บทที่ 26 เรื่องเล่าจากอดีต
หลังจากที่พี่แจ่มทำงานที่บางกอกเสร็จก็กลับมาทำงานที่บ้านดอนไฟไหม่ต่อ งานอะไรมันก็ไม่รู้หรอก ไม่ได้สนใจที่จะถามด้วย เพราะถ้ามันถามเดี๋ยวพี่แจ่มก็หาว่ามันอยากรู้อยากเห็นเรื่องพี่แจ่มแล้วพาลดีอกดีใจจบที่ขอทำลูกอีก แต่ก็ช่างเถอะเพราะท้ายที่สุดมันก็ได้กลับมาบ้านดอนไฟไหม้เสียที จะว่าเสียดายมันก็เสียดายนิดๆหน่อยๆ ถึงบางกอกจะสนุกมีเรื่องให้ตื่นเต้น พี่แจ่มคอยพามันไปนู่นมานี่ กินนั่นกินนี่จนกางเกงมันเริ่มคับ แต่ยังไงมันก็สู้กลิ่นดินที่บ้านนาไม่ได้อยู่ดี
กลับมาถึงก็แวะไปกินกาแฟร้านแปะเฮ็งก่อนเป็นอย่างแรกเลย กะว่าจะซื้อกาแฟซื้อโอยั๊วะของโปรดพี่เจิดปากพี่เจิดกับพ่อมุ่ยพร้อมกับขนมที่มันหิ้วมาจากบากกอก
“บร๊ะๆๆๆๆ อามิ่งงงงง อั๊วะก็นึกว่าคงกรุงมาจากหนาย ตั้งแต่มีลูกมีเมียราศีจับเสียจนอั๊วะจำแทบไม่ล่าย”
แปะเฮ็งก็พูดเกินไป คนหลงตัวเองที่กำลังใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ที่พี่แจ่มซื้อให้ยกมือขึ้นเสยผมเต๊ะท่าเท่อวดนาฬิกาเรือนแพงไปในตัว
“ฉันไม่อยู่แปะคิดถึงฉันล่ะซี่”
“ก็ต้องคิกถึงอยู่เลี้ยวน่า ลื้อม่ายอยู่บ้างดองไฟหม้ายเงียบไปตั้งเยอะ มาๆๆ เข้ามานั่งก่อน วังนี้จะลักอะรายดี”
“ของฉันเอานมเย็นสูตรเด็ดกับปาท่องโก๋เหมือนเดิมจ้ะ แล้วก็เอาโอยั๊วะกับกาแฟเย็นใส่ถุงให้พี่เจิดกับพ่อมุ่ยของฉันด้วยนะจ๊ะ อ้อ เอาของไอ้มะลิด้วย ไม่รู้ว่ามันกินอะไร แปะจัดมาเลยก็แล้วกันนะจ๊ะ”
เกือบลืมของไอ้มะลิเลยเชียว ขืนลืมมันคงโดนพี่เจิดเตะตูดแน่ สั่งเสร็จก็เดินเข้าไปในร้าน ร้านแปะเฮ็งก็ยังเป็นร้านแปะเฮ็ง คนแน่นเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คงจะเป็นลูกค้าหน้าใหม่ที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะหน้าร้าน
บ้านนอกขนาดนี้นานทีกว่าจะมีคนแปลกหน้ามาสักที ไม่แปลกที่ไอ้มิ่งจะเผลอจ้องนานไปหน่อย นานจนคนลุงคนแปลกหน้ารู้สึกตัวแล้วเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์มาจ้องตอบให้ไอ้มิ่งแสร้งผิวปากเบือนหน้าเดินหนีไปนั่งโต๊ะประจำ
“มาเลี้ยวๆ นี่นมเย็งกับปาท่องโก๋”บริการทุกระดับประดับใจไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ สมกับเป็นร้านเด่นร้านดังประจำหมู่บ้านดอนไฟไหม้
“ขอบใจจ้ะแปะ….ว่าแต่แปะๆ ฉันถามอะไรหน่อยสิ”
ก็แหม่ มันอดรนทนไม่ได้ที่จะยุ่งเรื่องชาวบ้านตามประสาคนขี้เสือก ไอ้มิ่งสะกิดแปะเฮ็งกวักมือให้เงี่ยหูก้มลงมา
“ลื้อมีอารายเหรออามิ่ง”
“คนนั้นใครหรือจ๊ะแปะ ฉันไม่เห็นจะเคยเห็น”กระซิบพลางชี้นิ้วไปที่คนแปลกหน้า
“อ้อ คงนั้งรึ? คงนั้งอานะคอง อีเพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่บ้างหลังสวยๆที่เพิ่งจะปลูกหม่ายท้ายหมู่บ้างงาย ย้ายมาวังเดียวกะที่ลื้อไปบางกอกมัง อั๊วก็ไม่แน่จาย”
“งั้นเหรอจ๊ะ”พยักหน้าทำท่าเข้าอกเข้าใจ
ที่แท้ลุงคนแปลกหน้าก็เป็นเจ้าของบ้านใหม่ที่ปลาปลูกอยู่ท้ายหมู่บ้านนี่เอง ว่าแต่เป็นคนบ้านดอนไฟไหม้แล้วย้ายกลับมาหรือว่าเป็นคนที่อื่นแล้วจะมาลงหลักปักฐานกัน
แต่ถึงจะสงสัยไอ้มิ่งก็เลือกที่จะสนใจนมเย็นตรงหน้ากับปาท่องโก๋ร้อนๆมากกว่า ของอร่อยอยู่ตรงหน้ามีหรือที่มันจะรอช้า ชั่วอึดใจก็ฟาดเรียบไม่มีเหลือ เงยหน้าขึ้นมาอีกทีลุงคนแปลกหน้าก็หายไปเสียแล้ว
“ค่าเสียหายเท่าไรจ๊ะแปะ”ตะโกนถามเสียงดัง
ล้วงกระเป๋าตังค์ใบใหม่ทำจากหนังอย่างดีที่พี่แจ่มซื้อให้ออกมา ก็ไม่ได้จะอวดอะไรนักหนาหรอก ก็แค่พี่แจ่มซื้อให้แล้วจะเก็บไว้ไม่เอาออกมาใช้ก็กระไรอยู่
“ของอามิ่งเหรอ ก็จ่ายเลี้ยวงาย”
“จ่ายแล้ว? แต่ว่าฉันยังไม่ได้จ่ายเลยนะจ๊ะ แปะหาเรื่องขาดทุนแล้วนะจ๊ะ”
“ขากทงขากทุงอะรายกาน มีคนจ่ายตังค์ให้ลื้อเลี้ยว”
“จ่ายตงจ่ายตังค์อะไรตอนไหนจ๊ะ ใครจะมาจ่ายให้ฉัน”
“ก็อานะคองงาย อีจ่ายเงินให้ลื้อหมดเลี้ยว”
ไอ้มิ่งถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เป็นใครๆก็ต้องงง ไอ้ของฟรีมันก็ชอบอยู่หรอก แต่ของฟรีจากคนที่เพิ่งจะเคยเห็นหน้ายังไม่เคยคุยกันสักแอะนี่มันกระไรอยู่
----------------------------------------------------------------
ไอ้มิ่งขี่รถเครื่องออกจากร้านแปะเฮ็งพร้อมของฟรี ใจมันยังค้างคาไม่หายเรื่องที่ว่าลุงนครอะไรนั่นจ่ายเงินค่ากาแฟค่าขนมให้มัน แล้วเรื่องอะไรต้องมาจ่ายให้มันด้วยเล่า มันเองก็จะไม่เห็นได้ว่าไปรู้จักมักจี่ลุงนครนนี่ตอนไหน
ขับรถมาถึงบ้านพ่อมุ่ยก็เจอว่าพ่อมุ่ยไม่อยู่บ้าน ออกไปตีไก่ที่ดอนเจย์ดีตั้งแต่เช้านู่น เหลือก็แต่พี่เจิดกับลูกเมีย มันก็กะว่าจะคุยกับพี่เจิดให้หายคิดถึงเสียหน่อย ปกติตัวติดกันอย่างกับตังเม พี่เจิดไปไหนมันไปนั่น ทว่าพี่เจิดกลับต้องพาลูกไปฉีดยาวัคซีนที่โรงหมอแล้วก็พาเมียไปช็อปปิ้งอีก ไปหาพวกไอ้ดำพวกนั้นก็รับจ๊อบขุดคูนากลางทุ่งนานู่น จะตามไปกวนก็ใช่เรื่อง
แล้วทีนี้มันจะคุยกับใครล่ะ นี่มันพึ่งจะกลับมาจากบางกอกนะ กะจะมาคุยอวดสักหน่อยว่าได้ไปนั่นมานี่ตั้งเยอะตั้งแยก แถมได้ไปถ่ายรูปลงปกหนังสืออีก
ความเหงาทำให้มันไม่รู้จะไปไหนดี รู้ตัวอีกทีก็ขี่รถเครื่องวนมันรอบหมู่บ้านแล้ว คิดว่าไม่มีใครว่างคุยเห็นทีก็คงเหลือแต่ไอ้เหม็นลูกรัก พอนึกถึงไอ้เหม็นก็นึกถึงน้องจี๊ดที่ร่ำร้องอยากจะเจอพี่เหม็นพี่ชายของมันนักหนา ก็เลยกะว่าจะวนรถไปรับน้องจี๊ดมาเล่นกับไอ้เหม็น ระหว่างที่ขี่รถจะกลับบ้านพี่แจ่มนั่นแหละ
เอี๊ยดดดด
มือกำเบรกรถจนล้อถัดกับถนนลูกรังแดง ฝุ่นแดงๆคลุ้งปลิวว่อน ผมเฝ้าที่ปลิวลมลู่ลงมาปรกหน้ากระเซอะกระเซิงไปหมด มันมาเบรกรถจกล้อถัดอยู่ที่หน้าบ้านปูนสองชั้นปลูกใหม่ท้ายหมู่บ้าน พอเห็นบ้านก็นึกถึงลุงที่จ่ายค่ากาแฟให้มัน
“เอาไงดีวะ”
ความอยากรู้อยากเห็นมันช่างห้ามยากเสียจริงๆ มันเตะขาตั้งลงก่อนจะลงจากรถเดินไปริมรั้วกำแพงไม้เตี้ยๆที่กั้นระหว่างบ้านกับถนนลูกรังเอาไว้
ดีที่มีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ตรงนั้นพอดิบพอดี ก็เลยพอจะเป็นโล่บังให้มันแอบสอดส่ายสายตามองเข้าไปในบ้านได้บ้างเผื่อจะรู้อะไรดีๆ
พอมองเข้าไปก็เห็นคนกำลังก้มๆเงยๆกับต้นไม้ในกระถางพลาสติกที่ยังไม่ได้เอาลงดินไม่ใกล้ไม่ไกล จะเป็นใครไปได้นอกจากลุงนคร ว่าแต่ว่าทำไมมันไม่เห็นคนอื่นเลยนอกจากลุงนคร บ้านก็ออกจะใหญ่โต ยิ่งอยากรู้ก็ยิ่งชะเง้อ
“ทำไมไม่เข้ามากินน้ำกินท่ากันก่อนล่ะ ไปยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น”
แต่ก็นั่นแหละ ใครจะไปรู้ว่าเจ้าของบ้านจะรู้ตัวตั้งแต่ได้ยินเสียงรถเครื่องขับมาจอดหน้าบ้านแล้ว ไอ้มิ่งสะดุ้งตัวโยน รู้ตัวอีกทีลุงนครก็ยืนอยู่ข้างๆมันแล้ว
“อะ อ้าว คือ…ฉะ ฉันแค่ขี่รถเครื่องผ่านมาน่ะจ้ะ นึกขึ้นได้ว่าเมื่อตอนบ่ายลุงจ่ายค่ากาแฟให้ฉัน ฉันก็เลยแวะมาจะเอาค่ากาแฟมาคืนลุง”ว่าพลางทำท่าล้วงกระเป๋าตังค์ใบใหม่ออกมา แต่ก็ก็ถูกห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องคืนหรอก ลุงแค่อยากเลี้ยง”
“แต่ว่าลุงทำไมลุงถึงมาจ่ายค่ากาแฟให้ฉันล่ะ”ขมวดคิ้วถามท่าทางมึนงง
ไม่ได้รู้จักกันเลย นี่ไอ้มิ่งก็เพิ่งจะเคยเห็นหน้าลุงนครครั้งแรกด้วย จู่ๆก็มาจ่ายค่ากาแฟให้ เป็นใครๆจะไม่งง
“แล้วทำไมลุงถึงจะจ่ายให้ไม่ได้ล่ะ”
อ้าว ลุงกวนตีกลับเสียอย่างนั้น
“ฉันก็แค่อยากจะรู้ว่าทำไมจู่ๆลุงถึงมาเลี้ยงกาแฟฉัน ก็แค่นั้น”
“คงจะเรียกว่าถูกชะตาล่ะมัง ก็เหมือนๆกับเอ็นดูนั่นล่ะ”
“ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”
“คิดเสียว่าลุงเอ็นดูพ่อมิ่งเหมือนลูกชายเถอะนะ เรื่องค่ากาแฟช่างมันเถอะอย่าไปคิดมากให้วุ่นวายใจไปเลย…เข้ามาข้างในก่อนดีกว่า”
พูดจบก็เอื้อมมือมาตบไหล่มันเบาๆ ถือวิสาสะโอบไหล่มันแล้วดันให้มันเดินเข้าไปในรั้วบ้านหน้าตาเฉย มันเองก็ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็เลยเดินตามเข้าไป มองดูเจ้าของบ้านนั่งลงก้มปลูกต้นไม้ต่อ
“ลุงทำคนเดียวหมดนี่เลยเหรอจ๊ะ”
พอมองๆดูแล้วก็เห็นค้นไม่อีกตั้งเยอะตั้งแยะที่ยังไม่ได้เอาลงดิน แถมต้นไม้ที่เอาลงดินแล้วก็เอียงกระเท่เร่ไม่ได้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยเอาเสียเลย
“ก็อย่างนี่พ่อมิ่งเห็นนั่นล่ะ”
“แล้วลูกเมียลุงล่ะจ้ะ ไปไหนกันหมด ทำไมถึงได้ปล่อยให้ลุงมาทำคนเดียวล่ะ”
“ลูกเมียเรอะ ฮ่าๆๆ ลุงไม่มีหรอกนะไอ้ลูกเมียอะไรที่พ่อมิ่งว่ามาน่ะ”
“ลุงอย่ามาอำฉันเลย หน้าอย่างลุงนะจะไม่มีเมีย ฉันมองท่าทางลุง ดูก็รู้ว่าตอนสมันหนุ่มๆลุงท่าจะหล่อน่าดู”
ถึงจะรุ่นลุงแล้วก็ก็ยังดูดีอยู่เลย จะเรียกว่ายังไงดีล่ะ คงดูดีในแบบผู้ใหญ่ แล้วยิ่งมีบ้านหลังโตด้วยแล้วมีเรอะที่จะไม่มีสาวน้อยสาวใหญ่มาติดพัน
“แล้วพ่อมิ่งเห็นใครไหมล่ะ”
“ไม่เห็นนี่จ๊ะ”
พอถูกถามก็นึกในใจพลางมองไปรอบๆบ้านอีกรอบ แต่ก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะมีใครสักคนนอกจากลุงนคร ถึงได้หันมามองหน้าแล้วส่ายหน้าตอบ
“ถ้าไม่เห็นก็แสดงว่าไม่มีไงล่ะ”ลุงนครยิ้ม ส่ายหน้าเบาๆให้กับท่าทางของไอ้มิ่ง
มือที่เริ่มจะเหี่ยวย่นวางต้นไม้ที่แงะออกมาจากกระถางพลาสติกวางลงดินไปพลางคุยกับไอ้มิ่งไปพลาง
“ลุงทำอย่างนั้นไม่ได้นะจ๊ะ ถ้าขุดตื้นอย่างนั้นถ้าฝนตกลงมาดินข้างบนไหลไปกับน้ำต้นไม้ได้ล้มตายกันหมดกันพอดี”
ไอ้มิ่งพอเห็นก็อดที่จะห้ามไม่ได้ ก็แหม คนทำไร่ทำนาอย่างมันมีหรือที่จะปล่อยผ่านเรื่องพรรค์นี้
“งั้นหรอกเรอะ แล้วลุงต้องทำยังไงล่ะ”
“ลุงต้องทำอย่างนี้จ้ะ ขุดให้ลึกอย่าเดิมสักคืบนึง แล้วก็ใส่ต้นไม้ลงไป จับไม่ให้มันเอียง แล้วก็ใส่ปุ๋ยเอาดินกลบ แล้วก็ตบๆ แล้วก็รดน้ำ แต่นี้ก็เรียบร้อนจ้ะ”
จัดแจงท่าทางย่อลงนั่งยองๆแล้วคว้าพลั่วอันเล็กมาขุดดินเป็นหลุมลึกก่อนจะจัดแจงเอาต้นไม้ลงไปวาง ตามด้วยดินกลบตบเบาๆสองสามที เอื้อมมือหยิบบัดรดน้ำมารดให้ดินพอชุ่มเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
“พ่อมิ่งดูท่าจะเก่งเรื่องแบบนี้นะ”คนมองตามก็อดที่จะออกปากชมไม่ได้ “แน่นอนสิจ๊ะ เรื่องทำไร่ทำนาปลูกต้นไม้ใบหญ้าไว้ใจฉันได้เลย ฉันคนนี้เก่งที่สุดในตำบลเลยล่ะจ้ะ”
“งั้นเชียว ถ้าอย่างนั้นพ่อมิ่งมาช่วยลุงทำสวนหน่อยได้ไหมล่ะ เดี๋ยวลุงจะจ่ายค่าแรงให้ ขืนให้ลุงทำเองมีหวังต้นไม้พวกนี้ตายหมดอย่างที่พ่อมิ่งว่าแน่”
“โอ้ยยย ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างหรอกจ้ะ แค่ทำสวนแค่นี้ แปบๆก็เสร็จ เดี๋ยวฉันช่วยลุงทำเอง”
“ได้ยังไงล่ะ ทำงานก็ต้องได้เงินสิ ก็เหมือนกับอยากได้เงินก็ต้องทำงานนั่นล่ะ”พูดเหมือนมีความนัยน์
“เอางั้นเหรอจ๊ะ ถ้าลุงว่างั้นฉันก็แล้วแต่ลุงก็แล้วกัน ว่าแต่ลุงรู้จักชื่อฉันได้ยังไงจ๊ะ ฉันยังไม่เคยเลยว่าฉันชื่อมิ่ง”เอียงคอถามด้วยความสงสัย
“ทำไมจะไม่รู้จักล่ะ สมัยก่อนลุงยังเคยเห็นพ่อมิ่งตอนเป็นเด็กตัวกระเปี๊ยกวิ่งเล่นกับหมาที่วัดอยู่เลย”
รู้จักจริงๆด้วย ตอนเด็กๆไอ้มิ่งชอบไปวิ่งเล่นกับหมาวัดอย่างที่ลุงบอกจริงๆนั่นล่ะ เวลาถึงวันพระแม่มันชอบพามันไปทำบุญแล้วก็ไปช่วยที่วัดล้างจาน ล้างจานเสร็จก็เอาข้าวก้นบาตรกับกับข้าวที่เหลือห่อมากินที่บ้าน
“ถ้าอย่างนั้นลุงก็ต้องรู้จักแม่ฉันสิจ๊ะ”
“รู้จักสิ ลุงรู้จักแม่ขวัญของพ่อมิ่งดีเลยล่ะ”
พอได้คำตอบมาแบบนั้นมันก็ยิ่งตื่นเต้นหนักเข้าไปใหญ่ น้อยคนที่จะบอกว่ารู้จักแม่มันแล้วจำแม่มันได้ พอมีคนบอกว่ารู้จักแม่มันดีก็เลยดีใจ ดีใจจนไม่ได้สังเกตว่าชั่วอึดใจแววตาของคนที่มันคุยด้วยนั้นหม่นลง
“โอ้โห!! ลุงนี่สุดยอดไปเลย รู้จักแม่ฉันด้วย แม่ของฉันสวยมากใช่ไหมล่ะจ้ะ”
“สวยสิ ลุงยังจำหน้าแม่ขวัญของพ่อมิ่งได้ไม่มีวันลืมเลย แม่ขวัญของพ่อมิ่งสวยถึงขนาดมีหนุ่มหล่อพ่อม่ายมาต่อคิวจีบตั้งยาวเหยียดแหน่ะ แต่แม่ขวัญเขาไม่เอาใครเลยนอกจากพ่อมิ่ง นานเข้าก็เลยถอดใจตามๆกันไป”
“ลุงรู้จักแม่ฉันจริงๆด้วย ลุงรู้จักแม่ฉันแล้วลุงพอจะรู้จักพ่อฉันบ้างไหมจ้ะ แม่บอกว่าพ่อฉันตายตั้งแต่ฉันยังไม่เกิด”
“พ่อเรอะ ลุงก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน รู้แค่ว่าแม่ขวัญของพ่อมิ่งเขามาจากที่อื่น มาของานที่ร้านค้าแถวนี้ทำ ตอนนั้นพ่อมิ่งก็พึ่งจะเกิดได้กี่วันเอง ตัวยังแดงๆอยู่เลย”
“อ้าว ถ้างั้นฉันก็ไม่ใช่คนดอนไฟไหม่น่ะสิจ๊ะ”มันอ้าปากกว้างทั้งแปลกใจทั้งตกใจในคราวเดียวกัน
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าแม่ขวัญเขามาจากไหนน่ะ จู่ๆก็หอบลูกแดงๆโผล่มา”
“งั้นเหรอจ๊ะ ถึงว่าทำไมไม่มีใครรู้จักพ่อฉันเลย”
พอได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้าเศร้า มันคิดว่ามันจะได้รู้อะไรมากกว่านี้เสียอีก
“แม่ขวัญเขาเป็นคนขยันนะ พอถึงหน้าเกี่ยวข้าวก็จะไปรับจ้างเขาเกี่ยวข้าว ดีไม่ดีตกเย็นก็กระเตงพ่อมิ่งไปช่วยเขาตำข้าวเปลือกแลกข้าวเอามาไว้หุงกิน”
มันก็พอจะนึกออกอยู่บ้าง ถึงตอนนั้นมันจะยังเด็กมาก แต่มันก็จำได้ลางๆว่าแม่ขวัญของมันทำแทบทุกอย่างที่ทำได้เพื่อหาตังมาซื้อข้าวให้มันกิน และมันเองก็ต้องไปนั่งเฝ้าแม่มันตลอด วิ่งเล่นอยู่แถวนั้นรอแม่ขวัญของมันทำงานเสร็จ ตกเย็นก็พากันกลับบ้าน กว่าจะได้เงินมาแต่ละสลึงสุดแสนจะยากเย็น มันถึงได้รู้จักคุณค่าของเงินจนถึงทุกวันนี้
“แม่ฉันต้องเก่งอยู่แล้ว ฉันก็เก่งได้แม่มานี่แหละ”ว่าพลางฉีกยิ้มกว้างอวดฟันขาว
“นั่นสินะ เหมือนกันไม่มีผิด ทั้งยิ้มทั้งผมนั่น”
“ใช่ไหมล่ะ ที่ฉันหน้าตาดีก็ได้แม่มาเหมือนกัน แม่ฉันออกจะสวยปานนั้น”มือยกขึ้นมาเสยผมอวดผมยาวหยักศกที่ภูมิใจนักหนา
“หึหึ สวยสิ หนุ่มหล่อพ่อม้ายจะมาตามจีบทำไมล่ะ”คนรุ่นลุงหัวเราะชอบใจกับท่าทางของได้มิ่งที่ดูจะมั่นใจตัวเองเสียเหลือเกิน
คนถามก็ถามเพลิน คนตอบก็ตอบเพลิน บ่ายคล้อยตะวันเคลื่อนไปไกลอีกไม่เท่าไรก็จวนจะตกดินถึงพึ่งจะรู้ตัวว่าควรจะกลับบ้านกลับช่องได้แล้ว ขืนกลับช้ามีหวังโดนพี่แจ่มหาเรื่องอย่างนั้นอย่างนี้กับมันแล้วพาลไม่ให้มันออกไปไหนมาไหนอีก
พอมาคุยกับลุงนครมันได้รู้อะไรที่ไม่เคยรู้ตั้งหลายอย่าง อย่างแม่มันเคยทำงานที่ไหน วันๆทำอะไร แล้วแม่มันเป็นคนยังไง ยังมีอีกหลายเรื่องเลยที่มันยังอยากจะรู้
“นี่ก็เย็นมากแล้ว เดี๋ยวฉันต้องกลับบ้านแล้วนะจ๊ะลุง ขืนกลับช้าโดนเมียบ่นเอาอีก”บอกไปก็ยิ้มเสียดายไป บอกพลางเก็บอุปกรณ์ทำสวน
“งั้นเหรอ เมียพ่อมิ่งคงจะดุสินะ ท่าทางใช้ได้เลยนี่”
“ลุงรู้จักเมียฉันด้วยเหรอจ้ะ ลุงเคยเจอมันด้วยเหรอจ้ะ”ตื่นเต้นไม่แพ้ที่ลุงนครบอกว่ารู้จักแม่มันเลย
“ก็แค่เคยเห็นไกลๆน่ะ”ลุงนครตอบ
“อ้อ ฉันก็นึกว่าลุงรู้จักมัน ลุงเห็นมันหล่อๆอย่างนั้นลุงอย่าได้ไปตายใจหลงยิ้มคุณชายของมันนะจ๊ะ ไอ้นี่มันร้ายจะตาย นี่ถ้าไม่ติดว่ากลับบ้านฉันคงจะนินทามันให้ลุงฟังแล้วล่ะ”ปากว่าทำท่าทำทางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันยกใหญ่
“งั้นพรุ่งนี้ก็มานินนาเมียให้ลุงฟังก็ได้นะ ลุงอยากฟังเรื่องของพ่อมิ่งเยอะๆ แล้วก็เล่าเรื่องบ้านดอนไฟไหม้ให้ลุงฟังต่อด้วย”
“ได้จ้ะ ฉันเองก็มีเรื่องอยากจะถามลุงอีกเยอะเหมือนกัน ถ้ายังไงพรุ่งนี้ฉันจะมาใหม่นะจ๊ะ ฉันลาล่ะจ้ะ”
ยกมือไหว้พอเป็นพิธีก่อนจะขึ้นคร่อมรถเครื่องแล้วสตาร์ทรถออกไป มันไม่รู้หรอกว่าลุงนครจะมองตามมันมาอีกไกลแค่ไหน ได้มองตามมันจนมันหายลับสายตารึเปล่า เพราะมันกำลังผิวปากไปขับรถเครื่องไปอย่างอารมณ์ดีที่จะได้ตังค์ค่าทำสวนให้ลุงนคร ตังค์เก็บของมันล้วนหมดไปกับพี่แจ่ม ไม่ว่าจะเป็นค่าสินสอดหรือค่านาฬิกา ก็เลยต้องมาเริ่มเก็บใหม่ทั้งหมด ถามว่าเพราะอะไรมันถึงต้องเก็บตังค์อีกในเมื่อพี่แจ่มก็ออกจะรวยปานนั้น ก็เพราะว่ามันเองไม่อยากจะถูกชาวบ้านหาว่ามันเกาะเมียกินอย่างนั้นอย่างนี้ไงล่ะ อีกอย่างน้องจี๊ดก็กำลังจะเข้าเรียนอนุบาลด้วย จะให้พ่อเลี้ยงอย่างมันจะอยู่เฉยได้ยังไง
----------------------------------------------------------------
ฮั่นแน่ คิดถึงกันใช่ไหมล่ะ มาต่ออีกหน่อย ขุ่นลุงนครแกเป็นใครน้อออ พ่อหรือไม่ ใช่หรือมั่ว รออ่านต่อไปป
อีกสักประมาณ 7 ตอนหลักๆก็จบแล้วจ้าาาา จะลงถี่ดีไหมน้อออ
จบแล้ว จะได้เปิดเรื่อง "เรื่องลับ...ของพี่จี๊ด" ต่อเลย ใครรุกใครลับล่ะคราวนี้ คนนึงก็ฝาหรั่ง คนหนึ่งก็เจ้าเล่ห์ได้พ่อ