春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5  (อ่าน 17007 ครั้ง)

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ทั้งที่รู้ภูมิหลัง เข้าใจสภาพอารมณ์ฮารุโตะ ว่าทำไมต้องเป็นอย่างนี้
แต่ก็อดรู้สึกขัดใจ ในตัวตนของฮารุโตะไม่ได้
มีแต่ความอ่อนแอ กลัว ไม่กล้ามองหน้าใครตรงๆ
ประหม่า คิดมาก ไม่มั่นใจ อาการที่แสดงออก ชอบหลุบตา
เสื้อผ้าดีๆ ที่ได้มาก็ไม่ใส่ เพราะรู้สึกผิดที่ผิดทาง
ใส่ที่มีเก่าๆปอนๆ ทั้งที่รู้ว่าต้องถูกมองแบบดูถูกเหยียดหยาม
ถ้าเอาเวลาที่บ่นน้อยใจโชคชะตา มาออกกำลังกาย
ที่ทำได้เช่น วิ่ง ซิตอัพ กระโดดเชือก เข้าชมรมชกมวย(กระสอบทราย)
อย่างน้อยทำให้ร่างกายเข้มแข็ง /ก็มองจากคนนอก
ชิมิซึ มีความรู้สึกดีๆให้ฮารุโตะแล้วใช่มั้ย
เป็นความรู้สีกแบบไม่ยอมแพ้ ที่ฮารุโตะ ชอบแต่นาคามูระหรือเปล่า
ทั้งที่ตัวเองก็หล่อ มีแต่คนเข้าหา ทำไมฮารุโตะไม่สนใจ
ทั้งที่ฮารุโตะ จืดชืด แต่ตัวเองให้ความสนใจ
และทั้งที่ฮารุโตะมีอะไรๆกับตัวเองแล้วแท้ๆ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ต้องนิยามว่า ความฮารุโตะ สินะ
รุ่นพี่ซากิตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ นึกชอบ (หรือสนใจ) ฮารุโตะขึ้นมา หรือเพราะตั้งใจจะปั่นหัวเล่นสนุก ๆ
แต่ที่แอบกลัวกว่า คือ หวังว่าฮารุโตะจะไม่หลุดทุนนะ ดูเหมือนช่วงนี้จะไม่ค่อยได้ทำคะแนนในห้องเรียนเท่าไหร่ (แถมเพื่อนที่เข้ามาทำความรู้จักก่อนหน้า ก็แสดงธาตุแท้ความเห็นแก่ตัวอีก เฮ้อ)
จำได้ว่าตอนแรก  ๆ ฮารุโตะบอกว่าตัวเองอยู่บ้านเด็กกำพร้า (หรือเปล่าหว่า) แต่ทำไมตอนนี้ถึงบอกว่าพ่อกับแม่แยกทางกัน ตัวเองเลยอยู่กับพ่อล่ะ แอบงง

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
สำหรับผม ฮารุโตะเป็นตัวละครที่ดีนะครับ ผมว่าคุณตีสี่ค่อนข้างละเอียดใช้ได้ทีเดียว

ในสังคมญี่ปุ่น การแข่งขันและความตึงเครียดในบรรยากาศมันค่อนข้างสูงมากครับ มันเป็นผลมาจากประเพณีและวัฒนธรรมในการคัดคนและเลือกสรร ในสังคมญี่ปุ่นสามารถมองระดับชนชั้นได้สองระดับ ระดับแรกคือระดับบนเช่นเหล่า ‘ไคเรตสึ’ ทั้งแปดที่สืบรากฐานมาจากการปฏิรูปเมจิ และอีกระดับคือระดับสังคมทั่วไปของชาวญี่ปุ่น คุณลักษณะอย่างหนึ่งที่ชาวญี่ปุ่นมีมาแต่ดั้งเดิมคือความชาตินิยม ซึ่งทำให้พวกเขาสงวนพื้นที่ไว้สำหรับคนชาติตนเอง อย่างไรก็ตาม ในระดับสังคมทั่วไปของญี่ปุ่น การเล่นพรรคพวกเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากค่านิยมการเลือกคนของตนเองนั้นมีมาตั้งแต่สมัยก่อนการรวมชาติของโนบุนากะ และยิ่งเห็นได้ชัดเจนขึ้นในสมัยของการตัวปฏิรูปเมจิ เมื่อญี่ปุ่นเริ่มเปิดประเทศ ตำแหน่งงานสำคัญและบริษัทที่เติบโตแบบก้าวกระโดดก็จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากบริษัทและคนของตระกูลทั้งแปด นี่เป็นค่านิยมหนึ่งของญี่ปุ่น

ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ค่านิยมนี้ทำให้ตำแหน่งงานที่เปิดอิสระให้คนญี่ปุ่นในชนชั้นรองลงมาลดลง ถ้าเป็นในสมัยที่เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเฟื่องฟู มันจะไม่เป็นปัญหา เพราะการแข่งขันไม่สูงมาก บริษัทสามารถรับพนักงานได้เป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวมาตั้งแต่สิบปีที่แล้ว รวมถึงการแย่งตลาดอุตสาหกรรมของจีนและชาติตะวันตก ทำให้สภาพเศรษฐกิจของญี่ปุ่นฝืดเคืองมากขึ้นในระดับหนึ่ง มาตรการหนึ่งที่นำมาใช้คือ ทำการสำรองที่นั่งตำแหน่งงานของบริษัทที่ใหญ่ระดับประเทศกับมหาวิทยาลัย โดยเลือกเด็กที่จบมหาวิทยาลัยที่ดังที่สุด เกรดสวยที่สุด เข้ามาโดยคาดหวังว่าจะเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ทำให้การแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยของญี่ปุ่นค่อนข้างเข้มข้นและตึงเครียดมาก หากเข้ามหาวิทยาลัยผิดอาจพลิกชีวิตให้ล่มจมก็เป็นไปได้ในสายตาเด็กหนุ่มสาวญี่ปุ่น รวมถึงบริษัทที่ไม่เติบโตและกำไรถดถอยก็ถูกบังคับให้ไม่มีความก้าวหน้าทางการงานของพนักงาน เกิดการเลย์ออฟ หรือแม้แต่การเปิดรับตำแหน่งใหม่ ก็จะเลือกแต่คนเก่งที่สุดเท่านั้น ทำให้คนที่อยู่ชั้นรองลงมาที่ไม่ถูกเลือก จะกลายเป็นพลเมืองประเภทที่ไม่ได้รับการยอมรับในแวดวงทั่วไป นั่นคือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงติดอันดับของโลก

ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่าชีวิตวัยเด็กของประชาชนญี่ปุ่นในระดับกลางจะถือว่าตึงเครียดและแข่งขันสูงมาก มันจะไม่เหลือพื้นที่ให้กับบุคคลด้อยประสิทธิภาพหรือความด่างพร้อยของสังคม ฮารุโตะเป็นหนึ่งในบุคคลที่น่าจะอยู่ในสังกัดนี้ การเป็นเด็กกำพร้าก็ถือว่าด้อยแล้ว ความยากจนยังเป็นปัญหาสำคัญมากๆของประชากรในสังกัดนี้ ประกอบกับบรรยากาศการแข่งขันในสังคมของคนญี่ปุ่น การเอาตัวรอด ความเห็นแก่ตัว ทั้งหมดนี้ทำให้เด็กญี่ปุ่นเป็นโรคซึมเศร้าหรือหดหู่ได้ง่ายมาก ในกรณีที่หนัก เขาอาจกลัวการเข้าสังคมไปเลย หรือที่เรียกว่า ฮิโคโมริ นั่นเอง ดังนั้นผมคิดว่าฮารุโตะมีความสมเหตุสมผลแล้วที่จะเศร้าง่าย ซึมง่าย จิตตกง่าย เพราะเขาถูกบีบมาทั้งชีวิต และจากสภาพสังคมที่ผมกล่าวมา ไม่มีทางที่ประชากรชั้นกลางที่ค่อนข้างไปทางบน จะสามารถดึงประชากรในสังกัดนี้ขึ้นมาได้ด้วย (จะสังเกตว่าจิตแพทย์ในญี่ปุ่นเงินเดือนไม่สูง เพราะปัญหามันเกิดจากรากฐานของวัฒนธรรมครับ บำบัดไปก็เท่านั้น) มีเพียงชนชั้นระดับไคเรตสึเท่านั้นที่จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ในความเป็นจริง แต่ในระดับนิยาย เราคงไม่ไปเจาะลึกปัญหาประเทศขนาดนั้น

อย่างไรก็ดี นั่นคือสภาพสังคมของมนุษย์เงินเดือนครับ แต่ในระดับเอกลักษณ์ประเทศ มันจะแตกต่างออกไป ประชากรที่เลือกประกอบอาชีพแบบ SME หรือทำการเกษตรจะถือว่ามีชีวิตอิสระพอสมควร เพราะรัฐบาลจะเข้ามาดูแลจุดนี้ วัฏจักรอุบาทว์ของพนักงานเงินเดือนญี่ปุ่นจะไม่ก้าวเข้ามาถึงในวงการนี้ เนื่องจากการเกษตรและปศุสัตว์ รวมถึง SME ของญี่ปุ่นมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และส่งออกขายเป็นจุดเด่นของประเทศ การจะดังหรือไม่ดังมันอยู่ที่คุณภาพของสินค้า และทุกคนสามารถทำได้ ดังนั้นจะสังเกตว่าเหล่าบรรดาหมู่บ้านที่ทำการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ หรือธุรกิจ SME เด่นๆของญี่ปุ่น เด็กของที่นั่นจะมีสภาพจิตค่อนข้างดีระดับหนึ่ง เนื่องจากเขาไม่ต้องมีความคาดหวังในการแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยกับประชากรอีกจำนวนมาก แต่จะไปเด่นเรื่องการสืบทอดวิธีการทำธุรกิจในตระกูลจากครอบครัวแทน และในเรื่องนี้ก็คือเรียวตะ

ฮารุโตะเป็นตัวอย่างเด็กที่เกิดมาในความด้อยและถูกสังคมแข่งขันสูงมากอย่างญี่ปุ่นบีบคั้นได้ดีมากครับ แม้จะจนตรอกด้วยสภาพแวดล้อม แต่ฮารุโตะก็เป็นเด็กที่นิสัยดี ซึ่งถ้าไปอยู่ในที่อื่นก็คงได้รับการช่วยเหลือและเติบโตได้ดีกว่านี้ แต่เนื่องจากเขาขาดมาตลอด (ตรงนี้ก็สะท้อนถึงความจริงของสังคมได้ดีอีกเช่นกัน) ทำให้ในบางเวลา เขาก็เกลียดและอิจฉาคนอื่นที่ดีมากๆด้วยบ้าง การที่เค้าชอบเรย์ ผมว่ามันก็สะท้อนถึงความฝันของเด็กที่ไม่มีอะไรเลยสักครั้งได้ดี ว่าถ้าอยากจะได้ก็อยากได้สิ่งที่ทุกคนมองว่าดีที่สุด แต่เนื่องจากในความเป็นจริง คุณไม่ได้ได้สิ่งนั้นหรอก เพราะสิ่งที่ดีที่สุดก็ย่อมคู่กับสิ่งที่งดงามพอๆกันอยู่แล้ว (เรย์กับนาโอโตะ) นั่นเป็นสิ่งที่ฮารุโตะควรจะเริ่มเรียนรู้ แล้วเริ่มคิดว่าจุดไหนของสังคมที่เขาจะไปยืนอยู่ ผมว่าซากิน่าจะเป็นประชากรระดับ Upper Middle เช่นเดียวกับนาโอโตะนะครับ แต่เรย์น่าจะเป็นประชากรระดับ Lower High ที่สูงกว่าสองคนนั้น ทุกคนมีโปรไฟล์ที่มีมิติกันหมด ตอนนี้ก็รอดูว่าซากิจะเริ่มรู้สึกยังไงกับฮารุโตะครับ เท่าที่ดูจนถึงตอนนี้ (ตอนที่ 6) ซากิก็เริ่มน่าจะรู้สึกแล้วแหละ เพราะเขาเป็นคนๆหนึ่งที่เห็นสภาพชีวิตของฮารุโตะมากที่สุด และการอยู่ร่วมกับคนที่นิสัยดีๆอย่างสมาชิกชมรมที่เหลือ (นาโอโตะน่าจะมีอิทธิพลมากที่สุด) ก็น่าจะทำให้เขาเป็นคนที่มีความดีเหลืออยู่ในใจบ้างแหละครับ ไม่ได้เลวบริสุทธิ์ขนาดนั้นมั้ง

ผมยังไม่เห็นพล็อตทั้งหมด เลยยังไม่รู้ว่าเรื่องจะยาวไปจนถึงขอบเขตชีวิตตรงไหนของฮารุโตะ แต่เท่าที่อ่านมา ถือว่าเขียนสภาพบรรยายได้ดีมากครับ ทุกองค์ประกอบดีหมดเลย ความสมจริง การบรรยาย ตัวละคร ตัวร้าย (ที่ผมคิดว่าคือชุน หรือเปล่า?) ก็แสดงถึงการ bullies ในสังคมจินตนาการได้ดีครับ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
พอดีได้อ่าน Reply ของ Grey Twilight ค่ะ อยากจะบอกว่าทฤษฏีคุณแน่นมากค่ะ แน่นกว่าเราที่เป็นคนเขียนเรื่องอีก

อย่างที่เราเคยเขียนบอกไว้ว่าเราโตมากับการ์ตูนญี่ปุ่นค่ะ ชอบดูหนังญี่ปุ่นด้วย เพราะอยากได้ภาษา(ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่ไปถึงไหน) เมื่อก่อนเราได้ดู Nobody Knows ค่ะ ทำร้ายจิตใจเรามาก หนังสือการ์ตูนอีกเรื่องคือ Life ที่เกี่ยวกับการกลั่นแกล้งในโรงเรียน
ถ้าพูดถึงการกลั่นแกล้งในโรงเรียนนี่ มีหนังสือการ์ตูนหลายเล่มยกขึ้นมาเขียนค่ะ ในความคิดเรามันให้อารมณ์ว่าเป็นเรื่องปกติของสังคมญี่ปุ่นค่ะ และบางเรื่องมันเป็นจุดเริ่มต้นของพระเอกในเรื่องอีกต่างหาก อย่างเช่น Eyeshield 21 แน่นอนค่ะ ถ้าพูดถึงการกลั่นแกล้งต้องกลับไปที่  Life

ขอบคุณ คุณ Grey Twilight คะสำหรับคำชมที่บอกว่าตัวละครของเราสมเหตุสมผล และบอกว่าเราบรรยายได้ดี (ปลื้มตัวลอยเลยอ่ะ) พูดกันตามตรงเรื่องนี้เคยนำมาลงแล้วรอบหนึ่งค่ะ แต่เรานำมาลงห้องเรื่องยาวซึ่งถูกเราตัดจบอย่างรวดเร็วชนิดที่แม้แต่ตัวเรายังค้างคาใจ ดังนั้นมันจึงถูกลบไปแล้ว เรื่องเดิมเราเปิดเรื่องตอนที่ฮารุโตะเข้าชมรมไปแล้วหลายเดือน และก็รู้แล้วว่าเรย์กับนาโอตะเป็นแฟนกัน อย่างที่บอกว่ามันค้างคาใจเรา เราเลยกลับมาเขียนต่อ แต่เราต่อจากจุดเดิมไม่ได้ เราเลยต้องไปบิ้วอารมณ์มาใหม่ตั้งแต่ต้นเรื่อง  เพื่อให้สามารถจบอย่างที่ควรจะเรียกว่าจบ

ขอบคุณทุกท่านค่ะที่บอกว่าเรื่องนี้อึดอัด แนวคิดเรื่องนี้คือดราม่าค่ะ อยากให้คนอ่านน้ำตาตก ไม่ได้โรคจิตนะ(หัวเราะ) แต่เมื่อก่อนเราเขียนนิยายรักใสๆมาแล้ว เลยอยากเขียนแนวนี้ดูบ้าง

เรื่องนี้ เราได้ไอเดียมาจากวงนักร้องญี่ปุ่น ไม่รู้ว่าถ้าพูดถึงวงหกคนสมัยก่อนที่ตอนนี้แยกย้ายกันไปบ้างแล้ว และตอนนี้เหลือสมาชิกกันอยู่ไม่กี่คน จะยังคงมีคนรู้จักอยู่ไหม สมัยที่วงนี้ยังดังจะมีแฟนฟิคคู่หลักของวงออกมาเยอะมาก

ในความคิดเรา ทั้งที่เดบิวหกคนแต่คนที่มีชื่อเสียงจริงๆกลับมีอยู่ไม่กี่คน และใน MV ที่เราดูก็ให้ความรู้สึกว่า สมาชิกในวงกำลังเลียนแบบหนึ่งในคู่หลัก (ซึ่งเราอาจจะเข้าใจผิดก็ได้) มันเลยออกมามีรุ่นพี่ห้าคน (รวมฮารุโตะในเรื่องนี้ด้วยเป็นหกพอดี) เพราะตอนแรกมันเป็นแฟนฟิคค่ะ แต่วงนี้กระจัดกระจายไปแล้วเราเลยไม่กล้าเอามาเขียน

ประเด็นของเรื่องนี้จึงเป็น อิจฉา พยายามเลียนแบบ แต่ถ้าให้ยกขึ้นมาเขียนจริงๆ เรารู้สึกว่าคงเครียดตายไปก่อนเขียนเรื่องจบ เลยสร้างปูมหลังชีวิตตัวเอกมาอย่างนี้ 

ในสมัยเรียนมีเพื่อนที่เป็นเด็กขี้อายหนึ่งคน บ้านยากจน(มั้ง)และก็ไม่ค่อยพูดหนึ่งคนที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของเรา ตอนที่เราเขียนเรื่องนี้ เราคิดถึงสองคนนี้ตลอด ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง แต่สมัยนั้นไม่มีการกลั่นแกล้งกันนะคะ เราอยู่ห้องคิงโรงเรียนหญิงล้วน การกลั้นแกล้งในห้องเราอ่ะไม่มี แต่ตบกันในโรงเรียนเยอะมาก โซเชียลก็ไม่บูมเท่าสมัยนี้ เลยไม่มีการเก็บไปด่ากันบน FB พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ไปอยู่ในหมู่ชายล้วนมีผู้หญิงในเซคน้อยมาก ทีนี้เลยได้เห็นวิธีแกล้งเด็กผู้หญิงจากเพื่อนๆค่ะแต่มุ้งมิ้งไม่มีการแตะตัว หรือมีบ้างแต่ไม่รุนแรง มีพวกผู้ชายแกล้งกันเองบ้าง แต่ก็เล่นกันในกลุ่มเพราะเล่นแรงมาก บังเอิญว่าเราไปอ่านการ์ตูนหรือนิยายไม่แน่ใจ เขาเขียนเป็นทำนองว่า “คนที่โดนแกล้ง จะมีออร่าแผ่ออกมาว่าให้แกล้งฉันที” หันไปมองหน้าเพื่อนเรา มันให้ความรู้สึกนั้นจริงๆ (แม้ว่าคนที่โดนแกล้งจะไม่ได้อยากโดนแกล้งเลยสักนิด แต่ออร่าหรือปฏิกิริยาตอบสนองตอนโดนแกล้งเป็นแบบนั้น)

เราเลยใช้หลักการนี้เป็นพื้นฐาน

ทีนี้กลับมาที่เรื่องปูมหลังชีวิตฮารุโตะค่ะ เพราะคุณ sirin_chadada บอกว่าเริ่มงง ปัจจุบันเราไม่ได้มีเขียนไว้ละเอียดในตอนไหนเลย ส่วนใหญ่จะแทรกไว้แบบนานๆเจอครั้ง

แต่เดิมฮารุโตะมีพ่อแม่ครบทั้งคู่ เป็นเด็กธรรมดาได้รับการดูแลแบบปกติ แต่ผู้หญิงคนเป็นแม่ไม่ได้อยากมีลูกค่ะ ฮารุโตะเลยติดพ่อมากกว่า ทั้งที่ก่อนฮารุโตะเข้าโรงเรียนแม่ไม่ได้ทำอาชีพอะไรนอกจากเป็นแม่บ้านอย่างเดียว พอฮารุโตะเข้าโรงเรียนแม่ต้องออกไปทำงานเหมือนกัน อย่างที่บอกว่าบ้านจนค่ะ แม่ของฮารุโตะเป็นรูปแบบผู้หญิงฟุ้งเฟ้อในญี่ปุ่น พอฮารุโตะขึ้นชั้นประถม แม่ก็หายออกไปจากบ้าน และอยู่กับพ่อสองคนเป็นต้นมา แต่ช่วงประถมห้าพ่อก็หายออกไปจากบ้านค่ะ เลยกลายเป็นเด็กกรำพร้ามาตั้งแต่นั้น

เหตุผลที่ฮารุโตะชอบเรย์ จะมองในมุมของคุณ Grey Twilight ก็ได้ค่ะ ถ้ามองจากมุมคนที่ไม่รู้ปูมหลังนะ ซึ่งตรงกับที่คุณ ♥►MAGNOLIA◄♥ บอกว่าซากิน่าจะคิดอย่างนั้น (พออ่าน Reply แล้วรู้สึกว่า นักอ่านแต่ละคนเก่งจัง) แต่เมื่อได้อ่านปูมหลังของฮารุโตะแล้วน่าจะพอรู้แล้วละมั้งค่ะ ฮารุโตะแค่มองหาพ่อจากใครสักคนเท่านั้นเอง แล้วทำไมต้องเป็นเรย์ ทำไมไม่ใช่เอคิจิ หรือนาโอโตะ เพราะว่าชื่อของฮารุโตะแปลว่าฤดูใบไม้ผลิค่ะ เป็นชื่อที่พ่อตั้งให้

เราตั้งใจให้เรื่องนี้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งค่ะ ฮารุโตะอุตส่าห์เป็นคนดีอดทนมาตลอด คนดีมันต้องได้ดีซิ จริงไหม

สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งค่ะสำหรับทุกข้อความความรู้สึกและอารมณ์ร่วมที่มีต่อนิยายเรื่องนี้
ตอนนี้เริ่มกังวลใจแล้วอ่ะ ว่าไอ้สิบกว่าตอนที่มีอยู่ตอนนี้มันยังทำให้คนอ่านอินได้อยู่หรือเปล่า  (-“- ;)

ออฟไลน์ dark-soleil

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1
ชอบเรื่องนี้มากๆค่ะ เป็นกำลังใจให้คนแต่งเสมอนะคะ อ่านไปก็รู้สึกอึดอัดใจไป...ฮารุโตะน่าสงสาร พอเริ่มกล้าที่จะแต่งตัวก็โดนแกล้งโดนว่าจนหมดความมั่นใจอีก เราเข้าใจฮารุโตะนะ เข้าใจว่าฮารุโตะทำไมถึงชอบหนีจากปัญหา ไม่กล้าเผชิญหน้า เราเองก็รู้สึกอยากจะหนีปัญหาบ่อยมาก แต่น่าเสียดายที่ในชีวิตจริงมันทำแบบนั้นไม่ได้

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 7 : 20/Feb/2017
«ตอบ #36 เมื่อ20-02-2017 00:03:40 »

เรื่องย่อ ตอนที่ 7

มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ อีกฝ่ายมัวเมาเขาด้วยรสสัมผัสลึกซึ้งจนเด็กหนุ่มยากจะถอนตัว
ปล. ตอนนี้ไม่มีสาระนอกจากสนองนี้ดโดยแท้ เบื่อ 18+ ข้ามไปก็ได้นะ

春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย

Chapter 7

ฮารุโตะสนุกและมีความสุขมากจริงๆ ไม่ว่าจะสโนว์บอร์ดที่ทำให้เขาเหงื่อซึมแม้อากาศจะหนาวเย็น น้ำพุร้อน อาหาร มุกตลกของพวกรุ่นพี่ และรุ่นพี่ชิมิซึที่แสนใจดี

เขามีความสุขจนคิดว่า ความสุขที่เขาพบในสองวันที่ผ่านมานี้ดึงเอาความสุขที่เขาจะได้เจอตลอดทั้งชีวิตในอนาคตข้างหน้ามารวมกันไว้แน่ๆ แต่ไม่เป็นไร เขาบอกตัวเอง

ต่อให้...ต่อไปนี้เขาจะต้องเจอแต่เรื่องไม่ดี เขาจะจดจำช่วงเวลาสองวันที่เพิ่งผ่านพ้นไปให้ดีที่สุด

เด็กหนุ่มนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงโดยไม่คิดจะหลับตา จนกระทั่งฟูกนอนยวบลงเขาจึงได้หันไปมอง พอเห็นหน้าอีกฝ่ายก็ยกยิ้มให้ เขาไม่แน่ใจว่าเพราะภูเขาหิมะ น้ำพุร้อน บรรยากาศรอบกายหรือสิ่งใดกันแน่ที่ทำให้รุ่นพี่ที่แสนร้ายกาจเย็นชาซึ่งเขาเคยพบเจอเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนหรือหลายเดือนก่อนกลับกลายมาเป็นรุ่นพี่ผู้แสนใจดีอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ

“ไม่อาบน้ำหรือไง”คนถามทอดเสียงอบอุ่นจนเขาคิดว่าตนเองกำลังฝันไป มือหนาเกลี่ยปอยผมซึ่งระหน้าผากของเขาอย่างอ้อยอิ่ง

“กะว่าจะกลิ้งไปกลิ้งมาให้อาหารย่อยก่อนแล้วค่อยไปอาบครับ รุ่นพี่รู้หรือเปล่า ถ้าไปอาบน้ำหลังจากทานข้าวอิ่มจะทำให้ระบบการย่อยทำงานไม่ดีนะครับ”

“และพวกกินอิ่มแล้วมานอนนี่ ระบบย่อยอาหารจะทำงานดีหรืออย่างไร”

“ไม่ได้นอนนะ แค่กลิ้งอยู่บนเตียง”เขาเถียงด้วยน้ำเสียงอุบอิบ

บรรยากาศโดยรอบเงียบกริบโดยฉับพลันเมื่อเขาสบกับนัยน์ตาสีดำสนิท ในแววตานั้นฉายแววแปลกประหลาดที่ทำให้เขารู้สึกราวกับต้องมนต์ ใบหน้าคมของรุ่นพี่เคลื่อนที่ใกล้เข้ามา ทำให้เขาหลับตาลงโดยอัตโนมัติก่อนจุมพิตบางเบาจะตามมาในภายหลัง จูบนุ่มนวลค่อยๆ เร่าร้อนและลึกซึ้งขึ้น ฮารุโตะรับรู้ถึงปลายทางที่ต้องพบในนาทีนั้น แต่เขากลับไม่มีความคิดที่จะผลักไสซ้ำยังปล่อยให้หัวใจที่กระเด็นกระดอนเต้นโลดอย่างยินดี

ซากิสอดมือเข้าไปใต้เสื้อผ้า ลากฝ่ามือบนผิวเนียนอุ่นนุ่ม จากสีข้างวกกลับมายังยอดอกสีเข้ม ใช้ปลายนิ้วบดขยี้จนร่างข้างใต้บิดเร่าคล้ายทรมาน ทั้งที่เรียวปากยังบดคลึงจุมพิตไม่ห่าง จะคลายออกมาบ้างตอนที่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้หอบหายใจ กระนั้นยังขบย้ำอยู่กับริมฝีปากอิ่มซ้ำๆ

เขาขยับขึ้นเตียงแทรกตัวอยู่กลางหว่างขาของอีกฝ่าย ละมือมาปลดกระดุมกางเกงของฮารุโตะ ใช้แรงเพียงนิดมันก็หลุดจากสะโพก ฮารุโตะยังคงเคลิบเคลิ้มมัวเมาอยู่กับจูบจนไม่รู้ว่ากางเกงถูกถอดทิ้งไปเสียแล้ว ซากิยังคงกดจูบซ้ำๆ มือหนึ่งลากวนหยอกเย้ากับส่วนอ่อนไหวเบื้องล่าง มือหนึ่งวนเวียนบนยอดอกจนมันแข็งเป็นไต ร่างเพรียวบางกว่าด้านล่างตอบสนองต่อการกระทำของเขาเป็นอย่างดี ไร้ซึ่งการขัดขืนถึงขนาดยกแขนขึ้นโอบเขาไว้

ฮารุโตะปรือตาขึ้นมองอีกฝ่ายอีกครั้งตอนที่ถูกจับถอดเสื้อ สมองมึนเบลอว่างเปล่า เขาได้แต่ยกมือขึ้นปล่อยให้ร่างสูงกว่าเปลื้องเสื้อผ้าให้แต่โดยดี ซากิก้มลงจูบซ้ำไล่มาตั้งแต่แอ่งชีพจรตรงต้นคอ ลากยาวมาจนถึงกึ่งกลางลำตัว ไล้เลียและครอบปากลงอย่างไม่นึกรังเกียจ ทุกครั้งที่ร่างสูงดูดดึงเบาๆ ความเสียวซ่านจะแล่นไปทั่วร่าง บางคราคล้ายล่องลอยอยู่บนปุยนุ่น บางครั้งคล้ายดำดิ่งอยู่ในห้วงทะเลลึก

“รุ่นพี่” เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น

ยามที่ซากิได้สบดวงตาสีอ่อน ราวกับว่าเขาจะรับรู้ถึงความต้องการของอีกฝ่าย ซากิกดจูบที่ริมฝีปากอิ่มอีกครั้ง จูบนั้นอวลด้วยกลิ่นคาวจำเพาะที่เร่งเร้าอารมณ์ของคนทั้งคู่ ชายหนุ่มกดกายชำแรกผ่านช่องทางหลืบลึกซึ่งชุ่มฉ่ำด้วยเจลหล่อลื่น สอดแขนไว้ใต้ต้นขารั้งสะโพกอีกฝ่ายไม่ให้ถอยหนีก่อนถอนกายและกดย้ำลงไปใหม่ ปลายเล็บที่สั้นกุดของฮารุโตะจิกบ่าของเขาแน่น ซากิถอนสะโพกออกเล็กน้อยเมื่อพบว่าทางเบื้องหน้าฝืดคับไม่อาจเดินหน้าต่อและกดย้ำซ้ำเชื่องช้า ปลายลิ้นดูดดึงเกี่ยวกระหวัดอยู่ในโพรงปากของเด็กหนุ่มร่างเล็กกว่า ทำเช่นนั้นซ้ำอยู่นานจนแก่นกายถูกโอบล้อมอยู่ในความอุ่นร้อนแนบแน่น เขาผละออกมา ใช้ปลายจมูกเกลี่ยไล้ไปตามหน้าผากชื้นเหงื่อ

“เจ็บไหม” ซากิถาม เขาได้ยินเสียงหอบหายใจเบาๆ แผ่นอกบางสะท้อนเสียงหัวใจที่เต้นรัวไม่ต่างกัน

“ม...ไม่ครับ” ร่างเล็กกว่าตอบสั้นๆ ก่อนเสียงพูดจะกลายเป็นเสียงครางผะแผ่วยามที่เขาขยับกาย

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ขยับเหยียดสะโพกเดินหน้าด้วยจังหวะเนิบช้าคล้ายอยากซึมซับช่วงเวลาที่แสนอิ่มเอมให้นานเท่านาน ริมฝีปากบางไล่ชิมผิวเนื้ออ่อนในอ้อมกอดอีกครั้ง ทว่าความสนุกสนานกับจังหวะที่เนิบช้าของซากิคงจะไม่ถูกใจฮารุโตะสักเท่าไหร่ ร่างบางกว่าถึงได้โอบรัดเขาแน่นขึ้น ชายหนุ่มผู้ซึ่งอยู่ในฐานะรุ่นพี่ยกยิ้ม เลื่อนใบหน้าให้มาอยู่ในระดับเดียวกับสายตาของคนด้านล่าง นัยน์ตาสีอ่อนมีแววเว้าวอนอยู่ในที

“พูดสิ” เอ่ยเช่นนั้นแล้วก้มลงแตะริมฝีปากอิ่มเบาๆ คล้ายกระตุ้น ฮารุโตะขมวดคิ้วเบือนหน้าหนีอย่างไม่พอใจ ซากิยิ่งยกยิ้ม ฮารุโตะในเวลานี้กลับดูเหมือนคุณหนูที่เอาแต่ใจจนเขาอดที่จะเอ็นดูไม่ได้ และจังหวะร่วมรักก็ร้อนแรงและหนักหน่วงขึ้น

ฮารุโตะหลับตาลง ความรู้สึกกำซาบซ่านแล่นริ้วทั่วร่างกาย ปลายฝั่งของความสุขสมเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ เสียงครางครวญดังจากลำคอสอดประสานกับเสียงกระทบของผิวกาย กล้ามเนื้อเกร็งเครียดเขม็งไปทั่วทั้งร่างก่อนทุกอย่างจะหยุดลงเสียดื้อๆ

ฮารุโตะลืมตามองอีกฝ่ายอย่างงุนงงและเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธเมื่อเห็นรอยยิ้มของชายหนุ่ม

ซากิหัวเราะ เขารั้งร่างเล็กบางกว่าของหนุ่มรุ่นน้องให้ลุกขึ้น แท่งเอ็นซึ่งเชื่อมโยงอยู่กับร่างกายของฮารุโตะถูกสอดลึกขึ้นจากการขยับตัวนั้น

“อือ” เด็กหนุ่มครางประท้วงกอดคอชายหนุ่มรุ่นพี่ไว้

“นายชอบหลับหลังจากเสร็จทุกที ครั้งนี้ก็อดทนหน่อยนะ”

“ก็มัน… ง่วงอะ” บ่นงึมงำได้ไม่กี่คำหลังจากนั้นคงมีแค่เสียงครางผะแผ่วคล้ายทรมาน คล้ายพึงพอใจที่แม้กระทั่งเจ้าตัวยังไม่อาจแยกแยะได้



ฮารุโตะนอนมองใบหน้าคมของหนุ่มรุ่นพี่ในความสลัวรางยามเช้า เขานอนนิ่งอยู่ข้างกายซากิโดยที่มีลำแขนหนาของอีกฝ่ายพาดอยู่แถวบั้นเอว จดจ้องอยู่ที่เปลือกตาปิดสนิท จมูก ริมฝีปาก หูได้ยินเสียงลมหายใจเป็นทำนองจังหวะสม่ำเสมอ เสียงหัวใจเต้นที่ทำให้เขาเพลิดเพลินอย่างประหลาด นานทีเดียวกว่าร่างสูงใหญ่กว่าจะตื่น

“ตื่นนานแล้วหรือ”

ฮารุโตะเพียงแค่ยิ้มให้

“กี่โมงแล้ว”

ได้ยินเช่นนั้นฮารุโตะจึงขยับตัวลุกขึ้น หยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่หัวเตียงขึ้นมาดู “หกโมงครึ่งครับ”

“ยังเช้าอยู่เลยนะ” ซากิพึมพำเบาๆ ลุกขึ้นนั่งประชิดตัวอีกฝ่าย “พวกนั้นนัดตอนเก้าโมงนี่นะ ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งเยอะ” พอคำพูดนั้นจบ ฮารุโตะก็ถูกประกบจูบ ร่างกายของพวกเขายังคงเปลือยเปล่า ดังนั้นตอนที่วงแขนแกร่งรั้งเอวเขาให้แนบชิด ผิวเนื้อที่สัมผัสกันจึงทำให้ฮารุโตะร้อนวูบวาบ เพราะเป็นตอนเช้าที่แสงสว่างส่องชัดเจนหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ เขาถึงรู้สึกถึงนิ้วมือที่แต้มของเหลวเย็นล่วงผ่านเขามาในกายอย่างชัดเจน หน้าร้อนผ่าวยามที่นิ้วมือนั้นกวาดไปทั่วและค่อยๆ เพิ่มจำนวนอย่างช้าๆ พอนิ้วถูกถอนออก เขาก็ถูกรั้งสะโพกยกขึ้น ฮารุโตะก้มมองแล้วต้องรีบหลับตากอดบ่าอีกฝ่ายไว้เพื่อหลีกหนี ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ได้มองเห็นเขาก็รู้สึกไม่อยากเชื่อและไม่ชินเสียทุกที

ร่างกายในอ้อมกอดที่เกร็งขืนขึ้นทำให้ซากิดึงอีกฝ่ายให้นั่งลง ฮารุโตะหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าเดิมเมื่อร่องสะโพกเสียดสีกับแก่นกายที่ตั้งชัน ร่างเพรียวขยับพยายามลุกขึ้นแต่กลับถูกกดไว้

“กลัวอะไร หืม” ซากิรั้งฮารุโตะให้หันมาสบตา ปลายจมูกคลอเคลียกับจมูกของอีกฝ่าย ทั้งยังขยับเอวช้าๆ คล้ายกลั่นแกล้งร่างที่อยู่ในอ้อมกอด

“ก็...” ฮารุโตะอึกอักไม่กล้าพูดออกไปอย่างชัดเจน ซากิจึงพูดคาดเดาออกไป

“ยังเจ็บอยู่หรือ”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ แม้จะยังรู้สึกตึงแน่นแปลกๆ อยู่บ้างแต่ไม่ได้เจ็บปวดจนถึงขั้นทนไม่ไหว

“ถ้าอย่างนั้นไม่เห็นต้องกลัว ทำมาตั้งหลายครั้งแล้วยังไม่เป็นอะไรเลย” ซากิกดจูบอีกครั้ง ช่างเป็นจูบที่มีเวทมนตร์จริงๆ ในความคิดของฮารุโตะ เพราะเมื่อร่างสูงกว่าละผละจากจูบ ความรู้สึกเบื้องล่างพลันชัดเจนขึ้นมาทันที ความอุ่นร้อนที่เต้นตุบๆ อยู่ภายในตัว

“เห็นไหม เข้าไปได้แล้ว” พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ได้ยินอยู่ข้างหู

ฮารุโตะกลืนน้ำลายลงคอ หลับตาซบหน้าลงกับบ่ากว้าง ทั้งที่เป็นอย่างนั้น สัมผัสเสียดสียามที่สะโพกถูกยกขึ้นและดึงกดลงมาจนสุดกลับชัดเจนราวกับว่าเขากำลังจ้องมองท่วงท่าการกระทำที่น่าอายนี้อยู่ หัวใจของเขาเต้นแรง อ้าปากเผยอตักตวงอากาศหายใจคล้ายรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะจมน้ำ อึดอัดแต่ทั้งร่างกายกลับโหยหา

“อะ อ๊ะ”

เสียงครางด้วยความสุขสมดังขึ้นเป็นระยะจากการชักนำของหนุ่มรุ่นพี่ ฮารุโตะที่อ่อนด้อยประสบการณ์ไม่อาจจะตอบสนองเขาอย่างเจนโลก กระนั้นร่างกายที่แสนพิสุทธิ์กลับซื่อตรงในการไขว่คว้าความสุขมาครอบครอง ทุกครั้งที่เขาถอนกายช่องทางด้านหลังจะบีบรัดราวกับไม่อยากให้เขาจากไปไหน ซากิจึงได้จ้วงโจนเข้าหาอย่างไม่หยุดยั้ง

และแล้วร่างเพรียวบางด้านบนก็ลืมเลือนความอาย ขยับกายรับจังหวะที่ถูกส่งมา ลูบไล้กล้ามเนื้อที่เริ่มเกร็งเครียดตอบสนองห้วงหฤหรรษ์ที่ได้รับ บดจูบอย่างที่ใจนึกปรารถนา ขยับรับจังหวะที่เร่งเร้าขึ้น ความเครียดขึงขมวดเกลียวเข้ามาเรื่อยๆ จนหยดน้ำข้นเหนียวไหลซึมออกมาจากส่วนปลาย

“ม...ไม่ไหวแล้ว” ฮารุโตะพูดเช่นนั้นก่อนจะปลดปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมา ร่างทั้งร่างอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง ซากิรั้งร่างของฮารุโตะให้เอนตัวลงนอน กระแทกกายแรงๆ เข้าหา พลางใช้มือรีดเร้นอารมณ์ที่อ่อนตัวของฮารุโตะให้ปลดปล่อยน้ำรักออกมาให้หมด ไม่นานนักซากิก็ปลดปล่อยเข้าไปในกายของฮารุโตะเช่นเดียวกัน

หนุ่มรุ่นพี่ล้มตัวลงนอนทับร่างที่แบบบางกว่า ขยับกายเอื่อยๆ อีกสองสามทีจึงหยุดนิ่ง กลิ่นผิวกายหอมอ่อนๆ ดึงดูดให้เขาเคลื่อนกายเข้าแนบชิด เขาโอบเอวบางคอดไว้แนบกาย หอบหายใจอยู่ชั่วครู่จึงลุกขึ้น พอถอนกายออกน้ำสีขุ่นก็ไหลออกมา เขาเอี้ยวหากระดาษทิชชู่ พอได้มาไว้ในมือแล้วจึงนำมาเช็ดทำความสะอาดให้คนที่นอนอยู่

ฮารุโตะยังคงหลับตานิ่ง

“ง่วงนอนหรือ” เมื่อได้ยินเสียงถามจึงลืมตาและค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง

“อือ” หน้าตาของเด็กหนุ่มดูง่วงงุนเหมือนไม่ได้พักผ่อนมาทั้งคืน

“ต้องไปอาบน้ำแล้วล่ะ ลุกไหวไหม” ซากิถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย ฮารุโตะไม่ตอบแต่เคลื่อนตัวไปหย่อนขาลงข้างเตียง รู้สึกล้าตั้งแต่สะโพกลงไปก็จริงแต่เขาคิดว่าน่าจะยืนไหว

“ไม่ไหวก็บอกเดี๋ยวฉันพาไป”

“คิดว่าไหวครับ แต่คงต้องรอสักพัก”

ฮารุโตะลองยืนขึ้น เหมือนขาจะไม่มีแรงแต่ยังทรงตัวอยู่ได้ ขัดยอกเล็กน้อยตอนที่ก้าวเดิน ซากิโอบประคองร่างบางกว่าไม่ห่าง ทั้งยังเข้าไปอาบน้ำด้วยกัน เด็กหนุ่มรุ่นน้องได้แต่หลบตาด้วยความเขินอาย แต่เขาก็มีความสุขมากเมื่อได้เห็นความเอาใจใส่ที่หนุ่มรุ่นพี่มีให้กับตน

ออกจากห้องน้ำมาแต่งตัวพร้อมทั้งเก็บกระเป๋าเรียบร้อย ทั้งสองเดินออกจากห้องพัก มาถึงห้องอาหารที่เรย์และนาโอโตะนั่งรออยู่แล้ว

“เอคิจิกับเรียวตะล่ะ” ซากิเอ่ยถามถึงเพื่อนอีกสองคน

“ตอนที่ฉันไปเคาะห้องเห็นเพิ่งตื่น ดูท่าว่ากว่าจะได้ออกจากโรงแรมคงสักสิบเอ็ดโมงละมั้ง” เรย์เป็นฝ่ายตอบ ซากิพยักหน้ารับก่อนจะหันมาหาฮารุโตะ “นั่งอยู่นี่ละนะ เดี๋ยวฉันไปยกอาหารมาให้” เด็กหนุ่มรุ่นน้องพยักหน้ารับ พอซากิลุกไปแล้วหันกลับมาหาอีกสองคนที่ร่วมโต๊ะ เขาพบว่ารุ่นพี่อีกสองคนจ้องมาทางตนเขม็ง

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ดูฮารุจังเริ่มสนิทกับซากิแล้วเนอะ”

ฮารุโตะยกยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “ก็รุ่นพี่ชิมิซึใจดีกับผมนี่ครับ เมื่อก่อนรุ่นพี่ใจร้ายจนไม่อยากเข้าใกล้เลย ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกันทำไมจู่ๆ ถึงมาทำใจดีด้วย” น้ำเสียงของท้ายประโยคนั้นเต็มไปด้วยความคลางแคลง

“อย่าไปคิดมากเลยถ้าวันนี้มีความสุขก็อยู่กับความสุขในวันนี้” นาโอโตะพูดพลางวางมือลงบนหลังมือของฮารุโตะ เด็กหนุ่มเงยหน้ามองหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งยกยิ้มให้กำลังใจส่งมา

“ทำอะไรน่ะ” ซากิเพิ่งเดินกลับมาถึง เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นบรรยากาศหม่นๆ ที่โต๊ะอาหาร

“แค่สงสัยกันว่า ทำไมนายถึงใจดีขึ้นมา” เรย์โพล่งออกมาตรงๆ จนนาโอโตะร้องปราม

“เรย์”

บุคคลที่เป็นหัวข้อสนทนาแค่เลิกคิ้วมองและเมื่อหันไปหาเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ฝ่ายนั้นก็รีบก้มหน้าหลบสายตา ชายหนุ่มรู้สึกฉุนขึ้นมา เขาวางจานอาหารลงตรงหน้าฮารุโตะก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างกัน ขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้และโน้มตัวเข้าไปหา

“ปกติฉันก็ใจดีอยู่แล้วนะ” เขากระซิบพูดเสียงเบาใกล้หูของเด็กหนุ่มร่างเล็ก ฮารุโตะขนลุกเกรียวจะขยับตัวออกห่างกลับกลายเป็นว่าถูกวงแขนแกร่งดึงรั้งไว้

ซากิหัวเราะ “เอ้า! ทานได้แล้ว” เขาลูบศีรษะของเด็กหนุ่มรุ่นน้องเบาๆ พลางเลื่อนจานอาหารให้ขยับใกล้เข้าไปอีกเล็กน้อย

อาหารเช้าที่ซากิตักมาให้เป็นชุดอาหารเช้าแบบอเมริกัน อันประกอบด้วยขนมปัง ไข่ดาว ไส้กรอกและแฮม เครื่องดื่มเป็นนมสดแก้วใหญ่ เด็กหนุ่มหยิบมีดและส้อมขึ้นมาถือ เขามองมันอย่างสงสัย แล้วหันไปมองเหล่ารุ่นพี่ที่ใช้งานมันอย่างคล่องแคล่วก่อนจะลองทำตามอย่างที่เห็นดูบ้าง แต่กลับกลายเป็นว่าแฮมกระเด็นไปอยู่นอกจาน เรียกสายตาของทุกคนที่ร่วมโต๊ะให้หันมามอง ฮารุโตะรู้สึกอับอายจนต้องหลบสายตา ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะจากเรย์เขายิ่งก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม

“โอ๊ะ ไม่เป็นไรน่า ฮารุจังเป็นคนญี่ปุ่นจะไม่ถนัดใช้มีดกับส้อมก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” นาโอโตะพยายามพูดปลอบใจ ฮารุโตะเงยหน้ามองคนพูดด้วยสีหน้าไม่ดีนัก

“มิอุระหันมาทางนี้”

พอหันไปตามเสียงเบคอนชิ้นพอดีคำก็มาจ่อถึงปากจนอ้าปากรับแทบไม่ทัน พอเคี้ยวและกลืนลงไป คำที่สองก็ตามมาทันที ยังดีว่ารุ่นพี่ฮายาชิมาขัดจังหวะเสียก่อนไม่เช่นนั้นรุ่นพี่ชิมิซึคงจะป้อนอาหารให้เขาจนอิ่ม

“เอ๊ะ อะไรน่ะ อ้ามอ้ามบ้าง”

“มาช้าแล้วยังจะมาเล่นอยู่อีก” ซากิพูดดุ

“วันนี้ใจร้ายจัง ดุเค้าด้วย”

ได้ยินเช่นนั้นทั้งเรย์และนาโอโตะต่างหัวเราะออกมา

“ใช่ที่ไหนวันนี้น่ะซากิใจดีที่สุดเลย”

ซากิยังทำหน้าเฉยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นขณะที่ฮารุโตะเขินอายจนใบหน้าร้อนผ่าว

“อิ่มแล้วหรือเพิ่งกินไปได้นิดเดียวเอง”

“ผ…ผมทานเองได้ครับ”

กระนั้นชายหนุ่มร่างสูงก็ไม่วายจัดการหั่นอาหารในจานให้กลายเป็นชิ้นเล็กๆ ให้หนุ่มรุ่นน้องและกว่ามื้ออาหารมื้อนั้นจะจบลง เวลาได้ล่วงเลยไปนานพอควร จากนั้นพวกเขาจึงได้ฤกษ์ออกเดินทางกลับ



ความสนิทสนมระหว่างซากิและฮารุโตะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน  นับตั้งแต่กลับมาจากนางาโน่ในคราวนั้น ทั้งการเดินทางขากลับที่ซากิดึงศีรษะของฮารุโตะมาซบไหล่เพื่อหนุนนอน พอถึงเมืองที่พวกเขาอยู่ ชายหนุ่มรุ่นพี่ยังขอลงพร้อมฮารุโตะและตามไปส่งรุ่นน้องร่วมชมรมถึงห้องพัก รวมถึงตอนนี้ที่นาโอโตะเห็น ซากิโอบเอวฮารุโตะไว้ ทั้งที่แค่ดูภาพถ่ายจากนางาโน่เท่านั้น

“จ้องจนตาจะถลนแล้ว” เรย์เอ่ยทัก เขาเหลือบตามองสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาซึ่งห่างจากโต๊ะยาวที่พวกเขานั่งอยู่เล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าสนใจหนังสือในมือต่อ

“ก็ฉันสงสัยนี่”

นอกจากโอบเอวซากิยังเกยคางไว้บนบ่าของเด็กหนุ่มรุ่นน้องโดยที่ฮารุโตะไม่มีทีท่าขัดขืนเลยสักนิด

“สงสัยว่า?”

“สองคนนั้นตกลงคบกันแล้วหรือ”

“อืม... ถามซากิหรือฮารุจังหรือยังล่ะ”

“ถามฮารุจังแล้วเมื่อเช้า”

“แล้วว่าไง”

“บอกว่าเปล่า”

“คงไม่อยากบอกใครมั้ง” เรย์เดา หน้าตาตื่นขึ้นมาเมื่อเหลือบตามองเห็นเพื่อนของตนดึงฮารุโตะมานั่งบนตักหน้าตาเฉย “มันคงไม่มาทำอะไรกันบนห้องชมรมหรอกนะ” แล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาสองคนที่นั่งอยู่บนชุดโซฟา โดยหวังว่าจะปรามการกระทำอันล่อแหลมในที่สาธารณะได้บ้าง

“ดูอะไรกัน” เรย์พูด “น่าสนุกนะ ขอดูด้วยคนสิ”

ฮารุโตะพยายามขยับตัวลงจากตักของซากิ หากติดที่วงแขนแกร่งกอดรัดเอวเขาไว้แน่นกว่าเดิม เขาจึงได้แต่หยุกหยิกร้อนรน ดูเหมือนว่าพอมีคนอื่นอยู่ในครรลองสายตา ฮารุโตะถึงได้รู้ตัวว่าสิ่งที่ตนทำไม่ค่อยเหมาะสม

“รูปที่แกอัดมาไง” ซากิตอบกลับหน้าตาเฉย

“ก็...” เรย์เกาศีรษะด้วยไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร เขารู้ว่าซากิเป็นพวกไม่สนใจใครนัก ไม่ใคร่ใส่ใจสังคม นึกอยากทำอะไรก็ทำหากตนพอใจ

“อย่าประเจิดประเจ้อนัก คนอื่นเขาเห็น เขาจะอิจฉา” เรย์ตัดสินใจกล่าวออกไปตรงๆ แม้จะติดตลกในตอนท้ายแต่คำพูดนั้นทำให้ใบหน้าของฮารุโตะแดงก่ำ

“หึ จะพยายาม กลับกันเถอะมิอุระ” ชายหนุ่มรับปากเพื่อนก่อนจะปล่อยให้ฮารุโตะลุกขึ้น เขาเก็บภาพถ่ายใส่ซองยื่นส่งให้หนุ่มรุ่นน้องเป็นฝ่ายถือไว้ก่อนจูงมืออีกฝ่ายออกจากห้อง รองประธานชมรมถ่ายภาพอย่างอาโอกิ นาโอโตะมองตามตาไม่กะพริบ

“คบกันจริงๆ ด้วย” นาโอโตะพูดกับตัวเองเบาๆ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 21:43:58 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'


พอพ้นประตูห้องเท่านั้น ฮารุโตะก็เอ่ยเรียกร่างสูงไว้

“รุ่นพี่”

ซากิหยุดยืนแล้วหันมามอง

“ไม่...จับมือได้ไหมครับ”

“อืมได้สิ” อีกฝ่ายตอบรับง่ายดาย พอปล่อยมือเขาก็เปลี่ยนเป็นโอบบ่าบางไว้แทน

“กอดคอแบบนี้ใครๆ เขาก็ทำกัน คงไม่เป็นไรหรอกนะ”

ฮารุโตะไม่รู้จะเถียงอย่างไรเพราะผู้ชายที่เป็นเพื่อนกันส่วนใหญ่ก็ทำกันแบบนี้ เขาจึงยอมเดินตามอย่างว่าง่าย

จากนี้เด็กหนุ่มจะต้องไปทำงานพิเศษ แต่ก่อนหน้านั้น เขาต้องแวะอาบน้ำที่โรงอาบน้ำสาธารณะ จึงกลับไปเตรียมเสื้อผ้าข้าวของที่ห้อง และกลับมาโรงอาบน้ำที่เขาใช้บริการเป็นประจำอีกครั้ง รุ่นพี่ชิมิซึเข้าไปอาบน้ำกับเขาด้วย นั่นทำให้เขาเขินอายไม่กล้าเงยขึ้นมองอีกฝ่าย กระนั้นในบางครา เขากลับเหลือบสายตาขึ้นแอบมองหนุ่มรุ่นพี่อย่างอดใจไม่อยู่เช่นเดียวกัน

ออกจากโรงอาบน้ำด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ในขณะที่รุ่นพี่ใส่เสื้อผ้าชุดเดิม เขาแวะร้านเครื่องเขียนเพื่อซื้ออัลบั้มใส่ภาพชุดนี้ที่เขาเพิ่งได้รับมา เมื่อนึกถึงวันท่องเที่ยวที่ผ่านมาทีไร ฮารุโตะก็มีความสุขทุกครั้ง

“ผมแวะร้านเครื่องเขียนก่อนนะครับ”

“อืม” ซากิพยักหน้ารับ เดินเข้าไปในร้านพร้อมฮารุโตะ ชั้นวางสินค้าถูกตั้งเรียงไว้เป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ คนทั้งคู่เดินดูสินค้าตามชั้นวางเหล่านั้นจนเจอของที่ต้องการ

ฮารุโตะหยิบอัลบั้มปกสีฟ้าใสขึ้นมาอันหนึ่งพลางเปิดดูข้างใน ก่อนจะวางลงแล้วหยิบเล่มอื่นขึ้นมาดู แม้ว่าจะลังเลตัดสินใจไม่ถูกจนนึกอยากจะหันไปถามความคิดเห็นจากหนุ่มรุ่นพี่แต่ทว่าเขาได้แต่ยั้งตัวเอง ทำแบบนั้นอาจจะดูน่ารำคาญก็ได้ ฮารุโตะคิดในใจ อย่างไรก็ตามแม้แต่ตัวซากิเองก็ไม่ได้ออกความคิดเห็นใดๆ นอกจากยืนมองอยู่เฉยๆ

ใช้เวลาไม่นานนักในการตัดสินใจ ฮารุโตะเลือกอัลบั้มใส่ภาพที่หน้าปกเป็นรูปเกล็ดหิมะกำลังโปรยปรายด้วยคิดว่าเมื่อเห็นอัลบั้มเล่มนี้ครั้งใด เขาคงนึกถึงภูเขาหิมะสีขาวสะอาดตาในครั้งนั้น

และถึงซากิจะไม่ได้ยุ่งวุ่นวายกับการเลือกของที่ฮารุโตะต้องการ แต่เขาหยิบเงินขึ้นมาจ่ายทันทีที่รุ่นน้องวางของลงที่เคาน์เตอร์

“ไม่...”

“อย่าปฏิเสธ” ซากิเอ่ยขัดคำเดียว ฮารุโตะก็ยอมหุบปากเงียบกริบ เขาโยกศีรษะร่างเล็กที่ดูหงอยลงเล็กน้อยด้วยความเอ็นดู ก่อนรับของมาถือไว้ในมือ แล้วจับจูงมือบางไปส่งถึงที่ทำงาน

ฮารุโตะไม่เคยมีความคิดที่จะให้รุ่นพี่ต้องมาจ่ายเงินซื้อของให้ แม้จะเป็นของเล็กน้อยที่ไม่มีราคาค่างวดก็ตาม ถึงจะไม่แน่ใจว่าความสนิทสนมที่รุ่นพี่มีให้กับตนควรจำกัดความว่าเช่นไร แต่เด็กหนุ่มรู้สึกพึงพอใจกับสถานะที่เป็นอยู่ พึงพอใจกับความห่วงใยความใส่ใจที่หนุ่มรุ่นพี่มีต่อเขา

และความรู้สึกนั้นยิ่งทวีมากขึ้นเมื่อเขาได้พบหนุ่มรุ่นพี่ที่มายืนรออยู่ไม่ห่างจากที่ทำงาน หลังจากที่เขาหมดเวลางาน ทว่าฉับพลันในวินาทีต่อมาในสมองกลับมีแต่ความกังวล

“รุ่นพี่ มารอนานหรือยังครับ”

“ไม่นานหรอก สักสิบนาทีได้”

แค่สิบนาทีแต่มันก็นานเกินไปสำหรับช่วงเวลาที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ในความคิดของฮารุโตะ

“ครั้งหน้าไม่ต้องมารอหรอกครับ หรือไม่ก็โทรศัพท์มาก็ได้ถ้ารุ่นพี่มีธุระ” ท่าทางร้อนรนเป็นห่วงทำให้ซากิยกยิ้มออกมา

“อืม ถ้าอย่างนั้นครั้งหน้าจะโทรมาถามก่อนแล้วกันนะ” แล้วยื่นมือไปให้อีกฝ่ายได้จับไว้ “วันนี้กลับกันเถอะ”

ถึงแม้ว่าเขาอยากจะพูดออกไปว่า ‘ไม่ต้องไปส่งก็ได้’ แต่ฮารุโตะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขารู้สึกอบอุ่นใจไม่น้อย เขาอยากให้ทางเดินไม่มีจุดสิ้นสุด อยากให้ตนเองได้เดินอยู่เคียงข้างรุ่นพี่ตลอดไป แม้จะรู้อยู่ในใจว่าสิ่งที่ปรารถนาอาจจะไม่เป็นจริง ทว่าฮารุโตะยังอดที่จะคาดหวังถึงอนาคตที่สวยงามในวันข้างหน้าไม่ได้

ห้องพักที่ฮารุโตะอาศัยอยู่เป็นห้องพักขนาดสี่เสื่อครึ่งที่เก่าโทรมทั้งภายนอกอาคารและภายในห้อง ในห้องไม่มีข้าวของอะไรมากมายนัก ด้วยเพราะตัวฮารุโตะเองใช้เวลาอยู่ในห้องนี้วันละไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

ซากิถอดเสื้อโค้ตออกแขวนไว้กับที่แขวนซึ่งติดอยู่ที่ผนัง ข้างในเป็นเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มขายาวที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเรียบร้อยแล้ว

“ทานอะไรหน่อยไหมครับ”

“ไม่ต้องหรอก นายน่ะจะทำอะไรก็ทำเถอะไม่ต้องมาคอยดูแลฉันหรอก”

แต่เด็กหนุ่มยังคงลังเลหมุนซ้ายหมุนขวาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปเปิดฮีตเตอร์ เดินกลับมาหยิบแปรงสีฟันเพื่อแปรงฟันจากนั้นจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าและดึงฟูกในตู้ออกมาปูนอน ความลังเลก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อต้องมานั่งเผชิญหน้ากับรุ่นพี่เช่นนี้

ซากิยกยิ้มแม้จะรู้ว่าฮารุโตะแค่ทำกิจวัตรปกติของตนเองแต่อดคิดไม่ได้ว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องกำลังเชิญชวนอยู่

เขาก้าวขึ้นไปนั่งบนฟูกนอนแล้วดึงฮารุโตะให้ขึ้นมานั่งบนตัก เกลี่ยปลายจมูกลงสูดดมกลิ่นผิวกายอ่อนๆ แถวต้นคอ ฮารุโตะจั๊กจี้จนย่นคอหนี แล้วกระซิบแผ่วเบาริมใบหู

“พรุ่งนี้มีเรียนตอนกี่โมง”

ฮารุโตะมีเรียนตั้งแต่เก้าโมงเช้าทุกวันแต่เพราะอยากอยู่กับรุ่นพี่ เขาจึงปดว่ามีเรียนตอนบ่าย

“โกหก”

เด็กหนุ่มหันกลับไปมองด้วยความแปลกใจ แต่โดนประกบจูบกลับมา

“เด็กโกหกต้องโดนลงโทษ” เขาโดนผลักให้ล้มตัวลงนอน โดนบดจูบจนแทบหายใจไม่ทัน “ปกติก็ไปมหา’ ลัยแต่เช้าทุกวัน ทำไมจู่ๆ ถึงมีเรียนตอนบ่ายได้ล่ะ” ซากิเอ่ยถามทั้งที่ยังไม่ผละจากผิวเนื้อตรงต้นคอ ฮารุโตะกำลังรวบรวมสติให้เข้าที่ตอนสัมผัสของปลายลิ้นไปหยุดอยู่ที่ยอดอก

“ผม... อ๊ะ” ฮารุโตะไม่รู้จะตอบอย่างไรเมื่อความซ่านกระสันรบกวนสมาธิอยู่เช่นนี้ และดูเหมือนว่าซากิจะบดขยี้อารมณ์เขาหนักยิ่งกว่าเดิม รุนแรงและเร่งเร้าคล้ายว่าอารมณ์ของเจ้าตัวไม่อยู่ในสภาวะปกติจนส่วนปลายที่อ่อนไหวมีน้ำเยิ้มออกมาทั้งที่ยังไม่โดนแตะต้องเลยด้วยซ้ำ

“ผ... ผมอยากอยู่กับรุ่นพี่” กว่าจะจบคำพูดนั้นเขาเหนื่อยหอบจนตัวโยน พร้อมกับพายุอารมณ์ซึ่งโหมกระพือเมื่อสักครู่ของซากิจะจางหายไป ฝ่ายตรงข้ามจูบเขาเบาๆ ที่ริมฝีปาก

“พูดจาน่ารักจังนะ” แล้วเลื่อนไปกดจูบที่หน้าผาก เปลือกตาและไล่ลงมาเรื่อยๆ อย่างอ่อนโยน ร่างสูงปรนเปรอเขาด้วยริมฝีปากบาง เร้าอารมณ์ให้พุ่งสูงจนเกือบจะปลดปล่อยแต่ก็หยุดไว้กลางคัน ฮารุโตะลืมตามองเห็นรุ่นพี่กำลังสวมถุงยางและชโลมเจลหล่อลื่น ก่อนที่ขาข้างหนึ่งของเขาจะถูกจับพาดบนบ่ากว้างและท่อนลำแข็งเกร็งถูกสอดใส่เข้ามา ในนาทีแรกมันอึดอัดทรมาน เขาพยายามหายใจ ในขณะที่รุ่นพี่ชิมิซึรูดรั้งอารมณ์ที่ใกล้อ่อนตัวของเขา ร่างกายรู้สึกถึงความใหญ่โตซึ่งล่วงล้ำเข้ามาท่ามกลางเสียงหัวใจโครมคราม พร้อมกับอารมณ์กระหายอยากที่ไม่สามารถอธิบายได้

“รีบทำจะได้รีบนอน”

คนพูดทำตามดังที่ปากว่า กระทั้นกายเข้าหาด้วยท่วงจังหวะหนักหน่วงจนฮารุโตะหัวสั่นหัวคลอน เสียงเนินเนื้อกระทบกันดังก้องฟังดูหยาบโลน ทุกครั้งที่ความอุ่นร้อนแทงลึกเข้ามาในร่าง ฮารุโตะรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นลามจากจุดกึ่งกลางตัวไปจนถึงปลายเท้า เขากัดฟันพยายามกลั้นเสียงครางน่าอาย ส่วนหนึ่งเพราะผนังห้องของเขาบางเกินไป แค่เสียงกระทำ ห้องข้างๆ ก็อาจจะได้ยิน แม้ไม่เคยพบปะพูดคุยกับเพื่อนข้างห้อง แต่เสียงนินทามันร้ายกาจอย่างที่เขาไม่อยากพบเจอ

แสงไฟนีออนส่องสว่างให้เห็นผิวขาวเนียนของร่างซึ่งนอนอยู่ด้านล่างชัดเจน ซากิโน้มตัวเข้าไปใกล้ผิวเนื้ออุ่นที่ระคนกลิ่นหอมหวาน ใช้ปลายลิ้นหยอกเย้ายอดอกสีเข้ม พอขบเม้มช่องทางด้านล่างก็กระตุกตอดรัด เขาโรมรันกับเม็ดแข็งไตจนหนุ่มรุ่นน้องต้องยกมือขึ้นมาปิดปาก ซากิดึงมือคู่นั้นออกแล้วแทนที่ด้วยริมฝีปากของตน วงแขนเพรียวจึงคล้องกอดคอเขาไว้

“อ๊ะ” ร่างกายเพรียวบางกระตุกเฮือก เมื่อเขากระทั้นกายกดลึกซ้ำๆ บดขยี้เร่งเร้าอย่างหนักหน่วงไม่ช้าไม่นาน ฮารุโตะก็ปลดปล่อยน้ำรักสีขาวขุ่น ช่องทางหลืบลึกบีบรัดเขาไว้ในขณะที่ซากิยังคงกระแทกกายต่อเนื่อง ไม่นานจากนั้น ซากิก็ถึงฝั่งฝันเช่นเดียวกัน

“วันนี้ฉันค้างที่นี่นะ”

ฮารุโตะครางตอบรับ ความง่วงงุนกำลังเริ่มจู่โจมเขาอีกครั้ง

ซากิถอนกายออก ถอดถุงยางนำมันไปทิ้ง มองฮารุโตะที่นอนหลับตาพริ้มโดยไม่สนใจสิ่งใดแล้วยกยิ้มออกมา เขาจัดการสวมกางเกงดึงเสื้อที่ถูกเลิกขึ้นสูงให้กลับมาเหมือนเดิม ห่มผ้าให้รุ่นน้อง ปิดไฟก่อนจะล้มลงนอนข้างเด็กหนุ่ม ดึงร่างเล็กกว่าเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด อีกฝ่ายงึมงำอยู่ในคอซุกศีรษะเข้าหา ซากิจึงกอดร่างเล็กให้แน่นขึ้นและปล่อยตัวเองให้เข้าสู่นิทราภายในใจมุ่งมาดไว้ว่าถ้ามีโอกาสเขาจะกินอีกฝ่ายให้อิ่มทีเดียว



ตอนที่ออกมาจากร้านเด็กหนุ่มเห็นรุ่นพี่ต่างคณะยืนรอเช่นทุกวันเขาเดินเข้าไปหา  ยิ้มให้อย่างดีใจก่อนจะถูกโอบบ่ารั้งเข้าไปใกล้แต่แทนที่จะถูกพาเดินกลับห้องพัก  หนุ่มรุ่นพี่กลับพาเดินไปอีกทาง

“เสาร์อาทิตย์นี้ลางานแล้วใช่ไหม”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ แม้จะยังไม่รู้สาเหตุที่ชายหนุ่มร่างสูงต้องการให้เขาทำเช่นนั้น แต่เขาไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่ได้ถามถึงเหตุผลและยอมทำตามอย่างว่าง่าย

“วันนี้ค้างที่นั่นกัน” อีกฝ่ายเอ่ยชวนเมื่อมองตามปลายนิ้วที่ชี้ยังตึกดังกล่าว ความประหม่าตื่นเต้นได้ก้าวเข้ามาในหัวใจกระนั้นฮารุโตะยังคงพยักหน้าตอบตกลง

ซากิเป็นคนจัดการเรื่องห้องพักหลังจากได้กุญแจมาจึงเดินนำเข้าไปตามทาง ชายหนุ่มร่างสูงมีท่าทีสบายๆ ช่างต่างกับเขาที่ใจเต้นเหมือนมีกลองรัวอยู่ในอก รุ่นพี่ไขกุญแจเปิดประตูแล้วและยืนรอให้เขาเดินเข้าไปในห้องก่อน

การจัดตกแต่งภายในห้องไม่ได้หวือหวามากนัก มีเตียงเดี่ยวขนาดควีนไซส์ตั้งอยู่หลังหนึ่ง ตู้เสื้อผ้าบิวต์อิน ทีวี ตู้เย็นและประตูที่ฮารุโตะคาดว่าน่าจะเป็นห้องน้ำ เมื่อเห็นรุ่นน้องยังยืนนิ่งสำรวจห้อง ซากิจึงรุนหลังอีกฝ่ายไปยังจุดที่เขาหมายตาและยกตัวของฮารุโตะให้ขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์ปูนหน้ากระจกพร้อมลงมือเล้าโลมด้วยการจูบ แตะจูบที่ริมฝีปากของคนตรงหน้าอย่างอ้อยอิ่ง ย้ำซ้ำจนหนุ่มรุ่นน้องยอมเผยอปาก อาการตื่นเกร็งของรุ่นน้องค่อยๆ หายไปเมื่อร่างเล็กกว่าพยายามตอบสนองเขาอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันมือของเขาก็ปลดเข็มขัดและถอดกางเกงที่ฮารุโตะสวมอยู่จนหมด

ตอนที่ผละจูบออกมา ฮารุโตะยังดูมึนเบลอจนไม่รู้ว่าถูกจัดท่าให้นั่งอยู่เช่นไร แต่พอรู้สึกตัวว่าช่วงล่างที่เปลือยเปล่ากำลังแยกกว้างเปิดเผยทุกสิ่งให้อีกฝ่ายได้เห็น เด็กหนุ่มก็ได้แต่เบือนหน้าหนีด้วยความเขินอายแม้จะเหลือบสายตากลับมามองรุ่นพี่หนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ซึ่งกำลังใช้ปลายลิ้นไล้เลียตัวตนของเขา ส่วนมืออีกข้างที่ชุ่มไปด้วยเจลกำลังนวดคลึงช่องทางด้านหลัง ฮารุโตะคงได้แต่เบือนสายตาหนีพลางยกมือขึ้นปิดปากเพื่อกลั้นเสียงร้อง

“อย่าเอามือปิดปากสิ ที่นี่ไม่ต้องกลั้นเสียงเสียหน่อย” คนพูดลุกขึ้นยืน ยื่นหน้าเข้ามาคุยเสียใกล้ ดึงมือของเขาออกก่อนจะบดจูบอีกครั้ง กระนั้นความรู้สึกของนิ้วมือในช่องทางเบื้องล่างของฮารุโตะกลับยังคงแจ่มชัด เขาถูกสวมถุงยางให้รุ่นพี่เองก็เช่นเดียวกัน แต่ฝ่ายนั้นปลดกางเกงแค่ส่วนที่ต้องใช้งานเท่านั้น ฮารุโตะมองตามส่วนหัวใหญ่โตที่เคลื่อนเข้ามาจดจ่ออยู่ปากทางเข้า อดที่จะรู้สึกตื่นเต้นด้วยความกระหายอยากไม่ได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาร่วมรักกับหนุ่มรุ่นพี่ ชิมิซึ ซากิทำรักกับเขาบ่อยครั้งแม้จะเจ็บอยู่บ้างแต่เทียบไม่ได้กับความเสียดเสียวที่เหมือนว่ามันกำลังทำให้เขาเสพติด

ส่วนปลายใหญ่โตค่อยๆ กดลงมา มันชำแรกให้ช่องทางซึ่งสั่นระริกเปิดรับ รุ่นพี่มักจะนุ่มนวลอ่อนโยนกับเขาเสมอ ฮารุโตะจึงพยายามปรับลมหายใจให้สอดรับกับการเคลื่อนตัวของอีกฝ่าย มือข้างหนึ่งสอดทับกับฝ่ามือของร่างสูงที่รั้งต้นขาของเขาให้แยกออกกว้าง ทั้งที่จะเบือนสายตาหนีจากภาพตรงหน้าซึ่งตัวเขากำลังกลืนกินรุ่นพี่หนุ่มก็ย่อมทำได้ แต่เขายังคงจดจ้องมันและเหมือนว่าจะรับรู้ถึงความอุ่นร้อนได้ชัดเจนกว่าทุกครั้ง ตอนที่สัดส่วนอันใหญ่โตของรุ่นพี่ถูกสอดใส่เข้าไปหมด เขาถูกรั้งปลายคางให้เงยขึ้นรับจูบอีกครั้ง แผ่นหลังของเขาอิงอยู่กับกระจกด้านหลังขณะที่รุ่นพี่กระทั้นกายเข้าหา ความหฤหรรษ์อันสุขสมแล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กาย ฮารุโตะยกมือขึ้นโอบบ่าร่างสูงเบียดกายเข้าแนบชิดก่อนอารมณ์ที่พุ่งสูงจะทะยานถึงฝั่ง อีกฝ่ายกลับถอนกายออก ร่างเล็กบางของฮารุโตะถูกจับพลิกหันหลังก่อนแท่งเอ็นร้อนจะถูกสอดใส่รวดเดียวจนมิด แรงกระแทกกระตุ้นให้อารมณ์ที่คั่งค้างถูกปล่อยออกมา เด็กหนุ่มแทบไร้แรงยืนจึงถูกอุ้มให้คุกเข่าโหย่งสะโพกบนเคาน์เตอร์

“ดูสิ” ร่างกายท่อนถูกเบียดแนบไปกับกระจกเงาจนต้องใช้มือทั้งสองข้างยันไว้ รุ่นพี่จับปลายคางของเขาไว้ รั้งใบหน้าให้สบตากันผ่านกระจกเงา

“สีหน้าของนายกำลังดีเลย”

มองตามสายตาหนุ่มรุ่นน้องที่กำลังมองภาพสะท้อนใบหน้าตัวเองในกระจก พร้อมกับรู้สึกได้ถึงช่องทางอุ่นร้อนที่บีบรัดเขาแน่นขึ้น เสื้อเชิ้ตที่อีกฝ่ายใส่ปิดบังทุกอย่างจนมิด เขาจึงปลดกระดุมเสื้อของฮารุโตะออก หยุดชะงักชั่วครู่เพื่อถอดเสื้อบนตัวของรุ่นน้องก่อนจะเหยียดสะโพกกระแทกกายเข้าหาอีกครั้ง ภาพสะท้อนบนกระจกเงาปรากฏให้เห็นร่างเพรียวบางที่แดงเรื่อไปทั้งตัว ท่อนเอ็นแข็งภายใต้ถุงยางบางใสฉีดพ่นของเหลวสีขาวขุ่นออกมาให้เห็น พอๆ กับช่องทางด้านหลังที่บีบรัดตอบสนองเขาได้ดีกว่าการร่วมรักครั้งก่อนๆ

ซากิใช้มือรูดสาวให้หนุ่มรุ่นน้องปล่อยน้ำรักออกมาให้หมด แต่ท่อนเอ็นร้อนยังคงแข็งตัวสู้เพราะการกระตุ้นซ้ำๆ จากภายใน ชายหนุ่มเร่งจังหวะเร็วขึ้นอีกอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งก่อนจะปลดปล่อยออกมาบ้าง ขณะเดียวกันฮารุโตะก็ถึงจุดหมายปลายทางของอารมณ์เป็นครั้งที่สอง

เขาถอดกายออกโอบอุ้มร่างเล็กบางของรุ่นน้องขึ้นและนำไปวางไว้บนเตียง ถอดถุงยางอนามัยของทั้งตนและรุ่นน้องทิ้ง ดวงตาของอีกฝ่ายปรือปรอยคล้ายใกล้หลับเต็มทีแต่ในเมื่อเขาวางแผนให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องลาหยุดมาแล้ว เขาจึงอยากตักตวงเสียให้เต็มที่ เขาชักรูดให้ส่วนนั้นของตนแข็งขึ้นอีกครั้งสวมถุงยางและจับส่วนปลายแหย่เข้าไปในช่องทางซึ่งอ่อนนุ่มจากการร่วมรักก่อนหน้า จัดท่ายึดต้นขาของร่างที่นอนระทวยไว้แน่นก่อนจะดันรวดเดียวเข้าไปจนสุดอีกครั้ง ความซ่านเสียวแล่นตั้งแต่ศีรษะไปยังปลายเท้า

“เจ็บหรือเปล่า” ซากิเอ่ยปากถามแม้จะมั่นใจว่าไม่ได้รุนแรงจนเลือดตกยางออก แต่กับฝ่ายรับที่ต้องถูกกระทำเพื่อความสาแก่ใจของตนแล้วอาจจะไม่ชื่นชอบนักก็เป็นได้

“ม…ไม่ครับ ไม่เป็นไร” ฮารุโตะตอบปฏิเสธ ความกระสันอยากพุ่งจนต้องขยับสะโพกเสียเอง

“รุ่นพี่… ข…ขยับเถอะครับ อ๊ะ” ผมทนไม่ไหวแล้ว ประโยคสุดท้ายถูกกลืนหายไปเมื่อร่างสูงใหญ่ด้านบนเคลื่อนไหวตามที่ต้องการ ฮารุโตะถูกกระตุ้นเร้าด้วยความปรารถนาอีกครั้ง เขาส่งเสียงร้องอย่างสุขสมยามที่อีกฝ่ายชำแรกลึกเข้ามาตอบสนองด้วยการขยับสะโพกให้สอดรับจังหวะของอีกฝ่าย

ซากิยังรู้สึกว่าพวกเขาเข้ากันได้ดีในเรื่องนี้ แม้ไม่ได้ร้อนร่านจนต่างจากภาพลักษณ์ภายนอกโดยสิ้นเชิงแต่ฮารุโตะไม่แข็งทื่อจนน่าเบื่อ หนุ่มรุ่นน้องมักจะเรียกร้องและตอบสนองได้น่ารักสมตัวจนเป็นเขาเสียอีกที่อยากจะกลืนกินซ้ำแล้วซ้ำอีก



ซากิขบฟันเบาๆ บนเนื้อขาวบริเวณหัวไหล่ของฮารุโตะ แค่นั้นก็ขึ้นสีแดงเป็นรอยฟัน เนื้อตัวของหนุ่มรุ่นน้องช้ำเป็นจ้ำเขียวง่ายเสียจนเขาไม่กล้าบีบจับรุนแรง อีกฝ่ายฟุบหลับไปอีกรอบหลังจบบทรักบนเตียงแต่เขายังคงฝืนสอดใส่เพราะแม้จะไร้การตอบสนองแต่ช่องทางคับแน่นกลับยังคงทำให้เขาสุขสม น้ำในอ่างอุ่นร้อนทำให้ผิวของอีกฝ่ายแดงเรื่อ เขามันเขี้ยวจนอดไม่ได้ที่ขย้ำฟันลงไปอีกรอบ

“รุ่นพี่” ฮารุโตะสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเพียงแค่นั้น แก่นกายในช่องทางอุ่นร้อนก็เหมือนถูกกระตุ้น เขากดจมูกเข้ากับข้างขมับของฮารุโตะ ยกสะโพกของร่างด้านบนขึ้นและกดลงซ้ำจนน้ำในอ่างกระเพื่อมเป็นระลอก ฮารุโตะยกแขนขึ้นโอบกอดเขาไว้ แนบริมฝีปากลงกับปากของเขา กิริยาออดอ้อนอันน่ารักนี้ทำให้เขาเผลอขบฟันกับริมฝีปากของอีกฝ่ายจนได้ ก่อนจะแทรกลิ้นเข้าไปคลุกเคล้าดูดดึงปลุกเร้าให้บรรยากาศร้อนระอุ ฮารุโตะตัวเล็กกว่าเขามาก ยามยืนเทียบกันส่วนสูงของหนุ่มรุ่นน้องแค่ปลายคางของเขาเท่านั้นเอง กระนั้นอ่างอาบน้ำของโรงแรมยังแคบเกินกว่าจะให้เขาทำอะไรได้ถนัด ซากิจึงอุ้มอีกฝ่ายลุกขึ้นทั้งที่ยังเชื่อมโยงกันอยู่เช่นนั้น ความแข็งแรงของร่างกายทำให้เขาอุ้มพาฮารุโตะไปล้มด้วยกันบนเตียงได้สำเร็จ จากนั้นจึงเขมือบอีกฝ่ายด้วยความสนุกสนานก่อนจะผล็อยหลับไปพร้อมกันตอนช่วงรุ่งสาง ตื่นขึ้นมาช่วงสายเขายังคงเดินหน้าขย้ำอีกฝ่ายต่อคล้ายยังไม่สะใจ ที่สำคัญเพราะฮารุโตะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเขาจึงอดใจไม่ได้เสียที

“รุ่นพี่…ยังจะทำอีกหรือครับ” ฮารุโตะเอ่ยขึ้นมาหลังจบมื้ออาหารที่ควบรวมทั้งมื้อเช้าและมื้อกลางวัน ซากิยังคงคลอเคลียไม่ห่างร่างกายของพวกเขาทั้งคู่เปลือยเปล่าไร้อาภรณ์จะมีแค่ผ้าห่มของทางโรงแรมที่เด็กหนุ่มดึงมาคลุมร่างกายเพื่อกันอุจาดตา เขานั่งซ้อนทับอยู่บนต้นขาของหนุ่มรุ่นพี่ ฝ่ามือหนาลูบไล้ที่บริเวณโคนขาใกล้จุดไวสัมผัสและทุกครั้งที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายเฉียดเข้าไปใกล้ ขนบนร่างกายก็ลุกชันทุกครั้ง ฮารุโตะได้แต่กำชายผ้าห่มในมือแน่น มิน่าเล่าถึงให้เขาลางานวันเสาร์กับอาทิตย์ไว้

“หือ… ฉันยังไม่อิ่มเลย”

“ถ้ายังไม่อิ่ม ข้าวปั้นที่รุ่นพี่ซื้อมายังเหลือนะครับ” ถึงไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมอีกฝ่ายถึงตอบกลับมาอีกอย่าง แต่เขายังกระตือรือร้นหยิบอาหารในถุงให้หนุ่มรุ่นพี่อย่างห่วงใย

“ใช่แบบนั้นซะที่ไหน” ซากิหัวเราะ “ที่ยังไม่อิ่มหมายถึงกินนายต่างหาก”

ฮารุโตะคิดตามคำพูดนั้นไม่ทัน แต่เมื่อถูกจู่โจมความสงสัยพลันหายไป อันที่จริงเขาอยากจะปฏิเสธเพราะขาของเขาล้าจนแทบจะไม่มีแรงยืนอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ท่อนลำอันแข็งแกร่งได้ถูกสอดใส่เข้ามาอยู่ดี ช่องทางร่วมรักของฮารุโตะฉ่ำแฉะจากเจลหล่อลื่นมันบวมแดงแต่อ่อนนุ่มจนการสอดใส่เป็นไปง่ายดาย แม้จะมีอาการเจ็บปวดจากการเสียดสีแต่ทันทีที่แท่งลำอุ่นร้อนหมุนควงขยับโยก ความรู้สึกซ่านเสียวหฤหรรษ์ก็ปรากฏขึ้น

เขาถูกกระทำซ้ำๆ จนอ่อนเปลี้ยไปทั้งร่างกาย มันเป็นการร่วมรักที่ทั้งหนักหน่วงและยาวนาน ที่ทำให้ร่างกายจดจำสัมผัสของรุ่นพี่ร่างสูง เพราะหลังจากช่วงหยุดเสาร์อาทิตย์นั้น แค่ปลายนิ้วของรุ่นพี่ที่แตะบนผิว ร่างกายของเขาก็เต้นระริกอย่างโหยหาปรารถนาอีกฝ่ายเข้ามาเติมเต็มความต้องการ


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2017 21:46:53 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
กลัวว่าซากิจะหลอกให้รักน่ะสิ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ซากิ เปิดเผยการสัมผัสฮารุโตะ
แตะต้อง จับมือ นั่งตัก โอบบ่าในที่สาธารณะ
และเร่าร้อนรุนแรง เวลาร่วมเพศเคมีของทั้งสองฝ่ายต้องกัน
แต่ไม่บอกสถานะความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับฮารุโตะ หรือเพื่อนๆ
ก็ให้กลัวว่า ถ้ามีอะไรเปลี่ยนไป ฮารุโตะ จะรับมือไหวหรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ เด็กเลี้ยงแมว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
นายเอกนี่คนหรือกล้วยบดคะ นื่มซะ5555

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
เรื่องย่อตอนที่ 8
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
ขณะเดียวกัน ซากุราอิ ชุนก็ตามมาราวีเขาอีกครั้ง ทว่าเพราะเหตุการณ์นั้นทำให้เพื่อนร่วมคณะเข้ามาคุยกับเขา ฮารุโตะจึงคาดหวังว่าจะสามารถสนิทสนมกับเธอได้

ตัวละครเพิ่มเติม
กลุ่มหญิงสาวนักศึกษาที่เรียนคณะเดียวกับฮารุโตะ
1. มินามิ มากิ
2. ทาคาฮาชิ ฮิราอิ
3. อิเคดะ นายะ
4. โยชิดะ ริเอะโกะ
5. ซาซากิ ฟุมิโอะ




春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย




Chapter 8




ซู่!!!

ฮารุโตะสะดุ้งเมื่อถูกน้ำเย็นราดรดลงหลังเสื้อขณะที่เขากำลังทานอาหารเที่ยงอยู่ในโรงอาหาร เพราะอยากใช้เวลาช่วงพักกลางวันกับรุ่นพี่ชิมิซึ เด็กหนุ่มจึงเตรียมข้าวกลางวันมาทานที่มหาวิทยาลัย

เขาเอี้ยวตัวมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง

ซากุราอิ ชุนกำลังยืนยิ้มเยาะ ในมือถือแก้วน้ำพลาสติกว่างเปล่า นอกจากนี้ยังมีอีกสองคนที่ฮารุโตะไม่รู้จักชื่อยืนขนาบข้างทั่วทั้งบริเวณนั้นเงียบกริบ หลายคนต่างให้ความสนใจ

“โอ๊ะ โทษทีพอดีฉันตั้งใจว่าจะซื้อน้ำมาให้นาย แต่มันเลื่อนหลุดมือไปซะก่อน นายคงไม่ว่ากันนะ”

เด็กหนุ่มจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา ท่าทางนั้นคงทำให้ผู้กระทำหมั่นไส้ ร่างใหญ่โตกว่ามากมายนั่นจึงเดินเข้ามาตบศีรษะของฮารุโตะซ้ำอีกครั้ง

“จ้องหน้าเนี่ยมีปัญหาหรือ” ชุนกล่าวทั้งยังตบซ้ำอีกหลายครั้ง จนฮารุโตะไม่กล้าเงยหน้ามอง

“ไหนดูดิ มีเงินอยู่เท่าไหร่”ชุนหยิบกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋าสะพายของฮารุโตะอย่างถือวิสาสะ ฮารุโตะคิดว่าตัวเองเป็นคนโง่ที่สุดแล้ว แต่ยังมีบางคนที่แสดงความโง่ยิ่งกว่าด้วยการทำสิ่งซ้ำซาก

ชุนเปิดกระเป๋าของเขา ซึ่งภายในว่างเปล่า

“อะไรว่ะ ไม่มีเงินสักบาท นี่แกใช้ชีวิตอย่างไรเนี่ย”

แน่ละทำไมเขาต้องมีเงินติดตัวเพื่อให้ปลิงมารีดไถ

“ทำปากงุบงิบนี่แกด่าฉันหรือ”

ฮารุโตะหันไปมอง เขาแน่ใจว่าแค่คิดอยู่ในใจ แต่อีกฝ่ายคงตั้งใจจะหาเรื่องอยู่แล้ว เด็กหนุ่มจึงโดนถีบเสียกระเด็น และลากพาเอาทุกอย่างล้มระเนระนาด พาลให้ผู้คนรอบข้างแตกฮือ ฮารุโตะไม่มีเวลามาสนใจคนอื่น ในเมื่อหางตาเขาเห็นปลายเท้าที่ถูกเหวี่ยงเข้ามาใกล้ เขายกมือกันศีรษะงอตัวรับแรงกระแทกนั้นโดยอัตโนมัติ

อย่างไรก็ตามเหตุวุ่นวายก็จบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเด็กหนุ่มอีกสองคนที่มาพร้อมซากุราอิ ชุน ลากตัวเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ออกไปจากโรงอาหาร ฮารุโตะรีบลุกขึ้น และเก็บเศษอาหารที่กระจัดกระจาย มีนักศึกษาบางคนเข้ามาช่วยเขายกโต๊ะ เก้าอี้ที่ล้ม บางคนเข้ามาถามว่าเขาเป็นอะไรมากหรือไม่ แต่เขาแค่ตอบไปว่าไม่เป็นอะไร ทั้งยังก้มหน้าก้มตาอยู่เช่นนั้น

“มิอุระซัง ไม่เป็นอะไรจริงๆหรือ นายล้มแรงมากเลยนะ”

“ไม่เป็นไรครับ”เขาสั่นศีรษะปฏิเสธ แต่เพราะอีกฝ่ายออกเสียงเรียกชื่อเขาอย่างชัดเจน เด็กหนุ่มจึงเงยหน้ามอง คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นหญิงสาวรูปร่างสูงเพรียวหน้าตาสวย

“ไปห้องพยายาลให้อาจารย์เช็คให้แน่ใจหน่อยดีไหม”เธอถามซ้ำ แต่คงเพราะถูกฮารุโตะมองอย่างสงสัย บทสนทนาจึงเปลี่ยนไป

“นายจำฉันไม่ได้หรือ เราอยู่เอกเดียวกันไง”

ฮารุโตะรู้สึกว่าเป็นการเสียมายาทมากที่เขาจำเพื่อนร่วมสาขาไม่ได้

“ข...ขอโทษครับ”เด็กหนุ่มกล่าวออกไปเสียงเบา

“ไม่เป็นไร”เธอยิ้มให้ “ถ้าอย่างนั้นฉันแนะนำตัวใหม่แล้วกัน ฉันชื่อมินามิ มากิ ยินดีทีได้รู้จักนะ”

พอมีคนกล่าวมาเช่นนั้น ฮารุโตะจึงแนะนำตัวเองกลับไปบ้าง

“ฉันมีเสื้อวอร์มอยู่ในล็อกเกอร์ชมรม ถ้าอย่างไรฉันจะให้ยืมก่อน”แม้ว่ามากิจะพูดเหมือนขอความคิดเห็น แต่ทว่าเธอกลับจับข้อมือลากให้เขาเดินตาม ก้าวเท้ารวดเร็วเสียจนเขาปฏิเสธไม่ทัน ระหว่างทางเธอยังเล่าเรื่องชมรมเชียร์ที่เธอสังกัดอยู่ให้ฟังคร่าวๆ

“จากนี้จะไปไหนต่อละ”หญิงสาวถามเมื่อฮารุโตะเปลี่ยนเสื้อตัวในเสร็จ

“ผมตั้งใจจะไปที่ชมรมครับ”

“มิอุระซังอยู่ชมรมอะไร”

“ชมรมถ่ายภาพครับ”

“อ่อ ชมรมของรุ่นพี่นาคามูระ”

“อืม” อาจจะฟังดูแปลก แต่ฮารุโตะค่อนข้างจะภูมิใจกับความมีชื่อเสียงของรุ่นพี่ประธานชมรมอยู่ไม่น้อย

“เออ มิอุระนั่งกินข้าวคนเดียวใช่ไหม ถ้าอย่างไรพรุ่งนี้มากินข้าวกับฉันไหม”

ฮารุโตะมองเจ้าของคำพูดนั้น นัยน์ตาของเขาเป็นประกายพลางตอบรับคำพูดของหญิงสาวด้วยความกระตือรือร้นยินดี



“มีเรื่องอะไรดีๆหรือ ดูอารมณ์ดีเชียว”ซากิออกปากถามทันที่เห็นหน้าหนุ่มรุ่นน้องซึ่งเดินเข้ามานั่งข้างๆ ภายในห้องชมรมช่วงเที่ยงๆบ่ายๆมีสมาชิกอยู่บางตา ซ้ำช่วงนี้กิจกรรมส่วนใหญ่ถูกงดเพื่อให้เหล่านักศึกษาอ่านหนังสือเตรียมสอบ ชมรมถ่ายภาพเองก็เช่นเดียวกัน

ซากิขยับเข้าไปเบียดและโอบเอวดึงหนุ่มรุ่นน้องมาแนบชิด ฮารุโตะเขินจนหน้าแดง เขาหลุบตาลงต่ำ ไม่กล้ามองหน้ารุ่นพี่ตรงๆ เพราะกลัวจะเขินอายไปมากกว่านี้ ก่อนจะตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มว่า

“เพื่อนที่คณะชวนไปกินข้าวด้วยพรุ่งนี้ครับ”

“เพื่อนชวนไปกินข้าว?” ชายหนุ่มทวนคำพูดนั้นซ้ำ นึกสงสัย เพราะถ้าแค่เพื่อนชวนไปกินข้าว เขาคงจะไม่ตื่นเต้นดีใจเช่นนี้ ซากิเริ่มหน้าตึง ในขณะที่ฮารุโตะยังพูดเล่าต่อไปเรื่อยอย่างอารมณ์ดีกระทั่งหนุ่มรุ่นพี่พูดแทรกขึ้นมา

“พูดมากจัง”

ฮารุโตะหุบปากฉับ หน้าเผือดสี ยิ่งใจแป้วไปยิ่งกว่าเดิมเมื่ออีกฝ่ายชักมือที่วางอยู่ตรงบั้นเอวออกและหันกลับไปสนใจหนังสือที่อยู่ในมือดังเดิม เด็กหนุ่มทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งหน้าเจื่อนอยู่อย่างเดิม แล้วอ้อมแอ้มกล่าวขอโทษออกไป ต่อจากนั้น ก็นั่งนิ่งอยู่เงียบๆจนกระทั่งถึงเวลาเข้าเรียนภาคบ่าย

ตอนที่เอ่ยปากว่าต้องไปเข้าเรียนแล้ว รุ่นพี่ยังไม่หันมามองด้วยซ้ำ

ท่าทางหมางเมินของรุ่นพี่ทำให้ฮารุโตะรู้สึกไม่ดี เด็กหนุ่มนึกเสียใจที่เอาแต่พูดมาก จนทำให้หนุ่มรุ่นพี่รำคาญ บ่ายนั้นเขาไม่ค่อยมีสมาธิในการเรียนเพราะเรื่องนี้ แต่ก็พยายามจดจ่อกับเนื้อในวิชาให้มากเท่าที่สุดที่จะทำได้  และเมื่อหมดชั่วโมงเรียน เขารีบเก็บของและตรงดิ่งไปที่ห้องชมรม

ที่นั่นรุ่นพี่ชิมิซึนั่งอยู่ในวงล้อมของกลุ่มเพื่อนที่คงจะพูดคุยกันเรื่องกล้องรุ่นใหม่หรือวิธีถ่ายภาพ เขาเคยร่วมวงอยู่บ้างซึ่งก็ได้แต่นั่งฟังอยู่เฉยๆเพราะไม่มีทั้งกล้องของตัวเองและไม่เคยตั้งใจถ่ายรูปอย่างจริงจัง พอได้สบสายตาที่ดูเย็นชาของชายหนุ่มซึ่งหันมามองเขาเพียงครู่เดียวก่อนจะหันกลับไป ฮารุโตะจึงเลือกกวาดสายตาไปยังทิศทางอื่น เมื่อเห็นรุ่นพี่อาโอกินั่งอ่านนิตยสารอยู่จึงสาวเท้าเข้าไปทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ รุ่นพี่ที่เขาชื่นชมเงยหน้าขึ้นมาทักเขาแค่ชั่วครู่ก่อนจะหันกลับไปสนใจนิตยสารในมือตามเดิม
เด็กหนุ่มนั่งเงียบๆอยู่เช่นนั้นโดยไม่ได้คุยกับใครเกือบชั่วโมง พอใกล้เวลาเข้างานพิเศษจึงจำใจลุกขึ้น เขาลังเลอยากเข้าไปหาชิมิซึ ซากิ แต่พอเห็นอีกฝ่ายหัวเราะเฮฮากับกลุ่มคนที่คุยอยู่จึงไม่กล้าเข้าไปหา ได้แต่เลี่ยงเดินออกจากห้องมาด้วยความเหงาหงอย

ฮารุโตะไม่ชอบใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้เลย เพราะคาดหวังว่ารุ่นพี่จะต้องให้ความใส่ใจกับตัวเองตลอดเวลา เขาจึงรู้สึกหดหู่ยามที่ฝ่ายนั้นหมางเมิน เด็กหนุ่มทำงานพิเศษด้วยความรู้สึกหม่นหมอง แม้แต่ช่วงเวลาเลิกงาน เขาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของหนุ่มรุ่นพี่

เด็กหนุ่มได้แต่ปลุกปลอบใจตัวเอง รุ่นพี่ก็เป็นเช่นนี้ จู่ๆก็มาทำดีด้วยจู่ๆก็มาโกรธกัน พยายามคิดเสียว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา และสลัดมันออกจากสมอง พลางหันเหความสนใจไปกับข้าวกล่องที่เขาตั้งใจจะเตรียมไปพรุ่งนี้เสียแทน ความหมองเศร้าที่มีมาตลอดบ่ายจึงจางหายไปบ้าง


ฮารุโตะเดินเข้าไปหามินามิ มากิทันทีที่หมดชั่วโมงเรียน มากิกับเพื่อนๆยังหัวเราะพูดคุยกันอยู่ เขาจึงยืนรอด้วยความรู้สึกตื่นเต้น รออยู่ชั่วครู่ หญิงสาวก็หันมาแนะนำเขาให้รู้จักกับกลุ่มเพื่อน ก่อนจะชวนกันพาออกไปยังโรงอาหารของคณะ ระหว่างทาง เสียงโทรศัพท์ของฮารุโตะก็ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอ ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอคือเบอร์ “คนไม่รู้จัก” ซึ่งเคยบันทึกไว้ นานมากแล้วที่อีกฝ่ายไม่ได้โทรมาหา เด็กหนุ่มจึงรู้สึกแปลกใจ

“จะไปกินข้าวที่ไหน”

ฮารุโตะขมวดคิ้ว ถึงจะพอเดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ในชมรม แต่เขาคิดว่านอกจากรุ่นพี่อาโอกิแล้วคงไม่มีรุ่นพี่คนไหนที่จะมีธุระกับเขาอีก

“มีอะไรหรือครับ”

“ตอบมาว่าจะไปกินข้าวที่ไหน” น้ำเสียงของปลายสายฟังดูหงุดหงิดร้อนรนอย่างชัดเจน แต่ฝ่ายนั้นไม่ได้มายืนอยู่ตรงหน้า เด็กหนุ่มจึงไม่ได้คิดกลัวมากนัก

“คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ ถ้าไม่มีอะไร ผม...”

“ห้ามวางนะ”ปลายสายกล่าวแทรกขึ้นมาทันที

“แค่บอกว่ากำลังจะไปกินข้าวที่ไหนก็พอ”

ฮารุโตะนิ่งเงียบอย่างช่างใจ ไม่นานนัก เขาก็ตอบกลับไปว่า

“ไปกินที่โรงอาหารคณะครับ”และทันทีที่คำพูดของเขาจบลง อีกฝั่งก็ตัดสายทันที เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น ก่อนละความสนใจไปเสียเพราะมากิส่งเสียงเรียก

กลุ่นเพื่อนของมากิมีแต่หญิงสาวหน้าตาสวยและรูปร่างดี เมื่อทั้งห้าคนก้าวเท้าเข้าไปในโรงอาหาร ก็สามารถดึงดูดความสนใจได้เกือบทุกสายตา เป็นฮารุโตะเสียอีกที่รู้สึกประหม่าขึ้นมา เขาเดินตัวลีบตามกลุ่มของหญิงสาวจนไปถึงที่นั่ง อีกสองคนแยกไปซื้ออาหาร ส่วนที่เหลือมีข้าวกล่องของตัวเองมาทาน มากิชวนเขาคุยเรื่องข้าวกล่องไปพลาง ทานไปพลาง ไม่นานนักเสียงทุ้มต่ำที่ฮารุโตะคุ้นเคยก็ดังขึ้น

“ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ”

“เชิญเลยค่ะ”

ฮารุโตะยังนั่งงง ขณะที่เพื่อนของมากิตอบรับชายหนุ่มร่างสูง

“มาทำอะไรแถวนี้หรือค่ะ”ทาคาฮาชิ ฮิราอิถามต่อ

“พอดีว่า มิอุระเขาชวนมาทานข้าวเที่ยงที่นี่นะ”

คนชวนทำหน้าเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราว ชายหนุ่มจึงต้องกล่าวเสริมต่อไปอีกว่า “ทีแรกที่ชวนไม่ได้ตอบตกลงแน่นอน เพราะไม่แน่ใจว่าจะมาได้หรือเปล่า แต่เสร็จธุระพอดีก็เลยมา”

“ถ้าอย่างนั่น ว่างๆก็มาทานอีกสิคะ อาหารแถวนี้อร่อยนะ”คนที่เอ่ยปากชวนชื่อซาซากิ ฟุมิโอะ จากนั้นเสียงพูดเสียงพูดเสียงคุยของผู้ร่วมโต๊ะก็ดังไม่หยุด มีแค่ฮารุโตะเท่านั้นที่นั่งเงียบไม่ได้คุยกับใคร เขาเป็นคนพูดไม่เก่งอยู่แล้ว และยิ่งเห็นรุ่นพี่ชิมิซึคุยกับกลุ่มเพื่อนของมากิอย่างสนุกสนาน เขายิ่งพูดไม่ออก รู้สึกตื้อจนกินข้าวแทบไม่ลง

“เดี๋ยวจะต้องไปเรียนต่อใช่ไหม”ซากิถามเมื่อใกล้หมดเวลาพัก ส่วนเขามีเรียนอีกครั้งตอนบ่ายสองโมง

“แล้วรุ่นพี่ละคะ มีเรียนหรือเปล่า”

ชายหนุ่มมองคนพูดที่เพียรส่งสายตามาให้ เขายิ้มให้บางๆ

“ฉันมีเรียนเหมือนกัน”เขาตอบปฏิเสธออกไปเพราะเบื่อที่จะคุยต่อ แล้วลุกขึ้นยืน “ไว้เจอกันใหม่นะ”ซากิพูดออกไปตามมารยาท
และทันที่ที่ลับหลังหนุ่มรุ่นพี่ เสียงกรี๊ดกร้าดก็ดังขึ้นเบาๆ

“หล่ออะแก ขนาดไกลๆว่าหล่อแล้วนะ มานั่งใกล้ๆตรงหน้า โอ๊ย!!! เหมือนจะละลาย”โยชิดะ ริเอะโกะพูดด้วยอาการพร่ำเพ้อ แต่กระนั้น เธอโดนเพื่อนสาวซึ่งนั่งอยู่ข้างๆเอ่ยขัดขึ้นมาทันที

“อย่าเยอะ อย่าเยอะ ผู้ชายคนนี้ฉันจองแล้ว”

“จองอะไรไม่ทราบ เรื่องแบบนี้ใครดีใครได้ย่ะ”เธอพูดกับเพื่อน ก่อนจะหันมาทางฮารุโตะ

“มิอุระซังสนิทกับรุ่นพี่ชิมิซึหรือ มีเบอร์หรือเปล่า ถ้าอย่างไรฉันขอเบอร์ของรุ่นพี่หน่อยได้ไหม”

เด็กหนุ่มนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะสั่นศีรษะปฏิเสธ

“ถ้าเธอได้ฉันก็ต้องได้ด้วย”ซาซากิ ฟุมิโอะกล่าวแทรกขึ้นมา และทั้งสองคนก็หันมาจ้องหน้ากดดันเด็กหนุ่ม

“ขอเบอร์ของรุ่นพี่ให้ฉัน มิอุระซัง”ริเอะโกะกล่าวย้ำ ฮารุโตะไม่กล้าตอบปฏิเสธแต่เขาไม่มีเบอร์ของรุ่นพี่จึงได้บอกไปตามจริง

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอมาให้หน่อยละกัน”อิเคดะ นายะพูดขึ้นบ้าง “ของรุ่นพี่ฮายาชินะ”ซึ่งพอมีการขอเบอร์ของคนอื่นนอกจากรุ่นพี่ชิมิซึ จึงกลายเป็นว่าเขาต้องขอเบอร์โทรศัพท์เกือบทุกคนในแก็งค์ประธานชมรม

ตอนที่พวกเขานั่งคุยกันอยู่นั้น เลยเวลาเข้าเรียนคาบบ่ายไปนานโข และเด็กหนุ่มก็ลืมวิชาเรียนไปเสียสนิท เพราะเขามีเรื่องที่หนักใจกว่า ฮารุโตะไม่รู้ว่าตนเองไปขอเบอร์โทรศัพท์ของพวกรุ่นพี่ตามที่มากิและกลุ่มเพื่อนต้องการได้อย่างไร เขามีเบอร์ของรุ่นพี่อาโอกิ และเบอร์ของรุ่นพี่นาคามูระอยู่ในเครื่อง แต่เบอร์โทรศัพท์ของรุ่นพี่ประธานชมรม เขาไม่กล้าให้ใครโดยพลการ เพราะถ้าเจ้าของเบอร์โทรศัพท์รู้เรื่องเข้า เขาอาจจะโดนโกรธ

“อ่ะ ฮารุจัง ไม่มีเรียนแล้วหรือ”

เสียงร้องทักดังขึ้นมา ฮารุโตะไม่รู้ตัวเลยว่าเดินมาถึงห้องชมรมตั้งแต่เมื่อไหร่  เขาเดินใจลอยมาตลอดทาง มองรุ่นพี่ฮายาชิที่จับจองพื้นที่วางทั้งหนังสือและกระเป๋าไว้เกลื่อนกลาดบนโต๊ะ เด็กหนุ่มจึงเดินเข้าไปหา

“ทำอะไรอยู่หรือครับ”

“เตรียมหาข้อมูลสำหรับทำธีสิส”

“รุ่นพี่ต้องทำแล้วหรือครับ”เด็กหนุ่มถามอย่างแปลกใจ ตอนที่เขาอ่านเค้าโครงการเรียน จำได้ว่าวิชานี้อยู่ช่วงเทอมสองของปีสี่

“อยากจบตรงเวลาต้องเริ่มทำแต่เนิ่นๆนะ เพื่อนฉันที่อยู่วิทยาศาสตร์เริ่มทำธีสิสงานวิจัยตั้งแต่ปีสอง”

เรื่องที่ได้ฟังทำให้เด็กหนุ่มเริ่มตื่นตูมขึ้นมาทันที

“หวา!!! แย่แล้ว ผมยังไม่รู้ว่าจะทำวิจัยเรื่องอะไรดีเลย”ฮารุโตะเลือกเอกเคมี เพราะทุนการศึกษากำหนดไว้ว่าต้องศึกษาในคณะและสาขาวิชานี้ และเมื่อเรียนจบแล้ว ก็สามารถเข้าทำงานต่อในบริษัทผู้เป็นเจ้าของทุนการศึกษาได้ทันที

“อย่าเพิ่งตื่นเต้นไปน่า ฮารุจัง ที่บอกว่าเพื่อนฉันเริ่มทำตอนปีสองนะ คือเริ่มหาหัวข้อ”เรียวตะหัวเราะกับท่าทางหน้าตาตื่นของรุ่นน้อง

“โธ่ รุ่นพี่ก็”เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก

เรียวตะเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟังต่อ บางเรื่องเด็กหนุ่มฟังแล้วหัวเราะจนท้องแข็ง ลืมเรื่องที่คิดไม่ตกหนักอกหนักใจเมื่อครู่ไปเสียสนิท รวมทั้งไม่ได้ให้ความสนใจสมาชิกในชมรมที่ทะยอยเข้ามาในห้องชมรม

“ดูสนุกเชียว คุยเรื่องอะไรกันอยู่”

เด็กหนุ่มหุบปากเงียบตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันทีโดยอัตโนมัติ เขาเหลือบสายตามองหนุ่มรุ่นพี่ที่ลากเก้าอี้เข้ามานั่งเสียใกล้ก่อนวาดแขนวางไว้บนพนักพิงที่เขานั่ง ใบหน้าของรุ่นพี่ติดจะยกยิ้มบางๆ

“ก็คุยเรื่องทั่วไป เนอะฮารุจังเนอะ”ประโยคแรกเรียวตะหันไปตอบเพื่อนร่วมชมรม ส่วนประโยคหลังเขาหันมายกคิ้วหลิ่วตาให้เด็กหนุ่มรุ่นน้อง แต่สีหน้าท่าทางคงดูทะเล้นเสียจนชายหนุ่มเจ้าของคำถามคิ้วกระตุก พอเห็นอาการไม่สบอารมณ์ของเพื่อนสนิท คนที่ตั้งใจกวนอารมณ์ถึงหัวเราะออกมา

ฮารุโตะมองรุ่นพี่ฮายาชิอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก และยิ่งหันมาเห็นรุ่นพี่ชิมิซึหน้าบึ้งตึงต่างจากเมื่อสักครู่ เขาจึงไม่กล้าอ้าปากถามอะไร รู้สึกว่าบรรยากาศอึดอัดขึ้นทุกที

“ไหนว่าไม่มีอะไร แล้วดูตอนนี้ดิ”เรียวตะออกปากแซว แต่คนถูกแซวไม่ตอบโต้อะไรกลับนอกจากยกยิ้มที่มุมปากขึ้นมาอีกครั้ง และหันไปให้ความสนใจกับหนุ่มรุ่นน้องที่นั่งอยู่ข้างๆแทน มือใหญ่ลูบศีรษะของฮารุโตะด้วยความอ่อนโยน

“กลับกันเลยดีไหม จะได้ไปอาบน้ำกินข้าวก่อนเข้างาน ช่วงก่อนหน้าที่นาโอโตะขุนซะแก้มกลม กำลังน่ารักเชียว”

ฮารุโตะหน้าแดงกับคำชม ส่วนเรียวตะก็ผิวปากแซว แต่คนพูดแค่ยิ้มๆไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาลุกขึ้นยืนพลางดึงมือหนุ่มรุ่นน้องให้ลุกขึ้นตาม บอกลาเพื่อนสนิทที่ยังส่งเสียงแซวไม่เลิก

ซากิพารุ่นน้องเดินออกจากมหาวิทยาลัย

ทั้งที่อากาศหนาวเย็นแต่ยังคงมีคนยังคุยนั่งเล่นกันอยู่ภายนอกอาคาร บ้างก็กำลังเล่นกีฬาอยู่ในสนาม เด็กหนุ่มหันกลับไปมองหนุ่มรุ่นที่เดินนำอยู่ด้านหน้า นึกสงสัยว่ารุ่นพี่เอาเวลาช่วงไหนไปซ้อมกีฬากันนะได้ยินมาว่าทีมมหาวิทยาลัยค่อนข้างเก่งเสียด้วย เขาคิดโน่นคิดนี่ไปตลอดทางจนกระทั่งซากิพามาถึงร้านอาหาร

“เอ่อ…รุ่นพี่ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวนะครับ”

“ทำไมละ ร้านนี้ก็อร่อยดีนะ”

ฮารุโตะอึกอัก เขาไม่มีเงินติดตัวจะให้เข้าไปทานในร้านได้อย่างไร อีกอย่างปกติก่อนเข้างานเขาก็กินข้าวปั้นเป็นมื้อเย็นตลอด

“ผมยังไม่หิวครับ”

“ไม่หิวก็ต้องกิน ก็บอกอยู่ว่า ตอนที่นายแก้มกลมๆยุ้ยๆน่ารักมาก”

พอถูกชมว่าน่ารักฮารุโตะก็หน้าแดงขึ้นอีกและเรี่ยวแรงที่จะต้านแรงดึงของหนุ่มรุ่นพี่ก็หายไปเสียดื้อๆ

ฮารุโตะถูกดันให้เข้าไปนั่งด้านในของโต๊ะ ที่นั่งติดหน้าต่างซึ่งเป็นกระจกสีชาทั้งบานเมื่อมองจากด้านนอก ทำให้มองเห็นสภาพภายในร้านไม่ชัดนัก แต่พอมานั่งอยู่ตรงนี้ฮารุโตะกลับมองเห็นผู้คนที่เดินอยู่ด้านนอกร้านได้อย่างชัดเจนทีเดียว  เมื่อหันกลับมาเขาเจอกับสายตาของหนุ่มรุ่นพี่ที่จ้องมองเขาอยู่  เด็กหนุ่มรู้สึกเขินและประหม่าจนต้องก้มหน้าลง รุ่นพี่ชิมิซึที่นั่งอยู่ข้างๆวันนี้อารมณ์ดีต่างจากเมื่อวานจนเขาประหลาดใจ บางทีรุ่นพี่ชิมิซึคนนี้อาจจะเป็นตัวปลอม ฮารุโตะคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ

อาหารมื้อนั้นรุ่นพี่เป็นคนจัดการค่าใช้จ่ายทั้งหมดจนเขารู้สึกเกรงใจ  หลังจากนั้นรุ่นพี่ยังคงตามไปอาบน้ำกับเขาในโรงอาบน้ำสาธารณะ  เขายังทั้งตื่นเต้นและเขินอายหัวใจเต้นแรงระรัวตลอดเวลาจนกลัวว่าจะเป็นโรคร้ายแรง แต่เขาก็รู้สึกว่ามีความสุขมากจริงๆ

หมดช่วงเวลาทำงานเสียงโทรศัพท์ที่ดังและชื่อที่ปรากฏเป็น 'คนไม่รู้จัก' ฮารุโตะกดรับสายเสียงที่กรอกลงไปยังคงสดชื่นแม้จะต้องยืนทำงานจนล่วงเข้าเช้าวันใหม่

“เพิ่งเลิกงาน?”

“ใช่ครับ”

“กำลังเดินกลับห้อง?”

“ใช่ครับ”ฮารุโตะตอบกลับไปเขาเงียบไปชั่วครู่แล้วถามต่อไปอีกว่า

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ต้องมีธุระถึงจะโทรหาได้”น้ำเสียงของปลายฟังดูเหมือนไม่พอใจ

“เปล่าครับ”ฮารุโตะตอบปฏิเสธอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก และพอเขาเงียบปลายสายก็เงียบเสียงตามจนเด็กหนุ่มนึกลังเล เขาดึงโทรศัพท์ออกห่างมองหน้าจอที่เลขเวลาเดินไปเรื่อยๆแล้วแนบหูลงไปอีกครั้ง

“คุณเป็นใครหรือครับ”

“หือยังเดาไม่ออกอีกหรือเนี่ย”

“ผมคิดไม่ออกจริงๆครับ”

อีกฝ่ายหัวเราะ“วันๆคุยโทรศัพท์เยอะมาก มีคนโทรหาเยอะจนจำเสียงใครไม่ได้เลยหรือ”

“ใช่ซะที่ไหน”เขาพึมพำเบาๆแต่อีกฝ่ายก็ยังได้ยิน

“หือ จริงดิ มีโทรศัพท์ไว้ทำอะไรละ”

“ก็มีไว้ให้รุ่นพี่อาโอกิโทรหาไงครับ”

“ในเครื่องมีเบอร์ใครบ้างละ”

“รุ่นพี่อาโอกิกับรุ่นพี่นาคามูระครับ”

“เบอร์ของเรย์นะลบทิ้งไปได้แล้ว”

“ทำไมผมต้องลบด้วย”

“ยังชอบมันอยู่หรือไง”

“ไม่เกี่ยวกับชอบไม่ชอบเสียหน่อย อีกอย่างรุ่นพี่ก็ไม่เคยโทรมาหาด้วยตอนที่ได้เบอร์มาก็เพราะรุ่นพี่อาโอกิบังคับ”

“หือ ถ้าอย่างนั้นเก็บไว้ก็ได้”

เดินไปคุยไปจนกระทั่งถึงห้องพักเขาไขกุญแจเปิดประตูเข้าไป  ปลายสายคงได้ยินเสียงดังกล่าวถึงได้บอกลาและวางสาย เด็กหนุ่มถอดเสื้อโค้ทเปลี่ยนเสื้อตัวในแล้วสวมสเวตเตอร์ทับอีกชั้น  เปิดฮีตเตอร์ พอปิดไฟล้มตัวลงนอนเขาก็หลับลงอย่างง่ายดาย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-03-2017 20:47:35 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'



เช้าวันถัดมาทันทีที่เห็นหน้ามินามิ มากิ เขาก็นึกได้ทันทีว่าเมื่อวานตนลืมสิ่งใด

“ตกลงได้มาไหม”ริเอะโกะถามอย่างกระตือรือร้น ฮารุโตะสั่นศีรษะปฏิเสธ

“ขอโทษ พอดียังไม่มีโอกาสเหมาะๆ”

“แหมต้องมีโอกาสเหมาะๆอะไรก็แค่เดินเข้าไปขอธรรมดา อยู่ชมรมเดียวกันไม่ใช่หรือ ไม่มีเบอร์รุ่นพี่ชมรมนี่มันน่าแปลกนะ”ฟุมิโอะพูดออกมาในเชิงตั้งข้อสงสัย

“ก…ก็มีเบอร์รุ่นพี่อาโอกิ”เขาตอบเสียงเบา

“มีเบอร์รุ่นพี่อาโอกิอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นขอเบอร์ของรุ่นพี่อาโอกิแทนก็ได้”มากิกล่าวแทรกขึ้นมา

“ต…ต้องขออนุญาตก่อน”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่ได้เอาไปทำอะไรเสียหน่อย”เธอแบมือออกมาเป็นเชิงให้เขาส่งโทรศัพท์มือถือมาให้ แต่ในจังหวะนั้นเอง อาคาริ มิสะกับซุซูกิ จิเอะก็ปราดเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

“มิอุระซังเราไปที่โต๊ะกันเถอะใกล้เวลาเข้าเรียนแล้วนะ”มิสะไม่ได้แค่พูดอย่างเดียวแต่เธอยังดึงรั้งต้นแขนของเด็กหนุ่มให้เดินตาม ฮารุโตะหันซ้ายหันขวาทำอะไรไม่ถูกแต่จะให้ฝืนต้าน ต้นแขนที่โดนมิสะจับไว้โดนบีบแน่นจนเจ็บ เดินห่างจากกลุ่มของมินามิ มากิมาแค่เล็กน้อย หญิงสาวเพื่อนร่วมรุ่นก็กระซิบพูดขึ้นมาว่า

"คิดจะย้ายไปอยู่กลุ่มยัยหน้าปลวกนั้นหรือ"

หน้าปลวก? ฮารุโตะฟังแล้วก็งุนงง ไม่รู้ว่ามิสะหมายถึงใคร

"จะขอเตือนไว้นะว่า อย่าดีกว่า ยัยพวกน่ารังเกียจนั่นก็ไม่มีดีซักเท่าไหร่หรอก"

“โอ้ย!!!"เธอคงไม่ชอบกลุ่มคนที่พูดถึงจริงๆ เพราะแค่พูดถึงก็บิดเนื้อของเขาไปด้วยราวกับต้องการระบายความเครียดแค้น

“อย่าให้เห็นว่าไปคุยกับพวกนั้นอีกนะ ไม่อย่างนั้นนายเจอดีแน่"เมื่อพูดในสิ่งที่ต้องการจบ เธอก็สะบัดมือผลักร่างของฮารุโตะออกห่างจากตัวคล้ายรังเกียจ เพราะยังไม่ทันตั้งตัว ร่างของเด็กหนุ่มจึงเซไปกระแทกกับมุมโต๊ะ เขามองตามมิสะที่ทิ้งสายตาข่มขู่ก่อนที่เธอจะเดินไปนั่งยังที่ของตน จากนั้นเขาจึงขยับตัวไปหาที่นั่งบ้าง แม้ในสมองจะมีแต่ความไม่เข้าใจก็ตาม

หมดคาบเรียนช่วงเช้ากลุ่มของมากิก็เดินเข้ามาหาเขาพลางเอ่ยชวนให้ไปกินข้าวด้วยกัน  ฮารุโตะยิ้มให้แต่สายตาก็เหลือบไปมองมิสะกับจิเอะที่จ้องเขม็งมาทางตน

“ไม่ต้องไปสนใจพวกตัวอิจฉาหรอกนะ”นายะพูดขึ้นมา“พวกไม่มีอะไรดีเนี่ย ก็มักจะพาลคนอื่นไปทั่วนั่นละ”

“อืมๆพวกเราไปกินข้าวกันดีกว่า”ริเอะโกะพูดชวน เธอดึงให้เขาให้ลุกขึ้นยืนพลางควงแขนให้เดินไปด้วยกัน

“วันนี้ไปกินที่สังคมศาสตร์แล้วกันนะ”

“จะเจอรุ่นพี่หรือ”ทาคาฮาชิ ฮิราอิเอ่ยถาม

“แหมเจอสิจ๊ะฉันสองคนเป็นแฟนคลับตัวยงนะ วันนี้พวกรุ่นพี่มีเรียนเช้าจ้า”

“ก็เจอเฉพาะของพวกเธอ”

“ใจเย็นสิ อย่างไรซะมิอุระซังก็ต้องช่วยพวกเรา จริงไหม”

“อ...อืม”เพราะไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธเด็กหนุ่มจึงพยักหน้ารับไปก่อนแม้ว่ายังไม่รู้ว่าพวกเธอต้องการให้ช่วยอะไรก็ตาม
เดินออกมายังไม่ทันถึงที่หมาย เสียงโทรศัพท์ของฮารุโตะก็ดังขึ้น เป็น ‘คนไม่รู้จัก’ อีกแล้วที่โทรมาหา

“สวัสดีครับ”

“วันนี้จะไปกินข้าวที่ไหน”

“โรงอาหารคณะสังคมศาสตร์ครับ”

ปลายสายครางรับอย่างแปลกใจก่อนจะพูดต่อไปว่าไว้เจอกันแล้วก็วางสายไป

“หือ ใครหรือ”ริเอะโกะถามด้วยความอยากรู้

ฮารุโตะหันไปมองคนถามในขณะที่สมองครุ่นคิดคำตอบ เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นใดในเมื่อเขาไม่รู้ว่าปลายสายเป็นใคร

ฮารุโตะได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆไปให้  ริเอะโกะจึงเลิกคิ้วอย่างสงสัยกลับมา

โรงอาหารคณะสังคมศาสตร์ไม่คึกคักเท่าของคณะวิทยาศาสตร์ที่เป็นคณะใหญ่ของมหาวิทยาลัย  ดังนั้นเมื่อกวาดสายตาไปรอบเดียวกลุ่มของฮารุโตะอันประกอบด้วย ตัวเขาและสาวๆอีกห้าคนก็สามารถพบจุดที่รุ่นพี่นั่งอยู่ได้ในทันที  เด็กหนุ่มถูกรุนหลังให้เดินเข้าไปหา

“สวัสดีค่ะ แหมบังเอิญจังเลยนะคะ”ฟุมิโอะกล่าวทักออกไปก่อนที่เขาจะได้อ้าปากเสียอีก

พวกรุ่นพี่หันไปมองหน้ากันเองด้วยความแปลกใจ คงมีแค่ชิมิซึ ซากิที่ยังนั่งเงียบไม่ออกอาการสงสัย

“ซากิมันบอกแล้วว่าฮารุจังกำลังจะมา”เรียวตะพูดให้ฟัง“เห็นบอกว่าคงจะพาเพื่อนๆมาด้วย”

จะเรียกว่าหน้าม้านก็ไม่ใช่นักแต่ฟุมิโอะรู้สึกว่าเสียเชิงอยู่ไม่น้อย  แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้วเธอไม่ยอมให้ตัวเองพลาดมากไปกว่านี้  หญิงสาวรีบทรุดตัวลงนั่งข้างหนุ่มรุ่นพี่ที่ตนหมายปองในทันที

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอนั่งร่วมโต๊ะด้วยเลยละกันนะคะ”

อีกสี่สาวที่เหลือจึงได้หาที่นั่งให้ตัวเองบ้าง“นั่งไปแล้วยังต้องขออีกหรือจ๊ะ”ริเอะโกะไม่วายกระแหนะกระแหนเพื่อนของตนเบาๆ ก็ที่นั่งอีกฝั่งของรุ่นพี่ชิมิซึเป็นของรุ่นพี่โมริ  ริเอะโกะจึงต้องมานั่งอยู่ข้างฟุมิโอะอย่างจำยอม

“เอ้า ฮารุจังไม่นั่งหรือ”เรียวตะพูดทัก

“เอ่อ…”ฮารุโตะไม่ชอบใจกับความเชื่องช้าของสมองของตนเสียเลย วันนี้เขาไม่ได้เอาข้าวกล่องมาและปกติเขาก็ไม่ค่อยได้พกเงินติดตัวอยู่แล้ว พอโดนลากมาเช่นนี้เขาเลยไปรู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไร ให้ตอบไปตามตรงว่าเขาต้องกลับไปกินข้าวที่ห้องมันก็ดูน่าอายเกินไป และเขาก็ไม่อยากให้ใครรู้สาเหตุที่เขาต้องทำแบบนั้น

“เอ่อ…”

กำลังจะตอบว่าไม่ค่อยหิวพอเหลือบไปเห็นสายตาของรุ่นพี่ชิมิซึ เขาต้องรีบเปลี่ยนคำตอบเพราะต่อให้ไม่หิวจริงๆเขาก็ต้องกินอยู่ดี

“พอดีว่าผมต้องรีบไปคืนหนังสือนะครับ ถ้าอย่างไร...”

“ไว้กินข้าวเสร็จก็ค่อยไปคืนก็ได้ อาคารหอสมุดไม่หายไปไหนหรอก”น้ำเสียงเรียบดุเอ่ยแทรกไม่รอให้เขาพูดจบประโยคก่อนที่เจ้าตัวจะยืนขึ้น ซากิเดินเข้าไปหาฮารุโตะใช้ฝ่ามือแตะรุนหลังให้หนุ่มรุ่นน้องเดินไปเลือกซื้ออาหารกลางวัน

“รุ่นพี่”ฮารุโตะเอ่ยเรียกเสียงเบารู้สึกกระดากอายไม่น้อย“ผม…ผมขอยืมเงินก่อนได้ไหมครับ”เสียงพูดตะกุกตะกักกว่าจะกล่าวจบ เขาใจเต้นระรัวด้วยความประหม่า ฮารุโตะไม่เคยยืมเงินใครมาก่อน เพราะอยู่ในความดูแลของบ้านอุปถัมภ์ที่ถึงแม้จะขัดสนไปบ้างแต่ก็ยังมีอาหารให้ทานครบสามมื้อ มีที่ให้หลับนอน พอออกมาอยู่คนเดียวเขาก็พยายามประหยัดอดออมจนมีเงินเก็บอยู่บ้างแต่เขาคงจะทำตัวประหยัดเกินไป ความคิดขัดแย้งเกิดขึ้นในหัว เมื่อพกเงินติดตัวมาก็โดนรีดไถจนหมด ไม่มีเงินติดตัวก็ต้องบากหน้ามาขอยืมคนอื่นให้อับอาย

“คิดอะไรอยู่ คิ้วผูกกันเป็นปมแล้ว”

เด็กหนุ่มยกมือขึ้นแตะหน้าผากทันทีที่โดนทักเช่นนั้นก่อนจะสั่นศีรษะ  หนุ่มรุ่นพี่กวาดสายตามองรายการอาหารที่น่าสนใจแล้วก้มหน้าลงมาถามเด็กหนุ่มรุ่นน้องอีกครั้ง

“กินอะไรดี”

รุ่นพี่ชิมิซึยังไม่ได้ตอบเลยว่าจะให้เขายืมเงินหรือเปล่า แล้วยังจะมาถามอีกว่ากินอะไร ฮารุโตะคิดอย่างหงุดหงิดกระนั้นอีกฝ่ายกลับหัวเราะ

“เลือกเถอะน่าเดี๋ยวจ่ายให้”

พอได้ยินคำตอบชัดเจนฮารุโตะก็เลือกอาหารได้ทันทีเช่นเดียวกัน เขาชี้นิ้วไปที่ชุดข้าวหมูทอดราคาสามร้อยห้าสิบเยน

“ป้าครับทงคัตสึเซ็ตซีกับข้าวหน้าเนื้อเซ็ตบีครับ”ซากิร้องสั่ง

ทงคัตสึเซ็ตซีนั่นราคาตั้งเจ็ดร้อยห้าสิบเยนเชียวนะ ฮารุโตะร้องโวยวายในใจก่อนจะหันมาหาหนุ่มรุ่นพี่

“ผมกินไม่หมดหรอครับทำไมสั่งชุดนั้นละ”

“ก็ชุดแรกมันถ้วยนิดเดียวเครื่องเคียงอะไรก็ไม่มี กินยังไม่ทันอิ่มก็หมดแล้ว”

“แต่ผมกินอิ่ม”ฮารุโตะเถียง น้ำเสียงที่พยายามทำให้ฟังดูแข็งกร้าวและดวงตากลมโตที่จ้องเขม็งคล้ายจะยืนยันสิ่งที่พูด ชายหนุ่มหัวเราะ เขาวางมือบนศีรษะของเด็กหนุ่มรุ่นน้องแล้วโยกเบาๆอย่างนึกเอ็นดู พลางพูดตะล่อม“วันนี้กินชุดนี้ไปก่อนนะ สั่งไปแล้ว ไปบอกยกเลิกตอนนี้เดี๋ยวโดนป้าเขาว่าเอา”

ฮารุโตะเองก็รู้สึกว่าโดนทำเหมือนว่าตนเองเป็นเด็กๆ แต่รอยยิ้มของรุ่นพี่ผู้แสนเย็นชาทำให้เขาใจเต้นแรง ทั้งยังถูกปฏิบัติอย่างอ่อนโยน และเมื่อความร้อนแล่นขึ้นมาอยู่บนใบหน้า เด็กหนุ่นจึงได้แต่หน้าหลบสายตาของหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูง  ยืนรออยู่เงียบๆอีกแค่ครู่เดียว อาหารที่สั่งก็ถูกวางบนถาดหน้าร้าน ซากิล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมาจ่าย ระหว่างนั้น ฮารุโตะทำท่าว่าจะยกถาดใส่อาหาร หากแต่โดนร้องห้ามไว้เสียก่อน

“ผมยกได้ครับ” เด็กหนุ่มยืนยัน ซ้ำยังคุยต่อไปอีกว่า “ที่ทำงานพิเศษต้องยกของหนักว่านี้อีก ผมยังยกได้สบาย” กระนั้นพอโดนชายหนุ่มร่างสูงยืนซ้อนด้านหลัง และถูกมือหนาวางทาบบนหลังมือ เรี่ยวแรงของเขาก็อ่อนยวบยาบ

“แบบนี้คงยกไม่ไหวแล้วมั้ง”

เมื่อถูกแซวก็ทั้งเคืองทั้งเขินอาย ซากิทำท่าจะประคองไปทั้งคนทั้งถาดอาหารจริงๆ แต่เพราะความหน้าบางของฝ่ายรุ่นน้อง เด็กหนุ่มร่างเล็กจึงได้เบี่ยงตัวออกจากวงแขนของชายหนุ่มรุ่นพี่เสียแทน

เรียวตะกลับมานั่งรอที่โต๊ะพร้อมกับลงมือทานอาหารกลางวันของตนไปพลาง ซากิจึงย้ายที่ เลือกไปนั่งอยู่ข้างๆ และดึงให้ฮารุโตะนั่งอีกฝั่งหนึ่งของตน

“ไปซื้อซะนานเลยนะ”เรียวตะอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากแซว “นึกว่าไปปลูกข้าวอยู่เสียอีก”

ซากิไม่ต่อปากต่อคำอีกฝ่ายให้ยืดยาวไปกว่านี้ เขาแค่เหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจ จนฮายาชิ  เรียวตะขัดใจขึ้นมาตะหงิดๆ ในเมื่อฝั่งเพื่อนสนิทธาตุไฟกล้าแข็ง เขาจึงหันไปเล่นงานรุ่นน้องเสียแทน

“ฮารุจัง อาหารอร่อยหรือเปล่า”

เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อหยุดตะเกียบในมือ เงยหน้าขึ้นมามองคนถามด้วยสีหน้างงๆ เรียวตะจึงต้องถามซ้ำ

“อร่อยครับ”

“ไม่หวานไปหรือ เมื่อกี้เห็นซากิมันทำน้ำตาลหกไว้เรี่ยราดเลย”

ฮารุโตะเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “รุ่นพี่ชิมิซึทำน้ำตาลหกตอนไหนครับ ผมยังไม่เห็นรุ่นพี่หยิบน้ำตาลเลย”

ซากิหัวเราะ “มุขแกลึกเกินไป” เขาพูดกับเพื่อน แล้วหันมาบอกให้ฮารุโตะทานข้าวต่อ ไม่ต้องไปสนใจเรียวตะอีก เด็กหนุ่มผู้ว่านอนสอนง่ายจึงตั้งใจทานอาหารตามที่รุ่นพี่ว่า

อาหารชุดนั้นประกอบด้วยข้าวสวย หมูชุบแป้งทอด ผักชุบแป้งทอด สลัดจานเล็ก และซุปมิโสะร้อนๆอีกหนึ่งถ้วย เขาทานอาหารด้วยระดับความเร็วปกติ และพยายามฝืนทานจนหมดด้วยความเสียดาย ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนจึงทานอาหารส่วนของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังนั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ก่อนที่รุ่นพี่ชิมิซึจะเหลือบมองนาฬิกาและบอกให้ทุกคนแยกย้าย

คล้อยหลังจากพวกรุ่นพี่ ริเอะโกะก็ตั้งคำถามที่ทำให้เขาหน้าตาตื่นขึ้นมาทันที

“มิอุระซังเป็นแฟนกับรุ่นพี่ชิมิซึอย่างนั้นหรือ”

“เปล่า”ฮารุโตะปฏิเสธเป็นพัลวัล

“เห็นดูสนิทกันมากๆ”

เขานิ่งไปครู่ใหญ่ค่อยๆเรียบเรียงความคิดที่วุ่นวายในหัว “รุ่นพี่ใจดี คอยดูแลช่วยเหลือหลายอย่าง” นอกเหนือไปจากนั้น ตัวเขาอาจจะเป็นของเล่นที่ยังมีประโยชน์ แต่ประโยคนี้ ฮารุโตะไม่ได้พูดออกไป แม้ตัวเขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว ไม่ค่อยทันคน ไม่ทันโลกที่ก้าวไปอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็พอรู้ว่า ความสัมพันธ์อันผิดไปจากปกติระหว่างเขาและรุ่นพี่ชิมิซึ เป็นเรื่องที่ไม่อาจบอกใครอย่างภาคภูมิใจได้

“ฉันกับฟุมิโอะชอบรุ่นพี่ชิมิซึละ”

“พวกเราจะจีบรุ่นพี่”ประโยคนี้ฟุมิโอะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา “หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างยุติธรรม ไม่ว่าใครที่รุ่นพี่ชิมิซึตอบตกลงด้วย ก็จะไม่โกรธกัน” ฟุมิโอะและริเอะโกะจ้องหน้าเขาเขม็ง

“มิอุระซังก็เหมือนกัน ต้องไม่เข้าข้างใครคนใดคนหนึ่ง หรือช่วยเหลือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นพิเศษนะ”เมื่อเธอพูดจบก็นิ่งเงียบคล้ายรอคำตอบ ฮารุโตะพยายามฝืนยิ้ม ภายในอกปวดแปลบแปลกประหลาด เขาพยักหน้าและตอบตกลงด้วยคำสั้นๆ



ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องจะเป็นจำพวกเงียบๆไม่ค่อยคุยอยู่แล้ว  แต่ดูเหมือนว่าช่วงวันสองวันนี้จะนิ่งเงียบกว่าปกติ ชิมิซึ ซากิคิดในใจ สายตาของเขาลอบมองร่างเปลือยเปล่าของหนุ่มรุ่นน้องที่มีรอยเขียวช้ำเพิ่มขึ้นมาจากเมื่อวาน ฮารุโตะยังนั่งเล่นน้ำในอ่างอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว และดูเหมือนจะไม่ใคร่ใส่ใจกับรอยช้ำบนตัวราวกับว่าร่องรอยเหล่านั้นเป็นเรื่องปกติ

“นี่ไปโดนอะไรมาน่ะ” เขาแตะปลายนิ้วลงบนรอยจ้ำที่แขน เด็กหนุ่มหันมองตามมือ ก่อนจะหลุบตาลงแล้วไถลตัวลงราวกับต้องการให้ระดับน้ำปิดบังทุกสิ่ง ซากิไม่ได้เร่งเร้าแต่กดดันด้วยการจ้องมองอยู่เงียบๆ

“ด…เดินชนตู้ครับ”

ชายหนุ่มต้องเงี่ยหูตั้งใจฟังจึงจะจับใจความจากเสียงงึมงำได้

แต่ให้ตายเถอะ ฮารุโตะคิดว่าเขาโง่หรืออย่างไรนะ เมื่อวานบอกว่าหกล้ม วันนี้บอกว่าชนตู้ ซากินึกอยากจะประชดออกไปว่าอะไรมันจะซุ่มซ่ามได้ทุกวัน เขาหงุดหงิดกับเด็กขี้โกหกเสียจริง

“ขึ้นได้แล้ว”บอกพลางลุกยืน ก้าวขึ้นจากอ่างอาบน้ำ ไม่ได้หันมองว่าฮารุโตะจะทำตามที่เขาบอกหรือไม่ แต่ตอนที่กำลังสวมเสื้อผ้า เด็กหนุ่มรุ่นน้องก็ตามมาเปิดล็อกเกอร์ของตนแล้วเช่นกัน

เสื้อผ้าที่ฮารุโตะเตรียมมาเปลี่ยนเป็นฮูดแขนยาวสีชมพูสลับขาว ที่ซากิเคยเห็นนาโอโตะใส่อยู่สองสามครั้ง  เจ้าของเสื้อคนก่อนหน้าไม่ค่อยชอบเสื้อตัวนี้มากนัก เห็นบอกว่าหวานแหววเกินไป ใส่แล้วยิ่งเหมือนเด็กผู้หญิง แต่ดูเหมือนว่าฮารุโตะจะชื่นชอบเสื้อตัวนี้อยู่พอควร เขาเห็นหนุ่มรุ่นน้องลูบๆคลำๆอยู่นาน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างอารมณ์ดีต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ

“รีบแต่งตัวได้แล้ว เดี๋ยวไปทำงานสายนะ”คงเพราะเห็นฮารุโตะอารมณ์แจ่มใส น้ำเสียงของซากิจึงอ่อนลงไม่ขุ่นเคืองเช่นเดิม

ท้องฟ้าขะมุกขะมัวในฤดูหนาวเริ่มกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มอย่างช้าๆ ไฟทางถูกเปิดเพื่อให้ความสว่างขับไล่ความมืดมิดที่กำลังคืบคลานเข้ามา

ซากิยืนอยู่หน้าโรงอาบน้ำสาธารณะ กวาดสายตามองบรรยากาศรอบตัว จากนั้นจึงหันมองหนุ่มรุ่นน้องที่เดินตามออกมายืนข้างๆ ร่างเล็กบางกว่าสอดมือซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ทสั้นสีน้ำตาล เสื้อตัวเก่าของนาโอโตะ มีกระเป๋าใส่เสื้อผ้าชุดเก่าคล้องอยู่ที่แขนข้างหนึ่ง

พอเขาก้าวเท้าเดินนำ ฮารุโตะก็เดินตามมาเงียบๆ เมืองที่พวกเขาอยู่ไม่ได้มีผู้คนพลุกพล่านอย่างเมืองใหญ่เช่นโตเกียว แต่โรงอาบน้ำสาธารณะที่พวกเขามาใช้บริการ รวมถึงร้านสะดวกซื้อที่ฮารุโตะทำงานพิเศษ เป็นแหล่งชุมชนที่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัย เวลาเย็นย่ำเช่นนี้จึงมีผู้คนออกมาเดินเที่ยวหรือจับจ่ายซื้อของกันขวักไขว่

ชายหนุ่มหันไปมองหนุ่มรุ่นน้องซึ่งเดินตามอยู่ด้านหลังอีกครั้ง พอไม่เห็นฮารุโตะอยู่ในครรลองสายตาจึงต้องหันหลังกลับไปทั้งตัว เมื่อกวาดสายตามองหา เขาเห็นฮารุโตะนั่งยองๆอยู่ที่โคนต้นไม้ริมทางเดิน ชายหนุ่มจึงเดินย้อนกลับไป

“ทำอะไรอยู่นะ”

ฮารุโตะสะดุ้งลุกขึ้นยืน

“เป็นอะไรหรือเปล่า”เขาถามซ้ำ ซึ่งอีกฝ่ายก็สั่นศีรษะระรัวพร้อมรอยยิ้มเจี๋ยมเจี้ยมเป็นคำตอบ เขาเลิกคิ้ว มองสองมือของเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่ถูกซ่อนอยู่ด้านหลัง แล้วจึงยื่นมือออกไปหา ฮารุโตะวางมือลงมาอย่างรวดเร็ว

“หึ” ซากิทั้งขำทั้งฉิว ต่อไปถ้าใครบอกว่าฮารุโตะเป็นเด็กซื่อบื้อ เขาคงเถียงขาดใจ เพราะถ้าไม่พูดให้ชัดเจน อีกฝ่ายก็เลี่ยงได้ตลอด แต่ซากิไม่ใช่คนจำพวกที่จะดึงดันเอาเป็นเอาตายกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ เขาจึงหันมาให้ความสนใจกับมือเล็กบางในอุ้งมือเสียแทน

ชายหนุ่มสอดประสานนิ้วมือเข้ากับมือของฮารุโตะ และเหมือนจะเห็นว่าร่างเล็กบางกว่ากำลังกลั้นหายใจ พอยืนนิ่งอยู่นานเข้า ก็พรูลมหายใจออกมาและสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ ซากิมองท่าทางนั่นแล้วนึกขำ

“ทำอะไรนะ”

รุ่นน้องผู้มีความสูงน้อยกว่าช้อนสายตาขึ้นมอง “ผนึกลมปราณ”

“ผนึกลมปราณ?”เขาทวนคำอย่างสงสัย

“จะได้ไม่เขิน…ครับ”

เขานิ่งงันกับคำตอบที่ได้รับ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา นั่นยิ่งทำให้ใบหน้าของฮารุโตะแดงกล่ำยิ่งกว่าเดิม เด็กหนุ่มรุ่นน้องก้มหน้าลงต่ำพยายามซ่อนทุกอย่างไว้ภายใต้กลุ่มผมหน้าม้าด้านหน้า

ซากิใช้มืออีกข้างช้อนคางของฮารุโตะให้เงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตสีน้ำตาลปริ่มคลอไปด้วยหยาดน้ำ

“ร้องไห้ทำไม”เขาทอดเสียงอ่อนโยน “ฉันหัวเราะเพราะมันตลกก็จริง แต่มันเป็นคำตอบที่น่ารักมาก”

ฮารุโตะเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วทันควัน ซากิหยักไหล่ไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น ดึงมือให้หนุ่มรุ่นน้องก้าวเท้า พวกเขามัวแต่เล่นจนเสียเวลาไปนานพอดู เวลาเข้างานของฮารุโตะงวดใกล้เข้ามาทุกที ซากิเดินมาส่งเด็กหนุ่มรุ่นน้องถึงหน้าร้าน ร่างเล็กบางยังขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่เหมือนเดิม หมดความสนใจสิ่งของที่อยู่ในมืออีกข้างไปชั่วขณะ เป็นชายหนุ่มร่างสูงเสียอีกที่เอ่ยปากทักขึ้นมา

“ไปเอาจากไหนน่ะ”

เมื่อฮารุโตะรู้ว่าคนตรงหน้าหมายถึงสิ่งใด เขาก็นำมันไปซ่อนไว้ด้านหลังอีกครั้ง

“ไม่แย่งหรอกน่า”

“ผมเก็บได้” ฮารุโตะยื่นมันออกมาตรงหน้า ชายหนุ่มยื่นมือออกไปรับ ยกมันขึ้นมาดูใกล้ เป็นป๋องแป๋งอันเล็กๆที่คงจะแถมมากับขนม

“ที่ริมทางเดินนะหรือ”

ฮารุโตะผงกศีรษะรับ ซากิให้ความสนใจมันแค่นั้น ก่อนส่งคืนให้หนุ่มรุ่นน้อง ยกนาฬิกาขึ้นดู เมื่อเห็นว่าใกล้เวลาเข้างานของฮารุโตะเขาจึงบอกลาสั้นๆ

ซากิเดินย้อนกลับไปตามทางเดิม ทิศทางเดียวกับทางที่มาจากโรงอาบน้ำสาธารณะ ห่างจากร้านที่ฮารุโตะทำงานพิเศษราวๆสองถึงสามนาที ที่จุดนั้นมีป้ายหยุดรถประจำทาง ยืนรออยู่ครู่หนึ่ง รถประจำทางที่วิ่งไปยังเส้นทางที่บ้านของเขาตั้งอยู่ก็เคลื่อนที่เข้ามาจอด ใช้เวลาอีกราวๆยี่สิบนาที ชายหนุ่มจึงถึงบ้าน

ภายในบ้านมืดสนิท

แต่ก่อนเขาพักอาศัยอยู่กับพ่อและพี่ชายที่อายุห่างกันห้าปี ปัจจุบันพี่ชายได้งานทำในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งในโตเกียวจึงย้ายไปพักอยู่ที่นั่น ส่วนพ่อของเขาเป็นข้าราชการระดับสูงที่มีงานรัดตัวพอๆกับนักธุรกิจระดับแนวหน้า ผู้เป็นบิดาจึงมีเวลาว่างอยู่บ้านน้อยครั้ง แต่ชายหนุ่มรู้ตัวว่าตนไม่ใช่เด็กๆที่จะต้องเรียกร้องความสนใจจากครอบครัว  เขาก็มีสังคมของเขา ความสัมพันธ์ในครอบครัวจึงค่อนข้างห่างเหิน

ซากิเดินเลี้ยวเข้าห้องครัว บนโต๊ะอาหารมีจานอาหารซึ่งถูกพันฟิล์มพลาสติกวางไว้  อาหารเหล่านี้ถูกปรุงโดยแม่บ้านรับจ้าง พวกเธอจะเข้ามาทำความสะอาดทุกสองวัน กรณีที่เขาต้องการกินอะไรเป็นพิเศษก็จะเขียนโน๊ตวางไว้ตอนเช้า และวันนี้ถึงแม้เขาจะทานอาหารกับฮารุโตะมาบ้างแล้ว แต่การกินมื้อเย็นรอบสองก็ไม่ใช่เรื่องลำบากสำหรับเขา

หลังทานอาหารเสร็จ เขาย้ายตัวเองขึ้นมายังห้องนอนที่อยู่ชั้นสอง ทรุดตัวนั่งเหยียดขาลงบนเตียง พิงหลังกับกำแพง หยิบเอาหนังสือกล้องที่อ่านค้างไว้มาอ่านต่อ เขาเพิ่งเริ่มสนใจถ่ายรูปตอนที่ได้เจอกับเรย์ตอนมัธยมปลาย

นาคามูระ เรย์มีพ่อเป็นช่างภาพฝีมือเยี่ยม พี่ชายก็เป็นช่างภาพที่ได้รางวัลจากการถ่ายรูปประกวดมามากมาย กล้องถ่ายภาพจึงเป็นอวัยวะที่สามสิบสามของเรย์ ส่วนเขาเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นที่ตามกระแส ที่เห็นว่าเพื่อนทำ เขาจึงทำตามบ้าง ซึ่งตอนนั้นเขาก็สมัครเข้าชมรมฟุตบอลไปแล้ว  เรียวตะเรียกมันว่าความบ้าพลัง แต่เขาก็ทำดั่งเช่นที่เพื่อนกล่าวจริงๆ 

การแข่งขันกีฬาระดับมัธยมปลายเป็นอะไรที่เข้มงวดและจริงจังมาก เขาตื่นไปซ้อมตอนเช้าตั้งแต่ตีห้าในช่วงหน้าร้อน หลังเลิกเรียนก็ไปซ้อมต่อจนสองทุ่ม กลับบ้านไปอ่านหนังสือเรียนต่อ เข้านอนตอนประมาณสี่ทุ่มครึ่งถึงห้าทุ่ม ช่วงเวลากลางวันเขาก็หมกมุ่นอยู่กับแต่การถ่ายภาพ และเขาก็ทำทุกอย่างได้ดี ได้ลงแข่งสองนัดตั้งแต่อยู่ปีหนึ่ง ผลการเรียนดี ฝีมือถ่ายภาพก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆจนได้รางวัลชมเชยในการประกวดตอนอยู่มัธยมปลายปีสอง

ประมาณสองทุ่ม ชายหนุ่มจึงปิดหนังสือ และลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาสวมแค่เสื้อยืดและกางเกงขาสั้นประมาณเข่า สวมถุงเท้าและหยิบรองเท้ากีฬา เปิดประตูเดินไปอีกห้องหนึ่ง พ่อของเขาทำห้องฟิตเนสไว้ในบ้านเพราะอยากจะดูแลหุ่นและรูปร่างให้ดูดีอยู่เสมอ ซึ่งผู้เป็นบิดาก็ได้อย่างที่หวัง

ชายหนุ่มเริ่มวอร์มร่างกายด้วยการเดินเร็วบนลู่วิ่ง ก่อนจะค่อยๆปรับความเร็วขึ้นเรื่อยๆ เมื่อวิ่งจนครบเวลา เขาย้ายไปยกน้ำหนักเป็นอันดับต่อไป หันไปมองเวลาอีกทีก็ใกล้จะสี่ทุ่มแล้ว เขาจึงคลูดาวน์และนั่งพักรอให้เหงื่อแห้ง

เขาไม่ชอบความวุ่นวายและเสียงดัง แต่ก็ไม่อยากอยู่คนเดียวเช่นกัน ซากิหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ถ้าอาบน้ำแต่งตัวรวมเวลาเดินทางแล้ว คงเป็นเวลาพอดีกับที่อีกฝ่ายจะเลิกงาน เขายกยิ้ม จนป่านนี้แล้ว เด็กคนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นเขา หรือจะรู้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้กันนะ ชายหนุ่มนึกสงสัย เขาปลดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ เลือกสมุดโทรศัพท์ พิมพ์ชื่อคนที่ต้องการโทรหาแล้วเกิดลังเลขึ้นมา มันแค่ชั่วครู่ที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในมโนความคิดแต่ยับยั้งทุกการกระทำ เขาเลื่อนหน้าจอและกดโทรออก ปลายสายเป็นหญิงสาวที่เขาคุยด้วยบ่อยครั้ง เธอและเขามีความต้องการที่เหมือนกันจึงทำให้คุยกันได้ยาวนาน

“ว่างไหม ไปหาได้หรือเปล่า”เขากรอกเสียงลงไปหลังจากที่เธอรับสาย อีกฝั่งของเสียงสัญญาณตอบตกลงกลับมา ซากิจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วจึงหยิบกระเป๋าเงิน โทรศัพท์ กุญแจบ้านและกุญแจรถเดินลงไปที่ชั้นล่าง รถที่เขาใช้เป็น Ducati 959 Panigale สีดำที่ไม่ได้แต่งอะไรเพิ่งเติม แต่เพราะเป็นเวลากลางคืนเสียงของมันจึงดังกระหึ่ม ยามที่ชายหนุ่มได้ฟังเสียงคำรามของเครื่องยนต์ และสัมผัสถึงสายลมที่พัดผ่านร่างกาย ความคิดอันแสนวุ่นวายในหัวก็ดูเหมือนจะถูกพัดปลิวหายไปเช่นกัน



พื้นที่บริเวณหน้าร้านว่างเปล่า ฮารุโตะกวาดสายตาจนทั่วก็ไม่พบ ‘ใคร’ ตะกอนขุ่นมัวลอยคลุ้งขึ้นอย่างช้าๆ เด็กหนุ่มกำมือแน่น ข่มทุกอย่างให้กลับราบเรียบเช่นเดิม เขาก้าวเท้ามุ่งหน้าไปสู่ที่พัก

มันก็ดีแล้ว ฟุมิโอะและริเอะโกะบอกว่าชอบรุ่นพี่ชิมิซึ และอีกไม่นานรุ่นพี่ก็คงมีแฟน คงไม่สามารถมาคอยดูแลเขาได้เหมือนเดิมอีก เขาอยู่ด้วยตัวคนเดียวได้ ฮารุโตะบอกกับตัวเองเช่นนั้น เขาอยู่ตัวคนเดียวมาเนิ่นนาน จากนี้จะมีแค่ตัวเขา มันคงไม่ต่างไปจากเดิม

แต่ใช่ว่าความเศร้าหมองหดหู่จะจางหายไปง่ายๆ มันทำให้เขาจมจ่ออยู่กับความว้าวุ่นจนนอนไม่หลับ เขานอนกระสับกระส่ายพลิกตัวอยู่นาน กระทั่งจนใจต้องลุกขึ้นมาเปิดไฟอีกครั้ง หลังจากยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงพุ่งตัวไปยังชั้นหนังสือซึ่งถูกตั้งอยู่ชิดริมผนัง และหยิบอัลบั้มรูปภาพออกมา ทันทีที่เปิดดูภาพที่อยู่ข้างใน ช่วงเวลาแห่งความสุขดูเหมือนจะหวนย้อนกลับมาอีกครั้ง ฮารุโตะยกยิ้มมองภาพรุ่นพี่ชิมิซึที่ยกยิ้มบางจนแทบมองไม่เห็นมาให้เขา แตะปลายนิ้วลงบนกระดาษที่เย็นเฉียบ ความคิดที่ยุ่งเหยิงอลหม่านค่อยๆกลับมาสงบอีกครั้ง

เขาล้มตัวลงนอนพร้อมอัลบั้มรูปในอ้อมกอด พอได้นอนหลับ ความคิด ความอึดอัดไม่พอใจ ความโดดเดี่ยวเหนื่อยล้าก็เหมือนถูกลบล้างไปกับวันวาน ฮารุโตะตื่นขึ้นมาเตรียมอาหารเช้าและข้าวกล่องสำหรับกลางวัน จากนั้นจึงนั่งอ่านหนังสือจนใกล้เวลาเข้าเรียน จึงเก็บข้าวของ ตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนออกจากห้อง

ช่วงก่อนเขาจะไปห้องชมรมแต่เช้าไปนั่งอ่านหนังสือที่นั่น แต่วันนี้เขายังอ่อนแอ ไม่อยากเจอรุ่นพี่ชิมิซึให้หัวใจหวั่นไหวอีก เด็กหนุ่มรู้ตัวว่าเหตุการณ์ทำนองนี้ต้องเกิดขึ้นสักวัน เขาพยายามยั้งใจไม่ให้เผลอไผลแต่มันแสนยาก เขาคิดว่าดีแล้วที่รุ่นพี่ห่างไปเสียก่อน ถ้าแค่นี้เขายังรักษาใจตัวเองและลุกขึ้นยืนใหม่อีกครั้งได้ทัน

“ทำหน้าโง่มาแต่เช้าเลยนะ”

ฮารุโตะเงยหน้ามองเจ้าของเสียงพูด แปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ไม่เห็นเด็กหนุ่มอีกสองคนที่ตามติดอีกฝ่ายเหมือนขี้ปลาทอง แต่พอได้เห็นหน้าของซากุราอิ ชุนเช่นนี้ มันทำให้คิดได้ว่า เรื่องทุกอย่างมันก็แค่ผ่านเข้ามาซึ่งเดี๋ยวก็ผ่านไปเหมือนทุกครั้ง เพียงแต่ แต่ละเรื่องที่ต้องเผชิญมันต้องใช้ความอดทนต่างกันก็เท่านั้น ฮารุโตะยกยิ้มเมื่อคิดได้เช่นนั้น

ชุนถึงกับตกใจที่ฮารุโตะยกยิ้มให้เขา “กินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าเนี่ย”

เด็กหนุ่มตัวเล็กสั่นศีรษะ เขาเปิดกระเป๋าหยิบเข้ากล่องออกมา แม้ไม่รู้ว่าข้าวกล่องวันนี้จะย้ายมาอยู่บนศีรษะของเขาอีกหรือเปล่า แต่เขาก็ยื่นมันให้คนตรงหน้า

“ผมให้”

ชุนยิ่งประหลาดใจเมื่อข้าวกล่องในมือเล็กบางถูกระบุอย่างจงใจว่าต้องการให้เขา ฝ่ายฮารุโตะเห็นว่าชายหนุ่มร่างสูงไม่ยอมยื่นมือมารับเสียที เขาจึงจับมือของอีกฝ่ายให้มาหยิบมันไป “ผมทำไม่ค่อยอร่อยหรอกนะ กับข้าวส่วนใหญ่ก็เป็นของเหลือจากร้านที่ทำงาน อย่างที่นายก็รู้ว่าผมจน ผมไม่ค่อยมีเงินติดตัวหรอก ส่วนกล่องใส่ข้าวขอความกรุณาเอามาคืนด้วย” ฮารุโตะโค้งศีรษะให้อีกฝ่ายเมื่อพูดจบ แล้วรีบย่ำเท้าเดินจากมา นึกขำกับหน้าเหวอๆของชุน

ฮารุโตะไม่ได้หวังอะไรมาก เขาขอให้แต่ละวันผ่านไปอย่างราบรื่นก็พอ


ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
ริเอะโกะและฟุมิโอะชวนให้เขาไปนั่งเรียนด้วยกันตอนคาบเรียนช่วงบ่าย ทีแรกเขาก็รู้สึกดี แต่ว่าพวกเธอเอาแต่ชวนคุยเรื่องรุ่นพี่ชิมิซึ คาบเรียนนั้น แทบจะไม่ได้อะไรเข้าหัวของเขาเลย ฮารุโตะจึงตัดสินใจโทรหารุ่นพี่อาโอกิและขอพาเพื่อนๆไปที่ชมรม ทุกคนดูตื่นเต้นกันมากจนฮารุโตะแปลกใจ ที่ชมรมไม่ได้กฎห้ามคนนอกเพราะมีนักศีกษาที่มาใช้บริการวนเวียนมาที่ชมรมตลอด

แต่กระนั้นเรื่องที่จะพาพวกหญิงสาวไปที่ชมรมทำให้รอบตัวของเขาสงบลงได้ ด้วยการที่พวกเธอหันไปคุยกันเอง ฮารุโตะจึงไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือการสอบที่กำลังจะมาถึงต่างหากละ

ที่ห้องชมรมในเย็นวันนี้ เหล่าสมาชิกบางตาเช่นเดิม แต่พวกรุ่นพี่ปีสามแก๊งค์ประธานชมรมอยู่กันครบ

“ก็เห็นฮารุจังบอกจะพาเพื่อนมา นาโอโตะเลยตื่นเต้นยกใหญ่”ประโยคนี้เป็นคำพูดของรุ่นพี่นาคามูระ ส่วนทั้งห้าสาวต่างมองหน้ารุ่นพี่อาโอกิกันตาค้าง

ถ้าถามเขาว่าใครหน้าตาดีที่สุดในกลุ่ม ฮารุโตะจะลงความเห็นว่าเป็นรุ่นพี่อาโอกิ ผู้ซึ่งมีทั้งความหล่อและความสวยรวมอยู่ในตัวคนคนเดียว ใจดี สุภาพ อ่อนโยนและดูพึ่งพิงปกป้องสาวๆได้ทุกสถานการณ์ ความเพียบพร้อมทำให้รุ่นพี่ดูสูงเกินกว่าจะเอื้อมถึง สาวๆหนุ่มๆหลายคนจึงแอบปลื้มมากกว่าจะหมายปองมาเป็นของตัวเอง ที่สำคัญเพราะรุ่นพี่อาโอกิมีแฟนแล้ว แต่เขาไม่รู้ว่าคนอื่นๆในมหาวิทยาลัยจะรู้กันหรือไม่ว่า รุ่นพี่อาโอกิกำลังคบหาอยู่กับรุ่นพี่นาคามูระ

“เดี๋ยวผมจะแนะนำให้รู้จักนะครับ” ฮารุโตะพูด แนะนำชื่อหญิงสาวทั้งห้าคนซึ่งเป็นเพื่อนในคณะเดียวกัน

“ส่วนพวกรุ่นพี่คงไม่ต้องแนะนำเนอะ”ประโยคนี้ฮารุโตะหันไปถามพวกเธอ แน่นอนว่าแต่ละคนต่างพยักหน้า เพราะรู้จักกับพวกมากิ ฮารุโตะถึงรู้ว่ากลุ่มของรุ่นพี่มีชื่อเสียงขนาดไหนในมหาวิทยาลัย ไม่ใช่แค่ความหน้าตาดีแต่รวมถึงความสามารถและพื้นฐานครอบครัวของแต่ละคนด้วย

หลังจากแนะนำกลุ่มเพื่อนและรุ่นพี่ให้รู้จักกันเรียบร้อย เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหาชิมิซึ ซากิพร้อมกับยื่นเงินค่าอาหารกลางวันของเมื่อวานให้

“นี่ครับ และก็ขอบคุณรุ่นพี่มากที่ให้ความกรุณา”

ซากิไม่มีทีท่าว่าจะรับมัน มองหน้าอีกฝ่ายที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกต่างจากเมื่อวานโดยสิ้นเชิง ภายในความคิดมีแต่ความกังขาสงสัย ยืนนิ่งมองอยู่เช่นนั้นกระทั่งหญิงสาวสองคนที่แสดงออกว่ามีใจให้เขาพุ่งตัวเข้ามาหา ส่งเสียงเรียกชื่อที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดรำคาญ เป็นจังหวะเดียวกับที่ฮารุโตะพยายามยัดแบงค์พันเยนใส่มือ เขาชักมือหนี อีกฝ่ายจึงเปลี่ยนไปยัดมันใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อของเขาแทน แล้วปลีกตัวเดินหนีออกไปนั่งอ่านหนังสือที่มุมหนึ่ง

ซากิมองตามแล้วควักแบงค์พันเจ้าปัญหาออกมาปาทิ้งลงพื้น ก่อนจะหันไปหยิบกระเป๋าเดินกระแทกเท้าตึงตังตามภาวะอารมณ์ออกไปจากห้อง

สมาชิกในห้องชมรมมองรุ่นพี่รุ่นน้องทั้งสองคนหน้าตาตื่น เป็นเอคิจิที่ตั้งสติได้ก่อน เขาเดินเข้าไปหยิบเงินซึ่งซากิโยนทิ้งไว้กลับไปคืนให้ฮารุโตะ ฝ่ายหนุ่มรุ่นน้องเมื่อเงยหน้าจากหนังสือขึ้นมามองเขาและของในมือ เอาแต่สั่นศีรษะปฏิเสธและบอกซ้ำๆว่าไม่ใช่ของของตน เอคิจิจึงจนใจเดินถือกระดาษที่เหมือนไร้ค่าในสายตาของคนทั้งคู่กลับมาหากลุ่มเพื่อน

กระนั้นใช่ว่าฮารุโตะจะจมจ่ออยู่กับตัวอักษรบนหน้ากระดาษ เขาไม่มีสมาธิ สมองมีแต่ความวุ่นวาย

เขาหลงระเริงไปกับความสุขอันเจิดจรัส ถูกมองด้วยสายตาเสน่หา ถูกปฏิบัติด้วยอย่างเอาใจใส่แม้เพียงไม่นานแต่มันก็ล่อลวงให้เขาถลำลึกในความสุขอันหอมหวานจนแทบจะถอนตัวไม่ขึ้น ทั้งที่เคยบอกตัวเองให้ยั้งใจ

ฮารุโตะยกยิ้มขื่น โชคดีเหลือเกินที่มีคนกระชากเขาออกจากภาพฝันอันแสนมัวเมา เพียงแต่มันคงต้องใช้เวลาอีกนิดให้เขาเดินถอยกลับไปยังจุดที่ควรยืน

เด็กหนุ่มใช้เวลาพักใหญ่อยู่ในห้องชมรมก่อนจะขอตัวไปทำงานพิเศษ เนื้อหาในหนังสือไม่ผ่านเข้าสมอง และความอึดอัดทรมานในอกไม่ได้จางลง เขาจึงแค่ส่งเสียงบอกลาอย่างไม่กล้าเงยหน้ามองใคร

เดินลงบันไดมาถึงชั้นหนึ่ง เด็กหนุ่มเห็นซากุราอิ ชุนยืนรออยู่บริเวณด้านหน้า พออีกฝ่ายเห็นเขาก็เดินเข้ามาหา

“ฉันเอามาคืน”ร่างสูงกว่ายื่นกล่องที่ใส่ข้าวกลางวันคืนมาให้ แล้วเบือนหน้าไปทางอื่นตอนที่พูดประโยคถัดมา “ที่จริงก็ไม่ได้รสชาติแย่หรอก”

ฮารุโตะรับของในมืออีกฝ่ายมาถือไว้ มองกล่องข้าวซึ่งภายในว่างเปล่า พลันคำพูดหนึ่งที่เขาใช้ปลอบใจตัวเองเรื่อยมาผุดขึ้นในมโนความคิด ...เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ขอแค่เขาอดทนไว้เท่านั้น

“ถ้าอย่างไร ผมทำมาให้อีกก็ได้”ฮารุโตะเงยหน้าขึ้นบอก

“ไม่ต้องหรอก ของถูกๆใครจะอยากกินอีก”ชุนตอบกลับมาทันควัน และแม้จะเป็นเรื่องจริง มันก็ทำให้เขารู้สึกเศร้าใจ ทว่าคำพูดต่อมาของชุนก็ทำให้เขารู้สึกงงงวย

“แต่ถ้า...น...แกอยากทำมาอีก ฉันจะช่วยกินให้ก็ได้”

ไม่ทันที่เขาจะถามเพื่อไขข้อสงสัย ซากุราอิ ชุนก็เดินหนีกลับไปเสียก่อน เด็กหนุ่มมองตามแผ่นหลังนั้นจนลับตา เขาถอนหายใจออกมา และเริ่มต้นก้าวเท้าอีกครั้ง




+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

เกินมาอีกนิดนุง เพราะแบ่งตอนลงReplyแรกน้อยหรือเปล่านะ
และไหนๆก็ไหนๆแล้ว

ชอบเรื่องนี้มากๆค่ะ เป็นกำลังใจให้คนแต่งเสมอนะคะ อ่านไปก็รู้สึกอึดอัดใจไป...ฮารุโตะน่าสงสาร พอเริ่มกล้าที่จะแต่งตัวก็โดนแกล้งโดนว่าจนหมดความมั่นใจอีก เราเข้าใจฮารุโตะนะ เข้าใจว่าฮารุโตะทำไมถึงชอบหนีจากปัญหา ไม่กล้าเผชิญหน้า เราเองก็รู้สึกอยากจะหนีปัญหาบ่อยมาก แต่น่าเสียดายที่ในชีวิตจริงมันทำแบบนั้นไม่ได้

ชีวิตจริงต้องสู้ค่ะ  เหมือนกันเลย เราถึงติดนิยายงอมแงม

กลัวว่าซากิจะหลอกให้รักน่ะสิ

ซากิไม่เหมือนพระเอก?

ซากิ เปิดเผยการสัมผัสฮารุโตะ
แตะต้อง จับมือ นั่งตัก โอบบ่าในที่สาธารณะ
และเร่าร้อนรุนแรง เวลาร่วมเพศเคมีของทั้งสองฝ่ายต้องกัน
แต่ไม่บอกสถานะความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับฮารุโตะ หรือเพื่อนๆ
ก็ให้กลัวว่า ถ้ามีอะไรเปลี่ยนไป ฮารุโตะ จะรับมือไหวหรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ต่อให้มีอะไรเกิดขึ้น ฮารุจังของเราก็จะเข้มแข็งขึ้นแล้วค่ะ เพียงแต่ยังไม่ใช่ระยะเวลาใกล้ๆ

นายเอกนี่คนหรือกล้วยบดคะ นื่มซะ5555

ชอบอ่ะ เปรียบเทียบเห็นภาพเลยอ่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2017 00:45:48 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ฮารุโตะ เริ่มรับมือกับชุนได้และ
แต่กับพวกผู้หญิงที่น่ารำคาญ ยังคงไม่ทันเกมอยู่ดี
ได้เจอผู้ชายที่ชอบแล้ว ก็อย่ามาพัวพันฮารุโตะอีก
ซากิ จะยังไงแน่ ไม่ชอบก็ปล่อยมือไป
มาทำให้ฮารุโตะ วุ่นวายใจแท้ๆ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ซากิไม่ถึงกับไม่เหมือนพระเอกหรอกค่ะ แต่ยังไม่วางใจ พ่อคุณชั้นเชิงเยอะเกิน
ดูท่าชุนจะเป็นเหมือนที่ใครบางคนว่า เด็กผู้ชายชอบแกล้งคนที่เขาชอบ (อาจจะไม่ได้ชอบ แต่สนใจ)
เราชอบพัฒนาการของฮารุโตะ (เรื่องของซากิ) ในตอนนี้นะ แต่เมื่อไหร่จะคิดได้เสียทีว่าพวกเพื่อนผู้หญิงที่เข้ามาตีสนิทนี่มีเป้าหมายอื่นตลอด ทำไมผู้หญิงห้องเดียวกับฮารุโตะน่ารำคาญขนาดนี้นะ ฮึ่ย

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
เรื่องย่อ ตอนที่ 9

มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ แต่ดูเหมือนว่าหนุ่มรุ่นพี่จะไม่ใช่ของเขาแต่เพียงผู้เดียว ทั้งที่มีความสุขยามอยู่ใกล้ แต่เขาก็ทุกข์ใจมากเช่นเดียวกัน




春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย




Chapter 9



ฮารุโตะเดินตรงเข้าไปหาชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนพิงราวกั้นขอบทาง และเอ่ยทักทายตามมารยาท อากาศตอนกลางคืนในฤดูหนาวยังคงหนาวเย็นอยู่เช่นเดิม นั่นยิ่งทำให้บรรยากาศระหว่างพวกเขาดูห่างเหินหมางเมินมีแต่ความเย็นชา แต่ทว่าฮารุโตะกลับต้องพยายามยับยั้งความรู้สึกของตัวเองไม่ให้เต้นโลดยินดีจนเกินไปนัก

“รุ่นพี่มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”

“ถ้าไม่มีธุระมาหาไม่ได้?”

เมื่อได้ยินคำตอบพลันรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด แต่ฮารุโตะไม่ได้ตั้งใจที่จะจดจำว่าใครเป็นคนพูดประโยคนี้กับเขา อย่างไรก็ตาม การที่คนเราจะไปหาคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว มันควรจะมีเป้าหมายหรือสาเหตุในการไปหาเขาไม่ใช่หรือ เด็กหนุ่มจึงไม่รู้ว่าเขาควรจะตอบเช่นไร

สุดท้าย หนุ่มรุ่นพี่ก็แค่ก้าวเท้าเดินนำหน้าเขาไปเฉยๆ ฮารุโตะจึงก้าวเท้าตาม  เด็กหนุ่มมองระยะห่างที่เกิดขึ้นแล้วนึกสะท้อนใจ เมื่ออาทิตย์ก่อนรุ่นพี่ชิมิซึยังจับมือเขาให้เดินอยู่เคียงกัน แค่เวลาเพียงไม่นานทุกสิ่งดูเหมือนจะเปลี่ยนผันไปอย่างรวดเร็ว
เขาก้าวเท้าตามไปจนถึงห้องของตัวเอง หนุ่มรุ่นพี่หลีกทางให้เขาไปไขประตูห้อง ฉับพลันฮารุโตะก็นึกขึ้นได้

...วันนี้เป็นวันศุกร์นี่นะ

หลังจากถอดเสื้อโค้ทและเก็บกระเป๋าเรียบร้อย เด็กหนุ่มเจ้าของห้องจึงดึงฟูกนอนออกมากาง นั่งคุกเข่ามองอีกฝ่ายที่ยังนิ่งเงียบ หนุ่มรุ่นพี่จ้องหน้าเขาโดยไม่ยอมพูดอะไร เขาเลยมองตอบกลับไปโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน แน่ละถ้าจะแข่งเรื่องความอดทดละก็ ฮารุโตะมั่นใจว่าคงไม่มีใครสู้เขาได้ และในที่สุด รุ่นพี่ชิมิซึก็เป็นฝ่ายล้มตัวลงไปนอนเสียก่อน

“ปิดไฟด้วย จะนอนแล้ว”

ร่างสูงยังดูหงุดหงิด แต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมาเสียที ฮารุโตะเองก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรที่จะพูดกับอีกฝ่าย เขาจึงแค่ปิดไฟและล้มตัวลงนอนเช่นกัน แต่พอทั้งห้องมืดสนิทหนุ่มรุ่นพี่กลับขยับเข้ามาหา ทั้งยังกอดรัดเขาไว้ แผ่นหลังของเขาถูกรั้งจนแนบกับอกกว้าง

“ทำไมเป็นแบบนี้”เสียงพูดนั้นดังใกล้ใบหู ขณะที่ฮารุโตะยังคงนิ่งเงียบเช่นเดิม

ในใจของซากิมีแต่ความวุ่นวายไม่สงบ เขาร้อนรนไม่เป็นสุข และไม่ชอบใจกับความรู้สึกแบบนี้ ไม่ชอบความกระวนกระวายที่เป็นอยู่ เขาอยากกลับมาเป็นตัวเองเช่นเดิม

กลิ่นผิวเนื้ออ่อนทำให้เขากดจมูกเข้าหามากยิ่งขึ้น กอดรัดราวกับพยายามจะป่นกระดูก กระทั่งฮารุโตะร้องออกมา เขาจึงคลายแรงที่วงแขนออกแต่ยังไม่วายกัดซ้ำเข้าไปที่บริเวณต้นคออีกครั้ง

“เจ็บ”

เขาลุกขึ้นดึงถอดเสื้อแขนยาวที่ฮารุโตะสวมใส่อยู่ออก และโน้มไล้เลียรอยฟันที่เขาทำไว้ ก่อนจะดึงกางเกงวอร์มขายาวของหนุ่มรุ่นน้องให้หลุดจากปลายเท้าเป็นอันดับต่อไป จากนั้นจึงถอดทั้งเสื้อและกางเกงของตัวเอง

ทั้งห้องมืดสนิทไร้แสงไฟ หน้าต่างเพียงบานเดียวของห้องถูกม่านดึงปิดไว้ ซากิไม่เห็นสีหน้าของฮารุโตะ เขาเห็นแค่โครงร่างลางๆจากสายตาที่เริ่มชินกับความมืด และเพราะคุ้นชินกับข้าวของในห้องนี้ ชายหนุ่มจึงสามารถเอื้อมไปหยิบของที่ต้องใช้จากชั้นใส่ของใกล้ๆโดยไม่ต้องเปิดไฟ

เขาแต้มเจลลงบนปลายนิ้ว รั้งขาทั้งสองข้างของฮารุโตะให้แยกกว้าง แล้วจึงแตะเจลเย็นเข้ากับช่องทางที่ยังปิดสนิท นวดคลึงให้อ่อนนุ่มก่อนจะแทรกนิ้วกลางเข้าไปอย่างเชื่องช้า เสียงหอบหายใจของอีกฝ่ายดังกระชั้นขึ้นจากการชักนำของเขา ภายในช่องทางนั้นตอดรัดกระตุกถี่ตามระยะเวลาที่ถูกกระทำ จากนั้นจึงผละออกมาสวมถุงยางและชะโลมเจลหล่อลื่นกับแท่งเอ็นกลางลำตัวที่แข็งจนปวด

ซากิจัดให้ฮารุโตะหันหลัง ยกสะโพกขึ้นสูง แหวกเนินเนื้อเพื่อกดส่วนปลายเข้าหา เขาแทรกตัวเข้าไปในช่องทางนั้นเชื่องช้า จนกระทั่งฮารุโตะสามารถรับเขาเข้าไปได้จนหมด ยามนี้ซากิกลับรู้สึกผ่อนคลายลง ความกระวนกระวายสับสนจางหายไป

เขาถอดสะโพกออกมาเล็กน้อย และกดกระแทกซ้ำ จ้วงกระโจนเข้าหาความสุขกระสันต์ซ่าน เสพสมในห้วงอารมณ์แห่งดำกฤษณา โจนทะยานขับเคี่ยวในกามราคะซ้ำแล้วซ้ำเล่า

รู้สึกตัวอีกครั้งยามได้ยินเสียงติ๊ดติ๊ดที่ดังมาจากนาฬิกาข้อมือของฮารุโตะ ชายหนุ่มแตะริมฝีปากลงที่เปลือกตาของหนุ่มรุ่นน้องไล่ลงมาจบที่ริมฝีปากอิ่มอีกครั้ง ร่างกายของพวกเขาชุ่มเหงื่อทั้งที่อากาศหนาวเย็น

“นอนเถอะ”ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่เขายังกดจมูกไปตามผิวเนื้อคอยดอมดมกลิ่นอันกำซาบซ่าน ฮารุโตะปิดเปลือกตาและหลับลงอย่างรวดเร็ว ชิมิซึ ซากิทิ้งตัวลงนอนด้านข้าง ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างกายของพวกเขาทั้งคู่ นอนฟังลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมออยู่เนิ่นนาน ครู่ใหญ่ๆต่อมา เสียงโทรทัศน์จากห้องข้างๆก็ดังแว่วมาให้ได้ยิน เขาจึงปิดเปลือกตาลงบ้าง



ฮารุโตะตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องปั่นป่วนของกระเพาะอาหาร ร่างกายทั้งเมื่อยล้าและเหนียวตัว และรู้สึกว่าตัวรุมๆคล้ายจะมีไข้ พอเขายันตัวลุกขึ้นนั่ง หนุ่มรุ่นพี่ที่นอนอยู่ข้างๆก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน ร่างสูงกว่าแนบหน้าผากลงมาแตะกับหน้าผากของเขา

“ตัวร้อน”ทั้งการกระทำและคำพูดอ่อนโยนจนอยากจะร้องไห้ ฮารุโตะหลุบตาลง โพรงจมูกร้อนผ่าว เขาถูกโอบกอดไว้ แม้จะยังไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลยสักชิ้นแต่กลับไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด

“เช็ดตัวแล้วค่อยไปแช่น้ำอุ่นกันอีกรอบนะ”คนพูดไม่รอให้เขาตอบตกลง ลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าแล้วเตรียมน้ำอุ่นสำหรับเช็ดตัว ระหว่างรอน้ำบนเตาเดือดจึงหันมาช่วงพยุงให้เขาลุกขึ้นจัดการธุระส่วนตัว แล้วหยิบยาแก้ไข้ส่งมาให้

“หิวข้าวครับ”

“อ่า…ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันไปซื้ออะไรมาให้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ในตู้เย็นมีข้าวปั้นอยู่”

ซากิลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็น หยิบข้าวปั้น ส้มและแอปเปิ้ลในตู้ออกมา เขานั่งลงตรงหน้าฮารุโตะ ดึงห่อพลาสติกที่ห่อข้าวปั้นออกแล้วส่งให้อีกฝ่าย พอเห็นหนุ่มรุ่นน้องรับไปกัดเสียคำหนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นไปหยิบมีด ตั้งใจว่าจะนำมาปอกแอปเปิ้ล แต่พอทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง เด็กหนุ่มร่างเล็กก็ยื่นข้าวปั้นที่เพิ่งกัดไปบางส่วนมาตรงหน้า

เขายกยิ้มแล้วกัดไปเสียคำหนึ่ง ฮารุโตะดึงกลับไปกัดอีกคำก็ยื่นมาให้เขากัดอีกคำ แบ่งกันกินแบบนี้จนข้าวปั้นหมดก้อน ซากิจึงหันมาตั้งหน้าตั้งตาทำท่าจะปอกแอปเปิ้ล แต่แค่ท่าทางถือมีด หนุ่มรุ่นน้องคงรู้ว่าเขาเป็นพวกมือใหม่

“ผมทำเองครับ รุ่นพี่ปอกส้มเถอะ”

คราวนี้เป็นเรื่องง่าย ซากิลอกเปลือกส้มจนหมด แบ่งกลีบแล้วส่งเข้าปากหนุ่มรุ่นน้อง ฮารุโตะก็ลากมีดปอกเปลือกแอปเปิ้ลอย่างคล่องแคล่ว ทิ้งเปลือกที่เป็นเส้นยาวลงบนจานที่ซากิเตรียมมาให้ แล้วหั่นเป็นชิ้นพอดีคำส่งเข้าปากชายหนุ่มร่างสูง

กินผลไม้กันแค่พอประทังความหิว พอน้ำบนเตาเดือด ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นไปผสมน้ำ ยกกะละมังใบย่อมเตรียมมาเช็ดตัว

“ผมทำเองก็ได้ครับ”

“ไม่เป็นไร ฉันเคยทำให้ตั้งหลายครั้งตอนที่นายป่วยครั้งก่อน”

“ตอนนั้นป่วย แต่ตอนนี้ไม่ได้ป่วยนี่ครับ”

“ตัวรุมๆก็เหมือนป่วยนะแหละ”

“อื้อ ไม่แล้วครับ ดีขึ้นแล้ว”

“เถอะ อยากทำให้”

ตอนที่รุ่นพี่อ่อนโยนแบบนี้หัวใจของฮารุโตะจะละลายเสียให้ได้ เขายอมอย่างว่าง่ายกับน้ำเสียงออดอ้อน ตอนเช็ดช่วงบนน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ถึงเวลาที่เช็ดส่วนล่าง ฮารุโตะเขินจนตัวแดงไปทั้งตัว

เขาโดนดึงไปนั่งบนตัก ยามที่ผ้าชุบน้ำลากผ่านจุดอ่อนไหวกลางลำตัวก็แสนอ้อยอิ่ง ซากิหัวเราะ ตอนที่ฮารุโตะพยายามยั้งมือเขาไว้ไม่ให้เล้าโลมมากไปกว่านี้ เขาโอบเอวบาง รั้งปลายคางให้หนุ่มรุ่นน้องเงยหน้าขึ้นรับจูบ ชายหนุ่มดูดดึงหยอกเย้าจนอีกฝ่ายตะกายเข้าหาเขาทั้งตัว

“ดีจัง”เสียงพูดเบาๆคล้ายละเมอ ซากิกำลังจะจูบซ้ำเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายคงจะหมายถึงจูบเมื่อสักครู่ แต่ประโยคต่อมาทำให้เขายิ้มอ่อน แล้วโอบรัดร่างเล็กบางกว่าไว้ทั้งตัว

“อยากให้เป็นแบบนี้ตลอดไป”

บรรยากาศละมุนละไมสะดุดลงทันทีเมื่อเสียงท้องของซากิร้องดังโครกคราก ฮารุโตะเงยหน้ามาหัวเราะ ซากิอับอายจนหน้าขึ้นสี แต่เมื่อเห็นคนตรงหน้าหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ ก็อดที่จะกดจูบซ้ำลงไปอีกครั้งไม่ได้

“เดี๋ยวผมทำอะไรให้ทานนะครับ”

เด็กหนุ่มผละตัวออกห่าง หยิบเสื้อผ้าที่ถูกถอดทิ้งไว้เมื่อคืนขึ้นมาสวม ลุกไปเปิดดูในตู้เย็น ของสดที่เขามีส่วนใหญ่จะเป็นผักและเนื้อหมูราคาถูก ฮารุโตะขมวดคิ้ว ตัวเขาเคยชินกับกับข้าวธรรมดา แต่ไม่รู้ว่ารุ่นพี่จะทานได้หรือเปล่า

“ออกไปทานข้างนอกดีไหมครับ”เขาเสนอความคิดเห็นออกไป

“ทำไมละ”

“ก็… ผมไม่มีของอะไรที่พอจะทำอาหารได้เลย”

“หือ”ซากิลุกขึ้นตามมาดู เขาวางคางไว้บนหัวไหล่ของหนุ่มรุ่นน้อง มองของสดที่อยู่ในมืออีกฝ่าย

“ไม่พอหรือ ทำอะไรก็ได้นะ ฉันกินอะไรก็ได้ อยากลองกินอาหารฝีมือนายมาตั้งนานแล้ว”

“เอาอย่างนั้นหรือครับ”ฮารุโตะยังคงกังวล

“อืม ไม่ต้องคิดมากนะ มีอะไรฉันก็กิน เดี๋ยวนั่งรอ”พูดจบก็หอมแก้มซ้ำอีกฟอด แล้วย้ายตัวไปนั่งพิงกำแพงริมหน้าต่าง

ฮารุโตะหันไปมองหนุ่มรุ่นพี่ที่ส่งยิ้มมาให้ แล้วหันกลับมามองของในมือ  จากนั้นจึงนำไปวางบนเคาน์เตอร์ครัว

เขาซาวข้าวก่อนเป็นอันดับแรก ใส่น้ำและใส่เหล้าหวานเล็กน้อยก่อนนำขึ้นหุงในหม้อไฟฟ้า ตั้งหม้อบนเตาเพื่อทำน้ำซุป ระหว่างรอน้ำเดือด ฮารุโตะก็หั่นหมูเป็นชิ้นสำหรับทำหมูผัดซอส  พอน้ำเดือดก็ใส่ผงทำซุปแบบสำเร็จรูป แล้วจึงหันมาหั่นเต้าหู้ที่จะใส่ในซุป หั่นผักสำหรับชุปแป้งทอด ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดี  อาหารทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย ซึ่งก่อนหน้านั้น ซากิได้จัดการเก็บฟูกนอนและนำโต๊ะอุ่นขาออกมาวางไว้แล้ว

ฮารุโตะนั่งลุ้นอย่างตื่นเต้นตอนที่หนุ่มรุ่นพี่คีบอาหารเข้าปาก จ้องเขม็งตอนที่รุ่นพี่ค่อยๆเคี้ยว สีหน้าของอีกฝ่ายยังดูปกติจนเข้าใจแป้ว ซ้ำยังวางตะเกียบและมองหน้าเขานิ่งอีก

“ไม่อร่อยหรือครับ”

“มันก็... อร่อยดี”

พูดแบบนี้แสดงว่ารสชาติแย่จริงๆ ใบหน้าของฮารุโตะหงอยลงทันที และเมื่อชายหนุ่มยิ่งพูด ฮารุโตะยิ่งรู้สึกว่ารสชาติอาหารคงจะแย่แบบสุดกู่

“อร่อยดีจริงๆ กินได้”ซากิพูดย้ำ

“ออกไปกินข้างนอกไหมครับ”

“ออกไปทำไม กินนี่นะแหละ”ซากิหยิบถ้วยข้าวสวยและตะเกียบขึ้นทานต่อ “นายทำกินเองอยู่ทุกวัน คิดว่ามันไม่อร่อยหรือ”

“ผมก็รู้สึกว่าปกติ”ฮารุโตะตอบ หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารทานบ้าง เขาทำกินเองทุกวันจึงคุ้นชินกับรสมือตัวเอง

“อย่างนั้น นายจะเชื่อที่ฉันพูดไหมละ มันก็ไม่ได้อร่อยเลิศเลอ แต่รู้สึกว่ามันเป็นรสชาติของบ้านเหมือนฝีมือแม่”
ฮารุโตะรู้สึกว่านี่คือคำชม

“แล้วรุ่นพี่ทำหน้าเหมือนไม่อร่อย ประมาณว่าจำใจกินทำไมละครับ”

“อยากแกล้งเล่น”ซากิหัวเราะ เขาต้องพยายามทำหน้านิ่งๆอยู่ตั้งนาน

“โธ่ รุ่นพี่ก็... ผมใจหายหมด”

“ทำไมต้องใจหาย ไม่เคยทำอาหารให้ใครกินเลยหรือ”

“เคยแต่เป็นลูกมือครับ ตอนอยู่ในบ้านอุปถัมภ์ต้องแบ่งเวรกันทำงาน ผมนะเป็นพวกซุ่มซ่ามแต่ได้ไปอยู่เวรในครัวประจำ แล้วก็เคยไปทำงานพิเศษอยู่ในร้านอาหารจีนอยู่พักหนึ่งครับ”ฮารุโตะกินข้าวไปเล่าไปอย่างปกติ แต่เรื่องที่เล่ากลับสะดุดใจของซากิ

“นาย…”เขาไม่รู้จะถามอย่างไรเพื่อไม่ให้กระทบใจอีกฝ่าย “เป็นเด็กกำพร้า”

“ครับ” ฮารุโตะนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา และกล่าวต่อไปอีกว่า “แต่ผมก็รู้สึกว่าไม่ใช่ซะทีเดียว ทีแรกผมก็อยู่กับพ่อครับ แต่จู่ๆพ่อก็หายตัวออกจากบ้านไป ก็เลยมีคนมารับให้ไปอยู่บ้านอุปถัมภ์” ฮารุโตะเล่าให้ฟังอย่างเฉยเมยราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ทั้งยังรวบรัดตัดตอนโดยไม่คิดจะลงรายละเอียด แต่ในนาทีนั้น ซากิรู้สึกแย่กับเรื่องราวดังกล่าวเกินกว่าจะรู้สึกถึงความผิดปกตินี้ได้ อีกทั้งเขายังคิดไปถึงความเป็นไปได้กรณีที่พ่อของฮารุโตะออกจากบ้านไปโดยไม่กลับมาอีก มันเป็นไปได้ว่า…

“บางทีพ่ออาจจะได้งานใหม่ แล้วที่ทำงานใหม่คงไม่ให้พาผมไปด้วย”

มันไม่ใช่หรอก ซากิคิดในใจ

“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ”ฮารุโตะยิ้มพยายามพูดปลอบเมื่อเห็นสีหน้าของหนุ่มรุ่นพี่ไม่ดีนัก เขาไม่เคยเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟัง เพราะไม่มีใครถามด้วยสาเหตุหนึ่ง หรือถ้ามีใครถามจริงๆ เขาก็ไม่อยากเล่าให้ฟัง

“เรื่องมันผ่านไปนานมากแล้ว อีกอย่างแม้จะเฝ้าคิดถึงมันไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา อยู่บ้านอุปถัมภ์ก็ไม่ใช่เรื่องแย่นะครับ ผมรู้สึกว่าบางครั้งก็ดีกว่าการอยู่คนเดียวแบบนี้อีก”

เหมือนว่ารสชาติอาหารมื้อนั่นจะกร่อยลง แต่ฮารุโตะก็ยังจะกินข้าวจนเกลี้ยงซ้ำยังคะยั้นคะยอหนุ่มรุ่นพี่ให้ทานจนหมดอีกด้วย

“ผมไม่เป็นไรจริงๆ”ฮารุโตะพูดย้ำพร้อมรอยยิ้ม บอกรุ่นพี่ที่อุตส่าห์กอดปลอบใจเขา แต่เพราะกว่าพวกเขาจะตื่นก็เป็นเวลาบ่ายกว่าแล้ว เวลาในการนั่งเล่นนอนเล่นจึงเหลือแค่นิดเดียว

ฮารุโตะชวนหนุ่มรุ่นพี่ออกไปซื้อกับข้าวมื้อเย็น เขาพยายามยิ้มเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นว่า เขาแข็งแรงดีทุกอย่าง เขาเรียนรู้จากทุกวันที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทุกสิ่งล้วนผ่านมาเพื่อผ่านไป ฮารุโตะพยายามไม่ยึดจับสิ่งใดไว้กับตัว เขาก็เหมือนคนอื่นที่มีความฝัน ความหวัง ความอยากได้อยากมี แต่ในเมื่อสิ่งใดพลาดไปแล้ว ฮารุโตะก็พยายามจะปล่อยมันไป ไม่ไปคิดถึงมันอีก แม้ว่าในความเป็นจริง เขาจะทำเช่นที่คิดที่บอกตัวเองไว้ได้ไม่ดีนัก

ซากิมองหนุ่มรุ่นน้องที่พยายามแย้มยิ้มให้เขาด้วยหัวใจที่หน่วงหนัก

แม่ของซากิประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปตอนที่เขาอยู่มัธยมต้นปีที่หนึ่ง หลังจากนั้นครอบครัวของเขาก็เหมือนแตกกระเซ็น พ่อไม่ค่อยกลับบ้าน พี่ชายก็หมกตัวอยู่แต่ในห้อง เวลานั้นตัวเขารู้สึกเคว้งคว้างเหมือนถูกทอดทิ้ง จนพ่อได้ย้ายมาประจำอยู่ที่เมืองนี้ ได้เจอพวกเรย์ ได้เจอป้า พี่สาวแท้ๆของแม่ มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีที่ยืนเหมือนเดิม และเขาเพิ่งมารู้ทีหลัง พ่อจงใจย้ายกลับมาอยู่ที่นี่เพื่อให้ป้าคอยดูแลเขา แต่บางอย่างมันก็สายเกินไปแล้ว หรือไม่พ่อก็ยังทำใจไม่ได้กับการจากไปของแม่ พอได้ฟังเรื่องของฮารุโตะ เขารู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองเจอมันเล็กน้อยมากจริงๆ

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ ผมไม่เป็นไรจริงๆนะ”ฮารุโตะพูดกับเขาซ้ำ เขาผ่อนลมหายใจ ดึงหนุ่มรุ่นน้องเข้ามากอด อากาศหนาวเย็นจนต้องเบียดกายเข้าหากัน ภายในห้องมืดมิดไร้แสงไฟและปราศจากแสงสว่างยามค่ำคืน ซากินึกสงสัยว่าหนุ่มรุ่นน้องเห็นสีหน้าของเขาได้อย่างไร

“ทำหน้าแบบไหน”เขากระซิบถามเสียงเบาไม่ต่างกัน

“เหมือนกำลังจะร้องไห้”

ซากิแสร้งหัวเราะ “มืดขนาดนี้มองเห็นด้วย” ถึงจะพูดไปเช่นนั้น แต่เขาก็รู้สึกเหมือนเห็นฮารุโตะยกยิ้มลางๆ ซากิซุกหน้าลงกับลาดไหล่บางของหนุ่มรุ่นน้อง

“ไม่ได้ร้องไห้หรอกน่า”

เขาบอก ซึมซับความอบอุ่นอ่อนโยนผ่านฝ่ามือที่ลูบแผ่นหลังของเขาด้วยจังหวะเชื่องช้า




เช้าวันจันทร์มาเยือนอีกครั้ง

ชิมิซึ ซากิซึ่งใช้เวลาทั้งเสาร์และอาทิตย์อยู่กับหนุ่มรุ่นน้องจึงออกเดินทางไปมหาวิทยาลัยพร้อมกันหลังทานข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อย ซากิเดินไปส่งฮารุโตะจนถึงหน้าตึกเรียนก่อนจะแยกไปอีกทาง ปกติเขามีเรียนช่วงสายๆ ดังนั้นส่วนใหญ่เขาจะอาศัยอยู่ในห้องชมรมเพื่อรอเวลาเข้าคาบเรียน

“มาสายเชียวนะ”

ซากิยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เข็มบนหน้าปัดบอกเวลาอีกประมาณสิบนาทีเป็นเวลาเก้าโมง

“ยังเช้าอยู่เลย”เขาตอบกลับไปสั้นๆ

“หมายถึงมาถึงสาย ไปไหนมา”เรียวตะถามด้วยความอยากรู้ ยิ้มกรุ่มกริ่มคล้ายจะรู้คำตอบอยู่แล้ว

“ไม่ใช่ว่ารู้อยู่แล้ว”เขาถามกลับ

“ก็อยากได้ยินจากปาก”

นาคามูระ เรย์และโมริ เอคิจิก็ขยับเข้ามาใกล้ แสดงออกถึงความอยากรู้อย่างชัดเจน ซากิมองหน้าเพื่อนทั้งสามคน เห็นตั้งตารอก็ยังคงนิ่งเงียบ แล้วเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นเสียอย่างนั้น

“นาโอโตะละ”

“โธ่ ยิ่งอยากรู้ก็ยิ่งเล่นตัว”เรย์บ่น

“น้องมันก็ไม่ได้คิดอะไรกับนาโอโตะเสียหน่อย จะยังต้องมาเดือดร้อนอีกทำไม”

“มันก็ต้องเช็คว่า ไม่มีโอกาสจริงๆนะซิ”

“ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่มีโอกาสร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะคนที่มิอุระชอบไม่ใช่นาโอโตะ”

“แล้วใครละ แก?”เรียวตะถาม

“ฉันไม่ใช่พวกหลงตัวเอง”

“ตอบแบบนี้คือใช่หรือไม่ใช่ว่ะ”

“ก็ไม่ใช่”

“งั้นที่ตามเทียวไล้เทียวขื่อ คืออยากให้เขาชอบแก”

“ก็ฉันหล่อกว่าเห็นๆ แต่เด็กนั่นกลับไปชอบคนอื่นซะงั้น”

“ถุด ไอ้ไม่หลงตัวเอง”

ซากิหัวเราะที่โดนด่า

“อยากรู้เรื่องนี้ไปทำไมกันนัก เห็นถามตลอด” เขาเริ่มเบื่อวงเม้ามอยของกลุ่มเพื่อน จึงได้หยิบหนังสือขึ้นมาทำท่าจะเปิดอ่าน

“ก็ไม่เห็นหรือไง น้องมันลูกรักของนาโอโตะเลย ไปทำเด็กมันเสียใจเดี๋ยวเรื่องใหญ่”

“อยากจะเคลมเองก็พูดมาเถอะ”เอคิจิพูดขึ้นมาบ้าง

“ปากเหรอนั่น จะพาเพื่อนพ้องตีกัน ก็เห็นว่าน้องมันน่ารักดี เงียบๆซื่อๆ ดูเลี้ยงง่าย”

“งืม ยิ่งตอนตาแดงๆน้ำตาคลอเนี่ย หมั่นเขี้ยวน่าแกล้งเป็นที่สุด”เอคิจิกล่าวเสริมเป็นลูกคู่สนับสนุน เรียกความสนใจนาคามูระ เรย์ชายผู้ซึ่งอยู่ในครรลองรักเดียวใจเดียวตั้งแต่วัยเยาว์ให้ไปสุมหัว

“แล้วเป็นไงบ้างว่ะ”เรียวตะหันมาถาม เรียกสายตาอีกสองคู่ให้จ้องเขม็ง

“อะไรเป็นไง”ซากิเฉไฉ

“ลีลาไง เด็ดป่ะ”คนถามออกท่าทางไปด้วย

“เฮ้ย!!! เอาเรื่องแบบนี้มาพูด มันไม่ค่อยดีหรือเปล่าว่ะ”คนถูกถามท้วงขึ้นมา

“แหม ทีน้องๆคนที่ผ่านๆมาเนี่ยบรรยายซะละเอียดเชียว คนนี้ทำเป็นหวง”

“ละเอียดบ้าไรว่ะ แค่บอกว่าดีหรือไม่ดี”ชายหนุ่มชักรู้สึกกระดากปาก

“เอ้า แล้วคราวนี้ตอบว่าดีหรือไม่ดีไม่ได้หรือไง”

เขาเริ่มเงียบ รู้สึกเหมือนโดนหลอกล่อให้หลุดปากอย่างไรไม่รู้

“แม่ง อย่างนี้แสดงว่าเด็ด”เรียวตะยังปากเปราะพูดต่อ “ท่าจะร่อนสะโพก…”

โครม!!!

ซากิถีบโต๊ะเตี้ยของชุดโซฟาไปเบียดยังโซฟาอีกฝั่ง ดีว่าสามคนนั้นเป็นพวกที่มีปฏิกิริยาตอบสนองดี ถึงได้ยกขาหลบอย่างว่องไว

“อีกฝ่ายเป็นรุ่นน้องในชมรมนะ จะพูดอะไรก็เกรงใจบ้าง ถ้าใครได้ยินแล้วเอาไปบอกน้องมัน เดี๋ยวจะเสียทั้งกลุ่ม”
แทนที่จะสลด เรียวตะกลับหัวเราะเอิ้กอ้าก

“จริงจังก็บอกมาเถอะ” พาให้อีกสองคนหัวเราะขำขันไปด้วย ขณะที่ซากิยังหงุดหงิด

“เออ พอดีว่าช่วงนี้มีเรื่องหนึ่ง”เอคิจิเอ่ยแทรกเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น น้ำเสียงพูดค่อนข้างจริงจัง

“อาโกโร่กับอาโรคุโร่กำลังตามคดียาเสพติดในมหา’ลัยอยู่ เห็นว่าตัวการใหญ่นะชอบมาป้วนเปี้ยนอยู่ในมหา'ลัย เขายังถามว่าเห็นใครหน้าตาไม่คุ้นบ้าง”

“ไม่คุ้นอย่างไร นักศึกษาในมหา'ลัยมีเยอะแยะ ถ้าไอ้หมอนั่นใส่สูทผูกไทค์หน้าตาเป็นยากุซ่ามาเลยก็ว่าไปอย่าง”เรียวตะแย้ง หัวข้อที่คุยกันอยู่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซากิฟังบ้างไม่ฟังบ้าง จนถึงเวลาที่เขาต้องไปเข้าเรียน พอเขาลุกขึ้น ทั้งเอคิจิ และเรียวตะต่างก็ลุกขึ้นตาม

“มีเรียนตอนกี่โมง”เขาถามเรย์

“ไม่มีอ่ะ นาโอโตะมาทำงานเลยตามมาด้วย”คนตอบ ตอบด้วยท่าทางทางเกียจคร้าน เขาพยักหน้ารับรู้

ชายหนุ่มทั้งสามมีเรียนวิชาเดียวกันตอนสิบโมง คาบเรียนวิชาบรรยายตอนปีสามไม่ยาวนานเท่าชั้นปีต้นๆ ส่วนใหญ่อาจารย์จะอธิบายแค่เนื้อหาหลักและให้นักศึกษาจับกลุ่มอภิปราย วันนี้ก็เช่นกัน หลังจากให้หัวข้อในการทำรายงานเพื่อนำเสนอในอาทิตย์หน้า อาจารย์ประจำวิชาก็สั่งเลิกคลาส

เขาหยิบโทรศัพท์มากดโทรออก

“อยู่ไหน” เขาถามด้วยคำถามสั้นๆเช่นเดิมจนเป็นนิสัย หลังจากที่ปลายสายกล่าวทักทาย

“เดี๋ยวไปหา รอก่อน”

เขาพอเดาได้ว่า อีกฝ่ายคงกำลังทำหน้างง

ตอนที่ไปถึง ฮารุโตะยังคงนั่งรออยู่ในห้องเรียน ไม่มีนักศึกษาคนอื่นเหลืออยู่นอกจากหญิงสาวห้าคนซึ่งเป็นกลุ่มเพื่อนของฮารุโตะ

ตอนที่หนุ่มรุ่นน้องเห็นหน้าเขา ฝ่ายนั้นมีทีท่าแปลกใจอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันหญิงสาวที่ชื่อโยชิดะ ริเอะโกะกลับเดินมาหาเขาอย่างกระตือรือร้น

“แหม เป็นรุ่นพี่นี่เอง ถามมิอุระซังก็เอาแต่บอกว่าไม่รู้จัก ไม่เห็นต้องปิดพวกเราเลยว่ารุ่นพี่จะมา”ประโยคหลังเธอหันไปพูดกับเด็กหนุ่มเพื่อนร่วมรุ่น

ฮารุโตะก้มหน้าลงและกล่าวขอโทษเสียงเบา

“ช่างมันเถอะ ไปกินข้าวกันดีกว่า”เขากล่าวตัดบท เดินเข้าไปหาหนุ่มรุ่นน้องที่ยังนั่งก้มหน้าอยู่เช่นนั้น แตะข้อศอกดึงให้เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน ฮารุโตะเงยหน้ามองเขาก่อนจะหันไปมองทางกลุ่มเพื่อน ซากิจึงหันไปมองตาม เขาเห็นว่าทั้งริเอะโกะและฟุมิโอะต่างส่งยิ้มมาให้ จึงหันกลับมามองฮารุโตะอีกครั้ง จังหวะนั้นหนุ่มรุ่นน้องกลับไปก้มหน้าก้มตาลงมองพื้นเช่นเดิม จึงรุนหลังให้อีกฝ่ายออกเดิน

“เอาโทรศัพท์มาหน่อย”

ฮารุโตะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งให้อย่างว่าง่าย ซากิรับมากดเปิด เลื่อนหน้าจอเข้าสมุดรายชื่อ ดูเบอร์โทรเข้าล่าสุดที่ถูกบันทึกชื่อว่า ‘คนไม่รู้จัก’ ชายหนุ่มหัวเราะ

“จำเสียงไม่ได้จริงๆหรือ” โอบบ่าดึงร่างเล็กกว่าเข้ามาใกล้ ฮารุโตะสั่นศีรษะ

“ผมไม่คิดว่าเป็นรุ่นพี่”

“งั้นเมมชื่อใหม่นะ”ไม่รอให้เจ้าของเครื่องอนุญาต เขากดแก้ไขแล้วพิมพ์ชื่อตัวเองลงไปทันที ระหว่างนั้นก็ใช้วงแขนคล้องคอรั้งหนุ่มรุ่นน้องเข้ามาชิด จนฮารุโตะหวิดจะสะดุดล้ม เด็กหนุ่มหน้ามุ่ยเมื่อรู้สึกว่าเขาจงใจแกล้ง

ซากิมีข้าวกล่องฝีมือของหนุ่มรุ่นน้องเป็นมื้อกลางวัน เรียกคำแซวจากกลุ่มเพื่อนได้ไม่น้อย เขายิ้มรับยักคิ้วให้อย่างไม่สะทกสะท้าน จะมีเรื่องน่าเบื่ออยู่บ้าง ตรงที่เพื่อนของฮารุโตะพยายามชวนเขาคุยอยู่ตลอด ซ้ำยังพูดมากจนน่ารำคาญ ชายหนุ่มจึงได้แต่ทำเมินไปบ้าง ตอบรับไปบ้างพอเป็นมารยาท และมื้อกลางวันนั้นก็สิ้นสุดลง ซากิมาส่งฮารุโตะที่หน้าตึกเรียนเช่นเดิม นัดหมายเวลาเจอกันช่วงเย็น ก่อนจะปล่อยให้กลุ่มของฮารุโตะเดินขึ้นตึก


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-03-2017 20:48:40 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'

คล้อยหลังจากกลุ่มของหนุ่มรุ่นพี่ ฮารุโตะโดนลากซุนๆ จากแรงของซาซากิ ฟุมิโอะ และมีอิเคดะ นายะที่เดินนำอยู่ด้านหน้าเปิดประตูห้องเรียนห้องหนึ่งแล้วเดินนำเข้าไป เขาถูกดึงเข้าไปในห้องนั้น จากนั้นก็ถูกผลักจนหลังไปกระแทกกับกำแพง

“ตกลงว่าเป็นอะไรกับรุ่นพี่ชิมิซึกันแน่”

ฮารุโตะสั่นศีรษะปฏิเสธ มองฟุมิโอะและริเอะโกะที่ยืนขนาบข้างเขาอยู่คนละฝั่งด้วยหน้าตาถมึงทึง เมื่อทั้งคู่มายืนอยู่ตรงหน้าเขาเช่นนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเธอต่างสูงกว่าเขาที่เป็นผู้ชายเสียอีก

“ไอ้ที่ส่ายหน้าดิกๆนี่หมายว่าอย่างไร ไม่บอกหรือไม่มีอะไร”

“ผม…กับรุ่นพี่ไม่ได้เป็นอะไรกัน รุ่นพี่เป็นรุ่นพี่ที่ชมรมเท่านั้น”

“แล้วที่รุ่นพี่มาหาตามมารับมาส่งนี่คืออะไร”

“ผ…ผมไม่รู้”

“ถามตรงๆประเด็นหลักเลยดีกว่าไหม”ทาคาอาชิ ฮิราอิพูด เด็กหนุ่มรู้สึกว่าบรรยากาศรอบๆตัวหนักอึ้งจนอึดอัด ราวกับออกซิเจนถายในห้องนี้เหลือน้อยลงทุกที

“เคยมีอะไรกับรุ่นพี่หรือยัง”

ฮารุโตะเงียบ เขาไม่กล้าตอบ

“พูด!!!”ริเอะโกะตะคอกใส่ จนเด็กหนุ่มละลักละล่ำตอบไปอย่างรวดเร็ว

“ค…เคย”

“แม่งเอ้ย เห็นทำตัวหงิมๆก็ร่านไม่เบานะ”

ฮารุโตะไม่ได้เงยหน้ามองว่าใครพูด เขาทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว มือทั้งสองข้างสั่นระริกพยายามเกาะกุมกันไว้แน่น

“หน้าตาแบบนี้หรือ ที่รุ่นพี่นอนด้วย ถ้าอย่างนั้น หน้าตาแบบฉันรุ่นพี่คงต้องหลงหัวปักหัวปำเลยสิ”

“อย่ามามโนย่ะหล่อน รุ่นพี่ชิมิซึนะของฉัน”

“อย่าเพิ่งมาเถียงกันสิ ตกลงจะเอาอย่างไรกับไอ้นี่ละ”

“อ่อ”เสียงนั้นขยับเข้ามาใกล้ กระชากศีรษะให้เขาเงยหน้าขึ้น ฮารุโตะถึงได้เห็นริเอะโกะยืนยิ้มแยกเขี้ยวอยู่ตรงหน้า

“ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะ ที่รุ่นพี่เขาจะเอาแกแก้อดอยากชั่วครั้งชั่วคราว แต่ไม่ค่อยชอบใจว่ะ ที่ปากบอกว่าไม่มีอะไร แต่ระริ้กระรี้เสนอตัว มันน่าหมั่นไส้ ถ้าไม่คิดอะไรจริงก็อย่าเข้าใกล้รุ่นพี่อีก ครั้งนี้ฉันแค่เตือน แต่ถ้ามีครั้งหน้าอีก…”เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น ก่อนจะปล่อยฮารุโตะ

ริเอะโกะและกลุ่มเพื่อนไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการพูดข่มขู่และทิ้งเขาไว้ที่ตรงนั้น เด็กหนุ่มเข่าอ่อนไถลตัวลงนั่งกับพื้น คู้ตัวลงราวกับพยายามซ่อนร่างกายจากทุกสิ่ง

ฮารุโตะเป็นเด็กผู้ชาย แต่ก็เป็นเด็กผู้ชายที่อ่อนแอ เทียบไม่ได้แม้กระทั่งเด็กผู้หญิง เขาเป็นเช่นนั้นมาตลอด และไม่เคยมีแม้สักเสี้ยวความคิดที่จะเข้มแข็งขึ้น

เด็กหนุ่มนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นโดยปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป ในสมองว่างเปล่า ในยามนี้ เขาไม่นึกถึงเหตุผลในการกระทำของคนรอบตัว ไม่คิดถึงวิธีรับมือกับเหตุการณ์ในอนาคตข้างหน้า ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีสิ่งใด นั่งนิ่งเช่นนั้นอยู่นานจนความกลัวและความรู้สึกตื่นตกใจที่เคยสัมผัสก่อนหน้าเริ่มตกตะกอน

ความเงียบเดียวดายรอบตัวทำให้ความตะหนกหวั่นกลัวค่อยๆจากหายไป บางครั้งบางครามันทำให้เขาเปลี่ยวเหงา แต่ฮารุโตะกลับคุ้นชินราวกับเพื่อนคุ้นเคย

ก่อนจะเผยยิ้มออกมา

เขาชื่นชอบช่วงเวลาอันเงียบสงบที่ไม่ต้องพยายามขวนขวายดิ้นรนเพื่อสิ่งใด ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงกิจกรรมการใช้ชีวิตของเหล่าผู้คนดังแว่วมาให้ได้ยิน ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการสดับฟังเสียงเหล่านั้น เสียงโทรศัพท์พลันแผดร้องสับความสุนทรีย์ทุกสิ่งจนขาดสะบั้น

เขาลนลานหยิบมันขึ้นมาดู ยิ่งเห็นรายชื่อบนหน้าจอ เขายิ่งไม่อยากกดรับ ไม่ทันที่จะคิดไตร่ตรองเขาก็กดตัดสายและปิดเครื่องไปเสีย




ซากิขมวดคิ้ว เมื่ออีกฝ่ายกดตัดสายเขาไปเสียเฉยๆ พอกดโทรออกอีกครั้ง กลับไม่มีสัญญาณตอบรับจากปลายสายเสียแล้ว 

เมื่อตอนเที่ยง เขาบอกฮารุโตะไว้ว่าจะมารับหลังหมดคาบเรียนตอนบ่าย แม้หนุ่มรุ่นน้องจะไม่ได้รับปากอย่างชัดเจน แต่เขาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหายไปดื้อๆ ชายหนุ่มมองกลุ่มนักศึกษาที่ทะยอยออกมาจากตึกเรื่อยๆ ยืนรออยู่ครู่หนึ่งก็เห็นกลุ่มของริเอะโกะและฟุมิโอะเดินออกมา เขาจึงตรงเข้าไปหา

“รุ่นพี่ชิมิซึ”ฟุมิโอะร้องทักเขาทันทีที่หันมาเห็น

“มีอะไรหรือค่ะ”ริเอะโกะก็เอ่ยถามเขาต่อทันที

“เห็นมิอุระไหม”

พวกเธอหันไปมองหน้ากันเองคล้ายจะปรึกษา จากนั้นฟุมิโอะจึงหันมาตอบคำถามของเขา “เห็นเร่งรีบออกจากห้องเรียนตั้งแต่หมดคาบ ไม่ได้ไปหารุ่นพี่หรือค่ะ” พอเธอพูดจบริเอะโกะก็กล่าวเสริมขึ้นมา

“ฉันถาม เห็นบอกว่ามีนัด ยังคิดว่าน่าจะนัดกับรุ่นพี่ไว้เสียอีก”

ซากิมองหน้าหญิงสาวที่มองเขาอย่างแปลกใจ เขายกยิ้มให้น้อยๆก่อนกล่าวลาและขอตัวเดินจากมา เขาเดินกลับไปที่ห้องชมรมก่อนเป็นอันดับแรก บางทีนาโอโตะอาจจะเป็นคนนัดหนุ่มรุ่นน้องไปหา พอมาคิดๆดูเขาก็รู้สึกฉุนไม่น้อย ถ้าให้เลือกระหว่างเขากับนาโอโตะ หนุ่มรุ่นน้องคงจะเลือกนาโอโตะโดยไม่ลังเล

มาถึงห้องชมรม เขาเห็นเรียวตะและเอคิจินั่งคุยกับกลุ่มเพื่อนในชมรมอยู่บนโซฟา

“นาโอโตะละ”

“ไม่รู้อ่ะ มาถึงก็ไม่มีใครอยู่แล้ว คงกลับไปแล้วมั้ง”

“อ่อ”เขาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก ไปไหนกันนะ เขาคิดระหว่างรอสาย

“ว่าไง”ปลายเสียงเป็นเสียงของเรย์ ซากิไม่แปลกใจเลยที่เพื่อนหนุ่มจะอยู่นาโอโตะ แต่สองคนนั้นพาฮารุโตะไปไหนทำไมถึงไม่บอกเขาก่อนนะ อย่างน้อยที่สุดเรย์นั้นแหละที่ควรจะโทรมาบอกเขา

“อยู่ไหน”

“อยู่บ้าน”

“วันนี้มีอะไรกันละ”

“ไม่...ไม่มีอะไรนี่”

ซากิขมวดคิ้ว “ขอคุยกับมิอุระหน่อย”

“ไม่โทรเข้าเครื่องละ โทรหานาโอโตะทำไม หรือว่าแกคิดจะตีท้ายครัวฉัน”

“ไอ้บ้า ฉันไม่แย่งนาโอโตของแกหรอกนะ เรียกมิอุระมาคุยหน่อยเร็วๆ”

“เรียกที่ไหน ไม่โทรเข้าเครื่องไปละ”

“ถ้าโทรได้ ฉันจะโทรหานาโอโตะทำไม ไม่ได้อยากโทรนักหรอก”ชายหนุ่มพูดอย่างนึกรำคาญ “เรียกมิอุระมาคุยได้แล้วเร็วๆ”

“จะเรียกอย่างไร ไม่ได้อยู่ด้วยกัน”

“ไม่ได้อยู่ด้วยกัน?”

“วันนี้ทั้งวันยังไม่เจอเลย”

“อย่างนั้นให้นาโอโตะมาคุยหน่อย”แล้วเสียงของนาโอโตะก็ดังทักมาตามสาย ซากิถามเรื่องที่ตนอยากรู้ทันที

“วันนี้ได้โทรหาหรือเจอกับมิอุระหรือเปล่า”

“เปล่าอ่ะ แต่ว่าจะโทรหาอยู่เหมือนกันนะ เนี่ย...”ชายหนุ่มไม่ได้รอให้ปลายสายพูดจบเขาก็กดตัดสายไปเสียก่อน กำโทรศัพท์ในมือแน่น ก่อนจะกดโทรออกอีกครั้ง และมันยังคงไม่มีสัญญาณตอบรับจากปลายสาย

เขาเพิ่งรู้จักกับฮารุโตะ ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องของอีกฝ่ายน้อยมาก พอๆกับรู้แค่ว่าหนุ่มรุ่นน้องใช้ชีวิตในแต่ละวันอยู่ในมหาวิทยาลัย ที่ทำงานพิเศษและห้องพัก เขาลองเดินหาในมหาวิทยาลัยก่อนเป็นอันดับแรกแต่จำกัดแค่ตึกเรียนของคณะวิทยาศาสตร์และอาคารหอสมุด เพราะเคยได้ยินว่าหนุ่มรุ่นน้องจะไปที่นั่นบ่อยครั้ง เดินหาจนทั่วก็ยังไม่เจอเด็กหนุ่ม ซากิจึงไปดูที่ร้านสะดวกซื้อที่ทำงานของฮารุโตะ

ที่นั่น เขาพบเด็กหนุ่มรุ่นน้องในชุดพนักงานของร้านกำลังยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์และทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขะมักเขม้น ถึงจะชอบก้มหน้าก้มตาและไม่ค่อยยิ้ม แต่เพราะการแปลงโฉมด้วยฝีมือของนาโอโตะ เด็กหนุ่มรุ่นน้องจึงดูน่ารักขึ้นมากในสายตาเขา

ซากิเดินไปหยิบชากระป๋องมาวางที่เคาน์เตอร์ นึกขำที่อีกฝ่ายต้องทำท่าแปลกใจหรือไม่ก็ต้องตกใจเกือบทุกครั้งที่เจอเขา

“บอกว่าจะไปรับทำไมถึงไม่รอ”เขาพูดขณะล้วงกระเป๋าเงิน หนุ่มรุ่นน้องถึงกับเงอะงะทำอะไรไม่ถูกไปชั่วครู่

“สามร้อยห้าสิบเยนครับ”

เขาวางเงินลงในถาดสำหรับรับค่าสินค้า มองฮารุโตะที่รับเหรียญห้าร้อยเยน ไปคีย์ยอดเงินเข้าระบบและส่งเงินทอนกลับมาให้

“ขอบคุณมากครับ”

เขาส่งเสียงหึในลำคอ

“ยังไม่ได้ตอบเลยนะ”ชายหนุ่มหันมองคนในร้าน เห็นว่าลูกค้าไม่เยอะจึงชวนคุยต่อ ฮารุโตะนิ่งเงียบ ก้มหน้าลงไม่ยอมมองเขา เหมือนฮารุโตะจะรู้ว่าเขามองมือที่อยู่ไม่สุขของเจ้าตัว ถึงได้ดึงมันลงไปซ่อนอยู่หลังเคาน์เตอร์

“ผ...”

“อ้าว มิอุระซัง นายทำงานอยู่ที่นี่เหรอ”

เขาหันไปมองเจ้าของเสียงนั้น ขณะที่ปลายหางตาก็เหลือบมองเด็กหนุ่มรุ่นน้อง แล้วยกยิ้มให้หญิงสาวที่เดินเข้ามาหา

“รุ่นพี่”เธอร้องทัก ยกยิ้มอย่างมีจริต“รุ่นพี่อยู่แถวนี้หรือค่ะ”

“ก็ไม่เชิง”เขาตอบสั้นๆ “ขอตัวก่อนนะ พอดีได้ของแล้วนะ”ซากิยกถุงพลาสติกที่มีตราของร้านในมือให้รุ่นน้องผู้หญิงดู ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากร้านไปเฉยๆ เมื่อก้าวพ้นประตูร้านออกมาแล้ว เขาก็หันกลับไปมองอีกครั้ง ฟุมิโอะยังคงมองมาที่เขาและยกยิ้มให้

ซากิยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก บอกปลายสายว่ากำลังเข้าไปหา และใช้เวลาเดินเท้าไม่นานก็มาถึงจุดหมาย

“มีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า ขี้เกียจกลับบ้าน”

“จะนอนค้างที่นี่เหรอ”

“ไม่ละ แค่มาขอนั่งเล่นฆ่าเวลา”เขาบอกขณะเดินตามเจ้าของบ้านขึ้นชั้นบน

“เรียวตะ ได้คุยกับอิเคดะหรือเปล่า”เขาถาม พลางดึงเก้าอี้โต๊ะอ่านหนังสือออกมานั่ง ส่วนเจ้าของห้องก็เดินไปนั่งที่เตียง

“อือ ก็คุยบ้าง ที่จริงน้องก็น่ารักดีนะ คุยสนุก แล้วก็ไม่วุ่นวายมากด้วย”

“อ่อ”

“มีอะไรหรือเปล่าที่ถามถึง ฮั่นแน่ จะนอกใจฮารุจังหรือว่ะ”คนถามทำหน้าทะเล้น แต่คราวนี้ชายหนุ่มไม่ตกหลุมพรางที่เพื่อนสนิทพยายามดักเขาไว้ เขาถามแต่เรื่องที่ตัวเองสงสัย

“ไม่ได้มีพูดอะไรเกี่ยวกับมิอุระเลยหรือ”

“อืม…ไม่มีนะ มีอะไรหรือ”

“เด็กนั่นดูแปลกๆ”ซากิก้มหน้าลงครุ่นคิด

“แปลก? แปลกอย่างไร”

“ไม่ค่อยพูดแล้วก็ไม่ค่อยอยากให้เข้าใกล้ ทั้งที่ช่วงเสาร์อาทิตย์ก็กลับมาปกติแล้วแท้ๆ”

“ฮั่นแน่ อยู่ด้วยกันทั้งสุดสัปดาห์เลย”เรียวตะเอ่ยแซว ก่อนจะรีบวกกลับเข้าประเด็นเมื่อสายตาของคู่สนทนาบอกว่าไม่เล่นด้วย “บอกให้นาโอโตะไปคุยดูไหม ไม่แน่ว่าฮารุจังอาจจะบอกอะไรก็ได้”

“หึ ไม่จำเป็น เด็กของฉัน ฉันจัดการเองได้”

“วุ้ยๆ เด็กของฉันเต็มปากเต็มคำเชียวนะ”

ซากิรู้สึกขัดหูขัดตากับท่าทางชอบอกชอบใจของเพื่อนสนิท จนอยากจะสะกิดอีกฝ่ายแรงๆสักทีสองที เขาพ่นลมหายใจออกมาคล้ายจะระบายความหงุดหงิด

“เอ้า อยากให้ทำอะไรก็ว่ามา”

“ก็ไปถามเด็กแกมาว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนทางด้านมิอุระฉันจัดการเองได้”

ซากิตอบน้ำเสียงติดจะรำคาญอยู่ไม่น้อย แต่เพราะเรียวตะรู้จักและสนิทกับเจ้าของคำพูดมานานจึงไม่เก็บมาถือสา

เอกเขนกรอเวลาอยู่ที่บ้านของเรียวตะจนเที่ยงคืน ชิมิซึ ซากิก็บอกลาเจ้าของบ้านแล้วไปยืนรอฮารุโตะอยู่ที่หน้าห้องพักของฝ่ายนั้น ราวๆเที่ยงคืนครึ่งเจ้าของห้องจึงจะมาปรากฎตัว เสียงรองเท้ากระทบพื้นดังเป็นจังหวะฝ่าความเงียบยามค่ำคืน ฮารุโตะยังคงเดินก้มหน้าก้มตาเหมือนเช่นทุกวัน และเพิ่งจะสังเกตเห็นเขาก็ตอนที่ล้วงกุญแจห้องขึ้นมาไข

“อ่ะ รุ่นพี่”

“เร็วๆเข้าสิ หนาวจะตายแล้วนะ” พอพูดไปเช่นนั้น หนุ่มรุ่นน้องจึงร้อนรนรีบเปิดประตูห้อง เปิดไฟและตรงดิ่งไปเปิดสวิตช์เครื่องทำความร้อนก่อนเป็นอันดับแรก ห้องเล็กๆของฮารุโตะเย็นเฉียบ แต่หนุ่มรุ่นน้องผู้เป็นเจ้าของกลับดูกระฉับกระเฉงเหมือนไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นนี้ ฮารุโตะเปิดตู้ดึงฟูกนอนและผ้าห่มผืนหนาออกมากาง

“รุ่นพี่มานั่งนี่ก่อนนะครับจะได้อุ่น รออีกครู่หนึ่งคงจะอุ่นขึ้นยิ่งกว่านี้”

เขาเดินเข้าไปหา และดึงเด็กหนุ่มร่างเล็กให้นั่งลงข้างกัน จากนั้นจึงเกี่ยวเอวบางเข้ามาไว้ในวงแขน เด็กหนุ่มขืนตัวไว้ในคราแรก แต่เพราะเขาพยายามรั้งเข้าหา ฮารุโตะจึงต้องยอมโอนอ่อน

เมื่อดึงเด็กหนุ่มร่างเล็กขึ้นมานั่งบนตักและสอดแขนโอบรัดไว้ทั้งตัว เขาก็วางคางลงบนบ่าเล็กบาง เขารู้ว่ามีเรื่องให้ถามมากมาย แต่ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นอย่างไร ซากิจึงยังคงนิ่งเงียบ จนฮารุโตะอ้าปากหาวขึ้นมา ชายหนุ่มหัวเราะ นั่นสิ ตอนนี้เข็มนาฬิกาก็เคลื่อนล่วงเข้าสู่วันใหม่มาร่วมชั่วโมง ฮารุโตะซึ่งต้องทำงานมาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำควรถึงเวลาที่ต้องพักผ่อน

“งั้นนอนเถอะ”

ฮารุโตะพยักศีรษะรับ

เขาช่วยอีกฝ่ายถอดเสื้อตัวนอกแล้วนำไปแขวนยังที่ของมัน เมื่อหันกลับไป เขาเห็นเด็กหนุ่มกำลังถอดกางเกงยีนส์ตัวที่สวมอยู่เปลี่ยนเป็นกางเกงผ้าขายาวสำหรับใส่นอน ซากิก็พอรู้ว่าฮารุโตะคงจะไม่มีเจตนาจะยั่วยวนเขา แต่มาผลัดเปลี่ยนกางเกงโดยไม่ใช้ผ้าเช็ดตัวเช่นนี้ มันก็น่าหงุดหงิดไม่ใช่น้อย ฮารุโตะเดินไปล้มตัวลงบนฟูกนอนหลังจากนั้น และเมื่อเขาเดินเข้าไปหา อีกฝ่ายหลับสนิทไปเสียแล้ว ชายหนุ่มจึงไปเปลี่ยนกางเกงบ้าง ดับไฟกลางห้องก่อนล้มตัวลงนอน พลางดึงหนุ่มรุ่นน้องเข้ามาหา และค่ำคืนนั้นก็จบลง



ฮารุโตะรู้สึกตัวตื่นก่อนที่เสียงนาฬิกาปลุกจะดังขึ้น วันนี้อากาศอุ่นจนอยากนอนต่อ แต่นอนนิ่งๆอีกแค่ครู่เดียวเสียงสัญญาณจากนาฬิกาข้อมือดิจิตอลเรือนที่เขาใช้มาตั้งแต่เรียนมัธยมก็ดังขึ้น ฮารุโตะจึงตัดใจลืมตาตื่น และตอนที่ขยับตัว เขาจึงได้รู้ว่าทำไมอากาศวันนี้ถึงอบอุ่นนัก แปลกใจตัวเองเสียมากกว่าที่ลืมไปสนิท เด็กหนุ่มขยับตัวลุกขึ้น แต่ติดที่หนุ่มรุ่นพี่ซึ่งกอดเขาไว้แน่น

“รุ่นพี่ครับ”เขาเอ่ยเรียกเสียงเบา

“หือ”

“ปล่อยผมก่อน”

“นอนต่ออีกหน่อยน่า”อีกฝ่ายงึมงำ

“ผมอยากเข้าห้องน้ำ”ฮารุโตะพูดเสียงเบา ซึ่งคงขัดใจชายหนุ่มร่างสูงไม่น้อย คนที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลังจึงได้กอดเขาแน่นขึ้นไปอีก ซ้ำยังทำเสียงฮึดฮัดอยู่ในลำคอ ก่อนจะคลายวงแขนออก ตอนที่ฮารุโตะหันไปดู รุ่นพี่ชิมิซึก็พลิกตัวหันไปอีกด้าน

เขาลุกไปเข้าห้องน้ำ และจัดการธุระส่วนตัว จากนั้นจึงมาตั้งหม้อหุงข้าว ปกติถ้าอยู่คนเดียว ช่วงที่กำลังเตรียมข้าวกล่องสำหรับกลางวัน เขาจะกินข้าวปั้นแทนมื้อเช้า แล้วจึงไปนั่งอ่านหนังสือ แต่เพราะรุ่นพี่มาอยู่ด้วยเขาจึงต้องเตรียมอาหารมื้อเช้าสำหรับสองคนเพิ่ม

ฮารุโตะสะดุ้งตกใจระหว่างคีบอาหารจัดเรียงในกล่องอย่างเพลินมือ

“ทำตั้งสามกล่อง”ซากิเอ่ยอย่างสงสัย ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสังเกต เพราะส่วนใหญ่ชายหนุ่มจะเอาแต่นอน ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ถึงเวลากินข้าวเลย

ฮารุโตะชะงักมือ ก่อนที่มือซึ่งจับตะเกียบจะสั่นน้อยๆ “ทำไว้ทานตอนเย็นช่วงทำงานครับ”

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ซากิคงเชื่ออย่างไม่สงสัย กว่าที่ฮารุโตะจะออกจากชมรมก็ใกล้เวลาเริ่มงาน จะเตรียมข้าวกล่องไว้ตั้งแต่เช้าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

“อ่อ” เขาไม่ถามต่อแม้จะยังคงสงสัย จากนั้นจึงเดินเลี่ยงไปจัดการธุระส่วนตัว

หลังทานอาหารเช้าเสร็จ ฮารุโตะจะนั่งอ่านหนังสือต่ออีกสักพัก หนุ่มรุ่นน้องขยันจนซากินึกประหลาดใจ เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ฮารุโตะมีเวลาว่าง ก็มักจะหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาอ่านตลอดเวลา ชายหนุ่มขยับตัวเข้าไปใกล้ สอดมือกอดเอวบางกว่าไว้ แล้ววางคางไว้บนลาดไหล่เล็ก ฮารุโตะหันไปมอง ภายในแววตามีคำถามแต่เห็นหนุ่มรุ่นพี่กำลังสนใจกับหนังสือที่เขาอ่าน จึงหันกลับมาสนใจตัวหนังสือซึ่งเรียงอยู่เต็มหน้ากระดาษเสียแทน

เวลาผ่านไปชั่วพักใหญ่กว่าเด็กหนุ่มจะปิดตำราเรียน เมื่อเอี้ยวคอกลับไปมอง เขาเห็นหนุ่มรุ่นพี่หลับตาซบหัวอยู่บนบ่า

“รุ่นพี่ครับ”ฮารุโตะเขย่าตัวปลุก ชายหนุ่มร่างสูงจึงลืมตาตื่นด้วยความงัวเงีย

“ผมจะไปเรียนแล้วครับ รุ่นพี่มีเรียนตอนกี่โมง ถ้าอย่างไรไปนอนต่ออีกหน่อยไหม”

“ฟังดูเหมือนฉันเป็นพวกขี้เกียจเลย”พูดจบก็ยื่นหน้าไปแตะริมฝีปากของรุ่นน้องเบาๆ ให้หัวใจของฮารุโตะเต้นแรง ขัดเขินจนต้องก้มหน้างุดๆ และกล่าวอ้อมแอ้มต่อไปอีกว่า

“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเสียหน่อย”

“เอาละ”ซากิลุกขึ้นยืนก่อนจะพากันสายไปมากกว่านี้ เขายื่นมือไปให้ฮารุโตะจับ และดึงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นเช่นเดียวกัน

หลังจากกวาดสายตาไปรอบห้องเพื่อตรวจสอบว่า ปิดน้ำปิดไฟเรียบร้อยดีแล้ว ฮารุโตะจึงปิดประตูล็อกห้อง เขากับรุ่นพี่เดินไปมหาวิทยาลัยที่ห่างออกไปราวๆห้าร้อยเมตรด้วยกัน พอได้เห็นชายหนุ่มร่างสูงที่เดินอยู่เคียงข้างกันเช่นนี้ มันทำให้เขาอารมณ์ดีจนต้องเผยยิ้มออกมา เป็นจังหวะเดียวกับที่รุ่นพี่ชิมิซึหันมามอง

“มีอะไร”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ

“เมื่อกี้เห็นว่ายิ้มอยู่”

คราวนี้เขายิ่งสั่นศีรษะระรัว ไม่ได้ตอบเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่สำคัญ แต่รุ่นพี่ชิมิซึยังคงจ้องอยู่อย่างนั้น

“วันนี้อากาศดีครับ”

เมื่อได้รับคำตอบ ซากิจึงมองท้องฟ้าและบรรยากาศรอบตัว อากาศดีอย่างที่หนุ่มรุ่นน้องพูดจริงๆ

“แค่นี้นะหรือ”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ ก้มหน้าลงมองพื้น รอยยิ้มจางๆยังคงแต้มอยู่บนใบหน้า ตอนนี้เขามีความสุขจึงไม่อยากคิดถึงเรื่องอะไรอีก และเหมือนจะมองเห็นเส้นแบ่งเขตความสัมพันธ์ลางๆ ขอบเขตที่ยังทำให้เขามีความสุขและไม่ทุกข์ทรมานกับความหอมหวานที่เปรียบประดุจน้ำผึ้งอาบยาพิษที่ได้ลิ้มลอง เพราะฉะนั้น เขาจะเลือกกอบโกยความสุขเล็กๆน้อยๆที่รุ่นพี่หยิบยื่นมาให้

แต่ฮารุโตะรู้ดีว่าในความเป็นจริงมันโหดร้ายกว่านั้น เขาไม่อาจอยูู่เงียบๆอย่างสงบสุขในพื้นที่ของตัวเองได้ แล้วยิ่งถ้าเขาปากกล้าถือดี ทำตัวให้ใครต่อใครไม่ชอบขี้หน้า การกระทำแบบนั้นคงจะยิ่งทำให้ชีวิตของเขาคงวุ่นวายไม่หยุดหย่อน เขาจึงเลือกที่จะเลี่ยงหนีมันไปซะ

ฮารุโตะรีบเดินออกมาจากห้องเรียนทันทีที่หมดคาบ เมื่อมองจากระเบียงทางเดินที่ยืนอยู่ เห็นหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งนั่งรออยู่ที่ม้านั่งหน้าอาคาร เขาจึงเดินเลี่ยงไปอีกทาง ความรีบร้อนทำให้เขาเดินชนกับคนที่สวนมา เด็กหนุ่มล้มลงกับพื้น

“ขอโทษครับ ผมไม่ทันระวัง”ฮารุโตะกล่าวขอโทษไปก่อนจะลุกขึ้นยืนเสียด้วยซ้ำ เขาเห็นปลายเท้าของคู่กรณีขยับเข้ามาใกล้ก็ลนลานรีบคลานถอยหลังพยายามแอบไปด้านหนึ่ง

“ขี้กลัวจัง”เสียงทุ้มที่ฮารุโตะคุ้นหูพูดพร้อมเสียงหัวเราะ เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง อีกฝ่ายก็นั่งยองๆลงตรงหน้า ฮารุโตะยังนิ่งมอง ก็จริงที่เขาทำข้าวกล่องมาเผื่อชายหนุ่มตรงหน้าทุกวัน แต่กระนั้นก็ไม่เคยได้บังเอิญเจอกันสักครั้ง ข้าวกล่องที่เขาตั้งใจทำมาเผื่อจึงกลายเป็นอาหารมือดึกของเขา ฮารุโตะเปิดกระเป๋าและหยิบข้าวกล่องออกมาให้ ซึ่งชุนก็รับมาถือไว้

“นายละ กินข้าวหรือยัง”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ ถึงวันก่อนจะทำท่าเป็นใจกล้าแต่นั่นเพราะเขากำลังจิตตกอยู่ในห้วงความคิดที่ว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด แต่ถ้าจะให้มาพูดคุยสนิทสนมด้วย เขาไม่เอาด้วยหรอก

“อย่างนั้นไปกินข้าวกัน”

ซากุราอิ ชุนไม่ปล่อยให้เขาปฏิเสธ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ถือวิสาสะจับข้อมือของเขา แล้วก็ลากให้เดินตาม เดินนำพามาหยุดยังสวนข้างอาคารหอสมุดที่ฝ่ายนั้นเคยตามมาราวี

“ฉันเรียนอยู่ตึกนั้น”คนพูดอารมณ์ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ปลายนิ้วมือชี้ไปยังอาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฮารุโตะมองตามไปแล้วพยักหน้ารับรู้ พอหันกลับมาเห็นชุนแกะข้าวกล่อง เขาจึงลงมือแกะข้าวกล่องของตัวเองบ้าง ยังไม่ทันที่จะคีบอาหารเข้าปากพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ข้าวกล่องที่ทำให้รุ่นพี่อยู่ที่เขา ความคิดนั้นทำให้เขากินข้าวอย่างไม่เป็นสุข ทั้งยังปล่อยให้อีกฝ่ายรอแบบนั้นเสียด้วย ไม่ใช่ว่าจะนั่งรอเขาจนไม่ยอมไปกินข้าวหรอกนะ ฮารุโตะคิดอย่างกังวล

“กินช้า”

เสียงพูดที่ดังขึ้นขัดความคิดของทุกอย่างของเขาให้หยุดลง หันไปมองเจ้าของเสียงนั้นจึงพบว่าอาหารมื้อกลางวันที่อยู่ในกล่องเกลี้ยงเรียบไม่มีเหลือ

“อิ่มหรือเปล่า”

ชุนมองอีกคนที่ถามเขาด้วยหน้าตาซื่อๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลมองตรงมาที่เขา ภายในนั้นไม่ความระแวงหวั่นกลัวอย่างที่ผ่านมา มันนิ่งสนิทจนเขาต้องจ้องมองค้นหา

“มิอุระ”เสียงเรียกทำให้ซากุราอิ ชุนหลุดจากภวังค์ เมื่อหันไปมองตามทิศทางของเสียง เขาเห็นชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา

“รุ่นพี่”ฮารุโตะหลุดเสียงร้องอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่ารุ่นพี่ชิมิซึจะตามมาถึงนี่ได้ ซากิเดินเข้ามาประชิดตัวฮารุโตะอย่างรวดเร็ว หนุ่มรุ่นน้องยังคงมองเขาตาค้างขณะที่เขากวาดสายตามองผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ จากนั้นจึงลงมือเก็บกล่องข้าวกลางวันในมือของรุ่นน้องลงกระเป๋า

“ขอโทษนะ อันนั้นของมิอุระใช่ไหม”ซากิถามพลางชี้ไปยังกล่องข้าวที่อยู่ในมือของชุน “ถ้าใช่ก็ขอคืนด้วย” เขาไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ ฉวยคว้าจากมือของอีกฝ่ายมาทันที ก่อนจะรวบกระเป๋าของฮารุโตะมาถือไว้และคว้าข้อมือเล็กบาง ลากจูงให้อีกฝ่ายเดินตาม

“เฮ้ยอะไรว่ะ”เหมือนว่าชุนจะรู้สึกตัวเสียที เขาจึงได้รีบวิ่งมาขวางไว้ เมื่อได้มายืนเทียบกันแบบนี้ดูเหมือนว่าซากุราอิ ชุนจะสูงกว่าชิมิซึ ซากิอยู่เล็กน้อย ทว่าโครงสร้างร่างกายกลับใหญ่โตไม่แพ้กัน อย่างไรก็ตาม ฮารุโตะรู้สึกว่าตอนนี้รุ่นพี่ชิมิซึน่ากลัวกว่าชุนเสียอีก

“ม...ไม่มี อ...อะไรหรอก นี่รุ่นพี่ที่ชมรมของผมเอง”ฮารุโตะพยายามพูดไกล่เกลี่ย ถ้าสองคนนี้มีเรื่องกันจริง เขาคงจะไม่มีปัญญาห้าม ฝ่ายซากิเองเหมือนว่าจะไม่มีอารมณ์จะทะเลาะกับใครอีก ถึงได้แค่มองผู้ชายแปลกหน้าตรงหน้าด้วยสายตาไม่ชอบใจ แล้วรั้งเอวให้ฮารุโตะให้มาชิด พาเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง เด็กหนุ่มไม่กล้าหันหลังกลับไปมองได้แต่เดินตามแรงดึงไปเงียบๆ

“กินข้าวอิ่มหรือยัง”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ จากนั้นจึงถูกลากให้ไปทรุดตัวลงนั่งที่ม้านั่งข้างอาคาร หนุ่มรุ่นพี่หยิบข้าวกล่องที่เขากินค้างไว้ออกมาให้ แล้วหยิบอีกกล่องภายในกระเป๋าออกมาเช่นกัน

“กล่องนี้ของฉันใช่ไหม”

เจ้าของข้าวกล่องอาหารกลางวันผงกศีรษะเป็นเชิงตอบรับ ซากิจึงเปิดฝากล่องและใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก และขนาดว่าฮารุโตะลงมือกินข้าวที่อยู่ในกล่องมาบ้างแล้ว ยังกินเสร็จช้ากว่ารุ่นพี่ปีสามที่นั่งอยู่ข้างกัน

“เดี๋ยวตอนเย็นไปที่ห้องชมรมด้วยนะ”

“ครับ”

“ส่วนพวกนี้เดี๋ยวฉันเอาไปเอง” ซากิหมายถึงกล่องข้าวกลางวันสามกล่องของฮารุโตะ “รีบไปเรียนได้แล้ว”

เด็กหนุ่มได้แต่พยักหน้ารับ มองรุ่นพี่ที่หันหลังเดินจากไปด้วยความสงสัย ปฏิกิริยาของชายหนุ่มผิดไปจากที่กลัวมากโข อาการนิ่งเฉยนั่นก็ทำให้เขาใจแป้ว แต่พอคิดว่าไม่ต้องเจอกับท่าทางอันดุร้ายหรือสายตาน่ากลัว เด็กหนุ่มพลันรู้สึกโล่งใจจนไม่นึกอยากหาเหตุผลอื่นใดมาให้หนักสมอง



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2017 00:47:03 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
อ่านแล้วสงสารฮารุโตะ

คือสงสารจริงๆนะครับ และไม่บ่อยนะที่ผมจะสงสารตัวละคร (ฮา) บทที่แปดนี่ ฉากที่ฮารุโตะนั่งเงียบๆ แล้วคิดว่า ‘เดี๋ยวมันก็ผ่านไป...เดี๋ยวมันก็ผ่านไป’ นี่ทำผมน้ำตาร่วงจริงจังนะ คือถ้าเด็กไม่เป็นคนดีจากก้นบึ้งจากหัวใจจริงๆนี่มันมองโลกแบบนี้ไม่ได้อะ มองแบบเศร้าๆแต่ยังมีความหวังลมๆแล้งๆที่หล่อเลี้ยงลมหายใจ แล้วต่อจากนั้นคือฮารุโตะพยายามจะมีชีวิตไปวันๆ ไม่อยากมีเรื่องกับใคร ไม่อยากขัดขาใคร ไม่กล้าที่จะมีความฝัน ไม่กล้าที่จะต้องการอะไร มันไปตรงกับสุภาษิตต่างชาติประโยคนึงครับ

You have a life, but you are not alive.

ซึ่งมันหน่วงและทำให้ปวดในอกอย่างจริงจังนะครับ ฮารุโตะสมควรมีคนที่ดูแล ขาดพ่อไม่พอ พี่ชายก็ไม่มี แถมยังถูกรังแกเสียอีก เด็กแบบนี้ควรถูกปล่อยไว้ในชุมชนระดับล่างของสังคมที่ไม่ถูกดูแลเหรอครับ? คำตอบคือไม่

เขาควรที่จะได้ยิ้มจากใจ เขาควรที่จะร้องขอสิ่งที่อยากได้กับคนอื่นได้บ้าง เขาควรได้มีชีวิต ได้ร้องไห้ ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ และมีชีวิตกับครอบครัว ไม่ใช่เด็กที่ถูกซ้ายก็ตีไปทาง ขวาก็ตีเขากลับไปทาง หัวใจชอบใครก็เจ็บจบช้ำไปหมด ชินชาจนทำให้โลกของเขากลายเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องอยู่ แต่ห้ามคาดหวัง ห้ามรู้สึกอะไร อย่างนี้นี่มันน่าสงสารเหลือเกินครับ ทำร้ายจิตใจของผมจริงจังเลยนะเนี่ย (หัวเราะ) เป็นไปได้นี่อยากกอดแน่นๆสักที แล้วบอกว่าร้องไห้ออกมาเลยครับ เอาแต่ใจไปเลย เป็นตัวของตัวเองสักครั้ง เพื่อสร้างความหวังให้ตัวเอง โลกนี้โหดร้ายก็จริง แต่มันต้องมีอยู่สักคนในทุกสังคม คนที่จะเป็นแสงสว่างหรือคอยสร้างความอบอุ่นให้

เอาจริงๆที่ผมพูดนี่ก็ไปตรงกับที่คุณตีสี่เคยบอกไว้นะครับ ว่าฮารุโตะขาดพ่อ เพราะความเป็นพ่อเป็นสิ่งที่ฮารุโตะอยากได้มากที่สุด (เผลอๆอาจจะมากกว่าคนรักเสียอีก) เขาอยากได้คนที่ปกป้องเขา กอดเขาไว้ตอนที่เขาเจ็บ ให้กำลังใจตอนที่เขาล้ม ยิ้มให้ตอนที่เขายิ้ม ปาดน้ำตาตอนที่ฮารุโตะเดินไม่ไหว เอาจริงๆผมว่าฮารุโตะก็อยากได้ทั้งพ่อและแม่นั่นแหละ แต่บังเอิญว่าพ่อหนีฮารุโตะไปในช่วงที่เขาจำความได้ ฮารุโตะเลยติดภาพว่าอยากได้แบบพ่อมาทำให้ครอบครัวสมบูรณ์ แต่ปัญหาคือคนที่มีคุณสมบัติแบบนี้มันต้องอ่อนโยน และมีมุมใส่ใจคนให้เหมือนครอบครัวเดียวกันโดยไม่คำนึงถึงอันตรายใดๆในระดับนึงน่ะครับ อย่างอาโอกิผมว่าให้บุคลิกแบบพี่ชายแนวๆคุณแม่น่ะครับ ไม่ได้ให้ภาพของพ่อสักเท่าไหร่ อย่างซากินี่ก็แบดบอยเกินไป การทำแต่เรื่องอย่างว่ามันไม่ได้ทำให้สภาพจิตใจฮารุโตะดีขึ้น มันไม่ได้กะเทาะเปลือกของฮารุโตะออกสักนิดเลยเหมือนกัน

ผมมามองๆก็เลย เออจริงแฮะ นาคามูระนี่ตรงกับภาพพ่อเลย อย่างที่ฮารุโตะขาดไปจริงๆ คุณตีสี่วางพล็อตให้ตรงคาแรกเตอร์ได้แม่นและมีมิติจริงๆครับ เนื้อเรื่องมีเหตุมีผลดีมาก ความสัมพันธ์มีประเด็นและละเอียดอ่อน ถ่ายทอดออกมาได้ดีด้วย เก่งครับ! ผมชมเลยตรงนี้ คุณเป็นนักเขียนที่มีพรสวรรค์เลยทีเดียว

อยากรู้เรื่องของชุนกับซากิต่อนะครับ ดูท่าสองคนนี้จะไม่ชอบขี้หน้ากันสักเท่าไหร่แล้วแหละ เอาจริงๆผมว่าฮารุโตะก็ไม่ได้ชอบซากิที่อะไรเลยนะครับ แค่รู้สึกดีกับความใส่ใจที่ซากิทำให้เป็นครั้งคราวเท่านั้น ฮารุโตะไม่ได้ชอบซากิที่ตัวตนของซากิจริงๆ ผมว่าถ้าชุนมาแบบเดียวกับซากิ ฮารุโตะก็คงจะหวั่นไหวด้วยอยู่ดีนั่นแหละ ตัวซากิเอง ผมมองว่าเขาเห็นฮารุโตะเป็นเด็กธรรมดาๆมากกว่า ซากิเป็นคนมองโลกแง่ร้ายครับ และไม่ชอบดูแลคน เขาทำอะไรตามอารมณ์ เราจะสังเกตได้ว่าถ้าอารมณ์ดีหรืออยากได้เซ็กซ์จากคนยอมๆหรืออ่อนๆ เขาก็จะเข้าหาฮารุโตะ แต่ถ้าเขาอารมณ์ไม่ดี หรืออยากได้อะไรตื่นเต้นหน่อย เขาก็จะไปหาคนอื่น (บทที่แปด) มันไม่ได้บอกว่าซากิชอบฮารุโตะจริงๆ ซากิก็แค่ชอบที่ฮารุโตะเงียบๆและไม่โวยวายดี ดีไม่ดีตอนแรกอาจจะชอบเพราะว่าเป็นของใหม่ซะด้วย เคมีระหว่างฮารุโตะกับซากินี่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจหน่อยๆ เพราะซากิดูจะครองอำนาจอย่างเดียวเลย เอาแต่สั่ง แล้วก็ไม่แคร์ความรู้สึกอะไรฮารุโตะเท่าไหร่ ไม่ให้ออร่าพระเอกเลย

ดังนั้น ชุนจึงเป็นตัวละครที่น่าสนใจไม่น้อยครับ (ตอนแรกผมนึกว่าตัวละครเด่นจะเป็นเรียวตะ หรือว่าเอคิจิเสียอีก แต่ดูไปดูมา บุคลิกเรียวตะจะไม่ค่อยเข้าแก็ปของเส้นเรื่องฮารุโตะสักเท่าไหร่นะนี่) เรายังไม่เห็นเหตุจูงใจและอนาคตการกระทำของชุน ซึ่งน่าติดตามต่อมากทีเดียว

ส่วนนังเพื่อนผู้หญิงรอบฮารุโตะนี่สมควรโดนธรณีสูบจริงๆ... ปกติผมไม่ด่าผู้หญิงนะครับ แต่นี่มันทุเรศเกินไปนะ หลอกใช้นี่ผมโอเค แต่นี่มันเกินระดับไปแล้วครับ กลุ่มนึงก็เรื่องเรียน อีกกลุ่มก็เรื่องผู้ชาย มันอะไรกันนักกันหนา แถมหลอกใช้เขาไม่พอ ยังไปคุกคามเขาเมื่อหลอกใช้ไม่ได้ คุณเห็นว่าเขาเงียบหน่อยเลยถืออำนาจบาตรใหญ่งั้นเหรอ เฮ้ย คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเค้าบ้างปะครับ คุณไม่รู้อะไรเลย แล้วยังจะทำให้เรื่องที่ให้ตัวเองสบายใจโดยไม่คิดคนอื่นเลยงั้นเรอะ จะเกินไปแล้วมั้ง แล้วแม่งคนอื่นนี่เห็นการ bully แบบนี้แล้วไม่มีใครคิดแสดงตัวเลยเรอะครับ มันไม่มีใครมี sense of justice กันหน่อยเรอะ โอ้โห ขึ้นครับขึ้นๆ

สิ่งที่อยากเห็นต่อไปจริงๆก็คงจะเป็นว่า ถ้าซากิ(หรือใครก็ตาม)รู้เรื่องทั้งหมดของฮารุโตะแล้วจริงๆ จะมีปฏิกิริยากับฮารุโตะยังไง จะมีใครเข้าใจแล้วให้ความอบอุ่นแบบครอบครัวกับฮารุโตะไหม แล้วก็อยากเห็นซากิโดน beat-up ด้วย (ฮา) อันหลังสุดนี่ความสะใจส่วนบุคคลนะครับ จากความรู้สึกเห็นใจฮารุโตะและเกลียดการกระทำซากิโดนส่วนตัว (หัวเราะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2017 13:06:18 โดย Grey Twilight »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อ่านแล้วสงสารฮารุโตะ

คือสงสารจริงๆนะครับ และไม่บ่อยนะที่ผมจะสงสารตัวละคร (ฮา) บทที่แปดนี่ ฉากที่ฮารุโตะนั่งเงียบๆ แล้วคิดว่า ‘เดี๋ยวมันก็ผ่านไป...เดี๋ยวมันก็ผ่านไป’ นี่ทำผมน้ำตาร่วงจริงจังนะ คือถ้าเด็กไม่เป็นคนดีจากก้นบึ้งจากหัวใจจริงๆนี่มันมองโลกแบบนี้ไม่ได้อะ มองแบบเศร้าๆแต่ยังมีความหวังลมๆแล้งๆที่หล่อเลี้ยงลมหายใจ แล้วต่อจากนั้นคือฮารุโตะพยายามจะมีชีวิตไปวันๆ ไม่อยากมีเรื่องกับใคร ไม่อยากขัดขาใคร ไม่กล้าที่จะมีความฝัน ไม่กล้าที่จะต้องการอะไร มันไปตรงกับสุภาษิตต่างชาติประโยคนึงครับ

You have a life, but you are not alive.

ซึ่งมันหน่วงและทำให้ปวดในอกอย่างจริงจังนะครับ ฮารุโตะสมควรมีคนที่ดูแล ขาดพ่อไม่พอ พี่ชายก็ไม่มี แถมยังถูกรังแกเสียอีก เด็กแบบนี้ควรถูกปล่อยไว้ในชุมชนระดับล่างของสังคมที่ไม่ถูกดูแลเหรอครับ? คำตอบคือไม่

เขาควรที่จะได้ยิ้มจากใจ เขาควรที่จะร้องขอสิ่งที่อยากได้กับคนอื่นได้บ้าง เขาควรได้มีชีวิต ได้ร้องไห้ ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ และมีชีวิตกับครอบครัว ไม่ใช่เด็กที่ถูกซ้ายก็ตีไปทาง ขวาก็ตีเขากลับไปทาง หัวใจชอบใครก็เจ็บจบช้ำไปหมด ชินชาจนทำให้โลกของเขากลายเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องอยู่ แต่ห้ามคาดหวัง ห้ามรู้สึกอะไร อย่างนี้นี่มันน่าสงสารเหลือเกินครับ ทำร้ายจิตใจของผมจริงจังเลยนะเนี่ย (หัวเราะ) เป็นไปได้นี่อยากกอดแน่นๆสักที แล้วบอกว่าร้องไห้ออกมาเลยครับ เอาแต่ใจไปเลย เป็นตัวของตัวเองสักครั้ง เพื่อสร้างความหวังให้ตัวเอง โลกนี้โหดร้ายก็จริง แต่มันต้องมีอยู่สักคนในทุกสังคม คนที่จะเป็นแสงสว่างหรือคอยสร้างความอบอุ่นให้

เอาจริงๆที่ผมพูดนี่ก็ไปตรงกับที่คุณตีสี่เคยบอกไว้นะครับ ว่าฮารุโตะขาดพ่อ เพราะความเป็นพ่อเป็นสิ่งที่ฮารุโตะอยากได้มากที่สุด (เผลอๆอาจจะมากกว่าคนรักเสียอีก) เขาอยากได้คนที่ปกป้องเขา กอดเขาไว้ตอนที่เขาเจ็บ ให้กำลังใจตอนที่เขาล้ม ยิ้มให้ตอนที่เขายิ้ม ปาดน้ำตาตอนที่ฮารุโตะเดินไม่ไหว เอาจริงๆผมว่าฮารุโตะก็อยากได้ทั้งพ่อและแม่นั่นแหละ ถ้าพ่อหนีฮารุโตะไปในช่วงที่เขาจำความได้ ฮารุโตะเลยติดภาพว่าอยากได้แบบพ่อมาทำให้ครอบครัวสมบูรณ์ แต่ปัญหาคือคนที่มีคุณสมบัติแบบนี้มันต้องอ่อนโยน และมีมุมใส่ใจคนให้เหมือนครอบครัวเดียวกันโดยไม่คำนึงถึงอันตรายใดๆในระดับนึงน่ะครับ อย่างอาโอกิผมว่าให้บุคลิกแบบพี่ชายแนวๆคุณแม่น่ะครับ ไม่ได้ให้ภาพของพ่อสักเท่าไหร่ อย่างซากินี่ก็แบดบอยเกินไป การทำแต่เรื่องอย่างว่ามันไม่ได้ทำให้สภาพจิตใจฮารุโตะดีขึ้น มันไม่ได้กะเทาะเปลือกของฮารุโตะออกสักนิดเลยเหมือนกัน

ผมมามองๆก็เลย เออจริงแฮะ นาคามูระนี่ตรงกับภาพพ่อเลย อย่างที่ฮารุโตะขาดไปจริงๆ คุณตีสี่วางพล็อตให้ตรงคาแรกเตอร์ได้แม่นและมีมิติจริงๆครับ เนื้อเรื่องมีเหตุมีผลดีมาก ความสัมพันธ์มีประเด็นและละเอียดอ่อน ถ่ายทอดออกมาได้ดีด้วย เก่งครับ! ผมชมเลยตรงนี้ คุณเป็นนักเขียนที่มีพรสวรรค์เลยทีเดียว

อยากรู้เรื่องของชุนกับซากิต่อนะครับ ดูท่าสองคนนี้จะไม่ชอบขี้หน้ากันสักเท่าไหร่แล้วแหละ เอาจริงๆผมว่าฮารุโตะก็ไม่ได้ชอบซากิที่อะไรเลยนะครับ แค่รู้สึกดีกับความใส่ใจที่ซากิทำให้เป็นครั้งคราวเท่านั้น ฮารุโตะไม่ได้ชอบซากิที่ตัวตนของซากิจริงๆ ผมว่าถ้าชุนมาแบบเดียวกับซากิ ฮารุโตะก็คงจะหวั่นไหวด้วยอยู่ดีนั่นแหละ ตัวซากิเอง ผมมองว่าเขาเห็นฮารุโตะเป็นเด็กธรรมดาๆมากกว่า ซากิเป็นคนมองโลกแง่ร้ายครับ และไม่ชอบดูแลคน เขาทำอะไรตามอารมณ์ เราจะสังเกตได้ว่าถ้าอารมณ์ดีหรืออยากได้เซ็กซ์จากคนยอมๆหรือ่อนๆ เขาก็จะเข้าหาฮารุโตะ แต่ถ้าเขาอารมณ์ไม่ดี หรืออยากได้อะไรตื่นเต้นหน่อย เขาก็จะไปหาคนอื่น (บทที่แปด) มันไม่ได้บอกว่าซากิชอบฮารุโตะจริงๆ ซากิก็แค่ชอบที่ฮารุโตะเงียบๆและไม่โวยวายดี ดีไม่ดีตอนแรกอาจจะชอบเพราะว่าเป็นของใหม่ซะด้วย เคมีระหว่างฮารุโตะกับซากินี่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจหน่อยๆ เพราะซากิดูจะครองอำนาจอย่างเดียวเลย เอาแต่สั่ง แล้วก็ไม่แคร์ความรู้สึกอะไรฮารุโตะเท่าไหร่ ไม่ให้ออร่าพระเอกเลย

ดังนั้น ชุนจึงเป็นตัวละครที่น่าสนใจไม่น้อยครับ (ตอนแรกผมนึกว่าตัวละครเด่นจะเป็นเรียวตะ หรือว่าเอคิจิเสียอีก แต่ดูไปดูมา บุคลิกเรียวตะจะไม่ค่อยเข้าแก็ปของเส้นเรื่องฮารุโตะสักเท่าไหร่นะนี่) เรายังไม่เห็นเหตุจูงใจและอนาคตการกระทำของชุน ซึ่งน่าติดตามต่อมากทีเดียว

ส่วนนังเพื่อนผู้หญิงรอบฮารุโตะนี่สมควรโดนธรณีสูบจริงๆ... ปกติผมไม่ด่าผู้หญิงนะครับ แต่นี่มันทุเรศเกินไปนะ หลอกใช้นี่ผมโอเค แต่นี่มันเกินระดับไปแล้วครับ กลุ่มนึงก็เรื่องเรียน อีกกลุ่มก็เรื่องผู้ชาย มันอะไรกันนักกันหนา แถมหลอกใช้เขาไม่พอ ยังไปคุกคามเขาเมื่อหลอกใช้ไม่ได้ คุณเห็นว่าเขาเงียบหน่อยเลยถืออำนาจบาตรใหญ่งั้นเหรอ เฮ้ย คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเค้าบ้างปะครับ คุณไม่รู้อะไรเลย แล้วยังจะทำให้เรื่องที่ให้ตัวเองสบายใจโดยไม่คิดคนอื่นเลยงั้นเรอะ จะเกินไปแล้วมั้ง แล้วแม่งคนอื่นนี่เห็นการ bully แบบนี้แล้วไม่มีใครคิดแสดงตัวเลยเรอะครับ มันไม่มีใครมี sense of justice กันหน่อยเรอะ โอ้โห ขึ้นครับขึ้นๆ

สิ่งที่อยากเห็นต่อไปจริงๆก็คงจะเป็นว่า ถ้าซากิ(หรือใครก็ตาม)รู้เรื่องทั้งหมดของฮารุโตะแล้วจริงๆ จะมีปฏิกิริยากับฮารุโตะยังไง จะมีใครเข้าใจแล้วให้ความอบอุ่นแบบครอบครัวกับฮารุโตะไหม แล้วก็อยากเห็นซากิโดน beat-up ด้วย (ฮา) อันหลังสุดนี่ความสะใจส่วนบุคคลนะครับ จากความรู้สึกเห็นใจฮารุโตะและเกลียดการกระทำซากิโดนส่วนตัว (หัวเราะ)
ถูกใจ ถึงใจ สุดๆ
โดยเฉพาะตอนนี้
ส่วนนังเพื่อนผู้หญิงรอบฮารุโตะนี่สมควรโดนธรณีสูบจริงๆ... ปกติผมไม่ด่าผู้หญิงนะครับ แต่นี่มันทุเรศเกินไปนะ หลอกใช้นี่ผมโอเค แต่นี่มันเกินระดับไปแล้วครับ กลุ่มนึงก็เรื่องเรียน อีกกลุ่มก็เรื่องผู้ชาย มันอะไรกันนักกันหนา
แถมหลอกใช้เขาไม่พอ ยังไปคุกคามเขาเมื่อหลอกใช้ไม่ได้ คุณเห็นว่าเขาเงียบหน่อยเลยถืออำนาจบาตรใหญ่งั้นเหรอ เฮ้ย คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเค้าบ้างปะครับ คุณไม่รู้อะไรเลย แล้วยังจะทำให้เรื่องที่ให้ตัวเองสบายใจโดยไม่คิดคนอื่นเลยงั้นเรอะ จะเกินไปแล้วมั้ง แล้วแม่งคนอื่นนี่เห็นการ bully แบบนี้แล้วไม่มีใครคิดแสดงตัวเลยเรอะครับ มันไม่มีใครมี sense of justice กันหน่อยเรอะ
โอ้โห ขึ้นครับขึ้นๆ

       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
เรื่องย่อ ตอนที่ 10

มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
และแม้โยชิดะ ริเอะโกะและซาซากิ ฟุมิโอะ ประกาศตัวว่าชอบรุ่นพี่ชิมิซึ ซากิ แต่ใช่ว่าฮารุโตะจะตีตัวออกห่างจากหนุ่มรุ่นพี่ได้ เมื่อชายหนุ่มยังวนเวียนอยู่ใกล้เขาไม่ห่าง ทั้งยังใจดีและอ่อนโยนจนถ้าแม้อีกฝ่ายอยากให้เขาเป็นเพียงตุ๊กตา เขาก็ยอมเป็นเช่นที่หนุ่มรุ่นพี่ต้องการ

ตัวละครเพิ่มเติม
1. ซาโต้ ทาคุมิ เพื่อนคณะเดียวกับฮารุโตะ
2. ฮาราดะ คัทสึโระ อาจารย์ในมหาวิทยาลัย




春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 10



ซากิพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นเพื่อนของฮารุโตะตามมาเป็นพรวน แต่พอเห็นสองคนในกลุ่มนั้นรี่เข้ามาหาก็แสร้งยิ้ม พลางเหลือบตามองรุ่นน้องในชมรมที่ก้มหน้าก้มตาเดินไปหานาโอโตะ ฝ่ายนั้นเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับเขาชั่วพริบตาหนึ่งก็ก้มหน้าอีกครั้ง ซ้ำคราวนี้ยังหันหลังให้

“วันเสาร์นี้ดีไหมค่ะ”เมื่อเสียงเซ็งแซ่ราวกับนกกระจอกแตกรังของกลุ่มของเพื่อนฮารุโตะเบาลง เขาถึงพอจะจับใจความได้บ้างว่าต่างพูดถึงเรื่องอะไร

“อีกอาทิตย์หนึ่งก็สอบแล้ว ช่วยหน่อยนะคะ”

ซากิเหลือบสายตาไปมองหน้าเรียวตะที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก จนเขาต้องเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ที่นั่งอยู่ข้างๆเรียวตะเป็นอิเคดะ นายะ หนึ่งในเพื่อนของฮารุโตะที่เพื่อนของเขากำลังคุยๆอยู่

“พอดีพวกน้องเขาจะให้ช่วยติวเศรษฐศาสตร์ให้”เรียวตะพูดก่อนจะขยับเข้ามากระซิบบอกเขาใกล้ๆอีกประโยคว่า “แกก็รู้ว่าฉันไม่ถนัดวิชานี้”พูดจบก็หันไปยิ้มให้สาวๆที่นั่งล้อมรอบตรงหน้า

“เอคิจิไง มันได้ท็อปตอนปีหนึ่งด้วย”เขาพูดพลางเปิดหนังสือในมือไปด้วย

“จริงหรือคะ ดีจัง”

“แล้วรุ่นพี่ละ ช่วยติวให้เราสองคนหน่อยได้ไหม”

ซากิมองมือที่วางแปะอยู่บนท่อนแขนเมื่อประโยคนั้นจบลง ก่อนจะไล่สายตาขึ้นมองหน้าเจ้าของมือที่ส่งสายตายิ้มหวานให้เขา ซากิยกยิ้มให้ “วันไหนละ”

“วันเสาร์นี้อย่างไรค่ะ รุ่นพี่ว่างไหม”

เขาทำท่านึกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบไปว่า “ขอโทษทีนะ เสาร์อาทิตย์นี้มีนัดกับคุณป้าแล้ว”

อีกฝ่ายออกอาการเสียดายอย่างชัดเจน เขาได้แต่ยกยิ้มให้โดยไม่พูดอะไรต่อ เหลือบสายตามองหาหนุ่มรุ่นน้องอีกครั้ง ทว่าฝ่ายนั้นหายไปจากห้องชมรมแล้ว เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความ แม้ว่าข้อความที่ส่งไปจะขึ้นว่า ‘อ่านแล้ว’ แต่ก็ไม่มีคำตอบใดๆตอบกลับมา ซากิขมวดคิ้วด้วยความขุ่นเคือง

“ฉันกลับก่อนนะ”พอยันตัวลุกขึ้นยืน เสียงพูดคุยรอบตัวก็พลันเงียบกริบ “เผอิญนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ”

“เออๆ เจอกันพรุ่งนี้นะเว้ย”

ชายหนุ่มรีบสาวเท้าเดินลงจากตึก ก้าวเท้ายาวๆจนกลายเป็นวิ่ง ไม่นานนักเขาก็เห็นแผ่นหลังเล็กบางของคนที่กำลังตามหาเดินอยู่ไม่ไกล สาวเท้าเข้าไปใกล้จนเหลือระยะห่างเพียงแค่สามสี่ก้าว ร่างนั้นดูเหมือนว่ายังไม่รู้สึกตัว หนุ่มรุ่นน้องก้าวเท้าด้วยระยะสั้นๆจนเหมือนกำลังต่อเท้าเดิน เขาจึงต้องชะลอฝีเท้าให้ช้าลงไปอีก ระหว่างทาง ฮารุโตะแวะเข้าซุปเปอร์มาเก็ต เขาก้าวเท้าเดินตามไป ตามดูห่างๆอย่างนึกสนุก

เด็กหนุ่มเดินไปหยิบตระกร้าใส่ของขึ้นมาถือ เงยหน้ามองป้ายระบุประเภทสินค้า จากนั้นจึงก้าวเท้าเดินเลี้ยวเข้าไปที่แถวชั้นวางสินค้าจำพวกครีมบำรุงผิว เขาเดินตามอยู่ห่างๆและทิ้งระยะแอบดูเมื่อฮารุโตะทำท่าว่าเจอของที่ต้องการแล้ว เด็กหนุ่มร่างเล็กหยิบขวดทดลองออกมาดมกลิ่นอย่างไม่ลังเล

ซากิแสร้งทำเป็นหยิบของชิ้นนี้ชิ้นโน้นขึ้นมาดูขณะที่ลอบมอง

หลังจากหยิบขวดนั้นขวดนี้ขึ้นมาเปิดดมพักใหญ่ ฮารุโตะจึงได้หยิบผลิตภัณฑ์ขวดเต็มออกมาจากชั้น  พลิกขวดอ่านรายละเอียดอยู่ครู่หนึ่งก็วางมันลงที่เดิม เมื่อเห็นว่าฮารุโตะเดินลับไปจากมุมชั้นวางสินค้า ชายหนุมร่างสูงจึงเดินมาหยุดยังจุดนั้น หยิบขวดผลิตภัณฑ์สีขาวตัวหนังสือสีชมพูออกมาดู

“กลิ่นสตอเบอรี่”หรือเขาจะดูผิด ซากิวางขวดในมือลงที่เดิม ก้าวเท้าให้พ้นจากล็อกทางเดินชั้นวางสินค้า กวาดสายตาแค่ครู่เดียวก็พบคนที่มองหา ฮารุโตะใช้เวลาในการเลือกของสดน้อยมาก เพราะตอนที่เขาไปถึงอีกฝ่ายได้หมุนตัวหันหลังเดินออกจากหน้าชั้นวางสินค้าพร้อมกับสินค้าสองสามอย่างในตะกร้า เห็นเด็กหนุ่มรุ่นน้องเดินย้อนกลับมาตามทางเดิม เขาจึงรีบแอบหลบและสาวเท้าตามกลับไปที่ชั้นวางครีมบำรุงผิว

ฮารุโตะวางตะกร้าใส่ของลงกับพื้น สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หยิบเหรียญห้าเยนบ้าง หนึ่งร้อนเยนบ้างรวมกันไว้ที่มือข้างหนึ่ง แล้วล้วงมือตามกระเป๋าเสื้อโค้ทซึ่งมีทั้งเหรียญสิบเยนและเหรียญห้าร้อยเยนออกมา เสื้อโค้ทที่รุ่นพี่อาโอกิให้มามีกระเป๋าเล็กกระเป๋าน้อยกระจายอยู่ทั่ว เมื่อเช้าเขาจึงเอาเศษเหรียญใส่ไว้ทุกกระเป๋าโดยไม่ได้นับจำนวนเพราะกลัวรุ่นพี่ชิมิซึจะเห็นเข้า ฮารุโตะไม่ได้กลัวว่าหนุ่มรุ่นพี่ที่อาศัยอยู่ด้วยกันจะมาขโมยเงินไป แต่รุ่นพี่ต้องถามแน่ๆถ้าเขาทำพฤติกรรมเช่นนั้นต่อหน้า ขนาดตัวเขาเองยังคิดเลยว่าการกระทำแบบนี้มันดูแปลกๆ แต่ถ้าไม่ทำ...และวันนั้นเขาโชคร้ายเจอซากุราอิ ชุนมาทำตัวรีดไถ ก็ต้องสูญเงินไปเปล่าๆ

เด็กหนุ่มนับเหรียญที่อยู่ในมือ หักลบกับค่ากับข้าวแล้วยังขาดอยู่อีกนิดหน่อย จึงได้มองของที่ต้องการตาละห้อย กระนั้นก็ยังลังเลอยู่ดี เขาหยิบของตรงหน้าขึ้นมาดูอีกครั้ง

ใช้โลชั่นกลิ่นสตอเบอรี่จะดูหวานแหววไปหรือเปล่านะ ที่สำคัญราคาก็แพงด้วยแต่มากิบอกว่าใช้ดีนี่นา เขาคิด ก่อนจะตัดใจวางมันลงอย่างจริงจัง เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีเงินติดตัว ฮารุโตะจึงหิ้วตะกร้าที่มีเฉพาะอาหารสดไปชำระเงิน

ออกจากซุปเปอร์มาเก็ต เด็กหนุ่มเดินตรงดิ่งกลับห้อง เตรียมตัวไปอาบน้ำก่อนไปเข้าทำงาน หยิบเสื้อผ้าและของใช้ใส่กระเป๋า แล้วล้วงเอากล่องใส่เงินที่ซ่อนไว้มุมตู้ออกมา มองแบงค์พันเยนด้วยความเสียดายก่อนจะหยิบมันใส่กระเป๋า ปิดประตูล็อกห้องอีกครั้ง ในหัวยังคงลังเลว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อดี ตอนเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำสาธารณะก็ยังคิดไม่ตก จนกระทั่งมาถึงที่ทำงาน เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย หยิบไม้ถูพื้นเข้าไปในร้าน คราวนี้เลยได้ตัดใจจริงๆเสียที เพราะร้านที่เขาทำอยู่ไม่มีโลชั่นชนิดนั้นวางจำหน่าย
เวลาทำงานผ่านไปอย่างรวดเร็ว ที่ห้องพักพนักงานมีสินค้าที่หมดอายุวันพรุ่งนี้กับอาหารปรุงสำเร็จที่เหลือจากการขายหน้าร้านวางไว้ อาหารปรุงสำเร็จมีแค่หมูผัดเปรี้ยวหวานกับฟักทองผัดไข่ ฮารุโตะเดินกลับเข้าไปหน้าร้าน เป็นจังหวะดีที่ไม่มีลูกค้าจึงเอ่ยถามไดกิเรื่องอาหารปรุงสำเร็จ

“ขอเป็นหมูผัดเปรียวหวานแล้วกัน ไม่ค่อยถูกกับฟักทอง”

ฮารุโตะยิ้มขำ

“มีข้าวปั้นหรือเปล่า”

“อืม เหลือแค่บ๊วย มีนมรสสตอเบอรี่อีกกล่อง”

“ฮารุโตะกินนมสตอเบอรี่ใช่ไหม”

“อืม”มีอะไรเขาก็กินทั้งนั้น

“โอเค ตามนั้น ขอบใจมาก” ฮารุโตะยิ้มรับ

ที่ร้านจะมีแพ็คอาหารปรุงสำเร็จขายระหว่างวัน มีของมาส่งเป็นรอบๆ แต่ละรอบจำนวนไม่เยอะก็จริง แต่มีบ้างที่ของรอบนั้นเหลือจนขายไม่หมด อาหารหลายอย่างวางยาวอย่างน้อยทั้งวันก่อนจะเก็บออก เพราะคนเคลียร์สต็อกเป็นผู้จัดการร้านกับรุ่นพี่อีกคนที่เป็นพนักงานประจำซึ่งทำงานมานานแล้ว ส่วนสินค้าที่ใกล้หมดอายุจะถูกลดราคาขายล่วงหน้าตามประเภทสินค้า  ก่อนจะถูกเก็บออกจากชั้นจริงๆ

อาหารปรุงสำเร็จและของพวกนี้ไม่ได้ถูกทิ้งทันที ผู้จัดการร้านจะวางไว้ให้พวกเขาได้กินฟรีระหว่างพัก หรือจะเอากลับบ้านก็ไม่มีใครว่า นานๆทีก็มีของดีๆหลุดมาบ้าง อย่างวันแรกที่เขาเข้ามาทำงาน ไดกิก็ยกกุ้งเทมปุระให้เขา หลังจากนั้น ถ้ามีของวางอยู่ในห้อง เขาจึงมักจะเข้าไปถามไดกิก่อนอยู่เสมอ จนอีกฝ่ายชมเขาว่าเป็นคนดี ทั้งที่จริงแล้วเพราะเขาเป็นคนไม่เลือกกินต่างหาก
เด็กหนุ่มเจาะนมกล่องนั้นกินทันทีที่เดินออกมาจากประตูสำหรับพนักงานด้านหลัง ขนาดของนมกล่องเล็กนิดเดียวเขาจึงใช้เวลาดูดไม่กี่ครั้งก็หมด เขย่าจนแน่ใจว่าไม่มีเหลือแล้วจึงได้โยนกล่องทิ้งลงถังขยะ หน้าร้านยังมีกลุ่มคนยืนอยู่บ้าง ดูจากหน้าตาแล้วก็คงเป็นพนักงานบริษัทกับนักศึกษา ไดกิเคยบอกว่าเลยไปอีกหน่อยมีร้านเหล้ากับผับ ตอนนั้นฮารุโตะได้แต่พยักหน้ารับ
เดินห่างจากร้านมาอีกหน่อย เขาเห็นรุ่นพี่ชิมิซึนั่งพิงอยู่บนรั้วกั้นถนน จึงเดินเข้าไปหา

“รุ่นพี่”พอร้องเรียกออกไป ชายหนุ่มร่างสูงจึงลุกขึ้นยืนและยื่นมือมาตรงหน้าเขา ภาษากายง่ายๆแบบนี้เขาเข้าใจ จึงวางมือลงไปบนมือข้างนั้น รุ่นพี่ไม่ได้พูดอะไรมากแค่จูงมือให้เขาเดินตาม

ตลอดทางมีแต่ความเงียบ รุ่นพี่ไม่ใช่คนช่างพูด เขาเองก็เป็นคนพูดไม่เก่ง แต่ฮารุโตะกลับชื่นชอบช่วงเวลาแบบนี้ แค่มีใครสักคนเดินอยู่เคียงข้าง

เมื่อปิดล็อกประตูห้องเรียบร้อย รุ่นพี่ก็เดินมาเข้ามาประชิด ฮารุโตะหัวใจเต้นแรงตึกตัก เหมือนจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร วันที่หนุ่มรุ่นพี่อารมณ์ดีจะอ่อนโยนกับเขามากและเขาก็ชื่นชอบสัมผัสแบบนั้น

ซากิดึงให้ฮารุโตะให้ทรุดตัวลงนั่งซ้อนบนตัก ถอดเสื้อแขนยาวที่อีกฝ่ายสวมอยู่ออก เหลือเสื้อตัวในที่เป็นเสื้อยืดคอกลมแขนสั้นไว้ เพราะเพิ่งเปิดฮีตเตอร์ อากาศในห้องจึงค่อนข้างเย็น ชายหนุ่มหยิบขวดครีมบำรุงผิวสีขาวที่ถือติดมือมาเปิดฝา หนุ่มรุ่นน้องมีสีหน้าแปลกใจ แต่ยังคงนั่งเงียบๆให้เขาทาครีมลงบนผิว จากนั้นเขาจึงจรดปลายจมูกเพื่อดมกลิ่น

“กลิ่นหอมดี” หอมจนน่ากัด ประโยคหลังเขาไม่ได้พูดออกไป

เมื่อพูดไปเช่นนั้น ฮารุโตะจึงยกแขนตัวเองขึ้นมาดมบ้าง เด็กหนุ่มยิ้มกว้างอย่างถูกใจ

“ทาเลยนะ”ซากิไม่ปล่อยให้คนในอ้อมกอดปฏิเสธ ถอดเสื้อแขนสั้นตัวในของฮารุโตะออก ลูบไล้โลชั่นสีขาวกลิ่นสตอเบอรี่ลงบนตัวของฮารุโตะ ร่างเล็กบางกว่าจึงนั่งอย่างไม่เป็นสุขเมื่อมือหนาปัดป่ายไปทั่วแผ่นอก และผวากอดบดเบียดร่างกายเข้าหา

ซากิหัวเราะ ผละออกเพื่อสวมเสื้อให้ตามเดิมแล้วลุกขึ้นไปดึงฟูกนอนออกมากาง หนุ่มรุ่นน้องจึงขยับตัวหยิบผ้าคลุมฟูกมาปูทับ ลุกขึ้นไปแปรงฟันเปลี่ยนกางเกง แล้วกลับมาตบหมอนเตรียมล้มตัวลงนอน แต่โดนรั้งให้ไปนั่งซ้อนบนตักของหนุ่มรุ่นพี่อีกแล้ว ยังไม่ทันเอ่ยปากถาม อีกฝ่ายก็สอดมือหายเข้าไปในกางเกงวอร์มขายาวของเขา ฮารุโตะจึงต้องยกมือขึ้นปิดปากเสียแทน 

แค่แป็บเดียวกางเกงขายาวของเขาก็หลุดออกจากตัว โดนจับให้หันหน้าเข้าหา ตัวเขาที่เคยทำเรื่องแบบนี้มาหลายต่อหลายรอบก็พอรู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป จึงล้วงมือเข้าไปในกางเกงของอีกฝ่าย งัดแก่นกายร้อนระอุออกมารูดรั้ง อีกมือหนึ่งก็ปิดปากกลั้นเสียงของตัวเองไว้ ช่องทางด้านหลังโดนหยอกเย้าจนขนลุกเสียวซ่านไปทั้งตัว ก่อนจะถูกดันตัวให้ล้มลงนอนและถูกสวมถุงยางให้ ทั้งยังนอนแยกขาออกกว้างอยู่เช่นนั้น ฮารุโตะหลับตาหลบแสงไฟกลางห้อง ครู่ต่อมาแสงไฟนั้นก็ถูกร่างกายใหญ่โตของรุ่นพี่บดบังเสียมิด

ฮารุโตะสูดลมหายใจเข้าเมื่อรู้สึกถึงความคับแน่นที่ฝืนดันเข้ามา หัวใจเต้นรัวเร็วกว่าเดิม ร่างกายร่ำร้องด้วยความปรารถนา จนจังหวะสุดท้ายที่ชายหนุ่มฝืนดันรวดเดียวเข้ามาจนสุด เขาชาวาบรู้สึกเหมือนมีกระแสบางอย่างแล่นลามไปทั่วร่าง เคยชินกับความรู้สึกนี้ ร่างกายกระสันอยากจนตอดรัดความใหญ่โตที่สอดใส่เข้ามาเป็นจังหวะเดียวกับอัตราการเต้นของหัวใจ ร่างกายของเขาบีบรัดอย่างอัตโนมัติยามที่อีกฝ่ายขยับกายถอดถอน เสียดเสียวยามที่ชายหนุ่มร่างสูงกดชำแรกเข้าหา ฮารุโตะอยากจะกรีดร้องดังๆเพื่อระบายความสุขสม เพียงแต่สติส่วนหนึ่งที่ยังคงเหลือก็เป็นฝ่ายที่ดึงรั้งเขาไว้ ดังนั้นภายในห้องจึงมีแค่เสียงหอบหายใจ และเสียงผิวเนื้อเปล่าเปลือยกระทบกันด้วยจังหวะอันหนักหน่วง

“น่าเสียดายที่พรุ่งนี้ไม่ใช่วันหยุด”ซากิกระซิบบอก เมื่อโน้มตัวเข้าหาเขาและลดจังหวะให้ช้าลง

“ศุกร์นี้ไปนอนโรงแรมกันนะ”

ฮารุโตะรีบสั่นศีรษะปฏิเสธทันที “จะ...สอบ”เสียงที่เปล่งออกมากระท่อนกระแท่นไม่เป็นประโยค ร่างด้านบนจึงถอนหายใจ  ช้อนร่างของหนุ่มรุ่นน้องให้ลุกขึ้นนั่ง โอบเอวและกดจูบลงบนริมฝีปากแดงจัดเนิ่นนานพลางขยับกายสวนขึ้นเนิบนาบ และผละให้ร่างเล็กกว่าล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ก่อนเร่งเร้าจังหวะให้พวกเขาทั้งคู่แตะจุดหมายปลายทาง

ฮารุโตะพล็อยหลับลงทันที ไม่รอให้เขาถอนกายออกด้วยซ้ำ ซากิยกยิ้มโน้มตัวเข้าหาแตะริมฝีปากลงกับหน้าผากเนียน

“รอให้สอบเสร็จก่อนเนอะ”






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-03-2017 20:50:15 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
จบคาบบ่ายวันนั้น ฮารุโตะโดนอาจารย์ประจำวิชาเรียกพบ เขาไม่ใช่เด็กเรียนตัวอย่างแม้ว่าจะสอบได้ทุน ทุนที่เขาได้รับเป็นทุนผูกพันภายใต้เงื่อนไขที่ต้องทำงานให้กับบริษัทที่ให้ทุนอีกห้าปี เขาไม่ใช่เด็กกิจกรรมที่ชอบการแสดงออก หรือกระตือรือร้นต้องการเป็นจุดเด่น ว่ากันตามตรงถ้าไม่มีทุนนี้ผ่านเข้ามา ฮารุโตะไม่มีความคิดที่จะเรียนมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ

ตอนที่เขาก้าวเท้าเข้าไปหาอาจารย์ ยังคงมีนักศึกษาอีกหลายคนที่ยังอยู่ในห้อง

“ผมยังไม่เห็นรายงานของคุณ”เสียงของอาจารย์หนุ่มนิ่งเรียบเข้ากับใบหน้าเย็นชาภายใต้กรอบแว่น “เพราะเห็นว่าคุณเป็นนักเรียนทุน เลยมาถามคุณก่อน”

“ผม...ส่งไปแล้วครับ”ฮารุโตะอึกอัก เพราะตกใจด้วยประการหนึ่ง กอปรตื่นกลัวด้วยอีกประการหนึ่ง

“แต่ที่โต๊ะผมไม่มี ถ้าคุณบอกว่าเคยส่งให้ผมแล้ว ถ้าเช่นนั้นขอให้คุณทำสำเนาเล่มใหม่มาส่งผมพรุ่งนี้แล้วกัน”

ยังไม่ทันที่เขาจะพูดตอบ เพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน “มิอุระซังส่งรายงานแล้วจริงๆครับอาจารย์ เมื่อวันนั้นผมเอารายงานไปส่ง ยังเห็นรายงานของเขาวางอยู่เลย”

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ขอให้คุณนำรายงานมาส่งผมภายในพรุ่งนี้ก็พอแล้ว”อาจารย์ประจำวิชาตัดบท

พอคล้อยหลังอาจารย์ประจำวิชา เพื่อนนักศึกษาคนนั้นยังมาพูดกับเขาต่อไปว่า “นายมีไฟล์อยู่กับตัวหรือเปล่า ฉันว่านายน่าจะทำให้เสร็จแล้วไปส่งอาจารย์ภายในวันนี้ก็ดีนะ อาจารย์ฮาราดะน่ะ อยู่มหา’ลัยจนค่ำทุกวัน ถ้าแค่ปริ้นอย่างเดียว น่าจะส่งภายในวันนี้ทัน”

น้อยครั้งยามที่ฮารุโตะต้องเผชิญปัญหาแล้วจะมีคนยื่นมือมาช่วย เขาอดดีใจกับการกระทำเช่นนั้นของอีกฝ่ายไม่ได้ จึงยกยิ้มให้ พอสบสายตาก็ก้มหน้าลงด้วยความเคยชิน

“น่าแปลกจังเนอะ พวกเราเรียนรุ่นเดียวกันมาตั้งนานแล้ว ยังไม่เคยคุยกันเลย”

ฮารุโตะได้แต่พยักหน้ารับ ไร้ความกังขาใดๆกับคำพูดของอีกฝ่าย

“งั้นเดี๋ยวพวกเราไปกันเถอะ ฉันจะช่วยนายเอง”

“มิอุระซัง”เสียงเรียกของหญิงสาวทำให้พวกเขาหันไปมอง “เสร็จหรือยัง ไปชมรมกันเถอะ” แน่นอนว่าชมรมที่เธอกล่าวถึงคือชมรมถ่ายภาพ

“ผมต้องไปทำรายงานก่อน”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยทำไม่ได้หรือ ช่างมันก่อนเถอะวันนี้ไปชมรมก่อนดีกว่า”ฟุมิโอะบอกกับเขา

“เดี๋ยวได้อย่างไร เดี๋ยวก็โดนตัดคะแนนกันพอดี”เพื่อนใหม่ที่ยืนอยู่ข้างๆเอ่ยแทรกขึ้นมา จนฟุมิโอะหน้างอ มากิเห็นท่าไม่ดีจึงเข้ามาพูดไกล่เกลี่ย

“เอาอย่างนี้นะ มิอุระซัง พาพวกเราไปชมรมก่อนแล้วกันนะ แล้วค่อยไปทำรายงาน ฉันว่าคงไม่เสียเวลาเท่าไหร่หรอกนะ” แล้วกระซิบกับเขาเบาๆว่า “ฉันไม่อยากให้ฟุมิโอะกับริเอะโกะอารมณ์เสียนะ นายคงเข้าใจใช่ไหม”

ฮารุโตะพยักหน้ารับทันที เขาเองก็ไม่อยากให้สองคนนั้นอารมณ์เสียเหมือนกัน

“ขอโทษนะ เดี๋ยวผมไปที่ชมรมก่อน”ฮารุโตะหันไปพูดกับเพื่อนร่วมรุ่นที่ยืนอยู่ข้างๆเขา “ขอบคุณมากนะ เดี๋ยวผมจัดการเองได้”

“ตัวก็ไม่ได้ติดกันซะหน่อย ทำไมไปกันเองไม่ได้”เด็กหนุ่มอีกคนยังไม่วายพูดแขวะ ริเอะโกะทำท่าไม่พอใจ ดีว่ามากิรั้งตัวห้ามไว้เสียก่อน แล้วลากให้เดินออกจากห้อง ฟุมิโอะจึงเชิดหน้าเดินตามไป คนอื่นๆจึงทยอยเดินนำไปก่อน

“ฉันไปด้วยแล้วกัน นายเข้าชมรมด้วยหรือ”คนถามออกปากถามด้วยความแปลกใจ พอได้รับคำตอบเขายิ่งแปลกใจยิ่งไปกว่าเดิม

“ไม่คิดว่านายจะชอบถ่ายรูป”

“ก็...ไม่เชิงนะ”ฮารุโตะไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับชัดเจน เพราะจุดประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์ในการสมัครเข้าชมรมถ่ายภาพของตน เขาจึงเลี่ยงไม่ตอบคำถามมากนัก

ที่ห้องชมรมถ่ายภาพซึ่งอยู่บนชั้นสามของอาคารในคณะศิลปศาสตร์กลับมาคึกคักอีกครั้ง ด้วยจำนวนสมาชิกในห้องราวๆยี่สิบคนซึ่งส่วนใหญ่ต่างจับกลุ่มกันติวหนังสือ กลุ่มรุ่นพี่ประธานชมรมอยู่กันเกือบครบ จะมีหายไปก็เฉพาะรุ่นพี่อาโอกิ

“นี่เหรอ ห้องชมรมถ่ายภาพ” เด็กหนุ่มถามพลางกวาดสายตาไปทั่วห้อง ห้องกว้างขนาดห้องบรรยายสำหรับนักศึกษาประมาณหนึ่งร้อยคนซึ่งถูกแปลงไปจนไม่เหลือสภาพห้องเรียน ชุดโซฟาหนังสีเข้มตั้งอยู่ริมหน้าต่างตรงมุมห้อง ห่างออกมาเป็นโต๊ะประชุมตัวยาว อีกฟากมีฉากและผ้ากั้นเป็นห้องแต่งตัวกับสตูดิโอถ่ายภาพ ทั้งยังมีโต๊ะตั้งคอมพิวเตอร์ เครื่องมัลติปริ้นเตอร์ไว้ให้ใช้งาน

“ว้าว เจ๋งแหะ มหา’ลัยยอมให้งบมาทำแบบนี้ด้วยหรือเนี่ย”

“ก็ไม่ใช่งบมหา’ลัยทั้งหมดหรอก เงินส่วนตัว เงินรางวัลประกวดแล้วก็รายได้ที่หาเข้าชมรมต่างหาก ที่ทำให้ได้ถึงขนาดนี้”คนอธิบายคือนาโอโตะที่เพิ่งเดินตามหลังรุ่นน้องร่างเล็กเข้ามา เมื่ออีกฝ่ายหันมาหา เขาจึงพลางพยักเพยิกไปยังบุคคลที่ตนไม่รู้จัก

“แล้วใครละนี่ ฮารุจัง”

“อ่ะ ฮารุจังงั้นเหรอ สมกับตัวดีเหมือนกันนะ ต่อไปฉันจะเรียกนายว่าฮารุจังบ้าง”เด็กหนุ่มอารมณ์ดีหันไปพูดกับคนข้างตัว จากนั้นจึงแนะนำตัวเองด้วยเสียงดังฟังชัดว่า

“ซาโต้ ทาคุมิครับ เรียนคณะเดียวกับมิอุระซัง”

“เพื่อนที่คณะ?”นาโอโตะทวนคำซ้ำด้วยความแปลกใจ ก่อนจะมองเพื่อนที่คณะของฮารุโตะตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง เมื่อหมดความสนใจจึงเดินเข้าไปหากลุ่มเพื่อนซึ่งล้อมรอบด้วยกลุ่มสาวสวยเพื่อนของฮารุโตะอีกเช่นเดียวกัน สี่หนุ่มนั่งเอกขเนกอยู่บนพื้นมุมหนึ่งของห้อง ให้อารมณ์เหมือนสุลต่านหรือไม่ก็หัวหน้ากลุ่มกองโจรที่มีสาวๆคอยปรนิบัติพัดวี

“เรย์ ขอคุยด้วยหน่อย”เสียงของรุ่นพี่ผู้แสนใจดีเรียบนิ่งจนฮารุโตะเสียวสันหลัง

“เว้ยๆ งานนี้โดนเฉือนให้เป็ดกินแน่”เรียวตะร้องแซวคนที่รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ทีนแหนะ เก็บปากไว้กินข้าวเหอะ”เรย์หันไปแยกเขี้ยวข่มขู่คนแซว

ฮารุโตะหันซ้ายหันขวาดูว่ากลุ่มของมากิไม่มีปัญหาอะไรกับเขาแล้ว จึงเดินตรงไปหารุ่นพี่รองประธานชมรม “วันนี้ผมกลับก่อนนะครับ”

“เอ้า... มาแค่นี้หรือ”นาโอโตะถาม เมื่อเห็นรุ่นน้องพยักหน้ารับจึงถามต่อไปอีกว่า “สอบเสร็จวันไหนละ”

“วันที่สิบครับ มีสอบแต่ช่วงเช้า”

“อย่างนั้นหลังสอบเสร็จมาหาพี่ที่ชมรมด้วยนะ ไม่ต้องเตรียมข้าวกล่องมาละ เดี๋ยวพี่เลี้ยงข้าว”พอรุ่นพี่อาโอกิยิ้มให้ เขาถึงใจชื้นขึ้น เพราะกลัวว่าจะเผลอทำอะไรให้รุ่นพี่โกรธ

เขากล่าวลาซ้ำอีกครั้งก่อนจะดึงทาคุมิที่จ้องหน้ารุ่นพี่อาโอกิเขม็งออกมาด้วย

“สวยชะมัด ผู้ชายอะไรว่ะเนี่ย”ชายหนุ่มบ่นพึมพำออกมาทันทีที่พ้นออกมาจากห้อง “นายได้เจอพี่เขาบ่อยๆแบบนี้โชคดีชะมัด”

เด็กหนุ่มก็คิดว่าตัวเองโชคดี แต่มันก็ก้ำกึ่งกันในหลายความรู้สึก จนฮารุโตะไม่สามารถพูดเต็มปาก

พวกเขาเดินตามกันมาจนถึงอาคารหอสมุด ฮารุโตะลงทะเบียนเข้าใช้งานคอมพิวเตอร์ด้วยความคุ้นเคย จนกระทั่งเด็กหนุ่มสั่งพิมพ์รายงานในแฟลชไดร์ฟเรียบร้อยและนำไปเข้ารูปเล่ม ทาคุมิจึงพูดขึ้นมาว่า

“ตกลงฉันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเนอะ”

ฮารุโตะยกยิ้มปลอบใจ “ก็ช่วยมาเป็นเพื่อนไง ผมดีใจมากเลยนะ”คราวนี้ทาคุมิยิ่งนิ่งมองเพื่อนร่วมรุ่นร่างเล็กตรงหน้า  นิ่ง มองนัยน์ตาสีน้ำตาลซื่อๆ ก่อนจะทำท่าซาบซึ้งเสียเต็มประดา แล้วพูดด้วยออกมาด้วยท่าทางเกินจริงว่า “นายนี่มันเป็นคนดีชะมัด”

คนที่ถูกชมก้มหน้าลงยิ้มเขิน ถึงไดกิจะชอบชมเขาว่าเป็นคนดี แต่พอมีคนอื่นมาพูดซ้ำมันก็ทำให้หัวใจของเขาพองโตขึ้นได้อย่างไม่ยากเย็น

“เห็นนายอยู่แต่กับพวกผู้หญิงเลยไม่ได้เข้าไปทัก ไว้ฉันจะพาไปรู้จักกลุ่มพวกฉัน”เพราะทาคุมิช่างพูดช่างคุยให้ความรู้สึกเหมือนรุ่นพี่ฮายาชิที่ดูเฮฮาเข้ากับคนง่าย ฮารุโตะจึงกล้าคุยกับอีกฝ่าย

“ซาโต้ซังไม่ชอบหรือ”

“ไม่ชอบ? หมายถึงอะไร พวกมินามินะเหรอ ก็ไม่เชิงหรอก พวกนั้นก็สวยดีนะ แต่พอพวกผู้หญิงมารวมตัวอยู่ด้วยกันเยอะๆแล้วค่อนข้างน่ารำคาญนะ นายไม่รู้สึกเหรอ ถึงจะให้ความรู้สึกว่าเหมือนจะรักใคร่กันดีแต่ก็หมือนจะมีแต่อิจฉากัน”ทาคุมิพูดไม่หยุด จนเขาไม่มีโอกาสให้พูดแทรก แต่ฮารุโตะไม่ได้เดือดร้อนกับเหตุการณ์แบบนี้ ถึงจะฟังและคิดตามไม่ค่อยทันในบางครั้งแต่เขาก็พยักหน้ารับรู้เป็นเชิงว่าเขากำลังตั้งใจฟังอยู่

ฮารุโตะแยกย้ายกับทาคุมิหน้ามหาวิทยาลัย จากนั้นจึงก้าวเท้าไปทำกิจวัตรประจำวัน หลังเลิกงานรุ่นพี่ชิมิซึมารอเขาอยู่ที่เดิม ถึงจะพยายามยกยิ้มให้แต่เขายังคงรู้สึกกังวล เรื่องฟุมิโอะกับริซาโกะก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่เขาหนักใจมากกว่าคือเรื่องการสอบที่กำลังจะมาถึง การมีอะไรกับรุ่นพี่มันให้ความรู้สึกดีก็จริง แต่มันจะทำให้เขาง่วงจนนอนเพลิน

เขายกมือขึ้นมานับนิ้ว ในสมองนึกถึงจำนวนวิชาที่เขายังไม่ค่อยมีความมั่นใจและยังอ่านไม่ครบจำนวนรอบที่เขาคิดไว้ ฮารุโตะติดนิสัยที่ต้องอ่านหนังสืออย่างน้อยสี่ถึงห้ารอบต่อเล่ม มันเลยค่อนข้างต้องใช้เวลาในการอ่านค่อนข้างมาก แต่ถึงจะอ่านเยอะขนาดนี้แล้ว ผลสอบของเขาก็ยังอยู่ในเกณฑ์ธรรมดา

“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า คืนนี้ไม่ทำอะไรทั้งนั้น”

ซากิปล่อยมือเล็กบางที่จับไว้ เปลี่ยนมาเป็นโอบไหล่อีกฝ่ายเข้ามาใกล้แทน ใช้ปลายนิ้วนวดคลึงปมบนหัวคิ้ว คล้องกระเป๋าเสื้อผ้าของฮารุโตะไว้ที่ข้อแขน โน้มหน้าเข้าไปกระซิบชิดใบหู

“แต่สอบเสร็จเมื่อไหร่ ก็เตรียมตัวไว้ด้วยละ”

“ยังไม่ได้หรอกครับ”เมื่อหันไปเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ใกล้เสียจนปลายจมูกชนกัน เขาจึงเบือนหน้าหนี ก้มหน้าลงต่ำซ่อนใบหน้าแดงเรื่อ

“มีนัดกับรุ่นพี่อาโอกิแล้วครับ”

“นัดไปไหน”

“ไม่รู้ครับ รุ่นพี่ไม่ได้บอกรายละเอียด”

“อ่อ”

ซากิครางรับในลำคอไม่ได้ตอแยอะไรกับรุ่นน้องอีก และคืนนั้นเขาก็แค่นอนกอดอีกฝ่ายไว้ เป็นเช่นนี้ทุกวันจนกระทั้งเสาร์อาทิตย์ฮารุโตะก็ยังตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือจนชายหนุ่มนึกเบื่อ

ฮารุโตะเหลือบมองหนุ่มรุ่นพี่ที่นั่งเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือ แม้หน้าตาจะดูเงียบๆเฉยๆ แต่เขากลับรู้สึกถึงบรรยากาศรอบตัวอีกฝ่ายที่ดูหงุดหงิดไม่พอใจ

“รุ่นพี่ไม่ออกไปไหนหรือครับ”

พอสายตาดุคมตวัดมองมา เขาจึงก้มหน้าหลบแทบไม่ทัน ประกอบกับเสียงปฏิเสธเย็นเฉียบ เด็กหนุ่มจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก

“ไม่”

นั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง หนุ่มรุ่นพี่ก็ขยับมานั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง “อ่านเศรษฐศาสตร์ซิ” วิชาดังกล่าวเป็นวิชาบังคับที่นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งทุกคณะต้องเรียน ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการให้เขาทำแบบนั้นทำไม แต่ฮารุโตะก็ไม่ปฏิเสธ

“ไม่เข้าใจตรงไหนหรือเปล่า” เสียงคนถามนุ่มทุ้มต่างจากเมื่อสักครู่ราวฟ้ากับเหว ฮารุโตะขมวดคิ้วด้วยความงุนงง กระนั้นก็ไม่กล้าหันหน้าไปถามเพราะรุ่นพี่วางคางอยู่บนไหล่ของเขา ใกล้กันชนิดแก้มแนบแก้ม

เห็นหนุ่มรุ่นน้องยังนิ่งเงียบ ซากิจึงเอ่ยปากถาม “เศรษฐศาสตร์จุลภาคคืออะไร”

“เป็นเศรษฐศาสตร์สาขาหนึ่งซึ่งศึกษาพฤติกรรมและการตัดสินใจของบุคคล ครัวเรือน และบริษัท ในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยเฉพาะในตลาดซึ่งมีการซื้อขายสินค้าและบริการ”เพราะอีกฝ่ายถามมาเขาจึงตอบออกไป ซึ่งคำตอบทุกคำล้วนตรงตามที่มีเขียนไว้ในหนังสืออย่างไม่ผิดเพี้ยน

“กฎของอุปสงค์ละ”

“ถ้าราคาสินค้าสูงขึ้น ปริมาณการซื้อจะลงลด ถ้าราคาสินค้าต่ำลง ปริมาณการซื้อจะสูงขึ้น”ฮารุโตะขยับตัวหันไปหน้าไปมองหน้าหนุ่มรุ่นพี่ ยังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร คิดไปว่า หรือรุ่นพี่จะมีสอบวิชานี้ด้วย

“การที่เส้นอุปทานแรงงานของบุคคลมีลักษณะวกกลับมีเหตุผลอะไร”

“ม...เมื่ออัตราค่าจ้างสูงขึ้นถึงระดับเพียงพอต่อการดำรงชีวิตแล้ว แรงงาน...จึงต้องการพักผ่อนมากกว่าที่จะทำงาน”

ซากิส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนจะถามต่อไปอีกว่า

“การตัดสินใจลงทุนผลิตสินค้า ต้องพิจารณาจากอะไร”

“อัตรา...” ฮารุโตะตื่นเต้นจนต้องนิ่งเงียบไปนาน สาเหตุจากเมื่อตอบคำถามก่อนหน้าจบรุ่นพี่ก็ถามคำถามนี้ขึ้นมาทันที “ผลตอบแทนต้องมีค่ามากกว่าดอกเบี้ย”

ซากิพ่นลมหายใจออกอย่างฉุนเฉียว ก่อนจะขยับโต๊ะอุ่นขาให้ออกห่างเล็กน้อย และหยิบหมอนมาวางบนหน้าขาของหนุ่มรุ่นน้อง จากนั้นจึงล้มตัวลงนอน ฮารุโตะนั่งนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อเห็นหนุ่มรุ่นพี่หลับตาลงไปแล้ว เขาก็ไม่ได้แย้งอะไรอีก ได้แต่หยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ขึ้นมาอ่านต่อเงียบๆ



สัปดาห์สุดท้ายของปีการศึกษาก่อนเข้าสู่ช่วงสอบปลายภาค หลายวิชาเป็นชั่วโมงเรียนเพื่อการสรุปเนื้อหาก่อนสอบ แต่สำหรับวิชาปฏิบัติการณ์การทดลองพื้นฐานชั่วโมงเรียนสุดท้ายนี้มีไว้เพื่อการสอบ รูปแบบการสอบคือให้นักศึกษาทำการทดลองที่จุดปฏิบัติการณ์แต่ละจุดและเขียนผลการทดลองลงในกระดาษคำตอบ ซึ่งต้องทำการทดลองสามหัวข้อในเวลาที่กำหนด

ฮารุโตะตื่นเต้นมากที่สุดก็ตรงจับเวลาทำการทดลองนี่ละ ยิ่งเขาเป็นพวกชักช้าอืดอาดอยู่ด้วย

ในห้องทดลองที่เคยนั่งเรียนถูกแบ่งเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละสามหัวข้อการทดลอง  พวกเขาจะถูกเรียกเข้าไปสอบทีละสิบห้าคน กำหนดเวลาแค่รอบละสิบห้านาที ฮารุโตะตื่นเต้นมากจนมือเย็นไปหมด

“เป็นอะไรนั่งเงียบเชียว”ทาคุมิถามขึ้น พวกเขาเริ่มสนิทกันมากขึ้น จนโดนลากให้ไปอยู่กลุ่มผู้ชายด้วยกันแทนที่จะปล่อยเขาให้อยู่กับกลุ่มของมากิ

อยู่กับกลุ่มเพื่อนของทาคุมิ เขาไม่กล้าพูดมากแม้ว่าปกติเขาจะไม่กล้าพูดอยู่แล้วก็ตาม ให้นั่งเรียนด้วยกันหรือไปกินข้าวกลางวันด้วยกันก็พอทำได้ แต่ถ้าหลังเลิกเรียนมีการชวนไปไหนเขาจะปฏิเสธทันที กลุ่มเพื่อนของทาคุมิเองก็คงจะเห็นว่าเขาไม่ค่อยสนิทใจนัก ถึงไม่ค่อยยุ่งวุ่นวายกับเขา

แต่เจ้าตัวคนที่ลากพาเขาเข้ามาคงไม่รู้สึกถึงความไม่ปกตินี้ ถึงยังคุยร่าเริงอยู่กับเขา

“มือเย็นเชียว”พูดพลางคว้ามือของฮารุโตะขึ้นไปบีบๆจับๆ “มือโคตรเล็กเลยอ่ะ”

ถ้าเทียบกับเด็กผู้ชายในวัยเดียวกัน ฮารุโตะนับว่าเป็นผู้ชายตัวเล็กอยู่แล้ว จึงยิ่งไม่แปลกที่มือของเขาจะมีขนาดเล็กเช่นเดียวกัน “นิ้วเรียวโคตร” คนพูดวางมือของตัวเองประกบเทียบกับมือของเขา จากที่ตื่นเต้นอยู่ ฮารุโตะหายตื่นเต้นทันที พลางเหลือบสายตาไปสังเกตกลุ่มเพื่อนของทาคุมิ เพราะกลัวว่าจะโดนมองแปลกๆ แล้วก็มีคนมองอยู่จริงๆ เขาจึงยิ่งก้มหน้าหลบสายตา

“เฮ้ย ถึงตาแกแล้วนะ ทาคุมิ”คนถูกเรียกพยักหน้าอือออ แล้วรีบลุกไป หลังจากนั้นก็ไม่มีใครคุยกับเขาอีก เด็กหนุ่มจึงหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน รอจนถึงรอบที่เขาต้องสอบจึงเก็บหนังสือลงกระเป๋าแล้วลุกขึ้นเดินตามกลุ่มคนที่สอบรอบเดียวกัน อาจารย์คุมสอบประกาศให้ทุกคนวางกระเป๋าไว้หน้าชั้นเรียน โดยให้หยิบไปเฉพาะอุปกรณ์เครื่องเขียน

ฮารุโตะเดินไปยืนประจำจุดที่ได้รับการแจ้งไว้ก่อนหน้า มีอาคาริ มิสะ และซุซุกิ จิเอะ ยืนประจำอยู่ที่การทดลองอีกสองหัวข้อที่เหลือ

“ขอให้นักศึกษาทุกคนเขียนชื่อลงบนกระดาษคำตอบให้เรียบร้อยนะคะ กระดาษคำตอบนี้ใช้สำหรับทั้งสามหัวข้อ เมื่อหมดเวลาทำการทดลองหัวข้อสุดท้าย ให้วางที่โต๊ะ อาจารย์ผู้ช่วยจะเข้าไปเก็บเอง และให้นักศึกษาล้างทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลองให้เรียบร้อย”

ฮารุโตะเหลือบมองอาจารย์ผู้ช่วยก่อนจะลงมือเขียนชื่อตามที่ได้ยินประกาศ

“ออดสัญญาณครั้งแรกให้เริ่มทำการทดลอง ออดสัญญาณครั้งที่สองให้ย้ายไปทำการทดลองที่สอง ออดครั้งที่สามให้ย้ายไปทำการทดลองที่สาม โดยให้เดินเวียนไปทางซ้ายมือของตนนะคะ”เมื่ออาจารย์พูดจบเสียงสัญญาณก็ดังขึ้นทันที

ฮารุโตะลงมือทำการทดลองตามที่โจทย์กำหนด เขามือสั่นและใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น แต่พยายามสงบใจเขียนคำตอบให้ดีที่สุด เมื่อออดสัญญาณที่สองดัง อาการตื่นเต้นได้จางหายลงไปบ้าง เขาจึงหยิบจับได้เร็วขึ้น แต่กระนั้นก็เขียนคำตอบได้เฉียดฉิวกับเวลา ซึ่งเป็นเช่นเดียวกันกับหัวข้อที่สาม

ฮารุโตะวางปากกาและก้มหน้าก้มตาเก็บล้างอุปกรณ์ด้วยความปลอดโปร่ง ลองนับๆดูตามคำตอบที่เขาเขียนไปก็ได้หลายข้อ และเขาค่อนข้างมั่นใจ คาดว่าคะแนนสอบครั้งนี้คงอยู่ในเกณฑ์ดี ฮารุโตะยกยิ้มมุมปากออกมาบางๆ เพื่อนนักศึกษาหลายคนเริ่มทะยอยเดินออกจากห้อง แว่วเสียงพูดคุยกันถึงเรื่องการสอบที่เพิ่งผ่านพ้นไป

จังหวะนั้นเอง ฮารุโตะก็รู้สึกเหมือนโดนกระชากจากด้านหลังจนล้มลง

เสียงแก้วแตกดังสนั่นพร้อมกับเสียงกรีดร้อง เสียงจอกแจกจอแจในห้องเมื่อสักครู่พลันเงียบกริบ ฮารุโตะรู้ตัวว่ากำลังนอนหงายอยู่พื้น มองเห็นเพดาห้องแต่ยังรู้สึกมึนงง จนมีคนเข้ามาประคองให้เขาลุกขึ้น

“แบมือก่อน”

ตอนนั้นเขาจึงเพิ่งรู้ตัวว่ากำแก้วบีกเกอร์ที่กำลังล้างไว้ มือของเขาเลือดออก ในหัวคิดเพียงแค่ว่าโชคดีที่เป็นมือซ้าย อาทิตย์หน้าก็จะสอบแล้ว ถ้ามือขวาเจ็บคงจะลำบาก

“มิอุระซัง ได้ยินไหม”

“ครับ”เขาขานเสียงตอบรับ

“จำได้ไหมว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน”

“ห้องสอบครับ เพิ่งสอบวิชาปฏิบัติการณ์ทดลองเสร็จ”

“นักศึกษาที่สอบเสร็จแล้วรีบออกไปจากห้องก่อนคะ ระวังเศษแก้วด้วยนะคะ เธอช่วยดูเศษแก้วที่มือด้วยยังมีเหลืออยู่หรือเปล่า แล้วให้กำผ้าห้ามเลือดไว้ก่อน”เขาได้ยินเสียงอาจารย์สั่งการณ์ดังแว่วมาตลอด จนสติกลับมาเต็มที่ ความรู้สึกเจ็บที่มือจึงชัดเจนขึ้น

“ยืนไหวไหม เดี๋ยวครูจะพาไปโรงพยาบาล”

เขาพยักหน้าตอบรับ รู้สึกได้ว่ามีคนช่วยพยุงเขาอยู่ แต่มันยังรู้สึกงงๆอย่างบอกไม่ถูก

“ไหวไหม”เขาเห็นทาคุมิยื่นอยู่ตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง

“ไหว ไม่เป็นไร”

“เดี๋ยวเอากระเป๋าไปให้นะ ต้องให้โทรบอกใครไหม”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ ความเจ็บที่หัวเพิ่มขึ้นมาอีกแต่เขาไม่ได้บอกใคร เพราะเมื่อยืนได้สักพักก็รู้สึกว่าร่างกายไม่ได้เป็นอะไรมาก เลยหันไปบอกคนที่ช่วยพยุงว่าไม่เป็นอะไรแล้ว กระนั้นอีกฝ่ายยังคงพยุงเขาไปส่งถึงที่รถยนต์ของอาจารย์ ก่อนที่ทาคุมิจะตามขึ้นรถยนต์มาด้วยกัน

ในที่สุด ฮารุโตะก็ได้เห็นโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย เขตของโรงพยาบาลถูกแบ่งออกจากมหาวิทยาลัยด้วยรั้วกั้น เป็นอาคารสูงหลายสิบชั้น รถยนต์ของอาจารย์จอดลงหน้าประตูฉุกเฉิน เขาที่พอจะค่อยยังชั่วแล้วจึงเปิดประตูเดินลงมาจากรถด้วยตัวเอง เดินตามเจ้าหน้าที่เข้าไปทำแผลที่มือ

ที่มือมีแต่แผลเล็กแผลน้อย ส่วนแผลที่ใหญ่สุดไม่ลึกจนต้องเย็บแผล ที่หมอกังวลคงเป็นตอนที่ล้มศีรษะของเขากระแทกพื้น เขาล้มแรงมากพอที่ทำให้ศีรษะด้านหลังปูดโน อยู่เฉยๆยังรู้สึกเจ็บ และตอนที่หมอเอามือมาโดนยิ่งเจ็บมาก แต่จากการซักอาการทั่วไป หมอก็บอกให้เขากลับบ้านได้ โดยบอกว่าหากมีอาการอาการอะไรผิดปกติให้กลับมาหาหมอที่โรงพยาบาลอีกครั้ง

ฮารุโตะเดินไปหาทาคุมิที่เก้าอี้นั่งรอผู้ป่วย อาจารย์ประจำวิชายังคงนั่งรออยู่ด้วยเช่นกัน หลังจากซักถามเรื่องการพบแพทย์อยู่ครู่หนึ่งและรอจนได้ยาทำแผลแล้ว อาจารย์ก็เป็นคนขับรถพาเขาและทาคุมิกลับมาที่ตึกเรียน

“กลับเลยไหม”ทาคุมิถามหลังจากที่แยกกับอาจารย์ประจำวิชาแล้ว

“อือ ขอบใจมากนะ”พูดพลางยื่นมือไปรับกระเป๋าจากคนตรงหน้า

“ให้ไปส่งไหม”

ฮารุโตะตอบปฏิเสธ โบกมือลาก่อนเดินแยกออกมา เมื่อกลับมาถึงห้อง เขาก็ล้มตัวลงทันที นอนอยู่บนพื้นครู่ใหญ่ถึงลุกไปเปิดฮีตเตอร์และหยิบหมอนออกมาตู้ และล้มตัวลงนอนตะแคงข้าง ถึงเขาจะซุ่มซ่ามไปบ้างแต่เจ็บขนาดนี้ ฮารุโตะจึงจำได้ขึ้นใจ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาตั้งนาฬิกาปลุก คิดว่าจะหลับสักงีบก่อนไปทำงานพิเศษ พลันสายตาเหลือบไปเห็นแอพพลิเคชั่นสำหรับติดต่อสื่อสาร เขาเปิดเตือนเมื่อข้อความเข้าอยู่เสมอ และเข้าไปอ่านในกลุ่มของชมรมเป็นประจำ แม้จะไม่ได้ตอบอะไรกลับไปก็ตาม สายตานิ่งมองชื่อผู้ใช้ของรุ่นพี่ชิมิซึ พลางคิดไปว่า อีกฝ่ายจะกังวลไหมนะถ้าวันนี้ไม่เข้าไปชมรม แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าควรส่งข้อความไปบอกรุ่นพี่อาโอกิ

เด็กหนุ่มกดพิมพ์ข้อความลงไปอย่างเชื่องช้า และกดส่ง ข้อความของเขาถูกอ่านอย่างรวดเร็ว

“ทำไมละ มีอะไรหรือเปล่า มาอ่านหนังสือที่ห้องชมรมก็ได้นะ”

ฮารุโตะลังเล ควรบอกไปตามความจริงหรือเปล่า แต่ความคิดที่ว่า ‘ไม่ได้เป็นอะไรมาก’ ผุดแทรกขึ้นมาเสียก่อน เขาจึงส่งข้อความกลับไปว่าไม่มีอะไร จ้องรอที่หน้าจอแค่ครู่เดียวสติ๊กเกอร์คำว่าโอเคก็ปรากฏให้เห็น เขาจึงวางโทรศัพท์มือถือลง และหลับตา

รุ่นพี่ชิมิซึมารอรับเขาแถวที่ทำงานพิเศษเหมือนเมื่อหลายๆวันก่อน และเมื่อชายหนุ่มร่างสูงยื่นมือมาหา เขาก็ยื่นมือซ้ายไปวางไว้บนมือนั้นอย่างเคยชิน มานึกขึ้นได้ตอนที่คิ้วเข้มๆของรุ่นพี่ขมวดมุน

“แผลลึกหรือเปล่า”

ฮารุโตะสั่นศรีษะ หลังจากนั้นรุ่นพี่ก็ไม่ถามอะไรต่อ และเพราะมือเจ็บรุ่นพี่จึงเปลี่ยนมาโอบไหล่เขาแทน

ซึ่งเหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นนั้นกระทั่งหมดช่วงสอบ คือรุ่นพี่มารับเขาที่ทำงานพิเศษหลังเลิกงาน นอนค้างด้วยกัน เช้าออกไปเรียนพร้อมกัน แต่ไม่ได้กินข้าวกลางวันด้วยกันอีก และตัวเขาก็เหมือนว่าจะถูกดึงเข้ากลุ่มของทาคุมิกลายๆ อย่างไรก็ตาม เขาได้คุยกับมากิบ้าง แต่เหมือนว่าจะห่างๆออกไป




ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'


ผ่านไปอาทิตย์กว่าๆแผลที่มือของเขาสมานตัวกันจนเกือบหาย รอยปูดนูนที่หัวก็ค่อยๆยุบลง นอกจากทาคุมิแล้วไม่มีใครรู้ว่าเขาหัวโนขนาดนี้ และมีแค่รุ่นพี่อาโอกิคนเดียวที่ชอบลูบหัวเขา ซึ่งเขาก็ไม่ได้เข้าไปที่ชมรมอีกจนกระทั่งวันสอบวันสุดท้าย

“สวัสดีครับ”ฮารุโตะเอ่ยทักทาย เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในห้องชมรมอีกครั้ง รุ่นพี่หันมาหาพร้อมยกเซ็ตปิ่นโตสามชั้นมาให้ เด็กหนุ่มจึงยิ้มแหยๆ ถามกลับไปว่า ไม่ได้ให้กินทั้งหมดใช่ไหม

“พี่กับเรย์ก็ยังไม่ได้กินข้าว มากินด้วยกัน”

ฮารุโตะจึงรับปิ่นโตไปวางที่โต๊ะไม้ตัวยาว ขณะที่รุ่นพี่ทั้งสองยังง่วนทำอะไรสักอย่างอยู่ เมื่อปลดล็อกแล้วดึงแต่ละชั้นออกมาเขาพบว่าทั้งสามชั้นนั้นจัดวางด้วยอาหารหน้าตาเหมือนกัน

“มือไปโดนอะไรมานะ”นาคามูระ เรย์ รุ่นพี่หัวหน้าชมรมเอ่ยถามเขา

“พอดีซุ่มซ่ามทำบีกเกอร์แตกตอนวิชาทดลองครับ”

“หือ ไม่เป็นไรมากใช่ไหม”นาโอโตะที่เพิ่งเดินมาสมทบออกปากถาม เขานั่งลงรับแถวปิ่นโตที่หนุ่มรุ่นน้องส่งมาให้ ฮารุโตะจึงพนมมือพลางพูดว่าทานแล้วนะครับ พร้อมกับรุ่นพี่ทั้งสองที่เริ่มลงมือทานข้าวเช่นเดียวกัน นั่งฟังรุ่นพี่คุยกันเรื่องงานในคณะ งานในชมรมไปพลาง เรื่องวิทยานิพนธ์ตอนปีสี่บ้าง ความเร็วในการทานอาหารของเขาก็ช้าลงกว่าเดิม นั่นเพราะเขาเริ่มคิดตามหัวข้อที่ทั้งสองคนคุยกัน

ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา แม้จะมีเรื่องที่ทำให้เขาอึดอัดใจบ้าง แต่ฮารุโตะมีความสุขมากที่อยู่กับพวกรุ่นพี่ เหลือเวลาอีกแค่ปีเดียว พวกรุ่นพี่ก็จะจบปีสี่แล้ว เขาไม่อยากให้เวลานั้นมาถึงเลย

“หยุดเคี้ยวแล้วนะ”คำพูดนั้นทำให้เขารู้สึกตัว มองหน้ารุ่นพี่อาโอกิที่จ้องหน้าเขาเขม็ง

“รีบกินเข้า มีงานที่ต้องทำอีกนะ”

“เอ๋!!!”

“แหนะ ยังทำหน้างงอีก วันนี้บอกว่าจะให้มาช่วยงาน จำไม่ได้หรือ”

“จ... จำได้ครับ”

“จำได้ก็รีบกิน”นาโอโตะเอ่ยเร่งหนุ่มรุ่นน้องที่พยายามตั้งหน้าตั้งตากินอย่างตั้งอกตั้งใจด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ระหว่างรอให้ฮารุโตะทานข้าวให้หมด เขาสองคนที่ทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงลุกไปเตรียมข้าวของอุปกรณ์สำหรับถ่ายภาพวันนี้

นาโอะโตะเพิ่งได้รับการว่าจ้างให้หานางแบบและถ่ายภาพโปสเตอร์โปรโมทร้านเสื้อผ้าคอสเพลย์มาเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน คนถ่ายรูปนะไม่มีปัญหา เขาสามารถเลือกใครสักคนในชมรมก็ได้ แต่หลังจากที่คุยกับเรย์ ฝ่ายนั้นบอกว่าจะถ่ายเองแล้วเก็บเงินเข้าชมรมเสียแทน จะได้สมทบทุนทริปท่องเที่ยวอำลาให้รุ่นพี่ปีสี่ แม้สถานที่และหัวข้อจะซ้ำซากกับด้วยการไปชมซากุระเหมือนปีก่อนๆก็ตาม

ดังนั้น นาโอโตะจึงตัดสินใจใช้นายแบบถ่ายภาพที่หาได้ใกล้ตัว ถึงอย่างไรก็มีรุ่นน้องหน้าเด็ก หน้าตาซื่อๆ แบ้วๆอยู่ทั้งคน
เสื้อผ้าที่นาโอโตะได้รับมาวันนี้เป็นเสื้อแขนกุดกับกางเกงขาสั้นสีชมพูหวาน ปลอกแขนมีขนนุ่มๆตรงข้อศอก และถุงเท้ายาว มันเป็นชุดคอสเพลย์ที่มีหูและหางพ่วงมาด้วย เพราะเป็นชุดที่ไม่ได้เน้นส่วนเว้าส่วนโค้ง นาโอโตะจึงให้ฮารุโตะเป็นคนสวม

หนุ่มรุ่นน้องทั้งขมวดคิ้ว ทั้งก้มมองด้วยความงุนงง

“เอ้า เงยหน้า”

แต่เมื่อเห็นรุ่นพี่ถือพัพเข้ามาใกล้เขาก็หลับตาอย่างเคยชิน จะไม่ให้ชินได้อย่างไร ก็เมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาเขาต้องนั่งให้รุ่นพี่แต่งหน้าอยู่ทุกวัน ประเด็นสำคัญคือรุ่นพี่จะแต่งหน้าให้เขาฝั่งเดียวส่วนอีกฝั่งปล่อยให้เขาแต่งเอง ด้วยความอ่อนด้อยของฝีมือของเขาในตอนนั้น สภาพหลังผ่านเครื่องสำอางของเขาจึงดูแย่มาก ฝั่งหนึ่งสวยปิ๊ง อีกฝั่งน่าเกลียด แต่ใช่ว่าตอนนี้เขาจะฝีมือดีเท่ารุ่นพี่อาโอกิ

“ลืมตาหน่อย”

ครั้งนี้คงดีหน่อยมั้ง เพราะเขารู้สึกว่าจะโดนเขี่ยๆเขียนๆทั้งสองฝั่ง

“เสร็จละ ไปยืนหน้าฉากได้”

ฮารุโตะร่ำร้องในใจว่า จะไม่ให้เขาดูกระจกหน่อยหรือ เพียงแต่ได้แค่ร่ำร้องในใจ เขาไม่กล้าหือกล้าอือกับรุ่นพี่หรอก

“คือแบบว่า... ไม่ได้ให้ลองใส่เฉยๆหรอกหรือครับ” ฮารุโตะถามออกมาด้วยความวิตก

“ไม่เป็นไรหรอกน่า เรย์เป็นคนถ่าย ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น”

โดนบอกว่าไม่ต้องกังวลก็จริง แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าให้เขาถ่ายภาพหมู่คณะที่ต้องทำหน้านิ่งๆละว่าไปอย่าง แต่ต้องมาใส่ชุดแบบนี้แล้วทำท่าต่างๆละก็ ฮารุโตะคิดว่าตนเองคงทำไม่ได้แน่ๆ

ฮารุโตะยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางลูกบอลลูกใหญ่หลากสี

“เอาล่ะ ฮารุจัง”เรย์ซึ่งอยู่หลังกล้อง เงยหน้าขึ้นมาพูดกับเขา “ก่อนถ่ายเราจะต้องมาออกกำลังกายกันก่อน” ฮารุโตะนึกงง แต่ก็ทำตามที่รุ่นพี่บอก “ยกแขนขึ้น เหวี่ยงแขนไปทางซ้าย เหวี่ยงแขนไปทางขาว เหวี่ยงแขนไปข้างหน้า และก็เหวี่ยงไปข้างหลัง เอาละคราวนี้หยิบลูกบอลขึ้นมา แล้วร้องเพลงมูระ มูระ โมริ โมริ พร้อมทำท่าด้วยนะ”

แม้จะงุนงงอยู่เช่นเดิมแต่ฮารุโตะก็ยอมทำตามที่เรย์บอกอย่างว่าง่าย



ตอนที่ซากิมาถึงห้องชมรม ฮารุโตะกำลังกระโดดไปกระโดดมาอยู่หน้าฉากสีขาวในชุดน้องเหมียวสีชมพู ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างบรรจงนั้นออกสีแดงระเรื่อที่บ่งบอกว่ากระโดดโลดเต้นมานานพอสมควร แม้เขาคิดว่า นาโอโตะคงจะลงเฉดสีบนหน้าของหนุ่มรุ่นน้องด้วยสีชมพูเช่นกัน

“อะไรกันนี่ นาโอโตะ” เรียวตะที่เดินมาด้วยกันกับเขาเอ่ยถาม

“พอดีคนรู้จักเขาเพิ่งเปิดร้านคอสเพลย์นะ เลยฝากให้ถ่ายภาพโปรโมทให้”

ยังไม่ทันที่จะถามอะไรต่อ เรย์ก็ร้องบอกให้ฮารุโตะพักได้ เด็กหนุ่มรุ่นน้องเดินเข้ามาหา ใบหน้าเรียบเนียนไร้เม็ดเหงื่อ แต่ถ้าสังเกตข้างขมับจะเห็นได้ว่ามีเหงื่อซึมเล็กน้อย

“ถ่ายกันมานานแล้วหรือ”เขาเอ่ยถามบ้าง

“เรย์คงได้ประมาณสามสี่ร้อยรูปแล้วมั้ง”นาโอโตะตอบ “ขอบใจมากนะฮารุจัง เปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วละ”

ฮารุโตะถอดถุงมือถุงเท้าออกก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะหันหลังให้นาโอโตะรูดซิบลงให้ ซากิเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปขวาง แม้ทั้งเอคิจิและเรียวตะจะหันไปให้ความสนใจกับภาพถ่ายในคอมพิวเตอร์ที่เรย์กำลังดูอยู่แล้วก็ตาม แต่ซากิยอมรับตามตรงเลยว่า เขาก็ยังหวงอยู่ดี

“ไม่เป็นไรหรอก นายไปช่วยเรย์ก็ได้ เดี๋ยวฉันพาฮารุโตะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง”ซากิหยิบเสื้อผ้าของฮารุโตะมาถือไว้ก่อนจะรุนหลังร่างบางให้เดินออกจากห้อง ทั้งนาโอโตะและฮารุโตะต่างมีสีหน้างงงวย

ฮารุโตะถูกพาไปยังห้องน้ำที่อยู่สุดทางเดินของชั้น ถูกดันให้เข้าไปอยู่ในห้องน้ำที่อยู่ในสุด ซากิจับให้ฮารุโตะหันหลังก่อนจะรูดซิบเสื้อให้ ร่างสูงยื่นมือไปรับเมื่ออีกฝ่ายถอดเสื้อเสร็จ ดึงฝาชักโครกลงมาก่อนจะวางเสื้อผ้าไว้บนนั้น

“ถอดกางเกงซิ”คำพูดนั้นห้วนสั้นจนเด็กหนุ่มร่างเล็กเริ่มรู้สึกกริ่งเกรง

“ให้ผม... ใส่เสื้อก่อนได้ไหมครับ”ฮารุโตะต่อรอง แม้จะเกรงกลัวกับน้ำเสียงเย็นชาของซากิก็ตาม

“ถอดกางเกง”คนสั่งกดเสียงต่ำน่ากลัวจนเด็กหนุ่มไม่กล้าหือ ฮารุโตะยังนึกไม่ออกว่าตนทำอะไรผิด รุ่นพี่ถึงได้ทำท่าเหมือนโกรธเขาถึงเพียงนี้ พอถอดกางเกงเสร็จปุ๊บฮารุโตะก็ถูกจู่โจมโดยทันที ได้ยินเสียงซากิหัวเราะและกระซิบว่า นานๆทีก็เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง

“รุ่นพี่ใจร้าย”นัยน์ตากลมโตซึ่งถูกเน้นให้คมโตกว่าเดิมด้วยอายไลน์เนอร์และขนตาปลอมช้อนมองเขา ในแววตาฉ่ำน้ำจนอดใจไม่ได้ที่จะต้องแต้มจูบบนหลังเปลือกตา

“ใจร้ายอะไร”ปากถามขณะนิ้วมือของเขานวดคลึงรอยจีบแถวปากทางเข้า

“ผมนึกว่าทำให้รุ่นพี่โกรธเสียอีก”ฮารุโตะหลุบสายตาลงต่ำ ขณะที่ซากิก้มหน้าลงมาคลอเคลีย “ที่จริงก็เกือบจะโกรธอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นมาทำให้หายโกรธซะดีๆ” ซากิขบเม้มริมฝีปากล่าง ขบย้ำอยู่หลายครั้งก่อนจะสอดลิ้นเข้าไป ใช้ปลายลิ้นกวาดไปทั่วโพรงปาก ทั้งไล่ต้อนและดูดดึง ฮารุโตะยกท่อนแขนเพรียวบางมาโอบคอร่างสูงกว่า พยายามตอบรับสัมผัสที่ส่งมาให้
นิ้วมือของซากิเค้นคลึงร่างบอบบางทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จนส่วนอ่อนไหวที่เคยสงบนิ่งตั้งชันขึ้นมา

หนุ่มรุ่นพี่ผละออกมาห่าง ดึงกางเกงในที่คาอยู่ที่ต้นขาของฮารุโตะออก จากนั้นเขาก็จัดการสวมถุงยางให้

“รุ่นพี่มีของพวกนี้ติดตัวไว้ตลอดเลยหรือครับ”

ถึงเขาคิดว่าการพกถุงยางติดตัวจะเป็นเรื่องปกติ แต่พอโดนถามตรงๆเช่นนั้นก็อดที่จะรู้สึกกระดากอายไม่ได้ จะว่าไปเหมือนจะโดนว่ากลายๆ ว่าลามก แต่เอาเถอะ ในเมื่อคนตรงหน้าทำให้เขาของขึ้นได้ตลอดเวลาเหมือนกันนี่นะ

ซากิลงมือกระทำต่อ เขาเล้าโลมหนุ่มรุ่นน้องจนร่างเพรียวบางสะท้านไปทั้งกาย พอเห็นว่าผู้ถูกกระทำเริ่มพร้อมเขาจึงหันมาใส่ถุงยางให้กับตัวเองบ้าง ครั้งนี้ซากิคิดว่าตัวเองเอาเปรียบอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน เพราะทั้งที่ฮารุโตะถูกปอกเปลือกจนหมดเหลือแค่หูแมว เสื้อผ้าของเขากลับยังครบถ้วน ด้านล่างก็แค่ปลดกระดุมกางเกงกับปลดซิบลงเท่านั้น

ชายหนุ่มพลิกร่างบางในอ้อมกอดให้หันหน้ายันแขนกับผนัง แขนข้างหนึ่งสอดอยู่ใต้ข้อพับเข่า รั้งท่อนขาเพรียวยกสูงขึ้นเล็กน้อย ใช้มืออีกข้างจับท่อนเอ็นแข็งร้อนกดแทงเข้าไปในช่องทางที่ถูกเตรียมพร้อมมาก่อนหน้า เขาพยายามดันส่วนหัวเข้าไป รู้สึกได้ว่าร่างเล็กกว่าฝืนเกร็งขึ้นเล็กน้อย จึงโน้มกายเข้าหาใช้ลิ้นเลียหลังใบหูนิ่ม ใช้ฟันขบติ่งหูเบาๆพลางสอดใส่เข้าไปเรื่อยๆ อาการเกร็งตัวลดลงแต่เขายังคงละมือมาเล้าโลมส่วนหน้า ใช้ปลายนิ้วนวดคลึงจนฮารุโตะสามารถรับเขาเข้าไปได้ทั้งหมด

ซากิโอบวงแขนรอบเอวบางคอด กดปลายจมูกกับลาดไหล่ และใช้มืออีกข้างเค้นคลึงที่ส่วนล่าง ปกติเขาจะไม่ทำรอยบนผิวขาวของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง แม้อยากจะขย้ำตีตราแสดงความเป็นของอยู่หลายครั้งก็ตาม นอกจากอีกฝ่ายจะผิวบางจนเกิดรอยช้ำน่ากลัวขึ้นมาได้ง่ายๆ เขายังคิดว่าแค่หนุ่มรุ่นน้องโอนอ่อนยินยอมให้นั่นก็เพียงพอแล้ว หากทิ้งรอยเหลือไว้แล้วใครมาเห็นเข้า ฝ่ายที่อับอายคงไม่พ้นเป็นฮารุโตะ แต่วันนี้ถือว่าร่างเล็กแต่งตัวน่ารักอวดสายตาชาวบ้านโดยไม่ปรึกษาเขาก่อน เขาจึงอนุโลมให้ตนเองฝากรอยสีกุหลาบไว้ที่แผ่นหลังแล้วกัน

ฮารุโตะจวนเจียนใกล้ถึงฝั่งในไม่ช้า เขารับรู้ได้จากร่างกายที่เชื่อมโยงกัน คงเพราะฮารุโตะอดทนได้น้อยกว่าและไม่ว่าจะเคยถูกทำรักมากี่ครั้ง ก็ยังดูไม่เคยชินกับเรื่องพวกนี้ แต่ครั้งนี้ซากิอยากให้ร่างบางในอ้อมกอดไปถึงจุดพร้อมกับตน จึงได้ใช้มือรัดส่วนโคนไว้ ในขณะที่ตนกระแทกกายด้วยจังหวะรุนแรงเช่นเดิม

“ร...รุ่นพี่”น้ำเสียงของฮารุโตะผิวแผ่วกระท่อนกระแท่น “ปล่อย... ปล่อยผม” มือเรียวบางพยายามดึงรั้งมือเขาด้วยแรงอันน้อยนิด

“ใจเย็นๆ”ซากิกระซิบบอก เขาขยับสะโพกด้วยจังหวะที่เนิบนาบช้าลง “ทำแบบนี้เราจะได้ถึงพร้อมกันไง อดทนหน่อยนะคนดี”
ฮารุโตะพยักหน้ารับ หลับตาลง เล็บที่มักสั้นกุดอยู่เสมอจิกลงกับท่อนแขนของเขา ซากิเร้าจังหวะขึ้นเรื่อยๆ เร่งเร้าเข้าหา โยกสะโพกหมุนวน กดย้ำๆซ้ำๆจนพวกเขาทั้งคู่มาถึงปลายทาง

ฮารุโตะเหนื่อยหอบ เอนร่างกายอ่อนเปลี้ยในวงแขนของเขาพิงกับผนังที่แสนเย็นเฉียบ เขาถอดถุงยางให้ฮารุโตะก่อนจะจัดการของตัวเอง หยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่บนฝาชักโครกย้ายไปวางบนชั้นปูนบนผนังด้านหลัง ค่อนข้างลำบากเล็กน้อยเพราะต้องทำด้วยมือข้างเดียว ซากิทรุดตัวนั่งลงบนฝาชักโครก รั้งฮารุโตะที่ยังหลับตาหอบหายใจมานั่งบนตัก หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อข้างขมับ แล้วจึงสวมเสื้อผ้าให้ ดวงตาปรือปรอยของฮารุโตะลืมตาขึ้นมาในนาทีนั้น ยกมือขึ้นเช็ดที่ริมฝีปากของเขา

“ลิปสติกเลอะ”

คนพูดเองก็ไม่ต่างกัน เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดรอยที่เลอะจนจางลง แล้วพยุงพารุ่นน้องร่างเล็กออกมาด้านนอก เป็นจังหวะเดียวกับที่นาโอโตะเดินเข้ามา

“เอารีมูฟเวอร์มาให้”

ฮารุโตะยื่นมือไปรับพร้อมกล่าวขอบคุณ นาโอโตะหันมามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ แต่เขาก็แสร้งเลิกคิ้วยกยิ้มให้ด้วยหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ หลังจากที่นาโอโตะเดินออกไป ชายหนุ่มร่างสูงจึงมายืนพิงเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้ามองดูรุ่นน้องเช็ดเครื่องสำอาง จนกระทั่งอีกฝ่ายวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าเป็นครั้งสุดท้าย เขาจึงเท้าแขนคล่อมร่างเล็กกว่า และโน้มหน้าเข้าไปหา สบตากับเด็กหนุ่มผ่านกระจกเงา

“วันเสาร์ที่สิบสามจนถึงคืนวันอาทิตย์ที่สิบสี่ลางานไว้ด้วยละ”

ฮารุโตะหลุบตาหนี พลางตอบรับเสียงเบา

ชิมิซึ ซากิผละออกมายืนข้างๆเหมือนเช่นเดิม หยิบชุดคอสเพลย์สีชมพูมาถือไว้ในมือ ฮารุโตะยังคงก้มหน้าก้มตาตอนที่ดึงกระดาษทิชชู่มาซับน้ำบนหน้า และไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองอีกเลยจนแม้พวกเขาจะเดินกลับเข้ามาให้ห้องชมรมอีกครั้งแล้วก็ตาม

“ฮารุจัง หลังจากนี้ก็ว่างแล้วใช่ไหม สนใจทำงานพิเศษเพิ่มหรือเปล่า”นาโอโตะร้องถาม เจ้าของชื่อจึงเดินเข้าไปหาและถามถึงรายละเอียดด้วยความสนใจ

ซากิเดินเข้าไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนหลังจากส่งเสื้อผ้าคืนให้นาโอโตะ สามคนนั้นยังนั่งดูรูปของหนุ่มรุ่นน้องปีหนึ่งที่เรย์เป็นคนถ่ายภาพ

“อยากได้รูปนี้อ่ะ”เรียวตะพูด รูปนั้นฮารุโตะเงยหน้าช้อนสายตามองกล้องและยิ้มหวานอย่างน่ารัก ซากิเหลือบมองคนถ่ายภาพด้วยความไม่สบอารมณ์ หันไปมองคนถูกพูดถึงที่ยืนคุยกับนาโอโตะด้วยหน้าตาระรื่นแล้วยิ่งหมั่นไส้

ยังไม่เลิกชอบอีกหรืออย่างไรนะ เขารู้สึกขุ่นขวางจนไม่อยากอยู่ดูต่อ จึงเดินเข้าไปหานาโอโตะและหนุ่มรุ่นน้อง

“กลับหรือยัง”น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความฉุนเฉียว กลุ่มเพื่อนสนิทอย่างนาโอโตะคงแค่แปลกใจกับอารมณ์ขึ้นๆลงๆของเขา แต่กับรุ่นน้องตัวเล็ก ฝ่ายนั้นกลับหุบปากฉับนิ่งเกร็งด้วยความตื่นกลัวขึ้นมาทันที

“คุยเสร็จแล้วก็รีบตามมา จะออกไปรอข้างนอก”ซากิไม่ได้รอให้อีกคนตอบรับ แต่เห็นจากหางตาว่าอีกคนพยักหน้าระรัว กระนั้นพอคล้อยหลังมาไม่นาน ฮารุโตะตามมาสมทบทันที

เขาเดินนำอยู่ด้านหน้าและหนุ่มรุ่นน้องร่างเล็กเดินตามอยู่ด้านหลังต้อยๆ พอหยุดเท้าอีกฝ่ายก็หยุดเท้าตามราวกับระวังอยู่ตลอด บางครั้งมันก็น่าโมโหแต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าเขาจะระบายอารมณ์ออกมา คงจะทำให้ฮารุโตะถอยกรูหนีห่างเขาไปกว่าเดิม

ชายหนุ่มหมุนตัวหันหลังและยื่นมือไปข้างหน้า แม้จะต้องยืนรออยู่นานสักหน่อยกว่าที่คนตรงหน้าจะยื่นมือมาให้ หลังจากที่สัมผัสฝ่ามือเล็กบางข้างนั้น เขาก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ยกมือโอบบ่าพาเดินไปด้วยกัน

“ยังเหลือเวลาอีกพักใหญ่กว่าจะถึงเวลาเข้างาน จะไปไหนหรือเปล่า”เมื่อเสียงถามเรียบเรื่อยไร้ความฉุนเฉียว ฮารุโตะก็ยอมเปิดปากพูดคุยกับเขาดีๆ

“ไม่มีที่ที่อยากไปหรอกครับ อยากกลับไปนอน”

ซากิเลิกคิ้ว รู้สึกเหมือนว่านี่เป็นครั้งแรกที่ฮารุโตะบ่นว่าอยากขี้เกียจ

“ไม่อ่านหนังสือ?”

“ไม่อ่ะ สอบเสร็จแล้ว เพลียด้วย”ประโยคหลังเสียงเบา แถมหน้าก็แดง ซากิจึงนึกขึ้นมาได้ แกล้งโน้มหน้าเข้าไปพูดให้ใกล้กว่านี้

“ที่จริงต้องทำบ่อยๆนะ จะได้ชิน”

“ชินแล้วครับ เก่งแล้วด้วยไม่จำเป็นต้องทำบ่อยๆอีกแล้ว”ฮารุโตะตอบกลับมาอย่างรวดเร็วจนซากินึกขำ ฮารุโตะคิดว่าการที่เขามาทำแบบนี้กับเจ้าตัวบ่อยๆเพราะอยากให้เก่งขึ้นหรืออย่างไรนะ ชายหนุ่มคิดพลางหัวเราะออกมา พอเป็นแบบนั้นหนุ่มรุ่นน้องจึงก้มหน้าลงต่ำว่าเดิม

เขาย้ายมือที่โอบบ่าเปลี่ยนมาเป็นลูบศีรษะ

“ใครว่าที่ทำเพราะอยากฝึกให้เก่งขึ้นละ”ไม่รู้ว่าแววตาของเขาฉายแววลามกมากไปหรือเปล่า ใบหน้าของฮารุโตะถึงเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อขึ้นมาอีก ก่อนที่มือของเขาจะมาสะดุดที่รอยนูนด้านหลังศีรษะ ฮารุโตะเองก็ดูไม่ตื่นตกใจนักปล่อยให้เขาลูบศีรษะไปอย่างนั้นจนเขาพอใจ

ฮารุโตะกลับไปนอนจริงๆตามที่ปากกว่า พอหัวถึงหมอนแค่ครู่เดียวก็หลับสนิท ซากิจึงลุกขึ้นนั่งจากทีแรกที่ล้มตัวลงนอนด้วยกัน ขยับโน้มตัวดูรอยนูนที่ศีรษะของร่างที่นอนอยู่ พลางคิดว่า ไม่รู้ว่าไปทำตัวซุ่มซ่ามอีท่าไหนอีก ถึงได้หัวโนเป็นลูกมะนาวกลับมา แล้วสางผมนิ่มอย่างเพลินมือ สายตาทอดมองใบหน้ายามหลับนั้นเนิ่นนาน



ทาคุมิโทรมาหาแต่เช้า

เขาสอบเสร็จแล้ว มีเวลาว่างอีกร่วมสองเดือนกว่าที่ปีการศึกษาใหม่จะเริ่มต้นขึ้น ตั้งใจว่าจะหางานพิเศษทำเพิ่มก็พอดีกับที่รุ่นพี่อาโอกิชวนไปทำงานด้วย

“พวกนั้นไปโตเกียวกัน ไม่มีชวนอ่ะสอบเสร็จเมื่อวานก็เก็บกระเป๋าไปกันเลย”

ฮารุโตะได้แต่ครางอือออ ไม่จำเป็นต้องอ้าปากถามเดี๋ยวทาคุมิก็เล่าออกมาให้ฟังจนหมด

เขานั่งคุยโทรศัพท์อยู่บนฟูกนอน เมื่อคืนรุ่นพี่ชิมิซึไม่ได้ค้างด้วย ดังนั้นหลังจากที่ตื่นขึ้นมาตามเวลาปกติจึงกลิ้งไปกลิ้งมา เล่นโน่นเล่นนี่ในโทรศัพท์อยู่พักใหญ่

“แล้วฮารุจังปิดเทอมจะทำอะไรอ่ะ”

“รุ่นพี่ชวนไปทำงานพิเศษด้วย”

“ไปด้วย”ปลายสายร้องออกมาทันที “ให้ฉันไปทำงานด้วยนะ”

“อื้อ ไม่ได้หรอก ต้องถามรุ่นพี่ก่อน”

“โอเค งั้นเดี๋ยวเจอกัน” ฮารุโตะยังไม่ทันได้ถามว่าเดี๋ยวเจอกันคืออะไร ปลายสายก็วางไปเสียก่อน ประจวบกับเวลาที่นัดกับรุ่นพี่งวดใกล้เข้ามา เด็กหนุ่มจึงได้ขยับตัวลุกขึ้นทำกิจวัตรอื่นเสียที

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่จะได้ออกมาห้อง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ฮารุโตะหยิบกระเป๋า ตรวจดูน้ำดูไฟว่าทุกอย่างปิดสนิท ก่อนจะเปิดประตูไปเผชิญหน้ากับผู้มาเยือน

“หวัดดี”ทาคุมิยืนอยู่หน้าห้องพร้อมรอมยิ้มกว้าง

“ถ้ารุ่นพี่ไม่ให้ทำก็ต้องกลับนะ”

“อือ ถ้าไม่มีงานให้ทำจริงๆจะอยู่ทำไมละ”ทาคุมิตอบกลับมาอย่างไม่ยี่หระ สาวเท้ามาเดินข้างฮารุโตะ ก่อนจะต้องทอดจังหวะการก้าวให้ช้าลงอีก

“รุ่นพี่บอกป่ะเนี่ยว่าทำงานอะไร”

“เห็นบอกว่าจิปาถะทั่วไปแล้วแต่ใครจะใช้”

“ว้า ไปเป็นเบ้หรือเนี่ย”

“กลับไปก็ได้นะ”

“อะไร ทำไมไม่อยากให้ไปทำด้วยน่ะ  มีอะไรปิดบังหรือเปล่า”ทาคุมิหันไปทำหน้าคาดคั้น เดินคุยกันมาแค่แป็บเดียวก็ถึงมหาวิทยาลัยแล้ว รุ่นพี่อาโอกินัดเขาให้ไปเจอที่ชมรม อากาศตอนเดือนกุมภาพันธ์ยังหนาวเย็นอยู่เช่นเดิมแม้ช่วงนี้จะไม่มีหิมะตกลงมาแล้วก็ตาม

“ไม่มี”ฮารุโตะปฏิเสธเสียงแข็ง

“ต้องมีแน่ๆ ไหนบอกมาซิ ถ้าไม่บอกจะจับหักคอจิ้มน้ำพริกละนะ”ทาคุมิกางมือ ย่างสามขุมเข้าหาทำท่าจะทำตามที่ปากพูด ฮารุโตะร้องหน้าตื่นพลางหันหลังวิ่งหนี ทาคุมิมองคนขาสั้นที่พยายามก้าวเท้าวิ่งหนีแล้วแกล้งวิ่งไล่ตาม ทำท่าเหมือนจะตามทันแหล่ไม่ทันแหล่ ขณะที่อีกคนรีบปีนบันได้อย่างเร่งร้อน จนทาคุมินึกขำและสงสัย ไม่รู้ว่ากลัวจริงหรือแกล้งกลัวกันแน่
ฉับพลันที่เห็นฮารุโตะก้าวพลาด เด็กหนุ่มร่างสูงที่วิ่งตามมาอยู่ด้านหลังจึงถลาเขาไปรับ มือข้างหนึ่งเกาะยึดราวบันได อีกมือหนึ่งเกี่ยวเอวเพื่อนตัวเล็กไว้แน่น

“เกือบไปแล้ว”

ฮารุโตะยังตัวสั่น จะปล่อยให้อีกฝ่ายยืนเองแต่เหมือนว่าจะไม่มีแรงยืน จนมีเสียงตวาดทุ้มห้าวดังขึ้นมาเสียก่อน ทาคุมิจึงหันหน้าไปดู

“ทำอะไรน่ะ”

“รุ่นพี่”

หันกลับมามองฮารุโตะที่เรียกอีกฝ่ายว่ารุ่นพี่ ทาคุมิจึงเหมือนจะนึกหน้าขึ้นมาได้ว่าเคยเจออีกฝ่ายที่ชมรมถ่ายภาพ และตอนที่เขาเริ่มต้นอธิบาย หนุ่มรุ่นพี่ที่ฮารุโตะเรียกขานก็ก้าวเท้าฉับๆลงหา และช้อนตัวเพื่อนของเขาขึ้นอุ้มราวกับว่าไม่มีน้ำหนัก

“พอดีว่าฮารุจังเขาก้าวพลาดกำลังจะตกบันไดน่ะครับ”

ฝ่ายฮารุโตะก็ไม่ต่างกัน พอหนุ่มรุ่นพี่ยื่นมือมาหาก็โผกอดคออีกฝ่ายทันที

“ไม่ใช่เพราะว่านายวิ่งไล่เขามาหรอกหรือ”

มันก็ใช่ “แค่วิ่งไล่กันเล่นๆเองครับ”ทาคุมิพูด ไม่คิดว่ามันน่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน ถึงฮารุโตะจะก้าวพลาดจนเกือบจะตกบันไดก็จริง แต่เขาก็ตามมารับไว้ได้ทัน กระทั่งหันไปเห็นเพื่อนตัวเล็กที่ยังก้มหน้าซุกบ่ารุ่นพี่ร่างสูงไม่ยอมปล่อย

“แต่บางคนเขาไม่ได้อยากเล่นกับนายนะ หัดระวังไว้ด้วย”

พูดจบชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็หันหลังเดินกลับไป ทาคุมิรู้สึกผิดนิดๆก็จริง แต่ใจหนึ่งก็คิดว่า ก็แค่เล่นๆกันจะอะไรนักหนา เขาเดินหน้ามุ่ยตามหลังหนุ่มรุ่นพี่ที่ยังอุ้มฮารุโตะไม่ปล่อยจนไปถึงห้องชมรมถ่ายภาพ ตอนที่รุ่นพี่กำลังจะเปิดประตู ฮารุโตะก็ผงกหัวขึ้นมาพูดอะไรกระซิบกระซาบ ครู่หนึ่งต่อมา รุ่นพี่คนนั้นก็ปล่อยให้ฮารุโตะลงมายืนเอง หนำซ้ำยังจับมือไม่ปล่อย ท่าทางแบบนี้มีอะไรในกอใผ่แหงมๆ ทาคุมิคิดอยู่ในใจ

ภายในห้องชมรมถ่ายภาพ สมาชิกแก๊งประธานชมรมอยู่กันครบ

“ในเมื่อสมาชิกพร้อมหน้าแล้ว ก็ไปกันเถอะ”นาคามูระ เรย์กล่าวเสียงดัง

“รุ่นพี่ยังสอบไม่เสร็จไม่ใช่หรือครับ”ฮารุโตะหันมาถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

“อืม แต่วันนี้ไม่มีสอบ เหลือตัวสุดท้ายวันพรุ่งนี้”

ฮารุโตะพยักหน้ารับรู้ ถ้าเป็นเขา คงต้องยังนั่งอ่านหนังสือไม่กล้าออกมาเที่ยวแบบนี้หรอก ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าทาคุมิขอตามมาด้วย เด็กหนุ่มจึงหันไปพูดกับรุ่นพี่ผู้รั้งตำแหน่งรองประธานชมรม

“รุ่นพี่อาโอกิครับ ซาโต้ซังเขาจะขอไปทำงานพิเศษด้วยครับ”

“เด็กแบบนี้อ่ะนะ ไปทำความเดือดร้อนให้คนอื่นซะเปล่า”ซากิพูแทรกขึ้นมาด้วยอารมณ์ไม่ชอบขี้หน้า คนถูกพูดถึงตวัดสายตาเขม่งมองกลับไปเช่นกัน แต่เจ้าตัวก็หน้าเป็นทำตัวตีซี้กับนาโอโตะอย่างรวดเร็ว

“รุ่นพี่อาโอกิ ผมเป็นคนขยันนะครับ ตั้งใจทำงาน หนักเอาเบาสู้ให้ผมไปทำด้วยเหอะ”

“คนดีๆที่ไหน เขาจะยกยอตัวเองขนาดนั้น”ซากิแขวะให้อีกรอบ ก่อนจะพูดเสนอแนะเป็นเชิงตัดบทขึ้นมาว่า “อย่างนั้นนายก็พาหมอนั่นไปทำงานกับนายแล้วกัน ส่วนมิอุระ เดี๋ยวฉันหางานพิเศษให้ใหม่”ประโยคหลังเขาหันไปพูดกับรุ่นน้องร่างเล็กที่ถูกเขาโอบบ่าไว้ข้างตัว

“เฮ้ย เอาน่า ที่กองเขามีงบไว้รับแรงงานจิปาถะได้อีกหลายคน ไม่ต้องเกี่ยงกันหรอก”นาโอโตะหัวเราะไปพลาง “เอาละ นายซาโต้ เดินนำออกจากห้องไปเลย”

ได้ยินเสียงคำสั่งแบบนั้นแล้ว ทาคุมิจึงหันไปยักคิ้วหลิ่วตาด้วยท่าทางเหนือกว่าให้รุ่นพี่ของฮารุโตะเสียหนึ่งทีก่อนเดินออกจากห้อง ซากิที่เห็นอาการล้อเลียนของหนุ่มรุ่นน้องจึงยิ่งพื้นเสีย

“ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ”เอคิจิมาตบหลังตบไหล่บอกกล่าว ปล่อยให้เรียวตะรุนหลังฮารุโตะเดินนำไปก่อน ซากิพ่นลมหายใจแรงๆด้วยความกรุ่นโกรธก่อนจะเดินตามหลังไปอย่างไม่สบอารมณ์



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++




*//คุณ Grey Twilight ทำเราตัวลอยอีกแล้ว ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ แต่อันที่จริงความสามารถของเราก็ไม่ใช่พรสวรรค์หรอกค่ะ เราเหมือนนักเขียนหลายคนๆที่อ่านนิยายมาเยอะ เลยอยากเขียนนิยายของตัวเองบ้าง และเรื่องนี้เราก็ใช้เวลากับมันเยอะ อย่างที่เคยเล่าค่ะ ว่าเราเคยตัดจบเรื่องนี้แล้วกลับมาเขียนต่อ เราพยายามเขียนแก้ตอนต่ออยู่สองสามรอบ แต่เขียนต่อแล้วมันดำเนินเรื่องไม่ได้จริงๆ ตอนนั้นเราคิดพล็อตถึงตอนจบแล้ว แต่เหมือนอารมณ์เรื่องมันไม่ได้ เพราะตอนแรกที่เราเขียน จำนวนหน้ามันประมาณห้าสิบกว่าหน้าเอสี่ มันเลยรวบเรื่องไปเยอะ ทีนี้พอมาตั้งต้นเขียนใหม่ตั้งแต่ฮารุโตะเข้ามหาวิทยาลัย เราก็เขียนเดินเรื่องแบบเอื่อยๆค่ะ เพราะตั้งใจว่าจะให้มันยาวจริงๆ แล้วก็เริ่มเขียนเรื่องมาตั้งแต่ปลายปีห้าแปด ปัจจุบันยังเขียนไม่จบ (ฮา) ตอนแรกๆเขียนลงมือถือ เช้าก่อนเข้างานก็บรรทัดนึง ว่างพักเที่ยงก็พิมพ์ไปบรรทัดนึง คิดเรื่องไม่ออกก็ต้องไปตั้งต้นอ่านมาตั้งแต่ตอนแรกใหม่ แล้วเวลาอ่านเรื่องฟิ่ลลิ่งคนอ่านก็เข้าสิง อยากอ่านงานประมาณไหนก็ปรับแก้ให้งานออกมาประมาณนั้นค่ะ เราคิดว่ารสนิยมในการอ่านนิยายของเรากับคุณ Grey Twilight อาจจะใกล้เคียงกันค่ะ หรือแม้แต่นักอ่านท่านอื่นๆเราก็คิดว่ารสนิยมของพวกคุณก็น่าจะใกล้เคียงกับเรา ไม่อย่างนั้นคงไม่ตามอ่านมาถึงตอนนี้หรอกใช่ม๊า(ยิ้ม) อย่างไรก็ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ

อยากจะบอกว่าบทที่สิบเป็นบทที่เรากังวลอยู่เหมือนกัน เพราะมันดูเหมือนจะมีสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่ แต่จุดที่ว่าก็เหมือนกับฉากเอ็นซีในเรื่องนะแหละ บางครั้งเราก็คิดว่า มันเยอะจนน่าเบื่อ ถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่ได้ตัดมันออก

เอาเป็นว่าความไม่สมเหตุสมผลที่เรารู้สึก เราจะนิยามมันว่า ‘ความฮารุโตะ’ ตามที่คุณ sirin_chadada เคยบอกไว้แล้วกันนะค่ะ//*


ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ทาคุมิจะเป็นเพื่อน (จริง ๆ) ของฮารุโตะได้ไหมนะ ตอนนี้ยังไม่เห็นจุดประสงค์ของการเข้าหา แต่จากประสบการณ์ของฮารุโตะก่อนหน้านี้ทำเราระแวงอยู่หน่อย
ตอนฮารุโตะล้มในห้องปฏิบัติการนั่นมีคนแกล้งสินะ แกล้งแรงไปไหม ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์เลยเหรอ ทำไมทุกคนทำเหมือนเป็นอุบัติเหตุ
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'

เรื่องย่อ ตอนที่ 11

มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
ในที่สุดการสอบปลายภาคก็ผ่านไป และกำลังเข้าสู่ช่วงปิดเทอม ฮารุโตะใช้ช่วงหยุดที่มีอยู่ไปทำงานพิเศษเพิ่ม นอกจากนี้ยังได้ไปเที่ยวกับพวกรุ่นพี่ในชมรม ความสัมพันธ์ของฮารุโตะและซากิจึงค่อยๆทักถอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ตัวละครเพิ่มเติม
สมาชิกชมรมถ่ายภาพ
1. ซาโต้ อัตซึชิ
2. อาเบะ ซึกิซากะ
3. ฮอนดะ โยชิ
4. มาซามุเนะ โทรุ



春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย


Chapter 11


งานพิเศษของนาโอโตะคือเป็นคนงานในกองถ่ายหนังสือแฟชั่นที่มารดาของเจ้าตัวเป็นบรรณาธิการอยู่ เป็นคนงานคือเป็นคนงานจริงๆ แบบที่ทำทุกอย่างตั้งแต่ยกของ ขนของ จัดไฟ เสริฟน้ำหรือเดินไปซื้อข้าวซื้อการแฟให้พวกนายแบบนางแบบหรือตากล้อง อันที่จริงพวกเรื่องอาหารการกินจะมีคนที่คอยดูแลอยู่แล้ว แต่บางครั้งมันก็มีเหตุไม่คาดฝัน อย่างเช่น

“มีคนแพ้โน่นนี่นั่น ไม่สามารถกินได้ กินเข้าไปแล้วจะชักตาตั้งต้องส่งโรง’บาลทันที เราก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยงเหตุการณ์แบบนั้น”รุ่นพี่เล่าให้พวกเขาฟังคร่าวๆตอนอยู่บนรถที่มีสารถีเป็นนาคามูระ เรย์

ทีมถ่ายภาพจะมีหลายทีม แต่ว่า แต่ละทีมจะมีพนักงานประจำอยู่ไม่กี่คน นอกเหนือจากนั้นจะเป็นพวกนักศึกษาที่มาทำงานพิเศษ มีพี่คนหนึ่งคอยจ่ายงานและคุมงานอีกที รุ่นพี่อาโอกิเลยพูดต่อไปอีกหน่อยว่า

“ถ้าโดนดุก็ไม่ต้องคิดมากละ”

ทั้งฮารุโตะและทาคุมิต่างรับคำ แต่ภายในใจของฮารุโตะตุ้มๆต่อมๆ อย่างเขานี้คงต้องโดนดุเป็นพะเรอเกวียนแน่ๆ

นาคามูระ เรย์เลี้ยวรถเข้าจอดในพื้นที่จอดรถหน้าอาคารสำนักงานแห่งหนึ่ง เขาดับเครื่องยนต์ ขณะเดียวกันผู้โดยสารคนอื่นๆก็ทะยอยลงจากรถ หลังจากทุกคนลงจากรถหมดแล้วจึงกดล็อกแล้วเดินตามคนรักที่เดินนำหน้าเข้าไป

ผ่านประตูและห้องด้านหน้าเข้าไปแล้ว ด้านในเป็นห้องกว้างหลังคาสูง มีอุปกรณ์ที่ฮารุโตะรู้จักดีอย่างชุดไฟและฉากหลังสีขาว ภายในห้องนั้นมีคนอยู่แค่สามคน ซึ่งเมื่อพวกเขาเห็นหน้าอาโอกิ นาโอโตะต่างก็ส่งเสียงทักทายอย่างเป็นกันเอง

“เราสามคนไปแต่งหน้าแต่งตัวเลย ส่วนเรา”คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าชี้มือมาที่ฮารุโตะ อีกฝ่ายเป็นหญิงสาวตัดผมซอยสั้น ผิวขาวออกเหลือง ตัวสูงกว่าฮารุโตะนิดหน่อยซึ่งรุ่นพี่อาโอกิแนะนำให้เรียกว่าคัตสึกิซัง

“ไปซื้อน้ำเปล่ามาครึ่งโหล เงินทอนต้องเอามาคืนพร้อมใบเสร็จ”เขารับเงินมาใส่กระเป๋า หญิงสาวคนนั้นเดินนำออกไปด้านนอกพลางพูดบอกทางไปร้านค้า ก่อนจะหันไปเรียกทาคุมิให้ตามไปที่รถยนต์อีกคันที่จอดอยู่ ฮารุโตะหันไปมอง ตั้งใจว่าจะเข้าไปช่วยแต่โดนไล่ให้รีบไปซื้อน้ำ เขาจึงต้องรีบจ้ำเท้าจากมา

ร้านสะดวกซื้ออยู่ไม่ไกล ห่างออกมาแค่ไม่กี่ร้อยเมตร ฮารุโตะเปิดประตูเดินตรงเข้าไปเปิดประตูตู้แช่เย็น แต่บังเอิญว่ามันมีทั้งขวดเล็กและขวดใหญ่น่ะซิ แล้วเขาก็ไม่ได้ถามมาเสียด้วยว่าให้ซื้อแบบไหน

เด็กหนุ่มจึงเดินออกจากร้าน กลับไปที่ตึกอีกครั้ง หลังเปิดประตูเข้าไปและคัตสึกิซังหันมาเห็นเขา เด็กหนุ่มจึงโดนใช้ให้ไปชงชาต่อ

“อ่อ น้ำละ”

“ยัง... ไม่ได้ซื้อครับ”แค่เห็นว่าผู้มากวัยทำหน้าเหมือนสงบสติอารมณ์ เขาก็ก้มหน้าลงเตรียมโดนว่าทันที กระนั้นเสียงที่ถามกลับมา ไม่ได้แข็งกร้าวเท่าที่คิด “ทำไมถึงยังไม่ซื้อ”

“ผมไม่รู้ว่าจะให้ซื้อขวดแค่ไหนครับ”ฮารุโตะตอบกลับเสียงเบาทั้งยังไม่เงยหน้า ได้ยินเสียงบ่นกลับมาเบาๆว่า ‘เออ ยังดี’

“เอาขวดขนาดห้าหรือหกร้อยซีซี แบบไม่เย็นนะ”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำแข็งขัน ก่อนจะรีบวิ่งกลับไปซื้อ คราวนี้ฮารุโตะไม่กล้าเดินเอื่อยๆอีก เลยกลับมาถึงหลังจากนั้นไม่นาน

“ผมไปชงชานะครับ”เขาร้องบอกก่อนจะเดินหาครัว พื้นที่ทั้งชั้นนั้นเล็กแคบ เขาเดินวนไปวนมาก็เจอห้องครัว เห็นกาต้มน้ำไฟฟ้าวางอยู่ ยกขึ้นมาดูเห็นภายในกาน้ำว่างเปล่า เขาจึงเปิดน้ำใส่กา ยกเขย่าๆแล้วเทน้ำทิ้งก่อนจะเปิดน้ำใส่ไปอีกรอบ แล้วเสียบปลั๊กไฟ

ชั้นวางของที่อยู่สูงเหนือศีรษะมีผงเครื่องดื่มหลากหลายชนิดวางอยู่ หลากหลายระรานตาจนฮารุโตะเลือกไม่ถูก

“ตั้งน้ำแล้วใช่ไหม”คัตสึกิซังเดินเข้ามาไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียง แต่เป็นจังหวะที่เขากำลังรู้สึกลำบากใจพอดี แต่กระนั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรต่อ หญิงสาวหยิบกระบอกน้ำเก็บความร้อนออกมาจากตู้เก็บของใต้เคาน์เตอร์  หยิบผงชาจากชั้นวางด้านบนลงมา เปิดฝากระบอกน้ำและตักผงชาใส่ลงไปอย่างคล่องแคล่ว

“ป่ะ ไปทำอย่างอื่นต่อ”เธอเอ่ยปากชวน ฮารุโตะจึงเดินตามเธอออกไปอย่างว่าง่าย

เปิดประตูอีกห้องเข้าไป เขาพบพวกรุ่นพี่นั่งเล่นกันอยู่ในห้องนั้น บนเก้าอี้หน้ากระจกเป็นรุ่นพี่โมริ ส่วนรุ่นพี่อาโอกินั้นมือหนึ่งถือแปรง อีกมือถือถาดอายแชโดว์และบรัชออน ส่วนเก้าอี้อีกตัวถูกจับจองโดยหญิงสาวหน้าสวย ผมลอนยาวสีน้ำตาล

ฮารุโตะต้องละความสนใจไปก่อนเพราะคัตสึกิซังยื่นกระดานหนีบกระดาษในมือมาให้เขาถือ พร้อมอธิบายด้วยเสียงเรียบเรื่อย

“นี่เป็นคิวเสื้อผ้า มีชื่อและหมายเลขกำกับอยู่แล้วเห็นหรือเปล่า เสื้อที่แขวนอยู่ก็มีหมายเลขติดอยู่”พูดพร้อมหยิบเสื้อผ้าชุดแรกออกมาถือ รุ่นพี่โมริลุกเดินเข้ามาหาพอดี ชายหนุ่มร่างสูงยกยิ้มให้เขาก่อนยื่นมือมารับเสื้อผ้าซึ่งถูกแขวนในถุงคลุมไปถือ

“ระหว่างนั้นก็ดูเสริฟน้ำ เข้าใจแล้วเนอะ”

งานง่ายๆขนาดนี้ ถ้าเขาสั่นศีรษะบอกไม่เข้าใจก็คงเป็นเรื่องแปลก ฮารุโตะพยักหน้ารับคำ

“เออ ดูแข็งขันดี”

“ใช่ไหมละ”รุ่นพี่อาโอกิพูดขึ้นมา “ยิ่งตอนที่ตั้งใจทำอะไรสักอย่างนะ ยิ่งน่ารักมาก”

ขณะที่คัตสึกิซังกวักเมื่อเรียกรุ่นพี่ชิมิซึให้ไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัว และเริ่มต้นลงเครื่องสำอางบนหน้าของหนุ่มรุ่นพี่ ฮารุโตะนิ่งฟังด้วยไม่ค่อยเข้าใจรูปประโยคแบบนี้เสียเท่าไหร่ ไม่มีประธานในประโยคเลยไม่รู้ว่ากล่าวถึงอะไร และเพราะต่างก้มหน้าก้มตาทำงานของตัว เขาเลยยิ่งไม่รู้ว่าพูดถึงใคร

อย่างไรก็ตาม เขาเองไม่ใช่คนช่างพูด เลยนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น จนผู้หญิงอีกคนแต่งหน้าเสร็จ เขาถามชื่อก่อนหยิบถุงเสื้อที่เรียงเบอร์ไว้ออกมาให้ รุ่นพี่โมริถือชุดของตัวเองส่งมาฝากเขาไว้ พร้อมกับบอกว่าเห็นกาน้ำเดือดแล้ว ฮารุโตะแขวนเสื้อของรุ่นพี่ไว้ที่ราว พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหยิบปากกาจากในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเขียนสัญลักษณ์สามเหลี่ยมลงในกระดาษ ก่อนจะแขวนกระดานไว้ที่เดิมและเดินไปกดน้ำร้อนลงกระบอกชา

เดินกลับเข้าห้องมาดูคิวเสื้อผ้าอีกครั้ง ยังไม่ทันที่รุ่นพี่ฮายาชิจะแต่งหน้าเสร็จ รุ่นพี่โมริก็วนกลับมาอีกรอบ รอจนส่งเสื้อผ้าให้รุ่นพี่ฮายาชิที่แต่งหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเป็นคนสุดท้าย เขาจึงเดินตามออกไปจากห้องบ้าง

แต่ก่อนหน้านั้น ก็เลี้ยวแวะเข้าห้องครัว หยิบกระบอกชาและแก้วกระดาษตามออกไปด้วย

หันมองรุ่นพี่ชิมิซึที่ทำหน้านิ่งอยู่หน้าฉากถ่ายภาพ แต่ต้องหันเหความสนใจกลับมามองที่คัตสึกิซังอีกครั้งเมื่อหญิงสาวบอกให้ส่งกระบอกชากับแก้วน้ำให้เธอถือ จากนั้นเขาจึงโดนไล่ให้มาดูเสื้อผ้าให้นางแบบผู้หญิงอีกรอบ

งานนี้ง่ายและสบายจนต้องถอนหายใจทิ้ง

“เบื่อหรือ”เสียงทุ้มเอ่ยถามดังมาทำให้ฮารุโตะสะดุ้งหันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงสั่นศีรษะปฏิเสธ เขาดูหมายเลขและชื่อบนกระดานก่อนจะหยิบเสื้อผ้าส่งให้

“อย่าลืมเรื่องเสาร์อาทิตย์นี้ละ”

ฮารุโตะยังตอบรับด้วยการพยักหน้าเช่นเดิม

ถึงเวลาเที่ยงวัน คัตซึกิซังก็บอกให้หยุดพัก ฮารุโตะเห็นทาคุมิถือถุงข้าวกล่องเข้ามา จึงเดินไปช่วยรับมาถือและนำไปแจกให้คนอื่นๆ จนเหลือกล่องสุดท้ายของตัวเอง เขาโดนดึงข้อมือให้ทรุดตัวลงนั่งข้างรุ่นพี่ร่างสูง และทาคุมิก็ตามมานั่งลงข้างกัน

“ดีแหะ ได้เงินแถมข้าวฟรีอีก”

“อือ”

“นายได้ทำอะไรอ่ะ”

ฮารุโตะที่เคี้ยวข้าวอยู่ในปากจึงต้องรีบกลืน “ดูแค่เสื้อผ้าเอง”

“ดีอ่ะ ฉันนะต้องยกโน่น แบกนี้ นี่ยังมีงานที่พี่เขาสั่งค้างไว้ด้วยนะ รีบกินหน่อยดิ ไปช่วยกันหน่อย”

“อ่อ อืม”

“งานของตัวเองไม่ใช่หรือ ก็ทำเองซิ ทำไมต้องมาใช้คนอื่นเขาต่อ แล้วฉันก็เห็นว่าเรย์มันช่วยนายทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”ซากิพูดแทรกขึ้นมาทันควัน ประโยคต่อมาเขาพูดกับฮารุโตะ”นายเองก็กินข้าวของตัวเองไปไม่ต้องไปช่วยเขา”

“อะไรว่ะ รุ่นพี่มาเกี่ยวอะไรด้วย”ทาคุมิพูดอย่างหงุดหงิด

“กินเสร็จแล้วไม่ใช่เรอะ รีบไปทำงานซิ จะได้เสร็จเร็วขึ้น”ซากิพูดเสียงเย็นที่คนในกลุ่มเพื่อนต่างรู้กันดีว่า เจ้าของคำพูดกำลังโมโห เรย์จึงต้องรีบโซ้ยข้าวเข้าปากและลุกขึ้นลากทาคุมิให้ออกห่าง

ซากินิ่งเงียบไปพักใหญ่ เหลือบตามองฮารุโตะ เห็นหนุ่มรุ่นน้องก้มหน้าก้มตากินข้าวด้วยความเร็วที่ช้ากว่าเดิมเสียอีก เขาลอบถอนหายใจ วางมือลงบนศีรษะของฮารุโตะพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงปกติว่า “กินเข้าอย่ามัวแต่เขี่ยเล่น หรือถ้าไม่อยากกินเองก็บอก เดี๋ยวป้อนให้”

คราวนี้ฮารุโตะเงยหน้าขึ้นมามองเขาตาโตและพูดกับชายหนุ่มด้วยอาการตื่นตกใจ “ผมกินเองได้” ทำให้ซากิหัวเราะกับท่าทางนั้น

เสื้อผ้าเซ็ตสุดท้ายเป็นชุดกีฬา ซึ่งนายแบบนางแบบทั้งหลายนอกจากจะมีการฉีดพรมน้ำให้เหมือนเหงื่อ ยังมีการนำขวดน้ำที่ฮารุโตะไปซื้อเมื่อตอนเพิ่งมาถึง ยกดื่มบ้าง สาดเล่น ลาดศีรษะบ้าง และของรุ่นพี่ชิมิซึเป็นการยกราดศีรษะจนเปียกไปทั้งตัว

จนตอนที่ถ่ายภาพกันเสร็จแล้ว ฮารุโตะซึ่งมีหน้าที่เตรียมผ้าขนหนูอีกหนึ่งอย่าง จึงเดินถือเข้าไปส่งให้ถึงมือ และถึงจะส่งผ้าขนหนูไปให้แล้วก็จริง รุ่นพี่ก็ยังสะบัดศีรษะเหมือนแกล้งให้น้ำกระเด็นใส่ จนต้องผงะถอนหนี ส่วนเจ้าตัวกลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

บ่ายแก่ๆเท่านั้นเองที่งานของวันนี้ก็จบลง

“พรุ่งนี้ไปที่นี่เลยนะ เดี๋ยวซึกิซากะกับอัตซึชิจะบอกเองว่าให้ทำอะไร”รุ่นพี่อาโอกิส่งกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ ซึ่งทาคุมิก็ยื่นหน้ามาดูด้วยทันที และพูดว่า

“ผมไปด้วยได้ไหมครับ”

“แน่นอน”

“เอ่อ... รุ่นพี่ครับเสาร์กับอาทิตย์นี้ผมไม่ว่างนะครับ”ฮารุโตะบอก

“ไปไหนอ่ะ”คนที่ถามประโยคนี้คือทาคุมิ และโดนนาโอโตะตอบตัดบทไปทันทีว่า “ฮารุจังจะไปไหนก็เรื่องของเขา นายจะไปเกี่ยวอะไรกับเขาละ”

“รุ่นพี่ครับ เพื่อนกัน จะไปไหนก็ต้องไปด้วยกันสิ”

“วุ้ย เขาจะไปเดทกับแฟน นายก็อยากไปเป็นกอขอคอหรืออย่างไร”

พอโดนคำพูดแซวเช่นนั้น ฮารุโตะรู้สึกว่าหน้าของตนจะร้อนขึ้นมาอีก และอ้อมแอ้มบอกไปว่า “ไม่ได้ไปเดทหรอกครับ รุ่นพี่ชิมิซึเขา...” ฮารุโตะอึกอักไม่รู้ว่าจะบอกว่าอย่างไรดี เพราะรู้แน่อยู่แล้วว่ารุ่นพี่ชิมิซึนัดเขาเพื่ออะไร “...มีงานให้ผมช่วยทำ”

นาโอโตะจึงยกยิ้มกึ่งสงสารกึ่งเอ็นดู ลูบศีรษะรุ่นน้องไปพลาง เขาอุตส่าห์บอกปัดตัดบท เจ้าตัวก็ซื่อบอกเขาไปซะหมด ส่วนเด็กหนุ่มตัวสูงเพื่อนของฮารุโตะก็ช่างงี่เง่าเสียจริง ยังวุ่นวายไม่เลิก

“นั่นไง ให้ฉันไปด้วย จะได้ช่วยทำงานไง ไม่เอาเงินก็ได้นะ”

“งานของฉันนะ นายทำไม่ได้หรอกแล้วฉันก็ไม่ให้นายทำด้วย”ซากิพูดแทรกทะลุขึ้นมากลางปล้อง เขาเพิ่งผละจากกลุ่มเพื่อนเข้ามาหา ทันได้ยินคำบอกของฮารุโตะและคำพูดของทาคุมิพอดี ชายหนุ่มโอบบ่าของฮารุโตะไว้ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้หนุ่มรุ่นน้อง

“วันนี้กลับเองนะ ฉันจะไปอ่านหนังสือกับเจ้าพวกนั้น”

“ครับ”

ซากิเหลือบมองทาคุมิด้วยหางตาอีกครั้ง ก่อนจะแตะริมฝีปากกับหน้าผากของฮารุโตะเบาๆ คนโดนจูบตกใจถึงกับยกมือกุมหน้าผาก หน้าแดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง นาโอโตะถอนหายใจด้วยความเซ็ง ส่วนทาคุมิขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย

แยกย้ายจากกลุ่มรุ่นพี่ ทาคุมิก็เอ่ยถามทันที

“ถามจริงอ่ะ เป็นอะไรกับรุ่นพี่ชิมิซึ”

ฮารุโตะมองหน้าคนถามด้วยความงุนงงพร้อมกับคิดสงสัยในใจ ทำไมช่วงนี้มีแต่คนชอบถามคำถามนี้นะ

“เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมชมรม”และเมื่อตอบออกไปตามตรงคนถามก็ทำหน้าไม่เชื่อ จนฮารุโตะคิดว่า คงต้องรอให้รุ่นพี่ซากิอารมณ์ดีแล้วลองถามดูบ้างดีกว่า

“รุ่นพี่เขาเหมือนไม่ชอบหน้าฉันเลยอ่ะ ไม่ได้ทำอะไรให้สักหน่อย”

“รุ่นพี่ชิมิซึน่ะ บางทีก็ดุถ้าอารมณ์ไม่ดี แต่ก็ใจดีนะ”

“เห๋!!!! มีด้วยหรือไอ้ความใจดีเนี่ย”

“อือ ถามคนในชมรมได้”เมื่อยืนยันไปอย่างนั้น รุ่งขึ้นอีกวันที่ทาคุมิได้มีโอกาสเจอสมาชิกชมรมถ่ายภาพคนอื่นจึงได้เอ่ยถามขึ้นมา

“ก็ดีนะ อาจจะดูนิ่งๆเงียบๆไม่เฮฮาเท่ากลุ่มเพื่อน แต่ถ้ามีปัญหาไปขอให้ช่วย เขาก็จัดการให้เลย”อัตซึชิพูด ซึ่งเมื่อซาโต้ ทาคุมิและซาโต้ อัตซึชิแนะนำตัวกันเสร็จเรียบร้อยต่างก็สรุปกันว่าควรจะเรียกชื่อต้นแทนนามสกุล และแม้ว่าซาโต้ อัตสึชิจะเป็นรุ่นพี่ปีสองเจ้าตัวก็ไม่ได้ถือสา

จบคำพูดของแฟนหนุ่ม ซึกิซากะกล่าวเสริมขึ้นมาอีกว่า “แรกๆอาจจะไม่ค่อยชิน เพราะพี่เขาไม่ช่างคุย ดูเหมือนหยิ่งแต่พอได้ทำงานด้วย บางครั้งพี่เขาอาจจะเหมือนไม่ค่อยชอบใจอยู่บ้าง แต่ไม่เคยบ่นออกมาสักครั้ง”

“แล้วถ้าเกิดเป็นผู้หญิงเข้าไปชวนคุยละก็ เขาจะพูดตอบกลับมาดีเลยละ”

ฮารุโตะฟังแล้วรู้สึกแปลบวาบในอกขึ้นมา ลองนึกย้อนดูก็เป็นตามที่รุ่นพี่ซาโต้กับรุ่นพี่อาเบะพูด ตัวเขาเองกว่าจะได้เริ่มคุยกับรุ่นพี่ชิมิซึก็หลังจากเข้าชมรมมาแล้วเป็นเดือนๆ

“อ่อ เป็นพวกหน้าหม้อสินะ”ทาคุมิพูดขึ้นมาบ้าง

พวกเขาอยู่ระหว่างช่วงพัก ทาคุมินั่งเหงื่อโชกทั้งที่อากาศเย็นจัดเพราะเจ้าตัวต้องสวมชุดมาสคอตซึ่งเป็นโลโก้ขนมขบเคี้ยว

งานวันนี้เป็นบูธโปรโมทผลิตภัณฑ์ ซึกิซากะซึ่งเป็นผู้หญิงหน้าตาดีจะเป็นคนแนะนำผลิตภัณฑ์ให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาภายในห้างสรรพสินค้า ส่วนอัตซึชิแฟนหนุ่มเป็นฝ่ายสวมชุดมาสคอต แต่อย่างที่รู้ว่าภายในชุดมาสคอตนั้นร้อนมาก อัตซึชิต้องขอให้รุ่นพี่อาโอกิหาคนมาช่วยผลัดเปลี่ยน

“ก็พูดไป รุ่นพี่เขาหล่อ เท่ เป็นนักกีฬา ผู้หญิงคนไหนก็ชอบ ขนาดซึกิจังนะ เข้ามาชมรมแรกๆอ่ะยังตามกรี้ดพี่เขาน่าดูเลยละ”

“ถึงตอนนี้จะตกลงคบกับอัตซึชิแล้วก็ยังเป็นแฟนคลับรุ่นพี่นะ อยากจะบอก”

“เป็นแฟนคลับอย่างเดียวนะซึกิจัง อย่าให้รู้ว่าเป็นอย่างอื่นด้วยละ”

“แหมตัวเองอ่ะ เค้าอ่ะรักแต่ตัวเองนะ แล้วอีกอย่างรุ่นพี่เขาก็ไม่คบเด็กในชมรมหรอก จำจิฮายะได้ไหม นั่นก็สมัครเข้าชมรมมาจีบรุ่นพี่นะ แต่โดนปฏิเสธไปเลยต้องลาออกจากชมรมละ”สองคนนั้นยังกระหนุงกระหนิง เล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ทาคุมิฟังอีกหลายอย่าง

ฮารุโตะเองก็ฟังบ้างไม่ได้ฟังบ้าง เพราะใจมันจมจ่ออยู่กับคำพูดของซึกิซากะเสียแล้ว ใจหนึ่ง ฮารุโตะก็พยายามยั้งห้ามตัวเองเอาไว้ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดเพ้อฝันไปเสียไกล เข้าข้างตัวเองว่ารุ่นพี่มองเห็นเขาเป็นคนพิเศษ จนใครหลายคนเอ่ยปากตั้งข้อสังเกตกับความสัมพันธ์อันแปลกประหลาด หรือไม่ก็เป็นตัวเขาเองที่ตื่นเต้นกระตือรือร้นกับความใจดีของรุ่นพี่จนคนอื่นเข้าใจผิด

หรือที่จริงแล้ว เขาควรจะถอยห่างจากรุ่นพี่ให้มากกว่านี้  ฮารุโตะได้แต่ครุ่นคิดด้วยความลังเลสับสนในใจ



ทว่า เย็นวันศุกร์ที่รุ่นพี่มานอนค้างด้วยก็มาถึงอย่างรวดเร็ว ฮารุโตะสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่ารุ่นพี่ชิมิซึค่อนข้างจะอารมณ์ดีมาก เขาจึงไม่อยากทำอะไรให้รุ่นพี่ขุ่นเคืองโมโห เมื่อรุ่นพี่บอกให้เขาทำอะไรจึงยอมทำตามอย่างว่าง่าย เช้าวันเสาร์เขาตื่นมาทำอาหารเช้า ทานข้าวกับรุ่นพี่ และออกจากห้องพร้อมกระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบย่อมที่มีทั้งเสื้อผ้าของเขาและของหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงรวมอยู่ด้วยกัน

รุ่นพี่ชิมิซึพาเขาเดินย้อนเข้าไปในซอย ลึกเข้าไปไม่กี่ร้อยเมตร พาเขามาหยุดยืนที่บ้านหลังหนึ่ง กดโทรศัพท์โทรออกพูดคุยอยู่ครู่เดียว หลังจากวางสายไปไม่นาน เจ้าของบ้านก็เดินออกมาเปิดประตู ฮารุโตะจึงเอ่ยปากทักทายเจ้าบ้านซึ่งเป็นรุ่นพี่ในชมรมที่เขารู้จักดี ระหว่างที่รุ่นพี่ชิมิซึเดินเข้าไปในบ้าน กดปุ่มบนกุญแจปลดล็อกรถยนต์ที่จอดอยู่ภายในรั้วบ้าน

“เพิ่งตื่นหรือครับ”

“อืม ตื่นตอนที่ซากิมันโทรมานะแหละ”เรียวตะตอบพลางดึงฮารุโตะให้ชิดข้างทาง หลบรถยนต์ที่ซากิกำลังขับถอยออกมายังถนน

ชิมิซึ ซากิกดกระจกลงเรียกให้ฮารุโตะขึ้นรถ หนุ่มรุ่นน้องจึงหันไปบอกลารุ่นพี่ผู้เป็นเจ้าของบ้าน ก่อนจะก้าวเท้าไปขึ้นรถ เรียวตะโบกมือให้ทั้งคู่จากนั้นรถยนต์ที่มีซากิเป็นผู้ขับก็เคลื่อนที่ออกไป

“จะไปไหนหรือครับ”มานั่งอยู่บนรถขนาดนี้แล้ว ฮารุโตะคิดว่าเขาควรจะถามจุดหมายของการเดินทางครั้งนี้ดูบ้าง

“นึกว่าจะไม่ถามซะแล้ว”รุ่นพี่ยิ้มกว้างอย่างที่เขาต้องยกยิ้มตาม

“จะพาไปสวนสนุก”

“เอ๊ะ!!!”ฮารุโตะร้องออกมาอย่างแปลกใจ ไม่นึกว่าอย่างรุ่นพี่จะชอบไปสวนสนุก

“จะแปลกใจอะไร ฉันตั้งใจพานายไปนั่นแหละ”

“เอ๋!!!!!!”คราวนี้เขาร้องเสียงหลงยิ่งไปกว่าเดิม จากนั้นก็อึกอักทำหน้าลำบากใจ “รุ่นพี่ไม่ยอมบอกก่อน ผมนึกว่าไปใกล้ๆ ก็เลยไม่ได้เตรียมเงินมา” ฮารุโตะกังวลใจหนักถึงขั้นหยิบกระเป๋าเงินออกมาดู เขาเป็นมนุษย์จำพวกไม่พกเงินจำนวนเยอะๆไว้กับตัวอยู่แล้วด้วย

“จะคิดมากอะไร ฉันจ่ายให้อยู่แล้วละน่า ฉันเป็นคนพามานะ”

“แต่ผมเกรงใจ ค่าบัตรไม่ใช่ถูกๆ”ถึงเขาจะไม่เคยไป แต่ก็เคยได้ยินเพื่อนในห้องตอนสมัยเรียนมัธยมพูดถึง ตอนนั้นเขาฝันว่าอยากจะไปบ้างเหมือนกัน แต่ความคิดความฝันที่ว่าต้องจางหายไปด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง

“ไม่จ่ายให้ฟรีๆอยู่แล้วนี่ แลกกับการที่นายต้องทำตัวน่ารักๆ ตอนกลางคืนไง”ซากิละสายตาจากถนนเพื่อเหลือบมองหนุ่มรุ่นน้องซึ่งเอี้ยวตัวหันหน้ามาคุยกับเขา ก่อนหันกลับไปมองถนนเช่นเดิมเมื่ออีกฝ่ายก้มหน้างุดๆซ่อนข้างแก้มซึ่งกลายเป็นสีเรื่อ ตามมาด้วยเสียงตอบรับแสนเบาว่า ‘ครับ’

หลังจากนั้นบทสนทนาระหว่างพวกเขาก็หายเงียบ ซากิจึงเปิดเพลงเพื่อไม่ให้บรรยากาศภายในรถเงียบเหงาเกินไปนัก เวลาผ่านไปไม่นาน หนุ่มรุ่นน้องซึ่งนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ในคราแรกก็เงยหน้าขึ้นมาให้ความสนใจวิวทิวทัศน์ข้างทาง แม้ว่าเขาจะใช้ทางพิเศษในการเดินทางซึ่งไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจสำหรับเขานัก แต่สีหน้าของฮารุโตะกลับต่างออกไป

ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงกว่าที่พวกเขาจะถึงจุดหมายปลายทาง

ฮารุโตะชะเง้อคอมองสวนสนุกขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ติดชายทะเลตั้งแต่ที่เขาขับรถผ่าน ลงจากรถมาได้ หนุ่มรุ่นน้องร่างเล็กจึงมองซ้ายทีขวาทีล่อกแล่กอย่างคนที่พึ่งเคยมาครั้งแรก จนซากิต้องเดินเข้ามาจับมือจูงเด็กหนุ่มให้เดินตามเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะกลายเป็นเด็กหลงไปจริงๆ

สวนสนุกในวันนี้อยู่ในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ นอกจากการประดับตกแต่งในโทนสีชมพู แดง ขาว ดอกกุหลาบ ลูกโป่ง ดอกไม้และหัวใจแล้ว ยังเต็มไปด้วยคู่รักที่ต่างจับมือเดินเคียงกัน ซึ่งไม่รู้เป็นเพราะบรรยากาศเช่นนี้หรือเปล่า ฮารุโตะจึงมีอาการเกร็งประหม่าอย่างที่ซากิเองก็รู้สึกได้

“เป็นอะไร”ซากิเอ่ยถามขณะที่ยืนรอต่อแถวเพื่อเล่นเครื่องเล่น ฮารุโตะสั่นศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธกลับมา เป็นปฏิกิริยาตอบรับที่เขาคาดเดาไว้ในใจ ชายหนุ่มจึงยกมือขึ้นลูกศีรษะของหนุ่มรุ่นน้อง โดยหวังให้อีกฝ่ายจะคลายอาการประหม่าลง ทว่าสิ่งที่ขจัดอาการแปลกๆของฮารุโตะได้อย่างราบคาบกลับเป็นบิ๊กธันเดอร์เมาน์เท่นที่พวกเขาเพิ่งขึ้นไปเล่นเมื่อสักครู่

“เหมือนหัวใจจะหลุดออกมาจากอก”ฮารุโตะยกมือกุมหน้าอก หัวใจยังคงเต้นโครมครามด้วยความหวาดเสียวที่เพิ่งเผชิญ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาจึงหันกลับไปมองรุ่นพี่ร่างสูงที่ยืนอยู่ไม่ห่าง

“ต่อไหม”

เด็กหนุ่มรีบสั่นศีรษะ “ขออะไรที่มันเบาๆกว่านี้ก่อนนะครับ”

“อืม งั้นไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่าไหม”

เขาพยักหน้ารับ วางมือของตนลงบนมือของรุ่นพี่ที่ยื่นมาตรงหน้า และตอบคำถามเรื่องของกินที่อีกฝ่ายถามมา

พวกเขาเดินเที่ยวเล่นอยู่ในสวนสนุกตลอดทั้งวัน และจบทริปวันนั้นด้วยการดูขบวนพาเหรดซึ่งเป็นการแสดงหลักที่มีเป็นประจำ หลังจากนั้นชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นรุ่นพี่ร่วมชมรมจึงพาฮารุโตะไปเข้าพักในโรงแรมที่ตั้งอยู่ห่างออกมาไม่ไกล เมื่อมองจากระเบียงของห้องพักจะเห็นแสงไฟสว่างจากสวนสนุก ฮารุโตะมาหยุดยืนมองอยู่ได้ไม่นานก็โดนไล่ให้ไปอาบน้ำ ใช้เวลาไม่นานเขาจึงกลับออกมาในชุดเสื้อคลุมของโรงแรม

รุ่นพี่บอกให้ทำตัวน่ารักๆ เด็กหนุ่มคิดเช่นนั้นอยู่ในใจทั้งที่ตกอยู่ในอาการประหม่า

กระนั้นเมื่อฮารุโตะล้มตัวลงนอนบนเตียงเพียงแค่ครู่เดียว เขากลับหลับสนิทไปอย่างง่ายดาย มาสะดุ้งรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อยามเช้ามาเยือน ซ้ำเขายังรู้สึกเหมือนว่าตัวเองยังคงนอนคว่ำหน้าท่าเดียวกับเมื่อคืน และเมื่อขยับตัว คนที่นอนเบียดอยู่บนเตียงขนาดคิงไซส์ด้วยกันพลันขยับตัวตื่นขึ้นมาเช่นเดียวกัน

“เมื่อคืนไม่ปลุกละครับ”

“เห็นเด็กน้อยนอนหลับ ใครจะกล้าปลุก”

ฮารุโตะมุ่ยหน้า

ซากิขยับเข้าไปใกล้ แนบหน้าผากลงบนหน้าผากของหนุ่มรุ่นน้อง แล้วแตะริมฝีปากลงบนริมฝีปากอิ่มที่ดูซีดกว่าช่วงกลางวัน

เด็กหนุ่มขยับถอยยกมือขึ้นปิดปาก “ยังไม่ได้แปรงฟันเลย”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จูบ”ชายหนุ่มว่าเช่นนั้นก่อนจะลากปลายจมูกไปตามสันกราม แทะเล็มตามแนวคอไปจนถึงแอ่งชีพจร ใช้ฟันขบกัดผิวเนื้อซึ่งโผล่พ้นสาบเสื้อคลุม แสงกลางวันสว่างจ้าจากบานหน้าต่างซึ่งรวบม่านมัดไว้ทั้งสองข้างตกกระทบลงบนร่างกายทำให้สีผิวนั้นดูแตกต่างกว่าทุกที

เขาลากมือปลุกเร้าร่างผอมบางของหนุ่มรุ่นน้องด้วยความคุ้นชิน กระตุ้นเร้าจนอีกฝ่ายดีดดิ้นคล้ายทรมาน ปรนเปรอเล้าโลมจนร่างเล็กบางเปิดเปลือยยอมให้เขาสอดใส่เข้าไปโดยง่าย ซ้ำยังตอบสนองและโอบรัดเขาไว้แนบแน่น  ซากิขยับตัวอืดเอื่อย ขยับย้ำหมุนควง จนร่างที่นอนอยู่ต้องหลุดเสียงครางผะแผ่ว

จวบจนห้วงอารมณ์กระสันซ่านผ่านไป

ฮารุโตะหลับตาซบหน้าอยู่บนไหล่กว้างของหนุ่มรุ่นพี่ ปล่อยให้ซากิสางผมให้อย่างเพลินมือ  โดยชายหนุ่มร่างสูงตั้งใจว่าจะปล่อยให้หนุ่มรุ่นน้องนอนหลับสักพักก่อนปลุกให้ไปเดินเที่ยวในสวนสนุกกันต่อ เขาจึงหลับตาลงบ้าง

และก็เป็นฮารุโตะที่รู้สึกตัวตื่นก่อน  สำหรับซากิที่ตอนแรกอยากจะแค่พักสายตากลับกลายเป็นว่าเขาหลับไปจริงๆ พวกเขาใช้เวลาในการอาบน้ำแต่งตัวจัดการสภาพของตัวเองไม่นานก็พร้อมสำหรับการเดินเที่ยวในวันนี้

ออกจากโรงแรม ซากิพาฮารุโตะแวะร้านอาหารก่อนเป็นอันดับแรก ทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยจึงไปเดินทัวร์เที่ยวสวนสนุกตามโซนที่ยังไม่ได้ไป แต่วันนี้ซากิชวนอีกคนกลับโรงแรมตั้งแต่หัววัน เพราะไม่ว่าจะการแสดงหรือขบวนพาเหรดช่วงหัวค่ำพวกเขาก็ได้ดูไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ดังนั้นซากิจึงชวนเด็กหนุ่มไปเดินเล่นกันบนเตียงแทน

และเมื่อเห็นว่าทางสวนสนุกมีการจุดพลุแสดงเป็นรายการสุดท้าย ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นไปปิดไฟและพาฮารุโตะไปยืนเกาะกระจกเพื่อดูพลุ ระหว่างนั้นก็จ้วงทะยานควบขับเข้าหาเพื่อเสพสุข ฮารุโตะส่งเสียงร้องครางครือ ขยับสะโพกตอบรับความซ่านเสียวที่ดึงสติการรับรู้ของเขาไปหมด ก่อนที่จังหวะชักนำจะโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้น ไม่ช้าไม่นานพวกเขาก็ไปถึงปลายทางแห่งความสุขสม ทว่านั่นก็เป็นเพียงหนึ่งครั้งในค่ำคืนอันแสนยาวนานนี้

เช้าวันจันทร์ตอนขากลับ ฮารุโตะตื่นมาด้วยท่าทางสะลึมสะลือ เขาเดินตามการจูงมือของรุ่นพี่จนมาถึงรถ และนอนหลับตั้งแต่รถเพิ่งเคลื่อนที่ ซากิจึงต้องแวะจอดข้างทางเพื่อปรับเบาะรวมถึงหาทั้งหมอนและผ้าห่มให้อีกฝ่าย

“หือ”เด็กหนุ่มปรือตาขึ้นมามอง

“ไม่มีอะไร นอนต่อเถอะ”เขาบอก กล่อมรอให้หนุ่มรุ่นน้องหลับตาลงอีกรอบจึงจะหันกลับมาบังคับรถให้เคลื่อนที่


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-03-2017 20:51:33 โดย ตีสี่ »

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'


ในกลุ่มสนทนาของชมรมมีการเรียกรวมให้สมาชิกไปประชุมกันเพื่อนัดหมายเรื่องวันท่องเที่ยวงานเลี้ยงอำลารุ่นพี่ปีสี่ ข้อความที่ว่าถูกแจ้งอยู่ในกลุ่มก่อนวันนัดร่วมๆ สองอาทิตย์ พร้อมกับข้อมูลกำหนดการวันท่องเที่ยวซึ่งรุ่นพี่ฮายาชิเอามาเขียนแปะไว้เป็นระยะๆ กว่าจะถึงวันประชุมจริงๆ ทั้งเวลาทั้งสถานที่ สมาชิกทุกคนก็รับรู้กันหมดแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ซาโต้ ทาคุมิ

“ผมไปด้วยไม่ได้หรือครับ รุ่นพี่ไม่สงสารเด็กน้อยตาดำๆบ้างหรือ”

ฮารุโตะคิดว่าถ้าทาคุมิกอดขารุ่นพี่อาโอกิได้ก็คงจะทำไปแล้ว เพราะมาคลุกคลีกับคนในชมรม เพื่อนร่วมคณะของเขาจึงพอจะรู้ว่ารุ่นพี่อาโอกิมีแฟนแล้ว และตอนนี้แฟนของรุ่นพี่อาโอกิก็นั่งอยู่ไม่ไกลด้วย เจ้าตัวจึงแค่เกาะโซฟาทำตาปริบๆเท่านั้น

“รู้จักรุ่นพี่เขารึ ถึงจะไปด้วยนะ”

“รู้จักสิครับ”ด้วยการเข้าไปแนะนำตัวให้รุ่นพี่รู้จักเมื่อสองวันก่อน

เหตุการณ์ดังกล่าวมีที่ไปที่มาดังนี้คือ จู่ๆทาคุมิมาบอกเขาว่าอยากรู้จักรุ่นพี่ปีสี่ของชมรมที่กำลังจะเรียนจบ ตอนนั้นเขาพยักหน้ารับด้วยความที่ไม่ได้คิดอะไร แต่เพราะรุ่นพี่ฮอนดะเริ่มทำงานประจำในบริษัทที่เคยสมัครงานไว้แล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร จนกระทั่ง ได้ไปทำงานพิเศษใกล้กับบริษัทที่รุ่นพี่ทำงานอยู่ ถึงได้มีโอกาสนัดเจอกัน

“พี่โยชิบอกว่า ถ้าไม่ติดขัดเรื่องงบ จะพาไปด้วยก็ได้”เรย์อ่านข้อความที่คุยกับรุ่นพี่ฮอนดะให้นาโอโตะฟัง เนื่องจากการประชุมนี้จัดขึ้นวันธรรมดาที่เจ้าของงานเลี้ยงอำลาไม่ได้สามารถมาร่วมได้ คนอื่นก็เช่นกันหากวันนี้มาไม่ได้ แต่ยืนยันว่าสามารถเข้าร่วมกิจกรรมการท่องเที่ยวในครั้งนี้ได้หรือไม่ ก็ไม่มีปัญหา

“ถ้าอย่างนั้น ไว้รอถามสมาชิกคนอื่นก่อนนะ”นาโอโตะพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น เมื่อเห็นว่าถึงเวลานัดประชุมแล้วจึงเรียกรวมสมาชิกทุกคน

รายละเอียดของทริปนี้ไม่มีอะไรแตกต่างจากที่เรียวตะเคยเขียนบอกไว้ในกลุ่มสนทนา ก่อนที่หัวข้อประชุมจะมาจบลงที่ถามความคิดเห็นเรื่องซาโต้ ทาคุมิ ถึงแม้ว่าหลายคนจะไม่รู้จักทาคุมิ แต่เมื่อได้ยินว่ารุ่นพี่ฮอนดะ โยชิไม่มีปัญหา คนอื่นๆจึงไม่มีข้อขัดข้องเช่นเดียวกัน

“ทำไมถึงอยากไปละ”ฮารุโตะถามอย่างสงสัย

“เอ่า ก็ไปเที่ยว ใครๆก็อยากไปทั้งนั้น”

“แต่ซาโต้ซังไม่รู้จักใครเลยนะ”ถ้าเปลี่ยนเป็นฮารุโตะละก็ เขาคงไม่อยากไปร่วมกิจกรรมกับคนที่ไม่รู้จัก เพราะเมื่อไปก็ไม่รู้จะคุยกับใคร

“ก็นายไง”แต่เมื่อคนตอบเหลือบเห็นสายตาของชายหนุ่มอีกคนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆฮารุโตะจ้องเขม็งมองมา เขาจึงเพิ่มชื่อคนอื่นๆเข้าไปอีก “รุ่นพี่อาเบะ รุ่นพี่อัตซึชิ แล้วรุ่นพี่อีกตั้งหลายคน”

ฮารุโตะจึงพยักหน้ารับรู้ ตอนที่เขาไปเที่ยวกับชมรมครั้งแรก ก็ยังไม่รู้จักใครมากมายเหมือนกันนี่นะ



สถานที่ไปชมซากุระครั้งนี้อยู่ในจังหวัดนาโกย่า ต้องออกเดินทางกันตอนเจ็ดโมงเช้าที่สถานีรถไฟเช่นเดิม ถึงจุดหมายปลายทางกันตอนใกล้ๆสิบเอ็ดโมง พวกรุ่นพี่ผู้ชายต่างวิ่งรี่ไปปูเสื่อจองที่ นอกจากจองที่ปูเสื่อยังต้องหาที่ตั้งกล้อง ส่วนกำลังพลที่เหลือถือปิ่นโตเดินตามกันมาทีหลัง

ก่อนวันเดินทางซึ่งก็คือเมื่อวาน กลุ่มสมาชิกหญิงของชมรมและรองประธานชมรมได้นัดหมายไปช่วยกันทำข้าวกล่องปิ่นโตที่บ้านของรุ่นพี่อาโอกิ และเมื่อกล่าวถึงสมาชิกหญิง ซาโต้ อัตซึชิซึ่งเป็นแฟนของอาบะ ซึกิซากะจึงต้องตามไปด้วย ฮารุโตะซึ่งมักจะอาสาทำงานจิปาถะของชมรมอยู่แล้วขอตามไปเป็นลูกมือด้วยเช่นเดียวกัน

และเมื่อมีฮารุโตะ เด็กปีหนึ่งคณะวิทยาศาตร์อีกคนอย่างทาคุมิก็ขอตามไปด้วยเหมือนกัน แก็งหัวหน้าชมรมก็ไปคลุกอยู่ด้วย แต่กลุ่มนี้ไปนั่งเล่นนั่งคุยกันเสียมากกว่า

เริ่มเตรียมของกันช่วงบ่าย และแยกย้ายเข้านอนกันแต่หัวค่ำ โดยกลุ่มหญิงสาวนอนกันที่บ้านรุ่นพี่อาโอกิ และพวกผู้ชายนอนที่บ้านรุ่นพี่นาคามูระ ก่อนจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อทำกับข้าวเพิ่มเติมและเอากับข้าวทั้งหลายลงกล่อง

และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฮารุโตะได้เดินเข้าไปในบ้านของรุ่นพี่นาคามูระ แม้ว่าช่วงปิดเทอมฤดูร้อนที่ผ่านมาเขาจะมาคลุกอยู่ที่บ้านของรุ่นพี่อาโอกิบ่อยๆก็ตาม

ภายในบ้านตกแต่งด้วยโทนสีเข้ม แขวนภาพถ่ายไว้เต็มบ้าน ทั้งภาพวิวทิวทัศน์ ผู้คนหรือรูปครอบครัวที่ทำให้ฮารุโตะไปหยุดยืนพิจารณาอยู่นาน รุ่นพี่นาคามูระมีพี่ชายอยู่หนึ่งคนซึ่งมีใบหน้าพิมพ์เดียวกับน้องชาย ไม่ว่าจะรอยยิ้มหรือแววตา

“ดูอะไรน่ะ”เจ้าของเสียงนอกจากจะพูดถามยังวางคางไว้บนศีรษะของเขาอีก ฮารุโตะจึงขยับหันไปมองไม่ได้ ได้แต่แหงนคอขึ้นมอง

“ก็รูปของรุ่นพี่นาคามูระ”

“ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจเลย กลับไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้ามาส่ง”คนพูดเปลี่ยงจากวางคางไว้บนศีรษะย้ายมาวางไว้บนไหล่ของเขาแทน สองแขนก็โอบเอวดึงเขาไปแนบอก

“ไม่ดีกว่าครับ นอนที่ดีกว่า รุ่นพี่จะได้ไม่ต้องลำบากด้วย”ฮารุโตะเตรียมเสื้อผ้าข้าวของมาตั้งแต่ก่อนมา เพราะมีการคุยเรื่องนี้มาก่อนหน้าแล้ว ดูเหมือนว่าปีที่แล้วเองก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน

ซากิไม่ได้เซ้าซี้อะไรมาก เพียงแค่ถามดูอีกรอบเผื่ออีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ เพราะถึงอย่างไร เขาเองก็เตรียมเสื้อผ้ามานอนค้างที่บ้านของเรย์เช่นเดียวกัน  พอเขาตัดสินใจมานอนที่นี่ ทั้งเรียวตะและเอคิจิจึงตามมาตั้งวงกินเบียร์ที่บ้านของเรย์ด้วยกัน

“อะแฮ่ม”เสียงกระแอมกระไอดังขึ้น เรียกความสนใจให้เขาทั้งสองหันมอง ฮายาชิ เรียวตะยืนพิงอยู่ที่กรอบประตู

“จะกินไหม เบียร์อ่ะ”

“เออ ไปก่อนเดี๋ยวตามไป”

ลับหลังรุ่นพี่ฮายาชิไปแล้ว ฮารุโตะจึงหันไปแกะมือคนที่ยังกอดเอวเขาไม่ปล่อย “ผมจะไปอาบน้ำนอนแล้วครับ”

“ไม่ไปกินด้วยกันก่อนละ”

“ไม่เอาละ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”แกะมือออกจากเอวได้ มือของอีกฝ่ายก็ย้ายไปเกาะที่ไหล่ ฮารุโตะจึงก้าวเท้าเดินนำไปทั้งอย่างนั้น ก้าวเท้าลงบันไดไปส่งหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงที่ห้องชั้นล่าง ก่อนจะเลี่ยงกลับมาอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอนที่ห้องของรุ่นพี่นาคามูระ
คืนนี้นาคามูระ เรย์จะย้ายไปนอนที่ห้องของพี่ชาย ส่วนห้องนอนของตน เขายกให้เพื่อนและรุ่นน้องรวมหกชีวิตนอนเบียดกันในห้องนี้ แม้จะบอกว่าให้ไปนอนห้องพี่ชาย หรือห้องของพ่อกับแม่ได้ก็ไม่มีใครยอมตกลง ทั้งที่เจ้าของบ้านอุตส่าห์คิดว่า เป็นโชคดีที่ทั้งพ่อและพี่ชายติดงานที่อื่นทั้งคู่

หลังอาบน้ำเสร็จ ฮารุโตะมาล้มตัวลงนอนบนฟูกซึ่งวางอยู่ชิดผนัง ทาคุมิเองก็ตามนั่งอยู่ใกล้กัน

“นอนตรงนี้นะ”

“อืม”ฮารุโตะพยักหน้ารับ แค่ครู่เดียวเขาก็ดิ่งเข้าสู่นิทรา

ทว่า ตอนตื่นขึ้นมาเขากลับถูกย้ายไปนอนอยู่อีกฝั่งในอ้อมกอดของรุ่นพี่ชิมิซึ อย่างไรก็ตามฮารุโตะได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ จากนั้นจึงลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา ปลุกทั้งทาคุมิและอัตซึชิ ก่อนจะเดินไปยังบ้านอีกหลังที่อยู่ข้างกัน

หลังจากข้าวกล่องและอาหารทุกอย่างเสร็จสิ้น มีรุ่นพี่อีกกลุ่มที่มาช่วยรับหน้าที่ขนย้าย

ดังนั้นฮารุโตะจึงเดินตัวเบาสะพายแค่กระเป๋าของตัวเองมาตลอดทาง

นั่งทานอาหารไปพลางนั่งเล่นเกมไปพลาง ไม่นานเท่าไหร่ รุ่นพี่ชิมิซึที่หายไปพักใหญ่ก็เดินถือเค้กเข้ามาหา และเสียงร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดก็ดังออกมาจากสมาชิกทุกคน แม้จะจำได้ว่าวันนี้เป็นวันเกิด และพอจะรู้ว่าสมาชิกในชมรมชอบกิจกรรมเซอร์ไพรซ์  แต่ไม่เคยคิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับตัว ฮารุโตะน้ำตาคลอ ยิ้มกว้างอย่างดีใจ เรียกว่าเป็นการฉลองวันคล้ายวันเกิดครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่ที่เขาจำความได้คงไม่ผิดไปนัก

ตอนที่อยู่กับพ่อ เขาไม่เคยมีงานฉลองวันคล้ายวันเกิด แม้แต่เค้กสักก้อนยังไม่มี ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่ตอนนั้นเข้าใจว่าเพราะที่บ้านไม่ค่อยมีเงิน

เมื่อย้ายมาอยู่ในบ้านอุปถัมภ์ งานฉลองวันคล้ายวันเกิดของเขาถูกจัดพร้อมกับเด็กคนอื่นๆที่เกิดในเดือนเดียวกัน  เด็กคนอื่นอาจจะรู้สึกสนุก  แต่ตัวเขาที่รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกไม่สนิทกับใคร กลับรู้สึกเศร้าใจยิ่งกว่าเดิม

“ร้องไห้อย่างนั้นหรือ”รุ่นพี่ชิมิซึกระซิบถาม ระหว่างที่คนอื่นๆหัวเราะเฮฮา แย่งกันกินเค้กหลังจากที่เขาเป่าเทียนบนเค้กเสร็จเรียบร้อย

ฮารุโตะสั่นศีรษะ ก้มหน้าลงเมื่อรู้สึกถึงน้ำใสๆที่หัวตากำลังจะไหลออกมา

“เสียใจที่ฉันเอาเค้กมาให้อย่างนั้นหรือ”

“เปล่าซักหน่อย”ว่าพลางซุกหน้าลงกับแผ่นอกของรุ่นพี่ซึ่งวาดแขนโอบไหล่เขาไว้

“ดีใจต่างหาก”เขาบอกเสียงอู้อี้ นาทีนี้เขาไม่นึกอายใครทั้งนั้น แค่อยากกอดอีกคนไว้ เรื่องเค้กวันเกิดอาจจะไม่ใช่ความคิดของรุ่นพี่ชิมิซึก็เป็นได้ แต่นั่นกลับไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญคือรุ่นพี่ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองพิเศษกว่าคนอื่น

ด้วยเหตุนี้ฮารุโตะจึงอารมณ์ดียิ้มหวานให้ใครต่อใครมากเป็นพิเศษ เมื่อมีคนส่งแก้วเครื่องดื่มมึนเมามาให้ เขาก็พร้อมจะยกแก้วขึ้นดื่มให้หมดในคราวเดียว ถ้าไม่โดนห้ามไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวแก้วที่สองก็เมาพับไปแบบครั้งที่แล้วหรอก”

เขาฉีกยิ้มให้คนเตือนพร้อมพยักหน้ารับคำ ยกแก้วขึ้นจิบช้าๆ แล้วกลับมาสนุกสนานกับเกมการละเล่นในกลุ่มเพื่อนกันต่อ
กว่าที่พวกเขาจะเลิกกินเลิกดื่ม ฮารุโตะก็ไม่สามารถยืนทรงตัวได้เสียแล้ว เพื่อนๆพี่ๆในชมรมอีกจำนวนหนึ่งก็มีสภาพไม่ต่างกัน

“เอ้า เกาะดีๆนะ”ซากิร้องบอกขณะย่อตัวเพื่ออุ้มฮารุโตะขึ้นหลัง เมื่อทรงตัวยืนขึ้นได้จึงยื่นมือไปรับข้าวของที่สมาชิกที่ไม่มีอาการเมาเก็บกวาดส่งมาให้ บางคนก็พยุงคนเมาให้เดินกลับที่พัก  มีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นมาเป็นพักๆ ตามด้วยเสียงหัวเราะครึกครื้น

ซากิรับกุญแจห้องจากนาโอโตะ จากนั้นจึงหยิบกระเป๋าของเขาและหนุ่มรุ่นน้องซึ่งถูกฝากวางไว้ที่ล็อบบี้ของโรงแรมขึ้นมาถือ เดินตามกลุ่มเพื่อนขึ้นลิฟท์ ดูเหมือนว่าคราวนี้ฮารุโตะจะเมาไม่มาก เพราะถึงแม้จะถูกแบกอยู่บนหลังของเขา ก็ยังคุยกับคนโน้นคนนี้ไปทั่ว ซ้ำเมื่อถึงชั้นที่ต้องลงยังมีการโบกมือลาให้

“รุ่นพี่ๆ ย่อตัวหน่อย จะลง”เมื่อหนุ่มรุ่นน้องว่าอย่างนั้น ซากิจึงทำตามอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ ตอนที่ลงมายืนฮารุโตะสามารถทรงตัวอยู่ได้ แต่พอก้าวเดินเท้าเท่านั้นเด็กหนุ่มร่างเล็กเซถลาเหมือนจะล้มลงจนเขาต้องเข้าไปช่วยพยุง

“จะไปไหน”

“ไปอาบน้ำ ตัวเหม็น”

“อย่างนั้นถอดเสื้อก่อน เดี๋ยวจะช่วยอาบให้”ฮารุโตะปลดกระดุมถอดเสื้อตัวเองออกอย่างว่าง่าย พอถอดของตัวเองเสร็จยังหันมาถอดเสื้อให้เขาด้วย

“อาบด้วยกันเลย”

“ทำไมพูดจาน่ารักอย่างนี้ เมาจริงป่ะเนี่ย”

“เมา”พูดจบเจ้าตัวก็หัวเราะชอบใจ ซากิคิดว่าเหล้าที่กินเข้าไปคงมีผลไม่มากก็น้อย เพราะปกติฮารุโตะจะขี้อาย แม้จะโดนเขาบังคับให้ทำโน่นทำนี่เรื่องอย่างว่า แต่การจะมาเชิญชวนกันโจ่งแจ้งอย่างนี้ไม่เคยมีเสียหรอก

หลังอาบน้ำ ดูเหมือนว่าหนุ่มรุ่นน้องจะสร่างเมาลงเล็กน้อย แต่ออกอาการง่วงนอนชัดเจน ขนาดยืนให้เขาใช้ไดร์เป่าผมยังทำตาสะลึมสะลือ ซากิจัดการส่งคนที่ตัวเล็กกว่าจนถึงเตียงก่อนจะกลับมาจัดการสวมเสื้อผ้าเช็ดผมให้ตัวเองบ้าง และเมื่อเดินไปล้มตัวลงนอนบ้าง เขาหันไปเห็นฮารุโตะลืมตาแป๋ว ก่อนจะตะกายขึ้นมาบนตัวเขา

“ไม่ทำเหรอ”

“หือ ทำไมล่ะ”

“ก็...”เด็กหนุ่มโคลงศีรษะไปมาอย่างใช้ความคิด “ของขวัญไง”

“ของขวัญวันเกิดอ่ะนะ”

“อือ”แล้วก็โน้มตัวนอนหนุนบนอกของเขา

“ไม่ดีกว่า พรุ่งนี้นัดกับเจ้าพวกนั้นไว้ว่าจะไปถ่ายรูปแต่เช้า”

“อืม”ฮารุโตะครางรับแล้วก็นอนหลับไปเสียดื้อๆ จนเขานิ่งอึ้งร้องอุทานในหัวซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะต้องหลุดเสียงหัวเราะเบาๆอย่างอดไม่อยู่ แล้วจึงจัดท่าให้อีกฝ่ายนอนบนเตียงดีๆ ถึงแม้ว่าฮารุโตะจะตัวเล็กกว่าเขามาก แต่โดนนอนทับไว้ทั้งตัวแบบนี้นานๆก็ทำให้หายใจไม่ออกได้เหมือนกัน

ฮารุโตะรีบขยับตัวซุกเข้าหาทันทีที่เขาขยับตัว ทั้งที่ตาสองข้างยังคงปิดสนิท ซากิจึงขยับจัดท่าให้นอนได้สบายอีกครั้งก่อนจะปล่อยให้ตัวเองเข้าสู่นิทราไปเช่นเดียวกัน



ฮารุโตะรู้สึกตัวมาสักครู่แล้ว แต่เขายังไม่อยากลุก ยังรู้สึกมึนๆงงๆและอึนๆ ปลุกปลอบใจตัวเองอีกพักใหญ่จึงตัดสินใจลืมตาขึ้น เห็นหน้ารุ่นพี่ชิมิซึอยู่ตรงหน้า ใกล้กันจนสัมผัสลมหายใจร้อนผ่าว นอนมองใบหน้าของรุ่นพี่อีกพักใหญ่จึงยันตัวลุกขึ้น ท่อนแขนแข็งแรงจึงเลื่อนไปวางอยู่บนสะโพก แต่หนุ่มรุ่นพี่ยังนอนนิ่งคล้ายหลับลึก

เด็กหนุ่มค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง เข้าไปจัดการล้างหน้าทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ กลับออกมาเห็นรุ่นพี่ยังนอนนิ่งอยู่เช่นเดิม เขาจึงหยิบกระเป๋าเงินกับโทรศัพท์เปิดประตูออกไปจากห้อง พลางส่งข้อความหารุ่นพี่อาโอกิ

“อยู่ห้องอาหารชั้นหนึ่ง”

หลังอ่านข้อความตอบกลับ เขาจึงกดลิฟท์ลงไปชั้นห้องอาหาร เปิดประตูเข้าไปพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆ มองเห็นหนุ่มรุ่นพี่จับจองโต๊ะที่นั่งมุมหนึ่ง ฮารุโตะเดินตรงเข้าไปหา

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

“อืม อรุณสวัสดิ์ ลงมาคนเดียวหรือ”

“ครับ เห็นรุ่นพี่ชิมิซึยังไม่ตื่นเลยไม่อยากปลุก”

“คูปองอาหารเช้าน่าจะอยู่ที่ซากิ ถ้าอย่างนั้นเอาอันนี้ไปก่อน”

“ไม่เป็นไรก็ได้ครับ เดี๋ยวผมกลับขึ้นไปเอา”

“ไม่เป็นไรหรอก ของเรียวตะกับเอคิจินั่นแหละ ว่าแต่นี่ สบายดีแล้วใช่ไหม”

ฮารุโตะยกยิ้มแหยๆ “ยังมึนๆอยู่เหมือนกันครับ แล้วก็รู้สึกผะอืดผะอม”

นาโอโตะหัวเราะ “นั่นสิ เป็นครั้งแรกที่ดื่มเยอะขนาดนี้นี่นะ เอ้าลองไปเดินหาซุปร้อนๆมาทานดู จะได้ค่อยยังชั่วขึ้น”

เขาจึงลุกขึ้นไปหาซุปร้อนๆตามที่รุ่นพี่บอก นั่งละเลียดทานของอุ่นๆไปจนหมดถ้วยอาการผะอืดผะอมจึงค่อยทุเลาลง พร้อมกับความหิวที่ทวีความรุนแรงขึ้น เขาจึงลุกขึ้นไปหยิบจานเตรียมหาอะไรที่หนักท้องมาทานต่อไป ขณะกำลังสอดส่องสายตาเลือกอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ ฝ่ามืออุ่นร้อนและเสียงคุ้นเคยพลันมากระซิบข้างหู กระนั้นฮารุโตะก็ผละตัวออกห่างเล็กน้อย

“จะลงมาไม่มีโทรตามอ่ะ ทิ้งเพื่อนทิ้งฝูง”ทาคุมิแกล้งบ่น

“ก็ไม่รู้ว่าจะตื่นหรือยัง เดี๋ยวจะเป็นว่าโทรไปกวนอีก”ฮารุโตะบอกก่อนจะถือจานกลับมาที่โต๊ะ ทาคุมิจึงคว้าจานมาตักโน่นตักนี่ และเดินกลับมาที่โต๊ะบ้าง เขาเอ่ยปากทักทายรุ่นพี่ทั้งสองคน พร้อมกับนั่งลงข้างฮารุโตะ ระหว่างทานอาหารก็คุยกับรุ่นพี่ไปพลาง



ชิมิซึ ซากิบังเอิญเจอฮายาชิ เรียวตะและโมริ เอคิจิในลิฟท์สองคนนั้นแบกกระเป๋ากล้องและอุปกรณ์มาพร้อม เมื่อเจอเขาที่เดินออกจากห้องมาตัวเปล่าจึงถามด้วยความแปลกใจ

“แล้วกล้องแกละ จำได้ว่าเมื่อวานแกก็ไม่ได้เมามากนะเว้ย หรือฉันไม่ได้บอก”

“อ่อ ลืม”

“ลืม? ลืมที่ฉันบอกแก”

“ลืมเอากล้องลงมาด้วย”

“ขึ้นไปเอาก่อนไหม ทั้งเรย์ นาโอโตะ ฮารุจังแล้วน้องพูดมากก็อยู่ที่ห้องอาหารหมดแล้ว”เอคิจิพูดขึ้นมาบ้าง

“เด็กนั่นอยู่ที่ห้องอาหาร?”ซากิตวัดสายตากลับมามองเพื่อนพร้อมคำถามเสียงเย็น แต่อย่างเรียวตะรึจะรู้สึกรู้สา เขาหัวเราะและถามกลับไปว่า “เด็กนั่นหมายถึงไอ้น้องพูดมากน่ะเรอะ”

“แกก็รู้ว่าฉันหมายถึงใคร”

“อ้าว อย่างนั้นยิ่งแล้วใหญ่ แกนอนห้องเดียวกันแท้ๆ”

ซากิพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด จนเอคิจิต้องเอื้อมมือไปกดปุ่มเปิดประตูลิฟท์ เมื่อลิฟท์หยุดลงและประตูเปิดออก เอคิจิผลักร่างสูงใหญ่ของเพื่อนสนิทออกไปยืนข้างนอก พร้อมบอกว่า “อย่ามาทำตัวเป็นเด็ก แล้วก็กลับขึ้นไปเอากล้องมาด้วย ทานอาหารเช้าเสร็จจะได้ออกไปเลย”

เขารัวนิ้วลงบนปุ่มเพื่อเรียกลิฟท์กลับไปยังชั้นที่พัก มันน่าหงุดหงิดน้อยเสียเมื่อไหร่ นอนอยู่ด้วยกันแท้ๆจะไปไหนก็ไม่ยอมบอกกล่าว ต่อให้เขาหลับถ้าจะปลุกขึ้นมาซักหน่อย เขาก็ไม่ได้ว่าหรอกนะ ว่าแล้วก็รัวนิ้วบนแผงควบคุมลิฟท์อีกครั้งราวกับว่าการทำแบบนั้นจะทำให้ความหงุดหงิดที่มีอยู่จางลงได้

ที่สำคัญเมื่อมาถึงห้องอาหาร ไอ้เด็กพูดมากยังมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ที่ที่นั่งของเขาอีก ซากิจึงยิ่งอารมณ์ขุ่นมัวมากขึ้น แต่อาการของเขาในกลุ่มเพื่อนไม่มีใครให้ความสนใจ จะมีแต่เด็กนั่นที่พอเห็นหน้าเขาก็ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมพูดจาเหมือนจะรู้ว่าตัวเองทำผิด ดีเลย หัดรู้ซะบ้างว่าทำให้เขาหงุดหงิด คราวหน้าจะไม่ได้ทำอีก

“หน้าเป็นตูดจนน้องไม่กล้าเข้าใกล้แล้ว”เรียวตะเอ่ยแซวระหว่างที่พวกเขากำลังเดินถ่ายรูปในสวน กลีบดอกซากุระร่วงปลิวตามลมเป็นสาย แม้จะถ่ายรูปช่วงที่ซากุระบานกันเกือบทุกปี แต่พอเปลี่ยนสถานที่บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไป

ซากิยกกล้องขึ้นจับโฟกัสสองคนที่เดินคู่กันอยู่ข้างหน้า ไอ้เด็กพูดมากนั่นหัวเราะคิกคักยามที่หยอกล้อเล่นกับคนของเขา ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำตัวระริกระรี้มากนักไม่อย่างนั้นเขาคงโมโหกว่านี้ เขาปรับเลนส์กล้องให้ทุกอย่างกลายเป็นภาพเบลอ ยกเว้นใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้องที่หันมามองทางเขาพอดี และกดปุ่มจับภาพนั้นไว้อย่างว่องไว จากนั้นจึงแสร้งหันไปส่องเลนส์กับอย่างอื่นเมื่ออีกฝ่ายมีท่าทีสงสัย

“มีอะไรหรือฮารุจัง”

เขาไม่ได้ยินเสียงตอบแต่พอจะเดาได้ว่าคนถูกถามคงจะสั่นศีรษะยิกๆตามนิสัย

พวกเขาต้องกลับมาเก็บของก่อนเวลาสิบเอ็ดโมง หลังจากเช็คเอาท์กันเสร็จ นาโอโตะเดินนำพาเข้าแวะร้านอาหารที่จองที่ไว้แล้วเพื่อทานข้าวเที่ยงก่อนเดินทางกลับ ซึ่งสรุปกันว่าขากลับที่ต้องไปเปลี่ยนขบวนนี่สถานีอากิฮาบาระจะแวะเดินเที่ยวก่อนกลับ
ชิมิซึ ซากิคิดแผนเดินเที่ยวแถวอากิฮาบาระมาหลายอย่าง แต่อาจจะต้องโยนแผนการณ์ที่ว่าทิ้งไป เพราะคนที่ต้องการเดินเที่ยวด้วยยังไม่ยอมเข้าใกล้เขาเสียที

“รู้จักคำว่าง้อไหมเนี่ย”เรย์ที่นั่งอยู่อีกเบาะยื่นหน้ามากระซิบ

“อ่อ เพราะทะเลากับน้องเขาอยู่นี่เอง แกถึงเด้งมานั่งคู่กับฉัน”คนพูดชื่อมาซามุเนะ โทรุเรียนอยู่ชั้นปีและคณะเดียวกันกับเขา

“ทะเลาะกันเสียที่ไหน มันโมโหใส่น้องเขาไปฝ่ายเดียว น้องเขายังไม่รู้เรื่องอะไรเลย”เรียวตะที่นั่งอยู่เบาะหน้ายังอุตส่าห์เอี้ยวหน้ามาคุย

“เฮ้ย แล้วยิ่งตีหน้าดุใส่ น้องมันขี้กลัวขนาดนั้นคงยิ่งเผ่นหนี  โธ่! นึกว่าเพราะเพื่อนมาเที่ยวด้วยเลยไปทำตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋เสียอีก”โทรุยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงขบขันกึ่งสงสาร ยกมือตบไหล่ของซากิป้าบๆคล้ายเห็นใจ คนที่หงุดหงิดอยู่แล้วจึงยิ่งโมโหเพิ่มขึ้น หน้าหงิกเสียจนเรียวตะหัวเราะอย่างหยุดไม่อยู่

ซากิอารมณ์ร้อนขี้หงุดหงิดโมโหง่ายก็จริง แต่เพราะเป็นคนปากหนัก มือหนักเท้าหนัก อาการฉุนเฉียวจึงออกแค่ใบหน้า ไม่พอใจมากๆเข้าก็ลงมือเสียที

“เหวอ!!!!!”เรียวตะโยกตัวหลบ เมื่อมือใหญ่ของเพื่อนสนิทตั้งใจโบกศีรษะเขาแบบเน้นๆ แต่เพราะสถานที่คับแคบการโยกหลบของเขาเลยไปกระแทกกับเอคิจิเต็มๆ จึงถูกจัดเน้นๆอีกครั้งจากคนที่นั่งอยู่คู่กัน

“เล่นพอหรือยังว่ะ”เอคิจิขมวดคิ้วลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ ซากิจึงอารมณ์ดีขึ้นมาทันใด คนเริ่มประเด็นจึงบอกซ้ำว่า

“ง้อไปซะก็หมดเรื่อง”

“โถ่... มันเคยง้อใครที่ไหน ผู้หญิงคนไหนงอนมันก็ทิ้งเขาเลยทั้งนั้น”เรียวตะยังไม่เข็ด เขาพูดแซวอย่างคะนองปาก โทรุจึงบอกวิธีแก้ให้อย่างง่ายๆว่า

“ไม่ต้องไปง้อหรอก ไม่ได้โกรธกันไม่ใช่หรือ แค่เดินเนียนเข้าไปคุยด้วยก็พอ”

“แล้วเลิกตีหน้ายักษ์ได้แล้ว”เอคิจิโน้มตัวมากล่าวเสริม

แน่นอนว่าไม่มีเหตุที่เขาต้องไปง้อเสียหน่อยแต่วิธีของโทรุก็นับว่าไม่เลว

เมื่อลงจากรถไฟที่สถานีอากิฮาบาระ บางคนเอาสัมภาระของตนเองไปฝากเก็บไว้ที่ตู้ล็อกเกอร์ บ้างแยกไปดูของที่ตัวเองสนใจ ซากิเดินตามรุ่นน้องสองคนที่สะพายเป้หลังชี้ชวนกันไปเดินดูของ  ทาคุมิคงเคยมาเดินเที่ยวแล้วหลายครั้ง จึงเดินเลี้ยวซอยโน้นซอยนี้อย่างคล่องแคล่ว ต่างกับอีกคนที่มองซ้ายมองขวาด้วยอาการตื่นเต้น

พวกเขามีเวลาสองชั่วโมงในการเดินเที่ยว เพราะฉะนั้น ทาคุมิจึงไปหยุดที่ตู้เกมเป็นหลัก เขายืนมองดูอยู่ห่างๆ ยังไม่รู้ว่าจะเข้าไปคุยอย่างไรดี เนื่องจากแม้รุ่นน้องคนนั้นจะมองโน่นมองนี่อย่างสนใจ แต่ลักษณะอาการบอกได้ชัดว่า เพราะไม่เคยมาไม่เคยเห็นมาก่อน จึงให้ความสนใจกับทุกสิ่งรอบตัว ซากิเดินตามจนกลับขึ้นรถไฟอีกรอบ กลุ่มเพื่อนเห็นเขาจึงยกยิ้มแซวให้เขาทำหน้าเซ็งใส่ แต่กระนั้นไม่มีใครถามอะไรอีกซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดีมาก

ลงจากรถไฟอีกครั้งเมื่อถึงสถานีปลายทาง คราวนี้เขาเดินตามเด็กหนุ่มรุ่นน้องไปจนถึงห้องพักของอีกฝ่าย

ฮารุโตะหันมามองเขาบ้างยามที่เขาขึ้นรถบัสคันเดียวกับเจ้าตัว แต่เขาทำเป็นไม่สนใจ และหันมองพร้อมหยุดเดินอีกครั้งตอนที่เขาเดินตามหลังบนทางเท้าระหว่างทางไปห้องพัก แต่เขาไม่ได้หยุดเดินและเดินผ่านเจ้าตัวไป สีหน้าของฮารุโตะตอนที่เขาเดินผ่านดูตลกดีเหมือนกัน ชายหนุ่มยกยิ้มขำ

เร่งฝีเท้าเดินเพียงเล็กน้อยให้พอพ้นมุมเลี้ยว เขาจึงแอบเข้าข้างทาง ยืนรออีกครู่ใหญ่กระทั่งอีกฝ่ายเดินผ่านไป เขาจึงก้าวเท้าตามห่างๆ คราวนี้หนุ่มรุ่นน้องไปไม่ได้หันหลังกลับมามองเขาอีกเลย กระทั่งถึงห้องพัก ที่เจ้าตัวเพิ่งรู้ว่าเขาเดินตามมา หลังจากหันกลับมาเห็นเขาก็สะดุ้งโหยงด้วยท่าทางตกใจกลัวมากกว่าแปลกใจ จนเขาต้องหลุดหัวเราะอีกรอบ

“ไปอาบน้ำกัน”เขาเอ่ยชวนหลังจากเตรียมเสื้อผ้าข้าวของเรียบร้อย ตอนนั้น ฮารุโตะที่ยืนมองเขามาตลอดจึงได้หันไปเตรียมของของตัวเองบ้าง และเมื่อยืนมือออกไปเด็กหนุ่มรุ่นน้องจึงยื่นมือออกมาวางอย่างง่ายดาย ซากิมองมือข้างนั้น แล้วเลื่อนสายตาขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายที่ก้มหน้าก้มตามแอบลอบมองเขาอยู่เช่นนั้น แต่อากัปกิริยานั้นยังดูระแวดระวังภัย

เขากระชับมือ กระตุกเบาๆให้ฮารุโตะก้าวเดิน

ระหว่างเส้นทางนั้นยังคงไร้บทสนทนาเช่นเดิม แต่ทว่าตัวเขากลับมีความคิดมากมายในหัว ไฟทางยังคงสว่างไสวเช่นปกติ ต้นซากุระข้างทางผลิดอกสวยไม่ต่างในสวนที่นาโงย่าซึ่งพวกเขาเพิ่งไปดูมา ยามที่ลมพัดกลีบดอกร่วงปลิวลมมองคล้ายหิมะสีชมพู ความสวยงามของธรรมชาติที่มาพร้อมกับอุณหภูมิอากาศที่ค่อยๆอุ่นขึ้น



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++





*//
ทาคุมิจะเป็นเพื่อน (จริง ๆ) ของฮารุโตะได้ไหมนะ ตอนนี้ยังไม่เห็นจุดประสงค์ของการเข้าหา แต่จากประสบการณ์ของฮารุโตะก่อนหน้านี้ทำเราระแวงอยู่หน่อย
ตอนฮารุโตะล้มในห้องปฏิบัติการนั่นมีคนแกล้งสินะ แกล้งแรงไปไหม ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์เลยเหรอ ทำไมทุกคนทำเหมือนเป็นอุบัติเหตุ
รอตอนต่อไปค่ะ
ทาคุมิเป็นเพื่อนจริงๆค่ะ
และเหตุการณ์ในห้องปฏิบัติการนั่นแหละที่เราคิดว่าเหมือนจะไม่สมเหตุสมผล (แต่อยากเขียนถึงไง) เราคิดอยู่นานว่ามันเป็นไปได้ไหมที่โดนกระชากจนล้ม เพราะตามหลักแล้วมันต้องใช้แรงมาก แต่ถ้าคิดในมุมที่ว่าตูข้าหมั่นไส้และเกลียดคุณมาก ก็อาจจะเป็นไปได้ (มั้ง) ส่วน 'ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์เลยเหรอ' มันมีค่ะ แต่ไม่มีคนพูด เท่านั้นแล//*

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
มีความรู้สึกว่าจะเป็นชะนีกลุ่มนั้นแหละที่ทำ

เรากังวลสารพัดว่าซากิจะมาแค่ฆ่าเวลากับฮารุโตะ

ดูเป็นชีวิตเด็กมหาลัยดีนะคะ  สนใจทุกอย่างแต่ก็ไม่ได้เข้าไปศึกษาเชิงลึกเสียหมด

สนใจฮารุโตะแต่ทุกคนก็จรดจ่อกับชีวิตตัวเองจนไม่เคยมองลึกเข้าไปในชีวิตของน้อง

เหมือนกับรักษาระยะห่างเอาไว้ตามหลักญี่ปุ่น  ขนาดนาโอโตะเองก็ด้วย

ช่วงนี้ดอกไม้เริ่มบานในฤดูใบไม้ร่วงนิดๆแล้วสินะคะ  ฮารุโตะเปิดเผยอารมณ์มากขึ้น

ออฟไลน์ ตีสี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 412
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-5
    • 61'
เรื่องย่อ ตอนที่ 12

มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
ปีการศึกษาใหม่เริ่มขึ้นอีกครั้ง ฮารุโตะกลายเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สอง พร้อมๆกับที่เขาเริ่มสนิทสนมกับทาคุมิมากขึ้น แม้จะมีเรื่องโน้นเรื่องนี้ผ่านเข้ามาบ้าง แต่นับได้ช่วงที่ผ่านมาชีวิตของเขาสงบและราบรื่นราวกับทะเลไร้คลื่นลม


ตัวละครเพิ่มเติม
สมาชิกชมรมถ่ายภาพ
1.   โอโตวะ ชิโอริ
2.   โอคาดะ ทซึคิโยะ
3.   ทานากะ ฮานะ





春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย




Chapter 12



ปีการศึกษาใหม่เริ่มต้นอีกครั้ง พร้อมกับตารางเรียนที่หนักหนาสาหัสขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะตัวเขาตั้งใจที่จะลงเรียนให้เต็มหน่วยกิต ตารางเรียนของฮารุโตะจึงเริ่มแต่เช้าเหมือนเดิม ทิ้งชายหนุ่มอีกคนที่ยังคงนอนอุตุอยู่ที่ห้อง เด็กหนุ่มยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกถึง

“อุส!!!”

“อือ อรุณสวัสดิ์”

“ทำไมต้องลงเรียนแต่เช้าแบบนี้ด้วยเนี่ย”คนพูดบ่นพลางหาวหวอด

“ไม่ได้ขอให้มาลงด้วยซะหน่อย”

“ถ้าฉันไม่มาลงเรียนด้วย นายก็ต้องเหงาอยู่คนเดียวนา”ทาคุมิเหล่ตามองแกล้งพูดแซว ถึงที่อีกฝ่ายพูดมาจะเป็นเรื่องจริง แต่เขาชาชินเสียแล้ว พอบอกออกไปตามนั้น ก็โดนบ่นกลับมาอีก

“คิดแบบนั้นได้ที่ไหน มนุษย์เราใช้ชีวิตอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก ถึงอย่างไรก็ต้องมีเพื่อน ต้องพึ่งพาคนอื่น”ทาคุมิยังพูดไปอีกยาวตามประสา เขาไม่ได้อยากเถียงจึงเงียบปากฟังอีกฝ่าย และไม่ได้ปฏิเสธหรอกว่าชีวิตคนเราต้องพึ่งพาคนอื่นและต้องมีเพื่อน เพียงแต่เขารู้สึกว่าการพยายามทำตัวให้เข้ากับคนอื่นมันเป็นเรื่องยาก แต่อย่างว่าถ้าเขาไม่เจอพวกรุ่นพี่กับเพื่อนๆในชมรม เขาเองอาจจะไม่มีความคิดเช่นนี้

“จะเข้าชมรมเมื่อไหร่อ่ะ”

“พรุ่งนี้ วันนี้พวกพี่ปีสี่ไม่มีเรียน”

“ดีจัง เมื่อไหร่จะถึงปีสี่น๊า”

ถึงจะคิดว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็อดรู้สึกกังวลขึ้นมาไม่ได้ ถ้าไม่มีพวกรุ่นพี่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว มันอาจจะเป็นชั่วเวลาที่ย่ำแย่สำหรับเขาก็เป็นได้ ฮารุโตะคิดอย่างกังวล แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องที่ยังไม่เกิด เมื่อรู้ตัว เขาจึงดึงความสนใจของตัวเองให้กลับมาอยู่กับเนื้อหาการเรียนตรงหน้า

วิชาที่เขาลงเรียนมีเพื่อนในสาขาเดียวกันลงเรียนบ้างประปราย และด้วยความอัธยาศัยดีของทาคุมิ เขาจึงถูกดึงให้รวมกลุ่มไปโดยปริยาย ทว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี เพราะเพื่อนๆที่ทาคุมิรู้จัก ส่วนใหญ่ล้วนตั้งใจเรียน หรือไม่เพราะต่างเรียนในระดับที่สูงขึ้น ไม่สามารถมาเรียนๆเล่นๆเหมือนในสมัยมัธยมได้อีก

ฮารุโตะเตรียมข้าวกล่องสำหรับเป็นอาหารกลางวันมาอีกเช่นเคย แต่ไม่ได้ทำข้าวกล่องมาเผื่อซากุราอิ ชุนอีกแล้ว ช่วงปลายปีการศึกษาก่อนที่ทำมาเผื่อทุกวัน เขาเจอคู่อริน้อยมาก สาเหตุน่าจะมาจากต่างคนต่างก็มีเรียน แต่หน้าตาอย่างซากุราอิไม่น่าจะเป็นคนตั้งใจเรียนได้เลย ที่คิดเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเขานึกดูถูกอีกฝ่าย แต่เพราะมันมีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เขาคิดอย่างนั้น

ตอนประถมหกเขาต้องย้ายโรงเรียน และบังเอิญได้เรียนห้องเดียวกับชุน เมื่อตอนนั้นซากุราอิ ชุนนิสัยดีกว่านี้มากชนิดที่ว่าถ้าเล่าให้ใครฟังต้องไม่มีใครเชื่อแน่นอน เพราะขนาดตัวเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อเช่นเดียวกัน ตอนเข้ามัธยมต้นก็ได้เรียนโรงเรียนเดียวกันอีกครั้ง แม้จะอยู่กันคนละห้องก็ตาม และคงจะเป็นช่วงมัธยมปีสามที่ฝ่ายนั้นทำตัวเกเรอย่างชัดเจน พอขึ้นมัธยมปลาย ฮารุโตะก็ได้ยินข่าวแว่วๆว่าผลการเรียนของชุนอยู่ในเกณฑ์ย่ำแย่ และเป็นช่วงที่อีกฝ่ายระรานเขาอย่างหนักข้อ ตอนที่เห็นผู้ชายคนนั้นมาเรียนที่นี่ด้วยจึงตกใจมาก

“เหม่ออะไรอ่ะ หรืออิ่มแล้ว ถ้าอิ่มแล้วเอามาให้ฉันกินต่อก็ได้นะ”

ฮารุโตะมองคนที่คาบหลอดนมอยู่กับปาก มองเศษซากถุงบรรจุขนมปังและถาดพลาสติกสำหรับซูชิเซ็ต แล้ววกกลับมามองหน้าคนถามอีกรอบ

“ยังไม่อิ่มหรือ”

“อิ่ม แต่ยังพอกินได้อยู่”คนตอบยิ้มกว้าง ฮารุโตะจึงถอนหายใจและใช้ตะเกียบคีบข้าวขึ้นมาทานต่อ

ทานข้าวกลางวันกันเสร็จ ช่วงบ่ายพวกเขายังคงมีเรียนต่อซึ่งทาคุมิยังคงบ่นอุบอิบไม่หยุด จนฮารุโตะเริ่มนึกรำคาญ นึกอยากหันไปบอกให้อีกฝ่ายหุบปากบ้างอยู่เหมือนกัน แต่เพราะไม่เคยทำแบบนั้นมาก่อน พอหันไปเห็นหน้าคนพูด เขาก็ใจสั่นขลาดกลัวละล้าละลังขึ้นมา จึงได้หันกลับมาก้มหน้าอยู่กับหนังสือเรียนตามเดิม ส่วนทาคุมิเมื่อบ่นจนเหนื่อยจึงหยุดไปเอง

และแล้วการเรียนวันแรกก็จบลง

ฮารุโตะแยกย้ายกับทาคุมิที่หน้ามหาวิทยาลัย เขาแวะซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้อของไว้ทำอาหารก่อนกลับเข้าห้อง อากาศกลับมาอบอุ่นขึ้น เขาจึงไม่จำเป็นต้องไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำสาธารณะอีก มีเวลาเหลือสำหรับการเดินเล่นเดินเที่ยวอีกมาก แต่เขาไม่ได้แวะเถลไถลที่ไหนอีก ใจหนึ่งเพราะอยากกลับไปอ่านหนังสือ

“กลับมาแล้วหรือ”

อีกใจเพราะผู้ชายคนที่นั่งเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถืออยู่บนฟูกนอนนั่น ฮารุโตะมองนาฬิกาบนข้อมือ และมองชายหนุ่มซึ่งนั่งพิงอยู่ริมหน้าต่าง ม่านสีทึบที่เคยบังแสงในห้องของเขาอยู่เสมอถูกเก็บรวบไว้ด้านหนึ่ง ห้องเล็กๆขนาดสี่เสื่อครึ่งจึงสว่างจ้า

“เพิ่งตื่นหรือครับ”

“ตื่นนานแล้ว แต่ขี้เกียจ”คนพูดคงเห็นสายตาของเขา จึงไขข้อสงสัยมาเสร็จสรรพ ก่อนจะกวักมือเรียกให้เขาเข้าไปใกล้ ฮารุโตะจึงนำของที่ซื้อมาไปวางไว้บนเคาน์เตอร์ครัว แล้วเดินเข้าไปหา พอถึงตัวก็โดนฉุดให้นั่งลง โดนกอดรัด โดนจมูกโด่งเป็นสันฟัดแก้มทั้งสองข้างอย่างไม่ทันตั้งตัว ฮารุโตะหัวเราะเพราะรู้สึกจักกะจี้ ก่อนจะเหลือเพียงความนุ่มละมุมของริมฝีปากและปลายลิ้นที่ดูดกลืนเกี่ยวกระหวัดซ้ำๆ

“อื้อ ไม่เอานะ เดี๋ยวก็ต้องไปทำงานแล้ว”เขาร้องค้านจับหยุดมือกร้านที่พยายามจะปลดซิบกางเกง  ชายหนุ่มละมือเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา แล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์

“อีกตั้งเกือบชั่วโมงทันอยู่แล้ว”

ฮารุโตะหน้างอ แต่ก็ไม่มีความหมาย ในเมื่อคนทำอยากจะทำ สุดท้ายเขาโดนโน้มน้าวให้ยอมจนได้ การมีอะไรกับรุ่นพี่ทำให้เขารู้สึกดี แต่มันลำบากถ้าหลังจากนั้นเขาต้องไปทำกิจกรรมอย่างอื่นต่อ เพราะนอกจากมันทำให้เขารู้สึกง่วงแล้ว มันยังทำให้เขารู้สึกเหมื่อยแบบแปลกๆอีกด้วย

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลางานไหม”

“ไม่เอาหรอกครับ เดี๋ยวเดือนหน้าต้องลาหยุดอีกแล้ว กำหนดการทริปหน้าออกแล้วนะ”เขาเงยหน้ามองคนที่ตนนอนพิงอยู่

“รุ่นพี่ได้อ่านในกลุ่มหรือเปล่า”

“ฮึ ขี้เกียจ”

“คร้าบ ครับ”เขาลากเสียงตอบรับ จึงได้ยินเสียงหัวเราะตอบกลับมา เหลือบมองเวลาอีกครั้งก่อนยันตัวลุกขึ้น ขมวดคิ้วกับความรู้สึกแปลกๆของร่างกาย หันไปหันมาถึงได้เห็นข้าวของที่เขาซื้อมายังไม่ได้เก็บเข้าตู้

“เลยไม่ได้ทำอะไรไว้ให้ทานเลย”

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวหิวจะออกไปข้างนอกเอง”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ รุ่นพี่ชิมิซึมาค้างด้วยบ่อยครั้งจนคล้ายว่าจะย้ายมาอยู่ด้วยกลายๆ ฝ่ายนั้นจึงออกปากบอกจะจ่ายค่าห้องให้ แน่นอนว่าเขาปฏิเสธ แต่รุ่นพี่ได้ยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยนกับการหุงหาทำอาหารเผื่อเจ้าตัวด้วย

“ค่าเช่าห้องห้องนี้ถูกจะตาย ค่าข้าวที่นายต้องจ่ายจะมากกว่าด้วยมั้ง”เมื่ออีกฝ่ายว่ามาเช่นนั้น เขาจึงถามกลับไปว่า มีเงินหรือ ไม่เห็นรุ่นพี่ทำงานอะไรสักอย่าง ไม่ใช่ว่าขอที่บ้านมาหรอกนะ แน่นอนว่าตอนนั้นรุ่นพี่อารมณ์ดีและทั้งตัวเขาเองรู้สึกว่าสนิทกับรุ่นพี่ในระดับที่เมื่อพูดจาอะไรแบบนี้อาจจะไม่โดนโกรธ แม้จะไม่ค่อยแน่ใจ แต่หลังๆมานี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรไปก็ไม่เคยโดนโกรธกลับมาจริงๆเสียที

“ดูถูก”คำพูดของรุ่นพี่ทำให้เขาเสียวสันหลังวาบ แต่พอโดนตะครุบตัว และโดนขย้ำด้วยท่าทีไม่จริงจังนักเขาจึงเบาใจ คนทำยังหัวเราะและพูดด้วยน้ำเสียงโอ้อวดว่า ตนหาเงินได้มากกว่าเขาที่ขยันทำงานทุกวันเสียอีก

“อย่างเป็นแบบถ่ายรูปนั่นก็เงินดีนะ นายเห็นค่าจ้างที่นาโอโตะให้มานี่ แล้วก็งานถ่ายภาพ เห็นอย่างนี้ฉันเคยได้รางวัลเหมือนกัน แต่ขี้เกียจแข่งกับเรย์มันหรอก”

เมื่อได้รู้จักนานๆเขา ถึงรู้ว่ารุ่นพี่แสนจะขี้เกียจ เพราะเดี๋ยวๆก็หลุดพูดคำว่าขี้เกียจออกมาอีกแล้ว

ฮารุโตะหัวเราะ แค่นึกถึงก็มีความสุขขนาดนี้

“ตั้งใจทำงานครับ ตั้งใจทำงาน”เสียงร้องเตือนดังมาจากอาคิฟุมิทำให้ฮารุโตะต้องหุบยิ้ม แอบคิดในใจว่า ถึงเขาจะอมยิ้ม มือของเขาก็ทำงานเหมือนกัน แต่ไม่ได้บอกออกไปให้ขัดหูอีกฝ่าย จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานของตน

อาคิฟุมิเป็นคนฉลาดและคล่องแคล่ว ใช้เวลาไม่นานเขาก็สามารถทำงานได้อย่างดี คิดเงินค่าสินค้าเร็วกว่าฮารุโตะที่ทำงานมานานกว่าด้วยซ้ำ ช่วงเย็นๆมืดๆที่คนเยอะเช่นนี้จึงไม่ค่อยเกิดปัญหาให้ผู้จัดการต้องเข้ามาตรวจดูอย่างเมื่อก่อน กระนั้นเจ้าตัวกลับชอบอู้ ช่วงประมาณสามทุ่มลูกค้าที่มาซื้อของในร้านจะซาลง อาคิฟุมิจึงชอบออกจากเคาน์เตอร์ไปหลังร้าน ฮารุโตะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปทำอะไรเหมือนกัน เพราะถ้าทิ้งหน้าร้านไปทั้งคู่ อาจจะโดนใบเตือนจากผู้จัดการได้ สำหรับอาคิฟุมิอาจจะไม่กลัวการเตือนแบบนั้น แต่เขากลัวเพราะเขายังไม่อยากหางานใหม่

พอเวลาผ่านไปจนใกล้ถึงสี่ทุ่ม อาคิฟุมิจะกลับมาเก็บเงินในเครื่องแคชเชียร์ของตัวเอง แน่นอนว่า อาคิฟุมิเคยเก็บเงินในเครื่องตั้งสองทุ่มหรือสามทุ่มบ้าง และหายออกจากร้านไป ก่อนจะกลับเข้ามารูดบัตรอีกครั้งตอนสี่ทุ่มกว่าๆ ทว่าเขาโดนจับได้ทันทีหลังจากนั้นไม่กี่วัน

ตอนแรกฮารุโตะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาโดนผู้จัดการเรียกไปสอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จะเรียกว่าโชคดีคงไม่ผิดนัก เพราะเห็นว่าอาคิฟุมิเก็บเงินในเครื่องแต่หัววัน เขาจึงถามออกไปอย่างสงสัย และเขาก็บอกกับผู้จัดการร้านตามที่อาคิฟุมิบอกเขา

มารู้ทีหลังจากที่ไดกิเล่าให้ฟังว่า อาคิฟุมิบอกกับผู้จัดการว่า ตนมีธุระด่วนจึงต้องรีบกลับก่อน แต่มานึกขึ้นได้ทีหลังว่าไม่ได้รูดบัตรออกจึงกลับมารูดบัตร

“มันใช่หรือว่ะ ถ้าลืมรูดบัตรไม่โทรหาผู้จัดการละ”ไดกิพูดอย่างใส่อารมณ์ ทั้งยังเล่าต่อไปอีกว่า อาคิฟุมิโดนใบเตือนและหักเงินตามชั่วโมงที่ไม่ได้ทำงาน หลังจากนั้นมา อาคิฟุมิแสดงออกว่าไม่ค่อยชอบเขามาตลอด พอเอาเรื่องที่โดนกระแนะกระแหน ถูกแขวะว่าชอบทำตัวขี้ฟ้องไปเล่าให้ไดกิฟัง ไดกิจึงตบโต๊ะฉาด

“เจ้าเด็กนั่นคงคิดว่านายเอาเรื่องที่เก็บเคาน์เตอร์ก่อนเวลาไปฟ้องผู้จัดการมั้ง ถ้าอย่างนั้น ฉันจะบอกนายให้รู้ไว้นะ ข้อมูลประวัติการใช้เครื่องแคชเชียร์เนี่ย ผู้จัดการเขาดึงเช็คจากเซิร์ฟเวอร์ได้หมดแหละ”

เมื่อพูดออกไปว่า “ไดกิซังรู้ดีจัง” เจ้าตัวจึงตอบกลับมาว่าทำงานพิเศษที่ร้านนี้ตั้งแต่อยู่มัธยมปลายแล้ว ก่อนจะย้ำกับเขาว่าไม่ให้เอาเรื่องที่บอกไปเล่าต่อให้อาคิฟุมิฟัง แต่อย่างว่า ฉลาดๆแบบอาคิฟุมิคงคิดเองได้อยู่แล้วละ

“ขอโทษครับ เอาข้าวกล่องมาส่งครับ”ฮารุโตะพยักหน้ารับ เห็นอาคิฟุมิยังนับเงินในลิ้นชักอยู่จึงเดินออกไปรับของด้วยตัวเอง ข้าวกล่องที่ว่าเป็นแพ็คอาหารปรุงสำเร็จซึ่งถูกส่งมาวางขายที่ร้าน รายการและจำนวนจะถูกกำหนดไว้อยู่แล้ว เขาแค่ตรวจสอบให้ถูกต้องเท่านั้น ลงชื่อรับของเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องนำอาหารแพ็คเหล่านี้มาวางเรียงที่ชั้นวาง และเก็บแพ็คอาหารชุดเก่ามาติดป้ายลดราคา และย้ายมาวางยังพื้นที่วางสินค้าลดราคา ทำทุกอย่างเรียบร้อย ฮารุโตะจึงกลับมาอยู่ที่หลังเคาน์เตอร์เหมือนเดิม

เป็นช่วงจังหวะพอดีกับที่อาคิฟุมิปิดลิ้นชักเสร็จเรียบร้อย

“กลับดีๆนะ”

อีกฝ่ายแค่เหลือบหางตามามอง ฮารุโตะจึงยกยิ้มแหยๆให้ เพราะคิดว่าก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนั้น เขากับอาคิฟุมิยังคุยกันดี แล้วเขาไม่ได้เป็นคนเอาเรื่องของอีกฝ่ายไปฟ้องผู้จัดการ ไม่มีเหตุที่เขาจะต้องหมางเมินเสียหน่อย

ยืนเฝ้าเคาน์เตอร์คนเดียวยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดี ไดกิก็มาปรากฎตัวให้เห็น

“โย่”ไดกิก้าวเข้าในร้านพร้อมไม้ถูพื้น ซึ่งเป็นหน้าที่ที่พนักงานทุกคนต้องทำเป็นอย่างแรกเมื่อมาเข้ากะ

“สวัสดีครับ”

“โอ๊ะ อันนี้น่ากินดีแหะ”คนพูดหยิบข้าวหน้าเนื้อที่ติดป้ายลดราคามาส่งให้เขาคิดเงินให้ “ฝากเวฟให้ด้วย เดี๋ยวถูพื้นเสร็จจะมาเอานะ”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ จากนั้นจึงเอาใส่ตู้ไมโครเวฟ กดปุ่มอุ่นอาหารและรอเวลา เสียงติ๊งซึ่งเป็นสัญญาณของเตาไมโครเวฟดังขึ้นก่อนที่ไดกิจะถูกพื้นเสร็จ เด็กหนุ่มจึงยกออกมาวางบนเคาน์เตอร์ กลิ่นหอมโชยออกมาจนเขารู้สึกหิวขึ้นมาบ้าง

“น้ำลายหกแล้ว”

ฮารุโตะเผลอยกมือขึ้นเช็ดปาก “ใช่ซะที่ไหน”

“ไม่ได้กินข้าวหรือไง”

“กินแล้ว แต่กลิ่นหอมดีเลยหิว”

“มีอีกเยอะไปเลือกเอาดิ”ไดกิหัวเราะก่อนจะเดินถือข้าวมื้อดึกของตนกลับไปหลังร้าน ครู่ใหญ่ๆต่อมาชายหนุ่มจึงเดินกลับมาอีกครั้ง และจัดการเปิดเคาน์เตอร์แคชเชียร์ ช่วงดึกๆเช่นนี้คนน้อย พวกเขาจึงโอ้เอ้ คุยเล่นกันได้ ส่วนช่วงกลางวันจะทำแบบนี้ได้หรือไม่ ฮารุโตะไม่แน่ใจ แต่กะการทำงานของเขาบางครั้งก็ต้องรีบมาเปิดเคาน์เตอร์ก่อนไปทำอย่างอื่น เพราะลูกค้าเยอะจนต่อแถวยาวเหยียด

“นับเงินเลยก็ได้ เงียบๆแบบนี้ไม่น่ามีอะไรแล้วละ”

ฮารุโตะจึงนับเงินในลิ้นชักไปพลางๆ กว่าเช็คยอดเงินทั้งหมดเสร็จเป็นเวลาเที่ยงคืนถึงเวลาปิดลิ้นชักพอดี

“หายไปสามหมื่น”ฮารุโตะร้องเสียงหลง หลังจากที่ทำการส่งยอดเข้าระบบเรียบร้อย

มันมีบ้างที่เขาจะทอนเงินผิด นับเงินที่รับมาจากลูกค้าพลาด แต่จำนวนยอดเงินดังกล่าวในแต่ละครั้งล้วนไม่เกินหนึ่งพันเยน แต่คราวนี้ยอดที่หายไปมันตั้งสามหมื่นเยน ใจของฮารุโตะร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ในสมองคิดคำนวณอย่างรวดเร็วว่าต้องทำงานตั้งหกวันกว่าจะได้เงินเท่าจำนวนที่หายไป

“เฮ้ย นับดีหรือยัง ไม่ใช่ว่าได้แบงค์หมื่นเยนมาแล้วเอาไปแอบไว้หรอกนะ”

“เปล่า วันนี้ไม่มีเลย แบงค์ใหญ่สุดแค่ห้าพัน”

“ใจเย็นๆ เดี๋ยวช่วยนับอีกรอบ”รอบที่สองที่ไดกิช่วยนับยังคงได้จำนวนเท่าเดิม ฮารุโตะนึกไม่ออกจริงๆว่าเขาทอนเงินพลาดไปสามหมื่นกว่าเยนแบบนี้ได้อย่างไร

“ช่างมันเถอะ”เขาบอกอีกคนเสียงอ่อย เมื่อเห็นว่าไดกิจะนับเงินเป็นรอบที่สาม

“สามหมื่นเนี่ยนะ”

“อืม อาจเพราะวันนี้ผมชอบเหม่อก็เป็นได้”

“อะไร ช่วงแรกๆที่มาทำยังไม่ขาดเยอะเท่านี้เลย ไม่ใช่ว่าโดนขโมยละ”

“เป็นไปไม่ได้หรอก ผมอยู่เคาน์เตอร์ตลอด จะออกไปไหนก็ล็อกหน้าจอทุกครั้ง ช่างเถอะ ถือว่าเป็นคราวเคราะห์ของผม”

“เออ เคราะห์หนักซะด้วย ไหนๆก็ฟาดเคราะห์แล้ว วันนี้อย่าลืมเปลี่ยนพาสเวิร์ดละ”

“อืม ขอบคุณครับ”ฮารุโตะรับคำ กดแป้นพิมพ์ด้วยใจห่อเหี่ยว จำนวนเงินที่หายไปไม่ตรงกับระบบ แคชเชียร์ประจำเคาน์เตอร์นั้นๆจะต้องเป็นคนรับผิดชอบใช้คืน อย่างในกรณีของฮารุโตะที่ยอดเงินจริงหายไปสามหมื่นกว่าเยน เขาจะโดนหักเงินค่าจ้างตามจำนวนที่หายไป

ไม่ใช่ไม่เสียดาย แต่เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจริงๆ

ฮารุโตะถือถุงเงินไปใส่ตู้เซฟ ซึ่งหลังจากปิดประตูตู้ไปแล้วจะไม่สามารถปิดได้อีก คนที่มีรหัสเปิดได้มีแค่ผู้จัดการร้านและพนักงานที่มีหน้าที่ดูแลเงิน จะว่าไป เหมือนเป็นการวัดใจกันไปเลยว่าจะเป็นขโมยหรือเปล่า ฮารุโตะมองถุงเงินในมือ เขาคิดมาตั้งแต่วันแรกๆแล้วว่า ไม่กลัวพนักงานจะขโมยถุงเงินนี้กลับไปหรืออย่างไร  เงินตั้งร่วมแสนกว่าเยน แต่ในอีกมุมหนึ่งถ้าขโมยไปจริง คงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกต่อไปแล้ว

เด็กหนุ่มจึงนำถุงเงินเข้าไปวางไว้ในช่องที่มีชื่อของตนระบุไว้ และปิดประตูตู้ลง

เขาออกจากร้านมาด้วยหน้าตาหม่นหมอง เงินตั้งสามหมื่นเยน นั่งคิดนอนคิดกี่ครั้งก็แสนเสียดาย ยิ่งไม่รู้ว่ารับหรือทอนเงินพลาดตอนไหนยิ่งรู้สึกแย่

“เป็นอะไร”

“รุ่นพี่”ฮารุโตะร้องเรียก เมื่อเห็นหน้าชายหนุ่ม ไอ้เรื่องที่เพิ่งเกิดจึงหลุดมาเป็นพรวน เผื่อว่าจะระบายความอึดอัดเสียดายนี้ได้บ้าง “วันนี้ผมทอนเงินผิด เงินหายไปตั้งสามหมื่นแหนะ”

“หือ แล้วต้องทำอย่างไรละ”

“ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ เดี๋ยวผู้จัดการก็หักออกจากค่าแรงเอง แต่เสียดายอ่ะ ไม่รู้ว่านับเงินอย่างไรให้หายไปตั้งเยอะ”

“อืม ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป คราวหน้าให้ระมัดระวังมากกว่าเดิม แต่ถ้าไม่มีเงินมาบอกแล้วกัน”ซากิปลอบเช่นนั้นเพราะไม่รู้ระบบการทำงานภายในร้านที่ฮารุโตะทำงานพิเศษ จึงพูดแบบกลางๆและย้ำเตือนอีกฝ่ายให้ทำงานด้วยความระมัดระวัง

“ไม่เป็นไรครับ ผมพอมีเงินเก็บ แต่เสียดาย”

“อย่าไปคิดมากเลย ยิ่งคิดยิ่งไม่สบายใจเปล่าๆ เดี๋ยวกลับไปทำอะไรให้ลืมไหม”

ฮารุโตะมองรอยยิ้มของอีกฝ่ายแล้วก็ร้องออกมา “ไม่ ไม่เด็ดขาด วันนี้ห้ามเด็ดขาด”

“อะไร”ซากิหัวเราะ “คิดว่าฉันจะทำอะไร ฉันหมายถึงกลับไปนอนหรอก ทะลึ่งนะเนี่ย”

ฮารุโตะได้แต่ฟึดฟัดกับเสียงหัวเราะของอีกฝ่าย อยากจะบอกว่าทำหน้าตาแบบนั้น ใครๆก็คิดทั้งนั้น แต่แสดงอาการหงุดหงิดได้ไม่เท่าไหร่ เมื่อโดนลูบหัวลูบไหล่ ความโมโหที่มีอยู่จึงมลายหายไปฉับพลับ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-03-2017 20:53:26 โดย ตีสี่ »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด