็คงหลงรักได้ไม่ยากหรอก

“ถ้านายเป็นอะไรไป คุณริชาร์ดคงเสียใจมากแน่ๆ...” เสียงของโคลวิสเบาลงเมื่อเอ่ยถึงชื่ออัลฟ่าคนนั้นออกมา “นายนี่...น่าอิจฉาจริงๆเลย”

“คุณโคลวิส…”

เสียงประตูเปิดออกขัดบทสนทนาระหว่างสองโอเมก้าที่ถูกจับมา เสียงฝีเท้าก้าวเดินตรงไปหาลาซารัสก่อนจะโดนปลดผ้าปิดตาออก ดวงตาสีฟ้าสดค่อยๆลืมตาขึ้นและเงยหน้าเพื่อมองดูว่าใคร และก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มเบต้าผมสีอ่อน อายุน่าจะมากกว่าตนหลายปีอยู่ ดูๆไปแล้วไม่น่าจะใช่พวกที่จับตัวเขามาแต่ก็รู้สึกไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย สายตาจ้องมองมาที่เขาอย่างพินิจพิจารณา มันเหมือนกับ...สายตาของเหล่าผู้คนที่สวมหน้ากาก เป็นสายตาที่จดจ้องเพื่อประเมินมูลค่าสินค้าเหมือนในงานซื้อขายตลาดมืดครั้งนั้น

“ตาสวยดีนี่นา…” ปลายนิ้วมือกดลงมาที่ใบหน้าของลาซารัสพร้อมกับสายตาที่แสนชิงชังจ้องมองราวกับจะควักลูกตาออกเสียให้ได้ “ลุกขึ้นแล้วตามมานี่”

“จะพาเขาไปไหน!?” แม้ตามองไม่เห็นแต่โคลวิสก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนอื่นๆที่เข้ามาหิ้วตัวลาซารัสออกไป ก่อนที่เขาจะโดนปลดผ้าปิดตาออกบ้าง ชายหนุ่มเบต้าคนเดิมจ้องมาที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า

“คนนี้ฉันไม่ได้บอกให้พาตัวมา ถ้าพวกนายอยากจะเอามาเล่นสนุกก็ตามสบาย...” พูดจบก็เดินหันหลังให้อย่างไม่ใยดี สิ้นเสียงประตูปิดลงพร้อมสลักกลอน กลุ่มชายที่ลักพาตัวโอเมก้าก็พากันจ้องมองมาที่โคลวิสและคุยกันว่าจะเอายังไง

“ก็อยากทำอยู่หรอก แต่เอาไปขายแล้วแบ่งเงินกันใช้ดีกว่า” ข้อเสนอที่ต่างคนต่างเห็นดีเห็นงาม ทว่าตัวคนที่กำลังจะถูกเอาไปขายนั้นหน้าถอดสีจนแทบไร้เลือดฝาด

“หน้าตาน่ารักใช้ได้อยู่ แต่ว่าจะมีตำหนิรึเปล่า ไหนดูซิ” หนึ่งในคนเหล่านั้นจับหัวโคลวิสกดเอาหน้าลงกับพื้น “ว้า...มีรอยกัดอยู่ที่หลังคอด้วยแฮะ แบบนี้ราคาก็ตกหมดสิ”

“เอาน่า คิดซะว่าหาเงินค่าขนมละกัน” คนที่นั่งยองๆข้างๆโคลวิสซึ่งโดนจับกดลงพื้นจนขยับแทบไม่ได้เอ่ยติดตลก แต่คนฟังไม่ตลกไปด้วย มือหยาบไล่เขี่ยเส้นผมและไล้ลงมาตามซอกคอ “แต่ว่า...ก่อนจะส่งสินค้าเนี่ย เดี๋ยวต้องขอลองเช็คสภาพทั้งตัวดีๆก่อนนะ เกิดมีตำหนิอื่นอีกล่ะก็ยุ่งเลย”

ไอ้การเช็คสภาพเนี่ย.. โคลวิสกำลังคิดถึงกรณีเลวร้ายที่สุดไว้อยู่เลย…


“นี่มัน..” ลาซารัสโดนจับลากตามมาหยุดในห้องนอนขนาดใหญ่ห้องหนึ่งที่ตกแต่งหรูหรา ทว่าโดนปิดม่านและไฟแทบจะมืดสนิท มีเพียงแสงเรืองๆผ่านม่านบางที่หน้าต่างกว้างส่องเข้ามาเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาไม่มีกะใจจะพินิจความสวยงามของการตกแต่ง แต่สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่คนๆหนึ่ง ซึ่งนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียงกว้างราวกับไร้ชีวิต ผู้ชายที่เขาเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ตอนที่ริชาร์ดเข้าโรงพยาบาล

“คุณคาร์บฮอลล์?”

“รู้จักด้วยเหรอ? งั้นก็ดีเลย จะได้รู้ว่าต้องทำอะไร” เบต้าหนุ่มที่ตอนนี้สวมเสื้อคลุมคล้ายแพทย์ปลดพันธนาการที่ข้อมือเขาออก แต่ลาซารัสก็ไม่สามารถต่อต้านได้เพราะบอร์ดี้การ์ดสองคนข้างหลังนั้นยกมือขึ้นจับกระบอกปืนตรงเอวรอไว้อยู่แล้ว

“คุณจะทำอะไร?” ก่อนลาซารัสจะได้คำตอบ เขาก็เห็นอีกฝ่ายหยิบขวดน้ำหอมเล็กๆออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะหยดมันลงบนทิชชู่

“นิ่งๆซะ” ชายที่ลาซารัสกำลังนึกว่าเป็นใครอยู่นั้นเอาทิชชู่เช็ดป้ายไปทั่วคอของเขาซึ่งโดนปลดปลอกคอทิ้งไปตั้งนานแล้ว “คนรักของเจ้าคาเล็มอยู่นี่แล้วครับคุณคาร์บฮอลล์”

สิ้นเสียงของชายตรงหน้า จู่ๆร่างที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงบนเตียงก็เริ่มขยับตัว เท่านั้นเองลาซารัสก็รู้ว่าสิ่งที่เขาโดนทาไว้คืออะไร

“ไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอกนะ แต่ฉันต้องสานต่อความฝันของเขา อย่างน้อยก็ให้สำเร็จสักเรื่อง” แพทย์ประจำตัวของคาร์บฮอลล์เอามือล้วงกระเป๋าหยิบเข็มฉีดยาขึ้นมาแล้วบอกให้บอร์ดี้การ์ดล็อคตัวโอเมก้าหนุ่มเอาไว้ “ถ้าดิ้นมากๆ ระวังเข็มจะหักคาไม่รู้ด้วยล่ะ”

“คุณทำแบบนี้ทำไม!?” ลาซารัสไม่ยอมอยู่นิ่งอีกต่อไป แม้จะไม่รู้ว่าเข็มฉีดยานั่นคืออะไรแต่ดูจากรูปการณ์แล้วคงเป็นยากระตุ้นสักอย่างแน่นอน “ปล่อยผมนะ!”

“คุณคาร์บฮอลล์อยู่ได้อีกไม่นานแล้ว…” มือที่ถือเข็มฉีดยาคลำหาเส้นที่แขนของลาซารัสซึ่งโดนบอร์ดี้การ์ดจับไว้แน่น “ฉันจะต้อง...ทำให้เขามีความสุข”

“แต่ทำแบบนี้มันไม่ถูกต้อง!” ลาซารัสงัดแขนขึ้นปัดเข็มออกจนมันกระเด็นหล่นพื้น หลอดที่ทำจากแก้วแตกจนยาหกหมด สายตาของแพทย์เบต้าเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาจับขั้วหัวใจ

“หุบปาก…” เข็มฉีดยาสำรองถูกหยิบออกมาอีกครั้ง “จะถูกหรือผิดฉันไม่สน แกน่ะอยู่นิ่งๆไปซะ”

ฉึก!!



…….

‘คุณ...หมอ’



TBC.

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
กรี๊ดดดดด  :z3: :z3:

อย่าให้มีอีกซ้ำสองเลย แค่ริชาร์ดก็พอแล้ว

ขอให้คาเร็มไปช่วยทันเถอะนะ ฮือ

ทั้งเด็กคุณริชาร์ดก็ด้วย อย่าให้พวกนั้นได้ทำอะไรเลย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ทำม้าย อะไรๆ ต้องประเดประดังมาที่ลาซาลัส
พวกนี้ไม่มีปัญญาหาคู่ของตัวเองจริงหรือนี่
ทั้งที่เป็นอัลฟาซะเปล่า ดีแต่แย่งคนของน้องชาย
เป็นอัลฟ่าห่วยแตก ไม่มีฝีมือ
พวกลูกขุนพลอยพยัก ก็พยักตามแบบทูนหัวทูนเกล้า
นายเป็นบ้า ขี้ข้าเป็นบอ ชัดๆ

ลาซาลัส ต้องไม่เป็นนายบำเรอคาร์บฮอลล์ นะ  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ pichi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
    • PICHI Otakura

บทที่ 14.5




‘โซลเมท’ หรือ ‘คู่แห่งโชคชะตา’ สำหรับอัลฟ่าและโอเมก้าแล้วมันคือคำเรียกคู่แท้ที่เกิดมาเพื่อกันและกัน ไม่ว่าจะแตกต่างกันด้วยชาติกำเนิดหรือสถานะทางสังคม ทุกอย่างล้วนไร้เหตุผลเมื่อโชคชะตาได้ลิขิตให้คนสองคนถูกดึงดูดเข้าหากัน และการที่โซลเมทจะเกลียดกันตั้งแต่แรกพบนั้นเรียกว่าแทบจะไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้นเลย


...แต่คนบางคน ให้ตายยังไงก็ไม่เชื่อในเรื่องคู่แท้พรหมลิขิตนี่น่ะสิ



…..

……….


“คุณคาร์เมนนี่ชื่อคล้ายผู้หญิงเลยนะครับ โอ๊ย!” ลาซารัสโดนเตะหน้าแข้งลงโทษเพราะดันเผลอพูดสิ่งที่คนฟังไม่อยากจะได้ยิน “ทำอะไรน่ะครับ ผมแค่จะบอกว่าชื่อเพราะดีเท่านั้นเอง”

“ชมว่าชื่อเพราะอย่างเดียว จะแซวว่าเหมือนชื่อผู้หญิงไปเพื่อ?” สาเหตุที่โอเมก้ารุ่นพี่เคืองไม่ใช่เพราะชื่อตนคล้ายผู้หญิงหรอก แต่มันเป็นชื่อของผู้หญิงเลยต่างหาก! “ตอนที่แม่ท้อง แม่คิดว่าฉันต้องเกิดมาเป็นลูกสาวแน่ๆ ก็เลยตั้งใจเลือกชื่อนี้ แต่ดันออกมาเป็นลูกชาย...แถมเป็นโอเมก้าอีก”

สงสารอยู่หรอก แต่ก็เอ็นดูแปลกๆ...

หลายเดือนแล้วที่ลาซารัสไม่ได้เจอหน้าคาเล็มเลย ที่พอจะได้เห็นหน้ากันบ้างก็เพียงแค่ตอนที่นัดตรวจดูผลของยานานๆครั้งเท่านั้น รอบนี้ก็เหมือนกัน เขาเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลมาหลังจากแอดมิดเข้าไปได้เกือบอาทิตย์ ยาที่คาเล็มปรับเพิ่มให้ ปริมาณมันมากเกินจะรับไหว พอสะสมในร่างกายมากๆเข้า ร่างกายของเขาก็ทรุดลงถึงขนาดอาเจียนไม่หยุด  ตอนนี้เลยต้องหยุดยาแล้วกลับมาใช้ยาตัวเก่าปริมาณเท่าเดิมระหว่างรอคาเล็มปรับยาตัวใหม่…

หลังจากกลับมาพักฟื้นที่บ้านของริชาร์ดได้แล้ว จู่ๆ คาร์เมนก็โทรมาชวนเขาออกมาเตร็ดเตร่เสียอย่างนั้น แต่เขาก็ไม่ปฎิเสธเพราะอาการดีขึ้นจนแทบจะเรียกว่าเป็นปกติแล้ว

อา...อันที่จริงคือคาร์เมนไม่ยอมให้เขาปฎิเสธด้วยแหละ ...เหมือนทุกๆครั้ง.. เพราะคาร์เมนต้องการหลบหน้าเออร์แฟน ก็เลยมักจะโทรมาชวนเขาออกไปข้างนอกเสมอ ทั้งที่เคยบอกให้เขาเลิกยุ่งเกี่ยวกับคุณหมอเลยนึกว่าจะพาลไม่ชอบหน้าเขาซะอีก..เป็นคนที่เข้าใจยากชะมัดเลย

“แล้วคุณแม่ไม่ให้เปลี่ยนชื่อเลยเหรอครับ?”

“เปล่า...แม่ไม่ห้าม แต่ฉันไม่เปลี่ยนเอง” โอเมก้าหนุ่มรุ่นพี่หันไปคว้าจานแพนเค้กราดน้ำผึ้งไซรัปมากินตั้งแต่พนักงานเสิร์ฟยังไม่ทันเอามาวางตรงหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ

ลาซารัสมองคาร์เมนที่จ้วงแพนเค้กหนาสามชั้นกินแบบไม่กลัวเบาหวานพุ่ง คุณหมอก็อีกคน...เห็นคุณเรนเดลบอกว่าต่อให้ทำงานจนลืมกินลืมนอนยังไง แต่ขนมหวานกับกาแฟนี่ขาดไม่ได้เด็ดขาด ทำไมสองพี่น้องคู่นี้ถึงได้ชอบของหวานกันขนาดนี้นะ

“เอ่อ..วันนี้เรียกผมออกมาข้างนอกทำไมเหรอครับ?”

“บอกแล้วนี่ว่าจะพาไปเที่ยวเปิดหูเปิดตา” คาร์เมนวางส้อมลงและหยิบกระดาษเช็ดปากหลังจากทานจนหมด นี่กินหรือยัด เร็วไปแล้วครับ!

“รู้ครับ ว่าแต่จะไปที่ไหนเหรอ ทำไมถึงไปกันแค่สองคน?” ตอนที่น้องชายคุณหมอคาเล็มโทรนัดให้มาเจอกัน เขาคิดว่าโอเมก้าหนุ่มรุ่นพี่จะชวนคนอื่นๆ ไปด้วยซะอีก

“โฮสต์อัลฟ่า” 

พรูดดด!

ชามินท์ที่ลาซารัสดื่มไปพุ่งพรวดออกจากปากทันที “หา!? อะ...ขอโทษครับ!” ดวงตาสีฟ้าจ้องไปยังโอเมก้ารุ่นพี่ที่กำลังซับหน้าเพราะชามินท์กระเด็นเข้าหน้าเต็มๆ

“เฮ้ยๆ  แค่เที่ยวโฮสต์ไม่ได้ไปซื้อบริการอย่างว่าสักหน่อย อ่ะ...แต่อย่างหลังนั่นฉันก็ตั้งใจจะไปซื้อของฉันเองอยู่แล้วล่ะนะ” คาร์เมนถอดแว่นกันแดดออกมาเช็ด ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็รู้สึกว่าดวงตาสีเขียวอ่อนของคาร์เมนมีเสน่ห์ดึงดูดมากจริงๆ นั่นแหละ

“แล้วมันจะไม่เป็นอะไรเหรอครับ เราสองคนเป็นโอเมก้าทั้งคู่เลยนะ”

“เมื่อก่อนฉันเคยไปร้านนี้ประจำ ปลอดภัยหายห่วงน่ะ” พอใส่แว่นกลับก็มองดูสีหน้าของโอเมก้าหนุ่มรุ่นน้องที่ยังกังวลอย่างปิดไม่มิด “ถ้ากลัวล่ะก็จะฉีดน้ำหอมกับกินยาดักไว้ก่อนก็ได้”

“แล้ว...ไม่ไปไม่ได้เหรอครับ” เขาพยายามปฏิเสธ เพราะก่อนหน้านี้ก็เจอเหตุการณ์อะไรๆ มาหลายเรื่อง จะระแวงพวกอัลฟ่าบางคนก็ไม่แปลกหรอก “อีกอย่าง...ผมกลัวคุณหมอจะรู้ว่าผมไปเที่ยวที่แบบนั้นด้วย”

คาร์เมนยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม ก็ไม่ได้คิดว่าลาซารัสจะโอเคกับคำชวนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้เขาก็เพิ่งลองโทรไปชวนโคลวิส และก็โดนปฏิเสธมาแบบเดียวกัน ซึ่งอันที่จริงจะไปว่าทั้งคู่ก็ไม่ได้หรอก ในเมื่อสองคนนี้มีคนรักกับคนที่แอบชอบอยู่แล้ว จะไปเที่ยวสนุกเหมือนคนที่ไม่มีใครผูกมัดเห็นทีคงจะไม่ถูกนัก

“ก็ได้ๆ ไว้ถ้าเกิดวันไหนสนใจอยากลองเมื่อไหร่ก็บอกละกัน” คาร์เมนจ้องดูลาซารัสที่ถอนหายใจโล่งอก “...โทษทีที่ทำให้เสียเวลานะ”

โอเมก้าหนุ่มรุ่นพี่ลุกขึ้นและวางเงินไว้ให้ลาซารัสเช็คบิล ส่วนตัวเองเดินเปิดประตูออกจากร้านแล้วโบกรถแท็กซี่ขึ้นรถไปทันที

“คุณคาร์เมน! อ่า...ไปซะแล้ว” ลาซารัสรีบเดินตามออกมาแต่ก็ไม่ทัน ดวงตาสีฟ้าได้แต่มองตามแท็กซี่คันที่คาร์เมนนั่งไป อันที่จริงเขาก็อยากจะตามไปดูแลเผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่มาคิดดูแล้วคงไปขัดแข้งขัดขาโอเมก้ารุ่นพี่เสียมากกว่า


จริงๆแล้วใช่ว่าคาร์เมนจะอยากมาเที่ยวหาความสำราญเหมือนเมื่อก่อนหรอก แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ในหัวก็มีแต่จะคิดถึงหน้าเจ้าอัยการอัลฟ่าคนนั้น

ให้ตายเถอะ...อยู่มาจนจะสี่สิบแล้วทำไมเพิ่งจะมามีความรู้สึกใจเต้นเวลานึกถึงหน้าใครคนอื่นนอกจากพี่ชายของตัวเองด้วยนะ
แถม...นับวันเออร์แฟนยิ่งทำตัวแปลกขึ้นทุกที เจอหน้ากันครั้งแรกยังกัดกันจะเป็นจะตายอยู่เลย

หลังจากที่คาเล็มให้แหวนกับลาซารัสไป ไม่กี่วันต่อมาเออร์แฟนก็ดันโผล่มาพร้อมช่อดอกไม้ขนาดใหญ่ยื่นใส่หน้าเขาต่อหน้ามารดาแล้วขอคบเป็นแฟนซะอย่างนั้น! แน่นอนว่าเขาปฎิเสธเสียงแข็งตอนที่หมอนั่นมาชวนไปเดท แต่เออร์แฟนพอรู้ว่าจีบเขาตรงๆไม่ได้ ก็เข้าหาแม่คาร่าของเขาหนักหน่วงขึ้นทุกวันๆ ทั้งซื้อข้าวของที่จำเป็นมาให้ ชวนคุณแม่และเรนเดลไปเที่ยวสปารีสอร์ทที่คนสูงวัยชอบกัน  พอว่างเมื่อไหร่ก็ยังมาช่วยดูแลถึงที่บ้านอีก จนคุณแม่คาร่าเริ่มหลงเสน่ห์อัยการหนุ่มมาดเจ้าชายแสนดีคนนี้ไปเต็มๆแถมไม่ใช่แค่เริ่มเอนเอียงเทใจไปให้ทางนั้น นี่บางทีแม่ยังหลงเข้าใจผิดคิดว่าโดนจีบซะเองอีก!!

แถม...นี่ก็ใกล้ช่วงฮีทของเขาแล้วด้วย เขาเองก็ฮีทเต็มๆเจ็ดวันต่อเนื่องในรอบปี เพราะงั้นยิ่งอยู่ใกล้ไอ้เออร์แฟนไม่ได้เด็ดขาด! ขืนรู้ว่าเขากำลังจะฮีท มีหวังกุลีกุจอตามติดยิ่งกว่าเดิมให้น่ารำคาญไปอีก

“ฮัลโหล กำลังไปหานะ” คาร์เมนยกโทรศัพท์ขึ้นมาพูดกับปลายสายที่นานๆ จะติดต่อไปสักที แต่คุยเพียงเท่านั้นแล้วก็วางสายไป แท็กซี่แล่นเข้าไปในย่านสถานบันเทิงที่ตอนนี้ยังไม่มีร้านไหนเปิดบริการเต็มรูปแบบดีนักเพราะยังไม่ทันจะถึงเวลาที่ลูกค้าจะออกท่องราตรีเลย

คาร์เมนจ่ายเงินและลงจากแท็กซี่ก่อนเดินตรงไปยังจุดหมายของตัวเอง ร้านโฮสต์อัลฟ่าที่เปิดบริการในตรอกเล็กๆ ขนาดร้านไม่ใหญ่มาก แต่ตกแต่งอย่างเป็นกันเองและค่อนไปทางน่ารักน่านั่งเพราะมีกลุ่มเป้าหมายเป็นโอเมก้าขี้เหงาหรือไม่ก็…

“จะเข้าช่วงฮีทของนายแล้วนี่นะ” สาวสวยร่างสูงใหญ่ในชุดสูทลำลองเดินออกมาเปิดประตูร้านต้อนรับเขา ผมสีน้ำตาลยาวสลวยถูกมัดรวบเป็นหางม้าต่ำเพื่อความคล่องตัวในการทำงาน ใบหน้าบ่งบอกถึงวัยที่เริ่มมากแต่ก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับคาร์เมน กระนั้นก็จัดเป็นผู้หญิงสวยดุและเป็นผู้ใหญ่ที่ทรงเสน่ห์อยู่ดี

“ร้านเพิ่งเปิดเหรอ?” คาร์เมนเลิกคิ้ว เขานึกว่าตอนนี้ร้านคงเปิดเสร็จเรียบร้อยแล้วเสียอีกเลยรีบบึ่งมา จำได้ว่าแต่ก่อนร้านมักเปิดตั้งแต่ยังไม่ทันตะวันจะตกดิน

“ใช่ ช่วงนี้พวกคนเก่าๆ เริ่มออกไปมีครอบครัวกันบ้างแล้ว คนที่เหลืออยู่ก็คงรับแขกได้ไม่มากเหมือนเมื่อก่อน เลยเปิดช้าลงแล้วก็ปิดไวขึ้น” หญิงสาวเดินไปหลังเคาท์เตอร์ที่อยู่หน้าร้านแล้วควานเอาขวดวิสกี้ออกมารินให้คาร์เมน

“ให้หาคนใหม่มาให้อีกมั้ยล่ะ?” คาร์เมนถามพลางยกวิสกี้ขึ้นดื่มไปสองสามอึก “พวกอัลฟ่าหน้าใหม่ฐานะค่อนไปทางแย่ที่อยากได้เงินน่าจะมีเยอะอยู่”

“ก็เปิดรับสมัครเรื่อยๆ แหละ แต่คนที่ทัศนคติผ่านน่ะแทบไม่มี”

“ยังเฮี้ยบไม่เปลี่ยนเลยนะ สเตล่า”

“แหงสิ ไม่งั้นพวกโอเมก้าอย่างนายจะมีที่ไหนให้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวได้อย่างปลอดภัยอีก” สเตล่ายิ้มส่งให้ ก่อนยกแก้วตัวเองขึ้นไปชนกับแก้วของคาร์เมนจนเกิดเสียงใสกังวาล

“อ่ะ นั่นคุณคาร์เมนนี่นา!” เสียงใสของหนุ่มวัยรุ่นหลายคนดังจอแจมาจากทางประตูหลังร้าน เหล่าอัลฟ่าแสนดูดีในหลากหลายสไตล์การแต่งตัวค่อยๆทยอยออกมาจากหลังร้าน เมื่อพวกเขาเห็นคาร์เมนก็ยิ้มส่งให้อย่างเป็นมิตรกันแทบทุกคน “หายไปนานเลยนะครับ”

“สวัสดี สบายดีมั้ยพวกแก” คาร์เมนยิ้มตอบและถอดแว่นกันแดดตัวเองออก มีแค่ที่นี่เท่านั้นแหละที่เขาเต็มใจที่จะมองอัลฟ่าที่รายล้อมอย่างยินดี พลางยื่นมือไปหาของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ผายมือมาให้ อีกสองสามคนเริ่มเดินมานั่งข้างๆและยืนล้อมเขาไว้เหมือนเป็นคนสำคัญของที่แห่งนี้

“ดูแลไปก่อนนะ เฮ้...นายสองคนน่ะมาช่วยกันจัดโต๊ะทีสิ” สเตล่าเดินออกจากเคาท์เตอร์ไปและลากพวกเด็กหนุ่มอัลฟ่าไปช่วยจัดการในร้านก่อนถึงเวลาเปิดประตูให้เรียบร้อย ปล่อยให้คาร์เมนได้รับการดูแลจากโฮสต์หนุ่มสาวอัลฟ่าที่เป็นลูกจ้างของตน และแน่นอนว่าคาร์เมนก็เป็นขาประจำของที่นี่รวมทั้งเป็นคนคอยดูแลเรื่องหาคนมาทำงานในนี้อีกด้วย

“ทำไมดูทำหน้าเครียดๆ จังเลยคะ?” อัลฟ่าสาววัยรุ่นคนหนึ่งจับสังเกตได้เลยถามออกไป

“เฮ่อ...ก็ดันเจออัลฟ่าหัวรั้นมาตอแยน่ะสิ” คาร์เมนเท้าคางและเริ่มบ่นกระปอดกระแปด

“ปกติคุณคาร์เมนก็ไล่ตะเพิดไปได้ทั้งนั้นนี่ครับ? ครั้งนี้เจอคนขี้ตื๊อเหรอ?” หนุ่มอัลฟ่าผมดำผิวเข้มที่นั่งข้างๆ ทำสีหน้าเป็นกังวลเพราะหนนี้คาร์เมนดูเหนื่อยหน่ายอย่างบอกไม่ถูก

“สุดๆ เลยล่ะ ไม่รู้ว่าทำไมต้องยึดติดขนาดนั้น เบื่อจนต้องหนีมาที่นี่เลยแหละ”

“คุณคาร์เมนกำลังจะฮีทเลยเริ่มเสน่ห์แรงมั้งครับ?” ฟังดูอาจเหมือนคำชม แต่ในที่นี้ความหมายก็คือกลิ่นโฟโรโมนของคาร์เมนจะรุนแรงจนเขาสามารถตกอัลฟ่ารอบๆ ตัวมากินได้ไม่อั้น....

“หรืออาจจะคิดว่าคุณคาร์เมนเป็นโซลเมทอีกคนก็ได้มั้งคะ” สาววัยรุ่นนางเดิมเอ่ยขึ้น ที่ผ่านมาก็มีคนที่ชอบใช้มุกโซลเมทบอกรักคาร์เมนมาหลายราย แน่นอนว่าก็โดนถีบส่งไม่ใยดีไปทั้งหมด

“.....” แต่แทนที่โอเมก้ามากวัยท่ามกลางดงอัลฟ่าอ่อนวัยเหล่านั้นจะเล่นมุขอะไรต่อเหมือนอย่างเคย เขากลับเงียบและจิบวิสกี้อย่างเคร่งเครียดแทน ทำเอาเด็กๆ ที่รายล้อมร้องกันเสียงหลง

“เอ๋!? คุณคาร์เมนเจอโซลเมทจริงๆ แล้วเหรอครับ!?”

“ใช่! ...แต่ฉันไม่เชื่อเรื่องแบบนั้นหรอกนะ!” คาร์เมนตะคอกออกมา แต่ก็ไม่มีใครตรงนั้นตกใจกลัวหรือไม่พอใจ เพราะรู้นิสัยโอเมก้าคนนี้กันดีว่าที่ทำไปก็แค่ตะเบ็งเสียงดังกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างเท่านั้น “เรื่องหลอกเด็กแบบนั้นมันไม่เคยมีอยู่จริงหรอกน่า!!”

“นั่นสินะครับ ยังพิสูจน์กันทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ด้วย อาจจะแค่ใจตรงกันเลยเรียกกันสวยๆ ว่าโซลเมทเนอะ” อัลฟ่าอีกคนที่ดูนิ่งสงบที่สุดท่าทางจะเป็นงานในเรื่องการปลอบประโลมอารมณ์ลูกค้าให้เย็นลงเริ่มออกปากและเดินมาบีบนวดบ่าคนหัวเสีย “ว่าแต่ จะเข้าช่วงฮีทแล้วใช่มั้ยครับ? ได้บอกคุณแม่ไว้รึยัง?”

“บอกแล้ว”

“สมเป็นคุณคาร์เมน รอบคอบจริงๆ คราวนี้หาคนดูแลคุณแม่ได้ไวสินะครับ”

“อ๋อ ยังไม่ได้บอกพวกนายนี่นา ฉันเจอพี่ชายแล้วล่ะ ตอนนี้เลยให้พี่กับพ่อบ้านของพี่ช่วยดูแลแม่ด้วยอีกแรง”

“จริงเหรอคะ! ยินดีด้วยน้า คุณคาร์เมนอยากเจอพี่ชายคนนั้นมาตลอดเลยสินะคะ” เด็กสาวเดินจากเก้าอี้ไปหาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟเพิ่มเพื่อฉลอง ใครๆ ในที่นี้ก็รู้ว่าคาร์เมนนั่นแอบชอบพี่ชายตัวเองที่ไม่เคยเจอหน้ามากขนาดไหน

“งั้น...ได้ลองกับคุณพี่รึยังเอ่ย?” เด็กหนุ่มผมฟูบุคลิกเหมือนพวกดาราหลงยุคเดินมาทำหน้าทะเล้นใส่

“ไม่.. พี่ไม่เปิดช่องให้เลย แถมยังมีคนรักแล้วด้วย” คำตอบที่ทำเอาทั้งวงเงียบกริบ คาร์เมนยกแก้ววิสกี้ขึ้นดื่มจนหมดแล้วลุกเดินไปนั่งตรงโซฟาที่มุมในสุดของร้านเพื่อไม่ให้กินพื้นที่หากลูกค้าคนอื่นจะเข้ามา เมื่อไปถึงโซฟาก็เริ่มกอดรัดฟัดและทำร้ายตุ๊กตาตัวโตตรงนั้นอย่างหาที่ลงไม่ได้ “ให้ตายสิ! ก็รู้อยู่หรอกว่าอายุขนาดนั้นพี่คงมีแฟนอยู่แล้ว...แต่มันก็...ฮึ่มมมม!!”

ทว่า แม้จะแสดงกิริยาไม่งามเช่นนั้นออกไป เหล่าอัลฟ่าในร้านกลับไม่ได้รังเกียจแต่อย่างใด ซ้ำยังคิดว่ามันเป็นท่าทางที่น่ารักมากกว่าด้วยซ้ำ

“เอ้าๆ เปิดร้านแล้ว แยกย้ายๆ” สเตล่าเดินมาไล่เหล่าลูกจ้างให้กลับไปทำงานตามเดิม แล้วตัวเองก็เดินมารินวิสกี้ให้คาร์เมนอีกแก้ว “ได้ยินว่าเจอโซลเมทแล้วสินะ ...ไม่ชอบอีกฝ่ายรึไง?”

“เกลียดสุดๆ!” พูดแล้วก็กอดตุ๊กตาตัวใหญ่แน่นและล้มตัวลงนอนกลิ้งไปบนโซฟา

“เลวร้ายขนาดนั้นเชียว?” สเตล่าหัวเราะในลำคอแล้วเดินมานั่งข้างหัวคาร์เมน ก่อนโอเมก้าร่างเล็กกว่าเธอจะขยับตัวขึ้นมานอนหนุนตักในท่ากอดตุ๊กตาตัวเดิม

“...รู้จักเออร์แฟน คาเฮวย์มั้ย?”

“อัยการที่ว่าหล่อ เอ้อ...ชื่อดังคนนั้นเหรอ!?” คุณสเตล่าครับ...ความในใจมันหลุดออกมานิดหนึ่งแล้วนะนั่น

“อือ ถึงตอนนี้จะมาช่วยพลิกคดีของพี่แล้ว แต่สิ่งที่เจ้านั่นเคยทำไว้ก็ใช่ว่าจะลบล้างได้นี่นา”

“ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจนะ แต่มันก็อดีตไปแล้วนะเรื่องนั้น แล้วเขามาช่วยพี่นายด้วยความเต็มใจหรือเปล่าล่ะ?” สเตล่าลูบเรือนผมสีเข้มของอีกฝ่ายเบามือคล้ายปลอบประโลม

“...เห็นว่าเพราะรู้สึกผิดกับเรื่องนั้นเลยมาช่วยพี่น่ะ” คาร์เมนเสียงอ่อนลง

“นิสัยล่ะ? หน้าตาก็ได้”

“นี่อยากรู้ไปทำไมน่ะ!?”

“ก็จะถามว่าใช่คนนี้รึเปล่า?”

“หา?” คาร์เมนเงยหน้ามองเพื่อนอย่างฉงนสงสัยก่อนไล่สายตามองตามเรียวนิ้วอีกฝ่ายไป...แล้วก็พบกับเออร์แฟนที่ยืนมองเขาอยู่! “เวรเอ๊ย!! แกมาที่นี่ทำไม!?”

“มาตามคุณกลับไงครับ” เออร์แฟนเอ่ยเสียงเรียบด้วยใบหน้านิ่งเฉยอันเป็นสีหน้าปกติเวลาที่เขาทำงานข้างนอกอยู่แล้ว

“ไม่กลับ! ...แล้วรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่!?” คาร์เมนถอยกรูดไปจนติดขอบโซฟาอีกฝั่งเมื่อเห็นเออร์แฟนเดินเข้ามาใกล้ตน “สตอร์คเกอร์!”

“ลาซารัสบอก” ไม่พูดเปล่าแต่ยกมือถือขึ้นโชว์หน้าจอแชทที่ลาซารัสอธิบายว่าตัวเขากำลังจะไปที่ไหนด้วย

นี่มันขายเพื่อนชัดๆ เลยไอ้เจ้าหนูไฝ!!

“เดาจากนิสัยคุณแล้วก็เดินเช็คร้านโฮสต์อัลฟ่าที่เข้าข่าย แค่นี้ก็หาไม่ยากหรอกครับ แถมโอเมก้าลักษณะแบบคุณก็ไม่ค่อยจะมีเยอะนัก ยิ่งตามตัวเจอง่ายเข้าไปใหญ่”

“....ถ้าไม่กลับแล้วจะทำไมล่ะ?” คาร์เมนกอดอกแล้วมองอีกฝ่ายอย่างท้าทาย

“อืม ผมไม่มีสถานะอะไรที่จะขอร้องให้คุณกลับซะด้วยสิ แต่ถ้า…” นิ้วเรียวจิ้มสลับหน้าจอมือถือของตัวเองให้เป็นหน้าการโทรศัพท์...ที่กำลังโทรอยู่ด้วย โดยชื่อในสายนั้นมัน..

‘ฉันเคยขอให้นายเลิกเที่ยวร้านแบบนี้ไปแล้วนะ...’

เสียงของคาเล็มดังจากลำโพงโทรศัพท์ออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายปนเสียงถอนหายใจออกมาด้วย ทำเอาใจของคาร์เมนหล่นวูบลงไปอยู่ตาตุ่มกันเลยทีเดียว

‘บอกก่อนว่าลาซัสไม่ได้ฟ้อง ฉันเห็นพวกนายออกไปกันสองคน แต่พอฉันโทรเช็คกลับเจอลาซัสอยู่คนเดียวเลยเค้นถามเองน่ะ’

นี่พี่โอ๋เจ้าหนูนั่นขนาดนี้เลยเรอะ!… คาร์เมนแอบรู้สึกน้อยใจที่พี่ชายตนออกตัวปกป้องลาซารัสมากอย่างออกนอกหน้า แต่ถ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติล่ะก็ มันก็.. น่าหงุดหงิดชะมัดเลย

‘กลับมาแล้วขอคุยด้วยหน่อย แต่วันนี้ฉันคงยุ่งกับเอกสารยันดึกเลย คงได้คุยตอนเช้านะ’

คาเล็มตัดบทและวางสายไปโดยไม่รอให้น้องชายพูดตอบอะไร แต่คาร์เมนก็บอกไม่ได้อยู่ดีว่าเพราะเขากำลังจะเข้าช่วงฮีท เลยมาหาที่ระบายอย่างที่เคยทำมาตลอด แน่นอนว่ามันไม่เคยจะมีปัญหาด้วยเพราะทุกคนในร้านนี้ไม่ใช่พวกอัลฟ่าที่จ้องจะกดขี่โอเมก้าและการป้องกันก็ถูกต้องไว้ใจได้ เขาถึงได้มาที่นี่ตอนนี้ ...แต่ขืนพูดไปไม่รู้เจ้าเออร์แฟนจะยิ่งใช้โอกาสนี้กักตัวเขาไว้หรือรุกเข้าหาหนักกว่าเดิมรึเปล่านี่น่ะสิ!?

“ไปๆ กลับก็กลับ” โอเมก้ารุ่นใหญ่ร่างเล็กลุกขึ้นอย่างเสียมิได้ ขอแค่ถึงบ้านแล้วหายากินให้เรียบร้อยก่อนก็พอ แล้วค่อยบอกคาเล็มตอนที่เออร์แฟนไม่อยู่ก็ได้วะ!

คาร์เมนจำใจเดินออกจากร้านประจำของตนพลางกัดฟันกรอด โชคชะตามันจะเล่นตลกอะไรขนาดนี้ ทั้งสองคนเข้าไปในรถและขับตรงกลับไปยังบ้านของคาเล็มที่นอกเมืองทันที ระหว่างทางไร้คำพูดสนทนาใดๆ ระหว่างสองโซลเมท เหมือนกับว่าเออร์แฟนแค่โดนวานมาช่วยรับคาร์เมนกลับไปเท่านั้น

ด้านสภาพอากาศเองก็ไม่เป็นใจ หลังจากรถยนต์คันหรูขับออกจากโฮสต์อัลฟ่ามาได้สักพัก ฝนก็ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาตามที่พยากรณ์อากาศได้บอกไว้ว่าเย็นนี้จะมีฝนตกหนักในบางพื้นที่ ทำให้การจราจรติดขัดเป็นระยะ ยิ่งเป็นเวลาเลิกงานด้วยแล้วถนนบางเส้นก็ติดหนักราวกับเป็นอัมพาต

แต่...อะไรก็ยังไม่ร้ายแรงเท่าสถานการณ์ในรถตอนนี้ นั่นเพราะคาร์เมนที่ตั้งใจจะออกมาหาความสำราญนอกบ้านแต่แรก ไม่คิดว่าจะมาเจอโซลเมทข้างนอก ก็เลยไม่ได้พกยาระงับฉุกเฉินติดตัวมาเลย แถมคาร์เมนก็ใกล้ช่วงฮีทอีกด้วย เพราะงั้นกลิ่นฟีโรโมนที่ได้รับในรถตอนนี้เลยยิ่งหอมหวนอบอวลเป็นพิเศษ …สถานการณ์สุ่มเสี่ยงสุดๆ!

“ถึงรถจะไม่ได้แล่นอยู่แต่ก็คาดเข็มขัดด้วยสิครับ” อัยการหนุ่มโน้มตัวเอื้อมมือไปดึงสายเข็มขัดนิรภัยฝั่งข้างคนขับ จมูกเจ้ากรรมของคาร์เมนก็ดันเผลอสูดกลิ่นระยะประชิดเข้ามาอีก กลิ่นฟีโรโมนของเออร์แฟนที่ลอยเข้ามาแตะจมูกบางเบามันทั้งหอมน่าหลงใหลชวนดึงดูดขึ้นมาก จนคาร์เมนต้องรีบกดปุ่มเปิดหน้าต่างรถออกเพื่อระบายกลิ่นออกไปให้เบาบางลง แม้มันจะทำให้เขาโดนฝนที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างก็ตาม

“ทำอะไรน่ะ!? เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก!” เจ้าของรถมิได้ห่วงว่าเบาะรถจะเปียกแต่คิดถึงสุขภาพคนที่นั่งข้างๆ แล้วรีบกดปุ่มเลื่อนหน้าต่างขึ้นล็อค ก่อนจะรู้สึกตัวได้ว่าในรถมันมีกลิ่นหอมกลิ่นอื่นที่มิใช่น้ำหอมปรับอากาศในรถของตน

“คุณ...ไม่ได้ฉีดน้ำหอมระงับกลิ่นฟีโรโมนไว้เหรอ?” เออร์แฟนทักขึ้นเมื่อรับรู้ถึงได้กลิ่นฟีโรโมนของอีกฝ่าย แต่ไม่ได้เอะใจว่าคาร์เมนเข้าช่วงฮีทหรืออะไร เพราะมันเป็นเรื่องปกติของอัลฟ่าและโอเมก้าที่เข้าใกล้กัน แถมนี่ก็นั่งอยู่ห่างกันไม่มาก ไม่แปลกหรอกถ้าหากจะได้กลิ่นบ้าง แค่รู้สึกว่ามันรุนแรงชัดเจนกว่าทุกที

“โดนสั่งห้ามใช้ยาและของที่เกี่ยวข้องหมดทุกอย่างถ้าไม่จำเป็น” คาร์เมนที่เปียกปอนไปครึ่งตัวตอบเสียงแข็งเพราะไม่อยากจะเสวนาด้วย และเอื้อมไปกดหรี่แอร์เพราะอากาศเริ่มจะหนาวขึ้นมา

“ก็ดีเหมือนกัน ร่างกายคุณจะได้พักฟื้นบ้าง” เออร์แฟนเคยเห็นตอนที่คาร์เมนกินยาอยู่สองสามครั้ง ปริมาณมันมากกว่าปกติของคนทั่วไปที่แพทย์จ่ายให้ จนเขาเองก็กังวลว่าตับไตของโซลเมทตัวเองจะพังเอาได้ ยิ่งเหลืออยู่ข้างเดียวแล้วด้วย...

‘ชิบ...มันเอาแล้วไง’ คาร์เมนสบถในใจ กลิ่นฟีโรโมนจากโซลเมทของเขามันหอมเย้ายวนขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้มีหวังเขาได้ฮีทก่อนจะถึงบ้านพี่ชายแน่ๆ ไม่รู้ว่าเออร์แฟนได้พกยาฉีดระงับอาการฮีทไว้มั้ย แต่ก็สุ่มเสี่ยงเกินไปที่จะถามอยู่ดี “เลี้ยวซ้ายแยกหน้า”

“หือ? ทำไมเหรอครับ?”

“ไปอพาร์ตเม้นท์ฉัน”

“เอาของ..? หรือคุณจะแวะเปลี่ยนชุด?”

“บอกให้ไปก็รีบไปเถอะน่า!!” คาร์เมนหันมาตวาดใส่คนขับรถ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนนับตั้งแต่เจอกันครั้งแรกเลยที่เออร์แฟนโดนคนข้างๆ ขึ้นเสียงอย่างมีน้ำโหจริงจังขนาดนี้ เขาเลยยอมทำตามโดยเก็บความสงสัยไว้ในใจและขับรถเลี้ยวไปตามทางที่คาร์เมนบอกแต่โดยดี ระหว่างขับไปอัยการหนุ่มก็เริ่มเอะใจที่กลิ่นฟีโรโมนมันยิ่งทวีความหอมรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว

เมื่อมาถึงหน้าอพาร์ตเม้นท์ในย่านที่พักอาศัยของคนทำงานกลางคืน ฝนก็ยิ่งเทกระหน่ำตกลงมามากขึ้นจนพื้นถนนมีน้ำเอ่อล้นขึ้นมาถึงระดับข้อเท้า เออร์แฟนนั่งนิ่งอยู่หลังพวงมาลัยเพราะเขาเริ่มมั่นใจแล้วว่าโซลเมทของเขาคงฮีทแน่ๆ แถมกลิ่นนี้มันหอมรัญจวนยิ่งกว่ากลิ่นไหนๆ ที่เออร์แฟนเคยได้รับรู้มา แต่สติยั้งคิดยังพอจะเหลืออยู่บ้าง และเขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยคาร์เมนโดยที่ไม่มีการล่วงเกิน

“จะเอายาหรืออะไรก็บอกผม เดี๋ยวขึ้นไปเอามาให้”

“ไม่ต้อง...นายกลับไปได้แล้ว ฉันจะนอนค้างที่นี่” ไม่พูดเปล่า มือกดเปิดประตูรถหรูและปิดกระแทกเสียงดัง ก่อนก้าวสามขุมฝ่าฝนเดินล้วงกระเป๋าหาคีย์การ์ดสำหรับเปิดประตู แต่เหมือนจะทิ้งช่วงไม่ได้มานานเกินไป หรือไม่ก็บัตรมันเปียกน้ำจนขัดข้องประตูจึงไม่ยอมเปิด คาร์เมนพยายามเช็ดคีย์การ์ดให้แห้งและเอาบัตรรูดเครื่องซ้ำๆ จนชักหงุดหงิดที่อะไรๆ วันนี้ก็ไม่ได้ดั่งใจเลยสักอย่าง นี่ถ้าเออร์แฟนไม่โผล่มาที่ร้านเขาก็คงไม่ต้องมาลำบากแบบนี้หรอก

พอเสียงเครื่องรูดคีย์การ์ดทำงานได้สักที คาร์เมนก็เดินตรงไปยังหน้าลิฟต์ พอประตูลิฟต์เปิดออกขณะกำลังจะรีบก้าวเข้าไปด้านในก็ต้องชะงักกึก เพราะเออร์แฟนกลับเดินตัวเปียกชุ่มผ่านประตูลิฟต์เข้ามาด้วย นี่เดินตามหลังเขาเข้ามางั้นเหรอ!?

“จะตามมาทำไม! บอกว่าให้กลับไปไง!” คาร์เมนรู้สึกพลาดที่ไม่รอให้ประตูเข้าออกที่พักปิดสนิทดีก่อน เพราะไม่คิดว่าเออร์แฟนจะตามติดถึงขนาดนี้ “กลับไปซะ ก่อนที่ฉันจะเรียกคนดูแลอพาร์ตเม้นท์มาไล่นายออกไป”

“สภาพนี้คุณจะดูแลตัวเองยังไง มาค้างนอกบ้านกะทันหัน แล้วไหนจะเสื้อผ้าสำหรับใส่เปลี่ยนกับเสบียงตุนสำหรับเก็บตัวในห้องตลอดสัปดาห์อีกล่ะ แล้วอุปกรณ์สำหรับช่วยตัวเองคุณมีแล้วรึไง?” อัยการหนุ่มร่ายเป็นชุด ทำเอาคาร์เมนไม่รู้จะเถียงกลับไปยังไง เพราะไอ้ที่พูดมาทั้งหมดนั่นเขาไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยสักอย่าง (ก็ที่โฮสต์อัลฟ่ามันมีครบเครื่องอยู่แล้ว เขาก็เลยมาตัวเปล่าๆ)

เดี๋ยวนะ...เจ้าเด็กนี่รู้เรื่องที่เขาเข้าช่วงฮีทแล้วงั้นเรอะ! ความแตกจนได้  แถมพอรู้ตัวอีกที ลิฟต์ก็ขึ้นมาถึงชั้นที่เขาพักอยู่เสียแล้ว 

โอเมก้ารุ่นใหญ่ทว่าร่างเล็กเดินหงุดหงิดนำหน้าโซลเมทไปถึงห้องพัก เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้ว ดวงตาสีทองของร่างสูงก็กวาดมองไปทั่วห้องที่ว่างเปล่าแทบไม่มีอะไรเลย นอกจากโซฟาและเฟอร์นิเจอร์พื้นฐานของห้องพักทั่วไป และเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงไม่กี่ชิ้นอย่างทีวีตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศ ที่เหลือก็แทบจะไม่มีข้าวของอะไรเกินจำเป็นอยู่เลย ยังกับเช่าห้องทิ้งไว้อย่างนั้น ที่พอจะดูดีหน่อยก็คงเป็นที่นอนซึ่งดูจะเป็นชิ้นที่สภาพดีที่สุดแล้วในห้องนี้

“...อยากได้ของใช้อะไรบ้าง ผมจะไปจัดการให้” เออร์แฟนถามความต้องการของเจ้าของห้องแทนการเสนอให้ไปเช่าโรงแรมที่ดีกว่านี้อยู่ เพราะรู้ดีว่าคาร์เมนต้องโวยวายแน่หากเขาเสนอความคิด

“ยังไม่ใช้ ถ้าอยากได้เดี๋ยวจะติดต่อไปเอง”

“งั้นผมจะซื้อมาให้เอง ตกลงมั้ย?” อีกฝ่ายมัดมือชกและทำท่าจะกดมือถือสั่งลูกน้องในทันที นี่คิดว่าเป็นทีวีไดเร็ครึไง! กลัวว่าถ้าไม่โทรในสิบนาทีจะอดได้ทั้งส่วนลดและของแถมเนี่ย!

“ไอ้คนดื้อด้านเอ๊ย..” คาร์เมนสบถแล้วยอมถอดใจสั่งของที่จำเป็นต้องใช้สำหรับหมกตัวเป็นมนุษย์ถ้ำอยู่ในห้องพักตลอดทั้งอาทิตย์ “ขอย้ำเลยนะว่าอย่าซื้ออะไรเกินจำเป็นมา ไม่งั้นฉันโยนทิ้งแน่”

“แล้วจะให้บอกคาเล็มมั้ยว่าคุณอยู่ที่นี่?” เพราะเดิมทีตั้งใจจะมาพาอีกฝ่ายกลับบ้าน แต่ดูจากสีหน้าของคนถูกถามแค่นี้ก็พอจะเดาได้ไม่ยากเลยว่าคงไม่กลับไปตอนนี้แน่นอน

“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันบอกพี่เอง นายไปได้แล้ว” คาร์เมนส่งแขกก่อนแล้วล็อคประตูคล้องโซ่แน่นหนา หลังจากแน่ใจว่าโซลเมทไม่อยู่แล้ว เขาก็หันหลังนั่งลงที่หน้าประตูอย่างเหนื่อยใจและก้มหน้ามองดูสภาพตัวเองที่กำลังย่ำแย่เต็มที ด้านหลังของกางเกงมันเริ่มมีน้ำหล่อลื่นซึมออกมาหน่อยแล้ว ร่างกายก็ร้อนยังกับกำลังโดนย่างสด ร่างเล็กพยายามคลานเข่าลากตัวเองไปนอนที่เตียง จัดการถอดกางเกงและชั้นในให้ร่นลงมาพอทำอะไรๆ ได้ถนัด มือข้างหนึ่งรูดรั้งแก่นกายที่มีน้ำใสปริ่ม อีกมือใช้นิ้วควานในโพรงปากให้ชุ่มน้ำลาย ดวงตาสีเขียวอ่อนหลับตาพยายามนึกถึงใบหน้าของพี่ชายที่ใช้จินตนาการเวลาช่วยตัวเอง แต่หนนี้แทนที่จะเป็นเช่นเคยมันกลับกลายเป็นใบหน้าของเออร์แฟนขึ้นมาแทนที่

ออกไปจากหัวฉันสักทีไอ้เด็กเวร! คำสบถในใจที่หากตะโกนได้คงทำไปแล้ว แถมร่างกายยังรู้สึกดีไปอีก นี่เขาเป็นบ้าอะไรไปแล้วถึงได้อยากถูกไอ้หนูผมยาวนั่นกอดกัน!?


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด