สัมผัสที่ 24
วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เช่นเดียวกับที่เทพทัตหายไปจากวงจรชีวิตเหมือนไม่เคยมีคนๆนี้อยู่บนโลก ถึงแม้มันจะเป็นการดีต่อตัวผมเองแต่สิ่งที่ห้ามไม่ได้คือสิ่งที่อยู่ภายใน ผมยังคงคิดถึงมัน ไม่ว่าจะนานแค่ไหน
“คริสตัล”
ผมหันไปมองคนเรียกซึ่งก็คือพี่ชาย วันนี้ผมมาทานมื้อเที่ยงกับพี่หลังจากที่สอบรายวิชาสุดท้ายเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เอาจริงๆช่วงสอบผมเองก็ได้แต่อ่านหนังสือและเข้าเรียนอย่างจริงๆจังๆจนไม่ได้แวะไหนต่อไหนเหมือนอย่างทุกที พอเรียนเสร็จก็กลับบ้านมาอ่านหนังสือ อ่านไปเรื่อยๆจนดึกดื่นแล้วก็นอนตื่นก็ไปเรียนถ้าไม่มีเรียนก็เข้าหอสมุดไปอ่านหนังสืออีก ชีวิตวนลูฟอยู่อย่างนี้จนกระทั่งปัจจุบันที่สอบเสร็จและกำลังเข้าสู่ช่วงปิดเทอมเล็กที่มีระยะเวลาประมาณสองสัปดาห์
“ครับ?”
“เหม่อนะเรา เป็นอะไร?”
ผมยิ้มบางแล้วส่ายหัว
“แค่อึนๆนะ”
ผมตอบพลางม้วนเส้นพาสต้าสีดำเข้าปาก พี่ครอสพาผมมาทานอาหารอิตาเลี่ยนที่โรงแรมใกล้ออฟฟิศครับ เห็นบอกว่าโรงแรมนี้ก็เป็นของพี่ผมอยู่กลายๆแต่ไม่ได้บริหารเองแค่ถือหุ้นส่วนมากอยู่เบื้องหลัง
“พึ่งสอบเสร็จนี่เนอะ แล้วเอาไง จะไปอยู่กับพ่อไหม?”
“ตอนนี้พ่ออยู่ไหนอะ?”
“อิตาลี่มั่ง ไม่แน่ใจ เมื่อวันก่อนคุยกับเห็นบอกว่าจะไปร่วมงานที่อิตาลี่แต่ไม่ชัวร์วัน”
“งานสังสรรค์นะเหรอ?”
“งานเปิดตัวเที่ยวบินของบริษัท ประธานไม่ไปมันก็ใช่เรื่อง แกไปหาอาจจะโดนจับไปเข้าสังคมทางนู้นด้วยก็ได้”
ผมรีบส่ายหัวหวืดเลย
“งั้นไม่ไปละ”
“ฮ่าๆๆๆ กลัวอะไรว๊า แค่ไปปั้นหน้ายิ้มเชคแฮนด์ทักทายผู้คน”
“รำคาญ พี่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบ...”
“รู้สิ”
ผมนิ่งไปนิดเมื่อสกิตใจอะไรสักอย่างได้แล้วช้อนตาขึ้นจ้องมองพี่ชายที่ยังคงยิ้มแป้นอย่างน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด
“มองหน้าทำไม?”
“พี่พูดเรื่องงานให้ผมฟังแบบนี้....นี่คิดจะดักทางไม่ให้ผมไปใช่ไหมละ?”
ไอ้พี่ครอสมันแผนสูงครับ ไว้ใจไม่ค่อยได้ แล้วดูสิ พอผมพูดจบมีการเหยียดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์จนผมกรอกตาแทบไม่ทัน
“แสนรู้ขึ้นนี่หว่า”
“นี่น้องนะเว้ย”
“หึหึ”
น่าหมั่นไส้ใช่ไหมละครับ ไอ้พี่ชายคนนี้
ผมกับพี่ครอสกินกันไปคุยกับไปจนไคเข้ามารายงานตารางที่เลขาส่งมาให้ทางเมล เห็นว่ามีคนมาขอพบเป็นการด่วนผมเลยไล่พี่มันไปทำงานส่วนตัวผมเองก็กะจะกลับบ้าน อ้อ ผมขับรถเองแล้วนะครับ ตอนพี่ชายเปิดประตูโรงรถที่เคยปิดไว้นานพร้อมยื่นกุญแจมาสด้าสองประตูสีแดงเพลิงของผมมาให้ผมถึงกับขมวดคิ้ว จะบอกว่าคิดถึงก็คงใช่แต่ยังคงมีข้อสงสัยอยู่ว่าก่อนหน้านี้ทำไมไม่ให้ผมมาตั้งแต่แรก พอถามไปไอ้พี่ชายก็บอกว่ากลัวผมจะกลัวและฝังใจกับมันเลยไม่ให้ขับคันนี้มาโดยตลอด แต่ตอนนี้ผมจำทุกอย่างได้แล้วเลยถือว่าไม่เป็นไร มันผ่านไปแล้วนี่เนอะ
Rrrrrr
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังติดไฟแดงอยู่พอดี ผมหยิบมันที่แผดเสียงอยู่ที่เบาะข้างๆขึ้นมาดูเมื่อรู้ว่าเป็นใครจึงต่อเข้าลำโพงเครื่องยนต์แล้วคุย
“Hi”
/ว่าไงเจ้าดื้อ/
เห็นพี่ครอสกวนแบบนั้นแล้ว บอกเลยว่าพ่อผมยิ่งกว่านั้นซะอีก
“ผมไปดื้อตอนไหนไม่ทราบครับ”
/ไอคุยกับสิทุกวันนะเจ้าคริส/
ผมถึงกับพูดไม่ออก แม่ไปฟ้องอะไรพ่อบ้างวะเนี้ย
/เงียบเลยสิ/
“ชิ แล้วแด๊ดมีอะไรกับผมป่าว?”
/ไม่มีแล้วโทรหาไม่ได้?/
“อย่ามาทำเป็นพูด อย่างแด๊ดนะ ถ้าไม่มีคือไม่โทร”
/หึหึ ได้ข่าวว่าปิดเทอมแล้วอยากมาหาไอเหรอ?/
“แม่บอกงั้นเหรอ?”
/สิร้องไห้ฟูมฟายเลยรู้ไหม คิดแต่ว่าตัวเองทำอะไรผิดลูกถึงไม่อยากอยู่ด้วย/
ผมถึงกับขำ
“โอเวอร์”
แม่ไม่ร้องไห้หรอก ถึงจะร้องก็ไม่ถึงขั้นผูมฟายอย่างที่พ่อว่ามา ผมเปลี่ยนเกียร์หันมาขับรถต่อเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว
“แล้วแด๊ดว่าไง?”
/ไอเคยบังคัญยู?/
“เยอะแยะ”
/หึหึ อยากมาก็มา ไออยู่อิตาลี่อีกสามวันถึงจะกลับอเมริกา/
“ขอผมคิดดูก่อน”
/โอเค งั้นแค่นี้แหละ ไว้ค่อยคุยกัน/
“ครับ”
ผมไม่ได้กดตัดสายแต่ปล่อยให้อีกฝ่ายวางไป ผมนิ่งคิดอะไรอีกนิดก่อนจะตีไฟเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางทั้งที่ผ่านแยกหน้าไปก็เป็นหมู่บ้านของผมแล้วแท้ๆ ไม่รู้สินะ ผมแค่รู้สึกว่าไม่อยากกลับบ้านในตอนนี้ มันเบื่อๆแต่ก็เหมือนจะไม่อยากเจอใครไปด้วย ผมตัดสินใจขับไปยังโรงแรมแห่งหนึ่งที่ซึ่งมีบาร์ที่เมื่อก่อนผมมาล่าเหยื่อเป็นประจำ จะว่าไปก็เป็นที่แรกที่ผมเจอทัตด้วยนี่นะ มาจนทุกวันนี้ก็ยังไม่มั่นใจว่ามันเป็นความบังเอิญหรือความจงใจกันแน่
“อ้าว ไม่เจอกันนานนะครับคุณคริสตัล”
เสียงทักเป็นภาษาอังกฤษทักขึ้นเมื่อผมเดินตรงเข้าไปยังบาร์ การพูดคุยที่นี้ผมมักใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักนะครับ
ผมยิ้มอ่อนในเชิงทักทายให้เอมเมอร์ บาร์เทนเดอร์ชายวัยยี่สิบปลายชาวออสซี่ที่มาอยู่ไทยนานนับสิบปี ที่ผมรู้ละเอียดขนาดนี้ก็เพราะผมสนิทกับเค้าในระดับหนึ่ง ถือว่าเป็นการสนิททั้งในรูปแบบเพื่อนและนายหน้าเลยก็ว่าได้ เอมเมอร์มักจะรู้ว่าผมชอบคนแบบไหนและเมื่อมีคนน่าสนใจเข้ามาเค้าก็จะแนะนำให้ผมเป็นอันดับแรก
“สบายดีไหมเอม?”
“เรื่อยๆแต่เหงาหน่อยที่ไม่ได้เจอคุณ”
“หึ”
“มาไวแบบนี้คงไม่ได้มาหาคนควงใช่ไหม?”
ผมพยักหน้า แน่สิตอนนี้พึ่งบ่ายกว่าๆเองนะ ถึงที่นี้ถึงจะเปิดบริการ24ชั่วโมงแต่ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะเน้นดริ้งส์และมาในช่วงกลางคืนเสียมากกว่า ทั้งร้านเลยมีเพียงผมและพนักงานนับสิบคนรวมเอมเมอร์ด้วย
“นายเข้ากะบ่ายเหรอวันนี้?”
“ป่าวหรอก แค่ว่างๆเลยมาจัดขอรอเวลาเข้างาน”
ผมหลุดหัวเราะเสียงแผ่ว จะมีพนักงานสักกี่คนที่ขยันได้ขนาดนี้ น่าดีใจแทนเจ้าของที่นี่จริงๆ
“แล้วคุณละ?”
“หืม?”
“มาเวลานี้มันผิดปกตินะครับ”
ผมเผลอหลบสายตาเอมเมอร์จนอีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนที่จะเหยียดยิ้ม
“อกหัก?”
“แน่นอนว่าไม่”
“ว๊า ผมอุสาคิดว่าที่คุณหายไปคงไปพบรักกับใครสักคนเข้าให้ นี่ผมต้องผิดหวังซะแล้วสิ”
“อย่าเพ้อเจ้อน่าเอม ผมแค่เบื่อๆเลยมา แล้วที่หายไปคือยุ่งอยู่แค่นั้น”
“อ่าห่ะ”
“แล้วนี่ไม่คิดจะบริการกันหน่อยเหรอ?”
ผมหมายถึงพวกเครื่องดื่มที่น่าจะมีมาเสิร์ฟตั้งนานแล้วแต่กลับไม่มี
“สั่งสิครับ”
“นายจำไม่ได้เหรอว่าผมดื่มอะไร?”
“จำได้ แต่มาเวลานี้ผมกะไม่ถูกว่าควรให้อะไรกับคุณดี”
“งั้นขอน้ำแร่”
“มันคือมุกตลกใช่ไหม?”
ผมยิ้มขำ
“ขอเบียร์เย็นๆสักขวดแล้วคุณต้องไปนั่งเป็นเพื่อนผมด้วย ยังไม่ถึงเวลางานไม่ใช่เหรอ ห้ามปฎิเสธผมนะ”
“คุณนี่เอาแต่ใจไม่เปลี่ยนเลยนะ”
ผมไหวไหล่แล้วผละเดินไปยังเก้าอี้โซฟานุ่มๆที่อยู่ติดกระจกบานใหญ่ สายตาทอดมองไปยังวิวเบื้องล่างที่มีรถราขับกับให้ว่อน แสงแดดทำให้ผมต้องหลี่ตาลงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้แสบตามากนักเนื่องจากกระจกเป็นชนิดกรองแสงในตัว
“นี่ครับ”
เอมเมอร์เอ่ยพร้อมวางขาดเบียร์เย็นๆที่มีปลอกคลุมคอยซับหยดน้ำและการถือที่ถนัดมือไว้ตรงหน้าผมก่อนจะทรุดตัวนั่งลงตรงข้าม ผมหยิบมันมายกขึ้นดื่มพลางลอบสังเกตบาร์เทนเดอร์หนุ่มที่อยู่ในชุดไปรเวทแปลกตา ปกติผมเคยเห็นแต่ช่วงเวลาทำงานและแน่นอนว่าเอมต้องอยู่ในชุดบาร์เทนเดอร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“มีอะไรผิดปกติเหรอ?”
เอมเมอร์คงเห็นว่าผมจ้องมากเกินไปเลยอดที่จะท้วงไม่ได้
“คุณดู...หล่อดีนะ”
เค้ายิ้ม
“ก็ได้ยินบ่อยอยู่เหมือนกัน”
ผมเผลอเหยียดปากอย่างคุ้นชินจนเอมหลุดเสียงหัวเราะ
“หัวเราะอะไรไม่ทราบ?”
“ปกติคุณมักจะปั้นหน้าแต่เมื่อกี้เหมือนเป็นตัวตนจริงๆของคุณเลย”
“อย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่สิ”
“แล้วมันดีหรือไม่ดี?”
เอมเมอร์เอนกายไปพิงเบาะด้านหลังก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบคางพลางทำสีหน้าคิดหนักจนผมอดใจแป๋วไม่ได้ อย่าบอกนะว่าที่ผ่านมามันดูน่าเกลียดอยู่ตลอดนะ แต่ก็ไม่น่าใช่เพราะดูจากผลลัพท์ที่ผมได้คนควบไม่ซ้ำหน้าแล้วนะน่ะ
“เอม”
“หึหึ มันดีสำหรับการหยั่งเชิงผู้มาใหม่นะ แต่มันไม่ดีสำหรับคนที่อยากจะสานสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น”
“เยอะ”
ผมยกเบียร์ขึ้นดื่มต่อเลิกสนใจคนตรงข้ามทั้งที่เป็นคนบอกให้เค้ามานั่งเป็นเพื่อนแท้ๆ แต่ดูเหมือนเอมเมอร์จะรู้นิสัยผมดี เค้าเลยไม่สนใจที่จะเซ้าซี้หรือชวนคุยอะไร จนกระทั่งเป็นผมเองที่ชวนคุย
“เอม”
“ครับ?”
“คุณ…ไม่มีแฟนเหรอ?”
คนตรงข้ามผมหัวเราะนิดหน่อยก่อนจะส่ายหัวเบาๆ
“ทำไมละ? วัยอย่างคุณไม่น่าจะโสดได้นะ หน้าตาก็ใช่ว่าจะเลวร้าย”
“ผมคงจะมีนิสัยคล้ายๆคุณละมั่ง”
“หืม ตรงไหน?”
“ตรงที่ไม่กล้าที่จะเปิดใจไง”
ผมชะงักมือที่กำลังยกขวดขึ้นกรอกปากก่อนจะเหล่ตาไปมองคนพูดด้วยสายตาที่จิกกัดพอสมควร
“ปากดี”
“หรือไม่จริง?”
“……”
ผมเลือกที่จะไม่ตอบทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ใช่ ที่มั่นใจแบบนั้นเพราะการที่มีใครบางคนให้ได้คิดถึงแทบจะตลอดเวลาแบบนี้ไงที่เป็นหลักฐานชิ้นเยี่ยม ถึงแม้คนๆนั้นจะเป็นบุคคลที่ไม่สมควรคิดถึงก็เถอะ พูดไปแล้วผมก็ไม่รับรู้ถึงข่าวของครอบครัวนั้นอีกเลยนะครับ จะมีแว่วมาบ้างตามข่าวสังคมในหนังสือพิมพ์หรือทีวีว่านายคเชนต์นั้นได้ล้มจมจนแทบจะล้มละลายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ผมลางานมานั่งดื่มกับคุณดีไหมเนี้ย ดูท่าทางแล้วคงอยู่อีกนาน”
ผมพยักหน้าพลางส่งยิ้มไปให้ด้วยความถูกอกถูกใจ เอมเมอร์หัวเราะบอกขอตัวแล้วก็หายเข้าไปในส่วนของพนักงานปล่อยให้ผมนั่งดื่มจนหมดแล้วก็สั่งใหม่ไปเรื่อยๆ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความไปบอกพี่ครอสว่ามาดื่มที่ไหนก่อนจะล็อคจอแล้วทิ้งมันไว้บนโต๊ะทั้งอย่างนั้น
“รอนานไหม?”
เอมเมอร์กลับมาอีกครั้งพร้อมขวดเบียร์ในมือ และครั้งนี้เค้าเลือกที่จะมานั่งลงข้างๆผมแทนที่จะอยู่ฝั่งตรงข้ามเหมือนเดิม
“นาน”
“ขอโทษแล้วกันครับ”
“หึ ถ้าสำนึกผิดจริงๆต้องอยู่ดื่มกับผมจนร้านปิด”
“รับบัญชาครับนายท่าน”
“เห้ย นี่ลางานจริงๆเหรอเอม?”
อดจะตกใจไม่ได้จริงๆ แค่ผมมาดื่มตามปกติไม่เห็นต้องมาใส่ใจกันขนาดนั้นเลย ก็แค่คนรู้จักที่สนิทสนมกับพอสมควรแค่นั้น
“เอาน่า ให้ผมได้ใช้สิทธิ์บ้างเถอะ รู้ไหมว่าบอสดีใจขนาดไหนที่ผมเดินเข้าไปบอกว่าวันนี้ขอหยุดงาน”
“ห่ะ? ลูกน้องหยุดงานนี่ต้องดีใจด้วยเหรอ?”
“ดีใจสิถ้าลูกน้องคนนั้นไม่เคยลางานเลยตลอดสองปีที่ผ่านมา บอสเคยบอกด้วยซ้ำว่ากลัวผมเครียดจนเกินไป อยากให้หยุดแต่ผมก็ไม่หยุดสักที”
ผมพยักหน้าเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ก็ดูจากที่เค้ามาทำงานทั้งที่ยังไม่ถึงกะตัวเองแบบนี้สิครับ
“ถือว่าเป็นเกียรติสินะที่ทำให้ลูกน้องคนนี้ยอมหยุดงานได้”
“เพื่อคุณโดยเฉพาะเลยครับ”
เอมยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีจนทำให้ผมยิ้มตามในที่สุด
“งั้นก็…เชียส์”
กริ๊ง!
เสียงขวดชนกันเบาๆก่อนที่บรรยากาศจะค่อยๆดีขึ้นตามอารมณ์ ผมเริ่มพูดมากขึ้นในขณะที่เอมเองก็เช่นเดียวกัน เราพูดถูกคอกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วและเมื่อแอลกอฮอล์เข้าร่างกายก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างดูจะลื่นไหลไปได้ไวกว่าเดิม จากท้องฟ้าที่สว่างไสวก็เริ่มมืดสลัวลงและผู้คนก็เริ่มหนาตามากยิ่งขึ้นไปด้วย
“พอท้องฟ้ามือแล้วแสงไฟเบื้องล่างสว่างระยิบระยับแข่งกับดวงดาวเลยเนอะ”
เอมเอ่ยเมื่อมองออกไปที่ด้านนอก ผมมองตามด้วยสายตาที่เริ่มจะเบลอลงทุกขณะ ผมเป็นคนคอแข็งนะ แต่นี่ล่อตั้งแต่บ่ายยันเย็นมันก็ต้องมีบงมีเบลอบ้างละวะ
“อืม สวยดี”
“ที่ผมมาทำงานที่นี้ก็เพราะวิวนี้แหละ ทั้งที่งานที่เก่ามันให้เงินผมมากกว่าปัจจุบันถึงสองเท่าก็เถอะ”
“เห้~ เรื่องจริงเหรอ?”
“เห็นผมเป็นคนช่างโกหกหรือไง?”
“ก็ไม่แน่ หน้าตาคุณกะล่อนจะตาย”
เอมหัวเราะขำก่อนจะยกขวดในมือขึ้นดื่มแล้ววาดวงแขนเท้าที่พิงทางด้านหลังไปด้วย
“ใครกันแน่ที่กะล่อน”
“นี่ว่าผมเหรอ?”
เอมไหวไหล่อย่างไม่ยีหระผมเลยแยกเขี้ยวใส่พร้อมกับหยิบหมอนอิงที่อยู่ใกล้มือมาฟาดใส่ไปซะเต็มแรง เอมปัดได้อย่างทันท่วงทีพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ผมฟังยังไงก็เหมือนเยาะเย้ยกันอยู่ชัดๆผมเลยกระหน่ำฟาดไปอีกหลายต่อหลายทีจนโดนเอมแย่งไปจากมือชูขึ้นเหนือหัวนั้นแหละผมถึงได้เปลี่ยนเป็นฝ่ายตามไล่ล่ายืดแขนจะไปแย่งแต่ก็โดนเบี่ยงหลบจนน่าเตะ
“เอมเมอร์!”
“ตัวสั้นกว่าที่คิดจะคริสตัล”
ผมกัดฟันกรอดเลยครับ มีสิทธิ์อะไรมาว่าคนอย่างผมตัวสั้นวะ ถึงจะเตี้ยกว่าแต่ก็ใช่ว่าจะสั้นไหม แม่งเจ็บปวด
ตุบ
ในเมื่อแย่งหมอนไม่ได้ผมเลยทุบเข้าที่หน้าท้องเอมไปทีแบบไม่ออมแรงจนเอมถึงกับหลุดเสียงร้อง
“โอ้ย! เจ็บนะคริส”
“สมน้ำหน้า”
ว่าแล้วก็แลบลิ้นใส่ไปอีก ทำคนอื่นเจ็บตัวได้นี่โคตรสะใจ
“ผิดกติกา”
“ไม่มีสัจจะในหมู่โจร เคยได้ยินไหมเอม?”
“ได้คริส ได้ เล่นอย่างนี้เลยใช่ไหม”
“เห้ย!”
ยังไม่ทันจะตั้งตัวเอมก็เข้ามาประชิดพร้อมกับมือที่ยุกยิกอยู่ที่เอวจนผมหัวเราะลั่นไหนจะดิ้นพล่านหนีความจักกะจี้ที่แทบจะขาดใจตาย ดีหน่อยที่โต๊ะที่เรานั่งเป็นโซนโซฟาซึ่งเป็นคล้ายๆคอกแบ่งแยกอย่างชัดเจน และคนที่โซนนี้ก็ยังไม่มากเลยไม่มีใครสนใจเราสักเท่าไหร่
ยกเว้น…
“เหี้ย!!”
อันนี้ผมอุทานอย่างตกใจโคตรๆที่จู่ๆก็โดนอุ้มจนตัวลอยจากทางด้านหลังจนเข้าสู่อ้อมกอดของใครบางคนที่ไม่คิดว่าจะเจอ
“ทัต!”
เทพทัตไม่ได้สนใจเสียงเรียกของผมแต่หันไปจ้องหน้าเอมที่ลุกขึ้นยืนจ้องตอบอย่างไม่เกรงกลัว
“อ้อ คุณลูกค้าคนนั้นนั่นเอง”
เอมเมอร์เอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ได้ดูจริงใจสักเท่าไหร่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าคนตัวโตนี้ก็เป็นหนึ่งในลูกค้าระดับวีไอพี ทัตไม่ตอบอะไรแต่มือที่โอบผมอยู่กลับเพิ่มแรงรัดจนผมต้องนิ่วหน้า
“เจ็บ ปล่อยนะ”
ทัตหันมามองผมด้วยสายตาที่ยังเกรี้ยวกราดอยู่ ผมพยายามแกะมือหน้าที่โอบรอบเอวแต่เหมือนจะไม่เป็นผลสักเท่าไหร่
“ทัต บอกให้ปล่อยไง”
“ปล่อยให้ไปหาไอ้นั้นนะเหรอ?”
เสียงทุ่มติดแข็งเอ่ยถามกลับมา
“มันเรื่องของไอ”
“ผัวไม่อยู่แป๊บเดียวหาใหม่ได้ทันใจดีนะคริส”
ผวั๊ะ!
แน่นอนว่ามันเป็นเสียงหมัดหนักๆที่กระแทกเข้าหาคนปากเสียตรงหน้าแต่ไม่ใช่ฝีมือผมนะครับ เอมเมอร์เป็นผู้กระทำและฝ่ายถูกกระทำที่เผลอปล่อยมือจากการโอบผมด้วยแรงชกเลยเซถอยหลังไปเล็กน้อย ผมได้แต่ยืนมองตาค้างไม่คิดว่าร่างบางๆ(แต่ก็หนากว่าผม)ของเอมจะปล่อยหมัดได้หนักถึงขนาดนั้น
“ปากเสียจริงเชียว”
“ฟังไทยออกด้วยเหรอเอม?”
“ผมอยู่ไทยมาเป็นสิบปีนะคริส แค่ฟังออกนะน้อยไป”
ยังไม่ทันที่ผมจะตอบกลับอะไรไปทัตก็เข้ามากระชากคอเสื้อเอมเข้าไปประชิดตัวตั้งท่าจะสวนหมัดใส่เพื่อแก้แค้นแต่ผมรีบร้องห้ามไว้ซะก่อนทัตเลยได้แต่ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ
“หยุด! ถ้ายังกล้าลงมือกับเค้ายูได้เจอดีกับไอแน่เทพทัต!!”
“ทำไมต้องปกป้องมัน!”
ผมไม่ตอบแต่จ้องหน้าสบตากับคนตัวโตเขม่ง ทัตปล่อยมือจากเอมแล้วเปลี่ยนมาจับมือผมแทนแต่ผมสะบัดจนหลุด ทัตได้แต่กัดฟันกรอดแล้วจะเข้ามาใหม่จนเอมเมอร์เข้ามาแทรกอีกที
“ในเมื่อเค้าไม่ยินยอมที่จะไปกับคุณก็อย่ามาบังคับเค้าสิครับ”
“เสือก!”
“เอม เราไปที่อื่นกันเถอะ”
“ไม่ได้นะคริสตัล เราต้องไปกับพี่!”
“เสือก!!”
ผมตะคอกกลับในคำเดียวกันกับมันจนออร่าความโกรธพุ่งทยานจนผมสัมผัสได้แต่ก็ยังแข็งใจสู้
“จะเอาอย่างนี้ใช่ไหมคริส?”
“……”
“ถ้าไม่มาด้วยกันดีๆอย่าหาว่าพี่ใจร้ายก็แล้วกัน”
จบคำพูดมันก็ชูมือขึ้นเหมือนจะเรียกใครจนผมนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นใครและมีอำนาจมากแค่ไหน
“ยูจะทำอะไร?”
“หึ”
มาแล้วรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ผมแสนเกลียด แต่กลับชวนให้คิดถึงมากพอๆกัน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลามาคิดอะไรแบบนั้น
“ห้ามยุ่งกับเอมเมอร์! ห้ามทำอะไรเอมนะ!!”
“คริส”
เอมเมอร์เอ่ยเรียกเสียงแผ่วพร้อมกับเอื่อมมือมากุมมือผมต่อหน้าต่อตาของคนตัวโตตรงหน้า ทัตกำมือแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนอย่างน่ากลัว
“ห่วงมันนักเหรอ?”
“เออสิวะ!”
“แล้วเราจะได้รู้กัน สิน!”
ผมอ้าปากเหวอเมื่อไอ้ยักษ์ตรงหน้าตะโกนเรียกลูกน้องในทันที สินเลยโผล่เข้ามาก่อนจะโน้มตัวน้อยๆรอรับคำสั่งจากผู้เป็นนาย
“จับตัวไอ้ฝรั่งนั้นซะ”
“ทัต!!!”
TBC…
โผล่มาทั้งที มาในบทผู้ร้ายเลยนะเทพทัต
หึงก็บอกกกกกกก ไม่ต้องทำมาเป็นเข้ม อุแหม่~