ตอนจบ
อมลินกลับมาเยี่ยมบิดามารดาที่บ้าน และนำข่าวมาบอกพวกท่านเรื่องตนกับนรภาตั้งแต่สามวันที่แล้ว
ไม่มีผู้ใหญ่ฝ่ายไหนคัดค้าน ทว่ามีแต่เข้าใจคู่หนุ่มสาว ผลปรากฏว่าบิดามารดาของทั้งฝ่ายก็ยังคงคบค้าและเคารพในสิทธิการตัดสินใจของแต่ละครอบครัว ไม่มี
ใครตำหนิเรื่องที่ทั้งคู่เลิกกันแล้วทั้งนั้น
“ดีแล้วลูก ถ้าเล็กรู้ใจตัวเองเสียตั้งแต่ก่อนหมั้นหมาย ก็จะได้ไม่เป็นการทำร้ายชีวิตตัวเอง แล้วก็ชีวิตของน้องเขาด้วย”
คุณแพรดาวกล่าวเช่นนั้น อมลินรู้ว่าทำไมนรภาถึงยอมจบความสัมพันธ์ครั้งนี้ เหลือเพียงความเป็นพี่เป็นน้องได้อย่างง่ายดาย…นั่นก็เพราะเธอรักคนรักเก่า
มากกว่า และเพราะความรักครั้งนั้นที่ขับเคลื่อนให้เธอยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อจะกลับไปรักกันอีกครั้ง
เธอบอกว่าแอบกลับไปคบหาดูใจกับแฟนเก่าอีกครั้งเริ่มตั้งแต่กลางปีที่แล้ว…และเธอทนหลอกลวงเขาต่อไปไม่ไหว เลยต้องขอเลิกกับอมลินในที่สุด…
อมลินเองก็ใช่คนที่ซื่อตรงเสมอมา
ชายหนุ่มวางแผน…แผนที่เขาจะบินไปเรียนต่อปริญญาโทที่เมืองนอกอีกสักครั้ง คราวนี้อาจจะนานเป็นสามสามปี สี่ปี? ห้าปี? แต่คงเป็นแถบยุโรป…ไม่ว่าจะ
เป็นฝรั่งเศส หรืออิตาลี หรือจะเป็นอังกฤษดี…คุณนพดพกับคุณแพวดาวก็ยิมยอมทั้งนั้น
“แต่จะดีหรือลูก ไปเรียนทั้งๆที่ทำงานอยู่ในบริษัทคุณพ่อแบบนี้”
“ครับ ผมกะว่าจะให้หลานคลอดก่อน แล้วค่อยไป”
“ตาเล็ก แกไม่ต้องเป็นห่วงบริษัทของพ่อหรอก พ่อดูแลคนเดียวก็ไหว”
คุณแพรดาวยังเป็นกังวล
“ว่าแต่ จู่ๆทำไมถึงอยากไปเรียนต่อที่ยุโรปกระทันหันแบบนี้ล่ะลูก?”
“ไม่รู้ซิครับคุณพ่อ…ผมแค่เบื่อๆ อยากไปหาประสบการณ์”
“แต่ประสบการณ์ บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องค้นหาในที่ไกลๆ มันอาจจะอยู่ใกล้ตัวเราก็ได้นะตาเล็ก…”
คุณแพรดาวเอ่ยทิ้งท้ายไว้เช่นนั้น ทำให้บัดนี้อมลินได้แต่นั่งคิดทบทวนถึงเหตุผลต่างๆ
เขาจะหนี…หนีความจริงไปอีกครั้งจริงๆน่ะหรือ?
นั่งหย่อนขาอยู่บนท่าน้ำซึ่งยื่นออกไปในทะเลสาบส่วนตัวหลังบ้าน…อมลินนั่งเหม่อลอย มองแสงอาทิตย์อัสดงที่ส่องสะท้อนกระทบผิวน้ำ ใบหน้าหล่อเหล่าของ
ทนายหนุ่มผุดพรายขึ้นในมโนภาพ เหมือนว่าเขากำลังจ้องมองมาอยู่ทางนี้ เหมือนเขาอยู่ตรงนี้…ที่นี่ กับเขาจริงๆ
“เจ้าชายน้อย…”
“ฮื้อ?...”
อมลินเผลอตัวตอบกลับไป…ก่อนจะรู้ตัวว่านั่นไม่ใช่แค่เพียงเสียงแว่ว แต่เป็นสุ้มเสียงทุ้มใหญ่ที่ดังขึ้นจริงๆ ร่างบางผุดลุกขึ้นเต็มความสูง แสงแดดสีส้มร้อนแรง
สาดส่องลงมา ส่งผลให้เขาไม่สามารถมองเห็นสีหน้าที่แท้จริงของผู้มาเยือนได้
เวลายามเย็นนั้นแสนเศร้า เข้ากับอารมณ์ของชายหนุ่มต่างเชื้อชาติทั้งสอง…
“แอรอน…คุณมาได้ยังไง-“
ก่อนจะจบประโยค หนุ่มต่างชาติก็เดินเข้ามาประกบริมฝีปากของเขาเข้ากับอมลิน เนินนานกว่าที่ลิ้นนุ่มๆอุ่นร้อนนั้นจะถอนออก หลังจากรุกร้ำควานหาความ
หอมหวานจากรสจูบแล้ว อมลินมองนัยน์ตาสีฟ้าเข้มซึ่งบัดนี้…มันส่องแสงทอประการไปกับแสงอาทิตย์ยามเย็น ในหัวสมองมึนงงราวกับมีพลุนับร้อยพันถูกจุดขึ้น อีกฝ่ายยิ้ม
“ผมรักคุณ”
อมลินพยักหน้า
“ผมจะไม่ยอมให้คุณไปไหนอีกโดยเด็ดขาด”
“คุณรู้?”
“ครับ ผมรู้แล้ว และมาตามรั้งคุณไว้ ด้วยจูบนั้น”
ชายหนุ่มจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากมน ก่อนจะจูบเปลือกตา ซึ่งภายในเป็นดวงตาที่หวาน…หวานซึ้งมากที่สุดเท่าที่เขาเคยพานพบมา
“คุณจะทิ้งข้อความบอกรักไว้ให้ผมคลั่งอยู่คนเดียวอีกต่อไปไม่ได้นะ คุณจะต้องเป็นความจริงให้ผม เพราะผมทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วถ้าไม่มีคุณ…ไม่ได้ ไม่
ได้แล้วนะเจ้าชายน้อย”
อมลินหัวเราะแผ่วเบา ดวงตาเรียวคลอหยาดน้ำใส
“ผมมีเรื่องจะบอกคุณ”
“อะไรเหรอครับ?”
“เรื่องเมื่อหกปีก่อน…เรื่องที่คุณควรจะรู้ไว้ตั้งนานแล้ว ความจริงก็มีอยู่ว่า ผมกับยูมิโกะคบกันเพื่อแกล้งหลอกให้คุณหึง”
“อะไรนะ!”
“เพื่อนของคุณน่ะ รู้ตั้งนานแล้วว่าผมแอบชอบคุณ ส่วนคุณ…เขาไม่แน่ใจ เลยยอมเป็นตัวช่วยคบกับผมเพื่อจะพิสูจน์ว่าคุณแอบชอบผมอยู่หรือเปล่า แต่ว่า…
คุณคือเจ้าชายน้อยของผม คุณไม่ได้แสดงอาการหึงหวงเหมือนคนอื่นๆที่เคยคบกันมา”
อมลินอ้าปากค้าง ก่อนจะหัวเราะอยู่ในลำคออย่างไม่อยากเชื่อหู พลางกรอกตาไปทางอื่นแล้วทุบลงที่ต้นแขนหนาของคนตัวสูง
“คนบ้า!”
“ผมอาจจะเป็นคนเจ้าชู้ก็จริง แต่ผมบอกได้…ว่าตอนนี้คุณกำหัวใจของผมไว้หมดทั้งดวงแล้ว ผมพูดจริงๆนะครับเจ้าชายน้อย”
“แต่คุณ…คุณน่ะร้ายกาจที่สุด! คุณรวมหัวกับเพื่อนของผม รุมหลอกผม!”
อมลินทุบทนายหนุ่มอีกสองสามครั้ง ซึ่งก็ยินยอมจนกว่าอีกฝ่ายนั้นจะพอใจ กระทั่งอมลินยอมหยุดดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดของเขาแล้ว แอรอนจึงนำกำปั้น
น้อยๆขึ้นมาจูบ
“ใครกันแน่ที่ร้ายกาจ คุณเล่นทิ้งข้อความ เพียงแค่กระดาษแผ่นเล็กๆใบเดียวเท่านั้น! คิดถึงความรู้สึกของผมก็แล้วกัน…แถมยังอุตส่าห์ทิ้งไดอารี่ภาษาไทยไว้
ให้ผมเล่มหนึ่งด้วย เห็นมั้ย ฝรั่งคนหนึ่งเลยต้องลำบากตราตรำเรียนภาษาไทยแทบตายเพียงเพื่อจะได้อ่านไดอารี่ของคุณเลยนะเนี้ย”
“แล้วไหนจะท่าทีเฉยชา ที่คุณทำกับผม…คุณทำเป็นหึงหวงยูมิโกะ แต่ความจริงแล้วคุณแอบรักผม ทีนี้ใครกันแน่ที่ร้ายกาจกว่ากัน…”
อมลินคลี่ยิ้มเขินๆ
“งั้นก็อย่าอ่านซิ”
“ได้ไง…ก็คุณเล่นพูดตัดพ้อถึงผมอย่างนั้น ผมก็ต้องแก้ข่าวหน่อยซิ ผมไม่ได้ทั้งเจ้าชู้ไม่เลือก ไม่ได้เป็นคนหน้าหม้อ ไม่ได้เป็นคนมั่วไม่เลือกแบบนั้นสัก
หน่อย…ผมแค่…รักประสบการณ์เท่านั้นเอง”
อมลินค้อนน้อยๆแลดูน่ารักไปอีกแบบ
“แล้วตอนนี้ยังเป็นอยู่มั้ยล่ะ?”
แอรอนทำหน้าตาตกใจ
“ไม่เคยเป็นเลยต่างหากล่ะครับ แต่ถ้าคุณอยากรู้นะ…อันนี้ต้องพิสูจน์เอง”
อมลินเบือนหน้าหนี อมยิ้มกับความทะเล้นของคนตรงหน้า
“แล้วเมื่อไรคุณถึงจะว่างกลับไปเยี่ยมบ้านทิวสนของผมอีกล่ะครับ พวกคุณแม่กับยัยน้องสาวตัวแสบของผมคงได้กรี๊ดหนักแน่ถ้ารู้ว่าคุณจะกลับไป ว่าไงครับ?
พวกเรายินดีต้อนรับคุณทุกเมื่ออยู่แล้วนะหนุ่มน้อยจากเมืองไทย”
เขาขยิบตา อมลินเอาปลายนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือบีบปลายจมูกโด่ง
“ว่าแต่คนอื่น ดูตัวเองเถอะ…วันนั้นที่ผมไปรอคุณที่โรงหนัง ทำไมคุณไม่ยอมโผล่หน้าไปบ้าง หรือว่ามัวแต่อยู่กับคนอื่น”
“เปล่านะ คนอื่นน่ะ ผมอยู่กับยูมิโกะจริงๆ เธอไส้ติงอักเสบเลยต้องเข้าโรงพยาบาล เธอโทรฯบอกผม ผมเลยต้องรีบไปหา…ก็ไม่รู้ว่าคุณจะรีบวางแผนหนีกลับ
วันนั้นนี่ ไม่งั้นยูมิโกะก็เถอะ…”
“แล้วเธอเป็นอะไรมากมั้ย?”
“ไม่ครับ จริงซิ! ถ้าคุณไม่เชื่อนะ ยูมิโกะเป็นพยานปากเอกให้ผมได้เลยนะ เธอบอกให้ผมโทรฯหาคุณตั้งหลายครั้ง แต่คุณก็ดันลืมมือถือเอาไว้ที่บ้านซะนี่
อย่างนี้นะ…มันน่าโดนศาลลงโทษซะให้เข็ด”
“น้อยๆหน่อยพ่อทนายมือหนึ่ง รู้สึกภาษาไทยจะแกร่งกล้าขึ้นมากนะ ถึงขนาดเล่นอุปมาอุปมัยเห็นผมเป็นจำเลยงั้นเหรอ?”
“ก็ผมอยากมีแฟนเป็นคนไทย ก็ต้องหัดพูดภาษาไทยซิครับ”
คารมทนายหนุ่มทำให้อมลินเผลอ โดนขโมยจูบ ‘ทำโทษ’ อีกรอบหนึ่งจนได้
“คุณรู้มั้ย…ว่าผมไม่อยากเป็นคนโง่ คนขี้ขลาด…ที่จะยอมให้โอกาสหลุดลอยไปอีกครั้งต่อหน้าต่อตาอีกต่อไปแล้ว ต่อไปนี้ไม่ว่าคุณจะหนีผมไปไหน ผมจะไม่
ยอมปล่อยคุณไปแน่…หรือต่อให้คุณไม่มอบโอกาสให้ผม ผมก็จะขโมยมันมา เพื่อให้มีคุณ…ผมยอมได้ทุกอย่าง”
“เมื่อก่อนผมอาจจะชอบทำเป็นเข้มแข็งนะ…ไม่ว่าจะด้วยอีโก้หรืออะไรก็ตาม ผมชอบทำเป็นทนแรงดึงดูดของคุณได้…รู้มั้ยว่าผมคลั่งคุณอยู่ไปอีกตั้งหลายปี
หลังที่คุณจากไป”
“อเล็กซ์ครับ…เราเสียเวลากันมามากพอแล้ว แต่ก่อนเราต่างเล่นละคร ต่างเล่นเกมส์กันว่าจะไม่แพ้ใจให้อีกฝ่าย แต่ผมอยากแพ้คุณ ผมอยากยอมให้คุณ คน
เดียวและหนึ่งเดียวของผม”
เจ้าชายน้อยของเขายกมือขึ้นลูบซีกหน้าหล่อเหล่า พลางตอบกลับไปเช่นเดียวกัน
“ผมก็เหมือนกัน…เพิ่งรู้ว่าโง่มากที่โกหกตัวเอง และเสียเวลามากมายแค่ไหน…”
“แสดงว่าตอนนี้คุณก็รักผมแล้วเหมือนกันใช่มั้ย?”
อมลินไม่ยอมตอบ
“งั้นผมจูบคุณอีกนะ”
แอรอนทำหน้าตาขึงขังจริงจัง คำขู่ไม่มีผล เจ้าชายน้อยหัวเราะร่วน
“แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ?”
คำตอบยียวน ทำให้แอรอนกระชับอ้อมกอดแน่นยิ่งขึ้น
“คอยดูเถอะ…ผมจะทำให้คุณพูดมันออกมาอีกครั้งให้ได้เลย”
อมลินไม่ใคร่สนใจอยากรู้สักเท่าไร…ว่าอีกฝ่ายจะงัดอะไรออกมาสู้
“เจ้าชายน้อยครับ คุณจำนิทานเวนิสที่ผมเล่าให้คุณฟังตอนไปแค้มเมื่อหกปีก่อนได้มั้ย?”
ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะพยักหน้า
“จำได้ลางๆครับ ทำไมหรือ?”
“ที่ผมบอกว่าอัลเลคคิโน่แอบหลงรักสาวโคลอมบิน่าจอมเจ้าชู้ เรื่องราวของเราก็คล้ายๆกับทั้งสองคนนั่น…ผมคือโคลอมบิน่าที่ทำผิดพลาดจนเกือบจะสูญเสียสิ่งที่
ตัวเองรักมากที่สุดไป”
“ส่วนผม…ก็คืออัลเลคคิโน่จอมหลอกลวง…ที่หลอกตัวเองและคุณมาตลอด ว่าไม่ได้รักคุณใช่มั้ย?”
แอรอนกระชับอ้อมกอดแรงขึ้นอีกนิด “งั้นต่อไปนี้เรามาถอดหน้ากาก เลิกเล่นละครใส่กัน…ต่อไปนี้เราจะพบกันด้วยตัวตนที่แท้จริง”
จุมพิตอีกครั้งอย่างรักใคร่…ใครจะไปรู้ ว่านิทานเรื่องนี้ในที่สุด…ก็จบลงด้วยดี
อมลินจะไม่ใส่หน้ากากอัลเลคคิโน่อีกต่อไปแล้ว…
“แล้วนี่เข้ามาได้ยังไง…อย่าบอกนะว่าริอาจทำตัวเป็นโจรแอบปีนรั้วเข้ามา”
“โธ่เจ้าชายน้อยของผม…ผมก็เข้ามาทางประตูซิครับ คนไทยเขาว่าอะไรน๊า…ช่างเถอะ แต่ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่ของคุณคงงงมากแล้วแน่เลยว่าจู่ๆก็มีฝรั่งที่ไหน
ไม่รู้เดินเข้ามาขอพบคุณหน้าตาเฉยแบบนี้”
อมลินขำ แอรอนรีบอ้อน
“จะไม่แนะนำผมให้พวกท่านรู้จักหน่อยหรือครับ เจ้าชายน้อย”
ร่างสูงเปลี่ยนมาเป็นกระชับมือ ยืนตากลมเอื่อยสบายยามเย็นริมน้ำ ก่อนจะก้มลงเอียงคอจุมพิตด้วยความรักอีกครั้ง…แววตาเปี่ยมสุข
“ผมรักคุณ…และจะรักตลอดไป”
อืม…ชอบความรู้สึกนี้จัง…
’ตลอดไป’
“เราเข้าไปข้างในกันเถอะ…”
จบ...ให้รักได้มั้ย ถ้าหัวใจถามหา
ปล. ใครว๊อนท์ตอนพิเศษบ้าง จะเอามาลงให้ในไม่ช้านะจ้า