春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5  (อ่าน 17018 ครั้ง)

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
เรื่องย่อ ตอนที่ 16
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
หลังจากเกิดอุบัติเหตุจนต้องพักรักษาตัว ในที่สุด ฮารุโตะก็ได้ออกจากโรงพยาบาลและมีชิมิซึ ซากิมาคอยตามช่วยดูแลเขาเรื่อยมา


ตัวละครประกอบ
สมาชิกชมรมถ่ายภาพ
1. มาซามุเนะ โทรุ นักศึกษาชายชั้นปีที่สี่
2. ฟุจิตะ มาสะ นักศึกษาชายชั้นปีที่สี่
3. อิเคดะ นายะ นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สอง เรียนคณะเดียวกับฮารุโตะ
4. โยชิดะ ริเอะโกะ นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สอง เรียนคณะเดียวกับฮารุโตะ
5. ทาคาฮาชิ ฮิราอิ นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สอง เรียนคณะเดียวกับฮารุโตะ
6. ซาซากิ ฟุมิโอะ นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สอง เรียนคณะเดียวกับฮารุโตะ






春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 16


ในที่สุดฮารุโตะก็ได้ออกจากโรงพยาบาล ระยะเวลาร่วมยี่สิบวันในโรงพยาบาลทำให้คนเจ็บดูมีเนื้อมีหนังขึ้นนิดหน่อย แก้มใสขึ้นสีเรื่อดูสุขภาพดีทั้งที่เพิ่งหายป่วย แขนขวาและข้อเท้าซ้ายยังคงต้องใส่เฝือกไว้เช่นเดิม เด็กหนุ่มจึงต้องใช้ไม้ค้ำยันช่วยเดิน แม้จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว เขายังคงต้องงดเว้นการทำงานพิเศษไปอีกพักใหญ่ เพราะกว่าจะได้ถอดเฝือกแขนขาและกว่าจะเดินได้คล่องยังอีกนาน เจ้าตัวจึงตั้งใจว่าจะไปทำเรื่องลาออก คนเพิ่งหายป่วยมีท่าทีคิดหนัก แต่ก็ตัดใจทำเช่นนั้นในที่สุด

และเหลือเวลาอีกร่วมหนึ่งเดือนกว่าภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วงจะเริ่มขึ้น ระหว่างนั้นฮารุโตะจึงมุ่งมั่นอ่านแต่หนังสือ

“ไม่เบื่อบ้างหรือไง”ทาคุมิถาม เขามีหนังสืออยู่ในมือก็จริง แต่เหมือนถือมันไว้เฉยๆ

“แล้วจะให้ทำอะไรอ่ะ ทำอะไรไม่สะดวกได้แต่นั่งอยู่เฉยๆ ก็ต้องอ่านแต่หนังสือนี่ละ”

“เฮ้อ...”คนที่นอนกลิ้งอยู่กับพื้นถอนหายใจ นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ถามจริงเหอะว่า วันนั้นเกิดอะไรขึ้น”

ฮารุโตะนิ่งเงียบ ก่อนจะยอมเอ่ยปากออกมาคล้ายรำคาญ “ที่จริงอ่ะ ตอนที่มีคนมาหาเรื่องใช่ว่าผมจะไม่เคยสู้นะ แต่ผลลัพธ์แม่งไม่เคยดีเลย แถมครั้งนี้ยังเจ็บหนักขนาดนี้อีก”เขาหันไปมองคนถาม หลุดพูดคำหยาบอย่างเหลือทน

“อ่อ”ทาคุมิพยักหน้ารับ พอจะเข้าใจได้ลางๆ

“เพราะฉะนั้น ปล่อยมันไปเถอะ ปล่อยให้มันจบไปทั้งอย่างนี้แหละ”เขาตัดบท ก่อนจะเริ่มหัวข้อสนทนาใหม่ขึ้นมาว่า “ถ้าเบื่อ อย่างนั้นเรามาเริ่มคิดหัวข้อทำวิจัยสำหรับปีสี่ไหม”

“เห๋!!!”คนฟังร้องอุทานออกมา “ไม่รีบไปหน่อยหรือ”

“ตอนปีสี่จะได้ว่างๆไง”ฮารุโตะตอบพร้อมยิ้มเผล่

“แล้วรู้หรือว่าต้องทำอย่างไรอ่ะ”

คนถูกถามยกยิ้ม พวกเขามีที่ปรึกษาต้องมากมาย รุ่นพี่ปีสี่รอบตัวตั้งเยอะแยะ แม้ทางฝั่งคณะวิทยาศาตร์จะเรียกเล่มวิทยานิพนธ์ว่าเล่มงานวิจัย แต่เท่าที่ฮารุโตะเปิดงานของพวกรุ่นพี่ในชมรมดูเทียบกับเล่มวิจัยที่ถูกเก็บอยู่ในห้องสมุด เอกสารทั้งสองอย่างล้วนมีพื้นฐานอยู่บนแนวคิดเดียวกัน เมื่ออธิบายให้คู่สนทนาได้ฟังเขาจึงชวนอีกฝ่ายไปอาคารหอสมุดของมหาวิทยาลัยด้วยกัน

“จะเดินไหวหรือ”ทาคุมิถามอย่างเป็นห่วง

“ไหวไม่ไหวก็ต้องลองดู”คนเพิ่งออกจากโรงพยาบาลพูดพร้อมกับหยิบเตรียมข้าวของ เอากระเป๋าสะพายหลัง ลุกขึ้นยืนและหยิบไม้ค้ำยัน “ไม่ไปหรือ” หันไปถามคนที่ยังนั่งมองเขานิ่ง ทาคุมิจึงกระวีกระวาดลุกขึ้น

ฮารุโตะฝึกการใช้ไม้ค้ำยันมาแล้วก่อนออกจากโรงพยาบาล กระนั้นก็ใช่ว่าจะใช้งานได้คล่องแคล่ว การใช้งานในชีวิตจริงติดขัดหลายอย่างจนทำให้เขาเดินได้ช้ากว่าปกติ ด้วยเหตุนี้ กว่าจะถึงอาคารหอสมุดจึงใช้เวลานานโข เด็กหนุ่มเริ่มคำนวนทดเวลาที่ต้องใช้เดินทางในการมามหาวิทยาลัยใหม่อีกรอบ

“นั่งรออยู่นี่ล่ะ เดี๋ยวฉันไปหยิบมาให้”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อ แม้แขนข้างขวาจะยังพอใช้มือหยิบจับได้แต่ยังคงออกแรงมากไม่ได้ ทั้งยังขยับไม่ถนัด ไม่ว่าจะทำอะไรจึงติดขัดไปเสียทุกอย่าง เขาจับมีดไม่ได้จึงต้องงดเว้นการทำกับข้าวไปโดยปริยาย และถึงยังสามารถจับปากกาได้ แต่แค่ครู่เดียวแขนจะเริ่มปวดขึ้นมา เด็กหนุ่มคิดด้วยความรู้สึกหงุดหงิด เริ่มกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายขึ้นมาอีกเพราะต่อแต่นี้ ส่วนที่เป็นเงินเก็บคงมีแต่จ่ายออก กระทั่งทาคุมิหอบหนังสือมากองตรงหน้า เขาจึงละความหมกมุ่นในสมองไปเสีย

“เราคงจะมาทำหัวข้อซ้ำกับที่มีเคยไม่ได้ละมั้ง”

“อือ”ฮารุโตะใช้มือซ้ายหยิบเล่มวิจัยเล่มหนึ่งมาเปิด “แต่เป็นหัวข้อที่ต่อยอดเพิ่มขึ้นมาได้ แล้วก็ต้องมีประโยชน์”

พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อการทำวิจัย นั่งคุยนั่งเล่นให้เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงจนโดนโทรศัพท์ตาม ฮารุโตะบอกตำแหน่งที่อยู่แก่ปลายสาย

“รออยู่นั่น เดี๋ยวจะไปรับ”

เขาจึงหันไปบอกกับทาคุมิเช่นนั้น หลังจากเก็บหนังสือเข้าชั้น พวกเขาทั้งสองคนนั่งรอกันครู่ใหญ่คนที่บอกว่าจะมารับจึงมาปรากฏตัว หนุ่มรุ่นพี่ตรงเข้ามาหยิบกระเป๋าของฮารุโตะไปถือ ตัวคนเจ็บจึงลุกขึ้นก้าวเดินตาม ใช้บริการลิฟต์ของอาคารหอสมุดลงมาถึงชั้นล่าง

ซากิบอกให้รุ่นน้องทั้งสองคนยืนรออยู่ด้านหน้าและพาตัวเองเดินไปยังที่จอดรถ ขึ้นไปนั่งสตาร์ทรถบังคับให้เคลื่อนที่มาจอดเทียบด้านหน้าอาคาร จากนั้นลงจากรถไปช่วยพยุงคนขาเจ็บให้เข้าไปนั่งด้านใน 

“ซาโต้ เดี๋ยวไปกินข้าวด้วยกันก่อนไหม”

คนถูกชวนตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด เปิดประตูที่นั่งตอนหลังก้าวเท้าขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็ว

ทาคุมิแยกย้ายกลับบ้านหลังทานอาหารเสร็จ มื้อนี้หนุ่มรุ่นพี่จ่ายเงินเลี้ยงอีกตามเคย จนฮารุโตะขยับตัวนั่งอยู่ไม่สุขด้วยความไม่สบายใจ จากนั้นอีกฝ่ายพาเขาไปอาบน้ำ ใช้บริการห้องอาบน้ำสาธารณะเช่นเดิม รุ่นพี่ชิมิซึช่วยดูแลจัดการให้ทุกอย่าง จนถึงกระทั่งเวลานอน

“รุ่นพี่ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยครับ”

ฮารุโตะนอนหงายนิ่งๆ เพราะค่อนข้างสบายกว่า ซากิจึงต้องยันตัวเท้าแขนเพื่อให้เห็นหน้าคนพูด

“ทำไมละ”

“ก็... ตอนนี้จ่ายทั้งค่าข้าว ค่าห้อง แถมยังดูแลทุกอย่าง รุ่นพี่ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ ผมอยู่คนเดียวได้”

“เพราะกลัวโยชิดะจะตามมาราวี?”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ “ผมกลัวรุ่นพี่จะลำบาก”

“นายอยู่คนเดียวไม่มีคนช่วยจะไม่ลำบากกว่าหรือ”

“อดทนแค่ไม่กี่เดือนเอง”

“อืม นั่นไงแค่ไม่กี่เดือนเอง ฉันไม่ลำบากหรอก”

“แต่...”

“ไม่ต้องมาแต่แล้ว ฉันทำเพราะอยากทำ ถ้าไม่ไหวแล้วฉันก็เลิกทำเองนั่นแหละ”

แต่นั่นจะเป็นสิ่งที่ร้ายกาจที่สุดสำหรับเขา ทำให้เขาเคยชินกับความสุขสบาย เคยชินกับการมีคนอยู่ใกล้ๆ พอตัวเองเบื่อมาทิ้งกันไปเฉยๆ ฮารุโตะนึกตัดพ้ออีกฝ่ายเช่นนั้นในใจ

เขาขยับศีรษะมองคนที่ล้มตัวลงนอนข้างๆ หรือเขาควรจะถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

“รุ่นพี่ชิมิซึ”

ลองเอ่ยเสียงเรียกออกไป ทว่าเจ้าของชื่อยังคงหลับตานอนนิ่ง

ช่วงนี้ชิมิซึ ซากิต้องออกข้างนอกเพื่อเก็บแบบสำรวจสำหรับวิทยานิพนธ์ทุกวัน เขาใช้พลังกายไปในช่วงกลางวันจนกลางคืนเมื่อศีรษะถึงหมอนก็หลับสนิทลงอย่างง่ายดาย

เด็กหนุ่มถอนหายใจ คงต้องรอโอกาสหน้าแล้วละมั้ง เขาคิดก่อนจะหลับตาลงบ้าง

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฮารุโตะก็มีราชรถส่วนตัวคอยรับส่งระหว่างห้องพักและมหาวิทยาลัย พอเขาบอกปฏิเสธบอกว่าสามารถเดินไปเองได้ ชายหนุ่มผู้ที่ทำหน้าที่ขับรถก็ค้านเสียงแข็งกลับมาทันที

“บอกแล้วอย่างไรละ ว่าถ้าฉันรู้สึกว่าลำบากจะเลิกทำไปเอง”

“แต่ผมไม่อยากรบกวน ไม่อยากเคยชินกับความสบายที่รุ่นพี่หยิบยื่นให้”

“ทำไมละมีแต่คนชอบทั้งนั้น”

“แล้วรุ่นพี่ชิมิซึทำแบบนี้ทำไมละครับ”

ซากิมองหน้าคนถาม จ้องมองราวกับจะค้นว่าภายในหัวใจของอีกฝ่ายซ่อนอะไรไว้บ้างหรือไม่ ชายหนุ่มเหมือนจะเคยเห็นความรู้สึกพิเศษในแววตาคู่นั้น แต่บางครามันกลับดูแห้งแล้งว่างเปล่าจนเขาไม่แน่ใจ ทั้งที่เขาทำทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายหวั่นไหวทุรนทุรายร้อนรนอย่างที่เขาเคยเป็น

“ทำเพราะอยากทำ”เขาตอบออกไป จดจ้องนัยน์ตาสีน้ำตาลไม่กระพริบ พยายามจับสังเกตทุกความรู้สึกที่วาดไหวผ่านแววตา คนถามแค่หลุบตาลงต่ำและตอบรับแผ่วเบา ไม่เรียกร้องโต้เถียงอะไรมากมายไปกว่านี้ ก่อนจะเปิดประตูก้าวเท้าลงจากรถ

เขารี่เปิดประตูออกไปบ้าง เดินอ้อมไปเปิดประตูที่นั่งตอนหลัง หยิบไม้ค้ำยันออกมาส่งให้ หนุ่มรุ่นน้องก้มศีรษะเป็นเชิงขอบคุณ ทั้งสีหน้าทั้งแววตายังคงสงบนิ่งเหมือนผิวน้ำที่นิ่งสนิทไร้ระลอกคลื่น และเป็นเขาเองที่กระสับกระส่ายร้อนรน

“แต่ถ้านายไม่อยากรบกวนเฉยๆ จะหาขอตอบแทนฉันบ้างก็ได้นะ”น้ำเสียงที่เปล่งออกไปเรียกร้องความสนใจ ชนิดที่ตัวเขายังอยากตบศีรษะตัวเองแรงๆ

ฮารุโตะเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาใคร่รู้ แต่ในวินาทีต่อมากลับตอบปฏิเสธไปเสียเฉยๆ “ผมไม่ได้ขอให้รุ่นพี่มาทำให้ซะหน่อย” คนพูดทำท่าจะเดินหนี ทว่าเขาตามไปขวางหน้าไว้ทันที หน้าม้านและหงุดหงิดด้วยความไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม เขาดื้อดึงมาแต่ต้นจึงคร้านจะใส่ใจคำปฏิเสธเช่นนั้น โน้มหน้ากดศีรษะเข้าหา ฮารุโตะถอยเท้าออกห่างและยกมือข้างที่ยังสวมเฝือกขึ้นบังเขาไว้

“อย่าทำแบบนี้นะครับ”

เขาขยับยืดตัวออกห่างด้วยความไม่สบอารมณ์ หมุนตัวหันหลังเพื่อข่มกลั้นความขุ่นเคือง แล้วหันไปเปิดประตูอีกรอบเพื่อหยิบกระเป๋าของฮารุโตะ

“เดี๋ยวไปส่ง”ซากิพูดสั้นๆ ปล่อยให้หนุ่มรุ่นน้องเดินนำหน้า และลดระยะการก้าวเท้าเดินให้เหลือครึ่งหนึ่งเพื่อจะให้ตัวเองเดินตามอยู่ด้านหลัง

ตึกอาคารในมหาวิทยาลัยทุกตึกมีทางลาดชันและลิฟต์สำหรับผู้พิการ ฮารุโตะจึงเดินขึ้นตึกได้โดยสะดวก

ภายในห้องเรียนมีศึกษาอยู่บ้างประปราย เด็กหนุ่มเลือกเดินไปแถวที่นั่งหลังสุด เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าสายตา และเลือกเก้าอี้ริมนอกเพื่อให้ลุกนั่งได้สะดวก

“ขอบคุณครับ”ฮารุโตะหันไปรับกระเป๋าและยกยิ้มให้ เหตุการณ์ที่คล้ายจะมีปากเสียงกันเมื่อก่อนหน้าจางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น เขาวางไว้ค้ำยันไว้ข้างตัว

ซากิกวาดสายตามองซ้ายมองขวา แล้วทรุดตัวลงนั่งแถวเก้าอี้ด้านหน้า หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู หนุ่มรุ่นน้องจึงเลิกคิ้วมอง

“รุ่นพี่ชิมิซึ”เมื่อเอ่ยเรียกออกไป อีกฝ่ายกลับหันกล้องของโทรศัพท์มาถ่ายรูปเขาเสียอย่างนั้น

“มีอะไรหรือครับ”

“หึ”ชายหนุ่มร่างสูงปฏิเสธกลับมา กระนั้นในเวลาต่อมาที่ทาคุมิปรากฏตัวสู่ครรลองสายตา เขาก็ลุกขึ้น ก้มศีรษะรับคำกล่าวทักทายของทาคุมิแล้วเดินจากไป

คนที่เพิ่งมาถึงเดินมาจับจองที่นั่งข้างเขา และเริ่มต้นพูด ทาคุมิเป็นผู้ชายช่างพูดที่สรรหาเรื่องมาคุยได้ตลอด

“ตั้งแต่เกิดเรื่อง พวกโยชิดะก็เงียบไปเลยเนอะ”

ฮารุโตะมองคนพูดด้วยความไม่เข้าใจ

“เห็นเมื่อช่วงก่อนเข้าหารุ่นพี่ชิมิซึตลอด ออกตัวแรงขนาดนั้นผู้ชายที่ไหนจะชอบ”

เขานิ่งฟังอย่างไม่มีความคิดเห็น ในอกรู้สึกสงสารคนที่ถูกกล่าวถึงอยู่บ้าง ไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อแอบชอบใครสักคนหนึ่ง ย่อมต้องอยากให้คนที่ตนชอบตอบรับความรู้สึกนั้นกลับมา

“นี่รู้หรือเปล่า”ทาคุมิหันกลับมาคุย หลังจากเมื่อสักครู่หันไปทักทายพูดคุยกับเพื่อนอีกกลุ่ม “พวกรุ่นพี่ในชมรมพูดกันว่ารุ่นพี่นาคามูระกำลังมีกิ๊ก”

“เอ๋!!!”

“ปกติรุ่นพี่นาคามูระชอบทำตัวติดกับรุ่นพี่อาโอกิใช่ไหมละ แต่ทริปที่ไปคานางาว่ามีคนเห็นว่ารุ่นพี่นาคามูระไปเดินกับคนอื่น”

เด็กหนุ่มมีสีหน้าแปลกใจ เพราะที่เขาจำได้ ช่วงเย็นรุ่นพี่นาคามูระก็เดินเที่ยวงานกับกลุ่มเพื่อนสนิทนี่นา ฮารุโตะหันไปถามคนเล่าด้วยความอยากรู้ “เรื่องมันเป็นมาอย่างไรน่ะ”

ทาคุมิทำท่าจะพูดให้เขาฟังต่อ แต่ทว่าอาจารย์ประจำวิชาก้าวเท้าเข้ามาในห้องแล้วเช่นกัน คนที่ตั้งใจจะขยายความจึงบุ้ยใบ้บอกเป็นทำนองว่าเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังทีหลัง

ฮารุโตะนั่งเรียนด้วยอาการใจไม่สงบ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหน และไม่รู้ว่ารุ่นพี่อาโอกิจะรู้เรื่องหรือยัง

“มีคนเห็นว่ารุ่นพี่นาคามูระไปเดินจู๋จี๋กับมินามิ”ทาคุมิแถลงไขขันทีที่อาจารย์ประจำวิชาเดินออกจากห้อง

“เมื่อไหร่ อาจจะไม่ใช่ก็ได้”

“อาจจะไม่ได้จู๋จี๋ แต่มันผิดวิสัยใช่ไหมละ”

“ใครเป็นคนเล่าให้ฟังน่ะ”ฮารุโตะถาม ซึ่งทาคุมิได้แต่โคลงศีรษะด้วยความไม่แน่ใจ อย่างไรก็ตามบทสนทนาระหว่างเขาสองคนจำต้องหยุดไว้เพียงแค่นั้น เมื่ออีกหนึ่งหนุ่มรุ่นพี่มาปรากฎตัว

“รุ่นพี่ชิมิซึ วันนี้จะมาเลี้ยงข้าวผมหรือครับ”ทาคุมิถลาเข้าไปหาทันที คนที่ยังขมวดคิ้วครุ่นคิดด้วยความกังวลจึงหันไปมอง สบกับดวงตาคมของหนุ่มรุ่นพี่ที่เลิกคิ้วมองอย่างสงสัย

“อ่อ ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่มีเรื่องที่ไม่ค่อยน่าเชื่อนิดหน่อย”ทาคุมิพูดอย่างไม่ค่อยใส่ใจ

“ตกลงว่าอย่างไรกันแน่ เรื่องที่เล่า พูดกันลอยๆอย่างนั้นหรือ”คนถามพูดอย่างจริงจัง

“เอ้ย ไม่รู้ เขาเล่ากันมาเลยมาเล่าให้ฟัง”

“ตกลงว่ามีเรื่องอะไรกัน”ซากิซึ่งยืนไม่รู้เรื่องรู้ราวเอ่ยปากถามขึ้นมาบ้าง ทาคุมิจึงขอให้เปลี่ยนสถานที่ พวกเขาย้ายไปนั่งทานอาหารในโรงอาหาร และเด็กหนุ่มได้พูดสิ่งที่ได้ยินมาให้รุ่นพี่ปีสี่ฟังอีกครั้ง

ซากิแค่แสดงสีหน้าว่าแปลกใจกับเรื่องที่ได้ยิน

“รุ่นพี่ว่าจริงป่ะ”

“ไม่รู้ดิ”

“อ้าว รุ่นพี่นาคามูระเขาไม่มีท่าทีผิดปกติบ้างหรือครับ แบบทำอะไรลับๆล่อๆ แอบคุยโทรศัพท์อะไรแบบนี้น่ะ”

“ฉันไม่ได้อยู่กับเจ้านั่นตลอดเวลาเสียหน่อย จะรู้ได้อย่างไรละ”ซากิบอก

“ว้า อะไรกัน นึกว่าจะได้รู้อะไรมากกว่านี้ซะอีก”ทาคุมิบ่นงึมงำ ขณะที่ฮารุโตะยังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด มือยังคงถือช้อนสำหรับทานอาหารในมือซ้าย จนคนที่นั่งอยู่ข้างหันมาสะกิด

“คิดอะไรอยู่ ทานเข้าซิ”

ถึงเขาจะหันไปพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก็จริง แต่อาการเหม่อลอยครุ่นคิดยังคงอยู่ ฉะนั้นกระทั่งหมดเวลาพักเขาจึงทานอาหารได้เพียงนิดเดียว

“เป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”ซากิถามพร้อมกับยกหลังมืออังหน้าผากของหนุ่มรุ่นน้อง ซึ่งอีกฝ่ายเพียงแค่สั่นศีรษะยกยิ้มให้บางๆ

“ไม่ต้องห่วงครับรุ่นพี่ชิมิซึ เดี๋ยวผมดูให้เอง”ซาโต้ ทาคุมิบอกอย่างแข็งขัน

ซากิแยกย้ายกับสองรุ่นน้องหลังจากที่เขาเดินตามมาส่งฮารุโตะถึงห้องเรียน

คาบปฏิบัติการทดลองตอนบ่ายผ่านไปอย่างเชื่องช้า เพราะได้รับบาดเจ็บ ฮารุโตะจึงหยิบจับอะไรไม่ค่อยถนัด และยืนนานมากก็ไม่ได้ แต่กระนั้นใช่ว่าเขาจะได้สิทธิพิเศษ เขายังต้องทำข้อสอบก่อนเรียนและส่งใบรายงานอยู่เช่นเดิม ส่วนในคาบเขาได้รับการอนุโลมให้นั่งบนเก้าอี้ได้ตลอดเวลา อาจเพราะการฝากฝังสำทับจากทาคุมิ บวกกับการที่เพื่อนร่วมกลุ่มทั้งสองเป็นคนดี เพราะถึงแม้เขาจะไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเกี่ยวกับการทดลอง ทั้งสองคนนั้นยังไม่มีท่าทีเขม่นไม่ชอบใจตัวเขา

“แล้วมิอุระซังจะเขียนรายงานได้ไหม”หญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มถามเขา

“ได้ครับ มือขวาพอจะขยับได้ เดี๋ยวผมจะค่อยๆเขียน”

“ถ้าติดขัดอยากให้ช่วยอะไรก็บอกนะ”เธอบอกอย่างมีน้ำใจ แม้ไม่ถึงขั้นสนิทสนมกันมาก แต่น้ำใจไมตรีที่เธอหยิบยื่นให้ ทำให้เขายกยิ้มอย่างนึกขอบคุณ

ฮารุโตะและทาคุมิไปที่ห้องชมรมถ่ายภาพหลังจบวิชาปฏิบัติ อีกฝ่ายยังชวนคุยไปตลอดทางพาให้ลืมเรื่องที่คิดกังวลเมื่อช่วงกลางวันไปเสียหมด และเมื่อถึงห้องชมรม เขาเจอรุ่นพี่นาคามูระและรุ่นพี่อาโอกิอยู่ด้วยกันที่นั่นเช่นปกติ ความกังวลเรื่องความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่จึงจางหายไปอย่างรวดเร็ว


เมื่อเดือนพฤศจิกายนเวียนมาถึง วันเกิดของรุ่นพี่อาโอกิและรุ่นพี่นาคามูระจึงใกล้เข้ามา ปีนี้สมาชิกในชมรมไม่มีการจัดงานเซอร์ไพรซ์เหมือนปีที่แล้ว เพราะเจ้าของวันเกิดทั้งสองคนบอกว่าจะเป็นฝ่ายจัดงานเลี้ยงให้ทุกคนในชมรมไปกินดื่มได้เต็มที่

ฮารุโตะจึงชวนทาคุมิไปหาของขวัญวันเกิดให้รุ่นพี่ทั้งสอง

“ปีที่แล้วผมให้เชือกผูกรองเท้ากับเข็มขัด”ฮารุโตะตอบคำถามของทาคุมิเกี่ยวกับเรื่องของขวัญเมื่อปีที่แล้ว

“สองคนนั้นควรจะเรียกว่าคู่รักฟ้าลิขิตเนอะว่าไหม อยู่บ้านใกล้กันยังไม่พอ ยังเกิดวันเดียวกันอีก”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ ความผิดหวังเศร้าหมองที่ได้ประสบเมื่อปีที่แล้ว จากการได้รับรู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ย้อนกลับมาอีกครั้ง แน่นอนว่าเมื่อระยะเวลาผ่านไปความรักและความหลงใหลในตัวของรุ่นพี่นาคามูระได้จางลง คงเหลือแค่ความเคารพและความชื่นชอบในฐานะของรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมชมรมเท่านั้น ฉับพลัน ภาพใบหน้าของชายหนุ่มอีกคนก็ปรากฏอยู่ในห้วงความคิดคำนึง คนที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นโลดได้มากมายกว่ายามที่เข้าใกล้รุ่นพี่นาคามูระอย่างไม่รู้ตัว และเป็นคนที่ทำให้เขาเจ็บปวด จำต้องอยู่อย่างเจียมตัว และพยายามรักษาความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนคลอนแคลนเสียเหลือเกินในสายตาของเขา

“เหม่ออะไรน่ะ”

เสียงเรียกของทาคุมิทำให้เขาสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ ฮารุโตะรีบหันไปยิ้มหน้าเจื่อน โบกไม่โบกมือบอกว่าไม่มีอะไร แค่กำลังคิดถึงเรื่องของขวัญวันเกิดที่จะให้รุ่นพี่ก็เท่านั้น

“รวมเงินกันดีไหมละ จะได้ซื้อของชิ้นใหญ่ได้”

“ไม่ต้องก็ได้นะ ที่จริงก็ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องซื้อของขวัญให้หรอก แต่สำหรับผมน่ะ ทั้งรุ่นอาโอกิและรุ่นพี่นาคามูระต่างก็คอยช่วยเหลือผมมาตลอด เลยอยากจะซื้ออะไรให้เป็นการตอบแทน”

“ไม่ต้องคิดมากน่า ฉันอยากซื้ออะไรให้พวกรุ่นพี่เหมือนกัน”แล้วจู่ๆทาคุมิก็ร้องอุทานออกมา พร้อมกับคว้าข้อมือของเขาลากพาให้รีบก้าวตาม แต่เพราะฮารุโตะยังไม่แข็งแรงดี จึงกลายเป็นเกือบจะล้มลงไปเสียแทน

“ขอโทษนะ ฉันลืมไป”

“ไม่เป็นไรหรอก แต่เป็นอะไรน่ะ จะรีบร้อนไปไหน”

“เมื่อกี้เห็นรุ่นพี่ชิมิซึ”

“รุ่นพี่ชิมิซึ?”เท่าที่ฮารุโตะรู้ วันนี้หนุ่มรุ่นพี่มีนัดคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาเรื่องวิทยานิพนธ์

“เมื่อกี้เห็นเดินกับผู้หญิงที่ไหนไม่รู้”คนพูดออกอาการกระสับกระส่ายอยากจะตามไปให้ได้

“แล้วอย่างไร ก็ไม่เห็นแปลก”

“ผู้หญิงคนนั้นสวยมากเลยนะ ไม่กลัวรุ่นพี่กำลังนอกใจหรือไง”

นอกใจแล้วอย่างไร เขามีสิทธิ์ไปหวงห้ามที่ไหน ฮารุโตะอยากจะถามออกไปเช่นนั้น รู้สึกขมขื่นเสียจนต้องก้มหน้าหลบสายตาของผู้คน มือข้างซ้ายกำไม้ค้ำยันไม่แน่น “กลับกันเถอะ”

“ไม่ตามไปดูหรือ จะได้รู้อย่างไรละว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”

“ไม่เอาหรอก รุ่นพี่ชิมิซึไม่ชอบให้ใครไปยุ่งวุ่นวาย”ฮารุโตะพูด “แล้วอีกอย่างผมกับรุ่นพี่ไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย”

“ยังจะพูดแบบนี้อีก”คนพูดเสียงแข็ง ระดับความดังเสียงเพิ่มขึ้นจนผู้คนที่เดินอยู่รอบข้างหันมามอง ฮารุโตะหันไปมองรอบกายพร้อมกับก้มศีรษะเป็นเชิงขอโทษ ก่อนจะหันกลับมาปรามคู่สนทนา พวกเขาขยับหลบแอบเข้าข้างทางไม่ให้กีดขวางการสัญจร

“ที่รุ่นพี่ชิมิซึทำอะไรให้นายตั้งมากมาย ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ”

ฮารุโตะรู้สึกหงุดหงิดที่โดนจี้ถามเรื่องเดิมซ้ำๆ ทั้งที่มันไม่เกิดประโยชน์อะไร “ผมควรจะรู้สึกอะไร”

“ก็ชอบ หรือรัก”

“ชอบแล้วอย่างไร รักมากแล้วอย่างไร มันไม่มีประโยชน์หรอกนะ”

ทาคุมิจ้องสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลของฮารุโตะ ภายในนั้นมันระริกไหวฉายแววเศร้าหมอง “ทำไมคิดแบบนั้น รุ่นพี่ชิมิซึเขาดู... รักนายมาก”

“เพราะซาโต้ซังไม่รู้ว่ามันเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถึงรุ่นพี่จะใจดีแต่เขาก็พร้อมจะเย็นชากับผมตลอดเวลา”น้ำเสียงของฮารุโตะสั่นเครือคล้ายจะร้องไห้ ก้มหน้าหลุบตาลงต่ำ บนสีหน้ามีแต่ความสับสน

ทาคุมิวางมือบนไหล่เล็กบางคล้ายพยายามปลอบโยน จากนั้นจึงพยุงพาฮารุโตะไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล และจับจ้องเก้าอี้ม้านั่งตัวหนึ่ง ให้ฮารุโตะได้นั่งพักระงับอารมณ์ความรู้สึก

“ใจเย็นๆก่อนนะ มีอะไรก็ค่อยๆเล่าให้ฉันฟังได้”เมื่อจบประโยคนั้น ฮารุโตะก็พล่ามพรูเรื่องราวมากมายออกมาจากปาก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจที่หนุ่มรุ่นพี่กระทำต่อตนเอง พูดไปน้ำตาไหลไปไม่ขาดสายพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาป้อยๆ ทำเอาภาพที่เขาเคยเห็นตอนที่รุ่นพี่ดูแลเพื่อนร่วมคณะร่างเล็กกลายเป็นเรื่องลวงตาไปทันที ทั้งที่ฮารุโตะชอบพูดว่ารุ่นพี่ชิมิซึใจดี แต่ตอนนี้คำที่หลุดออกมีแต่คำว่าใจร้ายบ้างละ เย็นชาบ้างละแทบทั้งนั้น อีกอย่างหนึ่งคือฮารุโตะยอมพูดเรื่องของรุ่นพี่ชิมิซึออกมาง่ายๆต่างจากเรื่องอื่นๆอย่างสิ้นเชิง

“เป็นผู้ชายที่นิสัยไม่ดีจริงๆละนะ”เขาพูดเออออตามไปด้วย เท่าที่เคยฟังพวกรุ่นพี่ในชมรมเขาพูดกัน รุ่นพี่ชิมิซึเป็นผู้ชายเจ้าชู้ที่สุดในกลุ่มห้าคนนั้นเลย แต่เพราะตั้งแต่เข้ามาอยู่ในชมรม ทาคุมิไม่เคยเห็นคู่ควงของหนุ่มรุ่นพี่ตัวเป็นๆแบบจริงๆจังๆสักครั้ง จึงนึกว่าเป็นเรื่องแซวกันเล่นๆ หรืออย่างที่โยชิดะ ริเอะโกะพยายามเข้าหา มันชัดเจนว่ารุ่นพี่ไม่ให้ความสนใจเลยสักนิด

“อย่างนั้น บอกรุ่นพี่ไปตรงๆเลยดีกว่าว่า อย่ามายุ่งด้วยอีก”

“ไม่เอาหรอก”

“ทำไมละ กลัวรุ่นพี่จะทำอะไรหรือ ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะอยู่ข้างนายเอง แล้วก็บอกรุ่นพี่อาโอกิ ต้องช่วยได้แน่”

“ตอนที่รุ่นพี่ดุมันน่ากลัวก็จริง แต่ตอนที่รุ่นพี่มองผ่านไปทำเหมือนไม่เห็น ตรงนี้มันเจ็บไปหมด”ฮารุโตะวางมือไว้บนอกของตัวเอง จมูกและขอบตาแดงกล่ำ นัยน์ตาฉ่ำน้ำ

“แล้วอยู่แบบนี้ไม่เจ็บปวดหรือ”

“อาจจะเจ็บปวดบ้าง แต่ก็มีความสุขด้วยเหมือนกัน”

“ถ้าพูดออกไปอย่างจริงจังไม่ดีกว่าหรือ”

เรื่องนั้นฮารุโตะก็เคยคิด “แต่ถ้าผลลัพธ์ของมันออกมาตรงข้ามกันละ” เขาพูดออกไป

ทาคุมิเป็นฝ่ายขมวดคิ้วด้วยความคิดไม่ตกบ้าง ตัวเขาเองใช่ว่าจะเชี่ยวชาญถึงจะเคยคบเด็กผู้หญิงในชั้นเดียวกันเป็นแฟนเมื่อตอนสมัยเรียนมัธยมปลาย ตอนนั้นเขาแค่บอกว่าชอบเธอและขอให้ลองคบกัน เธอก็ตอบตกลงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากแบบนี้

เขาต้องพักเรื่องของฮารุโตะไว้แค่นั้นก่อน และพาเพื่อนกลับไปส่งที่ห้อง หน้าตาของฮารุโตะบวมฉึ่งจนกลัวว่าถ้ารุ่นพี่ชิมิซึกลับมาเห็น เขาจะโดนซักฟอก

ถ้าถามว่าทำไมเขาถึงไม่เอาสิ่งที่ฮารุโตะพูดกับความรู้สึกของฮารุโตะไปบอกให้รุ่นพี่ชิมิซึรับรู้ คำตอบคือเพราะเขาเองไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์การกระทำของตัวเองได้เช่นกัน เรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ย่อมต้องให้สองคนที่อยู่ในวงจรความรักนั้นจัดการกันเอง ตราบใดที่มีคนที่สามคนที่สี่เข้าไปเกี่ยวมันย่อมต้องมีปัญหาวุ่นวายตามมาเสมอ

ด้วยประการฉะนี้ ทาคุมิจึงต้องพยายามอดทนอดกลั้นอาการคันปากทุกครั้งยามที่อยู่กับเพื่อนสนิทอย่างฮารุโตะ เพราะหลังจากที่เขาเห็นรุ่นพี่ชิมิซึเดินกับผู้หญิงสวยมากเมื่อหลายวันก่อน หลังจากนั้นเขาได้เจออีกฝ่ายกับผู้หญิงคนเดิมอีกหลายครั้ง และนอกเหนือไปจากนั้น แต่ก่อนที่ไม่เคยเห็นคู่ควงของรุ่นพี่ชิมิซึ หลังๆมานี้กลับเจอบ่อยขึ้น ราวกับจะพยายามยืนยันว่า อีกฝ่ายนั้นเจ้าชู้อย่างที่ใครต่อใครเขาพูดกัน





ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'

“รุ่นพี่ฮายาชิครับ”ทาคุมิเรียกด้วยเสียงกระซิบ พลางเหลือบตามองฮารุโตะที่นั่งรวมกลุ่มอยู่กับรุ่นพี่อาโอกิและกลุ่มรุ่นพี่สาวๆ ซึ่งกำลังคุยเรื่องรายการอาหารที่จะจัดเลี้ยงในงานวันเกิดของคู่รักอดีตประธานชมรม จากนั้นเขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเปิดรูปที่ตนแอบถ่ายไว้ ส่งให้อีกฝ่ายได้ดู

“คนนี้ใครครับ”

ภาพที่ส่งมาให้เรียวตะดูนั้น เป็นรูปของชิมิซึ ซากิกับชายหนุ่มหน้าตาดีอีกคน  อากัปกิริยาของสองคนในรูปดูเผินๆโดยรวมล้วนปกติไม่ผิดแปลก

“อยากรู้ไปทำไม”เรียวตะถามกลับ ใช่ว่าเขาจะรู้จักทุกคนที่คนที่ซากิรู้จัก

“ผมเคยเจอรุ่นพี่ชิมิซึจูบกับผู้ชายคนนี้”

“อา...”เขาควรจะตอบว่าอย่างไรดีนะ เรียวตะนึกไม่ออกจริงๆ

“ตกลงรุ่นพี่ชิมิซึเห็นเพื่อนผมเป็นแค่ของเล่นจริงๆเหรอ”ทาคุมิพูดเสียงอ่อย ขยับปากงึมงำด้วยท่าทางสลดเซื่องซึม เขาและรุ่นพี่ฮายาชิพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันมาโดยตลอด ตอนที่ได้ยินว่ารุ่นพี่ชิมิซึจัดการโยชิดะ ริเอะโกะไม่ให้เข้ามาหาเรื่องฮารุโตะอีกเป็นครั้งที่สอง เขายังคิดว่า รุ่นพี่ชิมิซึนี่โคตรเท่ ตอนที่ฮารุโตะหายไปรุ่นพี่เองดูเป็นห่วงมากจนเขาคิดว่าจบเรื่องนี้สองคนนั้นต้องลงเอยกันแน่ อุตส่าห์ลุ้นติดขอบเวทีขนาดนี้สองคนนั้นยังไม่ไปถึงไหน

“มันคงคิดอะไรแผลงๆอีกละมั้ง”เรียวตะพูดเดา แม้ว่าเขาจะค่อนข้างสนิทกับคนที่ถูกพูดถึง แต่เขาก็ตามความคิดของอีกฝ่ายไม่ค่อยทัน ที่รู้เรื่องโน้นเรื่องนี้เพราะออกเที่ยวด้วยกันบ่อยเท่านั้นเอง ดังนั้นพอเห็นเอคิจิเดินผ่านเข้ามาในแนวสายตา เขาจึงรีบกวักมือเรียก และส่งรูปในมือถือให้ดู

“รู้จักป่ะ”

คนถูกถามเลิกคิ้ว มองกลับมา “ใครจะไปรู้จัก เป็นแกที่ควรจะรู้ไม่ใช่หรือ”

“หลังๆมานี่มันไปไหนก็ไม่ค่อยชวนอ่าดิ”

“แล้วอยากรู้ไปทำไม”

“ทาคุมิบอกว่าเห็นตอนซากิมันจูบกับคนในรูป แถมช่วงนี้มันกลับไปควงใครต่อใครอีกเพียบ”

“อ้าวหรือ นึกว่ามันคอยไปรับไปส่งไปกินข้าวกับฮารุจังซะอีก”

“ยังทำอยู่ครับ แต่แบบบางครั้งที่กินข้าวอยู่ก็มีคนที่ไม่รู้จักเข้ามาคุย ผมนี่โคตรอึดอัดเลย”ทาคุมิบอกพร้อมกับบ่นออกไป

“อ่อ”คนฟังแค่พยักหน้ารับรู้ เรียวตะที่จับจ้องอยู่ตลอดเอ่ยปากถามบ้าง ทั้งที่เพิ่งรู้จักซากิครั้งแรกตอนมัธยมปลายเหมือนๆกัน แต่ราวกับว่าเอคิจิและซากิจะรู้จักกันมานานกว่านั้น เพราะดูสนิทสนมรู้ใจกันเป็นกันเป็นพิเศษ

“ตกลงมันจะทิ้งฮารุจังแล้ว”

“หือ แกจะเสียบจริงดิ”

“เฮ้ย!!! เปล่า!!! เดี๋ยวก็มองหน้ากันไม่ติดจริงๆ”เรียวตะบอกปฏิเสธ “ทาคุมิมันจะได้รีบเตรียมตัวปลอบฮารุจังไง”

“ทำไมเพื่อนของพวกรุ่นพี่ใจร้ายอย่างนี้”ทาคุมิกล่าวตัดพ้อตามมาติดๆ

“ฉันไม่ใช่มัน มาพร่ำให้ฟังก็ไม่รู้สึกหรอกเว้ย”เอคิจิพูดพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ “ว่าแต่ฮารุโตะรู้หรือเปล่าละ”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่ารู้เห็นระแคระคายแค่ไหน แต่ไม่เห็นออกอาการอะไรเลย”

“ไม่มีเลย?”

“มีคนเข้ามาคุยเจาะแจ๊ะกับรุ่นพี่ชิมิซึ ฮารุจังยังแค่มองเฉยๆ”

“อ่อ”เอคิจิรับฟังด้วยอาการครุ่นคิด “เดี๋ยวก็เลิกไปเองละมั้ง”

“ตกลงเพื่อนผมจะโดนทิ้งจริงๆใช่ไหม”ทาคุมิออกอาการร้องห่มร้องไห้ แต่หนุ่มรุ่นพี่ที่เหมือนจะรู้ดีกลับแค่หัวเราะแล้วบอกไม่รู้สินะ เท่านั้นเอง


งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาโอโตะและเรย์ถูกจัดขึ้นที่บ้านนาคามูระ โดยการเปลี่ยนห้องโถงชั้นล่างของบ้านซึ่งแต่เดิมแบ่งพื้นที่การใช้งานด้วยเฟอร์นิเจอร์ให้เป็นพื้นที่จัดงาน งานนี้สมาชิกชมรมที่ชื่นชอบการถ่ายภาพต่างตื่นเต้นกันเป็นพิเศษเพราะได้เจอตัวจริงของนาคามูระ มาโกโตะและนาคามูระ ริว ช่างภาพมืออาชีพชื่อดังที่เป็นพ่อและพี่ชายของหนุ่มรุ่นพี่เจ้าของวันเกิด

ไม่ต่างกับทาคุมิที่มองอาโอกิ จิอาสะพี่สาวของรุ่นพี่อาโอกิ นาโอโตะตาไม่กระพริบ

“เอ่อ... ขอโทษนะครับ”ทาคุมิกระมิดกระเมี้ยนพูดจาด้วยความเขินอาย เป็นครั้งแรกที่ฮารุโตะเห็นท่าทางอาการของเพื่อนร่วมคณะต่างจากที่เคย “ขอความกรุณาถ่ายรูปคู่กับผมได้ไหมครับ” คนพูดลุ้นจนตัวเกร็ง ท่าทีสงบเสงี่ยมไม่ล้นทะเล้นเหมือนเช่นเคย

“อือ ได้ซิ”

สีหน้าของทาคุมิราวกับอยากจะไปจุดพลุฉลอง เขาส่งโทรศัพท์ให้หญิงสาวและขยับไปนั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน ขยับเข้าไปใกล้แต่ไม่กล้าเข้าไปชิดมาก จนหญิงสาวผู้ที่มีอายุมากกว่าต้องขยับเข้าไปชิดในตำแหน่งที่ไม่ดูเกินเลยจนเกินไปนัก กดปุ่มจับภาพสองถึงสามภาพและส่งโทรศัพท์คืนให้เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของ ทาคุมิถึงกับเหมือนจะลอยได้ตอนที่กลับมานั่งยังจุดเดิม ฮารุโตะหัวเราะกับสีหน้าเคลิ้มฝันของผู้เป็นเพื่อน

มันควรเป็นเรื่องที่น่าประทับใจจริงๆนั่นแหละ

อาโอกิ จิอาสะเป็นนางแบบสาวสวยที่กำลังมีชื่อเสียงในปัจจุบัน ทั้งยังมีงานโฆษณาสินค้าอีกหลายชนิด ภาพคู่ที่ปรากฏอยู่บนโทรศัพท์มือถือของทาคุมิ ดูเหมือนว่าทาคุมิและจิอาสะความสูงใกล้เคียงกัน แต่ในความจริงแล้ว นางแบบสาวสูงกว่าทาคุมิอยู่หลายเซนติเมตรทีเดียว

หลังจากนั่งชื่นชมภาพคู่ในโทรศัพท์ได้ไม่เท่าไหร่ ซาโต้ ทาคุมิก็ลุกหายแว้บไปอีกปล่อยให้ฮารุโตะนั่งรออยู่ที่โซฟาคนเดียวเพราะสภาพไม่เอื้ออำนวยของร่างกาย กระนั้นใช่ว่าเขาจะต้องนั่งเหงา เพราะประเดี๋ยวหนึ่งก็มีคนนำขนมมาให้ อีกประเดี๋ยวก็มีคนถือของกินมาส่ง จนฮารุโตะเริ่มคิดว่าไม่อยากหายดีเสียแล้ว

“ทาคุมิไปไหนแล้วละ”ซากิถามพร้อมทรุดตัวลงนั่งแทนที่คนที่ถูกถามถึง ฮารุโตะหันไปกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม

“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่เห็นพูดอยู่ว่าอยากได้รูปคู่กับทาเคชิซัง”ทาเคชิซังที่ฮารุโตะกล่าวถึงคือ อาโอกิ ทาเคชิ นายแบบหนุ่มหล่อที่ยังคงดูดีอยู่เสมอแม้วัยจะล่วงเข้าสู่เลขสี่ปลายๆ ผู้เป็นบิดาของอาโอกิ  นาโอโตะ

งานเลี้ยงวันนี้นอกจากจะมีสมาชิกในชมรมถ่ายภาพ สมาชิกในครอบครัวของรุ่นพี่ทั้งสอง ยังมีเพื่อนร่วมคณะ เพื่อนสมัยมัธยม และคนรู้จักที่เคยทำงานร่วมกับรุ่นพี่เจ้าของวันเกิดอีกหลายคน คนในงานจึงพลุกพล่านคึกคัก

คนฟังพยักหน้ารับเมื่อได้ยินคำตอบ มองจานอาหารหลายอย่างบนโต๊ะ ของที่พร่องหายไปส่วนใหญ่จะเป็นของที่หยิบทานได้ง่าย อาหารจำพวกเส้นอย่างสปาเก็ตตี้ยังเหลือพูนจานเหมือนเดิม เขาจึงหยิบส้อมมาถือเกี่ยวเส้นแป้งพันม้วนเป็นก้อนกลม และยื่นส่งให้ถึงปากของหนุ่มรุ่นน้อง ฮารุโตะอ้าปากรับอย่างไม่อิดออดและมีสีหน้าว่าชื่นชอบรสชาติอย่างเห็นได้ชัด คนป้อนจึงส่งคำที่สองเข้าปากอีกฝ่ายทันทีที่หนุ่มรุ่นน้องเคี้ยวอาหารหมดปาก

“มาแล้ว มาแล้ว นี่ๆดูดิ”ทาคุมิยกโทรศัพท์ขึ้นมาอวดอย่างตื่นเต้น เมื่อได้ภาพคู่กับอาโอกิ ทาเคชิอย่างที่ตั้งใจ นอกจากนั้นยังมีภาพเดี่ยว และภาพคู่ของพ่อลูกดารานายแบบนางแบบอีกหลายภาพ

“ตื่นเต้นอะไรไร้สาระ”รุ่นพี่ร่างสูงพูดแขวะจนเจ้าของภาพชักสีหน้า เขายังไม่หายเคืองแทนฮารุโตะที่รุ่นพี่ชิมิซึไปเจ๊าะแจ๊ะกับคนอื่น ดังนั้นเขาจึงแค่สะบัดหน้าทำเป็นไม่สนใจ

คนโดนเมินหัวเราะกับท่าทางนั้น ขณะที่มือยังม้วนเส้นสปาเก็ตตี้เพื่อส่งเข้าปากหนุ่มรุ่นน้องผู้ซึ่งต้องใส่เฝือกที่แขน ทาคุมิเห็นฮารุโตะยอมอ้าปากให้หนุ่มรุ่นพี่ป้อนพลางเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ แล้วยิ่งหมั่นไส้ เขากวาดสายตามองหาของกินอื่นที่จะนำมาให้ฮารุโตะ

อาหารของกินในงานเลี้ยงวันนี้ก็ช่างหลากหลาย มีทั้งอาหารญี่ปุ่น อาหารฝรั่ง ทั้งซูชิ ซาชิมิ ทั้งขาปู พูดง่ายๆว่าจัดอาหารตามใจคนกินโดยแท้

ทาคุมิลุกขึ้นไปคีบโอโทโร่ซูชิและเดินกลับมานั่งข้างเพื่อนสนิทอีกครั้ง “ฮารุโตะ เอานี่ไหม” เขาใช้มือหยิบซูชิทำท่าจะป้อนให้ถึงปาก ฮารุโตะหันมาพยักหน้ารับและคว้าซูชิก้อนนั้นมาถือด้วยมือซ้าย เสียงหัวเราะลอยมาทำให้เขาคิ้วกระตุก

“ซูชิอร่อยไหม”ยิ่งได้ยินรุ่นพี่ชิมิซึถามคำถามนั้นกับฮารุโตะ เขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กน้อย อิจฉาหมั่นไส้อะไรไม่เข้าท่า

ฮารุโตะพยักหน้ารับ อ้าปากพูดไม่ได้เพราะก้อนซูชิครึ่งหนึ่งอยู่ในปากเหลืออีกครึ่งอยู่ในมือ คนถามเห็นอีกฝ่ายตอบรับจึงดึงมือหนุ่มรุ่นน้องเข้าหาตัว ขโมยซูชิที่เหลืออีกครึ่งเข้าปากตัวเองบ้าง เคี้ยวอยู่ไม่กี่ทีก็กลืนลงคอ

“อร่อยจริงๆด้วย”ซากิพูดมองหนุ่มรุ่นน้องที่นิ่งมองเขาตาโต สีผิวเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อไปทั้งหน้าก่อนเสหลบสายตาด้วยการก้มหน้าลงต่ำ เด็กหนุ่มอีกหนึ่งคนที่นั่งมองอยู่ไม่ห่างพลันแกล้งสำลักกระแอมกระไอคล้ายมีอะไรติดคอ

“เดี๋ยวฉันไปหาน้ำมาให้แล้วกัน”เขาบอกเช่นนั้นก่อนจะลุกขึ้นเพื่อไปหาน้ำมาให้ตามที่พูด และกลับมาพร้อมน้ำพั้นซ์ผลไม้สองแก้ว ส่งแก้วหนึ่งให้ทาคุมิ แก้วหนึ่งวางไว้ตรงหน้าฮารุโตะ

กลับกลายเป็นว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาสามคนเงียบกริบไร้สนทนา แม้ว่ารอบข้างจะมีทั้งเสียงคุยและเสียงเพลง เสียงเฮดังลั่นออกมาจากหมู่คนที่จับกลุ่มเล่นเกม

ทาคุมิอึดอัดไม่ชอบบรรกาศแบบนี้ เขาเหล่มองอีกสองคน ฮารุโตะยังนั่งกินซูชิต่อไปเงียบๆ ส่วนหนุ่มรุ่นพี่ มือหนึ่งสางผมฮารุโตะเล่น สายตาจดจ้องอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง

เด็กหนุ่มช่างพูดนั่งหยุกหยิกกระสับกระส่ายอย่างไม่เป็นสุข จนฮารุโตะต้องหันไปถาม

“เป็นอะไรหรือ ถ้าอยากเข้าห้องน้ำก็ไปได้ ผมอยู่ได้”

“เปล่า”

ทาคุมิขยับตัวยกมือขึ้นป้องปากกระซิบ “ไม่คิดจะคุยกันบ้างหรือ”

“เอ๊ะ! เอ่อ... แล้วคุยอะไรละ”ฮารุโตะถามอย่างไม่เข้าใจ

“อะไรก็ได้”ทาคุมิยังคงใช้เสียงกระซิบเช่นเดิม

“ทำอะไรกันน่ะ”เสียงที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้พวกเขาทั้งคู่สะดุ้งโหยงตกใจ ฮายาชิ เรียวตะยกยิ้มชอบใจขณะเลื่อนใบหน้าที่ยื่นเสนอเข้าไปออกมาห่าง และเดินอ้อมไปนั่งที่โซฟาอีกฝั่ง ในมือมีขวดเครื่องดื่มของมึนเมาหลายขวด

อิเคดะ นายะในชุดกระโปรงสีชมพูอมส้มตามมานั่งข้างเรียวตะไม่ห่าง

“ดื่มอะไรวะ”เรียวตะหันไปถามเพื่อน ซากิจึงชี้ไปที่แก้วพั้นซ์ที่ตั้งอยู่

“เฮ้ย เป็นอะไรวะไม่ดื่มรึ”

“ขับรถมา แล้วก็เผื่อต้องเก็บศพพวกที่เมาด้วย”

“เรย์มันบอกให้นอนนี่ได้”พูดพลางโบกมือเรียกเพื่อนอีกคน ส่วนเจ้าของงานวันเกิดสองคนนั้นต้องเดินชนแก้วไปทั่วงานจนตอนนี้เรย์เริ่มจะเดินไม่ตรง

“เห็นว่าอีกเดี๋ยวมันก็เป่าเค้กกันแล้ว”

“มีอะไรอ่ะ”คนที่ถูกเรียกเดินเข้ามาหาและเอ่ยปากถาม

“มานั่งเล่นกับน้องมันบ้างดิ ทาคุมิมันกระสับกระส่ายเป็นไข้จับสั่นแล้ว”เรียวตะเอ่ยแซว ซึ่งคนถูกแซวก็ปฏิเสธทันควัน

“ผมเปล่านะ”

เอคิจิหัวเราะ มองเรียวตะตะโกนเรียกคนที่เดินผ่านให้มารวมกลุ่ม

“ไม่ดื่มแล้วนะเว้ย”มาซามุเนะ โทรุบอกทันทีที่หย่อนตัวลงนั่ง “กะจะให้อ้วกเลยหรือไง”

“เขาเรียกว่าคออ่อนว่ะ”คนที่พูดชื่อฟุจิตะ มาสะซึ่งเรียนอยู่ชั้นปีที่สี่

“เออ อ่อนก็อ่อนดีกว่าต้องเมาจนคลานละว้า”คนโดนว่ายอมรับออกมา

“รุ่นพี่ฮายาชิคะ ฉันเรียกเพื่อนมานั่งด้วยได้ไหม”นายะพูดขึ้นบ้าง

“จะใครก็ได้แต่อย่าให้ฉันเห็นหน้าโยชิดะ”ซากิกล่าวแทรกเสียงแข็งพาให้ทั้งวงเงียบกริบ

ประเด็นนี้เคยเป็นประเด็นร้อนที่ทั้งชมรมกล่าวถึงในช่วงหนึ่ง ปกติจะมีแต่นาคามูระ เรย์ที่ชอบตะเพิดผู้หญิงที่ตามตอแย แต่ชิมิซึ ซากิทำมากกว่านั้น นอกจากพูดเล่าเหตุการณ์ที่มานาซุรุออกมาเป็นฉากๆแล้ว ยังขุดเรื่องตั้งแต่สมัยไหนของโยชิดะ ริเอะโกะออกมาโพทนาให้คนทั้งชมรมได้ฟังกันอีกด้วย และสำทับประโยคสุดท้ายว่า ‘ถ้ายังไม่เลิกยุ่งวุ่นวายตามราวีคนอื่นอีกละก็ ครั้งหน้าจะไม่แค่สืบประวัติครอบครัว แต่อาจจะเป็นพ่อแม่ของเธอที่ต้องออกจากงานหรือตัวเธอเองที่ต้องเด้งออกจากมหาวิทยาลัยนี้’

สมาชิกในชมรมต่างโจษจันสงสัย เรื่องที่เกิดในคานางาว่าแค่ถามคนเจ็บอย่างฮารุโตะ เหตุการณ์ทุกอย่างก็เป็นอันกระจ่าง แม้ทุกคนจะมารู้เรื่องนั้นภายหลังว่าฮารุโตะไม่เคยเล่าอะไรที่ชัดเจนออกมา เรื่องประวัติครอบครัวก็มีสำนักงานนักสืบที่สามารถจัดการหาข้อมูลที่ต้องการให้ได้ มีแต่คำข่มขู่นั่นแหละที่หลายคนกังขา ตัวคนโดนข่มขู่เองก็กังขา

คาโอรุเลยเลียบๆเคียงๆถามรุ่นพี่เรย์ที่ดูท่าว่าจะคุยง่ายสุด เพราะประธานชมรมคนปัจจุบันสงสัยตั้งแต่ที่อยู่มานาซุรุในคานางาว่าแล้ว ว่าทำไมตำรวจและทีมค้นหาดำเนินการให้ไวนัก สรุปความว่า พ่อของรุ่นพี่ชิมิซึเป็นข้าราชการระดับสูง ส่วนคนในครอบครัวของรุ่นพี่โมริต่างมีตำแหน่งในกรมตำรวจ และมีเครือญาติเปิดสำนักงานนักสืบ

โยชิดะ ริเอะโกะจึงไม่กล้าหือออกอาการขึ้นมาอีก

“ฉันทราบค่ะ”

เรียวตะจึงต้องเป็นฝ่ายเปลี่ยนบรรยากาศที่เริ่มทะมึนอึมครึมให้กลับมาสนุกสนานเฮฮาอีกครั้ง หลังจากที่สองสาวอย่างทาคาฮาชิ ฮิราอิ และซาซากิ ฟุมิโอะมานั่งร่วมวงแล้ว เรียวตะจึงเริ่มเล่นเกมต่อคำ แต่เปลี่ยนจากที่ต้องดื่มของมึนเมาเมื่อแพ้ กลายเป็นดื่มซอสเสียแทน

“ซอสเนี่ยนะ”มาสะถามอย่างไม่เชื่อหู “ฉันกินเหล้าแทนไม่ได้หรือวะ”

“แต่ฉันไม่อยากกินเหล้า”

“ฮารุจังก็ดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้นะครับ”

สองประโยคหลังเป็นของโทรุและทาคุมิ

“อย่างนั้นดีดหู”คนคิดเกมเสนอขึ้นมาอีก จากที่นั่งฟังเพลินๆขำๆ ฮารุโตะถึงกับสะดุ้งตัวเกร็ง ซึ่งทาคุมิก็แย้งทันควันเหมือนกัน

“อันนี้ก็ไม่เอาครับ ทำไมผมต้องมาเจ็บตัวด้วย”

“เว้ย โน่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่ได้”เรียวตะส่งเสียงชิชะหงุดหงิด

“งั้นก็ ใครแพ้จะกินเหล้ากินซอส หรือกินน้ำเปล่าก็ตามใจเลยไม่ได้หรือไง”เอคิจิเสนอความคิดเห็น

“ไม่ลำบากทรมานมันจะเรียกว่าทำโทษหรือวะ”

เถียงกันไปแย้งกันมาจนเจ้าของงานสองคนประกาศว่าจะเป่าเค้ก พวกเขาจึงต้องล้มเลิกเกมที่ว่ากันไปเสียก่อน แล้วย้ายไปรวมตัวแถวโต๊ะที่วางเค้กแทน ฮารุโตะลุกยืนไม่ถนัด จึงได้แต่ขยับตัวเอี้ยวมองส่งกำลังใจให้แทน อีกสองหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆก็ไม่ยอมลุกไปไหน

เสียงเพลงสุขสันต์วันเกิดดังขึ้น ฮารุโตะจึงร้องและปรบมือตาม ร้องวนไปสองรอบทำท่าเหมือนจะจบแต่ใครสักคน กลับขึ้นเพลงมาอีกรอบ พวกเขาจึงร้องเพลงเป็นรอบที่สาม เมื่อใกล้จะจบรอบที่สาม เรียวตะก็ขึ้นเพลงรอบที่สี่ แต่โดนทุกคนในงานสะกัดบอกให้หยุด การร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดจึงจบลงแค่นั้น

ช่วงที่ตัดเค้ก ทาคุมิรีบกระโดดผลุงไปยืนรออยู่ด้านหน้า เขาถือกลับมาแค่จานเดียวแต่ชิ้นใหญ่มากตั้งใจจะแบ่งกันทานกับเพื่อนสองคน ทว่าตอนที่กำลังจะตักเค้กป้อนฮารุโตะ หนุ่มรุ่นพี่อีกคนกลับเสนอหน้าอ้าปากมาจัดการไปเสียแทน

“รุ่นพี่ชิมิซึไปเอาใหม่ซิครับ มาแย่งผมทำไม”

“เอ้าเรอะ ไม่ได้เอามาเผื่อเรอะ”

ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ ทาคุมิคงหลุดปากด่าไปแล้ว

“ขอโทษทีแค่อยากชิมเฉยๆ”ซากิแสร้งยิ้มเป็นเชิงว่าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ทาคุมิส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอเป็นเชิงไม่ชอบใจ ก่อนจะวางจานเค้กไว้บนโต๊ะสะบัดหน้าลุกขึ้น ฮารุโตะมองตาม แต่โดนชายหนุ่มอีกคนเรียกความสนใจกลับมา

“กินก่อนไหม เดี๋ยวป้อน”เขาพูดพลางเอื้อมมือเลื่อนจานเข้ามาใกล้และหยิบช้อน

ฮารุโตะสั่นศีรษะ “อย่าแกล้งทาคุมิซิครับ”พลางรับช้อนที่อีกฝ่ายส่งมา

“เด็กปากมากนั่นกวนประสาท”

“กวนประสาท?”ฮารุโตะถามซ้ำ ตอนไหนกันไม่เห็นจะเป็นแบบนั้นเลย “ซาโต้ซังใจดีนะครับ เป็นคนดีมากด้วย”

ซากิจึงทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่คิดต่อความ จังหวะนั้นทาคุมิกลับมาพอดีพร้อมช้อนอีกคันในมือ

“เอ๋... นึกว่าจะไปเอาเค้กมาเพิ่มซะอีก”

“หมดแล้ว”ทาคุมิไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติม เขาดึงจานที่อยู่ตรงหน้าฮารุโตะกลับมานิดหน่อยพร้อมกับใช้ช้อนในมือตักเค้กเข้าปาก “ไม่กินหรือ”เขาถามเมื่อยังเห็นฮารุโตะยังนั่งมองอยู่เฉยๆ เพื่อนสนิทของเขาพยักหน้า สายตาของทาคุมิมองการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างไม่คลาดสายตา ฮารุโตะมีท่าทีปกติไม่ตะขิดตะขวงใจอะไร แน่ละ ถ้าไม่คิดอะไรมากใช้ช้อนคันเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กลับมีคนคิด

ขณะที่ตักขนมปังส่วนที่เป็นตัวเค้กเข้าปากทาคุมิก็นั่งตรึกตรองไปด้วย พวกรุ่นพี่ฮายาชิกลับมานั่งรวมกลุ่มอีกครั้ง แต่ละคนมีชิ้นเค้กกลับมาด้วย รุ่นพี่ชิมิซึไม่มีทีท่าอยากกินแม้จะมีคนเสนอแบ่งให้

“นี่ๆ ฮารุจังตักให้รุ่นพี่ชิมิซึบ้างซิ”เขากระซิบบอกคนที่นั่งอยู่ข้าง

ฮารุโตะพยักหน้ารับ หันไปอีกฝั่งสะกิดหนุ่มรุ่นพี่พลางส่งช้อนให้ “ทานไหมครับ” คนถูกถามปฏิเสธกลับมา

“ตักป้อนเลย”ทาคุมิกระซิบบอกอีกครั้ง เจ้าตัวสั่นศีรษะหน้าแดงตอบกลับมาด้วยเสียงเบาๆเช่นเดียวกันว่า

“ไม่เอาหรอก มีคนอยู่ตั้งเยอะแยะ”

“ทีตอนที่รุ่นพี่ป้อนไม่เห็นอาย”

“ก็ผมแขนเจ็บ อยากกินก็ทำเองไม่ได้ แต่ถ้าผมป้อนรุ่นพี่ทั้งที่รุ่นพี่ชิมิซึปกติทุกอย่าง ต้องมีคนมองแปลกๆแน่เลย”

“ไม่คิดว่ารุ่นพี่อยากกินเค้กและก็อยากให้นายป้อนบ้าง”

“แต่เมื่อกี้รุ่นพี่บอกไม่กิน”

“ก็นายไม่ได้ป้อน”

“ซุบซิบอะไรกันสองคนนั้นน่ะ”เรียวตะถามแทรกเสียงดัง ทาคุมิเงยหน้าขึ้นไปตอบว่าไม่มีอะไร หันไปมองหนุ่มรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ฝั่งขวาของฮารุโตะแล้วต้องผงะ อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จ้องเขาเขม็ง สายตานั่นยังน่ากลัวจนเขาต้องขยับออกห่าง

ทาคุมิไม่เข้าใจ ทั้งที่ก็แสดงท่าทางว่าหวงเพื่อนของเขามากแท้ๆ แต่ทำไมยังชอบไปทำตัวเจ้าชู้กับคนอื่นอีกก็ไม่รู้ หรือมันคือนิสัยของผู้ชายประเภทนี้

ฝ่ายฮารุโตะได้แต่ก้มหน้าก้มตาครุ่นคิด ถ้าทำแบบที่ทาคุมิว่ามันจะดีจริงหรือ และเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจได้ ลองทำดูไม่เห็นเสียหาย ตอนที่อยู่กันแค่สองคนใช่ว่าจะไม่เคยทำเสียหน่อย ฮารุโตะปลุกปลอบตัวเอง ยกช้อนที่ตนตัดแบ่งเค้กเป็นชิ้นเล็กๆยื่นไปตรงหน้าของหนุ่มรุ่นพี่ด้วยความรู้สึกเก้ๆกังๆ

ซากิมองคนที่ถือช้อนในมืออย่างไม่ถนัดด้วยความแปลกใจ แววตาฉายชัดทั้งความรู้สึกนึกคิดจนเขาอยากจะยกยิ้ม

 ...คาดหวัง ประหม่าและหวั่นใจ

เมื่อทิ้งเวลานานเข้า นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลจึงเริ่มฉายแววสลดพร้อมกับเริ่มหลุบตาและเลื่อนมือลงต่ำ ชายหนุ่มคว้ามือของฝ่ายไว้ก่อน อ้าปากงับขนมปังเข้าปาก

“อือ อร่อยดี”

เสียงโห่แซวลอยตามมาจนหนุ่มรุ่นน้องต้องก้มหน้างุดๆ ให้เห็นแค่ข้างแก้มที่แดงเรื่อ เขายกยิ้มรับคำหยอกเย้าของกลุ่มเพื่อนด้วยความสุขสมใจ

“น้ำตาลติดคอว่ะ ขอเหล้าหน่อยดิ”มาสะแกล้งทำเป็นร้องเรียกหาเครื่องดื่ม

“นัตจัง เค้าป้อนนะตัวเอง อ่ะ อ้าม”เรียวตะหันไปเล่นกับนายะ เขาล้อเลียนคนทั้งคู่ด้วยการหันไปตักเค้กจะป้อนให้หญิงสาวบ้าง หากแต่เธอไม่คิดจะรับมุขด้วย

“ไม่ตลกนะคะ น่ารังเกียจจะตาย”

เงียบกริบกันทั้งกลุ่มอีกครั้ง

ซากิเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน เหลือบสายตามองหนุ่มรุ่นน้องอีกคนที่โดนว่ากระทบ เขาไม่เห็นสีหน้าเพราะอีกฝ่ายยิ่งก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าเดิม เหลือบสายตาขึ้นมองหน้าเรียวตะ เห็นเพื่อนสนิทมีสีหน้าเลิกลั่ก ขณะคนพูดยังลอยหน้าไม่สำนึก หงุดหงิดอารมณ์เสียจนรู้สึกนั่งไม่ติด

“วันนี้ฉันกลับก่อนแล้วกัน”พูดพลางดึงช้อนตักเค้กที่อยู่ในมือฮารุโตะโยนใส่จาน สอดแขนใต้ข้อพับยกตัวหนุ่มรุ่นน้องให้ลอยสูงขึ้น คนโดนอุ้มวาดแขนข้างที่ใส่เฝือกวางพาดบ่าของเขาไว้โดยอัตโนมัติ

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวดิ”เรียวตะร้องอย่างตระหนก “อิเคดะไม่ได้ตั้งใจหรอก ใช่ไหม”คำพูดสุดท้ายเขาหันไปถามหญิงสาวที่อยู่ข้างตัว ทว่าเธอกลับไม่หลุดเสียงอะไรคล้ายจะยืนยันคำกล่าวก่อนหน้า

“ช่างเหอะ ฉันไม่อยากมีเรื่องว่ะ”ซากิพูดคล้ายอ่อนใจ อย่างไรก็ตามยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเท้าไปไหน เจ้าของงานเลี้ยงอย่างอาโอกิ นาโอโตะกลับก้าวเท้าเข้าหามาเสียก่อน

“โทษที ไปคุยกับกลุ่มอื่นยาวเลย ว่าแต่จะไปไหนอ่ะ”

“พอดีฉันจะกลับแล้ว”

“รีบไปไหนอ่ะ ที่ตัดเค้กก่อนไม่ใช่จะไล่นะเว้ย แค่กลัวเรย์มันเมาหัวทิ่มจนเป่าเค้กไม่ได้ต่างหาก”เมื่อโดนเจ้าของงานชวนให้นั่งลงอีกรอบ ซากิจึงจำใจต้องปล่อยตัวหนุ่มรุ่นน้องลงบนโซฟาเหมือนเดิม ทาคุมิยกตำแหน่งที่ตนเคยนั่งให้นาโอโตะอย่างรู้งาน

“เป็นอย่างไรบ้างฮารุจัง มีคนหาอะไรมาให้กินใช่ไหม”

ฮารุโตะรีบยกยิ้มตอบรับ “ครับ วันนี้มีแต่ของอร่อยๆ เค้กก็อร่อย”

“ถ้าฮารุจังได้กินแบบนี้ทุกวันนะ แค่เดือนเดียวรับรองได้ว่าอ้วนเป็นหมูแน่นอน”ทาคุมิเข้ามาร่วมวงด้วย

“ไม่เป็นหมูนะ”คนถูกพูดถึงรีบปฏิเสธ บรรยากาศหนักอึ้งเมื่อสักครู่ค่อยเบาบางลง กลุ่มเพื่อนสนิทจึงรีบเสริมเบี่ยงประเด็น ปล่อยให้คนขี้โมโหได้สงบสติอารมณ์ตัวเอง




+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


หมายเหตุ
โอโทโร่ (Otoro) คือ เนื้อส่วนท้องของปลาทูน่า หรือ (มากุโระ)Maguro ซึ่งถือว่าเป็นปลาที่ชาวญี่ปุ่นนิยมรับประทานในแบบปลาดิบมากที่สุด เนื้อปลาทูน่าที่เราเห็นและรับประทานโดยส่วนใหญ่นั้นจะเป็นเนื้อแดงส่วนที่เรียกว่า อะคามิ (Akami) ซึ่งเป็นเนื้อส่วนกลางลำตัว ที่มีจำนวนมากและหาได้ง่าย แต่สำหรับส่วนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเนื้อที่อร่อยที่สุดของทูน่า คือเนื้อส่วนที่เรียกว่า โทโร่ (Toro) แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ชูโทโร่ (Chutoro) และโอโทโร่ (Otoro) ชูโทโร่ คือ เนื้อส่วนที่อยู่ใกล้กับครีบของปลาทั้งด้านบนและท้องส่วนหลัง เนื้อส่วนนี้มีรสสัมผัสที่หวานนุ่มกว่าอะคามิเพราะมีไขมันคั่นสลับเนื้อปลาอยู่ตลอดทั้งชิ้น ส่วนเนื้อท้องส่วนหน้าที่เรียกกันว่าโอโทโร่นั้น จะเป็นเนื้อที่มีไขมันแทรกซึมอยู่แทบทุกอณูของเนื้อปลาจนกลายเป็นลายหินอ่อนสวยงาม

ที่มา : ที่มา : https://th.openrice.com/th/bangkok/article/โอโทโร่-ราชันย์แห่งซูชิ-a12

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
*//ขอพูดคุยเกี่ยวกับ Reply ของนักอ่านทุกท่านค่ะ

อารมณ์ความรู้สึกของตัวละครในเรื่องนี้แต่ละคนซับซ้อนพอสมควรเลย ส่วนหนึ่งเพราะอ่านแล้วยังจับรายละเอียดไม่ค่อยได้หมด ตัวละครเยอะ เรียกชื่อหน้าบ้าง เรียกชื่อหลังบ้าง ยังจำได้ไม่กี่คนเองครับ

ขอพูดถึงชุนนิดนึง ถ้าไม่ใช่เกลียดแทบตายมันมีเหตุผลอื่นด้วยเหรอที่จะไปซ้อมใครซักคนขนาดนั้น มันดูแรงกว่าแค่การแกล้งกันไปเยอะมาก เพื่อนที่อยู่ด้วยกันก็เหมือนจะผสมโรงด้วย แต่พอเจอกันอีกทีก็ทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องราวอะไรกันมาก่อน แปลกเกิน
กรณีตัวละครเยอะแก้ไขไม่ได้จริงๆค่ะ ตอนเราเขียนเรื่องเราก็จดชื่อตัวละครลงสมุดไปด้วยเหมือนกัน ส่วนที่มีทั้งเรียกชื่อต้นบ้าง ชื่อสกุลบ้างเพราะมันเป็นธรรมเนียมของญี่ปุ่นเขาด้วย และการเรียกชื่อก็บ่งบอกถึงความสนิทชิดเชื้อ ความมีมารยาท ส่วนใหญ่คนที่ทำงานแล้วไม่มีใครเรียกชื่อต้นของคนอื่น แม้แต่คนที่เป็นแฟนกันยังเรียกชื่อสกุล แต่ในระดับนักเรียน เขาจะเรียกชื่อกันตามความพอใจ ในเรื่องเราจะเขียนบรรยายด้วยชื่อต้นเป็นหลัก แต่แรกๆจะมีการใช้ว่ารุ่นพี่(ชื่อสกุล)บ้าง เพราะเขียนมุมของฮารุโตะ

อย่างเรื่องการกลั่นแกล้ง เราอยากให้ลองอ่าน Lookism (บน Line webtoon) ดูค่ะ เรื่องนี้แมนๆแนวผู้ชาย ตัวเอกเป็นเด็กผู้ชายอ้วนๆที่โดนซ้อมเป็นกระสอบทรายจริงๆ คนทำไม่ได้เกลียดนะแค่สะใจที่ได้แสดงอำนาจเหนือคนอื่น แล้วเมื่อหลายวันก่อนเราไปเจอหนังสือสอนเด็กว่าทำอย่างไรไม่ให้โดนแกล้งค่ะ เรายังคิดเลยว่าตอนนี้เรื่องการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียนของประเทศไทยมันแรงขึ้นมากแล้วเหรอ หรือบางทีมันเยอะอยู่แล้วเพียงแต่เราไม่รู้

และขอขอบคุณ คุณ Grey Twilight ค่ะที่แนะนำเรื่องหางเสียง อันนี้ยอมรับว่าเป็นความมักง่ายส่วนบุคคลของตัวเราเอง จะจัดการแก้ไขให้ค่ะ

ส่วนเรื่องการสะกดผิด เราอยากจะบอกว่าเราอ่านทวนสองรอบก่อนลงทุกครั้ง  ไม่ใช่สองรอบแบบติดกันด้วย วันที่ลงตอนใหม่บนเว็บเราจะเช็คตอนต่อไป แล้วก่อนวันที่จะลงบนเว็บเราจะเช็ครอบสุดท้าย (แล้วยังผิดอีกเนาะ) กรณีนี้เราขออนุญาตเรียกว่า อาการทักษะทางการเขียนบกพร่องค่ะ (ชื่อดูดีด้วย)

เราเคยใช้คำนี้  “พุด (ชื่อไม้พุ่ม)” แทนคำว่า “ผุด (ขึ้นมาให้ปรากฏ)” หลายตอนในเรื่อง และลงบนเว็บแล้วด้วย จนวันหนึ่งเรามาเขียนReply (ตอบกระทู้อื่น) แล้วเราตั้งใจจะใช้ “ขึ้นมาให้ปรากฏ” แล้วเราก็เขียน “ชื่อไม้พุ่ม” ลงไป แต่เกิดสะดุดใจซะก่อนว่าคำนี้มันไม่ใช่นี่หว่า นั่นละค่ะถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขียนผิด แล้วช่วงตอนแรกๆอ่านทวนหลายรอบเลยด้วย (หัวเราะ) อย่างที่เล่าให้ฟังค่ะ อาจจะแก้ยากสักหน่อยแต่จะพยายามนะคะ

สุดท้ายขอขอบคุณทุกท่านที่เอาใจช่วยฮารุโตะค่ะ เรารู้สึกดีนะ ที่คุณ Freja ขอพ่นไฟ แล้วถามว่าเมื่อไหร่จะรักตัวเองเสียที  และที่คุณ ♥►MAGNOLIA◄♥ บอกว่าฮารุโตะ เอาแต่หนีปัญหา ทั้งที่ถูกทำร้ายตลอด เพราะนั่นหมายความว่าพวกคุณยังอินกับมันอยู่ สำหรับเราการที่นักอ่านอินกับเรื่อง นั่นหมายความว่า นักเขียนเขียนเรื่องได้สมจริง และเราก็อยากให้นิยายของเราเป็นเช่นนั้น เรื่องราวมันถึงค่อยๆดำเนินไปราวกับทากคลาน

ในความคิดของเรา การที่คนหนึ่งคนจะลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองได้นี่ มันต้องมีจุดพีคในชีวิตค่ะ แล้วเผอิญนี่ไม่ใช่จุดพีคที่เรากำหนดไว้  อย่างที่เราเขียนบรรยายความรู้สึกของฮารุโตะไว้ “ความเจ็บปวดแบบนี้เหมือนจะเคยชินแต่เขาไม่ชินกับมันเสียที” คือมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเกือบตาย แต่ไม่พูดอะไรต่อเพราะต้องอุบไว้ (อิอิ)

ดังนั้นจุดพีคแบบเกือบตายจึงใช้ไม่ได้กับเขาอ่ะ เราเลยต้องไปหาจุดพีคอื่น ที่เราเคยบอกว่าฮารุโตะจะเข้มแข็งขึ้นหลายๆคนอาจจะคิดว่า “แค่นี่เนี่ยนะ” ก็เป็นได้

บางครั้งเราก็คิดนะว่า ฮารุโตะควรจะเป็นมาโซคิสม์หรือเปล่า แต่ส่วนใหญ่เราอ่านข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตค่ะ ที่อ่านมาไม่ค่อยเข้าเค้าเท่าไหร่ อีกอย่างคือเราไม่อยากให้ตัวเอกของเราเป็นแบบนั้นด้วย

ท้ายที่สุดจริงๆละ ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมาค่ะ ตอนต่อไปพบกันวันที่ 4 เมษายน 2560 ค่ะ//*

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-04-2017 04:14:36 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ตอนนี้ฮารุโตะ ยอมเปิดปากกับทาคุมิ
ทั้งเรื่องถูกทำร้าย ที่ไม่ว่าสู้หรือไม่สู้ จุดจบไม่เคยดี
เรื่องซากิ ที่ฮารุโตะชอบเวลาใจดีและกลัวเวลาใจร้าย
ซากิ ควงผู้หญิง จูบผู้ชาย
เป็นทั้งความชอบปกติ หรือทั้งต้องการดูปฏิกิริยาฮารุโตะ
เพราะเคยได้ยินว่าฮารุโตะพูดว่า รักได้ ก็เลิกได้
ทำให้เกิดการความรู้สึกท้าทายกับซากิหรือเปล่า
แต่ซากิเองก็ไม่พูดเรื่องความสัมพันธ์กับฮารุโตะให้ชัดเจน
ทั้งที่ก็ดูท่าทางฮารุโตะออก ว่าคาดหวังให้ตัวเองชัดเจน
อิเคดะ เพื่อนริเอโกะ พาตัวเองมานั่งในกลุ่มผู้ชายคนเดียว
พูดไม่สวย ไม่เข้าหู คงชอบซากิเช่นกันสินะ
อยากอ่านพาร์ทของซากิบ้าง
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ปล.  ขอแก้คำผิด
“แค่นี่เนี้ยนะ” ------- เนี่ย

อักษรกลาง ( ไก่ จิก เด็ก ตาย บน ปาก โอ่ง) ผันได้ครบห้าเสียง  จาง  จ่าง  จ้าง  จ๊าง  จ๋าง
อักษรสูง (ผี ฝาก ถุง ข้าว สาร ให้ ฉัน)  ผันได้สามเสียง  ขาว  ข่าว  ข้าว
อักษรต่ำ คืออักษรที่เหลือจากอักษรกลาง กับ อักษรสูง ทั้งหมด ( ค ฆ ง  ช  ซ  ฌ  ญ  ฑ  ฒ ณ  ท  ธ  น  พ  ฟ  ภ  ม  ย  ร  ล  ว  ฬ  ฮ)
เวลาผันวรรณยุกต์ ผันได้สามเสียง เนีย  เนี่ย  เนี้ย
รูปวรรณยุกต์เอก แต่เสียงวรรณยุกต์เป็นโท
รูปวรรณยุกต์โท แต่เสียงวรรณยุกต์เป็นตรี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-03-2017 06:10:51 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
เรื่องย่อ ตอนที่ 17
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาคามูระ เรย์และอาโอกิ นาโอโตะเป็นไปอย่างสนุกสนาน ทว่าคืนนั้นกลับเกิดเรื่องเสียได้

ตัวละครประกอบ
สมาชิกชมรมถ่ายภาพ
1. มาซามุเนะ โทรุ นักศึกษาชายชั้นปีที่สี่
2. ฟุจิตะ มาสะ นักศึกษาชายชั้นปีที่สี่
3. อิเคดะ นายะ นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สอง เรียนคณะเดียวกับฮารุโตะ
4. โยชิดะ ริเอะโกะ นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สอง เรียนคณะเดียวกับฮารุโตะ
5. ทาคาฮาชิ ฮิราอิ นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สอง เรียนคณะเดียวกับฮารุโตะ
6. ซาซากิ ฟุมิโอะ นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สอง เรียนคณะเดียวกับฮารุโตะ






春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 17



ยิ่งดึก งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดที่จัดขึ้นที่บ้านของนาคามูระ เรย์ยิ่งมีแต่คนเมา เจ้าบ้านเลี้ยงแอลกอฮอล์อย่างเต็มที่ และเหมือนตั้งใจมอมเหล้าให้แขกนอนค้างที่นี่เพื่อพรุ่งนี้เช้าจะได้ตื่นขึ้นมาช่วยกันเก็บกวาด ที่สำคัญเมื่อเจ้าบ้านพูดแบบนั้นออกไปมีแต่คนร้องเฮ บอกเดี๋ยวจัดการให้

แต่ละคนคงเมาหนักแล้วจริงๆ

ฮารุโตะไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่เริ่มง่วงแล้ว ฝ่ายรุ่นพี่ฮายาชิสรรหาเกมมาให้เล่นจนหน้าแดงกล่ำ เริ่มพูดจาอ้อแอ้ แต่ใช่จะหลับพับไปง่ายๆ ต่างกับฟุจิตะ มาสะที่หลับสนิทไปเรียบร้อย

“เดี๋ยวฉันไปหาผ้าห่มให้มาสะก่อนแล้วกัน”โทรุพูด เจ้าของงานทั้งสองคนเตรียมหมอนกับผ้าห่มมาให้แขกที่อยู่ค้าง ที่ไม่มีให้มีเพียงฟูกนอนเพราะจำนวนคนเยอะเกินจะจัดหาให้ไหว แต่เจ้าบ้านเปิดฮีตเตอร์จนอุ่น หลายคนจึงคิดว่าถ้านอนกับพื้นสักคืนคงไม่น่าจะเป็นไร

“ดูง่วงแล้ว กลับกันไหม”ซากิหันไปถามหนุ่มรุ่นน้อง

ฮารุโตะพยักหน้ารับ “รุ่นพี่ชิมิซึไปส่งซาโต้ซังที่บ้านด้วยนะครับ” ชายหนุ่มหันไปมองนาฬิกา ความตั้งใจแรก เขาจะพาฮารุโตะไปนอนที่บ้านของเขาซึ่งห่างออกไปไม่ไกล

“ไปนอนค้างที่บ้านฉันละกัน”

“แกจะพาสองคนนั่นไปบ้านแกเหรอ งั้นฉันไปนอนด้วย”เรียวตะชูมือขึ้นพร้อมกับพูดออกมา

“แล้วสามคนนี้ละเอาอย่างไร”เอคิจิจึงหันไปถามกลุ่มนายะบ้าง

“ถ้ารุ่นพี่จะกรุณาไปส่งก็ขอบคุณมากค่ะ”ฮิราอิตอบ

“เรียวตะขอยืมรถแล้วกัน เดี๋ยวฉันไปส่งน้องเขาเอง” เอคิจิแบมือรับกุญแจรถที่เรียวตะโยนส่งมาให้ “ไปตามมินามิกับโยชิดะมาด้วย เดี๋ยวจะไปส่งทีเดียวเลย”

ซากิจึงหันไปชวนโทรุให้ไปค้างด้วยกัน บอกลาเอคิจิ พร้อมส่งกุญแจรถให้โทรุเดินนำไปเปิดประตูแล้วอุ้มฮารุโตะยกลอยขึ้น ส่วนทาคุมิไปช่วยพยุงเรียวตะที่ถึงแม้จะยังมีสติแต่ตอนที่ลุกขึ้นยืนกลับทำท่าเหมือนจะทิ้งศีรษะลงกับพื้น

ตอนนั้น ชายหนุ่มเพิ่งวางร่างของฮารุโตะลงบนเบาะตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับ ทาคุมิก็วิ่งหน้าตาตื่นร้องว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้วออกมาจากในบ้าน เขากับโทรุมองหน้ากันก่อนจะกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง

“รออยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวกลับมา”ซากิถอดโค้ทตัวนอกที่สวมอยู่คลุมให้ฮารุโตะอีกตัวก่อนเดินเข้าไป

ทว่า พวกเขาทำได้แค่เปิดประตูหน้าบ้านก็พบนาโอโตะกำลังสาวเท้าตึงๆลงมาจากชั้นสอง นาคามูระ เรย์ตามมาด้วยสภาพไม่เรียบร้อย ทันคว้ามือคนรักที่หน้าประตูชั้นล่าง

“เรื่องนี้ฉันอธิบายได้นะ”

“อธิบายว่าอย่างไร”นาโอโตะถามสวนกลับไปทันที “น้องเขามายั่วก่อน เลยเผลอไปนัวเนียด้วยรึ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะเรย์ ถึงได้ใช้ข้ออ้างนี้มาพูด ฉันว่าเราสองคนคงต้องทบทวนเรื่องความสัมพันธ์กันใหม่แล้วละ บางทีคบกันนานเกินไปมันคงจะน่าเบื่อ”

ฮารุโตะลงมาจากรถได้ทันฟังประโยคสุดท้ายของรุ่นพี่พอดี เขายังไม่รู้เรื่องราวโดยละเอียด

“เรื่องนี้ฉันผิดเองค่ะ”มินามิ มากิพูดแทรก เธอยืนอยู่บนขั้นบันไดชั้นล่างสุด แม้เสื้อผ้าจะอยู่ในสภาพเรียบร้อยแต่ยังดูรู้ว่าเร่งรีบสวมใส่

“มันไม่ใช่ความผิดของรุ่นพี่นาคามูระเลยค่ะ รุ่นพี่อาโอกิอย่าโกรธรุ่นพี่นาคามูระเลยนะคะ”

“อี๊... คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกแสนดีหรือไงวะ”ทาคุมิกระซิบกระซาบคุยกับเขา ฮารุโตะหันไปมองคนพูดก่อนจะหันกลับไปดูสถานการณ์ตรงหน้า

“ครับ ถ้าจะพูดว่าความผิดของใครก็ต้องทั้งสองคนนั่นแหละ เรื่องแบบนี้ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอกครับ”

“แต่เรื่องมันไม่ใช่อย่างที่นายคิดจริงๆนะ”

“ยังไม่อยากฟัง”นาโอโตะตะโกนใส่ “ฉันอยากกลับไปนอนแล้ว เบื่อเรื่องน้ำเน่านี่แล้ว พอจะให้ได้ไหมเรย์”

เจ้าของชื่อจึงจำต้องปล่อยมือ นาโอโตะเดินเมินหนีทุกคนกลับไปยังบ้านของตน ทั้งพ่อแม่และพี่ชายของเรย์ต่างออกมาจากห้อง และเหมือนจะเห็นเรื่องราวความวุ่นวายมาตั้งแต่ต้น

สุดท้าย งานเลี้ยงคืนนั้นจึงจบลงเพียงเท่านี้

เอคิจิไปส่งรุ่นน้องผู้หญิงทั้งห้าคนตามแผนเดิม เรียวตะกับโทรุเปลี่ยนไปนอนค้างที่บ้านเรย์แทน ซากิพาฮารุโตะและทาคุมิกลับมาพักที่บ้านของตน ระหว่างทางทาคุมิจึงเล่าสิ่งที่เห็นให้พวกเขาฟังอีกรอบ

“ตอนที่ผมกำลังพยุงพารุ่นพี่ฮายาชิตามมา ผมได้ยินเสียงร้องมาจากชั้นสองเลยรีบวิ่งขึ้นไปดู เห็นทาคาฮาชิซังกับอิเคคะซังยืนอยู่หน้าห้อง ส่วนในห้องมีรุ่นพี่นาคามูระกับมินามิซัง แล้วไม่ใส่เสื้อผ้าด้วยกันทั้งคู่ แป็บเดียวรุ่นพี่อาโอกิก็ตามขึ้นมา ผมเลยรีบลงมาตามพวกรุ่นพี่คนอื่นๆเผื่อว่าจะเกิดเรื่องรุนแรง”

ทั้งซากิและฮารุโตะได้แต่เงียบฟัง

“ถ้าให้พูดผมก็รู้สึกแปลกนะ สองคนนั่นทำไมขึ้นไปตามถึงชั้นบนได้ แต่อย่างว่า ต่อให้รุ่นพี่นาคามูระจะเมาแค่ไหนก็ไม่น่าจะเบลอเห็นมินามิเป็นรุ่นพี่อาโอกิไปได้ รุ่นพี่ชิมิซึว่าจริงไหมครับ”ทาคุมิยื่นหน้าผ่านระหว่างเบาะคู่หน้ามาถาม

“ไม่รู้ดิ”คนขับรถเหลือบตามองคนถามครู่หนึ่ง “กลับไปนั่งดีๆ ฉันไม่อยากรับผิดชอบเด็กที่ไม่รักษากฎจราจร”

ทาคุมิหน้ามุ่ยเพราะโดนดุ พาลให้เงียบเสียงพูดไปด้วย และไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงบ้านของชิมิซึ ซากิ

หลังจากที่จอดรถเรียบร้อย ชายหนุ่มเจ้าของบ้านรีบวิ่งมาที่ประตูอีกฝั่งที่ฮารุโตะเพิ่งเปิดประตูออกมา ทาคุมิเองเปิดประตูรถออกมายืนด้านนอกแล้วเช่นกัน ซากิส่งกุญแจบ้านให้ทาคุมิแล้วย่อตัวทำท่าจะอุ้มฮารุโตะอีกครั้ง

“ผมเดินเองได้ครับ”

“มันดึกแล้ว จะได้นอนเร็วขึ้นอีกนิดไง”น้ำเสียงที่ซากิใช้ห้วนดุจนฮารุโตะไม่กล้าเถียง เด็กหนุ่มจึงได้แต่วางมือเกาะบ่าของหนุ่มรุ่นพี่ปล่อยให้อีกฝ่ายยกตัวเขาลอยขึ้น ซากิสั่งให้ทาคุมิไปไขกุญแจเปิดประตูบ้าน แล้วเดินนำขึ้นไปชั้นสองพาร่างของฮารุโตะไปวางบนเตียงในห้องของเขา จากนั้นชายหนุ่มเจ้าของบ้านจึงหันไปพูดกับแขกอีกคน

“วันนี้นายต้องนอนที่ห้องอื่น ฉันไม่ยอมให้มานอนห้องเดียวกันแบบครั้งก่อนแน่”เขาเดินไปเปิดประตูตู้หาเสื้อผ้าและโยนส่งให้

“ห้องของรุ่นพี่ชิมิซึออกจะกว้าง นอนด้วยกันก็ไม่น่าจะเป็นไรเลย”ทาคุมิบ่นงึมงำ แต่เจ้าของห้องไม่ใส่ใจ เขาเดินไปรุนหลังเด็กหนุ่มรุ่นน้องเจ้าปัญหาไปทิ้งไว้ยังห้องนอนอีกห้องหนึ่ง

“ห้องน้ำอยู่สุดทางเดิน ถ้านายอยากจะแช่น้ำ ทำได้เต็มที่เลย แต่พรุ่งนี้ฉันจะออกจากบ้านแปดโมง ขอความกรุณาตื่นให้ทันด้วย ราตรีสวัสดิ์”ซากิโบกมือและดึงปิดประตูห้อง

เขาเดินลงไปชั้นล่างเพื่อปิดประตูรั้วและปิดล็อกประตูหน้าบ้าน  สำรวจความเรียบร้อยที่ชั้นล่าง ก่อนจะกลับขึ้นไปข้างบน เมื่อเปิดประตูห้องตัวเองเข้าไปอีกครั้ง ปรากฏว่าไม่พบฮารุโตะอยู่ในห้องแล้ว เขารู้สึกเหมือนคลื่นอารมณ์หงุดหงิดจะก่อตัวขึ้นลางๆ

เดินออกจากห้องตรงไปเปิดประตูห้องน้ำ กลับพบว่ามันล็อก

“มีคนอยู่ข้างในหรือเปล่าเปิดหน่อย”

คนที่เดินมาเปิดประตูให้เป็นซาโต้ ทาคุมิ เจ้าตัวยังมีเสื้อผ้าสวมอยู่ครบ แต่ด้านหลังคนที่นั่งอยู่บนพื้นปัจจุบันเหลือกางเกงชั้นในอยู่ตัวเดียว ซากิรู้สึกเหมือนเส้นเลือดข้างขมับกำลังเต้นตุบๆ

“ผมอธิบายได้นะครับ”ทาคุมิรีบชิงพูดออกมาก่อน “ผมแค่ช่วยฮารุโตะถอดเสื้อผ้าอย่างเดียวนะครับ”

“อืม”เขาพยักหน้ารับ ยืนจังก้าอยู่หน้าประตูโดยไม่ปริปากพูดอะไร

“อย่างนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ ถ้ารุ่นพี่อาบน้ำเสร็จแล้วรบกวนเคาะประตูห้องเรียกผมด้วยนะ”เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับรีบชิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

ซากิก้าวเท้าเข้าไปหาคนที่อยู่ด้านใน ซึ่งฮารุโตะสะดุ้งทันทีที่เขาเข้าไปใกล้ พลางถัดตัวถอยหนี ชายหนุ่มร่างสูงจึงจำต้องหยุดเท้าไว้แค่นั้น

“เอาถุงกันน้ำมาหรือเปล่า”ซากิคิดว่าตนเองใช้น้ำเสียงเรียบๆไม่ใส่อารมณ์มากที่สุดแล้ว แต่ดูเหมือนว่าในสายตาของเด็กหนุ่มร่างเล็กมันจะไม่เป็นเช่นนั้น ฮารุโตะยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองเขา ซ้ำยังชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นมากอดไว้ เขาหันไปเปิดประตูตู้เก็บของเหนือศีรษะ ขณะที่ภายในใจกำลังระงับอารมณ์หงุดหงิดไม่พอใจ หยิบผ้าขนหนูออกมาห่มคลุมร่างเล็กบางที่คู้ตัวกอดเข่าไว้

“รอเดี๋ยวนะ”ชายหนุ่มเจ้าของบ้านกลับออกไปด้านนอกและกลับเข้ามาพร้อมถุงกันน้ำ หลังจากจัดการสวมถุงกันน้ำให้ฮารุโตะ จึงอุ้มพาหนุ่มรุ่นน้องเข้าไปยังห้องอาบน้ำด้านใน วางร่างของฮารุโตะลงบนเก้าอี้เตี้ย แล้วจึงหันไปเปิดก๊อกน้ำฝักบัวรดบนตัวของหนุ่มรุ่นน้อง

“วันนี้อาบแค่ฟักบัวนะ”

ฮารุโตะรับคำ การอาบน้ำให้คนเจ็บที่ยังต้องสวมเฝือกใช้เวลาเพียงไม่นาน เขาเริ่มคุ้นเคยกับการทำเช่นนี้ให้อีกฝ่าย ช่วงแรกๆฮารุโตะมีอาการเขินอายจนสีผิวกลายเป็นสีแดงทั้งตัว แล้วเกร็งตัวตลอดเวลาตอนที่เขาฟอกสบู่ให้ หลังๆมานี่คงเพราะรู้สึกได้ว่าเขาไม่ทำอะไรเกินเลยมากกว่านั้น ความประหม่าเขินจึงแทบไม่มีเหลือ

เขาแวะเคาะประตูห้องที่ให้ทาคุมิพักตามที่เจ้าตัวบอกไว้หลังจากที่อาบน้ำให้ฮารุโตะเสร็จ หนุ่มรุ่นน้องเปิดประตูออกมาทันทีคล้ายรออยู่แล้ว เขาจึงสำทับให้รีบอาบไวๆ เพราะเขาจะได้ไปอาบต่อ ก่อนจะพาฮารุโตะมาส่งถึงเตียงนอน ดึงผ้าห่มคลุมตัวเด็กหนุ่มรุ่นน้อง

“นอนได้แล้ว”

เขาปิดไฟในห้อง จากนั้นจึงเป็นเวลาที่เขาใช้สำหรับจัดการสภาพตัวเอง แต่ทว่า ตอนที่กลับออกมาจากห้องน้ำอีกครั้ง ฮารุโตะก็ยังคงไม่หลับ

“ทำไมไม่นอน ไม่ง่วง?”

คนถูกถามสั่นศีรษะ “รอครับ” ซากิยกยิ้มกับคำตอบนั้น

“ถ้าอย่างนั้นนอนได้แล้ว”

และค่ำคืนนั้นจึงได้จบลง



ตอนที่พวกเขาไปถึงยังบ้านของนาคามูระ เรย์ในตอนเช้า สมาชิกของชมรมหลายคนยังนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้นของบริเวณห้องชั้นล่าง ในครัวมีแม่ของเรย์ นาโอโตะ และกลุ่มสมาชิกหญิงของชมรมที่ไม่ใช่กลุ่มเพื่อนร่วมคณะของฮารุโตะกำลังทำกับข้าวมื้อเช้า ส่วนบนชุดโซฟา มีเรย์ เรียวตะ เอคิจิ และโทรุ จับกลุ่มนั่งหน้าเครียดอยู่ที่อีกมุมหนึ่ง

ซากิเดินตามหนุ่มรุ่นน้องที่ค่อยๆก้าวเท้าไปยังโต๊ะทานอาหารซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ครัว

“รุ่นพี่ชิมิซึ ได้ซื้อแปรงสีฟันมาหรือเปล่าครับ”อัตซึชิถามหาของที่ตัวเองต้องการก่อนเป็นอันดับแรก เขาจึงยื่นถุงบรรจุของที่อีกฝ่ายถามถึงจำนวนร่วมสามสิบอันส่งให้ และส่งบิลใบเสร็จให้ทานากะ ฮานะ

“ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวฉันคืนเงินให้นะคะ”เธอกล่าวเพราะของที่ถูกฝากซื้อลงบัญชีของชมรม

“งั้นฉันปลุกพวกที่ยังนอนอยู่แล้วนะ”

“ได้เลยค่ะ อีกเดี๋ยวอาหารเช้าก็เสร็จแล้ว”

ชิมิซึ ซากิเดินไปสะกิดปลุกคนที่ยังนอนหลับไม่ตื่น วนจนครบถึงไปนั่งรวมกับกลุ่มเพื่อนสนิท

“หน้าเครียดกันเชียว คิดไม่ออกหรือวะว่าจะบอกเลิกนาโอโตะอย่างไร”

“ปากเรอะวะนั่น”คนที่มีผลกระทบที่สุดออกปากด่าเป็นคนแรก “ใครจะเลิก”

“อ่อ อยากลอง”

“แกเป็นไรวะ แขวะกันจัง”เรย์ถาม ยิ่งเครียดๆเรื่องเมื่อคืนอยู่ เขาคิด เพราะถึงแม้เช้านี้นาโอโตะจะมาที่บ้านก็ใช่ว่าจะยอมคุยด้วย อาการโกรธแบบไม่พูดไม่จาของคนรักนี่เป็นอะไรที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเขา

“ใครจะรู้ เห็นเขาลือกันว่าแกกิ๊กกับรุ่นน้องคนนั้นตั้งแต่ตอนไปมานาซุรุ”

“ใครลือ แกได้ยินจากไหน”เรียวตะถามทันที ไอ้เรื่องซุบซิบนินทานี่ผ่านหูเขาไปได้อย่างไร ทว่าคนที่พูดประโยคก่อนหน้ากลับไม่ตอบอะไรเพียงแต่โคลงศีรษะเป็นเชิงว่าไม่รู้ และต่อประโยคอีกว่า

“นาโอโตะพูดว่าไม่ใช่ครั้งแรก”

“แกควรจะเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นได้แล้วเรื่องมันเป็นมาอย่างไร”เอคิจิหันไปพูดกับเรย์

“เฮ้ย!!!”มาสะตะโกนมาเสียงดัง ก่อนจะลดเสียงในประโยคถัดมาเมื่อเดินเข้ามาใกล้“มีอะไรกันหรือเปล่าวะ มาคุเอี้ยๆ”

กลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งห้าจึงหันไปมองและขมวดคิ้วใส่ที่โดนขัดจังหวะ

“ไม่ได้ตั้งใจนะ สาวๆเขาให้มาเรียกไปกินข้าว”คนถูกเขม่นเอ่ยปากบอกก่อนเป็นอันดับแรก เรย์จึงลุกขึ้น “ไปกินข้าวก่อนแล้วกัน เก็บบ้านกันเสร็จเดี๋ยวค่อยคุยกัน”

แม้ว่าเมื่อคืนนาโอโตะและสมาชิกบางส่วนจะทยอยเก็บกวาดไปบ้างแล้ว แต่สภาพบ้านของครอบครัวนาคามูระยังห่างจากสภาพปกติอยู่มากโข ไม่ว่ากระดาษของประดับและเศษซากงานเลี้ยง สมาชิกในชมรมที่ได้กินฟรีไปเมื่อคืนจึงพร้อมใจอยู่ร่วมช่วยกันในตอนเช้า และใช้เวลาแค่ประมาณครึ่งวันเพื่อทำให้สถานที่จัดงานเลี้ยงกลับมาอยู่ในสภาพเดิม จากนั้นสมาชิกในชมรมจึงทยอยขอตัวกลับ คงเหลือแค่กลุ่มเพื่อนของนาคามูระ เรย์ที่เคยนั่งจับกลุ่มหน้าเครียดก่อนโดนตามไปทานอาหารเช้า โดยเปลี่ยนสถานที่คุยไปเป็นห้องนอนของเจ้าบ้าน ส่วนรุ่นน้องปีสองที่สนิทกับกลุ่มของพวกเขาอีกสองคนอย่างฮารุโตะและทาคุมิ ทั้งคู่ย้ายตัวเองไปสิงสถิตอยู่ที่บ้านนาโอโตะ

“ต้องบิ้วเปล่าวะ”เรียวตะถามติดตลก

เจ้าของบ้านแค่เหล่ตามองอย่างไม่มีอารมณ์ร่วมด้วย จนเอคิจิต้องเอ่ยปากมาอีกรอบอย่างไม่อยากให้เสียเวลา อันที่จริงเขาสนิทสนมทั้งเรย์และนาโอโตะมาตั้งแต่เด็ก แต่เพราะนาโอโตะดูไม่ออกอาการอะไรเลยซึ่งต่างกับเรย์ที่หน้าตาแสดงให้เห็นว่านี่เป็นปัญหาใหญ่ที่คิดไม่ตก

“รีบๆพูดมาได้แล้ว ถ้าไม่อยากให้เรียวตะมันเล่นไม่เลิก”

คนโดนว่าหัวเราะ “ก็ดูมันทำหน้าเข้า มันยากตรงไหนวะถ้าแกเลือกนาโอโตะ แกไม่ต้องไปยุ่งกับมินามิอีก แล้วไปบอกแฟนแกว่าขอโทษต่อไปนี้จะไม่ทำอีกเป็นครั้งที่สอง”

“เพราะเลือกไม่ได้?”คราวนี้ซากิพูดขึ้นมาบ้าง

“ไม่ใช่เว้ย แต่มินามิเองไม่ใช่คนเลวร้ายนะ แถมเป็นรุ่นน้องในชมรม”

“ฟังดูไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่ดี”เอคิจิพูด

“ก็ใช่ แต่มินามิไม่ใช่คนไม่ดี ไม่งี่เง่าเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆที่ฉันเคยเจอด้วย”เรย์แย้ง

“งั้นจะบอกว่าที่แกไปนัวเนียกับมินามิบนห้องนอนคือแกตั้งใจ”ซากิถามแทรกเสียงแข็ง คนถูกถามอย่างเรย์ขมวดคิ้ว “จะโมโหอะไรวะ แล้วบอกให้รู้ไว้เลยนะ เรื่องเมื่อคืนฉันไม่ได้ตั้งใจ”

ชิมิซึ ซากิเบือนหน้าหนีไปทางอื่นคล้ายข่มอารมณ์ และหันกลับมามองเรย์อีกครั้ง “ที่ฉันอยากจะพูดคือแกมีแฟนแล้ว ก่อนหน้านั้นแกไม่เคยมีท่าทีใส่ใจใคร แล้วทำไมจู่ๆแกถึงได้ไปสนิทกับรุ่นน้องคนนั้นได้”

“เขาบอกว่าสนใจอยากจะลองถ่ายรูป”

“มินามิเคยเข้ามาถามพวกแกเรื่องกล้องบ้างไหม”ซากิหันไปถามคนอื่น และคำตอบของทุกคนที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่คือปฏิเสธ เรย์จึงเอ่ยแย้งขึ้นมาอีกว่า “เขาอาจจะถามคนอื่นที่ไม่ใช่พวกแก”

“เรย์”เอคิจิเอ่ยเรียกชื่อเจ้าของบ้านเพื่อขัดจังหวะเพื่อนอีกคนที่เหมือนจะคุกรุ่นขึ้นอีก “ถ้าเป็นแบบนั้นมันจะไม่มีข่าวลือเรื่องที่แกกิ๊กกับมินามิออกมา”

“ทีนี้ แกพอจะรู้หรือยังว่าต้องทำอย่างไร”ซากิถาม

แต่เรย์ยังสีหน้าลังเล “ฉันไม่เข้าใจ ทำไม? ฉันต้องตัดความสัมพันธ์กับคนทั้งโลกเพื่อให้แฟนสบายใจเลยหรือวะ”

“เฮ้ยๆ ไม่ใช่นะเว้ย”เรียวตะปราม “ซากิมันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ถ้าแกกับมินามิอยู่ในขอบเขตของรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมชมรมปกติ มันคงไม่ต้องทำขนาดนั้น แต่นี่มันเกิดเรื่องอย่างเมื่อคืนมาขึ้นมาแล้วนะเว้ย แกยังจะคุยกับเขาต่อแบบไม่มีอะไร แบบเรื่องเมื่อคืนก็แค่เมา... อย่างนั้นหรือ”

คนถูกตั้งคำถามทำหน้าเหมือนอยากจะตอบว่าใช่ พาลให้ร้องอุทานกันทั้งกลุ่ม

“อย่าบอกว่าแกเริ่มปันใจไปให้รุ่นน้องนั่นแล้ว”โทรุที่นั่งเงียบมาตลอดพูดถามขึ้นบ้าง แล้วพึมพำต่อไปอีกว่า ไม่ดีแล้ว

ซากิลุกขึ้นยืนแบบไม่บอกไม่กล่าว เรียวตะเห็นดังนั้นจึงเอ่ยรั้งไว้ “แกจะไปไหนวะ”

“ไปคุยกับนาโอโตะ”

“อย่านะ” เรย์ร้องห้ามเสียงหลง “ฉันขอเวลาหน่อย แล้วฉันจะจัดการทุกอย่าง... ให้เรียบร้อย”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอย้ำให้แกจำอะไรไว้สักอย่าง ไม่ใช่แค่แกที่เป็นเพื่อนของพวกฉัน แต่พวกฉันเป็นเพื่อนนาโอโตะด้วยเหมือนกัน”ซากิพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนเดินออกมาจากห้อง เขาแวะทักทายแม่ของเรย์เล็กน้อยก่อนออกจากบ้าน และเดินเท้าไปยังบ้านที่ตั้งอยู่ข้างกัน กดออดหน้าบ้านยืนรออยู่ครู่หนึ่ง ลูกสาวคนเล็กของเจ้าบ้านจึงเดินมาเปิดประตู

“พี่ซากิ”

“สวัสดีครับ พี่นาโอโตะอยู่ไหนมิกิ”

“อยู่ในครัวค่ะ กำลังทำเค้ก”

“เมื่อวานไม่ได้กินเค้กเหรอ”เขาแกล้งทำเสียงแปลกใจพลางเดินตามเด็กหญิงตัวเล็กเข้าไปในครัว เธอวิ่งตรงไปยังเก้าอี้ประจำตัว ตอนนั้นซากิจึงสังเกตเห็นว่า ตัวของมิกิเลอะแป้งอยู่ไม่ใช่น้อย ฮารุโตะและมารินั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวสูงข้างโต๊ะหิน ส่วนทาคุมิกำลังถือเครื่องตีครีมแบบมือ ทำครีมสำหรับแต่งหน้าเค้ก เขามองหนุ่มรุ่นน้องด้วยสีหน้าประหลาดใจกึ่งล้อเลียน และคนถูกมองเองก็เหมือนจะรู้ตัว

“พ... เพราะ... ฮารุจังบอกว่าอยากจะช่วยรุ่นพี่อาโอกิหรอก แล้วดู! เพื่อนผมแขนเจ็บอยู่ ถ้าผมปล่อยให้ทำคงนิสัยแย่มาก”ทาคุมิชิงพูดออกมาก่อนที่จะมีใครถาม

“ยังไม่มีใครว่าอะไรเลย”ซากิบอกพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ

“ซาโต้ซังไม่สนุกหรือครับ ผมยังรู้สึกว่าน่าสนุกเลย”ฮารุโตะกล่าวพร้อมน้ำเสียงหงอยๆ เขาไม่น่าทำให้อีกฝ่ายลำบากต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำเลย

“เอ้ย!!! เปล่า ก็... ไม่เชิงขนาดนั้น”ทาคุมิปฏิเสธ

“แต่มิกิสนุกค่ะ”เด็กหญิงส่งเสียงพูดพลางโบกไม่โบกมือ นาโอโตะจึงหันไปเออออกับน้องสาว มันต้องน่าสนุกอยู่แล้วละ ขนาดมาริยังมาร่วมวงด้วยเลย

“ทำเค้กสนุกจะตายเนอะ มิกิเนอะ มาริก็คิดเหมือนกันใช่ไหม”

“ค่ะ ตอนกินก็อร่อย”น้องสาวตนโตของนาโอโตะตอบรับ

เค้กที่นาโอโตะทำเป็นเค้กช็อคโกแลต หน้าเค้กเป็นสีน้ำตาลช็อคโกแลต แต่เนื่องจากมิกิอยากจะแต่งหน้าเค้กด้วย พ่อครัวจึงต้องทำบัตเตอร์ครีมขึ้นมาอีกอย่าง

“มิกิ บอกพี่มาก่อนว่าอยากแต่งหน้าเค้กเป็นรูปอะไร”

“มิกิอยากให้มีปราสาทและเจ้าหญิง”ระหว่างรอครีมในถ้วยที่ทาคุมิกำลังจัดการอยู่ให้เข้าที่ นาโอโตะจึงหันมาหาน้องคนเล็ก พูดคุยตกลงถึงสิ่งที่จะทำ เขาหากระดาษมาวาดรูปวงกลมแทนเค้ก จากนั้นวาดตำแหน่งที่จะบีบครีบบริเวณขอบ

“ใส่สตอเบอรี่ด้วย”มิกิพูดขึ้นมาทันที เขาจึงส่งดินสอให้เด็กหญิงเพื่อวาดปราสาทและเจ้าหญิงอย่างที่อยากได้ ส่วนตนเองเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเอาผลไม้ดังกล่าวออกมา แวะดูครีมในถ้วย เมื่อเห็นว่าเข้ากันและได้ที่แล้วจึงบอกให้ทาคุมิหยุดมือ หยิบกระดาษไขมาพับทำถุงบีบครีม กลับมาดูน้องสาวอีกครั้งปรากฏว่าปราสาทกับเจ้าหญิงที่ว่ากลายเป็นบ้านและรูปคน มาริขยับไปยืนข้างน้องในมือถือดินสอเติมพระอาทิตย์เข้าไปในภาพ

“มาริจะกินตรงนี้”เด็กหญิงจิ้มชี้ตรงจุดที่ตนเองวาดรูปไว้

“งั้นมิกิจะวาดรูปตัวเองไว้ตรงนี้ เพราะมิกิจะกินตรงนี้”

“ตัวจะกินตัวเองเหรอ”

“มิกิไม่ได้จะกินตัวเอง แต่มิกิจะกินทั้งเค้กทั้งก้อนเลย ไม่แบ่งให้ตัวด้วย”

“เค้กนี่ไม่ใช่ของตัวซะหน่อย”

“โอ๊ะ โอ๊ะ หยุดก่อน ไม่เถียงกันนะ”นาโอโตะส่งเสียงห้ามปรามเมื่อเห็นว่าการพูดคุยของสองสาวเริ่มจะบานปลาย “เค้กไม่ใช่ของใครเป็นพิเศษแต่เราจะแบ่งกัน เข้าใจนะ”

ฮารุโตะมองภาพตรงหน้าพร้อมยกยิ้มหัวเราะ การมีพี่น้องก็น่าสนุกเหมือนกัน พลางคิดไปว่าถ้าเขามีพี่ชายหรือน้องชายจะเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเหลือบมองชายหนุ่มร่างสูงข้างตัว ภายในใจเกิดความคิดขึ้นมาว่า ถ้าวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า รุ่นพี่ชิมิซึมีคนรักเป็นตัวเป็นตน อีกฝ่ายจะยังพอเอ็นดูเขาในฐานะน้องชายบ้างไหม

ภวังค์ความคิดจะถูกดึงกลับมาอยู่ที่เหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง เมื่อมิกิโวยวายว่าอยากจะทำเองคนเดียวให้ได้ ฮารุโตะยกยิ้มทอดสายตามองภาพความอบอุ่นน่ารักตรงหน้า

“เสร็จแล้ว”

สมาชิกที่ยืนล้อมอยู่รอบโต๊ะต่างชูมือโห่ร้องยินดี เพราะรอมานานมาก ทั้งทาคุมิและมาริต่างบ่นพึมพำว่าหิวแล้วบ้าง อยากกินแล้วบ้างเกือบตลอดเวลา ทุกคนเตรียมลงมือจัดการถ้านาโอโตะไม่พูดขึ้นมา

“เราต้องมาถ่ายรูปกันก่อน ซากิไปถ่ายเลย”

ชายหนุ่มจึงต้องล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า เลือกเข้าแอพพลิเคชั่นถ่ายถาพ ขยับออกมายืนห่างจากทุกคนเล็กน้อย

“ชิดๆกันหน่อย”ก่อนจะกดจับภาพไปสองสามรูป แล้วเปลี่ยนเป็นกล้องหน้าพาตัวเองเข้าไปอยู่ในเฟรมภาพด้วย และทันทีที่พิธีการถ่ายภาพเสร็จสิ้น นาโอโตะจึงถือมีดมาตัดแบ่งเค้กให้ทุกคน สมาชิกอีกสามคนที่เหลือของบ้านก้าวเท้าเข้ามาในครัวอย่างรู้เวลา

“พอดีเลยครับ มาทานเค้กกัน”นาโอโตะร้องเรียก “พี่จิอาสะ กินหรือเปล่าครับ”

“แน่นอนซิจ๊ะ ของหวานมันทำให้ฉันสวยขึ้น”

ทาคุมิมองอาโอกิ จิอาสะตาเยิ้ม “ขนาดไม่แต่งหน้ายังสวย”เขาเพ้อส่งเสียงกระซิบคุยกับฮารุโตะ คนฟังพยักหน้าตอบรับ แต่ให้ความสนใจอยู่กับเค้กช็อคโกแลตในส่วนของตนมากกว่า

รสชาติของเค้กช็อคโกแลตอร่อยมาก ภาพบนหน้าเค้กฝีมือมิกิอาจจะดูเบี้ยวๆไปบ้าง แต่พวกเขารู้ว่าเด็กหญิงตั้งใจทำมันออกมาให้สวยที่สุด และมันไม่มีผลต่อรสชาติความอร่อย ดังนั้งเค้กก้อนนี้จึงหมดเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็ว

ซากิอาสาช่วยนาโอโตะเก็บล้างอุปกรณ์หลังจากที่เอ่ยไล่ทาคุมิกับฮารุโตะให้ย้ายไปนั่งกันที่ห้องนั่งเล่น

“มีอะไรจะคุยด้วยหรือ”นาโอโตะเอ่ยถามทันทีที่เหลือกันอยู่แค่สองคน “แต่ถ้าจะมาแก้ตัวแทนเรย์ก็ไม่ต้อง”

ซากิยักไหล่ “โกรธมันมาก?”

“ควันออกหูเลยละ แบบ... อยากไปนอนกับใครก็บอกเลิกกันก่อนดิวะ ทีกับฉัน หมอนั่นทำท่าหึงหวงสารพัดแต่ตัวเองนอกใจเสียเอง”

“ฟังดูเหมือนนายไม่ได้รักมันมาก”

นาโอโตะโคลงศีรษะพลางคิดวิเคราะห์ความรู้สึกของตัวเอง แน่ละ ความรู้สึกในทุกวันนี้มันไม่ได้หวือหวาเหมือนช่วงที่เริ่มคบกันแรกๆ “บอกไม่ถูก แต่ฉันอยู่กับหมอนั่นมาตั้งแต่เด็ก มันรู้สึกผูกพันมากกว่าแล้วก็นึกไม่ออกว่าถ้าไม่มีเรย์อยู่ในชีวิตจะเป็นอย่างไร”เขาเงียบไปอีกครู่หนึ่ง ขณะที่สองมือกำลังทำความสะอาดข้าวของ “ตอนที่เรย์มาขอคบในฐานะแฟน ฉันก็คิดนะว่ารักหมอนั่นแบบไหน ลังเลไม่แน่ใจอยู่นาน แต่พอเห็นเรย์ยิ้มมีความสุขเพราะฉัน ก็คิดว่า ช่างมันเถอะ แค่เห็นเรย์มีความสุข ฉันก็มีความสุขเหมือนกัน”

ซากินิ่งฟัง เขาแค่ส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงรับรู้คำพูดของคู่สนทนา หากแต่ภายในใจกลับปรากฏความคิดเห็นพ้องกับคำกล่าวของนาโอโตะขึ้นมา

‘ฉันก็เหมือนกัน’ ชายหนุ่มคิดเช่นนั้นแต่ไม่ได้พูดออกไป


ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
รุ่นพี่ชิมิซึดูเงียบซึมเซากว่าที่เคยในความคิดของฮารุโตะ นับตั้งแต่กลับมาจากบ้านของรุ่นพี่อาโอกิ ตอนที่อยู่บนรถเขาไม่ทันสังเกตเพราะมีทาคุมิชวนคุยอยู่ตลอด ทว่า ยามที่อยู่ด้วยกันเพียงสองคนเช่นนี้ เขากลับสัมผัสถึงความเศร้าสร้อยลอยอ้อยอิ่งทั่วทั้งบรรยากาศ

ปกติเขากับหนุ่มรุ่นพี่มักจะอยู่ด้วยกันอย่างเงียบๆไร้บทสนทนาอยู่แล้ว คราแรกที่รู้สึกจึงไม่แน่ใจนักแต่เมื่อปล่อยเวลาให้เคลื่อนคล้อยลอยผ่าน ฮารุโตะจึงแน่ใจมากขึ้น ถึงจะคิดคะเนคาดเดาไปต่างๆนานา ก็ไม่ทำให้ความสงสัยกระจ่าง เด็กหนุ่มจึงลองเอ่ยถาม

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมอง

ที่ห้องของฮารุโตะไม่มีโทรทัศน์ ยามค่ำหลังจากอาบน้ำทานข้าวเย็นเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มเจ้าของห้องจึงใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือ ผู้อาศัยอีกหนึ่งคนก็มีกิจวัตรคล้ายๆกัน

“เปล่า”ชายหนุ่มตอบสั้นๆเพียงแค่นั้น และก้มหน้าลงทำท่าเหมือนตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาวิทยานิพนธ์ในคอมพิวเตอร์ต่อไป ฮารุโตะนิ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวแทรกซึมเข้ามาในอกอีกครั้ง กระนั้นเขาทำแค่ก้มหน้าลงและพยายามจดจ่อกับตัวหนังสือบนหน้ากระดาษ ทั้งที่ในสมองปั่นป่วนวุ่นวายไม่มีสมาธิ

เขาอยากถาม อยากพูดคุยมากกว่านี้ แม้ไม่ถึงขั้นจะแบ่งเบาความทุกข์ในใจของอีกฝ่าย แต่อย่างน้อยก็อยากเป็นผู้รับฟัง

และจู่ๆ หนุ่มรุ่นพี่กลับเงยหน้าขึ้นมา “นอนกันไหม”

ฮารุโตะหน้าตาตื่น ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงไม่คิดอะไรมากกับคำพูดชวนแบบนี้ และเพราะแสดงท่าทางนั้นออกไป ซากิจึงมีสีหน้าเหมือนจะหัวเราะพลางอธิบายว่า

“นอนน่ะ นอนเฉยๆ แบบง่วงแล้ว”

“อา... ครับ”ฮารุโตะพยักหน้ารับคำด้วยอาการประมาณว่า ได้ทำเรื่องเปิ่นๆออกไปเสียแล้ว

ฮารุโตะปิดเก็บหนังสือ ขยับตัวออกจากโต๊ะอุ่นขาและแอบไปทางเคาน์เตอร์ครัว ซากิเป็นฝ่ายเก็บโต๊ะอุ่นขาและนำฟูกนอนออกมาปูกาง เด็กหนุ่มเจ้าของห้องถึงได้ขยับกลับไปนั่งบนฟูกอีกครั้ง เขาล้มตัวลงนอนก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงจะปิดไฟ เพราะแขนข้างขวาใส่เฝือก เขาจึงต้องนอนฝั่งขวาของหนุ่มรุ่นพี่ และทันทีที่อีกฝ่ายสอดตัวเข้ามาอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน เขาถูกดึงเข้าไปกอดในฉับพลัน

“รุ่นพี่ชิมิซึ”เขาส่งเสียงเรียก อีกฝ่ายเพียงแค่ขยับศีรษะให้หนุนตรงซอกคอ และกอดรัดเขาแน่นกว่าเดิม แขนข้างขวาของเขาได้แต่วางพาดไว้บนตัวของหนุ่มรุ่นพี่เฉยๆ

เหมือนสัมผัสได้ถึงความซึมเศร้าของรุ่นพี่ เขาอมยิ้ม ก่อนจะนึกขึ้นได้และสั่งให้ตัวเองหุบยิ้ม รุ่นพี่ชิมิซึกำลังไม่สบายใจนะ จะมาดีใจอะไรกัน ถึงจะบอกตัวเองเช่นนั้น ฮารุโตะกลับมีความสุขที่ชายหนุ่มกอดเขาไว้ ถ้าแขนเขาปกติดี เขาจะลูบหลังให้อีกฝ่าย เพราะฉะนั้นวันนี้ฮารุโตะจึงทำได้เพียงวางมือไว้บนแผ่นหลังกว้าง



บรรยากาศในชมรมอึมครึมหนักหน่วงอย่างเห็นได้ชัด ฮารุโตะแน่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของรุ่นพี่คู่รัก  น่าจะมีคนได้เห็นเหตุการณ์เพียงไม่กี่คน แต่ทว่าการเข้าชมรมในครั้งนี้ทำให้เขาคิดว่าเรื่องราวอาจจะแพร่กระจายจนรับรู้กันทุกคน

“เป็นเรื่องธรรมดา สองคนนั้นไม่คุยกัน มันต้องมีคนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น”

ถึงฮารุโตะจะสังเกตเห็นว่าเป็นอย่างที่ทาคุมิพูด แต่พวกรุ่นพี่ใช่ว่าจะหมางเมินกันชัดเจนเสียหน่อย

เขาเหลือบมองเพื่อนหนุ่มที่กำลังจับเมาส์ปรับภาพในโปรแกรมแต่งภาพ ก่อนสั่งพิมพ์ออกมาและทำการตัดแบ่ง เข้าสู่ช่วงปลายปี พวกรุ่นพี่นักศึกษาปีสี่หลายคนจึงเริ่มเตรียมเอกสารสำหรับการสมัครงาน งานถ่ายรูปประเภทนี้จึงมีเข้ามาเรื่อยๆ ถ้าหลังจากปีใหม่ไปแล้ว คงจะมีคนมาใช้บริการมากขึ้นอีก

“ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย”ฮารุโตะพูดเสียงอ่อย คนที่กำลังทำงานจึงเสตากลับมามอง

“ถ้าพวกเราลอง... ทำอะไรสักอย่าง... ”

“เป็นตัวนายเอง จะดีใจไหมละถ้ามีใครสักคนเข้ามายุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างนายและรุ่นพี่ชิมิซึ”

“เอ๊ะ!!!”

“อย่าง...”คนพูดทำท่านึก “สร้างสถานการณ์ให้รุ่นพี่บอกรักนายน่ะ ฮารุโตะ”

บ... บอกรัก อย่างนั้นหรือ แค่จินตนาการถึงเหตุการณ์นั้น เขาก็หน้าแดงแล้ว และถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ มันจะดีสักแค่ไหนกันนะ ฮารุโตะยกสองมือขึ้นกุมหน้าพลางอ้อมแอ้มตอบเสียงเบา “ถ้าเป็นแบบนั้นก็ตกลงนะ”

“เห๋!!!!!!!!”ทาคุมิอุทานเสียงดังจนสมาชิกคนอื่นที่อยู่ภายในห้องชมรมต่างต้องหันมอง กระนั้นคนที่ส่งเสียงร้องก็ใช่จะสนใจ “จริงดิ นี่พูดจริงใช่ไหม”

ฮารุโตะเขินมากขึ้นไปกว่าเดิม เขาก้มหน้างุดๆพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ ทาคุมิละงานในมือแล้วสืบเท้าเข้ามาใกล้ ลดความดังเสียงที่พูดคุยลง

“จะยอมรับว่าชอบรุ่นพี่ชิมิซึแล้วใช่ม๊า”

“อือ ชอบ รุ่นพี่ใจดี”

ฮารุโตะยอมรับออกมาง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เหตุผลในประโยคหลังมันทำให้ทาคุมิรู้สึกตงิดๆ เขาจึงถามคำถามต่อไปอีกว่า “นี่ แล้วนายอ่ะ ชอบฉันไหม”

“ชอบ”คนถูกถามตอบอย่างรวดเร็ว “ซาโต้ซังก็ใจดี”

ว่าแล้วเชียว ทาคุมิคิดในใจ เขาทรุดตัวลงนั่งยองๆตรงหน้าเก้าอี้ที่ฮารุโตะนั่ง ขมวดคิ้วกรอกตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หันกลับไปถามว่า “แล้วความรู้สึกที่ชอบฉัน กับรุ่นพี่ชิมิซึเหมือนกันไหม”

ฮารุโตะนิ่งงันไปกับคำถามอยู่ครู่ หัวใจภายใต้แผ่นอกเต้นรัว ใบหน้าร้อนผ่าวจนเขารู้สึกได้ “ไม่เหมือน” เขาตอบออกไปด้วยความตื่นเต้น มือของเขาสั่นจนต้องบีบจับบังคับไว้ แต่ไม่ใช่ความรู้สึกที่ไม่ดี มันเหมือนหัวใจพองขึ้นจนหายใจได้ลำบาก เสียงพูดของเขาเบาลงจนทาคุมิต้องขยับเข้ามาเงี่ยหูฟัง

“ถ้า... ไม่ได้เจอรุ่นพี่ชิมิซึจะคิดถึงมากจนทนแทบไม่ไหว ห่างกันแค่แป็บเดียวก็คิดถึงอีกแล้ว ดีใจที่รุ่นพี่มาคอยดูแลเอาใจใส่ แต่ก็ไม่อยากให้ลำบากด้วยเหมือนกัน ตอนที่เห็นรุ่นพี่เศร้าในใจก็เจ็บปวดไปหมด”

ทาคุมิหมุนตัวหันหน้าหนีไปอีกทาง ยกมือขึ้นกุมหน้าตัวเองบ้าง แค่ได้ฟังเขายังรู้สึกเขินไปด้วยเลย นี่เท่ากับว่า ถ้าโน้มน้าวให้ฮารุโตะกล้าพอที่จะไปสารภาพรัก ก็ได้ไม่ใช่หรือไง แต่ไม่สิ เจ้าชู้อย่างรุ่นพี่ชิมิซึถ้าโดนฮารุโตะสารภาพรักอาจจะตอบปฏิเสธกลับมาอย่างไร้เยื่อใยเลยก็เป็นได้ เด็กหนุ่มหันกลับไปหาเพื่อนสนิทอีกครั้ง เขากุมมือฮารุโตะไว้

“ไม่ต้องห่วงนะ เรื่องนี้ฉันต้องพยายามช่วยนายแน่”

ฮารุโตะพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าคิดจะวางแผนอะไรเนี่ยเอาไว้ก่อนได้ไหม กลับมาทำงานให้เสร็จก่อนเถอะ”

“หวา!!!”ทาคุมิสะดุ้งโหยง และถามกลับไปอย่างร้อนรน“รุ่นพี่นาคามูระมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ได้ยินที่พวกเราคุยกันหรือเปล่า”

“ไม่ต้องห่วง ได้ยินแค่ ‘ฉันจะพยายามช่วยนายแน่’ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรละนะ แต่อย่าคิดอะไรที่มันพิเรนทร์นักละ”

“โฮ่ อยากบอกว่าไม่ต้องห่วงเหมือนกันครับ เห็นอย่างนี้ผมก็เป็นคนที่ทำอะไรรอบคอบนะ ว่าแต่รุ่นพี่นาคามูระเถอะ เมื่อไหร่จะคืนดีกับรุ่นพี่อาโอกิละครับ”

หนุ่มรุ่นพี่ที่โดนคำถามนี้ยิงเข้าใส่ตวัดสายตาขวับมามอง แต่เหมือนว่าหนุ่มรุ่นน้องจะไม่คิดกลัวสักนิด “ระวังน๊า รุ่นพี่อาโอกิป็อบจะตาย ถ้าข่าวที่เลิกกับรุ่นพี่หลุดออกไป...”

“ยังไม่ได้เลิก”อีกฝ่ายเถียงทันควัน

“อ่ะ ก็ได้”ทาคุมิยิ้มแย้มตอบรับ “ถ้าข่าวที่มีเรื่องระหองระแหงกับรุ่นพี่หลุดออกไป อาจจะมีคนมาอาสาดามใจให้รุ่นพี่อาโอกิก็ได้นะ ว่าอย่างนั้นไม่ฮารุจัง”

“อะ อืม”คนที่ถูกโยนคำถามใส่ได้แต่ตอบรับ

“จะว่าไปรุ่นพี่ที่คณะเราก็ชอบรุ่นพี่อาโอกิมากเลยใช่ไหม”

“เอ๊ะ ใครหรือ”ฮารุโตะถามด้วยความอยากรู้จริงๆ ทาคุมิจึงลากเก้าอี้มานั่งใกล้ “รุ่นพี่คนนั้นไง ที่หล่อๆที่เราสองคนเจอเมื่อวันก่อน”

ฮารุโตะทำท่านึก ใครกันนะ? อย่างไรก็ตาม นาคามูระ เรย์กลับรีบยื่นหน้าเข้ามาแทรก “บอกมาดิ ไอ้นั่นมันชื่ออะไร”

“ทำไมผมต้องบอกละครับ ในเมื่อรุ่นพี่นาคามูระเองยังมีคนอื่นได้ แล้วทำไมรุ่นพี่อาโอกิถึงจะมีคนอื่นไม่ได้ ขนาดผมเป็นผู้ชายผมยังไม่เข้าใจระบบความคิดของผู้ชายเจ้าชู้อย่างพวกรุ่นพี่เลย”

“เด็กน้อยอย่างนายจะไปเข้าใจอะไร”เรย์วางมือบนศีรษะของทาคุมิพลางแกล้งโยกศีรษะคล้ายเอ็นดู “เขาว่าผู้ชายไม่เจ้าชู้ ก็เหมือนเสือไม่มีเล็บ”

“เข้าใจละ ถ้าอย่างนั้นผมต้องเอาคำพูดนี้ไปบอกให้รุ่นพี่อาโอกิฟัง”

“อย่านะ”เรย์รีบกดตัวทาคุมิให้นั่งลงเหมือนเดิม เรื่องเจ้าช้งเจ้าชู้อะไรนั่นเขาแค่พูดเล่นไปอย่างนั้นเอง ไอ้เรื่องจะไปง้อคนรัก เรย์คิดไว้อยู่แล้วเพียงแต่ต้องรอเวลาให้นาโอโตะใจเย็นลงอีกสักหน่อย เขาไม่อยากหักหาญตัดความสัมพันธ์กับมินามิ มากิ แบบห้ามเข้าใกล้ในระยะสายตาอย่างที่ซากิทำกับโยชิดะ ริเอะโกะ เพราะถึงอย่างไร เขาเป็นคนตอบตกลงให้รุ่นน้องเข้ามาเป็นสมาชิกในชมรม และเรื่องนี้ เขาเป็นคนผิดเอง ถ้าเขาไม่เล่นด้วยเสียอย่างต่อให้ฝ่ายหญิงใช้มารยาเล่ห์กลมากขนาดไหน ก็ไม่มีทางเกิดปัญหาได้

“เป็นเด็กเป็นเล็กอยู่เฉยๆเถอะน่า”

คนโดนว่าแทบจะลุกขึ้นเต้นผาง “คอยดู คอยดู ผมจะเป่าหูให้รุ่นพี่อาโอกิบอกเลิกกับรุ่นพี่จริงๆ”

“โธ่ ฮารุจังดูเพื่อนนายดิ ช่างใจร้ายกับรุ่นพี่ตาดำๆคนนี้ได้ลงคอ”เรย์แสร้งทำหน้าน่าสงสาร เข้าไปกอดแขนฮารุโตะพลางไถศีรษะคล้ายอยากให้เห็นใจ เด็กหนุ่มผู้ซึ่งกำลังถูกออดอ้อนหัวเราะอย่างขบขันกับท่าทางของหนุ่มรุ่นพี่ ทว่าบรรยากาศรื่นรมย์เช่นนั้นต้องหยุดลงอย่างฉับพลัน เมื่อทั้งสามได้ยินเสียงเข้มห้วนจากบุคคลที่สี่

“น่าสนุกดีนะ”

เรย์เด้งตัวออกห่างยกมือทั้งสองข้างในระดับศีรษะโดยอัตโนมัติ

“เรื่องเก่ายังไม่หาย นี่แกจะตีท้ายครัวเจ้าซากิมันอีกเรอะ”เรียวตะพูดตามมา กลุ่มเพื่อนสนิทของเขาแต่ละคนทั้งปากร้าย ใจร้าย โหดร้ายกันเสียจริง นาคามูระ เรย์คิดพลางรู้สึกเหมือนน้ำตากำลังตกใน

“ใช่ซะที่ไหนละ”จากนั้นเขาจึงเล่าเรื่องที่โดนทาคุมิต่อว่าต่อขานว่า ตนเป็นผู้ชายเจ้าชู้ให้กลุ่มเพื่อนฟัง เอคิจิจึงตอกย้ำให้เขาช้ำใจอีกรอบว่า ตอนนี้ตัวเขาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

เสียงของกลุ่มเพื่อนดังแว่วมาให้ได้ยินไม่ห่าง ซากิกอดอกยืนมองหนุ่มรุ่นน้องที่หลุบตาราวกับพยายามหนีหน้า สักครู่หนึ่งก็ช้อนตาขึ้นมองและก้มหน้าหลบสายตากลับไปอย่างรวดเร็ว ต่อให้ยืนมองทั้งวัน ฮารุโตะคงไม่เปิดปากคุยกับเขาก่อน กระทั่งอีกหนึ่งหนุ่มที่แกล้งกระแอมกระไอขึ้นมา

“สวัสดีครับ รุ่นพี่ชิมิซึ”

“อือ”ซากิแค่เหลือบมองด้วยหางตา

“จะพาฮารุจังกลับแล้วหรือครับ”

“ยังมีงานอะไรอีกหรือเปล่าละ”

โอเค ยังพูดคุยโต้ตอบปกติแสดงว่าแค่เลเวลหนึ่ง ทาคุมิคิดในใจ “ไม่มีอะไรหรอกครับ ฮารุจังแค่มานั่งให้กำลังใจผมเฉยๆ”

“อ่อ มานั่งฟังนายพล่าม”

“แหม รุ่นพี่ก็ เขาเรียกว่าพล่ามที่ไหน เขาเรียกว่าพูดเก่ง”ทาคุมิแก้ตัวพร้อมกับหยิบกระเป๋าของฮารุโตะส่งให้ เพื่อนสนิทตัวเล็กของเขาจึงหยิบไม้ค้ำยันพยุงตัวลุกขึ้น เขาโบกมือลา และฮารุโตะก็หันมาโบกมือให้

ถึงกระนั้น เมื่อพ้นประตูห้องชมรม ซากิได้พูดสิ่งที่คิดออกมาทันที

“ถึงตอนนี้เรย์กับนาโอโตะจะมีปัญหากันก็ใช่ว่านายจะยื่นมือเข้าไปแทรกได้ เข้าใจใช่ไหม”

“ผม... ไม่เคยคิดทำอย่างนั้น”ฮารุโตะรีบปฏิเสธ

“ไม่คิดก็ดี อย่าให้ฉันรู้แล้วกัน”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ เขาไม่ทำอย่างนั้นหรอก พยายามจะคว้าจับรุ่นพี่ร่างสูง แต่อีกฝ่ายสาวเท้าก้าวห่างออกไปอย่างรวดเร็ว ในอกของเขาเต้นเร่าร้อนรุ่มกระวนกระวายกลัวหนุ่มรุ่นพี่จะเข้าใจผิด จะเมินเฉยเย็นชากับเขาก็ได้ จะเห็นว่าเขาเป็นแค่เพียงของเล่นก็ไม่เป็นไร แต่อย่าเข้าใจเขาผิด อย่าทิ้งเขาไว้แบบนี้

“รุ่นพี่”ฮารุโตะร้องเรียก พยายามก้าวเท้าตาม น้ำตาคลอเมื่อเห็นแผ่นหลังของอีกฝ่ายเริ่มไกลออกไปมากขึ้นทุกที และเพราะความเร่งรีบจึงทำให้เขาล้มลง เขาน้ำตาร่วงผล็อย บอกตัวเองให้รีบลุกขึ้น

เมื่อเห็นรุ่นพี่หันหน้ากลับมามองพาให้ใจชื้นขึ้นเป็นกอง แต่ห้วงอารมณ์กลับแกว่งไหวอย่างรวดเร็วเมื่อเหมือนเห็นชายหนุ่มทำท่าคล้ายรำคาญ ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะวิ่งกลับมา

ฮารุโตะก้มหน้าลง สูดลมหายใจเข้าพยายามกลั้นน้ำตา ปลุกปลอบตัวเองว่าเขาไม่ได้แกล้งทำสำออยเสียหน่อย อย่าเพิ่งคิดมากไป และทันทีที่ชายหนุ่มร่างสูงเข้ามาถึงตัว เขารีบคว้าจับข้อมือของหนุ่มรุ่นพี่ไว้

“ผมเปล่านะครับ”ฮารุโตะละล่ำละลักพูด “ผมไม่ได้ชอบรุ่นพี่นาคามูระแล้วนะครับ รุ่นพี่อย่าเข้าใจผิดนะ”

ซากิมองอาการร้อนรนของอีกฝ่าย จมูกแดงกล่ำและดวงตาฉ่ำน้ำที่พร้อมจะปล่อยน้ำตาให้ไหลลงทุกเมื่อ นัยน์ตาสั่นระริกที่สะท้อนภาพของเขา นี่อย่างไรละสิ่งที่เขาอยากเห็น นัยน์ตาซึ่งฉายแววทุรนทุรายขาดเขาไม่ได้

กลับเป็นเขาเองที่หลงลืมไป

ซากิดึงฮารุโตะเข้ามากอด “ฉันรู้แล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะ” พลางย้ำกับตัวเองอีกครั้ง ...เขาตัดสินใจแล้ว



และแล้วก็ได้ถอดเฝือกแขนเสียที เด็กหนุ่มพรูลมหายใจออกอย่างปลอดโปร่งโล่งอก ส่วนที่ข้อเท้าต้องรออีกหน่อย หมอเจ้าของไข้บอกแก่เขาว่าเพราะกระดูกแตกตรงช่วงข้อเท้าพอดีจึงค่อนข้างใช้เวลานาน ส่วนกระดูกหักที่แขนนับว่าหายเร็วมากแล้ว แต่พวกรุ่นพี่กับทาคุมิบอกเขาว่า เจ็บแค่นี้นับว่าโชคดีที่สุด ไม่มีใครรู้หรอกว่าโชคดีสำหรับเขาคือไม่เจ็บตัวเลยต่างหาก จะเจ็บน้อยเจ็บมากก็คือเจ็บตัวอยู่ดี

ผิวหนังที่อยู่ใต้เฝือกมานานเหี่ยวย่นจนน่าตลก เขาเอามือลูบๆคลำๆแล้วหัวเราะออกมาจนโดนรุ่นพี่ชิมิซึมองแปลกๆ และเมื่อเขาบอกว่ามันน่าตลก อีกฝ่ายกลับแค่ส่งเสียงหึเหมือนมีอารมณ์ร่วมด้วยนิดหน่อยแล้วเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ ฮารุโตะจึงก้มหน้ามองแขนตัวเองอีกครั้ง คิดในใจว่า สงสัยมันจะไม่น่าตลกจริงๆ

ซากิพาฮารุโตะไปพบแพทย์หลังจากหมดชั่วโมงเรียน ซึ่งหลังจากนั้นตารางกิจกรรมของฮารุโตะจึงว่างยาวไปตลอด ด้วยเหตุนี้ เขาจึงพาเด็กหนุ่มรุ่นน้องกลับไปส่งที่ห้องชมรม และทันทีที่ไปถึง เสียงพลุกระดาษก็ดังระรัวเป็นการต้อนรับ

“ยินดีด้วยที่ถอดเฝือกแล้ว”อาโอกิ นาโอโตะเข้ามาพูดแสดงความยินดี

“ขอบคุณครับ แต่ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย ผมแค่ถอดเฝือกแขนเอง”เขากล่าวกับรุ่นพี่รุ่นน้องที่มารุมล้อม

โอโตวะ ชิโอริ สมาชิกหญิงของชมรมจึงกล่าวขึ้นมาว่า “ถือว่าแสดงความยินดีที่เรื่องร้ายผ่านได้ไปแล้ว ต่อไปนี้ขอให้มีแต่เรื่องดีๆเข้ามา”ได้ยินเช่นนั้น ฮารุโตะจึงนึกภาวนาอยู่ในใจเช่นเดียวกัน

เขาโดนรุมล้อมเป็นศูนย์กลางความสนใจของสมาชิกในชมรมอยู่พักใหญ่ หนุ่มรุ่นพี่ผู้ซึ่งคอยดูแลรับส่งเขาอยู่เสมอในช่วงนี้จึงขอพาตัวเขากลับ เขาใช้ไม้ค้ำยันพยุงตัวเดินไปตามทาง หลังจากที่ต้องอยู่กับมันมาเป็นระยะหลายเดือน ฮารุโตะจึงเดินได้คล่องแคล่วขึ้น กระนั้นหนุ่มรุ่นพี่ที่เดินอยู่ข้างกันยังคงต้องทอดจังหวะการก้าวเดินให้ช้าลง จะเรียกว่าเพิ่งสังเกตเห็นคงไม่ผิดไปนัก และเมื่อรับรู้ว่ารุ่นพี่ชิมิซึคอยเอาใจใส่เขาถึงเพียงนี้ หัวใจของเขาได้พองโตอย่างมีความสุข



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++




ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เรย์ มีแนวคิดตลก แปลกๆ ใจดีเกินไป มันเหมือนให้ความหวังกับอีกฝ่าย ไม่ยุติธรรมกับแฟนตัวเอง
ไม่ชอบใจเวลามีคนเข้าหานาโอโตะ แต่ตัวเองใจดีกับมินามิ เกินรุ่นน้อง จนมีข่าวลือ ที่แท้เรย์ ก็เจ้าชู้จริงๆ
และรู้สึกว่าที่ตัวเองทำมันปกติ ปกติยังไงถึงได้ ถึงเนื้อถึงตัวกัน แบบเสื้อผ้าไม่เกี่ยว แล้วบอกไม่ตั้งใจ 
แล้วถ้าไม่มีใครเห็นเลยเถิดจนถึงขั้นสุด จะเรียกว่าสถานการณ์พาไป ไม่ตั้งใจเลย
แถมยังไม่รู้ตัว ว่าทำไมต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับมินามิ
“ฉันไม่เข้าใจ ทำไม? ฉันต้องตัดความสัมพันธ์กับคนทั้งโลกเพื่อให้แฟนสบายใจเลยหรือวะ”
งั้นให้นาโอโตะ นัวเนียกับคนอื่นบ้าง แบบเนื้อแนบเนื้อ เรย์ ยังจะคิดว่ามันไม่มีอะไร นาโอโตะไม่ได้ตั้งใจ อีกหรือเปล่า
ยิ่งนาโอโตะบอกว่าไม่ใช่ครั้งเดียวที่เรย์ทำ งั้นก็เลิกๆกับนาโอโตะไปเลยเถอะ จะได้ทำแบบไม่ตั้งใจต่อไป
สรุป คนดี ที่ใครชมกันว่าดีเพราะไม่ได้เห็นด้านเลวของเขา เขาอาจดีบางด้าน ไม่ดีบางด้าน Nobody's perfect
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
คบกันไปนาน ๆ ปัญหามันก็ต้องมีมาบ้าง อยู่ที่ว่าทั้งสองคนจะร่วมมือกันแก้ไขได้ดีแค่ไหน เพื่อที่จะไม่ให้ปัญหานั้นกลับมาสร้างความเสียหายได้อีก

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
เรื่องย่อ ตอนที่ 18
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
เรื่องของนาคามูระ เรย์และอาโอกิ นาโอโตะยังไม่คลี่คลาย ทั้งสองคนยังไม่กลับมาคืนดีกันจริงๆ เรย์จึงมาขอร้องให้ฮารุโตะช่วยเหลือ ขณะเดียวกันฮารุโตะนึกอยากจะฉลองวันคริสต์มาสกับชิมิซึ ซากิ

ตัวละครประกอบ
1. นาคามูระ ริว พี่ชายของนาคามูระ เรย์
2. อาโอกิ จิอาสะ พี่สาวของอาโอกิ นาโอโตะ
3. อาโอกิ มิกิ น้องสาวของอาโอกิ นาโอโตะ







春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 18



อีกไม่นานจะเข้าสู่ปีใหม่ ตารางการสอบกลางภาคและวันหยุดฤดูหนาวมีการปรับเปลี่ยนต่างไปจากปีที่แล้ว ปีนี้จะมีสอบกลางภาคก่อนวันหยุดฤดูหนาวในวันที่ยี่สิบเก้าธันวาคม แต่เพราะภาคการศึกษานี้ ฮารุโตะมีเวลามากมายในการอ่านหนังสือ เขาจึงไม่ต้องมาก้มหน้าก้มตาเร่งอ่านตอนช่วงใกล้สอบ ให้พูดจากใจจริงคือ ฮารุโตะกำลังให้ความสนใจกับการคิดแผนเซอร์ไพรซ์วันครบรอบปี เนื่องในโอกาสที่รุ่นพี่ชิมิซึเริ่มใจดีกับเขา พอบอกชื่องานนี้ออกไป ทาคุมิถึงกับลงไปนอนขำกลิ้ง

“ไม่เห็นว่าจะน่าตลกซะหน่อย”เขาหน้ามุ่ย ยอมรับว่าชื่อมันค่อนข้างจะฟังดูแปลกๆ แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าอย่างไรดีนี่นา เขากับรุ่นพี่ชิมิซึไม่เคยตกลงคบกันอย่างเป็นทางการ สถานะความสัมพันธ์ที่บอกแก่คนอื่นยังเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องร่วมชมรม แต่โดยพฤตินัยแล้วพวกเขาเป็นมากกว่านั้น

อย่างน้อยก็ตัวเขานี่แหละที่คิดว่าเป็นอย่างนั้น

ถ้าจะให้ฉลองวันครบรอบวันที่เจอกันครั้งแรก เขาจำได้อยู่หรอกว่าตัวเองไปสมัครเข้าชมรมวันไหน แต่เขาจำไม่ได้ว่าวันนั้นได้เจอรุ่นพี่หรือเปล่านี่ซิที่เป็นปัญหา อีกอย่างคือวันที่ว่ามันก็ผ่านไปแล้ว แถมที่คุยกันครั้งแรกจริงๆ ยังเป็นวันที่เกิดเรื่องน่าอายที่เขาอยากจะลืมด้วย แบบนั้นใครจะไปฉลองได้ลง

“แล้วถ้ารุ่นพี่ชิมิซึถามจะตอบอย่างไรละ”ทาคุมิหยุดหัวเราะและลุกขึ้นมาถามเขา เจ้าตัวหน้าแดงเถือกเพราะหัวเราะมากไป

“ก็... ไม่ต้องบอก อีกอย่างไม่ได้คิดจะทำอะไรมากซะหน่อย ไม่ชวนใครด้วย อาจจะกินข้าวกันสองคน”

“ถ้าอย่างนั้นเป็นฉลองวันคริสต์มาสไม่ดีกว่าหรือ ร้านอาหารหลายร้านจะมีโปรโมชั่นคู่รักด้วยนะ ไปนั่งกินอาหารอร่อยๆ แล้วก็ฟังเพลงบรรเลงจากเปียโนหรือไม่ก็ไวโอลิน”

“ฟังดูรู้ดีจัง เคยไปด้วยหรือ”ฮารุโตะถามอย่างสนใจกึ่งแปลกใจ

“แหม เห็นอย่างนี้ก็เคยมีแฟนนะ แฟนเก่าฉันปลื้มมากเลยละ”

“แต่รุ่นพี่ชิมิซึเป็นผู้ชายนะ จะชอบแบบนั้นรึ”

“อ้าว อย่างนั้นลองถามตัวเองว่าอยากทำอะไรให้รุ่นพี่ไม่ดีกว่าหรือไง”

“อยากให้รุ่นพี่ชอบด้วย” เพราะถ้าถามเขา แค่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ฮารุโตะก็มีความสุขมากแล้ว

“ถ้าอย่างนั้น ทำแบบที่คิดไม่ดีกว่าหรือ” พอพูดสิ่งที่คิดออกไป ทาคุมิได้ตอบกลับมาเช่นนั้น

“ในความคิดของฉัน ถ้าทำอะไรให้ใคร ตัวเองก็ต้องมีความสุขด้วย”

“แต่อยากให้รุ่นพี่ชอบและรู้สึกว่ามันพิเศษ”ฮารุโตะพูดย้ำคำเดิมซ้ำๆ ทาคุมิจึงจนปัญญาที่จะช่วยเพราะตัวเองใช่ว่าจะรู้จักหนุ่มรุ่นพี่ที่เป็นหัวข้อของการสนทนาครั้งนี้ดีนัก

ถึงอย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้หมดหนทางเสียทีเดียว เนื่องจากรุ่นพี่ชิมิซึมีเพื่อนสนิทเยอะแยะ และเมื่อลองถามความคิดเห็นออกไปหนึ่งในนั้นพูดขึ้นมาทันทีเลยว่า

“ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เอาตัวเองผูกโบว์ ซากิมันก็ปลื้มจนลืมไม่ลงแล้วละ”

ทาคุมิพยักหน้ารับพลางคิดว่าสมกับเป็นความคิดของรุ่นพี่ฮายาชิ ไม่มีอะไรสร้างสรรค์จริงๆ แต่พอหันไปมองหน้าเพื่อนสนิท ฝ่ายนั้นหน้าแดงอย่างกับไปตกถังสี และหันกลับไปมองรุ่นพี่โมริทันทีเมื่อหนุ่มรุ่นพี่พูดโดนใจเขาสุดๆ

“ไร้สาระจริงๆ ฮารุจังเขาอุตส่าห์มาขอความช่วยเหลือ”

“ไม่จริงหรือไง ถ้าถามว่าซากิมันชอบอะไร ก็เนี่ยแม่งโครตชอบเลยหรือแกไม่ชอบ”เรียวตะถาม คำพูดกลั้วเสียงหัวเราะ เชื่อว่าเพื่อนสนิทไม่พูดปฏิเสธหรอกในเมื่อมันเป็นธรรมชาติของผู้ชาย

“เออ ไม่เถียง แต่ควรแนะนำอะไรที่มันปกติธรรมดาหน่อยไม่ได้หรือไง”

“ถ้าธรรมดาจะเรียกว่าเซอร์ไพรซ์เรอะ”

ฮารุโตะและทาคุมิมองหน้ากัน รู้สึกได้ลางๆว่าน่าจะไม่ได้เรื่อง

“นึกออกละ”เรียวตะพูด เขาดีดนิ้วในตาเป็นประกายคล้ายบ่งบอกว่าสิ่งที่คิดเป็นเรื่องบรรเจิดที่สุด “ก่อนอื่น เราต้องหาผู้ชายคนหนึ่งมาแสดงละครว่ากำลังจีบฮารุจัง แล้วฮารุจังก็ต้องมีใจเอนเอียงให้ด้วย ซากิมันก็จะเริ่มโมโหหึง พอมันงี่เง่าหนักเข้า ฮารุจังก็ตะโกนใส่หน้ามันเลยว่า ‘ผมเกลียดรุ่นพี่’”

“เรื่องนี้มีตอนจบอยู่ที่ตรงไหน”เอคิจิถาม เรียวตะเหล่ตามองนิดหน่อยก่อนจะเล่าต่อ

“หลังจากนั้นมันจะเศร้า อกหัก เมาหัวราน้ำและรู้ใจตัวเอง ฉันก็จะไปบอกมันว่า ‘แกต้องไปขอโทษฮารุจังและขอเป็นแฟนซะ’ พอมันทำตามที่ฉันพูด ฮารุจังก็ตอบตกลง ทุกอย่างจะแฮปปี้เอนดิ้ง”

ฮารุโตะหันมองหน้าเพื่อนร่วมคณะ อีกฝ่ายแค่หัวเราะแห้งๆ ทำหน้าแหยๆ แผนของหนุ่มรุ่นพี่ฟังดูแปลกๆ มันไม่ค่อยเหมือนแผนทำเซอร์ไพรซ์สักเท่าไหร่

“หึ มันคงจะได้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งอย่างที่แกว่าหรอก”เอคิจิค้านไว้เสียก่อน ถึงซากิจะยังไม่พูดจาออกมาให้ชัดเจน แต่สิ่งที่เพื่อนสนิทของพวกเขาแสดงออกมามันเป็นการยืนยันสถานภาพของหนุ่มรุ่นน้องได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นเขากลัวว่า แทนที่จะตกลงเข้าใจกัน จะกลายเป็นโกรธเกลียดเข้าหน้ากันไม่ติดเสียมากกว่า

“แกแค่อยากแกล้งมันไม่ใช่หรือไง”

“ก็มันชอบทำตัวน่าหมั่นไส้”ทั้งน้ำเสียงทั้งท่าทางของคนพูดออกจริตเกินจริงจนทำให้รุ่นน้องอีกสองคนหัวเราะ

“ซากิมันไม่ได้ชอบหรือไม่ชอบอะไรเป็นพิเศษหรอก ให้อารมณ์ประมาณว่า สิ่งที่เหมือนจะชอบก็ทำไปตามกระแสมากกว่า ทำอะไรให้มันก็ชอบทั้งนั้นละ”เอคิจิพูดแนะนำ ฮารุโตะพยักหน้ารับ มันตรงกับความคิดแรกๆ และที่เขามาลองถามคนอื่นเพิ่ม เพราะเผื่อว่าจะมีอะไรที่น่าสนใจมากกว่านี้

“นี่ ฮารุจังไม่ลองทำดูละ จะได้รู้ว่ามันจะเอาอย่างไรกันแน่...”ยังพูดไม่ทันจบเอคิจิก็รีบยื่นมือมาปิดปาก และถึงรุ่นพี่จะไม่ได้พูดต่อ เขาเองพอจะทำความเข้าใจได้ รุ่นพี่ชิมิซึอยู่ปีสี่แล้ว และเมื่อเดือนมีนาคมปีหน้ามาถึงชายหนุ่มจะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย นั่นหมายความว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสได้เจอกันบ่อยๆเช่นเดิม ถ้าอีกฝ่ายจงใจหายไปจากชีวิตของเขา

ฮารุโตะหันไปยกยิ้มให้หนุ่มรุ่นพี่ทั้งสอง

จำได้ว่าครั้งหนึ่ง หนุ่มรุ่นพี่ซึ่งเป็นหัวข้อการสนทนาเคยพูดเรื่องการย้ายออกไปอยู่ที่อื่น และพูดในทำนองเชิญชวนให้ไปอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นเขาตอบปฏิเสธไป โดยให้เหตุผลว่า รอให้รุ่นพี่มีงานทำอย่างจริงจังเสียก่อน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังจำได้ไหม

ใช่ว่าเขาจะไม่กังวลแต่เพราะตั้งแต่กลับมาคืนดีกันครั้งล่าสุด รวมถึงตั้งแต่หลังจากที่เขาประสบอุบัติเหตุ ทุกอย่างมันดีมาก เหมือนว่าโชคร้าย รวมถึงเหตุการณ์เรื่องราวสิ่งเลวร้ายมันร่วงตกเขาไปด้วย แม้พวกเขาจะมีอาการไม่เข้าใจกันบ้าง หรือนิสัยของรุ่นพี่ชิมิซึที่เป็นคนหงุดหงิดง่าย แต่เขาไม่เคยเห็นชายหนุ่มทะเลาะเบาะแว้งกับกลุ่มเพื่อนจริงจังเสียที และไม่เคยเห็นอีกฝ่ายลงมือรุนแรงกับใคร  ดังนั้น เขาจึงรู้ตัวว่าส่วนใหญ่มันเป็นเพราะนิสัยของเขานี่ละที่ทำให้เกิดปัญหา คิดโน่นคิดนี่กังวลขี้กลัวอะไรไม่เข้าท่า แต่ใช่ว่ามันจะสามารถเปลี่ยนนิสัยได้ภายในวันสองวัน เขาจึงทำได้แค่พยายามไม่คิดอะไรในแง่ลบ

“ขอโทษนายด้วยที่เอาเรื่องที่คุยกันไปบอกรุ่นพี่ฮายาชิ”ทาคุมิกล่าวหลังจากแยกย้ายกับรุ่นพี่ทั้งสอง เด็กหนุ่มเป็นคนโทรไปถามหาเวลาว่างของหนุ่มรุ่นพี่ โดยบอกว่ามีเรื่องจะปรึกษา แต่รุ่นพี่ฮายาชิกลับมาหาพวกเขาเสียเองทันทีที่วางสาย ซ้ำยังพารุ่นพี่โมริมาด้วย

ฮารุโตะทำหน้าสงสัยเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องไหน นิ่งคิดอยู่ครู่จึงเอ่ยถามไปว่า “เรื่องแผนการอะไรนั่น?”

“อือ”

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับเสียหน่อย”เขาพูด “แต่จะให้ไปทำอะไรแบบนั้น ไม่เอาด้วยหรอกนะ ถ้ารุ่นพี่ชิมิซึโกรธจริงๆแล้วไม่ยกโทษให้...”ฮารุโตะไม่ได้พูดต่อเพราะแค่คิดก็น่ากลัวขึ้นมาแล้ว

พวกเขากลับไปเข้าเรียนช่วงบ่าย ระหว่างทางคุยกันเรื่องวันที่ยี่สิบห้าธันวาคม สรุปแล้วคงจะไม่มีอะไรพิเศษมากแค่ทำอาหารทานกันสองคนที่ห้อง เพราะช่วงนี้รุ่นพี่ชิมิซึยังคงวุ่นวายอยู่กับวิทยานิพนธ์และการหางาน ทาคุมิเสนอให้อบเค้กด้วยตัวเอง ช่วงคริสต์มาสจะมีเค้กถูกทำนำออกมาวางจำหน่ายเป็นจำนวนมากก็จริง แต่คนที่เคยฉลองเทศกาลนี้กับแฟนบอกว่า ถ้าเป็นเค้กที่ทำเองจะรู้สึกโรแมนติกมากกว่า

“แฟนเก่าก็ทำให้แบบนั้น?”

“ใช่แล้ว หลังจากที่ฉันพาไปทานอาหารเสร็จ ก็ไปเดินดูไฟ แล้วเธอก็เอาเค้กที่ทำเองออกมาระหว่างที่นั่งพัก เป็นเค้กเนยก้อนเล็กๆมีเชอรี่วางอยู่ด้านบน ตอนที่เห็นครั้งแรกนะ หยุดยิ้มไม่ได้เลย มันดีใจที่เขาทำให้เรา”

“ฟังดูซาโต้ซังกับแฟนเก่าก็รักกันดี ขอโทษนะ ทำไมเลิกกันละ”

“เฮ้อ... พอโตขึ้นมันก็รู้ว่า แค่รักกันมันไม่พอนะซิ”คนถูกถามทำหน้าหงอย จนฮารุโตะรู้สึกเศร้าตาม แต่เขาไม่รู้ว่าจะปลอบอีกฝ่ายเช่นไรเหมือนกัน กระนั้นเพียงแค่สองสามนาทีต่อมา เด็กหนุ่มช่างพูดอย่างซาโต้ ทาคุมิก็กลับมาร่าเริงเช่นเดิม

“ช่างมันเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว”

ฮารุโตะมองเพื่อนร่วมรุ่นด้วยความรู้สึกทึ่งปนอิจฉา ไม่รู้เมื่อไรเขาจะเป็นเหมือนอีกฝ่ายบ้าง ต่อให้รู้สึกเป็นทุกข์เศร้าโศกแต่สามารถกลับมาเข้มแข็งได้ภายในเวลาไม่นาน และเมื่อได้ยินคำที่เขาบ่นพึมพำ ทาคุมิจึงเอาศีรษะมาโขกเขาเบาๆ แต่มีบางจังหวะที่เผลอกระแทกจนเขาต้องยกมือขึ้นกุมศีรษะ

“ฉันแบ่งให้ แม่ฉันไม่ชอบบอกว่าเหลาะแหละไม่มีความตั้งใจ”ภาพคุณนายบ้านซาโต้ที่ดูดุและโหดเหี้ยมปรากฏขึ้นมาในจินตนาการทันที “แล้วแบ่งความฉลาดมาให้ด้วยนะ”

“เรื่องนั้นน่ะ ถ้าตั้งใจอ่านหนังสือก็ได้ผลการเรียนดีเองนั่นแหละ”ฮารุโตะพูดอย่างเหนื่อยหน่าย แม้จะช่วยทบทวนเนื้อหาช่วงเวลาก่อนสอบให้ได้ แต่ใช่ว่าผลคะแนนจะดีขึ้นถ้าเจ้าตัวไม่ตั้งใจเรียนและไม่อ่านหนังสือ

“คร้าบ คร้าบ”ทาคุมิขานเสียงตอบรับอย่างเบื่อหน่าย แค่นี้เขาก็ขยันกว่าเดิมสักสามสิบสี่สิบเท่าแล้ว “เรื่องนี้นายบ่นเหมือนแม่ฉันเลย”

จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ ไม่พอใจก็ไม่เชิงที่โดนพูดล้อเลียนเช่นนั้น ฮารุโตะจึงพ่นลมหายใจฮึดฮัดบอกให้รู้ว่าหงุดหงิดแล้วนะ

ทาคุมิหัวเราะ

กระทั่งมีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก้าวมาขวางทางข้างหน้า ฮารุโตะจึงขยับเท้าก้าวเบียดคนที่เดินคู่กันมาทันที เพื่อนร่วมคณะที่ตัวสูงกว่าหันมองเขาก่อนจะเอ่ยปากทักทายคนตรงหน้า

“ไง ซากุราอิซัง ไม่เจอกันนานเลย”ทว่าอีกฝ่ายไม่กล่าวตอบหากแต่กวาดสายตามองเพื่อนร่างเล็กของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า และประโยคที่กล่าวออกมากลับเป็น

“เกิดอะไรขึ้น”

ทาคุมิมองตามสายตาอีกฝ่ายที่จดจ้องอยู่ที่เฝือกข้อเท้า ฮารุโตะยังไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยตอบ

“อุบัติเหตุตกเขาน่ะ”ทาคุมิพูด คนถามหันมามองหน้าเขาทันทีและทวนคำตอบของเขาซ้ำ “ตกเขาเนี่ยนะ”

ทาคุมิเห็นโคจิมะ มิชิโอะและโองาวะ อิซามุวิ่งตามมาสมทบ ทั้งสองคนมีท่าทางกระหืดกระหอบ เด็กหนุ่มละความสนใจก่อนจะหันไปบอกเล่าให้คนที่ยังขมวดคิ้วได้คลายความสงสัย “ไม่มีอะไรหรอก พอดีฮารุโตะก้าวเท้าพลาดตอนไปเที่ยวกับชมรม นี่กำลังจะหายแล้ว ต้นเดือนหน้าน่าจะถอดเฝือกออกได้แล้ว ใช่ไหมฮารุจัง”

คนถูกถามพยักหน้ารับ

“แบบนี้คงเดินลำบากถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวตอนเย็นฉันจะมารับ”

“เอ้ย ไม่ต้อง”ทาคุมิรีบปฏิเสธ ก่อนที่ฮารุโตะพูดตามออกมาว่า “มีรุ่นพี่ที่ชมรมคอยรับส่งผมอยู่แล้ว คงไม่รบกวนซากุราอิซังหรอกครับ ขอบคุณมาก”

คนถูกปฏิเสธยืนนิ่ง ก่อนจะส่งเสียงรับคำสั้นๆ จากนั้นระหว่างพวกเขาก็ไร้ซึ่งบทสนทนา นิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ทาคุมิจึงเอ่ยปากขอตัวไปเรียน

ฮารุโตะเกาะแขนเขาไว้ ทาคุมิจึงเข้าใจว่าเพื่อนสนิทต้องการให้ช่วยพยุง เขาเปลี่ยนไปใช้มือจับต้นแขนของเพื่อนสนิทร่างเล็ก เอ่ยปากบอกลาทั้งสามคน และค่อยๆพาฮารุโตะก้าวเท้าไปตามทางเดิน

“เจ็บขาหรือ”เมื่อถามไปเช่นนั้นฮารุโตะก็สั่นศีรษะกลับมาเป็นคำตอบ จนพ้นระยะสายตาของซากุราอิ ชุนและก้าวเท้าเข้าไปในลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังห้องเรียน ฮารุโตะจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “เมื่อก่อนซากุราอิซังคอยตามรังแกตลอด จู่ๆท่าทางก็เปลี่ยนไป มันเลยค่อนข้างน่ากลัวน่ะ”

“ซากุราอิซังเนี่ยนะ?”

“อือ ตอนสมัยมัธยมโดนแย่งกับข้าว เอาชุดนักเรียน รองเท้าหรือกระเป๋าไปซ่อน ตอนเข้ามหาวิทยาลัยเจอหน้าทีไรก็ชอบมาไถเงินตลอด บางทีก็โดนซ้อม”ฮารุโตะพูดระบายออกไปด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ความทรงจำอันเลวร้ายหวนย้อนคืนกลับมาอีกครั้ง

“ซากุราอิซังเนี่ยนะ?”ทาคุมิยังถามซ้ำอย่างไม่แน่ใจ

ความคลางแคลงในแววตาและสีหน้าคู่สนทนาทำให้ฮารุโตะตกประหม่าพรั่นใจ เขาก้มหน้าลงด้วยความหวาดหวั่น “ไม่มีอะไรหรอก”ฮารุโตะรีบบอกออกไปก่อน “ท...ที่จริง มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดน่ะ”

“เดี๋ยวก่อน ฉันไม่ได้คิดว่านายโกหก”

ฮารุโตะเงยหน้ามองคนพูด ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นปลายทาง ทาคุมิจึงแตะข้อศอกให้เดินออกจากลิฟต์

“ฉันแค่... แบบ... คนเรานี่รู้หน้าไม่รู้ใจเนอะ”

พวกเขาตกลงกันว่าจะคุยเรื่องนี้อีกครั้งหลังหมดชั่วโมงเรียน ถึงกระนั้น ทันทีที่หมดชั่วโมงเรียน หนุ่มรุ่นพี่ผู้ซึ่งคอยไปรับไปส่งฮารุโตะอย่างสม่ำเสมอได้โทรศัพท์เข้ามาหา ทาคุมิจึงต้องระงับความอยากรู้อยากเห็นของตนไว้

“เป็นอะไรหรือเปล่า”ชิมิซึ ซากิเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าของหนุ่มรุ่นน้อง เพราะท่าทางของเด็กหนุ่มดูแตกต่างจากเมื่อเช้า

ฮารุโตะฝืนยิ้ม สั่นศีรษะพลางเอ่ยสำทับว่าไม่มีอะไร ซากิไม่ได้คาดคั้น อนึ่งเพราะนิสัยของเขา อีกประการคือเขารู้สึกได้ว่าฮารุโตะไม่ได้ไว้ใจเขาขนาดที่จะยอมพูดทุกอย่างออกมา ความจริงข้อนี้ทำให้เขาขัดใจและหงุดหงิดอยู่เสมอ ซากิจึงได้แต่พยายามข่มอารมณ์ไม่พอใจไว้ภายใต้สีหน้านิ่งเฉย

 ชายหนุ่มจอดรถเพื่อส่งหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนที่หน้าบ้านพักซึ่งฮารุโตะเช่าอาศัยอยู่ ทาคุมิอ้างว่าจะอยู่อ่านหนังสือต่อ แม้จะคาดเดาได้ว่า ระหว่างสองคนนั้นจะมีเรื่องบางอย่างปิดบังแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรเพิ่มเติม เขาบอกลาและบังคับถอยรถยนต์ออกมา ก่อนกดโทรศัพท์หาหนึ่งในสองเพื่อนสนิทที่ได้พบกับหนุ่มรุ่นน้องเมื่อกลางวัน

“ฉันมีเรื่องจะถาม”เขากรอกเสียงลงไปทันทีที่อีกฝ่ายกดรับสาย

“ว่า?”

“ตอนเที่ยงไปคุยอะไรกับมิอุระ”

“หือ รุ่นน้องที่น่ารักของแกเขามาถามว่า แกชอบอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า เพราะอยากจะฉลองคริสต์มาสกับแก”

เขานิ่งเงียบฟังพร้อมกับความรู้สึกพองฟูในหัวใจที่ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น

“อย่างไรดีครับรุ่นพี่ชิมิซึ อยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”

“ติดเชื้อเจ้าเรียวตะมันมาหรือไง เอคิจิ อุตส่าห์โทรถามแกเพราะไม่อยากโดนเจ้านั่นกวนประสาทแท้ๆ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เพราะใครบางคนมันชอบปากแข็งหรอก”

ซากิยกยิ้มบางแววตาที่มองถนนเบื้องหน้าสลดลง เงียบเสียงไปนานจนปลายสายจับความรู้สึกของเขาได้

“หรือจนป่านนี้แกก็ยังตัดใจไม่ได้”

เขาไม่ได้ตอบและจบคำสนทนากับปลายสายด้วยคำพูดสั้นๆ พลางย้ำกับตัวเองเช่นเดิมว่าเขาตัดสินใจแล้ว



ทาคุมินั่งเงียบจ้องหน้าเพื่อนสนิทมาร่วมครึ่งชั่วโมง ไม่รู้ว่าฮารุโตะสมาธิดีหรือทำเพียงแค่เปิดหน้ากระดาษผ่านๆเพื่อหลอกให้เขาตายใจกันแน่ แต่แน่ละ ซาโต้ ทาคุมิไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงโดยเฉพาะเรื่องที่อยากรู้

“ไม่คิดจะเล่าให้ฟังแล้วหรือ”

เห็นฮารุโตะยังทำท่าจมจ่ออยู่กับตัวอักษรบนหน้าหนังสือ เขาจึงคิดว่าตัวเองคงต้องทำใจเสียแล้ว ทว่าไม่ช้าไม่นานจากนั้นมิอุระ ฮารุโตะกลับยอมเปิดปากออกมา

“ผมย้ายไปเรียนโรงเรียนเดียวกับซากุราอิซังตอนประถมหก ซากุราอิซังดีกับผมมากและเราสองคนก็สนิทกันมาก แม้ตอนมัธยมต้นปีหนึ่งจะอยู่คนละห้องแต่เราสองคนก็ยังสนิทกันเหมือนเดิม”ฮารุโตะเล่าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา สายตายังจดจ้องอยู่บนหน้ากระดาษ “กระทั่งมีเพื่อนในห้องเข้ามาหาเรื่องเราสองคน”

ฮารุโตะเงยหน้าขึ้นมายกยิ้ม

“สมัยนั้นซากุราอิซังตัวเล็กนิดเดียวเอง”พูดพลางยกไม้ยกมือทำท่าประกอบ “พอมีเรื่องขึ้นมาเลยแพ้ อีกอย่างเด็กคนนั้นน่ะเรียนคาราเต้ด้วย ถึงอย่างนั้นซากุราอิซังก็คอยปกป้องผมตลอด แต่เป็นผมเองที่บอกให้เขาหยุดทำแบบนั้น สุดท้ายเราเลยทะเลาะกัน”น้ำเสียงของฮารุโตะหงอยเศร้าลงในประโยคสุดท้าย แล้วกลายเป็นเหยียดหยันดูแคลนในประโยคถัดมา

“หลังจากนั้นเราก็ไม่ค่อยได้เจอกันอีก ผมโดนเด็กคนนั้นแกล้งตลอดและไม่ว่าจะบอกใครก็ไม่มีใครเชื่อเพราะเด็กคนนั้นเป็นนักเรียนดีเด่นและเป็นทายาทของตระกูลที่มีชื่อเสียงในจังหวัด แต่สุดท้ายเด็กคนนั้นก็โดนสวรรค์ลงโทษ ไม่รู้ว่าไปหาเรื่องใครอีก ผมได้ข่าวว่า เขาโดนทำร้ายจนต้องเข้าโรงพยาบาล”คนเล่านิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง

“แต่คราวนี้กลับเป็นซากุราอิซังเสียเองที่คอยหาเรื่องผม มันเริ่มจากการกลั่นแกล้งเล็กๆน้อย และค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆตอนที่ผมอยู่มัธยมปลาย”น้ำเสียงของคนพูดขมขื่นอย่างเห็นได้ชัด

“ตอนที่สอบได้ทุนผมดีใจมาก เพราะคิดว่าจะไม่ต้องเจอกับผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว และยิ่งตอนนี้การแสดงออกของซากุราอิเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ มันต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นอีกแน่”ฮารุโตะพูดอย่างวิตกจริต เด็กหนุ่มชันเข่าขึ้นคู้ตัวลงด้วยความหวาดกลัวอนาคตข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึง เขาไม่อยากจะพบเจอเหตุการณ์แบบนั้นแล้ว ชีวิตของเขากำลังจะดีขึ้น ทุกอย่างมันกำลังจะดีขึ้น

ท่าทางอาการที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของฮารุโตะ ทำให้ทาคุมิรีบคลานเข่าเข้าไปหา วางมือบนไหล่ จับมืออีกฝ่ายไว้พลางพูดปลอบ “ไม่ต้องห่วงนะ ไม่มีอะไรหรอก มีฉันอยู่ด้วยทั้งคนไม่มีใครทำอะไรนายได้ทั้งนั้น”ร่างกายอันสั่นเทาของฮารุโตะ ทำให้ทาคุมิตัดสินใจดึงอีกฝ่ายเข้ามาไว้ในอ้อมกอด เขาลูบหลังลูบไหล่ปลอบประโลมให้เพื่อนสนิทคลายอาการหวาดวิตก

“ผมเชื่อซาโต้ซังได้จริงๆหรือ”ฮารุโตะถาม การโดนคนที่คิดว่าเป็นเพื่อนทำร้ายรังแกซ้ำๆหลายครั้งหลายคราทำให้เขาไม่อยากเชื่อใจใคร

คนถูกถามพยักหน้ารับ ดึงเด็กหนุ่มร่างเล็กบางกว่าเข้ามากอดซ้ำอีกครั้ง เขาเป็นคนธรรมดาที่มีเพื่อนมากมาย และเพิ่งรู้สำนึกตัวว่าตนเองเกิดมาโชคดีก็วันนี้ ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่ฮารุโตะเจอ เพียงแต่เขามีกลุ่มเพื่อน ถึงแม้ว่าเขาจะทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนในกลุ่ม เขาเองยังมีพ่อแม่ที่คอยรับฟังปัญหาและให้คำแนะนำ มีสถานที่ที่ยอมให้เขาทำตัวอ่อนแอและให้กำลังใจในการลุกขึ้นสู้ต่อไป

“นี่ ฮารุโตะ ไปกินข้าวที่บ้านฉันกันไหม”

“เอ๋!!!”เขาผละตัวออกห่างพร้อมกับส่งเสียงออกไปอย่างแปลกใจ ทาคุมิยิ้มให้ยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มของฮารุโตะ

“ถึงอย่างไรช่วงนี้รุ่นพี่ชิมิซึก็ไม่ค่อยว่างมากินข้าวกับนายอยู่แล้ว ไปกินข้าวที่บ้านฉันกันเถอะ”คนชวนพูดจบก็กดโทรศัพท์โทรออกแจ้งให้มารดารับทราบว่าจะมีสมาชิกอีกคนไปทานข้าวเย็นด้วย  หลังจากนั้นจึงหันมาบอกเด็กหนุ่มร่างเล็กให้โทรบอกรุ่นพี่ชิมิซึ

“รุ่นพี่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”

แม้จะบอกให้เขาโทรแต่เจ้าตัวกลับหยิบโทรศัพท์ของเขาขึ้นมาโทรออกเสียเอง ทั้งยังกรอกเสียงบอกปลายสายเสร็จสรรพ

“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมพาฮารุจังขึ้นรถบัสไปเอง เอาไว้รุ่นพี่ค่อยมารับตอนขากลับน่าจะดีกว่า”หลังจากรับคำกับปลายสาย ทาคุมิจึงกดวางและหันมาบอกให้เขาลุกขึ้นยืน

“เอากระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์ไปเท่านั้น”

ฮารุโตะทำตามด้วยอาการเหมือนสมองสั่งการไม่ทัน ท่าทางที่แสดงออกนั้นยังดูงงๆ

หลังๆมานี้ เขากลับมาพกเงินใส่กระเป๋าเงินอีกครั้ง ประการหนึ่งเพราะมีคนอื่นอยู่ด้วยตลอด เด็กหนุ่มจึงคิดว่า ซากุราอิ ชุนคงไม่กล้าเข้ามาระราน อีกอย่างคือเขาจำเป็นต้องใช้สำหรับซื้ออาหารเช้า กลางวัน เย็นและอื่นๆจิปาถะ ถ้าไม่ได้รุ่นพี่ชิมิซึคอยช่วยออกค่าใช้จ่ายให้บ้าง ฮารุโตะคาดว่า ป่านนี้เงินเก็บที่เขามีอยู่คงหมดเกลี้ยงไปนานแล้ว



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 18 : 8/Apr/2017 Page 4
« ตอบ #99 เมื่อ: 08-04-2017 04:19:00 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
พวกเขาทั้งสองคนเดินทางไปบ้านของซาโต้ ทาคุมิโดยรถประจำทาง ครอบครัวของทาคุมิอาศัยอยู่ในห้องชุดแบบครอบครัวขนาด2LDK บนอาคารสูง และเนื่องจากผู้ปกครองทั้งสองคนต่างทำงานทั้งคู่ อาหารมื้อเย็นจึงถูกตั้งโต๊ะเวลาย่ำค่ำราวๆหนึ่งถึงสองทุ่ม ดังนั้นตอนที่พวกเขามาถึงจึงยังเหลือเวลาอีกนานกว่าจะถึงเวลาอาหาร

“นั่งเล่นก่อน ดูหนังไหม”เจ้าของบ้านเอ่ยถาม ทรุดตัวลงนั่งหน้าตู้ใส่ของใต้ชั้นวางทีวีซึ่งเต็มไปด้วยแผ่นดีวีดีมากมาย

ฮารุโตะมองซ้ายมองขวาล่อกแล่ก บ้านของทาคุมิตกแต่งเรียบง่ายดูโล่งแต่บนโต๊ะหรือหลังตู้เต็มไปด้วยของกระจุกกระจิกอย่างหุ่นยนต์ตัวเล็กๆ ตุ๊กตากระเบื้อง หรือกรอบรูปครอบครัว  พื้นที่ไม่กว้างแต่สามารถวางชุดโซฟาสีน้ำตาลและโต๊ะทานอาหารขนาดสี่คนโดยไม่ให้ความรู้สึกว่าอึดอัด

“ซาโต้ซังเป็นลูกคนเดียวหรือ”ฮารุโตะถามเพราะสังเกตเห็นว่าบ้านเงียบเชียบ

“อืม”ทาคุมิตอบรับสั้นๆ ขณะนำแผ่นใส่เครื่องเล่น แผ่นหนังที่มีอยู่ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เด็กหนุ่มเจ้าของบ้านเคยดูแล้วทั้งนั้น แต่เพราะถ้าปล่อยให้ฮารุโตะนั่งว่างๆ กลัวว่าอีกฝ่ายจะชวนเขาอ่านหนังสือเรียนอีก

หนังที่ทาคุมิเลือกมาดูเป็นหนังแอคชั่นไซไฟที่ออกฉายเมื่อหลายปีก่อน เรื่องราวของเด็กหนุ่มผู้มีความจำเป็นเลิศแต่กลับไม่มีความรู้สึกของมนุษย์ แต่แค่เปิดเรื่องมาฮารุโตะก็สะดุ้งเฮือกเพราะฉากสยองอย่างการตัดลิ้นตัวละครในเรื่อง ก่อนทำท่าจะทนดูไม่ได้จริงๆกับฉากระเบิดรถบัสซึ่งมีเด็กประถมโดยสารอยู่ทั้งคัน ทาคุมิจึงเปลี่ยนเป็นหนังภาคต่อของซีรี่ย์เรื่องยาว เรื่องราวของหญิงสาวที่ถูกเลี้ยงดูโดยคุณตาที่เป็นยากุซ่า ซึ่งเธอได้เข้าไปเป็นครูในโรงเรียนมัธยม

ฮารุโตะนั่งดูตาไม่กระพริบด้วยท่าทางสนอกสนใจ หัวเราะไปกับท่าทางพร่ำเพ้อเกินจริงของตัวเอก อย่างไรก็ตามหนังยังไม่ทันจบ ผู้เป็นมารดาของทาคุมิได้กลับมาถึงบ้านเสียก่อน เด็กหนุ่มร่างเล็กยันตัวยืนต้อนรับทันที ยืนนิ่งตัวแข็งทื่อด้วยความหวั่นเกรง ทาคุมิจึงต้องรีบแนะนำมารดาของตนให้ฮารุโตะรู้จัก

“นี่แม่ฉัน ส่วนนี่ฮารุโตะเพื่อนที่คณะ คนที่ผมขออนุญาตไปค้างด้วย”

“หรือจ๊ะ ดีจังที่ได้เจอตัวจริงเสียที ขอบใจมากนะจ๊ะที่ช่วยดูแลลูกชายของน้า เพราะหนูแท้ๆเด็กคนนี้ถึงขยันตั้งใจเรียนขึ้นบ้าง”

“คร้าบ คร้าบ ต่อไปผมจะตั้งใจเรียนขึ้นอีกครับ”

“ดีจ้า อย่างนั้นเดี๋ยวแม่ไปทำกับข้าวให้”

“เอ่อ ให้ผมไปช่วยไหมครับ”ฮารุโตะเอ่ยปากอาสา

“อุ๊ย! ทำกับข้าวเป็นด้วยหรือจ๊ะ ช่างเป็นเด็กดีเสียจริง ไม่เหมือนเด็กบ้านนี้เลย ให้ช่วยทำงานบ้านนิดๆหน่อยๆก็ทำอิดออด”คนเป็นแม่แสร้งพูดบ่นให้คนเป็นเพื่อนลูกชายได้ฟัง ทาคุมิจึงร้องโวยวายออกมา

“แม่!!!”

“จ้าๆ มีอะไรหรือจ๊ะ คุณลูก”คุณนายซาโต้ดูสนุกสนานที่ได้เย้าแหย่ลูกชาย เธอนำของสดที่ซื้อมาไปวางไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินมาหาเพื่อนของลูกชาย “มา เดี๋ยวน้าช่วยพยุง” เธอประคองตัวเด็กหนุ่มพาเดินไปจนถึงโต๊ะทานอาหาร และดึงเก้าอี้ให้เขานั่ง ทาคุมิจึงต้องหันไปปิดทีวีและตามเข้าไปในครัว

มื้อค่ำวันนั้นสนุกสนานมากสำหรับฮารุโตะ พ่อของทาคุมิให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดี ระหว่างมื้ออาหารมีแต่เสียงหัวเราะ และเขายังได้รับการเชื้อเชิญให้มาร่วมทานมื้อเย็นอีกครั้งเมื่อมีโอกาส

ทาคุมิเดินลงมาส่งเขาที่ชั้นล่างพร้อมทั้งยังยืนรอรุ่นพี่ชิมิซึด้วยกัน

“คุณน้าใจดี”ฮารุโตะเปรยออกมา ลูกชายของคนที่ถูกกล่าวถึงจึงหลุดเสียงหัวเราะ “เพราะนายยังไม่เจอช่วงที่เจ๊แกอารมณ์เสียหรอก”

“ไม่ใช่ซาโต้ซังหรือทำให้คุณน้าอารมณ์เสีย”

ทาคุมิใช้สายตาเหล่มองคนพูดซึ่งเข้าข้างมารดาของเขาเป็นปี่เป็นขลุ่ย แต่ก็ยกยิ้มเมื่อเห็นเพื่อนสนิทอารมณ์ดีถึงขั้นพูดหยอกล้อตอบกลับมา

ยืนรอท่ามกลางอากาศหนาวเย็นไม่นานนัก รถยนต์สีบรอนซ์เงินของรุ่นพี่ชิมิซึจึงได้ขับมาจอดเทียบตรงหน้า ทาคุมิเดินไปเปิดประตูให้ ฮารุโตะก้าวเท้าขึ้นรถแล้วยกมือขึ้นโบกลา จากนั้นรถยนต์จึงเคลื่อนที่

ถึงจะไม่ได้พูดคุยซักไซ้ แต่ซากิคาดเดาจากสีหน้าท่าทางของฮารุโตะว่าหนุ่มรุ่นน้องคงจะอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว

“รุ่นพี่ชิมิซึครับ”ฮารุโตะเอ่ยเรียก ซึ่งชายหนุ่มผู้เป็นสารถีแค่ขานเสียงในลำคอว่ารับรู้

“วันที่ยี่สิบห้านี้พอจะมีเวลาว่างไหมครับ”

ซากิเหลือบสายตามองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้าง แสงสว่างจากไฟทางพอจะทำให้เขาเห็นอากัปกิริยาของอีกฝ่าย ฮารุโตะหันมามองเขาอย่างเฝ้ารอคำตอบ

“วันที่ยี่สิบห้าหรือ...อืม”เขาหันกลับไปมองถนนเบื้องหน้าแสร้งทำท่านึก “น่าจะติดธุระละมั้ง”

“อา... ครับ”สีหน้าของฮารุโตะเหงาหงอยลงราวกับต้นไม้ขาดน้ำ ซากิอมยิ้มเริ่มคิดแผนการที่จะเซอร์ไพรซ์ฮารุโตะกลับไปบ้าง

“มีอะไรหรือเปล่า ถ้าเป็นหลังสองทุ่มไปแล้ว ฉันก็ว่าง”

“หรือครับ ตอนนั้นก็ได้”ท่าทางของฮารุโตะกลับมากระตือรือร้นอีกครั้ง เริ่มคิดสิ่งที่จะทำในวันที่ยี่สิบห้าอย่างจริงจัง

ถึงแผนการฉลองวันคริสต์มาสของฮารุโตะยังไม่เป็นรูปร่างชัดเจน ทว่าไม่กี่วันหลังจากนั้น นาคามูระ เรย์อดีตประธานชมรมถ่ายภาพกลับฝ่ายกำหนดเวลาให้เขาเป็นที่เรียบร้อย

“นะ ช่วยหน่อย”เรย์ประนมมือไว้ด้านหน้าพลางพูดกับหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนให้เห็นใจ

“ว่าแล้วเชียว”ทาคุมิตบโต๊ะฉาด “บอกแล้วว่าให้รีบง้อ”

จนป่านนี้นาโอโตะยังคงมีท่าทางมึนตึง เรื่องที่ต้องพูดคุยเพื่อทำให้เหตุการณ์เข้าใจผิดกระจ่างชัด ชายหนุ่มได้พูดคุยอธิบายหลายครั้งแล้ว และคนรักทำท่าเหมือนจะเข้าใจ ทว่ามันมีตัวแปรที่สามของเรื่องซึ่งเขายังตัดไม่ขาด

“ไม่มีปัญหาหรอกครับ”ฮารุโตะตอบรับ คำขอร้องของนาคามูระ เรย์ไม่มีอะไรมาก แค่ชวนอาโอกิ นาโอโตะฉลองวันคริสต์มาสเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มกำลังมีความคิดจะขอให้หนุ่มรุ่นพี่ช่วยสอนวิธีทำเค้กให้เหมือนกัน

“ไม่น่าไปรับปากง่ายๆเลยฮารุจัง”ทาคุมิพูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ มันน่าจะเล่นตัวอีกสักหน่อย แต่ประโยคนี้เขาไม่ได้พูดออกไป

“อยากได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทนบอกมาเลย”เรย์พูดกับทาคุมิอย่างใจป้ำ

“แน่ใจนะครับ”

“ซาโต้ซัง ไม่เอานะ”ฮารุโตะเอ่ยห้ามปราม

“นายไม่อยากได้ก็เรื่องของนาย แต่ฉันอยากได้”หันไปพูดกับเพื่อนสนิทจบ ก็หันไปบอกรุ่นพี่ในชมรมต่อไปว่า “ไว้ผมนึกออกว่าอยากได้อะไรแล้วจะบอกนะครับ”

“ได้ มีแค่เดือนดาว กับขอนอนกับแฟนฉันเท่านั้นนะเว้ยที่ให้ไม่ได้”

“โถะ ใครจะไปขอแบบนั้น”ทาคุมิหัวเราะ โบกมือลาหนุ่มรุ่นพี่เมื่ออีกฝ่ายขอตัวกลับ แล้วหันมองฮารุโตะที่ออกอาการไม่พอใจ

“ไปคุยกับรุ่นพี่อาโอกิเองแล้วกัน”เด็กหนุ่มร่างเล็กพูดพลางหยิบไม้ค้ำยัน ขยับเก้าอี้เตรียมตัวลุกขึ้นยืน

“เดี๋ยวสิ”ทาคุมิวาดแขนรั้งคอมิอุระ ฮารุโตะไว้ “ที่ฉันทำน่ะ ไม่ใช่เห็นแก่สินบนใต้โต๊ะเสียหน่อย แต่เรื่องบางอย่างรุ่นพี่นาคามูระควรจะได้รับบทเรียนบ้าง นายไม่คิดอย่างนั้นหรือ”

“ไม่เห็นจำเป็น”ฮารุโตะหน้างอ “แค่เรื่องรุ่นพี่อาโอกิก็ทำให้รุ่นพี่นาคามูระสำนึกได้แล้ว”

“ถ้าสำนึกได้จริง ทำไมรุ่นพี่นาคามูระต้องมาขอให้พวกเราช่วย นายรู้จักรุ่นพี่อาโอกิมานานกว่าฉัน น่าจะรู้ว่าทำไมรุ่นพี่เขาถึงไม่ยอมให้อภัยรุ่นพี่นาคามูระเสียที ฉันเชื่อว่ารุ่นพี่อาโอกิเป็นคนมีเหตุผล”

มันก็ใช่ และตั้งแต่ที่เขารู้จักรุ่นพี่ทั้งสองคน ฝ่ายที่มีปัญหาเรื่องอารมณ์หึงหวงมากกว่าเป็นรุ่นพี่นาคามูระ ทั้งที่ตัวเองมีคนเข้าหามากกว่ารุ่นพี่อาโอกิแท้ๆ

“แล้วมีอีกเรื่องที่อยากจะเล่า มินามิน่ะยังจิ๊ๆจ๊ะๆอยู่กับรุ่นพี่นาคามูระนะ”

ฮารุโตะหันหน้าไปมองคนเล่าเรื่อง “รู้ได้อย่างไร”

“แหมะ ไอ้เรื่องแบบนี้เขาปิดกันให้แซ่ด”

“อาจจะเข้าใจผิดกันไปเองก็ได้”ฮารุโตะอดที่จะแก้ตัวแทนให้ไม่ได้ คนเล่าเรื่องจึงแค่ยกไหล่ไม่ตอบโต้อะไรอีก ทาคุมิถือว่าแค่เล่าให้เพื่อนได้รับรู้ในสิ่งที่ได้ยินได้เห็นมา แต่เรื่องที่จะช่วยรุ่นพี่นาคามูระ เขาตั้งใจจะปรึกษากับรุ่นพี่อาโอกิก่อน รุ่นพี่นาคามูระขอให้พวกเขาช่วย แต่ใช่ว่าจะห้ามไม่ให้เขาบอกรุ่นพี่อาโอกินี่นะ



ชิมิซึ ซากิโยนโทรศัพท์มือถือลงกระแทกบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิด พาให้เพื่อนทั้งสองคนซึ่งนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยเงยหน้าจากคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นมามอง

พวกเขากำลังจับกลุ่มนั่งทำงานอยู่ที่อาคารหอสมุดของมหาวิทยาลัย หลังวันหยุดฤดูหนาวอาทิตย์ที่สามของเดือนมกราคมพวกเขาต้องนำเสนอวิทยานิพนธ์กับเหล่าอาจารย์ผู้ซึ่งเป็นคณะกรรมการการสอบวิทยานิพนธ์ เวลาที่งวดกระชั้นเข้ามาทำให้พวกเขาต้องเร่งแก้ไขวิทยานิพนธ์ให้สมบูรณ์ที่สุด พวกเขาจึงเลือกที่จะจับกลุ่มสิงสถิตกันที่หอสมุด สถานที่ซึ่งมีหนังสืออ้างอิงให้เลือกใช้มากมาย เพราะถ้าจะให้แก้แบบสอบถามและกรณีศึกษากันตอนนี้ อย่างไรก็คงไม่ทัน จึงทำได้เพียงหาตัวอย่างและเอกสารอ้างอิงที่สอดรับกับข้อมูลที่มีอยู่ในมือ

เอคิจิหยิบโทรศัพท์ของเพื่อนสนิทซึ่งนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาดู ภาพที่ปรากฏแก่สายตาเป็นภาพของหนุ่มรุ่นน้องสองคนที่พวกเขารู้จักันดี แม้จะค่อนข้างไกลแต่ด้วยเทคโนโลยีการถ่ายภาพในปัจจุบัน ทำให้เห็นเค้าหน้าชัดเจน

เรียวตะเองก็โน้มหน้ามาดูด้วยเช่นกัน ก่อนคว้าไปถือเพื่อมองให้ชัด เขาผิวปากหวือ

“นึกว่าเพื่อนสนิทเฉยๆนะเนี่ย สงสัยว่าแกจะแห้วโดนเด็กคว้าไปกินซะแล้ว”

“พูดมาก”ซากิพูดออกมาแค่คำเดียว

“ภาพออกจะชัด หรือว่าแกไม่คิด”

ยอมรับเลยว่า เห็นแวบแรกเขาคิดจินตนาการไปไกลถึงได้ออกอาการไม่ชอบใจให้กลุ่มเพื่อนได้เห็น แต่พอลองได้ตรึกตรอง นอกจากภาพจะไกลแล้ว มุมภาพยังทำให้เหมือนดูว่าสองคนนั้นทำอะไรเลยเถิด อีกอย่างคนที่ส่งภาพแบบนี้มาให้เขาต้องเป็นพวกคิดไม่ดีอยู่แล้ว

“โลกนี้จะมีคนใจดีส่งภาพมาอยากให้ฉันหายโง่เพราะโดนสวมเขาด้วยหรือวะ นอกจากจะพยายามเสี้ยมให้ตีกัน”

“แหม ใช้คำว่าสวมเขาซะด้วย ถามหน่อยเถอะน้องเขาเป็นแฟนแกตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ฮารุจังยอมแกทุกวันนี้เพราะแกเผด็จการบังคับขู่เข็นเขาหรอก ลองถามความสมัครใจจริงๆ เชื่อขนมกินได้ว่าแกโดนปฏิเสธทันที”

“อ่อ เหรอ”ซากิลากเสียงยาว รู้สึกตลกกับคำกระแหนะกระแหนของเรียวตะ และกล่าวออกไปด้วยท่าทีเหนือกว่า“แล้วเมื่อหลายวันก่อน มิอุระเขาไปปรึกษาแกเรื่องจะฉลองวันคริสต์มาสกับใครละ”

เรียวตะจึงหันมองหน้าเพื่อนทั้งสองคนเลิกลั่ก “แกบอกมันหรือ เอคิจิ”

“ก็ซากิมันถาม”คนตอบพูดหน้าตาย

“ไปบอกมันทำไม”

“บอกไม่บอกมันไม่ต่างอะไรหรอก ถึงอย่างไรฮารุจังต้องนัดเวลากับซากิมันอยู่ดี”เอคิจิพูดพลางกลับมาให้ความสนใจวิทยานิพนธ์ของตนบนหน้าคอมพิวเตอร์อีกครั้ง เรียวตะจึงทำหน้ามุ่ยขยับปากบ่นพึมพำ

“แล้วรูปนี่จะเอาอย่างไรวะ”

“ไม่ทำอะไร ปล่อยมันไว้แบบนั้นแหละ”

“ไม่คิดจะตามหาคนส่งหน่อยหรือไง”เรียวตะถามต่อ

“ไม่จำเป็น ปล่อยไว้เฉยๆเดี๋ยวคนส่งมันก็ดิ้นเร่าๆเผยตัวออกมาเอง”ซากิรับโทรศัพท์มือถือกลับมามองดูภาพนั้นอีกรอบก่อนจะละความสนใจไป



พวกเขานัดเจอกันตั้งแต่เช้าของวันที่ยี่สิบห้าธันวาคม โดยช่วงเช้าเป็นตารางสำหรับทำอาหารและขนมสำหรับงานเลี้ยงฉลองในช่วงหัวค่ำ ครอบครัวอาโอกิและนาคามูระจัดงานฉลองเทศกาลสำคัญๆร่วมกันเป็นประจำทุกปี แต่เนื่องจากปีนี้ลูกชายคนโตของบ้านอาโอกิและลูกชายคนเล็กของบ้านนาคามูระอยู่ในช่วงทะเลาะกัน เรย์จึงโดนห้ามเข้าบ้านอาโอกิไปโดยปริยาย

“อย่างนี้ทั้งสองบ้านไม่มีปัญหากันหรือครับ”ทาคุมิถามขณะยืนล้างผัก ส่วนฮารุโตะและรุ่นพี่อาโอกิเจ้าของบ้านกำลังเตรียมของสดจำนวนมหาศาลอยู่บนโต๊ะหินตัวยาว

มื้อเย็นสำหรับวันนี้เป็นชาบูซึ่งนาโอโตะได้บอกทุกคนไว้แล้วว่าสามารถจัดการเองได้ จึงไม่มีคนอื่นมาช่วยนอกจากพวกเขาทั้งสามคน

“มีปัญหาตั้งแต่ตอนตกลงจะคบกันแล้วละ พ่อแม่พี่กับพ่อแม่เรย์เป็นเพื่อนกัน ตอนที่บอกที่บ้านว่าจะคบกับเรย์เหมือนว่าพวกผู้ใหญ่จะมองหน้ากันไม่ติดอยู่นิดหน่อย และเหมือนว่าตอนเด็กๆ พ่อแม่ของสองบ้านเขาหวังให้พี่ริวกับพี่จิอาสะแต่งงานกัน แต่กลับมาแจ็คพ็อตแตกที่ลูกชายอีกคนแทนมันเลยเกิดเดธแอร์”คนเล่านิ่งไปชั่วครู่เหมือนกำลังนึกย้อนไปในช่วงเวลานั้น

“หลังจากนั้นไม่นาน พี่กับเรย์เลยโดนเรียกคุยอีกรอบ เรื่องที่ว่าจะคบกันจริงจังใช่ไหม อีกอย่างเราสองคนตอนนั้นอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ อยากรู้อยากเห็น เรย์กับพี่ยืนยันชัดเจนเพราะก่อนที่บอกพ่อแม่พวกเราก็คิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง”

ทาคุมินำผักใส่ตะกร้าสะเด็ดน้ำ ถือมาวางไว้บนโต๊ะหินตรงหน้าชายหนุ่มเจ้าของบ้าน

“แต่หลังจากคบกันก็ยังคงให้อารมณ์เพื่อนสนิทกันอยู่ดีแหละ”คนเล่าหัวเราะ ซึ่งหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย

“แล้วตลอดเวลาที่คบกันมา เราสองคนไม่ค่อยทะเลากันเท่าไหร่ อาจจะทำตัวงี่เง่าใส่กันบ้าง แต่แป็บๆก็กลับมาคืนดีแล้ว แต่เรื่องครั้งนี้เหมือนโดนหยามอ่ะ พ่อแม่เรย์ก็เห็นเหตุการณ์ด้วยใช่ไหม คุณอาเลยบอกว่าเต็มที่อยากทำอะไรก็ทำ”นาโอโตะพูดไปหัวเราะไป ส่วนหนึ่งเพราะสะใจที่พ่อแม่ของคนรักเข้าข้าง ทว่าอีกใจหนึ่งตัวเขากลับคลางแคลงในความรักที่มีให้กันระหว่างพวกเขาทั้งคู่

“แล้วรุ่นพี่อยากให้พวกผมทำอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”

ฮารุโตะได้แต่นิ่งเงียบก้มหน้าก้มตาทำงานของตน ฟังทาคุมิและรุ่นพี่อาโอกิคุยกัน ถึงเขาจะชื่นชอบรุ่นพี่อาโอกิ แต่ในใจของเขาเอนเอียงไปทางรุ่นพี่นาคามูระมากกว่า เขาเข้าข้างรุ่นพี่นาคามูระอย่างไม่ต้องสงสัย

“ยังไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่ลองคุยกับเรย์ดูอีกทีก่อน” นาโอโตะไม่เคยบอกใครว่าระหว่างเขาและเรย์ไม่เคยมีสัมพันธ์ทางกายเกินเลยไปกว่าการจูบกันในบางครั้งบางครา นั่นจึงเป็นต้นเหตุที่เขาเริ่มกังขากับความรู้สึกที่คนรักมีต่อเขา และเขาก็พยายามแสดงให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความไม่พอใจนี้ด้วยการเริ่มตัดอีกฝ่ายจากวงจรชีวิต เพราะความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนเกี่ยวเนื่องกับทั้งสองครอบครัว นาโอโตะจึงอยากให้ ‘แม้จะจบความสัมพันธ์ฉันท์คนรักแต่พวกเขายังคงเป็นเพื่อนกันอยู่’

นาโอโตะเอ่ยบอกให้รุ่นน้องทั้งสองคนกลับมาสนใจอาหารคาวหวานที่จะทำในวันนี้อีกครั้ง

พวกเขาเตรียมผักและหมักเนื้อสัตว์ที่ใช้ในชาบูเก็บแช่ไว้ในตู้เย็น ก่อนจะหันมาลงมือทำเค้กซึ่งของนาโอโตะจะเป็นเค้กช็อคโกแลตเหมือนเดิม ส่วนฮารุโตะอยากได้เค้กชาเขียวที่ไม่หวานนัก โดยเจ้าตัวให้เหตุผลว่า “ครั้งก่อนรุ่นพี่ชิมิซึทานเค้กช็อคโกแลตไปนิดเดียว”

“แล้วฮารุจังชอบเค้กรสอะไรละ”

คนถูกถามทำท่านึก “เค้กเนยครับที่เป็นสีขาวๆ”แค่คิดเขาก็น้ำลายสอ นึกถึงกลิ่นหอมและรสชาติหวานขึ้นมาได้ทันที

“แล้วทาคุมิละ”

“ผมชอบช็อคโกแลตนี่ละ”

นาโอโตะจึงบอกว่าเดี๋ยวจะทำทั้งเค้กชาเขียวและเค้กเนยสดด้วย ซึ่งหลังจากที่ตรวจสอบวัตถุดิบ พ่อครัวใหญ่บอกว่าจะต้องไปซื้อของเพิ่ม เขาชวนทาคุมิออกไปช่วยหิ้วของ แต่สำหรับฮารุโตะ ด้วยเพราะยังเดินได้ลำบากจึงต้องนั่งรออยู่ที่บ้านไปตามระเบียบ

ฮารุโตะหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมา กดเข้าแอพพลิเคชั่นการสนทนา ใช้สองมือพิมพ์ข้อความถึงรุ่นพี่ชิมิซึ

“วันนี้ที่นัดไว้ รุ่นพี่จะมาทานข้าวพร้อมกับผมด้วยได้ไหมครับ”

ถึงรุ่นพี่นาคามูระจะบอกให้พวกเขาพยายามชวนให้รุ่นพี่อาโอกิฉลองคริสต์มาสด้วยกัน แต่ครอบครัวของรุ่นพี่ก็มีธรรมเนียมการเลี้ยงฉลองด้วยกันทุกปีอยู่แล้ว เหตุการณ์แบบนี้เขาไม่กล้าเสนอหน้าอยู่ให้รู้สึกประดักประเดิดผิดที่ผิดทาง ฮารุโตะตั้งใจว่าจะอยู่รอจนรุ่นพี่นาคามูระมาถึงก่อนจะขอตัวกลับ ถ้าอ้างว่าต้องไปฉลองกับรุ่นพี่ชิมิซึต่อ มันคงจะไม่ดูน่าเกลียด

“โทษที มีนัดแล้ว”

น่าเสียดายจัง ฮารุโตะคิดอยู่ในใจ ทว่าสิ่งที่เขาพิมพ์ตอบกลับไปเป็นข้อความในทำนองว่า ‘ไม่เป็นครับ แล้วเจอกัน’

นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง ข้อความจากคนที่ไม่เคยส่งข้อความส่วนตัวหาเขาก็ปรากฏขึ้น

“เรียบร้อยดีไหม”

ถ้าเมื่อก่อนเขาได้ข้อความมาเช่นนี้ เขาจะดีใจมากแค่ไหนกันนะ ฮารุโตะคิดขณะพิมพ์ตอบคำถามของอีกฝ่ายกลับไป

“รุ่นพี่จะมาถึงตอนไหนครับ”

“มืดๆ”

ทำไมไม่ระบุเวลาให้ชัดเจนละ ฮารุโตะคิดอย่างไม่ชอบใจพร้อมทั้งส่งข้อความตอบรับสั้นๆกลับไป

ฮารุโตะนั่งเล่นโทรศัพท์เรื่อยเปื่อยอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง เสียงฝีเท้าตึงตังจึงดังมาตามทาง และจากนั้นไม่นานคำทักทายด้วยเสียงเล็กๆของเด็กหญิงก็ดังขึ้น ทั้งกระเป๋าสะพายและเสื้อโค้ทกันหนาวยังอยู่ครบชุด

“พี่ฮารุโตะ”

“มิกิจัง”ฮารุโตะส่งเสียงเรียกพร้อมรอยยิ้ม

เธอวิ่งเข้ามาหาพร้อมทั้งส่งเสียงถามอย่างกระตือรือร้น น่ารักเสียจนเขาอยากจะมีน้องเป็นของตัวเองบ้าง “เค้กละคะ ยังไม่เสร็จใช่ไหม มิกิมาทันหรือเปล่า”

“ยังไม่ได้เริ่มทำเลยครับ รุ่นพี่ไปซื้อของอยู่ มิกิจังเอาของไปเก็บก่อนก็ได้ แล้วค่อยมานั่งรอด้วยกัน”

เธอพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย วิ่งตื๋อออกไปอีกครั้ง และกลับเข้ามาในห้องครัวอย่างรวดเร็ว กระโดดขึ้นบนเก้าอี้มานั่งคุยเป็นเพื่อนเขา ด้วยเหตุนั้น กิจกรรมอบขนมช่วงบ่ายจึงคึกคักและคึกครื้นขึ้นมากสำหรับฮารุโตะ

ระหว่างช่วงที่รออบขนมปัง ชายหนุ่มลูกชายเจ้าของบ้านได้ไปรื้อต้นสนเทียมและอุปกรณ์ตกแต่งออกมาจากห้องเก็บของ นาโอโตะลงมือประกอบต้นไม้พลาสติกซึ่งถูกเก็บแบบแยกชิ้นส่วนอยู่ภายในกล่องอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะปล่อยหน้าที่ตกแต่งต้นสนให้น้องสาวคนเล็กที่เปิดกล่องเก็บของกล่องโน้นกล่องนี้อย่างสนุกสนาน

ฮารุโตะย้ายที่นั่งเข้าไปดูใกล้ๆ ขณะที่นาโอโตะเดินหายเข้าไปในห้องเก็บของหลังบ้านอีกครั้งและกลับมาพร้อมบันไดอะลูมิเนียม ทั้งยังปีนขึ้นไปติดบอลคริสต์มาสบนเพดาน ส่วนทาคุมิรื้อไฟประดับมาพันรอบต้นสนเทียม

เมื่อเห็นว่ามิกิหยิบของตกแต่งอย่างพวกดาวหรือไม้เท้าลูกกวาดขึ้นมาแขวนตามกิ่งก้านของต้นสน ฮารุโตะจึงทำตามบ้าง เขายืนแขวนสิ่งของเหล่านั้นในจุดที่สูงกว่าตัวของเด็กหญิงจะเอื้อมถึง

ฝ่ายทาคุมิเอง เขาหันไปช่วยหนุ่มรุ่นพี่แขวงของประดับที่เพดาน ก่อนจะดึงบันไดกลับมาเทียบต้นสนจำลอง ให้เด็กหญิงตัวเล็กปีนขึ้นไปติดดวงดาวที่ปลายยอดต้นสน และเมื่อเสียบสวิตซ์ไฟประดับ บรรยากาศภายในห้องจึงให้ความรู้สึกของเทศกาลคริสต์มาสอย่างแท้จริง

หลังทำขนมและเตรียมข้าวของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ฮารุโตะกระซิบบอกเพื่อนให้ขอตัวกลับเมื่อสมาชิกในครอบครัวอาโอกิและนาคามูระทยอยมารวมตัวกัน

“ได้ไงอ่ะ อุตส่าห์ช่วยเตรียมของตั้งหลายอย่าง”ทาคุมิบ่นโอดโอย

“มีแต่คนในครอบครัว ซาโต้ซังกล้าอยู่ด้วยหรือ”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็บอกรุ่นพี่อาโอกิไว้แล้ว”

กระซิบเถียงกันไปกันมาจนหนุ่มรุ่นพี่ต้องเข้ามาถาม “เป็นอะไรกันนะทั้งสองคน”

“พวกผมจะขอตัวกลับแล้วนะครับ”ฮารุโตะรีบชิงพูดไปเสียก่อน

“อ้าว”

“แต่ผมไม่ได้อยากกลับด้วยละ”ทาคุมิพูดประโยคนั้นขึ้นมาทันที

“อืม ก็อยู่ ฮารุจังจะรีบกลับทำไมละ”

“ที่จริง ที่พวกผมมาวันนี้เพราะรุ่นพี่นาคามูระขอร้องให้ช่วยพูดกับรุ่นพี่อาโอกิครับ”ฮารุโตะบอกไปตามตรง เพราะก่อนหน้านี้ทาคุมิได้เล่าลายระเอียดที่คุยกับรุ่นพี่นาคามูระให้รุ่นพี่อาโอกิฟังไปจนหมด “แต่อย่างไรรุ่นพี่ก็จะคืนดีกับรุ่นพี่นาคามูระแล้วใช่ไหมครับ ผมเลยคิดว่า ไม่อยู่รบกวนน่าจะดีกว่า”

“หือ ไม่รบกวนหรอกนะ เจ้าพวกนั้นก็จะมาร่วมด้วย”ไม่ทันขาดคำเสียงออดหน้าบ้านได้ดังขึ้น จากนั้นสองสามนาทีต่อมาเสียงทักทายของกลุ่มชายหนุ่มจึงดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงที่กรอบประตูของห้องอาหาร

“มาก็ดีแล้ว ไปยกโต๊ะกับหม้อที่บ้านโน้นมาด้วย”นาโอโตะเอ่ยปากสั่งทันที เพื่อรองรับจำนวนคนเพิ่มขึ้นจากเดิม

ฮารุโตะมองกลุ่มชายหนุ่มผู้มาใหม่ด้วยอาการงุนงงตะลึงงัน เพราะหนึ่งในนั้นคือรุ่นพี่ชิมิซึ

“คราวนี้ก็อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันได้แล้วเนอะ”หนุ่มรุ่นพี่ผู้เป็นเจ้าของบ้านส่งเสียงบอกแก่เขา แน่ละ ขอตัวกลับไปตอนนี้คงถูกมองว่าทำตัวมีปัญหาเสียมากกว่า

ค่ำคืนนั้น ฮารุโตะจึงได้ล้อมวงทานอาหารกับพวกรุ่นพี่ ครอบครัวของรุ่นพี่นาคามูระและรุ่นพี่อาโอกิอย่างสนุกสนานและมีความสุข




+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


หมายเหตุ
2LDK เป็นห้องที่มี 2 ห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น (Living) หนึ่งห้องทานอาหาร (Dining) และหนึ่งห้องครัว (Kitchen)


*// รู้สึกว่า ฮารุโตะกับรุ่นพี่ชิมิซึรักกันบ้างหรือยังคะ//*


ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
อ่านเจอเรย์ทำกับมินามิแล้วความรู้สึกจมดิ่งฉุดไม่ขึ้นเลยค่ะ สนิทกันมากจนเกินไปจนกลายเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่คนรักแล้ว  ถ้าเรย์เป็นแบบนี้เราว่านาโอโตะสามารถตัดใจแล้วก็ถอยหลังไปเป็นแค่เพื่อนดีกว่าเจ็บซ้ำซ้อน  แต่เรย์นี่ไม่รู้สิเราว่านาโอโตะเป็นผู่ใหญ่มากกว่าเรย์เยอะ   ใจเรานี่อยากให้คู่นี้เลิกกันแล้วเรย์หันไปคบกับมินามิ
เราอยากรู้ว่าหล่อนจะสามารถตอบโจทย์เรย์ได้ไหมที่คนลือกันก้น่าจะเพราะหล่อนเองเป็นคนปล่อยข่าว หล่อนไม่ได้เป็นในสิ่งที่เรย์เห็นหรอก  เพราะว่ามันน่าจะมากกว่าความต้องการทางร่างกายสำหรับเรย์ที่อาจจะเป็นไบมากกว่า

ดีใจนะที่ฮารุสามารถเอ่ยปากระบายความรู้สึกกับทาคุมิได้  จุดพีกของฮารุอาจจะไม่ใช่การลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อตัวเองแต่อย่างน้อยที่สุดก็ดูแลตัวเองได้ เราว่าฮารุปลงได้สุดๆเลย

เรื่องของชุนนั้นไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรทีทำให้ชุนเริ่มหรือหยุดทำร้ายฮารุเพราะไม่มีเอ่ยถึงทำให้เรายังรู้สึกว่าปัญหาข้อนี้มันยังไม่ได้รับการ adress   ปมมันยังอยู่ มันยังทำให้เราไม่คลายใจกับชุนนัก

ส่วนพ่อยอดชายนายซากินั้นดีขึ้นหรือแย่ลง? ไม่รู้สิ ดีขึ้นที่ออกตัวชัดเจนมาหน่อย
ซากิมองการกระทำของเรย์ไม่รู้เห็นภาพสะท้อนบ้างไหมกับการที่ตัวเองอออกไปกันคนอื่น   ฮารุเหมือนเมียลับๆที่แอบคบกัน  ความรักของฮารุชัดมากค่ะ  ของซากิชัดขึ้นนิดหน่อย บางทีคำที่ว่าไม่ได้เป็นอะไรกันของฮารุเหมือนคาถาที่ปกป้องใจของฮารุไหม   ไม่ได้เป็นอะไรกัน ฉะนั้นถึงเลิกกันก็ยังโอเค  มาตอนนี้ทั้งทาคุมิที่ชงไม่หยุด กับการกระทำของซากิที่ดูชัดขี้นเหมือนทำให้ฮารุกล้าขึ้นกล้าฝัน กล้ามีความความหวัง

การที่ตนเราเจ็บซ้ำๆซ้อนๆแล้วยังสามารถลุกขึ้นมายืนใหม่ได้นี่เรียกได้ว่าแกร่งนะ
เราว่าฮารุเอาจริงๆแล้วแกร่งมากๆ    เราว่าฮารุกับนาโอโตะคล้ายกันอยู่นะในความแตกต่างก็มีส่วนคล้ายกัน  แกร่งทั้งที่ดูอ่อนโยน

ขอบคุณมากๆค่ะที่มาอัพ  รอมาตลอดเลย

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ท่าไม่ดีจริงๆด้วยแล้วสิครับ...

ผมกำลังสงสัยว่าอดีตซากิเป็นไปได้ 2 อย่าง คือหนึ่ง ซากิแอบชอบอาโอกิ แต่ด้วยบุคลิกนิ่งๆเลยทำให้เรย์คว้านาโอโตะไปก่อน อันนี้ผมสังเกตจากบางสัญญาณที่ซากิมี นับตั้งแต่เหตุการณ์เรย์ทะเลาะกับนาโอโตะ

กับสอง ซากิแอบชอบผู้หญิงสักคน ใครก็ได้แล้วไม่สมหวัง แต่ไม่ว่าอย่างไร ผลของทั้งสองข้อเหมือนกันคือเป็นผลทำให้ซากิไม่เชื่อใจในความรัก และศรัทธาแต่ในความพอใจของเซ็กซ์ ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่านิสัยอย่างซากิคือแพ้ไม่เป็นครับ ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ดังนั้นพอไม่สมหวัง ความคิดเค้าเลย revert ไปสุดโต่ง ซึ่งก็ตรงกับบุคลิกนิสัยของเขาที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ประกอบกับนัยยะหลายๆอันที่ดูเหมือนซากิจะยังตัดใจจากคนๆนั้นไม่ได้ เลยตัดสินใจใช้วิธีหักดิบมาสนใจฮารุโตะมากๆแทน เพื่อหวังจะเยียวยาหัวใจตัวเอง มันเลยดูท่าทางจะไม่ค่อยดีครับ

เพราะอย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าคนอย่างซากิมันเหมาะกับตัวนางประเภทไหน การที่ทำแบบนี้มันก็ไม่ต่างจากการหลอกตัวเองไปวันๆ และฮารุโตะก็จะกลายเป็นเบี้ยนึงที่ซากิอาจจะ ‘สนใจ’ มากกว่าคนอื่น แต่ไม่ได้ถึงขั้นรัก เพราะเอาเข้าจริงๆ ผมก็ยังยืนยันนะครับว่าบุคลิกและปมของฮารุโตะ ซากิไม่น่าจะใช่คนที่จะมายุ่งจุกจิกขนาดนั้น สเปกของคนที่จะดึงดูดความรู้สึกคนแบบซากิ (ที่ดึงดูดใจเพราะความรู้สึกจากส่วนลึกจริงๆ ไม่ใช่เพราะแค่เซ็กซ์) ถ้าไม่ชอบแนวสดใสไปเลย ก็ต้องชอบคนเก่งในตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองได้ระดับนึง มีความสามารถ และที่สำคัญคือต้องมีรูปร่างและภาพลักษณ์ที่ดี ซึ่งนาโอโตะก็พอเข้าแก็ป ตอนแรกผมลืมนึกถึงจุดนี้ไป แล้วเรื่องก็ไม่มีโผล่นัยยะ แถมซากิยังทำตัวเนือยตลอดเวลาที่อยู่ใกล้ๆนาโอโตะอีกต่างหาก ผมเลยไม่ concern เรื่องนี้มาก่อน (ซึ่งจริงๆก็อาจจะเป็นผู้หญิงคนอื่นก็ได้ อันนี้ผมแค่เดาสุ่มจากนัยยะนะครับ)

ส่วนเรื่องชุนกับฮารุโตะนี่... (ถอนหายใจ) มันพูดยากนะครับ เพราะต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเอง ซึ่งมันก็ถูกในคนละมุมกันนั่นล่ะ ฝ่ายชุนเองก็คงมีความรู้สึกดีๆให้ฮารุโตะมานานตั้งแต่เด็ก คงจะรู้สึกเหมือนอยากดูแลปกป้อง แต่พอโดนคนที่ตัวเองให้ความสำคัญมากไปบอกว่าให้หยุด มันอาจจะไปเป็นการหยามน้ำหน้าหรืออาจจะไปกระตุ้น(trigger) ปมอะไรบางอย่าง หรือความคิดบางอย่างของชุนให้เปลี่ยนไปครับ ความคิดมันเลยเปลี่ยนไปในทำนอง agressive ซึ่งมันแตกขยายได้หลายลอจิกครับ เช่น
I. คิดว่า ถ้างั้นให้เขาเป็นคนเดียวที่สามารถแกล้งมันได้ มันก็จะไม่เพิกเฉยเขาอีกต่อไป ก็จะเป็นไปในทำนองหวงของ ข้าจะเป็นคนเดียวที่แกล้งมันได้ คนอื่นไม่มีสิทธิ์ ถึงจะไม่ได้ครอบครอง แต่ก็อยู่ในสายตา
II. ในเมื่อปกป้องดีๆไม่ชอบ งั้นก็จะแกล้งให้ถึงที่สุดเพื่อสนองความน้อยใจของตัวเองที่อีกฝ่ายปัดความหวังดีของเขาออกไป อันนี้เป็นแนวคิดเชิงน้อยใจและสนองความโกรธและไม่เข้าใจในความรู้สึกของตัวเองครับ
หรืออาจจะเป็นความคิดอะไรอย่างอื่นก็ได้ อันนี้ผมต้องรอดูบทชุนอีกทีเพื่อเช็คความชัวร์ของพล็อต

ส่วนฝ่ายฮารุโตะ ก็คือหวังดี เนื่องจากฮารุโตะเป็นเด็กมีปม เคยมีเรื่องแล้วพอไม่ยอม ตัวเองก็โดนทั้งแม่และทุกๆคนรุมทำร้ายทั้งทางกายและจิตใจ ดังนั้นพอชุนมีเรื่อง ฮารุโตะก็อาจจะเกิดความคิดเชิงเลียนแบบสถานการณ์เดียวกัน (Imitation) คือคิดว่าถ้าปล่อยให้ชุนไม่ยอมด้วย ชุนก็จะโดนแบบเขา ฮารุโตะจึงยอมโดนแกล้งไว้เอง ซึ่งอันนี้ก็น่าสงสารนะครับ คือเขารักชุน ไม่อยากให้ถูกทำร้ายแบบตัวเอง แต่เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้มีปม และคงไม่ได้รู้สถานการณ์ครอบครัวกับอดีตของฮารุโตะลึกซึ้ง เลยเข้าใจเจตนาผิดไป

จะเห็นว่าเหตุผลและเจตนาของทั้งสองฝ่ายมันฟังขึ้นในมุมมองของอารมณ์เด็กมัธยมต้นทั้งคู่ครับ แต่เนื่องจากสถานการณ์คนละมุม ไม่เข้าใจกัน เลยสร้างรอยร้าว(rift) ในความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆ ฝั่งฮารุโตะก็โดนมรสุมชีวิตอยู่ตลอด บวกเจอชุน(เพื่อนสมัยเด็กที่เปลี่ยนไป)แกล้งเข้าไปอีก ก็เลยกลายเป็นเด็กแนวๆซึมเศร้า หวาดกลัวโลกง่ายและไม่กล้าสู้คนได้ไม่ยาก ส่วนฝั่งชุนก็ไม่ได้เข้าใจ และด้วยอารมณ์วัยรุ่นและความพลุ่งพล่านของฮอร์โมนเด็กม.ปลาย ก็เลยทำให้ไม่ได้ปรับคุยกันหรือมีเวลามาพินิจมองฮารุโตะมากนัก

แต่พอมามหาวิทยาลัย การถึงที่สุดของฮารุโตะในตอนที่ 8 แววตาหรืออะไรสักอย่างของฮารุโตะคงไปกระทบชุนเข้า เขาเลยพยายามเปลี่ยน ผมคิดว่าชุนกับซากิมีเหมือนกันอยู่อย่างคือเป็นพวกบ้าพลังครับ ซากินี่ผมไม่ทราบว่าแรงขับดันเป็นเรื่องอะไร แต่ชุนผมคิดว่าคงเพราะเขาอยากทำให้หัวโล่งๆ ดังนั้นการระบายพลังงานไปกับกีฬาจำนวนมากและการชกมวย ก็คงทำให้เขาอารมณ์เย็นลงพอมองและสะกิดใจกับอะไรบางอย่างของฮารุโตะก็เป็นได้

ความน่าสนใจของพล็อตและนัยยะมีเยอะดี ปมเลยไม่ค่อยได้โฟกัสเรื่องความรู้สึกรักกันของซากิกับฮารุโตะเท่าไหร่ครับ (ฮา) อ่านแล้วก็เฉยๆนะครับ อย่างที่ผมบอกอะ มันดูเรียบๆยังไงก็ไม่รู้

มีบางอย่างอยากคอมเมนท์ด้วยครับเกี่ยวกับตรงบรรยาย คือเรื่องนี้มีรายละเอียดและนัยยะซ่อนอยู่ดีมากนะครับ หลายๆบทสนทนาปริศนานี่คือไขล็อกพล็อตและทำให้เนื้อเรื่องคืบหน้าต่อไป การบรรยายนัยยะการกระทำหลายๆอย่างก็ถือว่าบอกใบ้เนื้อเรื่องได้แนบเนียนมาก กระนั้น บางทีผมอ่านๆไปก็รู้ว่าเหมือนมันมี unnecessary detail มาคั่นจนทำให้อ่านแล้วอยากข้ามครับ เช่น ฉากอบอุ่นเรียบสงบทั่วๆไปของชีวิตฮารุโตะ หรือวันที่ไปนอนสงบๆไม่ได้มีประเด็นเพิ่มเติม ซึ่งในฉากพวกนี้คือมันไม่มีอะไรเท่าไหร่ มีบทพูดกับทาคุมิหรือซากิอยู่สองสามอัน(ซึ่งยกไปใส่ในอีเวนท์อื่นได้) และมันไม่ได้มีผลอะไรกับเนื้อเรื่อง และผมอ่านแล้วมันก็ไม่ได้หวือหวา เลยทำให้กวาดตาคร่าวๆแล้วบางทีอยากข้ามครับ เพราะฉากนั้นมันไม่ได้ค่อยสำคัญอะไร

มีทริคนึงที่อยากแนะนำครับ คือ ไม่ว่าจะใส่ฉากอะไรหรืออีเวนท์อะไรเข้ามาในเรื่อง ก่อนเขียนอยากให้คิดก่อนครับว่าเรามี พล็อต/นัยยะ/ประเด็น อะไรที่อยากจะสื่อในฉาก/อีเวนท์นั้น แล้วค่อยมาแต่งรายละเอียดเพิ่มเติมเอา มันจะทำให้เราไม่เขียนมั่วเอียงไปเอียงมาครับ และทำให้เราโฟกัส เนื้อเรื่องคืบหน้าได้เร็ว ไม่ยืด ในขณะเดียวกัน ก็มีช่องเปิดของฉากพอให้เติมเสริมแต่งพล็อตเพิ่มเติมเข้ามาในบทหลังๆโดยอิงจากฉากพวกนี้ ในกรณีที่มีอะไรอยากเพิ่มเติมหลังจากแต่งไปได้ไกลแล้วน่ะครับ

ถ้าเราไปคิดก่อนว่าอยากใส่ฉากนั้น/อีเวนท์นี้เข้ามา แล้วเขียนไปก่อนโดยไม่ได้แฝงนัยยะอันมีประเด็นสำคัญ หรือเชื่อมจากพื้นพล็อตอย่างเหมาะสม แล้วมาคิดเรื่องนัยยะเติมเข้ามาทีหลัง มันจะทำให้ฉากนั้นเรียบสงบครับ กราฟอารมณ์มันจะนิ่งๆ ไม่มีอะไรตื่นเต้นน่าดึงดูด เพราะว่าเหมือนไม่ได้โยงกับพื้นพล็อตแต่แรก ฉากพวกนี้ถ้าการบรรยายไม่เด่นจริง มันก็จะดึงดูดคนอ่านได้ยากครับ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
+ เป็ดค่ะ

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
เรื่องย่อ ตอนที่ 19
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
ผ่านพ้นปีใหม่มาแล้ว พร้อมกับที่ฮารุโตะได้ถอดเฝือกออกหลังจากนั้นชิมิซึ ซากิจะหายหน้าไปเพราะกำลังยุ่งวุ่นวายกับวิทยานิพนธ์และการหางานทำ ความเหงาจึงกลับมาโจมตีเขาอีกครั้ง

ตัวละครประกอบ
1. อิโนะอุเอะ ซายูริ เพื่อนร่วมคณะของมิอุระ ฮารุโตะ







春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 19



พ้นช่วงปีใหม่ไปไม่กี่วัน ฮารุโตะจึงได้ฤกษ์ถอดเฝือกที่ข้อเท้าออก ก่อนออกจากโรงพยาบาลหมอยังสั่งให้เขาไปฝึกเดินอีกรอบ ความรู้สึกตอนถอดเฝือกข้อเท้าต่างกับตอนถอดเฝือกแขนหลายโยชน์ เพราะเริ่มชินกับเท้าที่มีเฝือกมานาน ทำให้เวลาเดินแบบปกติ เขาจึงไม่กล้าลงน้ำหนักที่เท้ามาก ยิ่งบางครั้งยังรู้สึกเจ็บ จึงยิ่งไม่กล้าลงน้ำหนักทันที

ช่วงที่ยังสวมเฝือกที่ข้อเท้า ฮารุโตะสวมแต่กางเกงวอร์มเพื่อให้สะดวกสำหรับตัวเขาและคนที่ช่วยดูแล นอกจากนี้เขายังใส่รองเท้าผ้าใบแค่ข้างเดียว แต่เมื่อถอดเฝือกออกมาแล้วกลับกลายเป็นว่าต้องใส่รองเท้าแบบสวมเพื่อให้รองเท้าทั้งสองข้างเหมือนกัน เนื่องจากเท้าข้างที่เจ็บยังใส่รองเท้าไม่ถนัด ซ้ำผิวหนังที่เท้ายังย่นเป็นขุย

“ขอบคุณมากนะครับ ทั้งที่ช่วงนี้รุ่นพี่กำลังยุ่งแท้ๆ”ฮารุโตะพูด มองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นทาครีมลงบนเท้าข้างซ้ายที่เคยใส่เฝือก ก่อนจะสวมถุงเท้าให้ อากาศข้างนอกหนาวมากจนการสวมรองเท้าแบบสวมกลายเป็นเรื่องอันตราย อากาศหนาวเย็นลงทุกวันแต่ไม่มีทีท่าว่าหิมะจะตกลงมาเสียที

“ก็ไว้ชดเชยช่วงต่อจากนี้ที่จะไม่ว่างมาหาได้บ่อยๆ”

ฮารุโตะถูกพยุงตัวให้ลุกขึ้นยืน นึกหดหู่และหวั่นใจไปล่วงหน้ากับคำพูดของหนุ่มรุ่นพี่

ช่วงหลังจากนี้ รุ่นพี่ชิมิซึจะมีสอบวิทยานิพนธ์และเริ่มสอบสัมภาษณ์งาน ชายหนุ่มร่างสูงจึงเอ่ยปากบอกกับเขาว่าคงจะไม่ได้มีโอกาสมาอยู่ด้วยได้บ่อยๆ แม้ว่าปากตอบรับถึงกระนั้นในใจกลับอดค่อนขอดไม่ได้

มันต้องสัมภาษณ์งานทั้งกลางวันและกลางคืนโดนไม่ต้องหลับต้องนอนเลยหรืออย่างไร

เด็กหนุ่มได้แต่คิด เขาไม่กล้าพูดออกไปตามที่ใจนึก เพราะกลัวชายหนุ่มร่างสูงจะไม่ชอบใจ แต่ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่งว่า เขาจะได้มีเวลาอ่านหนังสือสำหรับสอบปลายภาคอย่างเต็มที่ มันจึงไม่ใช่เรื่องแย่จนเกินไปนัก

แต่ก็เหงาอยู่ดี

เพิ่งผ่านไปได้แค่อาทิตย์เดียวเท่านั้นนับตั้งแต่การเจอกันครั้งสุดท้ายตอนที่หนุ่มรุ่นพี่พาเขาไปหาหมอที่โรงพยาบาล ความรู้สึกดังกล่าวกลับโจมตีเขาอย่างหนัก เพราะเป็นหนึ่งอาทิตย์ที่ไม่ได้มีโอกาสเห็นหน้าหนุ่มรุ่นพี่อีกเลย แม้จะมีการส่งข้อความคุยกันบ้าง แต่จะให้เขาส่งข้อความไปถามว่า ‘กินข้าวหรือยัง’ ซ้ำๆ ทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่มีการตอบกลับมา มันคงเป็นการสนทนาที่น่าตลก หลังๆมานี้ สมองฝั่งที่ชอบคิดในแง่ร้ายจึงปรากฏความคิดที่ว่า ‘อาจจะโดนทิ้งแล้ว’ ขึ้นมาบ่อยๆ

“หน้าหงอยมาก”

เขาเงยหน้ามองคนพูด ก่อนจะแสร้งก้มหน้าลงอ่านหนังสือเช่นเดิม พยายามตีสีหน้านิ่งเฉยให้มากเท่าที่จะทำได้

“เหมือนปลาขาดน้ำเลยล่ะ”

“เงียบไปก็ไม่มีใครว่า”

คนโดนว่าแกล้งทำหน้าตื่นตระหนก ทำตาโตแล้วยกมือปิดปากคล้ายเจอสิ่งมหัศจรรย์ของโลก “นายว่าฉัน” ซ้ำยังทำเหมือนเสียใจเต็มประดา พลางยกมือปาดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริง จนไม่รู้ว่าควรสำนึกผิดหรือควรหัวเราะดี

“เป็นอะไรมากไหม”

“ก็แบบ... นายเริ่มหัดตีฝีปากว่าคนอื่นแล้ว”

ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้นจึงทำให้เขาลังเล เพราะน้ำเสียงเหมือนจะดีใจ แต่คำพูดประโยคดังกล่าวไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ดีนัก ฮารุโตะจึงตั้งใจว่าจะระวังคำพูดให้มาก

“คิดถึงก็ไปหา ไม่เห็นจะยาก”ทาคุมิพูดต่อ

มันไม่ยาก แต่ไม่ง่ายตรงที่อีกฝ่ายจะเต็มใจเจอเขาหรือเปล่า การที่เขาไปหาจะเป็นการรบกวนหรือไม่ หรือบางทีหนุ่มรุ่นพี่อาจจะหงุดหงิดรำคาญใจที่เห็นหน้าเขาก็เป็นได้ เพราะมีแต่ความคิดกังวลอยู่เต็มไปหมด เขาจึงไม่กล้าขยับตัวทำอะไร

ทาคุมิพ่นลมหายใจและลุกขึ้นยืน คว้าแขนของฮารุโตะให้ลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกัน“ไปหาพวกรุ่นพี่กันเถอะ”

“ไม่เอาหรอก”เด็กหนุ่มสั่นศีรษะปฏิเสธ “เดี๋ยวจะไปรบกวน...”

“ใครว่าฉันจะไปหารุ่นพี่ชิมิซึ ฉันจะไปหารุ่นพี่ฮายาชิต่างหาก เนี่ยรุ่นพี่ส่งข้อความมาว่าคิดถึงมาก แม้จะทำงานอยู่ก็มาหาได้”ไม่พูดเปล่า ทาคุมิยังยื่นหน้าจอโทรศัพท์ให้เขาดูอีกด้วย เพียงแต่ยังไม่ทันอ่านจบอีกฝ่ายก็บังคับลากพาให้เขาเดินตาม

“ไม่ได้อยู่ดี อีกเดี๋ยวต้องไปเข้าเรียนแล้ว”

“เหลืออีกตั้งหลายนาที”ทาคุมิพูดเสียงแข็ง ลากข้อมือฮารุโตะมายังอาคารหอสมุด

“เอ๊ะ”คนที่ถูกบังคับให้เดินตามมองอาคารตรงหน้าอย่างแปลกใจ “พวกรุ่นพี่อยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ”

“อืมเห็นว่าไปกินข้าวก่อนที่พวกเราจะพัก ตอนนี้อยู่ข้างบน”ทาคุมิก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความในโทรศัพท์มือถือ ขณะที่ก้าวเท้าพาฮารุโตะขึ้นลิฟต์

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฮารุโตะยิ่งรู้สึกขุ่นเคืองกับสิ่งที่หนุ่มรุ่นพี่กระทำมากขึ้นไปอีก ทั้งที่มาอยู่ที่ห้องสมุดแท้ๆ จะบอกเขาหน่อยก็ไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกหดหู่ ตัวเขาไม่มีความหมายในสายตาของชายหนุ่มมากขนาดนั้นเชียวหรือ

แต่หัวใจเจ้ากรรมใช่จะควบคุมได้ง่ายๆ ยามที่ได้เห็นหน้าหนุ่มรุ่นพี่ที่เฝ้าถวิลหา ก้อนเนื้อภายใต้แผ่นอกกลับเต้นโลดอย่างยินดี ไม่อาจเก็บอาการหน้าบานราวกับต้นไม้ได้ฝนไว้ได้อีกต่อไป ฮารุโตะอยากจะวิ่งเข้าไปหาแต่สติสัมปชัญญะคอยระงับรั้งอากัปกิริยาของเขาไว้

เขาลากเก้าอี้ทรุดตัวลงนั่งด้านข้าง หนุ่มรุ่นพี่จึงเงยหน้าหันมามอง

“อ้าว มาเร็วดีนี่”เรียวตะเอ่ยทักรุ่นน้องร่วมชมรมทั้งสองคน เขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับชิมิซึ ซากิ ส่วนเพื่อนสนิทที่เรียนคณะเดียวกันอีกหนึ่งคนอย่างโมริ เอคิจิติดสอบวิทยานิพนธ์อยู่ที่อาคารของคณะวิชา

“แต่ก็อยู่ได้แป็บเดียว พวกผมมีเรียนตอนบ่าย”ทาคุมิบอก เหลือบสายตามองเพื่อนสนิทที่เอาแต่จ้องหน้ารุ่นพี่ชิมิซึโดยไม่พูดอะไร เด็กหนุ่มจึงหันมองหน้าหนุ่มรุ่นพี่ที่สนิทกัน พลางถามเชิงขอความคิดเห็น“เราสองคนควรย้ายโต๊ะไหมครับ รุ่นพี่ฮายาชิ”

ทว่าคนตอบคำถามกลับเป็นซากิ “ไม่ต้องหรอก มีอะไรหรือเปล่า”ประโยคหลังเขาหันไปถามฮารุโตะ ซึ่งอีกฝ่ายก็สั่นศีรษะตอบกลับมา จนทาคุมิคันปากอยากจะพูดออกไปเสียเอง

“เป็นอะไร”เรียวตะหันไปถามคนนั่งข้างๆที่อยู่ในอาการกระสับกระส่ายอยู่ไม่สุข หนุ่มรุ่นน้องหันไปหันมาก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดพิมพ์ข้อความและส่งให้เขาดู เขาเลิกคิ้วยกยิ้มมุมปากเมื่ออ่านจบ

“กลับไปได้แล้วไป”เขาเอ่ยปากไล่ ให้ทาคุมิทำหน้าเหลอหลา “แกก็ลุกไปส่งฮารุจังหน่อยดิ”

ทาคุมิได้ยินหนุ่มรุ่นพี่มาดกวนพูดเช่นนั้นก็เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี เขารีบลุกขึ้นแล้วทิ้งเพื่อนสนิทไว้กับรุ่นพี่ปีสี่ที่พวกตนตั้งใจมาหา

“ไม่ต้องบอก ฉันตั้งใจไว้อย่างนั้นอยู่แล้ว”ซากิพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน ยื่นมือให้ฮารุโตะจับมือเขาไว้ แล้วพากันก้าวเท้าไปยังลิฟต์ของอาคาร

“ขอโทษด้วยที่ไม่ค่อยว่าง อีกสองสามวันหลังจากที่สอบรอบสองเสร็จแล้วจะไปหา”ซากิพูดขึ้นเมื่อก้าวเข้ามาอยู่ในลิฟต์และเหลือเพียงพวกเขาสองคน

“ไม่เป็นไรครับ รอให้รุ่นพี่สะดวกก่อนก็ได้”แม้ว่าใจจริงเขาอยากจะเรียกร้องเอาแต่ใจ แต่เขาพะวงกลัวว่ารุ่นพี่จะรำคาญมากกว่า หากเป็นตัวเขาเองถ้าโดนเซ้าซี้มากๆคงไม่ชอบใจเหมือนกัน

“อืม ถ้าอย่างไรไว้จะโทรหา”

หลังจบประโยคนั้นระหว่างพวกเขามีแต่ความเงียบซึ่งแต่ก่อนมันก็เคยเป็นเช่นนั้น แต่ทว่าตอนนี้ฮารุโตะกลับไม่ชอบมันเสียเลย

เด็กหนุ่มมองมือของตนที่อยู่ในอุ้งมือของอีกฝ่าย และเหลือบสายตาขึ้นมองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มร่างสูง ฉับพลันหัวใจดวงน้อยกลับเต้นตึกตักขึ้นมา เมื่อความคิดบางอย่างปรากฏขึ้นเป็นมโนภาพ เขาก้มหน้าลงด้วยความขวยเขิน แล้วเหลือบซ้ายแลขวามองรอบข้างด้วยอาการหลุกหลิกจนหนุ่มรุ่นที่ต้องหันมอง ชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เขาจึงส่ายศีรษะพร้อมส่งรอยยิ้มแหยๆกลับไปให้

ทางเดินด้านหลังอาคารหอสมุดยังเงียบเชียบไร้ผู้คนเช่นเดิม เถาไม้เลื้อยซึ่งเคยเขียวขจีแผ่ปกคลุมทางเดินเมื่อยามพื้นดินชุ่มฉ่ำด้วยสายฝน มาบัดนี้เหลือเพียงกิ่งก้านไร้ใบให้บรรยากาศเศร้าหมองซึมเซามากกว่าที่เคย

ฮารุโตะหยุดเท้า คนที่เดินอยู่เคียงข้างกันจึงต้องหยุดเท้าตาม และหันกลับไปมอง

เขาบีบกระชับฝ่ามือซึ่งเกี่ยวพันฝ่ามือใหญ่กร้านของหนุ่มรุ่นพี่เพื่อหวังให้อาการตื่นเต้นคลายลง ก่อนจะฮึดเงยหน้าเขย่งปลายเท้าโดยใช้สองมือโหนรั้งบ่ากว้าง หลับหูหลับตายืดตัวด้วยหวังจะแตะจุมพิตกับริมฝีปากของอีกฝ่าย อนิจจา ในความเป็นจริง มันกลับกลายเป็นการแตะจูบที่ปลายคางของชายหนุ่มเท่านั้น

ซากิชะงักไปชั่วครู่ สองตามองเห็นฮารุโตะหน้าเสีย ทำท่าจะผละออกห่าง เขาจึงคว้าเอวของอีกฝ่ายไว้อย่างว่องไว ประคองแก้มแนบจูบที่เป็นเพียงการแตะริมฝีปากซึ่งไม่รุกล้ำล่วงเกินลงบนริมฝีปากอิ่มของหนุ่มรุ่นน้อง เพียงไม่กี่วินาที เขาก็ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ยืนบนพื้น

ใบหน้าของฮารุโตะขึ้นสีแดง มือสั่นระริกถูกยกขึ้นแตะริมฝีปาก ทั้งยังก้มหน้าก้มตาไม่ยอมมองหน้า ซากิปล่อยให้อีกฝ่ายได้พักลมหายใจอีกครู่หนึ่ง จึงยื่นมือไปตรงหน้า

“เดี๋ยวจะเข้าเรียนสาย”

ฮารุโตะช้อนดวงตาขึ้นมอง แล้วก้มหน้าลงสั่นศีรษะ พึมพำพูดออกมาเสียงเบา “รุ่นพี่ไม่ต้องไปส่งหรอกครับ”

เขาวางมือลงบนกลุ่มผมสีดำสนิท ลากนิ้วลงมาสุดที่ปลายคางและดันให้หนุ่มรุ่นน้องเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเนียนใสยังคงเป็นสีเรื่อเช่นเดิม

“แน่ใจ?”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ

ซากิมองนิ่ง ทำท่าจะก้มลงกดจูบอีกครั้ง เว้นเสียแต่ฮารุโตะกลับถอยหลังหนีไปก่อนและทันทีที่สบสายตากัน เด็กหนุ่มรีบพูดออกมาว่า “ถ้าโดนจูบอีกครั้ง... ผมต้องหัวใจวายแน่ๆ”เสียงพูดแผ่วเบาของประโยคสุดท้ายนั่นทำให้ชายหนุ่มร่างสูงหน้าแดง เขาเบือนหน้าหนียกมือขึ้นปิดกึ่งปากกึ่งจมูกพลางกลั้นยิ้ม หัวใจพองโตเต้นแรงดังก้องอยู่ในอก ก่อนจะแกล้งกระแอมกระไอพร้อมกับหันไปหาอีกฝ่าย

“งั้น... แยกกันตรงนี้”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ ความเคอะเขินประดักประเดิดทำให้ความหม่นมัวที่เขาเคยสัมผัสได้ก่อนหน้านี้จางหายไป

หนุ่มรุ่นพี่โบกมือลาให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะสาวเท้ากลับเข้าไปในอาคาร ฮารุโตะมองตามกระทั่งแผ่นหลังของชายหนุ่มหายลับตา เขาจึงขยับเท้าก้าวเดินอีกครั้ง ก้อนเนื้อหัวใจยังคงเต้นกระเด็นกระดอน ยกสองมือขึ้นกุมหน้าด้วยอาการสะเทิ้นอาย ทำไปได้อย่างไรนะ ฮารุโตะอยากจะถามคำถามนี้กับตัวเองอีกหลายๆครั้ง

ทว่า เขาก้าวเท้าเดินไปได้ไม่เพียงกี่ก้าวกลับมีร่างสูงใหญ่ของเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาขวางทางไว้ สีหน้าเครียดขึงถมึงทึงของคนตรงหน้าเร่งเร้าสัญชาตญาณของเด็กหนุ่มให้ถอยเท้าหนี เพียงแต่อีกฝ่ายไม่ได้ปล่อยโอกาสให้เขาขยับถอย เขาถูกคว้าต้นแขนกระชากดึงให้ก้าวเท้าตาม

ทันทีที่ร่างถูกผลักให้กระแทกกับกำแพง ฮารุโตะจึงได้มีโอกาสได้มองคนตรงหน้าอีกครั้งให้ชัดเจน ซากุราอิ ชุนกำลังยกยิ้มให้เขาด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม

“ยังคิดอยู่ว่าทำไมแกถึงดูสวยขึ้น เพราะมีผู้ชายเป็นตัวเป็นตนแล้วนี่เอง นี่... ไอ้ตัวผู้นั่นมันให้แกคืนละเท่าไหร่ล่ะ”

“อย่ามาหยาบคายนะ”ฮารุโตะพยายามผลักอีกฝ่ายให้ออกห่าง นึกฉุนเฉียวที่หนุ่มรุ่นพี่ที่ตนมีใจให้ต้องมาโดนว่าเสียๆหายๆ

“อย่ามาหยาบคายนะ”ชุนล้อเลียนด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย ทั้งหัวเราะไปพลาง “พอถูกเอาก็ดีดดิ้นคล้ายผู้หญิงเชียว ถามจริงเถอะ โดนมากี่ครั้งแล้วละ แต่ท่าทางแบบนี้คงหลายครั้งแล้วซิท่า ถึงได้กล้ากอดจูบกันในที่สาธารณะอย่างไม่อายฟ้าอายดิน”

“นาย!!!”ฮารุโตะโกรธจนตัวสั่น เงื้อมือทำท่าจะตบอีกฝ่าย

“เอาดิ ตบเลย แล้วมึงจะได้รู้ว่านรกมันมีจริง”ชุนเดินหน้าเข้าหา จ้องตาท้าทาย

ฮารุโตะลดมือลงด้วยความเจ็บใจที่ตนไม่อาจต่อกรกับคนตรงหน้าได้ เขาจ้องหน้าอีกฝ่ายไม่ยอมหลบทั้งที่น้ำตาเอ่อคลอเบ้า

“มึงนี่ก็ร่านไม่เบาเนอะ กูเห็นตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ระริกระรี้เข้าหาผู้ชายอย่างกับหมาตัวเมีย”

เพี๊ยะ!!!

ฮารุโตะฟาดมือลงบนหน้าของซากุราอิ ชุนอย่างไม่ทันยั้งคิด แรงมือนั้นน้อยกว่าน้ำหนักฝ่ามือของผู้ชายทั่วไป กระนั้นกลับทำให้เขาหน้าชาไปทั้งแถบ อีกทั้งคนโดนเองไม่ได้คาดคิดซ้ำยังไม่ทันตั้งตัว ชุนจึงพลาดกัดปากตัวเองเข้าเต็มๆ

ชุนใช้ลิ้นดุนในปากจุดที่รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือด ก่อนจะคว้าคอของอีกฝ่ายไว้แค่มือเดียว ในขณะที่ฮารุโตะต้องใช้ถึงสองมือในการยั้งแรงอารมณ์จากมือข้างนั้น

“กูเตือนมึงแล้ว”เขาเค้นเสียงพูด ปลายเสียงสั่นเครือจนฮารุโตะนึกว่าหูแว่ว

“แล้วทำไมผมจะต้องยืนนิ่งให้คุณว่าอยู่ฝ่ายเดียวด้วย”ว่าพลางใช้เท้าพยายามถีบให้อีกฝ่ายออกห่าง น้ำตานองหน้าทั้งเจ็บใจและเจ็บตัว “ผมไปทำอะไรให้ ไม่อยากเป็นเพื่อนกันแล้วก็ไม่ต้องมาวุ่นวายกันอีก ทำไมต้องมาตามราวีด้วยเล่า”

ซากุราอิ ชุนเพิ่มหนักมือขึ้นอีกจนฮารุโตะต้องพยายามดิ้นรนอย่างจริงจัง

“อ่อ นั่นคือสิ่งที่มึงคิดซินะ”คนพูดเงียบไปครู่หนึ่ง ฮารุโตะมองหน้าคู่กรณีผ่านม่านน้ำตา เขาจึงเห็นไม่ชัดว่าซากุราอิ ชุนมีสีหน้าท่าทางแบบไหน ทั้งยังรู้สึกว่าอากาศที่ผ่านเข้าปอดยังน้อยลงทุกที

“เฮ้ย!!! ทำอะไรวะ”เสียงร้องตะโกนลั่นดึงความสนใจให้ชุนกลับไปมอง เป็นจังหวะเดียวกับแรงบีบที่คอคลายลง ฮารุโตะจึงยันฝ่าเท้าใส่อีกฝ่ายเต็มแรง แรงกระแทกทำให้ร่างสูงใหญ่ถอยตัวออกห่าง และทำให้พันธนาการที่รัดรึงฮารุโตะไว้หลุดออก เด็กหนุ่มก้าวเซแต่ไม่ยอมปล่อยให้ร่างกายทรุดล้ม รีบวิ่งไปหาบุคคลที่สามซึ่งบังเอิญผ่านมาช่วยเขาไว้

“ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย”ร้องบอกไปพลาง อีกฝ่ายจึงวิ่งเข้ามาหา ยื่นมือมารับตอนที่เขาจวนเจียนจะล้มพับลงกับพื้น

“เฮ้ย เป็นอะไรมากหรือเปล่า”

“ฮารุโตะ!!!”น้ำเสียงคุ้นเคยทำให้เจ้าของชื่อหันไปตามเสียง ก่อนจะแทบโผเข้ากอดเมื่อเด็กหนุ่มอีกคนรีบวิ่งเข้ามาหา

“ซาโต้ซัง”ฮารุโตะร้องไห้สะอึกสะอื้น ขณะที่ทาคุมิหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก กรอกเสียงลงไปและรอเวลาอยู่ตรงนั้นแค่ครู่เดียว หนุ่มรุ่นพี่อีกสองคนจึงตามมาสมทบ โดยที่เรียวตะต้องแบกข้าวของมากมายตามมา เพราะทันทีที่เขาบอกว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับฮารุโตะ ซากิก็วิ่งพรวดพราดออกไปโดยไม่สนใจข้าวของที่วางอยู่

“เกิดอะไรขึ้น”ซากิถามขณะที่เร่งสาวเท้าเข้าหา ทันทีที่ประชิดตัวฮารุโตะ เขาจึงดึงร่างเล็กบางเข้ามาสู่อ้อมกอด แล้วตวัดสายตามองบุคคลแปลกหน้าพาลให้คนถูกมองสะดุ้งโหยง

“เปล่านะ ตอนที่ผ่านมาเห็นเขากำลังโดนทำร้ายนะ”พูดพลางชี้ไม้ชี้มืออธิบาย

“พวกผมรู้จักครับ รุ่นพี่ปีสี่ที่อยู่ชมรมการแสดง”ทาคุมิรีบบอก

บุคคลแปลกหน้าสำหรับซากิคือ อิโต้ อาสึกะ ชายหนุ่มรุ่นพี่ปีสี่ที่ทั้งฮารุโตะและทาคุมิเคยเจอเมื่อครั้งที่ชมรมถ่ายภาพต้องถ่ายโปสเตอร์โปรโมทละครให้ชมรมการแสดง

ซากิจึงละความสนใจกลับมาอยู่ที่หนุ่มรุ่นน้องร่างเล็กในอ้อมกอดอีกครั้ง ฮารุโตะเอาแต่ซุกหน้าอยู่กับอกปล่อยน้ำตาร่ำไห้จนเขาใจเสีย

“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรแล้ว”เขาได้แต่ลูบหลังลูบไหล่ปลอบประโลม

“พาไปพักที่ห้องชมรมก่อนไหม”เรียวตะเสนอความคิดเห็น ซึ่งซากิพยักหน้ารับเห็นด้วย เขาสอดแขนเข้าใต้ข้อพับขาของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง มืออีกข้างหนึ่งประคองหลังช้อนตัวฮารุโตะและลุกขึ้น ก้มศีรษะให้อาสึกะเล็กน้อยก่อนก้าวเท้าเดินนำเพื่อนสนิทและหนุ่มรุ่นน้องอีกคนกลับไปที่ห้องชมรม โดยไม่รู้เลยว่า ห่างออกไปไม่ไกล ซากุราอิ ชุนยืนมองจับจ้องพวกเขาไม่คลาดสายตา

กว่าพวกเขาจะถึงสถานที่เป้าหมาย เวลาที่เคลื่อนไปทำให้อาการตระหนกหวั่นของฮารุโตะเริ่มคลายลงคงเหลือแค่อาการสะอึกสะอื้น ใบหน้าของเด็กหนุ่มรุ่นน้องแดงก่ำ น้ำตาเปียกชื้นไปทั้งหน้า บนคอมีรอยนิ้วมือเป็นสีเข้มชัด

ซากิหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาและเหงื่อข้างขมับของอีกฝ่าย พลางแตะปลายนิ้วกับรอยนั้น

“เจ็บไหม”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ แล้วเล่าเหตุการณ์ออกมาให้ฟังเองแต่เหมือนจะบอกเล่าให้เพื่อนรุ่นเดียวกันฟังเสียมากกว่า “จู่ๆซากุราอิซังก็เข้ามาหาเรื่อง คิดแล้วเชียวว่าหมอนั่นไม่มีทางทำดีได้นาน”

“ใจเย็นๆก่อนนะ”ทาคุมิพูดปลอบ “ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม” ซึ่งฮารุโตะได้สั่นศีรษะเป็นคำตอบกลับมา

“เพราะรุ่นพี่อิโต้มาเจอ เลยหนีมาได้”

“แล้วรอยที่คอนี่ละ”

“โดนบีบคอ”คนพูดเสียงสั่น ตาแดงน้ำตาคลอเบ้าอีกรอบ ยกมือปาดน้ำมูก ซากิจึงต้องส่งผ้าเช็ดหน้าให้ไปถือ ฮารุโตะทั้งโกรธและเสียใจที่ผู้ชายคนนั้นเหมือนจะพยายามฆ่าเขาให้ได้ ที่เขายอมเป็นที่รองมือรองเท้าปล่อยให้อีกฝ่ายกลั่นแกล้งต่างๆนานา มันยังไม่พอหรืออย่างไรกัน ต้องให้เขาตายไปจริงๆถึงจะสมใจใช่ไหม

ฮารุโตะไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไป เขาได้แต่ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างไม่อาจห้าม หนุ่มรุ่นพี่ที่เขามีใจให้ดึงเขาเข้าไปกอด ซึ่งเขาก็ยินดีที่จะซุกหน้าลงกับแผ่นอกกว้าง ความอบอุ่นของวงแขนที่โอบรัดรอบตัวทำให้เขารู้สึกเบาใจ ความทุกข์ระทมเศร้าโศกที่มีอยู่ในความคิดจึงค่อยๆจางลง

“แล้วเอาอย่างไรต่อล่ะ”เรียวตะถามเพื่อนซึ่งกำลังนั่งลูบหลังเด็กหนุ่มรุ่นน้องร่างเล็ก

“เดี๋ยวฉันกลับเลยแล้วกัน มิอุระเองคงไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนแล้วละ”

คนที่ถูกกล่าวถึงรีบผละตัวออกห่าง “ไม่เป็นไรหรอกครับ รุ่นพี่ชิมิซึไปทำงานต่อเถอะ ผมไม่เป็นไรแล้ว”

“อืม แต่วันนี้ฉันเหนื่อยแล้ว ไหนๆก็ไหนๆ ให้ฉันได้พักหน่อยเถอะ”ซากิอ้าง หนุ่มรุ่นน้องจึงยอมพยักหน้าตอบตกลง ทาคุมิเลยถือโอกาสนี้โดดเรียนไปพร้อมกัน

ชิมิซึ ซากิรับกระเป๋าใส่คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คจากเพื่อนสนิท เรียวตะจะกลับไปนั่งตรวจเช็ควิทยานิพนธ์อีกรอบก่อนถึงตารางการสอบของเจ้าตัวในวันพรุ่งนี้ พวกเขาจึงบอกลาและแยกย้ายกันตรงนั้น

หลังจากที่ฮารุโตะสามารถกลับมาเดินได้เป็นปกติ ซากิจึงไม่ได้นำรถยนต์ออกมาใช้อีก การนำรถเข้ามาใช้ในมหาวิทยาลัยค่อนข้างจะยุ่งยาก นอกจากต้องทำเรื่องเพื่อขอบัตรที่จอดรถ ยังต้องเสียค่าที่จอดรถอีกด้วย ตัวเขาที่ไม่ได้ชื่นชอบการขับรถเป็นพิเศษจึงยกเลิกบัตรที่จอดรถไปตั้งแต่นั้นและกลับมาใช้บริการขนส่งสาธารณะเช่นเดิม

และครั้งนี้เขาก็พาฮารุโตะขึ้นรถบัสประจำทางกลับไปที่บ้านของเขา

ตอนที่พาเดินมาที่ป้ายหยุดรถ หนุ่มรุ่นน้องยังคงเดินตามเขาต้อยๆไม่มีปากเสียง แต่พอโดนรุนหลังให้ขึ้นรถบัสกลับออกอาการแตกตื่นขึ้นมา และเมื่อบอกว่าจะพาไปที่ไหนยิ่งออกอาการตื่นเต้นจนนั่งไม่ติด

“เคยไปมาแล้ว ยังตื่นเต้นอีกหรือ”

ฮารุโตะพยักหน้าระรัว ดูเหมือนว่าความตื่นเต้นนั้นมากมายจนทำให้เด็กหนุ่มลืมเรื่องเมื่อบ่ายไปคล้ายราวกับไม่เคยเกิดขึ้น

ซากิมองนัยน์ตาช้ำและจมูกที่ยังคงสีแดงเรื่อพลางนิ่งคิด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำบอกเล่าเรื่องการถูกทำร้ายจากปากฮารุโตะ ทั้งที่เคยเห็นร่องรอยบนร่างกายของเด็กหนุ่มรุ่นน้องมาแล้วหลายครั้ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาต่อให้ถาม คำตอบที่ออกมาจากปากฮารุโตะไม่มีความจริงเลยสักครั้ง  ทว่าในทางกลับกัน ซาโต้ ทาคุมิกลับรู้เรื่องราวมากมายของฮารุโตะทั้งที่ทั้งสองคนเพิ่งเริ่มสนิทกันได้ไม่นาน

ชายหนุ่มรู้สึกว่ากำลังจะแพ้...

แต่แค่ครู่เดียวเขาก็สลัดความคิดนั้นออกไปจากสมอง พร้อมกับรถบัสสาธารณะเคลื่อนที่เข้าใกล้ป้ายหยุดรถที่พวกเขาต้องลง


ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'

สายลมเย็นพัดกรูจนฮารุโตะต้องห่อตัวเข้าหากัน ชายหนุ่มร่างสูงเห็นเช่นนั้นจึงถอดผ้าพันของตนย้ายไปพันไว้รอบคอของหนุ่มรุ่นน้อง อุณหภูมิลดต่ำลงเรื่อยๆตามวันเวลาที่ผันผ่าน

“ไม่หัดติดถุงมือไว้บ้าง”หนุ่มรุ่นพี่พูดบ่นพร้อมกับคว้ามือเล็กบางของอีกฝ่ายมาจับไว้ หนุ่มรุ่นน้องไม่ตอบว่าอย่างไรทำเพียงยกยิ้มและหัวเราะแหะๆ เขาจึงถอดถุงมือข้างหนึ่งของตนสวมให้ ส่วนข้างที่ไม่มีถุงมือก็จับกุมไว้และนำซุกลงกับกระเป๋าเสื้อโค้ทของตน

ฮารุโตะยกมือข้างที่สวมถุงมือไซส์ใหญ่กว่ามือตนขึ้นมาขยับเล่น กำมือบ้าง เขย่ามือบ้าง เป็นกิริยาท่าทางคลับคล้ายคลับคลาเด็กเล็กๆในสายตาของซากิ ก่อนหน้านี้เหมือนว่าจะเคยสังเกตเห็นเช่นเดียวกัน เพียงแต่เขาไม่เคยใส่ใจ ชายหนุ่มจึงเก็บทดพฤติกรรมที่เห็นของอีกฝ่ายไว้ในใจ

อากาศในบ้านเย็นเฉียบไม่ต่างจากข้างนอก เพราะบ้านของเขาไม่มีใครอยู่ หลังจากเปลี่ยนรองเท้ามาเป็นรองเท้าสำหรับสวมในบ้านเรียบร้อย ชายหนุ่มเจ้าของบ้านจึงหันไปถามแขกที่พามาด้วยวันนี้

“เอาอย่างไรดี หิวไหมกินอะไรก่อนหรือเปล่า”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ เขาจึงต้องถามต่อขณะที่จูงมือเด็กหนุ่มร่างเล็กเดินเลี้ยวเข้าห้องนั่งเล่นชั้นล่าง “ที่สั่นหัวคือไม่รู้จะทำอะไรหรือไม่หิวละ”

“ไม่หิวครับ”



ซากิพาฮารุโตะมาปล่อยให้ยืนเคว้งที่กลางห้อง จากนั้นจึงใช้รีโมทกดเปิดเครื่องทำความร้อน และเดินไปรวบม่านบังประตูบานเลื่อนซึ่งเป็นกระจกใสทั้งบาน พื้นที่ที่จัดโซนไว้สำหรับตั้งชุดโซฟาและทีวีอยู่มุมด้านที่มีผนังทั้งสองด้านเป็นกระจก ยามที่ม่านบังแสงถูกเก็บรวบไว้ด้านข้าง ห้องทั้งห้องจึงสว่างขึ้นมาทันที

“จะอ่านหนังสือใช่ไหม”เมื่อถามคำถามนี้ออกไปฮารุโตะก็พยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบ เขาจึงเดินกลับไปกดตัวหนุ่มรุ่นน้องให้นั่งลงบนโซฟากำมะหยี่สีน้ำตาล

ครั้งก่อนๆที่ฮารุโตะมาที่บ้านของเขาคงไม่ค่อยได้สนใจสภาพภายใน ครั้งนี้จึงยังคงมองซ้ายมองขวาคลายกำลังมองสำรวจ

“ชอบไหม”

“ครับ”ฮารุโตะตอบรับด้วยความคิดที่ว่า บ้านแบบไหนก็ดีทั้งนั้น

ซากิทรุดตัวลงนั่งข้างๆ และเอียงตัวหันหน้าเข้าหา เมื่อคว้ามือของฮารุโตะมาจับไว้ เจ้าของมือจึงหันเหสายตากลับมามองหน้าเขาด้วยเช่นกัน

“เรื่องบ้านคงต้องรอหน่อย ปีแรกๆคงต้องอยู่อพาร์ทเมนต์ไปก่อน แต่ถ้าแต่งดีๆก็ให้อารมณ์เหมือนอยู่บ้านนั่นแหละ”

ฮารุโตะนั่งนิ่ง เพราะเหมือนว่าตนเองก็กำลังนึกถึงคำพูดในทำนองนี้ของหนุ่มรุ่นพี่ที่เคยพูดไว้เมื่อไม่นานมานี่เอง เด็กหนุ่มหลุบตามองมือของตนที่อยู่ในอุ้งมือของอีกฝ่าย นิ่งเงียบคล้ายกำลังใช้ความคิด

“รุ่นพี่ชิมิซึ... จะให้ผมไปอยู่ด้วยหรือครับ”ฮารุโตะถามกลับไปเสียงเบา ซึ่งฝ่ายหนุ่มรุ่นพี่ได้ตอบกลับรวดเร็วชัดเจน

“แน่นอน เหมือนเคยพูดไปแล้วนี่นา”พูดพลางยกยิ้มไปพลางจนคนฟังคำตอบนึกกลัว ในอกมันกระวนกระวาย ความรู้สึกความคิดมากมายตีผสมจนอยู่ไม่สุข ฮารุโตะอยากจะดึงมือที่รุ่นพี่กุมไว้กลับมา เพียงแต่เหมือนว่าชายหนุ่มเองก็พอจะรู้ว่าเขาอยากทำเช่นนั้นจึงยึดมันไว้ไม่ปล่อย

“ท... ที่... ให้ไปอยู่ด้วย ในฐานะอะไรหรือครับ”เขาถามออกไป เสียงสั่นเพราะความตื่นเต้นคาดหวังและไม่แน่ใจ

“แล้วนายอยากไปอยู่ในฐานะอะไรละ”

ทำไมต้องตอบกลับมาเป็นคำถามด้วย ฮารุโตะนึกขัดเคืองอยู่ภายในใจ เขาก้มหน้าหลบตา นิ่งมองมือตัวเองอยู่เช่นนั้น ก่อนจะตอบคำถามออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“คนรัก”

“อืม ได้ซิ”

ฮารุโตะไม่ได้เงยหน้ามองอีกฝ่าย แต่น้ำเสียงของคำตอบรับนั้นยังเรียบรื่นไม่หนักใจ พาให้เขารู้สึกไร้ค่ามากไปกว่าเดิม ไม่ได้รู้สึกดีใจกับคำตอบที่ได้รับนั้นเลยสักนิด ราวกับอีกฝ่ายคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าต้องดำเนินบทสนทนาอย่างไรเพื่อให้เขากลายเป็นสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ ในอกปวดแปลบจนน้ำตาไหลออกมา และทันทีที่ยกมือขึ้นปาดน้ำตา ชายหนุ่มร่างสูงพลันขยับเข้าชิดพร้อมคำถาม

“เป็นอะไรน่ะ”

เขาโดนดันให้เงยหน้าขึ้น รุ่นพี่ชิมิซึมีท่าทางตกใจเมื่อเห็นน้ำตาของเขา

“ร้องไห้ทำไม”

ฮารุโตะฝืนยกยิ้มทั้งที่ลำบากเต็มทน น้ำตาร่วงผล็อยๆอย่างห้ามไม่อยู่ “ผม... ดีใจครับ” แม้จะรู้อยู่ว่าควรพูดคำอื่นที่ตรงกับใจ แต่เพราะกลัวคำตอบที่ได้รับจะทำให้ตัวเองต้องเสียใจมากกว่าที่กำลังรู้สึกอยู่ในขณะนี้ ทุกประโยคที่อยู่ในใจจึงต้องระงับไว้

เห็นสีหน้าแววตาของฮารุโตะแล้ว ซากิไม่ค่อยอยากจะเชื่อใจในคำตอบนั้นมากนัก อาการลิงโลดยินดีที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่ดิ่งร่วงแทบจางหาย เขาใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเช็ดน้ำตาที่ร่วงออกมาไม่ขาดสาย

“ฉันก็เหมือนกัน ฉันก็ดีใจที่นายอยากเป็นคนรักของฉัน”เขาพูดพร้อมรอยยิ้มบาง สบนัยน์ตาฉ่ำน้ำพยายามสื่อความจริงใจในคำพูด

ช่วงที่รอคำตอบ ใจเขาเต้นเป็นกลองรัวเพราะตื่นเต้นและคาดหวัง แม้จะคาดเดาได้ว่าฮารุโตะคงจะมีใจให้บ้าง แต่ด้วยพฤติกรรมของตนเองที่เคยกระทำไว้ กอปรกับปฏิกิริยาตอบสนองของฮารุโตะ หลายครั้งหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เขาไม่แน่ใจ อย่างไรก็ดี ถึงเขาไม่อาจพูดคำว่ารักได้เต็มปากเต็มคำ แต่ความรู้สึกที่มีให้ฮารุโตะมันก็เพิ่มมากขึ้น จนทำให้เขาเลือกเด็กหนุ่มรุ่นน้องได้อย่างไม่ลังเล

ฮารุโตะยังคงปล่อยน้ำตาให้ไหลอยู่เช่นนั้นทั้งที่จริงเจ้าตัวแสดงออกว่าอยากห้ามมันอยู่เหมือนกัน ซากิจึงขยับตัวเข้าหา แนบริมฝีปากจูบซับน้ำตาตั้งแต่เปลือกตาแดงช้ำ ไล่มาถึงริมฝีปากอิ่มนิ่งสัมผัสเนิ่นนาน

“ฉันอยากจะอยู่กับนายจริงๆนะ”เขาย้ำบอกกระซิบชิดริมฝีปาก แล้วแนบจูบลงอีกครั้งด้วยความลึกซึ้งอ่อนโยนจนหัวใจร้าวรานของฮารุโตะเหมือนถูกปลอบประโลมด้วยน้ำทิพย์อบอุ่นสดชื่น พวกเขาดำดิ่งในรสรักที่หวานล้ำกว่าครั้งไหนที่เคยสัมผัสร่วมกันมา ร่างกายไถลนอนราบลงกับโซฟานุ่มโดยไม่รู้ตัว

ยามที่หนุ่มรุ่นพี่ผละออกห่าง ปล่อยให้ฮารุโตะได้พักสูดลมหายใจ ริมฝีปากของเขาชาไร้ความรู้สึก ได้ยินเสียงหัวใจเต้นหนักหน่วงแต่มั่นคง เขากวาดสายตามองใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มรุ่นพี่อีกครั้ง สบนัยน์ตาสีดำสนิทซึ่งมองตอบกลับมา

“ผมรักรุ่นพี่ชิมิซึครับ”คำสารภาพของเขาเรียบง่าย แต่ทว่าความเรียบง่ายนั้นทำให้อีกฝ่ายยิ้มกว้าง นัยน์ตาสีเข้มฉายแววเปล่งประกายยินดี แล้วเขาก็โดนแนบจูบลึกซึ้งซ้ำต่อเนื่องอีกหลายนาที ในขณะที่สมองพร่ามัวมึนเบลอด้วยฤทธิ์ของจุมพิตที่หนุ่มรุ่นพี่เพียรป้อนให้ไม่หยุดหย่อน พลันเกิดความคิดที่ขัดแย้งกับความรู้สึกก่อนหน้าขึ้นมา

หรือนี่อาจจะเป็นเรื่องจริง...

ฮารุโตะหอบหายใจ เปิดเปลือกตามองสบกับนัยน์ตาสีนิลซึ่งแวววาวระยิบระยับ ใบหน้าของชายหนุ่มอยู่ใกล้จนปลายจมูกสัมผัสกัน แล้วริมฝีปากอุ่นชื้นนั่นก็ประทับลงมาอีกครั้ง สัมผัสของแรงดูดดึงตวัดเกี่ยวในโพรงปากชัดเจนพอกับแววตาระริกระรื่นที่ปรากฏอยู่บนลูกแก้วสีเข้ม ในอกเต้นระรัวหวิววาบไปทั่วร่างจนเขาต้องระบายกับการจิกกำเสื้อของอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น พลางขยับตัวเสียดสีกับท่อนขาแข็งแรงของหนุ่มรุ่นพี่โดยไม่รู้ตัว

“เอาอย่างไรดี”คำถามของอีกฝ่ายมาพร้อมกับสัมผัสที่ทำให้ฮารุโตะหน้าแดงด้วยความอับอาย เด็กหนุ่มเสสายตาหนีไม่กล้ามองหน้า

“แต่ว่า มีแต่ถุงยางนะ”

อีกคำที่ตามมานั่นยิ่งทำให้อยากจะมุดหน้าหนี รุ่นพี่ชิมิซึนิ่งเงียบเหมือนกำลังรอให้เขาตัดสินใจ เขาเหลือบสายตากลับมามองคนที่ยกยิ้มบางๆส่งมาให้

“ถ้า...ไม่ทำ”ฮารุโตะตอบเสียงเบาจนกลายเป็นเสียงกระซิบ

“ก็ไม่ทำ”ซากิตอบพร้อมกับแตะปลายจมูกที่ข้างขมับ ฮารุโตะหลับตาซึมซับความอ่อนโยนที่ชายหนุ่มถ่ายทอดส่งมา ก่อนที่ร่างด้านบนจะล้มตัวลงนอนแล้วพูดตามมาอีกประโยคว่า “แต่ต้องเลิกจูบแล้ว ทำต่อเดี๋ยวหยุดไม่ได้”

ฮารุโตะมองตามคนที่หลับตานอนตะแคงอยู่ด้านข้าง ยกมือลูบริมฝีปากบางของหนุ่มรุ่นพี่ ลากปลายนิ้วบนผิวแก้มคล้ำแดด ก่อนจะกลับมาที่ริมฝีปากบางสีอ่อนอีกครั้ง ซึ่งอีกฝ่ายก็อ้าปากงับปลายนิ้วของเขาไว้

“บอกอยู่ว่า เดี๋ยวหยุดไม่ได้”ซากิบ่นงึมงำ พาลให้ฮารุโตะหัวเราะคิกคัก จากนั้นใบหน้าใสพลันขึ้นสีเรื่อหลุบสายตาหนี แล้วอ้อมแอ้มพูดออกไปว่า

“ขอความกรุณาด้วยนะครับ”

ซากิคงจะเลิกคิ้วสงสัย ถ้าไม่ได้ภาษากายที่หนุ่มรุ่นน้องแสดงออกตามมา




ยิ่งคิดฮารุโตะยิ่งหน้าแดง นับวันเขาเริ่มจะทำเหมือนที่คนอื่นว่ามากขึ้นทุกที แต่ทว่ามันทำให้เขามีความสุขมากกว่าที่จะเก็บคำพูดไม่ดีของคนอื่นมาใส่ใจ

ร่างกายช่วงล่างยังขัดยอกเมื่อยขบส่งสัญญาณอาการแปลกๆจากการรุกรานของชายหนุ่มรุ่นพี่ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ไม่รู้เพราะห่างหายจากเรื่องอย่างว่าไปนานหรือเช่นไร ร่างกายของเขาจึงฝืดคับจนส่งผลให้การสอดใส่สร้างความเจ็บปวดให้ร่างกาย ทั้งที่เมื่อก่อนพอได้นอนพักร่างกายก็จะมาเป็นปกติทุกอย่างแท้ๆ

ฮารุโตะเขินอายจนต้องฟุบหน้าลงกับโต๊ะเรียนอย่างไม่รู้จะดับความฟุ้งซ่านในสมองอย่างไร

“เป็นอะไรหรือเปล่า”เสียงถามของทาคุมิทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมอง ฮารุโตะสูดลมหายใจเข้าปอดพยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติ พร้อมกับขยับนั่งตัวตรงอีกครั้ง หันไปบอกทาคุมิว่าไม่เป็นไร ก่อนจะทำท่าว่ากำลังตั้งใจเรียนอีกครั้ง

“เมื่อวานเกิดอะไรดีๆอย่างนั้นหรือ”คนที่นั่งอยู่ข้างๆกระซิบถามเสียงทะเล้น

“ไม่มี”

“ไม่มีแต่วันนี้ปากเจ่อมาเชียว”

ฮารุโตะเม้มปากทันทีที่โดนทัก

“อุ้ยๆ หน้าแดงขึ้นแล้ว”

“ต...ตั้งใจเรียนเถอะน่า”ฮารุโตะหันไปดุ แล้วพยายามก้มหน้าก้มตามตั้งใจเรียนตามที่ปากพูดให้ได้ แม้ว่าสมาธิจะกระเจิงทุกครั้งที่ขยับตัวก็ตาม

อย่างไรก็ดี ทันทีที่ถึงเวลาพัก ฮารุโตะจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ทาคุมิฟังอย่างอดไม่อยู่ แน่นอนว่าเขาละเรื่องที่มีอะไรกับรุ่นพี่ชิมิซึไปเสีย

“แหมๆ มิน่าวันนี้ถึงหน้าระรื่นนัก นี่แค่เขาชวนไปอยู่ด้วยนะ ถ้าโดนสารภาพรักด้วยไม่จุดพลุฉลองหรอกเรอะ”ทาคุมิเอ่ยแซว

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า”ฮารุโตะพูดด้วยท่าทีขัดเขิน ทีแรกเขาตั้งใจว่าจะถามอยู่เหมือนกัน แต่พออะไรเกินเลย สมองจึงเบลอจนทำให้ลืมไป แล้วเล่าต่อไปว่าเป็นฝ่ายตนเองที่สารภาพรักไปแล้ว

“แล้วรุ่นพี่ชิมิซึตอบว่าอย่างไร”

ฮารุโตะเผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปากเมื่อนึกถึงคำตอบที่ได้รับ ก่อนจะต้องรีบลดมือลงเพราะน้ำเสียงล้อเลียนที่ดังลอยมา

“อั้ยยะ มิน่าปากถึงเจ่อมาแต่เช้า”

“ถามจริงมันเห็นชัดขนาดนั้นเลย”ฮารุโตะถามอย่างกังวล ทาคุมิไม่ตอบเอาแต่หัวเราะฮิฮะทำหน้าเจ้าเล่ห์ให้เขาระแวง ยิ่งเห็นเขาทำหน้าเจื่อนอีกฝ่ายยิ่งส่งสายตาล้อเลียน ก่อนที่ความสนุกสนานทุกอย่างจะถูกขัดชะงักโดยเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่

“กำลังสนุกเลยนะ”

ฮารุโตะถูกวงแขนหนารั้งคอดึงร่างให้เข้าไปแนบชิดกับอีกฝ่ายโดยไม่ทันตั้งตัว

ด้วยความที่อุณหภูมิลดต่ำลงเรื่อยๆ กิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดความร้อนในร่างกายอย่างทานอาหารกลางวันจึงเป็นกิจกรรมที่นักศึกษาส่วนใหญ่ย้ายสถานที่ดำเนินกิจกรรมมาอยู่ในอาคาร และเป็นที่รู้กันว่าในโรงอาหารช่วงเวลานี้ มีแต่ผู้คนพลุกพล่านแน่นขนัด ฮารุโตะกับทาคุมิเองจึงเลือกจับจองที่นั่งมุมหนึ่งภายในอาคารเรียนอันอบอุ่นเป็นที่นั่งพักทานอาหารกลางวันเช่นเดียวกัน

“ซากุราอิซัง!!!”เขาทั้งสองคนร้องเรียกชื่อบุคคลที่มาใหม่แทบพร้อมกัน ฝ่ายฮารุโตะที่เริ่มได้สติจึงพยายามดิ้นรนให้พ้นจากวงแขนที่ล็อคคอเขาไว้

“มีอะไรหรือเปล่า ปล่อยฮารุจังก่อนดีกว่าไหม”ทาคุมิพูด

“ตื่นเต้นอะไร ฉันแค่อยากมานั่งคุยด้วย”ชุนลอยหน้าลอยตาพูดตอบ ขณะรวบจับสองมือที่ไม่อยู่นิ่งของเด็กหนุ่มร่างเล็กไว้ด้วยมือเดียว แล้วรวบรั้งร่างของอีกฝ่ายขึ้นมานั่งบนตัก

“ไม่รู้ว่านายรู้หรือยัง ว่าฉันรู้จักกับฮารุโตะมาตั้งแต่เด็ก โอ้ย!!!”

ชุนสะบัดร่างฮารุโตะทิ้งแทบไม่ทัน เมื่อเด็กหนุ่มร่างเล็กกัดเขาจมเขี้ยว เขาโมโหจนนึกอยากจะตามไปกระทืบซ้ำทว่าทาคุมิกลับปราดเข้ามาขวางไว้ นั่นยิ่งทำให้เขาโมโห

ที่ตรงนั้นควรจะเป็นของเขา รอบตัวของฮารุโตะควรจะไม่มีใคร ฮารุโตะควรจะมีแค่เขาคนเดียวเขาเท่านั้น!!!

ซากุราอิ ชุนผลักร่างของทาคุมิให้พ้นทาง ย่างสามขุมเข้าประชิดตัวฮารุโตะ คว้าจับร่างนั้นไว้ในอุ้งมือ ภายในแก้วตาสีน้ำตาลสะท้อนแต่ความตื่นตระหนก ถึงอย่างนั้นเขากลับอยากกัดกลืนอีกฝ่ายลงท้อง นึกเจ็บแค้นที่ปล่อยอีกฝ่ายหลุดลอยไปเป็นของคนอื่น ชุนบดเบียดริมฝีปากลงไปอย่างที่ใจนึกปรารถนา นึกบอกตัวเองว่าเขาน่าจะทำอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว

ทาคุมิแตกตื่นตกใจเมื่อเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ลวนลามเพื่อนสนิทของเขาต่อหน้าต่อตา เขาพยายามเข้าไปแยกคนทั้งคู่ แต่มันกลับไม่เป็นผล

“ปล่อยฮารุโตะเดี๋ยวนี้นะ ซากุราอิซัง”เขาทั้งทุบทั้งตี แต่เหมือนว่าชุนจะไม่สะดุ้งสะเทือนเลยสักนิด

ทว่า ทันใดนั้นเองร่างกายอันใหญ่โตของชุนกลับถูกกระชากโดยแรง ก่อนจะถูกหมัดหนักๆซัดซ้ำหลายครั้งจนเจ้าของร่างล้มลงโดยไม่ทันตั้งตัว ผู้กระทำหน้ามืดตามัวยังหวังจะตามไปซ้ำอีกรอบ แต่กระนั้นกลับโดนรั้งไว้เสียก่อน

“พอได้แล้วซากิ เดี๋ยวได้เป็นเรื่องใหญ่หรอก”เอคิจิเอ่ยห้าม “ไปดูฮารุโตะก่อนไหม”เมื่อได้ยินอย่างนั้น เขาจึงได้สติ หันไปดูหนุ่มรุ่นน้องที่นั่งกองอยู่กับพื้น ฮารุโตะน้ำตาไหลนองหน้า ปากแตกเลือดซึมให้เห็นชัดเจน

เมื่อชุนตั้งสติรู้ตัวและลุกขึ้นยืนได้ เขาเดินหน้าเข้าหาหวังเอาคืนด้วยความเลือดร้อน กลับเจอชายหนุ่มอีกคนยืนชี้หน้าขวางไว้

“ฉันขอเตือนให้แกรีบกลับไปดีกว่า มาทางไหนก็ไปทางนั้น”

“กูไม่ทำตามแล้วมึงจะทำไม”ชุนตะคอกกลับ ก่อนที่เขาจะถูกเหวี่ยงทุ่มลงพื้นโดยไม่ทันตั้งตัวอีกรอบ

“ผู้ใหญ่เตือนก็หัดฟังไว้บ้าง”เอคิจิกล่าวซ้ำจากนั้นจึงก้าวตามเพื่อนสนิทที่อุ้มพาหนุ่มรุ่นน้องออกจากบริเวณนั้นไป


คาบบ่ายเป็นวิชาปฏิบัติการที่ไม่สามารถโดดเรียนได้ ซากิจึงต้องพาฮารุโตะมาส่งที่ห้องเรียนการทดลองแทนจะพากลับบ้านเช่นเมื่อวาน เขาวางเด็กหนุ่มร่างเล็กลงบนเก้าอี้ที่มีอยู่ในห้อง สองสามวันมานี้ฮารุโตะร้องไห้บ่อยมากจนเขานึกปวดใจ

“ไม่เป็นไรใช่ไหม”

เด็กหนุ่มรุ่นน้องยังคงสั่นศีรษะ

“ขอโทษที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย”ทาคุมิพูดทำท่าจะร้องไห้ตามไปด้วย คิดตั้งใจจะฟิตร่างกายจริงๆเสียที

“ไม่เป็นไร”ฮารุโตะบอกพยายามยกยิ้มให้

ชิมิซึ ซากิจึงใช้จังหวะนั้นล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋า เปิดก๊อกน้ำที่มีติดตั้งอยู่บนโต๊ะ และใช้มุมผ้าด้านหนึ่งรองน้ำเพื่อให้เปียกชื้น จากนั้นจึงหันกลับมาแต่ผ้าเปียกลงบนริมฝีปากของฮารุโตะ เช็ดทำความสะอาดแผลแตก

“เจ็บมากไหม”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ แม้ความจริงจะยังเจ็บแต่เขาไม่อยากให้รุ่นพี่เป็นกังวล

เสียงพูดคุยโหวงเหวกดังมาจากหน้าประตูห้องทำให้พวกเขาหันไปมอง พร้อมๆกับกลุ่มนักศึกษาที่เพิ่งมาถึงต่างชะงักงันเพราะเห็นพวกเขา ซากิและเอคิจิโดนมองแปลกๆเพราะเป็นบุคคลที่ไม่คุ้นหน้า หนุ่มรุ่นพี่ทั้งสองจึงกล่าวบอกลาขอตัวแยกย้ายกลับไปซึ่งเมื่อคล้อยหลังอีกฝ่าย ทาคุมิจึงพยุงพาฮารุโตะไปนั่งที่โต๊ะทำการทดลองตัวที่ต้องใช้ประจำ จากนั้นไม่นานอิโนะอุเอะ ซายูริหนึ่งในเพื่อนร่วมกลุ่มการทดลองของฮารุโตะก็มาถึง

“มาเร็วจัง”เธอทักด้วยความแปลกใจ ปกติเธอจะมาถึงห้องก่อนเพื่อนร่วมกลุ่มอีกสองคน หลังจากวางกระเป๋าบนโต๊ะเธอดึงเก้าอี้มานั่งรวมกลุ่ม ทาคุมิยกยิ้มให้และบอกออกไปว่า “ข้างนอกมันหนาวอ่ะ ไปไหนไม่ได้เลยมานั่งรอที่ห้อง”

“หือ ปากแตกหรือมิอุระซัง”

ฮารุโตะยกมือขึ้นแตะปากก่อนจะพยักหน้ารับ เธอจึงหยิบของที่อยู่ในกระเป๋าออกมาให้

“ใช้นี่ซิดีนะ ทาช่วงที่ปากแตกจะได้ไม่เจ็บมาก”

เด็กหนุ่มรับตลับทรงกลมเล็กกว่าฝ่ามือขึ้นมาอ่าน ฉลากผลิตภัณฑ์เขียนไว้ว่าเป็นขี้ผึ้งสำหรับทาปาก “ขอบใจมากนะ เดี๋ยวจะลองไปซื้อมาใช้” พูดพร้อมกับส่งคืน

“ใช้เลยก็ได้”เธอว่า “ไม่ถือๆ” ไม่พูดเปล่ายังล้างไม้ล้างมือเช็ดกระดาษทิชชู่จนแห้งแล้วเปิดตลับขี้ผึ้ง แต้มของเหลวหนืดๆที่ปลายนิ้วมาทาบนปากของฮารุโตะให้ด้วย ทีแรกเขาสะดุ้งถอย แต่กระนั้นเธอยังยื่นมือตามมาทาให้อีกอยู่ดี

“เป็นไง”เธอถามพลางพูดอธิบายต่อไปว่า “ถ้าทาไว้ปากมันจะไม่ค่อยแห้งแล้วจะได้ไม่เจ็บมาก เฮ้ย!!!”

ซายูริร้องอุทานออกมาเพราะจู่ๆคนตรงหน้ากลับน้ำตาร่วงออกมาให้เธอหน้าเสีย “ฉันมือหนักหรือ เจ็บมากเลยหรือ ขอโทษนะ” ยกตลับขี้ผึ้งขึ้นมาดูแล้วบ่นงึมงำว่าหรือมันจะหมดอายุ

ฮารุโตะสั่นศีรษะระรัว ยกมือขึ้นปาดหยาดน้ำซึ่งไหลรินออกมาจากดวงตา “ขอบคุณมากนะ”

“ไม่ต้องคิดมาก ช่วงนี้ฮารุจังค่อนข้างเซ็นสิทีฟเฉยๆ”ทาคุมิกล่าวสำทับให้ซายูริสบายใจ พร้อมกับหันไปปลอบเพื่อนตัวเล็ก ยกมือขึ้นช่วยปาดน้ำตาไปพลางชวนคุยไปพลาง พาให้หญิงสาวอีกคนหน้าแดงแล้วคิดไปไกล

“อะไร”ทาคุมิที่เผอิญหันไปเห็นสายตาแปลกๆจึงเอ่ยปากถาม

“เปล๊า”ซายูริตอบเสียงสูง “ไม่มีอะไร”

“เอ้ย นี่ไม่มีอะไรเหมือนกัน เพื่อนกันๆ”

“ยังไม่ได้ว่าอะไรเหมือนกัน จะร้อนตัวทำไม”เธอพูดพร้อมรอยยิ้มกลั้วหัวเราะ

“ก็ดูทำหน้าเข้า ไม่น่าเชื่อมาก”ทาคุมิตอบกลับไป ฮารุโตะจึงหลุดหัวเราะกับอาการร้อนตัวของทาคุมิ

และเพื่อเป็นแสดงการแสดงออกว่าเธอไม่ได้คิดอะไรแปลกๆอย่างที่ทาคุมิเข้าใจ ซายูริจึงหันเหไปชวนคุยเรื่องอื่น อีกครู่หนึ่งต่อมากลับกลายเป็นเรื่องข้อมูลการทดลองที่กำลังจะเรียนและทวนเนื้อหาที่น่าจะออกในข้อสอบพรีเทสต์

หมดคาบเรียน สภาพโดยรวมดูจากภายนอกของฮารุโตะได้กลับมาเป็นปกติ ไม่มีอาการขวัญเสียตื่นตะหนก จมูกและดวงตาแดงช้ำซึ่งเป็นร่องรอยของการร้องไห้ได้จางหายไป หลงเหลือเพียงนัยน์ตาอ่อนล้า

ซากิตั้งใจว่าจะพาฮารุโตะกลับไปพักที่บ้านของเขาด้วยอีกคืน แต่โดนเด็กหนุ่มพูดแย้งด้วยเหตุผลที่ว่า มีของสดอยู่ในตู้เย็นที่ห้อง ทิ้งไว้นานไปกลัวจะเสีย

“เสียดายของ”ฮารุโตะพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ เพราะไม่ได้ทำงานพิเศษด้วยเด็กหนุ่มร่างเล็กจึงยิ่งประหยัดการใช้จ่าย ทั้งยังตั้งท่าเตรียมหางานพิเศษช่วงปิดเทอมนี้ไว้เรียบร้อย

“บอกแล้วไงว่า ถ้าเงินไม่พอใช้ให้บอก”

“ไม่เอาอ่ะ รุ่นพี่ยังไม่ได้งานเลย จะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงผม”

“ดูถูก”เขาพูดพลางแกล้งเขย่าศีรษะอีกฝ่านเล่น เดินคุยเล่นกันไปตลอดทาง ซากิรู้สึกว่าหนุ่มรุ่นน้องพูดเก่งขึ้นมานิดหน่อย ไม่รู้เป็นนิสัยเดิมของเจ้าตัวหรือติดมาจากเด็กปากมากอย่างทาคุมิ แต่มันเป็นเรื่องดีตรงที่อารมณ์ของฮารุโตะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมีความสุข เหมือนว่าเรื่องที่โดนซากุราอิ ชุนระรานจะไม่ได้มีผลกระทบมากนัก

กิจวัตรยามเย็นดำเนินไปเช่นเดิมเหมือนทุกวัน

และค่ำคืนนั้นหิมะได้โปรยปรายลงมาอย่างเงียบเชียบ ค่อยๆย้อมผืนดิน ถนนหนทาง และอาคารบ้านเรือนให้กลายเป็นสีขาวสะอาดตา หิมะมาพร้อมอุณหภูมิที่ลดต่ำลงกว่าศูนย์องศาเซลเซียส อากาศหนาวเย็นจนต้องเบียดร่างเข้าหาความอบอุ่น ซากิสะลึมสะลือกอดกระชับร่างเล็กบางซึ่งเบียดซุกเข้าหาตัว ขยับชายผ้าห่มผืนหนาจนเกือบคลุมมิดศีรษะของอีกฝ่าย ก่อนจะผล็อยหลับลงอีกครั้ง



ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'


โมริ เอคิจิยื่นเอกสารปึกหนึ่งให้ตรงหน้าเพื่อนสนิท ก่อนจะพาตัวเองมานั่งที่โซฟาเล็กอีกตัว ชายหนุ่มอยู่ในบ้านของอีกฝ่าย อันที่จริงบ้านของเขาห่างจากบ้านของชิมิซึ ซากิไปไม่ไกลนัก แต่เพราะที่นี่ค่อนข้างเงียบเป็นส่วนตัวมากกว่า มันจึงเป็นการดีที่พวกเขาจะเก็บเรื่องที่คุยกันเป็นความลับ

“อย่างกับนิยายน้ำเน่า”เขาพูดเมื่อซากิเปิดอ่านเอกสารไม่เกินยี่สิบแผ่นนั่น “ทุนที่ฮารุโตะได้รับเป็นทุนของบริษัทที่พ่อของซากุราอิ ชุนเป็นประธานกรรมการอยู่ สองคนนั่นรู้จักกันตั้งแต่อายุสิบสอง อยู่โรงเรียนเดียวกันมาตลอดเจ็ดปี สรุปแล้วแกมาทีหลังว่ะ”ประโยคสุดท้ายเขาพูดแขวะ เรื่องมาก่อนหรือมาทีหลังมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่ากับคนกลางจะเลือกใคร แต่บังเอิญว่า ชายหนุ่มเจ้าของบ้านเคยโดนประเด็นนี้ทำให้อกหักมาแล้ว เขาจึงยกขึ้นมาจี้ซ้ำเล่นๆ

ซากิยังนิ่งอ่านข้อมูลบนหน้ากระดาษ เอคิจิจึงเดินไปหยิบรีโมทมาเปิดทีวี และหันกลับไปมองเมื่ออีกฝ่ายส่งเสียงถาม

“มิอุระ ไทกะนี่เสียชีวิตแล้วจริงๆหรือ”

“อืม ฉันได้อ่านสำนวนสรุปการตายมาแล้ว แต่เห็นว่าไม่น่าจะเกี่ยวอะไรเลยไม่ได้สำเนามาให้แกดู”

“ตายเพราะอะไร ในนี้เขียนว่าหัวใจวายเฉียบพลัน”

“ตำรวจพบศพในกองหิมะ ไม่มีร่องรอยบาดแผลการถูกทำร้ายนอกจากแผลหิมะกัด หลังตรวจพิสูจน์พบแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด เลยคาดการณ์ว่าน่าจะกินเหล้าจนเมาแล้วหลับอยู่ข้างทางไม่ยอมกลับบ้าน”

“มิอุระไม่เคยพูดเรื่องนี้”

“พลิกอ่านอีกหน้าดิ”เอคิจิพูด ซากิจึงพลิกหน้ากระดาษตามที่บอก ข้อความในนั้นระบุเป็นทำนองว่า มิอุระ ฮารุโตะในวัยสิบเอ็ดปี ถูกพบว่าบาดเจ็บสาหัสในห้องพักซึ่งเพื่อนบ้านได้มาพบโดยบังเอิญขณะที่กำลังออกไปซื้อของ แพทย์ระบุว่าเป็นแผลจากของมีคมความยาวประมาณสองเซนติเมตร ผลการตรวจร่างกายโดยทั่วไป มีรอยฟกช้ำจากการทำถูกทำร้าย ไม่มีร่องรอยการล่วงระเมิดทางเพศ และเนื่องจากพบศพของบิดาผู้ซึ่งเป็นผู้ปกครองในเช้าวันถัดมา รวมทั้งไม่สามารถติดต่อผู้เป็นมารดาได้ มิอุระ ฮารุโตะจึงต้องถูกส่งตัวไปอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กตามที่กฎหมายคุ้มครอง

“ลูกน้องฉันบอกว่าหลับไปสองวัน ตื่นขึ้นมาถามหาพ่อแค่ครั้งเดียวจากนั้นไม่เคยพูดถึงอีกเลย มีดที่ถูกใช้เป็นอาวุธถูกพบในที่เกิดเหตุ ไม่มีรอยนิ้วมือคนอื่นนอกจากพ่อลูกมิอุระ ในบ้านไม่มีร่องรอยการรื้อค้น เพื่อนบ้านเล่าว่าหลังจากที่แม่ของฮารุโตะหายออกไปจากบ้าน ตัวพ่อก็กลับมาบ้านพร้อมกลิ่นเหล้าบ่อยๆ หลังจากนั้นก็จะมีเสียงโครมครามดังขึ้น แต่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ เพราะก่อนหน้า สองสามีภรรยาก็มีปากเสียงกันบ้างอยู่แล้ว ส่วนฮารุโตะก็เป็นเด็กเงียบๆที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร”

“ไม่รู้ว่าคนร้ายเป็นใคร?”

“แกน่าจะรู้นิสัยเด็กของแกดี ไม่พูดไม่เล่า หมอกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเลยเดาว่าน่าจะเป็นพ่อเด็กเอง”

ซากิหันมองเพื่อนสนิทด้วยแววตาสงสัย

“พอดีว่ารายงานเรื่องมิอุระ ฮารุโตะหนากว่านี้อยู่สักหน่อย ฉันอ่านแล้วไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าไหร่ เลยไม่ได้เอามาให้แกดู”เอคิจิพูดบอก มองหน้าเพื่อนสนิทนิ่งๆและพูดต่อไปว่า “พูดจากใจจริงฉันไม่อยากให้แกรู้สึกสงสาร”

“ความสงสารไม่ดีตรงไหน”ซากิถามขณะเปิดหน้าเอกสารอ่านข้อมูลของซากุราอิ ชุน รูปภาพประกอบเป็นหน้าตรงที่แม้สายตาจะดูเหมือนว่ากำลังมองกล้อง ทว่ายังขุ่นขวางคล้ายหาเรื่อง คิ้วเฉียงขึ้นขนานกับหน่วยตายาวรี

“คนบางคนไม่ได้ต้องการความสงสาร อ่อ... ลืมไปว่าใช้ไม่ได้กับแก”เอคิจิตั้งใจแขวะอีกรอบ “สำหรับแกอะไรที่สามารถนำใช้ได้ แกก็ดึงเอามาใช้ทั้งนั้นเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ”

ซากิแค่เหลือบตามองคนพูดแล้วยักคิ้วให้ พวกเขาเป็นเพื่อนที่เหมือนจะคบด้วยผลประโยชน์ แต่ในความสัมพันธ์ที่ว่ามันกลับมีอะไรมากมายกว่านั้น หรือในอีกแง่หนึ่ง ตัวเขาคือสิ่งที่เอคิจิอยากเป็น

“แต่ถึงจะเอามาใช้ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี”

ชิมิซึ ซากิถึงกับหัวเราะขึ้นจมูก

“ไอ้เด็กนี่ไม่เบาเหมือนกันแหะ คาราเต้ มวย แล้วก็เคนโด้ แกยังอุตส่าห์ทุ่มมันได้อีกนะ”เขาแสร้งยกยอไปหนึ่งประโยค ซ้ำคนถูกชมยังยอมรับหน้าตาย

“หึ ถ้าแกเจออย่างฉันทุกวัน สิบซากุราอิ ชุนยังเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว”

เงียบรอให้เพื่อนสนิทอ่านเนื้อหาเหล่านั้นต่ออีกนิด เอคิจิจึงเอ่ยปากถามต่อ “แล้วแกจะทำอย่างไรวะ”

เสียงพลิกเปลี่ยนหน้ากระดาษดังขึ้นขัดจังหวะราวกับคนถูกถามกำลังพิจารณาไตร่ตรอง

“ทำอย่างไรก็ได้ให้ไอ้เด็กนี่หายไปจากชีวิตของมิอุระ”คำพูดฟังดูรุนแรงแต่เอคิจิรู้ว่าเพื่อนสนิทไม่มีทางทำอะไรผิดกฎหมาย เพราะถ้าทำนั่นหมายถึงชีวิตของตัวเองคงต้องจบลงเหมือนกัน

“ถึงอย่างไรหลังจากเรียนจบ ฮารุจังก็ต้องเข้าไปทำงานที่บริษัทนั้นตั้งห้าปีอยู่ดี”

“ก็เป็นเรื่องของห้าปีที่ยังมาไม่ถึง”

“เห๋ ไม่มีแผนหรือ”

“ไม่รู้ซิ บางทีฉันอาจจะตายก่อน”

“เรียวตะมันคงดีใจแย่”คนพูดยิ้มเผล่ ก่อนจะหันกลับไปสนใจรายการทีวีและปล่อยให้เพื่อนสนิทนั่งอ่านตัวอักษรบนกระดาษต่อไป

“เอคิจิ แกว่าซากุราอิ ชุนนี่ชอบมิอุระหรือวะ”ซากิถามหลังที่อ่านข้อมูลทั้งหมดจบ ก่อนจะเริ่มอ่านทวนซ้ำอีกครั้ง นอกจากข้อมูลพื้นฐานงานอดิเรก ความชอบ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ซากุราอิ ชุนไปตีรันฟันแทงกับคนอื่นเขาไปทั่ว เบียดบังเรื่องที่คอยรังแกระรานมิอุระ ฮารุโตะจนเหลือแค่กรอบนิดเดียว

“แกล้งคนที่แอบชอบเนี่ยนะ”ซากิไม่เข้าใจระบบความคิดแบบนั้นเลย แล้วที่สำคัญดูเหมือนจะไม่ใช่แค่แกล้งเล็กๆน้อยๆ แต่รุนแรงถึงขั้นเจ็บเนื้อเจ็บตัว

“ตามข้อมูลมันน่าจะสรุปอย่างนั้น แกก็เห็น วันนั้นจูบจริงเลยนะเว้ย ถึงฮารุจังจะน่ารักแต่ถ้าไม่รู้สึกอะไรก็ไม่น่าจะทำได้เหมือนกัน”

“เหตุผลนี้ใช้กับฉันไม่ได้”

เอคิจิถึงกับนั่งนิ่งไปเลย แล้วส่งเสียงหึขึ้นจมูก “งั้นตรรกะความคิดแบบซากุราอิ ชุนก็เป็นไปได้เหมือนกัน”

เจ้าของบ้านลุกขึ้นยืนถือกระดาษร่วมยี่สิบแผ่นในมือเดินไปพื้นที่ส่วนที่จัดโซนไว้สำหรับทำครัว

รูปแบบการจัดบ้านของเขาคล้ายกับบ้านของเรย์ ใช้วิธีการแบ่งพื้นที่ด้วยการตั้งวางเฟอร์นิเจอร์เช่นเดียวกัน แต่พื้นที่บ้านแคบกว่าบ้านของนาคามูระ เรย์มาก ตอนที่พ่อของเขาซื้อบ้านหลังนี้ เหมือนจะรู้ว่าคงจะได้อยู่กันแค่พ่อลูกสองคน

เขาใช้ไฟแช็คจุดไฟเผากระดาษในมือเหนืออ่างล้างจานในครัว ไฟไหม้ลามเลียกระดาษจนกลายเป็นขี้เถ้า ลุกลามจนเกือบจะถึงปลายนิ้วเขาจึงปล่อยมันให้ร่วงลงไปในอ่าง มองเปลวไฟลุกไหม้กระดาษจนหมดแล้วจึงเปิดน้ำไล่เศษขี้เถ้าทิ้งไปตามท่อ

“เรื่องยาเสพติดที่อาสองคนของแกสืบไปถึงไหนแล้ว”ซากิถาม เพราะได้ยินว่าจะล่อตัวการใหญ่ออกมาให้ได้ แผนการจึงถูกวางไว้ยาวนานเป็นปี

“ไม่รู้ว่ะ ตั้งแต่ที่เล่าให้ฟังครั้งก่อนก็ไม่ยอมหลุดอะไรออกมาอีกเลย หวังว่าแกคงจะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายอะไรหรอกนะ”

“คงไม่ได้ยุ่งกับตัวการใหญ่หรอก แต่อาจจะกระทบก็ได้”

“เฮ้ย งั้นเล่ามาให้ฟังก่อนเลย”

ซากิยกยิ้ม หันมองนาฬิกา“เอาไว้วันหลังแล้วกัน วันนี้ต้องไปรับเด็กแล้ว”

เอคิจิจึงต้องตามออกมาจากบ้านด้วย และเมื่อออกมาอยู่ข้างนอกเรื่องที่เขาอยากให้อีกฝ่ายเล่าให้ฟังจำต้องเงียบไป เขาถอนหายใจด้วยความเซ็ง กลัวแค่ว่าถ้างานของอาทั้งสองคนพลาดแล้วเรื่องแดงว่าเป็นเพราะซากิ เขาคงต้องโดนหางเลขไปด้วยที่เอาคนมาใช้งานโดยไม่ยอมบอก

“อย่าเพิ่งกังวลไปน่า”ซากิพูดปลอบ “ไม่ได้คิดจะทำพรุ่งนี้มะรืนนี้เสียหน่อย” เพราะแผนที่เขาคิดไว้มันต้องใช้เวลาในการดำเนินการนานโข



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*//สวัสดีค่าทูกโค้นนนนนนนนนนนน  วันนี้เรามีความยินดีจะบอกว่าเราเขียนเรื่องนี้จบแล้ววววววววววว
เพราะฉะนั้น เราจะลงทุกวันนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
เพราะคนเขียนก็แทบรอไม่ไหวแล้ว เราอยากรู้ว่าพวกคุณจะรู้สึกอย่างไรกับตอนจบของเราใจจะขาดแล้วเหมือนกัน
ขอขอบคุณที่ติดตามเสมอมาค่ะ//*

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
คงต้องส่งใบลาไว้ก่อนนะคะ อาจจะได้เข้ามาอ่านอีกทีหลังสงกรานต์เลย
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชุน แกล้งฮารุโตะ เพราะชอบ
ชุน คงต้องปรับเปลี่ยนพฤคิกรรมกับฮารุโตะ
ทั้งแกล้ง ทำร้าย พูดจาหยาบคายใส่
เรื่องอยากเป็นคนรักฮาุโตะมันเป็นศูนย์ชัดๆ

ซากิ สืบประวัติฮารุโตะ
ซากิ แสดงท่าทีน้ำเสียงกับฮารุโตะ
ไม่สมกับเป็นคนรักกัน จนอีกฝ่ายน้อยใจ

ถ้านาโอกิ ตัดเรย์จากการเป็นคนรักมันก็สมควร
การไม่มีอะไรกัน มันทำให้เรย์ต้องไปปลดปล่อยกับมินามิ
ที่วางแผน และหวังได้เรย์ เป็นคนรัก
มันก็เหมือนเรย์ นอกใจ นอกกายคนรัก
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 

ออฟไลน์ Pi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตามอ่านทันเเล้วววว สนุกมากค่ะ  ตกลงซากินี่พระเอกใช่ไหมคะ ชอบในความหน้ามึนเอ่าเเต่ใจของนาง แล้วนางก็ดูเอาใจใส่ฮารุมมากขึ้นละด้วย งือออ ลงไม่ผิดลำละนะคะ55555 ถ้าหักมุมตอนท้ายนี่.... เรือล่มจมน้ำตายเลยเน่อ

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
ซากินี่ออร่าสุดยอดเลยครับ ฉากที่บอกว่า ‘เหตุผลนั้นใช้ไม่ได้สำหรับฉัน’ นี่เข้าตำราหล่อเลวเย็นชาจริงๆอะ ตรงกับคอมเมนท์ที่แล้วที่ผมคิดไว้เลยว่าฮารุโตะน่ะไม่น่าจะเป็นอะไรที่ซากิให้ความสนใจมากนัก แถมท่าทางยังวางแผนให้ความร่วมมือกับตำรวจด้วย โคตรเท่แบบเลวๆเลยครับ แหม่ ถ้าเป็นไปได้นี่อยากเห็นตัวนางที่คู่กับซากิจริงๆนะครับ ถ้าเป็นบุคลิกแบบนาโอโตะและพล็อตเรื่องสนุกล่ะก็ อื้อหือ ผมยกนิ้วให้เลย

คือเอาจริงๆผมก็เฉยๆกับคู่เรย์-นาโอโตะนะครับ ที่เฉยไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่พวกปฏิสัมพันธ์เราเห็นค่อนข้างน้อย มันเลยระบุไม่ได้ว่าสองคนนี้เหมาะกันไหม แต่ถ้าพิจารณาจากความจริงที่ว่าสองคนนี้สนิทกันและอยู่ใกล้ชิดกันตั้งแต่เด็ก มันก็น่าจะมีพัฒนาการและการรับรู้ความรู้สึกที่แคร์กัน ห่วงใยกัน มากในระดับหนึ่งล่ะครับ ดังนั้นถ้าถามว่าถ้ารักกันจริงๆมันจะเป็นปัญหาไหม คำตอบคือไม่ เพราะความสัมพันธ์ที่สร้างมาตั้งแต่เด็กมันเอื้ออำนวยให้ไปได้ และไปไกลมากกว่านั้นได้เสียอีก(ขั้นคู่ชีวิต)

คำถามคือคุณรักกันจริงๆรึเปล่า? ถ้ารักจริง มันไปโลดเลยครับ แต่ถ้าแค่อยากลอง หรือยังไม่มั่นใจเพราะฮอร์โมนวัยรุ่น(แบบเรย์) มันก็จะมีสถานการณ์แบบที่เกิดขึ้นนี้ ซึ่งก็เป็นประโยชน์ให้ทั้งสองคนได้ทบทวนตัวเอง ทำความเข้าใจซึ่งกันและกันครับ ถ้าจะยกนาโอโตะให้ซากินี่ก็อาจจะดูใจร้ายกับเรย์เกินไป แต่ถ้ามีจริง มันก็เป็นอีเวนท์ที่ทำให้เราน่าจะได้เห็นใจจริงๆของทั้งเรย์กับซากิเหมือนกันนะครับ

ดังนั้นอยากขอคนแบบนาโอโตะให้ซากิหน่อยครับ อยากเห็นเคมีคู่แบบนี้อะ เข้าล็อกมังงะวายของญี่ปุ่นเลยนะครับ อยากเห็นๆ (หัวเราะ)

ส่วนตัว ผมว่าชุนไม่น่าจะยอมหายไปจากชีวิตฮารุโตะนะครับ และน่าจะกล้างัดกับซากิด้วย ผมชื่นชมคนประเภทชุนอยู่อย่างคือกล้าชนไม่ถอย เขากล้าหาญองอาจ เมื่อมีความรู้สึกที่มั่นคงก็จะยังยึดมั่นไม่ถอย แต่ปัญหาคือชุนอารมณ์ร้อน และบ้าบิ่นจนเกือบคลั่งเหมือนกัน ทั้งๆที่ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีขนาดนั้น ซากิถ้าได้รู้จักชุนจริงๆ ผมว่านิสัยชุนสะท้อนทางแก้ปัญหาอย่างนึงของซากิได้ดี คือความกล้าที่จะเอาชนะ ‘ความรู้สึกเสียศักดิ์ศรี’ ครับ

ถ้าซากิมีความกล้าที่จะ 'รุก' คนที่เขาเคยแอบชอบ เมื่อนานมาแล้ว มากกว่าจะเก็บไว้เงียบๆด้วยบุคลิกนิ่งๆแล้วคิดว่าคนๆนั้นจะรู้เอง ทั้งที่ตัวเองก็รู้ว่ามีคู่แข่งอยู่ ผมว่าคนๆนั้นอาจจะเลือกซากิก็ได้ ปัญหาของซากิคือหยิ่งในศักดิ์ศรีมากเกินไปจนบางครั้งเลือกที่จะหันหนีความต้องการของตัวเองจริงๆครับ คุณรู้สึกว่าตัวเองไม่อยากแพ้ ไม่อยากจะเสียศักดิ์ศรีถ้าตัวเองไม่ถูกเลือก ผลลัพธ์มันเลยยิ่งทำลายทัศนคติด้านความรักของคุณให้เฉยชาไปกันใหญ่

ซึ่งไอ้ตรงนี้ไม่เคยมีในชุน คือโอเค ชุนอาจจะรู้สึกน้อยใจหรือรู้สึกทางลบเมื่อฮารุโตะพยายามปฏิเสธเขา แต่ชุนก็ยังพยายามครับ เขาไม่ยอมถอดใจจากฮารุโตะไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม ปัญหาคือด้วยแนวคิดของเด็กวัยรุ่นบวกกับอารมณ์ร้อนของชุน ผลมันเลยกลายเป็นพฤติกรรมสมัยมัธยมที่ไม่ดีสุดโต่งไปเลย

ประเด็นคือ เราจะแก้นิสัยชุนยังไง? ผมว่าชุนเหมือนซากิคือเป็นพวกบ้าพลังครับ(อาจจะมากกว่าซากิเสียด้วยซ้ำ) และด้วยนิสัยส่วนตัวของเขาก็ทำให้ทักษะในการต่อสู้หรือกีฬาประเภทปะทะโดดเด่น ประเด็นคือผมว่าชุนยังแก้ความใจร้อนไม่ได้ (โดยส่วนตัว ผมว่านิสัยอย่างฮารุโตะแก้ทางความใจร้อนของชุนได้ดีนะครับถ้าอยู่ด้วยกัน) ถ้าเป็นในความเป็นจริง ผมจะส่งชุนไปโรงเรียนฝึกทักษะทางทหารหรือฝึกวินัยตำรวจนะครับ ถ้าในเรื่องก็คือส่งไปฝึกกับเอคิจิ (ฮา) เขาจะขัดเกลาให้ชุนใช้พลังกายของเขาในทางที่ได้ผลดี แต่ความจริงผมว่าชุนก็มีความอดทนสูงมาตั้งแต่ตอนที่ 8 แล้วนะครับ เขาเริ่มรู้ตัวว่าฮารุโตะกลัวเขา เลยค่อยๆเข้าหา พยายามไม่ทำให้ฮารุโตะเตลิดมาก แต่สงสัยพอมาเห็นภาพบาดตาบาดใจ แถมฮารุโตะยังดูเคลิ้มอีก เลยฉุนขาด แต่พอมาฉากอีกวันนึง ชุนก็ดูเหมือนจะพอรั้งสติไว้ได้ ดันมามีเรื่องเสียก่อน แค่นี้ผมว่าชุนดีขึ้นเยอะแล้วนะครับ แต่คงต้องเห็นบทเขาหนักๆ จะได้เชียร์ถูก (หัวเราะ)

จุดนึงที่น่าสังเกตคือ ผมสังเกตว่าการบรรยายดูจะให้ชุนมีความสามารถ แต่พอถึงฉากทีไร ชุนก็เป็นฝ่ายโดนกระทำตลอดนะครับ ทั้งโดนซากิต่อย ทั้งโดนเอคิจิทุ่ม ผมเลยไม่แน่ใจว่าชุนนี่เก่งจริงรึเปล่าน่ะครับ

ยอมรับครับว่าคุณตีสี่เขียนดีจริงๆ ตอนที่ 21 นี่ผมประทับใจตรงฉากความฝันของฉารุโตะนี่แหละครับ ตอนที่ 21 นี้แสดงถึงความพังทลายของจิตใจฮารุโตะได้อย่างดีครับ แล้วก็แสดงถึงตัวละครกับนัยยะสำคัญเพิ่มเติมได้ดีมาก

ผมว่าคนอย่างอิซามุกับมิชิโอะนี่แหละที่จะมาทำให้ชุนเข้าใจฮารุโตะมากขึ้น เพราะปัญหาของชุนกับฮารุโตะคือไม่เข้าใจสถานการณ์ของแต่ละคนครับ ชุนนี่อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าเขามุ่งมั่นและมั่นคงมาก ขนาดฉากที่เพื่อนแซวว่าไม่เห็นเหรอว่าเขาผ่านเพศสัมพันธ์มาจนพรุน ชุนยังไม่ถือรังเกียจฮารุโตะเลย คือแบบ...เฮ้ย คุณต้องแน่มากเลยนะที่กล้าแสดงออกได้เต็มใจว่า เออ กูไม่สนว่าจะเป็นยังไง กูรักก็คือรัก ขอดูแค่หลังคาบ้านก็ยังเอา ผมซูฮกจริงๆครับ

ที่ชุนบอกว่าไม่ยอมให้กลับ อาจจะเพราะชุนอยากให้ฮารุโตะอยู่ใกล้ๆ คอยดูแลก่อน และไม่อยากให้ฮารุโตะต้องไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สบายตัวแบบนั้นอีก ผมว่าชุนทำอะไรให้ฮารุโตะเยอะนะครับ แต่ปัญหาคือเขามีปัญหาเรื่องความเลือดร้อนกับเรื่องการจะพูดจะจาอะไรก็ไม่ค่อยคิด (คือเลือกคำไม่ถูกน่ะแหละ ผมสังเกตตั้งแต่ตอนฮารุโตะให้ข้าวกล่องชุนน่ะครับ แต่หลังๆชุนก็คงรู้ตัว เลยพยายามคิดก่อนพูด แต่พอคิดไม่ออก ก็เลยเงียบแทน) เรื่องทุนนี่ก็คงไปพูดกับพ่อ ผมว่าพ่อชุนคงรู้เรื่องนี้แหละครับ เพราะชุนไม่น่าจะใช่คนที่ปิดบังอะไรขนาดนั้น และถ้าฮารุโตะเป็นคนดีที่จะทำให้ลูกชายเขาไม่เตลิดเปิดเปิงอีก ผมว่าพ่อชุนก็คงไม่ว่าอะไร (เพราะเอาจริงๆที่ชุนเตลิดไปก็อาจจะเพราะ side-effect จากการที่ฮารุโตะปฏิเสธชุนในสมัยม.ต้น)

ฉากความฝันของฮารุโตะนี่ทำผมน้ำตาซึมครับ คือแบบ...มันทำร้ายกันมากเลยอะ คือต้องเป็นเด็กสู้ชีวิตตั้งแต่อายุเท่าไหร่เนี่ย กลับบ้านก็ต้องรองรับความไม่มีวินัยของพ่อแม่ แถมพอไม่มีอะไรกิน ก็ต้องฝึกหุงข้าว ทำอาหารเอง เงินที่บ้านก็ไม่ทิ้งไว้ให้ ก็ต้องเอาเงินที่แอบหยอดกระปุกที่ได้จากค่าขนมวันละนิดเดียวเจียดมาซื้อ นี่มันจะไร้ความรับผิดชอบกับเด็กเกินไปแล้วครับ! คิดดู เด็กตัวปิ๋วหลิวไม่กี่ขวบขนาดนั้นเนี่ยนะครับจะให้มาสู้ชีวิต!? มันไม่ถูกเฮ้ย ถ้าเป็นตะวันตกนี่มีโอกาสเด็กจะนอกลู่นอกทางมากเลยนะครับ แต่เนื่องจากญี่ปุ่นมันเคร่งกฏหมาย หลังจากนั้นยังเสียบุพการี แล้วต้องมาเจอความไร้วินัยของบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าอีก เจอมรสุมขนาดนี้แถมฮารุโตะยังอุตส่าห์เป็นเด็กมองโลกในแง่ดีได้ขนาดนั้นอีก ทนทรมาน ไม่ออกนอกลู่นอกทาง

ดังนั้นพอเจอฉากที่ฮารุโตะสุดกลั้นแล้ว คิดว่าเจอแต่คนใจร้ายตั้งแต่เกิด จึงสติหลุด(explode) พุ่งไปหยิบมีด แล้วก็ทิ้ง จากนั้นจึงเดินเหม่อไปแบบไร้สตินี่ผมนี่น้ำตาแทบร่วงอะครับ คือขนาดสติหลุดยังไม่ใช่หลุดแบบ extreme aggressive behavior ต่อต้านโลก แต่เป็นหลุดแบบ inner fragment broke (ชิ้นส่วนภายในใจแตกกระจายจนไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ทำไม) ปกติถ้าเด็กหลุดแบบนี้คือระยะสุดท้ายก่อนจะซึมเศร้าหรือใกล้จะไม่รับรู้สิ่งต่างๆแล้วนะครับ ฮารุโตะจิตใจพังทลายมาก และหวาดกลัวหวั่นไหวง่ายขึ้นอีกจากการที่ตัวเองเป็น terror-sensitive อยู่แล้ว ฮารุโตะปิดกั้นตัวเองมากถึงขนาดจะนอน ยังไปนอนในมุมแคบๆมืดๆที่ย่ำแย่ เพื่อตอกย้ำกับจิตใจตัวเองว่าคนอย่างเขา...คนที่ไม่มีค่าแบบเขาควรจะอยู่ตรงนี้เท่านั้น ซึ่งมันน่าสงสารมากครับ

ผมจึงคิดว่า สองคนข้างๆชุนนี่แหละครับ ที่น่าจะรั้งชุนไว้ได้หน่อย แล้วก็ค่อยๆตะล่อมฮารุโตะให้สงบ จากนั้นก็ค่อยๆล้วงความรู้สึกและอ่านพฤติกรรมฮารุโตะ เพื่อให้ชุนรู้ว่าต้องช่วยฮารุโตะยังไง (ซึ่งถ้าชุนรู้เรื่องทั้งหมดที่ฮารุโตะเผชิญมาตั้งแต่เด็กจริงๆ ผมว่าเขาไม่อยู่นิ่งแน่ๆ เขาต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ฮารุโตะกลับมายิ้มและมีความสุข พยายามที่จะเป็นคนที่ปกป้องและถมใจฮารุโตะแน่ๆ เพราะเนื่องจากแนวคิดเขาจะต่างกับซากิ ดังนั้นการแสดงออกมันก็น่าจะต่างกันน่ะครับ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-04-2017 09:32:57 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
เรื่องย่อ ตอนที่ 20
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
จู่ๆ ซากุราอิ ชุนก็กลับมาราวีฮารุโตะอีกครั้ง ทั้งที่ฮารุโตะคิดว่าชีวิตช่วงนี้กำลังจะดีขึ้นแท้ๆ แต่กระนั้นการที่มีชิมิซึ ซากิอยู่ใกล้ๆมันทำให้ฮารุโตะอุ่นใจไม่น้อย ขณะเดียวกันเพราะยึดติดกับซากิ นั่นก็เป็นสาเหตุให้ฮารุโตะทุกข์ทรมานใจไม่น้อย


ตัวละครประกอบ
1. อิชิอิ อาสะฮินะ เพื่อนของชิมิซึ ซากิ







春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 20




วันสองวันที่ผ่านมานับตั้งแต่เขามาคอยดูแล มาคอยรับส่งฮารุโตะเป็นประจำ เขายังไม่ได้มีโอกาสเจอซากุราอิ ชุนเลยสักครั้ง จึงทั้งนึกสงสัยและนึกแปลกใจในการกระทำของหนุ่มรุ่นน้องร่วมสถาบันคนนั้น ด้วยเหตุนี้หลังจากแยกกับฮารุโตะ เขาจึงลองไปที่อาคารประจำคณะวิชาที่ซากุราอิ ชุนลงวิชาเรียนไว้ ชายหนุ่มก้าวเท้าขึ้นตึกพร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก

“วันนี้มีเรียนหรือเปล่า”เขาถามออกไปเมื่ออีกฝั่งของปลายสายกดรับ

“อืม มีอะไรหรือ”

“ถ้าตอนนี้จะไปหา สะดวกไหม”

ปลายสายตอบรับกลับมาพร้อมบอกสถานที่ เขาก้าวเท้าขึ้นบันไดอย่างคุ้นทางเพราะเคยมาที่ตึกบ้างในบางครั้ง เปิดประตูห้องเรียนบรรยายซึ่งภายในมีแต่เหล่านักศึกษาปีสุดท้าย หลายคนในห้องหันมามองก่อนจะหันกลับไปสนใจงานของตัวเอง

“มาหาถึงนี่มีอะไรหรือ”คนที่เขาตั้งใจมาหาถามพร้อมรอยยิ้ม อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีที่เขาเคยมีสัมพันธ์ด้วยเมื่อนานมาแล้ว

“พอดีมีอะไรอยากให้ช่วยหน่อย”

“ถ้ามีเรื่องให้ช่วยก็ต้องมีของตอบแทนนะ”รอยยิ้มธรรมดาเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มมีเลศนัยทันที พร้อมกับปลายนิ้วมือของเจ้าตัวที่มาลากไปมาอยู่บนตัวของเขา

ซากิจับจ้องอยู่แต่กับใบหน้าของอีกฝ่าย “ของตอบแทนนี่หายากไหม”

“ไม่นะ อาจจะเป็นกินข้าวด้วยกันสักมื้อ เสื้อโค้ทสักตัว หรือกระเป๋าสักใบ หรือไม่บางทีอาจจะแปะโป้งไว้ก่อน”

“อย่างนั้นก็โอเค”

“ว่ามาเลย”คู่สนทนายิ้มรับเปลี่ยนท่าทีเป็นตั้งใจฟังทันที ซากิจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดรูปของซากุราอิ ชุนที่เคยถ่ายเก็บไว้

“หาคนตามดูรุ่นน้องคนนี้ให้หน่อย เรียนอยู่ปีสองคณะนี้”

“ก็พอได้ แต่ต้องจ่ายค่าจ้างแยกนะ”

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

“ใจดีจัง”อีกฝ่ายพึมพำออกมาให้เขาได้ยิน ก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น “วันนี้มาแค่นี้หรือ”

“ทีแรกตั้งใจว่าอย่างนั้น”

“แหม ถ้าไม่มีธุระคงจะไม่คิดถึงกันเลยสิ”ฝ่ายนั้นพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อจนเขาต้องหัวเราะออกมา

“ได้ข่าวว่า คบอยู่กับเด็กคณะวิศวะเลยไม่อยากเข้ามายุ่งย่าม”

ชายหนุ่มร่างเพรียวบางขยับเข้ามานั่งเบียดทำหน้าหงิกหน้างอยามที่พูดถึงบุคคลที่สาม “อย่าไปพูดถึงเลย เลิกไปแล้ว” แล้วหันมายิ้มอ้อนพร้อมกับพูดกับเขาว่า “วันนี้ไม่ต้องไปไหนแล้วใช่ไหม กินข้าวเที่ยงกับเรานะ”

คำถามนั้นทำให้ซากิลำบากใจนิดหน่อย

“นัดกับเด็กใหม่ไว้แล้วละสิ”แม้จะเป็นคำพูดประชดแต่น้ำเสียงที่ใช้กลับอ่อนหวานนุ่มนวลจนคล้ายหยอกเย้า “ใช่ซีนะ เรามันเก่าแล้วนี่นา”

“ใช่ซะที่ไหน ไม่อยากมีปัญหากับคนใหม่ของนายต่างหาก”

“ก็บอกว่าเลิกไปแล้ว”คู่สนทนาย้ำให้เขาฟังอีกครั้ง ก่อนน้ำเสียงจะกลับกลายเป็นออดอ้อนออเซาะเหมือนเดิม “นะ ไปกินข้าวเที่ยงกับเรานะ”ว่าพลางกอดแขนไถศีรษะคล้ายพยายามทำให้เขาใจอ่อน พร้อมกับบ่นหงุงหงิงว่าเหงาบ้างละ คิดถึงบ้างละ

“ถ้าหมอนั่นมาเห็นหรือมีปัญหากันต้องไปเคลียร์กันเอาเองนะ”เขาบอกซ้ำอีกครั้ง

“ใจเสาะขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”คงเห็นว่าเขาเอาแต่พูดกังวลถึงบุคคลที่สาม อีกฝ่ายจึงถามออกมาด้วยความสงสัย

“อาจจะใช่... คงเพราะใกล้จะเรียนจบแล้ว ไม่อยากมีเรื่องเดี๋ยวประวัติไม่ดี”

“คร้าบๆ รับรองได้เลย”คนพูดยกยิ้มตอบรับด้วยความชอบใจ

หลังจากนั้นพวกเขายังพูดคุยกันอีกหลายเรื่อง กระทั่งถึงเวลาพัก พวกเขาจึงออกไปทานข้าวด้วยกันตามที่นัดไว้ แต่ว่าซากิเองนัดกับฮารุโตะไว้ก่อนแล้วเช่นกัน และเขาได้บอกเรื่องนี้กับชายหนุ่มร่างเพรียวที่เดินเทียบเคียงอยู่ด้านข้างไว้ก่อนแล้ว

“แล้วมาบอกเราว่าไม่ได้นัดใครไว้”อีกฝ่ายยังพูดย้ำ ซากิหัวเราะและตอบไปว่า “รุ่นน้องคนนี้ เขาไม่มีปัญหาหรอก เขาไม่ใช่พวกขี้หึงไม่เข้าเรื่อง พูดง่ายแล้วก็รู้จักฟัง”

คนฟังตีสีหน้าบึ้งตึงเพราะรู้สึกเหมือนโดนว่ากระทบ กระนั้นเขาไม่ได้ต่อความอะไรเพิ่มเติม

ซากิเดินไปถึงอาคารเรียนของฮารุโตะในจังหวะที่เด็กหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนกำลังเดินลงมาจากตึกพอดี และทันทีที่เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลหันมาเห็นเขา ฝ่ายนั้นได้ส่งรอยยิ้มกว้างมาให้ในนาทีนั้นเช่นดียวกัน

“นี่เพื่อนฉัน อิชิอิ อาสะฮินะ”ซากิเอ่ยแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายได้รู้จักกัน “สองคนนี้รุ่นน้องที่ชมรม มิอุระ ฮารุโตะกับซาโต้ ทาคุมิ”

“ยินดีที่ได้รู้จัก ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”เพราะอาสะฮินะกล่าวทักทายด้วยประโยคเต็มตามธรรมเนียม เด็กหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนจึงต้องโค้งศีรษะและกล่าวทักทายกลับด้วยประโยคเดียวกัน

“วันนี้ไปกินที่โรงอาหารแล้วกันนะ อิชิอิไม่มีข้าวกล่องน่ะ”เขาบอกพลางรุนหลังฮารุโตะให้เดินนำ

หลังจากเกิดเรื่องซากุราอิ ชุน นอกจากซากิจะมาคอยตามรับตามส่งหนุ่มรุ่นน้องแล้ว เขายังบังคับให้เด็กหนุ่มทั้งคู่ย้ายไปกินข้าวที่ห้องชมรม แม้จะเดินไกลอยู่สักหน่อยแต่น่าจะเป็นผลดีในหลายๆเรื่อง

“คนตัวเล็กๆนี่หรือ”อาสะฮินะกระซิบถามซึ่งซากิก็พยักหน้ารับ คนถามไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแค่พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

พวกเขาพากันมานั่งทานอาหารกลางวันที่โรงอาหารคณะสังคมศาสตร์ เนื่องจากซากินัดกับฮารุโตะว่าจะมาทานอาหารกลางวันด้วย ฮารุโตะจึงเตรียมข้าวกล่องมาเผื่อสำหรับหนุ่มรุ่นพี่ ส่วนทาคุมินั้นเพราะเห็นฮารุโตะมีข้าวกล่องมาทุกวัน หลังๆมานี้เขาจึงเตรียมของตัวเองมาบ้าง

“อ้าว เราต้องไปซื้อข้าวคนเดียวหรือ”อาสะฮินะพูดทัก

“อืม ไปซื้อมา เดี๋ยวนั่งรอ”

“ชิมิซึ ไปเป็นเพื่อนหน่อยดิ ไม่รู้ว่าอะไรอร่อย”

“ก็เหมือนเดิมที่เคยมากินนั่นแหละ”ชายหนุ่มเจ้าของชื่อบอกปัดอย่างนึกรำคาญ เขาไม่ค่อยชอบคนที่เซ้าซี้ส่วนหนึ่งที่เลิกไปมาหาสู่กับฝ่ายนั้นก็เพราะเหตุนี้ ทว่าอาสะฮินะยังเป็นคนรู้จักใช้เสน่ห์และวิธีการพูดให้คนอื่นยอมทำตามความต้องการได้อยู่เสมอ

“เหมือนเดิม แต่เราไม่ได้มากินนานแล้วนะ ร้านราเมงเจ้านั้นที่เราบอกว่าอร่อยยังอยู่หรือเปล่า ร้านไหนไม่เห็นป้ายร้านเลย”

“โอเคๆ เดี๋ยวพาไป”ซากิลุกขึ้นยืนอย่างเสียไม่ได้ แม้เขาจะแสดงออกทางสีหน้าว่าเบื่อระอา แต่อาสะฮินะรู้จักเขามานานพอที่จะมองข้ามกิริยานั้นไป

คล้อยหลังหนุ่มรุ่นพี่ทั้งสองคน ทาคุมิจึงยื่นหน้าไปพูดกับฮารุโตะว่า “เหมือนไม่ใช่เพื่อนธรรมดา กลับไปเย็นนี้ถามเลยนะว่าเป็นอะไรกับอิชิอิซัง”

“ไม่เอาหรอก จะถามทำไมไม่เห็นมีอะไรสักหน่อย”ฮารุโตะปฏิเสธทันควัน

“ไม่รู้อะไร เผื่อเกิดเป็นคู่ควงเก่าๆของรุ่นพี่ชิมิซึจะได้ตั้งรับทัน”

“ตั้งรับ? ตั้งรับอย่างไร”

ทาคุมิกลอกตาครุ่นคิด “ไม่รู้อ่ะ ยังคิดไม่ออก”

“ซาโต้ซังก็คิดมาก”ฮารุโตะบ่นซ้ำ

ทาคุมิเห็นรุ่นพี่ทั้งสองคนเดินกลับมายังโต๊ะจึงรีบหุบปากและส่งสัญญาณให้ฮารุโตะเงียบเสียงลงด้วย รุ่นพี่ชิมิซึทรุดตัวลงนั่งข้างฮารุโตะเหมือนปกติ ฝ่ายรุ่นพี่อิชิอินั่งอยู่ตรงข้าม ลงมือทานราเมงด้วยท่าทางปกติ แต่เด็กหนุ่มเชื่อว่าสองคนนี้ไม่ใช่เพื่อนกันธรรมดาแน่นอน ทั้งคำพูดทำจาของรุ่นอิชิอิ ทั้งปฏิกิริยาตอบรับที่รุ่นพี่ชิมิซึแสดงออก

เขากลอกตามองหนุ่มรุ่นพี่ทั้งสองและเพื่อนสนิทของตนอีกรอบ ทาคุมิแน่ใจว่าถ้าสองคนนี้ไม่หลุดพูดว่ากิ๊กกันมาก่อน ฮารุโตะคงมองว่ารุ่นพี่ชิมิซึและรุ่นพี่อิชิอิเป็นเพื่อนกันปกติกันต่อไปแน่นอน ยิ่งคิดก็ยิ่งเซ็ง ที่ก่อนหน้าเขาคิดกังวลว่าฮารุโตะจะทุกข์ใจที่รุ่นพี่ชิมิซึควงคนโน้นควงคนนี้มาให้เห็น ที่ไหนได้ เพื่อนสนิทตัวเล็กของเขากลับไม่คิดอะไรสักอย่าง

พวกเขาทั้งสี่คนแยกย้ายกันหลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ ฮารุโตะเดินขึ้นตึกเรียนพร้อมทาคุมิ และแวะเข้าห้องน้ำก่อนเข้าห้องเรียน ฮารุโตะติดนิสัยไม่ชอบใช้โถปัสสาวะด้านนอกเพราะความทรงจำที่ไม่ดีสมัยเรียนมัธยม จึงเดินตรงเข้าห้องสุขาด้านใน ทว่าเมื่อเปิดประตูออกมาด้านนอกอีกครั้ง เขากลับพบอิชิอิ อาสะฮินะยืนพิงสะโพกกับเคาน์เตอร์อ่างล้างมือคล้ายรอใครสักคนอยู่

ฮารุโตะแค่ก้มศีรษะให้เพราะระหว่างทานอาหารพวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก

“รู้จักกับชิมิซึมานานหรือยัง”

เขาเงยหน้ามองเจ้าของเสียงพูดก่อนหันมองรอบตัว เห็นไม่มีคนอื่นจึงแน่ใจว่าอีกฝ่ายน่าจะคุยกับตน “ปีกว่าแล้วครับ”

“เป็นอย่างไรบ้างล่ะ ชิมิซึดูแลคุณดีไหม”

“ครับ”ฮารุโตะตอบพร้อมพยักหน้ารับ สีหน้าออกอาการงุนงงปนแปลกใจ หนุ่มรุ่นพี่ต่างคณะจึงพูดบอกปลอบเขามาว่า “ไม่ต้องคิดมากไปหรอก ผมไม่ได้คิดจะมาทำอะไร แค่แปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมสเปคของชิมิซึถึงเปลี่ยนไปเยอะ อ่อ ต้องแนะนำตัวก่อนซินะ ผมเป็นแฟนเก่าของชิมิซึ”อาสะฮินะยกยิ้มเมื่อเห็นว่าหนุ่มรุ่นน้องที่อยู่ตรงหน้าเหลือบตามมองเขาแค่เพียงนิดเดียวก่อนจะรีบก้มหน้าหลุบตาลงมองพื้น

ฝ่ายฮารุโตะเหมือนหายใจไม่ออกขึ้นมา เขาก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว

“เราไม่ค่อยมีอะไรเหมือนกันเลยว่าไหม”

ฮารุโตะเหลือบมองแค่ปลายรองเท้าหนังของหนุ่มรุ่นพี่ แม้ไม่ต้องบอกแต่เขาย่อมรู้ตัว อีกฝ่ายหน้าตาดีกว่าเขา สูงกว่า หุ่นดีกว่า แต่งตัวดูดีกว่า และถึงจะยืนอยู่ห่างๆยังได้กลิ่นหอมสะอาดของน้ำหอมราคาแพงจากร่างกายของอีกฝ่าย

“จะว่าไปคู่ควงคนอื่นๆของชิมิซึก็ไม่ใช่แบบคุณ”หนุ่มรุ่นพี่ยังพูดต่อ “หรือเพราะชิมิซึอยากลองของแปลก”

ฮารุโตะประสานมือทั้งสองข้างบีบจับกันไว้ แม้จะรู้ว่าตัวเองไม่เทียบเท่าคนอื่น แต่ไม่ได้อยากให้ใครมาพูดเปรียบเทียบตอกย้ำ เขาหันรีหันขวางอย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะรีบก้าวเท้าออกไปจากห้องน้ำ ก้มหน้าก้มตารีบเดินกระทั่งต้องมาชะงักเท้าเพราะโดนรั้งต้นแขนไว้

เขาสะบัดหนีทันที

“เฮ้ ฉันเอง”เสียงคุ้นเคยทำให้เขาเงยหน้ามอง ฮารุโตะโผเข้าไปกอดอีกฝ่ายทันทีที่เห็นหน้า

“เป็นอะไรน่ะ”ทาคุมิเอ่ยถาม ยกสองมือเก้ๆกังๆ เพราะทำอะไรไม่ถูกก่อนจะวางมือลงลูบหลังเพื่อนสนิท เขาออกจากห้องน้ำมาก่อนฮารุโตะ และยืนรออยู่ด้านนอก ตอนที่ออกมา เขาจำได้ว่าในห้องน้ำไม่มีใคร และระหว่างที่อยู่ด้านนอกก็ไม่มีใครเดินเข้าไป

“เกิดอะไรขึ้น”

ฮารุโตะเงยหน้ามองไปทางประตูห้องน้ำ ก่อนจะลากอีกฝ่ายให้เดินห่างออกมา “รุ่นพี่อิชิอิเป็นคนไม่ดีจริงๆด้วย”

“นายเจอเขา”ทาคุมิหันหน้ากลับไปมอง

คนถูกถามพยักหน้ารับ ระรัวบอกออกมาราวกับใครจะแย่งพูด“เขาบอกว่าเคยคบกับรุ่นพี่ชิมิซึ เป็นแฟนเก่า แล้วก็บอกว่าคนอื่นๆที่รุ่นพี่ชิมิซึเคยควงหน้าตาดีกว่าผมทั้งนั้น พูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร เขาจะกลับมาคบกันอีกหรือ”ภายในสมองของฮารุโตะมีแต่คำถาม ถ้ารุ่นพี่ชิมิซึจะกลับไปคบกับแฟนเก่าแล้วมาให้ความหวังเขาทำไม มาบอกว่าจะอยู่ด้วยกันทำไม ต้องให้เขารักเท่าไหร่ เขาต้องทุกข์ทรมานแค่ไหน รุ่นพี่ถึงจะพอใจ

“ใจเย็นๆก่อนฮารุโตะ”ใช้สองมือประคองใบหน้าของเด็กหนุ่มร่างเล็กให้เงยขึ้นสบสายตากับตน

“ฟังนะ อย่าเพิ่งคิดไปไกล สองคนนั้นจะกลับมาคบกันหรือเปล่า นายต้องถามจากรุ่นพี่ชิมิซึ ไม่ใช่คิดเองเออเอง”

ฮารุโตะเสสายตาเบือนหนี แล้วหลุบเปลือกตาลงต่ำ แม้ไม่อาจสงบใจให้ได้อย่างที่อีกฝ่ายต้องการแต่เขากลับยอมพยักหน้าตอบตกลง

“ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก อีกไม่กี่วันก็ถึงสอบปลายภาคแล้ว กลับมาคิดเรื่องสอบปลายภาคก่อน”

ได้ยินคำว่าสอบปลายภาค สติและสมาธิของเขาจึงกลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง หลังจากที่มันลอยหลุดไปอยู่โลกความคิดมโนเพ้อเจ้อ ฮารุโตะกะพริบตาถี่ๆราวกับพยายามไล่ฝ้ามัวที่บดบังวิสัยทัศน์การมองเห็น สูดลมหายใจเข้าปอด และพยักหน้ารับอย่างแข็งขันอีกครั้ง แม้เรื่องรุ่นพี่ชิมิซึอาจจะสำคัญสำหรับเขา แต่เรื่องผลการเรียนต้องสำคัญที่สุด ฮารุโตะย้ำเตือนกับตัวเองเช่นนั้น





รูปที่อิชิอิ อาสะฮินะส่งมาทำให้เขามุ่นคิ้ว ก่อนจะส่งข้อความตอบกลับไปว่าส่งมาให้เขาดูทำไม

“อยากถามว่า ตอนนี้นายเป็นแค่คนในสต็อกของหนุ่มรุ่นน้องคนนั้นหรือเปล่า”ทิ้งช่วงเวลาอยู่ครู่หนึ่ง ข้อความต่อไปก็ปรากฏให้เห็น

“หรือตอนนี้คบกันสามคน”

“จะเป็นอย่างไรก็ไม่ต้องมาอยากรู้หรอกน่า”

“เป็นห่วงนะ”อีกฝ่ายส่งมาแค่นั้นแล้วก็เงียบหายไป ซากิวางโทรศัพท์แล้วกลับมาให้ความสนใจการบรรยายของอาจารย์ที่ยืนอยู่ด้านหน้า ทว่าสองสามนาทีต่อจากนั้น โทรศัพท์ของเขากลับมีการแจ้งเตือนการรับเข้าข้อความอีกครั้ง คราวนี้เป็นข้อความจากผู้หวังดีคนเดิมที่คอยส่งภาพของทาคุมิกับฮารุโตะมาให้เขาแล้วหลายครั้ง เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู

รูปภาพบนหน้าจอโทรศัพท์มือเป็นรูปของเด็กหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนในอิริยาบถที่ทำให้คิดไปไกลได้ไม่ยาก ซากิมองภาพนั้นด้วยความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกดส่งต่อไปให้หนึ่งในสองคนที่อยู่ในภาพ และส่งเครื่องหมายคำถามตามไป

“รุ่นพี่อิชิอิมาคุยอะไรกับฮารุโตะก็ไม่รู้ครับ ฮารุจังเล่าประมาณว่าเขาเป็นแฟนเก่าของรุ่นพี่”

อีกอย่างที่เขาไม่ค่อยชอบใจในตัวอิชิอิ อาสะฮินะคือชอบทำอะไรลับหลังเขา

ชายหนุ่มอ่านข้อความอีกสองสามประโยคที่ถูกส่งตามมา แล้วจึงกดตัวอักษรถามกลับไปว่า “ตอนนี้โอเคหรือยัง”

“ครับ คิดว่าน่าจะดีขึ้นแล้ว กลับไปรุ่นพี่ช่วยเคลียร์เรื่องนี้ด้วยแล้วกัน”

เขาส่งสติ๊กเกอร์ตอบรับข้อความของอีกฝ่าย ก่อนจะเปิดหน้าต่างการสนทนาระหว่างเขากับอิชิอิ อาสะฮินะ

“เรื่องที่ขอให้ช่วย ฉันจะตอบแทนตามจำนวนผลงานที่นายส่งมา”

“เข้าใจแล้ว”ข้อความนั้นมาก่อนภาพของซากุราอิ ชุนที่มุมแอบถ่ายภายในห้องบรรยาย

“เดี๋ยวจะส่งให้ดูอีกเยอะๆเลยนะ”อาสะฮินะจบการสนทนาด้วยการส่งสติ๊กเกอร์รูปเด็กผู้ชายส่งจูบมาให้

ซากิกลอกตาพ่นลมหายใจออกมาและวางโทรศัพท์มือถือในมือลง หลังจากนั้นก็ไม่มีใครส่งอะไรมากวนใจเขาอีก กระทั่งหมดชั่วโมงเรียน ภาพของซากุราอิ ชุนในอิริยาบถต่างๆจึงถูกส่งมาเรื่อยๆ เขาเลื่อนดูภาพคร่าวๆก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋า ก้าวเท้าไปตามทางเลี้ยวเดินไปยังอาคารของคณะวิทยาศาสตร์

ระหว่างที่ยืนรออยู่หน้าตึก ชายหนุ่มจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูภาพที่อาสะฮินะส่งมาให้ดูเรื่อยๆ คนที่อีกฝ่ายติดต่อให้ทำงานให้ ทำงานดีมาก ส่งภาพให้เขาดูทุกระยะทุกอิริยาบถจนถึงภาพที่ชุนขับรถออกจากมหาวิทยาลัย

“ตามไปถึงบ้านไม่ได้นะ รุ่นน้องที่จ้างให้ทำงานให้ไม่มีรถ แต่ถ้าอยากให้ตามไปถึงบ้านจริงๆ เดี๋ยวจัดการให้ทีหลัง”

“ไม่จำเป็น แค่ดูอยู่ในมหาวิทยาลัยก็พอ”ที่อยู่ของซากุราอิ ชุนมีอยู่ในข้อมูลที่เอคิจิหามาให้และเขาไม่ได้อยากตามติดชีวิตของซากุราอิ ชุนมากขนาดนั้น

เขาปิดโทรศัพท์เมื่อสายตาเหลือบเห็นฮารุโตะ และเมื่อเด็กหนุ่มรุ่นน้องเห็นหน้าเขาก็รีบเดินเข้ามาหาจนเกือบจะกลายเป็นวิ่ง คว้าจับเสื้อโค้ทกันหนาวของเขาไว้แต่กลับไม่ยอมพูดอะไร

ทาคุมิบอกลาแยกย้ายกันไปตรงนั้น เขาจึงวางมือโอบไหล่หนุ่มรุ่นน้อง พลางรุนหลังให้อีกฝ่ายออกเดิน

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ เขาเบือนหน้าหนีหันมองทางอื่นทันทีที่เห็นปฏิกิริยาตอบรับเช่นนั้น ซากิคิดในใจว่า ถ้าเขาสามารถใช้เงินซื้อนิสัยนี้ของฮารุโตะได้ เขาอยากจะซื้อมันไปโยนทิ้งเหมือนกัน

ชายหนุ่มปล่อยให้ระหว่างพวกเขาไร้คำสนทนาอยู่เนิ่นนาน ทว่าจู่ๆ ฮารุโตะกลับพูดขึ้นมาว่า

“รุ่นพี่ชิมิซึจะกลับไปคบกับรุ่นพี่อิชิอิหรือเปล่าครับ”

“ทำไมฉันต้องกลับไปคบกับเขา”ซากิหลุดปากพูดออกไป ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาเองควรที่จะเปลี่ยนนิสัยบางอย่างด้วย “ไม่มีทางอยู่แล้ว ที่กลับไปคุยกันเพราะมีเรื่องให้ช่วย”

“จริงหรือครับ”เด็กหนุ่มร่างเล็กถามย้ำ สีหน้าแสดงออกว่ากำลังจดจ่อกับคำตอบ

“จริง และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องโกหก”ซากิย้ำคำพูดของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังซ้ำ สีหน้าวิตกกังวลของฮารุโตะจางหายไปทันตากลายเป็นเบิกบานคล้ายดอกไม้แรกแย้มไม่มีผิด

“เกิดอะไรขึ้นถึงถามแบบนี้”

เมื่ออารมณ์ดี ฮารุโตะจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฟังทั้งหมด เล่าอย่างละเอียดราวกับจำคำพูดของอาสะฮินะได้ทุกคำ แต่มันคงจะไม่แปลกไปนัก ที่คนเราจะจำเรื่องที่ฝังใจได้ขึ้นใจ

“รุ่นพี่ชิมิซึ”ฮารุโตะเอ่ยเรียกชื่อของหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงที่อยู่ไม่ห่างด้วยน้ำเสียงเบาค่อย ช่วงเวลาอันยาวนานของวันนี้กำลังจะจบลง และพวกเขากำลังเตรียมตัวนอน

“หือ”ซากิขานรับขณะเหน็บผ้าคลุมฟูกอยู่อีกฝั่ง

ฮารุโตะอยากบอกกับชายหนุ่มว่า วันใดถ้าเบื่อเขาแล้วหรือมีคนอื่น เขาอยากให้อีกฝ่ายบอกกับเขาเนิ่นๆ เผื่อว่าเขาจะได้เตรียมใจได้ทัน แต่เมื่อนิ่งคิด... ก่อนหน้านี้เขาบอกตัวเองให้ห้ามใจอยู่เสมอ ก็ยังไม่สามารถทำได้ แล้วถ้าวันที่รุ่นพี่เดินมาบอกเขาว่า กำลังมีคนใหม่แล้ว เขาจะทำใจรับได้จริงหรือ

น่าแปลก ที่เราคิดได้ทุกอย่างในสิ่งที่เราควรทำ แต่เรากลับทำไม่ได้สักอย่างในสิ่งที่คิด ฮารุโตะคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ

“เงียบไปเลย”ชายหนุ่มออกปากทัก

“อยู่ด้วยกันตลอดไปได้ไหมครับ”

“ไม่ได้หรอก”ฟังคำตอบที่ไม่มีความลังเลนั้นแล้ว หัวใจของฮารุโตะพลันห่อเหี่ยวเจ็บปวดขึ้นมาอีก ทั้งที่น่าจะรู้อยู่แล้ว เขาได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจ

“ถ้าเกิดฉันตายก่อนขึ้นมา นายต้องอยู่คนเดียวต่อไปนั่นแหละ”

“ไม่ได้หมายถึงอย่างนั่นซิครับ ผมหมายถึงอยู่ด้วยกันจนกว่าจะตายจากกัน หรือว่าที่รุ่นพี่ชวนผมไปอยู่ด้วยก็พูดไปเล่นๆ”

“ฉันดูไม่มีความน่าเชื่อถือขนาดนั้นเชียว”

ฮารุโตะมองหน้าคนถาม หนุ่มรุ่นพี่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของฟูกนอน และเขาตัดสินใจพูดออกไปตามตรง“แค่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่”

ซากิจึงขยับเข้าไปหาพลางดึงอีกฝ่ายให้ย้ายมานั่งเผชิญหน้ากัน เขามองหน้าใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้องที่เริ่มก้มหน้าต่ำลงเรื่อยๆ อากัปกิริยาที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวหวั่นประหม่า ไม่มั่นใจทั้งตัวเองและอนาคตข้างหน้า

“ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรเลย”เขาพูดและลอบมองปฏิกิริยาตอบรับของอีกฝ่ายที่เริ่มอยู่ไม่สุข “นายอาจกำลังคิดว่า ถ้าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ตัวนายจะไม่รู้ว่าควรตอบสนองการกระทำของอีกฝ่ายอย่างไร แต่สำหรับฉัน ทำไมต้องคอยสังเกตสีหน้าคนอื่น เราควรใช้ชีวิตอย่างที่ทำให้ตัวเองมีความสุขต่างหากละ”

อย่างรุ่นพี่ก็ทำได้นะซิ

“ใครๆก็ทำได้ ไม่ใช่เพราะเป็นฉันถึงทำได้”

ฮารุโตะเงยหน้ามองชายหนุ่มหน้าตาตื่น เพราะคิดว่าคำพูดประโยคก่อนหน้าตนแค่คิดในใจ แต่ในความเป็นจริง เด็กหนุ่มงึมงำออกเสียง ซากิที่คอยเงี่ยหูฟังอยู่แล้วจึงได้ยินมัน

ชายหนุ่มยื่นมือออกไปกุมมือฮารุโตะไว้ “ฉันเชื่อว่า ไม่มีใครทำร้ายตัวเราได้ ถ้าเราเข้มแข็งมากพอ แต่ความเข้มแข็งที่ว่าจะสามารถสร้างขึ้นมาได้ด้วยวิธีไหน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”ซากิหัวเราะ

“รุ่นพี่พูดเหมือนว่าเป็นเรื่องง่ายๆ”

“แล้วนายคิดว่าการเรียนยากไหมละ”

ฮารุโตะกลอกตาก่อนจะพยักหน้ารับ

“แล้วนายผ่านมันมาได้ไหม”เขาหยุดพูดเพื่อให้หนุ่มรุ่นน้องตามความคิดของเขาได้ทัน “ทุกอย่างล้วนอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน ในเมื่อนายสามารถใช้ความพยายามและความอดทนของตัวเองผ่านมันมาได้ นายก็สามารถใช้ความพยายามและความอดทนสร้างความเข้มแข็งของตัวเองขึ้นมาได้”

ฮารุโตะยู่หน้าคล้ายบ่งบอกว่าไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ เขาจึงขยับเข้าไปใกล้แล้วดึงร่างเล็กบางเข้ามากอด

“ฉันสัญญาไม่ได้ว่าจะไม่ทำให้นายเสียใจ แล้วก็ไม่สามารถรับประกันอนาคตได้ด้วย แต่ฉันมั่นใจความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้”เขาแนบหน้าผากชนกับหน้าผากมนเนียนของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง มองสบนัยน์ตาสีน้ำตาล กล่าวเอ่ยประโยคถัดไปที่ทำให้ฮารุโตะนึกดีใจในคราแรกที่ได้ยิน แต่ในยามที่ย้อนกลับมาคิดทบทวนอีกครั้ง คำพูดของอีกฝ่ายกลับคลับคล้ายก้อนเมฆที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ

“ฉันอยากใช้ชีวิตอยู่กับนาย”





ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'





ซากุราอิ ชุนเงียบหายไปจนเขานึกกังวล ไม่ใช่เพราะความเป็นห่วง แต่เพราะกลัวว่า ยามที่อีกฝ่ายปรากฏตัวให้เห็นหน้าอีกครั้ง ฝ่ายนั้นจะมาพร้อมพายุที่ถล่มให้ทุกอย่างราบคาบ ประเด็นที่สำคัญอีกอย่างคือรุ่นพี่ชิมิซึก็หายไปด้วย ถึงจะไม่ใช่การหายไปแบบไม่บอกไม่กล่าว แต่การไม่ได้เจอหน้ากันนานๆสำหรับเขา มันสมควรถูกเรียกว่าหายไปอยู่ดี

“คิดถึงก็ไปหา คิดอะไรมาก”ทาคุมิพูดขึ้นมาอีกรอบ ฮารุโตะไม่ได้ตั้งใจนับว่ามันเป็นรอบที่เท่าไหร่ แต่ผู้เป็นเพื่อนพูดบ่อยเสียจนเขาเริ่มมีความคิดโน้มเอียงไปทางนั้น

ชั่วโมงเรียนของวันนี้จบลงแล้ว พวกเขาทั้งคู่จึงพาตัวเองมานั่งเล่นนอนเล่นที่ห้องชมรม เริ่มเข้าสู่ช่วงปลายภาคเรียน ตารางการทำงานของชมรมจึงน้อยลง

“ไม่อยากไปกวน ช่วงนี้รุ่นพี่ต้องไปสัมภาษณ์เกือบทุกวัน”และถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ฮารุโตะรู้สึกเกลียดช่วงหางานทำของเหล่านักศึกษาขึ้นมาจับใจ

“ไปหาแค่แป็บเดียวคงไม่รบกวนมากหรอกมั้ง”

ฮารุโตะมองโทรศัพท์ในมืออย่างชั่งใจ มองชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของหนุ่มรุ่นพี่ด้วยอาการลังเล แล้วต้องสะดุ้งตกใจ เมื่อจู่ๆโทรศัพท์ในมือกลับแผดร้องส่งเสียงออกมา เขารีบกดรับและกรอกเสียงลงไป

“สวัสดีครับ”

“ฮารุจัง อยู่ไหน”น้ำเสียงจากปลายสายรื่นเริงอารมณ์ดีจนภาพใบหน้ายิ้มแย้มของหนุ่มรุ่นพี่ปรากฏขึ้นในศีรษะ

“อยู่ที่ห้องชมรมครับ”

“อย่างนั้นรออยู่ที่นั่นก่อนนะ”จากนั้นสายจึงได้ถูกตัดไป ทาคุมิเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม เขาจึงบอกเล่าข้อความที่ได้คุยกับรุ่นพี่อาโอกิให้ฟัง และนั่งรอไม่นานนัก หนุ่มรุ่นพี่ที่บอกว่าจะมาหาก็มาถึงชมรม

“มีงานมาให้ทำอีกแล้ว”

ฮารุโตะยกยิ้มตามรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้

“ร้านคอสเพลย์ที่ฮารุจังเคยเป็นแบบให้เมื่อปีก่อนจะทำโฟโต้บุ๊คฉลองครบรอบวันเปิดร้าน แล้วฮารุจังจะได้เป็นแบบถ่ายสามชุด”

“ผมด้วย ให้ผมถ่ายด้วยนะครับ”ทาคุมิยื่นหน้ามาพูด

“โน!!! เขากำหนดคนมาแล้ว ไม่ใช่นึกอยากจะเป็นแบบก็ได้เป็น”

“รุ่นพี่อาโอกิไปบอกเขาให้จ้างผมด้วยดิครับ”

“เอ๊ะ ไอ้เด็กคนนี้ บางอย่างเขาดูตามความเหมาะสม ฉันเป็นแค่คนรับงานไม่ได้เป็นเจ้าของ จะได้ไปสั่งให้เขาทำอย่างโน้นอย่างนี้”

ทาคุมิมุ่ยหน้า ทีเรื่องสนุกๆแบบกลับลืมเขาเสียได้

นาโอโตะหันไปคุยเรื่องตารางเวลาการทำงานกับฮารุโตะต่อ

“มันต้องมีถ่ายรูปรวมกับคนอื่นด้วยอันนี้ต้องรอนัด ส่วนรูปเดี่ยวเดี๋ยวได้ชุดมาแล้วพี่จะบอกอีกที”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ แล้วชวนคุยเรื่องการหางานหนุ่มรุ่นพี่หน้าสวย

“ยังไม่แน่ พี่มีความคิดที่จะทำธุรกิจของตัวเอง แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอะไรดี”

ทั้งฮารุโตะและทาคุมิต่างก็ร้องว้าวออกมาเกือบจะพร้อมกัน การทำธุรกิจของตัวเองนั่นหมายถึงการเป็นนายตัวเองไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร ไม่ต้องเจอภาวะกดดันในที่ทำงาน

“ใช่อย่างนั้นซะที่ไหน ทำธุรกิจของตัวเองอาจจะมีอิสระในการคิดตัดสินใจในการดำเนินการก็จริง แต่เราอยู่บนภาวะเสี่ยงว่าจะขาดทุนหรือเปล่านะ มันเครียดและกดดันตรงที่เราต้องได้กำไรธุรกิจของเราจึงจะอยู่รอด”

“แล้วรุ่นพี่จะทำอะไรละครับ”ทาคุมิถาม

“นั่นล่ะ ยังไม่แน่ใจเลย แต่ตอนนี้กำลังคุยเรื่องร้านเสื้อผ้ากับทซึคิโยะอยู่”

“ร้านของรุ่นพี่ต้องออกมาเยี่ยมมากแน่ๆ”ฮารุโตะพูดออกมา จินตนาการถึงกิจการร้านเสื้อผ้าของหนุ่มรุ่นพี่แล้วจุดประกายความคิดว่าถ้าในอนาคตเขาจะเปิดร้านขายอะไรสักอย่างเป็นของตัวเองบ้างคงจะดีไม่น้อย

“เอาไว้ ถ้าทุกอย่างลงตัวพี่จะเชิญเราทั้งสองคนไปงานเปิดตัวธุรกิจของพี่ด้วยแล้วกันนะ”

“ผมไปแน่นอนครับ”ทาคุมิตอบรับแข็งขัน

หลังออกจากห้องชมรมมาพวกเขายังคุยกันต่อเรื่องธุรกิจของนาโอโตะ  และลองคิดกันว่าถ้านักศึกษาวิทยาศาสตร์อย่างพวกเขาเมื่อเรียนจบแล้วและไม่ได้ทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัทควรจะขายอะไร

“ขายน้ำยาล้างห้องน้ำ”

ฮารุโตะขมวดคิ้วเมื่อได้ยินแนวคิดของทาคุมิ

“ผสมสูตรของตัวเองแล้วเปิดร้านวางขาย”คนพูดหัวเราะ “เอาไหม เรามาร่วมหุ้นกัน”

“แล้วใครจะมาซื้อ”

“แรกๆเราก็แจกฟรี หรือไม่ก็เอาไปแลกหนังสือพิมพ์เก่า”

“ในซุปเปอร์มาเก็ตก็มีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดตั้งเยอะแยะจะไปสู้เขาได้หรือ”สีหน้าของฮารุโตะบ่งบอกว่าความคิดของทาคุมิเริ่มเพ้อฝันมากขึ้นทุกที และในความเป็นจริงเขาไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนเรื่องการหางานทำ เพราะขอแค่เขาคงสถานภาพของนักเรียนทุนเช่นนี้ได้ เขาจะมีงานทำทันทีที่เรียนจบ

“มันควร...”ทาคุมิกลอกตาขึ้นมองด้านบน “เป็นสารที่เป็นออร์แกนิค เป็นสารธรรมชาติที่ให้ผลเท่ากับเคมีสังเคราะห์”

“ความคิดนี้ดี”ฮารุโตะร้องออกมา เพื่อนหนุ่มร่างสูงจึงพูดย้ำว่า ใช่ไหม ดีใช่ไหม เด็กหนุ่มจึงพยักหน้ารับเป็นการยืนยันอีกรอบ และยกยิ้มประจบ

“ขอนะ จะเอาไปทำหัวข้อวิจัย”

“ทำน้ำยาล้างห้องน้ำเนี่ยนะ”

“ใช่ซะที่ไหน จะทำเรื่องสารสกัดจากธรรมชาติที่ให้ผลลัพธ์เท่ากับสารสังเคราะห์ต่างหาก อนุญาตแล้วนะ”ฮารุโตะมัดมือชก ทาคุมิจึงโวยวายขึ้นมาเพราะชื่อหัวข้อที่ฮารุโตะพูด ฟังดูเหมือนมีโอกาสที่อาจารย์ที่ปรึกษาจะอนุมัติให้ผ่านได้

ทาคุมิจึงบ่นหงุงหงิง พร่ำให้ฮารุโตะช่วยคิดหัวข้อให้ตนบ้าง ฮารุโตะหัวเราะทั้งท่าทางของเพื่อนหนุ่มที่ใช้ออดอ้อนให้เขาช่วยและรู้สึกพองในอกดั่งกับว่าเขาจะเหนือกว่าอีกฝ่ายอยู่บ้าง จากนั้นจึงรับปากว่าจะช่วย

พวกเขาช่วยกันติวหนังสือเตรียมตัวสำหรับสอบปลายภาคกันต่อหลังจากนั่งคุยนั่งเล่นกันมานาน ตกเวลาค่อนดึกจึงเข้านอนพร้อมกัน

เพราะหนุ่มรุ่นพี่ที่เหมือนจะคบหาอยู่กับเด็กหนุ่มเจ้าของห้องไม่สะดวกมาหา เขาจึงถือโอกาสนี้มานอนค้างด้วย หลังจากปิดไฟสอดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ทาคุมิยังชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ด้วยเสียงเบาๆ กระทั่งต่างฝ่ายต่างเริ่มหาว ถึงได้บอกราตรีสวัสดิ์อย่างจริงจัง

และเมื่อโดนทาคุมิโน้มน้าวอีกสองสามครั้งในเช้าวันถัดมา ฮารุโตะจึงตัดสินใจไปหารุ่นพี่ชิมิซึในช่วงพักเที่ยง ตอนเช้าเขาเตรียมข้าวกล่องให้หนุ่มรุ่นพี่และเตรียมอีกกล่องเผื่อให้ทาคุมิ แล้วก็ส่งข้อความไปหาชายหนุ่มร่างสูง ข้อความตอบกลับถูกส่งมาช่วงสายๆขณะที่เขากำลังเรียนอยู่ ทำให้เขาดีใจจนเกือบจะไม่มีสมาธิในการเรียน

อาการเร่งร้อนหน้าบานของเขาทำให้ทาคุมิเอ่ยแซวไม่หยุด ฮารุโตะไม่รู้จะโต้ตอบเช่นไร ได้แต่ก้มหน้าซ่อนอาการหน้าร้อนของตัวเองไว้ พลางพูดปรามให้เพื่อนหนุ่มหยุดแซวเสียที

“ถ้ายังไม่หยุด ผมไม่ยกข้าวกล่องวันนี้ให้”

“อุย ใจร้ายอ่ะ แหมเนาะฉันมันคนไม่สำคัญนี่นะ”พอโดนพูดตัดพ้อเช่นนั้น ฮารุโตะจึงเกิดอาการร้อนรน เพราะทาคุมิเป็นเพื่อนที่ดีของเขามาตลอด

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ซาโต้ซังก็สำคัญกับผมครับ”เห็นท่าทางจริงจังของคู่สนทนา ทาคุมิจึงรีบพูดบอกว่าล้อเล่น “อย่าคิดมาก แค่แซวเล่น”

ฮารุโตะหน้างอ พาลให้เพื่อนตัวสูงส่งเสียงหัวเราะ “ไม่รีบไปแล้วเรอะ เดี๋ยวรุ่นพี่ชิมิซึหายนะ”พูดพลางรุนหลังให้ฮารุโตะเดินนำ

“ครั้งหน้าอย่าล้อเล่นแบบนี้อีกนะ”

“คร้าบ ครับ ผมจะไม่ทำอีก”ทาคุมิรับคำด้วยท่าทางทะเล้นหน้าเป็น

เดินมาถึงโรงอาหารคณะสังคมศาสตร์ เด็กหนุ่มสองคนช่วยกันกวาดสายตาหาหนุ่มรุ่นพี่ที่ฮารุโตะนัดไว้ ก่อนที่สายตาของเด็กหนุ่มร่างเล็กจะเห็นหนุ่มรุ่นพี่นั่งคุยอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่ง วินาทีที่เขาเห็นภาพนั้นฮารุโตะนึกอยากจะถอยเท้าหนีในทันที

“เดี๋ยวดิ ยอมง่ายๆได้ไง”ทาคุมิรั้งแขนเขาไว้ “แค่เห็นว่ารุ่นพี่คุยอยู่กับคนอื่น นายก็คิดไปไกลเก็บเอาไปเวิ่นเว้อซะแล้วมันใช้ได้ที่ไหน”

“แต่…”เด็กหนุ่มหน้าหงอย

“ไม่มีแต่ นายต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ การที่รุ่นพี่ชิมิซึเขาอยากใช้ชีวิตอยู่กับนาย มันก็หมายถึงเขาอยากให้นายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะฉะนั้นนายมีสิทธิ์รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ทำอะไรกับใคร แล้วไม่จำเป็นต้องหนีเวลารุ่นพี่เขาอยู่กับคนอื่น หรือมีคนเก่าของรุ่นพี่มาระราน เข้าใจไหม”

โดนทาคุมิจ้องหน้ากดดันเช่นนั้น ฮารุโตะจึงต้องพยักหน้ารับ และเขาก็ถูกรุนหลังอีกครั้งให้เดินเข้าไปหาหนุ่มรุ่นพี่

“สวัสดีครับ”ทาคุมิเอ่ยทักทายชายหนุ่มเมื่อเดินไปถึงโต๊ะที่อีกฝ่ายนั่งอยู่ ผู้ร่วมโต๊ะอีกคนซึ่งเป็นหญิงสาวหันมองพวกเขาแค่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวบอกลาชายหนุ่มคู่สนทนา ทาคุมิจึงกดตัวฮารุโตะให้นั่งลงข้างรุ่นพี่ชิมิซึ และพาตัวเองมานั่งอีกฝั่งพลางหยิบกล่องข้าวสำหรับกลางวันในกระเป๋าออกมาส่งให้รุ่นพี่และฮารุโตะ

“มีอะไรหรือเปล่า”ซากิถามเมื่อเห็นทั้งสองคนมีท่าทางแปลกๆ พร้อมกับมองหน้าฮารุโตะที มองหน้าทาคุมิที
ฮารุโตะและทาคุมิพร้อมใจมองหน้ากัน และพร้อมใจสั่นศีรษะปฏิเสธ ท่าทางมีพิรุธจนซากินึกอยากจะเอ่ยปากถามซ้ำ เพียงแต่เขาไม่อยากทำให้ช่วงเวลาสำหรับการทานอาหารกร่อยลง จึงลงมือทานแล้วถามถึงเรื่องอื่นเสียแทน

“เริ่มสอบกันวันไหน”

“วันที่สิบสามกุมภาครับ”ฮารุโตะตอบ “มีสอบทุกวันเลยครับ”

ซากิโคลงศีรษะรับรู้

“รุ่นพี่อาโอกิมีงานมาให้ทำอีกแล้วครับ รุ่นพี่จำที่ผมเป็นแบบถ่ายชุดคอสเพลย์เมื่อปีก่อนได้หรือเปล่า ปีนี้ทางร้านเขาจะทำโฟโต้บุ๊คแหละครับ”ฮารุโตะเล่าไปพลางทานอาหารไปพลาง ซากิส่งเสียงครางรับในลำคอ เอ่ยถามรายละเอียดอีกนิดหน่อย พร้อมทั้งชวนคุยระหว่างทานข้าว

จวบกระทั่งฮารุโตะทานอาหารเสร็จ ชายหนุ่มร่างสูงจึงลุกขึ้นยืนเดินตามหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนโดยตั้งใจว่าจะเดินตามไปส่งฮารุโตะที่ตึกเรียน แต่กระนั้นกลับมีเสียงเอ่ยเรียกเขาไว้เสียก่อน

“ชิมิซึซัง”

ทั้งสามคนหันไปมอง อีกฝ่ายเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง

“กำลังตามหาอยู่เลย”เธอกล่าว ชายหนุ่มเจ้าของชื่อเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย เธอจึงชูเอกสารในมือยื่นส่งมาตรงหน้า

“ฉันเอารายละเอียดการสอบเข้ามาให้”

เขารับมาถือแล้วกวาดสายตาอ่านรายละเอียดคร่าวๆ จากนั้นจึงยกยิ้มออกมา “ขอบใจมาก”

“แล้วอาจารย์เขาอยากคุยกับนายด้วย”

“อ่า... ขอบคุณที่บอก”

เมื่อหมดธุระเธอจึงกล่าวลา ซากิหันกลับมามองรุ่นน้องทั้งสองคน

“อย่างนั้นเดี๋ยวผมไปเรียนก่อนนะครับ”ฮารุโตะพูด

“ฉันไปส่ง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ รุ่นพี่ชิมิซึมีธุระไม่ใช่หรือ ผมกลับเองได้”

“ไว้ตอนเย็นฉันไปหา”

“ครับ”ฮารุโตะยิ้มรับ ก่อนโบกมือบอกลาอีกรอบ หมุนตัวหันหลังสาวเท้าก้าวเดินตามทางไปยังตึกเรียน

ทาคุมิเอี้ยวคอมองด้านหลังเล็กน้อย เห็นแค่แผ่นหลังของชายหนุ่มรุ่นพี่ไกลๆจึงเข้าไปเบียดกระแซะเพื่อนร่างเล็ก

“เห็นม่ะ ดูไม่มีอะไรเลย ถ้านายถอยหนีไปตั้งแต่ทีแรกแล้วเก็บเอาไปฟุ้งซ่านคนเดียว เครียดอึดอัดตายไปแล้วล่ะป่านนี้”

“ได้ที เอาใหญ่เลยนะ”

“ก็จริงอ่ะ คบกันนะ มีอะไรไม่เข้าใจก็ต้องถาม อยากรู้อะไรถามเขาเลย สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นก็ได้”

“รู้ดีจัง ฟังดูเชี่ยวชาญมาก”ฮารุโตะลากเสียงคำสุดท้ายเพื่อยืนยันว่าตนรู้สึกว่ามากอย่างนั้นจริงๆ คนโดนแซวจึงส่งเสียงหัวเราะ

“เชี่ยวชาญกว่าบางคนแถวนี้นั่นแหละ”ทาคุมิพูดบอกด้วยอาการลอยหน้าลอยตา ฮารุโตะจึงแสร้งเบ้หน้าคล้ายหมั่นไส้ให้ทาคุมิส่งเสียงหัวเราะออกมา

อย่างไรก็ดี ในตอนเย็นวันนั้นรุ่นพี่ชิมิซึที่สัญญาว่าจะมาหาได้ทำเพียงแค่ส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือมาว่า 

“ขอโทษนะ ธุระยังไม่เสร็จ ไว้จะโทรหา”

ฮารุโตะมองข้อความนั้นด้วยความเงื่องหงอยลง พาลให้นึกไม่ชอบใจชายหนุ่มร่างสูง นึกสงสัยว่ามีธุระอะไรนักหนา ไม่ต้องกินต้องนอนกันเลยหรืออย่างไร

“หน้างออีกละ”

“รุ่นพี่ชิมิซึไม่ว่างอีกแล้ว”

ทาคุมิโน้มหน้าไปเหลือบมองโทรศัพท์ในมือของฮารุโตะ “อ่อ ข้อความนั่นอ่านะ ก็ดีแล้วไงล่ะที่เขาส่งมาบอก”

“มีธุระอะไรนักหนาก็ไม่รู้”ฮารุโตะพูดออกไปตามที่ใจคิด

“เขาต้องธุระมีโน่นนี่บ้างแหละ อย่าคิดมากเลย”

ฮารุโตะหน้ามุ่ยด้วยความไม่ชอบใจ ทาคุมิจึงยกยิ้มพลางชวนคุยไปเรื่องอื่นให้อีกฝ่ายสบายใจ




หิมะตกหนักเกือบทุกวันจนผืนดินที่เคยเป็นสนามหญ้ากลายเป็นสีขาวโพลน ขอบถนนริมทางเดินมีแต่หิมะพูนหนา ซ้ำปุยหิมะยังร่วงหล่นโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย ฮารุโตะดึงฮูดขึ้นคลุมศีรษะกระชับผ้าพันคอและสอดสองมือซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อ ย่ำเท้าเดินด้วยความระมัดระวัง ยามที่ได้ขยับร่างกายเช่นนี้เหมือนว่าร่างกายจะอุ่นขึ้นเล็กน้อย

สองข้างทางตามทางเดินมีแต่ต้นไม้ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาว ภาพทิวทัศน์บรรยากาศที่ได้เห็นทำให้เขานึกถึงภูเขาหิมะที่นางาโน่อีกครั้ง พลางคิดไปว่า น่าแปลกที่ปีนี้พวกรุ่นพี่ไม่เห็นนัดไปเล่นสโนว์บอร์ดกันอีก หรือเพราะวิทยานิพนธ์จะหนักหนาสาหัสจนขยับตัวไปไหนไม่ได้

ขณะที่คิดอะไรเพลินๆ พลันสายตาของเขาได้เหลือบเห็นชายหนุ่มรุ่นพี่ที่ทำให้ในใจรู้สึกขุ่นเคือง ฮารุโตะแสร้งเบือนหน้ามองฟ้ามองดินเพราะไม่อยากเอ่ยทักอีกฝ่าย ทว่าเหมือนกับอิชิอิ อาสะฮินะจะตั้งใจมาดักรอเจอเขาโดยเฉพาะ

“อรุณสวัสดิ์”อาสะฮินะเอ่ยคำทักทายพร้อมรอยยิ้มที่ประดับอยู่ที่มุมปาก

ฮารุโตะก้มศีรษะกล่าวตอบรับคำทักทายด้วยอากัปกิริยาแกนๆลวกๆ

“ฉันจะฝากคืนนี่ให้ชิมิซึหน่อย”

‘นี่’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงคือถุงมือหนังสีดำซึ่งฮารุโตะไม่ได้ยื่นมือไปรับในคราแรก แต่ส่งเสียงถามกลับไป “ของรุ่นพี่ชิมิซึหรือครับ”

“อืม พอดีเมื่อวานชิมิซึลืมทิ้งไว้”

ลืมทิ้งไว้? ที่ไหน? ทั้งที่เมื่อวานบอกเขาว่ามีธุระ แต่กลับไปอยู่กับคนอื่น ฮารุโตะก้มหน้าลงมองพื้น ยื่นมือเขียวซีดเย็นเฉียบเพราะสภาพอากาศออกไปรับ

“ครับ แล้วผมจะเอาไปคืนให้”

ก้มศีรษะให้อีกฝ่ายซ้ำอีกครั้งก่อนจะรีบสาวเท้าจากมา ยัดถุงมือเย็นเฉียบที่ไม่ต่างกับใจของเขาใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อโค้ท

เขาไม่อยากคิดฟุ้งซ่านไปเองคนเดียว แต่ยามที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้มันกลับอดไม่ได้ รุ่นพี่ชิมิซึไม่ได้รักเขา ฮารุโตะรู้ความจริงข้อนี้ ทว่าไม่อยากคิดถึงมันให้เป็นการทำร้ายใจตัวเอง รุ่นพี่ใจดีคอยเอาใจใส่และดูแลเขาตลอดมา ซ้ำยังกล้าพูดว่าอยากจะใช้ชีวิตอยู่กับเขา เด็กหนุ่มจึงคิดว่ามันน่าจะเพียงพอแล้ว และเคยคิดว่า อีกฝ่ายจะไม่รักเขาหมดทั้งใจ หรือเขาจะไม่ใช่ที่หนึ่งก็ไม่เป็นไร ขอแค่เขายังมีความหมายสำหรับชายหนุ่มก็เพียงพอ

ถึงจะคิดได้ แต่หัวใจของเขากลับไม่ยอมรับความคิดนั้น ฮารุโตะไม่เข้าใจ ทั้งที่ร่างกายนี้เป็นของเขา แต่ทำไมเขาถึงไม่สามารถควบคุมมันได้ เขาคิดด้วยเหตุผล ยอมรับทุกอย่างตามความเป็นจริง กระนั้นหัวใจกลับยังคงเจ็บปวด

เขาสูดลมหายใจเย็นเยือกเข้าปอด ข่มกลั้นความปวดแปลบภายในอก

ทาคุมิเคยบอกว่า ถ้าสงสัยข้องใจหรืออยากรู้อะไรให้เขาถามรุ่นพี่ชิมิซึออกไป เพื่อนของเขาเคยบอกว่า สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นเสมอไป ฮารุโตะพูดท่องประโยคเหล่านั้นในใจ ขณะที่โพรงจมูกเริ่มแสบร้อน พร่ำบอกตัวเองให้หนักแน่นเข้าไว้ และสูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง คุมความคิดที่เตลิดเปิดเปิงให้กลับมาอยู่ ณ ปัจจุบัน ข่มความปวดหน่วงกดลึกลงดิ่งให้หายไปเสีย

ฮารุโตะสูดลมหายใจเข้าและพรูลมหายใจออกอีกครั้ง พร้อมกลับล้วงหยิบถุงมือหนังของหนุ่มรุ่นพี่ขึ้นมาดู ถุงมือคู่นั้นราวกับกำลังค่อยๆอุ่นขึ้นมา เขาจึงสอดมันกลับลงไปในกระเป๋า จากนั้นจึงยกเท้าเร่งก้าวเข้าในไปตัวอาคาร

เด็กหนุ่มถอดฮูดออกปัดปุยหิมะออกจากเสื้อผ้า เปิดประตูเดินผ่านประตูกระจกเข้าไป ฉับพลันที่ปะทะกับความอบอุ่นอันเกิดจากเครื่องทำความร้อนภายในอาคาร ร่างกายจึงสั่นสะท้านขึ้นมา เขาสาวเท้าขึ้นบันไดไปยังชั้นบนพร้อมกับถูมือทำตัวเองให้อุ่นขึ้นอีกนิด

ที่ห้องชมรมถ่ายภาพบนชั้นสามมีรุ่นพี่อาโอกิมารออยู่แล้ว

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

หลังจากที่ส่งเสียงทักทายออกไป หนุ่มรุ่นพี่จึงหันมายิ้มให้

“เขาจะให้พี่วัดขนาดตัวของฮารุจังส่งไปให้”อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาพร้อมอุปกรณ์ในมือ เขาจึงถอดเสื้อโค้ทตัวนอกออกให้เหลือแต่เสื้อสเวตเตอร์ตัวใน “ทีแรกนึกว่าจะส่งชุดมาให้เลยแบบครั้งก่อนเสียอีก”

ฮารุโตะจึงยืนนิ่งปล่อยให้หนุ่มรุ่นพี่ทาบสายวัดกับร่างกายและจดรายละเอียดลงกระดาษ เพียงครู่เดียวทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย

“ขอบใจมาก”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ “ไม่เป็นไรครับ รุ่นพี่อุตส่าห์หางานมาให้เป็นผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ”

“พี่ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกเพราะทางร้านเขาเลือกฮารุจังต่างหาก พี่เป็นแค่คนกลางเท่านั้น แล้วมีเรียนแต่เช้าใช่ไหมวันนี้”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

“จ้า ถ้ามีอะไรพี่จะโทรไปหา”

ฮารุโตะบอกลาซ้ำก่อนจะก้าวออกมาจากห้อง

เด็กหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้าขมุกขมัวด้านบน หิมะที่โปรยปรายลงมาตั้งแต่เมื่อคืนหยุดลงแล้วจึงให้ความรู้สึกเหมือนจะมีแสงสีทองของดวงอาทิตย์ส่องผ่านก้อนเมฆออกมาเล็กน้อย ยามที่ก้าวเท้าออกมาด้านนอกอาคาร อากาศเย็นเฉียบจึงกลับมาเล่นงานเขาจนคล้ายจะไม่อยากก้าวไปเผชิญซ้ำอีกครั้ง อย่างไรก็ดี เด็กหนุ่มทำได้เพียงฮึดเรียกกำลังใจและรีบก้าวเดินไปตามทาง

ฮารุโตะได้แต่มองพื้นถนนเพราะกลัวว่าจะลื่นล้ม ทำให้เขาไม่ทันได้สังเกตเด็กหนุ่มร่างสูงซึ่งสาวเท้าเข้ามาประชิด  รู้ตัวอีกทีนั่นเป็นตอนที่เขาถูกรวบยกลอยจนเท้าไม่ติดพื้น เขานิ่งงั้นไปในวินาทีแรกก่อนจะพยายามดิ้นรนร้องตะโกนให้คนช่วย ทว่าผู้ร้ายกลับส่งมือหนามาปิดปากเขาไว้เสียสนิท

เขาได้แต่ส่งเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ

และทันทีที่ถูกปล่อยในจุดที่เป็นซอกหลืบลับตาผู้คน รีมฝีปากหนาก็ถูกทาบทับตามลงมา ร่างกายถูกเบียดชิดกับผนังอาคารที่อยู่ด้านหลังจนทำให้ขยับได้ลำบาก เหลือเพียงสองมือที่ทำได้เพียงทั้งผลักทั้งดันร่างหนาหนัก ฮารุโตะกัดฟันเมื่ออีกฝ่ายขบย้ำเลาะเล็ม ก่อนจะต้องยอมเปิดปากเพราะถูกบังคับบีบปลายคางจนเจ็บ

อีกฝ่ายตะกละตะกลามกวาดต้อนดูดดึง รุกเร้าภายในคล้ายกระหายอยาก ฮารุโตะถูกเร่งเร้าให้ตอบสนองจนหายใจไม่ทัน สัมผัสกักขฬะราวกับจะกลืนกินทำลายทุกสิ่ง เขาได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา มองผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่คุกคามเอาแต่ได้แต่เพียงฝ่ายเดียว พร้อมกับเรี่ยวแรงที่เริ่มเหือดหาย

ซากุราอิ ชุนผละออกไปให้เขาได้หอบหายใจเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะประกบริมฝีปากทับขบย้ำและสอดปลายลิ้นเข้ามารุกรานซ้ำๆ ภายในหัวใจของเขาเย็นเยือกเหมือนอากาศรอบกาย วงแขนหนาที่โอบรัดรอบตัวไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมากลับทำให้เย็นเยียบสั่นสะท้าน ฮารุโตะปล่อยให้อีกฝ่ายกอบโกยจนกว่าจะพอใจ

เสียงหอบหายใจของซากุราอิ ชุนดังก้องที่ข้างหูพอๆกับอาการหอบหายใจของเขา

“ปล่อยได้หรือยัง”ฮารุโตะถาม น้ำเสียงนิ่งเรียบไม่สื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองสบสายตาของอีกฝ่าย

“พอใจแล้วใช่ไหม”เขากระชากเสียงถามด้วยความขุ่นเคือง จากนั้นจึงพยายามควบคุมน้ำเสียงในประโยคต่อมาให้เรียบนิ่งเหมือนเดิม“ผมไปได้หรือยัง”

“อย่ามาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้”

“แล้วจะให้ผมรู้สึกอะไร”ฮารุโตะถามทันควัน โพรงจมูกแสบร้อนขึ้นมาอีกครั้งทั้งรู้สึกถึงน้ำอุ่นร้อนที่เอ่อล้นขอบตา

...ไม่ว่าใครก็ทำเหมือนว่าเขาไม่มีค่า

“ถ้าอยากรู้ผมจะบอกให้ ผมทั้งรังเกียจทั้งขยะแขยง อยากจะอ้วกทุกครั้งที่คุณโดนตัวผม จูบของคุณมันห่วยแตกสิ้นดี พอใจหรือยัง”

“ทำไม”ชุนคว้าจับต้นแขนของฮารุโตะไว้ “ชอบมันมากนักเหรอ ชอบไอ้รุ่นพี่คนนั้นมากนักหรือไง”เขาตะโกนถามเสียงดัง

“มากกว่าคุณ มากกว่าคุณร้อยเท่าพันเท่า”ฮารุโตะเน้นย้ำคำพูดของตนด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน พาลให้อีกฝ่ายบันดาลโทสะเงื้อมือขึ้นสูง

“เอาเลย!!!”เขาร้องท้า “ตบเลย ต่อให้คุณตบผมจนตาย ความจริงที่ผมชอบรุ่นพี่มากก็ไม่เปลี่ยนอยู่ดี”ฮารุโตะเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยแววตาท้าทาย มันก็เหมือนกับครั้งอื่นๆไม่ว่าจะพยายามอย่างไร สิ่งที่เขาต้องเจอยังคงเลวร้ายทุกครั้ง เมื่อคิดได้เช่นนั้น มันเหมือนจะเจ็บจนชินชาแต่กลับทำให้เขาไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน

ชุนลดมือลง เปิดปากพูดช้าๆให้ฮารุโตะได้ยินทุกคำในประโยคของเขาให้ชัดเจน

“นายเป็นของฉัน และฉันจะไม่ยอมยกนายให้ใคร”

ชุนหมุนตัวเดินกลับไปเมื่อจบคำพูดนั้น และทันทีที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายหายลับไปจากครรลองสายตา เรี่ยวแรงที่เคยพยุงให้ฮารุโตะทรงตัวยืนอยู่ได้กลับหายไปฉับพลัน เขาทรุดตัวลงนั่งกองกับพื้น มือสั่นระริก ทั้งหัวใจยังคงเต้นระรัว อุณหภูมิร่างกายทำให้หิมะที่เขานั่งทับอยู่ละลายกลายเป็นน้ำจนกางเกงที่สวมใส่เปียกชื้น

ฮารุโตะส่งเสียงหัวเราะออกมาทั้งที่น้ำตาไหลอาบหน้า คำพูดของชุนดังสะท้อนก้องหู เขาเป็นของชุน เป็นแค่สิ่งของที่ชุนนึกอยากจะทำอย่างไรก็ได้

เด็กหนุ่มขบกัดฟันตัวเองไว้แน่น กลั้นก้อนสะอึกรสขมปร่าที่พยายามตีรื้นขึ้นมา อ้าปากสูดลมหายใจเข้าปอดหลายต่อหลายครั้งอาการปวดหน่วงในอกก็ไม่จางหายไปเสียที ฮารุโตะล้มตัวลงนอนกับพื้นอย่างหมดเรี่ยงแรง นอนนิ่งอยู่เช่นนั้นจนรับรู้แค่ความหนาวเย็นของหิมะรอบกาย




+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++



ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คนหนึ่งนิ่งขรึม วางเฉย แต่ฮารุโตะ ก็เฝ้ารอ คิดมาก แถมแฟนเก่ายังตามมาวุ่นวายให้เข้าใจผิด

อีกคนก็เข้าหา คุกคามประชิดตัวแถมจู่โจมสัมผัสลึกซึ้ง แต่อารุโตะไม่รู้สึกประทับใจ
แล้วยังบอกว่าฮารุโตะเป็นของเขา เขาไม่ยอมยกฮารุโตะให้ใคร
“นายเป็นของฉัน และฉันจะไม่ยอมยกนายให้ใคร”

ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้ ไม่ได้อย่างใจเอาซะเลย
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Jessiebier

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
เรื่องย่อ ตอนที่ 21
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
การกระทำของซากุราอิ ชุนมันตอกย้ำความไร้ค่าในตัวเองที่ถูกซ่อนลึกไว้ในใจของฮารุโตะ ครั้งหนึ่งชิมิซึ ซากิก็เคยทำแบบเดียวกัน หนุ่มรุ่นพี่คนนั้นก็เคยเอาเปรียบเขาทั้งที่เขาไม่ยินยอมเช่นเดียวกัน ยามที่เห็นซากิความเกลียดชังในใจของฮารุโตะจึงเหมือนจะปะทุขึ้นมา





春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 21





ซาโต้ ทาคุมิเคาะบานประตูตรงหน้าระรัวซ้ำอีกครั้งเมื่อมันยังคงเงียบสนิทพลางส่งเสียงเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้อง

“ฮารุโตะเปิดประตูหน่อย”

เขาใช้ความอดทนรออยู่หลายอึดใจกว่าที่เพื่อนสนิทผู้เป็นเจ้าของห้องจะมาเปิดประตู

ฮารุโตะหน้าแดงช้ำจากการร้องไห้และดวงตาแดงก่ำ เจ้าตัวยังคงอยู่ในชุดเสื้อโค้ทตัวยาวสีดำ ทว่ามันกลับเปียกชื้นจนเขาต้องร้องอุทานออกมา

“ทำไมยังใส่เสื้อเปียกแบบนี้ละ”เขารีบปลดกระดุมรูดซิปถอดเสื้อออกจากร่างกายของอีกฝ่าย เสื้อสเวตเตอร์ตัวในก็ชื้นจนเขาต้องรีบดึงถอดออกจากศีรษะ จากนั้นจึงหาเสื้อกับกางเกงตัวใหม่มาให้ฮารุโตะสวมทั้งยังดึงฟูกนอนและผ้าห่มออกมากาง หลังนำผ้าห่มผืนหนาคลุมร่างกายของเพื่อนสนิท เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าภายในห้องไม่ได้เปิดฮีตเตอร์ด้วยซ้ำ

จัดการเปิดฮีตเตอร์เสร็จเรียบร้อย ทาคุมิจึงได้ทรุดตัวลงนั่งข้างๆฮารุโตะ

“เกิดอะไรขึ้น”

ฮารุโตะหันมองเขา จากนั้นน้ำตาที่คล้ายเพิ่งแห้งหายไปกลับรื้นปริ่มขึ้นมาอีก อีกฝ่ายขยับตัวเข้ามาใกล้และวางศีรษะไว้บนไหล่ของเขา

“ซาโต้ซัง”ฮารุโตะเอ่ยเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “รักผมบ้างไหม”

เด็กหนุ่มดึงร่างของอีกฝ่ายเข้ามากอด แม้จะยังไม่รู้เรื่องราวที่ทำให้ฮารุโตะกลายเป็นเช่นนี้ แต่เขากลับเศร้าใจจนน้ำตาไหลออกมา

“รักดิ ถ้าไม่รักคงไม่เป็นห่วงขนาดนี้”แม้จะพยายามทำเสียงให้ร่าเริง แต่ปลายสำเนียงยังสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด

“ดีใจจัง”

เสียงของฮารุโตะเหนื่อยแรงอ่อนล้าจนเขาต้องโอบรัดร่างเล็กบางไว้ให้แน่นพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาของตัวเอง เขานั่งเงียบลูบหลังปลอบโยนร่างเล็กบางในอ้อมกอด โดยไม่คิดถามอะไรทั้งสิ้น สำหรับเขา ฮารุโตะเข้มแข็งที่พยายามยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งเลวร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพียงแต่อีกฝ่ายไม่มีใครที่คอยเป็นกำลังใจ ไม่มีใครที่คอยอยู่เคียงข้างเพื่อเป็นที่ปรึกษา คอยพยุงยามที่เจ้าตัวล้มลง ฮารุโตะได้แต่เพียงลองผิดลองถูกด้วยตัวเองเรื่อยมา

“วันนี้ผมเจอซากุราอิซัง”ฮารุโตะเริ่มต้นพูดอีกครั้งหลังจากที่นั่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ชื่อนั้นทำให้ทาคุมิผละอีกฝ่ายออกเพื่อมองสำรวจ

“มันทำอะไรหรือเปล่า”

เด็กหนุ่มร่างบางผู้เป็นเจ้าของห้องตอบคำถามของเขาด้วยการแตะปลายนิ้วมือไว้บนริมฝีปากของตัวเอง

“เขาบอกว่าผมเป็นของเขา”แล้วหลุบตามองพื้นด้วยอาการเหม่อลอย “แต่เขากลับทำร้ายผมมาตลอด ซาโต้ซังจะไม่ทำแบบนั้นใช่ไหม”ประโยคสุดท้ายฮารุโตะหันหน้ามาถามเขา เสียงถามสั่นเครือระคนคาดหวัง

“อือ ไม่ทำเด็ดขาด ฉันสัญญา”

“ดีจัง”ฮารุโตะยกยิ้ม พูดต่อไปอีกว่า “ผมเองก็จะรักแต่ทาคุมิคนเดียว”

ทว่าคำว่ารักของฮารุโตะกลับฟังดูแปลกสะดุดหูกว่าทุกครั้ง  ทาคุมิขมวดคิ้วก้มมองเพื่อนสนิทที่แนบใบหน้าลงกับแผงอกของเขา ตั้งใจฟังถ้อยคำที่อีกฝ่ายพึมพำเสียงเบาออกมา

“ต่อไปผมจะอยู่กับทาคุมิ เราจะอยู่ด้วยกัน”

ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดตอบสิ่งใด ประตูห้องพลันถูกเปิดเข้ามาโดยแรง และเป็นชิมิซึ ซากิที่ยืนอยู่ตรงนั้น

หนุ่มรุ่นพี่ย่างเท้าเพียงสองสามก้าวก็สามารถมาประชิดตัวคนทั้งคู่ เขาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าวางมือประคองแผ่นหลังบางด้วยกิริยาเชื่องช้านุ่มนวล

ทาคุมิตั้งใจจะส่งร่างเพื่อนสนิทให้กับหนุ่มรุ่นพี่ ทว่าฮารุโตะกลับกอดเขาแน่นไม่ยอมปล่อย

“ฮารุโตะเป็นอะไรล่ะ รุ่นพี่ชิมิซึมาแล้วนะ”

ไม่!!! ไหนทาคุมิบอกว่ารักผม จะไม่ทำร้ายผมไง แล้วทำไมจะส่งผมให้กับคนใจร้ายอีกแล้ว”ฮารุโตะส่งเสียงโวยวายออกมาไม่หยุด จับยึดร่างของทาคุมิไว้แน่นกว่าเดิม

คำพูดนั้นทำให้หนุ่มรุ่นพี่หน้าเสีย ทาคุมิมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจืดเจื่อน

“รุ่นพี่ชิมิซิครับ ถ้าอย่างไรกลับไปก่อนดีไหมครับ ถ้าฮารุโตะใจเย็นขึ้นเดี๋ยวผมโทรหา”

ซากิตวัดสายตาคมดุมองเจ้าของคำพูด ในอกปวดแปลบเพราะท่าทางปฏิเสธของฮารุโตะ ทั้งขุ่นเคืองที่ทาคุมิทำมาเป็นปากกล้ารู้ดี

“นายนั่นแหละที่ควรกลับไปได้แล้ว”พูดพลางจับกระชากคนทั้งคู่ให้ออกห่างจากกัน คว้าหลังคอเสื้อดึงทาคุมิออกไปโยนไว้นอกห้อง ปิดประตูลงกลอนกั้นเด็กหนุ่มอีกคนไว้ภายนอก

“คนใจร้าย เอาทาคุมิคืนมานะ”

ซากิเจ็บแปลบเสียดแทงในอกทุกครั้งที่ได้ยินฮารุโตะเรียกหาแต่คนอื่น ขณะเสียงเคาะประตูเสียงร้องโวยวายของทาคุมิดังแทรกเข้ามาไม่หยุด

“คนใจร้าย”ฮารุโตะร้องตะโกนต่อว่าพร้อมกับลุกขึ้นจะวิ่งไปที่ประตู

“หยุดนะมิอุระ”เขาคว้าจับร่างเล็กบางไว้แล้วกดอีกฝ่ายลงบนฟูกนอน “เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกเนี่ย”

“ใช่ ผมมันบ้า เพราะอย่างนั้นปล่อยนะ อย่ามาจับ ปล่อยผมเดี๋ยวนี้”เด็กหนุ่มร่างเล็กร้องโวยวายดีดดิ้นพลางร้องตะโกนโวยวายเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ

“ทาคุมิช่วยด้วย แจ้งตำรวจเลย ตำรวจ อุ๊บ!!!”

ซากิแนบริมฝีปากลงไปปิดปากอีกฝ่าย ทว่านี่กลับเป็นครั้งแรกที่ฮารุโตะไม่คล้อยตามทั้งยังพยายามดิ้นรนขัดขืนอยู่เช่นเดิม เขาดูดกลืนลมหายใจของอีกฝ่ายอยู่เนิ่นนานจึงได้ผละออกมา

ฮารุโตะอ้าปากหอบหายใจตัวโยน

“ตั้งสติหน่อยมิอุระ”เขาทอดเสียงนุ่มเอ่ยปลอบ

กระนั้นยามที่ฮารุโตะสามารถจับลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติ เขากลับสาดคำพูดใส่อีกฝ่ายอย่างไม่นึกอยากยั้งคิด

“ผมขยะแขยง ผมรังเกียจ อย่าเข้ามาใกล้นะ ออกไปไกลๆเลย น่ารังเกียจ น่ารังเกียจ” คำพูดที่ถูกย้ำซ้ำๆนั่นราวกับตะปูที่ตอกลงกลางใจของชายหนุ่ม มันทำให้เขาเจ็บร้าวราวกับเลือดกำลังไหลอยู่ในอก แม้จะมึนงงสับสนว่าเหตุใดเด็กหนุ่มรุ่นน้องคนที่เขาเคยคิดว่า หัวอ่อนว่าง่ายถึงได้เปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ กระนั้นเขากลับไม่อยากปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดลอยไปไกลสายตา

เขาโน้มหน้าลงแนบจุมพิตลงอีกครั้ง ปิดริมฝีปากที่ค่อยแต่จะพ่นคำพูดร้ายกาจใส่เขา ชายหนุ่มเจ็บช้ำจนเผลอไผลรุนแรง กระทั่งได้กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งอยู่ในปาก

เขาผละห่างออกมามองหน้าฮารุโตะที่มองเขาด้วยแววตาเลื่อนลอย น้ำตานองไปทั้งใบหน้า

“รุ่นพี่... ใจร้าย”

ซากิไม่คิดปฏิเสธ สอดกายขยับสะโพกเข้าหา พลางโน้มตัวแต้มจุมพิตที่ข้างขมับของหนุ่มรุ่นน้อง “นายเองก็... ใจร้ายเหมือนกัน”

เขาถอนกายออกขยับตัวมานั่งด้านข้าง  ฮารุโตะนอนหลับสนิทอยู่บนฟูกนอนโดยมีรอยจ้ำช้ำไปทั้งตัว ซ้ำอุณหภูมิร่างกายยังพุ่งสูงจนน่าเป็นห่วง เขาจึงดึงผ้าห่มคลุมร่างของอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะลุกขึ้นเตรียมน้ำเตรียมเสื้อผ้าเพื่อผลัดเปลี่ยนให้เด็กหนุ่ม

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจของเขาอีกครั้ง

“รุ่นพี่ชิมิซึครับ เกิดอะไรขึ้นน่ะ”เสียงของทาคุมิดังลอยออกมาจากหลังบานประตู “ฮารุโตะเป็นอะไรหรือเปล่า”

ซากิจึงเปิดประตูออกไป “ได้ยินหรือเปล่าล่ะ”

ทาคุมิหน้าแดง ถึงจะไม่ได้ยินชัดเจนแต่เขาพอจะเดาได้

“ไม่มีอะไรหรอกน่า กลับไปได้แล้ว”

“รุ่นพี่ไม่น่าจะทำแบบนี้เลย รู้ไหมครับว่าฮารุโตะเจอซากุราอิ”

“ฉันรู้ถึงได้รีบมาหานี่ไงล่ะ”

“รู้อย่างนั้นแล้ว ทำไมถึงได้ทำอะไรรุนแรงแบบนี้กับฮารุโตะด้วยล่ะครับ”

ชายหนุ่มไม่ตอบ เห็นหนุ่มรุ่นพี่นิ่งเงียบทาคุมิจึงพูดต่อ “ผมไม่รู้ว่ารุ่นพี่รักฮารุโตะบ้างไหม แต่ฮารุโตะรักรุ่นพี่นะครับ ทั้งที่คิดมากเรื่องคู่ควงคนอื่นๆของรุ่นพี่ แต่ก็ไม่เคยทำตัวงี่เง่าให้รุ่นพี่ไม่ชอบใจ รุ่นพี่ไม่ว่างมาหา เขาก็ได้แต่อดทน ทั้งที่อยากจะอยู่กับรุ่นพี่ตลอดเวลาแท้ๆ”

“อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย”ซากิตวาดใส่  นึกขุ่นขวางที่ฮารุโตะพูดคุยกับทาคุมิมากกว่าเขา เพราะนั่นหมายถึง เขาไม่ใช่โลกของฮารุโตะ และมิอุระ ฮารุโตะก็สามารถอยู่ได้โดยไม่มีเขา

“ถ้าไม่อยากกลับก็อย่ามาเคาะประตูอีก รำคาญ!!!”ซากิเหวี่ยงประตูปิดใส่หน้าอีกฝ่าย  เขายืนนิ่งสงบสติอารมณ์อยู่หน้าประตูเช่นนั้นครู่ใหญ่ จึงกลับเข้ามาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฮารุโตะ และเปิดหายาแก้ไข้ หยิบกระปุกยาขึ้นมาดูพบว่ามันเลยวันหมดอายุไปแล้ว จึงลุกขึ้นหยิบกุญแจ กระเป๋าเงิน ดึงเสื้อโค้ทมาสวมและเปิดประตูห้อง

ทาคุมิยังคงนั่งอยู่หน้าห้องเช่นกัน

หลังปิดล็อคประตูห้องจึงคว้าคอลากให้อีกฝ่ายเดินตาม

“จะพาผมไปไหนครับ”

“กลับบ้านไปได้แล้วไป”ว่าพลางเหวี่ยงผลักหนุ่มรุ่นน้องให้ออกห่าง

“ทำไมครับ ฮารุโตะอยู่ในห้องคนเดียวไม่ใช่หรือ ให้ผมไปอยู่เป็นเพื่อนน่าจะดีกว่า”

“ตกลงแกตั้งใจจะแย่งมิอุระกับฉันใช่ไหม”ซากิตะคอกถามด้วยอารมณ์ “ถึงได้เซ้าซี้ไม่เลิกแบบนี้ แกก็เห็นว่าเขาไม่เลือกฉัน ถ้าแกอยู่เมื่อไหร่ฉันจะได้คุยกับเขาดีๆ หรือแกตั้งใจจะเป็นศัตรูกับฉันจริงๆ”

“ทำไมรุ่นพี่คิดอย่างนั้นล่ะครับ ผมกับฮารุโตะเป็นเพื่อนกัน”

“แต่มิอุระเริ่มคิดว่าแกไม่ใช่แค่เพื่อนแล้วไม่รู้หรือไง”เขาตะโกนสวนทันควัน  หันรีหันขวางด้วยอาการหงุดหงิด เบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อระงับความฉุนเฉียวก่อนจะหันกลับไปมองหนุ่มรุ่นน้องต่างคณะอีกรอบ พร้อมเอ่ยถามซ้ำว่า

“ตกลงแกคิดกับมิอุระมากกว่าเพื่อนแล้วใช่ไหม”

ทาคุมินิ่งงันเพราะสับสนตัวเอง  เขาสนิทสนมกับฮารุโตะมากแต่ไม่เคยคิดไม่เคยสังเกต ว่าความสัมพันธ์ ความรู้สึกระหว่างพวกเขาแตกต่างจากคนอื่นหรือเปล่า

“กลับไปก่อน ถ้ายังไม่แน่ใจก็รีบกลับไปเลย”เขาตวาดไล่ซ้ำ อีกฝ่ายมองหน้าเขาแค่เพียงเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวก้าวเท้าจากไป คล้อยหลังหนุ่มรุ่นน้อง ซากิจึงยกมือขึ้นปิดหน้า ในอกขื่นขมจนกลั่นออกมาเป็นน้ำตา นึกกลัวขึ้นมาว่า เขาอาจจะแพ้อีกครั้ง...





ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เมื่อยามที่เขาลืมตาตื่นขึ้นบนฟูกนอนใต้ผ้าห่มอบอุ่น  ในห้องเงียบสนิทไร้เงาผู้คน ฮารุโตะรู้สึกเคว้งคว้างขึ้นมาจับใจ รู้สึกถึงความร้อนผ่าวปวดร้าวของร่างกายทันทีที่ขยับตัว สุดท้ายทุกคนก็ทอดทิ้งเขาไปหมด แม้แต่ทาคุมิที่ให้สัญญากับเขาไว้ก็ตาม

ฮารุโตะยันตัวลุกขึ้นนั่ง ผ้าขนหนูผืนเล็กที่ถูกวางอยู่บนหน้าผากจึงร่วงลงมากองอยู่บนตัก เขาหยิบมันขึ้นมาดูพาลให้กระบอกตาร้อนผ่าวอีกครั้ง ก้มหน้ามองเสื้อแขนยาวที่ทำจากผ้าสำลีเนื้อหนาซึ่งตนกำลังสวมใส่อยู่ ฉับพลันน้ำตาได้ร่วงผล็อยหล่นลงมา ทั้งที่ร้ายกาจ ทั้งที่เย็นชาชอบทำตัวหมางเมิน แต่ชายหนุ่มก็เอาใจใส่ดูแลเขาอย่างดีมากเหมือนกัน

เด็กหนุ่มนั่งนิ่งไม่ได้วางสายตาไว้ที่ใด

เขาไม่อยากเป็นเช่นนี้ ไม่ได้อยากเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ได้อยากทุกข์ทรมานกับการถูกทิ้ง ถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ได้อยากเป็นคนไร้ค่าไม่มีความหมายในสายตาคนอื่น  เขา...ก็อยากมีความสุข

เขาพยายามแล้ว พยายามที่สุดแล้ว พยายามจนไม่ไหวแล้ว ทั้งพยายามและอดทนมาตลอด เพราะเชื่อว่าสักวันหนึ่งสิ่งดีๆจะต้องเกิดขึ้น

ไหล่ทั้งสองข้างไหวสะท้าน โน้มตัวลงนอนคุดคู้ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอีกรอบ

ในทันใดนั้นเอง ฮารุโตะกลับลุกยืนขึ้นพุ่งตัวไปยังเคาน์เตอร์ หยิบมีดปลายแหลมที่ใช้สำหรับปอกผลไม้ขึ้นมาถือ ทว่าทันทีที่เห็นความคมวาวซึ่งสะท้อนแสงเข้าสู่สายตา เด็กหนุ่มก็โยนมันทิ้ง ยกมือขึ้นกุมศีรษะพลางดึงทึ้งเส้นผม ย่อตัวลงนั่งกับพื้น

เขาไม่เชื่อว่าความตายจะสามารถแก้ปัญหาได้ เพราะวินาทีก่อนตายยังต้องผ่านความทรมานแสนสาหัส ยามที่สายตาพร่าเลือนมองเห็นแต่ของเหลวสีแดงกำลังไหลนอง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งที่เพียงแค่นึกถึงก็นึกอยากจะอาเจียนขึ้นมา ร่างกายเจ็บปวดรวดร้าวและความรู้สึกหนาวจนสั่นสะท้าน  ได้แต่นอนนับเวลารอลมหายใจที่ค่อยๆรวยริน เพียงแค่นึกถึงเขากลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ

ฮารุโตะรีบลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ทว่ากลับหน้ามืดซวนเซจนล้มลง จำต้องนั่งรออยู่เป็นครู่กว่าที่ภาพตรงหน้าจะกลับมาชัดเจน เด็กหนุ่มค่อยๆลุกขึ้นยืนเดินไปสวมรองเท้า เปิดประตูเดินออกไปด้านนอก กลิ่นไอความเย็นของฤดูหนาวโชยมาปะทะนาสิก ทำให้ร่างกายซึ่งร้อนผ่าวรู้สึกเย็นลงได้ สายตามองเห็นหิมะโปรยปรายลงมา

เขาชอบฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็ชอบหิมะด้วยเช่นกัน หิมะที่ทำให้ทุกอย่างเป็นสีขาว หิมะสีขาวที่ทำให้ทุกอย่างเท่าเทียมกัน 

ฮารุโตะย่ำเท้าไปตามทางเดิน โดยไม่สนใจเกล็ดก้อนละอองน้ำซึ่งร่วงหล่นโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า  เขาเดินไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมาย ไม่รู้ว่าตนเองต้องการไปที่ไหน ไม่รู้แม้กระทั่งตัวเองต้องก้าวเท้าเดินต่อไปเพื่ออะไร…



ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'



ซากุราอิ ชุนเพิ่งขับรถออกจากมหาวิทยาลัย เขาบังคับรถยนต์ให้เลี้ยวเข้าสู่ถนนซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างบล็อคที่หนึ่งและบล็อคที่สอง ที่นั่งด้านข้างคนขับเป็นของโคจิมะ มิชิโอะ ส่วนที่อยู่เบาะหลังคือโองาวะ อิซามุ ทั้งสองคนเป็นเพื่อน ที่จะเรียกว่าเพื่อนก็ไม่สามารถเรียกได้เต็มปาก ควรเรียกว่า ‘คนคุมความประพฤติ’ น่าจะเป็นคำที่ใกล้เคียงมากกว่า

โองาวะ อิซามุมีหน้าที่ทำให้ผลการเรียนของเขาอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถเรียนจบได้ ส่วนโคจิมะ มิชิโอะมีหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมของเขาให้อยู่กับร่องกับรอย โดยหลักแล้วทั้งคู่จะแบ่งหน้าที่ชัดเจนไม่มีก้าวก่ายซึ่งกันและกัน

ชุนเปิดไฟเลี้ยวหมุนพวงมาลัยเลี้ยวขวาและเลี้ยวซ้ายตรงหัวมุมถนนอีกรอบเข้าสู่เขตบล็อคที่หนึ่งเพื่อเลี่ยงการจราจรติดขัดของแยกไฟแดง และเพื่อส่องหลังคาบ้านใครบางคน เขาคิดว่ามันเป็นการกระทำที่น่าสมเพช แต่เขาได้รับอนุญาตให้ทำเพียงแค่นี้หากยังอยู่ในสายตาของผู้คุมทั้งคู่ เขาชะลอรถให้ช้าลงเล็กน้อยยามที่ขับรถผ่านบ้านเช่าเก่าโทรมหลังนั้น

“ไม่เห็นจะมีอะไรน่าตื่นเต้น มาดูอยู่ได้ทุกวัน”เสียงอิซามุลอยมากจากด้านหลัง เขาไม่ตอบได้แต่สอดส่องสายตามองต่อไปเผื่อจะได้เจอใครที่ตนคาดหวัง

พ้นจากบ้านเช่าหลังนั้นเขาจึงเร่งความเร็วขึ้นอีกนิด เลี้ยวขวาเพื่อเข้าถนนอีกเส้นผ่านสวนสาธารณะที่กลายเป็นสีขาวโพลนเพราะหิมะในฤดูหนาว สายตาของเขามองไปยังถนนด้านหน้า แต่ไม่ได้ให้ความใส่ใจมากนัก กวาดสายตามองข้างทางไปเรื่อยเหมือนเช่นปกติ กระทั่งจุดรวมสายตาไปหยุดยังบุคคลหนึ่งซึ่งเดินอยู่อีกฝั่งของถนน เขาจับสังเกตร่างนั้นไม่วางตา ก่อนจะรีบหักพวงมาลัยจอดรถยนต์เข้าข้างทาง เปิดประตูลงจากรถและก้าวข้ามถนนโดยไม่สนใจรถยนต์ที่ขับสวนทางมาในอีกหนึ่งช่องจราจร กระนั้นเขาก็ยังไปถึงตัวของอีกฝ่ายยามที่เจ้าตัวล้มลงกับพื้นไปแล้ว

ชุนช้อนร่างเล็กบางที่ล้มอยู่กับพื้นขึ้นมาพยุงไว้

“โอ๊ะ!!!”อิซามุซึ่งตามมาถึงที่หลังร้องอุทาน

“ฮารุโตะ”เขาเอ่ยเรียกพลางตบหน้าของอีกฝ่ายเบาๆ ตัวของฮารุโตะเย็นเฉียบแต่ใบหน้าแดงก่ำร้อนจี๋

ชุนไม่รอช้า เขาอุ้มฮารุโตะยกลอยขึ้นร้องบอกเปลี่ยนหน้าที่ให้มิชิโอะไปขับรถ ส่วนเขาพาตัวเองย้ายมานั่งที่เบาะหลัง โอบกอดร่างเล็กบางซึ่งสวมเสื้อผ้าชื้นเย็นไว้ ทั้งเป็นห่วงทั้งกังวล แต่อีกใจกลับเหมือนถูกล็อตตารี่รางวัลที่หนึ่ง ทั้งที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันแต่เขากลับไม่เคยบังเอิญเจออีกฝ่ายเลยสักครั้ง ทุกครั้งที่ได้เจอกันมีแต่เขาที่ตั้งใจไปหา

“ขับเร็วๆหน่อย”ชุนเอ่ยเร่งแม้ระยะทางจากจุดที่พวกเขาอยู่ไปถึงบ้านพักจะห่างออกไปแค่หนึ่งกิโลเมตร จากนั้นจึงร้องบอกให้อิซามุโทรศัพท์ตามหมอโดยด่วน

เขาจับมือที่เย็นจนเหมือนเป็นน้ำแข็งของฮารุโตะขึ้นมาเป่าลมร้อนจากปากลงไป ถอดเสื้อโค้ทที่ตนสวมอยู่มาคลุม พยายามทำทุกอย่างให้ร่างกายของอีกฝ่ายอุ่นขึ้นอีกนิด

และทันทีที่รถยนต์จอดสนิทที่หน้าบ้าน เขารีบอุ้มพาฮารุโตะเข้าไปด้านใน ก้าวพาร่างเล็กบางขึ้นไปยังห้องนอนของตน จากนั้นจึงถอดเสื้อผ้าเย็นชื้นของอีกฝ่ายออก ดึงผ้าห่มคลุมร่างที่นอนอยู่บนเตียงไว้ก่อนจะเข้าไปเปิดน้ำอุ่นในห้องน้ำ อิซามุเดินตามเข้ามาช่วยกดเปิดเครื่องฮีตเตอร์ให้ ขณะที่มิชิโอะเดินไปดูฮารุโตะซึ่งนอนอยู่บนเตียง

“ชุนเอาน้ำอุ่นออกมาเช็ดตัวก่อน”เขาร้องบอกคนที่ยังอยู่ในห้อง ทว่าชุนกลับออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูหมาดน้ำผืนเดียว

“ไม่มีกะละมัง”

“อย่างนั้นเดี๋ยวไปเอาให้”มิชิโอะจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินออกไปจากห้อง

“หมอมาหรือยัง”ชุนหันไปถามอิซามุ

“ใจเย็นๆดิ เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”เพื่อกันไม่ให้ชุนเอ่ยเร่งอะไรที่ไร้สาระอีก อิซามุจึงเดินเข้าไปดูน้ำในห้องน้ำ ยืนมองจนน้ำมีระดับสูงจึงชะโงกหน้าไปบอกเจ้าของห้อง

ชุนจึงอุ้มฮารุโตะมาแช่น้ำอุ่น และเติมน้ำเพื่อเพิ่มอุณหภูมิของน้ำขึ้นเรื่อยๆ

เขานั่งบนขอบอ่างประคองศีรษะของเด็กหนุ่มร่างเล็กให้พิงต้นขาของเขาไว้ และตีมือของอิซามุที่กำลังจะจุ่มลงไปในน้ำ

“หวงอะไรนักหนา เขาเสร็จคนอื่นจนตัวพรุนแล้ว ไม่เห็นหรือไง”

ใช่ว่าชุนจะไม่เห็นร่องรอยที่อิซามุกล่าวถึง ใช่ว่าเขาจะไม่เจ็บใจหรือเสียใจ เพียงแต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี คนที่เป็นของเขาหลุดลอยไปจนเกือบจะเอื้อมไม่ถึง ที่สำคัญฮารุโตะไม่เหลือเขาไว้ในจิตใจแล้ว

ชุนวักน้ำลูบตัวฮารุโตะ ปล่อยให้อีกฝ่ายแช่ตัวจนร่างกายอุ่นขึ้น จึงอุ้มร่างเล็กบางออกจากอ่าง อิซามุหยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่มาช่วยห่อคลุมร่างของฮารุโตะไว้ ตอนที่กลับเข้าไปในห้องนอน หมอที่อิซามุโทรศัพท์ตามมาก่อนหน้าได้ยืนรออยู่แล้ว เขาเปิดทางให้หมอได้ตรวจดูอาการของคนป่วย

“เดี๋ยวหมอจะฉีดยาลดไข้ให้ และดูแลอย่างใกล้ชิด ถ้าภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงไข้ยังไม่ลดให้ตามหมออีกรอบหนึ่งนะครับ”นายแพทย์ฉีดยาให้ฮารุโตะตามที่บอก จ่ายยาไว้ให้ก่อนจะขอตัวกลับ

“เดี๋ยวฉันไปส่งหมอเอง จะลงไปทำมื้อเย็นด้วย”มิชิโอะพูด

บ้านหลังนี้พวกเขาอยู่กันแค่สามคน เป็นบ้านที่พ่อของเขาซื้อไว้เพื่อให้เขาอาศัยอยู่ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ที่จริงผลการเรียนของเขาไม่ถึงเกณฑ์ที่จะสามารถเรียนต่อในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ แต่เพราะเงินบริจาคและเงินทุนสนับสนุนงานวิจัยที่พ่อของเขามอบให้แก่มหาวิทยาลัย ชุนจึงมีรายชื่อเป็นนักศึกษา มันคงจะง่ายกว่าถ้าเขาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งอื่น แต่เพราะที่อื่นไม่มีฮารุโตะ

เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่นั่งมองใบหน้าของคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทโดยไม่ละสายตาไปไหน ใบหน้าของฮารุโตะในปัจจุบันไม่ค่อยต่างจากในความทรงจำวันที่เขาได้เจออีกฝ่ายครั้งแรก ฮารุโตะในตอนนั้นดูเย็นชาและเย่อหยิ่ง ส่วนใหญ่เจ้าตัวมักจะนั่งอ่านหนังสือเงียบๆอยู่ที่โต๊ะ มาโรงเรียนโดยไม่ทักหรือไม่พูดคุยกับใคร ไม่จับกลุ่มเล่นกับเด็กคนไหน เขาต้องเค้นสมองแทบตายเพื่อเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่าย ทว่าสิ่งที่ทำให้ฮารุโตะยอมคุยกับเขาเป็นเพียงแค่ลูกอมเม็ดเล็กๆ

เมื่อย้อนคิดกลับไปทีไร เขานึกขำทุกครั้ง แค่แบ่งขนมให้ก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้แล้ว ทำไมตอนนั้นเขาถึงคิดไม่ออกจนต้องเสียเวลาเป็นเดือนๆ ชุนยังสงสัยมาถึงทุกวันนี้

กระนั้น วิธีดังกล่าวกลับไม่สามารถได้ผลไปตลอด และเขาได้ทำพลาดจนไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีก

ชุนจับยกมือของฮารุโตะขึ้นมาแนบแก้มของตนไว้ นึกถามอีกฝ่ายเงียบๆในใจ ..จะอภัยให้กันได้หรือเปล่า





ซากิจอดรถยนต์ไว้ที่หน้าบ้านเช่าซึ่งฮารุโตะอาศัยอยู่ ในรถยนต์มีของกินและยาที่เขาพึ่งแวะซื้อมาจากซุปเปอร์มาเก็ต เขาก้าวเท้าขึ้นบันไดไปยังชั้นสองพร้อมล้วงกุญแจในกระเป๋ามาเตรียมเปิดประตู้ห้องของหนุ่มรุ่นน้อง แต่ต้องแปลกใจเมื่อเสียบกุญแจหมุนบิดกลับหมุนไม่ได้ เขาจึงหมุนกุญแจไปอีกด้านกลับกลายเป็นว่าประตูห้องถูกล็อคเสียแทน ซากิขมวดคิ้วหมุนเปิดล็อคอีกรอบ และหมุนลูกบิดเปิดประตูเข้าไปเพื่อพบว่าภายในห้องว่างเปล่า เขาก้าวเข้าไปตรวจดูในห้องน้ำและกลับมาคลำดูฟูกนอนอีกครั้ง อุณหภูมิของฟูกยังอุ่น พลันสายตาเหลือบเห็นเสื้อโค้ทของฮารุโตะยังแขวนอยู่ที่ผนัง เขาเข้าไปตรวจดูกระเป๋าของฮารุโตะที่แขวนอยู่ข้างกัน ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเงินหรือโทรศัพท์ยังอยู่ภายใน ที่หายไปมีเพียงรองเท้าผ้าใบคู่เดียว

เขาไม่คิดว่าฮารุโตะจะออกไปข้างนอกโดยไม่สวมเสื้อโค้ทกันหนาว เนื่องจากหิมะโปรยปรายลงมาแทบตลอดทั้งบ่าย แต่ฮารุโตะก็ไม่รู้จักเพื่อนบ้านคนไหนในห้องเช่าแห่งนี้

ซากิยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก และรู้สึกว่าอีกฝ่ายรับสายของเขาช้าเหลือเกิน

“มีอะไรหรือครับรุ่นพี่ชิมิซึ”

“มิอุระอยู่กับนายหรือเปล่า”

“ไม่นี่ครับ”อีกฝ่ายตอบกลับมา ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

“มิอุระหายไป”ตอบคำถามของอีกฝ่ายพลางปิดล็อคประตูห้อง เขาสับเท้าลงบันไดพร้อมกับกดปลดล็อคกุญแจรถยนต์

“ช่วยมาหาหน่อย เดี๋ยวฉันจะโทรหาเรียวตะให้ช่วยหาอีกแรง”เขาพูดไปแค่นั้นก่อนจะตัดสาย บิดกุญแจสตาร์ทรถยนต์ อีกมือก็กดโทรศัพท์หาเพื่อนสนิท พร้อมกับถอยหลังรถยนต์ไปที่ถนนเส้นหลัก

“ว่าไง”

“แกอยู่บ้านใช่ไหม มิอุระหายไปออกมาช่วยหาหน่อย”เขาบังคับรถยนต์ให้เลี้ยวขวาคนละเส้นทางที่เขาขับผ่านมาเมื่อสักครู่

“หาย? หายไปไหนวะ”

“ถ้ารู้จะเรียกว่าหายไหม”เขาตะคอกกลับด้วยเสียงกรุ่นโมโห “รีบออกตามหาเถอะ”

“เออๆ นี่ก็อยู่หน้าบ้านแล้ว”

“แกหาให้เจอก่อนเดี๋ยวฉันเล่าให้ฟัง”ซากิตัดสายชะลอรถเมื่อขับมาถึงสามแยก เขาไม่รู้ว่าควรจะไปทางไหนดี เพราะไม่รู้ว่าฮารุโตะในสภาพแบบนั้นอยากจะไปไหน

หรือจะไปหาหมอความคิดนั้นผ่านแวบเข้ามาในสมอง แต่ไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปเลยเนี่ยนะ เขาถามตัวเองด้วยคำถามนี้ในใจ อย่างไรก็ตาม เสียงบีบแตรที่ดังมาจากรถยนต์คันข้างหลังกลับเป็นตัวเร่งให้เขาบังคับรถยนต์เคลื่อนที่ไปข้างหน้า

ชิมิซึ ซากิขับรถวนเวียนบริเวณนั้นอยู่หลายรอบ ทั้งยังลงไปเดินข้างทางในจุดที่รถไม่สามารถเข้าไปได้ กระทั่งเวลาผ่านไปเป็นชั่วโมง เขายังคงไม่เจอคนที่ตามหา ชายหนุ่มจอดรถนิ่งกับที่ ยกสองมือกุมศีรษะด้วยท่าทีอ่อนแรง รู้สึกเคร่งเครียดกังวลจนล้าไปทั้งใจ

นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่จู่ๆฮารุโตะได้หายตัวไป แม้ไม่อยากคิดวิตกจริตไปล่วงหน้าแต่มันเป็นไปได้ยากที่จะคิดว่าฮารุโตะได้อยู่ในที่ปลอดภัย  ฝ่ายนั้นไม่มีทั้งเงิน โทรศัพท์มือถือ และไม่แม้แต่สวมเสื้อโค้ทกันหนาว ชายหนุ่มนึกโทษตัวเอง เขาควรจะให้ทาคุมิอยู่กับฮารุโตะ ไม่น่าคิดเล็กคิดน้อยงี่เง่าแบบนั้น เขาไม่ควรปล่อยให้หนุ่มรุ่นน้องอยู่คนเดียวทั้งที่รู้ว่าภาวะอารมณ์ของฮารุโตะไม่คงที่ ซากิกำหมัดทุบพวงมาลัยรถยนต์ด้วยอารมณ์คับแค้นกระวนกระวายปนความรู้สึกผิด ที่ฮารุโตะหายไปคราวนี้เพราะเป็นเขาคนเดียว!!!

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นดึงภวังค์ความคิดของเขาให้กลับมาสู่ปัจจุบัน เขาพ่นลมหายใจยาวและสูดลมหายใจยาวเข้าปอดก่อนรับสาย

“เจอไหม”หน้าจอระบุชื่อเรียวตะเป็นคนโทรเข้า เขาจึงเอ่ยคำถามนั้นออกไป

“ไม่ว่ะ ฉันว่าแกกลับมาตั้งหลักที่ห้องของฮารุจังก่อนดีไหม”

เขาคิดอะไรไม่ออกแล้วเหมือนกันจึงได้ตอบตกลง เหยียบเบรกเพื่อเข้าเกียร์และวนรถยนต์กลับไปที่ห้องพักของเด็กหนุ่มรุ่นน้องผู้ซึ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ที่รู้แน่ชัดว่าฮารุโตะหายตัวไปโดยไม่ใช่เจตนาของเจ้าตัว ไม่อย่างนั้นเขาคงโทรหาเอคิจิให้ช่วยจัดการเรื่องการตามหา ครั้งนี้ฮารุโตะอาจจะออกจากห้องไปด้วยความตั้งใจของตัวเอง แม้ตัวเขาจะยังติดใจเรื่องที่อีกฝ่ายออกไปตัวเปล่าก็ตาม

“ตึกนี้โทรมจะตายอาจจะมีผู้ร้ายก็ได้”ทาคุมิว่า

“ไม่น่าจะใช่ ตอนที่ฉันมาถึงประตูห้องอยู่ในสภาพปกติ แล้วสภาพทุกอย่างในห้องก็ปกติ”ซากิกุมขมับเพราะไม่รู้ว่าจะไปตามหาเด็กหนุ่มรุ่นน้องได้ที่ไหน ฮารุโตะกำลังไม่สบายเขาคิดว่าไม่น่าจะไปไหนได้ไกล

“ลองตามหาตามโรงพยาบาลกับสถานีตำรวจก่อนไหม อาจจะเป็นลมล้มพับไประหว่างทางแล้วมีพลเมืองดีมาเจอ พาฮารุจังไปส่งโรงพยาบาลก็ได้”เรียวตะเสนอความคิดเห็น

“นั่นสิ ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปเช็คตามโรงพยาบาลและคลินิกแถวนี้”ซากิพูดพร้อมลุกขึ้นยืน

“รุ่นพี่ชิมิซึครับ ผมไปด้วย”ทาคุมิร้องบอก ลุกขึ้นรีบก้าวเท้าตาม เรียวตะจึงต้องปิดล็อคห้องและวิ่งตามไปเป็นคนสุดท้าย





ฮารุโตะกวาดสายตามองไปทั่ว มองหลังคาสูง พื้นไม้ขัดมันที่ถูกตีเส้นกรอบเป็นสนาม และแป้นบาสเก็ตบอลสำหรับเด็ก เขาแปลกใจที่เห็นภาพแบบนี้อีกครั้ง ทว่าเพราะมีลูกบอลมากระแทกศีรษะ เขาจึงหันเหสายตากลับไปตามทางของมัน

“เหม่ออะไร ไอ้ขี้แย ไปเก็บบอลมาซิ”

เขารีบหมุนตัวตามไปเก็บลูกบอลที่อีกฝ่ายบอก เพียงแต่ทันทีที่เขาหันหลังลูกบอลอีกหลายลูกกลับถูกโยนกระหน่ำใส่จนเขาล้มลง เขาได้แต่ปัดป้องก่อนครูประจำวิชาจะเข้ามาห้ามปรามพร้อมกับลงโทษพวกที่แกล้งเขาให้ทำความสะอาดโรงยิม เย็นวันนั้นเขาจึงต้องกลับบ้านพร้อมรอยจ้ำม่วงเต็มตัว

เขาเปิดประตูก้าวเท้าเข้าไปในห้องเช่า ในห้องไม่มีใครอยู่แต่ฮารุโตะยังคงพูดว่า ‘กลับมาแล้วครับ’ ด้วยเสียงเบาๆ เขาถอดรองเท้าวางเรียงไว้บนพื้น นำกระเป๋าไปวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กๆของตน จากนั้นจึงเดินเข้าครัว

ข้าวสารในถังหมดแล้ว ในตู้เย็นเองก็ไม่มีของสดเหลือ ฮารุโตะจึงวิ่งกลับมาที่ตู้แบบลิ้นชักข้างโต๊ะเขียนหนังสือ ดึงลิ้นชักชั้นล่างสุดหยิบกระปุกออมสินออกมา แกะฝาปิดเหรียญใต้ท้องหมูออมสินออก เทเศษเหรียญที่ตนหยอดเก็บไว้ทุกวันออกมานับ กอบเงินใส่กระเป๋าและก้าวเท้าออกจากห้องไปอีกครั้ง

ร้านที่ฮารุโตะมาซื้อของเป็นร้านขายของชำที่ฮารุโตะรู้จักคุณป้าเจ้าของร้านมาตั้งแต่เด็ก คุณป้าจะขายของให้ตามจำนวนเงินที่เขามี บางครั้งก็แถมขนมมาให้อย่างครั้งนี้ ฮารุโตะเดินกินขนมไปพลางส่งเสียงร้องเพลงหงุงหงิงไปพลาง เมื่อหลายเดือนก่อนพ่อเอาทีวีไปขายเพราะที่บ้านไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้อง ฮารุโตะจึงไม่มีโทรทัศน์สำหรับดูการ์ตูนอีก เพลงที่ร้องจึงเป็นเพลงจากการ์ตูนเรื่องเก่าเรื่องสุดท้ายก่อนที่โทรทัศน์จะถูกขายไป

กลับเข้ามาในห้องเขาลงมือหุงข้าวทำกับข้าวก่อนเป็นอันดับแรก ฮารุโตะเริ่มหัดหุงข้าวมาตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน ดังนั้นข้าวที่เขาหุงจึงไม่มีสภาพแฉะเละหรือดิบอีกต่อไป หลังจากทำกับข้าวเสร็จเขาถึงมานั่งทำการบ้าน

เขาอ่านหนังสือบ้างนั่งเล่นบ้างจนเวลาล่วงเข้าค่อนดึก และแม้จะหิวข้าว เขายังคงอดทนนั่งรอต่อไปเพื่อกินข้าวพร้อมพ่อ กระทั่งเสียงกุกกักที่ประตูดังขึ้น ฮารุโตะจึงรีบยันตัวลุกขึ้นนั่ง โน้มหน้ามองประตูซ้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นว่ามันถูกเปิดเข้ามาแน่นอนแล้ว เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปซ่อนในตู้บานเลื่อนและแอบมองผ่านช่องว่างเล็กๆ

“เอ๋! ใครหายไปน๊า”ชายหนุ่มผู้ซึ่งก้าวเข้ามายืนอยู่กลางห้องส่งเสียงถาม ฮารุโตะจึงยกยิ้มและเปิดประตูบานเลื่อนออกไป

“หนูเอง”เขาวิ่งเขาไปกอดขาของผู้ชายคนนั้น ชายหนุ่มที่ดูตัวใหญ่เหมือนยักษ์ในสายตาเขาจึงย่อตัวลงมาหา วาดสองแขนโอบตัวเขาไว้

ฮารุโตะยกยิ้มกอดรัดอีกฝ่ายไว้ด้วยสองแขนเล็กๆของตน

“พ่อ...”เขาพึมพำส่งเสียงเรียกออกมา ก่อนเปลือกตาทั้งสองข้างจะเปิดลืมขึ้น กวาดสายตามองเพดานและผนังแปลกตาไม่คุ้นเคย มึนงงอยู่เป็นครู่เพราะรู้สึกเหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาจะอยู่ในห้องเช่าที่อาศัยอยู่กับพ่อมาตั้งแต่เด็ก

“ตื่นแล้วหรือ”

เสียงคำถามที่ลอยมาให้ได้ยินทำให้เขาหันมอง และในวินาทีที่เขาเห็นเจ้าของเสียงถนัดตา เขาต้องสะดุ้งยันตัวลุกขึ้นนั่งกระเถิบถอยจนไปชิดหัวเตียง ฮารุโตะกวาดมองรอบตัวด้วยความระแวงอีกครั้ง

“นี่บ้านฉันเอง”

ยิ่งได้ยินคำอธิบายเรื่องสถานที่ ฮารุโตะยิ่งไม่สบายใจ เขาตั้งตัวเตรียมพร้อมจะวิ่งหนีถ้าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ สายตาจดจ้องร่างสูงใหญ่อย่างไม่กะพริบ

วินาทีวัดใจยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ เขากระโจนลงจากเตียงทันทีที่ชุนขยับตัว ยันตัวลุกขึ้นวิ่งทว่าต้องสะดุดล้มเพราะความยาวของขากางเกง ชุนจึงตะครุบตัวเขาไว้ได้

ฮารุโตะปัดป่ายถีบเท้าร้องโวยวาย แม้จะรู้ตัวว่าไม่เคยสู้ร่างหนาหนักที่ทับตนอยู่ด้านบนได้ก็ตาม สองมือถูกรวบจับไว้ได้ภายในเวลาไม่นาน จึงเหลือเพียงแค่การตะเบ็งเสียงกรีดร้อง

“ชุน ทำอะไรน่ะ”เจ้าของคำถามยืนมองด้วยความตะลึงงัน

เสียงร้องของฮารุโตะดังลั่นจนทั้งมิชิโอะและอิซามุต้องวิ่งมาดู ก่อนจะเป็นมิชิโอะที่ตั้งสติได้ไปกระชากตัวชุนออกมา และทันทีที่ฮารุโตะหลุดพ้นเป็นอิสระ ร่างเล็กบางก็รีบวิ่งหนีไปที่ประตู

“จับไว้ดิ”ชุนร้องสั่งพร้อมพยายามสะบัดตัวให้พ้นจากการจับกุมของมิชิโอะ

อิซามุวิ่งตามไปทันตอนที่เด็กหนุ่มร่างเล็กอยู่หน้าประตูชั้นล่าง เขาคว้าจับร่างของฮารุโตะไว้ได้ แต่กลับโดนเด็กหนุ่มกัดเสียจมเขี้ยวจนต้องยอมปล่อย ฮารุโตะเปิดประตูวิ่งออกไปด้านนอกโดยไม่สนใจสภาพอากาศ ทว่ายิ่งใจเสียเมื่อถนนหนทางรอบด้านล้วนไม่คุ้นตา ถึงอย่างนั้น เสียงฝีเท้าตึงตังจากภายในบ้านทำให้เขายิ่งลนลาน ก่อนจะรีบก้าวย่ำผ่านสนามไปแอบซ่อนอยู่ข้างตัวบ้าน

“หายไปไหนแล้ววะ”ชุนซึ่งตามออกมาทีหลังกล่าวสบถ เขาก้าวออกมาจากบ้านทั้งที่ยังสวมแค่รองเท้าสลิปเปอร์

“หาเลย หาให้เจอเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย”ชุนตะโกนตะคอกใส่ทั้งสองคนที่เดิมตามมาทีหลัง หัวเสียด้วยความร้อนรนเป็นห่วงเด็กหนุ่มร่างเล็ก ฮารุโตะไม่ได้สวมรองเท้าด้วยซ้ำ

มิชิโอะพยักพเยิดให้อิซามุไปทางซ้าย ก่อนจะส่งรองเท้าให้ชุน

“เปลี่ยนรองเท้าก่อน สภาพอย่างนั้นจะหนีไปไหนได้”

ฮารุโตะยกมือขึ้นกลั้นเสียง ตระหนกหวาดกลัวจนนึกอยากร้องไห้ขึ้นมาครามครัน เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามานอนอยู่ในบ้านของชุนได้อย่างไร ร่างกายสั่นสะท้านจากความเย็นและความหวาดหวั่นจนปากสั่น เขานั่งรอฟังเสียงฝีเท้าของคนทั้งคู่ให้ออกห่างไปไกล จึงลุกเดินออกจากที่ซ่อน กลับออกไปหน้าบ้าน มองซ้ายมองขวาแต่ไม่เห็นทั้งสามคนนั้นในขอบข่ายสายตา เขาจึงหันมองตึกอาคารรอบด้านอีกครั้ง และยกมือขึ้นปาดน้ำตา

กางเกงขายาวกรอมเท้าทำให้เขาเดินไม่ถนัด แต่ฮารุโตะไม่อยากอยู่แถวนี้นานๆเพราะไม่รู้ว่าพวกชุนจะกลับมาเมื่อไหร่ เขาก้าวเท้าไปตามทางเดินที่เย็นเฉียบ ไฟถนนสองข้างทางทำให้เขาเห็นบริเวณโดยรอบ กระนั้นเขายังคงไม่รู้ว่าควรเดินไปทางไหน นึกย้อนคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่ตนเดินออกจากห้องมาด้วยความเสียใจ ฮารุโตะไม่แน่ใจว่าตอนนั้นตัวเองคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆคือเขาไม่ได้อยากเจอเหตุการณ์แบบนี้

เขาเริ่มสะอึกสะอื้นเพราะความหวั่นกลัวอันหลากหลาย

ทว่าอาการเศร้าโศกของเขามีอันต้องหายไปฉับพลันเมื่อเขาโดนรวบอุ้มอีกครั้ง ถูกมือใหญ่ปิดปากจนไม่อาจส่งเสียงร้องได้อีก อาคารบ้านเรือนแถบนั้นถูกสร้างให้ตั้งอยู่ไม่ห่างกันนัก เพียงแต่ท้องฟ้ามืดดำด้านบนบ่งบอกเวลาว่าน่าจะเป็นยามดึกสงัด สองข้างทางจึงเงียบเชียบไร้ผู้คน

ฮารุโตะถูกอุ้มกลับมาทิ้งยังห้องเดิม แม้จะถูกปล่อยให้เป็นอิสระแต่เขาทำได้เพียงนอนกองหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะพยายามดิ้นรนขัดขืนมาตลอดทาง ภาพที่เห็นผ่านม่านตาพร่าเลือนมืดดำจนเขาต้องหลับตาอยู่นิ่ง คิดด้วยความเสียใจซ้ำไปซ้ำมา ที่ปฏิเสธการไปเรียนต่อสู้ตามคำแนะนำของทาคุมิ

เด็กหนุ่มปล่อยน้ำตาให้ไหล สมองจินตนาการไปไกลถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเบื้องหน้า

“ฮารุโตะ”

เสียงเรียกชื่อพร้อมสัมผัสตรงต้นแขนทำให้เขาสะบัดตัวหนี ถอยหลังกรูไปเบียดชิดหัวเตียง ภาพตรงหน้ายังคงพร่าเลือนจนทำให้เขาอยากจะล้มตัวลงนอน

“ชุน ถอยออกมาก่อนเดี๋ยวฉันคุยเอง”

ฮารุโตะจำไม่ได้แล้วว่าคนพูดชื่ออะไร และถึงแม้อีกฝ่ายจะคอยห้ามปรามชุนไม่ให้ทำอะไรรุนแรงตอนที่มาระรานเขา แต่การที่ฝ่ายนั้นทำเพียงมองดูเขาถูกรังแกอยู่เฉยๆ เด็กหนุ่มก็ตีความเหมารวมว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนไม่ดีเช่นกัน

“ใจเย็นๆแล้วตั้งใจฟังก่อนนะมิอุระซัง พวกเราไม่ได้คิดจะทำร้ายนาย ชุนเป็นคนเจอนายเป็นลมอยู่ข้างถนน เลยพามาพักที่บ้านเท่านั้น ถ้านายหายดี เราจะพานายกลับบ้าน โอเคไหม”

“ไม่นะ ฉ...”ชุนโดนอิซามุรัดคอปิดปากไม่ให้พูดอะไรที่จะทำให้ฮารุโตะเตลิดมากไปกว่านี้ ก่อนอิซามุจะใช้แรงบังคับลากร่างสูงใหญ่ออกไปจากห้อง

เสียงโวยวายของชุนยังคงดังมาให้ได้ยิน แว่วผ่านประตูเข้ามาว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ให้เขากลับ

“ฉันจะพานายไปส่งที่บ้านจริงๆ”มิชิโอะพูดย้ำยืนยัน “คืนนี้จะไม่ให้ชุนเข้ามายุ่งวุ่นวายกับนายอีก แต่นายกำลังไม่สบาย ฉันอยากให้นายเข้าไปแช่น้ำอุ่นเปลี่ยนเสื้อผ้า กินข้าวกินยาแล้วนอนพัก เดี๋ยวฉันจะออกไปเตรียมของ ระหว่างนี้นายก็ไปอาบน้ำซะนะ”

มิชิโอะออกไปแล้ว แต่ฮารุโตะยังลังเลไม่รู้ว่าควรเชื่ออีกฝ่ายดีหรือไม่ กระนั้นร่างกายของเขากลับอ่อนล้าจนฝืนทนแทบไม่ไหว ฮารุโตะรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่ค่อยๆพุ่งสูงขึ้นของตน จึงยอมหยัดตัวเดินโซซัดโซเซเข้าไปในห้องน้ำ จัดการถอดเสื้อผ้าและเปิดฝักบัวใช้น้ำอุ่นราดตั้งแต่ศีรษะ ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครา

เขาไม่ใจเย็นพอจะแช่น้ำอุ่นอย่างสบายใจ จึงรีบอาบน้ำ ใช้ไดร์เป่าผมให้แห้งและแง้มประตูส่องดูสถานการณ์ในห้องนอน เห็นมิชิโอะกำลังเปลี่ยนผ้าปูที่นอนบนเตียง เมื่ออีกฝ่ายหันมาเห็นเขาจึงรีบปิดประตูลงกลอนอีกครั้ง จากนั้นไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“ฉันวางเสื้อผ้าชุดใหม่ไว้หน้าห้องน้ำนะ ส่วนข้าวกับยาวางอยู่ที่โต๊ะหน้าโซฟา”

เด็กหนุ่มที่อยู่ในห้องน้ำไม่ได้ส่งเสียงตอบรับ ฮารุโตะเพียงแค่แนบหูฟังผ่านบานประตู ทว่าเสียงภายนอกกลับเงียบสนิท ยืนรออยู่เช่นนั้นกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปหลายนาที อากาศเย็นเริ่มมีอิทธิพลกับเขาอีกครั้ง  จึงยอมแง้มประตูออกไปดูด้านนอก

ภายในห้องนอนไม่มีใคร ฮารุโตะจึงยอมก้าวเท้าออกมา

เขารีบสวมเสื้อผ้า และก้าวเท้าไปยังชุดโซฟาหน้าทีวี เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งทานข้าวด้วยความหิวโหย ทว่ากลับตักทานไปได้ไม่กี่คำ เขาเจ็บคอ มวนท้องและหนักศีรษะจนอยากจะล้มตัวลงนอน แต่ในใจรู้สึกหวาดระแวงไม่กล้าหลับตา

ฮารุโตะยกยาและน้ำขึ้นทาน เอนตัวพิงพนักโซฟาอยู่ครู่หนึ่ง ร่างกายเหนื่อยล้าคล้ายจะหลับลึกเสียให้ได้ กระนั้นอีกครู่หนึ่งต่อมา เด็กหนุ่มกลับสะดุ้งตื่นฉับพลันหันมองซ้ายมองขวาด้วยความระแวงกลัว แล้วลุกขึ้นเดินไปซวนเซไปกดล็อคประตู กลับไปที่เตียงดึงเอาผ้าห่มผืนหนามาคลุมห่มร่างกาย กวาดสายตามองรอบห้อง เดินเข้าไปใกล้บานประตูทึบซึ่งถูกติดตั้งอยู่ที่ฝั่งหนึ่งของผนัง เปิดเข้าไปเป็นห้องเล็กๆที่มีเสื้อผ้าแขวนอยู่บนราวอย่างเป็นระเบียบ รองเท้า กระเป๋า เครื่องแต่งกายถูกจัดแยกเป็นหมวด ทั้งยังมีกระจกเงาบานเต็มตัวตั้งอยู่

เขาปิดประตูทึบด้านหลัง เดินเข้าไปด้านในสุดที่แขวนโค้ทยาวไว้เป็นส่วนใหญ่ แทรกตัวเข้าไปในช่องว่าง ขดตัวนั่งพิงผนัง พร้อมดึงเก็บชายผ้าห่มให้ชิดตัว อากาศภายในห้องนี้เบาบางค่อนข้างหายใจลำบาก แต่เขาไม่ได้นึกกังวลถึงเรื่องนั้น สิ่งที่คิดมีเพียง ...ถ้ามิชิโอะพูดโกหก เขาจะทำอย่างไร




+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*//เนื่องจากตอนนี้ ชุนมีการกล่าวถึงความหลัง เราจึงแปะตอนพิเศษไว้ที่Reply ต่อไป//*




 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด