My wife is bigboss by Katesnk
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My wife is bigboss by Katesnk  (อ่าน 252453 ครั้ง)

ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
555 มาแล้ว มาแล้ว

ขอบคุณคับ +1 จัดไป

ออฟไลน์ tatum1234

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 952
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-1

TonG_x_Zhi

  • บุคคลทั่วไป
เคลวินร้องแรพซะด้วย เหอๆๆ  เก่งรอบด้านๆๆ

รออ่านตอนต่อไปนะครับ :really2:

ออฟไลน์ ka[ze]na

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-6
อิๆๆ เคลน่ารักอ่ะ :-[ :-[ :-[

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
แวะมาจิ้ม +1 ก่อน เดี๋ยวเย็นๆ กลับมาอ่าน  o13

ออฟไลน์ minchy

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +173/-0
บทที่ 52

---------------------------------

“เคน...ผมแสดงเป็นอย่างไรบ้างครับ”

เคลวินเดินมานั่งที่โต๊ะที่ผมนั่งอยู่ก่อนแล้ว เขาพูดกับผมพอได้ยินกันสองคน ผมแอบยกนิ้วโป้งให้เขาเห็น เคลวินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ท่าทางดีใจที่ผมชื่นชอบการแสดงของเขา

“ไปหัดร้องมาจากไหนกันครับ เก่งจัง”

ชมเขาอย่างจริงใจ เคลวินยิ้มเขินๆ แล้วตอบอย่างถ่อมตัวว่าเขาชอบร้องเพลงอยู่แล้ว เวลาอยู่คนเดียวก็ชอบร้องเพลงบ่อยๆ สำหรับการร้องแร๊พนั้น เขาไม่ได้ชอบนัก แต่ก็พอร้องได้ และทางสต๊าฟเห็นว่าเขาเป็นฝรั่ง น่าจะพูดได้คล่องกว่าคนอื่นๆ จึงมอบท่อนนี้ให้เขาร้อง

เห็นเคลวินทำท่าอายๆ แล้วผมก็อดนึกเอ็นดูเขาไม่ได้ ตามปกติเวลาอยู่ในที่ทำงาน ผมจะชินกับภาพประธานเคลวินที่ดุดัน พอเขามาทำท่าถ่อมตนไม่อวดตัว เหมือนคนไม่มั่นใจในตัวเองแบบนี้ มันก็เลยดูแปลกๆ แต่ก็น่ารักดี

“ท่านประธานไม่เปลี่ยนชุดก่อนหรือครับ”

ผมถามเขาเมื่อเห็นเคลวินยังอยู่ในชุดฮิบฮอบ เสื้อตัวโคร่ง กางเกงตัวใหญ่ และใส่หมวกกลับหน้ากลับหลัง
“อีกสักพักว่าจะไปเปลี่ยนครับ มาทักทายเคนก่อน...คิดถึง”

เขาหยอดคำหวาน และทำตาเยิ้มใส่ผม ช่างไม่เกรงว่าคนจะมองบ้างเลย เดี๋ยวก็โดนนินทาอีกหรอก ไม่เข็ดหรือไง ผมคิดในใจ แต่ไม่ได้พูดออกมา เพราะเคนหุบยิ้ม และทำหน้าเรียบเฉย คงจะเห็นสีหน้าเป็นกังวลของผม เลยรีบเปลี่ยนท่าที นับว่าเคลวินเป็นคนที่ช่างสังเกตและหัวไวมาก

“ผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า”

ในที่สุดเคลวินก็ลุกขึ้นยืนแก้เก้อที่เผลอทำหวานใส่ผม คงรู้ตัวว่าคนรอบข้างคอยแอบมองเราสองคนอยู่ แม้ว่าเคลวินจะรู้จักแยกแยะบทบาทตัวเองระหว่างที่บ้านกับที่ทำงาน

ทว่าเมื่อครู่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเผลอหลุดออกมา อารมณ์คงประมาณดีใจที่มีคนชอบ และคงอยากได้คำชมจากผม พอผมบอกความรู้สึกไปตามตรง เขาก็เลยภูมิใจจนหลุดหวานใส่ผม

โชคดีที่ตอนที่เขาทำตาหวานใส่ผม โต๊ะใกล้ๆเรากำลังให้ความสนใจกับภาพที่เห็นบนเวที ทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็น และการที่เขาลุกไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ก็เป็นการปรับอารมณ์ของเขานั่นเอง

“นั่งโต๊ะวีไอพี สบายไหมเคน”

ทันทีที่เคลวินเดินจากไป ที่นั่งว่างๆข้างๆผมก็ถูกแทนที่ด้วยผู้จัดการชาตรี ซึ่งทรุดตัวลงนั่งอย่างถือวิสาสะ เขาคงมองดูเราสองคนจากที่ใดสักแห่ง และพอเห็นเคลวินลุกไป เขาก็เลยฉวยโอกาสนี้มานั่งกับผม

และเขาคงไม่ได้มานั่งคุยด้วยเรื่องสัพเพเหระแน่ๆ เพราะร้อยวันพันปี เขาไม่เคยพูดดีกับผม ดังนั้นการมาครั้งนี้คงมีเป้าหมายต้องการเคลียร์อะไรกับผมสักอย่างเป็นแน่ ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่ริมทะเลเมื่อตอนบ่ายทันที


“ก็เริ่มจะคุ้นแล้วครับ”

ตอบคำถามของเขาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย คำถามเริ่มต้นในการชวนคุยนี่มันฟังแล้วเหมือนคำเหน็บแนมเหลือเกิน

แม้จะรู้ว่าเขามีนิสัยชอบพูดจาตำหนิติเตียนคนอื่น ผมก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี แต่ด้วยความที่เขาเป็นอดีตเจ้านายเก่า และมีอาวุโสกว่า ผมก็เลยพยายามไม่แสดงอารมณ์กับเขา

“ความหรูหรา ไฮโซ และการเป็น Somebody มันมีเสน่ห์แบบนี้แหละ”

เขายังคงพูดเหน็บผมต่อไป ในขณะที่ตาก็มองไปบนเวที ดังนั้นการคุยกันของเราสองคน จึงเหมือนการวิพากษ์วิจารณ์การแสดงบนเวที มากกว่าจะเป็นการคุยกันด้วยเรื่องส่วนตัว

“ชอบที่ท่านประธานแสดงบนเวทีไหม”

พอเห็นผมไม่สนใจคำเหน็บแนมของเขา คุณชาตรีก็เปลี่ยนเรื่องพูดโดยการถามถึงความชอบไม่ชอบการแสดงของเคลวินที่ผ่านไปเมื่อครู่

ผมพยักหน้าตอบรับ แล้วก็บอกว่าการแสดงของเคลวินเรียกเสียงกรี๊ดจากพนักงานได้ท่วมท้น แสดงว่าทุกคนถูกใจเขา

ผมใช้มวลชนอ้างอิง จะได้ไม่ตกหลุมคุณชาตรี เพราะคิดว่าการที่เขามาถามผมแบบนี้ คงไม่ได้ถามความคิดเห็นทั่วไปแน่ ๆ คงมีวาระซ่อนเร้น ดังนั้นการคุยกับเขาต้องระวังตัวให้มาก

“ท่านประธานเก่งนะ สามารถทำอะไรได้หลายอย่าง คนไหนที่ได้คุณเคลวินไปเป็นแฟนก็คงจะโชคดีมาก”

เขาพูดจบก็หันมาจ้องหน้าผม และเหยียดยิ้มเป็นปริศนา ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด แล้วก็เงียบเฉยไม่ต่อปากต่อคำ สายตามองผ่านใบหน้าของเขาไปยังเวทีที่มีการแสดงของสาวประเภทสอง

“เธอชอบแบบนี้เหรอ”

พอเห็นผมไม่สนใจเขา นายชาตรีก็เปลี่ยนคำถามใหม่

“เอ่อ ครับ ก็พวกเขาสวยดี บางคนเหมือนผู้หญิงเลย”

ตอบไปตามตรง บางครั้งผมรู้สึกทึ่งสาวประเภทสองเหล่านี้ที่มีใบหน้าและทรวดทรงองค์เอวสวยงามกว่าผู้หญิงหลายๆคนที่ผมเคยพบเจอ

และเสียดายแทนพวกเธอเหล่านั้นที่กำเนิดมาในเพศของชาย ทั้งที่ใจอยากเป็นเพศหญิง และการที่พวกเธออยากจะเป็นคนอื่น ก็กลับถูกสังคมรังเกียจ และไม่ให้โอกาสกับพวกเธอมากนัก

ทั้งๆที่พวกเธอก็ไม่ใช่คนเลวร้าย หลายคนเป็นคนดี และทำประโยชน์ให้กับสังคม มากกว่าคนที่เป็นชายจริงหญิงแท้หลายคนเสียอีก

“อยากเห็นท่านประธานเคลวินเป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่า”

เอาอีกแล้ว นายชาตรีตั้งคำถามไร้สาระให้ผมตอบอีก เขาคาดหวังจะได้คำตอบอะไรจากผม “อ๋อ ดีๆครับ ผมชอบ

อยากเห็นเคลวินเป็นผู้หญิงคงจะน่ารักดี” หรือ “บ้า คุณชาตรีพูดอะไรแบบนั้น ทุกวันนี้เคลวินก็ยิ่งกว่าสาวประเภทสองอีก” เขาอยากได้ยินผมพูดแบบนี้เหรอ

“ทำไมถามแบบนี้ล่ะครับ...”

ย้อนถามออกไปบ้าง

“ก็..ไม่มีอะไร เคยเห็นประธานในมาดดุๆ ก็อยากเห็นในมาดหวานๆบ้าง คงจะน่ารักดี”

นายชาตรีตอบกลับมา แต่ผมรู้ว่าไม่ใช่คำตอบที่แท้จริงของเขาอย่างแน่นอน เพราะคำว่าหวาน กับสาวประเภทสอง มันคนละเรื่องกันเลย

ผู้จัดการคนนี้ต้องมีอะไรแอบแฝงแน่ๆ อาจจะอยากแขวะเรื่องของผมกับเคลวินก็ได้ แต่แขวะโดยลากเอาเคลวินซึ่งเป็นเจ้านายของตัวเองมาพูดเล่นแบบนี้ เห็นทีจะไม่เหมาะกระมัง

“ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็เหมาะสมกับท่านประธานดีแล้วครับ”

บอกเขาเสียงเรียบ พยายามระงับอารมณ์โกรธเต็มที่ ไม่ชอบใจเลยที่ได้ยินเขานินทาว่าร้ายเจ้านายตัวเอง

อยากรู้ว่าถ้าเคลวินมาได้ยินสิ่งที่ท่านผู้จัดการชาตรีพูด เขาจะรู้สึกอย่างไร คงเสียใจที่พนักงานเก่าแก่ที่ทำงานมาตั้งแต่สมัยพ่อเขาเป็นประธานบริษัทจะเอาเขาไปเปรียบเทียบกับสาวประเภทสองแบบนี้

“นั่นสินะ คุณเคลวินเป็นอย่างที่เป็นอยู่ก็คงเหมาะสมแล้วล่ะ เธอเองก็คงชอบท่านประธานมากสินะ”

ดูเหมือนเขายังคงไม่รู้ตัวว่าคำพูดของเขาทำให้คนฟังอึดอัดใจแค่ไหน เขายังคงยิงคำถามผมต่อเนื่อง

“ครับ ...ผมชอบท่านประธาน แล้วคุณชาตรีล่ะ ไม่ชอบท่านหรือครับ”

แม้จะไม่ค่อยชอบใจกับคำถามของเขา แต่ผมก็ตอบคุณชาตรี และย้อนถามเขาไปบ้าง

“ชอบสิ ท่านประธานเคลวิน กับ คุณพ่อของท่านเป็นคนดี มีความสามารถ ฉันทำงานกับทั้งสองคนมานานมาก ฉันชอบการทำงานของพ่อลูกคู่นี้มากๆ และฉันก็รักท่านประธานทั้งสองคนด้วย”

นายชาตรีพูดคำว่ารักท่านประธานด้วยสีหน้าแววตาที่แสดงออกถึงความซาบซึ้งอย่างจริงใจ จนผมแทบจะเชื่อว่าเขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

หากเขาโกหกผม เขาก็คงเป็นนักแสดงที่เก่งมากเพราะเขาเนียนน่าเชื่อถือ มีเพียงสิ่งเดียวที่ผมสงสัยก็คือ คนที่รักกัน เขาพูดถึงกันในแง่มุมอย่างนี้ด้วยหรือ

“กำลังสงสัยอยู่ใช่ไหม ว่าทำไมฉันถึงพูดจาแบบนี้กับเธอ”

เขาหัวเราะขำ คงเห็นว่าผมทำหน้ายุ่งๆ และแสดงอาการอึดอัด เหมือนไม่อยากพูดคุยกับเขา

“ครับ”

“ไม่มีอะไรหรอก ฉันคิดว่าเราสองคนอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน”

พูดชวนให้คิดอีกแล้ว อยากจะพูดอะไรก็ว่ามา ไม่น่าจะอ้อมค้อม

“เอ้อ...ผมไม่เข้าใจ”

“เรื่องเมื่อตอนบ่ายนี้ไงล่ะ”

เขาเฉลย ผมเลยถึงบางอ้อ ภาพเหตุการณ์เมื่อตอนบ่าย ผ่านเข้ามาในสมองผมอีกครา

หลังจากได้ยินเสียงหัวเราะต่อกระซิก และเสียงพูดอันแสนจะคุ้นหู ดังให้ได้ยินหลังโขดหิน ความอยากรู้อยากเห็นว่าสิ่งที่ผมคาดเดาถูกต้องหรือไม่

ทำให้ผมกลายเป็นนักถ้ำมองจำเป็น ผมลุกขึ้นแล้วเดินอ้อมไปทางด้านหลังโขดหินที่ผมนั่งอยู่ ตรงนั้นมีช่องเว้าเข้าไปข้างในมีขนาดคนสองสามคนเข้าไปยืนได้ และลับตาคน

ถ้าไม่สังเกต ก็จะไม่รู้ว่ามีใครเข้าไปหลบอยู่ในนั้น

เสียงคุยเงียบหายไป แต่มีเสียงอื่นเข้ามาแทนที่ เสียงหายใจ เสียงร้องครวญคราง เหมือนคนที่กินของเผ็ดร้อนเข้าไป

เสียงนั้นไม่ดังมากนัก เพราะถูกกลบด้วยเสียงคลื่นที่ซาดซ่า ผมพยายามเงี่ยหูฟัง แต่ก็จับใจความไม่ได้

ยิ่งอยากรู้มากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ช่องนั้นมากขึ้น จนกระทั่งผมได้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ผมตกใจสุดขีด

ในช่องว่างตรงโขดหินนั้น นายชาตรีกับมอดกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างเร่าร้อน ท่อนบนของทั้งคู่เปลือยเปล่า เห็นอกแห้งๆเหี่ยวๆของผู้จัดการสูงวัยกับอกที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อของรปภ.หนุ่มที่บดเบียดเสียดสีกัน

พอผมหายตกใจ และเริ่มรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ผมก็ถอยหลังกลับ ตั้งใจจะรีบหนีไปจากภาพที่เห็น ไม่อยากให้สองคนเกิดความอับอายที่ผมได้ล่วงรู้ความลับของคนทั้งสองโดยบังเอิญ

ทว่าคนมันเกิดมาดวงซวย จังหวะที่ผมเดินถอยหลังออกไปนั้น เท้าของผมก็สะดุดเข้ากับก้อนหินที่โผล่ขึ้นมาเหนือพื้นทราย และล้มลงไปก้นจ้ำเบ้ากับพื้น

เสียงมันคงดังพอสมควร จนทำให้ทั้งคู่ได้ยิน นายชาตรีผละออกจากมอดทันที และมองผมด้วยดวงตาเบิกกว้างอย่างตกใจ และแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ ในขณะที่มอด เพียงแต่หน้าถอดสีเท่านั้น

ด้วยความตกใจที่ถูกจับได้ว่าไปแอบดูพวกเขา ทำให้ผมยกมือไหว้ขอโทษคู่รักต่างวัยทั้งคู่ จากนั้นก็หันหลังโกยแน่บกลับบ้านพัก และตั้งใจจะปิดปากเงียบไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แม้แต่เคลวิน

ผมไม่ต้องการทำร้ายใคร ถึงนายชาตรีจะพูดไม่ดีกับผมตลอดเวลา แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา หากมีคนอื่นมาล่วงรู้ เขาอาจจะถูกคนอื่นดูหมิ่นเกลียดชัง ทำให้เกิดผลเสียต่อหน้าที่การงาน

ผมไม่อยากให้คนอื่นมองเคลวินในแง่ร้ายอย่างไร ผมก็จะไม่ทำอย่างนั้นกับคนอื่นเช่นกัน เรื่องของหัวใจ เป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องผิดที่เราจะรักใคร ไม่ว่าจะแตกต่างกันแค่ไหน เป็นเพศใด หรือฐานะอย่างไรก็ตาม

ผมไม่เคยดูถูกความรักของเคลวิน และผมก็ไม่ดูถูกความรักของนายชาตรีด้วย

“ถ้าเธอไม่เอาเรื่องระหว่างฉันกับมอดไปเล่าให้คนอื่นฟัง ฉันก็จะไม่พูดเรื่องเธอกับคุณเคลวินเช่นกัน”

นี่คงเป็นข้อสรุปของการที่เขามานั่งคุยกับผมกระมัง เขาเองก็คงต้องการความมั่นใจว่าผมจะไม่ปากโป้งเรื่องของเขา เพราะเขาก็มีเรื่องของผมกับเคลวินในมือเช่นกัน

ผมไม่ชอบการขู่แบบนี้เลยจนนิดเดียว แต่เมื่อมองว่ามันจะมีประโยชน์ต่อเคลวิน ผมก็จำต้องยอมรับข้อเสนอนั้นอย่างไม่มีทางเลี่ยง


“ฉันไม่ได้แบล็คเมล์เธอกับท่านประธานนะเคน อย่าเข้าใจฉันผิด ฉันแค่อยากมีพื้นที่ส่วนตัวที่ฉันจะสามารถรักกันกับมอดได้ โดยไม่มีใครมาคอยขัดขวางความรักของเราสองคน”

นายชาตรีสารภาพอย่างหมดท่า ทั้งหมดที่เขามาพูดกับผมเพียงแค่ปกป้องความรักของตัวเองเท่านั้น คำพูดของเขาทำให้ผมรู้สึกเห็นใจผู้จัดการขึ้นมาทันที

เขาคงรู้สึกทรมานใจไม่น้อยเช่นกัน ผู้จัดการบริษัทที่แต่งงานมาหลายปี มีภรรยา มีลูก มีครอบครัวที่อบอุ่น กลับมีรักที่ซ่อนเร้นกับยามรักษาความปลอดภัยของบริษัท

มันเป็นรักต้องห้าม ที่ถึงเขาจะมีความสุขด้วยกันมากขนาดไหน เขาก็บอกกับใครไม่ได้ เพราะสถานภาพของการเป็นเจ้านาย เป็นพ่อและสามีที่ดีมันค้ำคอ

การที่เขายังรักษาความลับระหว่างเขากับมอดไว้ได้ นั่นหมายถึงระยะเวลาที่จะมีความสุขกับคนที่เขารัก มันก็จะยืดได้มากขึ้น จนกว่าจะมีคนล่วงรู้

“หวังว่าเธอจะเข้าใจถึงความจำเป็นของฉันนะเคน ขอร้องเถอะนะ อย่าแพร่งพรายเรื่องของฉันออกไปให้ใครรู้นะ”

เขาวิงวอน ภาพผู้จัดการที่จู้จี้ขี้บ่น โมโหร้าย หายไป ตอนนี้มีเพียงชายสูงอายุที่กำลังวิตกกังวลกลัวความลับของตัวเองจะถูกเปิดโปง

ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงรับปากว่าจะไม่ปากโป้งเอาเรื่องที่เห็นเขากับมอดไปเล่าให้ใครฟัง ที่ผมยอมตามไม่ใช่เกิดจากการที่ผมกลัวว่าเขาจะเอาเรื่องผมกับเคลวินไปพูดบ้างเป็นการแก้คืน

แต่ผมรู้สึกสงสารเขามากกว่า ผมเห็นสายตาเศร้าๆของเคลวินอยู่ในตาของนายชาตรี เขาสองคนมีดวงตาแบบเดียวกัน ตาของคนที่กำลังอยู่ในห้วงรักและทุกข์ ความรักทำให้เขาต้องทำตัวผิดแผกไปจากคนอื่นๆ

ทั้งๆที่พวกเขาไม่ผิด เขามีสิทธิ์ที่จะรักใครก็ได้ แต่สังคมกลับไม่ยอมรับความรักของพวกเขา ทำให้ต้องปิดบังซ่อนเร้นเพื่อรักษาสถานภาพของตัวเองให้เป็นที่ยอมรับสำหรับคนทั่วไป

“ขอบคุณเธอมากนะเคนที่รับปากว่าจะไม่พูดเรื่องของฉัน และต้องขอโทษด้วยนะ ที่ผ่านมา ฉันพูดจาไม่ดีกับเธอไว้เยอะ

ส่วนหนึ่งเพราะฉันคิดว่าเธอยังเด็ก ไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะทำงานใหญ่ๆ โดยเฉพาะงานผู้ช่วยเลขาที่ต้องใกล้ชิดท่านประธาน

เพราะมันเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญๆและส่วนใหญ่เป็นความลับ หากแพร่งพรายไปถึงหูใคร ก็อาจจะมีผลเสียหายต่อบริษัท....”

เหมือนเป็นช่วงปรับความเข้าใจกัน นายชาตรีผู้เคยทำท่าดูหมิ่นเหยียดหยาม และมักพูดไม่ดีกับผมทุกครั้ง กลับพูดกับผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟัง

เขากำลังสารภาพกับผม ถึงอคติต่างๆที่มีในใจ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เขาปฏิบัติต่อผมอย่างไม่ให้เกียรติในอดีตที่ผ่านมา

“ฉันไม่มั่นใจว่าเธอจะมีวุฒิภาวะพอ เธออาจจะเผลอพูดออกไปก็ได้ หรือไม่เธอก็อาจจะโอ้อวดตัวว่าได้ทำงานใหญ่ข้ามหัวคนอื่น เลยพยายามค้าน ไม่ให้เธอได้ทำงานนี้

แต่แล้วเธอก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเธอมีความสามารถจริงๆอย่างที่ท่านประธานพูดไว้ไม่มีผิด”

เมื่อเขาพูดจบลง ทุกสิ่งที่เคยติดค้างในใจระหว่างเขากับผมก็มลายหายไป ผมมองเห็นผู้ใหญ่ใจดี นั่งอยู่ตรงหน้า ที่จริงนายชาตรีก็เป็นผู้หนึ่งที่รักและหวังดีกับบริษัทจริงๆ

ความที่อยู่บริษัทนี้มานาน ทำงานมาตั้งแต่รุ่นพ่อยันรุ่นลูกก็คงจะรู้สึกผูกพัน และแกก็ค่อนข้างจะหัวเก่านิดๆ พอเห็นผมซึ่งอายุไม่เท่าไหร่ แถมเพิ่งมาทำงานได้ไม่นาน ก้าวข้ามขั้นจากลูกจ้างชั่วคราว กลายเป็นผู้ช่วยเลขา แกก็คงอดมีอคติต่อผมไม่ได้

“ขอโทษที่ดูถูกเธอ หาว่าเป็นเด็กเส้นของท่านประธาน ฉันก็ไม่ได้มีเจตนาจะหลบหลู่ดูหมิ่นคุณเคลวินนะ แต่ที่ต้องพูดออกไปแบบนั้น เพราะฉันไม่ค่อยชอบขี้หน้าเธอ ก็เลยต้องการด่ากระแทกแดกดันให้เจ็บๆ ถ้าเธอหน้าบาง เธอจะได้ไปซะจากบริษัทนี้....”

อือ เป็นอย่างนี้นี่เอง มิน่าวันนั้นที่ผมเจอกับเขาที่ร้านป้าขายโจ๊ก เขาก็คงจงใจพูดจาแดกดันให้ผมได้อายนั่นเอง โชคดีที่ป้าไม่สนใจ แถมยังเข้าข้างผมอีก คนที่อายก็เลยเป็นเขาเสียเอง

“ฉันเองก็ปากไม่ดี แถมยังลืมคิดไปอีกว่าหากเธอเป็นพวกใช้ร่างกายไต่เต้า เธอต้องเอาไปฟ้องคุณเคลวิน และฉันต้องโดนไล่ออกแน่ๆ ที่ปากเสีย ฉันพูดไปแล้วก็ลุ้นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ไม่มี แสดงว่าฉันดูเธอผิดไปจริงๆ”

นายชาตรีกล่าวขอบคุณผมและยิ้มให้ ผมยิ้มตอบ แล้วก็นั่งนิ่งอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี ผมไม่ชินกับการที่มีคนอายุมากกว่า มาสารภาพเรื่องที่เขาทำผิดกับผมแบบนี้ จึงไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจไม่ให้เขาต้องคิดมาก หรือควรจะโวยวายกลับเพราะเป็นทีของผมแล้วที่จะด่าที่เขาเข้าใจผิด

“ฉันดีใจนะ ที่ได้ยินเธอบอกว่าเธอชอบท่านประธานจริงๆ และหวังว่าท่านประธานก็คงดูคนไม่ผิด”

ออฟไลน์ minchy

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +173/-0


อยู่ๆเขาก็วกมาที่เรื่องของผมกับท่านประธานจนได้ นั่งนึกอยู่นานว่าผู้จัดการชาตรีจะพูดจากำกวมมีเลศนัยหรือเปล่า ทว่าสายตาที่จ้องมองกลับมาเต็มไปด้วยความจริงใจ จนผมเลิกคิดสงสัยผู้จัดการเฒ่า

“ฉันรู้สึกอิจฉาคุณเคลวินจัง ที่เขากล้าที่จะทำอะไรตามใจตัวเอง ฉันเสียอีก ที่ขี้ขลาดตาขาว อยากจะทำอะไรก็ไม่กล้า กลัวคนจะนินทา กลัวคนรังเกียจ ฉันเลยเสียโอกาสดีๆในชีวิตไปเยอะเลย”

เขายังคงพูดเรื่องของเขาต่อไป น่าแปลกตรงที่เราสองคนคุยกันรู้เรื่อง ทั้งที่เสียงดนตรีที่ประกอบการแสดงบนเวทีนั้นค่อนข้างดัง จนแทบจะกลบเสียงคุยของเรา

ทว่าผมกลับได้ยินเสียงของเขาชัดเจน คงเป็นเพราะเรานั่งใกล้กัน หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะผมใช้ใจฟังเขา เลยทำให้ผมได้ยินคำบอกกล่าวของเขาทุกคำ ราวกับเรานั่งคุยกันแค่สองคนในห้องที่ปราศจากสรรพเสียงใดๆรบกวน

“แต่ฉันก็พอใจในชีวิตของฉันตอนนี้นะ ฉันไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว ตอนนี้ฉันก็หวังแค่เพียงได้มีพื้นที่เล็กๆที่จะอยู่ด้วยกันสองคนกับมอดของฉันเท่านั้นก็พอ”

น้ำเสียงที่พูดถึงหนุ่มคนรักเต็มไปด้วยความอ่อนโยน มันทำให้ผมตระหนักว่านายชาตรีรักมอดเพียงใด

จะว่าไปแล้ว นายชาตรีก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรอย่างที่คิด แกก็คงเป็นเพียงคนสูงอายุที่ขี้เหงาคนหนึ่ง

การที่เขาต้องการมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงๆ เพราะอยากมีอำนาจ เพราะการมีอำนาจ นำไปสู่การได้รับการยอมรับ ซึ่งเขาจะสามารถทำทุกอย่างได้ตามใจปรารถนา โดยไม่มีใครกล้านินทาว่าร้าย

คนอย่างคุณชาตรี เป็นคนที่น่าสงสารที่สุด เห็นความทุกข์ของคุณชาตรีแล้ว ผมก็อดนึกถึงเคลวินไม่ได้

ที่ผ่านมาผมไม่ค่อยนึกถึงใจของเคลวินเลย คิดแต่จะปฏิเสธน้ำใจของเขาท่าเดียว เพราะผมรับไม่ได้กับการที่ต้องอยู่กินฉันท์สามีภรรยากับผู้ชายด้วยกัน

ทว่าเวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน ถึงตอนนี้ ผมไม่ได้รู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์เคลวินอีกแล้ว แต่จะรักเขาหรือไม่ ผมยังให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้

“คุยอะไรกันอยู่หรือเคน คุณชาตรี”

คนอะไรตายยากชะมัด พอคิดถึง ก็มายืนอยู่ข้างๆตัวผมแล้ว ทำตัวเหมือนผีหลอกจริงๆ ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนค้ำหัวผมอยู่ ฝรั่งตัวใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา ตาสีฟ้า ในชุดแต่งกายชุดเดิมที่เขาใส่ตอนออกจากบ้านพัก กำลังมองผมด้วยสายตาดุๆ คงหึงผมกับคุณชาตรีแน่ๆเลย

“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่มานั่งคุยกับเขาเรื่องการแสดงเท่านั้นครับ และกำลังจะลุกไปนั่งโต๊ะตัวเองครับ”

พูดจบเขาก็ลุกไปหน้าตาเฉย ปล่อยให้ผมเผชิญหน้ากับเคลวินที่ยังทำตาดุใส่ผมไม่เลิก ผมเหลียวมองไปรอบโต๊ะวีไอพี ตอนนี้ ผู้บริหารคนอื่นๆ ยังไม่มานั่ง สงสัยยังเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวไม่เสร็จ ทั้งโต๊ะเลยมีแต่ผมและเคลวินนั่งคุยกันอยู่แค่สองคน

“คุยเรื่องการแสดงบนเวทีจริงๆเหรอ”

พอผู้จัดการลุกไป เคลวินก็หันมาถามผมเสียงเขียว ผมหัวเราะก๊าก เพราะเดาถูก เคลวินหึงผมกับคุณชาตรีจริงๆด้วย ช่างคิดได้เนอะ ว่าผมจะเป็นสนใจอีตาผู้จัดการขี้บ่นจู้จี้จุกจิกคนนั้น แค่มีคนสองหน้าอยู่ใกล้ๆ ก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว ผมไม่หาเรื่องวุ่นวายใส่ตัวอีกหรอก

“จริงครับ เราพูดกันว่า ถ้าเคลวินแต่งตัวแบบสาวประเภทสองขึ้นไปแสดงจะเป็นอย่างไรบ้าง คงจะน่ารักพิลึก”

ความที่ผมอารมณ์ดีเนื่องจากเหตุการณ์ต่างๆคลี่คลายไปหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องของนายชาตรีด้วย ที่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเขาไม่ได้เป็นศัตรูของผมอีกต่อไป

ผมก็เลยย่ามใจ แซวเคลวินอย่างลืมตัว พอเห็นเขาทำแก้มป่อง หน้างอๆ ผมก็เลยหุบยิ้ม แล้วหันไปมองรอบๆตัว เพื่อดูว่าใครจะมองเราสองคนหรือเปล่า เคลวินมองตาม แล้วก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“อยากเห็นผมเป็นสาวประเภทสองนักเหรอ”

เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันถาม คงนึกว่าผมชอบผู้หญิง ก็เลยอยากเห็นเขาเป็นสาวประเภทสอง ผมกลั้นหัวเราะจนน้ำตาไหล เคลวินนี่ขี้ระแวงจริงๆ

“ใช่ที่ไหนกันล่ะ แบบนี้ก็น่ารักดีออก”

“จริงๆนะ”

คราวนี้ทำเสียงกระดี๊กระด๊ามาเชียว ผมล่ะกลัวคนได้ยินจริงๆ

“จะโกหกทำไมกัน”

“ดีแล้ว ห้ามโกหก ถ้าไม่อยากให้ผมน้อยใจ แล้วก็ ห้ามเบี้ยวเรื่องคืนนี้ด้วย”

เคลวินทำเสียงขู่ แต่ตาหวานฉ่ำ ไปๆมาๆ ก็วกมาถึงเรื่องนี้อีกจนได้ ช่างเป็นภรรยาที่หื่นจริงๆ คิดเรื่องกุ๊กกิ๊กอยู่ได้ตลอดเวลา นี่ขนาดผมยังไม่ได้ยอมรับเขาเต็มที่นะเนี่ย ถ้าหากผมยอมรับเขาเป็นภรรยาเมื่อไหร่ สงสัยมีหวังฟ้าเหลืองแน่ๆ

ผมไม่มีโอกาสได้ตอบโต้สนุกๆกับเคลวินอีก เพราะผู้บริหารที่ต้องนั่งร่วมโต๊ะกับเคลวิน พากันทยอยกันมานั่ง สักพักอาหารก็มาเสิร์ฟเต็มโต๊ะ

ข้อดีของการนั่งโต๊ะวีไอพี คือไม่ต้องเดินไปตักอาหารเอง มีพนักงานคอยบริการ ผมมองเพื่อนพนักงานที่ไปต่อแถวตักอาหารบุฟเฟ่ต์แล้วนึกสนุกอยากไปเดินเข้าแถวต่อแบบนั้นบ้าง

ทว่าถ้าผมไปปะปนอยู่กับพวกเขา เขาจะต้อนรับผมหรือเปล่าก็ไม่รู้ นั่งสบายๆอยู่กับเคลวิน น่าจะดีที่สุดสำหรับตอนนี้

เมื่อใดก็ตามที่ผมสนิทกับคนในบริษัทมากขึ้น บางทีผมอาจจะไปต่อแถวตักอาหารกับพวกเขาบ้าง จะได้มีความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน



--------------------

TBC


วันนี้เน็ตอืดมากๆๆ  ไว้พรุ่งนี้จามาต่ออีกนะคะ  สนุกกับการอ่านกันค่ะ :L2:

ltahset

  • บุคคลทั่วไป
 :z13:

ขอแว้บไปอ่านก่อน

ขอบคุณค่ะ

^^

TonG_x_Zhi

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณที่มาต่อให้นะคร๊าบบบบ

ในที่สุด นายชาตรีก็ปรับความเข้าใจกับเคนแร่ะ o13

ออฟไลน์ ┗◎┗◎

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2899
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +734/-7
แฮ่กๆๆๆๆๆๆ   เพิ่งตามอ่านทัน   อ่านรวดเดียวตั้งแต่ภาคแรก อิอิ

เคลวินน่าร้ากกกกกกกกกกกกกกกอย่างแรงงงงงงง :m1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ pdolphin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-2
ดีใจที่มาต่อให้ค่ะ

แต่สรรพนามผิดอยู่ 1 ที่นะคะ ^_^  เหมือนเคลวินสลับที่กันอยู่นิดนึง

ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ความบาดหมางก็หายไป   :กอด1:

แล้วก็มาลุ้นคืนนี้ต่อไป  :z1:

February

  • บุคคลทั่วไป
 :กอด1:  กอดกัน กอดกันนะ...


+1 ให้ minchy คนน่ารักด้วยนะ



ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
มารอตอนกลางคือของเคลวินกะเคน  :z1:

ออฟไลน์ Ottomechan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 701
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
มารอด้วยคน


ตอนกลางคืนนนนนนนนนนนนนนนนนนน


 :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ Ak@tsuKII

  • Honeymoon
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3845
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-3
minchy  >>+1  ให้นะคะ   

รอด้วยคน  ขอมุดใต้เตียงด้วย   :z1: :pighaun:

ไฉไล

  • บุคคลทั่วไป
นั่นสิ คุนภรรยา ของเคน ทำไม หื่นจัง อิอิ   :z1:

คืนนี้ หนุ่มเคน ไม่รอดแน่ๆ   ฮ๋าๆ   :m20:


*ในที่สุด คุณชาตรี ก็เปิดใจซะทีเนอะ

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
คนไรอ่ะ ไม่เคยลืมทำการบ้านเล้ย

ขยันจิงเชียว เอาไปเล้ย +1 เคลวินน่ะ  :z1:

รอ รอ ค่ำคืนอันหวานฉ่ำ  :o8:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ minchy

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +173/-0
ก็ไม่รู้ว่าจะหวานฉ่ำกันหรือป่าวนะคะ

ขอบคุณ สำหรับทุก +  :-[

บทที่ 53

----------------------------

“เป็นไงบ้างเคน ทำงานกับคุณเคลวินสนุกไหม”

ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินสาวเปรี้ยว ถามผมระหว่างที่ทานข้าว ฟังจากน้ำเสียงแล้ว เธอคงตั้งใจถามไถ่ธรรมดา มากกว่าจะเหน็บแนม

และคงไม่มีเหตุผลใดที่เธอจะทำเช่นนั้น เพราะเราก็รู้จักกัน ผมเจอเธอบ่อยๆ เวลามีประชุมระดับผู้บริหาร แต่ส่วนใหญ่ก็จะพูดคุยเป็นทางการ เกี่ยวกับเรื่องรายงานการประชุมที่ผมทำ

และข้อสรุปแต่ละครั้ง มีคราวนี้ที่เธอพูดกับผมด้วยท่าทางสนิทสนม ไม่เหมือนเจ้านายพูดกับลูกน้อง

“สนุกดีครับ”

“ท่านประธานดุหรือเปล่า ใครๆเขาก็บอกว่าดุกัน”

ดูเหมือนเธอจงใจจะพูดแหย่ท่านประธาน ท่าทางไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด คงเป็นเพราะทำงานร่วมกันมานาน ต่างรู้ฝีมือซึ่งกันและกัน

และเคลวินก็ทำงานแบบฝรั่ง คือเอาจริงเอาจังเวลางาน แต่พอนอกงานแล้วก็เป็นเพื่อนกับทุกคนได้ ที่สำคัญท่านผู้อำนวยการฝ่ายการเงินก็อายุมากกว่าเคลวิน และเอ็นดูเคลวินเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง

ถึงแม้เคลวินจะเป็นหัวหน้าของเธออีกที แต่เคลวินก็ให้ความเคารพเธอตามอาวุโส ซึ่งเป็นมารยาทอันดีงามของคนไทยซึ่งฝรั่งต่างชาติอย่างเคลวินทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง

ผมเห็นเคลวินยิ้มรับ และหันมามองหน้าผม เพื่อฟังคำตอบ ผมไม่กล้าพูดเล่นกับเคลวินต่อหน้าใครอยู่แล้ว เลยตอบไปตามตรงว่าเคลวินดุอย่างที่คนอื่นเขาว่าจริงๆ

แต่เคลวินก็หวังดีกับผม ช่วยสอนงานให้หลายอย่าง ถ้าเคลวินไม่ดุ ไม่เข้มงวด ป่านนี้ผมก็อาจจะยังไม่คล่องงานเหมือนทุกวันนี้ ซึ่งคำตอบของผมคงจะทำให้เคลวินและคนถามพอใจได้ไม่น้อย

พวกเราทานข้าวกันไป คุยกันไป เรื่องงานบ้าง เรื่องส่วนตัวบ้าง บางครั้งก็พูดคุยเกี่ยวกับการแสดงบนเวที ทุกคนพูดคุยกันอย่างสบายๆไม่มีมาด ทำให้บรรยากาศในโต๊ะวีไอพี ที่ผมมีโอกาสนั่งร่วมโต๊ะเต็มไปด้วยความสนุกสนาน

การนั่งกับผู้ใหญ่ของบริษัท ไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียว ผมได้รับรู้แนวคิด และคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์เหล่านั้นมากมาย และตั้งใจว่าจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์

หลังที่งองุ้ม ด้วยความเกร็งและเกรงกลัว เปลี่ยนเป็นยืดตรงตามปกติ ผมเริ่มพูดคุยตอบโต้กับทุกคนอย่างเป็นกันเอง ไม่ต้องระวังตัวว่าจะพูดไม่ถูกหูใคร เหมือนจะเป็นวันปล่อยผีสักวันหนึ่ง

ทุกคนทำตัวสนุกเต็มที่ เวลาที่เขาปล่อยให้ออกไปเต้น แล้วมีพนักงานมาโค้งบรรดาผู้บริหารให้ออกไปเต้นด้วย

ทุกคนก็ร่วมมือเป็นอย่างดีไม่มีเกี่ยงงอน การไม่ถือเนื้อถือตัวของผู้บริหาร ได้ใจพนักงานไปเป็นกอง ทำให้พนักงานเพิ่มความนิยมชมชอบหัวหน้าของตัวเองมากยิ่งขึ้น

เคลวินเองก็ถูกเชิญให้ออกไปเต้นหลายครั้ง กับพวกสาวน้อยสาวใหญ่บ้าง ท่าทางจะสนุกไม่ใช่น้อย ทั้งคนเชิญและคนถูกเชิญ ส่วนผมผูกขาดการนั่งดูอยู่กับโต๊ะ เพราะเต้นไม่เป็น และไม่อยากทำตัวเด่นด้วย


การแสดงบนเวทีสลับสับเปลี่ยนกันไป หลังจากการแสดงโชว์คาร์บาเร่ต์เป็นการเปิดงานแล้ว นักร้องก็ขึ้นมาขับกล่อมด้วยเพลงจังหวะสนุกสนาน ให้พนักงานได้มีโอกาสออกมายืดเส้นยืดสายกัน

หลังจากนั้นก็เป็นการแสดงของแต่ละฝ่าย สลับกับการเล่นดนตรี การประกวดขวัญใจพนักงาน และการแต่งกายยอดเยี่ยม

ตลอดระยะเวลาเหล่านั้น ผมได้แต่นั่งลุ้นเพื่อนๆอยู่ที่โต๊ะ เพราะตัวเองไม่ได้มีส่วนร่วมในการแสดง ส่วนเคลวินและผู้บริหารคนอื่นๆ ก็เดินขึ้นเดินลงเพื่อมอบรางวัลเป็นว่าเล่น

ผมก็เลยกลายเป็นคนเฝ้าโต๊ะเฝ้าของให้กับพวกเขาไปโดยปริยาย แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไร ยอมรับในชะตากรรมของตัวเอง ยังคงมีคนที่ไม่เข้าใจผมอีกมากมาย คงต้องใช้เวลานานมากในการพิสูจน์ตัวเอง

“เคนเหงาแย่เลย”

ท่านผู้อำนวยการฝ่ายการเงินพูดกับผมอย่างเห็นใจ

“ไม่ได้ร่วมแสดงอะไรกับเขาบ้างเลยเหรอ”

คำถามต่อมาเกิดเพราะความไม่รู้ ผมส่ายหน้า ยิ้มแหยๆให้เธอ อย่างไม่รู้จะตอบอะไรดี มืออุ่นๆของเคลวินเลื่อนมาบีบที่ต้นเข่าของผมใต้โต๊ะเหมือนจะปลอบใจไม่ให้ผมคิดมาก โชคดีที่เขาแหวกมือสอดเข้ามาตรงรอยแยกของผ้าคลุมโต๊ะที่ยาวถึงพื้น เลยไม่มีใครสังเกตเห็น

“แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ หน้าที่ดูแลคุณเคลวินสำคัญกว่าอยู่แล้วใช่ไหม”

พอเห็นผมทำหน้าจ๋อยๆ ท่านผู้อำนวยการสาวเปรี้ยวก็เหมือนจะรู้ว่าเป็นเรื่องที่ผมไม่สบายใจอยู่ เลยเลี่ยงมาลงที่เคลวินแทน เหมือนจะให้เขารับลูกไป

เคลวินก็น่ารักมาก พยักหน้ารับคำเห็นด้วย ทั้งสองคนช่วยให้เหตุผลที่ผมไม่ต้องขึ้นเวทีกันยกใหญ่ ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น ที่มีคนเข้าใจผมเพิ่ม

“อ๊ะ ถึงไม่ได้แสดงแต่ก็ร่วมสนุกได้นี่”

อยู่ดีๆ เธอก็มีไอเดียที่จะให้ผมมีส่วนร่วมในงานไม่ต้องนั่งเหงาขึ้นมา และโดยไม่บอกว่าเธอมีความคิดอะไร

เธอก็เรียกสต๊าฟจัดงานที่ยืนอยู่แถวนั้นเข้ามาหา และกระซิบกระซาบอะไรสักอย่าง สต๊าฟคนนั้นรับคำ แล้วก็เดินไปพูดกับผู้กำกับรายการแสดงที่ยืนอยู่ข้างเวที และผมเห็นเขาเดินไปบอกกับพิธีกรอีกที

ผมไม่กล้าถามเธอว่าจะทำอะไร ได้แต่นั่งมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่เธอกลับนั่งอมยิ้ม ผมหันไปมองเคลวิน ก็เห็นเขาทำหน้าเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไร ผมเลยได้แต่รอว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผม

การแสดงชุดสุดท้ายผ่านไปแล้ว พิธีกรขึ้นไปประกาศบนเวที เพื่อเรียกร้องให้พนักงานช่วยกันร่วมโหวต ว่าการแสดงชุดใดของพนักงานประทับใจที่สุด

โดยจะเอาคะแนนโหวตสูงสุดที่ได้รับ ไปบวกกับคะแนนของคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ ซึ่งก็คือท่านผู้อำนวยการฝ่าย และผู้จัดการบางท่านที่ได้รับมอบหมายให้เป็นคณะกรรมการในครั้งนี้

เคลวินไม่ต้องร่วมให้คะแนนกับเขาด้วย เพราะอยู่ในฐานะเป็นกลาง เป็นเพียงแค่ผู้มอบรางวัลเท่านั้น

และเมื่อรวมคะแนนแล้ว ทีมใดได้คะแนนสูงสุด ก็จะได้เงินรางวัล 1 หมื่นบาท และได้บัตรกำนัลเป็นที่พักฟรีที่รีสอร์ทแห่งนี้ทั้งทีม

หลังจากประกาศกติกา และชวนให้ทุกคนร่วมโหวตโดยจะมีกระดาษลงคะแนนแจกให้ พิธีกรก็แจ้งรายการต่อไป นั่นคือการให้พนักงานได้ร่วมสนุกบนเวที ด้วยการร้องเพลง

ใครสนใจอยากร้องเพลงไหน ก็มาลงชื่อไว้ และเพื่อเป็นการประเดิมเวทีให้ได้ร้องเพลงร่วมสนุกกัน ก็จะขอเชิญนักร้องรับเชิญขึ้นมาร้องบนเวที

พิธีกรคลี่กระดาษในมือเพื่ออ่านรายชื่อนักร้องที่คนเสนอมา ซึ่งเป็นพนักงานบริษัท มีอยู่ประมาณสี่ห้าคน เสียงประกาศชื่อดังให้ได้ยิน ผมตกใจเมื่อได้ยินชื่อของตัวเองเป็นลำดับสุดท้าย

แม้จะเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะได้ทำอะไรแปลกๆ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นการถูกเชิญให้ขึ้นไปร้องเพลงบนเวที ผมไม่ถนัดในเรื่องการร้องเพลงต่อหน้าผู้คนจำนวนมากเท่าไหร่

เคยร้องเล่นๆ เวลาอยู่คนเดียว ตอนอาบน้ำบ้าง ตอนทำงานบ้านบ้าง และไม่ได้ร้องนานมากแล้วตั้งแต่เคลวินย้ายมาอยู่กับผม เพราะอายเสียงตัวเอง

ท่านผู้อำนวยการฝ่ายการเงินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ในขณะที่ผมยิ้มไม่ออก

การที่ต้องร้องเพลงต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ที่ไม่ค่อยได้สนิทกัน ทำให้ผมรู้สึกเป็นกังวลและกลัวทำงานล่ม ความเครียดก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางกาย จนผมปวดท้องอยากไปเข้าห้องน้ำ

ผมเลยขออนุญาตลุกไปทำธุระก่อนที่มันจะเรี่ยราดประจานความตื่นเต้นของตัวเอง

ตอนผมเดินออกไปจากโต๊ะได้ยินเสียงหัวเราะขำของท่านประธานสองหน้ากับผู้อำนวยการสาวเปรี้ยวที่หางานให้ผม

หัวเราะกันเข้าไป ทำให้คนกังวลใจได้นี่มันน่าสนุกนักเหรอ เดี๋ยวก็เบี้ยว หมกตัวอยู่ในห้องน้ำ ไม่ยอมขึ้นซะเลยนี่

ทว่า ผมไม่จำเป็นต้องแกล้งเบี้ยวไม่ขึ้นเวทีไปร้องเพลง เพราะมีคนที่หมั่นไส้ ไม่ชอบขี้หน้าผมจัดการให้เสร็จสรรพ

ขณะที่ผมเดินเข้าห้องน้ำและทำธุระเสร็จเรียบร้อย กำลังจะเดินออกมา ผมก็ถูกปิดล้อมด้วยคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งแต่งกายด้วยชุดเสื้อผ้าอลังการที่ใช้ในการแสดงโชว์บนเวที

ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าพวกเขาได้แสดงเป็นชุดสุดท้าย แต่การแต่งหน้าตาที่หนาเตอะ และการทำผมทำเผ้าที่แปลกไป ทำให้ผมไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็นใครจนกระทั่งตัวหัวหน้าพูดขึ้นมา

“กลัวจนฉี่ราดเลยหรือไงไอ้อ่อน”

ไอ้คนอันธพาลเมื่อตอนกลางวันและตอนหัวค่ำนั่นเอง ตามมาราวีผมถึงในห้องน้ำเลยเชียวนะ

“ขอโทษทีครับ หลีกทางผมหน่อย ผมจะกลับเข้าไปในงาน เดี๋ยวไม่ทัน”

ผมไม่ตอบคำถามนั้น แต่ขอร้องเขาอย่างสุภาพ ตอนนี้อยากเข้าไปในงานเต็มแก่แล้ว

ต่อให้ต้องขึ้นไปร้องเพลงแล้วล่มกลางครันเพราะประหม่า ก็ยังดีกว่าจะหายไปนานเพราะมีเรื่องมีราวกับคนกลุ่มนี้ ผมไม่อยากให้เคลวินไม่สบายใจที่ลูกน้องตัวเองมาทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“กลัวไม่ได้ขึ้นเวที พรีเซนต์เฟซเหรอวะ อยากได้หน้าไปถึงไหนกัน ที่ผ่านมา มึงยังได้หน้าไม่พอหรือไง อยากให้ผู้ใหญ่ปลื้มมึงจนยกก้นลอยฟ้าไปถึงไหน”

คำพูดแต่ละคำบ่งบอกถึงความต่ำทรามของจิตใจคนพูดได้ดี

“กูยังไม่ให้มึงไปไหนทั้งนั้น จนกว่ามึงจะขอโทษกูก่อน ไอ้อ่อน”

“ผมขอโทษครับ”

เอ่ยปากขอโทษพวกเขาอีกครั้ง ไม่ได้กลัวพวกมากกว่า เพราะอย่างดีก็สู้แค่ตาย หากพวกเขาจะหาเรื่องจริงๆ แต่ผมอยากให้มันจบๆไป เพราะตอนนี้คงใกล้จะถึงเวลาที่เป็นคิวการแสดงของผมแล้ว ไม่อยากให้ใครเป็นกังวล

“ไม่ได้ ต้องกราบตีนกูก่อน”

อะไรเนี่ย มันจะมากไปแล้วนะ ผมไม่ได้ทำอะไรผิด เหยียบตีนพวกเขาก็ไม่ได้ทำ เรื่องการแข่งขันที่แพ้ มันก็แค่เป็นเหตุสุดวิสัย ผมอุตส่าห์ขอโทษให้เรื่องมันจบ ทำไมต้องให้ผมทำถึงขนาดกราบตีนด้วย ขอมากไปแบบนี้ ใครจะไปยอม

“เร็วๆสิ กราบตีนพี่เขาก่อน มึงจะได้ออกไปเสนอหน้าร้องเพลงบนเวทีไง”

พวกเพื่อนๆของนักเลงโตที่มาด้วย ร้องบอกให้ผมทำตาม แต่ผมยืนนิ่งไม่ปฏิบัติตามคำขู่ที่มันมากจนเกินงาม
“อยากโดนดีหรือไง บอกให้กราบตีนกูเป็นการขอโทษ ก็กราบสิ”

หัวโจกที่มีเรื่องกับผม ขู่กรรโชกโฮกฮาก ทำตัวเหมือนนักเลงอันธพาล ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีคนนิสัยแบบนี้อยู่ในบริษัทของเคลวินด้วย

ผมมองใบหน้าถมึงทึง และดวงตาแดงก่ำของคนพูด มีกลิ่นเหล้าโชยฉุยมาจากปากของเขาเวลาพูด ฤทธิ์เหล้าผสมกับนิสัยอันธพาลส่วนตัวเลยทำให้เขาสำแดงความหยาบกระด้างออกมาให้เห็นอย่างน่ารังเกียจ

“ไม่”

ผมยืนกรานเสียงแข็ง แม้ผมจะคนเดียวต้องต่อสู้กับพวกหมาหมู่ผมก็ไม่หวั่น คนเราก็ต้องมีศักดิ์ศรี ด่าผมแบบจิกหัว ผมก็สู้ทน ไม่อยากมีเรื่องให้เคลวินไม่สบายใจ แต่ถ้าถึงขนาดต้องก้มกราบกรานคนเลวๆพวกนี้ เห็นทีจะทำไม่ได้ มีเรื่องก็คงต้องยอม

“อยากลองดีเหรอมึง นึกว่ามีพวกผู้ใหญ่คุ้มหัว แล้วมึงจะกร่างกับใครก็ได้งั้นเหรอ สงสัยต้องสั่งสอนให้รู้จักสำนึกเสียบ้าง”

คนพูดทำหน้าตาเหี้ยมเกรียม เขาย่างสามขุมเข้ามาหา ในขณะที่ผมกำหมัดขึ้น เตรียมต่อสู้ เดชะบุญที่ผมกับนักเลงโตไม่ต้องวางมวยกันให้ขายหน้า เพราะขณะที่เขาเต้นฟุตเวิร์คเข้ามาหา เตรียมต่อยผมให้ล้มคว่ำแบบนักมวยที่ไล่อัดคู่ต่อสู้ ระฆังก็ตีบอกหมดเวลาเสียก่อน

“ทำอะไรกัน ใครกร่าง ใครมีคนคุ้มกะลาหัว”

น้ำเสียงห้วนและวางอำนาจ ดังขึ้นทางเบื้องหลังของนักเลงโตกลุ่มนั้น ทั้งหมดรวมทั้งผมด้วย หันไปมองทางต้นเสียง

เคลวินยืนอยู่ตรงช่องประตู เขามองมาด้วยใบหน้าถมึงทึง ท่าทางโกรธจัด ไอ้นักเลงโตที่วางก้ามข่มขู่ผมเมื่อครู่หน้าถอดสี เขาถลึงตาใส่ผมเป็นเชิงให้หุบปากเงียบ ก่อนที่จะค่อยๆหันไปทำท่าพินอบพิเทาประธานบริษัท

“ไม่มีอะไรครับท่าน เรากำลังซ้อมละครกันอยู่ ใช่ไหมหือเคน”

ไอ้หมอนั่นทำท่าประจบประแจง และเรียกชื่อผมอย่างสนิทสนม เคลวินหรี่ตามองพวกนั้น ท่าทางไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่พวกนั้นพูดสักเท่าไหร่

“แล้วพวกคุณซ้อมเสร็จหรือยัง ถ้าซ้อมเสร็จแล้ว ก็กรุณาหลีกทางหน่อย ผมจะเข้าไปใช้ห้องน้ำบ้าง”

เขาพูดเสียงเข้ม พวกนั้นคงพิจารณาแล้วว่าการต่อกรกับฝรั่งที่ตัวโตกว่าตัวเองมาก แถมซ้ำเป็นถึงประธานบริษัทที่มีอำนาจเด็ดขาดในการชี้เป็นชี้ตายชีวิตการทำงานของพวกเขาได้ เป็นเรื่องที่โง่อย่างยิ่ง สู้สงบปากสงบคำล่าถอยดีกว่า

จึงพากันหลบออกจากห้องน้ำไป ผมรู้ดีว่าพวกเขาแค่ไม่จบเรื่องนี้ง่ายๆ จนกว่าจะจัดการผมได้ เพียงแต่ไม่ต้องการมีเรื่องกับผมต่อหน้าท่านประธานเท่านั้น มันเป็นการท้าทายเกินไป จากนี้ผมคงต้องระวังตัวเพิ่มขึ้น เพราะอาจจะถูกพวกนั้นลอบกัดเอาเมื่อไหร่ก็ได้ จนกว่าจะเห็นผมพ่ายแพ้ยอมสิโรราบให้กับพวกเขา

ทันทีที่พวกนั้นลับตาไป เคลวินก็ปราดเข้ามาถามไถ่ผมด้วยความห่วงใย มือไม้ก็จับต้องเนื้อตัว ตาสำรวจไปทั่วว่าผมมีบาดแผลอะไรหรือเปล่า เห็นอากัปกริยาของเขาแล้ว ผมก็เต็มตื้นไปทั้งหัวอก ตระหนักได้ถึงความรักที่เขามีต่อผม มันมากมายจนผมเองก็พ่ายแพ้ในความจริงใจของเขา

“เป็นอย่างไรบ้างครับ พวกนั้นทำร้ายเคนบ้างไหม”

น้ำเสียงของเขาร้อนรน ความกังวลใจฉายชัดให้เห็นในใบหน้า เคลวินผู้เย็นชาและเคร่งขรึมกลายเป็นคนสติแตกขึ้นมาทันตาเห็น

ผมคาดเดาเอาว่าเขาคงมาได้ยินการทุ่มเถียงของผมกับคนพวกนั้นได้สักระยะ จนเกิดเป็นความวิตกและโกรธขึ้นมา

เคลวินคงห่วงกลัวว่าผมจะโดนทำร้ายให้ได้รับบาดเจ็บ ผมต้องจับมือเคลวินมาบีบเอาไว้ ไม่ให้เขาวิตกไปมากกว่านี้

“ไม่ครับ เคลวินมาเร็วไป ถ้ามาช้ากว่านี้ พวกนั้นอาจจะสลบเหมือดเพราะถูกผมน็อคเอาก็ได้”

พูดเล่นโอ้อวดตนให้เขาขำ เพื่อคลายความกังวลใจของเขา เคลวินมองค้อนผม แล้วพูดเสียงเครียด

“ทำเป็นปากดี มันไม่ตลกเลยนะครับ ตัวแค่นี้จะไปสู้พวกนั้นได้ไง พวกนนั้นตัวใหญ่กว่าคุณตั้งเยอะ พวกก็มากกว่า

ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะว่า บริษัทของผมจะมีอันธพาลในคราบพนักงานอยู่ด้วย คอยดูนะ กลับไปถึงบริษัทเมื่อไหร่ ผมจะเรียกคนพวกนี้มาเล่นงานให้สาสมกับความกักขฬะของพวกเขา”

เคลวินพูดอย่างโมโห เขาคงโกรธแทนผมที่ถูกพวกนั้นกระทำ ผมบีบมือใหญ่ที่อยู่ในมือของผม แล้วพูดเสียงนุ่มนวลเพื่อให้เขาเย็นลง

“อย่าเลยครับ มันเป็นปัญหาระหว่างผมกับพวกเขา หากเคลวินลงมายุ่งเกี่ยวด้วย มันจะยิ่งไปกันใหญ่ เขาจะหาว่าผมช่างฟ้อง และกล่าวหาว่าคุณลำเอียงไม่เป็นธรรม

เคลวินอยู่เฉยๆ ดีกว่านะครับ ปล่อยให้ผมกับพวกเขาจัดการแก้ปัญหากันเองดีกว่านะครับ”

“แล้วถ้าพวกนั้นทำร้ายคุณล่ะครับ”

เขายังคงมีสีหน้ากังวล

“เขาคงไม่กล้าหรอกเคลวิน เราเป็นพนักงานบริษัทนะครับ ไม่ใช่นักเลงโต กฎระเบียบของบริษัทก็มี ถ้าพนักงานทะเลาะกัน ก็มีโทษตั้งแต่ถูกทำทัณฑ์บน พักงาน และไล่ออก เขาคงไม่อยากเสี่ยงตกงาน เพราะเรื่องแค่นี้หรอกครับ”

ผมพูดเพื่อให้เขาสบายใจ แม้ว่าจะไม่ค่อยมั่นใจนักว่าพวกนั้นจะทำอะไรผมหรือเปล่า สู้กันซึ่งๆหน้าผมไม่กลัวหรอก แต่ผมกลัวการลอบกัดมากกว่า

“แต่ผมก็ยังไม่วางใจเลย คนพวกนี้อาจจะหาทางแกล้งเคนก็ได้ ให้ผมจัดการดีกว่าไหมครับ”

เขายังคงดื้อที่จะจัดการพวกนั้นด้วยตัวเอง แต่ผมขอร้องเขาว่าให้ปล่อยมือจากเรื่องนี้ ผมไม่อยากให้เขาถูกลากมาเกี่ยวข้องด้วย ไม่อยากให้ใครนินทาว่าร้ายให้เสียหาย เรื่องของพนักงาน อยากให้จัดการเคลียร์กันเอง พนักงานทะเลาะกันไม่ถูกกัน เขาทำหน้าที่แค่วางตัวเป็นกลางไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่งั้นเขาจะโดนคนอื่นสงสัยในความบริสุทธิ์ยุติธรรม และคนอาจจะเสื่อมศรัทธาในตัวเขาและหันหลังให้เขาก็ได้

เคลวินยอมรับแต่โดยดี เขายอมรับกับผมว่า ความห่วงใยที่มีต่อตัวผม และความใกล้ชิดสนิทสนมกันทำให้เขารู้ว่าผมเป็นคนอย่างไร เขารู้ว่าผมเป็นคนดี และคนดีไม่ควรจะถูกคนอื่นทำร้าย เขาเลยอยากจะช่วยเหลือ ผมก็ปลอบเขา บอกให้เขาทำใจให้สบาย มันเป็นปัญหาที่ผมต้องแก้ และผมต้องผ่านมันไปให้ได้

เมื่อทำให้เขาคลายความกังวลได้แล้ว ผมก็ดักคอเขาว่ามาตามผมใช่ไหม เขาก็ทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ บอกว่าเห็นผมหายไปนาน เลยมาตาม เพราตอนนี้ นักร้องรับเชิญ ร้องกันไปสามคนแล้ว ร้องเสร็จมีสัมภาษณ์ ก็พอถ่วงเวลาได้บ้าง ตอนนี้ก็น่าจะได้คิวของผมแล้ว พูดจบก็ชวนผมออกจากห้องน้ำ ตอนที่เดินออกมาก็เห็นเงาคนแว๊บๆหลังเสาแถวหน้าห้องน้ำ แต่ผมไม่ได้หันไปมองให้ชัดๆ เพราะมัวแต่รีบ และใจก็คิดว่าคงไม่มีใครมาแอบฟังเราสองคนคุยกันหรอก ผมจึงเดินจ้ำอ้าวๆ ตามเคลวินกลับเข้าห้องจัดเลี้ยง ซึ่ง พิธีกรกำลังประกาศเรียกชื่อผมพอดี ผมรีบวิ่งขึ้นเวทีแทบไม่ทัน

“จะร้องเพลงอะไรครับ”

พิธีกรถามผม ซึ่งผมก็กระซิบบอกชื่อเพลงให้เขาฟัง แล้วหันไปบอกกับนักดนตรีว่าผมจะร้องเพลงอะไร โชคดีที่นักดนตรีสามารถเล่นเพลงนี้ได้ ผมจึงไม่ต้องหาเพลงใหม่

เพลงที่ผมจะร้องนี้เป็นเพลงลูกทุ่ง ผมเคยฟังตอนอยู่ที่บ้านเดิม และร้องตามบ่อยๆ มันเป็นเพลงที่มีความหมายดี และผมเลือกเพลงนี้เพื่อมอบให้แก่ใครบางคน ....ใครคนนั้นที่มอบความรักความหวังดีให้ผมเสมอมา ขอบคุณที่ยังรักกัน ของหลวงไก่

เพลงปลากรอบ -- ขอบคุณที่ยังรักกัน --หลวงไก่

อยากขอบคุณอีกสักครั้ง ที่เธอยังไม่ทอดทิ้งกัน
ที่เธอนั้นยืนข้างฉัน ในวันที่ไม่มีใคร
ในวันที่ฉันล้มลง ในวันที่ฉันร้องไห้
วันที่ต้องเหงาเดียวดาย เธออยู่ข้างกายเสมอ

ขอบคุณฟ้าและสวรรค์ ที่ให้เราได้มารักกัน
แต่งเติมชีวิตของฉัน เติมฝันให้เต็มหัวใจ
ขอบคุณที่เธอรักกัน ขอบคุณที่เธอมั่นใจ
ด้วยศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายให้เธอมั่นใจได้เลย

ผู้ชายคนนี้สัญญา จะเก็บรักษาใจเธอ
จะรักให้สมที่เธอ มอบใจของเธอให้ฉัน
จะดูแลรักตัวเธอ ให้เท่าที่เธอรักฉัน
ตราบใดที่เธอรักกัน คำมั่นคือฉันรักเธอ

อยากขอบคุณอีกพันครั้ง ฉันว่ามันคงยังน้อยไป
ในตอนนี้ไม่มีคำใด จะอธิบายใจฉัน
ตอนนี้พูดได้คำเดียว ขอบคุณที่เธอรักกัน
แต่นี้และทุก ทุกวัน ฉันจะรักเธอคน

ผู้ชายคนนี้สัญญา จะเก็บรักษาใจเธอ
จะรักให้สมที่เธอ มอบใจของเธอให้ฉัน
จะดูแลรักตัวเธอ ให้เท่าที่เธอรักฉัน
ตราบใดที่เธอรักกัน คำมั่นคือฉันรักเธอ

ผู้ชายคนนี้สัญญา จะเก็บรักษาใจเธอ
จะรักให้สมที่เธอ มอบใจของเธอให้ฉัน
จะดูแลรักตัวเธอ ให้เท่าที่เธอรักฉัน
ตราบใดที่เธอรักกัน คำมั่นคือฉันรักเธอ

จะดูแลรักตัวเธอ ให้เท่าที่เธอรักฉัน
ตราบใดที่เธอรักกัน คำมั่นคือฉันรักเธอ


ออฟไลน์ minchy

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +173/-0
มีความเงียบงันเกิดขึ้น หลังจากที่เพลงจบไป ผมยืนนิ่งอยู่บนเวที ใจเต้นระทึก

อยากรู้ว่าเพื่อนพนักงานจะมีปฏิกิริยาใดบ้างเมื่อฟังเพลงที่ผมร้องจบลงไปแล้ว การที่พวกเขาเงียบกันทั้งห้องทำให้ผมใจเสีย

ผมคงจะร้องเพลงได้ไม่ดีจนพวกเขาทนฟังกันไม่ได้ การแสดงของผมคงไม่น่าประทับใจ และอาจจะทำให้เคลวินขายหน้าไม่น้อยที่มีลูกน้องไม่ได้เรื่อง

ทว่าขณะที่ผมกำลังจะถอดใจอยู่นั้น เสียงปรบมือก็ดังขึ้น จากเปาะแปะ ไม่กี่คน กลายเป็น 10 เป็นร้อยคน

แม้ว่าเสียงปรบมือที่ได้ยินจะไม่ได้ดังอย่างท่วมท้นจากคนทั้งห้อง แต่แค่มีบางส่วนที่ยอมรับ ผมก็ดีใจยิ้มแก้มแทบแตกแล้ว

หันไปมองทางโต๊ะผู้บริหาร ก็เห็นเคลวินยิ้มหน้าบาน ดูเหมือนว่าเขาจะแสดงความดีใจออกมานอกหน้าภูมิใจยิ่งกว่าผมเสียอีก

ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก และโค้งคำนับไปรอบทิศ รู้สึกดีจริงๆ ที่มีคนยอมรับในตัวผม มันทำให้ผมรู้สึกมีความสุขมากที่สุดนับตั้งแต่ร่วมเดินทางมาเที่ยวกับพนักงานบริษัทในครั้งนี้

พิธีกรเรียกผมไปสัมภาษณ์ตามธรรมเนียม ถามชื่อจริง ชื่อเล่น ทำงานอยู่ฝ่ายไหน ใครเป็นหัวหน้า ทำงานมานานหรือยัง

ทุกคำถามเกี่ยวข้องกับผมและบริษัท ผมก็ตอบไปอย่างตื่นเต้น ตอบผิดตอบถูก คนก็ฮากัน ความประหม่าของผมเป็นเรื่องที่ทำให้คนตลก แต่ผมก็รู้สึกดี

อย่างน้อยๆ พวกเขาก็ยิ้มให้ผมแล้ว ต้องขอบคุณท่านผู้อำนวยการฝ่ายการเงินที่ส่งชื่อผมให้ขึ้นมาร้องเพลง ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ได้สัมผัสช่วงเวลาความสุขที่มีคนยอมรับเราได้มากขนาดนี้

สัมภาษณ์เสร็จ ผมก็ลงมาจากเวที เพื่อให้พิธีกรได้ดำเนินรายการอื่นๆต่อไป ตอนที่เดิมกลับมาที่โต๊ะ ผมเห็นหลายคนมองมาทางผม

คราวนี้มีสายตาที่ชื่นชม อยากรู้จัก แทรกมากับสายตาที่ไม่เป็นมิตร ความตื่นเต้นดีใจทำให้ผมแข้งขาสั่น นึกไม่ถึงว่าจะมีวันนี้ วันที่มีคนรู้สึกดีๆกับเราบ้าง หลังจากเราตกอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่เข้าใจ และไม่ยอมรับเราเป็นพวกมานาน

เดินมาถึงโต๊ะ สิ่งที่ผมเห็นเป็นสิ่งแรกคือรอยยิ้มหวานของเคลวิน เขาส่งยิ้มให้ทั้งปากและตา โดยไม่ได้เกรงกลัวเลยว่าจะมีคนเห็น ปากเกือบจะฉีกไปถึงหู

เขายิ้มให้ผมตั้งแต่ตอนอยู่บนเวที พอลงมานั่งข้างๆเขา ก็ยังยิ้มไม่หยุด ไม่รู้จะดีใจอะไรกันนักหนา แถมซ้ำพอผมจ้องเขาอย่างงงๆที่เห็นเขายังไม่หยุดยิ้ม เขาก็ทำหน้าเหมือนอายผม

“ไม่ยักจะรู้ว่าเคนร้องเพลงเพราะเหมือนกันนะ”

ท่านผู้อำนวยการที่ส่งผมขึ้นไปร้องเพลง กล่าวชมเชยผม ทำให้ผมละสายตาจากเคลวินและหันมาให้ความสนใจกับเธอทันที

ผมกล่าวขอบคุณเธอ และพูดถ่อมตัวว่าผมร้องไม่เก่ง รู้สึกประหม่ามากๆเลยที่ขึ้นไปร้องบนเวที และให้ขึ้นอีกก็คงไม่กล้าแล้ว

ท่านก็ดุผมว่ามีความสามารถแล้วจะนั่งปกปิดอยู่ทำไม ท่านผู้บริหารคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ในโต๊ะก็สนับสนุนความคิดของเธอด้วย ผมเลยยกมือไหว้ กล่าวขอบคุณพวกเขารอบโต๊ะ รู้สึกดีที่พวกเขาเห็นความสามารถของผม

“คุณเคลวินมีลูกน้องเก่งงาน แถมยังร้องเพลงเพราะอีก ต้องรักษาเอาไว้ให้ดี ให้เขาอยู่กับบริษัทเรา อย่าให้เขาไปอยู่ที่อื่นนะ เสียดายแย่”

ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดกล่าวกับประธานเคลวิน ผมเห็นเขานั่งอมยิ้ม ท่าทางภูมิใจในตัวผมไม่น้อย จนผมรู้สึกเขิน ผมก็แค่ร้องเพลง ไม่ได้ทำอะไรให้พวกเขารู้สึกว่าผมเก่งกว่าใครต่อใครเสียหน่อย

“ใช่ๆ เดี๋ยวเกิดมีค่ายเทปมาซื้อตัวไป จะทำให้บริษัทสูญเสียบุคลากรรุ่นใหม่ไฟแรงไปคนหนึ่ง”

สาวเปรี้ยวคนเดียวในกลุ่มสนับสนุนคำพูดของผอ.ฝ่ายการตลาด ผมได้แต่กล่าวขอบคุณพวกเขา ที่รู้สึกดีกับผม

รู้สึกดีที่เคลวินให้โอกาสผมได้เข้าร่วมประชุมกับผู้บริหารระดับสูงด้วยบ่อยๆ ความตั้งใจทำงาน คงจะทำให้พวกเขาได้เห็นว่าผมมุ่งมั่นทุ่มเทเพียงไร จนพวกเขาวางใจในตัวผม และเห็นว่าเป็นบุคลากรที่สำคัญคนหนึ่งของบริษัท

“ผมเชื่อมั่นว่า เคนคงไม่ทอดทิ้งพวกเราไปเป็นนักร้องให้ค่ายเทปใดๆแน่นอนครับ”

เคลวินกล่าวอย่างมั่นใจ ก่อนจะสบตาผมหวานฉ่ำ จนผมต้องเบือนหน้าหนี ด้วยกลัวว่าท่านประธานสองหน้าจะแสดงอาการอะไรมากมา

ย ดูเหมือนวันนี้เขาจะครึ้มอกครึ้มใจเป็นพิเศษ ตั้งแต่ชนะการแข่งขันแล้ว เขาก็ไม่ค่อยเก็บอาการอะไรเลย ยิ่งตอนผมเดินลงมาเวทีหลังจากร้องเพลงเสร็จ เขาก็ทำตาหวานใส่ผมตลอด

กลายเป็นว่าคนที่เป็นฝ่ายกลัวว่าจะมีคนสังเกตเห็นและเอาไปนินทาว่าร้ายให้เสียหาย กลับเป็นผมเสียเอง ผมไม่อยากให้ใครตำหนิประธานบริษัทด้วยเรื่องของผม กลัวคนจะเสื่อมศรัทธาในตัวเขา และส่งผลกระทบต่อบริษัท

เมื่อเคลวินแสดงความมั่นใจในตัวผมแบบนี้ ผมก็เลยให้คำมั่นสัญญากับทุกคนว่าผมจะไม่ทิ้งที่นี่ไป ผมชอบที่นี่ แล้วทุกคนก็ดีกับผมมากๆ

ผมขอบคุณทุกๆคนที่ให้โอกาสผมได้เรียนรู้งาน ถ้าพวกเขาไม่ให้ความเมตตากับผม ผมคงไม่สามารถจะทำงานได้สำเร็จลุล่วง

คำกล่าวนอบน้อมของผมคงเป็นที่พึงพอใจของทุกคน เพราะท่านผู้บริหารที่นั่งอยู่ในโต๊ะก็รุมกันให้คำแนะนำผมในการทำงานกันยกใหญ่

ตอนนี้ทั้งโต๊ะก็กลายเป็นการสัมมนาวิชาการย่อยๆกัน โดยที่มีวิทยากรหลายคนและมีผมเป็นผู้ฟัง

บนเวที มีการแสดงหมุนเวียนเปลี่ยนไปเพื่อสร้างความสนุกสนานให้กับพนักงาน สักพักก็ได้เวลาที่ทุกคนรอคอย คือการประกาศผลการประกวดการแสดงจากฝ่ายต่างๆ

คณะกรรมการได้รวบรวมคะแนนจากพนักงานและคณะกรรมการเรียบร้อยแล้ว พิธีกรเชิญเคลวินขึ้นไปบนเวทีเพื่อมอบรางวัลให้กับทีมผู้ชนะ

บรรยากาศในห้องเงียบลงอีกครา ทุกคนตั้งใจรอฟังผล พลางลุ้นไปด้วยว่าทีมที่ตัวเองเชียร์จะติด 1 ในสามของทีมที่ชนะรางวัลหรือเปล่า

เสียงดนตรีดังเป็นจังหวะตื่นเต้นขณะที่พิธีกรประกาศรางวัล โดยเขาเริ่มประกาศจากรางวัลสุดท้ายคือรองอันดับ 2 มาก่อน จนถึงรางวัลผู้ชนะเลิศ

ทันทีที่ประกาศจบไปแต่ละรางวัล เสียงเฮก็ดังขึ้น เมื่อทีมที่ตัวเองเชียร์ได้รางวัล และนักแสดงก็วิ่งกรูกันขึ้นมาบนเวที รับรางวัลเสร็จก็ถ่ายภาพกับท่านประธาน แสงแฟลชพรึ่บพรั่บไปหมด คนได้รับรางวัลก็หน้าบานอย่างมีความสุข

ทีมที่ได้รางวัลชนะเลิศ เป็นทีมจากฝ่ายการตลาด ท่านผู้อำนวยการกระโดดลุกขึ้นเชียร์สุดตัวอย่างดีอกดีใจ ที่พนักงานในฝ่ายสามารถทำการแสดงจนเป็นที่ยอมรับ แถมยังวิ่งขึ้นไปถ่ายรูปร่วมกับทีมจากฝ่ายตัวเองอีกด้วย

งานนี้เธอให้ความเป็นกันเองกับพนักงานสุดฤทธิ์ ไม่มีถือเนื้อถือตัว ไม่ได้สวมหัวโขน แต่ถือว่าตัวเองเป็นพนักงานคนหนึ่งที่มีสิทธิ์จะทำตัวกรี๊ดกร๊าดได้ ไม่ต้องรักษาภาพ เพราะเป็นงานรื่นเริงสนุกสนานที่ไม่ต้องมีฟอร์มกันแล้ว

หลังจากประกาศรางวัลไปจนครบทุกรางวัลแล้ว ก็เป็นการปล่อยเวทีให้ว่างลง เพื่อให้นักดนตรีได้เล่นเพลงสนุกสนาน เป็นการปิดท้ายอำลางานปาร์ตี้ในค่ำคืนนี้ โดยจะปล่อยฟรี 1 ชั่วโมง ใครต้องการออกมาร้องเล่นเต้นรำ ก็สามารถทำได้

มีพนักงานที่ใจกล้าออกมาเต้นหน้าเวทีอย่างสนุกสนาน ท่านผู้บริหารหลายคนถูกพนักงานมาโค้งเชิญออกไปเต้น

ซึ่งแต่ละท่านก็ทำตัวน่ารักยอมเดินออกไปแต่โดยดี เคลวินเองก็ถูกห้อมล้อมด้วยพนักงานทั้งสาวและไม่สาว ที่ดึงเขาไปเต้นไม่ยอมให้กลับเข้ามานั่งโต๊ะ

ผมนั่งมองพวกเขาที่ออกไปวาดลวดลายบนฟลอร์อย่างรู้สึกสนุกสนานตามไปด้วย ซักพัก ก็มีพนักงานสาวคนหนึ่งที่ใจกล้ามาชวนผมออกไปเต้น

ผมรู้สึกอายเพราะเต้นไม่ค่อยเก่ง แต่เพื่อไม่ให้เธอหน้าแตกที่เชิญผมแล้วผมไม่ไป ผมก็เลยเดินตามเธอออกไปเต้นเก้ๆกังๆหน้าเวทีกับเขาด้วย

เต้นไปก็เผลอไปเหยียบเท้าคนชวนบ้าง มือไม้ไปกระแทกคนอื่นบ้าง ก็ต้องขอโทษขอโพยกันใหญ่

เต้นไปเต้นมาก็ชักรู้สึกสนุก มีสาวๆหลายคนเห็นผมเต้น ก็มารายล้อมเต้นกับผมด้วย ผมก็เต้นกับพวกเธอเหล่านั้น

รู้สึกขอบคุณที่พวกเธอให้เกียรติผม ทำให้ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนที่ผมสนุก และรู้สึกดีที่ได้รับมิตรภาพจากพนักงานบริษัทด้วยกัน หลังจากที่ทุกคนมองผมอย่างระแวงแคลงใจ และไม่เป็นมิตร

จังหวะที่เต้นๆนั้น ตาผมก็มองไปทั่ว คอยสังเกตว่าคนอื่นเขาเต้นอย่างไร จะได้เต้นเป็นกับเขาบ้าง เนื่องจากผมเหยียบเท้าสาวๆเหล่านั้นจนรู้สึกเกรงใจพวกเธอ

พลันสายตาผมก็สบเข้ากับตาสีฟ้าคู่งามที่มองจ้องมายังผม และได้เห็นความรู้สึกภูมิใจปนหวงแหนนิดๆอยู่ในดวงตาคู่นั้น ทำให้ผมรู้สึกหนาวนิดๆ

ด้วยความที่เต้นไปมองเคลวินไปด้วย กลัวเขาจะแสดงท่าไม่พอใจออกมาให้คนอื่นๆเห็น ทำให้ผมไม่ทันระวังตัว

จนเต้นไปชนกับใครบางคน ผมหันไปจะขอโทษแต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นตาเขียวปัด จ้องตอบกลับมา ดวงตาคู่ที่ผมเห็นตอนไปเข้าห้องน้ำ ดวงตาของอันธพาลในคราบนักเลงโต เจ้าตัวหัวโจกที่หาเรื่องผม

วันนี้คงเป็นวันซวยของผมจริงๆ ที่ทำให้วงโคจรชีวิตของผมต้องไปมีเรื่องกับพนักงานคนนี้อยู่ตลอดเวลา และหนนี้ผมผิดจริงๆที่ไปชนเขา

ทว่าในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดี เพราะข้างหลังผม เป็นเคลวินซึ่งยืนเต้นอยู่กับท่านผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน

อันธพาลที่มีเรื่องกับผม มองข้ามหัวของผมไป หน้าของเขาเครียดขึ้ง เขามองไปด้านหลัง แล้วสายตาของเขาก็กลับมามองที่ผม

มีแววตาดุดันเหี้ยมเกรียมอยู่ในดวงตาคู่นั้น ก่อนที่เขาจะหมุนตัวแล้วหันไปเต้นกับคู่ของตัวเองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมไม่รู้สึกสนุกอีกต่อไป จึงขอตัวกลับไปนั่งที่โต๊ะ ปล่อยให้สาวๆสนุกกันต่อไป ผมนั่งมองดูคนเหล่านั้นเงียบๆสักพัก เคลวินก็เดินตามมานั่งที่โต๊ะ

“มีอะไรหรือเปล่าเคน”

น้ำเสียงของเขาแสดงความห่วงใย จนผมรู้สึกผิดที่ทำให้เคลวินหมดความสนุกตามไปด้วย

“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่เต้นไปชนเขา คราวนี้ผมผิดเอง แล้วผมก็ขอโทษเขาแล้วครับ”

รายงานให้เขาทราบ เคลวินจะได้สบายใจ

“กลับที่พักดีไหมครับ”

เขาเอ่ยชวน แล้วก็หน้าแดง ผิดวิสัยเคลวินที่ชอบทำหน้ามึนและหื่นตลอดเวลา

“เคลวินอยากกลับแล้วหรือครับ”

---------------------------

TBC

ออฟไลน์ Ak@tsuKII

  • Honeymoon
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3845
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-3
งั้นเอาไปอีกบวกหนึ่ง    :impress2:

ที่ขยันโพสต์จ้า!
***
“เคลวินอยากกลับแล้วหรือครับ”

กลับเลยครับ>>  แล้วNC  ต่อเลย

555+





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-01-2009 19:56:18 โดย Ak@tsuKII »

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
http://media.imeem.com/m/ekAtoWPEf6

เพลงที่เคนร้องให้เคลวิน  :-[ ซึ้งๆ

แล้วเคลวินก็ชวนเคนกลับห้อง  :z1: งานนี้มีลุ้น

Silent_Y

  • บุคคลทั่วไป
อูยยยย หายไปแป๊บเดียว ตอนที่ 53 แล้วเหรอ

มีร้องเพลงให้กันด้วย แอร๊ยยยยย หวานซะ

พลิกๆ อ่านถึงหน้าไหนแล้วหว่า
ขอตัวชะแว๊บไปกอดท่านประธานกะท่านเลขาก่อนนะคร๊าบบบบ :กอด1:

 :กอด1: กอดคนโพส กะ คนแต่งด้วยฮับ อิอิ

ออฟไลน์ Ottomechan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 701
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
เคลวินอยากกลับที่พัก



อิอิ :oo1: :oo1:

TonG_x_Zhi

  • บุคคลทั่วไป
รออ่านตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ

 :oo1:   :-[

เอิ๊กๆๆ

ออฟไลน์ nbee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 849
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-1
เคลวินพาเคนไปส่งที่ห้องเลย

ดึกแล้วนะ

นอนได้แล้ว

 :impress2:

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
อ้ะ มุบมิบไรไว้อ่ะ

เค้ารอมา 300 ตอนเเล้วนะ

 :oo1: ไปนอนได้แล้วเคน

ดึกแล้ว เป็นห่วงเคนนะ ไม่ได้คาดหวังไรหรอก  :z1:

ออฟไลน์ โน๊อา

  • อยู่เป็นคู่ เช่น ฉันคู่เธอ
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-1
ขอบคุณค้าบบบบบบ  :z10:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด