สัมผัสที่ 37
ทัตมาถึงบ้านใหญ่ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงทั้งๆที่บ้านของตนและบ้านของคริสอยู่กันคนละฟากฝั่งเมือง ปกติทัตก็เป็นคนขับรถเร็วตามสไตล์คนหนุ่มผู้แสนไฮเปอร์แถมรถยังเป็นสปอร์ตคาร์เครื่องยนต์ 4308 C.C. V8 DOHC 400แรงม้าอัตราความเร็ว 310km/h อีกต่างหาก ถ้าไม่ใช่คนรักหรือชื้นชอบในความเร็วจะเอารถแบบนี้มาทำไม แต่ทว่าเมื่อตุ๊กตาหน้ารถคือคริสตัลความเร็วนั้นก็มลายหายไปแล้วเปลี่ยนเป็นความใส่ใจในเรื่องของความปลอดภัยจนตัวเองยังนึกกลัว กลัวการเปลี่ยนแปลงที่ตัวเองยังคาดไม่ถึง
ตัวบ้านขนาดใหญ่ลายหินอ่อนสีขาวมุกตั้งตระหง่านอยู่กลางสวนสวยที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีถึงแม้ผู้เป็นเจ้าของจะไม่ค่อยอาศัยอยู่ก็ตาม พ่อกับแม่มักอยู่เมืองนอก ทัตก็ชอบอยู่คอนโด เลยกลายเป็นอีฟที่ต้องอาศัยอยู่กับเหล่าแม่บ้านและคนสวน ทันทีที่เฟอร์รารี่คันงามจอดเทียบที่หน้าบันไดหินอ่อนเหล่าลูกจ้างก็วิ่งมารับกันอย่างพร้อมเพียง ไม่รู้ว่าที่รีบเพราะตื่นเต้นที่เห็นนายมาหรือกลัวการโดนว่าหากมารับช้าหรืออาจจะทั้งสองอย่างรวมกันก็ได้
“มีใครอยู่บ้านบ้าง?”
ทัตเอ่ยถามเด็กรับรถที่ชื่อปอนด์ ปอนด์เป็นลูกของป้ามะลิและลุงชาติที่เป็นแม่บ้านและคนสวนมาตั้งแต่สมัยที่เค้ายังไม่เกิดซะด้วยซ้ำ
“คุณหญิงครับ คุณท่านไปบริษัทตั้งแต่เช้ายังไม่กลับ”
ทัตยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู เวลานี้ก็เย็นพอตัวแล้วแต่พ่อยังไม่กลับแสดงว่าคงยังไม่พ้นช่วงยุ่งๆของบอร์ดบริหารสินะ
“อืม ด้านหลังมีประเป๋าเดินทางอยู่ใบหนึ่ง เก็บรถเสร็จก็เอาขึ้นไปไว้บนห้องให้ด้วย”
“ครับ”
ทัตปล่อยให้ปอนด์ทำหน้าที่ต่อไปโดยที่ตัวเองหันไปเดินเข้าบ้านและตรงไปยังห้องนั่งเล่นอย่างคุ้นเคย ทันทีที่โผล่หน้าเข้าไปก็เห็นใบหน้าของผู้เป็นแม่กำลังนั่งจิบน้ำผลไม้สายตาจ้องมองไปยังหน้าจอเขม่งเหมือนมีอะไรสำคัญนักหนา
“แปลกนะที่เห็นแม่อยู่บ้านได้”
หญิงผู้เป็นมารดาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมามองค้อนลูกชายตัวเอง
“มันควรเป็นคำพูดของแม่มากกว่านะ คิดยังไงถึงกลับบ้านมาได้จ้ะ พ่อหนุ่มนักรัก”
ทัตกระตุกยิ้มแล้วเดินเข้าไปหอมแก้มคนแม่ฟอดใหญ่ๆทั้งสองข้างก่อนจะนั่งลงข้างๆกัน
“แม่ดูไม่แก่ขึ้นเลยนะ ไปฉีดโบท๊อกที่ไหนมาบอกผมบ้างสิ”
“เอ๊ะ ลูกคนนี้นี่”
ทัตหัวเราะขำคนแม่ที่ตีแขนเค้าเบาๆ แม่ของเค้าเป็นชาวต่างชาติที่มีทักษะด้านภาษาไทยเป็นเลิศแถมยังเป็นถึงอดีตซุปเปอร์โมเดลระดับท๊อปของอิตาลี่อีกด้วย
“ดูอะไรอยู่เหรอครับ?”
“ก็งานสังคมทั่วไป คนไทยนี่ชอบออกงานแล้วใส่ชุดอย่างกับนกยูงจังเลย”
ภาพงานการกุศลที่โชว์หลาอยู่ที่หน้าจอทำให้ทัตเข้าใจในสิ่งที่ผู้เป็นแม่เอ่ย คุณหญิงคุณนายต่างก็แต่งตัวใส่เพชรนิลจินดาอวดร่ำอวดรวยกันสุดฤทธิ์สุดเดช ทรงผมอมตะคือกระบังลมสูงๆที่เค้าก็ไม่เข้าใจว่ามันสวยตรงไหน แต่ก็นะ มันเป็นความชอบส่วนบุคคลเค้าก็ไม่มีสิทธิ์ไปวิจารณ์อะไร
“ว่าแต่เราเถอะ ทำไมถึงโผล่มาบ้านได้ ไหนพ่อบอกว่าลูกไปเที่ยวกับคนรักไม่อยากแม้แต่มารับพ่อกับแม่ที่สนามบิน”
“เค้ามีธุระด่วนเลยต้องกลับมาก่อนกำหนดนะ”
“แสดงว่าถ้าเค้าไม่มีธุระลูกก็อาจจะไม่มาหาว่างั้น?”
“ก็อาจมาแต่สักสัปดาห์หน้าไงครับ”
“จ้ะ พ่อลูกบังเกิดเกล้า”
“หึหึ”
“แล้วหิวรึยัง?”
“ยังครับ ไว้รอทานมื้อเย็นพร้อมพ่อกับแม่เลยดีกว่า งั้นผมขอตัวขึ้นห้องก่อนนะ”
“โอเค ถึงเวลาเดี๋ยวแม่ให้คนขึ้นไปเรียก”
“โอเคครับ”
พูดจบทัตก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินดุ่มๆออกจากห้องนั่งเล่นแล้วตรงไปยังชั้นสองอันเป็นสถานที่รวมห้องนอนของเค้าและพี่สาว ชั้นนี้จะมีห้องนอนใหญ่ๆอยู่สองห้องและอยู่ตรงข้ามกับส่วนชั้นสามจะมีห้องของพ่อและแม่อยู่ห้องเดียวแถมติดกับดาดฟ้าที่มีสระว่ายน้ำขนาดเล็กอีกด้วย
ภายในห้องนอนของเค้ายังคงมีสภาพเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ความสะอาดที่สัมผัสได้บ่งบอกว่าที่นี่ถูกทำความสะอาดบ่อยครั้งถึงแม้จะไม่รู้ว่าผู้เป็นเจ้าของห้องจะกลับมาพักเมื่อไหร่ก็ตาม ถึงแม้ระเรียกว่าห้องนอนแต่ก็กว่างใหญ่และแบ่งแยกโซนด้วยฉากกั้นขนาดใหญ่จนดูเหมือนเป็นห้องๆหนึ่งในคอนโดเลยก็ว่าได้ เมื่อเปิดประตูเข้าไปจะเป็นโซนครัวที่มีเคาร์เตอร์กาต้มน้ำชากาแฟแก้วเซรามิกถ้วยจานนิดหน่อยและตู้เย็นขนาดเล็ก เดินตรงเข้าไปด้านในเป็นโซฟาเตี้ยทรงกลมสองตัวบนพื้นพรมหันหน้าไปที่ผนังซึ่งมีทีวีจอยักษ์แปะอยู่ข้างฝาและด้านล่างเป็นชุดเครื่องเสียงโฮมเทียเตอร์ครบชุด ด้านซ้ายเป็นผนังที่กรุด้วยกระจกเต็มบานมีผ้าม่านผืนหน้าถูกจัดเก็บอยู่ตรงริม ด้านซ้ายเป็นฉากกั้นลายเลขาคณิตสีทึบเมื่อเปิดเข้าไปก็เป็นตียงนอนหลังใหญ่พร้อมตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำประตูกระจก
ทัตล้มตัวลงนอนที่เตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน เมื่อมาเห็นที่พักความเหนื่อยล้าที่ข่มไว้จึงฝุดขึ้นมาจนร่างกายไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาซะดื้อๆ ดวงตาสีเข้มปิดลงก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด ขณะที่เค้าหลับ ใบหน้าของคนรักก็ผุดขึ้นมาในความฝัน มันเป็นภาพของคริสที่ยืนหันหลังแล้วเหลียวมองมาทางตน ใบหน้านั้นดูเศร้าสร้อยและพร้อมจะหลั่งน้ำตาได้ทุกเมื่อ
‘คริส เป็นอะไร’
เค้าถามด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้เอื้อมมือจะไปสัมผัสคริสกลับเดินหนีไป
‘คริส’
เจ้าของชื่อหันหลับมายิ้มบางแต่น้ำตาไหลอาบแก้ม ทัตใจกระตุก
‘คริสตัล’
คนถูกเรียกหันหนีแล้วก้าวเดินต่อไปโดยที่เค้าก้าวตามยังไงก็ไม่ทัน
‘ขอโทษ’
เสียงคริสตัลตอบกลับมาจากสักแห่งและนั้นก็ทำให้ทัตสะดุ้งตื่นในที่สุด หยาดเหงื่อไหนซึมไปทั่วร่างทั้งที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ทัตผุดลุกขึ้นนั่งเสยผมตัวเองช้าๆพิจารณาสิ่งที่พึ่งฝันไป
ใจไม่ดีเอาเสียเลย
ว่าแล้วก็ควานหาโทรศัพท์ตัวเองมาต่อสายหาคริสทันที ทัตฟังเสียงสัญญาณอยู่นานจนกระทั่งมันตัดไปเองนั้นแหละเค้าถึงได้หมุนหัวคิ้วด้วยความสงสัย เค้ากดโทรอีกครั้งและอีกครั้งแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้รับการตอบกลับจากคนที่โทรหา
“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่านะ?”
พึมพำคนเดียวเบาๆ ก็ไม่ได้อยากจะคิดมากหรอกแต่ไอ้ความฝันบ้าๆเมื่อกี้มันทำให้อารมณ์ตอนนี้แทบจะติดลบ
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูเรียกสติของทัตให้กลับมา เค้ามองไปยังนาฬิกาในห้องแล้วก็ถอนหายใจ ได้เวลามื้อค่ำแล้วสินะ
“คุณหญิงให้มาเชิญไปที่ห้องอาหารค่ะ”
ทันทีที่เปิดประตูออกไปดูแม่บ้านคนหนึ่งก็เอ่ยบอก เค้าพยักหน้ารับบอกว่าจะตามลงไปในอีกสามนาทีก่อนจะปิดประตูแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา เมื่อกี้ก็ลืมถามว่าพ่อกลับมารึยัง แต่ก็ช่างมันเถอะ
“ว่าไงไอ้ลูกชาย”
ไม่ต้องถามแล้วละว่าคนพ่อจะกลับมารึยังก็ในเมื่อโผล่เข้ามาในห้องอาหารก็ได้รับการต้อนรับซะดังลั่นห้องขนาดนี้
“พ่อกลับมานานแล้วเหรอ?”
ถามพร้อมนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆผู้เป็นพ่อซึ่งจะตรงข้ามกับผู้เป็นแม่ สรุปง่ายๆคือหัวโต๊ะเป็นที่ของเจ้าของบ้านนั้นแหละ
“สักพัก พ่อไปรื้อบอร์ดบริหารใหม่เลยยุ่งๆ”
ทัตพยักหน้ารับก่อนจะเอี้ยวตัวหลบให้ป้าแม่บ้านตักข้าวสวยร้อนๆเสิร์ฟจนครบหมดทุกจาน อาหารบนโต๊ะเป็นอาหารไทยที่ทัตคุ้นเคยดี
“แล้วเป็นไงบ้าง?”
ทัตพึ่งทานไปได้ไม่กี่คำผู้เป็นพ่อก็เอ่ยถามขึ้น
“หืม?”
“ก็เรื่องที่คุยก่อนหน้านี้”
ทัตไม่ตอบและทำทีทานข้าวต่อไปไม่ได้สนใจคนถาม
“มีเรื่องอะไรกันเหรอคุณ?”
“อ้อ ผมบอกให้ลูกเลิกกับแฟนมันนะ”
เคร้ง!
นอกจากแม่จะตกใจแล้วทัตยังวางช้อนส้อมทันทีที่ได้ยิน เค้าเบือนหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่และนั้นก็ทำให้ผู้เป็นพ่อจ้องมองมาด้วยสายตาที่ออกจะดุๆผิดจากปกติ
“ผมอิ่มแล้ว”
ว่าแล้วก็ผุดลุกขึ้นแต่โดนห้ามไว้ซะก่อน
“นั่งลงแล้วกินต่อไป”
“.........”
ทัตยอมนั่งแต่ไม่ได้กินต่อตามที่โดนสั่ง
“เออ ทำไมคุณถึงไปพูดกับลุกแบบนั้นละ?”
“หึ ไม่ถามมันดูเองละ”
แม่หันไปมองยังเค้าทันทีที่พ่อเอ่ยจบ ทัตจิ๊ปากเบาๆก่อนจะตอบ
“แฟนผมเป็นผู้ชาย”
เคร้ง!
คราวนี้เป็นแม่ที่ช้อนส้อมร่วงลงจากมือ
“...เทพทัต...”
ดุนลิ้นในกระพุ่งแก้มให้กับสีหน้าตกตะลึงของมารดา
“ครับ”
“ไม่ได้ล้อแม่เล่นใช่ไหม?”
ทัตพ้นลมหายในหน่อยๆ
“เปล่าครับ”
“ใคร? เค้าเป็นใคร?”
ตุ๊บ!
ทัตมองไปที่ต้นตอของเสียงซึ่งก็เป็นซองสีน้ำตาลที่พ่อโยนลงข้างๆแม่ แม่มองงงๆก่อนจะนำมาเปิดดูและทัตเดาได้ไม่ยากเลยว่ามันคืออะไร นี่ถึงขนาดต้องสืบกันเลยเหรอ ชักไม่สบอารมณ์มากกว่าเมื่อกี้แล้วสิ
“เกินไปไหมพ่อ?”
“อะไร? ไอ้นี่นะเหรอ? เกินไปตรงไหน?”
“มันละเมิดความเป็นส่วนตัวของเค้าไหมละ”
“ไม่นี่ แค่สืบอยู่ห่างๆไม่ได้เข้าไปยุ่มยามด้วยเลย”
เกลียดความหน้ามึนของผู้เป็นพ่อจริงๆ
“ผมขอละ ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา ถ้ามีอะไรก็มาลงที่ผมคนเดียว”
คนเป็นพ่อแสยะยิ้มแล้วรวมช้อนส้อมไว้อย่างใจเย็น
“ปกป้องกันขนาดนี้ รักมากเลยสินะ”
“ไม่รักสิแปลก แฟนทั้งคน”
“แค่แฟนจะอะไรนักหนา”
“เมียก็ได้งั้น”
“โฮ่ ขนาดนั้นเลย?”
ทันนั่งกอดอกจ้องมองสบตาผู้เป็นพ่อกลับอย่างไม่เกรงกลัว การทานอาหารมื้อนี้คงสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้และกลายเป็นสนามอารมณ์ของคนทั้งคู่แล้วสินะ
“ไม่ยอมเลิกว่างั้น?”
ทัตพยักหน้า
“ถึงแม้จะต้องตัดขาดจากพ่อจากแม่จากทุกสิ่งทุกอย่างที่แกเคยมีและเคยได้รับ”
“ผมหาเองได้ ไม่มีก็หาใหม่จะไปยากอะไร”
“ยากแน่ในเมื่อแกเหลือแต่ตัวเปล่าๆ ไม่คิดบ้างเหรอว่าถ้าแกเหลือแต่ตัวแล้วเค้าอาจจะไม่สนแกแล้วก็ได้”
“ไม่มีทาง คริสไม่ใช่คนแบบนั้น”
“อ้อ ฉันลืมไปว่าทางนั้นเค้าก็รวย ถึงแกเหลือแต่ตัวแต่เค้าก็เลี้ยงได้นี่เนอะ”
“ผมไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นแน่”
คนเป็นพ่อเหยียดยิ้ม
“แกจะทำยังไงเทพทัต จะเริ่มจากไหนละ เริ่มจากสมัครงานร้านฟาสฟู๊ดก่อนเหรอ หืม?”
“นี่พ่อกำลังท้าผม?”
“ถ้าบอกว่าใช่ละ”
“พอเถอะค่ะ ทั้งพ่อทั้งลูกเลย”
คนแม่เริ่มทนฟังไม่ไหว หัวอกคนเป็นแม่จะไปทนได้ยังไงถ้าลูกของตัวเองต้องไปตกระกำลำบาก คนพ่อนี่ก็อะไร ห่วงลูกก็ห่วงแต่กลับแสดงออกมาตรงกันข้ามซะงั้น
“นี่ใช่แฟนลูกไหมทัต?”
ทัตมองไปยังรูปถ่ายที่แม่เลื่อนมาตรงหน้าก่อนจะพยักหน้ารับ
“หน้าตาดีจัง เข้าวงการได้สบายเลยนะเนี้ย แม่อยากเจอตัวจริงจังเลยลูก เรียกเค้ามาให้แม่เห็นหน่อยได้ไหม?”
ทัตถึงกับสะดุด เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ยังตกตะลึงกับการได้รู้ว่าตนคบกับผู้ชายอยู่เลย แล้วไหงถึงปรับอารมณ์ได้ไวอย่างนี้วะ
“หึหึ”
“หัวเราะอะไรคุณ เห็นอย่างนี้ก็ถูกใจคุณไม่น้อยหรอก”
คนเป็นพ่อไหวไหล่และนั้นก็สร้างความประหลาดใจให้ทัตมากพอสมควร
“หมายความว่ายังไง?”
“ก็หน้าตาดีไง ถามแปลกๆ”
“ไม่ใช่งั้นดิ ผมหมายถึง...”
“เออ...ก็แค่อยากแหย่แกเล่น แต่แม่แกดั๊นเบรกไวเกิ๊น”
ลืมไปว่าพ่อเป็นหัวหน้าสมาคมบุคคลเกลียมัวแห่งชาติ ว่าแล้วก็หลุดหัวเราะจนพ่อส่งสายตาดุๆมาให้ไปอีก
“ขำอะไรนักหนาวะ เดี๋ยวแกก็เป็นเหมือนพ่อ เชื่อดิ”
“ผมป่าวกลัวเมียนะ แค่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน”
“ก็เหมือนกันแหละ เหอะ”
คิดแล้วก็อยากขำ พ่อเล่นใหญ่มากอะบ่องตรง แต่ที่ใหญ่กว่าคงต้องเป็นแม่เพราะตั้งแต่เห็นรูปคุณท่านเล่นจ้องไม่วางตาจนตอนนี้ก็ยังไม่เลิกจ้อง
“แม่ครับ”
“หืม ว่าไงครับ?”
“เลิกจ้องอย่างนั้นสักที ถึงเป็นแค่รูปแต่ผมก็หวงนะ”
คุณนายกรอกตาก่อนจะพ้นลมหายใจ คนพ่อหัวเราะขำกับท่าทีขี้หวงที่เหมือนกันอย่างกับแกะ จะเหมือนใครละก็เหมือนเค้าเองนี่แหละ
“งั้นก็พามาให้แม่เจอเลย พรุ่งนี้นะ ไม่งั้นแม่งอล”
อื้อหือ มันใช่เรื่องไหมเนี้ย ถึงจะคิดงั้นแต่ทัตก็ยิ้มรับ
“ผมขอโทรคุยกับเขาก่อนนะ แล้วจะบอกอีกที”
“โอเคครับ เอาละๆ ทานข้าวต่อเถอะจ้ะ”
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
ตั้งแต่ทานมื้อเย็นเสร็จทัตก็กลับขึ้นมาบนห้องและต่อสายหาใครอีกคนแต่ก็ยังคงไม่มีคนรับจนเข้าสายที่สิบเห็นจะได้ ทัตขมวดคิ้วมุ้ยพยายามไม่คิดไปในแง่ลบเพราะพักหลังคริสไม่ค่อยจะสนใจโทรศัพท์ของตัวเองสักเท่าไหร่ เค้าตัดสินในถอดเสื้อผ้าแล้วเข้าไปอาบน้ำอาบท่าให้หัวโล่งแล้วจึงค่อยโทรอีกครั้งแต่พอออกมาเสียงโทรศัพท์เค้าก้ดังขึ้นจนต้องรีบถลาไปคว้ามารับสาย
“ฮัลโหล”
/อืม/
เสียงแหบและแผ่วจนรอยยิ้มก่อนหน้าค่อยๆหุบลง
“ทำไมเสียงเป็นอย่างนั้นละคริส?”
/ไม่สบายนิดหน่อย โทษทีที่ไม่ได้รับสาย พอดีทิ้งโทรศัพท์ไว้บนห้องนะ/
ทัตถอนหายใจอย่างโล่งอก ดีนะที่ไม่ฟุ้งซ่านจนขับรถไปหาด้วยตัวเอง
“แล้วกินข้าวรึยัง?”
/อืม/
“บอกได้ไหมว่ามีเรื่องอะไร ทำไมพี่ชายถึงให้รีบกลับ?”
ออกจะเป็นคำถามที่ละลาบละล้วงหน่อยแต่คนมันอยากรู้จริงๆนี่หว่า อยากรู้ว่าสำคัญจริงๆหรือแค่อยากกวนตีนกีดขวางความสุขของเค้าเหมือนอย่างเคย
/แด๊ดกลับมาก่อนกำหนดนะ/
หืม พ่อของคริสนะเหรอ?
“ไหนแม่บอกว่ากลับอาทิตย์หน้าไง”
/ก็มาก่อนกำหนดไง/
ทัตขมวดคิ้ว แทนที่จะเหวี่ยงกลับมาอย่างเคยแต่กลับตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ
“โอเคไหมครับ?”
/อืม/
“แต่เสียงแย่จัง”
/แค่เหนื่อยนะ/
“งั้นนอนเลยไหม จะได้พักผ่อนเต็มที่หน่อย ห้ามเล่นโทรศัพท์แล้วนะปิดไฟนอนไปเลย”
/อืม/
“หึ ราตรีสวัสดิ์ครับ พี่คิดถึงเรานะ”
/ทัต.../
“ครับ?”
/ที่พูด...ที่สัญญานะ เอาจริงใช่ไหม?/
“ให้ตายสิ พี่จะโกรธเราดีไหมเนี้ย คนเค้าจริงจังขนาดนั้นยังจะกล้าไม่เชื่อกันอีกนะ”
/อืม ขอโทษ/
“ทำไมวันนี้ขอโทษง่ายจัง ไม่สิ ทั้งง่ายทั้งบ่อย น้องคริสแสนดื้อของพี่เป็นอะไรไปครับ บอกพี่มาสิ”
/เปล่า...แค่อยากพูด/
“เอาจริงๆ”
/ทัต..../
“ครับ?”
/....อยากกอด/
ตึกตึก
เวร หัวใจเต้นแรงไปไหม
“ให้พี่ไปรับไหม? มานอนนี่ก็ได้ พ่อแม่พี่อยากเจออยู่พอดี”
/ไม่ต้องมา เดี๋ยวนะ พ่อแม่เหรอ?/
“ใช่”
/พ่อแม่รู้เรื่องแล้วเหรอ?/
“ใช่ครับ”
ยิ้มออกเพราะเสียงที่ดูตื่นเต้นของคนจากปลายสาย
/แล้ว...พวกท่านรับได้เหรอ?/
“ใช่ แค่เห็นรูปเราท่านก็แทบจะให้พามาหาเลยด้วยซ้ำ หึหึ”
/เวอร์/
“ความจริงครับ แล้วเอาไง จะมาให้พ่อแม่สามีดูหน้าหน่อยไหม?”
/........../
“คริส”
/หือ อ้อ โทษที แค่นี้ก่อนนะ/
ว่าแล้วก็วางสายไปในทันทีปล่อยให้ทัตมองโทรศัพท์ด้วยความงงงวย แต่ก็ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยโทรไปใหม่ก็ได้ ทัตวางดทรศัพท์ไว้ที่เตียงแล้วหันกลับไปแต่งตัวต่อ โชคดีที่ตลอดทั้งคืนทัตไม่ได้ฝันร้ายเหมือนเมื่อช่วงหัวค่ำ เลยทำให้ตื่นเช้าขึ้นมาด้วยอาการสดชื้น
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
ทัตเอ่ยกับผู้เป็นพ่อและแม่ที่นั่งประจำที่อยู่ในห้องอาหาร พ่อละสายตาจากไอแพดมาพยักหน้าให้ลูกชายส่วนแม่ก็ยิ้มหวานตอบกลับมาแทน ทันทีที่ทัตนั่งลงป้าแม่บ้านก็นำกาแฟและแซนวิชร้อนๆมาเสิร์ฟเหมือนของพ่อ
“วันนี้ไม่เข้าออฟฟิศกับพ่อเหรอทัต?”
คงเห็นว่าลูกชายแต่งตัวด้วยชุดไปรเวทสบายๆเลยต้องเอ่ยปากถาม
“ไม่อะ พ่ออยุ่พ่อก็ดูไปสิ ผมรับหน้าที่แค่ตัวแทนยังไม่ได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการซะหน่อย”
“ปากดีเจ้าลูกชาย อีกหน่อยมันก็เป็นของแกไหมละ”
“ก็รอให้ถึงวันนั้นก่อนแล้วกัน”
“เจ้านี่นิ”
ทัตไหวไหล่แล้วกัดแซนวิชเคี้ยวตุ้ย คนเป็นแม่ส่ายหัวหน่อยๆแต่ก็ไม่ได้ทักท้วงใดๆ จบมื้อเช้าพ่อออกไปบริษัทส่วนทัตและแม่พากันย้ายสาระร่างมาที่ห้องนั่งเล่นโดยที่ทัตโดนผู้เป็นแม่ซักพอกเรื่องคริสตัลแทบจะทุกรายละเอียด ตั้งแต่ออกจากวงการเจ้าหล่อนเลยผันตัวมาเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าไฮคลาสที่มีสาขาอยู่ทุกเมืองใหญ่แทบจะทั่วโลก นอกจากแฟชั่นที่หล่อนรักแล้วยังมีความชื่นชอบที่จะคัดเลือกบุคคลที่จะมาเป็นแบบให้แบรนด์ด้วยตัวเอง หรือพูดง่ายๆคือชอบที่จะเสาะแสวงหาคนเข้าตาผู้ที่มีแววเจิดจรัสด้วยตัวเอง ถ้าเจอคือต้องได้และเมื่อเข้าตาคือต้องเอา นิสัยแบบนี้ฟังดูคุ้นๆเนอะ
“ให้น้องมาเป็นแบรนด์เอมบลาสเตอร์ให้แม่ได้ไหมลูก แม่อยากได้มาก”
ทัตได้แต่ยิ้มขำ นึกย้อนไปในช่วงที่โดยพวกแฟนคลับตามตื้อแล้วเจ้าตัวยังทำทีไม่ชอบใจขนาดนั้นแล้วนี้เป็นถึงนายแบบ เจ้าตัวคงยอมหรอกนะ
“เค้าไม่ชอบเป็นจุดสนใจนะแม่ ทำใจไว้ได้เลย”
“แต่หน้าตาแบบนี้ รูปร่างอย่างนี้ อยู่เฉยๆก็ตกเป็นจุดสนใจแล้วด้วยซ้ำ”
ก็จริงนะ
“แล้วผมละ ผมก็หล่อนะ”
“โอ้ย อย่างลูกนะแม่เบื่อหน้าละ”
“อ้าว อย่างนี้ก็ได้เหรอแม่”
“ฮิฮิ ว่าแต่ บอกน้องรึยังว่าแม่อยากเจอ?”
“บอกแล้วครับ แต่เหมือนเขาจะยังไม่พร้อมมานะ”
“อ้าว ทำไมละ บอกไปสิว่าพ่อแม่ไม่ดุไม่กัดฉีดยาแล้วด้วย”
“โถ่แม่ ไปได้มุขนี้มาจากไหนเนี้ย”
“ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอกจ้ะ หึหึ”
ครืน ครืน
ทัตล้วงเอาโทรศัพท์ตัวเองออกมาทันทีที่สัมผัสได้ถึงแรงสั่นครืน พอเห็นชื่อคนโทรมาเค้าถึงกับหมุนหัวคิ้ว พ่อน่าจะถึงบริษัทตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้วนี่ แล้วจะโทรมาทำไม?
“ครับ?”
/เข้ามาบริษัทเดี๋ยวนี้เลย/
“ห่ะ?”
/ฉันบอกให้แกเข้ามาบริษัท-เดี๋ยว-นี้/
เมื่อเน้นทีละคำจนจบแล้วก็ตัดสายไปในทันที อะไรของเขาวะ
“มีอะไรรึเปล่าลูก?”
“อ้อ พ่อบอกให้เข้าบริษัทนะครับ งั้นผมไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ”
“จ้ะๆ”
ทัตกลับขึ้นห้องไปเปลี่ยนเป็นชุดเสื้อเชิตแขนยาวสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนส์พอดีตัวสีดำรองเท้าหนังปลายแหลมขัดเงาเซ็ตผมนิดหน่อยเป็นอันเสร็จ จริงๆก็ไม่อยากหล่อสักเท่าไหร่กลัวทำให้คนอื่นหลงแล้วคริสจะคิดหนัก แต่ก็นะ ให้หนีความจริงข้อนี้คงยากอยู่ หึหึ
ทัตใช้เวลาไม่มากในการบึ่งรถไปยังตึกสำนักงานใหญ่ใจกลางกรุงเทพเพราะไม่ใช่ช่วงเวลาเร่งด่วนของเหล่ามนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย ระหว่างที่ขับเข้าไปจอดยังที่จอดรถของบริษัททัตก็ไปสะดุดตากับรถหรูคันหนึ่งที่ไม่น่าจะมีคนใช้เพราะราคาไม่ใช่เล่นๆแม้แต่เค้ายังคิดว่าแพงเลยด้วยซ้ำ
สงสัยพ่อคงมีลูกค้ารายใหญ่มาหาแล้วอยากแนะนำเค้าให้รู้จักละมั่ง
เมื่อสรุปความได้ก็กรอกตาแทบไม่ทัน ถ้าแนะนำในฐานะทางธุรกิจอย่างเดียวก็ไม่ว่าอะไรหรนอกแต่ถ้าแนะนำในเชิงจับคู่...คงต้องลองมีเรื่องกันสักตั้งข้อหาไม่ฟังความลูกชายบังเกิดเกล้า...
“คุณทัต”
ทันทีที่ย่างก้าวเข้าไปภายในตัวตึกทัตก็เจอสินยืนรอท่าอยู่ที่หน้าเคาร์เตอร์ต้อนรับ คงรู้จากพ่อแหละว่าเขาจะมา
“ว่าไง พ่อมีแขกคนสำคัญเหรอ?”
“ครับ”
ตอบรับเพียงแค่นั้นแล้วเดินนำไปยังลิฟท์พร้อมกดเรียกให้เสร็จสรรพ ทัตหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกหาคนที่คิดถึงในระหว่างที่รอ เค้าขมวดคิ้วนิดหน่อยเพราะคริสไม่รับสายอีกแล้ว พอดีกับที่ประตูลิฟท์เปิดเลยต้องเดินเข้าไปยังด้านในพร้อมกับสิน มือหนากดโทรซ้ำจนเจ้ากล่องสี่เหลี่ยมพาขึ้นมาถึงชั้นผู้บริหารคริสก็ยังไม่รับสายเค้าอยู่ดี ทัตถอนหายใจแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าตามเดิม เริ่มหงุดหงิดเล็กน้อยที่ติดต่อคนรักยากแต่ก็พอโอเคที่รู้ว่าน้องอยู่ที่บ้านไม่ได้หายไปซะดื้อๆ
ประตูลิฟท์เปิดออก ทัตก้าวนำออกไปด้านนอกแล้วมุ่งตรงสู่ห้องทำงานใหญ่ของผู้เป็นเจ้าของบริษัท
“สวัสดีค่ะคุณเทพทัต”
ทัตยิ้มรับคำทักทายของเลขาแล้วเคาะประตูครั้งสองครั้งรอสัญญาณว่า ‘เข้ามาได้’ แล้วจึงเปิดประตูเข้าไปพร้อมๆกับสินที่เดินตามหลังมา ทัตชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นบุคคลที่นั่งอยู่ที่โซฟารับแขกกับพ่อของตน คนๆนี้เค้าเห็นหน้าคร้าตาบ่อยๆตามข่าวธุรกิจทั้งอินเทอร์เน็ตหนังสือพิมพ์หรือในทีวี ผู้ชายชาวต่างชาติร่างใหญ่ผู้มีใบหน้าเข้มแลดูน่าเกรงขามดวงตาสีฟ้าครามจ้องมองมายังตนเหมือนกำลังประเมินตัวตนของเค้าอยู่กลายๆ ผมสีบรอนด์ทองถูกเซ็ตเสริมใบหน้าและการแต่งกายที่ดูมุมไหนก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน รอยยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นเมื่อเห็นว่าทัตนิ่งไปหลายนาที
“นั้นเทพทัต ลูกชายผม ส่วนทัตคนนี้คือ....”
“คุณคาร์เตอร์ เฟรงเบิร์ค”
คาร์เตอร์ลุกขึ้นยืนแล้วหันมามองหน้าทัตตรงๆ
“รู้จักผมด้วย?”
“แน่นอนครับ”
“อ่า งั้นคงคุยกันง่ายขึ้นหน่อย”
“..........”
“ผมไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนักเพราะฉะนั้นเรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”
“……”
“…ผมอยากให้คุณเลิกยุ่งกับลูกชายของผม คริสตัล เฟรงเบิร์ค”
เกิดเดดแอร์ขึ้นชั่วขณะทันทีที่คาร์เตอร์พูดจบ ดวงตาสีครามจ้องมองคนตรงหน้าด้วยท่าทีเย้ยหยัน ทัตเผลอกำมือแน่นทั้งที่เม็ดเหงื่อผุดขึ้นจนชื้น เกิดเสียงสั่นครืนของโทรศัพท์ตัดความหมุนเคว้งภายในอากาศ แต่เครื่องที่สันครืนคือเครื่องของสิน สินพงกหัวขออนุญาตออกไปคุยข้างนอกในขณะที่พ่อของทัตคือคนรับรู้เพียงผู้เดียว
“ขอโทษครับ ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้”
ทัตตอบอย่างหนักแน่นและแววตาที่จริงจังจนผู้เป็นพ่อที่ลอบสังเกตการณ์อยู่ด้านหลังกระตุกยิ้ม มันเอาจริงแฮะ
“หึ อย่าพึ่งตอบมาง่ายๆอย่างนั้นสิ ผมมีข้อเสนอมาให้ด้วยนะ”
“……”
“ถ้าคุณเซย์เยส ผมจะถอนกิจการในเครือของผมและลูกชายคนโต ทีครอส เฟรงเบิร์คออกจากประเทศไทยและเส้นทางธุรกิจของคุณทุกทาง คุณจะสามารถเจิญเติบโตยิ่งขึ้นโดยที่ไร้ซึ่งคู่แข่งตัวบิ๊กอย่างผม อ้อ ผมยินดีแนะนำบริษัทคุณให้แก่ลูกค้าของเราทั้งหมด…”
สิ่งที่ได้ยินนั้นคือข้อเสนอแบบหักดิบสุดๆ การถอนกิจการจากประเทศไทยมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แถมยังเป็นบริษัทใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศอีกต่างหาก
“แต่ถ้าคุณเซย์โน…”
เสียงของคาร์เตอร์กดต่ำลงกว่าปกติรอยยิ้มหายไปจากใบหน้าและดวงตาจ้องเหม่งเหมือนเหยี่ยวที่รอจู่โจมเหยื่อ
“ผมจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของคุณ”
“……”
“ผมให้เวลาคุณตัดสินใจสัก…สามวันแล้วกัน ถ้าได้คำตอบแล้วก็ติดต่อผมมาได้ทุกเมื่อ”
พูดแล้วก็ล้วงเอานามบัตรมาวางไว้บนโต๊ะกระจก ทั้งทัตและพ่อมองตามแต่ไม่ได้ปริปากอะไรสักคำ
“ผมขอตัวกลับเลยแล้วกัน หวังว่าจะได้รับคำตอบที่ฉลาดพอในเร็ววันนะครับ ขอบคุณสำหรับกาแฟ”
ทัตยังคงยืนนิ่งจนกระทั่งคาร์เตอร์พ้นบานประตูออกไปแล้วนั้นแหละ พ่อของเค้าเลยขยับมาหยิบเอานามบัตรไปอ่าน กดยิ้มนิดหน่อยที่เห็นว่าเป็นนามบัตรเฉพาะตัวที่มีเบอร์ส่วนตัวสำหรับติดต่อโดยตรงอยู่ด้วย ปกติคนระดับคาร์เตอร์จะแจกแค่นามบัตรในนามนักธุรกิจที่ต้องติดต่อผ่านเลขาหรือคนอื่นก่อน
“เอาไงละทีนี้ จะเอาเมียทั้งทีล่อของลิมิเต็ดเลยนะแก”
ทัตถอนหายใจเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งแล้วยกมือกุมขมับ
“ผมก็คิดไว้แล้วว่าต้องงานหยาบแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้”
“หึ เกิดกลัวขึ้นมารึไง?”
“ถ้าเค้าพุ่งเป้ามาที่ผมคนเดียวผมจะไม่อะไรเลย แต่นี่…”
“ห่วงบริษัท?”
“ก็ใช่”
“เลยจะยอมเลิก?”
“…ไม่”
“หึ แล้วแกจะทำยังไง เค้าต้องการให้แกเลือกแค่ช้อยเดียวนะ”
ยิ่งคิดยิ่งเครียด ภาพฝันร้ายเมื่อวานฉายซ้ำเข้ามาในหัวจนทัตแทบสิ้นเรี่ยวแรง ถ้าคริสรู้เรื่องนี้ต้องถอยห่างอย่างที่ฝันแน่ๆ ถึงจะรักแต่ก็ไม่อยากให้คนรักต้องเดือดร้อน คริสไม่ชอบให้ใครมาเดือดร้อนเพราะตน นั้นคือความน่ารักอีกอย่างหนึ่งของคนที่เค้ารัก
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะห้วงความคิดของคนทั้งคู่ ทัตเป็นคนเอ่ยปากอนุญาตให้เข้ามาและเป็นสินที่เดินไวๆด้วยใบหน้าปั้นยาก
“มีอะไร?”
“หุ้นเราร่วงดำดิ่งเลยครับ”
พูดพร้อมยื่นไอแพดมาให้เจ้านาย ทัตรับมาดูแล้วก็ต้องกัดฟันกรอด หุ้นในส่วนนี้เป็นส่วนที่เค้าดูแล มันค่อนข้างเสถียนถ้าจะลงกฌไม่ต่ำไปกว่าห้าจุดแต่นี่…
“เกิดเหี้ยอะไรขึ้นวะ!?!”
ไม่อยากจะอารมณ์เสียแต่คงหยุดไม่อยู่แล้วจริงๆ ทัตกัดฟันกรอดพยายามกู้สถานการณ์เต็มที่แต่สิ่งที่ได้ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร เหี้ยเอ๊ย
ติ๊ดๆ
หืม…ข้อความ?
‘นี่คือคำเตือน’
เป็นเบอร์แปลกที่ไม่มีชื่อแต่ข้อความมันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าใครคือคนที่ส่งมาและใครที่เป็นตัวต้นเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น
คาร์เตอร์ เฟรงเบิร์ค พ่อตาตัวแสบ!
TBC…
มาแล้วๆๆๆ ไรท์ทีมคุณพ่อตานะ ฮ่าๆๆๆ