มาต่อเลยนะครับ
หกปีต่อมา…
“พี่เล็กคะ พี่เล็ก รอหนูดีก่อนคะ!”
เสียงเรียกแหลมใสของหญิงสาวดังตามหลังชายหนุ่ม ที่กำลังก้าวเดินเข้าไปยังอาคารพาณิชย์หลังใหญ่ อมลินหยุดรอ
“อ้าว ว่าไงครับหนูดี”
ร่างบางวิ่งมาคล้องแขน ชายหนุ่มลูบหัวอย่างเอ็นดู
“วันนี้พี่เล็กก็ตื่นเช้าอีกแล้วนะคะ”
“จ้า”
ชายหนุ่มยิ้มแล้วเอียงหน้าหันไปหัวเราะกับคำพูดของหญิงสาว นรภา หรือหนูดีเป็นลูกสาวของหุ้นส่วนสำคัญ ของบริษัทที่ครอบครัวอมลินเป็นเจ้าของ มีคุณนพดลเป็นประธานใหญ่ ทำธุรกิจเกี่ยวกับที่ดินทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด อีกทั้งยังมีบางแห่งที่จัดสร้างเป็นโรงแรม รีสอร์ทระดับห้าดาวหรูหราชื่อดังอันดับต้นๆในวงการอีกหลายแห่ง
นอกจากจะเป็นลูกสาวหุ้นส่วนคนสำคัญแล้ว นรภายังรั้งตำแหน่งแฟนสาวของลูกชายคนเล็กประธานบริษัทด้วย ทั้งสองเป็นแฟนกันมาได้เกือบสองปีแล้ว และผู้ใหญ่ก็วางแผนหมั้นหมายไว้ให้เรียบร้อย
หกปี หกปีที่อมลินเติบโตเรียนหนังสือจนจบสาขาเศรษฐศาสตร์เอกบริหาร และช่วยบิดากับครอบครัวทำงานที่บริษัทตอนอายุยี่สิบเอ็ดปี ปัจจุบันเขา บิดาและพี่ชายต่างก็ทำงานอยู่ด้วยกันที่ชั้นยี่สิบซึ่งเป็นชั้นของผู้บริหาร
“พี่เล็กคะ วันนี้ทนายคนใหม่ที่คุณพ่อปรึกษาโปรแจ็คอยู่จะเข้ามาพบเรา เป็นทนายที่เก่งมากเลยนะคะ เห็นบอกว่าเป็นทนายที่มาแรงมากๆในอเมริกา”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับทราบ แต่ลึกๆข้างใน…เขากลับรู้สึกเหมือนถูกกระทบกระเทือน ให้ภาพความทรงจำที่นอนก้นกลับมาคุกกรุ่นอีกครั้ง
หกปี…หกปีที่เขายังไม่ลืมรอยยิ้มสดใส และภาพใบหน้าหล่อเหล่าของเขาคนนั้น…
ทุกครั้งที่ได้เห็นชาวต่างชาติเดินไปมาในตึก ชายหนุ่มใจเต้นแรง…ไม่ใช่เพราะเขานิยมแต่คนหน้าตากระเดียดไปทางยุโรป แถมยังเป็นผู้ชายอีกต่างหาก…แต่ว่ามันแค่ทำให้เขานึกถึงใครบางคนที่รู้สึกดีด้วยเมื่อหกปีก่อน และยังคงรู้สึกเช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ลืม ไม่ว่าจะผ่านไปนานสักแค่ไหน เขาก็ยังคงทำใจให้ลืมความรู้สึกเหล่านั้นไปไม่ได้อยู่ดี…
ถึงขั้นเก็บเอาไปฝัน ขนาดเวลาได้ผ่านไปเนินนานขนาดนี้แล้ว…ลึกๆในใจยังอยากเป็นคนสำคัญที่ใกล้ชิดเขาอยู่ดี…
ทั้งสองคนเดินคุยกันมาเรื่อยๆจนถึงห้องประชุม บิดาและพี่ชายนั่งพร้อมอยู่แล้วที่ตำแหน่ง บิดาของนรภาหรือคุณจอมพลก็นั่งอยู่ด้วย มีผู้ชายคนหนึ่งยืนหันหลังอยู่หน้าห้อง ตรงกลางโต๊ะเป็นกระเป๋าเอกสารเปิดอ้าไว้
“อ้าวตาเล็ก มาแล้วเหรอ หนูดีด้วย นั่งซิลูก อ่านเอกสารก่อน”
คุณนพดลสั่งเลขาให้แจกเอกสาร อมลินนั่งลงพร้อมๆกับนรภาพลางส่งยิ้มให้ ส่งผลให้ทั้งคุณนพดลและคุณจอมพลต่างอมยิ้มกันไปตามๆกัน
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนพร้อมแล้ว คุณก็แนะนำตัวได้เลยมิสเตอร์แอรอน”
อมลินที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารอยู่ขมวดคิ้ว หัวใจที่ถูกกระตุกอย่างฉับพลันกับชื่อนั้นทำให้เขาต้องรีบสะดุ้งเงยหน้าขึ้น กวาดสายตาไปยังหน้าห้องอย่างไม่รู้ตัว…ร่างสูงใหญ่ในชุดเชิ้ตสีขาวค่อยๆหันแผ่นหลังกลับมา…อมลินเห็น แววตาสีฟ้าคู่นั้น จ้องมองมาด้วยความคุกกรุ่นของอารมณ์บางอย่าง เงียบงัน…ชายหนุ่มอ้าปากค้างอยู่เช่นนั้น รู้สึกใจเต้นแรงด้วยความปวดร้าว
ทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปยกเว้นสายตาคาดคั้นที่ตัดพ้อ และ…โกรธแค้นปะปนอยู่เล็กน้อย แววตาที่ไม่นุ่มนวลอ่อนโยนเหมือนแต่ก่อน…แอรอน ซินแคลล์ยิ้มบางเยือกเย็นให้อมลิน ก่อนจะเบนสายตาไปยังผู้คนอื่นๆรอบๆห้อง
“สวัสดีครับ ผมชื่อแอรอน ซินแคลล์ จะมาเป็นทนายที่ปรึกษาคนใหม่แทนมิสเตอร์แบนเนอร์ครับ"
คิ้วเข้มสีน้ำตาลเข้ากับทรงผมถูกเลิกขึ้น กลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนซึ่งตัดแต่งไว้อย่างลงตัวเหมาะกับช่วงวัยที่สูงขึ้น แอรอนดูดีไปอีกแบบ เขาทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน ที่ได้เจอหน้าอมลินอีกครั้ง แถมยังทำเป็นเหมือนไม่รู้จัก…อมลินปวดใจจนต้องเบือนหน้าหนี
ถ้าเช่นนั้น…ก็แสดงว่าเขายังไม่ได้รับข้อความที่ทิ้งไว้เมื่อหกปีก่อน
หกปีที่เงียบเหงา ไม่มีการติดต่อใดๆกลับมาสักครั้งเดียว อีกด้านหนึ่ง อมลิมก็ไม่มีความกล้าพอที่จะติดต่อกลับไปยังบ้านกลางป่าสนนั้น แม้แต่ครั้งเดียว…
มีบางอย่างที่สุขุมนุ่มลึกขึ้นในตัวชายหนุ่มที่เคยสดใส ร่าเริง เหมือนเด็กผู้ชายที่ไม่ซีเรียสในการใช้ชีวิตเหมือนแอรอนคนก่อน…ตอนนี้อมลินทั้งกลัวและรู้สึกอยากหลบหน้าไปให้พ้นๆ
ดังนั้นเมื่อหัวข้อสำคัญผ่านพ้นไปได้ไม่นาน ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นยืน รีบขอตัวออกไปจากห้องเป็นคนแรก
ขายาวก้าวไปยังห้องทำงานส่วนตัว ดวงตาเรียวร้อนผะผ่าว…ชายหนุ่มนั่งลงเงียบๆท่ามกลางห้องทำงานไร้ผู้คน…หันหน้าออกไปมองวิวสูงของกรุงเทพฯยามเช้าที่แสงแดดอ่อนๆสาดแสงปกคลุมไปทั่ว
หกปี…
ทุกเช้าวันที่พระอาทิตย์ขึ้นและตกลง…ในใจเขายังคงคิดถึงอยู่เสมอ
ไม่อยากให้เขากลับมา เพราะรู้ว่าตัวเองยังตัดใจไม่ขาด
เนินนาน…เสียงเคาะประตูดังขึ้นเหมือนอยู่ไกล อมลินเอาแต่เหม่อลอย จนไม่ทันรู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนบุกรุกเข้ามา
“คิดอะไรอยู่เหรอเจ้าชายน้อย?”
เสียงทุ้มใหญ่ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว รีบหันกลับมาประจัญหน้ากับร่างสูงอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะกว้าง…นัยน์ตาสีฟ้าเข้มจัดบัดนี้ล้อแสงแดดจากหน้าต่างบานกระจก
“คะ…คุณพูดภาษาไทย?”
แอรอนพยักหน้า…หกปีที่ผ่านไป มีหลายอย่างที่อมลินไม่รู้ และเชื่อว่าคงมีอีกมากมายที่เปลี่ยนแปลงไป…
“ครับ ผมเรียนภาษาไทยได้สองปีแล้ว”
ยิ่งพูดก็ยิ่งอึ้ง…สำเนียงของแอรอนนั้นจะว่าไปก็เหมือนฝรั่งพูดไทย ทว่าเขาพยายามพูดช้าๆให้ถูกต้องได้ใจความมากที่สุด…นั่นยิ่งทำให้อมลินแปลกใจยิ่งขึ้นไปอีก…
“เอ่อ…ผม”
ร่างโปร่งมีท่าทีอึกอัก จนแอรอนเสหัวเราะกลั้วลำคอขึ้นมาก่อน พลางเดินมาหยุดข้างๆ
“ผมดีใจที่ได้เจอคุณอีก…”
แววตาคู่นั้นตั้งคำถาม รอการตอบอย่างคาดคั้น…
อมลินหมดสิ้นคำพูด ภาพตรงหน้าบีบคั้นหัวใจ
“ครับ ผมก็ดีใจที่ได้พบคุณอีกเช่นกัน”
“รู้อะไรมั้ย วูบแรกผมนึกว่าคุณลืมผมแล้วซะอีก”
หนุ่มชาวต่างชาติพูดติดตลก หัวเราะอย่างอารมณ์ดีซึ่งเป็นนิสัยพื้นฐาน ของคนช่างพูดแสนอารมณ์ดีของเขาเช่นเมื่อหกปีก่อน…แต่อมลินกลับเจ็บหัวใจอย่างประหลาด ลืมงั้นหรือ?...คงยากที่จะให้เขาเชื่อว่าตนเสียใจตลอดเวลาที่ต้องจากเขากลับมาเมืองไทยนี่
“ครับ ผมยอมรับว่าแทบจำคุณไม่ได้”
อมลินกล่าวยิ้มๆ…เขาโกหก แทบทุกส่วนเค้าโครงของแอรอน อมลินจดจำขึ้นใจ
“งั้นต่อไปนี้คุณคงได้เจอผมมากยิ่งขึ้น เพราะผมได้มาเป็นทนายความของบริษัทคุณ”
ทั้งสองยืนข้างกัน แต่เว้นระยะห่าง...อมลินยืนเอามือไขว้หลังเกร็งๆ ขณะฟังแอรอนเล่าเรื่องราวที่เขาจับพลัดจับพลูได้มาทำงานที่เมืองไทย และมาทำงานกับบริษัทของอมลินได้อย่างไร
อรรถชัย พี่ชายคนโตของอมลินเคาะประตูห้อง ชวนสองหนุ่มต่างเชื้อชาติลงไปรับประทานอาหารเที่ยงกันที่ภัตรคารหรู ทำให้การพูดคุยสิ้นสุดลงในที่สุด
“ผมคงไปไม่ได้ครับพี่ใหญ่ มีเอกสารต้องดูอีกเยอะ”
อมลินปฏิเสธเรียบๆ ไม่ทันสังเกตเลยว่าหนึ่งหนุ่มต่างชาติแอบขบกรามแน่นเหมือนข่มอารมณ์บางอย่าง…
“งั้นเล็กก็ให้คุณสุชินลงไปซื้ออาหารขึ้นมาให้ก็แล้วกัน อย่าโหมงานหนักนักล่ะเจ้าน้องรัก”
อมลินยิ้มให้บางๆ ก่อนที่ร่างสูงทั้งสองจะออกไปจากห้องทำงานของเขา…ชายหนุ่มลอบมองแผ่นหลังกว้างของเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน อึดใจหนึ่งที่อีกฝ่ายหันมาสบตาเช่นกัน ทำให้ต้องหลบวูบไปทางอื่น…ในที่สุดห้องก็ว่างเปล่า เหลือไว้แต่เพียงความเงียบงันเพื่อให้ชายหนุ่มหวนคิด
“แล้ว…สรุปเขาได้อ่านข้อความนั้นหรือเปล่านะ…”
TBC