春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5  (อ่าน 17001 ครั้ง)

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
วิชาปฏิบัติการของปีสองฮารุโตะได้รวมกลุ่มกับคนอื่นที่ไม่ใช่อาคาริ มิสะและซูซุกิ จิเอะ แม้จะเคยเห็นหน้าแต่ใช่ว่าฮารุโตะจะรู้จักทุกคน หลังจากที่ดูรายชื่อสมาชิกในกลุ่มบนบอร์ดเสร็จ เขาจึงเข้าไปนั่งประจำโต๊ะทดลองซึ่งมีคนนั่งอยู่แล้ว เป็นผู้หญิงหนึ่งคนและผู้ชายหนึ่งคน ทาคุมิซึ่งเดินตามกันมาติดๆทักทายทั้งสองคนอย่างรู้จักมักจี่ และกล่าวฝากฝังเขาไว้เล็กน้อย ก่อนจะแยกไปนั่งประจำที่ของตัวเอง แม้ว่าวันนี้จะเป็นคาบแรกของปีการศึกษา แต่ก็มีการสอบก่อนเรียนรวมถึงมีการเรียนปกติ

เพื่อนผู้หญิงหนึ่งเดียวในกลุ่มจะทำตัวคล้ายๆกับหัวหน้ากลุ่ม คอยสั่งให้เขาและเพื่อนผู้ชายอีกคนทำการทดลองตามที่เธอบอก ฮารุโตะไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว และเมื่อเหลือบมองเพื่อนผู้ชายอีกคนก็ทำท่าเฉยๆ เด็กหนุ่มจึงยิ่งเบาใจ แถมท้ายหลังจากทำการทดลองเสร็จ เพื่อนผู้หญิงคนนั้นยังอธิบายสรุปให้เขาฟังอีก แน่นอนว่า การเขียนรายงานจะต้องต่างคนต่างเขียนเพื่อส่งเป็นรายงานเดี่ยว แต่เมื่อมีคนสรุปผลให้มันยิ่งเป็นการทุ่นเวลา

“ฮารุจัง ไปชมรมกันเถอะ”

เขาพยักหน้ารับ ปล่อยให้ทาคุมิกอดคอพาเดินออกจากห้อง ที่ทาคุมิทำตัวกระตือรือร้นเพราะเจ้าตัวจะไปสมัครเข้าชมรมถ่ายภาพ ทั้งที่ไม่ได้ชอบถ่ายภาพด้วยกล้องโปรนอกจากใช้กล้องของโทรศัพท์มือถือ และเมื่อได้ยินว่าทริปต้อนรับสมาชิกใหม่ปีนี้จะไปโอซาก้า ทาคุมิยิ่งลั่นล้าเป็นพิเศษ

“พวกเราไปชมรมด้วยนะ”ฟุมิโอะยกยิ้มให้เขา กลุ่มของพวกเธอดักรออยู่บริเวณระเบียงทางเดินหน้าห้อง

“ได้ยินว่ารับสมัครสมาชิกใหม่แล้วใช่ไหม”ประโยคนี้เป็นของริเอะโกะ

“ถ้าจะไปจีบรุ่นพี่ชิมิซึอ่ะ บอกให้รู้ไว้ก่อนนะ ว่ารุ่นพี่เขาไม่คบกับเด็กในชมรมหรอก”ทาคุมิพูด

“ไม่คบแต่นอนด้วย จริงไหม มิอุระซัง”

คำพูดของริเอะโกะทำให้เขาตัวแข็งทื่อ เหมือนถูกกระชากให้ร่วงมาจากสวรรค์ ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาเขาอยู่แต่กับกลุ่มของรุ่นพี่ชิมิซึ หรือไม่ก็รุ่นพี่ในชมรมถ่ายภาพ ได้อยู่กับรุ่นพี่ชิมิซึทั้งเช้าทั้งเย็น มันทำให้เขามีความสุขมากจนหลงลืมเรื่องบางอย่างไป

“ยัยนั่นหมายความว่าอย่างไร นายรู้หรือเปล่า”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ ก้มหน้าก้มตาเดินตามกลุ่มหญิงสาวไป

ชมรมถ่ายภาพของรุ่นพี่นาคามูระไม่มีการแจกใบปลิวและตั้งบูธเพื่อเชิญชวนสมาชิกใหม่ ในเมื่อชื่อของชมรมบ่งบอกอยู่แล้วคือชมรมถ่ายภาพ นั่นคือคนที่ต้องมาสมัครเข้าชมรมต้องชื่นชอบการถ่ายรูป

“เอาละครับน้อง ช่วยบอกเหตุผลดีๆในการสมัครเข้าชมรมของน้องหน่อยครับ”

เมื่อมาถึงห้องชมรม รุ่นพี่นาคามูระกำลังถามคำถามนี้กับเด็กผู้หญิงปีหนึ่งอยู่พอดี ใบหน้าหล่อเหลาของรุ่นพี่กำลังยิ้มแยกเขี้ยว น้ำเสียงที่ใช้ถามก็แสนเย็นเหยียบ ขนาดฮารุโตะซึ่งยืนอยู่ไกลๆยังผวา แต่น้องปีหนึ่งคนนั้นคงเตรียมตัวมาดีไม่ใช่น้อย

“ฉันชอบถ่ายถาพค่ะ ฉันจะใช้เวลาสี่ปีนับจากนี้ในการฝึกฝนการถ่ายภาพ”เสียงคนตอบดังฉะฉาน

“เอ้า อย่ามัวแต่มองอยู่ ทาคุมิเอ็งจะสมัครเข้าชมรมไหม รีบเอาใบสมัครไปเขียนเข้า”รุ่นพี่ฮายาชิเรียกความสนใจของพวกเขาให้มาอยู่ที่กระดาษตรงหน้า ฮารุโตะเป็นสมาชิกชมรมอยู่แล้ว จึงเลี่ยงเดินไปหากลุ่มรุ่นพี่สมาชิกในชมรมที่นั่งบนพื้นชมการสัมภาษณ์กันหน้าสลอน ตั้งใจว่าจะไปนั่งข้างรุ่นพี่อาโอกิ แต่โดนรุ่นพี่ชิมิซึดึงให้ไปนั่งอยู่ข้างๆแทน ก่อนฝ่ายนั้นจะขยับตัวจนกลายมาเป็นนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง ทั้งยังวางหน้าผากพิงไหล่ของเขาไว้อีก

“นิ่งๆนะ จะนอน”

เขานึกในใจว่า ยังนอนไม่พออีกหรือเนี่ย

“เอ้า ตอบซิครับน้อง”รุ่นพี่นาคามูระเสียงดังขึ้นอีก “ถ้าตอบไม่ได้พี่ไม่รับเข้าชมรมนะ”

“รุ่นพี่เรย์โหดร้ายไปแล้ว”เสียงโวยวายของใครสักคนดังขึ้นมา เรียกให้อีกหลายคนร้องออกมาว่าเห็นด้วย

“ตกลงว่าแกจะไม่รับน้องผู้หญิงเข้าชมรมเลยใช่ไหม”

เมื่อหันไปดูถึงได้เห็นสมาชิกใหม่มีแต่ผู้ชายทั้งหมด

รุ่นพี่นาคามูระนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะถามออกไปอีกว่า “พี่ให้โอกาสน้องนะครับ มาสมัครเข้าชมรมนี้ทำไม”

“รุ่นพี่นาคามูระคะ หนูชอบรุ่นพี่ค่ะ กรุณาเป็นแฟนกับหนูด้วยค่ะ”

“โห่!!!!”เสียงโห่ร้องดังตามมาเป็นแบล็คกราวน์ จนคนพูดทั้งเขินทั้งอาย และเมื่อได้ยินคำตอบเธอยิ่งไม่กล้าสู้หน้าคนอื่นยิ่งกว่าเดิม จนต้องรีบลุกหนีออกจากห้องไป

“ขอโทษครับ พี่มีแฟนแล้ว ไม่คิดจะมองผู้หญิงคนไหนอีก”

คำตอบของรุ่นพี่เรียกเสียงร้องแซวเกรียวกราวได้ยิ่งกว่าเดิม

“คนต่อไปเชิญครับ”เรย์ประกาศเสียงดัง จนมีเสียงสมาชิกในชมรมพูดแซวขึ้นมาอีกว่า อยู่กันแค่นี้ไม่ต้องเสียงดังก็ได้

ทาคุมิจึงก้าวมาเป็นคิวต่อไป เขาไม่รอให้รุ่นพี่หัวหน้าชมรมต้องเสียเวลาถามคำถาม เขาตอบเหตุผลที่เลือกเข้าชมรมนี้ทันที “ผมไม่ได้ชอบถ่ายรูปครับ แต่ผมชอบเที่ยวและชมรมนี้ก็พาไปเที่ยวฟรีครับ”

“ไม่ฟรีเว้ย สมาชิกทุกคนต้องทำงานเหมือนกัน”เสียงนี้ดังมาจากเหรัญญิกหนึ่งเดียวของชมรม

“คร้าบ คร้าบ ผมพร้อมให้รุ่นพี่อาโอกิใช้แรงงานผมเยี่ยงทาสเลยครับ”ทาคุมิตอบหน้าเป็น เรย์จึงเชิญให้ไปนั่งรวมกับสมาชิกใหม่

คิวต่อไปเป็นของริเอะโกะและฟูมิโอะที่ก้าวเท้าเข้ามาพร้อมกัน ซ้ำยังตอบพร้อมกันอีกว่า “มาเข้าชมรมนี้เพราะชอบรุ่นพี่ชิมิซึค่ะ”

“ปลุกซากิมันหน่อยดิ”

เพราะรุ่นพี่นาคามูระสั่งมาอย่างนั้นเขาจึงหันไปปลุกคนที่นอนซบอยู่ที่ไหล่ รุ่นพี่ชิมิซึเงยหน้าขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือคล้ายว่าก่อนหน้านี้งีบหลับไปจริงๆ

“น้องสองเขาคนนี้เขาชอบแกอ่ะ จะเอาอย่างไร”

“เออ”

“เออ คืออะไรว่ะ ตกลงจะรับหรือไม่รับ”

“หน้าที่เรื่องรับคนเข้าชมรมมันเป็นของแกไม่ใช่หรือไง มาถามอะไรฉันละ”น้ำเสียงคนพูดหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะคว้าเอวของฮารุโตะเข้าไปใกล้และซบหน้าลงอีกครั้ง

เรย์มองด้วยความหมั่นไส้ บางครั้งมันเหมือนจะชัดเจน แต่บางทีมันกลับทำตัวกำกวมคลุมเครือ เขามองหน้ารุ่นน้องที่ยิ้มจืดเจื่อนให้แล้วรู้สึกสงสาร นาคามูระ เรย์จึงตัดสินใจ คราวนี้ไม่เร่งปฏิกิริยาก็แตกหักหันไปเลย

“ตกลงรับ เชิญครับ”

คิวถัดมาเป็นอิเคดะ นายะ หญิงสาวผู้ซึ่งเรียวตะออกปากว่า “คนนี้กิ๊กตรูเอง” ดังนั้นทาคาฮาชิ ฮิราอิจึงรับมุขต่อจากหนุ่มรุ่นพี่

“ฉันอยากจะกิ๊กกับรุ่นพี่โมริค่ะ แต่คุยกันแล้วไม่คลิ๊ก เลยมาสมัครเข้าชมรมนี้ตามเพื่อนเฉยๆ” และมากิเป็นคนสุดท้าย เธอใช้เหตุผลเดียวกับฮิราอิ

สรุปปีนี้จึงมีนักศึกษาปีสองเพิ่มขึ้นมาอีกหกคน

“ต่อไปเป็นหัวข้อหลักข้อวันนี้ คือการเลือกประธานชมรมคนใหม่”คราวนี้สมาชิกในชมรมแต่ละคนต่างหน้าตาตื่น “ไม่ต้องตกใจ ฉันก็อยู่ในชมรมเหมือนเดิม แต่ขึ้นปี่สี่แล้วไง เพื่อให้ชมรมนี้คงอยู่ต่อไป จึงควรต้องหาคนมาดูแลแทนใช่ไหมละ”เมื่อได้ยินคำอธิบายหลายคนจึงสงบใจลง เพราะนาคามูระ เรย์เองก็เหมือนสัญลักษณ์ของชมรมอย่างหนึ่ง

“แต่ว่าถ้าจะให้ฉันเลือกประธานชมรมคนใหม่จากปีสามเลย ฉันคิดว่ามัน...ไม่ใช่ เพราะฉันเองเป็นประธานชมรมมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ตอนอยู่ปีสองมีรุ่นพี่ปีสูงกว่ามาสมัคร ฉันก็ยังเป็นประธานเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นฉันจะใช้วิธีลงคะแนนเสียง”

นาโอโตะลุกขึ้นแจกกระดาษให้ทุกคน

“เขียนชื่อลงในกระดาษและพับใส่กล่อง พวกปีสี่ก็ต้องเลือกนะ อยากฝากชมรมนี้ไว้กับใคร เขียนชื่อมาเลย  อ่อสมาชิกใหม่ปีนี้ยังไม่เกี่ยว”

ฮารุโตะรับกระดาษมาพร้อมกับกล่าวขอบคุณ เขาลอบมองใบหน้ารุ่นพี่ปีสามทุกคนของชมรมและเขียนชื่อลงไป กับเพื่อนในคณะเขาอาจจะไม่รู้จักทุกคน ทว่ามันต่างกับสมาชิกในชมรม แม้บางคนเขาจะไม่สนิทมาก แต่เคยทำงานร่วมกัน และไปเที่ยวด้วยกันบ่อยครั้ง เขาจึงเคยคุยกับทุกคน

เด็กหนุ่มเขียนชื่อคนที่ตนคิดว่าเหมาะสมลงไปในกระดาษ พับเป็นทบและหย่อนมันลงกล่องที่รุ่นพี่นาโอโตะถืออยู่

หลังจากนั้นเป็นการนับคะแนน เรย์เขียนชื่อคนที่ถูกเลือกจากกระดาษแผ่นแรกที่เขาหยิบลงบนกระดาน พร้อมทั้งขีดเส้นหนึ่งเส้น จากนั้นจึงหยิบกระดาษแผ่นที่สองมาเปิดดู ทำแบบนี้จนไม่มีกระดาษเหลือในกล่องจึงได้ผลสรุป

“ผู้ชนะคือมาเอดะ คาโอรุ”

ฮารุโตะปรบมือให้ เหมือนกับสมาชิกคนอื่นที่ปรบมือให้เช่นกัน เพราะเขาเองก็เลือกรุ่นพี่มาเอดะ

“ขอเชิญท่านประธานคนใหม่กล่าวอะไรสักหน่อยครับ”เรย์พูด

คาโอรุลุกขึ้นยืนกวาดสายตามองหน้าสมาชิกทุกคนด้วยอาการประหม่าเขินเล็กน้อย “ขอขอบคุณทุกคนที่เลือกผมให้มาทำหน้าที่นี้”

มีคนตะโกนแซวว่าสุภาพเอี้ยๆ ประธานชมรมคนใหม่จึงแกล้งกระแอมกระไอแล้วหลุดคำหยาบมาเป็นขบวน จนคนแซวต้องร้องปราม เสียงหัวเราะครืนดังกระหน่ำ

“ฉันอาจจะไม่เก่งเท่ารุ่นพี่นาคามูระ แต่ก็จะพยายามทำให้สมาชิกในชมรมนี้มีความสุขเหมือนที่ผ่านมา”

เสียงปรบมือดังก้องอีกครั้ง นาคามูระ เรย์ซึ่งกลายเป็นอดีตประธานชมรมไปแล้วกล่าวเสริมขึ้นมาอีกเล็กน้อยว่า “เรื่องรองประธานก็ให้คาโอรุตัดสินใจได้เลย ส่วนเหรัญญิกจะให้นาโอโตะเลือกมา ส่วนทริปต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าชมรม อย่างที่เรารู้กันว่าจะไปโอซาก้า แต่จะมีอะไรพิเศษอีกเล็กน้อยเดี๋ยวให้นาโอโตะอธิบาย”

เรย์ส่งไม้ต่อไปให้นาโอโตะ

“ไปโอซาก้าคราวนี้ พวกเราจะไปพักที่เรียวกังของตระกูลฮายาชิอีกแล้ว เอ้าปรบมือ”

“ไม่ดีใจหรอกนะ”เรียวตะตะโกนขัดขึ้นมาทันที แต่ทุกคนต่างรู้ว่ารุ่นพี่มาดกวนอารมณ์ดีคนนี้แค่แซวเล่นไปอย่างนั้น หรืออาจจะเป็นความจริงในใจที่ไม่สามารถขัดคำบัญชาของรองประธานชมรมที่มีอำนาจเหนืออดีตประธานชมรมก็เป็นได้ ถึงอย่างไรก็ตาม ทุกคนต่างส่งเสียงหัวเราะขำขัน

“ไม่ดีใจก็เรื่องของแก แต่งานนี้คุณป้าขอมา”นาโอโตะพูดด้วยท่าทีเหนือกว่า ก่อนหันมาอธิบายให้สมาชิกชมรมถ่ายภาพทุกคนรับทราบโดยทั่วกันอีกครั้งว่า “ฉันได้โควต้าสำหรับลงบทความท่องเที่ยวมาห้าหน้า แต่จะเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีโอกาสเขียนบทความนี้ ได้เงินรางวัลตอบแทนนะ และต้องมีหนึ่งหน้าที่เขียนเกี่ยวกับเรียวกังที่เราจะไปพักกันคราวนี้ด้วย ส่วนสถานที่อื่นๆแล้วแต่เลย อีกอย่างคือฉันอาจจะไม่ได้เลือกของคนใดคนหนึ่ง ของใครดีส่วนไหนอาจจะเลือกเฉพาะส่วน ถ้าไม่อยากหารกับใครก็ต้องเขียนให้ฉันพอใจให้ได้”

เมื่อรุ่นพี่อาโอกิพูดจบ เสียงพูดคุยดังจอแจขึ้นทันที ได้ยินเสียงคนบ่นแว่วๆว่า ถ่ายภาพเป็นอย่างเดียว ฮารุโตะไม่ยักจะรู้ว่านอกจากถ่ายภาพแล้วยังจะมีกิจกรรมแบบนี้ด้วย เขาเองก็อยากจะลองเขียนดูเหมือนกัน

“โอเค เงียบก่อนๆ”เรย์ส่งเสียงปรามให้ทุกคนอยู่ในความสงบ ก่อนจะผายมือให้ประธานคนใหม่พูดต่อ คาโอรุทำหน้างงเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปพูดกับสมาชิกทุกคนว่า

“เรื่องเที่ยวเดี๋ยวไว้นัดประชุมอีกที ตารางงานก็เหมือนกัน ส่วนวันนี้แยกย้ายได้”

รุ่นพี่ปีสามพร้อมใจกันปรบมือแล้วร้องเฮ ทำเอาหลายคนตกใจ แต่ทุกอย่างก็กลับมาจอกแจกจอแจเหมือนเดิม เรื่องบทความของรุ่นพี่นับว่าเป็นประเด็นร้อนที่สุด

ทาคุมิขยับเข้ามาหา “เราสองคนเขียนประกวดแข่งกับเขาด้วยดีไหม”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ “แต่ถ่ายภาพไม่ได้เรื่องกันทั้งคู่ จะไหวหรือ”

“นี่ไงรุ่นพี่ชิมิซึเนี่ย เขาจะไม่อยู่กลุ่มเดียวกับเราเรอะ”

“ยังไม่ได้ถามเลย มาตัดสินเอาเองได้อย่างไร”คนที่คิดว่าหลับอยู่เงยหน้าขึ้นมาพูดทันที

“อ้าว แล้วรุ่นพี่ไม่คิดจะช่วยฮารุจังหรือครับ”

“ฉันหมายถึง ฉันยอมให้แกเข้ากลุ่มตั้งแต่เมื่อไหร่”

“อ้าวเฮ้ย ผมเป็นเพื่อนกับฮารุจังนะ”ทาคุมิร้องเสียงหลง ซากิมองหน้าส่งสายตาว่าฉันแคร์ที่ไหน ก่อนจะมีเสียงของผู้หญิงร้องเรียกให้พวกเขาหันไปมอง พร้อมกับสองสาวที่มาทรุดตัวลงนั่งอยู่ด้านข้างของรุ่นพี่ร่างสูง

“รุ่นพี่ค่ะ รวมกลุ่มกับพวกฉันนะ”

“รุ่นพี่ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ถ่ายรูปให้อย่างเดียว”

“เป็นอันว่าสมาชิกของพวกเรามีแค่นี้เนอะ”ทาคุมิโพล่งผ่ากลางขึ้นมา เขายิ้มเผล่ให้ทุกคน

“ฉันยังไม่ได้พูดสักคำว่าจะรวมกลุ่มกับนาย”

“เนอะ ฮารุจังเนอะ”ทาคุมิหันไปสำทับกับฮารุโตะ ต่อให้ใครไม่อยากรวมกลุ่มด้วยซาโต้ ทาคุมิจะจับมัดมือชกให้หมด





จังหวัดโอซก้าอยู่ทางใต้ของเกาะฮอนชู ถ้านั่งรถบัสไปจะใช้เวลาประมาณเจ็ดชั่วโมงนิดๆ แต่ถ้าเดินทางด้วยรถไฟจะใช้เวลาประมาณห้าชั่วโมงกว่าๆ เพียงแต่ถ้าใช้บริการรถไฟก็ต้องเปลี่ยนรถหลายสถานี ทว่าสมาชิกในชมรมต่างเป็นมนุษย์จำพวกลุยไหนไปกันทั้งนั้น ผลโหวตการเดินทางด้วยรถไฟจึงชนะขาดลอย

แต่คราวนี้พวกเขาจะออกเดินทางกันตั้งแต่เย็นวันศุกร์ โดยนัดรวมตัวกันที่สถานีรถไฟเช่นเดิม ออกเดินทางกันตั้งแต่ช่วงหกโมงเย็น แวะทานข้าวกันระหว่างทางเพราะกว่าที่พวกเขาจะไปถึง ครัวของเรียวกังปิดให้บริการไปแล้ว ตามกำหนดการพวกเขาจะเดินทางถึงโอซาก้าตอนสี่ทุ่มกว่าๆ และเมื่อลงจากสถานีแล้วต้องเดินเท้าต่อกันอีกเล็กน้อยจึงจะถึงเรียวกังที่พัก

“เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย”

เมื่อหันไปดูถึงได้เห็นริซาโกะพูดบ่นด้วยใบหน้าหงุดหงิด และฮิราอิก็พูดต่อไปอีกว่า

“ปวดเท้าจะแย่แล้ว ทำไมไม่มีใครบอกว่าจะต้องเดินเยอะขนาดนี้ละ ฉันจะได้ใส่ร้องเท้าผ้าใบมา”

ทาคุมิจึงงึมงำออกมาเบาๆว่า “เอ้า เขาพูดกันตั้งต่แรกแล้ว ไม่รู้จักจำ”

“นายะ ที่เรียวกังของรุ่นพี่ฮายาชิ มีออนเซนด้วยใช่ไหม”เสียงของใครสักคนลอยแว่วมาอีก

“อืม”

“ค่อยยังชั่วหน่อย ฉันจะแช่น้ำให้สะใจเลย”หลังจากนั้นหัวข้อที่พวกริซาโกะคุยกันจึงเป็นเรื่องของห้องพัก และย่านช็อปปิ้ง

ถึงที่พักคาโอรุเป็นคนไปรับกุญแจห้องมาแจก และอธิบายเรื่องการเข้าพัก โดยผู้หญิงจะต้องนอนรวมกันห้องเดียว ส่วนผู้ชายแบ่งเป็นสองห้อง

“ฝั่งผู้ชายสามารถจัดกันเอาเองนะครับว่าจะนอนห้องไหน”

แต่ฮารุโตะคิดว่าคืนนี้อาจจะไม่ได้นอนง่ายๆก็เป็นได้ เพราะระหว่างทาง แต่ละคนต่างแวะร้านมินิมาร์ทเพื่อขนเบียร์ออกมาเป็นโหลๆ

“เราไม่มีกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษนอกจากถ่ายรูปและเขียนคอลัมภ์ที่รุ่นพี่อาโอกิเคยบอกไว้ แต่พรุ่งนี้เย็นต้องมากินข้าวพร้อมกันที่ห้องอาหาร และเราจะเดินทางกลับหลังทานข้าวเที่ยงวันอาทิตย์ อ่อ เรียวกังมีอาหารเช้าให้นะ”

คาโอรุเห็นว่าพวกผู้หญิงนอนรวมกันห้องเดียวจึงส่งกุญแจให้ไปก่อน หันกลับมากลุ่มรุ่นพี่ปีสี่กำลังปรึกษาเรื่องแยกกันนอนพอดี ตัวเขาที่เป็นหัวหน้าของปีสามจึงสั่งให้กลุ่มเพื่อนแบ่งไปนอนทั้งสองห้อง ลามไปถึงปีสองและปีหนึ่ง แต่ฮารุโตะโดนรุ่นพี่ชิมิซึกอดคอไว้ไม่ปล่อย จึงโดนลากตามไปด้วย พอๆกับทาคุมิที่เดินตามหลังเขามาต้อยๆ

สมาชิกที่นอนห้องเดียวกับฮารุโตะเป็นนักดื่มทั้งนั้น วางกระเป๋าเสื้อผ้าเสร็จก็จับกลุ่มตั้งวงกันเป็นอันดับแรก เรียวตะหยิบสำรับไพ่ซึ่งเป็นกิจกรรมประจำทริปออกมาวาง แม้ห้องหนึ่งห้องต้องนอนรวมกันสิบกว่าคนนั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเล่นกันแบบแพ้คัดออก แต่เหมือนว่าจะดื่นกันไม่ทันใจ หนุ่มรุ่นพี่ที่เป็นแกนนำอย่างฮายาชิ เรียวตะจึงเปลี่ยนเล่นทายหัวก้อยเอาเสียดื้อๆ ฮารุโตะเองโดนบังคับให้ร่วมเล่นด้วย และโดนบังคับให้ดื่มรวมเดียวหมด ดังนั้น เมื่อเขาต้องดื่มกระป๋องที่สาม ฮารุโตะจึงมึนศีรษะจนต้องล้มตัวลงนอน

“เฮ้ย จะหนีไปไหนว่ะซากิ ยังไม่หมดเลยนะเว้ย”

“เก็บไว้พรุ่งนี้ก็ได้เปล่าว่ะ แม่งดูดิ แต่ละคนนั่งตาเยิ้มกันหมดแล้ว”ชิมิซึ ซากิพูดขณะกางฟูกนอนเพื่อนำร่างของรุ่นน้องร่างเล็กมานอน เขาเลือกมุมติดผนังด้านหนึ่ง

“จะกินอีกอ่ะ จะกิน”ฮารุโตะงึมงำอยู่กับอก วางร่างของอีกฝ่ายลงบนฟูกแล้วเขาโน้มหน้าเข้าไปหาพร้อมพูดเบาๆว่า

“ไม่กินแล้ว วันนี้นอนนะ”

“เฮ้ย ซากินานจังวะ เกมจะเริ่มแล้ว มึงจะเลือกอะไร”เรียวตะตะโกนเสียงดัง

“จะตะโกนหาไรว่ะ เดี๋ยวก็โดนด่าหรอก”

“มึงก็เร็วๆดิ”

ซากิทำเสียงชิชะ ออกอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยง เขาเดินกลับไปยังกลุ่มที่นั่งอยู่กลางห้อง ยกกระป๋องเบียร์สองกระป๋องยักษ์ขึ้นดื่มอึกๆ ทำราวกับน้ำเปล่าจนเกลี้ยงฉาดทั้งคู่

“หมดแล้ว ไปนอนกันได้แล้ว ไปๆ”

ออกปากไล่ทุกคนไปเสร็จ ซากิต้องยืนตั้งสติอีกครู่ใหญ่ ต่อให้คอแข็งอย่างไร ดื่มรวดเดียวแบบนั้นมันก็ทำให้มึนได้เหมือนกัน หันกลับไป พื้นที่ตรงข้างฮารุโตะกลับโดนทาคุมิแย่งไปเสียแล้ว ชายหนุ่มย่างสามขุมเข้าไปหา

“เฮ้ย ไปนอนที่อื่น”

“ไม่เอาอ่ะ ผมจะนอนกับฮารุจัง”

ซากิขมวดคิ้วฉับเมื่อคนพูดล้มตัวลงนอน ไม่ยอมฟังเสียงอีร้าค่าอีรม ก่อนหูจะได้ยินเสียงพูดแว่วมาว่ากำลังจะปิดไฟ เขาจึงก้าวเข้าไปนอนสอดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเดียวกับหนุ่มรุ่นน้อง ในห้องมืดสนิทลงตอนที่พยายามขยับตัวให้ได้ที่ กลิ่นเบียร์คละคลุ้งออกมาพร้อมลมหายใจออกของฮารุโตะ ผสมกับกลิ่นกายให้ความรู้สึกแปลกๆ ซากิกอดกระชับร่างในอ้อมแขนก่อนจะปล่อยความคิดทั้งมวลให้ดิ่งสู่นิทรา



ฮารุโตะสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาสายกว่าปกติ มึนหัวอยู่เล็กน้อยซึ่งเป็นผลจากการดื่มเมื่อคืน รอจนปรับสายตาได้ ใบหน้าด้านข้างของรุ่นพี่ชิมิซึจึงปรากฎชัดเจน หลังจากยันตัวลุกขึ้นนั่ง จึงปลุกอีกคนให้ตื่นขึ้นมาด้วย ครั้งก่อนที่ไปเที่ยว เขาโดนโกรธเพราะตื่นแล้วไม่ยอมปลุก กว่ารุ่นพี่จะยอมกลับมาคุยด้วยเป็นเวลาร่วมหมดวัน ความทรมานแบบนั้นเขาไม่อยากเผชิญอีกแล้ว

เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้ว ซากิกลับคว้าเอวบางของหนุ่มรุ่นน้องรวบเข้าหา

“รุ่นพี่”ฮารุโตะกระซิบเสียงเบา เหลือบตามองไปรอบห้อง เห็นสมาชิกคนอื่นยังคงนอนหลับกันอยู่จึงค่อยเบาใจ

“ลุกเถอะ ไปอาบน้ำกัน เมื่อคืนนอนทั้งอย่างนั้นเหนียวตัวนะครับ”

อีกฝ่ายพลิกตัวแล้วกดจมูกลงบนซอกของเขา ครู่หนึ่งต่อมาถึงจะยอมลุกขึ้น บอกให้เขาไปเตรียมเสื้อผ้าข้าวของ ขณะที่ตนเองพับเก็บฟูกนอน เดินออกจากห้อง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ปล่อยให้เขาเดินนำอยู่ด้านหน้า

ห้องอาบน้ำของเรียวกังช่วงสายๆวันนี้มีคนมาใช้บริการบ้างประปรายค่อนไปทางน้อยจึงให้ความรู้สึกเงียบสงบ หลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและล้างตัว ฮารุโตะจึงพาตัวเองลงไปหย่อนลงบ่อน้ำร้อน

มีความสุขสุดๆ

เพราะอากาศอุ่นขึ้นแล้ว ฮารุโตะจึงค่อนข้างขี้เกียจไปใช้บริการห้องอาบน้ำสาธารณะ ได้แต่ทนอาบน้ำเย็นมาตลอด แต่การได้แช่น้ำอุ่นแบบนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่เยี่ยมที่สุด

“หน้าตาบ่งบอกว่ามีความสุขมาก”

ฮารุโตะลืมตา หันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “ครับ มากสุดๆ”

“ถ้าอย่างนั้นย้ายห้องดีไหม”

“ไม่เอาหรอกครับ เปลือง ค่าเช่าถูกขนาดนี้จะหาได้ที่ไหน”ฮารุโตะตอบกลับทันควัน

“แต่ผนังบาง อ่างอาบน้ำก็ไม่มี ลำบากนะตอนจะทำอะไรน่ะ”

เหมือนความร้อนจากน้ำพุ่งสูงมาบนหน้า จะให้เขาตอบว่าอะไรละเนี่ย ฮารุโตะจึงได้แต่ก้มหน้าแทบจะจมลงไปในน้ำ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาจึงเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา

“แกล้งกันหรือครับ”

“เปล่า พูดจริง”ซากิยิ้มให้พลางโน้มหน้าเข้ามาใกล้ “บางครั้งได้ยินเสียงก็ทำให้รู้สึกดีนะ”

ฮารุโตะได้แต่อ้าปากพะงาบๆ รู้สึกได้ว่าใบหน้าร้อนผ่าวมากขึ้นกว่าเดิม

“ถ้ายอมย้าย เดี๋ยวฉันออกเงินค่าห้องก็ได้”เหมือนว่ารุ่นพี่จะกลับมาพูดด้วยความจริงจังกว่าเดิม เด็กหนุ่มมองหน้าของชิมิซึ ซากิอีกครั้งและก้มหน้าลงพลางครุ่นคิด เขาลังเลไม่แน่ใจ ประการหนึ่งเพราะความสัมพันธ์อันคลุมเครือ ถ้าเขาตอบรับไปง่ายๆแล้ววันหนึ่งรุ่นพี่เกิดนึกเบื่อตัวเขาขึ้นมา ไม่ใช่ว่าจะโดนไล่เหมือนหมูเหมือนหมา ไม่เอาหรอก เหตุการณ์ที่จะต้องทำให้ตัวเองเจ็บปวดแบบนั้น

“เอาไว้... ให้รุ่นพี่เรียนจบ มีงานมีการทำอย่างจริงจังก่อนดีกว่าครับ แล้วค่อยมาพูดเรื่องนี้อีกครั้ง”พูดจบ ฮารุโตะลุกขึ้นจากน้ำ แสดงออกว่าไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก ซากิจึงลุกขึ้นตามไปบ้าง เขาสาวเท้าตามหลังจนมาหยุดที่ห้องล็อกเกอร์

“ไม่โกรธใช่ไหม”

“ไม่หรอกครับ”เขาหันกลับไปบอก “เพียงแต่เรื่องนี้มันจริงจังเกินกว่าจะมาพูดเล่นๆ”

นั่นสินะ เหมือนว่าเขาจะได้ยินรุ่นพี่พึมพำออกมาเช่นนั้น

กลับเอาของไปเก็บในห้องอีกครั้ง ทาคุมิก็ลุกขึ้นมานั่งหน้าง่วงรออยู่แล้ว “ไปไหนมาอ่ะ”

“ไปอาบน้ำมา รีบลุกได้แล้ว ผมกับรุ่นพี่กำลังจะไปกินข้าวแล้วนะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นทาคุมิจึงรีบกุลีกุจอไปทำธุระส่วนตัว ฮารุโตะบอกซ้ำอีกครั้งว่าเดี๋ยวจะไปรอที่ห้องอาหาร

ห้องทานอาหารของเรียวกังเป็นห้องสไตล์ญี่ปุ่นขนาดหกเสื่อครึ่ง ซึ่งมีโต๊ะไม้สีเข้มมันปลาบตัวยาววางตั้งอยู่กลางห้อง เมื่อเขามาถึงก็พบพวกรุ่นพี่ผู้หญิงของชมรมกำลังนั่งคุยกันอยู่ในห้องแล้ว

“โอ้ มาแล้ว อรุณสวัสดิ์ค่ะรุ่นพี่ชิมิซึ”คนที่เอ่ยทักพวกเขาคนแรกคืออาเบะ ซึกิซากะ

ฮารุโตะจึงตอบกลับไปว่าอรุณสวัสดิ์ครับ

“เมื่อคืนดื่มกันดึกหรือ”คำถามนี้ออกมาจากโอคาดะ ทซึคิโยะ

“อีกห้องไม่รู้ แต่ห้องฉัน ไอ้ที่ซื้อมาก็หมดอ่ะ”

ฮารุโตะรับเมนูอาหารเช้าที่ซึกิซากะส่งมาให้ เธอบอกว่าจะเลือกเมนูไหนก็ได้ที่อยู่ในเล่ม เด็กหนุ่มจึงเปิดไล่ดูทีละหน้า พลางหันไปถามรุ่นพี่อาเบะว่าสั่งไปแล้วหรือ ซึ่งอีกฝ่ายตอบว่าเรียบร้อยแล้ว ฮารุโตะจึงหันกลับมาให้ความสนใจเล่มเมนูในมือเหมือนเดิม ขณะเดียวกันชิมิซึ ซากิก็โน้มหน้าเข้าไปใกล้เพื่อดูรายการเช่นเดียวกัน

“เอ้านี้”โอโตวะ ชิโอริเพื่อนรุ่นเดียวกับซากิส่งเมนูอีกเล่มมาให้ แต่เขาทำเพียงรับมาถือไว้ในมือเฉยๆ ก่อนจะส่งให้ทาคุมิซึ่งตามมาถึงทีหลัง

เริ่มสายสมาชิกในชมรมจึงทะยอยโผล่หน้ามาให้เห็นมากขึ้น ฮารุโตะ ทาคุมิและซากิที่ทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยจึงหลีกทางให้คนอื่นโดยแอบมานั่งที่มุมหนึ่งของห้อง และซากิได้หยิบกล้องของเรย์ซึ่งออกไปเดินเที่ยวในหมู่บ้านมาตั้งแต่เช้าติดมาด้วย สองหนุ่มรุ่นน้องจึงสุมหัวดูรูปบนหน้าจอจนคนถือกล้องแทบมองไม่เห็น

“ที่นี่ก็ดีนะ”สองคนนั้นพูดไปพลางปรึกษาหารือไปพลาง นั่งรอจนกระทั่งอีกสองสาวทานอาหารเช้าเสร็จถึงได้เริ่มออกจากเรียวกังเพื่อเริ่มภาระกิจ




โอซาก้าเป็นเมืองใหญ่ที่มีทั้งความเจริญด้านเทคโนโลยี แหล่งช็อปปิ้ง แฟชั่น เป็นเมืองติดทะเลที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ในสมัยหนึ่งโอซาก้าเคยเป็นที่ตั้งเมืองหลวงของญี่ปุ่นในยุคอะซุกะ และยังมีปราสาทโอซาก้าปราสาทชื่อดังที่เคยตั้งรับกองกำลังของโทกุกาว่า อิเอยะซึ ซึ่งผ่านการบูรณะหลายครั้งทั้งเหตุจากธรรมชาติและสงคราม

พวกเขาหยุดยืนดูอยู่ด้านหน้าปราสาทความสูงห้าชั้นซึ่งล้อมรอบด้วยคูน้ำและกำแพงสูง แม้ว่าจะคุยกันมาตั้งแต่แรกว่าคงไม่ได้เขียนถึงปราสาทแห่งนี้ลงในบทความ แต่เมื่อมาเยือนโอซาก้า มันก็ต้องมาชมสถานที่อันเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดก่อนเป็นอันดับแรก และไหนๆก็ไหนๆแล้ว พวกเขาที่อุตส่าห์เสียค่ารถไฟและเสียเวลาในการเดินทางจากเรียวกังมาร่วมชั่วโมง จึงตัดสินใจเดินเที่ยวชมปราสาทให้ทั่ว

“รุ่นพี่ชิมิซึครับ อย่าลืมถ่ายรูปให้เยอะๆละ”ทาคุมิยิ้มเผล่เข้าไปประจบ รุ่นพี่ร่างสูงทีมีส่วนสูงมากว่าเขาแค่เหล่ตามมอง ก่อนจะยกกล้องขึ้นทำเป็นเมินเขาไป ทาคุมิยิ่งฮึดฮัดเมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับของรุ่นพี่ชิมิซึที่มีต่อฮารุโตะแตกต่างกับเขาราวฟ้ากับเหว ยามที่เพื่อนหนุ่มร่างเล็กถือน้ำเข้าไปให้รุ่นพี่ปีสี่

“ทำใจได้เลย ถ้าสองคนนั้นอยู่ด้วยกัน นายได้กลายเป็นอากาศธาตุแน่”ฟุมิโอะเดินมาแตะต้นแขนของเขาพร้อมรอยยิ้ม ส่วนริเอะโกะมายืนขนาบอยู่อีกข้าง

“ก็รู้นี่ ทำไมยังประกาศตัวว่าชอบรุ่นพี่อีก”

“ไม่ได้คบกันก็มีสิทธิ์แย่ง หรือต่อให้คบกันก็มีสิทธิ์แย่ง... ใช่ไหมละ”คนตอบเป็นริเอะโกะ

“หรือต่อให้เธอสองคน คนใดคนหนึ่งได้เป็นแฟนกับรุ่นพี่ชิมิซึขึ้นมาจริงๆ คนที่เหลือก็จะตามไปแย่งมาหรือไง”ทาคุมิถาม “จะทำเรื่องประหลาดๆแบบนั้นนะหรือ” เด็กหนุ่มพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ไม่ได้ให้ความสนใจหญิงสาวสองคนอีก และพาตัวเข้าไปแทรกกลางระหว่างสองคนนั้น ต่อให้รุ่นพี่ชิมิซึไม่ชอบหน้าเขา เขาก็จะเสนอหน้าเข้าไปร่วมวงด้วย

กว่าจะเดินชมในปราสาทครบรอบเวลาก็ล่วงผ่านไปครึ่งวันแล้ว ออกมาหยุดพักรับประทานอาหารทาคุมิจึงต้องเปิดประเด็นด้วยความจริงจังอีกครั้ง

“ต่อไปต้องเลือกสถานที่ก่อน”ทาคุมิพูดเมื่อรู้สึกว่าหัวข้อในการเดินทางครั้งนี้จะค่อยๆเบี่ยงออกจากประเด็นที่ตั้งใจไว้ ฮารุโตะเอาสมุดที่ไปนั่งหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตไว้ออกมากาง ซึ่งซากิได้แต่มองดูเงียบๆ รายละเอียดที่อยู่บนหน้ากระดาษบ่งบอกว่าเจ้าตัวตั้งใจมากแค่ไหน เขาจึงไม่อยากพูดอะไรให้เสียกำลังใจ

ขณะที่หนุ่มรุ่นน้องทั้งสองกำลังปรึกษากันเรื่องสถานที่ที่น่าสนใจสำหรับนำไปเขียนลงบทความ รุ่นน้องผู้หญิงอีกสองคนก็ตะแง้วๆ ร่ำร้องอยากให้เขาไปเป็นเพื่อนช็อปปิ้ง หลังจากที่ลองคิดกลับไปกลับอยู่หนึ่งตลบ ซากิจึงตอบตกลง และเมื่อเขาลุกขึ้นจากโต๊ะ สองหนุ่มที่ยังตัดสินใจไม่ได้จึงต้องลุกตาม



ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ซากิไม่ทันเห็นว่าสองคนนั้นไปซุบซิบอะไรกัน แต่ต้องหันกลับไปมองเพราะแรงสะกิดยิกๆ ฮารุโตะช้อนสายตามองเขาด้วยท่าทางประหม่า

“ผม... ข...ขอ...ยืมกล้องได้ไหมครับ”น้ำเสียงที่เปล่งออกมาอึกๆอักๆติดอ่าง ซากิเหลือบสายตามองคนที่ยืนลุ้นอยู่ไม่ห่าง เขารู้ว่านี่ไม่มีทางเป็นความคิดของฮารุโตะอย่างแน่นอน ในเมื่อปีการศึกษาที่แล้วเจ้าตัวยังต้องหาเงินมาคืนค่าเลนส์ที่เจ้าตัวทำของเขาร้าวอย่างไม่ตั้งใจอยู่เลย คงไม่ใจกล้ามายืมกล้องของเขาอีก

“ไม่ให้”เสียงคนตอบย้ำชัดหนักแน่นทุกคำ เรียกเสียงโวยจากเด็กหนุ่มร่างสูงอีกคนได้อย่างดี

“ทำไมละครับ รุ่นพี่เองก็กำลังจะไปเดินซื้อของ ไม่ได้ใช้กล้องซะหน่อย”

“รู้หรือเปล่าว่าทั้งกล้องทั้งเลนส์ที่ฉันถือมาวันนี้ราคาเท่าไหร่ ถ้านายรู้ราคาของมันจะไม่มาคิดยืมง่ายๆแบบนี้อีก”

“กะอีของแค่นี้ไม่เห็นต้องงกขนาดนั้นเลย”

ซากิเหมือนได้ยินเสียงเส้นความอดทนขาดผึงและหนุ่มรุ่นน้องที่ใช้ชีวิตอยู่ในชมรมถ่ายภาพมาร่วมปีคงรับรู้ได้ ถึงได้เข้าไปพยายามห้ามปรามตัวกวนประสาทที่ทำให้เขาอารมณ์เสีย

อันที่จริงเขาไม่ได้ขี้งกหวงของขนาดนั้น ครั้งก่อนที่เรียวตะหยอกเล่นกับฮารุโตะจนมากระแทกเขา และทำให้เลนส์ร่วงกระทบพื้นจนเป็นรอย เขาก็ไม่ได้รับเงินของฮารุโตะที่หามาคืน เรื่องการยืมกล้องของคนอื่นใช้ ระหว่างสมาชิกในชมรมถือว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ทุกคนในชมรมที่สามารถสะสมกล้องทุกรุ่นหรือเลนส์ทุกแบบที่มีออกจำหน่ายได้เหมือนเรย์ ดังนั้นพอใครได้กล้องรุ่นใหม่หรือเลนส์เทพๆมาไว้ในครอบครอง ต้องมีคนในชมรมหยิบยืมไปทดลองใช้ทั้งนั้น แต่เพราะสมาชิกทุกคนในชมรมต่างรู้จักกันดี และเชื่อใจได้ รู้ว่าคนที่ยืมไปต้องรักษาของอย่างดี ไม่ใช่ไอ้ตัวปากมากที่เข้าชมรมมาเพราะอยากเที่ยว

แน่นอนว่าทั้งหมดทั้งมวลในย่อหน้าข้างต้น ซากิด่าทาคุมิด้วยสายตา คำที่หลุดไปจริงๆมีแค่ “เออ ฉันขี้งกและหวงของมาก เพราะฉะนั้นอย่างสะเออะมายุ่งกับของของฉันอีก”ซากิคว้าฮารุโตะเข้าหาตัว ล็อกคอและพาเดินไปด้วยกัน สาวเท้าอย่างรวดเร็วจนฮารุโตหวิดจะล้มหัวคะมำ ติดที่ว่าโดนวงแขนแข็งแรงที่เปลี่ยนจากรัดคอมารัดเอวไว้แน่น จึงต้องเร่งก้าวเท้าตามหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงไปอย่างช่วยไม่ได้ กระทั่งทาคุมิวิ่งมาดักหน้าไว้ทัน

“รุ่นพี่จะพาฮารุจังไปไหน ฮารุจังไม่ได้อยากไปกับรุ่นพี่ซะหน่อย”

“ซาโต้ซัง วันนี้เราแยกกันไปก่อนเถอะนะ”ฮารุโตะพยายามไกล่เกลี่ย เขาไม่เคยเผชิญหน้ากับรุ่นพี่ชิมิซึในโหมดอารมณ์เสียสุดกู่ที่ทำหน้าเหมือนกำลังจะกินคนตรงหน้าได้แบบนี้มาก่อน เพราะแค่สีหน้าปกติหรือตอนที่อีกฝ่ายหงุดหงิดนิดหน่อย เขาก็กลัวจนอยากจะถอยหนีให้ห่างแล้ว

“ขอร้องเถอะ แล้วกลับไปเจอกันที่เรียวกังนะ”

ใช่!!!!! ถ้าไม่รีบไสหัวไป ฝ่าเท้าของเขาก็กำลังจะกระตุกแล้วเหมือนกัน ซากิกัดฟันข่มอารมณ์โกรธขึงไม่ให้หลุดระบายออกมาตามที่คิด

 เมื่อโดนฮารุโตะกล่าวข้อร้องซ้ำๆ ทาคุมิจึงยอมรามือล่าถอยไป แต่ใช่ว่าจะมีแค่หนุ่มรุ่นพี่ฝ่ายเดียวที่โมโห เขาเองก็โมโหเหมือนกัน พลางคิดขุ่นเคืองไปเสียทุกอย่าง แม้กระทั่งฮารุโตะที่เป็นเพื่อนของตน

“ตกลงว่ารุ่นพี่จะยังไปเที่ยวกับพวกเราอยู่ใช่ไหมค่ะ”เสียงร้องเรียกนั่นทำให้ซากิตวัดสายตากลับไปมอง ฟุมิโอะและริเอะโกะต่างสะดุ้งเฮือกกับสายตาอีกฝ่ายที่ยังดูครุกรุ่นพร้อมระเบิด

“เดี๋ยวเราสองคนเดินตามไปเงียบๆเลยค่ะ”ริเอะโกะบอกพร้อมรอยยิ้มแหยๆ รอจนคล้อยหลังหนุ่มรุ่นพี่ ฟูมิโอะจึงพูดออกมาว่า

“แบบนี้แกยังจะเอาอีกหรือว่ะ ไม่ใช่ว่าคบกันไปจู่ๆเกิดโมโหบ้าเลือดขึ้นมาจะได้ซ้อมแกปางตาย”

“ที่พูดเนี่ยเพื่อให้ฉันกลัวจนแกหมดคู่แข่งหรือย่ะ”

“คิดไปได้ บอกให้เลยนะ ต่อให้หล่อแต่ถ้ามีแนวโน้มเป็นพวกซาดิสม์ฉันก็ไม่เอานะ”

“โอ้ย ถ้าซาดิสม์จริงป่านนี้ซาโต้มันโดนซ้อมปางตายไปแล้ว ตัวสูงกว่าไอ้ลูกหมาหน่อยเดียวยังกล้าปากดี”

“ตกลงแกยังจะเอา”

“แน่สิ หล่อโหดเลวนี่ละสเป็คเลย ตกลงแกไม่เอา”

“อืม ขี้เกียจแย่งกับแก”

“แหมเพื่อนรัก น่ารักจริง”ริเอะโกะหัวเราะอย่างชอบใจ





ฮารุโตะไม่กล้าปริปากในสภาพการณ์แบบนี้ แรงที่บีบจับอยู่ที่ต้นแขนเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำอีกฝ่ายยังก้าวเท้ายาวจนเขาสับขาตามไม่ทัน แม้จะสะดุดล้มอยู่หลายครั้งแต่เพราะแรงดึงที่มากกว่าจึงยังลากพาเขาเดินต่อไป จนกระทั่งอีกฝ่ายพาเขาเลี้ยวเข้าไปในตรอกมืดข้างตึกแห่งหนึ่ง ฝ่ามือแข็งแรงราวเหล็กกล้าถึงได้ปล่อยต้นแขนเขาออก แล้วหันไปใช้เท้าเตะอัดกำแพงอยู่หลายครั้ง ก่อนจะหันกลับมาตะโกนใส่หน้าเขา

“เลิกยุ่งกับไอ้เด็กปากมากนั่นซะ เลิกคุย เลิกทำตัวสนิทสนม เลิกไปไหนมาไหนด้วย เลิกทุกอย่างเข้าใจไหม”

เด็กหนุ่มตัวสั่นด้วยความตกใจ ถอยเท้าจนไปติดกับกำแพง ก้มหน้าและผงกศีรษะรัวๆรับคำ น้ำตารื้นคลออยู่ขอบตา ทั้งที่ก้มหน้ามองพื้นแต่หูกลับได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกเฮือกๆนั่นชันเจน ฮารุโตะเหลือบตาขึ้น มองเห็นรุ่นพี่หันหลังกลับไปทางอื่น เขาจึงฝืนยกขาสั่นระริกพยายามสืบเท้าถอยหนี เขาต้องหนี ออกไปที่ถนนนั่น แล้วก็วิ่งหนี

เขาสะดุ้งเฮือกเมื่อชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หันมาเห็น ฮารุโตะทรุดตัวลงนั่งคุกเข้าก้มศีรษะลงกับพื้น

“ขอโทษครับ ผมจะไม่ทำอีก ผมขอโทษครับ”เด็กหนุ่มละลักละล่ำบอก พยายามขดตัวให้เล็กที่สุด

นี่มันเรื่องบ้าอะไรว่ะ ซากิสบถกับตัวเองในใจ ทรุดนั่งและดึงให้ฮารุโตะลุกขึ้น หนุ่มรุ่นน้องสะดุ้งเฮือกและพยายามคลานถอยหนี ปากก็พร่ำแต่คำว่าขอโทษและจะไม่ทำอีก สภาพที่เห็นทำเอาหัวใจของเขาร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม อารมณ์รุ่มร้อนดับสลายไปทันตา

“ไม่เป็นไร ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษ”ซากิบอกพลางดึงร่างอีกฝ่ายมาไว้ในอ้อมกอด ร่างนั้นทั้งเกร็งขืนและสั่นระริก ชายหนุ่มลูบศีรษะไปพลาง ลูบหลังไปพลาง กระซิบบอกว่าไม่มีอะไรแล้วด้วยหวังให้อีกฝ่ายคลายอาการตื่นตระหนกที่เป็นอยู่ ไมรู้ว่าเขาทำแบบนั้นอยู่นานเท่าไหร่ แต่ก็คงนานพอให้อากาศเย็นสบายช่วงเดือนพฤษภาคมอบอ้าวขึ้นจนแผ่นหลังของเขามีแต่เหงื่อ

ซากิล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋า แตะปลายคางให้ฮารุโตะเงยหน้า หน้าผากของฮารุโตะเลอะฝุ่นดิน นัยน์ตาแดงกล่ำและใบหน้าชุ่มเหงื่อ แม้จะพยายามดันให้เงยหน้าขึ้น ฮารุโตะยังคงพยายามหลุบตาลงไม่กล้าสบตากับเขา ซากิเช็ดทำความสะอาดใบหน้าที่เปรอะเปื้อนให้ดูเรียบร้อย พยุงฮารุโตะให้ลุกขึ้นยืนแล้วใช้มือปัดรอยเปื้อนตามเสื้อผ้าให้ จับจูงมือเด็กหนุ่มร่างเล็กกว่าให้ออกมาที่ถนน

คงไม่มีอารมณ์เดินดูอะไรอีกแล้ว ซากิจึงพาฮารุโตะเดินกลับไปยังสถานีรถไฟ อีกฝ่ายก้มหน้าเดินตามเงียบๆมาตลอดทาง ยามที่หันไปเห็นกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทุกทีจนเผลอสบถอย่างไม่สบอารมณ์ออกมา หนุ่มรุ่นน้องแทบจะถอยกรูถ้าไม่ติดว่าเขายึดข้อมือเล็กบางข้างขวาไว้

โชคดีว่ากุญแจห้องถูกฝากไว้ที่ล็อบบี้ ซากิจึงสามารถเข้าไปในห้องพักเพื่อหยิบเสื้อผ้าข้าวของได้ หนุ่มรุ่นน้องยังคงนิ่งเงียบตอนที่เขาพาเข้าห้องอาบน้ำ  ยืนนิ่งๆตอนที่เขาพยายามถอดเสื้อผ้าให้ ซากิจึงได้มีโอกาสเล่นเลี้ยงเด็กเป็นครั้งแรก เพราะเขาทั้งสระผม ถูกสบู่ พามาแต่งตัว ใช้ไดร์เป่าผมจนแห้งและพามาเข้านอนทั้งที่ยังอยู่ในช่วงบ่ายกว่าๆ

เขาคิดไม่ออกว่าควรจะทำอะไรดี และขืนปล่อยฮารุโตะทิ้งไว้ตรงไหน เจ้าตัวคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ขยับ เพราะใช่ว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะไม่เคยเกิด จึงคิดง่ายๆว่าถ้าได้นอนหลับซักตื่นอาการแปลกๆแบบนี้ของหนุ่มรุ่นน้องคงจะหายไป

“นอนได้แล้ว”ฮารุโตะนอนนิ่งแต่ไม่ยอมหลับตา เขาจึงต้องบอกให้หลับตาซ้ำไปอีกครั้ง ลูบหลังกล่อมนอนไปพลางจนเป็นเขาที่รู้สึกง่วงนอนเสียเอง ซากิจึงหลับตาลงบ้าง

รู้สึกตัวขึ้นมาเพราะเสียงจอแจในห้อง พวกนั้นคุยกันเบาๆเพราะเห็นว่าเขานอนอยู่ แต่มีบ้างที่ตะโกนเข้ามาเพราะไม่รู้เรื่อง เขาจึงยกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ลุกขึ้นนั่งและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เขานอนหลับไปแค่สองชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น หันดูฮารุโตะยังคงหลับปุ๋ย มือกำชายผ้าห่มไว้แน่นราวกับเด็กเล็กๆ นั่งมองหน้าต่ออีกแค่ครู่เดียว เขาก็ปลุกคนที่นอนอยู่ ฮารุโตะลืมตาทันทีที่แตะฝ่ามือบนตัวและเอ่ยเรียก ลุกขึ้นนั่งอย่างอัตโนมัติ แต่ดวงตาคู่นั้นยังหลุบต่ำมองพื้นอยู่เช่นเดิม นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งเขาต้องบอกให้ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา

สงสัยการนอนกลางวันเมื่อบ่ายจะไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ฮารุโตะยังคงมีอาการแปลกๆไปจนถึงอาหารมื้อเย็น นั่งนิ่งเงียบๆไม่พูดไม่จากับใคร ไม่หยิบขยับทำอะไรจนกว่าจะมีใครสักคนสั่งให้ทำ จนคนอื่นในชมรมเริ่มแปลกใจโดยเฉพาะนาโอโตะ แม้ว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องจะไม่ช่างคุย บางครั้งอาจจะดูขี้กลัวจนน่ารำคาญ แต่ถ้าไม่มีการโมโหหรือตวาดใส่ก็สามารถเข้าไปคุยกับทุกคนในชมรมได้ดี

ซากินั่งอยู่ข้างๆจึงหน้าเครียดไปด้วย ยกสาเกขึ้นดื่มติดๆจนหมดขวด

“วันนี้เดี๋ยวให้ฮารุจังไม่นอนกับฉันแล้วกันนะ”นาโอโตะเดินมาบอก หลังจากที่ซากิพยักหน้ารับก็จูงมือหนุ่มรุ่นน้องให้ลุกขึ้นตามไปทันที

“เกิดอะไรขึ้นว่ะ”เรียวตะที่รอถามมานานแล้วเอ่ยปากขึ้นทันที แต่คนถูกถามแค่สั่นศีรษะ

“คราวนี้ทะเลาะกันจริงๆ”

“พูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สุดๆ”เอคิจิกล่าวแทรกขึ้นมา “อย่างฮารุจังเนี่ยนะจะกล้าทะเลาะกับใคร ต่อให้อีกฝ่ายทำอะไรผิดก็คง ก้มหัวปลกๆบอกขอโทษ”

“พูดอย่างกับตาเห็น”

“ก็เคยเห็นอ่าดิ”เรย์ที่มานั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วยพูดขึ้น ยังจำเหตุการณ์ที่ว่าได้ดี ช่วงที่ฮารุโตะเพิ่งเข้าชมรมมาแรกๆหลายครั้งเป็นเขาเองที่ด่าว่าเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิดไม่ชอบใจใส่หนุ่มรุ่นน้อง “หรือแกไปโมโหอะไรใส่”

ซากิถอนหายใจเฮือก “พวกแกก็รู้ว่าฉันขี้หงุดหงิด แล้วไอ้เด็กปากมากนั่นก็ชอบกวนโมโห”

“แต่เอาไปลงกับอีกคน ...ฉันถามแกอยากหนึ่งนะ”เรย์หยุดพูดไปชั่วครู่ นิ่งมองคล้ายชั่งใจ ทว่าคนที่โพล่งออกมาเป็นเรียวตะ “ตกลงกับน้องคนนี้ แกจะเอาอย่างไร จริงจัง เล่นๆ สนุกๆ ขำๆ ถ้าแกคิดแค่สนุกๆขำๆก็เลิกเหอะว่ะ แกก็เห็นว่าน้องมันไม่ขำๆแล้ว”

“แกไม่ได้เป็นฉัน แกจะรู้อะไร ถ้าฉันไม่ตามขนาดนี้เด็กนั่นจะติดเหรอว่ะ”

“ก็นั่น ถึงได้ถาม ว่าแกต้องการอะไรจากน้องมันกันแน่ หรือแค่ต้องการเอาชนะคนที่น้องมันชอบอยู่”

“เฮ้ย ไม่ใช่มั้งเรียวตะ”เอคิจิแย้ง “อยู่กับน้องมันตั้งนานจะไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือว่ะ”

“ไม่ใช่อะไร รู้หรือเปล่า ช่วงที่ตามน้องมันอยู่ แม่งก็ไปนอนกับคนอื่นด้วย”

ซากิเบือนหน้าหนีสายของเรย์และเอคิจิที่มองมาทางตน

“แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้คิดว่าแค่อยากเอาชนะ”

“เปล่า ไม่ได้คิดแบบนั้นซะหน่อย”ซากิหันกลับมาจ้องตาคนพูด

“ดี ถ้าฉันบอกให้แกห่างออกมาแกคงจะทำได้”

“แล้วทำไมฉันจะต้องทำตามที่แกพูด”

เรียวตะส่งเสียงหึขึ้นจมูก “ก็แล้วแต่แก” เขาลุกขึ้นกลับห้องพัก เมื่อไม่มีอารมณ์อยากจะกินเหล้าอีกต่อไปแล้ว นอนเร็วสักวันก็นับว่าเป็นความคิดที่ดี พรุ่งนี้เช้าเขาจะได้ตื่นมาหน้าใสๆ





เช้าวันรุ่งขึ้นเรียวตะตื่นขึ้นมาแต่เช้า มาทันนาโอโตะและฮารุโตะที่กำลังทานอาหารเช้าในห้องอาหาร ปกติฮารุโตะจะเป็นจำพวกจดจ่อกับมื้ออาหารไม่ค่อยพูดระหว่างทานอยู่แล้ว ชายหนุ่มจึงได้แต่พยักเพยิดถามเพื่อนอีกคนซึ่งนาโอโตะขยับปากตอบมาว่ายังไม่แน่ใจ และนั่งรออย่างกระสับกระส่ายจนกระทั่งหนุ่มรุ่นน้องทานข้าวเสร็จ

“ฮารุจัง”

เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมาตอบรับ กลับกลายเป็นว่าเรียวตะออกอาการอึกอักเพราะดันลืมเรื่องที่จะชวนคุย

“อา เอ้อ บทความของนาโอโตะไปถึงไหนแล้ว”

“ยังไม่ถึงไหนเลยครับ ผมอาจจะไม่มีส่งก็ได้”คนพูดดูเหงาหงอยลงอีก

“อย่างนั้นมาทำด้วยกันไหม ทีแรกฉันก็ว่าจะไม่ส่งเพราะขี้เกียจเขียนเรื่อง ถ้าเราสองคนมาร่วมมือกัน เดี๋ยวฉันถ่ายรูปแล้วนายก็ไปเขียนเรื่อง โอ๊ะ ลงตัวพอดีเลย”

“จะดีหรือครับ”ฮารุโตะยังมีท่าทีเกรงใจ

“ดีดิ ว่าแต่จะเขียนเกี่ยวกับอะไรบ้างละ”

คราวนี้เด็กหนุ่มจึงสมุดบันทึกในกระเป๋าสะพายออกมากาง เปิดไปหน้าที่เขาจดบันทึกเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวของโอซาก้า

“ว้าว อันนี้ที่จะเขียนลงหรือ”

“เปล่าครับ ผมหามาจากอินเตอร์เน็ต”ก่อนหน้าที่จะมาเข้าชมรม ฮารุโตะไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหน เขาเคยได้ไปทัศนศึกษากับโรงเรียนครั้งหนึ่ง และอย่างทริปกับชมรมเขาก็ได้แต่เดินตามกลุ่มรุ่นพี่ แม้จะมีช่วงเวลาอิสระแต่ฮารุโตะก็ไม่กล้าไปไหนคนเดียว จะให้เดินไปเองเรื่อยๆ เขากลัวว่าจะหลงทางมากกว่าจะได้เที่ยว

“เมื่อวานไปปราสาทโอซาก้ามาแล้วครับ เดินวนข้างนอกแล้วก็เข้าไปดูข้างใน แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปไหนอีก”เด็กหนุ่มพูดถึงแต่ข้อมูลสถานที่ที่หารายละเอียดมา ข้ามเหตุการณ์เมื่อวานไปราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น และพูดเล่าว่าโอซาก้ามีที่ไหนน่าไปบ้างไม่หยุดปาก มาสะดุดก็ตอนเหลือบสายตาไปเห็นหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงเดินเข้ามาในห้อง ทั้งเรย์ที่เอคิจิเดินตามมาครบทีม

“ตื่นเช้าว่ะ”เรย์ทักเรียวตะ “อืม ก็ว่าจะออกไปถ่านรูปแล้ว ไปกันเหอะฮารุจัง ไปป่ะ นาโอโตะ”

“เฮ้ย ไม่ต้องมาชวนแฟนฉัน”เรย์ร้องขัด ฝ่ายหนุ่มรุ่นน้องยังนั่งเงียบจนเรียวตะต้องคว้าข้อมือดึงให้ลุกขึ้น เพิ่งก้าวออกจากห้องได้เพียงสองสามก้าว เสียงของทาคุมิก็ร้องทักมาแต่ไกล

“จะไปไหนอ่ะ”

ฮารุโตะเหลือบตามองแล้วรีบก้มหน้าลงพลางสาวเท้าหนีอย่างรวดเร็ว คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างเรียวตะจึงได้แต่สาวเท้าตาม

“มีอะไรหรือเปล่า”เมื่อถามออกไป ก็ได้รับคำตอบเป็นการสั่นศีรษะกลับมา หนุ่มรุ่นน้องหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าเรียวกัง ยืนอยู่อย่างนั้นจนสมาชิกในชมรมเดินผ่านไปสองสามคน เรียวตะจึงจำเป็นต้องเอ่ยปากถาม

“จะไปไหนหรือเปล่า”

ฮารุโตะยังคงสั่นศีรษะเหมือนเดิม เรียวตะจึงถือวิสาสะกอดคอรุ่นน้องร่างเล็ก ใช้สองมือจับศีรษะให้เงยหน้าขึ้น “เวลาเดินบนถนนต้องเงยหน้าขึ้น ไม่อยากนั้นเดี๋ยวจะเดินไปชนอะไรเข้า”ว่าพลางพาเดินไปด้วยกัน เมื่อรุ่นน้องพยักหน้ารับว่าเข้าใจ เขาจึงปล่อยมือและก้าวเท้าเดินนำ ครู่หนึ่งจึงหันกลับไปมองด้านหลังสักครั้ง เมื่อเห็นรุ่นน้องตัวเล็กเดินก้มหน้าอีก ก็ถอยเท้าเข้าไปประชิดตัวและจับให้เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ทำเช่นนั้นอยู่สองสามรอบ ฮารุโตะจึงไม่ยอมก้มหน้าอีก หรือก้มหน้าเดินแต่เขาหันกลับไปไม่เจอก็ไม่รู้

เรียวตะพาหนุ่มรุ่นน้องเดินขึ้นเขา พาไปดูต้นไม้ใบไม้ที่เริ่มผลิดอกหลังจากหมดฤดูหนาว ผ่านพื้นที่ทำเกษตรกรรมซึ่งยังคงเป็นพื้นดินว่างเปล่าที่ถูกเพิ่งถูกพรวนไถไว้รอฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง เดินกันจนเหงื่อเริ่มซึม จึงได้หยุดพักที่จุดชมวิวที่สามารถมองเห็นอาคารบ้านเรือนได้ทั้งเมือง ตอนที่พวกเขามาถึงแดดเริ่มร้อนขึ้นมากแล้ว จึงไม่มีหมอกให้เขาได้ถ่ายรูปเหมือนกับที่เรย์มาเมื่อวาน

“เดี๋ยวไรท์แผ่นไปให้ แล้วนายก็คัดรูปไปเขียนบทความ”

“เอ๊ะ!!!”บนใบหน้าของฮารุโตะมีแต่ความงุนงงและสงสัย

“อะไรเนี่ย ความจำสั้นหรือ ก็ที่บอกว่าให้มาทำด้วยกันไง”

“แต่แถวนี้ไม่มีอะไรเลยนะครับ ที่รุ่นพี่พาไปมีแค่วัดกับศาลเจ้า”เด็กหนุ่มพูดหน้าตาตื่น ทว่าคู่สนทนายังมีสีหน้าระรื่นเช่นเดิม

“นั่นเป็นหน้าที่ของนายไง”

“หน้าที่ของผม?”

“เอ้า ถ้าอย่างนั้นจะอธิบายให้ฟังอีกหน่อย บทความของนาโอโตะคราวนี้อ่ะ มันเป็นแคมเปญโฆษณาของคุณนายฮายาชิ มันถึงมีกำหนดให้เขียนเรื่องเรียวกังอย่างน้อยจำนวนหนึ่งหน้าไงละ ทีนี้เรื่องสถานที่ท่องเที่ยวมันก็ควรเป็นสถานที่ใกล้ๆที่คนที่มาพักที่เรียวกังสามารถไปเที่ยวได้สะดวก”มีบ่นพึมพำให้ฮารุโตะได้ยินแว่วๆว่าแถวนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวจริงๆละนะ

หลังจากหายเหนื่อย เรียวตะชวนให้ฮารุโตะเดินกลับ พวกเขาเดินเล่นชมวิวห่างจากพี่พักมาพอสมควร จึงต้องเร่งเท้าฝีเท้าเนื่องจากเวลาตามกำหนดการวันนี้ค่อนข้างกระชั้นชิด โดยหลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ พวกเขาต้องออกจากเรียวกังเพื่อไปขึ้นรถไฟที่สถานี

ตอนที่พวกเขาสองคนกระหืดกระหอบกลับมาเป็นช่วงที่สมาชิกในชมรมคนอื่นๆกำลังทานอาหารกลางวันพอดี เรียวตะได้คุยโทรศัพท์กับนาโอโตะมาก่อนหน้าว่ากำลังจะถึงที่พักให้เตรียมชุดอาหารไว้ได้เลย แต่อย่างว่ากลับมาเหนื่อยๆ ฮารุโตะรู้สึกว่ากินอะไรไม่ลงเอาเสียเลย ยังดีว่าเมื่อเช้าเขาเก็บกระเป๋าไว้แล้ว จึงพอมีเวลาให้เขานั่งกินข้าวแบบเอื่อยๆ

“เมื่อเช้าไปไหนนะ ไม่รอกันเลย”ทาคุมิทานข้าวและเก็บกระเป๋าเสร็จแล้ว เขามาทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าเพื่อนร่วมคณะ อารมณ์โมโหกรุ่นโกรธที่เกิดขึ้นเมื่อวานจางหายไปหมดแล้ว มองฮารุโตะที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด แต่ทาคุมิคิดง่ายๆว่า อีกฝ่ายคงจะหิว เพราะกว่าจะกลับมาถึงก็ร่วมบ่ายโมงแล้ว เขาจึงนั่งรอฮารุโตะทานข้าวให้เสร็จ ส่วนหนุ่มรุ่นพี่มาดกวนที่ยังอยู่ด้านข้างของฮารุโตะก็แค่เหล่มอง

“เดี๋ยวเราจะออกจากเรียวกังตอนบ่ายโมงครึ่งนะคะ”คนที่เข้ามาย้ำเวลาให้พวกเขาฟังอีกรอบคือทานากะ ฮานะซึ่งเป็นเหรัญญิกคนใหม่ของชมรม เธอแค่โผล่หน้าเข้ามาและกลับออกไปอย่างรวดเร็ว ฮารุโตะจึงมองรุ่นพี่ฮายาชิสลับกับสำรับของตัวเองอย่างหน้าตาตื่น เมื่อเขาเพิ่งทานไปได้นิดเดียวเอง ขณะที่อาหารในสำรับของรุ่นพี่พร่องไปจวนจะหมดแล้ว

“เอ้ย ไม่ต้องรีบ กินไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ทัน”เรียวตะพูดปลอบ เหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมง เขาคิดว่ามันทันเวลาตามที่ปากว่า

“ช่วยกินไหม”

“นั่งเงียบๆเหมือนเดิมก็ดีแล้ว”

“รุ่นพี่ ทำไมชอบว่าผมกันนัก ผมอุตส่าห์จะช่วยฮารุจังนะ”

“เพื่อนนายตัวเล็กแค่นี้ ยังมาแย่งกินอีกมันสมควรไหมละ นั่งอยู่เฉยๆไม่ได้ก็ออกไปรอกับคนอื่นเลย”

“โธ่ รุ่นพี่ก็”ทาคุมิร้องครางคร่ำครวญออกมาคล้ายต้องการให้อีกฝ่ายเห็นใจ ฮารุโตะยกยิ้มกับท่าทางที่ดูน่าขำขันนั้น ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ารุ่นพี่ชิมิซึไม่ให้เขาสนิทกับทาคุมิอีกแล้ว ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ฮารุโตะไม่อยากทำให้รุ่นพี่ชิมิซึโมโหอีก เขาจึงรีบหุบยิ้มกลับมานั่งนิ่งทานอาหารส่วนของตนเงียบๆเช่นเดิม

แสงแดดช่วงบ่ายร้อนจัดขึ้นอีกนิดหน่อย แม้อากาศจะค่อนข้างเย็นแต่ก็ทำให้ใบหน้าของฮารุโตะแดงระเรื่อ เขาไม่ได้เตรียมหมวกมาเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอแดดแรง หลายๆคนเริ่มหาผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าขนหนูผืนเล็กมาคลุมหัวกันบ้างแล้ว เรียวกังที่พักห่างจากสถานีรถไฟประมาณหนึ่งกิโลเมตรครึ่ง ถ้าเป็นช่วงเย็นมืดๆแดดไม่ร้อนแบบขามา การเดินเท้าด้วยระยะทางแค่นี้นับว่าค่อนข้างสบาย แต่พอมาเดินช่วงที่อากาศร้อนจัดแล้ว ต่อให้ฮารุโตะเคยชินกับการอยู่ในห้องที่มีแต่พัดลมในช่วงฤดูร้อน ยังรู้สึกว่าเหนื่อยมาก

“น้ำไหม”ทาคุมิยื่นขวดน้ำมาให้เขา ฮารุโตะไม่ได้ยื่นมือไปรับซ้ำยังเบือนหน้าหนี กระนั้นทาคุมิก็ยังคงยื่นมือนิ่งค้างไว้อย่างนั้น จนเรียวตที่เดินอยู่อีกฝั่งต้องยื่นมือมาหยิบไว้เสียเอง

“เออ ขอบใจนะ กำลังกระหายอยู่พอดี”คนพูดรับไปเปิดฝายกขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย แล้วส่งมาให้ฮารุโตะ

“ดื่มหน่อยฮารุจัง หน้าแดงหมดแล้ว”

“ผมไม่หิวครับ”

“ไม่หิวก็ต้องดื่ม”

เมื่อโดนบังคับ เขาจึงต้องรับมาจิบอย่างช่วยไม่ได้ จังหวะนั้นก็รู้สึกถึงสิ่งที่สวมลงบนศีรษะ ฮารุโตะรีบปิดฝาขวดน้ำและส่งหมวกบนศีรษะคืนเจ้าของทันที

“แดดร้อนจะตาย นายใส่ไว้เถอะ”

“ไม่เอา ผมไม่ร้อน”

“ที่รุ่นพี่ฮายาชิบอกว่าหน้าแดง พี่เขาไม่ได้พูดเล่นนะ จะไม่ร้อนได้อย่างไร”

“บอกว่าไม่ร้อนก็คือไม่ร้อน”

ถึงจะแปลกใจกับท่าทีไม่ชอบใจของหนุ่มรุ่นน้อง แต่เรียวตะไม่อยากให้ทั้งคู่ทะเลาะกันจึงแย่งหมวกเจ้าปัญหามาใส่เอง “ไม่ต้องเถียงกัน ฉันร้อนให้ฉันใส่แล้วกัน” ทว่าหมวกในมือกลับโดนเจ้าของตัวจริงแย่งกลับไปทันทีเหมือนกัน ซ้ำเจ้าตัวยังจ้ำเท้าเดินนำหน้าไปหลายช่วงตัว

เรียวตะได้แต่ถอนหายใจ





กว่าจะถึงจังหวัดที่พวกเขาอาศัยอยู่ก็ผ่านช่วงเวลาหัวค่ำไปหลายชั่วโมง ลงจากรถไฟมาแล้ว ฮารุโตะยังต้องต่อรถบัสเพื่อกับไปยังห้องพัก ระหว่างทางบนรถไฟเขากระวนกระวายมาตลอด รุ่นพี่ชิมิซึย้ายไปนั่งกับคนอื่น แล้วรุ่นพี่ฮายาชิก็มานั่งกับเขาแทน

หรือเพราะยังไม่หายโกรธเขากันนะ 

ฮารุโตะมองหนุ่มรุ่นพี่ที่พูดคุยกับกลุ่มเพื่อนด้วยท่าทางปกติ หลายคนต้องรอรถบัสเหมือนกับเขา รุ่นพี่เองก็เช่นเดียวกัน เด็กหนุ่มยืนลังเลอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเดินเข้าไปหา เป็นจังหวะเดียวกับที่รถบัสคันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบ

“ร...”

คนที่เขาตั้งใจเรียกเดินก้าวขึ้นรถบัสไปโดยไม่แม้แต่เหลือบสายตามามอง  บางครั้งรุ่นพี่ก็เย็นชาเหลือเกิน จู่ๆคำพูดนี้ก็ผุดขึ้นมาในความคิด ถ้าไม่กลับด้วยกันก็น่าจะบอกเขาสักหน่อย ฮารุโตะตัดพ้ออีกฝ่ายในใจ และหยุดยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความรู้สึกวูบโหวง

“รถมาแล้ว”

ฮารุโตะสะดุ้งรู้สึกตัว เขาก้าวตามแรงดันจากด้านหลังด้วยฝีมือรุ่นพี่ฮายาชิ จนมาถึงที่นั่ง รถบัสรอบดึกมีที่นั่งเหลือมากมายให้พวกเขาเลือก

“เรื่องเจ้าซากิน่ะ ไม่ต้องไปสนใจมันมากนักหรอก”เรียวตะอดรู้สึกสงสารไม่ได้ เมื่อเห็นรุ่นน้องมองตามเพื่อนของตนตาละห้อย ฮารุโตะมองหน้าเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลดูฉ่ำน้ำคล้ายจะร้องไห้ แต่เรียวตะก็ไม่แน่ใจนัก

แม้เขาจะคิดว่า บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องผิดพลาดที่เขาเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของคนอื่น ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรถึงจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

“ถ้าไปตามใจ อะไรก็ยอมมันมากๆเข้า มันจะเบื่อเอา”

ฮารุโตะก้มหน้าลง หรือว่าจะเบื่อแล้วจริงๆ เด็กหนุ่มเบือนหน้าหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ทั้งกลั้นหายใจทั้งกระพริบตาเพื่อเก็บกลั้นหยาดน้ำตาที่กำลังจะไหล แม้จะเคยคิดเตรียมใจไว้แล้ว แต่ในยามที่ต้องเผชิญหน้าจริงๆมันยังหนักหนากว่าที่คิด

“พูดจริงๆนะ อย่าไปยอมมันมาก ถ้ามันตีหน้ายักษ์ใส่ก็ทำหน้าโหดใส่มันเลย ถ้ามันเมินมานายก็เมินกลับ แบบ...ฉันก็ไม่แคร์”

ฮารุโตะฝืนหัวเราะกับคำยุและอากัปกิริยาของเรียวตะ ฟังคำพูดปลอบของรุ่นพี่ฮายาชิอีกสองสามประโยคจึงได้ฤกษ์โบกมือลา ฮารุโตะอ้าปากหายใจเข้า รู้สึกแน่นจมูกไปหมด ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เขาอาจจะป่วยจนต้องลาหยุด

เขาก้าวเท้าขึ้นบันไดและเปิดประตูเข้าห้องไปอย่างเชื่องช้า ภายในห้องที่เขาอยู่มาเป็นปีนั้นดูหนาวเย็นและแสนอ้างว้าง เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งกอดเข่ากับพื้น ซบหน้าลงกับท่อนแขน น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจฝืน เขากลั้นเสียงสะอื้นไว้ให้อยู่เพียงแต่ในลำคอ ฮารุโตะหวังเพียงว่า ...พรุ่งนี้เขาจะสามารถลุกขึ้นยืนได้เหมือนเดิม

ฮารุโตะลาหยุดวันจันทร์ เขาส่งข้อความไปบอกรุ่นพี่อาโอกิว่าไม่เข้าชมรมเพราะว่ามีธุระ แม้ว่าความจริงจะได้แต่นอนเฉยๆอยู่ในห้อง เขามองท้องฟ้าสีฟ้าครามผ่านหน้าต่างบานเดียวของห้อง ความรู้สึกทุกอย่างมันอืดเหนือยราวกับเรี่ยวแรงในร่างกายหายไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเมื่อวาน แม้ความคิดหลายอย่างจะล่องลอยไร้จุดหมาย แต่ก็มีบางส่วนที่ชัดเจนขึ้นมา อย่างเช่นว่า ถ้าเขาไปบอกรุ่นพี่ว่าจะยอมทำตามที่สั่งทุกอย่าง ให้ออดอ้อนเอาใจมากกว่านี้ รุ่นพี่จะยอมกลับมาหาเขาบ้างไหม

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ฮารุโตะพลันรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาจับใจ ทำไมเขาถึงไม่หน้าตาดีกว่านี้นะ จะฉลาดหรือน่ารักหรืออะไรก็ได้ หรือมีร่างกายที่สวยงามกว่านี้ อะไรก็ได้ที่ทำให้รุ่นพี่หลงรักเขาบ้าง

และแล้วน้ำตาก็ไหลลงมาอีกครั้ง เขากอดตัวเองคุดคู้อยู่บนฟูกนอน เขาอยากย้อนเวลากลับไป แก้ไขเรื่องราวที่ผ่านมา เขาจะไม่เข้าไปขอยืมกล้องของรุ่นพี่ตามที่ทาคุมิบอก เขาจะไม่ทำให้รุ่นพี่โมโห เขาจะไม่เดินตามรุ่นพี่อาโอกิออกไปจากห้องอาหาร ไม่ออกไปเดินเที่ยวกับรุ่นฮายาชิตอนเช้า ถ้าคืนนั้นได้นอนด้วยกัน รุ่นพี่อาจจะยังไม่เบื่อเขาก็ได้ ตอนเช้าเขาก็จะปลุกรุ่นพี่เหมือนเดิม ออกไปเดินเที่ยวชมวิวด้วยกัน

ขอร้องละ!!! ย้อนกลับไปที ช่วยย้อนกลับไปที จะไม่ทำแบบนั้นอีก จะไม่ทำให้รุ่นพี่โกรธอีกแล้ว ฮารุโตะได้แต่พร่ำร้องประโยคนั้นในใจ

สุดท้ายเช้าวันใหม่ก็มาเยือนอย่างที่เขาไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก ฮารุโตะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มด้วยความกระหาย พลางปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม แม้จะเศร้าและทุกข์ระทมแต่มันก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เขาจึงได้แต่ก้มหน้ารับมัน เขาสูดลมหายใจเข้าปอดและผ่อนลมหายใจออกอีกครั้ง เปิดประตูห้องออกไป ย่ำเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า พร้อมบอกตัวเองซ้ำๆว่า ไม่เป็นไร อดทนไว้ ไม่เป็นไร...

+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
โอย สงสาร... น้ำตาคลอไปด้วยแล้วนี่
สรุปว่าซากิคิดยังไงไม่รู้ แต่เราว่าก็คงอยากเอาชนะน่ะละ ถ้ารักจริงคงไม่ไปนอนกับคนอื่นระหว่างที่พยายามทำตัวติดหนึบกับฮารุโตะหรอก ส่วนฮารุโตะ... เหมือนจะยึดซากิแทนความรู้สึกไม่เหลือใคร เพราะมีสัมพันธ์ด้วยเป็นคนแรกและเพราะความผูกพันสินะ

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
สงสารฮารุโตะจนกลับกลายเป็นความโกรธแล้วค่ะ
ในใจภาวนาให้ฮารุเริ่มรู้สึกตัวผลิบานออกสักที
สงสาร อึดอัด  จนอยากจะร้องกรี๊ดๆ อาละวาดทุกครั้งที่มีคนมาทำอะไรน้อง
ได้เวลาลุกขึ้นยืน ได้เวลาตื่นได้แล้วค่ะ
ขนาดหมาก็ยังมีวันของมันเลย
ฮารุจะปล่อยให้คนเอาเปรียบไปถึงไหน
หน้าตาไม่น่ารักมันแก้ไขไม่ได้เว้นเสียแต่ว่าจะไปศัลยกรรมซึ่งก็ไม่น่าช่วยได้ตราบใดที่นิสัยยังเป็นแบบนี้
รู้ว่าฮารุพยายามเอาตัวรอดมากๆ แต่มันก็ยังไม่พอค่ะ  ทุกข์เพราะคนอื่นแต่ก็ได้ความช่วยเหลือจากคนอื่นเหมือนกัน   นางฟ้าใจดีอย่างนาโอโตะ  เรียวตะ 
ส่วนซากินั้นเรายังมีความรู้สึกว่าจะเป็นรักแรกที่แสนเจ็บปวดของฮารุ
รักตัวเองให้มากกว่านี้หน่อยลูกเอ๋ย

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ฮารุโตะ ตื่นได้แล้ว
รักตัวเองมากๆ
อยู่กับตัวเองอย่างมีความสุขให้ได้
เข้มแข็งซะที มั่นใจในตัวเองให้มากขึ้นนะ
อย่าผูกพันกับคนอื่นเกินไป
จนไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง
อยากให้ฮารุโตะ มีความสุขได้ด้วยตัวเองซักที
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
เรื่องย่อ ตอนที่ 13
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
ฮารุโตะไม่รู้ว่า รุ่นพี่ชิมิซึไม่พอใจอะไรในตัวเขา แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับหมางเมินเย็นชาใส่ ฮารุโตะรู้สึกเจ็บปวดเพราะถูกทอดทิ้งอย่างไม่ใยดี กระนั้นเขาก็ทำได้แค่ลืมมันไป และทำเหมือนว่าความเจ็บปวดในใจไม่เคยเกิดขึ้น

ตัวละครประกอบ
สมาชิกชมรมถ่ายภาพ
1. โอคาดะ ทซึคิโยะ  นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สี่
2. โอโตวะ ชิโอริ    นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สี่
3. มัตสึโมโตะ ชิเงรุ   นักศึกษาชายชั้นปีที่สี่
4. อาซึมะ ยูเซย์    นักศึกษาชายชั้นปีที่สาม
5. ฟูจิฮาระ ไคโตะ นักศึกษาชายชั้นปีที่สาม
สมาชิกชมรมการแสดง
1. อิโต้ อาซึกะ นักศึกษาชายชั้นปีที่สี่
เพื่อนของซากุราอิ ชุน
1. โคจิมะ มิชิโอะ
2. โองาวะ อิซามุ
3. วาดะ  ซาคาอิ





春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 13



ชมรมการแสดงจะมีการแสดงละครเวที รุ่นพี่มาเอดะจึงเรียกรวมสมาชิกทุกคนในชมรมถ่ายภาพ

ในคราแรกฮารุโตะคิดสงสัยว่ามันเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของชมรมถ่ายภาพอย่างไร ถ้าจะให้เดาคงเป็นเรื่องที่ชมรมการแสดงอยากให้ชมรมถ่ายภาพไปถ่ายรูปให้ แต่แบบนั้นก็น่าจะแค่เขียนตารางงานลงบอร์ด และระบุคนรับผิดชอบ

“ละครเวทีของชมรมการแสดงคราวนี้ มีสามงานที่เราต้องรับผิดชอบ”รุ่นพี่ดึงกระดานมาเขียนหัวข้อลงไป “อย่างแรกคือภาพโปสเตอร์โปรโมทมีห้าแบบ ภาพประกอบสูจิบัตร และภาพฉาก ส่วนของชมรมหนังสือพิมพ์เป็นภาพประกอบข่าวปกติ”

มีคนยกมือและถามเรื่องฉากอย่างสงสัย

“เห็นบอกว่าฉากหลังบางส่วนจะใช้ภาพถ่ายฉายผ่านเครื่องฉาย แล้วจะทำฉากจริงเฉพาะตัวฉากที่ตัวละครต้องสัมผัส”จากนั้นจึงอธิบายเรื่องรายละเอียดของละครเวทีที่ชมรมการแสดงตั้งใจทำให้ดูยิ่งใหญ่เพราะปีนี้เป็นปีที่ครบรอบสิบปีของชมรมการแสดง ส่วนเนื้อหาของละครเป็นตำนานเก็นจิ บทที่มีชื่อฮานะโนะเอ็ง

แน่นอนว่ากลุ่มที่รับบทหนักเป็นทีมช่างภาพ เมื่อหักลบกับสมาชิกที่ถ่ายรูปไม่เข้าขั้นแล้วเหลือสมาชิกหลักยี่สิบสองคน เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้รุ่นพี่มาเอดะเลยพูดออกมาว่า

“อืม สมาชิกของชมรมเราเยอะเหมือนกันเนอะ”

เรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆได้นิดหน่อย แล้วมอบหมายหน้าที่ถ่ายภาพโปสเตอร์ให้รุ่นพี่นาคามูระไปรับผิดชอบในฐานะที่เป็นอดีตประธานชมรม สูจิบัตรจะต้องรอให้ชมรมการแสดงซ้อมการแสดงจนถึงรอบซ้อมจริง ทีมนี้ให้สมาชิกปีสามจำนวนสามคนรับผิดชอบ ส่วนภาพฉากให้จะปีสี่อีกเก้าคนเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนภาพประกอบชมรมหนังสือพิมพ์เป็นหน้าที่ของสมาชิกปีสาม จะมีสมาชิกบางส่วนที่คอยทำงานตามตารางงานปกติ

“ส่วนเรื่องต่อไป เรื่องบทความที่เราไปเที่ยวโอซาก้า”

ฮารุโตะตั้งใจฟังด้วยความตื่นเต้น เขาเองได้เขียนบทความโดยใช้รูปกระกอบของรุ่นพี่ฮายาชิเช่นกัน

“ผลการตัดสินจากรุ่นพี่อาโอกิ ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกได้แก่ กลุ่มของรุ่นพี่โอคาดะบทความหน้าเรียวกัง รุ่นพี่มัตสึโมโต้ และอาซึมะคนละสองหน้า”

เสียงเฮดังมาจากกลุ่มที่ถูกเลือก

“ว้า น่าเสียดายจัง”เสียงบ่นของรุ่นพี่ฮายาชิลอยมาให้ได้ยิน ฮารุโตะก็เสียดายเช่นเดียวกัน เขาคิดว่ารูปภาพประกอบของรุ่นพี่ไม่ขี้เหร่เลย น่าจะเป็นการเขียนบรรยายของเขาเสียมากกว่าที่ทำให้บทความไม่ได้ถูกรับเลือก

ก่อนเลิกประชุมรุ่นพี่มาเอดะบอกให้ตรวจสอบตารางการทำงานใหม่ เพราะมีกิจกรรมของชมรมการแสดงเข้ามาแทรก ฮารุโตะเห็นคนอื่นจับกลุ่มคุยเรื่องกินเลี้ยงดังมาให้ได้ยินแว่วๆ เขาจึงลุกขึ้นไปดูตารางกิจกรรมที่ติดอยู่บนบอร์ด ซึ่งมีทั้งตารางการทำงานปกติและงานของชมรมการแสดงซึ่งระบุวันในหนึ่งถึงสองอาทิตย์ข้างหน้า

ชมรมการแสดงจัดแสดงละครเวทีเป็นประจำ ฮารุโตะไม่ค่อยรู้ข้อมูลมากนัก รู้แต่เพียงในแต่ละปีการศึกษาจะมีละครเวทีอย่างน้อยสองถึงสามเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่ต้องเสียบัตรค่าเข้าชม แต่บางครั้งมีละครเวทีให้ชมฟรีเช่นเดียวกัน

ฮารุโตะกวาดสายตามองตารางการทำงานของตน ก่อนจะนิ่งมองเมื่อเห็นชื่อของตัวเองอยู่คู่กับชื่อของรุ่นพี่ชิมิซึ พลางถามตัวเองว่าเข้มแข็งพอหรือยัง ซึ่งคำตอบภายในใจนั้นชัดเจน ต่อให้ทำนิ่งเฉยมากเท่าไหร่ เขาก็ไม่อาจทำใจให้มองหน้ารุ่นพี่โดยไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกไปได้ และมันยิ่งอึดอัดจนหายใจไม่ออกเมื่อเห็นความหมางเมินในแววตาของหนุ่มรุ่นพี่

เขาขยับตัวเมื่อรู้สึกว่ามีคนมายืนอยู่ใกล้ๆ ดึงสมุดขึ้นมาจดตารางเวลา รู้สึกได้ว่าคนพึ่งเข้ามาใหม่ขยับเบียดเข้ามาอีก เขาจึงเหลือบตามอง ทาคุมิยืนมองตารางบนบอร์ดอยู่เช่นกัน เขาจึงเก็บสมุดลงกระเป๋าสาวเท้าไปร่วมกลุ่มกับรุ่นพี่อาโอกิ ยังไม่ทันก้าวไปถึง เสียงถามชวนก็ลอยมาแต่ไกล

“ทซึคิโยะจะเลี้ยงข้าว ไปไหม”

“เนื่องในโอกาสอะไรหรือครับ”ฮารุโตะถามกลับไป

“ก็... เนื่องในโอกาสที่นาโอโตะชอบบทความของฉัน”เจ้าของงานเป็นคนตอบเอง

“เอ๋!!!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็เอาเงินค่าบทความมาเลี้ยงนั่นแหละ”

เมื่อได้ยิน ฮารุโตะจึงอยากปฏิเสธ “ไม่ต้องคิดมากน่ะ นานๆที่ไปกินข้าวแบบนี้กันบ้างก็ดี”หลังจากโดนสำทับด้วยประโยคนั้น ฮารุโตะจึงตอบรับแต่โดยดี

วันที่มีนัดประชุมรวมแบบนี้ ฮารุโตะจะขอลาหยุดงานเพื่อไม่ให้ต้องกังวลกลัวจะไปเข้างานไม่ทัน มันเลยเป็นจังหวะดีสำหรับเขา แต่บางคนไม่สามารถไปร่วมได้เพราะมีธุระส่วนตัวอื่นๆ พวกรุ่นพี่เช็คจำนวนคนอีกครั้งก่อนจะจัดแจงจองร้าน และทยอยออกจากห้องชมรมเพื่อเดินทางไปร้านอาหารที่จองไว้

ฮารุโตะสังเกตเห็นว่าในกลุ่มสมาชิกของชมรมที่กำลังเดินไปยังร้านอาหารไม่มีกลุ่มของรุ่นนาคามูระรวมอยู่ด้วย จึงเดินเลียบๆเคียงๆเข้าไปหารุ่นพี่มาเอดะ รุ่นพี่ร่างสูงเห็นว่าเขาเดินเข้ามาใกล้จึงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เขายกยิ้ม นึกทวนประโยคที่เตรียมมาในใจอีกครั้งก่อนจะพูดออกไป

“เวรการทำงานของผมวันพฤหัสที่จะถึงนี้นะครับ พอดีว่าผมมีธุระ ผมขอแลกเวรกับคนอื่นได้ไหมครับ”ฮารุโตะยิ้มให้อีกรอบ

“อ่อ ได้เดี๋ยวฉันเช็คให้อีกทีแล้วจะส่งข้อความไปบอกดีไหม”

“ครับ ขอบคุณมากครับ”เด็กหนุ่มก้มศีรษะให้ก่อนจะชะลอฝีเท้าก้าวตามกลุ่มคนอยู่ด้านหลังเช่นเดิม

ร้านที่กลุ่มรุ่นพี่เดินนำมาเป็นร้านกินดื่มซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักศึกษาและคนวัยทำงาน เขาเดินตามกลุ่มรุ่นพี่ไปยังห้องอาหารซึ่งถูกกั้นแยกด้วยประตูบานเลื่อน พื้นห้องปูด้วยเสื่อตาตามิมีเบาะรองนั่งสำหรับแขกที่มารับประทานอาหาร  โต๊ะไม้ยาวสูงจากพื้นไม่มากจนเหมือนต้องนั่งคุกเข่ากับพื้น แต่ที่จริงแล้วที่ใต้โต๊ะเจาะเป็นช่องสำหรับวางเท้า ฮารุโตะได้ที่นั่งติดกับรุ่นพี่โอโตะวะ แล้วหันไปรับผ้าเช็ดมือที่มีพนักงานนำมาเสริฟ หันไปอีกข้างจึงได้เห็นซาโต้ ทาคุมิมานั่งข้างๆ อีกฝ่ายนั่งก้มหน้าดูแต่โทรศัพท์ บนโต๊ะยาวยังว่างเปล่าเพราะเพิ่งมาถึงทั้งอาหารและเครื่องดื่มจึงยังไม่มีมาเสริฟ

“วันนี้ดื่มอะไรดี ฮารุจัง”

“ขอเป็นชาดีกว่าครับ พรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้า”บอกเหตุผลเสร็จสรรพ เนื่องจากกลัวจะโดนคะยั้นคะยอให้ดื่ม ฝั่งตรงข้ามเป็นรุ่นพี่อีกคนที่ชื่อฟูจิฮาระ ไคโตะ

“มิอุระคุงคออ่อนแค่ไหนน่ะ”คนตรงหน้าชวนคุย

“ครั้งแรกที่ดื่ม สองแก้วก็สลบไปเลยครับ”เขาตอบด้วยรอยยิ้ม “แต่จริงๆดื่มไม่กี่แก้วผมก็เมาแล้ว”

“เรื่องแบบนี้มันต้องฝึกนะรู้ไหม”ไคโตะยังพูดถามต่ออีกเรื่อยๆ ครู่หนึ่งต่อมาเสียงโหวกเหวกโวยวายพลันดังขึ้นพร้อมกับผู้ชายในชมรมอีกกลุ่มใหญ่ ซึ่งก้าวเข้ามาพร้อมอาหารและเครื่องดื่มที่ตามกันมาติดๆ เมื่ออาหารมาวางอยู่ตรงหน้า ฮารุโตะจึงสนใจกินมากกว่าคุย อีกประการหนึ่งคือเริ่มมีการจับกลุ่มคุยเล่นกัน ฮารุโตะที่ไม่สันทัดทั้งเรื่องกล้องและการถ่ายภาพ รวมทั้งโดยส่วนตัวไม่ใช่คนพูดเก่งจึงได้แต่นั่งทานอาหารและมองคนโน้นคนนี้ไปเงียบๆ รุ่นพี่ฟูจิฮาระเองก็ย้ายไปนั่งรวมกลุ่มอยู่กับรุ่นพี่นาคามูระ

“อะแฮ่ม เอ่อ...ส่งจานนั้นให้หน่อย”คนที่นั่งข้างๆเขาพูดพลางชี้นิ้วบอก ฮารุโตะจึงเอื้อมมือหยิบจานอาหารที่อีกฝ่ายต้องการมาให้ สักพักทาคุมิก็พูดขึ้นมาอีก “เปรี้ยวเนอะ” แม้จะได้ยินประโยคนั้นแต่ฮารุโตะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง เขายังกินซูชิที่อยู่ในมือต่อไปเงียบๆ

“เฮ้ย!!! ไอ้เด็กพูดมาก”ทาคุมิหันขวับไปยังเจ้าของเสียง พลางคิดใจในว่า เขามีชื่อทำไมถึงได้ชอบเรียกเขาแบบนั้นนักนะ

“มารินเหล้าดิ”

“รุ่นพี่ก็มีมือ รินเองไม่เป็นหรือครับ”

แต่รุ่นพี่คนนั้นไม่รอให้เขาเข้าไปหา ลุกขึ้นมาลากคอเขาแท่ดๆไปเลย ไม่ถามความสมัครใจสักคำ อีกฝ่ายหน้าแดงจัดดูท่าเหมือนจะเมาตั้งแต่หัวค่ำ ซ้ำยังยัดแก้วเบียร์มาให้เขาดื่มอีก ทาคุมิฮึดฮัดแต่ยอมยกของเหลวในแก้วขึ้นดื่มจนหมด

ฮารุโตะทานไปเรื่อยๆจนเริ่มอิ่ม เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ที่นั่งตรงหน้าฝั่งตรงข้ามกลับถูกชิมิซึ ซากิจับจองไป หัวใจของเขากระตุก รีบก้มหน้าหลุบตาลงต่ำด้วยความเคยชิน พยายามบังคับความคิดความรู้สึกลนลานให้นิ่งสงบ ฮารุโตะเช็ดมือกับผ้าเปียกที่ได้รับมาตั้งแต่แรก และยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ้อยอิ่ง  แล้วเบี่ยงสายตาขึ้นแสร้งทำท่าว่ากำลังให้ความสนใจกลุ่มสาวๆในชมรมซึ่งนั่งอยู่ข้างตัว ควบคุมความคิดและท่าทางแสดงออกทุกวินาทีไม่ให้เผลอไผลหันไปมองอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จนกระทั่ง เมื่อนาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่ม เด็กหนุ่มจึงขอตัวกลับ โบกมือบอกลาทุกคนด้วยรอยยิ้มแต่มองข้ามชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งไปอย่างจงใจ

บรรยากาศภายนอกร้านยังดูคึกคัก เพราะแถวนี้เป็นแหล่งรวมร้านอาหารชื่อดัง ห่างจากห้องพักของเขามาอีกทางด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกลหลายกิโลเมตร ฮารุโตะยังคงย่างเท้าก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ ลมกลางคืนพัดมาคลายความร้อนจากช่วงกลางวัน เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจออกเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดดำยามค่ำคืน และยืนนิ่งเดียวดายอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน



ทุกอย่างมันดูเปลี่ยนไปหมดตั้งแต่กลับมาจากทริปไปโอซาก้าคราวนั้น ทาคุมิที่เคยทำตัวติดกับเพื่อนร่วมคณะแจ ดูห่างเหินไปเหมือนคนไม่เคยรู้จัก ซากิกับฮารุโตะที่เคยมีออร่าหวานแหววตัวติดกันราวกับปาท่องโก๋ก็เหมือนคนเกลียดขี้หน้ากันมาแต่ชาติปางไหน เพราะไม่เพียงจะไม่คุยกัน ไม่สบตา ไม่มองหน้า หากเมื่อต้องเข้าใกล้กันครั้งใด ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลี่ยงหนีไปก่อนเสียทุกครั้ง จนสมาชิกหลายคนรับรู้ได้ถึงบรรยากาศอึดอัดอึมครึมระหว่างทั้งสามคน

นานเข้าเป็นทาคุมิที่เริ่มทนไม่ได้กับความหมางเมินเหินห่างระหว่างตนกับเพื่อนร่วมคณะ แม้จะฮึดฮัดโมโหทั้งกังขาทั้งสงสัยว่าพวกเขาผิดใจกันด้วยเรื่องใด แล้วทำไมต้องเป็นเขาหรือ ที่ต้องเป็นฝ่ายไปขอโทษขอคืนดีกับฮารุโตะ ตัวเขาเองมีคนรู้จักมากมาย แค่จะตัดคนคนหนึ่งออกจากชีวิต มันไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่

แต่มันค้างคาใจ นั่นคงเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในใจเขา ครั้นทำเนียนเข้าไปชวนคุย มิอุระ ฮารุโตะกลับหุบปากเงียบไม่เคยพูดคุยกับเขาสักแอะ ที่กับคนอื่นนะคุยดี ทั้งยิ้มให้ทั้งต่อบทสนทนา ทั้งที่เมื่อก่อนตอนคุยกับเขา ยังชอบปล่อยให้เขาต้องหาเรื่องมาพล่ามจนมีฉายาที่รุ่นพี่ในชมรมเรียกว่า ‘ไอ้เด็กพูดมาก’ ทาคุมิจึงตัดสินใจ วันนี้ต้องรู้ดำรู้แดงกันไปเลย

“มิอุระ ฮารุโตะ”ทาคุมิเอ่ยเรียกชื่อเต็มของเพื่อนร่วมรุ่นที่นานๆเขาจะเอ่ยเรียกสักครั้ง “ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” ฮารุโตะเตี้ยกว่าเขาซ้ำยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ดังนั้นหลังจากที่อีกฝ่ายช้อนสายตาขึ้นมอง และหลุบตาลงมองพื้นอีกครั้ง เขาจึงเห็นแค่แพขนตาที่เหมือนทาบทับลงบนผิวแก้ม

ชั่วโมงเรียนช่วงเช้าเพิ่งจบลง

ทาคุมิทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ห่างจากเก้าอี้ที่ฮารุโตะนั่งประมาณสองตัว นั่งนิ่งรอเพื่อนนักศึกษาในห้องทยอยออกไปจนหมด เขาจึงได้เริ่มต้นพูด

“นายโกรธฉันเรื่องอะไร”

คงมีแค่ความเงียบตอบกลับมา ทาคุมิจึงขยับเข้าไปใกล้จับให้ฮารุโตะหันมาเผชิญหน้า “ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นอีก แต่คราวนี้ฮารุโตะตอบกลับมาว่าไม่ได้โกรธพร้อมกับใบหน้าของอีกฝ่ายก้มต่ำลงไปอีก

“ไม่ได้โกรธ แต่นายไม่ยอมพูดกับฉันเนี่ยนะ”

ไม่มีคำอธิบายตอบกลับมาอีกเช่นเคย

ทาคุมิจึงใช้สองมือประคองใบหน้าของฮารุโตะให้เงยขึ้นมองเขา แววตาของฮารุโตะสั่นไหวและฉ่ำน้ำ หลังจากสบตากับเขาชั่ววินาที ฮารุโตะก็เบือนสายตาหนีไปทางอื่นอีกครั้ง

“ถ้านายไม่พูดก็ไม่มีใครรู้เรื่องด้วยหรอกนะ”

แต่อีกฝ่ายยังคงปิดปากเงียบ

“ถ้าไม่พูดจะจูบแล้วด้วย”

ฮารุโตะหันกลับมองเขาตาโตด้วยแววตาตระหนก สองมือยกขึ้นปิดปากตัวเองไว้แน่น จากนั้นเสียงอู้อี้ก็หลุดออกมา “นายเป็น...โฮโม?”

อย่าว่าแต่ฮารุโตะจะตกใจ ตัวเขาเองยังตกใจกับคำขู่ที่แสนเบี่ยงเบนและประหลาดๆเช่นนี้ หรือมันมาจากจิตใต้สำนึกเพราะเขาเป็นโฮโมจริงๆเนี่ย

ไม่ใช่!!! ซาโต้ ทาคุมิโวยวายบอกกับตัวเองในใจ เขาแค่คิดอะไรไม่ออกเท่านั้น และไหนๆฮารุโตะก็ตกใจกับคำขู่นั้น มันก็ถือว่าใช้ได้!!!

“ถ้าอยากรู้ นายลองพิสูจน์ดูแล้วกัน”ทาคุมิแกล้งยื่นหน้าเข้าไปหา ซึ่งฮารุโตะพยายามเบี่ยงตัวหนีทันที

“ถ้าไม่อยากโดนจูบละก็ พูดมาซะ”เขายื่นหน้าเข้าไปจนใกล้อีกครั้ง ฮารุโตะจึงรีบละลักละล่ำบอกว่าจะพูดแล้ว จะบอกทุกอย่างแล้ว

“รุ่นพี่ชิมิซึ... ไม่อยากให้คุยกับซาโต้ซัง”

“แล้วทำไมถึงไม่อยากให้คุยกับฉันด้วย”

ฮารุโตะสั่นศีรษะกลับมาเป็นคำตอบ “วันนั้นหลังที่แยกกับนายแล้ว ร...รุ่นพี่ก็โมโหใหญ่เลย น่า...ก...กลัวมากๆ แล้วก็สั่งให้เลิกคบ ไม่ต้องคุยอีก แล้ว...ให้เลิกทุกอย่าง”ประโยคสุดท้ายเขาพูดเสียงเบา สั่ง ‘ให้เลิกทุกอย่าง’ แบบนี้มันกว้างเกินไป เขาไม่รู้ว่ารุ่นพี่หมายถึงอะไรบ้าง แต่ว่าวันนั้นเขาก็อยู่นิ่งๆ และทำตามที่รุ่นพี่บอกทุกอย่าง แต่ดูเหมือนว่ารุ่นพี่ยังคงไม่พอใจอยู่ดี

“แล้วทำไมต้องทำตามที่รุ่นพี่ชิมิซึบอกด้วย นายบอกว่าเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องไม่ใช่หรือไง”

“อือ แต่ไม่อยากให้รุ่นพี่โกรธ”

“ทำไมต้องไม่อยากให้รุ่นพี่โกรธ”ทาคุมิถามกระตุ้น ไม่รอให้ฮารุโตะพูดออกมาเอง

“ก็ตอนที่รุ่นพี่ไม่โกรธ รุ่นพี่ใจดีมาก”คนพูดยิ้มกว้างราวกับจะยืนยันคำพูด

คำตอบของฮารุโตะดูวนเวียนเหมือนไม่เจอทางออกเสียที ทาคุมิจึงตั้งสติ พูดให้อีกฝ่ายฟังใหม่อีกรอบ “ถ้าชอบรุ่นพี่ที่ใจดี รุ่นพี่อาโอกิก็ใจดี รุ่นพี่ฮายาชิ รุ่นพี่โมริ รุ่นพี่มาเอดะอย่างนี้ ทุกคนใจดีทั้งนั้น”ถึงจะเข้าชมรมไปได้ไม่นาน แต่ทาคุมิรู้สึกได้ว่าในชมรมมีแต่พวกคิดบวก

“ไม่เหมือนกัน”ฮารุโตะขมวดคิ้วทำหน้าครุ่นคิด ครู่ต่อมาใบหน้านั้นแดงเรื่อขึ้นฉับพลับ “รุ่นพี่มาอยู่ด้วย”

“ชอบให้คนไปอยู่ด้วยหรือ”

“อือ ชอบที่รุ่นพี่มาอยู่ด้วย”

“ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะไปอยู่กับนายเอง”

“เอ๊ะ!!! ไม่ได้หรอก ไม่ต้องกลับบ้านหรือ”

“เอ้า แล้วนายไม่คิดว่ารุ่นพี่ชิมิซึไม่ต้องกลับไปบ้านบ้างหรือไง”

“ไม่รู้ ไม่เคยถาม”ฮารุโตะตอบเสียงอ่อย “แต่ไม่เห็นรุ่นพี่พูดว่าอะไร”

“อืม อย่างนั้นฉันก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน เดี๋ยวฉันกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านแล้วจะไปนอนค้างด้วย”ทาคุมิว่าพลางฉุดให้ฮารุโตะลุกขึ้นยืน ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นดูเวลา

“แต่ที่ห้องผมเล็กมากเลยนะ ห้องน้ำไม่มีอ่างด้วย”ฮารุโตะพูด คิดภาพที่ภายในห้องมีคนอื่นมาอยู่นอกจากรุ่นพี่ชิมิซึไม่ออกจริงๆ ซ้ำยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจ

“ไม่มีปัญหา ผู้ชายอย่างรุ่นพี่ชิมิซึยังไปอยู่ที่ห้องนายได้ สบายมากสำหรับฉันแน่นนอน ว่าแต่วันนี้เอาข้าวกล่องมาหรือเปล่า”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ ทาคุมิพาเขามาปล่อยไว้ที่ม้านั่งข้างสวน พร้อมกับสั่งให้เขาเอาข้าวกล่องออกมากินอย่างเร่งด่วน ฮารุโตะมองนาฬิกาจึงได้รู้ว่าเขาควรรีบกินข้าวอย่างรวดเร็วตามที่อีกฝ่ายว่า เพียงแค่ครู่เดียวทาคุมิก็กลับมาพร้อมกับขนมปัง  นมและน้ำดื่มในมือ

“ไม่ต้องรีบขนาดนั้น”ทาคุมิพูดพร้อมส่งน้ำให้ เมื่อฮารุโตะรีบทานจนข้าวติดคอ

“เดี๋ยว เข้าเรียนไม่ทัน”

“กินไปเรื่อยๆ ถึงเวลาเรียนแล้วค่อยเลิกกิน”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ ค่อยๆเคี้ยวค่อยๆกลืนไปตามปกติ เมื่อหมดเวลาพักยังเหลือข้าวกล่องอีกนิดหน่อย ฮารุโตะมองข้าวที่เหลืออย่างเสียดาย ทาคุมิจึงถามว่าอิ่มไหม พอเขาพยักหน้ารับ ทาคุมิจึงกวาดของที่เหลือในกล่องข้าวใส่ปากเคี้ยวๆและกลืนในคำเดียวจนหมด


ฮารุโตะมองตาโตด้วยความตื่นเต้น ปรบมือให้เปาะแปะ ซ้ำยังบอกว่าเก่งจังเลย จากเป็นเรื่องที่ไม่น่าภูมิใจ ทาคุมิเลยรู้สึกว่าหน้าร้อนขึ้นมานิดหน่อย



ทาคุมิเคยมาที่ห้องพักของฮารุโตะแล้ว แต่ครั้งนั้นเขาอยู่แค่หน้าประตู เด็กหนุ่มใช้กุญแจที่ไปขอมาจากเจ้าของห้องไขเข้าไปด้านใน ตอนนี้ยังเป็นช่วงเวลาทำงานของฮารุโตะ เขาที่มาถึงก่อนเวลาเลิกงานจึงได้ขอยืมกุญแจมาก่อน

ห้องพักของฮารุโตะเล็กแคบอย่างที่เจ้าตัวเคยว่าไว้ ผนังด้านในเก่าโทรมเหมือนที่เห็นจากด้านนอก แต่การจัดวางภายในดูเรียบร้อย คงเพราะไม่มีเครื่องใช้อำนวนความสะดวกเกินความจำเป็น ไม่มีทีวี เครื่องเล่นเกม หรือเครื่องเสียง ไม่มีหนังสือการ์ตูน โปสเตอร์ดารานักร้อง หรือทีมกีฬา มีเพียงชั้นวางหนังสือที่มีแต่หนังสือเรียน ไม่แน่ว่า ฮารุโตะอาจจะเอาเงินไปทุ่มกับเสื้อผ้าที่สวมใส่

ด้วยภาพลักษณ์ที่ดูเรียบร้อยขี้อายบวกกับเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าแบรนด์เนมที่อีกฝ่ายสวมใส่ มันทำให้ฮารุโตะดูเป็นลูกคุณหนูที่ถูกเลี้ยงมาอย่างดี ดังนั้นทาคุมิจึงแปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นห้องพักของฮารุโตะในครั้งแรก

เขาถือวิสาสะเปิดประตูแบบบานเลื่อนซึ่งกั้นผนังด้านในออกดู

ภายในเป็นตู้แบบญี่ปุ่นซึ่งชั้นบนเก็บผ้าห่มและฟูกนอน ส่วนชั้นล่างมีแต่เสื้อผ้า กระเป๋า และรองเท้าที่ถูกพับจัดเก็บไว้อย่างเรียบร้อย กระนั้นเสื้อผ้าข้าวของในตู้ก็ดูน้อยเกินไปสำหรับพวกคลั่งไคล้แฟชั่น สภาพการณ์แบบนี้ทำให้จินตนาการของเขาบรรเจิดไปไกล ฮารุโตะอาจจะเป็นลูกเศรษฐีพันล้านที่ทะเลาะกับที่บ้านแล้วหนีออกมาอยู่คนเดียวเพื่อพิสูจน์ตัวเอง

แล้วต้องหัวเราะกับความเพ้อเจ้อที่ว่า ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเปิดเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือจนกระทั่งฮารุโตะกลับมาถึงห้อง

“ไม่ง่วงหรือ ที่จริงนอนก่อนก็ได้”

“รอน่ะ” แม้ความจริงคือเขากลัวเรื่องสยองขวัญของห้องเช่าแห่งนี้และเห็นว่าฟูกนอนมีแค่ผืนเดียว จึงไม่แน่ใจว่าจะนอนอย่างไร

ฮารุโตะดึงฟูกนอนมากาง แล้วเข้าไปอาบน้ำล้างตัวในห้องน้ำเล็กๆของตน ก่อนกลับออกมาหาทาคุมิอีกครั้ง “นอนกันเถอะ”

“มีฟูกนอนอันเดียวหรือ”

“อือ” ส่งเสียงรับพร้อมปิดไฟและล้มตัวลงนอน ทาคุมิจึงต้องสอดตัวมาอยู่ใต้ผ้าห่มบ้าง แม้ฟูกนอนไม่ได้เล็กขนาดนอนสองคนไม่ได้ แต่ต้องนอนเบียดกันน่าดู

“รุ่นพี่ชิมิซึก็นอนฟูกเดียวกับนายหรือ”

“อือ”

เขาอาจจะคิดอกุศล แต่มันอดปากไม่ได้ที่ต้องถามให้แน่ใจ “นายมีอะไรกับรุ่นพี่แล้วใช่ไหม” ทาคุมิส่งเสียงถามฝ่าไปในความมืด มันน่าแปลกเกินไปที่คนอย่างรุ่นพี่ชิมิซึจะมาอยู่อาศัยในห้องเช่าโทรมๆแบบนี้ รุ่นพี่ตัวใหญ่กว่าเขา และต้องนอนเบียดกับเจ้าของห้องบนฟูกนอนผืนเดียวกัน แค่คิดใบหน้าของเขาก็ร้อนวูบวาบ

แต่คนถูกถามเงียบไปนานจนเขาต้องเอ่ยเรียกซ้ำ “หลับไปแล้วหรือ”

ทิ้งช่วงจังหวะไปอีกครู่หนึ่ง จนทาคุมิคิดว่าฮารุโตะคงหลับไปแล้วจริงๆ เสียงของคนที่นอนอยู่ข้างจึงดังแผ่วเบาในระดับเสียงกระซิบ “ผมมีอะไรกับรุ่นพี่แล้ว” เด็กหนุ่มจึงขยับตะแคงตัวไปทางเจ้าของห้อง แสงสว่างที่เลือนลางจากภายนอกและสายตาที่เริ่มชินกับความมืด ทำให้เขาเห็นฮารุโตะนอนหงายมองเพดานด้านบน ก่อนจะหันหน้ามาทางเขา

“รังเกียจหรือเปล่า”

“ทำไมละ”เขาถามกลับด้วยความดังของเสียงระดับเดียวกัน ผนังห้องพักที่ฮารุโตะอาศัยอยู่บางมาก เมื่อช่วงหัวค่ำเขายังได้ยินเสียงทีวีดังมาจากห้องข้างๆ

“เคยมีคนบอกว่าผมร่าน”ถึงไม่เคยใช้คำพูดหยาบคายกับใคร แต่เมื่อได้ยินฮารุโตะก็เข้าใจความหมายของมันได้ในทันที

ทาคุมินิ่งงัน ปลายเสียงของฮารุโตะสั่นเครือเล็กน้อย ถ้าเป็นเขาโดนว่าด้วยคำร้ายกาจแบบนี้คงได้มีแลกหมัดสักสองสามหมัดแล้ว

“ร่านหมายถึงมีอะไรกับใครไปทั่วนะ นายทำอย่างนั้นหรือ”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกคนคงมองไม่เห็นจึงบอกว่าเปล่า

“นั่นไง ไม่จำเป็นต้องไปแคร์คำพูดของคนอื่นนักหรอก คนบางคนก็มีแต่ปากที่พูดไปเรื่อย แล้วได้บอกเรื่องนี้กับรุ่นพี่หรือเปล่า”

“เปล่า”เสียงแผ่วเบาตอบกลับมาเช่นเดิม

“ไม่ได้นะเรื่องแบบนี้ มันต้องบอก อย่างที่ฉันบอกนาย ถ้าไม่พูดออกไปใครจะมารับรู้ด้วย พรุ่งนี้ถ้าได้เจอรุ่นพี่ชิมิซึ รีบเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเลยละ”

“ไม่ได้หรอก”

“ทำไมละ อ่อ ช่วงนี้รุ่นพี่โกรธนายอยู่ด้วยนี่นะ”

“นั่นก็ใช่ แต่ว่าช่วงนี้พวกรุ่นพี่ออกไปถ่ายภาพสำหรับมาเป็นฉากให้ชมรมการแสดง”

“เออแหะ ถ้าอย่างนั้นไว้เจอกันครั้งหน้าก็ได้”พูดจบทาคุมิก็หาวหวอดใหญ่ “ง่วงแล้ว นอนเหอะ”

ทาคุมิเงียบเสียงลงไปแล้ว คงจะนอนหลับอย่างที่เจ้าตัวบอก แต่ฮารุโตะยังคงลืมตามองเพดานอยู่เช่นนั้น ถ้าพูดออกไป ทุกอย่างจะจบลงอย่างมีความสุขอย่างนั้นหรือ  ไม่จริงหรอก ชะตากรรมของเด็กขี้ฟ้องในความทรงจำของเขาไม่ได้จบลงอย่างสวยงามแบบนั้น ถ้าเป็นเด็กขี้ฟ้อง ก็ต้องพบเจอกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากกว่าเดิมต่างหาก




วันนี้ที่ห้องชมรมถ่ายภาพซึ่งอยู่บนชั้นสามของอาคารหลังหนึ่งในคณะศิลปศาสตร์กำลังอยู่ในช่วงแห่งความวุ่นวาย เนื่องจากทั้งจำนวนคนและเสื้อผ้า ตามกำหนดการคือวันนี้เป็นการถ่ายภาพโปสเตอร์โปรโมทละครเวทีของชมรมการแสดงซึ่งแม้ชมรมนั้นจะมีทีมงานที่ดูแลเรื่องเสื้อผ้าอยู่แล้ว แต่เพราะรุ่นพี่โอคาดะและรุ่นพี่อาโอกิต่างก็รู้จักมักคุ้นกับทีมของชมรมการแสดงเป็นอย่างดี จึงถูกวานให้มาช่วยเหลือด้วย

ฮารุโตะที่มักจะมาอยู่ที่มหาวิทยาลัยอย่างสม่ำเสมอจึงตามมาด้วย เขากับทาคุมินั่งหลบมุมอยู่ห่างๆในตอนแรก แต่สักพักก็โดนเรียกให้ไปช่วยหยิบโน่นจับนี่

ตัวแสดงที่รับบทฮิคารุ เก็นจิ เป็นชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาดีที่ทาคุมิกระซิบบอกเขาว่าเป็นคนดังของชมรมการแสดง นอกจากนั้นตัวแสดงหลักในบทละครฮานะโนะเอ็งยังมีจักรพรรดิคิริสึโบะ พระราชบิดาของเก็นจิ พระนางฟุจิตสึโบะจักรพรรดินีในองค์จักรพรรดิคิริสึโบะ และโอะโบะโระซึกิโยะบุตรีคนที่หกของอุไดจิน รวมถึงนักแสดงคนอื่นๆ

ที่วุ่นวายเพราะเสื้อผ้าที่สวมใส่ล้วนแต่เป็นกิโมโนสมัยเฮอัน ชุดฝ่ายชายเป็นคันโนะชิซึงะตะ ส่วนฝ่ายหญิงเป็นกิโมโนห้าชั้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าของทั้งฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายต่างล้วนเป็นเสื้อผ้าที่ทำเลียนแบบให้ดูใกล้เคียงกับเสื้อผ้าในสมัยนั้นมากที่สุด แน่นอนว่าเรื่องรายละเอียดเสื้อผ้าเหล่านี้ทีมงานฝ่ายเสื้อผ้าของชมรมการแสดงนำเสนอและแจกแจงรายละเอียดให้พวกเขาฟังด้วยความภูมิใจ และกว่าทุกคนจะแต่งตัวเสร็จก็ปาเข้าไปครึ่งวัน

“อลังการงานสร้างจนไม่แปลกใจเลยว่ทำไมต้องขายบัตร”ทาคุมิกระซิบพูดกับเขา

หลังจากหมดหน้าที่ลูกมือ เขากับทาคุมิถูกไล่ให้ไปช่วยรับข้าวกล่องที่ชมรมการแสดงสั่งไว้ และมีเผื่อแผ่มาให้ชมรมถ่ายภาพด้วย ทาคุมิจึงกระตือรือร้นปฏิบัติตามคำสั่งแต่โดยดี พวกเขาถูกใช้ให้ไปรับข้าวกล่องตั้งแต่สิบเอ็ดโมงกว่าๆ ตอนที่กลับมาจึงเป็นช่วงที่ทุกคนกำลังหิวพอดี แต่นักแสดงหญิงที่แต่งตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้วทานไปแค่นิดหน่อย รุ่นพี่นาคามูระจึงบอกให้เริ่มถ่ายภาพเลยเพื่อให้สาวๆได้ไปทานข้าวกันอย่างเต็มที่

เรื่องรายละเอียดและรูปแบบของโปสเตอร์มีการคุยมาก่อนหน้านี้แล้ว นาคามูระ เรย์จะถ่ายภาพแต่ละคนบนฉากสีเขียวเพื่อไปทำการตัดต่อภาพอีกครั้ง คนที่ยืนมองภาพที่อยู่บนจอเป็นผู้กำกับละครเวทีซึ่งอยู่ปีสี่ ส่วนฮารุโตะและทาคุมิก็ถอยกลับมานั่งมองพร้อมกับทานข้าวมื้อกลางวันอยู่ห่างๆเช่นเดิม



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-03-2017 20:54:34 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
หลังจากที่การถ่ายภาพโดยฝีมือของรุ่นพี่นาคามูระผ่านไปพักใหญ่ รุ่นพี่ปีสี่ซึ่งเป็นผู้กำกับละครเวทีก็กวักมือเรียกพวกเขาเหย็งๆ ทั้งเขาและทาคุมิมองหน้ากันก่อนจะเดินเข้าไปหาทั้งคู่ และเป็นทาคุมิที่เอ่ยปากถามไปก่อน

“มีอะไรให้พวกผมช่วยหรือครับ”

อีกฝ่ายไม่ตอบแต่หันไปเรียกนาโอโตะ “ยืมตัวน้องคนนี้หน่อยได้ไหม”

“ต้องมีค่าตัวนะ”

“ผมไม่เอาหรอกครับ”ฮารุโตะร้องบอกเมื่อเห็นรุ่นพี่ผู้กำกับละครเวทีผายมือมาทางตน

“โฮ่ น้องมันนิสัยดีกว่านายอีกนะ”

“เพราะยังไม่รู้หรอก ว่านายจะให้ทำอะไร”

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ฮารุโตะจึงนึกระแวงขึ้นมา รุ่นพี่คนนั้นเลยชิงบอกขึ้นมาเสียก่อน “เดี๋ยวช่วยไปใส่กิโมโนแล้วเป็นแบบถ่ายรูปให้หน่อย”

“ต้องทำแบบนั้นไปทำไมละครับ”คนที่ถามเป็นทาคุมิ ซึ่งตรงกับที่ฮารุโตะกำลังสงสัยพอดี

“ร้านที่ให้ช่วยเรื่องเสื้อผ้าเขาอยากได้โปสเตอร์สำหรับโปรโมทร้านด้วยเหมือนกัน แลกกับส่วนลดค่าชุดทั้งหมด แต่จะให้เอาภาพตัวเอกของเรื่องไปให้เลยมันก็...”

“ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่ครับ ก็เหมือนกับการโปรโมทละครไง”

“อ่า... มันก็ใช่ แต่ว่า แบบ...”

“อาซึกะมันงี่เง่าน่ะ มันบอกว่าถ้าปล่อยภาพนักแสดงออกไปก่อนกำหนดการ หรือเอาไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่เพื่อละครละครมันจะไม่ดัง”นาโอโตะเป็นคนพูดออกมาเสียแทน

“ก็แหม ฉันหวังกับละครเวทีเรื่องนี้ไว้มาก เพราะฉะนั้นช่วยหน่อยเถอะนะ”

ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ฮารุโตะไม่คิดที่จะปฏิเสธอยู่แล้ว เขาจึงพยักหน้าตกลง

“ให้ผมใส่ด้วยได้ไหมครับ”ทาคุมิเสนอขึ้นมา เขาอยากลองสวมชุดพวกนี้บ้าง อาซึกะเลิกคิ้วมองแต่เขาก็ตอบตกลง

ทาคุมิดูจะสนุกสนานอารมณ์ดีเป็นพิเศษกับกิจกรรมวันนี้  พาลให้ฮารุโตะรู้สึกขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย ต้องเป็นเพราะทาคุมิแน่ๆ ที่ทำให้เขาต้องใส่ชุดกิโมโนของผู้หญิง แทนที่จะได้ถ่ายรูปในชุดกิโมโนชาย

“อย่าหน้าหงิกไปเลยนะ นายแต่งแบบนี้ก็สวยดีออก”ทาคุมิไม่ได้พูดเพียงอย่างเดียวแต่ยังยื่นรูปภาพที่รุ่นพี่นาคามูระถ่ายให้ซึ่งอยู่ในโทรศัพท์มือถือมาให้เขาดูด้วย

“จริงหรือ สวยจริงหรือ”ฮารุโตะถามอย่างสนใจ ซึ่งทำให้ทาคุมิละความสนใจจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือไปทันที

“อะไร อ่อ... หรือกำลังหาทางง้อรุ่นพี่”

“ก็ไม่เชิง”ฮารุโตะพูดเสียงเบา รุ่นพี่ชิมิซึไม่เคยแสดงท่าทางว่าโกรธนานๆแบบนี้ แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของเขาเองด้วยละ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีแต่รุ่นพี่ที่คอยจะเข้าหาเขาอยู่เสมอ

แต่มันสมควรไหมละ ช่วงแรกๆ สิ่งที่รุ่นพี่ทำกับเขาเรียกว่าอาชญกรรมด้วยซ้ำ เขาไม่ได้เต็มใจด้วยสักหน่อย

“เป็นอะไรนะ เดี๋ยวก็ทำหน้าเศร้า เดี๋ยวก็ทำหน้าบึ้ง”

เมื่อโดนเอ่ยทัก ฮารุโตะจึงยกมือกุมหน้าตัวเอง พลางคิดว่าควรจะเล่าให้ทาคุมิฟฟังดีไหมนะ แต่เปลี่ยนใจในที่สุด เรื่องน่าอายแบบนั้นเล่าออกไปก็คงจะโดนหัวเราะเยาะแน่ๆ

“แล้วจะเอาอย่างไรเรื่องง้อรุ่นพี่”ทาคุมิถาม ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่เขากล่าวถึง เกินเลยมาจนไม่จำเป็นต้องกำหนดคำนิยาม ซ้ำฮารุโตะเองก็ดูเหมือนจะชอบรุ่นพี่ชิมิซึมาก ฝ่ายรุ่นพี่เองจากที่เขาเห็นก่อนที่จะมีเรื่องราวคราวนี้ คงชอบฮารุโตะเหมือนกันนั่นแหละ

“ไม่เอาอย่างไร ไม่ง้อด้วย ไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย”ห่างกันไปทั้งอย่างนี้นะดีแล้ว เขาจะได้ไม่ต้องมาเสียใจอีก ฮารุโตะคิดเช่นนั้นในใจ

“แล้วไม่ชอบรุ่นพี่แล้วหรือไง”

“อืมชอบ แต่ชอบได้ก็เลิกชอบได้”ฮารุโตะพูดพร้อมทั้งตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว

พ้นช่วงเวลาอาทิตย์นั้น งานของชมรมการแสดงคงเหลือเพียงแค่อย่างเดียว ซึ่งกว่าหมดงานของชมรมการแสดงจริงๆคือหลังจากสอบกลางภาค

ใช่แล้ว!!! สอบกลางภาคกำลังใกล้เข้ามา ฮารุโตะจึงไม่มีเวลาสนใจเรื่องอย่างอื่นอีก แต่ทว่าก่อนจะถึงสอบกลางภาคได้ ต้องผ่านงานกีฬาฤดูใบไม้ผลิไปเสียก่อน

“อย่างที่รู้กันว่างานกีฬาทางมหาวิทยาลัยไม่ได้บังคับให้นักศึกษาเข้าร่วม แต่ชมรมถ่ายภาพมีหน้าที่ต้องถ่ายภาพบรรยากาศของงาน และที่เราทุกคนรู้ งานนี้ฟรี!!!” สมาชิกในชมรมต่างโห่ร้องโหยหวน เพราะคำว่าฟรีที่ว่าคือทำงานโดยไม่มีค่าตอบแทน “แต่คณะกรรมการจัดงานมีข้าวเลี้ยง” ประโยคสุดท้ายพอจะเรียกเสียงเฮจากทุกคนได้บ้าง

งานแบบนี้สมาชิกชมรมที่เป็นช่างภาพจะไม่ได้ต้องการผู้ช่วยสักเท่าไหร่  ปีที่แล้วในช่วงงานกีฬาฤดูหนาว ฮารุโตะก็มาเดินไปเดินมาอยู่ในงานเผื่อมีใครอยากจะเรียกใช้ ซึ่งก็มีบ้างตั้งแต่ไปซื้อน้ำ ส่งข้าว เอาแบ็ตเตอรี่ไปชาร์จ

“มาไหม แต่ไม่น่าถามเนอะ ว่างเมื่อไหร่เห็นมาอยู่ที่มหาวิทยาลัยตลอด”

“ก็ที่มหาวิทยาลัยมันเย็นกว่าที่ห้องอ่ะ”

ถึงจะยังอยู่ในเดือนพฤษภาคม แต่อากาศเริ่มร้อนมากขึ้นทุกวัน ห้องของเขามีแต่พัดลมตัวเล็กๆจึงยิ่งร้อนจนไม่อยากขยับตัว ฮารุโตะจึงมาสิงอยู่ที่ห้องสมุดบ้างหรือไม่ก็ห้องชมรมบ้างทุกวันหยุด แต่ถ้าวันไหนมีฝนตกลงมา เขาถึงยินดีที่จะอยู่ในห้องโดยไม่ออกไปไหน

เหลือบตามองกลุ่มรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ห่างออกไป เห็นริเอะโกะนั่งเบียดอยู่กับรุ่นพี่ชิมิซึ ดูประกาศออกตัวอย่างโจ่งแจ้ง ทาคุมิเห็นนสายตาของเขาจึงมองตาม พออีกฝ่ายส่งเสียงพูด ฮารุโตะถึงได้เปลี่ยนมาหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาอ่าน

“คบกันแล้วละมั้ง ยัยนั่นดูหน้าระรื่นน่าดู”

ฮารุโตะไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร แค่บอกว่าช่างเถอะแล้วก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไปเงียบๆ ทาคุมิเห็นเพื่อนแสดงออกว่าไม่สนใจ ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรจริงๆ เขาจึงเลิกสนใจและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นเกมบ้าง



อากาศวันงานกีฬาฤดูใบไม้ผลิร้อนจริงๆ ทั้งที่เมื่ออาทิตย์ก่อนยังมีฝนตกลงมาบ้าง แต่ผ่านมาแค่ไม่กี่วันอากาศก็กลับมาร้อนอบอ้าวอีกครั้ง

ฮารุโตะอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงวอร์มสวมหมวกไว้บนศีรษะการแต่งตัวคล้ายคลึงกับทาคุมิเพื่อนร่วมคณะ  ทั้งสองคนกำลังหิ้วน้ำไปแจกพวกรุ่นพี่ในชมรมที่เป็นช่างภาพประจำแต่ละสนาม ถ้าเป็นกีฬาในร่มอย่างวอลเล่ย์บอลหรือแบดมินตันจะค่อนข้างสบายหน่อย ไม่ร้อนมาก แต่กับกีฬากลางแดดอย่างฟุตบอล แค่เห็นฮารุโตะยังอยากถอนหายใจแทน

เขาทั้งสองคนเดินไปหาพวกรุ่นพี่ที่นั่งจับกลุ่มอยู่ใต้ร่มไม้ ซึ่งรวมไว้ครบทั้งแก็งประธานชมรมคนเก่าและประธานชมรมคนใหม่ แต่ละคนสนใจลูกกลมๆที่ถูกเขี่ยไปเขี่ยมามากกว่างานที่ต้องทำ แต่ใช่ว่ามันจะต้องตั้งกล้องถ่ายภาพกันตลอดเวลา เขาจึงไม่ได้เอ่ยอะไร

“มานั่งดูก่อนไหม”รุ่นพี่ฮายาชิชวนทาคุมิ ฮารุโตะเลยโดนดึงให้ทรุดตัวลงนั่งตามไปด้วย

กลางแดดนั่นร้อนก็จริงแต่พอมาอยู่ในร่มกลับมีลมพัดโชยมาตลอด ฮารุโตะกลอกตามองตามลูกอยู่ได้แค่พักเดียว อาการง่วงหาวก็ถามหา เขาชันเข่าและวางคางลงไปตั้งท่าจะหลับ ทาคุมิเห็นท่าทางของเขาจึงดึงให้วางศีรษะหนุนบนตัก ฮารุโตะขยับตัวจนได้มุมที่สบาย จากนั้นจึงผล็อบหลับไป

จะว่าไป เขารู้สึกเหมือนคนที่ทำตัวต่างหมอนขยับตัวเหมือนเปลี่ยนท่า แต่เพราะความง่วงงุนยังครอบงำเขาอยู่มาก จึงไม่ได้ลืมตาขึ้นมอง และไม่คิดว่าเมื่อลืมตารู้ตัวขึ้นมาจริงๆจะเจอกับนัยน์ตาสีเข้มที่จ้องเขม็งอยู่เช่นนี้ ฮารุโตะเด้งตัวลุกขึ้นขยับตัวออกห่าง ยังคงเหลือกลุ่มรุ่นพี่ในชมรมนั่งเชียร์ฟุตบอลอยู่บ้าง แต่ทาคุมิไม่อยู่แล้ว เด็กหนุ่มจึงก้มศีรษะเป็นทำนองบอกขอบคุณและขอตัว แล้วลุกขึ้นยืนหันหลัง ก้าวเท้าฉับๆชนิดที่ไม่กล้าเหลียวหลังกลับไปมองอีก ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเพราะโดนคว้าตัวไว้

“เฮ้ เป็นอะไรหรือเปล่า”น้ำเสียงคุ้นหูทำให้ฮารุโตะเกร็งตัวด้วยความระแวงอย่างอัตโนมัติ นิ่งงันอยู่อย่างนั้นจนคู่สนทนาต้องย้ายที่ยืนมาอยู่ด้านหน้า

“ดูรีบๆ เหมือนหนีอะไรมา”

เด็กหนุ่มยังไม่กล้าเงยหน้ามองเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยอีกคำถาม

“ทุกอย่างโอเคนะ”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ เงียบกันไปอีกครู่ใหญ่ เสียงที่ออกมาจากตำแหน่งที่อยู่สูงกว่าศีรษะจึงดังขึ้นอีกครั้ง “ช่วงนี้ไม่เห็นทำข้าวกล่องมาให้เลย”

คนถูกถามเงยหน้ามอง ขมวดคิ้วตีสีหน้าสงสัย และพูดตอบออกไปตามตรงว่า “เห็นว่าไม่ค่อยได้เจอ เลยไม่ได้ทำมาให้”

“เคยบอกไปแล้วว่าฉันเรียนที่ตึกตรงข้ามกับหอสมุด”

ฮารุโตะจำได้ แต่ไม่คิดว่า อีกฝ่ายต้องการให้เอาข้าวกล่องไปให้ที่ตึกนั้น

“เออๆ ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้ฉันมีแข่ง ถ้าชนะรอบเช้าจะได้เข้าชิงตอนบ่าย มาเชียร์ด้วยละ แล้วก็ทำข้าวกล่องมาให้กินด้วย”

ฮารุโตะกระพริบตาปริบๆ มองตามชายหนุ่มที่เพิ่งเดินไปสมทบกับกลุ่มเพื่อน โคลงศีรษะด้วยความงุนงง

คำพูดของซากุราอิ ชุนเหมือนจะเข้าใจได้ง่ายแต่เขารู้สึกเหมือนว่าเข้าใจได้ยาก ฮารุโตะจึงเดินไปพร้อมกับใช้สมองครุ่นคิดไปตลอดทาง กระทั่งกลับไปถึงห้องชมรมและไม่เจอทาคุมิอยู่ที่นั่น เขาจึงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ก่อนจะส่งข้อความไปให้อีกฝ่ายว่า ‘จะกลับแล้ว’ และปล่อยทิ้งความประหลาดใจสงสัยไว้ตรงนั้น

อย่างไรก็ตาม เช้าวันรุ่งขึ้นฮารุโตะได้เตรียมข้าวกล่องมาให้ชุนอยู่ดี และทำอีกกล่องมาเผื่อทาคุมิด้วย

ทาคุมิมานอนค้างที่ห้องของเขาบ้างในบางวัน เพราะถ้าออกมานอนค้างที่อื่นทุกวันจะโดนผู้เป็นมารดาเขม่น ที่สำคัญจะโดนหักเงินค่าขนม ทาคุมิไม่ชอบทำงานพิเศษ เงินค่าใช้จ่ายจากครอบครัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ

เขาเจอเพื่อนร่วมคณะระหว่างทางไปมหาวิทยาลัยหลังจากโทรนัดแนะกันเมื่อตอนเช้า ทั้งเขาและทาคุมิยังอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงวอร์มเหมือนเมื่อวานเพื่อให้ดูกลมกลืนกับงานกีฬา

“เช้านี้ต้องไปดูแข่งฟุตบอล”

“หือ”

“คนที่รู้จักกันลงแข่ง”

พอบอกแบบนั้นออกไป อีกฝ่ายจึงยิ่งแปลกใจยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะชักชวนให้ไปดูตารางการแข่งขัน “เห็นว่าถ้าชนะรอบเช้าจะได้เข้าชิงรอบบ่าย”

ดูตารางเวลาแข่งเสร็จ พวกเขาทั้งสองคนจึงไปที่ห้องชมรมต่อ กลุ่มรุ่นพี่แก็งอดีตประธานชมรมมากันครบ กำลังนั่งคุยเฮฮาเสียงดัง

“อรุณสวัสดิ์ครับ”พวกเขากล่าวทักทายไปพร้อมกัน

“เช้านี้พวกผมจะไปดูฟุตบอลนะครับ”ฮารุโตะบอกกล่าวกับกลุ่มรุ่นพี่ เผื่อมีอะไรเรียกใช้จะได้ตามตัวถูก

“เมื่อวานยังหลับ แต่วันนี้อยากไปดูมีอะไรหรือเปล่า”เรียวตะเอ่ยแซวไปตามประสา

“ฮารุจังบอกว่ามีคนรู้จักลงเล่นนะครับ”ทาคุมิเป็นฝ่ายแย่งพูดตอบไปแทน “มาบอกไว้ก่อนครับ” เขาพูดแค่นั้นก่อนจะขอตัวออกจากห้อง เดินกลับไปที่สนามฟุตบอลเป็นช่วงจังหวะที่นักกีฬาของทั้งสองทีมกำลังวอร์มร่างกายอยู่พอดี และคนที่เป็นหนึ่งในนักกีฬาก็หันมาเห็นเขาพอดีเช่นกัน

ซากุราอิ ชุนวิ่งมาหาพร้อมรอยยิ้ม

ฮารุโตะขนลุกเกรียวขยับตัวเข้าเบียดกับทาคุมิโดยอัตโนมัติ จับชายเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่นราวกับพยายามหาที่พึ่ง จนเด็กหนุ่มร่างสูงกว่าขมวดคิ้ว

“เอ่อ... ไปนั่งทางนั้นสิ”

ถึงจะไม่ได้ตอบออกมาเป็นคำพูด แต่ฮารุโตะก็พยักหน้ารับและเดินตามไป มือข้างหนึ่งยังคงจับชายเสื้อของทาคุมิไว้แน่น คนที่โดนดึงชายเสื้อจึงต้องเดินตามไป

ที่ฝั่งหนึ่งของสนามมีอัฒจรรย์เชียร์ทำจากไม้และโครงเหล็กซึ่งสูงประมาณห้าขั้นตั้งอยู่ โดยถูกจับจองเป็นที่นั่งพักนักกีฬา กีฬาฟุตบอลที่แข่งกันในงานกีฬาของมหาวิทยาลัยเป็นฟุตบอลประเภทฟุตซอลที่ใช้นักกีฬาเจ็ดคน แข่งกันที่สนามเล็กซึ่งเป็นสนามอเนกประสงค์นอกโรงยิม

“อ้าว”ฮารุโตะจำหน้าคนที่ร้องทักได้ ฝ่ายนั้นเป็นหนึ่งในขี้ปลาทองของซากุราอิ ชุน คนที่ชอบหัวเราะขำขันทุกครั้งยามที่ชุนมาหาเรื่องเขา

“อยากจะอธิบายอะไรไหม”อีกคนที่ถามเป็นคนที่มักจะเข้ามาห้ามยามที่ชุนเริ่มทำอะไรรุนแรง

“ไม่มี”ซากุราอิ ชุนเอ่ยตอบ

เจ้าของคำถามมองหน้าชุนนิ่งไร้บทสนทนา จากนั้นจึงหันมามองฮารุโตะ สายตาที่จับจ้องมาทำให้เด็กหนุ่มยิ่งเบียดตัวกับเพื่อนสนิท

“ฉันโคจิมะ มิชิโอะ”

เพราะอีกฝ่ายแนะนำตัวมาฮารุโตะจึงต้องบอกชื่อของตัวเองและทาคุมิออกไป

“โองาวะ อิซามุยินดีที่ได้รู้จักนะตัวเล็ก”จบการพูดแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงรื่นเริง อิซามุก็โดนฝ่ามือของชุนฟาดผัวะเข้าที่ศีรษะอย่างเต็มไม้เต็มมือ จนคนโดนกระทำร้องโอดโอย ขณะที่ฮารุโตะแค่เห็นยังรู้สึกเจ็บแทน

พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันมากมายเมื่อสัญญาณบอกเวลาการแข่งขันดังขึ้น

ชุนหันมามองเขาอีกครั้งก่อนจะวิ่งลงสนามไป

“เพื่อนหรือ”

ฮารุโตะสั่นศีรษะปฏิเสธ “ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดีเหมือนกัน แต่กับซากุราอิซังน่ะเคยเรียนมัธยมมาด้วยกัน”

“อ่อ”ทาคุมิส่งเสียงรับรู้ แล้วถามขึ้นอีก “นายไม่ชอบหมอนั่นหรือ”

“ก็... รู้สึกว่า... ไม่ค่อยถูกกัน”ฮารุโตะทำหน้าตาแหยงๆ ทาคุมิไม่ได้ถามอะไรอีก นั่งดูนักกีฬาแย่งลูกบอลกันในสนาม กลุ่มของชุนนับว่ามีฝีมือพอตัว ทั้งแย่งลูกทั้งตัดลูกทำได้ดีอย่างไม่มีที่ติ

“โอ้ เก่งแหะ เพิ่งเริ่มไม่กี่นาทีก็ได้สองศูนย์แล้ว”รุ่นพี่ฮายาชิส่งเสียงมาให้ได้ยินก่อนจะก้าวเท้าตามมาสมทบ ชายหนุ่มที่เหลืออีกสามคนเดินเรียงหน้ามาครบทีม

“คนที่ฮารุจังรู้จักอ่ะคนไหนละ”

“ตัวสูงๆเบอร์สามครับ”ทาคุมิตอบชี้ให้ดูคนที่กำลังเลี้ยงลูกในสนาม

“มาจีบ?”คำถามนี้เรียวตะกระซิบถามทาคุมิเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน ซึ่งคนถูกถามตอบกลับมาด้วยความดังเสียงในระดับเดียว

“ไม่รู้ครับ แต่รู้จักกันตั้งแต่มัธยม”

“เฮ้ย!!! กระซิบกระซาบอะไรกัน”เอคิจิยื่นหน้ามาถามด้วยความอยากรู้ และมีเรย์ตามเข้ามาสุมหัวด้วยอีกคน คนเริ่มเรื่องจึงตีหน้าตายโบกมือว่าไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ถึงได้ละความสนใจกลับไปดูฟุตบอลกันต่อ

จบเกม ทีมของซากุราอิ ชุนได้เข้าไปชิงชนะเลิศตามที่หวัง เขาเดินมาข้างสนามยกน้ำขึ้นดื่มดับความกระหาย เหลือบางส่วนจึงยกขึ้นราดศีรษะ ฮารุโตะมองภาพนั้นแล้วกระหวัดนึกถึงรุ่นพี่ชิมิซึเสียได้ เขาแอบเหล่ตามองชายหนุ่มร่างสูงที่สนใจแต่โทรศัพท์มือถือ แล้วรีบหันกลับมาก้มหน้าลงซ่อนความร้อนบนหน้า

“ร้อนหรือ”ฮารุโตะเงยหน้าขึ้นมอง ชุนยืนถามอยู่ตรงหน้าพลางใช้ผ้าขนหนูซับใบหน้าที่เปียกซ่ก

“หน้าดูแดงๆ”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ ชุนจึงทรุดตัวลงนั่งบนอัฒจรรย์ชั้นล่างถัดมาจากชั้นที่เด็กหนุ่มร่างเล็กนั่ง ขยับเข้าไปพิงขอบอัฒจรรย์ชั้นบนจนฮารุโตะต้องขยับขาหนี

“เฮ้ย!!! ไปได้แล้ว”

“ยังไม่หายเหนื่อยเลย”ชุนตะโกนตอบเพื่อนที่ร้องเรียกมา

“เดี๋ยวไปพักที่สนามโน้น”

ชุนขมวดคิ้วทำหน้าไม่สบอารมณ์นัก แต่ก็ลุกขึ้นแล้วคว้ากระเป๋าของฮารุโตะไปถือ

“กระเป๋าของผม”เจ้าของกระเป๋าร้อง

“ก็ตามมาดิ”ชุนตอบกลับมาแบบนั้น ฮารุโตะจึงต้องลุกขึ้นตามไป แต่มือก็ดึงชายเสื้อของทาคุมิให้เดินตามไปด้วย

เห็นรุ่นน้องสองคนลุกออกไปแล้ว เรียวตะจึงหันมาถามกลุ่มเพื่อน

“พวกแกจะไปป่ะ”

“ถามตัวแกเหอะว่าจะตามไปเผือกหรือเปล่า”เอคิจิตอบกลับ

“แหม ไม่น่าจะถาม”เรย์ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “เผือกมาขนาดนี้แล้ว” ว่าแล้วก็รีบเดินตามไปอย่างเร็วรี่ เอคิจิหันมามองอีกคนที่ยังนั่งอยู่กับที่

“ไม่ไปหรือ”

“ไร้สาระ”

“อ่อ ถ้าฮารุจังตกลงคบกับเบอร์สามนั่น ก็ไร้สาระด้วยอย่างนั้นสิ”

“หึ เบอร์สามก็เป็นได้แค่เบอร์สามนั่นแหละ”

“อ้อ”เอคิจิลากเสียงยาว “ตกลงว่าที่ทำมาทั้งหมดนี่เป็นแผน”

ชิมิซึ ซากิยกยิ้มมุมปาก สายตาวาววับเจ้าเล่ห์

“ฉันจะบอกอะไรดีๆให้อย่างนะ เด็กนั่นของแกน่ะ เคยพูดไว้ว่า ‘ชอบได้ก็เลิกชอบได้’ ละ แกว่ามันจะจริงหรือเปล่าว่ะซากิ ในฐานะที่แกเคยรู้ว่า เด็กนั่นชอบใครมาก่อน ฉันถามแกหน่อยดิ ว่าเด็กนั่นเลิกชอบคนก่อนหน้าไปหรือยัง”

เอคิจิยกยิ้มให้ หน้าตากวนประสาทจนซากิคิ้วกระตุกด้วยความหงุดหงิด

“บางทีเบอร์สามอาจจะเป็นมือที่สามก็ได้นะ”ก่อนไปยังทิ้งคำพูดไว้กวนอารมณ์เขา ชายหนุ่มไม่ได้ลุกตามไป เขามองเกมนัดที่สองบนสนามวันนี้ด้วยแววตาเหม่อลอย หากในสมองครุ่นคิด



...เรื่องอะไรที่เขาจะปล่อยให้ของของเขาโดนแย่งไปง่ายๆกันละ





อีกชนิดกีฬาที่ชุนต้องมาแข่งคือบาสเก็ตบอล สนามที่จัดกีฬาชนิดนี้เป็นโรงยิมในร่มซึ่งเปิดประตูทางเข้าออกไว้ทุกทาง ทำให้อากาศไม่ร้อนเท่าด้านนอกแม้จะไม่มีเครื่องปรับอากาศก็ตาม

ตอนที่พวกเขามาถึงเป็นช่วงห้านาทีสุดท้ายของควอเตอร์ที่สี่ของคู่ที่กำลังแข่งกันอยู่

“ดีนะเนี่ยที่รีบมา”

“ทำไมถึงได้จัดสายแข่งได้ห่วยบรมขนาดนี้ว่ะ แม่งไม่ได้พักเลย”เพื่อนๆในกลุ่มของชุนบ่นกันระงม ในทีมมีแค่แปดคน นั่นหมายความว่า ห้าในแปดคนต้องลงแข่งบาสเก็ตบอลเป็นรายการต่อไป

“จะบ่นเพื่อ? แม่งตอนสมัครไม่เห็นมีใครว่าสักคำ”

“เลิกพูดแล้วไปเติมน้ำมาได้แล้ว”ชุนบอก คนในกลุ่มรับคำแล้วแกล้งพูดบอกว่าจะรีบไปจัดการให้ครับลูกพี่ เรียกเสียงหัวเราะจากในกลุ่ม จากนั้นชุนจึงดึงให้ฮารุโตะทรุดตัวลงนั่งข้างกัน

“ต้องไปไหนป่ะเนี่ย”

ทาคุมิเปิดหูตั้งใจเงี่ยฟังคำสนทนาอย่างเต็มที่ ส่วนสีหน้าสายตาแสร้งทำเป็นกำลังสนใจเกมในสนาม

“ไม่อ่ะ”

“อ้าว แล้วมาทำอะไร”

“มาช่วยงานรุ่นพี่ที่ชมรม”

ชุนชะโงกมองกลุ่มคนที่เขาเพิ่งสังเกตเห็น แก็งอดีตประธานชมรมที่ตอนนี้เหลือแค่สามคนก็หมือนจะรู้ตัวว่าโดนกล่าวถึง จึงได้ยิ้มแฉ่งโบกไม้โบกมือให้รุ่นน้องร่างสูงใหญ่ ชุนก้มศีรษะให้เป็นเชิงทักทาย

“แล้วต้องไปทำอะไรอีกป่ะ”

“ไม่มีน่ะ ไม่เห็นมีใครโทรตาม”

“มีโทรศัพท์แล้วดิ อย่างนั้นเอาเบอร์มาหน่อย”

ฮารุโตะอิดออด ถ้าเจอกันแล้วแค่เข้ามาพูดคุยทักทาย มันไม่มีปัญหาสำหรับเขา แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สนิทใจจนกล้าให้เบอร์โทรศัพท์มือถือของตัวเอง ซากุราอิ ชุนแสดงออกถึงการคุมคามเขามานานจนแม้กระทั่งตอนนี้ ฮารุโตะยังคิดว่า อาจเป็นแผนการอะไรสักอย่างของชุน

“ขอโทษนะ แต่มิอุระไม่มีโทรศัพท์หรอก รุ่นพี่เขาจะโทรเขาเครื่องฉันน่ะ เอาเบอร์ฉันไว้ไหม”ทาคุมิโน้มหน้ามาพูด

“อา...ไม่เป็นไร”ชุนตอบ

“การแข่งจบแล้ว นายต้องไปเตรียมตัวอะไรไหม”เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างฮารุโตะพูด เมื่อสังเกตเห็นกรรมการเป่านกหวีดจบการแข่งขัน เขายิ้มให้ชุนที่มองหน้าเขา ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะลุกขึ้นเดินไปรวมกับกลุ่มเพื่อน เห็นชุนเดินห่างออกไปแล้วทาคุมิจึงพูดขึ้น

“มีเรื่องอยากรู้อีกเพียบเลย”

ฮารุโตะเหลือบสายตามองคนพูด ความอึดอัดกดดันจู่โจมเขาทันที เขากำฝ่ามือบนตัก ก้มหน้าลงครุ่นคิดด้วยความหวั่นกลัว

“ไม่มีอะไรหรอกน่า ไม่ต้องคิดมาก”ทาคุมิวางมือบนมือของเขา และพยายามดึงมือทั้งสองที่กดจิกกันไว้ให้แยกออกจากกัน “รับรองว่า การที่นายเล่าอะไรให้ฉันฟังจะไม่ทำให้นายรู้สึกไม่ดี ฉันแค่อยากรู้ไว้ ครั้งหน้าจะได้ช่วยนายถูก แบบครั้งนี้ไง”ทาคุมิยิ้มเพื่อยืนยันว่าไม่มีอะไรต้องกังวลหรือคิดมากตามที่ปากพูด

ฮารุโตะหันไปมอง พยักหน้ารับพลางบอกเบาๆว่า “ขอบคุณ”

หลังจบการแข่งขันบาสเก็ตบอล กลุ่มของชุนก็ชนะอีกเช่นเคย เขายิ้มกว้างเดินเข้ามาหา ดูมีความสุขจนฮารุโตะต้องยิ้มตามและแสดงความยินดีด้วย

“เตรียมข้าวกล่องมาเผื่อฉันใช่ไหม”

“อือ”ฮารุโตะพนักหน้ารับ คว้ามือทาคุมิไว้ในขณะที่กลุ่มของชุนส่งเสียงคุยกันโหวกเหวก “ผมเตรียมข้าวกล่องมาเผื่อซาโต้ซังด้วย” ทาคุมิยิ้มรับพร้อมบอกกับเขาว่าเขาใจดีที่สุด

“ออกไปนั่งกินกันที่สวนข้างๆละกัน”ชุนเอ่ยบอกและคว้ากระเป๋าของฮารุโตะติดมือไปอีกครั้ง แก็งอดีตประธานต้องถอยทัพ พวกเขามีข้าวกล่องรออยู่ที่ห้องชมรม จึงต้องเคลื่อนพลกลับไปกินที่นั่น

อันที่จริงชุนมีเซ็ตข้าวกล่องที่กลุ่มเพื่อนสั่งมาให้ แต่เขาก็กินทั้งส่วนนั้นและของที่ฮารุโตะเตรียมมาให้จนหมด

“กินขนาดนั้น ตอนแข่งเดี๋ยวก็จุกตายห่า”

“ให้ซาคาอิแข่งแทนดิ”ชุนตอบกลับไป มองฝ่ายนั้นที่ดูสนิทสนมกับกลุ่มเพื่อนแล้วทำให้ฮารุโตะนึกถึงสมัยก่อน ตอนที่เขาเพิ่งรู้จักกับซากุราอิ ชุนแรกๆ อีกฝ่ายก็เป็นเช่นนี้ เป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มเพื่อน มีผู้คนล้อมรอบอยู่ข้างกายมากมาย ฮารุโตะยกยิ้มเหมือนได้มองเห็นเด็กชายคนนั้นอีกครั้ง

ชุนเองก็เห็นรอยยิ้มของฮารุโตะ มันเหมือนเป็นสิ่งที่หายไปนานระหว่างพวกเขา นานมากจนนึกอยากหยุดช่วงเวลานี้ไว้

หลังจบการแข่งขันฟุตบอลที่กลุ่มของซากุราอิ ชุนคว้าชัยชนะมาได้ พวกเขาจึงโบกมือแยกย้ายกันแค่นั้น ที่จริงชุนชวนไปกินเลี้ยงฉลองชัยกันต่อ แต่ทาคุมิเป็นคนเอ่ยปฏิเสธว่าพวกเขาทั้งสองคนมีธุระที่ต้องไปทำ จึงเลี่ยงไปได้ แต่ทั้งนี้เพราะซากุราอิ ชุนไม่ได้คิดจะบังคับดึงดันด้วยประการหนึ่ง อีกฝ่ายแค่ยกยิ้มและบอกลา ก่อนจะเดินไปสมทบกับกลุ่มเพื่อน ทาคุมิจึงเดินตามฮารุโตะจนกลับมาถึงห้องพัก

“เอาละ เรามาคุยกันถึงเรื่องที่ฉันอยากรู้ดีกว่า”

ตอนแรกฮารุโตะได้แต่ทำหน้างง นิ่งคิดไปครู่ใหญ่กว่าจะนึกออกว่าเขาต้องการคุยเรื่องอะไร เด็กหนุ่มเจ้าของห้องจึงรีบหันหลังหนี

“เดี๋ยวต้องไปทำงานแล้ว”

“ยังมีเวลา จากที่นี่ไปที่ทำงานก็ไม่กี่นาทีเอง”

ฮารุโตะกอดเข่าหันหลังให้ ระหว่างพวกเขานิ่งเงียบไร้คำสนทนาเนิ่นนาน แผ่นหลังเล็กบางราวกับกำแพงสูงหนาที่พยายามป้องกันความโหดร้ายจากโลกภายนอก

“ตอนสมัยเด็กๆ”ฮารุโตะเริ่มพูดหลังจากหุบปากนั่งเฉยราวกับพยายามถ่วงเวลา “ผมเคยโดนเด็กที่ตัวโตกว่าแกล้ง” เสียงที่เปล่งออกมานั้นทั้งเบาทั้งกระท่อนกระแท่นจนผู้ฟังต้องเงี่ยหูแล้วปะติปะต่อเอาเอง “พอเอาไปบอกครู ครูก็ทำโทษเด็กคนนั้น วันรุ่งขึ้นพ่อของเด็กคนนั้นก็มาที่โรงเรียน โวยวายหาเรื่องครูและบอกให้เรียกแม่มาที่โรงเรียน ผมไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกัน แม่เอาแต่ก้มหัวบอกขอโทษ และพอกลับไปบ้าน แม่ก็ตบหน้าแล้วบอกว่านี่คือบทลงโทษของเด็กขี้ฟ้อง”

ฮารุโตะหันกลับมามองเขา นัยน์กลมแดงกล่ำคลอน้ำ น้ำเสียงอู้อี้เหมือนคนหายใจไม่ค่อยสะดวก “รู้หรือเปล่าว่ามันเจ็บมาก”

“แต่ตอนนี้นายไม่ได้อยู่กับแม่แล้วนี่”

อีกฝ่ายหันหน้ากลับไป ก้มหน้ากอดเข่าและเขาได้ยินเสียงสูดจมูก “ถึงไม่มีแม่ก็มีคนอื่น” ร่างนั้นซุกหน้าลงกับเข่า นั่งนิ่งคล้ายกำลังบอกว่าไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้แล้ว แผ่นหลังที่หันให้เขาราวกับพยายามปกปิดป้องกันไม่ให้ตัวเองเจ็บปวดมากไปกว่าเดิม พยายามซ่อนตัวอยู่ในมุมเล็กๆที่ไม่มีใครมองเห็น

ทาคุมิเหมือนเห็นภาพซ้อนทับของเด็กน้อยในอดีต ภาพเงาของเด็กคนหนึ่งที่เขาเคยได้แต่มองอยู่เฉยๆ 

เขายื่นมือไปสัมผัสแผ่นหลังเล็กบางนั้น ฮารุโตะสะดุ้งเฮือก ขยับหนีเบียดชิดผนังห้องเข้าไปอีก

“ไม่เป็นไรแล้วนะ ฉันอยู่ตรงนี้ ฉันจะอยู่ข้างนาย”

ฮารุโตะหันมามอง แววตาคู่นั้นมีความคลางแคลงกังขา เด็กหนุ่มร่างเล็กจดจ้องมองเขาอย่างพิจารณาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฝ่ายนั้นจึงหลุบตาลงมองพื้นและพยักหน้ารับ ทว่าเขารู้สึกราวกับได้ยินคำพูดที่ฮารุโตะไม่ได้เปล่งเสียงออกมา

ฮารุโตะไม่ได้เชื่อคำพูดของเขา

แต่ทาคุมิกลับไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดโมโหหรือน้อยใจ

“เอ้า เตรียมตัวไปทำงาน”ทาคุมิพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเริงร่าและกังวานชัด “ถ้าไม่รีบเดี๋ยวไปทำงานสายนะ” เมื่อถูกดึงความสนใจไปเรื่องอื่น ตะกอนขุ่นคลักอันมืดมัวที่ถูกกวนให้ลอยฟุ้งอยู่ก่อนหน้าพลันจากหายไปอย่างรวดเร็ว ฮารุโตะหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย เดินตามทาคุมิที่ก้าวเท้านำหน้าออกจากห้อง กวาดสายตาตรวจดูความเรียบร้อยภายในห้องพักอีกครั้งด้วยความเคยชิน ก่อนจะปิดล็อกประตู

“คืนนี้เดี๋ยวมาค้างด้วยนะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาอ่านหนังสือแต่เช้า คราวนี้แม่ฉันจะต้องดีใจแน่ๆที่ลูกชายสอบได้คะแนนดี”ทาคุมิพูดพลางยกยิ้มให้ ฮารุโตะจึงพยักหน้าตอบรับ และยกยิ้มตอบกลับมา





+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++



ออฟไลน์ about

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
หมายเหตุ

ตำนานเก็นจิ (ญี่ปุ่น: 源氏物語; Genji Monogatari) เป็นงานเขียนของ มุราซากิ ชิคิบุ นางข้าหลวงในราชสำนักญี่ปุ่นสมัยเฮอัน หรือ เฮอันเคียว ซึ่งมีชิวิตอยู่ราวต้นศตวรรษที่ 11 ว่ากันว่า นี่คือนวนิยายที่เก่าแก่ที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก และมีการจัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 1000 ปี ในปี 2008 ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยมีหลักฐานสนับสนุนจากเนื้อความใน มุราซากิ ชิคิบุ นิกกิ (Murasaki Shikibu Nikki บันทึกของมุราซากิ ชิคิบุ) ซึ่งเธอได้เขียนบันทึกนั้นในวันที่ 1 เดือนพฤศจิกายน ค ศ.1008 ว่า ฟุจิวะระ โนะ คินโตะ (Fujiwara no Kinto) นักปราชญ์ราชบัณฑิตชั้นแนวหน้าในยุคนั้น ชื่นชมในงานเขียนของเธอเป็นอันมาก และบันทึกนี้ยืนยันกับเราให้ทราบว่า เธอเขียน บท วะกะมุราซากิ จบในเวลานั้นเอง (1 พฤศจิกายน ค ศ.1008) บางข้อมูลอ้างว่า มุราซากิ ชิคิบุ เริ่มเขียน ตำนานเก็นจิที่วัดอิชิยะมะเดระ ในคืนวันจันทร์เต็มดวงของวันที่ 15 เดือนสิงหาคม ปี ค ศ. 1004
ตำนานเก็นจิ เป็นเรื่องราวชีวิตในราชสำนักของขุนนางและเจ้านายชั้นสูงในสมัย เฮอัน โดยมีตัวเอกชื่อ ฮิคารุ เก็นจิ ในเรื่องกล่าวถึงความสัมพันธ์ของฮิคารุ เก็นจิ กับผู้หญิงมากมายต่างลักษณะกันไป เป็นเรื่องราวที่ทำให้รู้ถึงการดำเนินชีวิต แนวคิด วัฒนธรรม ประเพณี ธรรมเนียมปฏิบัติ การเมือง ของชนชั้นสูงในสมัยเฮอัน โดยเขียนแบ่งออกมาเป็น 54 บท และแบ่งเป็น 3 ช่วง
ที่มา :
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B4
บทละครฮานะโนะเอ็ง  (ญี่ปุ่น: 花宴; Hana no En; วสันต์สังสรรค์; อังกฤษ: Festival of the Cherry Blossoms หรือ Under the Cherry bossoms) เป็นบทที่ 8 ของตำนานเก็นจิ ผลงานของ มุราซากิ ชิคิบุ จากทั้งหมด 54 บท
ชื่อบท ฮะนะโนะเอ็ง ในตำนานเก็นจิ หมายถึง งานเลี้ยงฉลองในโอกาสที่ซะกงโนะซะกุระ เบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิ
เรื่องย่อ
ปลายเดือน 2 งานสังสรรค์ดอกซะกุระบานจัดขึ้นที่ตำหนักชิชินเด็ง เมื่อล่วงเข้ายามดึกดื่น เก็นจิผู้มึนเมาสุราพยายามลอบเข้าตำหนักฟุจิตสึโบะ ทว่าประตูตำหนักปิดสนิทแน่นหนา เขาเห็นประตูตำหนักโคกิเด็งซึ่งอยู่ใกล้เคียงแง้มอยู่ จึงลอบเข้าไป ณ โถงทางเดิน เก็นจิพบกับธิดาคนที่ 6 ของอุไดจิน นางกำลังชมจันทร์สลัวในคืนฤดูใบไม้ผลิ พลางเอื้อนบทกวีบทหนึ่งจาก ชินโคะคินวะกะชูแต่งโดย โอเอะ โนะ จิซะโตะ ว่า

朧月夜 (おぼろづきよ) に似 (に) るものぞなき
Oborozukiyo ni niru mono zo naki
โอะโบะโระซึกิโยะ นิ นิรุ โมะโนะ โซะ นะกิ   
งามใดเปรียบงามจันทร์สลัวทอแสงหม่นมัวทั่วนภาฟ้าวสันต์

เก็นจิคว้าชายแขนเสื้อของนางไว้ พูดคุยกับนาง นางจำเสียงเก็นจิได้ และทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน ในคืนจันทร์สลัวหมอกของวันที่ 20 นางไม่ยอมบอกชื่อกับเก็นจิ ทั้งสองแลกเปลี่ยนพัดของกันและกัน ยามฉุกละหุกขณะที่ใกล้รุ่งเช้าผู้คนเริ่มตื่นขึ้นมา เพราะกวีที่นางเอื้อนเอ่ย เก็นจิจึงเรียกนางว่า โอะโบะโระซึกิโยะ
ธิดาคนที่ 6 ของอุไดจินนั้น จำต้องอภิเษกกับองค์รัชทายาทในเดือน 4 อุไดจินจัดงานเลี้ยงชมดอกฟุจิในเดือน 3 เขาเชิญเก็นจิมาร่วมงานด้วย ทั้ง ๆ ที่เป็นศัตรูทางการเมืองของกันและกัน ความสง่างามของเก็นจิล้ำเกินกว่าแขกคนใด ๆ ในงาน กระทั่งยังงดงามเหนือดอกฟุจิอันสะพรั่งในสวนเสียอีก หลังจากการแสดงสังคีต เก็นจิแสร้งเป็นเมามาย เข้าไปในเรือนส่วนที่ท่านหญิงธิดาอุไดจินพำนัก เพื่อเสาะหาสตรีเจ้าของพัด เก็นจิเอื้อนบทกวีหน้าม่าน ทันใดนั้น ผู้ตอบบทกวีของเขา ก็คือ โอะโบะโระซึกิโยะนั่นเอง
ที่มา :
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AE%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%87


คันโนะชิซึงะตะ เป็นเครื่องแต่งกายชายที่ไม่เป็นทางการสำหรับขุนนางระดับสูงสำหรับอยู่บ้าน ออกไปข้างนอก หรือเข้าร่วมงานรื่นเริง
ที่มา : http://www.sengokudaimyo.com/garb/garb.html



*//ใช้อีก Reply เพราะว่าจะใส่หมายเหตุค่ะ เลยขอต่อท้ายอีกนิด

ขอขอบคุณทุกท่านที่อินไปกับฮารุจังของเรา เขียนๆไปเราก็รู้สึกว่าฮารุโตะเป็นโรคซึมเศร้าละ ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจให้ตัวละครของเราเป็นโรคนี้ค่ะ
ส่วนพ่อหนุ่มซากิ เราก็เขียนให้เขานิสัยไม่ดีนั่นแหละ แต่ดูท่าจะนิสัยแย่เกินกว่าจะเป็นพระเอกได้ อันนี้เราไม่ได้ตั้งใจ สารภาพตามตรงว่า พล็อตเรื่องตั้งแต่แรกซากิเป็นพระเอกคนที่หนึ่ง แล้วก็จะมีอีกคน แต่พล็อตที่ว่า เรื่องมันเลวร้ายกว่านี้ค่ะ และตอนก่อนที่เราจะนำเรื่องนี้มาลง เรารู้สึกว่า เขียนให้ซากิเป็นพระเอกมายาวมากแล้วจะเปลี่ยนนายคนนี้ออก มันก็แปลกๆเนาะ พระเอกอีกคนมันก็เลวไม่ต่างกัน และพล็อตที่ว่ามันเลวร้ายกับฮารุจังไปตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องเลย อารมณ์ตอนคิดเรื่องคืออยากดราม่าสุดติ่ง แบบไม่ต้องผุดต้องเกิดกันเลย แต่มาเปลี่ยนใจเพราะเขียนไปก็ไม่น่าจะดี เนื้อหาก็ช้ำใจ ตอนจบยังช้ำใจอีก ถามตัวเราเองเราก็ไม่ชอบแบบนั้นอ่ะ
อดใจรอกันอีกหน่อยนะคะ แม้ฮารุจังของเราจะต้องเผชิญชะตากรรมกันต่อไป แต่เรารู้สึกว่าหลังๆนี่เบาลงแล้วนะ
เบาจนคนเขียนต่อเรื่องไม่ออกเลย สัมผัสได้ว่าตอนที่มีอยู่ในสต็อกกำลังลดเหลือน้อยลงเรื่อยๆอย่างช้าๆ//*




ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
 :mew1:ช

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
แต่อย่างน้อยฮารุโตะก็ยังมีคนที่เอ็นดูช่วยเหลืออย่างรุ่นพี่ที่ชมรมกับทาคุมินะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ผมไม่มีปัญหาอะไรนะครับถ้าจะเอาชุนเป็นพระเอกน่ะ (หัวเราะ) เพราะจากที่ผมเคยดูหนังญี่ปุ่น การแกล้งกันของเด็กชาย-ชายในวัยแบบมัธยมปลายหรือมหาวิทยาลัยของคนญี่ปุ่นมันมักจะมีนัยยะอยู่ด้วยเสมอๆอยู่แล้ว ซึ่งถ้าในที่นี้ตีความเป็นความรู้สึกดีๆที่ชุนมีให้ แต่ manage กับสิ่งนั้นไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นการสื่อพัฒนาการเชิงวัยรุ่นของตัวละครหนึ่งเหมือนกัน

เอาจริงๆผมเชียร์ชุนมากกว่าซากินะครับ (ฮา) อาจจะเพราะว่าซากิให้ความรู้สึกแบบตัวละครที่เจ้าเล่ห์และไร้ความรู้สึกมากเกินไป ในบางครั้ง ตอนอยู่กับฮารุโตะ แม้ว่าจะดูเค้าอ่อนลงมาให้ฮารุโตะบ้าง แต่ก็เป็นความรู้สึกเหมือนทำไปเพื่อจะให้ฮารุโตะไว้ใจและทำให้ซากิมีอะไรกับฮารุโตะได้บ่อยขึ้นโดยที่อีกฝ่ายไม่ขัดข้อง

ความจริงคนบุคลิกแบบซากินี่เป็นเมะในมังงะหลายๆเล่มนะครับ แต่แค่ว่าตัวนางที่ลงล็อกกับซากิ มันจะไม่ใช่ตัวละครแนวฮารุโตะน่ะครับ จะเป็นตัวนางที่สดใสแนวๆมังงะวายลูกกวาดซะมากกว่า ผมไม่แปลกใจนะที่ซากิจะรู้สึกเบื่อๆเมื่อเจอฮารุโตะที่เป็นนิสัยเกือบๆซึมเศร้าเข้าบ่อยๆ เพราะเนื้อแท้คนแบบซากิไม่ใช่คนที่จะคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น เมะแบบซากิชอบคนที่เขาคอนโทรลได้ก็จริง แต่ต้องเป็นคนที่เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจแบบไม่คิดมาก เป็นคนที่มีความ cheer-up ในระดับหนึ่ง ฮารุโตะเป็นเด็กที่มีปมต้องแก้ และมีคนต้องปกป้องดูแลแบบหวงๆหน่อยครับ ดังนั้นซากิที่ไม่ใช่คนพยายามขนาดนั้นมักจะรำคาญและเบื่อได้เร็ว

ซึ่งตรงนี้ผมว่าชุนน่าจะตอบโจทย์ เพราะหนึ่งคือชุนเห็นฮารุโตะมานานแล้ว เขาทะลวงถึงใจฮารุโตะได้โดยที่ฮารุโตะไม่รู้ตัว แต่มีปัญหาตรงที่ฮารุโตะยังขยาดชุนอยู่เพราะฝังใจกับการแกล้งเนื่องจากนิสัยเกือบๆซึมเศร้ามาก่อน (ซึ่งถ้าเป็นเคะสดใสคงจะไม่ฝังใจขนาดนี้) สอง บุคลิกชุนเหมือนเอานาคามูระ เรย์ ภาคร้ายๆมาผสมกับซากิฉบับนิ่งๆ ผมว่าบุคลิกแบดๆแต่ใส่ใจลึกซึ้งและเอาตัวเข้าไป involve กับฮารุโตะโดยที่ไม่ขี้รำคาญ(ติดแต่ปากหนักไปหน่อย) นี่เป็นบุคลิกที่อาจจะตอบโจทย์ปมฮารุโตะก็ได้นะครับ น่าสนใจดีเหมือนกัน

ผมว่าสิ่งที่ซากิเป็นอยู่ตอนนี้น่าจะเป็นการหวงของนะครับ คือไม่ได้ชอบอะไรมากเท่าตอนแรก แต่เนื่องจากยังมีอะไรกันได้ และถ้าเสียไปก็มีเสียศักดิ์ศรีหน่อยๆ เลยทำให้รู้สึกว่าปล่อยให้คนอื่นไม่ได้ ซึ่งเอาจริงๆมันทำให้ฮารุโตะแย่นะครับ เพราะเขาเซนซิทีฟมาก ถ้าคุณเบื่อหรือรำคาญก็ปล่อยเขาไปเหอะ ให้มีคนได้ช่วยเขาก็ถือว่าทำบุญนะครับ เพราะยังไงผมก็ไม่คิดว่าซากิจะลงแรงขนาดคลุกคลีแก้ปมกับฮารุโตะลึกๆล่ะมั้ง เพราะว่าดูจากเนื้อเรื่องส่วนตัวของซากิ ผมว่ามันก็ทำให้เขาสันโดษไม่น้อยเลยล่ะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-03-2017 17:50:06 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
^
^
^
พอมาอ่านความคิดเห็นของคุณ Grey Twilight แล้วเรานึกถึงบางช่วงก่อนหน้านี้เลย เห็นด้วยกับตรงนี้ค่ะ “เพราะเนื้อแท้คนแบบซากิไม่ใช่คนที่จะคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น ดังนั้นซากิที่ไม่ใช่คนพยายามขนาดนั้นมักจะรำคาญและเบื่อได้เร็ว” แล้วก็ “เพราะยังไงผมก็ไม่คิดว่าซากิจะลงแรงขนาดคลุกคลีแก้ปมกับฮารุโตะลึกๆล่ะมั้ง” คือตอนที่อ่าน (เนื้อเรื่อง) ตรงนั้นเรายังคิดในใจว่า อ้าว... แล้วไม่คิดช่วยเหลือ เยียวยาฮารุโตะเลยเหรอ แค่ฟังอย่างเดียว เหมือนฟังเฉย ๆ อาจจะเห็นใจหน่อย ๆ (อันนี้ไม่แน่ใจ) แล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปน่ะเหรอ

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
อารมณ์ความรู้สึกของตัวละครในเรื่องนี้แต่ละคนซับซ้อนพอสมควรเลย ส่วนหนึ่งเพราะอ่านแล้วยังจับรายละเอียดไม่ค่อยได้หมด ตัวละครเยอะ เรียกชื่อหน้าบ้าง เรียกชื่อหลังบ้าง ยังจำได้ไม่กี่คนเองครับ

เหมือนจะติ แต่จริงๆ เขียนดีมากครับ ชวนติดตาม ถึงจะแอบอึดอัดไปกับความทุกข์ของตัวเอก ทั้งที่คนอื่นสรรหามาให้ ทั้งที่ทำตัวเอง ทำไมถึงได้เจอคนแย่ๆ ได้เยอะขนาดนี้นะ ถึงจะมีคนที่ดีด้วยหลายคน แต่ทาคุมิดูเป็นแค่คนเดียวที่พยายามเข้าถึงตัวตนลึกๆ ของฮารุโตะ

ขอพูดถึงชุนนิดนึง ถ้าไม่ใช่เกลียดแทบตายมันมีเหตุผลอื่นด้วยเหรอที่จะไปซ้อมใครซักคนขนาดนั้น มันดูแรงกว่าแค่การแกล้งกันไปเยอะมาก เพื่อนที่อยู่ด้วยกันก็เหมือนจะผสมโรงด้วย แต่พอเจอกันอีกทีก็ทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องราวอะไรกันมาก่อน แปลกเกิน

ซากิถึงจะไม่ใช่คนดี อาจไม่ใช่พระเอกด้วยซ้ำ แต่การกระทำดูมีเหตุผลตามประสาคนไม่ดี อยากได้ อยากเอาชนะ อยากให้มาสยบ หวงของ อะไรก็ว่าไป

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชุน ดูดี เพราะฮารุโตะ ทำข้าวกล่องให้
คงไปคิดว่าที่ผ่านก็มีแต่แกล้งฮารุโตะ ตลอด
ก็ฮารุโตะหงิมๆ จืดชืด น่ารังแก
แต่ฮารุโตะยังยอมทำข้าวกล่องให้
อาจจะทำให้ชุนที่โตขึ้น มีวุฒิภาวะดีกว่าตอนเด็ก
คิดได้ จิตฝ่ายดีของชุน ทำให้ลดรา เลิกแกล้ง
เพื่อนที่เป็นลูกไล่ ก็พลอยเฉยตามไปด้วย
ชุนคงคิดไรๆบ้างกับฮารุโตะ ถามหาข้าวกล่อง
ชวนไปเชียร์แข่งฟุตบอล บาส มีข้าวกล่องจัดให้ชุนแล้ว
แต่ชุนก็ยังกินข้าวของฮารุโตะด้วยจนหมด
ซากิ น่ารังเกียจ ควงริเอะโกะ หญิงนิสัยแย่ให้ เห็นกันทั้งชมรม
ยังมีหน้ามาหวงฮารุโตะ ทั้งที่เป็นฝ่ายเลิกสัมพันธ์ไปเอง
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
เรื่องย่อ ตอนที่ 14
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
ถึงไม่มีรุ่นพี่ชิมิซึ ฮารุโตะก็ใช้ชีวิตอยู่ได้เพราะมีเพื่อนอย่างทาคุมิ ทว่ารุ่นพี่ชิมิซึกลับวนมาหาราวกับตั้งใจไว้

ตัวละครประกอบ
1. โอคาดะ ทซึคิโยะ  นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สี่ สมาชิกชมรมถ่ายภาพ
2. โกโต ริวโนซึเกะ ประธานชมรมมวยสากล
3. โยชิดะ ริเอะโกะ เพื่อนร่วมรุ่นของฮารุโตะที่ชื่นชอบชิมิซึ ซากิ
4. ซาซากิ ฟุมิโอะ เพื่อนร่วมรุ่นของฮารุโตะที่ชื่นชอบชิมิซึ ซากิ






春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 14



ช่วงสอบกลางภาคผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเหลือเวลาอีกแค่เดือนกว่าๆสอบปลายภาคก็จะมาถึง

“มันเป็นเรื่องของสอบปลายภาค”ทาคุมิว่าอย่างนั้น แต่ฮารุโตะไม่ได้ตอบรับว่าเห็นด้วย กระนั้นใช่ว่าจะขัดอีกฝ่ายที่พาเขาซ่อกแซ่กหาทางเข้าไปดูละครตำนานเก็นจิของชมรมการแสดงอย่างไม่เสียเงินไปได้

ครอบครัวของทาคุมิมีฐานะปานกลาง พ่อแม่ทำงานทั้งคู่ ทาคุมิไม่ทำงานพิเศษช่วงระหว่างเปิดภาคเรียน โดยให้เหตุผลว่า “ผลการเรียนของฉันย่ำแย่อยู่แล้ว ถ้าไปทำงานพิเศษจนผลการเรียนตกลง ต้องโดนด่ายาวแน่”ทาคุมิไม่อยากโดนบ่นโดนว่า และในเมื่อพ่อแม่ให้โอกาสเรียนแบบสบายๆจึงขอใช้โอกาสนี้ให้เต็มที่

“บัตรแพงโคตร”ทาคุมิบ่นอุบเมื่อเห็นราคาค่าบัตรบนโปสเตอร์โปรโมทละครที่ออกมาก่อนหน้า โปสเตอร์ของชมรมการแสดงถูกเผยแพร่ไปทั่วตั้งแต่ก่อนสอบกลางภาค ช่วงประมาณงานกีฬาฤดูใบไม้ผลิของมหาวิทยาลัย ซึ่งพวกรุ่นพี่ต่างพูดกันว่าราคานี้ไม่ได้แพงเกินไปนัก เมื่อเทียบกับความทุ่มทุนสร้างและคุณภาพความสามารถ

ชมรมการแสดงจะมีจัดแสดงละครเวทีอยู่เสมอ แต่มีเพียงปีละครั้งที่จะจัดแสดงอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งปีนี้ก็คือละครเรื่องตำนานเก็นจิ

“แต่ก็แพงเกินไปสำหรับผม”ทาคุมิโอดครวญ เพราะตอนนั้นยังอยู่ในช่วงที่ต้องตั้งใจอ่านหนังสือสอบ ฮารุโตะจึงแค่ตบบ่าเรียกสติให้กลับมาอ่านหนังสือ

ดังนั้นตอนนี้ทาคุมิจึงไปประเหลาะกลุ่มรุ่นพี่ที่จะต้องไปถ่ายภาพทำสูจิบัตร

“รุ่นพี่ไม่อยากได้ผู้ช่วยหรือครับ ผมแข็งแรงมากนะ”

ชมรมการแสดงค่อนข้างจะเข้มงวดมาก ไม่ยอมให้ใครที่ไม่เกี่ยวข้องเขาไปดูการซ้อม ทาคุมิที่ไปหาทางชะเง้อชะแง้มาหลายรอบแล้วเลยต้องแห้วทุกทีไป คราวนี้อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายและเป็นโอกาสดีที่สุดก็เป็นได้ เพราะการซ้อมครั้งนี้จะเสมือนจริงที่สุด นักแสดงจะแต่งหน้าแต่งตัวและทดลองจับเวลาการแสดงด้วย แม้ว่ารุ่นพี่โอคาดะจะบอกว่าการซ้อมเสมือนจริงจะถูดจัดขึ้นอีกสองสามครั้งเพื่อปรับตารางเวลาให้เข้าที่เข้าทางก็ตาม แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ที่ชมรมการแสดงจะยอมให้คนของชมรมถ่ายภาพเข้าไปทำงานด้วย

“แล้วจะให้พวกฉันแบกอะไรเข้าไป แค่กล้องกับเลนส์ก็พอแล้ว”

“ไม่ต้องแบกก็ได้ครับ ขอแค่พาผมไปด้วยนะ”

“เว้ย ไม่ได้ไปเที่ยว โน่น หัดทำตัวให้เหมือนมิอุระคุงบ้าง นิสัยดีๆของเพื่อนหัดลอกเลียนแบบมาบ้างนะไอ้ตัวป่วน”พวกรุ่นพี่ว่าไปพลางหัวเราะไปพลาง ซึ่งต่อให้ทาคุมิจะพยายามออดอ้อนแค่ไหน คำตอบที่ได้รับมีแค่คำตอบเดียวคือไม่ ฮารุโตะเห็นเพื่อนหน้าจ๋อยแล้วสงสาร

“เดี๋ยวผมซื้อบัตรให้ไหม ผมพอจะมีเงินอยู่”

“เอ้ย!!! ไม่เอาหรอก นายต้องใช้จ่ายตั้งหลายอย่าง ฉันลองอ้อนไปอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่ได้ก็ไม่ได้ ไม่เป็นไรหรอก แค่มีโอกาสก็อยากจะลองดู อันที่จริงพอมีเงินเก็บอยู่แหละแต่เสียดายเงิน ลองรอไปเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าบัตรอาจจะขายไม่หมด นั่นแหละจะเป็นโอกาสของพวกเรา”ทาคุมิพูดอย่างมีความหวัง ซ้ำยังบอกด้วยว่าปีก่อนเจ้าตัวก็รอจนบัตรลดราคาเหมือนกัน

 “หมดช่วงสอบแล้ว ลองไปดูที่ชมรมยูโดไหม จะว่าไปมหาวิทยาลัยของเรามีชมรมมวยสากลด้วยนี่นา”

ฮารุโตะมองหน้าคนพูด สีหน้างุนงงฉายชัด

“เพื่อให้เราสามารถต่อสู้กับเหล่ามารร้าย เราต้องพยายามฝึกฝนตัวเองให้เก่งขึ้นไง”

“ไม่เอา”เด็กหนุ่มสั่นศีรษะพลางถอยเท้าหนี “ไม่สู้ ค...แค่หนีก็พอ”

“แล้วถ้าหนีไม่พ้นละ”ทาคุมิถามเพราะรู้ผลของมัน

สังคมในโรงเรียนสำหรับเขาคือการจำลองสังคมจริงๆของโลกใบนี้มาให้เด็กเรียนรู้ฝึกรับมือกับปัญหาต่างๆ ผู้ใหญ่จะป้อนเป้าหมายและกิจกรรมต่างๆให้ โดยคาดหวังผลลัพธ์ตามอุดมคติ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด ผู้ร้ายในสังคมของผู้ใหญ่ก็อาจจะเปรียบเทียบกับเด็กเกเรในสังคมของโรงเรียน และตราบใดที่ตำรวจไม่สามารถจัดการกับผู้ร้ายได้หมด ครูอาจารย์ในโรงเรียนก็ไม่อาจจะจัดการกับเด็กเกเรในโรงเรียนได้หมดเช่นกัน

ทาคุมิไม่เคยถูกรังแกหรือโดนกลั่นแกล้ง แต่เขาเคยยืนมองเพื่อนในห้องที่โดนรังแก ยืนมองอยู่เฉยๆโดยไม่กล้าเข้าไปช่วยเหลือ เพียงเพราะกลัวจะกลายเป็นเหยื่อเสียเอง ทว่าเหตุการณ์นั้นกลับฝังความรู้สึกผิดให้จมลึกอยู่ในใจ เด็กหนุ่มเคยจินตนาการนึกย้อนไปหลายครั้ง ถ้าเขากล้าหาญกว่านี้ ถ้าวันนั้นเข้าไปห้ามหรือแม้แต่ไปเรียกอาจารย์มาช่วย หรือพยายามทำอะไรสักอย่าง ...กระนั้นก็ได้แค่คิดเท่านั้น

“ก็อดทนไว้”

“นายคิดว่าตัวเองจะอดทนได้มากแค่ไหนละ”น้ำเสียงที่เปล่งออกไปแข็งกร้าวจนแม้กระทั่งตัวทาคุมิเองยังตกใจ เขาจึงเบือนหน้าหนีไปทางอื่น พยายามควบคุมอารมณ์ของตนให้เย็นลง แล้วหันกลับมามองเพื่อนร่างเล็กอีกครั้ง เขายกยิ้มให้

“ไปลองดูเฉยๆก็ได้ คิดว่าไปเป็นเพื่อนฉัน ฉันอยากจะเล่นกีฬาอะไรสักอย่าง ตัวจะได้โตๆกว่านี้อีกสักหน่อย”เด็กหนุ่มคะยั้นคะยอ เพื่อนร่วมคณะจึงยอมอ่อนใจเดินตามมาด้วย

ทาคุมิแวะเข้าชมรมมวยสากลเป็นอันดับแรก เสียงหมัดกระทบกระสอบทรายดังอักอัก พาให้ฮารุโตะผวาจนต้องแอบอยู่หลังเพื่อนหนุ่มร่างสูงกว่า สมาชิกในชมรมมีแต่พวกกล้ามล่ำเป็นมัด หน้าตาดุดันจนคนที่ตั้งใจมาอย่างทาคุมิยังนึกหวั่น ถ้ารู้อย่างนี้ เขาชวนเพื่อนคนอื่นมาด้วยก็ดี

“เฮ้ย!!!”

ทั้งสองคนสะดุ้งโหยง

“มายืนทำอะไรกันน่ะ”

ทาคุมิทำใจกล้าหันไปมอง แล้วต้องร้องออกมาอย่างดีใจ “ซากุราอิซัง” เจอคนรู้จักแบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย “ว่าจะมาลองหัดชกมวยนะ”ขณะที่ทาคุมิพูดจ้อ ฮารุโตะจึงโผล่หน้ามาดูบ้าง ซากุราอิ ชุนยืนอยู่ตรงหน้าจริงๆ

“นายอยู่ชมรมนี้หรือ”

“อืม เข้ามาก่อนซิ”

ชุนเดินนำพวกเขาเข้าไป พร้อมตะโกนทักทายคนในชมรมเสียงดัง เสียงที่ตอบกลับมาดังกระหึ่มไม่แพ้กัน ชุนพาพวกเขาไปรู้จักกับประธานชมรม โกโต ริวโนซึเกะเป็นผู้ชายตัวใหญ่หน้าดุแต่ใจดีไม่สมกับหน้าตา สำหรับในความคิดของทาคุมิคนเดียวไม่เกี่ยวกับฮารุโตะซึ่งยังคงเกาะชายเสื้อของเพื่อนหนุ่มและก้าวตามติดไม่ปล่อย

“ได้เลย มาฝึกเฉยๆก็ได้”ประธานชมรมพูดพลางเอียงศีรษะมองเด็กหนุ่มตัวเล็กที่แอบอยู่ด้านหลัง “ที่เกาะอยู่ข้างหลังนั่นด้วยหรือเปล่า”

“อ่อ ใช่ครับ แต่เขาเป็นพวกขี้กลัว ถ้าอย่างไรผมขอให้ซากุราอิซังช่วยสอนแล้วกันนะครับ”

ฮารุโตะสะดุ้งอีกรอบ กระตุกเสื้อของทาคุมิยิกๆแล้วกระซิบบอกว่า “ไม่เอา” ด้วยหน้าตาที่พร้อมจะร้องไห้ตลอดเวลา ทาคุมิจึงต้องตัดใจบอกว่ามีธุระเพื่อขอตัวกลับก่อน ตอนกลับออกมาฮารุโตะยังก้าวตามเพื่อนร่วมคณะแบบก้าวต่อก้าว

“เอ่อ...เดี๋ยว”ชุนเอ่ยเรียก มองเลยไปยังคนที่พยายามซ่อนตัวอยู่ด้านหลังทาคุมิ “ฉัน...” เขาเอ่ยออกมาแค่นั้นก่อนจะเงียบเสียงลงอีกครั้ง แล้วเป็นไปพูดเรื่องอื่น “ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็มาได้ทุกเมื่อ”

“อือ แล้วไว้เจอกัน”

เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือก ฮารุโตะยังคงเกาะติดอยู่ด้านหลังไม่ห่าง สงสัยว่าเขาอาจจะต้องล้มความคิดเรื่องนี้ไว้ก่อน

หลังจากนั้น ชีวิตของฮารุโตะจึงกลับมาเงียบสงบราบเรียบเหมือนเดิม ทาคุมิไม่ได้ชวนเขาไปทำอะไรที่ฝืนใจอีก แต่ทว่า ความสงบราบเรียบในชีวิตของเขา ดูเหมือนว่าจะคงอยู่ได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น

คืนนั้นเขาเพิ่งเดินออกมาจากประตูหลังร้าน หลังเลิกงานตามปกติ เขาเจอรุ่นพี่ฮายาชิที่ยืนรอด้วยความร้อนรน หนุ่มรุ่นพี่ไม่ได้พูดอธิบายอะไรกับเขามาก แค่ขอให้ไปด้วยกัน แม้จะสังสัยแต่ฮารุโตะก็ยอมก้าวเท้าขึ้นรถด้วยความรีบเร่ง บนท้องถนนยามกลางคืนนั้นว่างโล่ง ไม่ค่อยมีรถสัญจรมากนัก ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเขาจึงถึงจุดหมาย

ลักษณะของบ้านที่รุ่นพี่ฮายาชิพาเขามาถูกพรางด้วยความมืดของค่ำคืน  มีแสงไฟเปิดสว่างอยู่บริเวณหน้าประตู หนุ่มรุ่นพี่ก้าวเท้าอย่างรวดเร็วเข้าไปในบ้าน เขาสาวเท้าตาม แสงไฟตามทางเดินถูกเปิดเพื่อให้ความสว่าง เขาก้าวเท้าขึ้นไปยังชั้นสอง ณ ตอนนี้ฮารุโตะไม่แน่ใจเลยว่า เขาจะช่วยอะไรใครได้ กระทั่งไปหยุดที่หน้าห้องน้ำซึ่งอยู่สุดทางเดิน

ได้ยินเสียงแว่วมากจากด้านใน จึงเดินตามเข้าไปดู และทันทีที่โผล่หน้าเข้าไป เสียงตวาดกร้าวก็ดังขึ้นมา

“พามาทำไม”

ฮารุโตะย่นคอหนี แม้อีกฝ่ายจะตวาดใส่แต่น้ำเสียงนั้นกลับฟังดูอ่อนแรงกว่าปกติ

“ฉันต้องกลับไปรับเจ้าพวกนั้น แกยืนยันว่าจะไม่บอกใคร แล้วก็ไม่ยอมบอกว่าใครทำ ให้ฉันทำอย่างไรว่ะ”

“ปล่อยฉันไว้คนเดียว แค่นี้ฉันไม่ตายหรอก”

“แล้วถ้าแกตายขึ้นมาละ เอาเถอะ ถึงอย่างไรฉันก็พามาแล้ว ฮารุโตะฝากดูซากิด้วยนะ”ประโยคหลังหนุ่มรุ่นพี่หันมาพูดกับเขา เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ คล้อยหลังรุ่นพี่ฮายาชิ เขาหันกลับมาดูคนที่นั่งกอดเข่าตัวเปียกอยู่ในอ่างน้ำอีกครั้ง ใบหน้าคมเข้มแดงกล่ำหลับตาขมวดคิ้วยุ่ง ยามที่ปล่อยให้น้ำจากฝักบัวราดรดตัว

ฮารุโตะขยับเข้าไปหา

“อย่าเข้ามาใกล้”ซากิลืมตาขึ้นมามองเขา นัยน์ตาแดงกล่ำไม่ต่างจากสีหน้า กัดฟัน หอบหายใจแรงคล้ายต้องอดทนกับความทรมาน ประโยคต่อมาของฝ่ายนั้นแหบพร่า“ออกไปไกลๆ กลับไปเดี๋ยวนี้ได้ยิ่งดี”

เด็กหนุ่มก้าวเท้าถอยหลัง มองหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงด้วยความลังเล ในยามนี้อีกฝ่ายไม่ได้น่ากลัวเท่ากับในความทรงจำ คงเหลือเพียงชายหนุ่มรุ่นพี่ที่เคยใจดีกับเขาวนเวียนอยู่ในความคิด รุ่นพี่คนนั้นกำลังทรมาน เขาอยากช่วย อยากทำอะไรสักอย่างให้อีกฝ่ายหายจากความทรมานนั้น

ฮารุโตะก้าวเท้าเข้าไปใกล้

“อย่าแตะ”เสียงตะโกนจากซากิดังขึ้น

ฮารุโตะสะดุ้งถอย แต่ความหวาดกลัวทั้งหลายก็มลายหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อได้เห็นหนุ่มรุ่นพี่ใกล้ๆ ลาดไล่ที่เคยสง่าผ่าเผยงองุ้มลง ร่างกายสั่นสะท้านดูคล้ายหนาวเหน็บ

“ฉันบอกให้กลับไป”รุ่นพี่ชิมิซึพูดกับเขาอีกครั้ง แววตาที่เคยเจ้าเล่ห์ไหวระริกด้วยอย่างอดทนอดกลั้นด้วยพยายามฝืนทน เขาตัดสินใจได้ในวินาทีนั้น ยื่นมือไปแตะผิวกายร้อนผ่าว

“ให้ผมอยู่ด้วยเถอะครับ”เขาบอก “ผมยินดีจะช่วย...”ทันทีที่จบคำพูดนั้น ร่างทั้งร่างก็ถูกดึงลอยให้ลงไปแช่อยู่ในน้ำเย็นด้วยกัน ร่างกายของฮารุโตะสั่นสะท้านเพราะไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากถูกบดคลึงดูดกลืนอย่างรุนแรง เด็กหนุ่มดิ้นหนีด้วยความตระหนก ทว่าริมฝีปากบางของหนุ่มรุ่นพี่ยังกวาดต้อนดูดดึงลมหายใจของเขาไปจนหมด ร่างกายไร้เรี่ยวแรงกอบโกยลมหายใจเข้าปอดยามที่ริมฝีปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระ

ทันใดนั้น ความเจ็บปวดแล่นจี๊ดเข้าสู่ก้านสมอง เมื่อก้มหน้าดูถึงได้เห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้ากำลังขบกัดผิวเนื้อ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้ร่างกายสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวขึ้นมา เขาใช้สองมือผลักใบหน้าของหนุ่มรุ่นพี่ให้ออกห่าง แววตาของอีกฝ่ายที่ได้เห็นฝ้ามัวคล้ายมีเมฆหมอก

“รุ่นพี่ชิมิซึ”แม้จะส่งเรียกเรียกออกไป รุ่นพี่ร่างสูงยังคงไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัว

ฮารุโตะแนบริมฝีปากลงไปอีกครั้ง สัมผัสที่ตอบรับกลับมานั้นตะกละตะกรามคล้ายหิวกระหาย เขาพยายามคงสติของตัวเองไว้ให้มากที่สุด ไม่ให้คล้อยตามและไม่ให้ฝืนต้านจนเกินไป ตอนที่แท่งเอ็นแข็งร้อนจะฝืนสอดใส่เข้ามาเขาจึงยั้งไว้ได้ทัน จากนั้นจึงใช้สองมือปลอบประโลมให้หนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงปลดปล่อยออกมา

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ในที่สุดหนุ่มรุ่นพี่ผู้ซึ่งมีเรี่ยวแรงเหมือนช้างสารก็นิ่งสงบลง

ชิมิซึ ซากิหลับตาพริ้ม หายใจเข้าออกสม่ำเสมอคล้ายหลับลึก ฮารุโตะถอนหายใจอย่างโล่งอก ใบหน้าร้อนจัดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป ปกติมีแต่รุ่นพี่ที่ชอบจับ ‘ของ’ ของเขา ซ้ำหลายครั้งยังทำมากกว่าจับ แม้จะเคยโดนบังคับให้เป็นฝ่ายทำบ้าง แต่เขากระดากอายขัดเขินจนรุ่นพี่ต้องยอมล้มเลิกความต้องการไป ทว่าครั้งนี้ครั้งเดียวคงชดเชยที่ผ่านมาได้หมดแล้วมั้ง เด็กหนุ่มคิดอย่างขำขัน

ฮารุโตะลุกขึ้นส่องกระจก รอยที่คอเริ่มเปลี่ยนสี และหลงเหลือความเจ็บปวดยามสัมผัส ก่อนจะหันไปดึงเสื้อแขนยาวออกจากตัวของชายหนุ่มรุ่นพี่ จากนั้นจึงถอดกางเกง ระหว่างปฏิบัติการณ์มีแต่เขาเท่านั้นที่โดนถอดกางเกงไปกองอยู่ที่เข่า ถ้าเขาไม่ได้ชิงความได้เปรียบมาได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้สภาพของเขาจะเป็นอย่างไร เซ็กส์ของรุ่นพี่ค่อนข้างจะนุ่มนวล แม้เคยโดนขบกัดบ้างแต่ไม่เคยรุนแรงจนสะดุ้ง ก่อนสอดใส่รุ่นพี่จะเล้าโลมจนความต้องการของหนุ่มรุ่นพี่ไม่เคยสร้างความเจ็บปวดให้เขา นั่นคือในยามที่รุ่นพี่มีสติปกติ

เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทั้งจูบทั้งแรงกอดรัด และการแรงกัดที่ทำให้เขามีรอยจ้ำช้ำเขียว มันมากพอที่จะบอกว่า เซ็กส์ในวันนี้จะไม่เหมือนเดิม เขาอาจจะเชื่องช้า ไม่ฉลาด คิดแก้ไขปัญหาไม่ทันสถานการณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลับ แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดก็คอยเตือนถึงสิ่งที่ต้องทำ แม้การกระทำบางอย่างมันอาจจะดูไร้ศักดิ์ศรีในสายตาคนอื่น แต่สำหรับเขา การพยายามสู้หรือต่อต้านไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอไป ฮารุโตะพอใจที่จะเป็นเช่นนี้ เป็นคนอ่อนแอที่คอยหลบอยู่ในที่ปลอดภัย

ฮารุโตะปล่อยให้ชายหนุ่มนอนแช่น้ำอุ่น ก่อนจะออกมาหาผ้าเช็ดตัว ตู้เหนือศีรษะของห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านนอกมีทั้งเสื้อคลุมและผ้าเช็ดตัว จึงหยิบกลับเข้าไปด้านใน พาดไว้ที่ราวแขวน และจัดการปล่อยน้ำในอ่าง

หนุ่มรุ่นพี่ตัวใหญ่กว่าเขามากจนฮารุโตะไม่รู้ว่าจะพาอีกฝ่ายออกจากห้องน้ำได้อย่างไร และจังหวะนั้นรุ่นพี่ฮายาชิได้โผล่มาพอดี เด็กหนุ่มจึงยิ่งเบาใจขึ้นอีก

“ขอโทษที พวกนั้นไม่ยอมกลับง่ายๆ”

เมื่อฟังเหตุผลแล้วเขาเริ่มคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดจะห่วงเพื่อนตัวเองสักเท่าไหร่ หรือไม่อาจจะจงใจให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่ต้องการให้เหตุการณ์เป็นแบบนี้ทำไม ฮารุโตะเองก็คิดไม่ออก

“ไม่เป็นไรหรอกครับ รุ่นพี่ฮายาชิยกตัวรุ่นพี่ชิมิซึออกจากอ่างให้หน่อยได้ไหมครับ”

“ได้ ว่าแต่นายไม่เป็นอะไรนะ”

“ก็...ยังปกติดีครับ”

เห็นสายตาของรุ่นพี่ร่างสูงที่มองปากกับคอของเขาแล้วฮารุโตะจึงไม่ได้พูดอะไรอีก

ถึงจะมีหนุ่มรุ่นพี่อีกคนเข้ามาช่วย การนำผู้ชายร่างใหญ่ซึ่งไม่ได้สติออกจากอ่างน้ำก็เป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะแม้ฮายาชิ เรียวตะจะตัวโตกว่าฮารุโตะ แต่รูปร่างของเขายังบางกว่าชิมิซึ ซากิที่เป็นนักกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย

ฮารุโตะจัดการเช็ดตัวและสวมเสื้อคลุมให้ชายหนุ่มเจ้าของบ้าน ขณะที่เรียวตะพักเหนื่อย เนื่องจากหลังจากนี้เขายังมีงานหนัก ต้องแบกเพื่อนสนิทกลับไปยังห้องนอน

เขาจับแขนคนที่ไม่ได้สติขึ้นพาดบ่า ให้ฮารุโตะช่วยพยุงยามที่เขาแบกซากิยกขึ้น ยันตัวยืนด้วยอาการซวนเซ รู้สึกเสียใจขึ้นมาคร้ามครัน ที่ยอมทำตามที่ซากิสั่ง ถ้าเขาบอกเอคิจิ เขาคงไม่ต้องลำบาก

“ห้องติดบันไดทางซ้ายมือ”เรียวตะพูดได้แค่นั้น ปล่อยให้ฮารุโตะรีบเดินไปเปิดประตูห้อง ขณะที่เขาพยายามก้าวเท้าแบกร่างอันหนักอึ้งไปตามทาง ตอนที่ได้วางร่างหนาหนักบนบ่าลง เรียวตะจึงรู้ซึ้งกับสุภาษิตยกภูเขาออกจากบ่า

รอให้หายเหนื่อย ฮายาชิ เรียวตะจึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของเจ้าของห้อง หยิบชุดนอนที่มีแขวนอยู่ในตู้ออกมาสองชุด ส่งชุดหนึ่งให้ฮารุโตะ ส่วนอีกตัวเขานำมันไปสวมให้เพื่อนสนิท

เมื่อเดินออกมาจากห้องนอนของเจ้าของบ้านเป็นจังหวะพอดีกับหนุ่มรุ่นน้องที่กลับออกมาจากห้องน้ำอีกครั้งในชุดนอนแขนยาวที่ชายเสื้อยาวไปถึงครึ่งต้นขา เรียวตะแกล้งผิวปากแซว เมื่อสังเกตเห็นว่าหนุ่มรุ่นน้องไม่ใส่กางเกงและพับแขนเสื้อมากองไว้ที่ข้อศอก

“คืนนี้นอนที่นี่แล้วกัน”

“ก็คงต้องอย่างนั้นครับ”เด็กหนุ่มพูดพลางยกเสื้อผ้าที่เปียกโชกให้ดู

“ห้องด้านหลังของชั้นล่างมีเครื่องซักผ้าอยู่”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ

“ถ้าอย่างนั้น ฉันกลับเลยนะ”

“ไม่คิดจะอยู่เป็นเพื่อนกันหน่อยหรือครับ เผื่อ...รุ่นพี่ชิมิซึจะตื่นมาอาละวาดอีกรอบ”ซึ่งเขาอาจจะไม่มีแรงจัดการแล้ว

“ไม่แล้ว นายวางใจได้”คนพูดเงียบไปครู่หนึ่ง ฮารุโตะจึงเลิกคิ้วเป็นเชิงให้อีกฝ่ายอธิบายต่อ “มันโดนยาปลุกน่ะ ถ้าหมดฤทธิ์ยาก็ไม่มีปัญหาแล้ว”

“อ่า... ครับ”

“ไม่ต้องถามนะว่ามันโดนเข้าไปได้อย่างไร ฉันไม่รู้เหมือนกัน มันไปเข้าห้องน้ำ แล้วส่งข้อความมาบอกให้ตามไปหา แล้วก็เจอมันสภาพกำลังย่ำแย่ เลยพากลับมาที่บ้าน”

ฮารุโตะเดินตามหนุ่มรุ่นพี่ไปจนถึงหน้าบ้าน

“พรุ่งนี้ซากิมันอาจจะมีสภาพอ่อนเพลีย ขาดน้ำ หรืออาจจะมีไข้ ฝากนายช่วยดูมันหน่อยนะ”

“เหมือนรุ่นพี่จะรู้ดีจังเลยนะครับ”

คนถูกว่าว่ารู้ดี หัวเราะแหะๆ “มีคนเคยเล่าให้ฟังนะ อย่างไรก็ฝากด้วย”เรียวตะย้ำอีกครั้งก่อนจะก้าวออกจากบ้านไป

ฮารุโตะดูปิดล็อกประตูบ้าน แล้วเอาเสื้อผ้าไปใส่เครื่องซักผ้า ในห้องนั้นเหมือนเป็นห้องที่เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านด้วย เขาจึงหยิบไม้ถูพื้นขึ้นไปเช็ดน้ำที่หยดเป็นทาง เสร็จแล้วนำมาเก็บไว้ที่เดิม เดินไล่หาปิดสวิตซ์ไฟทางเดิน แล้วกลับไปที่ห้องของรุ่นพี่อีกครั้ง

ชายหนุ่มร่างสูงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เขายืนมองอยู่ครู่เดียวจากนั้นเลี่ยงไปหาฟูกสำรองหรือเครื่องนอนที่พอจะใช้ได้ ภายในตู้มีผ้าห่มผืนหนาสำหรับหน้าหนาวกับหมอนสำรองอยู่ ฮารุโตะจึงดึงออกมาใช้ เจอผ้าห่มผืนบางอีกผืนหลังจากที่ลองรื้อดู เด็กหนุ่มนำมันมาปูห่างจากเตียงของเจ้าของห้องไม่ไกลนัก และหยิบนาฬิกาข้อมือที่แสนทนทายาดของเขามากดปิดการตั้งเวลา อีกชั่วโมงกว่าๆจะถึงเวลาตื่นยามปกติของเขา ฮารุโตะจึงไม่อยากให้อะไรมารบกวนการนอนอีก จากนั้นจึงปิดไฟและล้มตัวลงนอน


ภาพที่เห็นตรงหน้าตอนลืมตาตื่นดูแปลกๆ เขาหลับตาลงและนึกทวนความทรงจำ ฮารุโตะจำได้ว่าเมื่อคืนเขามานอนที่บ้านของรุ่นพี่ชิมิซึ แต่เขาไม่ได้ปูที่นอนฉุกเฉินชิดกำแพงขนาดนี้ เมื่อสติกลับมาครบถ้วนมากขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่หน้าผาก ฮารุโตะลืมตาขึ้นอีกครั้งและเงยหน้า ใบหน้าของหนุ่มรุ่นพี่เจ้าของบ้านใกล้ชิดติดปลายจมูก เขาผละตัวออกห่างแต่กลับโดนกอดรัดไว้แน่น

“โอ๋ๆ นอนนะ”อีกฝ่ายพึมพำคลายละเมอ เด็กหนุ่มจึงจำเป็นต้องเขย่าตัวปลุก

“รุ่นพี่ครับ”

ชิมิซึ ซากิไม่ใช่คนขี้เซาปลุกยากแม้ในยามนี้ก็ตาม แต่เมื่อถูกปลุกขึ้นมาแล้วกลับรัดเขาไว้แน่นกว่าเดิม ซ้ำยังซุกจมูกเข้าหา พลางแสร้งหลับตาลงอีกครั้ง

“รุ่นพี่ครับ ตื่นก่อน”ฮารุโตะเรียกซ้ำ เห็นอีกฝ่ายยังนิ่งเงียบจึงได้กล่าวต่อ “ทำไมมานอนตรงนี้ละครับ กลับขึ้นไปนอนบนเตียงเถอะ”หนุ่มรุ่นพี่ยังนิ่งเฉย เขาจึงย้ำอีกครั้ง “นะ ขึ้นไปนอนบนเตียงกันเถอะ” จากนั้นเขาจึงถูกอุ้มให้ไปนอนบนเตียงตามที่เอ่ย

ฮารุโตะเหลือบตามองใบหน้าของหนุ่มรุ่นพี่ที่ยังนอนหลับตา ใบหน้าของรุ่นพี่ชิมิซึดูซีดเซียวกว่าปกติ เขาลากมือไปตามเรียวปากที่แห้งผาก ชายหนุ่มจึงอ้าปากงับนิ้วเขาไว้แล้วลืมตาขึ้น

“หิวแล้วใช่ไหม เดี๋ยวผมไปทำอะไรให้ทาน”

หลังจากงับนิ้วยังตามมางับปาก งับจมูกแล้วพลิกตัวขึ้นทาบทับ ก่อนที่เจ้าตัวจะวางศีรษะไว้นิ่งแถวซอกคอ “มึนหัว”

เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงเบา ดันร่างสูงใหญ่ให้นอนหงาย ลุกขึ้นนั่งมองหนุ่มรุ่นพี่ที่ยังคงหลับตานอนนิ่ง

“เดี๋ยวผมไปทำอะไรให้ทาน”

ซากิลืมตาพรึบ จับข้อมือเล็กบางนั้นไว้ ฮารุโตะปลดมือเขาออกยกยิ้มให้ราวกับช่วงเวลาที่พวกเขาห่างเหินกันหลายอาทิตย์ก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้น “เดี๋ยวผมกลับมานะครับ”

ชายหนุ่มมองตามจนกระทั่งอีกฝ่ายหายไปจากกรอบประตู ถึงได้หลับตาลงอีกครั้ง นอนฟังเสียงเครื่องปรับอากาศครางหึ่งๆ จนคล้ายว่าจะหลับไปอีกรอบ หรืออาจจะผล็อยหลับไปชั่วครู่จริงๆ เขาก็ไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เขาลืมตาขึ้นทันทีพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ฮารุโตะรีบเอาถาดที่ยกขึ้นมาด้วยไปวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วกลับมาช่วยพยุงตัวเขา ตอนนั้นซากิจึงได้เห็นเสื้อผ้าที่หนุ่มรุ่นน้องใส่อยู่เต็มตา และรอยช้ำม่วงที่ต้นคอซึ่งสะดุดตามากที่สุด

เด็กหนุ่มเดินกลับไปหยิบถาดกลับมา ซากิรับมันมาวางไว้บนตัก รอให้รุ่นน้องหาที่นั่งได้ถนัดเจ้าตัวจึงหยิบถาดไปวางไว้บนตักตัวเอง ฮารุโตะหยิบช้อนขึ้นมาคนถ้วยข้าวต้มให้คลายร้อน ซากิจึงได้มีโอกาสจับจ้องรอยจ้ำซึ่งโผล่พ้นคอเสื้อของเด็กหนุ่มรุ่นน้องได้ชัดตา เขายกมือขึ้นแตะ

“เจ็บไหม”

“เจ็บมาก”รอยชัดน่ากลัวขนาดนี้ ให้โกหกว่าไม่เจ็บใครที่ไหนจะเชื่อ แต่เมื่ออยู่เฉยๆไม่ไปโดน มันก็ไม่เจ็บ ฮารุโตะบอกไปแบบนั้น

“ขอโทษนะ”

“ให้อภัยครับ ทานเถอะ”ฮารุโตะยกช้อนมาจ่อถึงปาก ซากิอ้าปากรับหลังจากที่เคี้ยวและกลืนจนหมดจึงพูดว่า

“กินด้วยกัน”

หนุ่มรุ่นน้องจึงได้ตักข้าวเข้าปากบ้าง อีกคำก็ป้อนหนุ่มรุ่นพี่ แบ่งกันกินจนข้าวต้มหมดถ้วย ฮารุโตะจึงลุกจากเตียงเพื่อเอาถ้วยและถาดไปเก็บ แต่คราวนี้เด็กหนุ่มหายไปนานจนคนที่นั่งอยู่บนเตียงอยากจะลุกขึ้นไปตาม ทว่าตอนที่กำลังขยับตัว ฮารุโตะก็กลับมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาลในมือ

“ขอโทษครับ ผมหานี่อยู่”เด็กหนุ่มพูดพร้อมยกขอในมือให้ดู อีกมือถือแก้วน้ำมาด้วย

“รุ่นพี่ตัวรุมๆ ทานยาสักหน่อยนะครับ”

ฮารุโตะหยิบยาในกล่องขึ้นมาอ่านวันหมดอายุ จากนั้นจึงเทใส่มือแล้วป้อนให้ถึงปาก และส่งน้ำให้ หลังจากทานน้ำเสร็จ ซากิโน้มหน้าลงให้หน้าผากชนกับหน้าผากของฮารุโตะ จ้องสบนัยน์ตาสีน้ำตาล

“ดูแลดีจัง”

คนถูกชมแค่ยกยิ้ม หากในใจหวังว่า รุ่นพี่จะชอบเขาเพิ่มมากขึ้น

เขาหยิบยาแก้ฟกช้ำมาส่งให้อีกฝ่าย “ทาให้หน่อยนะครับ”

เสื้อชุดนอนของซากิเมื่อมาอยู่บนตัวของฮารุโตะ ปรากฏว่าคอเสื้อนั้นกว้างจนเห็นรอยฟันครบทุกซี่ แต่คนใส่ก็ยังขยับคอเสื้ออีกเล็กน้อยเพื่อให้หนุ่มรุ่นพี่ทายาได้สะดวก

“อ่อยหรือเปล่าเนี่ย”คนถามยังคงประดับรอยยิ้มบนในหน้า หลังจากทายาให้หนุ่มรุ่นน้องเสร็จจึงปิดฝากระปุกยาและวางมันคืนไว้ที่เดิม

คนถูกถามเลิกคิ้วมอง ราวกับจะถามกลับว่าแบบไหนที่เรียกกว่าอ่อย

ซากิรั้งร่างเล็กกว่าขึ้นมานั่งคล่อมบนตัก  มือข้างนั้นลูบต่ำลงสะโพก “ไม่มีกางเกงข้างในจริงๆเรอะ”

ฮารุโตะหน้าแดง “กางเกงของรุ่นพี่มีแต่ตัวใหญ่ๆ เมื่อวานรุ่นพี่จำได้หรือเปล่าว่าดึงผมลงไปในน้ำจนเปียกทั้งตัว ที่จริงผมเอาเสื้อผ้าลงเครื่องซักผ้าไว้แล้ว แต่เมื่อคืนผมเข้านอนเลยไม่ได้ย้ายไปใส่เครื่องอบ เลยเพิ่งเอาไปตากเมื่อสายนี่เอง”

เห็นคนบนตักขยับปากจ้อยๆแล้ว รู้สึกอดไม่ได้ ปากสีแดงอิ่มน่ากัดจนเขาต้องประทับจูบลงไป ร่างในอ้อมแขนชะงักกระนั้นยังคงจ้องตอบไม่หลบสายตาหนี ไม่ว่าเขาจะขบเม้มแทรกปลายลิ้นเข้าไปเกี่ยวพัน แววตาสีน้ำตาลเชื่อมหวานทำให้เขาใจเต้น ร่างด้านบนบดเบียดเข้าหาราวกับกระตุ้นเร้า เขาหยอกเย้าดูดกลืนขบย้ำปลายลิ้นที่พันเกี่ยวกันซ้ำๆ สองมือไต่ไปตามร่องสะโพกด้วยความเคยชิน

“อ๊ะ!!!”เด็กหนุ่มรุ่นน้องร้องอุทาน เมื่อเขาส่งปลายนิ้วเข้าไปด้านใน “รุ่นพี่จะทำหรือครับ... อื้อ”ฮารุโตะผวาเยือกยามที่เขาบดขยี้ ยามนั้นมีแต่เสียงครางหอบ หนุ่มรุ่นน้องยกมือขึ้นปิดปากตามความเคยชิน มือข้างหนึ่งเกาะไหล่เขาไว้และโหย่งสะโพกให้เขากระทำได้ถนัดถนี่

ซากิใช้สองนิ้วกระตุ้นภายในช่องทางอุ่นร้อน เค้นคลึงกดขยี้ผนังด้านในร่วมกับใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้นวดเฟ้นผิวเนื้ออ่อนด้านนอก มืออีกข้างบีบคลึงตุ่มไตบนแผ่นอก ไม่ช้าไม่นาน ฮารุโตะที่โดนเล้าโลมทั้งด้านบน และรุกรานทั้งด้านล่างจึงปลดปล่อยน้ำเมือกขาวขุ่นออกจากส่วนปลายให้เลอะชายเสื้อซึ่งปิดบังไว้จนชุ่ม เด็กหนุ่มปล่อยร่างกายให้เอนพิงกับอกกว้าง

“จะทำจริงๆหรือครับ”ฮารุโตะถามซ้ำ เมื่อสัมผัสถึงแท่งเอ็นอุ่นร้อนที่ตนช่วยอีกฝ่ายคลายความทรมานไปเมื่อคืน





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-03-2017 20:55:21 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
“คิดว่าทำไม่ไหว?”เขาถามพลางดันร่างเด็กหนุ่มให้นอนราบลงกับเตียง รั้งชายเสื้อขึ้นให้เปิดเปลือยทุกอย่าง ฮารุโตะขยับขาอย่างสะทกสะเทิ้นประดักประเดิด ซากิจึงตามไปนั่งตรงหว่างขา งัดแก่นกายเหยียดแข็งให้หลุดออกมาจากใต้กางเกงผ้า สาวรูดต่อหน้าจนฮารุโตะต้องกลืนน้ำลายเอือก สะกิดเร้าพอให้ส่วนปลายเปียกลื่นก่อนจะจดจ่อกับช่องทางที่เต้นตุบๆอย่างเรียกร้อง

ฮารุโตะกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ยามที่ความร้อนผ่าวนั้นแตะสัมผัส ร่างกายยิ่งระริกไหวเมื่อชายหนุ่มยังแค่หมุนคลึงอยู่ด้านนอก เด็กหนุ่มหอบหายใจ นึกสงสัยขัดเคือง ไม่รู้ว่าตนเป็นคนลามกร่านรักแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขายกขาออกกว้างโดยหวังให้หนุ่มรุ่นพี่กดชำแรกเข้ามาเสียที และแล้วการเรียกร้องของเขาก็สัมฤทธิ์ผล

ช่องทางอุ่นร้อนโอบอุ้มดูดกลืนชายหนุ่มเข้าไปอย่างเชื่องช้า ซากิจับยึดต้นขาเรียวของหนุ่มรุ่นน้องไว้เป็นหลัก ขยับถอนและกดแทรกให้ลึกเข้าไป สอดลึกเข้าไปจนแนบแน่น ผนังด้านในเต้นตุบๆประสานเป็นจังหวะเดียวกับเสียงหัวใจของเขา เขาล้มตัวทับแกล้งพูดออกไปว่า “หมดแรงแล้ว”

หนุ่มรุ่นน้องทำตาโตมากไปกว่าเดิม

“จริงดิ”

เขาพยักหน้า ซุกศีรษะหนุนตรงซอกคอของคนที่นอนอยู่ด้านล่าง “ง่วงแล้วด้วย”

“ไม่เอานะ”ฮารุโตะร้อง พยายามผลักร่างหนาให้ลุกออกจากตัว ปล่อยให้เขาค้างยังไม่เท่าไหร่ แต่จะมาทิ้งค้างไว้แบบนี้เขาไม่เอาด้วยหรอก เด็กหนุ่มดิ้นหยุกหยิก ก่อนจะต้องหลุดเสียงครางออกมาเพราะหนุ่มรุ่นพี่กอดรัดแน่นทั้งยังกระทุ้งเข้าหาไม่หยุด

“จะทำก็ทำเถอะครับ อ่ะ แบบ...แบบนี้ไม่เอาหรอกนะ”คนพูดเสียงกระเซ่า

“ไม่เอาก็ไม่เอา เพราะฉะนั้นนอนเฉยๆได้แล้ว”ซากิบอกเสียงเรียบ

“ไม่ใช่แบบนั้นครับ”อยู่แบบนี้จะนอนเขาก็หลับไม่ลง “ผมทำให้เองไหมครับ”

“จะลักหลับ?”

“โธ่! ไม่ใช่หรอกครับ”

“ก็ฉันจะนอน แต่นายจะทำ”

“รุ่นพี่ต่างหากที่อยากจะทำ”

“แต่ตอนนี้ไม่อยากทำแล้วไง”

“ถ้าอย่างนั้นก็ลุกไปสิครับ”

“ก็รุกอยู่”

ฮารุโตะขมวดคิ้วออกอาการฮึดฮัดจนซากิหลุดหัวเราะ

“แกล้งหรือครับ”ฮารุโตะอยากจะหยิกอีกฝ่ายให้เนื้อเขียว ติดเพียงแต่ว่าจับไปตรงไหนก็มีแต่กล้ามแข็ง จนเขาทำได้แค่จิกเล็บลงไป กระนั้นร่างที่อยู่ด้านบนกลับกระทั้นกายจนเขาต้องยอมปล่อย

“รุนพี่ชอบความรุนแรงหรือครับ”ฮารุโตะถามเมื่ออีกฝ่ายหยุดอยู่นิ่งอีกครั้ง

“อย่างไรดีนะ”อีกฝ่ายลอยหน้าลอยตาตอบ “แล้วนายละ”

“ไม่ชอบ”เด็กหนุ่มตอบทันที ไล้ปลายเท้าไปตามท่อนขาแกร่งอย่างพึงใจยามที่ชายหนุ่มเริ่มต้นขยับสะโพกเอื่อยๆ ร่างด้านบนเท้าศอกกับฟูกนอนเพื่อให้มีระยะสามารถมองเห็นหน้ากันชัด

“แล้ววันนั้นละ...ที่โอซาก้า เป็นอะไร”

ฮารุโตะนิ่งงันไปกับคำถาม  เบือนหน้าหนีแล้วหลับตาลงเมื่ออีกฝ่ายกระชั้นอารมณ์ให้ทะยานสูง ก่อนมันจะถูกหยุดลงอีกครั้ง เด็กหนุ่มลืมตาขยับตัวอย่างทรมาน  ข้อมือทั้งสองข้างถูกมือใหญ่กว่าจับยึดไว้

“รุ่นพี่”เขาส่งสายตาอ้อนวอนขอร้อง บีบรัดกระตุ้นโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะทนไม่ไหวเช่นกัน

“บอกมาก่อน”

“ก็รุ่นพี่โมโห หน้าตาน่ากลัวเหมือนยักษ์”

ซากิหัวเราะกับคำเปรียบเปรย เหยียดเอวสอดลึกแล้วถอนออกก่อนกระแทกซ้ำให้ได้ยินเสียงเนื้อกระทบกัน คลอไปกับเสียงพูดเสียงครางของหนุ่มรุ่นน้อง

“อ่ะ... อ่ะ... ห้ามโน่น ห้ามนี่ อึ๊...ฟาด..งวงฟาดงา ...จนกลัวจะ อะ โดนลูกหลง”

ส่วนปลายอันชูชันของเด็กหนุ่มกลับมาฉ่ำเยิ้มด้วยเมือกน้ำอีกครั้ง มันถูกถูไถกับเสื้อชุดนอนที่รุ่นพี่ร่างสูงสวมใส่ บางครั้งก็เป็นกระดุม ทำให้เขาต้องไหวสะดุ้งทุกครั้งพร้อมกับบีบรัดภายในและปลายเท้าจิกเกร็งด้วยความซ่านเสียว เขาอึดอัดร้อนรนเพราะอยากปลดปล่อย แต่อีกฝ่ายกลับรั้งจังหวะลงทุกครั้ง ดังนั้นเมื่อหนุ่มรุ่นพี่ถามอะไรมาเขาจึงพูดออกไปเสียหมด

“โยชิดะซังกับซาซากิซัง เขาบอกว่าไม่ให้เข้าใกล้รุ่นพี่”

“แล้วก็เชื่อ?”

ฮารุโตะหอบหายใจ สมองมึนเบลอร่างกายเครียดขึงขมวดเกลียวครั้งแล้วครั้งเล่าหลายครั้งหลายคราจนเขาคิดอะไรไม่ออก “กลุ่มนั้นตั้งห้าคน ต่อให้เป็นผู้หญิง แต่ถ้าโดนรุม ผมก็สู้ไม่ไหว”เขาน้ำตาไหลแต่ไม่รู้เพราะสาเหตุอะไรกันแน่ หลังจากนั้นรุ่นพี่ชิมิซึจึงยอมปลดปล่อยเขาเสียที

เด็กหนุ่มผล็อบหลับไปแทบในทันทีที่แสงระยิบระยับพร่างพรายจางหายไป

ฝ่ายคนกระทำคงไม่ต่างกัน เพราะตอนที่ฮารุโตะรู้สึกตัวตื่น ร่างกายของเขาเหนียวเหนอะหนะไปหมด กระนั้นตอนที่ขยับตัวลุกขึ้น หนุ่มรุ่นพี่ก็ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วย ซ้ำยังตามมาลวนลามไม่ห่าง

“รุ่นพี่ไม่...อ่อนเพลีย หรืออะไรทำนองนี้บ้างหรือครับ”

“ทำไมละ”

“รุ่นพี่ฮายาชิบอกไว้แบบนั้น”

“อืม พอได้นอนพักมันก็หาย”ซากิว่าพลางกดจมูกไปตามลาดไหล่บาง

“แล้วไม่หิวหรือครับ”

“อือ ลงไปทำในครัวก็เป็นความคิดที่ดี”

“ไม่ ไม่เด็ดขาด”

“กลัวมีใครมาเห็น? ไม่ต้องกลัวหรอกนะ บ้านนี้มีฉันอยู่คนเดียว”

“แล้วพ่อกับแม่ของรุ่นพี่ละครับ”ฮารุโตะผละตัวออกห่าง ดันให้อีกฝ่ายหันมามองหน้า

“พ่อของฉัน ส่วนใหญ่แค่กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้า นานๆครั้งถึงจะกลับมานอนบ้าน ส่วนแม่เสียไปหลายปีแล้ว”

“ผม...”เขาพูดอะไรไม่ออก

“ฉันไม่เสียใจแล้ว นายเองก็ไม่ต้องมาเสียใจด้วย”ซากิโน้มหน้าผากชนกับอีกฝ่าย “ถ้านายอยากช่วยจริงๆ...”ชายหนุ่มพูดทิ้งค้างไว้แค่นั้น แล้วจับสะโพกเล็กบางของหนุ่มรุ่นน้องยกลอยขึ้น ของเหลวที่เขาปล่อยทิ้งไว้ในตัวอีกฝ่ายจึงไหลย้อยไปตามง่ามขา ฮารุโตะยืนด้วยเข่าคล่อมร่างหนุ่มรุ่นพี่ไว้ รู้ตัวว่าอย่างไรก็คงหนีไม่ได้ เขาดึงชายเสื้อขึ้นปล่อยให้อีกฝ่ายแหวกร่องสะโพกก่อนจะทิ้งตัวบนแท่งเอ็นชูชัน หนุ่มรุ่นพี่ช่วยพยุงจนรับเข้าไปได้ทั้งหมด และรอบนั้นเขาเป็นคนจัดการเอง ทุกอย่างจึงเสร็จลงอย่างรวดเร็ว

เขาจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แต่โดนล็อคตัวให้แค่กวาดเอาสิ่งที่เหลือค้างออกไปเท่านั้น

ตอนที่ลงไปทำอาหารมื้อที่สองคนวัน ชายหนุ่มร่างสูงยังคงตามไปเกาะแกะ กอดบ้าง หอมบ้าง ฉะนั้นกว่าที่จะทำกับข้าวเสร็จจึงใช้เวลานานโข ระหว่างทานข้าวเอง ฮารุโตะต้องเป็นฝ่ายป้อนข้าวให้หนุ่มรุ่นพี่ และเหตุการณ์ก็เป็นไปในทำนองป้อนไปโดนลวนลามไป หลังจากนั้น เด็กหนุ่มร่างเล็กจึงโดนลากไปทั่วก่อนจะมาจบลงบนเตียงอีกครั้ง

ฮารุโตะเหนื่อยหอบไร้เรี่ยวแรง วันนี้ทั้งวันพวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย และที่สำคัญเขาต้องโทรไปลางานด้วย โดยใช้โทรศัพท์ของหนุ่มรุ่นพี่ เพราะโทรศัพท์ของเขาแบ็ตเตอรี่หมดไปแล้ว

อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับรุ่นพี่ก็ย้อนคืนกลับมาเหมือนอย่างที่เขาอยากให้เป็น เด็กหนุ่มขยับเบียดซุกตัวกับชายหนุ่มที่นอนหงายอยู่ข้างๆ

“ไม่ไหวแล้วจริงๆละ”รุ่นพี่โน้มมาจูบที่หน้าผาก “ขอพักแป็บ เดี๋ยวมาทำต่อ”

หนุ่มรุ่นน้องหัวเราะ “ไม่ได้อยากทำครับ แค่อยากนอนใกล้ๆ”ฝ่ายนั้นจึงขยับตัวนอนตะแคง พาดแขนบนบั้นเอว

“แบบนี้โอเคไหม”

“อือ”

ก่อนจะหลับตาลงพร้อมกัน

กว่าฮารุโตะจะได้กลับไปที่ห้องพักของตน นั่นเป็นเวลาหลังเลิกงานของอีกวัน และเมื่อกลับไปถึง เขาเจอทาคุมินั่งสัปหงกอยู่หน้าประตู เมื่ออีกฝ่ายเห็นหน้าเขาก็โวยวายขึ้นมาทันที ไม่สนใจรุ่นพี่ร่างสูงที่เดินตามหลังมาและไม่สนใจว่าตอนนี้จะเป็นเวลาดึกดื่นแค่ไหน

“หายไปไหนมาเนี่ย โทรศัพท์ไปก็โทรไม่ติด เป็นห่วงรู้ไหม นึกว่าโดนดักฉุดไปฆ่าปาดคอแล้ว”

ฮารุโตะสืบเท้าเข้าไปใกล้ยกมือขึ้นปิดปากทาคุมิ และบอกให้เบาเสียงลงหน่อย

“พูดจาอัปมงคล”คำพูดนั้นเป็นของซากิ

“รุ่นพี่ลองเป็นผมดูมั่งไหมละ ตอนเช้าผมโทรไปไม่รับสาย ไอ้เราก็คิดว่าไปรอที่ห้องชมรมน่าจะเจอ จนสายก็ไม่มา โทรหาอีกทีคราวนี้ปิดเครื่อง ถามใครก็ไม่มีใครเห็น ผมกะว่าถ้าวันนี้ยังไม่กลับมาที่ห้อง ผมจะไปแจ้งความแล้ว”

“เรียวตะด้วย?”

“ใช่ครับ”ทาคุมิตอบรับ ฮารุโตะจึงหันมองหน้าหนุ่มรุ่นพี่บ้าง ชายหนุ่มร่างสูงผู้ที่เป็นเพื่อนสนิทกับคนที่ถูกกล่าวถึงจึงแค่โคลงศีรษะไม่ได้ไขข้อสงสัยให้กระจ่าง เขาใช้กุญแจห้องที่มีอยู่เปิดประตู กดเปิดสวิตซ์ไฟใกล้ประตูและเดินนำเข้าไปในห้อง

ทาคุมิเดินตามเข้ามาเปิดตู้เก็บของหยิบแก้วออกมาเปิดน้ำใส่อย่างคุ้นเคย ยกขึ้นดื่มจนหมดแก้วจึงหันมาถามหนุ่มรุ่นพี่หนึ่งเดียวที่อยู่ในห้อง“น้ำไหมครับ”

ซากิสั่นศีรษะปฏิเสธ

“เอ่อ...”เจ้าของห้องมองพวกเขาทั้งคู่เก้ๆกังๆ ซากิจึงเอ่ยปากพูดก่อน “ซาโต้ กลับบ้านไปได้แล้ว”

“ดึกป่านนี้แล้ว ผมจะกลับอย่างไรละครับ รุ่นพี่นั่นแหละมาทำอะไร”

ผู้มากวัยที่สุดในกลุ่มขมวดคิ้ว ฮารุโตะกลัวรุ่นพี่จะอารมณ์เสียจึงเข้าไปหาและพูดอธิบาย “ช่วงนี้ ซาโต้ซังเขามานอนกับผมที่ห้องนะครับ”

“นอน?”

เสียงแข็งขึ้นมาทันที เด็กหนุ่มร่างเล็กจึงรีบลูบแขนลูบไหล่ หวังให้อารมณ์หงุดหงิดของหนุ่มรุ่นพี่คลายลง “นอนค้างเฉยๆครับ นอนอย่างเดียว”

“ทำไมต้องพูดเหมือนแก้ตัวแบบนั้นด้วย นายกับรุ่นพี่ชิมิซึไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”คนที่อยากให้มีเรื่องพูดกวนอย่างพยายามก่อเรื่องขึ้นมาให้ได้ คำพูดคำจาเหมือนจะบอกฮารุโตะ แต่สายตาจ้องท้ารุ่นพี่ร่างสูงเหย็งๆ

ซากิมองหน้าคนที่กวนประสาทแล้วของขึ้น แต่ทว่าท่าทีเหมือนจะมีระเบิดลงพลันเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขากอดอกมองแล้วยกยิ้ม “มิอุระจะทำอะไรกับใครที่ไหน ก็ไม่ได้ไปวุ่นวายอยู่บนหัวนายนี่ จะมายุ่งเรื่องของคนอื่นเขาทำไม”

คราวนี้คนที่เต้นผางๆกลายเป็นทาคุมิ

ซากิคว้ากระเป๋าของฮารุโตะขึ้นมาถือทั้งคว้าข้อมือเล็กกว่าขึ้นมาจับ เดินนำให้เจ้าของห้องออกจากห้อง พร้อมทิ้งคำพูดประโยคสุดท้ายไว้

“ถ้านายอยากนอนที่นี่ก็เชิญตามสบาย”

ซาโต้ ทาคุมิรีบวิ่งตามทั้งสองคนออกจากห้องโดยไว “ผมจะมานอนกับเพื่อนผมต่างหาก”

“อ่อ ถ้าอย่างนั้นเชิญกลับบ้านไปได้เลย เพื่อนนายไม่ต้องการเพื่อนนอนคนอื่น...นอกจากฉัน”

เด็กหนุ่มอยากจะกระทืบเท้าอย่างขัดใจ หันไปมองหน้าเพื่อนคนที่ว่า แค่เห็นสีหน้า ทาคุมินึกรู้คำตอบทันทีว่าเขาไม่ใช่คนที่ถูกเลือก ได้แต่มองรุ่นพี่ชิมิซึสลับกับฮารุโตะอยู่อย่างนั้น จนใจคิดไม่ออกจึงต้องอ่อนข้อเข้าไปเกาะแขนหนุ่มรุ่นพี่

“รุ่นพี่ชิมิซึครับ ผมขอโทษขอไปนอนด้วยคนนะ”เขาเองเคยได้ยินเรื่องข่าวลือเกี่ยวกับบ้านเช่าที่ฮารุโตะพักอยู่เหมือนกัน ตอนที่รออยู่หน้าห้องเขายังรู้สึกหวาดๆ แต่อารามเป็นห่วงมันมากกว่า อีกอย่างคือนั่งรอนานๆดันเผลอหลับไป  เลยไม่ค่อยคิดอะไรมาก แต่ตอนนี้ตื่นเต็มตา ที่สำคัญต้องนอนคนเดียวตลอดทั้งคืน จะกลับบ้านนี่ก็ดึกมากจนไม่มีรถบัสวิ่งให้บริการแล้ว หรือจะให้เดินกลับ บ้านของเขาก็ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ

ซากิขี้เกียจต่อความ จึงเออออไปง่ายๆ “กลับไปดูล็อคประตูให้เรียบร้อย”

“ครับ”ทาคุมิรับคำ หันไปจัดการล็อคห้องตามคำสั่ง ขณะที่ซากิยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก เห็นทาคุมิกลับมายืนยิ้มยกมือบอกโอเค เขาจึงก้าวเท้าเดินนำ รอสายอยู่ครู่ใหญ่กว่าปลายสายจะกดรับ

“ไปนอนด้วยนะ”

“ทำไมมาป่านนี้”เสียงปลายสายงัวเงีย ฟังเหมือนกำลังหงุดหงิด

“เออจะถึงแล้ว ลงมาได้เลย”เขากดตัดสาย เดินเท้าอีกครู่หนึ่งจึงถึงจุดหมาย

“บ้านใครอ่ะครับ”ทาคุมิถาม

“บ้านเรียวตะ”

ยืนรอไม่นานเจ้าของบ้านก็ลงมาเปิดประตู “ไปไหนกันมา ยกโขยงกันมาเพียบ”

“แค่สามคน”ซากิตอบ “แล้วก็ไม่ได้ไปไหน ห้องมิอุระที่ไม่พอ”

“อ่อ เงียบๆละ คนอื่นเขาหลับกันหมดแล้ว”เรียวตะเดินนำขึ้นไปชั้นบน “นอนห้องนอนแขกนะ ผ้าปูที่นอนอยู่ในตู้ ต้องจัดการกันเอง อยากมากันดึกๆนัก” เขาเปิดประตูห้องรับรองสองห้องที่อยู่ติดกันให้ดู ภายในเป็นห้องโล่งที่มีแค่เตียงควีนไซส์และตู้เสื้อผ้า

“อือ ขอบใจ”ซากิพูด เจ้าของบ้านจึงยกมือปิดปากหาว เดินกลับไปเข้าห้องของตัวเอง เขาจูงมือฮารุโตะให้เดินเข้าห้อง ทาคุมิก็ก้าวตามไปติดๆ

“ตามมาทำไม ไปนอนห้องโน้นสิ”

“รุ่นพี่จะให้ผมนอนคนเดียวหรือครับ ในที่ที่ผมไม่รู้จักเนี่ยนะ”

“นายไม่รู้จักเรียวตะหรือไง”คราวนี้เขาโมโหจริงๆแล้ว

“รุ่นพี่ชิมิซึ ให้ทาคุมินอนด้วยเถอะครับ เตียงตั้งกว้าง”

“กว้างที่ไหน นอนสองคนก็เต็มเตียงแล้ว”ซากิพูดอย่างหัวเสีย ก่อนจะตักบทไปว่า “เออ อยากทำอะไรก็ทำ”

ฮารุโตะจึงเดินไปเปิดประตู้เห็นมีฟูกนอนสำรองจึงเอาออกมาวางตามด้วยพวกเครื่องนอนอื่นๆ ทาคุมิจึงตามมาช่วยด้วย เขาสองคนจัดการปูผ้าปูที่นอน และฟูกสำรองจนเสร็จ

“เดี๋ยว ซาโต้ซังขึ้นไปนอนบนเตียงกับรุ่นพี่ก็ได้ เดี๋ยวผมนอนข้างล่างเอง”

ซากิจะหันไปตวาดใส่อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มอีกคนจะไหวตัวทัน จึงกล่าวขึ้นมาก่อนว่า “เอ้ย ฮารุจังนั่นแหละต้องขึ้นไปนอนกับรุ่นพี่ชิมิซิ เออ เดี๋ยวไปอาบก่อน”คนพูดว่าพลางดันฮารุโตะมาส่งถึงบนเตียง

“ซาโต้ซังมารอตั้งแต่กี่โมง”ฮารุโตะถาม

“ตั้งแต่บ่ายๆอ่ะ กลัวคลาดกัน”

“โง่หรือเปล่า ไม่ไปดูที่ที่ทำงาน”ซากิพูดแทรกทะลุมากลางปล้อง

“ก็เมื่อวาน ฮารุจังไม่ได้ไปทำงาน”

“แล้วไม่ไปถามพนักงานคนอื่นที่เคาน์เตอร์”

“เขาบอกว่าไม่รู้”

ฮารุโตะมองหน้าอีกฝ่ายอย่างงุนงง ปกติถ้ามีใครลาหยุด ผู้จัดการจะเขียนชื่อไว้บนบอร์ด แล้วเมื่อวานเขาได้โทรไปลาแต่เช้า ซากิเห็นฮารุโตะขมวดคิ้วสงสัย เขารีบกล่าวตัดบทเพราะกลัวว่ารายการคำถามปริศนาจะยาวไปจนเช้า

“เออๆ รีบไปอาบน้ำเถอะ จะได้นอนซะที”

เห็นเด็กหนุ่มรุ่นน้องอีกคนหายเข้าไปหลังบานประตูแล้ว ซากิจึงหันมาดึงให้ฮารุโตะล้มตัวลงบนเตียง ให้อีกฝ่ายนอนชิดเข้าไปด้านในฝั่งติดกำแพง

“แปลกจัง”

“ไม่ต้องแปลกแล้ว คืนนี้นอนก่อนเถอะ”เมื่อโดนพูดย้ำเช่นนั้น ฮารุโตะจึงยอมหลับตาอย่างว่าง่าย และเพียงไม่กี่นาที ลมหายใจของหนุ่มรุ่นน้องก็ทอดยาวบ่งบอกว่าหลับสนิท ซากิแกล้งทำเป็นหลับ นอนฟังเสียงประตูห้องน้ำที่เปิดปิด รอจนแสงไฟในห้องถูกดับลง และอีกหนึ่งชีวิตในห้องล้มตัวลงนอน เขาจึงปล่อยให้ตัวเองนอนหลับบ้าง


ฮารุโตะตื่นแต่เช้าเช่นเดิม และเมื่อเขาขยับตัวหนุ่มรุ่นพี่ที่นอนอยู่ข้างกันจึงลืมตารู้สึกตัวตื่น

“น่าจะมีแปรงสีฟันอยู่ในตู้”เมื่อซากิเอ่ยปากบอกไปเช่นนั้น ฮารุโตะจึงก้าวลงจากเตียงไปหาของที่ว่า ชายหนุ่มจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความ และได้รับข้อความตอบกลับหลังจากนั้นไม่นาน เขาจึงหันไปปลุกอีกคนที่นอนอยู่บนฟูกนอนบนพื้น

“ซาโต้ ตื่นได้แล้ว”

ทว่าอีกฝ่ายยังนอนนิ่ง

“เดี๋ยวผมปลุกเองครับ”ฮารุโตะบอกพลางยื่นแปรงสีฟันส่งมาให้ ทรุดตัวลงนั่งด้านข้างด้วยตั้งใจจะเขย่าตัวปลุกผู้เป็นเพื่อน

“ไปแปรงฟัน”ซากิเอ่ยปากสั่ง ฮารุโตะจึงต้องลุกขึ้นยืนพร้อมกับสีหน้าจืดเจื่อน หมุนตัวกลับเข้าห้องน้ำและจัดการทำธุระส่วนตัว

“ตื่นได้แล้ว”เขาส่งเสียงเรียงพลางใช้เท้าสะกิดเด็กหนุ่มรุ่นน้อง กระนั้นเด็กหนุ่มซึ่งนอนอยู่บนฟูกยังคงหลับสนิท ซากิจึงก้มตัวดึงฟูกนอนสลัดเด็กหนุ่มให้ไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้น ทาคุมิจึงได้สะลึมสะลือลืมตาด้วยอาการไม่รู้เรื่องรู้ราว

“ฉันจะกลับแล้วถ้าอยากนอนต่อก็นอนไป”

ได้ยินคำพูดนั้นทาคุมิถึงตาสว่าง ซากิโยนแปรงสีฟันไปให้พร้อมกับบอกให้ไปใช้ห้องน้ำในห้องนอนแขกอีกห้อง เด็กหนุ่มอ้าปากหาวคล้ายยังไม่ตื่นดี แต่ยอมทำตามคำที่หนุ่มรุ่นพี่บอกอย่างว่าง่าย

ซากิใช้ห้องน้ำต่อจากฮารุโตะซึ่งหลังออกมาจากห้องน้ำ เด็กหนุ่มร่างเล็กได้จัดการเก็บกวาดสภาพห้องจนกลับมาเป็นเหมือนเดิม และลุกเดินไปเปิดประตูเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู

“อรุณสวัสดิ์ หลับสบายไหม”ชายหนุ่มลูกเจ้าของบ้านยื่นหน้ามาทักทาย

“ครับ หลับสบายมาก”ฮารุโตะตอบรับด้วยรอยยิ้ม

เรียวตะก้าวเท้าเข้ามาในห้องเดินตรงไปนั่งยังปลายเตียง และกวักมือเรียกฮารุโตะให้มานั่งข้างกัน

“วันนี้คุณนายทำกับข้าวไว้เพียบ ฮารุจังจะต้องกินเยอะๆนะ”

“ไม่น่าต้องลำบากเลยครับ เดี๋ยวผมกลับไปกินที่ห้องก็ได้”

“ไม่ลำบาก คุณนายชอบทำกับข้าวมาก ถ้าไม่กินคุณนายจะต้องเสียใจแน่ๆ”เรียวตะบอกก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองประตูห้องเมื่อมันถูกดันเข้ามา

“รุ่นพี่ฮายาชิ อรุณสวัสดิ์ครับ”ทาคุมิกล่าวทักทายรุ่นพี่ร่วมชมรมด้วยสีหน้าสดชื่นที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวตื่นเต็มตา

“เช้านี้มีข้าวให้กินฟรีด้วย กินเยอะๆละ”

“จริงหรือครับ เรื่องกินนี่รุ่นพี่ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะจัดการให้เรียบเลย”ทาคุมิยิ้มกว้างรับคำเต็มที่

ซากิออกจากห้องน้ำมาเป็นคนสุดท้าย แม้จะเห็นว่าทั้งสามคนนั่งคุยกันอยู่ เขาก็เอ่ยแทรกขึ้นไป

“เรียวตะ ยังมีบัตรละครเหลือหรือเปล่า”

“อ่อ...มี”

“เอาให้สามใบดิ ที่นั่งติดกันนะ”

“ได้ นี่เสร็จแล้วใช่ไหม ลงไปข้างล่างก่อนเลย เดี๋ยวฉันเอาบัตรตามไปให้”

ทาคุมิได้ยินที่พวกรุ่นพี่คุยกันแล้วรู้สึกอิจฉาเล็กๆ เป็นพวกมีเงินนี่ดีนะ นึกอยากได้อะไรก็ได้ เขาคิดในใจขณะเดินตามหนุ่มรุ่นพี่ลงบันไดไปยังชั้นล่าง

ชิมิซึ ซากิเปิดประตูบานเลื่อนของห้องหนึ่ง เอ่ยปากทักทายหญิงกลางคนผู้เป็นเจ้าบ้านก่อนจะก้าวเท้าเข้าไป นายหญิงผู้เป็นเจ้าบ้านซึ่งซากิเรียกว่าคุณป้าอยู่ในชุดกิโมโนสีน้ำเงินเข้ม เธอกำลังจัดเรียงจานอาหารลงบนโต๊ะ

“รอเดี๋ยวนะจ๊ะ ป้าจะไปยกกับข้าวมาให้”

“ถ้าอย่างนั้นผมช่วยนะครับ”ฮารุโตะขันอาสา

“นายนั่งเถอะ เดี๋ยวฉันไปยกมาเอง”ซากิกล่าวบอกก่อนจะแตะข้อศอกให้หญิงเจ้าบ้านเดินนำ

ฮารุโตะและทาคุมิจึงทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าบนเบาะ

ห้องอาหารของบ้านฮายาชิเป็นห้องแบบญี่ปุ่นซึ่งตกแต่งเหมือนในเรียวกังหลายๆแห่งที่เป็นกิจการของครอบครัว พื้นห้องปูด้วยเสื่อ มีโต๊ะเตี้ยตัวยาวสีเข้มมันปลาบตั้งอยู่กลางห้อง ชิดพนังห้องฟากหนึ่งมีโทรทัศน์จอโค้งขนาดสี่สิบแปดนิ้วตั้งอยู่ ประตูบานเลื่อนอีกด้านถูกเปิดกว้างให้เห็นพื้นที่สวนแบบญี่ปุ่น

นั่งรออยู่ครู่หนึ่ง ประตูฝั่งทางเดินในบ้านก็ถูกเปิดออก ซากิและเรียวตะเดินถือถาดไม้ตามกันมาติดๆ

หลังจากที่อาหารถูกวางลงและทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว ฮารุโตะและทาคุมิจึงถูกแนะนำตัวให้หญิงกลางคนผู้เป็นมารดาของเรียวตะรู้จักอีกครั้ง

“ทานเยอะๆนะ”เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้มใจดี

ในทีแรก ทาคุมิค่อนข้างเกร็ง แต่เมื่อหนุ่มรุ่นพี่ผู้เป็นลูกชายเจ้าของบ้านบอกว่าทานได้เต็มที่ไม่ต้องเกรงใจ ทาคุมิจึงตักทุกอย่างเข้าปากอย่างเต็มที่อย่างที่หนุ่มรุ่นพี่บอก

“อ่ะ ตั๋วสามใบ”เรียวตะส่งกระดาษแข็งแบบด้านให้เพื่อนสนิทเมื่อทุกคนทานข้าวเสร็จ ขณะที่สองหนุ่มรุ่นน้องกำลังนั่งทานของหวานหลังมื้ออาหาร

“อืม”ซากิรับของมาไว้ในมือ พลางกดโทรศัพท์โอนเงินให้อีกฝ่าย

“ซื้อตั๋วสามใบนี่จะพาใครไปดูว่ะ”

“สองคนนี้ไง”

ทาคุมิหูผึ่งเงยหน้าขึ้นมาทันทีพร้อมถามย้ำ“สองคนนี้ ไหนครับ”

“นายกับฮารุโตะไง”

เด็กหนุ่มรี่คลานเข่าเข้ามาหา บีบจับนวดแขนหนุ่มรุ่นพี่ด้วยอาการประจบและกล่าวซ้ำๆว่า “รุ่นพี่ใจดีที่สุด”

+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*// แม้จะมีหลายความคิดเห็นเรื่องชิมิซึ ซากิ ที่ทำให้เราลังเลใจมากหลาย แต่ก็ขอให้นักอ่านทุกท่านทำใจเห็นพี่เขาเป็นพระเอกกันต่อไป เพราะบทบาทของเขายังไม่หมด ส่วนชุนจะได้มาเคียงคู่กับฮารุโตะหรือไม่นั้น ต้องรอดูกันต่อไป
ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ//*



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ค่ะ ก็ต้องรอดูต่อไปเนาะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
ก็ไม่ได้ถึงกับเกลียดซากินะ แต่ไม่ชอบการกระทำหลายๆ อย่างของเขา
ก่อนจะเป็นพระเอกเต็มตัวน่าจะต้องมีพัฒนาการกันหน่อย

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
เรื่องย่อ ตอนที่ 15
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
หน้าร้อนเวียนมาถึงอีกครั้งพร้อมกับความสัมพันธ์อันสดใสระหว่างฮารุโตะและซากิ สถานที่ท่องเที่ยวของชมรมปีนี้ยังคงทะเลเช่นเดิม นอกจากจะตื่นเต้นเพราะได้ไปทะเลอีกครั้งแล้ว ฮารุโตะยังตื่นเต้นเพราะว่าจะได้ไปเที่ยวกับทาคุมิอีกด้วย

ตัวละครประกอบ
สมาชิกชมรมถ่ายภาพ
1. มาซามุเนะ โทรุ นักศึกษาชายชั้นปีที่สี่
2. ยามาซากิ ริน นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สาม
3. ฟุจิฮาระ ไคโตะ นักศึกษาชายชั้นปีที่สาม
4. ซาโต้ อัตซึชิ นักศึกษาชายชั้นปีที่สาม
5. อาเบะ ซึกิซากะ นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สาม
พนักงานร้านสะดวกซื้อที่ฮารุโตะทำงานอยู่
1. นากายาม่า ไดกิ






春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 15


อีกไม่กี่วันจะถึงสอบปลายภาคหลังจากนั้นเป็นวันหยุดฤดูร้อน สถานที่ท่องเที่ยวของปีนี้ยังคงเป็นทะเลเหมือนเดิม แต่วันที่ไปถึงตรงกับเทศกาลประจำปีของเมืองพอดี กิจกรรมหลักจึงเป็นการชมขบวนแห่ซึ่งมีการจัดตั้งแต่ช่วงบ่ายๆ ยาวไปถึงการเที่ยวชมงานเทศกาลฤดูร้อนในตอนกลางคืน เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ฮารุโตะจึงนึกได้ว่าปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้น พลันความคิดหนึ่งก็วิ่งเข้ามาชน ไม่ใช่ว่ารุ่นพี่ชิมิซึเข้าหาเขาเพราะเหตุการณ์นั้นหรอกนะ

“คราวนี้ลองไปทำในสวนตอนที่เขาจุดดอกไม้ไฟดีไหม”คนพูดขยับเข้ามากระซิบข้างหู เมื่อหันไปดูยังเห็นอีกฝ่ายตีหน้าตายเหมือนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศธรรมดา รุ่นพี่ชิมิซึขยับเข้ามาเบียด ขณะที่รุ่นพี่มาเอดะยังอธิบายเรื่องอื่นๆ

“ไม่เด็ดขาด”เขาพยายามปรับสีหน้าให้เรียบเฉย ไม่เข้าใจว่าทำไมภายใต้ใบหน้านิ่งเรียบแบบนั้นถึงมีแต่เรื่องลามก

“อย่างนั้น เตรียมใจไว้เลย ฉันจะทำในทะเล”

ฮารุโตะหันขวับกลับไปมอง หนุ่มรุ่นพี่ยกยิ้มมุมปากมาให้ และขยับออกห่าง

“อะแฮ่มๆ ช่วยสนใจทางนี้หน่อยนะครับ อย่างเพิ่งกระจุ๋งกระจิ๋งกันสองคน”จบคำพูดนั้นของรุ่นพี่มาเอดะ ทุกคนในชมรมต่างหันมามองทางเขาเป็นตาเดียว เรียกให้เลือดทุกหยดแทบมารวมบนหน้า ฮารุโตะกรอกตาไปมาก่อนจะก้มหน้าหลบสายตาโดยอัตโนมัติ ในชมรมมีคู่รักที่ประกาศตัวชัดเจนอยู่หลายคู่ แล้วทำไมต้องหันมามองเขาคนเดียวด้วยละ

ฮารุโตะโอดครวญหลังจากที่รุ่นพี่มาเอดะบอกให้แยกย้ายได้ เขากับรุ่นพี่ชิมิซึไม่เคยบอกใครว่าคบกันสักหน่อย และต่อให้ใครถามเขาก็ยังยืนยันว่าเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องอยู่ดี

“คงน่าเชื่อเนาะ”ทาคุมิประชด

“ซากิมันถึงเนื้อถึงตัวตลอด ต่อให้ปฏิเสธจนปากฉีกว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีใครเชื่อหรอก”เรียวตะสำทับมาอีกคำ เหล่สายตามองมือของเพื่อนสนิทซึ่งวางอยู่ที่บั้นเอวของหนุ่มรุ่นน้อง

ฮารุโตะจึงมองตาม เขาสะดุ้งแกะมือของอีกฝ่ายออกแล้วย้ายไปนั่งเบียดทาคุมิอีกฝั่ง

ซากิแค่หัวเราะ มองคนที่ยกหนังสือมาบังหน้า สายตาจ้องมาทางเขาเขม็ง เขายักคิ้วเป็นเชิงท้าทาย หนุ่มรุ่นน้องได้แต่ขมวดคิ้วออกอาการฮึดฮัดก่อนจะก้มลงไปสนใจหนังสือตรงหน้าเพราะทำอะไรเขาไม่ได้ ชายหนุ่มจึงได้หันมาสนใจเอกสารประกอบวิทยานิพนธ์ของตน

“รุ่นพี่คะ”

เขาได้ยินเสียงเรียกข้างตัวตามมาหลังจากที่นั่งข้างๆโดนจับจอง อีกฝ่ายเบียดเกยจนแทบจะปีนมานั่งบนตัก แต่ซากิแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน กระนั้นเมื่ออีกฝ่ายระบุชื่อ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองพร้อมขานรับคำ

“ครับ”

“สุดสัปดาห์นี้ไปเที่ยวกันอีกไหมคะ”

ปลายนิ้วซึ่งตกแต่งเล็บมาอย่างสวยงามวางอยู่บนต้นแขนของเขา บีบนวดเบาๆเป็นเชิงปลุกเร้ายั่วยวน ซากิชอบผู้หญิงสวย และคนตรงหน้าก็สวย เพียงแต่ความสวยนั้นมาจากเครื่องสำอางมากมายบนหน้า ถ้าก่อนหน้านี้เธอเข้าหาเขาด้วยใบหน้าที่มีเครื่องสำอางน้อยกว่านี้สักครึ่งหนึ่ง เขาคงยอมนอนกับเธอไปแล้ว

“ไม่ได้แล้วละ ฉันมีสอบ แล้วต้องทำธีสิสอีก”

“ให้ฉันช่วยไหมค่ะ”เธออาสาอย่างกระตือรือร้น

“หือ”

“เรื่องธีสิส”

“อา...”และเขาก็ชอบผู้หญิงฉลาด เขาไม่มีปัญหาถ้าเธอจะยื่นมือมาช่วย “อือได้ ฉันทำหัวข้อการสนับสนุนของรัฐเพื่อการพัฒนาสังคม ก่อนอื่น...เอาหนังสือพวกนี้ไปสรุปนโยบายการพัฒนาประเทศในอดีตมาก่อน”เขาส่งหนังสือเล่มหนาให้เธอสองสามเล่ม เห็นหญิงสาวทำหน้าตกใจแล้ว ซากิรับประกันได้ว่าเขาไม่ได้แกล้งเธอแม้แต่น้อย เพียงแต่สามเล่มที่ว่าเขาอ่านและสรุปข้อมูลเสร็จแล้ว ถึงอย่างไรเขายังไม่บื้อพอที่จะเอาผลคะแนนของตัวเองไปแขวนไว้กับคนอื่น

“รุ่นพี่จะใช้เมื่อไหร่คะ ช่วงนี้ฉันยังต้องสอบ”

ซากิอยากจะหัวเราะ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าเธอยังชวนเขาไปเที่ยวอยู่เลย คงเพราะเห็นสายตาเขา เธอจึงรีบเอ่ยมาว่า “เดี๋ยวฉันรีบทำให้ค่ะ ไม่ต้องห่วงแต่แค่อยากถามเพื่อความชัวร์ว่ารุ่นพี่ต้องใช้ข้อมูลพวกนี้เมื่อไหร่” ก็นับว่ายังมีสมองคิด

“อีกหนึ่งอาทิตย์หลังจากสอบแล้วกัน มันถึงกำหนดต้องคืนหนังสือด้วย”

“ค่ะ”เธอตอบรับ เขาจึงหันมาก้มหน้าก้มตากับหนังสือตัวเองต่อ  ริเอะโกยังนั่งไม่เป็นสุขอยู่ข้างเขา ซึ่งเขาไม่ใช่ฮารุโตะที่ต่อให้ใครวุ่นวายเสียงดังแค่ไหนก็คงสมาธิอยู่ได้ เขาจึงต้องเงยหน้าขึ้นไปอีกครั้ง เธอยิ้มหวานให้ทันที

“ไม่อ่านหนังสือหรือ ถ้าเธอไม่มีของตัวเองมา อ่านเล่มที่ฉันให้ไปก็ได้ ฉันไม่ได้ต้องการข้อมูลที่ยกขึ้นมาลวกๆหรอกนะ”คำพูดของเขาทำให้เธอหน้าเจื่อน ซากิเหลือบตามองฮารุโตะที่รวมกลุ่มอยู่กับทาคุมิและนัตสึมิหนึ่งในสมาชิกชมรมที่อยู่รุ่นเดียวกัน หนุ่มรุ่นน้องขยับปากพูดจ๋อยๆด้วยเสียงเบาๆ หยุดพูดบางครั้งเมื่อนัตสึมิกล่าวแทรกอะไรขึ้นมา

ในห้องชมรมตอนนี้หลายคนต่างจับจองที่นอนอ่านหนังสือกันเกลื่อนกลาด บ้างหลับฟุบอย่างจริงจัง ซากิหันกลับมามองรุ่นน้องผู้หญิงที่อยู่ข้างตัวอีกครั้ง เธอขมวดคิ้วจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือ เขายังคิดไม่ออกว่าควรจัดการกับเธออย่างไรดี การทำอะไรรุนแรงไม่ใช่นิสัยของเขาโดยเฉพาะกับผู้หญิง เพราะฉะนั้นเขาจึงเลือกคนที่เข้าหา

เขาชอบผู้หญิงสวย และเคยนอนกับผู้ชายมาบ้างก่อนมาเจอฮารุโตะ แน่นอนว่าแต่ละคนหน้าตาดี ฉลาด วางตัวดีและมีรสนิยม เพราะเข้าใจตรงกันถึงความต้องการของแต่ละคน เขาจึงไม่เคยมีปัญหาเรื่องตบตีแย่งชิง พอมาเจอแบบนี้ รู้สึกเหมือนจะทำอะไรไม่ค่อยถูกอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าเขาไม่ตอบรับ อีกฝ่ายคงจะล่าถอยไปเองเหมือนเพื่อนอีกคนของเธอ

และคงเพราะเป็นช่วงสอบ ริเอะโกะจึงไม่ได้มายุ่งวุ่นวายกับเขาอีก อย่างไรก็ตามพอพ้นช่วงสอบไปเท่านั้น เธอก็กลับมาวนเวียนจนน่ารำคาญ

“รุ่นพี่คะ เอกสารที่ฉันทำสรุปมาให้ค่ะ”เธอยื่นกระดาษมาให้ เขารับไว้และกล่าวขอบใจ เก็บใส่กระเป๋าโดยไม่ได้สนใจมองทำให้ริเอะโกะเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย

ชานชาลารถไฟยามเช้าตรู่ซึ่งแม้แต่ดวงตะวันยังโพล่ไม่พ้นขอบฟ้าในวันนั้นเอะอะจอแจมากกว่าที่เคย เมื่อกลุ่มเด็กวัยรุ่นสมาชิกชมรมถ่ายภาพมารวมตัวกัน หลายคนในชมรมยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพการรวมตัวของเหล่าสมาชิก ทั้งที่การท่องเที่ยวแต่ละครั้งต้องมาเริ่มต้นที่สถานีรถไฟแห่งนี้

“ที่จริงฉันทำเสร็จมานานแล้วนะคะ ส่งข้อความไปก็ไม่เห็นรุ่นพี่เปิดอ่าน”ปลายประโยคฟังคล้ายเธอกำลังตัดพ้อ เธอช้อนสายตาภายใต้เครื่องสำอางที่ถูกตกแต่งมาอย่างดีขึ้นมองเขา

“อา ขอโทษที พอดียุ่งๆ”

“ยุ่งเรื่องอะไรคะ ยุ่งแต่เรื่องมิอุระซังนะหรือ”

ซากิไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขากำลังทำหน้าแบบไหน แต่ทว่าเสียงของเธอพลันเงียบลง เขามองเรียวตะที่ยังคงจับกลุ่มถ่ายภาพกันไม่เลิก เหลือเวลาอีกร่วมสิบนาทีกว่ารถไฟจะเทียบชานชาลา  มาเอดะ คาโอรุจึงเรียกให้ทุกคนถ่ายรูปรวม

“ใช้กล้องตัวเดียวพอนะครับ”รุ่นน้องประธานชมรมตะโกนบอก เพราะก่อนหน้าเคยมีเหตุการณ์ต่างคนต่างใช้กล้องตัวเองไปตั้งถ่ายรูป และสมาชิกครึ่งหนึ่งของชมรมต่างมีกล้องของตัวเอง สมัยก่อนที่ยังไม่ค่อยมีใครพกขาตั้งกล้องมา ต่างผลัดกันไปถือกล้องและผลัดกันมาเข้าเฟรม แต่พอมีคนหนึ่งริเริ่มแบกขาตั้งกล้องที่พับได้และน้ำหนักเบามาใช้คู่กับรีโมท ธรรมเนียมของชมรมจึงเปลี่ยนไป จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีกล้องตั้งวางเรียงเป็นสิบตอนถ่ายรูปรวมที่สถานีรถไฟ

พวกเขาถ่ายรูปรวมกันไม่กี่ภาพ หลังจากถ่ายภาพเสร็จเจ้าของกล้องก็อัพโหลดภาพขึ้นในกลุ่มสนทนา เห็นฮารุโตะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เขาจึงโน้มหน้าเข้าไปดูด้วย รูปภาพที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ไม่มีอะไรที่ดูแตกต่างเป็นพิเศษ ในสายตาของเขามันเป็นแค่ภาพหมู่ธรรมดา

“มีอะไรน่าตื่นเต้นกัน”เขาถามออกไป ฮารุโตะเงยหน้าขึ้นมามองแต่ยังไม่ทันจะได้กล่าวตอบกลับมีคนเข้ามาขัดเสียก่อน

“รุ่นพี่ชิมิซึคะ ถ่ายรูปให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ”ริเอะโกะพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขากลอกตามมองรอบตัวเพื่อหาทางปฏิเสธ ได้ยินเสียงประกาศเรื่องรถไฟกำลังเทียบชานชาลา จึงชี้ไม่ชี้มือเป็นเชิงบอกว่าต้องไปกันแล้ว พวกเขาเดินกลับไปรวมกลุ่ม ซึ่งหญิงสาวก็เดินตามไม่ห่าง

“รุ่นพี่นั่งกับฉันนะคะ”

“ใช่ครับ เพราะผมจะนั่งกับฮารุจัง”ทาคุมิเสนอหน้าขึ้นมาทันที ซ้ำยังกอดคอฮารุโตะไว้เป็นตัวประกัน ส่วนเจ้าตัวได้แต่ยกยิ้มแหยๆ เขาไม่ได้ตอบอะไร ผายมือให้ริเอะโกะเดินนำไปก่อนและเดินตามขึ้นไปบนรถไฟ เห็นที่นั่งติดทางเดินว่างอยู่จึงทรุดตัวลงนั่งทันที จนรุ่นน้องสาวต้องย้อนกลับมา

“รุ่นพี่ชิมิซึ”เธอทำท่าจะโวยวาย

“ขวางทางคนอื่นไม่เห็นหรือ”ซากิพูดเสียงนิ่ง รุ่นน้องผู้ชายอีกคนที่เดินตามหลังมายืนนิ่ง พาให้อีกหลายคนข้างหลังต้องชะเง้อคอดูเหตุการณ์ข้างหน้า อันที่จริงทางเดินในขบวนรถไฟไม่ได้แคบจนเดินสวนกันลำบาก แต่เพราะริเอะโกะยืนจังก้าไม่ยอมหลบให้คนอื่น ชายหนุ่มไม่ได้ให้ความสนใจอีกเพราะถือว่าพูดเตือนแล้ว เขาก้มหน้าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตรวจสอบความเคลื่อนไหวในโลกโซเชียล แค่ครู่เดียวเธอก็ยอมล่าถอยไป

“หือ ไม่ไว้หน้ากันเลย”โทรุหันมาชวนคุย “ไม่ถูกใจตรงไหน”

“ฉันไม่ชอบคนที่เข้ามาจีบก่อน”

“จ๊ะ พ่อหล่อเลือกได้”คู่สนทนากระแหนะกระแหนจนเขาต้องหลุดหัวเราะ เขากับโทรุมาเริ่มสนิทกันหลังจากที่อีกฝ่ายมาสมัครเข้าชมรม สมาชิกหลักของชมรมส่วนใหญ่มีความชอบในสิ่งเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าจะจับให้ไปรวมกลุ่มเข้าคู่กับใคร ต่างก็คุยกันอย่างถูกคอ“ฉันควรจะไปศัลยกรรมอัพหน้าหน่อยดีเปล่าว่ะ สาวจะได้ไม่เมินบ้าง”

ความจริงโทรุไม่ได้หน้าตาขี้เหร่  แต่ถ้าเอาไปเทียบกับเรย์จะกลายเป็นผู้ชายบ้านๆไปทันที ซากินิ่งคิด ก่อนจะพูดออกไปว่า “อยากมีแฟนหรือแค่อยากนอนกับใครสักคนละ”

คนฟังเลิกคิ้ว ถึงจะบ่นนั่นบ่นนี้ แต่เจ้าตัวไม่ได้มุ่งมั่นจริงจังกับการจีบใครเท่าไหร่นัก “มีอะไรหรือเปล่า”

“ถ้าอยากได้คนนอนด้วยจะได้ช่วย”

เห็นอีกฝ่ายพูดออกมาด้วยหน้าตาเจ้าเล่ห์ โทรุจึงส่ายหน้าหวือ เริ่มไม่ค่อยไว้ใจความคิดมันสักเท่าไหร่ ถ้าซากิไม่แน่จริงคงไม่จัดการเด็กในสต็อกได้จนอยู่หมัด ตั้งแต่คบกันมา เขายังไม่เคยเห็นใครมาวุ่นวายระรานมันสักคน

“ไม่ดีกว่า ยังไม่อยากหาห่วง”พูดจบ ชายหนุ่มก็นั่งเงียบแต่ใจหนึ่งอยากรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆจะจัดการอย่างไร


จุดหมายปลายทางครั้งนี้คือมานาซุรุในคานางาว่า ที่ต้องไปกันแต่เช้าเพราะพวกเขาต้องไปทำความสะอาดบ้านพักกันก่อน ที่พักคราวนี้เป็นคฤหาสน์ฤดูร้อนของมหาเศรษฐีคนหนึ่ง ที่หลังๆไม่ค่อยได้มาพักอย่างที่ตั้งใจไว้ จึงเปิดให้เช่าพักราคาถูกแลกกับการต้องทำความสะอาดบ้านทั้งหลัง

พวกเขาไปถึงสถานีรถไฟมานาซุรุกันตอนประมาณเจ็ดโมงครึ่ง แต่ละคนต่างกำลังหิวได้ที่ ยามาซากิ รินที่ปัจจุบันรับหน้าที่เป็นฝ่ายจัดการทัวร์จึงเดินนำไปยังร้านอาหารที่ได้จองไว้

ปัจจุบันทีมที่คอยดูแลกิจกรรมต่างๆของชมรมจะมีจำนวนคนเยอะขึ้น เมื่อก่อนนั้นนาโอโตะจะควบรวมหลายๆตำแหน่งไว้แต่เพียงผู้เดียว แน่นอนว่าไม่ได้เป็นเพราะความตั้งใจของเจ้าตัวทั้งหมด แต่เมื่อเรย์เริ่มจะทำอะไรสักอย่าง เขามักจะดึงนาโอโตะให้มาร่วมด้วยอยู่เสมอ อีกอย่างหนึ่งคือ ช่วงที่พวกเขาเพิ่งอยู่ปีหนึ่งหรือปีสอง สมาชิกชมรมยังน้อยกว่านี้มาก จนกระทั่งพวกเขาเรียนชั้นปีที่สาม นาโอโตะจึงแจกจ่ายงานที่ตนดูแลอยู่ให้รุ่นน้องบางคนคอยช่วยเหลือ พาไปแนะนำตัวกับเครือข่ายกลุ่มคนที่พวกเขารู้จัก เพื่อให้รุ่นน้องในชมรมได้สร้างสายสัมพันธ์ต่อไป

คฤหาสน์ฤดูร้อนในคราวนี้ก็เป็นของหนึ่งในคนรู้จักของเรียวตะ ถึงจะเรียกว่าคฤหาสน์ แต่มันเป็นแค่เพียงบ้านพักขนาดสองชั้น ชั้นบนมีห้องนอนจำนวนห้าห้อง ข้างล่างอีกสองห้องแต่ละห้องมีห้องน้ำในตัว มีห้องครัว ห้องทานอาหาร ห้องนั่งเล่น และระเบียงลอยชั้นสอง

ตอนที่พวกเขาไปถึง คุณตาสูงวัยได้มายืนรออยู่แล้ว

“นี่กุญแจบ้านครับ ผมเปิดน้ำและไฟไว้ให้แล้ว แต่ถ้ามีปัญหาอะไรไปตามผมได้”คุณตาคนเฝ้าบ้านบอกตำแหน่งที่อยู่ของตน อธิบายตำแหน่งข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน และสิ่งที่ต้องจัดการก่อนทุกคนจะเดินทางกลับ จากนั้นผู้ดูแลบ้านจึงขอตัวกลับ

“เอาละ เดี๋ยวเราคุยเรื่องที่นอนกันก่อน”มาเอดะ คาโอรุออกไปยืนด้านหน้าทุกคนและเริ่มต้นพูด “เพราะคนที่พักในห้องนั้นๆจะต้องทำความสะอาดกันเอง”คาโอรุให้จับกลุ่มกันตามความสะดวกใจ ก่อนจะแบ่งหน้าที่ทำความสะอาดให้แต่ละคนรับผิดชอบ จากนั้นปล่อยให้แยกย้ายกันเอาของไปเก็บและไปทำความสะอาดที่หลับที่นอนกันเป็นอันดับแรก

หลายคนในชมรมค่อนข้างจะกระตือรือร้น เพราะมีห้องนอนชั้นบนบางห้องที่เห็นวิวทะเล กลุ่มผู้ชายต่างสละให้สาวๆเลือกเป็นอันดับแรก ทาคุมิจึงพาฮารุโตะไปยังห้องนอนอีกด้าน

“ไม่เห็นต้องไปแย่งกันเลย เดินออกไปหน้าบ้านก็เป็นทะเลแล้ว”เจ้าตัวให้เหตุผลอย่างนั้น ชายหนุ่มรุ่นพี่ที่เดินตามหลังมาไม่มีอะไรโต้แย้ง เพราะตั้งแต่อยู่ในชมรมนี้ เขาได้ไปเที่ยวทะเลทุกปี

ในห้องมีแค่สองเตียง แต่พวกเขาต้องแบ่งมานอนอย่างน้อยห้องละห้าถึงหกคน ซากิขมวดคิ้วทันทีที่เห็นสภาพภายในห้อง ต่างจากรุ่นน้องอีกสองคนที่เปิดประตูตู้สำรวจของที่อยู่ข้างในก่อนเป็นอันดับแรก

“โย่ว ห้องนี้คนครบยังคร้าบ”คนที่โผล่หน้าเข้ามาเป็นฟุจิฮาระ ไคโตะ “ผมนอนด้วยได้ป่ะ”

แล้วซาโต้ อัตซึชิก็ตามมาติดๆ ส่วนคนสุดท้ายเป็นฮายาชิ เรียวตะ “ฉันด้วยๆ มีสองเตียงเรอะ”

“ในตู้มีฟูกอีกเพียบครับ”ทาคุมิตอบ

“อย่างนั้นพวกผมยกเตียงให้พวกรุ่นพี่ในฐานะที่อาวุโสสูงสุด”ไคโตะพูด

“แหมะ เป็นเกียรติแท้ เหมือนไม่ค่อยดีใจเลยว่ะ ฉะนั้นเอาฟูกนอนออกมาแค่สามอันพอ”

“อ้าว ทำไมละครับ”ฮารุโตะร้องออกมาอย่างแปลกใจ ในเมื่อห้องนี้มีจำนวนคนทั้งหมดหกคนนี่นา

“เถอะน่า ไว้คืนนี้ก็รู้”ทาคุมิตบบ่าเพื่อนอย่างนึกอ่อนใจ ฝ่ายเรียวตะจึงหันไปคุยกับเพื่อนสนิทของตน “ถ้ามีเสียงอะไรแปลกๆ ฉันลุกขึ้นมาถีบจริงๆนะเว้ย”

“ฉันไม่บ้าขนาดนั้นหรอก”

อัตซึชิหัวเราะ พลางเดินเข้ามายกฟูกนอนออกไปตาก ทั้งทาคุมิและไคโตะจึงเดินเข้ามายกของตัวเองไปบ้าง ฮารุโตะเห็นคนอื่นเริ่มทำงานจึงดึงผ้าคลุมเตียง ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนมากองรวมกันเพื่อเตรียมไปซัก ซากิจึงยกกองผ้าเหล่านั้นลงไปข้างล่าง ถัดจากห้องครัวเป็นพื้นที่ซักล้างและที่เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด มีเครื่องซักผ้าขนาดยี่สิบกิโลกรัมตั้งอยู่สองเครื่อง อีกเครื่องเป็นขนาดสิบจุดห้ากิโลกรัม

ซากิวางผ้าใส่ตะกร้า ซึกิซากะกำลังดูและคัดแยกผ้าเพื่อซักทำความสะอาด เขาจึงเดินไปหยิบอุปกรณ์อื่นๆกลับขึ้นไปข้างบนอีกรอบ สมาชิกทุกคนต่างกำลังขะมักขะเม้นอยู่กับหน้าที่ของตน ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มห้าสาวเพื่อนของร่วมคณะของฮารุโตะ ที่ได้ยินเสียงบ่นกระปอดกระแปดดังมาบ้าง

งานทุกอย่างเรียบร้อยก่อนเที่ยงพอดี

กับข้าวมื้อกลางวันทั้งหลายวันนี้เป็นฝีมือของสมาชิกสาวๆอีกเช่นเคย และเนื่องจากสมาชิกในชมรมมีจำนวนมากกว่าจำนวนเก้าอี้ที่นั่งให้ครัว หลายคนจึงกระจายไปนั่งที่ระเบียงชั้นสองบ้าง ในห้องนั่งเล่นบ้าง

ฮารุโตะชวนทาคุมิไปเล่นน้ำด้วยกันทันทีที่ทานอาหารเสร็จ ดังนั้นหลังจากที่สองคนนั้นล้างจานชามของตัวเองเรียบร้อย จึงวิ่งกลับขึ้นไปเปลี่ยนชุดกันทันที คราวนี้ฮารุโตะมีทั้งบอร์ดฝึกว่ายน้ำและครีมกันแดดของตัวเองมาด้วย

“ขนบอร์ดมาด้วยเลยหรือ”

“ผมว่ายน้ำไม่เป็นละ ปีที่แล้วพวกรุ่นพี่ช่วยหัดให้แล้ว ปีนี้เลยว่าจะมาฝึกว่ายน้ำต่อ”

“อย่างนี้ก็ไม่ได้เล่นด้วยกันอ่ะดิ”

“เล่นด้วยกันซิ”ฮารุโตะบอกขณะเทครีมกันแดดทาตัว ทาคุมิจึงเดินมาแบมือขอบ้าง ฮารุโตะเทให้จากนั้นจึงบีบครีมกันแดดใส่มือตัวเองอีกครั้ง แล้วเดินอ้อมไปทาบนแผ่นหลังของทาคุมิ เด็กหนุ่มตัวสูงกว่าจึงทำเช่นเดียวกัน

“ก็นายจะหัดว่ายน้ำ”

“งั้นหัดด้วยกัน”ฮารุโตะพยายามหาทางออกให้ ซากิตามขึ้นมาทันสองคนนั้นกำลังคุยกันหงุงหงิง ผลัดทาครีมกันแดดให้กัน เขานิ่งมองอยู่ที่กรอบประตูกระทั่งหนึ่งในสองคนหันมา

“รุ่นพี่ชิมิซึไปเล่นน้ำด้วยกันไหมครับ”ฮารุโตะถาม

“ไม่ละ พวกนั้นมันชวนไปเดินดูรอบๆ”

ทาคุมิมองตามรุ่นพี่ร่างสูงที่เดินเข้ามาหยิบกระเป๋ากล้องด้วยความสงสัย “รุ่นพี่ไม่ตามไปเฝ้าหรือครับ”

คนถูกถามเลิกคิ้ว “เฝ้า? เฝ้าเพื่อ?”

“ก็... แบบ...”นึกว่าจะหวงฮารุโตะไม่อยากให้เขามาตามเกาะแกะ ทาคุมิตอบในใจ ทว่าสิ่งที่พูดออกไปกลับเป็นประโยคอื่น “ฮารุจังว่ายน้ำไม่เป็นนี่ครับ”

“ที่หาดมีพวกที่ชมรมอยู่ นักท่องเที่ยวคนอื่นก็เยอะแยะ คงไม่มีใครปล่อยให้คนจมน้ำหรอกมั้ง”จากนั้นจึงหันมาวางมือบนศีรษะของหนุ่มรุ่นน้อง “อย่าว่ายไปที่ลึกๆละ”

“ครับ”ฮารุโตะตอบรับพร้อมรอยยิ้ม


ชายหาดของเมืองมานาซุรุเต็มไปด้วยโขดหินเสียเป็นส่วนใหญ่  มีแค่บริเวณพื้นที่ที่เยื้องกับหน้าบ้านพักไปเล็กน้อยเท่านั้นที่เป็นหาดทรายเรียบ หลายคนจึงนิยมมาเล่นน้ำบริเวณนี้

ฮารุโตะถือบอร์ดว่ายน้ำเดินนำหน้า เมื่อก้าวเท้าลงน้ำเขาจึงหันไปมองคนที่เดินตามหลังมา ทาคุมิดูจะไม่ตื่นเต้นเท่าที่เขาคาดหวังไว้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาพูดคุยเรื่องการมาทะเลอย่างสนุกสนาน เด็กหนุ่มเดินกลับไปหา จับปลายนิ้วชี้ของอีกฝ่ายดึงให้ก้าวเดินตาม

“ลงน้ำกัน”

ทาคุมิขมวดคิ้ว มองปลายนิ้วที่ถูกจับไว้และยกขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา “นี่รังเกียจกันเรอะ”

“เปล่า”

“ถ้าอย่างนั้นก็จับให้มันเต็มไม้เต็มมืออย่างนี้สิ”ทาคุมิเป็นฝ่ายกุมมือฮารุโตะไว้เสียเอง

“ผู้ชายสองคนจับมือกันแบบนี้ มันจะไม่ดูแปลกหรือ”ฮารุโตะว่า ขณะที่เดินลงไปในน้ำที่ลึกขึ้น และมาหยุดลอยคอเกาะบอร์ดว่ายน้ำเมื่อเดินลุยมาถึงจุดที่ระดับน้ำอยู่แค่เอว

“อ้าว แล้วไม่เคยจับมือกับรุ่นพี่ชิมิซึหรือ”

“เคย แต่มันไม่เหมือนกัน”

“ทำไม อย่างไร ไม่เหมือนกันอย่างไร”ทาคุมิถามอย่างใคร่รู้

ฮารุโตะเบือนหน้าหลบสายตา สองแก้มออกสีแดงเรื่อเล็กน้อย “ไม่เหมือนก็ไม่เหมือนน่ะแหละ”

ทาคุมิมองคนที่ชอบอมพะนำด้วยอาการหมั่นไส้ออกนอกหน้า รู้สึกคันคะเยอด้วยความอยากรู้อยากเห็น ขนาดเขาไปรวมแก็งกับพวกรุ่นพี่ฮายาชิยังไม่รู้อะไรเพิ่มเติม ฝั่งรุ่นพี่ชิมิซึก็ปากหนักไม่เคยหลุดบอกอะไรกับกลุ่มเพื่อนสักคำ ฟากฮารุโตะก็พูดน้อยราวกับกลัวดอกพิกุลจะร่วง คนดูอย่างเขาลุ้นจะแย่

“เหอะ นายอาจจะคิดเองไปฝ่ายเดียวก็ได้”

ผู้เป็นเพื่อนหันมามองอย่างสงสัย “คิดอะไร”

“ก็...รุ่นพี่ชิมิซึอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับนายเลยก็ได้”ทาคุมิใส่ไฟแล้วรอดูปฏิกิริยา สังเกตท่าทางของฮารุโตะซึ่งดูหงอยเหงาลงเหมือนดอกไม้โดนแดดจัดแล้วขาดน้ำไม่มีผิด คำพูดคำจาที่ตอบกลับมาราวกับจะยอมรับในชะตากรรม

“อือ เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วละ”

“แล้วไม่คิดจะทำอะไรหน่อยหรือ นายไม่ชอบรุ่นพี่หรือไง”

“เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว”คนพูดยิ้มให้ แต่เป็นยิ้มที่ดูจืดเจื่อนเหลือเกินในความคิดของเขา ครั้งก่อนก็รอบหนึ่งแล้ว ที่บอกว่าชอบได้ก็เลิกชอบได้ ฟังดูเหมือนรุ่นพี่ชิมิซึไม่ได้มีความสำคัญสักเท่าไหร่ และที่สำคัญ ฮารุโตะทำได้อย่างปากว่า ไม่ทุกข์ร้อนกับการขาดใครสักคนไปในชีวิต ครั้นรอบนี้ที่กลับมาจี๋จ๋ากันอีก เขาคิดว่ามันควรจะต้องมีอะไรที่พัฒนาขึ้นบ้าง

“นายชอบรุ่นพี่จริงๆหรือเปล่า ไม่ใช่ชอบดิ...ต้องเรียกว่า รักอ่ะ รักรุ่นพี่ชิมิซึบ้างหรือเปล่า”

คนถูกถามก้มหน้านิ่งคิด คนถามจึงต้องรออย่างใจเย็น ฟังเสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งคลอกับเสียงพูดคุยของผู้คนรอบกายที่ดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ ทาคุมิยังคงมองหน้าฮารุโตะอย่างรอคอยคำตอบ เป็นครู่ใหญ่กว่าที่อีกฝ่ายจะเงยหน้าขึ้นมายกยิ้มแหยๆ

“ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ”

“โธ่!!!”คนรอโอดครวญ ว่าจะถามต่อ กะจะคั้นเอาความรู้สึกจริงๆออกมาให้ได้ แต่กลับโดนคู่สนทนาตัดบทไปเสียก่อน

“ช่างมันเถอะ เดี๋ยววันหนึ่งก็รู้เองล่ะ”

“กว่าจะรู้ก็กลัวว่าจะเมื่อสายนะดิ”

ฮารุโตะไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่หัวเราะกลบเกลื่อน


กลุ่มรุ่นพี่นัดหมายเวลากันไว้ตอนบ่ายแก่ๆ ฮารุโตะกับทาคุมิจึงใช้เวลาเล่นน้ำแค่หนึ่งถึงสองชั่วโมงแล้วกลับขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ซึ่งตอนนั้นพวกรุ่นพี่ชิมิซึยังนั่งคุยกันอยู่แถวระเบียงชั้นสอง แต่สมาชิกในชมรมหลายคนทยอยเดินเข้าไปในเมืองบ้างแล้ว เมื่อเดินออกมาสมทบ รุ่นพี่อาโอกิก็ส่งน้ำกับขนมมาให้ทานก่อนเป็นอันดับแรก

“เย็นนี้ไม่มีข้าวเลี้ยงนะ ต้องไปหากินกันในเมือง”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ ดึงผ้าขนหนูที่คล้องคอไว้ขึ้นมาเช็ดศีรษะ เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนถูกเปลี่ยนกลับมาเป็นสีดำเมื่อหลายเดือนก่อน อีกมือถือขนมที่บางส่วนโดนกัดเคี้ยวอยู่ในปาก นั่งฟังรุ่นพี่แก็งอดีตประธานชมรมคุยไปพลาง กินขนมไปพลางจนเริ่มอิ่ม ทาคุมิจึงได้ฤกษ์อาบน้ำแต่งตัวเสร็จออกมาปรากฎตัวให้เห็น และเหมือนทุกคนเองก็รอคนที่เพิ่งมาถึงอยู่คนเดียว เพราะทันทีที่เห็นทาคุมิอยู่ในครรลองสายตา พวกรุ่นพี่ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ฮารุโตะจึงหยิบทั้งจานทั้งเหยือกน้ำลงไปเก็บในครัวข้างล่าง ก่อนหน้านั้นเขายื่นจานใบเล็กที่มีขนมเหลืออยู่สองสามชิ้นให้กับเด็กหนุ่มเพื่อนร่วมคณะ

งานเทศกาลประจำปีของเมืองมานาซุรุจัดขึ้นเป็นเวลาสองวัน วันแรกจะมีขบวนแห่ซึ่งเหล่าผู้ชายในเมืองจะทำการแบกศาลเจ้าจำลองลงบันไดจากศาลเจ้าคิบุเนะ ผ่านหมู่บ้านเพื่อข้ามทะเลโดยการล่องเรือที่ถูกประดับตกแต่งอย่างสวยงามไปตามชายฝั่งเพื่อเป็นการขอพรให้สามารถจับปลาได้มากและปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางเรือ ส่วนวันที่สองจะเป็นการนำศาลเจ้าจำลองกลับสู่ศาลเจ้าอีกครั้ง

เขาเดินตามกลุ่มรุ่นพี่มาดูขบวนแห่ศาลเจ้าจำลอง ผู้คนจะเต้นรำคะชิมะโดยไม่มีการหยุดพัก และในระหว่างที่นำศาลเจ้าจำลองล่องไปในทะเลจะมีการจุดพลุตลอดเวลา เรือที่ถูกประดับตกแต่งอย่างสวยงานในเวลากลางวัน มีการประดับไฟไว้เพื่อให้สว่างสวยงามในเวลากลางคืนด้วยเช่นเดียวกัน

ดังนั้น กว่าที่พวกเขาจะถึงที่พักจึงเป็นเวลาค่อนดึก เพราะนอกจากตามดูพิธีกรรมต่างๆแล้ว ยังเดินเที่ยวเถลไถลอยู่ในเมือง ตอนที่มาถึงห้องซึ่งจับจองไว้ ปรากฏว่าอัตซึชิและไคโตะมานอนหลับอยู่ก่อนแล้ว

คราวนี้ฮารุโตะปล่อยให้คนอื่นอาบน้ำก่อนบ้าง และเข้าอาบน้ำเป็นคนสุดท้าย ออกจากห้องน้ำมาสมาชิกในห้องคนอื่นต่างหลับสนิท เด็กหนุ่มยืนลังเลเพราะไม่รู้ว่าต้องนอนที่ไหน จนคนที่นอนอยู่บนเตียงกวักมือเรียก เขาเดินเข้าไปหา

“มานอนสิ”

เขาก้าวขึ้นเตียงและสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มที่อีกฝ่ายเปิดไว้รอ ขยับตำแหน่งให้เข้าที่ก่อนจะหลับตาลง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-03-2017 11:01:30 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
รุ่งอีกวันฮารุโตะตื่นแต่เช้ามืดอีกครั้ง เนื่องจากรุ่นพี่ฮายาชิชวนเขาไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่ตอนที่ตื่นขึ้นมาทั้งรุ่นพี่ชิมิซึและรุ่นพี่ฮายาชิต่างเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงจะยังรู้สึกง่วงๆงงๆ แต่เขาบอกให้ทั้งสองคนรอประเดี๋ยว จากนั้นจึงเข้าไปจัดการธุระของตัวเองอย่างรวดเร็ว

ออกมาเจอหน้าริเอะโกะ เธอทำให้ฮารุโตะแปลกใจไม่น้อย เขาไม่ได้แปลกใจที่เห็นเธอ เพราะเมื่อวานเขาเห็นเธอตามติดรุ่นพี่ชิมิซึไปทุกที่  เขาแปลกใจที่เห็นใบหน้าของเธอสวยเนี้ยบด้วยเครื่องสำอางทั้งที่เมื่อคืนก็กลับมาดึกดื่นค่อนคืนเหมือนกัน ยามที่มองใบหน้าซึ่งถูกแต่งแต้มมาอย่างสวยงามของเธอแล้ว มันให้ทั้งความรู้สึกทึ่งและชื่นชมในฝีมือของเธอ

ท้องฟ้าด้านนอกยังมืดครึ้มเห็นแต่แสงเรืองรองลางๆที่ปลายขอบฟ้า สองหนุ่มรุ่นพี่จึงเร่งฝีเท้าเดิน ทีแรกรุ่นพี่ชิมิซึหันกลับมามองเขาและทำท่าจะหยุดรอ แต่เขาโบกมือบอกให้เดินนำหน้าไปได้เลย  จากนั้นจึงทอดน่องเดินเอื่อยๆ สูดกลิ่นเกลือและสัมผัสลมเย็นๆยามเช้า ระหว่างทางเจอรุ่นพี่ในชมรมอีกหลายคนกำลังหามุมถ่ายรูปเช่นเดียวกัน

เขาก้าวเท้าไปตามทางที่รุ่นพี่ชิมิซึเดินนำไปก่อนหน้า

“ไง”ริเอะโกะเข้ามาทัก ฮารุโตะไม่หยุดเท้า เขาสาวเท้าให้เร็วขึ้นไปอีก อีกฝ่ายจึงเดินตามมากระชากไหล่ พวกเขาอยู่บนถนนทางขึ้นเขาในอุทยาน ท้องฟ้าเริ่มสว่างมากขึ้นจนไม่ต้องใช้แสงไฟตามทางเดิน

“อย่ามาทำเป็นเมินฉันนะ”

จากที่ก้มหน้ามองพื้นอยู่ เขาจึงเงยหน้ามอง ฉับพลันนั้นเอง เขากลับโดนตบจนหน้าหันน้ำตาร่วงผล็อยทันที ฮารุโตะยกมือขึ้นกุมหน้า ความเจ็บแสบเริ่มแล่นริ้วมากขึ้นทุกขณะ เด็กหนุ่มร้องไม่ออกแต่น้ำตาร่วงออกมาเป็นสาย มือสั่นระริก ในหัวว่างเปล่าทำอะไรไม่ถูก

“ฉันเคยเตือนไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าอย่ามาทำตัวแรดอ่อยรุ่นพี่”

“ป...เปล่า”เสียงคำตอบนั้นหลุดออกไปกระท่อนกระแท่น

“แล้วที่ทำอยู่มันเรียกว่าอะไร”โดนผลักศีรษะซ้ำจนเซแทดๆ “ไปนอนกกเขาขนาดนั้น ยังกล้าพูดว่าไม่ได้อ่อย”

“ตัวเองไม่มีปัญญาทำได้อย่างผมใช่ไหมละ ถึงมาโมโหใส่แบบนี้”ฮารุโตะตวัดสายตามองหน้าเถียงกลับไป เขาไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่เคยบอกห้ามหนุ่มรุ่นพี่หรือเข้าไปยุ่งวุ่นวายตอนที่ริเอะโกะอยู่กับรุ่นพี่ชิมิซึเลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมต้องมาทำแบบนี้

“แกเถียงเรอะ”

ฮารุโตะถอยเท้าหนียกมือขึ้นปัดป้องเมื่ออีกฝ่ายตามมาผลักและพยายามจะตบซ้ำ

“แกเถียงฉันเหรอ แกเถียงฉันใช่ไหม”

ความเจ็บปวดเร่งเร้าให้เขาหาทางเอาตัวรอด เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายผลักหญิงสาวให้ออกห่างจากตัวบ้าง เธอล้มลงเพราะยืนอยู่บนทางลาดในตำแหน่งที่ต่ำกว่าบวกกับแรงของเขา ฮารุโตะหันหลังวิ่งหนี แต่ดูเหมือนว่าอารมณ์เดือดดาลเลือดขึ้นหน้าของหญิงสาวจะมากกว่า เธอลุกขึ้นตามมากระชากศีรษะของเด็กหนุ่มได้ทันในระยะทางไม่ไกล เธอตบเขาซ้ำจนเด็กหนุ่มผู้ซึ่งมีขนาดตัวใกล้เคียงกันทรุดลงกับพื้น กระนั้นเขาก็ไม่ได้งอมืองอเท้าให้เธอกระทำอยู่ฝากเดียว ฮารุโตะใช้ทั้งมือทั้งเท้าพยายามยันให้ตัวริเอะโกะออกห่าง จนร่างของหญิงสาวเซถลาเกือบร่วงขอบทางที่มีเพียงรั้วกั้นเตี้ยๆ  ในจังหวะนั้น เด็กหนุ่มก้าวตามไปคว้าตัวเธอไว้ได้ทัน แต่ความฉุนเฉียวของริเอะโกมีมากมายจนทำให้เธอหูหนวกตาบอด หลังจากที่กลับมายืนได้มั่นคง เธอกลับเป็นฝ่ายผลักเด็กหนุ่มให้ร่วงลงไปเสียเอง

ป่าข้างทางไม่ได้ลาดชัดจนไม่สามารถทรงตัวยืนได้ แต่เพราะฮารุโตะถูกผลักให้หงายหลังโดยไม่ทันตั้งตัว เขาล้มกลิ้งไปกระแทกกับต้นไม้และไถลร่วงไปตามทาง โลกพลิกคว่ำพลิกหงายจนไม่อาจหยุดยั้งทรงตัวได้ กระแทกก้อนหินกิ่งไม้ซ้ำไปซ้ำมา กว่าที่ร่างของเขาจะกระทบพื้นราบ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกพลับช้ำๆที่ถูกทุบจนน่วม ความเจ็บปวดแบบนี้เหมือนจะเคยชินแต่เขาไม่ชินกับมันเสียที  ฮารุโตะได้แต่นอนนิ่ง แขนขาชาไร้ความรู้สึก ที่เลวร้ายกว่านั้นคือเขายังคงมีสติ แม้จะยังมึนงงแต่ความเจ็บปวดตามร่างกายค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้น ประสาทสัมผัสเริ่มกลับมาชัดเจนอีกครั้ง เขาได้ยินเสียงคลื่นซัดสาดดังชัดที่ข้างหู ร่างกายส่วนหนึ่งเหมือนแช่อยู่ในน้ำ และแสงแดดจัดแรงจ้าจนต้องหยีตา

“ช... ช่วย...ด้วย ใครก็ได้ช่วยที”เสียงร้องของเขาแผ่วเบา ทว่าเขาต้องพยายามร้องออกไปเท่าที่แรงกำลังจะอำนวย


กระทั่งพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้ามาทั้งดวงแล้ว ฮารุโตะก็ยังเดินตามมาไม่ถึงเสียที ซากิขมวดคิ้วหันมองทางเดินที่ขึ้นมายังจุดชมวิว ก่อนจะรีบเก็บกล้องลงกระเป๋าแล้วหันไปหาริเอะโกะที่นั่งอยู่ไกล

“มิอุระไปไหน”

“ไม่ทราบค่ะ ฉันเดินนำขึ้นมาก่อนไม่ทันสังเกตเหมือนกัน”เธอตอบ ก่อนจะชวนคุยต่อไปอีกว่า “รุ่นพี่จะกลับแล้วใช่ไหมค่ะ ถ้าอย่างนั้นเราไปหาอะไรกินกันไหม”

ซากิไม่ตอบ เขายกกระเป๋าขึ้นสะพายไหล่พร้อมทั้งก้าวเท้าเร็วๆเดินลงไปตามทาง ระยะทางจากจุดที่เขาอยู่กว่าจะถึงบ้านพักค่อนข้างไกล ระหว่างนั้นเขาไม่เจอสมาชิกในชมรมคนอื่น ไม่เจอแม้กระทั่งคนที่เขากำลังมองหา

เมื่อกลับมาถึงบ้านพักเป็นช่วงเวลาที่สมาชิกในชมรมกำลังทานข้าวเช้ากันพอดี ทาคุมิกำลังนั่งฝอยแตกฟองขณะกำลังถือตะเกียบอยู่ในมือ

“มิอุระละ”

“ไปกับรุ่นพี่ไม่ใช่หรือครับ แถมยังทิ้งผมไว้คนเดียว ไม่...”

“หยุดพูดได้แล้ว”เขาตวาดเสียงดัง ในนาทีนั้นซากิถึงได้สังเกตเห็นว่าเรียวตะเองเดินตามเขากลับมาติดๆ เมื่อเพื่อนสนิทมาจับไหล่รั้งให้เขาใจเย็นลง “เห็นมิอุระกลับมาหรือยัง”

“ยังไม่เห็นเลยครับ”

คนถามหุนหันเดินออกไป ทาคุมิเห็นท่าไม่ดีจึงรีบโซ้ยข้าวที่เหลือเข้าปากรีบยกจานชามไปเก็บล้าง ขณะที่เรียวตะตามไปรั้งเพื่อนร่างสูงให้หยุดตั้งสติ

“ใจเย็นๆก่อน”

“มีอะไรหรือ”

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

เรย์และคาโอรุตามถามไถ่เมื่อสังเกตเห็นความวุ่นวายเล็กๆที่เพิ่งเกิดขึ้น คนที่ตอบคำถามของทั้งสองคนเป็นเรียวตะ

“ฮารุโตะหายไป เมื่อตอนเช้ามืดพวกฉันชวนกันไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น แต่พวกฉันเห็นว่ามันเริ่มจะสายแล้ว เลยรีบเดินไปก่อนทิ้งให้น้องมันตามมาทีหลัง แต่จนกลับลงมาแล้วก็ยังไม่เจอ”

“พวกผมเองก็ยังไม่เห็นว่ามิอุระคุงเดินกลับลงมาจากเขานะครับ”คาโอรุบอก “ผมถ่ายรูปกันอยู่แถวท่าเรือ”

“เด็กนั่นได้แวะคุยกับนายบ้างหรือเปล่า บอกอะไรบ้างไหม”

“เปล่านะครับ ไม่ได้คุยกัน แล้วโยชิดะซังว่าอย่างไรครับ ผมเห็นเดินตามกันไป”

ซากิมองหาริเอะโกะทันที เห็นเธอเพิ่งมาหยุดเท้าอยู่หน้าบ้านพัก เขาถลาเข้าไปกระชากตัวเธอไว้ “เธอโกหก บอกมาว่าเกิดอะไรขึ้น” ซากิจับตัวเธอเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน “พูดความจริงออกมา เธอทำอะไร”

ทั้งเรย์และเรียวตะจึงต้องรีบเข้าจับตัวซากิแล้วดึงให้ห่างออกมา เสียงเอะอะโวยวายเรียกให้สมาชิกคนอื่นมารวมตัวกันมากขึ้น เอคิจิเดินเข้ามารวมกลุ่มบอกให้เขาใจเย็นๆก่อน

“ได้ลองโทรหาหรือยัง”

“ฉันโทรแล้ว ยังไม่มีคนรับสาย”นาโอโตะตอบกลับมา มือข้างหนึ่งกำลังถือโทรศัพท์แนบหูและทาคุมิก็กล่าวเสริมขึ้นมาอีกว่า “ผมขึ้นไปดูบนห้องแล้วครับ ฮารุจังเอาโทรศัพท์ติดตัวไปด้วยแน่นอน”

“ใจเย็นๆ เดี๋ยวพวกเราลองไปตามหาดูก่อน คิดในแง่ดีไว้”เอคิจิพูด ก่อนจะเกณฑ์กำลังคนออกไปให้ช่วยกันตามหา

เพราะคาโอรุบอกว่ายังไม่เห็นหนุ่มรุ่นน้องกลับลงมาจากอุทยานบนเขา เอคิจิจึงบอกให้ทุกคนไปช่วยกันตามหาที่นั่นเป็นที่แรก ทางเดินบนเขามีจุดแยก เขาจึงให้ทุกคนกระจายกันออกไป ทั้งยังไปแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ช่วยเหลือ กระทั่งแต่ละกลุ่มเดินวนมาบรรจบกัน ก็ยังไม่เจอคนที่ตามหาเสียที ซากิร้อนรนหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด

เอคิจิยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เหลือเวลาอีกไม่นานจะถึงกำหนดการณ์เดินทางกลับของพวกเขา ชายหนุ่มจึงบอกกลุ่มเพื่อนและรุ่นน้องให้กระจายเดินไล่ตามหาในเมืองอีกรอบและกลับไปเจอกันที่บ้านพัก

“เดี๋ยวฉันจะให้คนอื่นกลับไปก่อน ฉันโทรบอกคุณลุงแล้ว เดี๋ยวเขาจะออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ที่นี่ช่วยหาให้”

“ฉันจะอยู่รอจนกว่าจะได้ข่าว”ซากิพูดพลางกดโทรศัพท์โทรออกอีกครั้ง แม้จะไม่มีคนรับสาย แต่มันเป็นความหวังเพียงอย่างเดียว!!!


หิวน้ำ...

ลำคอของเขาแห้งผากราวกับจะกลายเป็นผง ท้องฟ้าที่เขาเห็นตรงหน้าเป็นสีฟ้าจัด แสงแดดที่สาดส่องมาร้อนแรงจนเขารู้สึกว่ากำลังจะกลายเป็นลูกพลับตากแห้ง เมื่อพยายามจะขยับตัวก็พบว่าเจ็บทรมานจนต้องยอมนอนนิ่งอยู่เช่นนั้น แขนข้างขวาปวดจนยกไม่ขึ้น ส่วนแขนข้างซ้ายแม้จะมีอาการขัดยอกแต่ยังใช้การได้ดี ทิวทัศน์ที่อยู่ในกรอบสายตามีแต่ต้นไม้และท้องฟ้า ทางที่ดีคือเขาควรลุกจากตรงนี้และหาทางกลับขึ้นไปข้างบน

เขากลั้นใจพลิกตัวนอนตะแคง ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้แล่นลามไปทุกส่วนทันที น้ำตาไหลโดยไม่อาจกลั้น

จะมีใครคิดตามหาเขาบ้างไหม รุ่นพี่ชิมิซึจะรู้หรือเปล่าว่าเขาหายไป จะห่วงกังวลบ้างหรือเปล่า เขาอดที่จะคิดไม่ได้ ก่อนจะรวบรวมแรงกำลังอีกเฮือกใช้แขนข้างซ้ายยันตัวลุกขึ้นนั่ง ทุกครั้งที่หอบหายใจเขารู้สึกเจ็บร้าวในอกมากขึ้นกว่าเดิม ขาข้างซ้ายปวดจนขยับได้ลำบาก มีแค่เท้าขวาที่ยังพอใช้การได้ ขยับยันพื้นพิงตัวกับแผ่นหินที่ร้อนจนสะดุ้ง เพราะเหตุนั้น เขาจึงต้องค่อยๆวางศีรษะแนบลงไป

เด็กหนุ่มหลับตาหอบหายใจ ก่อนจะเงยหน้ามองภูเขาด้านบน นึกคำนวณคร่าวๆว่ามันสูงสักแค่ไหนกัน เริ่มลังเลว่าควรปีนกลับขึ้นไปด้านบน หรือนั่งรออยู่ตรงนี้จนกว่าคนมาเจอ แต่ไม่ว่าทางไหนก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าเขาจะรอดกลับไปได้เลย

พลันฉุกคิดถึงโทรศัพท์มือถือ เขาตบกระเป๋า แต่ไม่ว่ากระเป๋าข้างไหนก็ไม่มี นึกหมดอาลัยตายอยากขึ้นมาอีกรอบ จากนั้นจึงหลับตานอนพัก ความเจ็บปวดที่ได้รับกระตุ้นพาความทรงจำในวัยเยาว์ให้หวนย้อนกลับมาชัดเจนอีกครั้ง

คืนวันนั้นร้อนระอุ เขานั่งทำการบ้านสำหรับปิดเทอมหน้าร้อน พร้อมกับนั่งรอพ่อไปพลาง อาหารเย็นที่เพียรพยายามทำออกมาหน้าตาดูดีจนอยากอวด แต่ดึกมากแล้วพ่อยังคงไม่กลับมาเสียที เขาฝืนทนไม่ไหวจึงต้องยอมล้มตัวลงนอน เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนแม่หายออกไปจากบ้าน พ่อพยายามตามหาแต่ก็ยังหาไม่เจอ เขาไม่รู้สึกอะไรมากกับการที่แม่หายไป แต่เพราะพ่อเศร้าและทุกข์ใจมาก เขาจึงคิดว่าจะออกไปตามแม่บ้าง ถ้าแม่กลับมาพ่อจะได้มีความสุขเหมือนเดิม

เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นทำให้เด็กชายรู้สึกตัว เขาลุกขึ้นเปิดไฟเดินงัวเงียออกไปที่หน้าประตู ท่าทางของพ่อที่เห็นดูแปลกไป แต่เขาก็ร้องเรียกหาและเข้าไปกอดขา จากนั้นพ่อจะจับตัวเขายกขึ้นอุ้ม ทว่า ทุกอย่างในวันนั้นกลับตาลปัตร เขาโดนสะบัดจนกระเด็นไปไกล เขาส่งเสียงร้องไห้เพราะความตกใจ แต่นั่นกลับทำให้พ่อบันดาลโทสะขึ้นมา ตามเข้ามาเตะเขาซ้ำ ครั้งนี้เขาจุกเจ็บจนร้องไม่ออก ร่างกายสูงใหญ่ทำให้เขาลนลานถอยหนี ใบหน้าที่มองไม่เห็นเพราะถูกบังอยู่ใต้เงาแสงไฟคล้ายปีศาจที่เขาไม่เคยพบ ร่างกายของเขาในวัยที่ยังคงเป็นเพียงเด็กชายสั่นสะท้าน ได้แต่หลับตาคู้ตัวคิดหวังว่าเหตุการณ์นั้นเป็นแค่ฝันร้าย

เสียงเครื่องเรือทำให้เขาสะดุ้งตื่น แดดคล้อยบังเขาจนกลายเป็นร่มเงา เขาเห็นเรือลำเล็กลอยลำเคลื่อนที่อยู่ไม่ไกล บังเกิดเป็นความหวังขึ้นมา ฮารุโตะโบกไม้โบกมือพยายามส่งเสียงกู่ร้อง ยิ่งใจชื้นเมื่อเรือลำนั้นเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ ทันทีที่เรือจอดนิ่งในระยะใกล้ฝั่งมากเท่าจะเป็นไปได้ คนบนเรือก็กระโดดลุยน้ำมาหา

“คุณครับ เป็นอย่างไรบ้างครับ”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ น้ำตารื้นอย่างดีใจ “ขอบคุณครับ ขอบคุณ”เขาได้แต่พร่ำพูดคำนี้ยามที่อีกฝ่ายก้าวเท้าเข้ามาหา

“จำชื่อตัวเองได้ไหมครับ”

“ฮารุโตะ มิอุระ ฮารุโตะ”เสียงของเขาแหบแห้งและแผ่วเบา

“มิอุระซัง ไม่เป็นไรแล้วนะครับ เรากำลังพาคุณไปส่งโรงพยาบาล”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ อุปกรณ์ช่วยเหลือหลายอย่างถูกลำเลียงออกมา เขาถูกเคลื่อนย้ายส่งขึ้นเรือ นอนนิ่งให้กลุ่มคนเหล่านั้นซักถามและปฐมพยาบาลเบื้องต้น ไม่นานนักเด็กหนุ่มก็หลับลงไปอีกครั้งอย่างอ่อนเพลีย


ซากิพุดลุกขึ้นยืนอย่างร้อนรนระคนโล่งใจ รอจนหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทคุยโทรศัพท์เสร็จจึงเอ่ยปากถาม

“หน่วยกู้ภัยเจอฮารุจังแล้ว ตอนนี้กำลังพาไปโรงพยาบาล”

ชายหนุ่มแทบอยากจะเหาะไปโรงพยาบาล ณ เดี๋ยวนั้น เขาก้าวนำหน้าออกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ด้านนอก เรียวตะจัดการหารถมาให้พวกเขาใช้เพื่อความสะดวก เขาก้าวขึ้นนั่งยังที่นั่งตอนหน้าข้างคนขับ อยากจะเป็นคนขับรถเองด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าเรียวตะหาคนขับรถมาด้วย

สมาชิกส่วนใหญ่ในชมรมเดินทางกลับไปกันหมดแล้ว คนที่เหลืออยู่มีแค่กลุ่มเพื่อนสนิทของซากิ เพื่อนร่วมรุ่นของคนที่หายไปเช่นซาโต้ ทาคุมิ และประธานชมรมคนปัจจุบันอย่างมาเอดะ คาโอรุ

“เขาเจอที่ไหน”

“เชิงผาในเขตอุทยาน”

ซากิไม่ได้ถามอะไรอีก เขานั่งเงียบๆออกอาการกระสับกระส่ายจนกระทั่งถึงโรงพยาบาล และทันทีที่รถจอด เขาเปิดประตูวิ่งถลาเข้าไปภายในทันที พาให้กลุ่มเพื่อนต้องรีบวิ่งตาม ซากิแวะถามหาที่อยู่ของเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ก่อนจะสาวเท้าไปหยุดอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เขามองประตูฝ้าตรงหน้านิ่ง ความรู้สึกอคติต่อสถานที่แห่งนี้พวยพลุ่งรุนแรงขึ้นมาในอก ครั้งหนึ่งที่เขายังเด็กกว่านี้ เขาก็ต้องมารับรู้ว่ามารดาผู้เป็นที่รักได้จากไปก่อนวัยอันควร ณ สถานที่นี้เช่นเดียวกัน

เวลาผ่านไปเนิ่นนานในความรู้สึก เตียงนอนซึ่งมีร่างของมิอุระ ฮารุโตะถูกเข็นออกมาจากห้อง ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปหา พิศมองใบหน้าที่ยังหลับตาพริ้ม บนศีรษะมีผ้าก็อชติดอยู่ ดวงหน้าซีดเซียวจนสังเกตเห็นรอยแดงจางๆบนหน้าได้ชัดเจน ซากิขมวดคิ้วแต่ต้องถูกดึงให้ขยับถอยหลัง เมื่อเจ้าหน้าที่แจ้งว่าต้องส่งตัวผู้ป่วยไปแผนกอื่น

สรุปความได้ว่า คนเจ็บร่วงลงมาจากทางเดินบนเขา อาการเบื้องต้นนอกจากรอยขีดข่วนฟกช้ำดำเขียวตามตัว คือแขนขวาหัก กระดูกข้อเท้าข้างซ้ายแตกและกระดูกซี่โครงร้าว ฮารุโตะต้องนอนโรงพยาบาลต่ออีกหลายวันเพราะจำเป็นต้องผ่าตัดใส่เหล็กข้อเท้าข้างซ้าย นอกจากนี้ยังต้องรอให้อาการซี่โครงร้าวค่อยทุเลา แต่นาโอโตะเสนอว่าให้ย้ายกลับไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยจะดีกว่า เพื่อความสะดวกของพวกเขาเองด้วย

ก่อนวันกลับ ซากิ เอคิจิ เรียวตะ และเรย์จึงไปดูจุดที่คาดว่าฮารุโตะร่วงลงไป  ทางเดินขึ้นเขาบริเวณนั้น พวกเขาเดินผ่านกันหลายครั้ง เป็นทางเดินไปยังจุดชมวิวในวันที่พวกเขาขึ้นไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น ไม่ใช่เนินผาลาดชันที่เห็นวิวทิวทัศน์ชัดเจน รอบข้างเป็นป่าโปร่ง ที่เมื่อทอดสายตามองลงไปจะเห็นน้ำทะเลแทรกตัวอยู่ระหว่างหมู่แมกไม้

ซากิก้าวเท้าข้ามรั้วแนวกั้น

“จะทำอะไรว่ะ”เรียวตะตามมารั้งไหล่ไว้ทันที

“ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไมเด็กนั่นถึงร่วงลงไป”

“น่าแปลกจริงๆละ ตรงนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจสักอย่าง”เอคิจิพูดขึ้นมาบ้าง

“แกจะเอาโทษคนทำให้ได้?”เรย์ถาม เดาจากที่เพื่อนหนุ่มขู่ตะคอกกับโยชิดะ ริเอะโกะ คาดว่าเธอเองน่าจะมีเอี่ยว

“ถึงขนาดนี้แล้ว ฉันคงต้องทำอะไรสักอย่าง”เขาสอดส่ายสายตามองตามพื้นดินตรงหน้า

“ถ้าอย่างนั้นรอคุยกับฮารุโตะก็ได้ แค่เจ้าทุกข์พูดออกมา ฉันหาทางจัดการได้อยู่แล้ว”เอคิจิพูด แต่เมื่อเห็นเพื่อนล้วงโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูป เขาจึงก้าวเท้าข้ามรั้วเตี้ยๆไปดูรอยบนพื้นซึ่งต่างจากพื้นดินโดยรอบ กวาดสายตาไปเรื่อย เอคิจิจึงเจอของอีกอย่าง ก้าวเท้าพยุงตัวเองไต่ลงไปอย่างระมัดระวัง เขายกโทรศัพทขึ้นมาถ่ายรูปตำแหน่งของมันก่อนจะดึงผ้าเช็ดหน้ามาคลุมและหยิบมันขึ้นมา เมื่อกลับมาถึงด้านบนจึงยกให้กลุ่มเพื่อนได้ดู

“โทรศัพท์ของฮารุโตะ”เรย์บอก

“ไม่ใช่ว่าฮารุจังทำโทรศัพท์ร่วงลงไปเลยตามลงไปเก็บ”เรียวตะลองพูดสมมติฐานหนึ่งที่เขาคิดขึ้นมา

“ทำร่วงอย่างไรละ หยิบออกแล้วมันลื่นหลุดมือ ไปติดอยู่ข้างล่างนั่น”ซากิถามอย่างไม่สบอารมณ์

“เฮ้ย ฉันไม่ได้จะพูดเข้าข้างใคร แต่ตอนนี้แกกำลังมีอคติเพราะอารมณ์ ฉันอยากให้แกคิดให้รอบคอบ”เรียวตะเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง

“เออๆ ใจเย็นเว้ย มาเถียงกันแบบนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ฉันบอกแกได้เลยนะซากิ อย่างไรก็ต้องให้ฮารุจังเป็นคนพูดออกมา ไม่อย่างนั้น ต่อให้แกพยายามเป็นเดือดเป็นร้อนแทนแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์”เอคิจิห้ามปรามพร้อมกับพูดเตือนสติออกมา

ชิมิซึ ซากิคิดไว้อยู่แล้วว่าครั้งนี้เขาต้องเค้นให้คนเจ็บพูดออกมาให้ได้ ก่อนหน้านี้หลายต่อหลายครั้งที่เขาปล่อยเลยไปเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ซึ่งมันต่างกับครั้งนี้ที่ผู้กระทำราวกับต้องการให้ใครสักคนตายไปจริงๆ เขาคิดว่ามันรุนแรงเกินกว่าจะให้อภัยได้


คนป่วยถูกรักษาตามขั้นตอนทันทีหลังจากที่ถูกย้ายกลับมาถึงโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย เด็กหนุ่มร่างแบบบางไม่มีอาการแทรกซ้อนอื่นให้น่ากังวล แต่เจ้าตัวมักจะนอนหลับอยู่เสมอราวกับกลไกฟื้นฟูสภาพร่างกายสั่งการให้ลดการใช้พลังงานทุกอย่าง ชายหนุ่มจึงมักจะต้องนั่งมองใบหน้ายามหลับของหนุ่มรุ่นน้องเป็นระยะเวลาเกือบทั้งวัน

ก่อนหน้านี้ เขาได้จัดการธุระอื่นๆไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งการแจ้งลาหยุดของฮารุโตะ ทั้งรายงานอุบัติเหตุที่อยู่ในขอบเขตการรับผิดชอบของชมรม ถึงแม้ว่าเรื่องรายงานจะเป็นหน้าที่หลักของประธานชมรมคนปัจจุบันก็ตาม

“เป็นอย่างไรบ้าง ตื่นบ้างหรือยัง”นาโอโตะถามพร้อมเดินไปหยุดยืนอยู่ใกล้กับขอบเตียงอีกฝั่ง ส่วนนาคามูระ เรย์เดินตามมาติดๆ

“ยังเลย เห็นพยาบาลบอกว่าเมื่อเช้าตื่นขึ้นมาทานข้าว แล้วก็หลับไปอีกหลังกินยาเสร็จ”

“เหมือนกับจะรู้ ว่าแกรอเค้นคออยู่”เรย์พูดแซวเสียงเบา

“พูดมากนะเรย์ เค้นคออะไรกัน ร้ายแรงขนาดนี้ปล่อยผ่านไปเฉยๆไม่ได้หรอกนะ”นาโอโตะหันไปดุคนรัก “หรืออยากต้องไปทำรายงานส่งผู้อำนวยการอีก”

“แหม ไม่อยากครับ ซากิแกจัดให้หนักเลยนะ เอาให้เป็นตำนานไม่ให้ใครในชมรมกล้าทำตัวแตกแถวอีก”

“เอ... ฟังดูแปลกๆเปล่าว่ะ”ซากิถามแซว เรย์จึงยกยิ้มหัวเราะ

“จะเที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกันไหม”นาโอโตะเอ่ยชวน “อย่ามานั่งรออยู่เลย ดูเหมือนฮารุจังเองไม่น่าจะตื่นง่ายๆด้วย”

ชายหนุ่มนั่งมองคนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความลังเล คนชวนคะยั้นคะยอซ้ำ เขาจึงตอบตกลง

คล้อยหลังทั้งสามคนไม่นาน ร่างที่นอนหลับมาตลอดทั้งเช้าก็ลืมตาตื่น เขากรอกสายตาไปทั่วเพื่อเรียกสติ จากนั้นไม่นาน เมื่อได้ยินเสียงของนางพยาบาลสาว เขาจึงหันหน้าไปมอง

“ตื่นแล้วหรือค่ะ ถึงเวลาทานอาหารพอดี”เธอปรับเตียงให้เขาลุกขึ้นนั่ง ลากโต๊ะและวางถาดอาหารตรงหน้า ฮารุโตะกล่าวขอบคุณ ใช้มือข้างซ้ายกำช้อนคนข้าวต้มในถ้วย

“มาค่ะ เดี๋ยวฉันป้อนให้”

เด็กหนุ่มสั่นศีรษะปฏิเสธ “ไม่เป็นไรครับ ผมพอจะทานเองได้” ในห้องพักผู้ป่วยที่เขาอยู่ มีผู้ป่วยคนอื่นอีกสองสามคน เขาจึงไม่อยากสร้างภาระให้นางพยาบาลที่ประจำหน้าที่ดูแล เขายกยิ้มให้ ก่อนจะก้มหน้าทานอาหารของตน ถึงมือข้างซ้ายจะไม่ใช่มือข้างที่ถนัด แต่การใช้ช้อนตักอาหารอ่อนอย่างข้าวต้มในถ้วยก็ไม่ได้ยากลำบากเกินไปนัก เขาทานอาหารจนหมดและทานยาตาม เอนตัวพิงหมอนแค่ครู่เดียว ความง่วงงุงได้จู่โจมถามหา นางพยาบาลคนเดิมเข้ามาเก็บถาดอาหารพร้อมกับปรับเตียงนอนให้เขา ฮารุโตะจึงหลับสนิทลงอีกครั้ง

เพราะคลาดกับช่วงที่ฮารุโตะตื่นนอนเมื่อตอนกลางวัน คราวนี้ซากิจึงตั้งใจจะนั่งรอจนกว่าจะหมดเวลาเยี่ยมโดยไม่ลุกไปไหน และความอดทนของเขาก็เป็นผล ฮารุโตะลืมตาตื่นขึ้นมาช่วงเย็นย่ำ หนุ่มรุ่นน้องเหมือนจะตกใจไม่น้อยที่เห็นเขา

“ตกใจอะไร”เขาถามพร้อมรอยยิ้มขำขัน สอดจับมือเล็กบางของอีกฝ่ายขึ้นมากุมไว้ มองหน้าอีกฝ่ายที่หลุบตามองมือข้างนั้น แล้วบีบกระชับกลับมา

“รุ่นพี่มานานแล้วหรือครับ”น้ำเสียงของฮารุโตะยังคงแหบแห้ง

“มาตั้งแต่เช้าหลังจากที่นายหลับ”

คนฟังมีสีหน้าตกใจระคนกังวล “ทำไมไม่ปลุกละครับ”

“นายเป็นคนป่วย ถ้าฉันปลุกขึ้นมาจะไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ”

“อย่างนั้นก็ไม่ควรจะนั่งรอ”คนบนเตียงบ่นพึมพำ ขยับตัวเหมือนจะพยายามลุกขึ้นนั่ง ซากิจึงลุกขึ้นปรับเตียงให้ นั่งมองหน้ากันเงียบๆอยู่ครู่ใหญ่ หนุ่มรุ่นพี่จึงเอ่ยปากถาม

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมนายถึงร่วงไปอยู่ตรงนั้นได้”

ฮารุโตะสบตาเขา แล้วก้มหน้าลงมองพื้น “ผม...”

“อย่าบอกว่าซุ่มซ่ามร่วงไปเอง ไม่มีใครเขาเชื่อหรอก”คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมองทันทีที่โดนพูดแทรกด้วยประโยคนั้น เขาจ้องหน้าเขม็ง คนบนเตียงขยับตัวหยุกหยิกคล้ายอึดอัด จังหวะนั้น อาหารเย็นของคนป่วยก็ถูกนำมาเสริฟขัดการสนทนาของเขาทั้งคู่ มื้อเย็นของฮารุโตะยังเป็นอาหารอ่อนทานง่ายเหมือนเดิม คนป่วยจึงเลี่ยงการตอบคำถาม โดยหันมาสนใจมื้ออาหารของตนเสียแทน ทว่าเมื่อจะหยิบช้อนขึ้นมาถือ มันกลับถูกแย่งไปโดยฝีมือของชายหนุ่มอีกคน

ซากิยกยิ้ม ตักข้าวป้อนให้ถึงปาก คนป่วยอ้าปากรับอย่างว่าง่าย กระทั่งอาหารในถ้วยหมดลง อาการหาวนอนจึงกำเริบขึ้นมาทันที ชายหนุ่มจึงไม่เร่งเร้าอะไรอีกปล่อยให้อีกฝ่ายได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่

สองสามวันหลังจากนั้น คนที่มักจะหลับอยู่เป็นนิตย์ถึงได้กลับมาตื่นมากกว่านอนหลับเช่นที่ผ่านมา พอๆกับคนมาเยี่ยมที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น คนเจ็บอารมณ์ดีทุกครั้งที่มีเพื่อนและรุ่นพี่ในชมรมโผล่หน้ามาเยี่ยม

“ไดกิซัง”ฮารุโตะร้องทักอย่างตื่นเต้น

“อุซ สภาพดูไม่เหมือนคนเจ็บเลยนะ”

“ซะที่ไหน”ฮารุโตะยกเฝือกให้ดู ยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบทุกซี่ ก่อนจะหันมาแนะนำคนมาเยี่ยมให้หนุ่มรุ่นพี่รู้จัก “ไดกิซังครับ พนักงานที่ร้าน แล้วนี่รุ่นพี่ชิมิซึครับ”

ซากิก้มศีรษะทักทาย อีกฝ่ายมองเขาแปลกๆ “ผมเจอคุณแถวหน้าร้านบ่อยๆ” คนพูดเอ่ยแนะนำตัวอีกครั้ง จึงรู้ว่าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน

“ไม่เห็นเคยบอกว่าเป็นรุ่นพี่ที่มหา’ลัย”

“ก็ไม่เห็นเคยถาม”

เขามองสองคนที่พูดคุยหยอกล้ออย่างสนิทสนม กระทั่งคนมาเยี่ยมขอตัวกลับเพราะมีเรียนต่อ เขาจึงเอ่ยขึ้นมา “สนิทกันมากหรือกับนากายาม่าซัง”

ฮารุโตะทำท่านึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบรับกลับไปขณะหยิบองุ่นเข้าปาก มีคนมาเยี่ยมเยอะของเยี่ยมเลยเยอะตามไปด้วย และฮารุโตะที่ทำได้แค่นอนอยู่บนเตียงอ่านหนังสือจึงขยันกินตามไปด้วย

“ดึกๆไม่ค่อยมีคนครับ เลยได้คุยกันบ่อย”

และจนกระทั่งวันนี้ ฮารุโตะยังไม่ปริปากเล่าเหตุการณ์วันนั้นเลยสักครั้ง ไม่ว่าใครจะเป็นคนถามก็ตาม ครั้นลองบอกให้ทาคุมิถาม หนุ่มรุ่นน้องก็ปฏิเสธกลับมาทันที และเล่าสาเหตุฝังใจที่ทำให้คนเจ็บมักจะปิดปากเงียบให้ฟัง สุดท้ายเขาจึงจนปัญญา ได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างเงียบหายไป


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++




ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
 :fire: ขอพ่นไฟค่ะ  Grrrrrrrrrrr

เมื่อไหร่จะรู้จักรักตัวเองเสียที
นี่ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง  นี่เป็นการเอาให้ตายเลยทีเดียว
ตอนแรกอาจจะลุแก่โทสะไม่ได้ตั้งใจ
แต่หลังจากนั้นตอนที่คนเริ่มรู้ว่าฮารุโตะหายไปนั่นคือการจงใจ Premeditate ชัดๆเลย
รักตัวเองจัดการตามที่ควรบ้างเถอะ
จะรอให้ริเอโกะรู้สึกผิดมาขอโทษเองหรือไง(ตามขนบญี่ปุ่น)
เห็นความก้าวหน้าของความเป็นพระเอกของซากิขึ้นมาบ้างแล้ว
เราไม่ชอบชุน  Once a bully always a bully.
ตอนนี้ชุนดีกับฮารุโตะแต่ปัญหายังอยู่ยังไม่ได้รับการจัดการแก้ไขนะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ฮารุโตะ เอาแต่หนีปัญหา ทั้งที่ถูกทำร้ายตลอด
ที่ผ่านมาถูกรังแกโดยผู้ชาย คราวนี้ผู้หญิง ถึงขั้นตายได้
ยังจะหุบปากเงียบอีกหรือ ไม่รักตัวเอง ไม่ปกป้องตัวเอง ตัวเองทำไม่ได้
แต่ขนาดมีคนที่ช่วยได้ ยังนิ่งเฉยนี่ แสดงว่าตายไปก็ยอม ไม่เป็นไร
ยอมตายแม้จะไม่ผิด ใครจะฆ่าก็ได้  ตายเมื่อไหร่ก็ไม่เป็นไร สินะ
ริเอโกะ มีความพยายามในการเข้าหา(สืบพันธ์)ผู้ชายสูงมากกกกก
ทั้งที่รู้ว่าซากิมีอะไรกับฮารุโตะ ก็ไม่สนใจ พอซากิไม่รับไมตรี
ก็ไปรังควาน ทำร้ายฮารุโตะแทน ทั้งตบหน้า ผลักจนตกเขา
นี่เข้าข่ายพยายามฆ่าเลยนะ ผูชายทำร้ายผู้หญิงเรียกหน้าตัวเมีย
แล้วริเอโกะล่ะ เรียกหน้าตัวผู้ได้ปะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-03-2017 18:44:53 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
เห็นมีหลายคนมองว่าฮารุโตะควรรักตัวเองได้แล้ว นี่ถึงขั้นทำร้ายร่างกายแล้ว มันเกินลิมิตไปหน่อย ควรลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง นั่นถือเป็นมุมมองที่น่าสนใจนะครับ อย่างไรก็ตาม พอผมลองหยิบรูปแบบโครงสร้างสังคมญี่ปุ่นกับพัฒนาการบุคลิกตัวละครมาดู ผมว่าตอนนี้นี่เริ่มเป็นพัฒนาการที่ดีแล้วนะครับ ถึงนิสัยฮารุโตะจะเป็นอย่างนั้นอยู่ก็เถอะนะครับ

อย่างที่ผมเคยพูดไปแล้ว ว่าฮารุโตะเป็นคนประเภทที่อยู่ในระดับสังคมไม่เหลียวแลครับ ดังนั้นเค้าจะมีความซึมเศร้าหดหู่ได้ง่ายมากจากบรรยากาศสภาพแวดล้อมและสังคมการตะเกียกตะกายของคนญี่ปุ่น แต่สิ่งที่ผมรู้เพิ่มมาอีกอย่างคือ ฮารุโตะเป็นคนที่มีปมอย่างร้ายแรงมากครับ เป็นเด็กที่มีประสาทรับรู้แบบ Terror Sensitive คืออ่อนไหวต่อ 'การคุกคาม' เป็นอย่างมาก จากที่ทั้งเคยโดนแม่ตบทั้งๆที่ทำสิ่งที่ถูก(บอกคุณครูเพื่อให้หยุดการแกล้ง) และจากการที่โดนพ่อทำร้ายทั้งๆที่ทำอาหารไว้ให้และอยากให้ชม ตั้งใจเป็นเด็กดี

เอาจริงๆด้วยสภาวการณ์แบบนี้ มันจะเลี้ยงเด็กขึ้นมาได้ 2 แบบ ครับ คือไม่ ก้าวร้าว(agressive) ไปเลย ก็จะอ่อนไหวหดหู่จนเกือบซึมเศร้า ปิดตายตัวเองและจมอยู่กับความท้อแท้ของตัวเองไปเลย ซึ่งเด็กจะมีพัฒนาการไปทางไหน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมต่อไปครับ คือ
- ถ้าเด็กยังมีพ่อและแม่อยู่ต่อ แต่สร้างพฤติกรรมเลี้ยงดูผิดๆแบบด้านบนและเกิดการผลิตซ้ำทางความรุนแรงเมื่อมีการกระทำที่ถูกต้อง เด็กจะเครียด และหาทางระบายออกจนเป็นพฤติกรรมการก้าวร้าว ต่อต้าน ถ้าหนักมากๆถึงขั้นทำให้ครอบครัวแตกแยกได้เลยนะครับ
- แต่ถ้าเด็กขาดหายพ่อแม่ไป ซึ่งกรณีนี้คือถูกฝังความกลัวและความอ่อนไหวต่อการคุกคามไปแล้ว และดันไปอยู่ในสังคมที่บีบด้วยการแก่งแย่ง เอาชนะ อีกทั้งยังกลั่นแกล้งได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาเพราะความห่างทางฐานะและศักดิ์ศรีแบบญี่ปุ่น มันจะทำให้เด็กยิ่งเตลิดไปในทางกลัวครับ เค้าจะไม่กล้ายืน ไม่กล้าลุกด้วยซ้ำ เพราะสังคมผลิตซ้ำ 'การคุกคาม' กับเขามาตลอด ฮารุโตะเป็นแบบนี้ครับ ดังนั้น ผมถึงบอกว่านิสัยการที่เค้าจะกลัวไปตลอดจนจบเรื่อง มันไม่น่าแปลกใจเพราะปมที่มีตั้งแต่เด็ก และสังคมที่บีบมาตลอดสิบกว่าปี มันคงหยั่งรากเกินกว่าจะมาเห็นการเปลี่ยนแปลงในแค่ไม่กี่ตอน

แต่ถามว่ามันดีขึ้นยังไง? เพราะฮารุโตะเริ่มกล้าที่จะเถียงริเอโกะครับ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ไปเริ่มปฏิวัติตัวเองหรือไม่กล้าจะซัดทอดริเอะโกะในตอนต่อๆไป แต่การที่ฮารุโตะกล้า 'เถียง' นี่เป็นพัฒนาการที่ผมว่าถือว่าดีขึ้นครับ ไอ้เรื่องสู้รบกันจนตกเขานี่ผมไม่มองนะครับ สัญชาตญาณการทะเลาะเบาะแว้งล้วนๆ อันนั้นไม่ได้มีประเด็นอะไร แต่การที่ฮารุโตะมีประสาทรับรู้ต่อสิ่งคุกคาม(ริเอโกะ)ของ 'ความชอบ' ในแง่ที่ 'ไม่กลัว' นี่ก็เป็นอะไรที่ผมว่าน่าสนใจแล้วนะครับ เพราะถ้าเป็นธรรมดาเขาจะกลัวการคุกคามมากๆ นี่ถือว่าดีขึ้นเห็นชัดเลย

ดังนั้น มันจึงเชื่อมโยงมาที่ชุนครับ เอาจริงๆผมก็ไม่ค่อย buy theory ที่ว่า once a bully always a bully ของคุณเฟรจาเท่าไหร่(ด้วยความเคารพนะครับ) เพราะว่าถ้าพิจารณาสังคมญี่ปุ่นจริงๆ การกลั่นแกล้งถือเป็นการระบายความเครียดอย่างหนึ่งของคนญี่ปุ่นที่ไม่ได้ถูกสอนมาเรื่องการเคารพสิทธิมนุษยชนเท่าไหร่ครับ สังเกตได้จาก excessive sex, overrated OT job หรือแม้แต่สังคมการกดฐานะของผู้หญิงในมุมมองของบุคคลชั้นสูงในวงการอาวุโสครับ เรื่องนี้อาจจะต้องพูดกันยาว

มันทำให้มองได้ว่าการแกล้งกันเป็นการระบายอารมณ์ของจิตใจอย่างหนึ่ง หรืออาจจะมองว่าเป็นการแกล้งกันเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกตัวเองอย่างไรก็ได้ครับ ลองอ่านมังงะญี่ปุ่นหรือซีรีย์ญี่ปุ่นหลายๆเรื่องที่มีเรื่องปมเพื่อนแกล้งกันมาตั้งแต่เด็ก จะเห็นภาพการอธิบายตรงนี้ชัดเจนมาก ดังนั้นถ้าคุณเรียนรู้วิธีการระบายอารมณ์ออกทางอื่น หรือมี Emotional Quality ที่ดีขึ้น การกลั่นแกล้งก็จะหมดไป (อย่างที่เห็นในคนไทย ตอนเด็กๆแกล้งกันเยอะมาก โกรธจะเป็นจะตาย พอโตมาเจอหน้าก็กระอักกระอ่วนแต่พฤติกรรมแย่ๆแบบนั้นจะหายไปแล้วครับ) มันจึงกลับมาที่ชุน ผมพูดไปแล้วว่าชุนน่าสนใจตรงไหน ความจริงผมว่ามันยังมีสิ่งที่ผมคิดอยู่ครับ แต่เนื่องจากเรายังไม่เห็นบทชุนมากๆและไม่รู้เรื่องราวในส่วนของเขา ดังนั้นผมจะยังไม่พูดถึงละกัน ไว้ถ้ามีบทเค้ามากๆแล้วผมจะค่อยเขียนอีกที

ประเด็นสุดท้ายคือเรื่องการเขียนครับ อยากให้คุณคนเขียนตรวจสอบอักษรอีกทีหลังจากโพสต์แล้ว เพราะว่าจุดแรกคือคุณคนเขียนใช้ คะ/ค่ะ, วะ/ว่ะ ผิดหลายจุดเลยนะครับ ผิดตั้งแต่แรกๆก็มี และส่วนมากจะใช้ผิดมากกว่าถูก ส่วนจุดที่สองคือในหลายๆคำ มีตัวสะกดขาดหาย หรือสะกดผิดไป(เข้าใจอาจจะเพราะเบลอ เนื่องจากตอนนึงมันยาวมาก แต่ถ้าโพสต์แล้วมาอ่านทวน มันก็จะถือว่าได้ทวนเนื้อเรื่อง และเช็คไวยากรณ์ตรวจสอบอักษรอีกทีไปด้วยครับ

สำหรับวิธีการใช้คะ/ค่ะ คือ ถ้าเรียกประธานโดดๆ จะตามด้วยคำว่า 'คะ' เป็นคำลงท้ายเพื่อความสุภาพ i.e. "ท่านประธานคะ", "รุ่นพี่คะ"

แต่ถ้าเป็นคำลงท้ายของประโยค จะใช้คำว่า 'ค่ะ' ที่เป็นโทนเสียงต่ำ หรือใช้คำว่า 'นะคะ' เพื่อเอื้อนโทนเสียง ทำให้เกิดความเป็นทางการและความสุภาพ i.e. "เดี๋ยวจะรีบจัดการให้ค่ะ", "ที่นี่บริษัทนะคะ"

ในกรณีประโยคคำถาม จะใช้คำลงท้ายว่า 'คะ' ที่มีโทนเสียงสูงเพื่อทำให้เกิดความสมบูรณ์ในการออกเสียงครับ เช่น "มีอะไรให้รับใช้คะ", "ต้องการความช่วยเหลืออะไรไหมคะ", "ต้องการอะไรจากฉันกันแน่คะ"

เช่นเดียวกับการใช้ วะ/ว่ะ การใช้วะเป็นเป็นเสียงสูง ใช้แบบเดียวกับคะ แต่เนื่องจากเป็นคำลงท้ายของความสนิทสนมหรือความหยาบคาย จึงต้องดูบริบทการใช้ ส่วนมากแล้วจะนิยมใช้ 'วะ' ในการลงท้ายประโยคคำถาม(เนื่องจากมีโทนเสียงสูง) และ 'ว่ะ/เว้ย' ในการลงท้ายประโยคบอกเล่า(เนื่องจากโทนเสียงต่ำ) ครับ i.e. "มึงจะมากี่โมงกันวะเนี่ย", "อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะเว้ย", "แกนี่ทุเรศจริงๆว่ะ", "เพื่อนแกเป็นใครวะ"

ถ้ายังไงก็รบกวนแก้ไขด้วยนะครับ เพราะองค์ประกอบภาษาอันอื่นสวยมากๆแล้ว มีแค่อันนี้ที่ดูจะขัดและผิดหลัก กับเรื่องสะกดอักษรที่มีหลุดบ้างผิดบ้าง ถ้าแก้ได้ ตัวเรื่องก็จะสวยงามสมบูรณ์ขึ้นครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-03-2017 18:25:12 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด