Fatherhood part 2 [11] คริส แทบช็อกเมื่อเห็นสภาพของแฟรงค์ เขาได้รับแจ้งจากตำรวจว่าพบแฟรงค์นอนหมดสติอยู่ริมทางหลวง ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่าเห็นชายร่างยักษ์แบกชายหนุ่มลงจากรถทิ้งไว้ริมถนนก่อนจะบึ่งรถเข้ากรุงเทพฯ ไป
คริสพาแฟรงค์กลับมาที่บ้านพักก่อน เพราะจุดที่พบอยู่ปากทางเข้าบ้านพักพอดี แสดงว่าพวกมันจงใจส่งแฟรงค์กลับคืนให้เขา หากแต่การส่งคืนในลักษณะนี้สร้างความโกรธแค้นให้คริสอย่างมาก เพราะหากแฟรงค์รู้สึกตัวขึ้นมาในสภาพที่ตามองไม่เห็นอะไรจะเกิดขึ้น บนทางหลวงนอกเมืองรถแต่ละคันวิ่งมาในความเร็วไม่ต่ำกว่า 150
....โอ!! พระเจ้า.. โชคดีเหลือเกินที่แฟรงค์ยังหมดสติอยู่ เขาสาบานว่าเจ้านรกนิคต้องชดใช้สิ่งที่มันทำกับแฟรงค์อย่างสาสม...
แซมยืนกอดอกมองดูภาพตรงหน้าอย่างรู้สึกทึ่ง ไม่อยากเชื่อเลยว่ามหาเศรษฐีบริเจคส์จะสามารถปรนนิบัติใครได้อย่างนุ่มนวลและอ่อนโยนแบบนี้ ที่ผ่านมามีแต่ได้รับการปรนนิบัติจากคนอื่น
คริสเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แฟรงค์ อาการบาดเจ็บของคนรักทำให้คริสรู้สึกเจ็บปวดตามไปด้วย นอกจากแผลผ่าตัดที่ท้องน้อยซึ่งมีอาการบวมช้ำแล้ว เฝือกที่ขาขวาของแฟรงค์ยังมีรอยร้าว พวกมันคงจับกระชากลากถูอย่างไม่ปรานี แฟรงค์เจ็บที่กายมากแค่ไหน เขาก็รู้สึกเจ็บหัวใจมากเท่านั้น
คริสสัมผัสเคราที่แก้มของแฟรงค์อย่างแผ่วเบา สี่ชั่วโมงแห่งความทุกข์ร้อนกระวนกระวายใจผ่านพ้นไป มันทำให้คริสรู้ซึ้งว่าชายหนุ่มที่อ่อนวัยกว่าผู้นี้มีความหมายต่อเขาเพียงใด เกือบสิบปีที่คบหาและอยู่ร่วมกันมา แฟรงค์ไม่ได้อยู่กับเขาในฐานะคู่ขาอย่างที่คนในสังคมเข้าใจ แต่อยู่ในฐานะเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากของเขา แฟรงค์หัวเราะอยู่ข้างๆ เวลาที่เขามีความสุข และคอยปลอบโยนแก้ปัญหาให้เวลาที่เขามีทุกข์ แฟรงค์เป็นคนใกล้ชิดคนเดียวที่เข้าใจความรู้สึกของเขา คอยแนะนำให้กำลังใจและปลอบโยนเขาเสมอมา ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เขาสมหวัง แม้กระทั่งความเหินห่างที่แฟรงค์มีต่อเขาในวันนี้ คริสรู้ดีว่าแฟรงค์ทำเพื่อเขา
คริสก้มลงจูบหน้าผากแฟรงค์เบาๆ ชั่วเวลาไม่ทันข้ามปีคนที่เขารักมากที่สุดในชีวิตถึงสองคนต้องประสบชะตากรรมที่โหดร้าย เขาเจ็บปวดแทบขาดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับไมเคิล ความรู้สึกครั้งนี้ไม่ต่างจากครั้งนั้นเลย กับไมเคิลเขาห่วงใยและทุกข์ร้อนในฐานะพ่อของลูก แต่กับแฟรงค์เขาบอกไม่ถูกว่าห่วงใยในฐานะอะไร รู้แต่ว่าหากมนุษย์จำเป็นต้องมีชีวิตคู่ แฟรงค์ คือคู่ชีวิตของเขา
“อือ~~~”
แฟรงค์ลืมตาขึ้น ส่งเสียงครางเหมือนเด็กชายที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นและยังอยู่ในอาการงัวเงีย ดวงตาเลื่อนลอยเพราะมองไม่เห็นจึงนอนนิ่งเฉย คริสนั่งอยู่ใกล้แฟรงค์ในระยะประชิดกลับไม่ยอมพูดจาทักทายด้วย เอาแต่จ้องมองอีกฝ่ายด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่เจ็บปวด
“ตื่นแล้วเหรอ แฟรงค์.. ไม่เป็นไรแล้วนะ นายกลับมาบ้านแล้ว”
แซมรีบเดินเข้ามากล่าวทักกึ่งปลอบโยนเมื่อเห็นเพื่อนนอนลืมตานิ่ง ...ถ้าไม่มีใครพูดอะไร แฟรงค์จะรู้ได้ยังไงว่าตัวเองปลอดภัยแล้ว…
แฟรงค์ไม่ทักตอบ แต่ขยับตัวและเงี่ยหูไปมาฟังเสียงเหมือนอยากรู้ว่ามีใครอยู่ใกล้หรือเปล่า
คริสยังคงนั่งนิ่งในขณะที่แซมเริ่มรู้สึกแปลกๆ เพราะทุกครั้งที่รู้ว่าเขามาถึงแฟรงค์จะซ่อนอาการดีใจไว้อย่างไร ก็ปิดบังความรู้สึกทางสีหน้าและดวงตาไม่ได้ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ไม่มีความรู้สึกยินดีให้เห็น เหมือนแฟรงค์ไม่รับรู้ว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงของเขา แซมรีบกล่าวย้ำอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง
“แฟรงค์.. ได้ยินมั้ย นายอยู่กับฉันที่บ้านแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้วนะแฟรงค์”
แซมจับมือแฟรงค์บีบเบาๆ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเพราะเพื่อนชักมือหนีและสะบัดแขนพร้อมกำปั้นถากสีข้างเขาไป ก่อนถดร่างหนีด้วยสีหน้าและดวงตาหวาดกลัวจนแซมและคริสตกใจขยับเข้าไปช่วยกันจับตัวแฟรงค์ไว้
“แฟรงค์.. ไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไรแล้ว นายอยู่กับพวกเราที่บ้านแล้ว ฉันแซมไง.. คริสก็อยู่กับนายด้วย”
แซมพยายามปลอบแต่ไม่ได้ผล นอกจากแฟรงค์จะไม่ยอมฟังที่เขาพูดแล้วยังพยายามดิ้นรนหนีและร้องให้ช่วย
“ปล่อยนะ!!.. ปล่อย!!.. อย่า.. อย่าทำ.. ช่วยด้วย!!..” แฟรงค์เบิกตาโพลง สีหน้าหวาดกลัวสุดขีด
...โอ! พระเจ้า.. ไอ้นรกนิคมันทำให้นายหวาดกลัวถึงเพียงนี้เลยหรือ...
คริสสวมกอดแฟรงค์และกระซิบปลอบ
“ไม่ต้องกลัว แฟรงค์.. ฉันคริสนะ ฉันอยู่กับนายตรงนี้แล้ว ไม่มีใครทำอะไรนายได้อีก..”
“คริส....”
แฟรงค์หยุดดิ้นรน นอนนิ่งเหมือนกำลังทบทวนความจำบางอย่าง
แซมปล่อยมือเมื่อเห็นเพื่อนอยู่ในอ้อมกอดของคริสแล้วมีอาการสงบลง
“ขอโทรหาคริสหน่อย ขอโทรหน่อย..”
แฟรงค์พึมพำในลำคอ แซมฟังไม่ได้ศัพท์แต่สำหรับคริสเขาได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ คริสสวมกอดแฟรงค์แน่นด้วยความรักและสงสารจับใจ
“ฉันอยู่นี่แล้วแฟรงค์.. ไม่ต้องโทรแล้ว ฉันกอดนายอยู่นี่ ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้วนะ ฉันไม่ยอมให้ใครมารังแกนายอีก..”
“ขอโทรอีกครั้งได้มั้ย นิค.. ผมขอคุยกับคริสก่อน ปล่อยนะ!!.. อย่าทำ!!.. ผมกลัวแล้ว ช่วยด้วย!!!…”
แฟรงค์ขืนตัวและดิ้นหนีจากอ้อมกอดคริสได้อย่างสบายเพราะอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอาการตะลึงและตกใจ แซมได้สติรีบกระโดดขึ้นเตียงจับเพื่อนไว้ รู้สึกตกใจไม่น้อยเช่นกันที่แฟรงค์อยู่ในอาการหวาดกลัวจนจำเสียงเขาและคริสไม่ได้
“แฟรงค์.. เฮ้!!.. นี่พวกเราเอง ฉันแซมไง คริสก็อยู่นี่ด้วย ไม่เอาน่ะแฟรงค์ อย่าล้อเล่นแบบนี้” แซมหันหน้าแฟรงค์มาทางเขา
“ดูให้ดีซี.. ฉันใช่แซมเพื่อนของนายหรือเปล่า” แซมใจหายวาบทันทีที่เห็นดวงตาของแฟรงค์ รีบสวมกอดและกล่าวขอโทษ
“โอ! แฟรงค์.. ฉันขอโทษ ฉันลืมไปว่านายมองไม่เห็น นายจำเสียงฉันได้นี่นา ไม่เอาน่ะแฟรงค์ อย่าล้อเล่นอีกเลย โอ๊ะ!…”
แซมสะดุ้งร้องจ๊ากเพราะถูกแฟรงค์กัดที่ต้นแขน
“โอ๊ย!!… เจ็บนะแฟรงค์ นายหลอกกัดฉันเหรอ..”
แซมคลายอ้อมแขนและดันร่างแฟรงค์ออก
“โอ๊ย!!… เจ็บนะโว้ย!! ปล่อยนะ ไอ้หมาแฟรงค์ คริส.. ช่วยผมด้วย!!..”
คริสตะลึงกับอาการตื่นกลัวของแฟรงค์ เสียงแซมร้องให้ช่วยทำให้เขาได้สติ รีบสอดมือเข้าใต้คางและบีบแก้มของแฟรงค์อย่างแรงด้วยความจำเป็น แซมหลุดจากคมเขี้ยวของแฟรงค์ได้ก็กระโดดลงจากเตียงไปตั้งหลัก ส่งเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวด
คริสปล่อยมือจากแฟรงค์ อาการหวาดกลัวของคนรักเวลานี้ทำให้คริสไม่กล้าเข้าไปจับต้องและทำอะไรให้แฟรงค์เจ็บตัวอีก ที่ผ่านมาแฟรงค์ได้รับความเจ็บปวดมากพอแล้ว
แฟรงค์ยังอยู่ในอาการหวาดกลัว ถดร่างหนีไปจนติดผนังห้อง ตะแคงตัวลงนอนในอาการเกร็ง คริสเห็นแล้วไม่อาจบรรยายความรู้สึกตัวเองได้ เลือดไหลจากมุมปากของแฟรงค์ทำให้คริสรู้สึกตัว รีบหันไปหาแซมที่นั่งบีบนวดต้นแขนด้วยสีหน้าที่ยังเจ็บปวดอยู่แต่เลิกร้องครวญครางแล้ว
“เป็นไงบ้างแซม.. ขอดูแผลหน่อย เลือดออกมากหรือเปล่า”
แซมส่ายหน้าความหมายว่าเลือดไม่ได้ออก แต่คริสกลับเข้าใจคนละอย่าง
“ออกนิดหน่อยก็ต้องทำแผลนะ ”
คริสตะโกนเรียกนายจอนให้เข้ามาช่วยทำแผลให้แซม แซมมองบาดแผลตัวเองอีกครั้งด้วยความไม่แน่ใจ ...มันแค่ห้อเลือดเท่านั้น ทำไมคริสต้องตื่นเต้นขนาดนี้...
นายจอนวิ่งหน้าตื่นเข้ามา คริสบอกจอนนี่ช่วยทำแผลให้แซม
“ผมไม่เป็นไรคริส.. แค่ห้อเลือดเท่านั้น ดูเจ้าร็อตไวเลอร์แฟรงค์ของคุณเถอะ ไม่ต้องห่วงผม”
คริสหันไปทางแฟรงค์ที่นอนตะแคงคุดคู้อยู่บนที่นอน เลือดยังไหลเป็นทางจากมุมปากหยดลงบนที่นอน ถ้าไม่ใช่เลือดจากบาดแผลของแซมแล้วเลือดของใคร?
...เร็วกว่าใจคิด!!.. คริสถลาเข้าไปประคองแฟรงค์ไว้ในวงแขน...
...โอ! พระเจ้า.. แฟรงค์อยู่ในอาการเกร็งและกำลังกัดลิ้นตัวเองอยู่จนเลือดไหลกลบปาก เขายังนิ่งดูอยู่ได้
คริสบีบแก้มแฟรงค์อย่างแรงให้คลายอาการเกร็ง แต่ไม่ได้ผล แฟรงค์มีอาการรุนแรงขึ้น เลือดไหลกลบปากจนคริสตกใจ ตัดสินใจใช้นิ้วโป้งแทรกเข้าไปให้แฟรงค์กัดแทนลิ้น แซมและนายจอนตะลึงดูด้วยความตกใจ รู้สึกตัวอีกทีเมื่อคริสร้องเรียก
“แซม!!.. หยิบผ้าขนหนูหรืออะไรก็ได้ เอามาให้แฟรงค์กัดหน่อย เร็ว!!..”
คริสกัดฟัน เขายอมเจ็บดีกว่าให้แฟรงค์กัดลิ้นตัวเอง
แซมหันซ้ายหันขวา คว้าผ้าขนหนูในอ่างน้ำที่คริสเช็ดตัวให้แฟรงค์เมื่อครู่บิด แล้วรีบเข้าไปช่วยคริสอ้าปากแฟรงค์ออกและยัดผ้าขนหนูให้กัดแทน
“จอนนี่.. ดูแผลที่นิ้วคุณคริสด้วย”
แซมขยับแฟรงค์ลงนอนเพราะไม่รู้ว่าจะปฐมพยาบาลยังไงต่อ รีบดึงโทรศัพท์ที่เอวขึ้นมากดหาบ๊อบ
คริสนั่งกุมขมับนิ่งเฉยไม่สนใจกับบาดแผลที่นิ้ว ความเจ็บปวดที่หัวใจเขาได้รับอยู่ในขณะนี้มากมายกว่าหลายเท่านัก จอนนี่ไม่กล้าเซ้าซี้เมื่อเห็นเจ้านายอยู่ในอาการทุกข์ใจเช่นนี้
วางสายบ๊อบแซมสั่งให้จอนนี่ออกไปคอยรับหมอ อีกห้านาทีจะมาถึง นายจอนรับคำสั่งและเลี่ยงออกจากห้องไป
แซมเข้าใจความรู้สึกของคริสดี อย่าว่าแต่จอนนี่ไม่กล้าเซ้าซี้ เขาเองยังไม่ค่อยกล้าพูดอะไร เห็นความรักและความห่วงใยที่คริสมีต่อแฟรงค์แล้ว มันไม่ใช่แบบที่ทุกคนเข้าใจ มันลึกซึ้งและมากมายกว่าคนที่เป็นคู่ขาจะพึงปฏิบัติต่อกัน เขารู้สึกว่าตัวเองทำผิดต่อคริสที่ช่วยปิดบังเรื่องของแฟรงค์ไว้ เหตุการณ์เลวร้ายในวันนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าคริสได้รู้ความจริงทั้งหมดและได้พบแฟรงค์ก่อนหน้านี้ ป่านนี้แฟรงค์ก็คงกลับไปนอนพักรักษาตัวอย่างปลอดภัยในคฤหาสน์บริเจคส์แล้ว
คริสรู้สึกตัวเมื่อแซมเช็ดเลือดที่ไหลเป็นทางจากนิ้วมือลงมาที่แขนให้เขา
“อย่าห่วงเลยคริส บ๊อบใกล้จะถึงแล้ว ทุกอย่างจะเรียบร้อย บ๊อบให้เราอยู่ห่างๆ แฟรงค์จะสงบลงเอง”
คริสหันไปมองแฟรงค์ที่อยู่ในอาการสงบลงแล้วจริงๆ แฟรงค์ดึงผ้าออกจากปากและนอนนิ่งดวงตาจ้องมองเพดานห้อง เขาอยากเข้าไปสวมกอดและกระซิบปลอบเหลือเกิน แต่กลัวแฟรงค์ตกใจอีก
“ขอดูอาการของแฟรงค์ก่อน แล้วผมจะบอกว่าต้องการสั่งสอนมันยังไง เตรียมคนของคุณไว้ให้พร้อม ขอกำลังไปคุ้มกันที่บ้านบริเจคส์ก่อนสัก 3 - 4 นาย แล้วจะติดต่อไปอีกที ”
แซมยืนรอจนคริสจบการสนทนาทางโทรศัพท์
“คริส.. บ๊อบอยากให้คุณคุยโทรศัพท์กับแฟรงค์หน่อย” แซมพูดยังไม่ทันขาดคำมือถือของคริสก็ดังขึ้น
“บ๊อบต่อสายให้คุณคุยกับแฟรงค์”
แซมเดินเข้าไปด้านใน ปล่อยให้คริสสนทนากับแฟรงค์ที่ระเบียงบ้านตามลำพัง
“บริเจคส์ครับ”
“Hi! Christ.. ”
...โอ! พระเจ้า ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาได้ยินเสียงทักจากแฟรงค์ แล้วรู้สึกปีติยินดีเท่าครั้งนี้ แฟรงค์ทักทายเขาด้วยน้ำเสียงสดใสเป็นปกติ แม้จะแหบพร่าเล็กน้อย แต่ถ้าไม่สังเกตหรือไม่รู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เขาก็ไม่มีทางรู้ว่าแฟรงค์กำลังบาดเจ็บทั้งใจและกาย
“ Hi! Frank.. ”
คริสทักตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะเป็นปกติสักเท่าไร นึกทึ่งในฝีมือของบ๊อบ เข้าไปไม่ถึง 15 นาทีก็ทำให้แฟรงค์รู้สึกตัวพูดคุยเป็นปกติเหมือนเดิม
“สบายดีหรือเปล่าคริส.. ขอโทษที่ผมไม่ได้ติดต่อกลับไปเลย ทุกคนโอเคมั้ย ไมเคิลเป็นไงบ้าง..”
คริสลอบถอนใจ …ทั้งที่ตัวเองเจ็บหนักขนาดนี้ ยังมีแก่ใจถามทุกข์สุขของคนอื่นอยู่ได้…
“ฉันโอเค.. แล้วนายล่ะ เป็นไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า”
คริสกลั้นใจฟังคำตอบ แฟรงค์คนเดิมของเขานอกจากจะเจ้าเล่ห์แล้วยังสำออยและขี้อ้อนอีกด้วย ไม่สบาย ปวดหัวเป็นไข้นิดหน่อย ก็มักจะร้องโอดครวญและโทรเรียกให้เขากลับบ้านเร็วๆ เสมอ ครั้งนี้แค่แฟรงค์บอกเขาว่าไม่ค่อยสบาย เขาจะรีบวิ่งเข้าไปสวมกอดทันที
“ผมสบายดี ชารอนล่ะ.. เธอสบายดีหรือเปล่า นายกับเธอเป็นไงบ้าง แฮปปี้ดีใช่มั้ย”
...ให้ตายเถอะ ! … คริสเริ่มไม่สบอารมณ์กับบทสนทนาไร้สาระ แฟรงค์อยากคุยโทรศัพท์กับเขาด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแค่นี้เหรอ
“ทุกคนสบายดีแฟรงค์ อย่าถามถึงคนอื่นอีกเลย นายมีธุระสำคัญใช่มั้ย ไม่งั้นคงไม่โทรมา”
คริสชักนำอีกฝ่ายเข้าเรื่อง เพราะเขาเองก็อยากรู้ว่าแฟรงค์อยากคุยกับเขาเรื่องอะไร
“ผมมีเรื่องนิดหน่อย~~…”
น้ำเสียงของแฟรงค์เริ่มไม่ดี เสียงบ๊อบบอกให้แซมช่วยยกขาแฟรงค์ขึ้น เขาแกล้งถามว่าอยู่กับใครและทำอะไรอยู่ แฟรงค์บอกว่าอยู่กับแซมแต่ไม่ยอมบอกว่ากำลังทำอะไร
“ผมมีเรื่องอยากขอให้คุณช่วยอีกสักครั้ง”
คำว่า “อีกสักครั้ง” ทำให้คริสรู้สึกเหนื่อยใจ ...เจ็บหนักขนาดนี้แล้วแฟรงค์ยังคิดจะหนีเขาอีก...
“เรื่องอะไรหรือ แฟรงค์...” คริสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ผมถูกนักเลงนิคกวนใจ อยากให้คุณช่วยคุยกับมันหน่อย หลอกมันว่าเรายังคบกันอยู่ และคุณไม่ต้องการให้มันมายุ่งกับผม”
“ทำไมไม่ให้แซมคุย มันจะเชื่อฉันเหรอ นายเล่นขนของออกจากบ้านต่างคนต่างอยู่กันแล้ว”
“แซมช่วยผมไม่ได้ มันจะยอมปล่อยผมถ้ารู้ว่าเรายังคบกันอยู่ ช่วยหน่อยได้มั้ยคริส แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ผมจะไม่รบกวนอะไรคุณอีก”
คริสรู้สึกเจ็บปวด นี่คงเป็นเรื่องสำคัญที่แฟรงค์อยากจะพูดกับเขา ไอ้นรกนิคคงให้โอกาสแฟรงค์ได้ติดต่อหาเขาแต่ติดต่อไม่ได้
“นายรู้จักนิสัยฉันดีนี่แฟรงค์.. ฉันไม่เคยพูดโกหกหรือล้อเล่นกับใคร พูดได้แต่เรื่องจริง”
“ผมรู้ คริส.. แต่มันจำเป็น~~ ผม.. ~~ ”
คริสรีบหาทางออกให้เมื่อน้ำเสียงของแฟรงค์เริ่มสั่นเครือ
“มีทางออกอื่นอีกมั้ย แฟรงค์.. ที่ไม่ต้องให้ฉันพูดโกหกแต่ให้ความหมายเดียวกัน อย่างเช่น… กลับมาอยู่บ้านเราซะ ดูซิว่ามันยังจะกล้ากวนใจนายอีกหรือเปล่า”
“กลับบ้าน~~ ”
แฟรงค์ทวนคำน้ำเสียงสั่นเครือ คริสพูดคำว่า
“บ้านเรา” เหมือนเขายังเป็นสมาชิกคนหนึ่งในคฤหาสน์บริเจคส์...
“ทำไมล่ะ ไม่อยากกลับเหรอ รู้อะไรมั้ย แฟรงค์.. จนป่านนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าทำไมนายต้องออกจากบ้านไป”
“ผม.. เอ่อ.. ผมกลับไม่ได้”
“ทำไมล่ะแฟรงค์.. มีปัญหาอะไร”
“ผม.. เอ่อ.. แค่นี้ก่อนนะคริส แล้วผมจะติดต่อกลับไปใหม่ บาย..”
คริสส่ายหน้าเมื่อแฟรงค์วางหูลงดื้อๆ
...ดีเหมือนกันเพราะเขาเองก็ไม่อยากคุยโทรศัพท์กับแฟรงค์แล้ว คนดื้อรั้นชอบหนีหัวใจตัวเองแถมยังอวดเก่งอย่างนี้ ต้องคุยกันตัวต่อตัวถึงจะรู้เรื่อง..
คริสเดินเข้ามาในห้อง แฟรงค์นอนลืมตาอยู่บนเตียงมือยังถือโทรศัพท์อยู่บ๊อบใช้อีราสติกพันรอยร้าวของเฝือกไว้ชั่วคราว แซมกำลังช่วยบ๊อบเก็บเครื่องมือ เห็นคริสเดินเข้ามาก็แกล้งถามเพื่อนเสียงดัง
“คุยจบแล้วเหรอ แฟรงค์.. คริสว่ายังไงบ้าง”
“คริสบอกให้กลับบ้าน”
แฟรงค์พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ กับแซมและบ๊อบแฟรงค์ไม่ต้องปิดบังความรู้สึกของตัวเอง เขารู้สึกอ่อนแอทุกครั้งที่พูดถึงคริส
“จริงเหรอ.. ถ้างั้นก็กลับเถอะ อยู่กับคริสปลอดภัยกว่านะแฟรงค์ มันจะได้ไม่กล้ามาตอแยนายอีก”
“ฉันกลับไม่ได้”
“ทำไมล่ะ!. นายยังห่วงอะไรอีก ฟังนะแฟรงค์.. เป็นเรื่องไร้สาระมากถ้านายยังห่วงเรื่องชารอน เธออยู่ของเธอ นายอยู่ของนาย ส่วนเรื่องไมเคิลฉันเจอเจอรี่เมื่อวาน เขาฝากบอกนายว่า ไม่ต้องเลิกคบกับคริสจริงจังขนาดนี้ก็ได้ คนที่จะจับตาดูพฤติกรรมของคริสไม่ใช่ศาลแต่เป็นคู่ความอีกฝ่าย ถ้าพวกเขายอมเลิกราเรื่องก็จบลงด้วยดีแต่เพียงเท่านี้ คริสให้เจอรี่ไปเจรจากับสองสามีภรรยาว่ายินดีจะออกค่าใช้จ่ายในการทำกิฟต์ให้ ถ้าทั้งคู่ต้องการมีบุตรจริงๆ พวกเขามีท่าทีสนใจบอกว่าจะขอหารือกันก่อน เห็นมั้ยแฟรงค์.. เวลา.. ทำให้เรื่องต่างๆ คลี่คลายไปได้เอง หมดปัญหาเรื่องไมเคิล นายก็กลับบ้านได้แล้ว รู้มั้ย..”
แฟรงค์รู้สึกยินดีกับเรื่องที่แซมเล่า แต่ทำไมถึงยังไม่โล่งอกซะที หรือว่าเรื่องไมเคิลเป็นปัญหาบังหน้า ปัญหาใหญ่ของเขาคืออะไรกันแน่…
แซมลุกจากเตียงเมื่อคริสเดินเข้ามาส่งซิกขอนั่งแทน บ๊อบพยักหน้าให้แซมออกจากห้อง ปล่อยให้คริสกล่อมแฟรงค์เอง
“ฉันยังกลับไม่ได้หรอก นายดูฉันซีแซม.. จะให้คริสเจอฉันในสภาพนี้ได้ยังไง.. แต่ฉันก็กลัวไอ้ยักษ์นรกนั่น ฉันต้องอยู่กับคริสเท่านั้นมันถึงจะยอมเลิกรา ฉันควรจะทำยังไงดี แซม..”
คริสไม่ตอบบีบนวดต้นขาให้แฟรงค์เหมือนที่แซมทำเมื่อครู่ เมื่อเพื่อนไม่ยอมให้ความเห็น แฟรงค์ก็ระบายความในใจต่อ
“นายว่าคริสยังรู้สึกกับฉันเหมือนเดิมมั้ยแซม.. คริสบอกให้ฉันกลับบ้านแต่ไม่พูดสักคำว่าคิดถึงฉันหรือเปล่า ฉันกลับไปก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ในฐานะอะไร ฉันคงอยู่ในฐานะเดิมไม่ได้แล้ว ถ้ากลับไปจริงๆ ฉันคงต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ จะนั่งๆ นอนๆ แล้วรอรับเงินเดือนจากคริสเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว แต่นายดูฉันซี.. ตาฉันมองไม่เห็น แม้แต่จะรับหน้าที่สอนหนังสือให้ไมเคิลยังทำไม่ได้เลย ขับรถก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าอีกนานมั้ยกว่าตาจะหาย ฉันไม่อยากกลับไปเป็นภาระให้ใครเลยแซม.. ถ้าคริสรู้ว่าฉันตาบอด อาจเปลี่ยนใจไม่อยากให้ฉันกลับไปก็ได้”
คริสหยุดมือที่กำลังบีบนวด แต่ละถ้อยคำตัดพ้อและตอกย้ำให้เขารู้สึกเจ็บปวดโดยเฉพาะประโยคสุดท้าย คริสกุมมือแฟรงค์ไว้แนบอกโน้มตัวลงกระซิบปลอบ
“ถ้าฉันรู้ว่านายตาบอด ฉันไม่มีวันปล่อยให้นายมาอยู่ลำพังในที่แบบนี้ ฉันชวนกลับบ้านยังไม่รู้อีกหรือว่าเพราะอะไร เพราะฉันคิดถึงนายจนทนไม่ไหวแล้ว แฟรงค์.. คิดถึงทุกลมหายใจเข้าออกของฉันเลย ฉันจะตอบคำถามแทนแซมนะ.. กลับไปอยู่บ้านเถอะ คริสจะปกป้องนายด้วยชีวิตของเขาเอง อยู่ในฐานะเดิมเหมือนที่นายเคยอยู่ ไม่ต้องห่วงว่าจะเป็นภาระให้กับใคร ทุกคนรอคอยให้นายกลับไป พวกเราพร้อมจะดูแลนายด้วยความรัก แฟรงค์.. กลับบ้านเราเถอะนะ..”
แฟรงค์นอนนิ่ง เขากำลังฝันไปหรือถูกแซมล้อเล่น แค่ลมหายใจอุ่นและกลิ่นกายที่คุ้นเคยจะให้เขาเชื่อได้ยังไง ประสาทรับสัมผัสทางหูและจมูกอาจไม่ปกติก็ได้
คริสยิ้มเมื่อเห็นแฟรงค์อยู่ในอาการตะลึงนอนตัวแข็งไม่พูดไม่จา เขาคว้ามืออีกข้างของแฟรงค์ขึ้นมาจับต้องใบหน้าของเขา
“สัมผัสดูก่อนก็ได้ ว่าใช่คริสของนายหรือเปล่า”
แฟรงค์จับต้องทั่วใบหน้าของคริส มือที่ถูกกุมอยู่ถูกชักออก ร่างสูงถูกสองมือจับต้องตามลำตัว การสำรวจสิ้นสุดลงเมื่อมือสั่นระริกประกบกันที่ท้ายทอยของคริส ร่างเพรียวโน้มตัวขึ้นซบไหล่กว้างด้วยอาการสะอื้น
คริสกอดปลอบอย่างอ่อนโยน สภาพของแฟรงค์เวลานี้ไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้นที่บาดเจ็บและบอบช้ำ จิตใจก็เจ็บปวดและบอบช้ำอย่างหนักไม่แพ้กัน
“อย่าร้องไห้ แฟรงค์.. ฉันอยู่นี่แล้ว ฉันไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายนายอีก กลับบ้านเราเถอะนะ ฉันคิดถึงนายมากรู้มั้ย นายคิดถึงฉันหรือเปล่า หือ…”
แฟรงค์สวมกอดคริสแน่นขึ้นแทนคำตอบ
“คริส~~.”
“หืมม์..”
“ผมง่วงนอน~~”
คริสหัวเราะ ปล่อยร่างเพรียวลงนอนกับหมอน
“ง่วงก็นอนซี พักผ่อนมากๆ จะได้หายเร็วๆ”
แฟรงค์กุมมือคริสไว้ ดวงตาสะลืมสะลือค่อยๆ หรี่ลง
“บ๊อบไม่น่าฉีดยาให้ผมเลย ผมไม่อยากหลับ อยากคุยกับคุณก่อน”
“โอ! แฟรงค์ หลับก่อนเถอะนะ ตื่นขึ้นมาค่อยคุยก็ได้ ฉันสัญญาว่าทันทีที่ลืมตาขึ้นนายจะเห็นหน้าฉันก่อนใครเลย โอเค!!…”
แฟรงค์ส่ายหน้าทั้งที่หลับตา คริสใจหายนึกขึ้นได้ว่าแฟรงค์มองไม่เห็น รู้สึกฉุนและโกรธตัวเอง
“ขอโทษ แฟรงค์.. ฉันลืมว่านายมองไม่เห็น ” คริสบีบมือแฟรงค์เบาๆ
“หลับเถอะนะ ฉันสัญญาว่าจะนั่งอยู่ข้างๆ จนกว่านายจะตื่นและจะจูบรับขวัญนายตรงนี้…”
คริสก้มลงจูบหน้าผากแฟรงค์เบาๆ แต่อีกฝ่ายไม่รับรู้วิธีรับขวัญของเขาแล้ว
TBC >>>>>>>
หมดห่วงกันได้แล้วนะพวกเรา กลับสู่อ้อมอกของคริสแล้ว หวังว่าแม่ยกแฟรงค์ทั้งหลายจะนอนหลับอย่างเป็นสุขซะที