[END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]  (อ่าน 124710 ครั้ง)

ออฟไลน์ fahtallll

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
มันซับซ้อนมากเลย

ออฟไลน์ empty102153

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ทำไมเราคิดว่าลูก้าจะมาทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้น :ling3:

ออฟไลน์ Pamaipraewa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ่านรวดเดียวเลย

สนุกมากกกก ชอบคริส ดูเป็นคนมีเหตุผล และน่าจะเบรกเจเรมี่ได้ในอนาคต

เข้าใจอัลเบิร์ตนะ ไอ้นายพลนั่นมันเลวจริงๆ :z6: ทำร้ายกันทุกวิถีทางแบบนี้ ขอให้ลูกแกโดนฆ่าาาาา (อัลเบิร์ตสนมั้ย หรือไม่ก็ปล้ำแม่ม//วอท?)

รออ่านต่อ สุดท้ายจะจบยังไง แล้วลูก้านี่ยังไง

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
ปวดตับ โอ๊ยยยย กรรมของเจเรมี่

ออฟไลน์ YADA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คือตอนนี้สงสารลูก้ามากกว่า

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เข้าสู่เกมจนได้


ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 13: สัญชาตญาณดิบ[1]

การตรวจร่างกายเป็นไปเพื่อความแน่ใจว่าผู้เข้าร่วมโครงการนรกครั้งนี้มีเพศรองตรงตามที่ระบุในแฟ้มประวัติอาชญากรทุกประการเท่านั้น ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์อื่นใดสำหรับนักโทษที่เอาชีวิตเข้าไปทิ้งในการร่วมแข่งขัน เว้นเสียแต่เจเรมีที่เขาได้รับสิทธิพิเศษในการดูแลมากกว่านักโทษคนอื่นๆ ด้วยทางผู้ดำเนินโครงการนี้ต้องการทราบว่าร่างกายของเขามีความแข็งแรงขนาดไหน ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าเจเรมีเป็นโอเมก้าที่ไม่เหมือนโอเมก้านั่นแหละ

ขณะที่โอเมก้าส่วนมากจะมีรูปร่างเล็กและแกร็นเนื่องจากได้รับการเลี้ยงดูอย่างไม่ถูกสุขลักษณะมาตั้งแต่เล็ก ทว่าเจเรมีกลับมีรูปร่างสูงใหญ่ มีกล้ามเนื้อ พลานามัยสมบูรณ์ทุกประการ ซ้ำยังมีทักษะการต่อสู้และอุปนิสัยหลายอย่าง บ่งบอกให้รู้ว่าโอเมก้าที่ถูกเลี้ยงดูประหนึ่งอัลฟ่าตั้งแต่แรกเกิดก็สามารถมีบุคลิกลักษณะที่คล้ายคลึงกับอัลฟ่าได้เช่นกัน และนั่นมันทำให้อัลฟ่าคนอื่นๆ เสียเปรียบในการแข่งขัน ฉะนั้นเมื่อพบว่าเจเรมีเป็นโอเมก้าที่ยากต่อการล่า เดร็กจึงทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นด้วยการตัดกำลังเล็กน้อย

เริ่มจากการที่สุ่มแจกอาวุธสำหรับป้องกันตัว...

คริสสุ่มได้ปืนยิงยาสลบ… ฟังดูไร้ประโยชน์หากเทียบกับลูก้าที่ได้มีดสั้นเป็นอาวุธ แต่หากเทียบกับเจเรมีแล้ว อาวุธของเจเรมีไร้ประโยชน์กว่าหลายขุม

ชะแลงเหล็ก...

เอาไว้งัดกะโหลกมารดามันเถอะไอ้ชั่วแฮร์ริสัน!

เจเรมีถึงกับอดไม่ได้ที่จะสำรอกคำผรุสวาทออกมาในใจ

นี่มันจงใจไล่ต้อนเขาชัดๆ!

และชัดเจนมากขึ้นไปอีกเมื่อถึงวันที่นักโทษทั้งหมดะถูกส่งตัวไปยังสถานที่แข่งขันซึ่งเป็นเกาะที่ครั้งหนึ่งเคยใช้เป็นสถานที่สำหรับทรมานและประหารนักโทษคดีร้ายแรงและเกือบจะถูกปิดตายมาหลายทศวรรษด้วยกฎหมายการประหารชีวิตได้ถูกระงับใช้ชั่วคราวจากการคัดค้านของเจอโรมเพราะเขาไม่เห็นด้วยกับการละเมิดสิทธิในร่างกายของนักโทษเหล่านั้น แม้กฎหมายจะยังไม่ถูกยกเลิกแต่การผลักดันของเจอโรมก็ทำให้มีประชาชนเห็นด้วยค่อนข้างมาก ทางรัฐบาลจึงต้องชะลอการใช้กฎหมายเอาไว้ก่อนด้วยเกรงประชาชนจะลุกฮือ เรียกได้ว่าเป็นการพลิกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของแม่บทกฎหมายในมหานครเพิร์ลเลยทีเดียว
หากแต่ครั้งนี้ เกาะนั้นถูกเปิดใช้อีกครั้ง...เพื่อรองรับการทรมานและประหารทายาทรุ่นล่าสุดของตระกูลเมอร์ซี

คนเป็นบิดาคัดค้าน คนเป็นบุตรถูกส่งตัวมาให้ถูกฆ่า

ไม่มีอะไรน่าสนุกไปกว่าเห็นเจอโรมอกแตกตายอีกแล้ว!

แต่แค่นั้นยังไม่สาแก่ใจ เพียงสุ่มจับอาวุธซึ่งแทบจะไม่เรียกว่าอาวุธให้กับเจเรมีมันยังไม่พอที่จะตัดกำลังเขาได้ แฮร์ริสันจึงมีคำสั่งให้ผู้คุมซ้อมชายหนุ่มเสียจนสะบักสะบอมก่อนจะปล่อยเข้าเกาะโดยที่คริสเองก็ไม่สามารถห้ามปรามอะไรได้เลย

ไม่ใช่ว่าไม่ห้าม...เขาห้าม แต่ไม่เป็นผล

ผู้คุมเหล่านั้นก็ไม่ได้ซ้อมเจเรมีถึงขั้นเอาตาย กระดูกไม่หัก บาดแผลไม่ปรากฏ แต่ทิ้งร่องรอยฟกช้ำและความบอบช้ำไปทั่วร่างเลยทีเดียว ดูเหมือนไม่เป็นอะไรมากแต่ก็หนักหนาพอที่จะทำให้เจเรมีเดินทรงตัวด้วยตัวเองไม่ได้ ก่อนที่นักโทษทั้งหมดถูกปล่อยตัวในแต่ละจุดของเกาะอย่างกระจัดกระจาย ทว่าก็ไม่ได้ห่างกันมากนักด้วยพื้นที่ของเกาะไม่ได้กว้างใหญ่สักเท่าไหร่
กว้างหรือไม่กว้างสามารถพิสูจน์ได้จากการที่คริสตามหาตัวเจเรมีเจอเป็นคนแรก และอาสาเป็นคนคอยดูแลเขาจนกว่าจะหายดีด้วยเกรงว่าอัลฟ่าคนอื่นจะใช้โอกาสนี้ในการล่าเจเรมีมาครอบครอง เพราะก่อนที่จะถูกปล่อยตัวนั้น มีกฏอีกข้อที่เหล่านักโทษเพิ่งจะได้รับรู้

หากภายในสามสิบวันยังไม่ได้ผู้ชนะ จะไม่มีใครได้เหลือรอดออกจากเกาะแม้แต่คนเดียว...

เป็นกฎที่บีบบังคับให้นักโทษต้องจำใจล่ากันเองอย่างไร้ทางเลือก

แน่นอนว่าเจเรมีกับคริสไม่ยอมถูกฆ่าง่ายๆ อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ยอมเป็นผู้เริ่มก่อนในขณะที่อัลฟ่าคนอื่นๆ เริ่มตื่นตัวกัน และโอเมก้าอีกสี่คนที่เหลือก็เริ่มหาที่ซ่อนตัว สำหรับคริสกับเจเรมี ในการเริ่มเกมนั้น พวกเขาทำแค่หาที่หลบซ่อนและรอจนกว่าเจเรมีจะอาการดีขึ้นในระดับที่ช่วยเหลือตัวเองได้ตามปกติเท่านั้น

ถ้ำเล็กๆ ใต้ชะง่อนผาถูกใช้เป็นที่ซ่อน ทั้งคู่ไม่ออกไปไหนเลยในวันแรกด้วยยังไม่แน่ใจว่าข้างนอกนั้นสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง คริสเดาเอาว่านักโทษที่เหลือคงจะตกอยู่ในภาวะหวาดกลัวและสับสน การออกไปเดินสำรวจสุ่มสี่สุ่มห้าในวันนี้คงไม่เป็นการดีแน่

ยังดีที่ถ้ำแห่งนี้มีเถาวัลย์น้ำมากพอที่จะใช้เป็นแหล่งน้ำได้ เจเรมีกับคริสจึงอยู่ในนั้นได้อย่างไม่มีปัญหา ทว่าพอเริ่มวันใหม่ สถานการณ์ภายนอกก็กลับวุ่นวายมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อมีเสียงประกาศดังให้ได้ยินมาว่ามีโอเมก้าคนหนึ่งถูกฆ่าตายเมื่อคืนโดยไม่ทราบสาเหตุ รู้เพียงอย่างเดียวว่าผู้ฆ่าคืออัลฟ่า

คงจะมีการล่ากันเกิดขึ้นแล้วอัลฟ่าพลั้งมือไปฆ่าโอเมก้าเข้า...

คริสเดาไว้อย่างนั้น และในวันเดียวกันก็มีเสียงประกาศตามสายมาให้ได้ยินอีกว่ามีอัลฟ่าอีกรายถูกอัลฟ่าด้วยกันฆ่าตาย การสังหารในครั้งหลังนี่คงจะเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงโอเมก้า

ถ้าหากโอเมก้าทุกคนถูกครอบครอง มีหวังอัลฟ่าที่เหลือคงได้ฆ่ากันไม่เลือกหน้าแน่ กับตัวเขาน่ะไม่มีปัญหา คริสค่อนข้างจะมั่นใจในทักษะการต่อสู้และเอาตัวรอดของตัวเองพอตัว จะห่วงก็แต่เจเรมีที่เป็นหนึ่งในโอเมก้าซึ่งมีทางเลือกสองทางคือยอมตกเป็นของอัลฟ่าสักคนเพื่อให้อัลฟ่าช่วยปกป้อง หรือเลือกที่จะฆ่าทั้งหมดเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะแต่เพียงผู้เดียว

ก่อนจะมาถึงที่นี่ เขากับเจเรมีได้ตกลงกันแล้วว่าจะรอดชีวิตไปด้วยกัน ทว่าท่ามกลางสถานการณ์ที่ดูเหมือนว่าความรุนแรงจะเริ่มปรากฏขึ้น เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าเขากับคู่แห่งโชคชะตาจะรอดชีวิตไปด้วยกันในท้ายที่สุดหรือไม่

เจเรมีอาจจะเปลี่ยนใจ ฆ่าเขาทิ้งในนาทีสุดท้ายก็เป็นได้...นั่นคืออย่างแย่ที่สุด อย่างแย่น้อยกว่านั้นคือเขาเกรงว่าตัวเองจะปกป้องเจเรมีได้ไม่เต็มที่

เขาเองก็ยังมีความเห็นแก่ตัว ถึงจะแสนดีแค่ไหนทว่าก็ยังทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองอยู่ดี

เจเรมีไม่ใช่คนของเขานี่ เป็นเพียงแค่คู่แห่งโชคชะตา เขาไม่ได้ทำให้เจเรมีได้ทุกอย่าง เว้นก็แต่บางอย่างที่เขาเห็นว่าตนได้ประโยชน์ด้วย จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเจเรมีเป็นของเขาแล้ว บางทีอีกฝ่ายอาจจะให้ความร่วมมือในการเอาตัวรอดเป็นอย่างดีและชั่งใจที่จะฆ่าเขาทิ้งหากมีเรื่องผิดใจกันก็เป็นได้

คริสรู้ว่าการที่เขาครอบครองเจเรมีมันไม่ได้เป็นหลักประกันว่าตนจะไม่ถูกอีกฝ่ายคิดฆ่า แต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะพอทำให้เจเรมีลังเลใจอยู่บ้าง และใช่... การที่เขาทำดีกับเจเรมีระหว่างอยู่ในแดนขังไม่ได้มาจากความบริสุทธิ์ใจสักเท่าไหร่นัก เขาคิดว่าการทำให้เจเรมีเข้าใจว่าเขาหวังดี มันเป็นการดีที่เขาจะรอดออกจากคุกเส็งเคร็งนั่นถ้าหากเจเรมีออกจากคุกไปได้ด้วยการช่วยเหลือของเจอโรม

เป็นแผนการลึกๆ ในใจที่ไม่เคยเล็ดลอดออกจากปากเขา...

แต่ก็ใช่ว่าคริสจะไม่ได้เป็นห่วงหนุ่มผมบลอนด์คนนั้นจากใจจริง ระยะหลังที่เจเรมีเริ่มเชื่อฟังคำแนะนำ มันทำให้คริสอดเอ็นดูไม่ได้ อย่างที่เคยคิดไว้ว่ายามเห็นเจเรมีมันทำให้เขานึกถึงตัวเองตอนที่ถูกจับมาใหม่ๆ จึงทำให้เผลอยื่นมือเข้ายุ่มย่ามแม้ว่าตระกูลเมอร์ซีจะมีส่วนทำให้ครอบครัวของเขาต้องพังพินาศก็ตาม

อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เป็นคนที่ไร้มนุษยธรรมสักเท่าไหร่นักถึงในตอนนี้จะดูเป็นห่วงตัวเองมากกว่าห่วงเจเรมีก็เถอะ
เพราะเป็นห่วงตัวเองมากกว่าห่วงอีกฝ่าย ทำให้คริสต้องวางแผนในการเดินหมากอย่างรัดกุม หากพลาดมันจะหมายถึงชีวิตเขา และเขาก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อที่จะเป็นผู้แพ้ด้วย

สายตาเหลือบไปมองยังคนข้างกายที่นอนแผ่หลาอย่างเหนื่อยอ่อนเนื่องจากขาดอาหารและร่างกายยังไม่กลับสู่สภาพปกติอย่างครุ่นคิด

เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับเจเรมี...

มันไม่ใช่การฆ่า แต่เป็นอย่างอื่น ยิ่งเริ่มต้นเร็ว โอกาสในการรอดก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

คิดแล้วก็เหลือบตามองไปยังร่างใหญ่ของชายหนุ่มอีกคนที่นอนแผ่หลาและเข้าสู่ห้วงนิทราอยู่ เจเรมีดูแปลกตาไปกว่าเดิมเล็กน้อยจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ นักโทษทุกคนที่ถูกปล่อยเข้ามาในเกาะนี้จะสวมเสื้อแขนกุดสีเทาและกางเกงยีนเพื่อให้คล่องตัวในการเคลื่อนไหวกว่าการใส่เครื่องแบบนักโทษเทอะทะ แทบจะเป็นครั้งแรกในรอบสองปีเลยทีเดียวที่คริสได้สวมใส่เสื้อผ้าอื่นนอกจากชุดนักโทษ และเจเรมีเองก็ดูดีในชุดพวกนี้มากกว่าเครื่องแบบคนคุกนั่นเป็นไหนๆ

ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่คริสสนใจ เขากำลังลังเลอยู่ต่างหากว่าควรจะบอกอีกฝ่ายไหมว่าตนมีแผนการอะไรในใจอยู่

...ลังเลอยู่นานเลยทีเดียว กระทั่งสีของท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน เจเรมีรู้สึกตัวตื่นถึงได้เอ่ยทักเมื่อเห็นว่าตัวเองถูกจ้องอย่างไม่ละสายตา

“มีอะไร”
คริสรู้สึกตัวในตอนนี้ พลันส่ายหน้า “ไม่มี”

ตัดสินใจไม่บอกไปเสียอย่างนั้นทั้งที่มีโอกาส ปล่อยให้เจเรมีได้ว่าเสียงขุ่น
“ถ้าไม่มีก็หยุดจ้องฉันสักที มันน่ารำคาญ จ้องอย่างกับไม่เคยเห็น”

คงจะรู้ตัวมาสักพักแล้วว่าตกเป็นเป้าสายตาถึงได้พูดแบบนั้น
“ขอโทษที” คริสเอ่ยเสียงเบา แล้วก็ไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก
ท่าทางเคร่งเครียดของอีกฝ่ายทำให้เจเรมีอดสงสัยไม่ได้
“เป็นบ้าอะไรของนาย”

คริสไม่ตอบ เพียงแต่หันไปมองแล้วก็ลอบถอนหายใจ ปล่อยให้เจเรมีได้ถามซ้ำขึ้นมาอีก
“ฉันถามว่าเป็นเวรอะไร ไม่ได้ยินหรือไง”
“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ” ยอมบอกออกไปแล้ว
หัวคิ้วของเจเรมีย่นยู่ฉับพลัน ร้องถามออกไปอีกครั้ง “เรื่อง?”

ความจริงเจเรมีก็ไม่ได้อยากจะรู้นักหรอก แต่ด้วยความที่สนิทสนมกับคริสมากกว่าเดิมมันทำให้ถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
คริสขยับตัวเข้ามาใกล้ ทิ้งตัวลงนอนข้างๆ ขณะที่ฟ้ามืดขึ้นเรื่อยๆ จนมองบรรยากาศรอบถ้ำไม่เห็น คนข้างกายอดแปลกใจไม่ได้เลยว่าวันนี้คริสดูแปลกไป อาจจะเป็นเพราะความเครียดที่ตัวเองถูกลากเข้ามาในเกมนี้โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็เป็นได้ถึงได้มีท่าทางอย่างนั้น

มันก็น่าเครียดอยู่หรอกนะ กินๆ นอนๆ อยู่ในคุกดีๆ จู่ๆ ก็ถูกลากมาเสี่ยงตายเสียอย่างนั้น

คิดว่าเป็นสีสันของชีวิตก็แล้วกัน อยู่ในคุกนานๆ มันน่าเบื่อ...

เจเรมีอยากจะพูดอย่างนี้ แต่ไม่รู้อะไรที่ทำให้เขาไม่เปิดปากออกไป อาจเป็นเพราะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าที่คริสต้องมาอยู่ในถ้ำโกโรโกเสกับเขาอย่างนี้เป็นเพราะเขาตัดสินใจเข้าร่วมเกมนรกนี่ คริสถึงได้พ่วงมาด้วย แต่นั่นก็เป็นเพราะการตัดสินใจของอีกฝ่าย ไม่ใช่เพราะเขาโดยตรงสักหน่อย จะมาโทษเขาว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดมันก็ไม่ได้

ทว่าเจเรมีกลับคิดผิดไปเสียหน่อยเพราะคริสไม่ได้ครุ่นคิดเรื่องนั้นเสียทีเดียว หากแต่เป็นเรื่องนี้ต่างหาก

“ฉันไม่อยากสู้กับนายเลย” จู่ๆ คริสก็พูดขึ้น ทำเอาเจเรมีต้องหันไปมองคนข้างกายท่ามกลางความมืด

ถูกต้องแล้ว เรื่องนี้แหละที่ทำให้คริสใช้เวลาคิดทบทวนตามลำพังอยู่นาน

“หมายความว่าอะไร” การที่เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้เจเรมีต้องเปิดปากถาม
“หมายความว่าฉันไม่อยากสู้กับนายไง” คริสว่าขึ้นอีกครั้ง

เดาได้เลยว่าใบหน้าของคนฟังย่นยู่ไปหมดแล้วในตอนนี้ ไม่เข้าใจสิ่งที่คริสพูดสักเท่าไหร่ แต่ก็สังหรณ์ใจไม่ดีนัก รับรู้ได้แล้วว่าที่คริสเอาแต่ทำหน้าเครียดมันเป็นเพราะอะไร แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเขาไม่ไว้ใจผู้ชายคนนี้ขึ้นมาฉับพลัน

“อธิบายมา ถ้าพูดไม่เข้าหู ฉันจะเอาชะแลงงัดปากนาย”
คริสกะไว้อยู่แล้วว่าเจเรมีต้องไม่เข้าใจทั้งที่เป็นเรื่องง่าย

เขาหมายความตรงตัว...

ไม่อยากสู้ แปลว่าไม่อยากสู้
ไม่อยากสู้ แปลว่าถ้าเขาสู้ เขาจะต้องทำร้ายเจเรมีซึ่งเขาไม่อยากทำ
ไม่อยากสู้ แปลว่าเจเรมีจะต้องร่วมมือกับเขาในการเอาชีวิตรอดออกจากเกาะแห่งนี้

ด้วยการ...

“เป็นของฉันซะเจเรมี แล้วฉันจะปกป้องนายเอง”
พูดสิ่งที่คิดไว้ก่อนหน้าออกไปแล้ว

ส่วนเจเรมี ได้ยินแล้วก็ร้อนวาบไปทั่วร่างกาย ไม่ใช่เพราะความเขินอาย หากแต่เป็นเพราะความโกรธ

คนที่เขาไว้ใจที่สุดในเวลาอย่างนี้และมั่นใจว่าจะไม่ทำร้ายเขาพูดอย่างนี้ออกมาได้อย่างไรกัน!

เจเรมีรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง อุตส่าห์หลงไว้ใจอยู่พักหนึ่งว่าคริสจะไม่ทำอะไรแบบนี้กับเขา พลันมือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นทันที

“พูดเวรอะไรของนาย” ฟันกรามที่ขบกันแน่นก่อนหน้าคลายตัวออกจากกัน ปล่อยให้น้ำเสียงขุ่นๆ ดังออกปาก
คริสสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะพูดออกไปอีกที
“ฉันมาคิดดูแล้ว ถ้านายอยากจะรอดจนกว่าจะเป็นผู้ชนะของเกม เราต้องร่วมมือกัน นายต้องทำให้ฉันรู้สึกว่าอยากปกป้องนายจริงๆ ในฐานะที่นายเป็นคนของฉัน”
ในที่สุดก็บอกออกไปแต่ไม่ทั้งหมด เขาไม่ได้พูดว่าที่จริงแล้วก็เพื่อผลประโยชน์ของตัวเขาเองด้วย เพราะแค่นี้ก็ทำให้เจเรมีเดือดดาลจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่แล้ว

ร่างใหญ่ดันตัวขึ้น ปากร้องโวยวายอย่างรวดเร็ว
“นายมันทุเรศสิ้นดีเลย ใครมันจะไปยอมนอนถ่าง...เฮ้ย!”

พูดยังไม่ทันจบแท้ๆ เจเรมีก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมากระแทกเข้าที่หน้าอกและกดให้เขาทิ้งตัวลงนอนดังเดิม ได้สติก็รู้ได้ว่ามันคือร่างของคริสที่ลุกขึ้นมาคร่อมเขาเอาไว้ แสงจากดวงจันทร์ที่เล็ดลอดเข้ามาในถ้ำพอจะทำให้เห็นเงาตะคุ่มนั้นก่อนที่เจเรมีจะออกแรงขัดขืน หากแต่ก็ถูกคริสตรึงเอาไว้จนแทบจะกระดิกตัวไม่ได้

“ถ้าอยากจะรอดออกไปทั้งคู่ เราจำเป็นต้องทำแบบนี้ เป็นของฉันซะเจเรมี มันสะดวกใจกว่าถ้าฉันจะต้องปกป้องนายด้วยชีวิตของฉัน”
แล้วมันต้องแลกด้วยการยอมถ่างขาให้นายกระแทกไอ้จ้อนเข้ามาน่ะเหรอ!? ฝันไปหน่อยแล้ว!
“ถอยออกไปก่อนที่ฉันจะฆ่านาย!”

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ยอมรับข้อเสนอ เจเรมีดิ้นขลุกขลักอย่างสุดความสามารถ ทว่าก็เป็นเพียงเรี่ยวแรงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับตอนที่ร่างกายเขาสมบูรณ์ดี

ความเจ็บปวดจากบาดแผลการถูกทำร้ายที่ได้รับทำให้เขาอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด เขาถูกทำร้ายให้อ่อนกำลังลงคงเพื่อการนี้
เพื่อให้เกมทุเรศนี่มันสนุกขึ้น!

ก็รู้...แต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ และไม่คิดด้วยว่าคนที่ริเริ่มจะเป็นคริส

หักหลังกันอย่างนี้ได้ไง!?


ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 13: สัญชาตญาณดิบบ[2]

“ถอยไปคริส ไม่อย่างนั้นฉันฆ่านายแน่...” ทั้งโกรธ ทั้งแค้น ดิ้นสุดแรงแต่ก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ด้วยคริสมีกำลังมากกว่าจึงทำเพียงร้องขู่

คริสเองก็ไม่อยากทำนักหรอก แต่มันจำเป็น ถ้าหากเขาไม่ทำ อัลฟ่าคนอื่นก็ต้องทำ สู้ให้เจเรมีเป็นของเขา เขายังจะพอสบายใจว่าเจเรมีจะปลอดภัยได้

อย่างน้อยก็มั่นใจว่าเขาไม่ทำอะไรรุนแรงกับเจเรมีต่อให้มีอาการฮีท แต่กับอัลฟ่าคนอื่นไม่มีอะไรรับประกันทั้งนั้น และมันก็เป็นผลดีกับเขาในหลายๆ เรื่องอย่างที่คิดไว้ในตอนแรกด้วย

“ขอร้องล่ะเจมี เชื่อใจฉันสักครั้ง เราจะได้รอดทั้งคู่” คริสพยายามเกลี้ยกล่อมให้เจเรมีคล้อยตาม เรียกชื่อเล่นออกมาอีกคล้ายกับสนิทสนมกันมานานนม

ได้ยินแล้วเจเรมีก็ขมวดคิ้วหนัก “อย่ามาเรียกฉันอย่างนี้ไอ้ทุเรศ!”

นึกขยะแขยงคนอย่างคริสขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว

ภายนอกดูเป็นสุภาพบุรุษ แต่ลึกๆ แล้วเป็นไอ้สวะที่เห็นแก่ตัว เจเรมีเดาเอาว่าคริสคงจะต้องการใช้เขาเป็นเครื่องมือในการเอาตัวรอดถึงได้ตัดสินใจทำอย่างนี้

สัญชาตญาณดิบของคริสถูกปลุกขึ้นมาแล้วล่ะสินะ!

ในเกมที่มีชีวิตเป็นเดิมพันอย่างนี้ มันไม่แปลกหรอกถ้าหากความก้าวร้าวของมนุษย์จะปรากฏออกมาให้เห็น มันเป็นสัญชาตญาณเอาตัวรอดตามธรรมชาติ

หากไม่ถูกล่าก็ต้องล่า... และคริสก็กำลังทำตัวเป็นผู้ล่า ไม่ต่างอะไรจากอัลฟ่าคนอื่นๆ ที่ต้องการมีชีวิตรอดเป็นคนสุดท้ายเหมือนกัน

“สวะอย่างนายนี่มัน...ทุเรศเอ๊ย!” เจเรมีอดใจที่จะไม่ก่นด่าไว้ไม่ไหว เขาไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบริภาษคนบนกายตัวเองได้อีกแล้ว

คริสไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย จะว่าเป็นไอ้ทุเรศอย่างที่เจเรมีด่าก็ไม่ผิดนัก เขากำลังคิดจะขืนใจเจเรมี แต่มันก็จำเป็นต้องทำ และเขาสาบานได้เลยว่าเขาไม่หักหาญน้ำใจเจเรมีแน่นอน แค่จะทำให้เคลิ้มและยอมปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้น
ขอแค่ให้เจเรมีมีอาการฮีท แค่นั้นทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น

“ขอโทษที่ทำแบบนี้ แต่เพื่อประโยชน์ของเราทั้งคู่ มันจำเป็น”
ในที่สุดก็ยอมรับว่าทุกอย่างเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ สิ้นเสียง คริสก็โน้มใบหน้าลงประทับจูบที่ต้นคอ เลี่ยงที่จะไปจุมพิตที่ริมฝีปาก เชื่อได้เลยว่าถ้าหากจูบจะต้องถูกเจเรมีกัดลิ้นขาดแน่ ไปกระตุ้นเร้าที่อื่นแทนจะยังได้ผลกว่า
สัมผัสนุ่มนวลที่แตะลงมาทำให้เจเรมีขืนตัวเกร็ง ปากร้องโวยวายทันควัน

“ไอ้เวรคริส! ถอยออกไป!” รู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ก็ร้องห้ามระคนสั่งแทน
แต่อะไรจะหยุดคริสในเวลานี้ได้ รางวัลของผู้ชนะ เขาก็อยากได้เช่นกัน

...อยากได้อิสระ อยากได้ความยุติธรรมคืนให้ครอบครัว มันจำเป็นต้องทำ

คริสจำต้องฝืนใจกระทำอย่างนั้นแม้จะถูกร้องห้าม ความเป็นสุภาพบุรุษมลายหายไปหมดเมื่อเขาค่อยๆ พรมจูบต่ำลงมายังไหปลาร้า มือข้างหนึ่งสอดเข้าไปใต้เสื้อ ลูบหน้าท้องที่เป็นไปด้วยมัดกล้ามของเจเรมีเพื่อที่จะส่งปลายนิ้วไปหยอกเย้าตุ่มไตเล็กๆ บนหน้าอก

เพียงแค่สะกิดแผ่วเบา เม็ดเล็กๆ นั่นก็ชูชันขึ้นมาแล้ว เจเรมีแอ่นตัวสะท้าน เขาไม่อยากจะตอบสนองต่อการสัมผัสนี่เลยทว่าก็ไม่อาจห้ามร่างกายของตัวเองได้ ยิ่งถูกคริสใช้ริมฝีปากขบกัดผ่านเนื้อผ้าลงไป ยอดอกก็ตอบรับการสัมผัสมากขึ้นกว่าเดิม
ริมฝีปากของเจเรมีเม้มตรงทันทีที่รู้สึกว่าร่างกายเริ่มร้อนผะผ่าวขึ้นมา กลิ่นหอมของคริสลอยโชย รู้ตัวทันทีว่าเริ่มมีอาการฮีทแล้ว แม้จะไม่ใช่ช่วงฤดูผสมพันธุ์ แต่มันก็เกิดขึ้นได้เมื่ออยู่ใกล้ชิดกับคู่แห่งโชคชะตา

มากขึ้นทบทวีเมื่อคริสสอดมือเข้าไปลูบคลึงแก่นกายความเป็นชายใต้กางเกงยีนของเขา ความร้อนผ่าวพรั่งพรูออกมาจนไม่รู้แน่ชัดว่ามันมาจากฝ่ามือของคริสหรืออวัยวะแกนกลางของเขากันแน่ ส่วนปลายเฉอะแฉะไปด้วยของเหลวสีใส

มันมาแล้ว... อาการกำหนัดมันเริ่มขึ้นแล้ว

และมากขึ้นไปอีกเมื่อคริสถลกเสื้อของเจเรมีขึ้นเหนือหน้าอก บรรจงจูบไปตามลอนกล้ามหน้าท้อง สลับขึ้นไปที่ยอดอก ดุนดันหยอกเย้ากระตุ้นอารมณ์ให้เจเรมีครางกระเส่าออกมา จากนั้นจึงไล้ปลายลิ้นลงต่ำไปยังช่วงล่าง ใช้ริมฝีปากจูบลงบนยอดอ่อนไหวนั่นอย่างแผ่วเบาก่อนจะกลืนกินมันเข้าไป

ความร้อนจากโพรงปากอัลฟ่าหนุ่มทำให้เจเรมียกสะโพกขึ้นสูง หายใจออกมาอย่างไม่เป็นจังหวะ

ไม่...จะต้องไม่ถูกคริสชักจูงไปอย่างนั้น

พยายามจะห้ามตัวเองแล้วแต่ทำไม่ได้เลย ตอนนี้เขาเองก็เริ่มปล่อยกลิ่นฟีโรโมนออกมาแล้วเช่นกัน คริสได้กลิ่นก็ยิ่งทวีความรุนแรงในการกลืนกินมากขึ้นไปอีก

สัญชาตญาณดิบเริ่มทำงานมากกว่าเดิม ความก้าวร้าวผลักดันให้แรงขับทางเพศตื่นขึ้น...
กระตุ้นเร้า ปลุกปั่น มอมเมาจนเจเรมีปลดปล่อยความอัดอั้นออกมาทั้งที่ไม่ได้เต็มใจอย่างไม่อาจห้าม กลิ่นฟีโรโมนคละคลุ้งมากยิ่งขึ้นทำให้คริสรับทุกหยาดหยดเข้าไปอย่างไม่นึกรังเกียจ

ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นคู่แห่งโชคชะตาของเขา และเขากำลังจะครอบครองอีกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ไม่รังเกียจ

และการที่เจเรมีได้ปลดปล่อยออกมาอย่างนี้มันก็ดีสำหรับขั้นต่อไป คริสไม่หยุดแค่นั้น เขาถอนโพรงปากออกมาเหยียดตัวขึ้นเพื่อดึงกางเกงออกให้พ้นจากท่อนร่างของเจเรมีก่อนจะจับขาทั้งสองข้างขึ้นตั้งชัน ปลายนิ้วข้างหนึ่งยื่นเข้าไปแตะบริเวณช่องทางคับแคบด้านหลังที่ชุ่มไปด้วยสารหล่อลื่นบางอย่าง

มันเป็นคุณสมบัติพิเศษของชายชาวโอเมก้า... น้ำหล่อลื่นเพื่อการร่วมรัก

ปลายนิ้วเคล้นคลึงถูไถอยู่ภายนอกครู่หนึ่งเพื่อเร้าอารมณ์ของเจเรมีให้ตอบสนองอีกครั้ง ก่อนที่จะค่อยๆ สอดมันเข้าไปด้านในและขยับทีละน้อยเพื่อหาจุดที่จะทำให้อีกฝ่ายสุขสมได้

ทันทีที่ปลายนิ้วแตะเข้าไปที่จุดเต็มไปด้วยความรู้สึก เจเรมีก็ครางกระเส่าออกมาพร้อมกับกระตุกสุดตัวจนแผลฟกช้ำที่ระบมอยู่สร้างความเจ็บปวดให้ร่างกาย หากแต่เขาไม่มีเวลาจะมาสนใจเรื่องนั้นแล้ว ตอนนี้แกนกลางที่อ่อนแรงลงไปเมื่อครู่เริ่มแข็งขืนขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนปลายไหวระริก มีของเหลวเอ่อคลอให้รู้ว่าพร้อมกับการปลดปล่อยระลอกที่สอง

ทั้งที่สุขสมไปแล้วก็ยังมีอาการอีก... การถูกสัมผัสโดยคู่แห่งโชคชะตาช่างน่าอัศจรรย์

แต่ไม่น่ายินดีนักเมื่อคริสรู้สึกว่าเจเรมีพร้อมจะรับเขาเข้าไปจึงได้ขยับกายเข้ามาหาในสภาพที่ท่อนล่างกึ่งเปลือย

เจเรมีเห็นเงาตะคุ่มก็กลืนน้ำลายเอื้อก เขาควรจะออกปากห้าม ทว่ากลับไม่สามารถต้านทานอารมณ์ของตัวเองได้สักเท่าไหร่นัก ในขณะที่คริสโน้มใบหน้าลงจูบที่หน้าผากคนนอนราบอยู่แผ่วเบา มือข้างที่กอบกุมแกนกายของตัวเองแตะลงบนปากทางช่องทางเล็กๆ นั่นและขยับไปมาเบาๆ เพื่อรอจังหวะจะสอดใส่เข้าไป

“ฉันจะไม่ทำร้ายนาย” กระซิบเสียงเบาคล้ายกับย้ำเตือนว่าเขาหมายความว่าอย่างนั้นทุกครั้งที่พูดประโยคนี้

ทว่าไม่ใช่ในครั้งนี้ คริสกำลังจะทำร้ายเจเรมีโดยไม่รู้ตัว และเจเรมีก็ไม่ได้ไร้สติเสียทีเดียว ถึงจะเป็นฮีทแต่ครั้งนี้มันเกิดจากการถูกกระตุ้นจึงทำให้เขามีสติมากกว่าการเป็นฮีทด้วยตัวเอง

“ที่นายทำอยู่เรียกว่าไม่ทำร้ายหรือไง” แทนที่จะด่ากลับ แต่เป็นการแย้งแทน
“ฉันไม่ได้ทำร้าย แค่จะช่วยให้เรารอด” คริสว่า หากแต่สิ่งที่เขาทำกับสิ่งที่เจเรมีเห็นมันไม่ใช่อย่างเดียวกันเลย
ถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงจะฉุกคิดได้ ทว่าตอนนี้กลิ่นหอมจากกายของคนตรงหน้าทำให้เขาขาดสติสัมปชัญญะไปเล็กน้อยแล้ว ก่อนที่หูจะได้ยินเสียงของเจเรมีอีกครั้ง

“อย่าทำแบบนี้คริส... อย่า”
เสียงแหบพร่าหลุดออกจากริมฝีปากหนา ไม่ได้ก่นด่า แต่เป็นการขอร้องและเป็นครั้งแรกที่เจเรมีวิงวอนใครสักคนอย่างนี้
ถึงจะเป็นคำพูดสั้นๆ แต่ก็ทำให้คริสชะงักได้ทันควัน

“อย่าทำแบบนี้คริส... ถ้านายไม่อยากเสียใจ อย่าทำแบบนี้” เสียงกระเส่าดังมาให้ได้ยินอีกครั้ง

เขาไม่รู้หรอกว่าสีหน้าของเจเรมีในตอนนี้เป็นอย่างไร แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเจเรมีก็คงจะทนกับความต้องการนี้ไม่ไหวด้วยไม่อาจควบคุมน้ำเสียงได้เลย คริสก็เช่นเดียวกัน เขาแทบทนไม่ไหวอยู่แล้ว อยากจะสอดใส่อวัยวะบ่งบอกความเป็นชายของเขาเข้าไปในตัวของเจเรมีเต็มแก่จนต้องเอ่ยปากขอ
“ไม่ได้เหรอ...”

มันก็ต้องไม่ได้อยู่แล้ว! ถึงเจเรมีจะต้องการมากแค่ไหน แต่มันไม่ได้เกิดจากความเต็มใจ คริสก็ไม่มีสิทธิ์ทำ!

เจเรมีไม่ตอบ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปควานหาอาวุธของตัวเอง ก่อนจะคว้าเอาด้ามชะแลงเหล็กที่วางอยู่เหนือศีรษะได้พลันกระชับไว้มั่น กะเอาไว้ว่าถ้าคริสเคลื่อนไหวมากกว่านี้ เขาจะฟาดคนตรงหน้าไม่ยั้ง

“ไม่ได้” พยายามตอบเสียงแข็งที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้รู้ว่าเขาไม่อนุญาต
“นายก็มีอารมณ์ขนาดนี้แล้ว ให้ตายเถอะเจมี...ได้โปรด” เป็นคริสบ้างแล้วที่ขอร้อง

เจเรมีรู้ว่าแก่นกายของตัวเองพร้อมจะปลดปล่อยอีกรอบแค่ไหน ร่างกายก็พร้อมจะยอมรับคริสเข้ามาเต็มแก่ด้วย แต่ถ้าเขาพลาดพลั้งไปตอนนี้มันเท่ากับว่าชีวิตของเขาจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว และเขาจะไม่ยอมให้มันเป็นอย่างนั้น

เรื่องอะไรที่จะต้องอยู่ใต้การควบคุมและเป็นเบี้ยล่างทางเพศให้พวกอัลฟ่าด้วย!

“ถอยออกไปซะ” เจเรมีเปล่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้กระเส่ามากนัก มีความหนักแน่นมากกว่า มือกระชับชะแลงเหล็กมากกว่าเดิม

ถ้าหากคริสยังดึงดันล่ะก็ จะไม่มีการเตือนอะไรอีก คนตรงหน้าเขาได้กลายเป็นศพ หมดสิทธิ์เป็นผู้ชนะในเกมนี้อย่างแน่นอน
คริสฟังแล้วก็กัดริมฝีปาก ใจอยากจะใช้ความกักขฬะข่มเหงเจเรมีเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่สุดท้ายก็ยอมที่จะขยับสะโพกถอยออกห่าง เลื่อนใบหน้าลงไปซุกที่ซอกคอ พร่ำบอกเสียงพร่า

“ขอโทษ” จากนั้นก็จูบเข้าที่ลำคอแกร่งเบาๆ “ฉันจะไม่เร่งรัดนายก็แล้วกัน”

ยอมเชื่อฟัง แต่ไม่ได้ถอดใจ จากนั้นก็ผละออกไปสวมเสื้อผ้า คว้าอาวุธแล้วออกไปยืนสงบสติอารมณ์นอกถ้ำ ปล่อยให้เจเรมีพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงด้วยความโล่งใจที่รอดจากวิกฤตการณ์เมื่อครู่มาได้ ขณะเดียวกันก็โมโหขึ้นมาจนตัวสั่นเทิ้ม

แผนการหาทางรอดไปทั้งคู่ที่วางไว้ด้วยกันในตอนแรกเปลี่ยนไปในเสี้ยววินาที เจเรมีไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งอัลฟ่าเพื่อเอาตัวรอด โอเมก้าอย่างเขายังมีหนทางที่จะชนะอยู่อีกวิธี

ฆ่าให้หมดเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะ...

เปลี่ยนใจแล้ว จากเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ตอนนี้คริสกลายเป็นศัตรูเป็นที่เรียบร้อย

สบโอกาสเมื่อไหร่ พ่อจะฟาดให้เละยิ่งกว่าอาหารหมาเลย ไอ้ทุเรศคริส!
--------------------------------
ใครรอให้เขาได้กันอยู่ บอกได้เลย...ว้าย นก! #โดนตบ 555
ใจเย็นๆ ค่ะซิส เดี๋ยวเขาก็ได้กัน รอก๊อนนน XD

ตอนแรกตั้งใจว่าจะอัพตั้งแต่เมื่อคืนแต่ดันเผลอหลับค่ะ โต้รุ่งมาหลายวันจัด ร่างกายชักไม่ไหว
ตอนนี้ขุ่นคริสเริ่มเผยธาตุแท้น้อยๆ ทีมขุ่นคริสจะเปลี่ยนข้างมาทีมเจมีกันมั้ย ฮา
ฝากฟีดแบ็กให้ด้วยนะคะ เดี๋ยวเย็นนี้จะมาอัพตัวอย่างตอนต่อไปให้ค่ะ ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Kei

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-1
ลุ้นมากกกกกกกกกกกกกกกกกก :katai2-1:

ออฟไลน์ Kamidere

  • บรรยายมันออกมา ทุกสิ่งที่อยู่ในใจ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
ทำไมเจเรมี่น่ารำคาญ หยุดฟังคนอื่นเค้าซะบ้างเถอะแล้วก็คิดเยอะๆหน่อย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2017 13:44:00 โดย Kamidere »

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
เราเข้าใจเจเรมี่นะ เจเรมี่ที่มีความคิดตรงไปตรงมา พอเจอแบบนี้เลยรับไม่ได้ ยิ่งคิดว่า คริสเป็นพวกเดียวกันแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกโดนหักหลังเข้าไปใหญ่ แต่เจเรมี่ก็ลืมคิดไปว่า ทุกๆ คนเขาล้วนแต่มีความเห็นแก่ตัว รักตัว กลัวตายทั้งนั้น ยิ่งคริสและเจเรมี่ไม่ได้เป็นอะไรกันการที่คริสจะต้องมาทุ่มตัวแบบ 100% ยิ่งเป็นเรื่องที่เจมี่ไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธคริสเลยหากคริสจะไม่ทุ่มตัวกับเจมี่ แต่คนอ่านแบบเราๆ ก็หวังกันทั้งนั้นว่า เค้าจะดองกันไวๆ 555+ จะได้มีโมเม้นละมุนกับคนอื่นเขาบ้าง +เป็ด ค่ะ

ออฟไลน์ shiroinu

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :a5: :z6: ยังจะเล่นตัวอีก!!! เอ้ยยยย ไม่ใช่5555  คริสอุส่าจะช่วย ทำไมถึงต้องหัวรั้นล่ะจ้ะ เจเรมี่ :hao3: บางทีก็อย่าลืมสิคริสเขาช่วยมาตั้งกี่ครั้งแล้ว ทำไมไม่เห็นคริสบ้างงงง  :katai1: นังนี่มันจะดื้อไปแล้วนะ เด้ววั่งให้พี่คริสเล่นบทจำเลยรักเลย :oo1:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
รู้สึกมาตลอดตั้งแต่พี่คริสปรากฏตัวครั้งแรกว่า เขาใจดีกับเจมี่

และทุก ๆ ครั้งที่ปฏิสัมพันธ์กับเจมี่ก็ใจดีเสมอ แม้ว่าบางทีจะมาจากการได้ประโยชน์ด้วยก็ตามที

ครั้งนี้ก็เหมือนกัน หากจะหักหาญน้ำใจก็ย่อมได้ เพราะสภาพร่างกายเจมี่ไม่พร้อมต่อกรอยู่แล้ว

และขอปรบมือรัว ๆ ให้กับนักเขียนที่ไม่ทำให้การขืนใจเป็นเรื่องเล็กน้อย

แม้จะแค่การสัมผัสภายนอก แม้ร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการกระตุ้น แต่ถ้าจิตใจไม่ยินยอม การฝืนใจก็คือข่มขืนอยู่ดี

#ทีมคริส

นะ...จะได้เมียแซ่บต้องอดทนนกไปก่อนนะพี่คริส

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
ถึงกับหวีดออกมา โอ๊ยยยย
ชีวิตนายสองคนนี่คน...เฮ้ออออ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
นกตัวใหญ่มากค่ะคุณคริส  :hao5:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เกิดเป็นคริสยี่ลำบากจริงๆ จะมีสักครั้งไหมที่คริสจะได้จิ้มเจมี่เนี่ย ถถถถถถ น้องเจมีก็เชื่อฟังพี่เค้าบ้างสิ ร่วมมือร่วมใจกันไง อิอิ  :m4:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 14: การกลับมาของจอมวายร้าย

ทันทีที่ลุกขึ้นได้ในเช้าวันใหม่ เจเรมีก็ไม่รอช้าที่จะประเคนหมัดใส่ซีกหน้าของคริสเต็มแรงเป็นการเอาคืนที่เมื่อวานล่วงล้ำร่างกายเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต

หากคริสจะสวนคืนก็ย่อมได้ แต่เขากลับยืนรับหมัดหนักๆ นั่นจากชายหนุ่มผมบลอนด์ด้วยคิดไตร่ตรองมาทั้งคืนแล้วว่าการกระทำของเขามันผิดจริง จะรักตัวกลัวตายแค่ไหน หรือจะอ้างว่ามันเป็นสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดตามธรรมชาติของมนุษย์อย่างไรมันก็ฟังไม่ขึ้น

ฟังไม่ขึ้นสำหรับคนที่เกือบจะเป็นอาชญากรคดีข่มขืน...

ถามว่ารู้สึกผิดไหม แน่นอนว่าคริสต้องรู้สึกผิดและละอายแก่ใจที่คิดอะไรตื้นๆ ทำอะไรลงไปโดยไม่ถามความสมัครใจของเจเรมีก่อน แต่เขาก็ยังยืนยันความคิดของตัวเองอย่างแน่วแน่ว่าถ้าอยากจะรอดออกไปจากนรกแห่งนี้ด้วยกัน เขากับเจเรมีจะต้องเป็นของกันและกัน มันไม่มีทางเลือก ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนเจเรมีไม่ได้อยากจะรอดชีวิตไปพร้อมกับเขาแล้ว น่าจะตัดสินใจฆ่าทุกคนแล้วเอาตัวรอดไปคนเดียวมากกว่าเพราะหลังจากปล่อยหมัดกระแทกใบหน้าหล่อเหลาของคู่แห่งโชคชะตาได้หมัดหนึ่ง ชะแลงในมือก็เตรียมพร้อมจะทุบกะโหลกของคริสให้แหลกเหลวในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ทำให้คริสต้องรีบหนีเอาตัวรอดมาก่อน

ไม่... ไม่เรียกว่าหนีเอาตัวรอด ต้องบอกว่าหนีไปตั้งหลัก

ในภาวะที่เจเรมีมีอารมณ์เดือดดาลและบ้าคลั่งราวกับพายุอย่างนี้ เขาไม่ควรไปต่อกรด้วย นั่นดูจะเป็นวิธีที่ฉลาดกว่าการพยายามอธิบายหรือต่อสู้ด้วยเป็นไหนๆ

คริสที่ว่าเก่งกาจเรื่องการต่อสู้แล้ว เรื่องหนีก็เก่งกาจไม่แพ้กัน ทำเอาเจเรมีที่จ้องจะฆ่าอีกฝ่ายเป็นคนแรกเพื่อเปิดประเดิมเกมชีวิตถึงกับสบถหยาบคายลั่นเกาะด้วยแค้นใจที่วิ่งตามอีกฝ่ายมาไม่ทัน

ความจริงก็ไม่ใช่ว่าไม่ทัน วิ่งตามมาติดๆ เพียงแต่เผลอแวบเดียว คริสก็หายไปจากสายตาแล้ว

วิ่งไวฉิบ!

โอเมก้าหนุ่มรำพันในใจ

คริส ฟ็อกซ์...หัวไว มือไว เท้าก็ไว ผู้ชายคนนั้นเอาตัวรอดเป็นยอดดีจริงๆ

ตามคริสไม่ทัน มันไม่ใช่ปัญหา มีแค่ปัญหาทางอารมณ์เล็กน้อยที่ทำให้เจเรมีหัวเสียเพราะจัดการกับคนที่หยามศักดิ์ศรีเขาไม่ได้ ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือถ้ำที่เขาอยู่กับคริสมันอยู่ไม่ได้แล้ว

ไม่ใช่ว่าเป็นที่พักพิงที่ไม่ดี มันดี แต่ไม่ปลอดภัย คริสอาจจะกลับมาเล่นงานเขาเมื่อไหร่ก็ได้หากยังอยู่ที่นั่น เจเรมีจึงตัดสินใจที่จะหาที่ซุกหัวนอนใหม่ แต่ก่อนที่จะหาที่นอน เขาต้องหาอะไรมายาไส้ก่อน กว่าสองวันแล้วที่ไม่มีอาหารตกถึงท้อง มีเพียงน้ำจากเถาวัลย์น้ำในถ้ำหล่อเลี้ยงร่างกายเท่านั้น ฉะนั้นไม่ต้องบอกเลยว่าตอนนี้เขาอ่อนแรงขนาดไหน

ร่างใหญ่เดินเลาะไปตามข้างทางที่รกชัฏอย่างระแวดระวัง เลี่ยงที่จะเดินบนถนนสายหลักด้วยไม่ต้องการตกเป็นเป้าหมายของพวกอัลฟ่า จุดหมายปลายทางคืออาคารที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล

อาคารพวกนี้มีอยู่หลายอาคารและกระจัดกระจายทั่วทั้งเกาะ คาดว่าน่าจะเป็นอาคารเอาไว้คุมขังนักโทษรอประหารหรือเป็นที่สำหรับทรมานนักโทษ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าภายในนั้นมีอาหารหรือไม่

เจเรมีเดาว่าน่าจะมี แต่มันก็เสี่ยงน่าดูที่จะเข้าไปข้างใน เดาว่าคนอื่นๆ ก็น่าจะแฝงตัวอยู่ตามอาคารพวกนี้เพื่อหาอาหารมาประทังชีวิตเหมือนกัน

ทว่าก็ต้องเสี่ยง เขาไม่ยอมตายเพราะอดอาหารหรอก!

เจเรมีเข้ามาในอาคารได้อย่างราบรื่น เขาสอดส่ายสายตากวาดมองไปรอบๆ เพื่อหาความผิดปกติ มันเป็นอาคารสำหรับคุมขังนักโทษประหารอย่างที่เขาคิดในตอนแรกด้วยเห็นว่าบริเวณด้านในสุดมีการกั้นลูกกรงอย่างแน่นหนาซึ่งเหมือนจะเป็นทางผ่านเข้าไปยังห้องขัง แต่เขาไม่พาตัวเองไปยังบริเวณนั้น เดินสำรวจชั้นล่างเพื่อหาว่าแหล่งอาหารอยู่ที่ไหน

ที่แรกที่เขาจะไปคือห้องครัว... ก่อนจะมาพบกับห้องพักเจ้าหน้าที่ที่แบ่งออกเป็นส่วนสำหรับทำงานเอกสารและส่วนสำหรับพักผ่อน

จะเรียกว่าห้องอะไรก็เอาเถอะ แต่เขาเรียกมันว่าห้องครัวด้วยเห็นว่าภายในนั้นมีเคาน์เตอร์สำหรับทำอาหารอย่างง่ายตั้งอยู่
ขาทั้งสองก้าวไปยังเคาน์เตอร์ชั้น เปิดประตูตู้และชั้นทั้งหมดที่มีก่อนจะขนเอาอาหารกระป๋องออกมาตั้งไว้บนพื้นและทรุดตัวนั่งลงจัดการกับของกินเหล่านั้นอย่างหิวโหย

สภาพกระป๋องยังใหม่ แต่หมดอายุแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทว่าเจเรมีก็ไม่มีเวลามาคิดอะไรเรื่องนั้นแล้ว ตอนนี้เขาต้องกินเพื่อให้มีชีวิตรอด อย่างน้อยก็จนกว่าจะฆ่าผู้ชายที่ชื่อคริสได้

กินจนเกือบจะอิ่ม ร่างกายก็พลันมีเรี่ยวแรงขึ้นมา แม้จะเป็นอาหารกระป๋องรสชาติไม่ได้เรื่อง แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ท้องกิ่วไร้เรี่ยวแรงจนไม่อาจไปต่อกรกับใครได้เพราะตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป เขาจะต้องสู้ด้วยตัวเองแล้ว

พอคิดว่าต้องสู้ด้วยตัวเอง ความรู้สึกประหลาดก็พร่างพรายขึ้นมาในใจ มันปวดหน่วงทุกครั้งที่นึกถึงภาพใบหน้าของผู้ชายที่เข้าร่วมเกมนี้พร้อมกับเขาด้วยเหตุผลว่าจะไม่ทิ้งให้เขาต้องเผชิญหน้ากับความเลวร้ายเพียงลำพัง คำสัญญาที่อีกฝ่ายเคยบอกว่าจะรอดชีวิตออกจากที่นี่ไปด้วยกัน มันทำให้เจเรมีต้องกระแทกกระป๋องถั่วที่อยู่ในมือลงบนพื้นเต็มแรง

ไอ้เวรคริส...

ไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดอย่างนี้มาก่อน เขาเจ็บใจไม่น้อยที่ถูกหักหลัง มากกว่านั้นคือโกรธตัวเองที่ไปไว้ใจคนกลับกลอกอย่างคริสได้
กว่าจะเชื่อใจได้ก็ใช้เวลาไปเสียนาน แต่แค่ไม่กี่นาที คริสก็ทำลายทุกความเชื่อใจของเขาลงหมดเสียอย่างนั้น

ที่เข้ามาร่วมเกม ที่ทำดีกับเขา ก็เพราะผลประโยชน์ของตัวเองล่ะสินะ!

เจเรมีตระหนักได้ในตอนนี้ เขาอดก่นด่าตัวเองไม่ได้เลยว่าโง่เง่าที่ไปเชื่อคริส หากแต่ก็ต้องละความคิดนั้นทิ้งไปเมื่อหูทั้งสองข้างได้ยินเสียงกรีดร้องของใครบางคนดังมาให้ได้ยิน

“อย่า! ขอร้อง... อย่าทำผม! อย่า!”
จับใจความได้ว่าอย่างนั้น

เจเรมีเดาเอาว่าคงจะเป็นเสียงของโอเมก้าสักคนที่วิงวอนต่ออัลฟ่าที่พยายามจะครอบครองตัวเอง ก่อนที่เขาจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน คว้ากระป๋องถั่วขึ้นมาตั้งท่าจะกินต่อ แต่แล้วก็ต้องชะงักไปอีกระลอก

“ขอร้องเถอะครับ อย่าทำผม!”
“หุบปาก!”

แล้วก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังมาอีกระลอกใหญ่ ตามมาด้วยเสียงร้องไห้ระคนวิงวอนของผู้ชายอีกคน

ดูท่าจะต่อสู้กัน...หรือไม่อย่างนั้นโอเมก้าก็กำลังถูกอัลฟ่าทำร้ายร่างกายอยู่

เจเรมีหมดอารมณ์จะกินต่อแล้ว เขาอยากจะลุกขึ้นไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยั้งตัวเองไว้ด้วยคิดได้ว่าเขาไม่ควรไปยุ่งเรื่องของคนอื่น ทว่าเสียงกรีดร้องขอชีวิตยังคงดังมาให้ได้ยินเรื่อยๆ จนเจเรมีชักจะทนไม่ไหว ปกติเขาก็ไม่เห็นด้วยกับการกดขี่ข่มเหงโอเมก้าอยู่แล้ว และมักทนดูไม่ได้เวลาเห็นโอเมก้าถูกกลั่นแกล้ง ซึ่งพอมาเจอสถานการณ์อย่างนี้มันจึงเป็นการยากเลยทีเดียวที่เขาจะอยู่เฉยๆ พลันสบถหยาบคายด้วยรำคาญใจเต็มประดา

ไอ้พวกอัลฟ่าพวกนี้แหกนรกมาเกิดกันหรือไง!

กะจะกินอาหารให้เปรมแล้วพักผ่อนเอาแรงสักงีบแท้ๆ ดันต้องมาเจอเรื่องวุ่นวายให้เขาอยู่ไม่สุขจนได้ ก่อนที่เขาจะคว้าชะแลงเหล็กมาถือในมือมั่น ดันตัวลุกขึ้นยืนและก้าวออกจากห้องครัวอย่างระมัดระวัง

เสียงร้องนั้นอยู่ใกล้เพียงเอื้อม แค่เดินออกมายังโถงทางเดินก็ได้ยินเสียงเต็มสองหู ยิ่งเดินไปข้างหน้า ยิ่งได้ยินเสียงชัดเจนขึ้นทีละน้อย

มันเป็นเสียงของเด็กหนุ่ม... เขาค่อนข้างคุ้นหูอยู่ทีเดียว เอะใจขึ้นมาว่าอาจจะเป็นเสียงของโอเมก้าที่เขารู้จัก
“ขอร้อง...ฮือ...อย่าทำผม...อย่า...”

เสียงนั้นยังคงลอยมาให้ได้ยินเป็นระยะ มันคุ้นหูเสียจนเขาอดคิดถึงใบหน้าของใครบางคนขึ้นมาไม่ได้

ลูก้า... โอเมก้าคนนั้น

อาจจะเป็นเสียงของหมอนั่นก็ได้

พอคิดว่าเป็นลูกก้า เจเรมีก็เพิ่มความเร็วในการก้าวเท้ามากขึ้น ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ ตั้งหลักเล็กน้อยก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปมอง พลันเห็นว่าในนั้นมีอัลฟ่าคนหนึ่งกำลังคร่อมร่างของใครบางคนในสภาพเกือบเปลือย ดูท่าทางก็รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามจะขืนใจใครบางคนอยู่ และใครคนนั้นมีรูปร่างคุ้นตา หน้าตาก็คุ้นเคย พอเพ่งมองดีๆ ถึงเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน

ลูก้าจริงๆ ด้วย!

เขาต้องช่วยเด็กนั่น!

สัญชาตญาณบอกให้เขาทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่ขาทั้งสองข้างจะรีบก้าวเข้าไปหาอัลฟ่าคนนั้นด้วยความเร็วแสง และตวัดชะแลงเหล็กในมือฟาดเข้าที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายเต็มแรงจนลงไปนอนคุดคู้อยู่บนพื้นโดยไม่ทันได้คิดอะไรมากมาย

แรงกระแทกที่ปะทะเข้ามาเต็มแรงทำให้อัลฟ่าคนนั้นกลิ้งลงไปนอนคุดคู้กับพื้น เจเรมีสบถเล็กน้อยด้วยเขาพลาดเป้าไปหน่อย ตอนแรกเล็งที่ศีรษะแต่อีกฝ่ายไหวตัวทัน ทว่าถูกฟาดเข้าที่หลังเต็มแรงขนาดนั้นก็คงจะสร้างความเจ็บปวดได้ไม่น้อยทีเดียว

“ทำเวรอะไรของแกวะ!”

ตั้งหลักได้ อัลฟ่าคนนั้นก็แผดเสียงใส่เจเรมี ขณะที่เจเรมีพยักหน้าเรียกให้ลูก้าในสภาพท่อนล่างเปล่าเปลือยรีบลุกขึ้นแล้วมาหลบทางด้านหลังเขา ก่อนจะแสยะยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างถือดี

“ดูเหมือนแกจะติดสัดนะ” ตามด้วยการดูถูกอย่างไม่เกรงกลัวทั้งที่พออีกฝ่ายลุกขึ้นยืนแล้วก็เห็นว่าตัวใหญ่กว่าตัวเองอยู่มากโข
สูงใหญ่กว่าคริสเสียอีก แต่เจเรมีก็ไม่ได้ลดความก้าวร้าวลงเลยแม้แต่น้อย

ในสถานการณ์อย่างนี้นั้น คนที่ใจเด็ดที่สุดคือผู้อยู่รอด...

อีกฝ่ายย่นหน้าอย่างไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะการครอบครองโอเมก้า และเหมือนเขาจะนึกขึ้นได้ด้วยว่าคนที่เข้ามาขวางทางเขาก็เป็นโอเมก้าเหมือนกัน

โอเมก้าชั้นต่ำที่ยกตัวเองขึ้นมาเทียบเคียงชนชั้นอัลฟ่า!

จำได้ดีเช่นเดียวกันว่านอกจากจะเป็นโอเมก้าไม่รู้ที่ต่ำที่สูงแล้ว เจเรมียังเป็นตัวร้ายที่ถูกเตือนไว้ว่าต้องระวังเป็นพิเศษอีก การที่มาเจอกันโดยไม่ได้ตั้งใจอย่างนี้ มันทำให้เลือดของเขาสูบฉีดไม่น้อย

ตื่นเต้น.... ไม่ใช่หรอก พรั่นพรึงต่างหาก เขาคุยกับอัลฟ่าคนอื่นๆ ก่อนหน้าแล้วว่าถ้าหากเจอตัวจะต้องรีบกำจัด

เจเรมีไม่ใช่โอเมก้าที่ควรจะเก็บเอาไว้ นอกจากจะร้ายกาจจนหาใครเปรียบแล้ว ยังเป็นเหยื่อชั้นเลวที่ล่าก็ยาก ครอบครองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ซ้ำยังเป็นตัวอันตราย เรียกได้ว่าหากมีโอกาสก็ต้องรีบฆ่าทิ้งก่อนที่จะเป็นฝ่ายถูกฆ่า

และเพราะมาเจอกันโดยบังเอิญอย่างนี้ มันก็ไม่มีทางเลือก จากที่ตั้งใจว่าจะจับโอเมก้าร่างเล็กนั่นมาเป็นของตัวเอง กลายเป็นว่าต้องสวมบทคนกำจัดขยะเสียก่อน พลันเปล่งเสียงออกมาเมื่อเห็นว่าเจเรมียังบริภาษตนไม่หยุด

“แกกับไอ้จ้อนของแกดูทุเรศชะมัดเลยว่ะ” ว่าพลางปรายตามองช่วงล่างของอีกฝ่ายที่อ่อนตัวลงแล้วพลางยกชะแลงเหล็กขึ้นพาดบ่าด้วยท่าทางหาเรื่อง

“แกมันรนหาที่ตายแท้ๆ”
“ฉันว่าแกต่างหากมั้งที่รนหาที่ตาย แย่หน่อยนะที่ดันมาเจอฉันเอาซะได้”
อีกฝ่ายได้ฟังก็แค่นหัวเราะ ก้มไปหยิบขวานที่อยู่บนพื้นมากระชับถือในมือ
“คนที่แย่น่ะ แกต่างหาก”

แย่จริงด้วย เพิ่งเห็นเอาตอนนี้ว่าอาวุธของอีกฝ่ายมีอานุภาพร้ายแรงกว่าชะแลงเหล็กอยู่โข หากแต่เจเรมีก็ไม่แสดงท่าทีหวาดเกรงอะไรออกมา ใช้มือข้างหนึ่งไปดันให้คนข้างหลังหลบไปไกลๆ พลันพยักหน้าร้องท้า

“แล้วจะรู้ว่าใครมันถูกนรกเรียกตัว!”
พุ่งเข้าไปแล้ว... เป็นฝ่ายเปิดการจู่โจมอย่างรวดเร็ว ชะแลงเหล็กถูกยกขึ้นฟาดเข้าใส่คนตรงหน้าในขณะที่คู่ต่อสู้ใช้ด้ามขวานตั้งรับและออกแรงผลักให้เจเรมีถอยห่าง ก่อนจะฟาดขวานเข้าใส่ให้โอเมก้าหนุ่มเป็นฝ่ายตั้งรับบ้าง

พละกำลังและทักษะการต่อสู้ทำให้เจเรมีรู้เลยว่าคนตรงหน้าก็เก่งเรื่องการต่อสู้เหมือนกัน ประเมินจากรูปร่างหน้าตาที่ดูจะแก่กว่าเขาเกือบสิบปีก็เดาเอาว่าคนตรงหน้าคงจะทำงานอยู่ในองค์กรของพวกทหาร ไม่แปลกใจนักหรอกหากจะตอบโต้เขาซึ่งเป็นเพียงนักศึกษาจากสถาบันพัฒนาอัลฟ่าฯ ได้อย่างคล่องแคล่วขนาดนี้

แต่ก็ใช่ว่าเจเรมีจะเสียเปรียบ คล่องแคล่วแต่ก็ตัวใหญ่กว่าทำให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้ากว่าที่ควรจะเป็น เจเรมีจึงใช้ความได้เปรียบนี้ในการหลบหลีกขวานที่ถูกฟาดตัดอากาศมา ก่อนพลิกตัว เหวี่ยงชะแลงเหล็กออกไปบ้าง

ชะแลงเหล็กปะทะเข้าที่ซีกแก้มของคู่ต่อสู้อย่างแรง ความเจ็บปวดส่งผลให้ร่างใหญ่ทรุดล้มลงไปอย่างมึนงง เลือดจำนวนมากไหลปริออกมาจากผิวเนื้อที่แยกออกและในปากปลุกให้ความเป็นสัตว์ป่าของเจเรมีตื่นขึ้น

เขากลับมาแล้ว...

จอมวายร้ายคนนี้กลับมาแล้ว!

“สภาพแกตอนนี้มันทุเรศพอๆ กับตอนที่กำลังติดสัดเลยว่ะ” เจเรมียกยิ้มน่ากลัว มองคนตรงหน้าพยายามจะดันตัวลุกขึ้นมา หากแต่เขาไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำอย่างนั้นได้ ตรงเข้าไปยกขาถีบเสียกระเด็นแล้วว่าเย้ยขึ้นอีก “คนอย่างแกมันสมควรไปติดสัดในนรก ไอ้สารเลว!”

จากนั้นก็ฟาดชะแลงลงไปอีกครั้ง

อีกฝ่ายพลิกตัวหลบทัน เจเรมีรุดเข้าไปหมายจะฟาดอีกครั้ง หากแต่คู่ต่อสู้คว้าขวานเหวี่ยงกลับคืน คมขวานโดนที่ท่อนแขนที่จับอาวุธของชายหนุ่มผมบลอนด์ถากๆ สร้างบาดแผลเป็นทางยาว ของเหลวสีแดงสดไหลหยดลงพื้น มือของเจเรมีสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดจนต้องเปลี่ยนข้างในการถืออาวุธแทน

“ไง ถึงกับถือไม่ไหวเลยเหรอ” อีกฝ่ายเยาะเย้ยทันทีที่เห็นภาพนั้น
แผลนั่นถึงจะไม่ร้ายแรงมากแต่ก็ลึกพอสมควร ทว่าเจเรมีไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ ออกมา เหยียดยิ้มกลับ
“เก็บปากแกไว้ไปพ่นในนรกเถอะไอ้โสโครก!”

จากนั้นทั้งคู่ก็พุ่งเข้าหากันอีกครั้ง การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดจนลูก้าที่หลบมุมอยู่สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง กระนั้นก็ยังมีสติมากพอที่จะพาตัวเองไปหยิบอาวุธประจำกายที่ตกอยู่บนพื้นมาถือไว้ในมือมั่น แน่นอนว่าจุดประสงค์ของการหยิบอาวุธนั้นขึ้นมาก็เพื่อช่วยเจเรมี หากแต่คนที่กำลังตกอยู่ในภาวะหวาดกลัวสุดขีดอย่างเขาไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองให้อยู่นิ่งได้เลย ปืนที่จ่อออกไปยังชายทั้งสองคนตรงหน้าไม่สามารถเล็งเป้าได้ว่าเขาจะยิงไปถูกชายคนไหน

กระทั่งเจเรมีตกเป็นฝ่ายเสียบเปรียบเมื่อเขาทำให้คู่ต่อสู้ทำขวานหลุดมือแล้วกลายเป็นว่าเขาเองที่เป็นฝ่ายถูกแย่งอาวุธไป จนสุดท้ายก็ต้องปลุกปล้ำกันเพื่อแย่งชะแลงเหล็กและตกอยู่ในสภาพที่อีกฝ่ายใช้ชะแลงนั่นรัดคอเขาจากข้างหลัง

เวรเอ๊ย! เป็นแบบนี้ไปได้ยังไงวะ!

เจเรมีสบถกร้าวในใจ เขาประเมินศักยภาพของตัวเองผิดไป ในสถาบันฯ เขาอาจจะเก่งกว่าเพื่อนร่วมชั้นปีหลายๆ คน แต่ในโลกของความเป็นจริง ยังมีคนที่ฝีมือดีกว่าเขาอยู่เยอะ โดยเฉพาะในนรกแห่งนี้ที่อัลฟ่าแต่ละคนมีความไม่ธรรมดา ตอนนี้ถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าเกมนี้มันอันตรายถึงชีวิตแค่ไหน

“ตายซะไอ้โอเมก้าเหลือขอ”
เสียงของคู่ต่อสู้ดังมาให้ได้ยิน หากแต่เจเรมีไม่ยอมง่ายๆ ยังคงสู้สุดแรง สายตาเห็นลูก้ายืนเอาปืนเล็งมาทางเขากับผู้ชายทางด้านหลังอยู่ก็รีบร้องบอก
“ยะ...ยืนมองบ้าอะไรอยู่ ยิงมันสิโว้ย!”

ลูก้าถึงได้สติในตอนนี้ว่าเขาควรจะทำอะไรสักอย่าง พยายามควบคุมสติให้มั่นเมื่อได้ยินเจเรมีร้องบอก ทว่ามือก็ยังสั่น ซ้ำปากยังสั่นไม่หยุดและก็ต้องสะดุ้งสุดตัวอีกครั้งเมื่อเจเรมีตะโกนสุดเสียง

“ยิงมันได้แล้ว! ยิง!”
ตอนนี้แหละ ลูก้าถึงได้ยกปืนขึ้นมาจ่อไปที่ร่างใหญ่ทางด้านหลังเจเรมี มือที่ประคองปืนสั่นไหวไปมาหนักกว่าเดิมเสียอีก

ว่ากันตามตรง เจเรมีไม่ไว้ใจเลยว่าลูก้าจะไม่ยิงพลาด ถ้าอีกฝ่ายยิงพลาดมันหมายถึงชีวิตเขาเลยทีเดียว แต่อย่างน้อยเขาก็ยอมตายเพราะถูกลูกหลงมากกว่าถูกฆ่าด้วยน้ำมือของอัลฟ่า จึงร้องกระตุ้นบอกอีกครั้ง

“ยิง! ฉันบอกให้ยิง! แค่ก!”
ยิ่งตะโกนบอก ลำคอก็ถูกชะแลงเหล็กกดลงมามากกว่าเดิมด้วยอีกฝ่ายต้องเร่งฆ่าเจเรมีในระยะเวลาอันสั้นเพื่อที่จะไปจัดการกับลูก้าทีหลังก่อนจะถูกยิง

ใบหน้าคร้ามเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเริ่มซีดขาวเพราะหายใจไม่ออก ขณะที่ลูก้ายังคงไม่สามารถเล็งเป้าได้ ยิ่งพยายามควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นไหวเท่าไหร่ แข้งขาก็ยิ่งอ่อนแรงจนแทบจะทรุดลงไปนั่งกับพื้นมากเท่านั้น

ท่าทางของลูก้าทำให้ฝ่ายที่ได้เปรียบได้ใจ หัวเราะออกมาด้วยความสมเพชที่เจเรมีทำอะไรตนไม่ได้
“เป็นแค่โอเมก้าแท้ๆ มาทำเก่ง จุดจบมันก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ!” แล้วก็ออกแรงมากกว่าเดิม กะฆ่าเจเรมีให้ตายในวินาทีนี้
ร่างกายที่เริ่มขาดออกซิเจนทำให้เจเรมีเริ่มหน้ามืด เขารู้สึกว่าตัวเองจะหมดสติในอีกไม่ช้า ภาพลูก้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าเลือนรางมากขึ้นทุกที

ไม่น่าเลย... เขาไม่น่ายื่นมือเข้ามายุ่มย่ามกับเรื่องของคนอื่นเลย คริสเคยเตือนเอาไว้แล้วแท้ๆ ว่าอย่าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเอง

จู่ๆ ก็ฉุกคิดถึงคำเตือนนี้ขึ้นมา ใบหน้าของคริสก็โผล่ขึ้นมาในห้วงสุดท้ายของชีวิต ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่เขาคิดถึงก่อนตายจะเป็นผู้ชายทุเรศคนนั้น

อยากเจออีกสักครั้ง...

ความคิดทุเรศๆ ก็พร่างพรายเข้ามาเช่นกัน ซ้ำในใจก็หวังด้วยว่าคริสจะโผล่มาช่วยเขาในเวลานี้ ทว่าก่อนที่สติจะดับ หูทั้งสองข้างก็ได้ยินเสียงดังกัมปนาทไม่ไกลจากตัวนัก ก่อนที่แรงรัดที่ลำคอจะถูกคลายออกพร้อมกับร่างใหญ่ทางด้านหลังจะหงายท้องตึงไป

ลูกกระสุนเจาะเข้าที่หน้าผากอย่างพอดิบพอดี...

เจเรมีหลุดเป็นอิสระก็หายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ พลันไอโขลกออกมาจนหน้าดำหน้าแดง ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าจะหายเกือบเป็นปกติ วินาทีนั้นถึงได้รู้ว่าคนที่ช่วยเขาไม่ใช่คริสอย่างที่หวัง หากแต่เป็นลูก้าที่ยืนตัวสั่น ถือปืนเล็งไปข้างหน้าด้วยท่าทางหวาดกลัว

คนที่ช่วยเขาคือลูก้า...

ทั้งโล่งใจและเสียดายในคราวเดียวกันที่ไม่ใช่คริส ก่อนจะสบถด่าตัวเองในใจเล็กน้อยที่ไปคิดถึงไอ้เวรนั่นขึ้นมาได้ พลันเอื้อมมือไปคว้าเอาชะแลงเหล็กที่ตกอยู่ใกล้ๆ ดันตัวลุกขึ้นยืน แล้วเดินตุปัดตุเป๋ไปหาเด็กหนุ่มคนนั้น

“ลูก้า...” เอ่ยเรียกชื่อเสียงเบา
ลูก้าเบือนใบหน้าอาบน้ำตามามอง ริมฝีปากแห้งผากสั่นระริก อยู่ในภาวะตื่นกลัวสุดขีด

ท่าทางเหมือนสุนัขจนตรอกที่หวาดกลัวกับสิ่งที่เพิ่งเจอทำให้เจเรมีอดสงสารไม่ได้ ตวัดวงแขนดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดแนบหน้าอก พูดออกมาเสียงเรียบเพียงประโยคเดียว
“ไม่เป็นอะไรแล้ว”

เท่านั้นลูก้าก็ระเบิดน้ำตาออกมาขนานใหญ่ ปล่อยโฮร้องไห้ราวกับจะขาดใจ ทำให้เจเรมีรู้สึกแย่ขึ้นมาในทันที

ถ้าไม่เป็นเพราะเขา ลูก้าก็คงจะไม่ถูกลากลงมาในขุมนรกแห่งนี้

แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขายื่นมือเข้ามายุ่งได้อย่างไรกัน...

แม้คริสจะพูดถูกก็เถอะว่าไม่ควรยื่นมือเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของใคร แต่สำหรับกรณีนี้มันช่วยไม่ได้ เขาทำไปเพราะจิตใต้สำนึกสั่งการล้วนๆ
“ไปใส่กางเกงซะ ฉันจะไปรอข้างนอก” พอลูก้าเริ่มตั้งสติได้ เจเรมีก็ออกปาก

คนอายุน้อยกว่าพยักหน้าหงึก ผละออกไปคว้ากางเกงตัวเองที่หล่นอยู่บนพื้นมาสวมใส่ ปล่อยให้เจเรมีเดินออกไปข้างนอก ทันทีที่ออกจากห้องนั้นมาได้ เขาก็พิงหลังเข้ากับกำแพง ถอนหายใจออกมาเต็มที่เมื่อมองเห็นบาดแผลที่ท่อนแขนของตัวเอง

ถ้าคริสอยู่ด้วย เรื่องมันคงจะง่ายกว่านี้

คิดถึงผู้ชายคนนั้นขึ้นมาอีกแล้ว แต่คราวนี้ไม่ได้โมโหตัวเองสักเท่าไหร่นัก ไม่ได้โมโหคริสเช่นเดียวกันที่ทำให้เขาคิดถึง

ก็คิดถึงจริงๆ แต่ไม่ใช่อะไรในแง่บวกสักเท่าไหร่นัก และไม่ได้หมายความว่าเขายกโทษให้คริสในเรื่องที่ทำกับเขาไว้เมื่อวานแล้ว ทว่าก็อดคิดไม่ได้เลยว่าถ้าหากยอมเป็นของคริส บางทีเรื่องทุกอย่างมันจะง่ายขึ้น หรือถ้าเขาไม่ยอมเป็นของคริส เขาก็ต้องฉายเดี่ยว ไม่เอี่ยวกับใครอย่างนี้โดยเฉพาะคนที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นตัวถ่วงอย่างลูก้า

แล้วก็ต้องสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวไปเมื่อลูก้าเดินออกมา เจเรมีเหลือบมองก็เห็นเต็มสองตาเอาในตอนนี้ว่าตามใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้องมีร่องรอยฟกช้ำอยู่หลายแห่ง บ่งบอกให้รู้ว่าถูกทำร้ายมาหนักหนาพอสมควร

เป็นโอเมก้าที่อ่อนแอโดยสิ้นเชิง ถ้าไม่มีใครปกป้องก็ต้องตกเป็นสิ่งของให้อัลฟ่าได้แย่งชิงกันอย่างที่เห็นในวันนี้อีก

แล้วอย่างนี้เขาจะทอดทิ้งลูก้าได้อย่างไร?

เกลียดความใจดีลึกๆ ของตัวเองอยู่ไม่น้อย อุตส่าห์สะกดจิตตัวเองแล้วว่าให้เลิกสนใจเด็กหนุ่มคนนี้ กะจะรีบบอกให้แยกย้ายกันไปก่อนที่เรื่องมันจะยุ่งยากแล้วแท้ๆ ทว่าก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่ายพูดขึ้นมา

“ขะ...ขอบคุณครับที่ช่วยผม” จากนั้นน้ำตาก็เริ่มไหลจนอีกฝ่ายต้องยกมือขึ้นเช็ด
คราวนี้เจเรมีถึงได้เห็นว่านอกจากใบหน้า ที่ท่อนแขนก็มีรอยฟกช้ำเช่นเดียวกัน

ถูกทำร้ายหนักขนาดไหนกันแน่?

เป็นคำถามที่เจเรมีไม่ได้ต้องการคำตอบสักเท่าไหร่นัก รู้เพียงอย่างเดียวว่าเขาไม่อาจจะทิ้งเด็กหนุ่มคนนี้ไว้เพียงลำพังได้ ถึงจะรู้แก่ใจว่าสุดท้ายแล้ว ผู้ชนะจะต้องมีแค่โอเมก้าคนเดียวก็เถอะ แต่เขาก็เลือกตัดสินใจอย่างนั้น

คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย...อย่างน้อยก็ตอนนี้
“ตามมาสิ” ตัดสินใจแล้วก็ออกปาก
ลูก้ามองคนตัวสูงกว่าอย่างไม่เข้าใจนักขณะที่เจเรมีพูด
“ไปหาอะไรกินที่ห้องนั้นก่อน แล้วค่อยไปหาที่ซุกหัวนอนกัน”

สิ้นเสียงก็ก้าวเดินออกไป ปล่อยให้ลูก้ามองตามแผ่นหลังอยู่ครู่หนึ่งแล้วรีบก้าวยาวๆ ตามมา

จากวินาทีนี้เป็นต้นไป เจเรมีคงต้องกลับไปเป็นจอมวายร้ายอย่างเก่าเสียแล้วล่ะ...ไม่สิ ต้องร้ายให้มากกว่าเก่า ไม่อย่างนั้นเอาชีวิตไม่รอดแน่

ถึงเวลาที่จะต้องสลัดทุกคำแนะนำของคริสทิ้งแล้วสวมวิญญาณหมาบ้าแล้ว!
---------------------------------
ขุ่นคริสวิ่งหนีเมียป่าราบไปตอนนึงนะคะ พ่อบ้านใจกล้าแถมยังวิ่งไว 555
เดี๋ยวตอนหน้ากลับมาพร้อมความเผ็ชชช
อยากจะบอกว่าทุกคนอย่าเกลียดหน่องลูก้า น้องน่าสงสารนะ ฮา
เป็นตัวละครที่มีบทสำคัญในเรื่องอีกคนเลยค่ะ
ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ด้วย เดี๋ยวสักสี่ทุ่มจะมาแปะตัวอย่างตอนใหม่ให้นะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-03-2017 07:59:30 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ omelet

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-2
มาต่อเร็วมากกก ขอบคุณค่ะ
เพิ่งตามอ่านเรื่องนี้ทัน ดีงามมม

ขำ คริสหนีเมีย ฮ่าๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
แทบจะตะกุยหน้าจอตอนที่เห็นช่วงคุยกับนักเขียน

ฉันอยากคุยกับหนูแดงนะ แต่ฉันก็อยากอ่านด้วยยยยย ฮือออออ

อะไรมันจะสนุกขนาดเน้!

---------

ถึงพี่คริสจะวิ่งหนีว่าที่เมียป่าราบ แต่ฉันก็ยังว่าพี่จิตใจดีอยู่ดีนั่นแหละ #ลำเอียงขั้นสุด

เจมีคิดถึงผั---แค่ก! ๆๆๆ

เอาชีวิตรอดไปจนเจอกันนะ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-03-2017 07:58:42 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
กรี๊ดดดด ตอนหน้าแล้วใช่ไม๊
ได้กันแล้วใช่ไม๊
โอ๊ยยยย ดีใจ
พัฒนาแล้วววววววววว

ออฟไลน์ YADA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตายแล่ววว... ตอนหน้า

ออฟไลน์ aommyga40

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :-[ :-[ กรี๊ดดดดด เขาจะได้กันแล้ว รอค่ะ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
พญานกฟีนิกซ์คืนชีพแล้วววววว  :laugh:

มาดูซิว่า คราวนี้จะนกอีกไหม

ปล. มีสะดุดตอนที่แล้วหนึ่งจุด   

แต่อย่างน้อยเขาก็ยอมตายเพราะถูกลูกหลงมากกว่าถูกฆ่าด้วยน้ำมือของโอเมก้า >> น้ำมือของอัลฟ่า หรือเปล่าจ๊ะ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
พญานกฟีนิกซ์คืนชีพแล้วววววว  :laugh:

มาดูซิว่า คราวนี้จะนกอีกไหม

ปล. มีสะดุดตอนที่แล้วหนึ่งจุด   

แต่อย่างน้อยเขาก็ยอมตายเพราะถูกลูกหลงมากกว่าถูกฆ่าด้วยน้ำมือของโอเมก้า >> น้ำมือของอัลฟ่า หรือเปล่าจ๊ะ

เพิ่งสังเกตเห็น ขอบคุณค่า เดี๋ยวไปแก้ๆ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 15: ยาระงับอาการฮีทชั้นดี[1]

รู้ทั้งรู้ว่าโอเมก้าสองคนอยู่ด้วยกันไม่เป็นการดี มันเสี่ยงต่อการเป็นเป้าหมายโจมตีได้ง่าย แต่เจเรมีก็ไม่ออกปากไล่เด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางคนนั้นไป ซ้ำยังจะชวนออกไปหาที่พักผ่อนในคืนนี้ที่อื่นด้วยเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่พร้อมที่จะใช้ชีวิตอยู่คนเดียวหลังจากผ่านสถานการณ์เลวร้ายมา และการค้างคืนในอาคารที่เพิ่งจะกำจัดอัลฟ่ารายหนึ่งไปก็ไม่เป็นเรื่องดีเช่นกัน

โผล่มาคนหนึ่ง อีกเดี๋ยวต้องโผล่มาอีกเป็นพรวน ดังนั้นไปหาที่กบดานที่อื่นจะเป็นการดีกว่า

คล้ายกับว่าจะรับผิดชอบที่ทำให้ลูก้าเข้ามาพัวพันในเกมการเมืองในครั้งนี้อย่างไรอย่างนั้นที่ต้องให้ลูก้าติดสอยห้อยตามมาอย่างนี้ หากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นอกจากถามอีกฝ่ายขณะนั่งพักอยู่ที่ริมทางระหว่างเดินทางไปยังอาคารอีกหลังซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
“นายมาจากไหน”

บทสนทนาไม่พ้นเรื่องของพื้นเพปูมหลัง
ลูก้าเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อยอย่างสงสัย “ก็...ซ่องในตลาดมืดไงครับ”
“ฉันหมายถึงนายเกิดและโตจากที่ไหนต่างหาก” เจเรมีว่าเสียงแข็ง รำคาญใจนิดๆ ที่อีกฝ่ายซื่อบื้อเกินกว่าจะเข้าใจคำถามง่ายๆ ของเขาได้

ลูก้าร้องอ๋อ รีบกระวีกระวาดตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ผมเป็นเด็กที่เกิดจากโอเมก้าครับ”
“แล้วไงล่ะ” เจเรมีถามย้ำ ใช้เท้าเขี่ยใบไม้ที่อยู่บนพื้นเล่นไปด้วยแก้เบื่อ
“แม่ของผมเป็นโอเมก้าหญิงที่ถูกซื้อมาเพื่อผลิตทายาทให้กับอัลฟ่าตระกูลหนึ่ง แต่บังเอิญผมเกิดมาเป็นโอเมก้า พออายุได้สิบสองก็ถูกขายทอดตลาดมาเรื่อยๆ อย่างที่คุณเมอร์ซีเห็นน่ะครับ ส่วนตอนนี้ตระกูลที่ให้กำเนิดผมซื้อผมกลับคืนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” เป็นการเล่าปูมหลังอย่างสั้นและกระชับ

เจเรมีเหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปาก
“ครอบครัวอัลฟ่าเหรอ? ตระกูลไหนล่ะ” ถามออกไปอย่างไม่ทันได้คิดว่าอีกฝ่ายอยากจะตอบหรือไม่

ลูก้าถึงกับอึกอักที่ถูกถามอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้เลย มันเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีสักเท่าไหร่นักยามพูดถึงบิดาผู้ให้กำเนิดตัวเอง หากแต่ก็จำต้องตอบด้วยเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นผู้มีพระคุณ

ทว่ายังไม่ทันจะได้อ้าปาก เจเรมีก็สังเกตเห็นความอึดอัดของลูก้าเสียก่อน จึงตัดบทเอาดื้อๆ
“เออๆ ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ ถือซะว่าฉันไม่ได้ถาม”
“ครับ” ลูก้าตอบรับเสียงแผ่ว โล่งใจไม่น้อยที่ไม่ได้พูดถึงกลุ่มคนพวกนั้น

หากแต่เจเรมีก็ยังมีคำถามใหม่มาถามเขาเรื่อยๆ
“แล้วนายไปโดนคดีนั่นได้ยังไง” หมายถึงคดีฆาตรกรรมอัลฟ่าระดับสูงรายหนึ่ง
ลูก้านิ่งไป แสดงอาการอึกอักขึ้นมาอีกแล้ว เจเรมีมองแล้วก็ชักหงุดหงิดจนต้องขึ้นเสียง
“พูดมาเถอะน่า จะปอดแหกไปถึงไหน ฉันไม่ทำร้ายนายหรอก”

ถูกต้อง... ที่ลูก้าดูหวาดหวั่นขนาดนี้เป็นเพราะเขาเกรงว่าหากพูดจาไม่เข้าหูแล้วจะถูกทุบตีอย่างที่เขาเคยถูกกระทำมาตลอดชีวิต แต่เพราะคนตรงหน้าคือเจเรมี ผู้ชายที่ช่วยชีวิตเขาไว้ถึงสองครั้ง ทำให้เขาพอจะข่มความหวาดกลัวลงไปได้บ้างแล้วเปิดปากเล่าขึ้นมา

“คุณเมอร์ซีรู้ใช่ไหมครับว่าผมถูกเอาตัวไปขายที่ตลาดมืด?”
เจเรมีพยักหน้า ให้อีกฝ่ายได้เล่าต่อ

“คือวันนั้นพ่อของผมมาหา แล้วก็พาตัวผมไปให้ผู้ชายคนนั้นเป็นการแลกเปลี่ยนกับอะไรสักอย่าง มันควรจะลงเอยเหมือนทุกครั้งที่ผมเจออัลฟ่า แต่ครั้งนั้นมันไม่ใช่ เขาไม่ได้แค่จะใช้ผมเป็นเครื่องมือบำบัดความใคร่อย่างปกติ แต่เขาจะทรมานผมด้วยเพราะบอกว่ามันทำให้เขามีอารมณ์ พอมาถึงจุดหนึ่งที่รู้สึกว่าเขาคิดจะฆ่าผมแน่ๆ ผมก็เลย...”

เล่าแล้วก็หยุดไป มือไม้สั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อย เจเรมีหยุดใช้เท้าเขี่ยใบไม้เล่นทันที หรี่ตามองคนตรงหน้า ถามออกไป
“นายก็เลยฆ่าหมอนั่น?”
“เขาบีบคอผม ผมเลยอาศัยจังหวะที่เขาเผลอ ใช้มีดปอกผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง...เอ่อ...แทง... เข้าไปตรงนี้” พูดพลางชี้ไปที่ลำคอตรงจุดเดียวกับลูกกระเดือก ก่อนน้ำตาจะเอ่อคลอเมื่อนึกถึงประสบการณ์เลวร้ายนั่น

เจเรมีนึกไม่ออกหรอกว่าลูก้าถูกกดขี่ข่มเหงจนไร้หนทางสู้เพียงใด คนอย่างเขาถึงจะกล้าลงมือฆ่าใครสักคนอย่างนี้ แต่สำหรับเขาแล้ว แค่ใครมากระตุกหนวดเพียงเล็กน้อย เขาก็พร้อมที่จะฆ่าได้ทันที

นับว่าลูก้ามีความอดทนสูงมากทีเดียวกว่าจะพลาดพลั้งลงมือทำร้ายคนอื่นอย่างนี้

เขาต้องทอดกายให้พวกอัลฟ่าย่ำยีกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถูกทำร้ายร่างกายไม่รู้อีกกี่หน ถึงเข้าตาจน ยอมลุกขึ้นสู้อย่างนี้

แต่เพราะเป็นโอเมก้ามันถึงเสียเปรียบ ฆ่าไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ไม่ว่าอย่างไรก็ถูกเล่นงานโดยอัลฟ่าอยู่ดี ทว่าพอมาคิดดีๆ แล้ว การต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ที่เขาหลุดจากนรกขุมนั้นมาได้ ถ้าไม่นับเรื่องที่ถูกลากเข้ามาเอี่ยวในเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเองอย่างเกมเวรๆ อย่างนี้ก็นับว่าลูก้ารอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกอสุรกายพวกนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทว่าชีวิตในคุกของลูก้าจะดีหรือร้าย เจเรมีไม่รู้หรอก และเขาก็ไม่คิดจะถามด้วยไม่อยากทำให้ตัวเองรู้สึกผิดกับเด็กหนุ่มตรงหน้าไปมากกว่านี้

อายุแค่สิบแปดเอง... ถูกขายทอดตลาดตั้งแต่อายุสิบสอง เทียบกับเขาที่เกิดจากตระกูลอัลฟ่าเหมือนกันแล้ว มีชีวิตความเป็นอยู่แตกต่างกันลิบลับ

ก็คิดว่าตัดสินใจไม่ผิดหรอกที่พาลูก้ามาด้วย อย่างน้อยก็ให้มีชีวิตรอดไปก่อนอีกสักสัปดาห์ จากนั้นค่อยแยกย้ายกันไปคนละทางก็ยังไม่สาย ถือเสียว่าเป็นการไถ่โทษที่เขาทำให้ลูก้าต้องตกกระไดพลอยโจนถูกจับลงมาในเกมนี้

แต่แล้วเสียงของลูก้าก็ดังขึ้น เรียกความสนใจของเจเรมีไป

“เรื่องวันนี้น่ะ...ขอบคุณมากนะครับที่ช่วย ครั้งก่อนๆ ก็ด้วย ขอบคุณจริงๆ ครับ”
ขอบคุณจากใจจริง...ดวงตาที่มองหน้าของผู้ชายผมบลอนด์เต็มไปด้วยความจริงใจ ทำเอาเจเรมีถึงกับต้องยกมือลูบต้นคอเป็นการแก้เขินด้วยไม่มีใครเอ่ยคำนี้กับเขามานานแล้ว

สักปี...สองปี...หรืออาจจะนานกว่านั้นก็เป็นได้

ก็เขาน่ะไม่เคยสร้างคุณประโยชน์ให้ใครหน้าไหนเลย มีแต่ก่อเรื่องจนถูกมองว่าเป็นจอมวายร้าย การมีคนมาพูดอย่างนี้มันก็ต้องเก้อเขินเป็นธรรมดา

“ฉันก็แค่ไม่ชอบใจสวะอัลฟ่าพวกนั้น ไม่ต้องสำนึกบุญคุณอะไรหรอก” เกาต้นคอไป พูดไปก่อนจะต้องหยุดเมื่ออีกฝ่ายสวนมา
“ตั้งแต่เกิดมา มีแค่คุณคนเดียวที่ไม่เมินเฉยกับผม ผมต้องสำนึกบุญคุณสิครับ”

ก็ลืมไปว่าโอเมก้าอย่างลูก้าเติบโต้มาในลักษณะไหน จะเห็นเรื่องที่เขาช่วยเล็กๆ น้อยๆ นั่นเป็นเรื่องใหญ่มันก็ไม่แปลก พลันเจเรมีก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่เจอกันในระหว่างตรวจร่างกายครั้งแรก ลูก้าได้พูดอะไรไว้กับเขาจึงได้ออกปากถาม
“ก็เลยเป็นเหตุผลที่อยากจะเจอฉัน?”

คนฟังพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว “ผมอยากจะขอบคุณคุณตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว แต่ตอนนั้นผมตกใจมากไปหน่อยเลยไม่ทันได้คิดน่ะครับ ส่วนเสื้อของคุณ...คือต้องขอโทษด้วยนะครับ ตอนที่ผมโดนจับ มันถูกยึดเป็นของกลางไปแล้ว”

เจเรมีนิ่งคิดไปเล็กน้อยว่าอีกฝ่ายหมายถึงเสื้ออะไร ก่อนจะจำได้ว่ามันคือเสื้อคลุมเครื่องแบบของนักศึกษาที่เขาให้ลูก้า พลันแค่นหัวเราะออกมา

“ช่างมันเถอะ ฉันไม่โดนพ่วงข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับนายในคดีนั้นเพราะเสื้อโง่ๆ นั่นก็พอแล้ว”

เป็นฝ่ายลูก้าบ้างที่หลุดหัวเราะน้อยๆ กับมุกตลกของเจเรมี เห็นดูดุดันอย่างนี้ แท้จริงแล้วคนตรงหน้าเขาเป็นคนที่อ่อนโยนมากเลยทีเดียว ใจของลูก้าชื่นชมเจเรมีเป็นอย่างมากตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรก และยิ่งรู้จักก็ยิ่งประทับใจมากขึ้น แม้ว่าจะรู้อยู่เต็มอกว่าเจเรมีไม่ใช่อัลฟ่าแล้ว หากแต่เป็นโอเมก้าเหมือนกันเขา แต่เขาก็ยังชื่นชมเจเรมีไม่เปลี่ยน

ตอนข่าวของคนตรงหน้าออกมาว่าเป็นฆาตรกรสามศพ เขาแทบจะเถียงกับคนทั้งโลกเลยทีเดียวว่าแท้จริงแล้วเจเรมีเป็นคนดีและไม่เชื่อด้วยว่านั่นจะเป็นเรื่องจริง ต่อให้ใครต่อใครรุมประณาม เขาก็จะอยู่ข้างเดียวกับเจเรมี โดยไม่เคยคาดคิดว่าสักวันตัวเองจะได้มาเจอกับผู้มีพระคุณอีกครั้ง

ยอมรับเลยว่าการที่มีเจเรมีอยู่ตรงหน้ามันทำให้เขาอุ่นใจ ถึงจะรู้ว่ากฎของเกมต้องมีโอเมก้าเป็นผู้รอดแค่คนเดียว เขาก็แสร้งทำเป็นไม่พูดถึงด้วยยังอยากใช้เวลาอยู่กับเจเรมีให้นานกว่านี้สักหน่อย

แล้วก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงแหบห้าวดังขึ้น
“นั่งพักพอหรือยัง หายเหนื่อยแล้วจะได้ไปต่อ มืดแล้วจะลำบากเอา”

ลูก้ารีบพยักหน้ารับ ดันตัวขึ้นยืนตามอีกฝ่ายที่ออกเดินนำไปก่อนแล้วอย่างรวดเร็ว ทว่าเดินไปได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตร ลูก้าก็ต้องหยุดก้าวเมื่อเห็นว่าคนที่เดินนำหยุดเดินกะทันหัน สายตาของเจเรมีกวาดมองไปรอบๆ อย่างมีพิรุธ ทำเอาลูก้าอดถามขึ้นมาไม่ได้
“มีอะไรเหรอครับ”
“เงียบก่อน” ถามยังไม่ทันจะสิ้นเสียงดีด้วยซ้ำ เจเรมีก็โพล่งสวนขึ้นมาแล้ว ก่อนจะว่าเสียงเบาแทบกระซิบ “มาอยู่ใกล้ๆ ฉัน”

ลูก้าเริ่มหวาดระแวงขึ้นมาบ้าง รีบทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว ปืนสั้นถูกชักออกมาถือในมือทั้งสองข้าง ในขณะที่เจเรมีก็กระชับชะแลงเหล็กของตัวเองมั่น

บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดคล้ายกับว่าไม่น่าจะมีสิ่งผิดปกติใดๆ หากแต่ชั่วอึดใจเดียว โอเมก้าทั้งสองก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อสายตาปราดไปเห็นชายฉกรรจ์จำนวนไม่ต่ำกว่าสิบคนโผล่ออกจากพงหญ้ามาปิดล้อมพวกเขาไว้ หลายคนถือปืนขนาดยาวในมือเล็งมาที่พวกเขา ก่อนที่จะมีใครสักคนออกคำสั่งให้ยิง

“บ้าฉิบ!” เจเรมีไม่รู้หรอกว่านี่มันเรื่องบ้าอะไร แต่รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีจึงรีบลากลูก้าออกวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย ในหัวก็คิดวิเคราะห์ไปด้วยว่าผู้ชายพวกนั้นคงจะเป็นพวกเจ้าหน้าที่ที่ดูแลการแข่งขันนี้

เดาเอาจากเครื่องแบบคล้ายทหารที่สวมใส่... คิดในแง่ร้ายสุดกู่คือที่พวกเจ้าหน้าที่โผล่มาอย่างนี้ ต้องเป็นแผนการของเดร็กเป็นแน่

แล้วก็ใช่อย่างที่ชายหนุ่มคาดเดาเมื่อหูของเขาได้ยินคำสั่งให้ยิงอีกระลอก เสียงดังปังพร้อมกับวัตถุทรงยาวที่ตัดผ่านหน้าไปอย่างฉิวเฉียดทำให้เจเรมีรู้ว่ากระสุนปืนที่ยิงออกมาไม่ใช่ลูกตะกั่ว หากแต่เป็นลูกดอกยาสลบ ข้างในบรรจุน้ำสีใสแต่ไม่อาจรู้ได้ว่ามันคือยาอะไร

สัญชาติญาณบอกเขาว่ามันไม่ใช่ยาสลบ...

เจาะจงเอามายิงใส่โอเมก้าอย่างนี้ หรือว่าจะเป็น... ยากระตุ้นอาการฮีท?

คิดว่าเป็นอย่างนั้นแน่ ทั้งหมดก็เพื่อกระตุ้นให้การล่าในครั้งนี้ทวีความสนุกมากยิ่งขึ้น และเขาจะไม่ยอมเป็นเหยื่อให้ถูกยิงอย่างแน่นอน

สองเท้าก้าวไปไวประหนึ่งจรวดจนทำให้คนที่ถูกลากตามหลังมาวิ่งตามไม่ทัน เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น ขนาดของขาที่สั้นกว่าก็ไม่อาจควบคุมจังหวะได้ ก้าวพลาดจนล้มคว่ำระเนระนาดไปกับพื้น

เจเรมีชะงัก หันมามองลูก้าที่ล้มคลุกฝุ่นอย่างตกใจขณะที่อีกฝ่ายรีบร้องบอก
“วิ่งไปเลยครับ ไม่ต้องห่วงผม!”
เขาควรทำอย่างนั้น หากแต่เห็นบรรดาเจ้าหน้าที่ที่วิ่งกรูกันเข้ามาใกล้ เล็งปลายกระบอกปืนมาที่ลูก้าแล้วก็อดสบถออกมาไม่ได้
“เวรเอ๊ย!”

จากนั้นก็วิ่งกลับมาฉุดลูก้าขึ้นจากพื้น ใช้มือผลักแผ่นหลังของอีกฝ่ายให้ออกวิ่ง หากแต่ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้ก้าวขา เสียงสัญญาณบอกให้ยิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง

เป้าหมายคือลูก้า...

เจเรมีเหลือบไปเห็นก็แทนที่จะปล่อยให้คนตรงหน้าถูกยิง กลับกระชากลูก้าให้หลบไปอีกทาง ลูกดอกจึงพุ่งเข้าใส่ท่อนแขนของเขาเต็มรัก

แรงปะทะของมันไม่ได้รุนแรงมากถึงขนาดทำให้เจ็บปวดเจียนตาย หากแต่ก็ทำให้ปวดแปลบอยู่ไม่น้อย เสียงร้องดังโอยจากริมฝีปากหนาเรียกให้ลูก้ารีบหันไปมองใบหน้าของเจเรมีที่เหยเกไปตามความปวดแปลบ ก่อนจะโพล่งเสียงดัง
“คุณเมอร์ซี!”

เจเรมีไม่ได้ฟัง เอื้อมมือไปดึงลูกดอกนั้นออกอย่างหัวเสียก่อนจะปามันทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดี

ของเหลวข้างในถูกส่งผ่านเข้าใต้ผิวหนังเขาแทบจะหมดหลอดแล้ว...

แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับต้องรีบหาทางหนีอีกครั้ง ทว่าพอเขาถูกยิงก็เหมือนกับภารกิจของเจ้าหน้าที่พวกนั้นสิ้นสุดลง พากันส่งสัญญาณและถอนกำลังกลับท่ามกลางความงุนงงของโอเมก้าทั้งสอง

เจเรมีย่นคิ้วจนแทบจะผูกกันเป็นเงื่อนตายอยู่แล้ว...อย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด เป็นหนึ่งในแผนการของเดร็กไม่มีผิดเพี้ยน และดูท่าจะเป็นการยิงแบบไม่เจาะจงด้วยว่าจะเป็นโอเมก้าคนไหน ขอแค่เป็นโอเมก้าก็ล้วนแล้วแต่ทำให้เกมล่าเกมนี้สนุกขึ้นทั้งนั้น
“วะ...ไหวไหมครับ” เห็นเจเรมีทรุดตัวนั่งลงบนก้อนหินใหญ่ก็ร้องถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีสักเท่าไหร่

คนถูกถามพยักหน้า “ฉันไม่เป็นไร” พลางหงายแขนดูบริเวณที่ถูกยิง
“ดีนะครับที่ไม่เป็นอะไรมาก” ลูก้าว่าอย่างโล่งใจเมื่อเห็นท่อนแขนแกร่งมีเพียงรอยแดงเป็นดวงปรากฏขึ้นให้เห็นเท่านั้น
ความจริงแล้วจะเรียกรอยนี้ว่าบาดแผลยังไม่ได้เลย มันแดงบวมเหมือนรอยมดกัดมากกว่า หากแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนทั้งสองวางใจได้ตราบใดที่ไม่รู้แน่ว่าของเหลวที่บรรจุอยู่ในกระสุนลูกดอกนั่นคืออะไร

“คุณเมอร์ซีคิดว่าข้างในเป็นอะไรครับ” และก็เป็นลูก้าที่ถาม
เจเรมีเหลือบมองนิ่งไปครู่ก่อนจะพูด “ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าน่าจะเป็นยากระตุ้นฮีท”

คิดว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกแล้วว่าร่างกายของตัวเองค่อยๆ ร้อนขึ้นมาทีละนิด

ฟังแล้วลูก้าก็อ้าปากค้าง แทบจะไม่เชื่อว่านั่นคือสิ่งที่ตัวเองได้ยินเมื่อครู่ ก่อนจะรีบออกปาก
“งั้นก็ต้องรีบเข้าไปในอาคารแล้วล่ะครับ ไม่อย่างนั้นพวกอัลฟ่าแห่กันมาล่าคุณแน่”

ถูกอย่างที่เด็กหนุ่มว่า โอเมก้าที่ถูกยากระตุ้นฮีทฉีดเข้าไปจะส่งกลิ่นฟีโรโมนออกมาดึงดูดให้อัลฟ่าเข้าหา ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยแม้แต่น้อยถ้าหากต้องตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น

ปกติแล้วโอเมก้าจะมีช่วงฤดูการผสมพันธุ์เพียงเดือนละครั้ง เกมนี้มีเวลาการแข่งขันเพียงสามสิบวัน เท่ากับว่าโอเมก้าแต่ละคนจะเป็นฮีทได้แค่เดือนละครั้ง คนที่อยู่เบื้องหลังคงจะรอให้ถึงช่วงนั้นไม่ไหวถึงได้ทำแบบนี้

แต่ลูก้าไม่คิดอะไรให้เสียเวลาอีกแล้ว รีบปรี่เข้ามาดึงแขนของเจเรมีขึ้นพาดคอทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
“ลุกขึ้นเถอะครับ ผมช่วย”

เจเรมีกลั้นใจลุกขึ้นยืน หากแต่ฤทธิ์ของยาที่ทำให้ร่างกายเขาร้อนรุ่มในตอนแรก ตอนนี้มันกระตุ้นให้อาการแย่ลงกว่าเดิมแล้ว
เขาเริ่มครั่นเนื้อครั่นตัว อุณหภูมิภายในร่างกายสูงขึ้นพร้อมกับเลือดที่สูบฉีดอย่างรุนแรงจนผิวเนื้อขาวๆ แดงเป็นปื้นยาว แย่กว่านั้นคือเขาไม่อาจจะทรงตัวได้ด้วยรู้สึกปวดหน่วงบริเวณช่วงกลางลำตัวขึ้นมากะทันหัน

อาการฮีท... มันน่ารำคาญก็ตรงที่ควบคุมร่างกายของตัวเองไม่ได้ทั้งที่เป็นเจ้าของนี่แหละ!

“คุณเมอร์ซี!” เห็นเจเรมีทรุดลงไปนั่งกับพื้นเหมือนเดิม ลูก้าก็ร้องลั่น ทว่าก็ต้องหุบปากฉับเมื่อถูกดุ
“อย่าแหกปาก เสียงของนายมันทำให้ฉันปวดหัว”

เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก เขาไม่ควรตื่นตูมในตอนนี้ สิ่งที่สมควรทำคือรีบพาเจเรมีไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยก่อนที่จะส่งกลิ่นฟีโรโมนออกมามากกว่าเดิม

เขาไม่ได้กลิ่นของเจเรมีหรอก โอเมก้าจะไม่ได้กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าด้วยกัน แม้แต่กลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าเองก็ไม่ได้กลิ่น เว้นเสียแต่ว่าอัลฟ่าคนนั้นเป็นคู่แห่งโชคชะตา แค่เดาเอาจากอาการว่าตอนนี้คนตรงหน้าน่าจะเริ่มปล่อยกลิ่นแล้ว
“เดี๋ยวผมจะพาคุณไปที่นั่น อดทนหน่อยนะครับ”

เพราะกลัวว่าอยู่กลางป่าอย่างนี้จะไม่ปลอดภัยจึงออกปากอีกครั้ง ก่อนจะพยายามพยุงเจเรมีให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล

ใช้ความพยายามอยู่พักหนึ่งทีเดียวกว่าจะพาคนตัวใหญ่กว่าลุกขึ้นยืนได้ หากแต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหน ลูก้าก็ต้องสะดุ้งเฮือกจนพากันล้มหงายไปอีกรอบเมื่อจู่ๆ สายตาก็เห็นว่ามีใครบางคนโผล่ออกมาจากด้านหนึ่งของป่า คราแรกนึกว่าเป็นพวกอัลฟ่า...ก็ใช่ เป็นอัลฟ่า แต่อัลฟ่าตรงหน้านั่นคือผู้ชายที่ชื่อว่าคริส

“เกิดอะไรขึ้น” โผล่มาได้ก็ร้องถามทันที
เจเรมียังคงมีสติอยู่ เห็นใบหน้าของคู่แห่งโชคชะตาตัวเองก็แค่นเสียงออกมาอย่างรวดเร็ว
“ไสหัวไปไกลๆ เลย” ไม่อยากจะเห็นหน้าคนอย่างเขาในเวลานี้ พลันหันไปสั่งลูก้า “หยิบชะแลงเหล็กมาให้ฉัน”

คริสเห็นท่าทางกระด้างกระเดื่องแล้วก็รู้ว่าเจเรมีคงจะยังไม่หายขุ่นเคืองเรื่องเมื่อวาน เขาก็อยากจะขอโทษในเวลานี้นะ แต่มันยังไม่ใช่เรื่องที่ควรมาทำสักเท่าไหร่นักเมื่อเห็นอาการของคนตรงหน้า

อาการอ่อนแรง ใบหน้าและเนื้อตัวเรื่อแดงและสีหน้ายั่วยวน... เป็นอาการฮีทไม่ผิดแน่

เขาค่อนข้างจะมั่นใจเนื่องจากการที่เขามาโผล่ตรงนี้ได้ก็เป็นเพราะกลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ไม่เข้าใจสักเท่าไหร่นักว่าจู่ๆ อีกฝ่ายเกิดอาการฮีทได้อย่างไร จนต้องร้องถาม

“จะบอกได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
“อย่าแส่...”
“ขะ...เขาโดนยิงครับ”

เจเรมีพูดอย่าง ลูก้าพูดอย่าง การที่เด็กหนุ่มตอบคำถามไปอย่างนั้นทำให้เขาถูกเจเรมีตวัดมองอย่างหัวเสียจนลูก้าจ๋อยไปทันตา แต่จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ ก็เขาเป็นห่วงเจเรมีนี่ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องการคนอื่นมาช่วย

แต่ว่า...การที่บอกคริสซึ่งเป็นอัลฟ่าไปอย่างนั้นมันจะเป็นเรื่องดีหรือเปล่านะ ถ้าคริสทำให้สถานการณ์มันแย่ลงจะทำอย่างไร?
เพิ่งมาตระหนักได้ในตอนนี้ หากแต่อีกใจก็คิดว่าไม่เป็นไรด้วยจำได้ดีว่าคริสกับเจเรมีค่อนข้างจะสนิทสนมกันโดยไม่ทันได้สังเกตว่าบรรยายกาศระหว่างชายหนุ่มสองคนนี้มีบางอย่างที่เปลี่ยนไป

“ไสหัวไปไกลๆ เลย ไม่ต้องแส่” เจเรมียังคงปากเก่ง

คริสย่นคิ้ว ไม่ตอบโต้ ไม่แม้แต่จะฟังเสียงเสือกไสไล่ส่งนั้น เอาแต่ส่งสายตาสำรวจไปตามเนื้อตัวของเจเรมีเพื่อหาร่องรอยการถูกยิง ทว่าพอไม่เห็นสิ่งที่ควรเห็นก็ยิ่งขมวดคิ้วหนัก มิหนำซ้ำกลิ่นหอมหวานฉุนกึ้กของฟีโรโมนก็ยังทวีความรุนแรงขึ้นมาจนแทบจะทำให้เขาหน้ามืดอีก เขาจึงต้องผละใบหน้าไปทางอื่นครู่หนึ่งก่อนจะกลั้นใจหันกลับมาสำรวจร่างกายอีกฝ่ายอย่างละเอียดอีกครั้ง

ไม่มี...ไม่มีร่องรอยกระสุน ไร้ซึ่งบาดแผล แล้วที่บอกว่าถูกยิงมันหมายความว่าอะไร?

คำถามนี้แปะหราอยู่บนใบหน้าหล่อของคริส ลูก้าเห็นก็รู้ทันทีว่าคนตรงหน้าต้องการคำตอบใด ก่อนจะรีบขยับตัวไปคว้าเอาลูกดอกที่บรรจุน้ำสีใสมาส่งให้

“ถูกเจ้านี่ยิงครับ”
ของเหลวนั้นมันเหือดแห้งไปแล้ว หลงเหลือเพียงไม่กี่หยดเท่านั้น ก่อนที่คริสจะรับมาถือไว้ในมือ
“นี่มัน...”
“เป็นยากระตุ้นให้เกิดฮีทครับ เขาเอาตัวมาบังผมไว้เลยถูกยิง” ลูก้ารีบละล่ำละลักบอก

ตอนนี้เข้าใจความหมายที่ลูก้าบอกอย่างชัดเจนว่าถูกยิงที่ว่าหมายถึงอะไร

งานเข้าแล้ว!

งานเข้าในที่นี้คืออีกประเดี๋ยวพวกอัลฟ่าคนอื่นจะต้องแห่กันมาแน่ เริ่มส่งกลิ่นฟีโรโมนรุนแรงขนาดนี้แล้ว ขนาดส่งกลิ่นอ่อนๆ ยังทำให้เขาซึ่งอยู่ห่างไปตั้งเกือบห้าร้อยเมตรยังได้กลิ่นชัดเจน เท่านั้นคริสก็ไม่รอช้า รีบพยุงเจเรมีที่เนื้อตัวร้อนรุ่มขึ้นมาพยุงท่ามกลางการขัดขืนของเจเรมีจนเขาต้องดุออกไป

“อยู่เฉยๆ ก่อนได้ไหม”
“ฉันไม่พึ่งคนอย่างนายหรอกไอ้เวรคริส”
“มันใช่เวลามาดื้อหรือเปล่าเจเรมี!” เป็นครั้งแรกเลยที่คริสหัวเสีย ก่อนจะพยักหน้าเรียกให้ลูก้ารีบตามเข้าไปในอาคารตรงหน้าโดยไม่สนว่าหลังจากประโยคนั้น เจเรมีจะพ่นคำหยาบคายออกมาอีกนับไม่ถ้วนแต่อย่างใด เอาแต่หันไปพูดกับลูก้า

“รีบพาไปที่นั่นก่อน อยู่ข้างนอกอย่างนี้ไม่ดีแน่”
ลูก้ารีบพยักหน้ารับ คว้าอาวุธของทุกคนที่วางอยู่บนพื้นวิ่งตามคริสที่พาเจเรมีตรงไปยังอาคารหลังนั้นก่อน




 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-03-2017 11:44:07 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 15: ยาระงับอาการฮีทชั้นดี[2]

คริสพาคู่แห่งโชคชะตาไปนอนราบที่ห้องพักผู้คุมซึ่งมีเตียงตั้งอยู่โดยไม่สนใจที่จะสำรวจห้องอื่นๆ ในอาคารแห่งนี้แต่อย่างใด เขาค่อนข้างมั่นใจว่าบริเวณนี้ไม่มีอัลฟ่าคนไหนอยู่ใกล้ยกเว้นเขา

เจเรมีในตอนนี้ยังคงมีสติสมประกอบดี หากแต่ไม่สามารถควบคุมความร้อนรุ่มในร่างกายที่มากขึ้นกว่าเดิมได้ กระนั้นก็ยังกลั้นใจเปล่งเสียงพูดกับคริสที่สาละวนกับการจัดท่าทางเขาให้นอนเหยียดในท่าสบายๆ

“กลับมาทำไมไอ้สารเลว”
ถึงกับชะงักกึก มันใช่ประโยคที่ควรพูดกับคนที่ช่วยแบกเขาเข้ามาหลบอัลฟ่าคนอื่นอย่างนี้เหรอ?

แต่คริสไม่ได้ใส่ใจ หันไปตอบเสียงเรียบ
“ถ้านายไม่ส่งกลิ่นไปล่อฉันอย่างนั้น ฉันก็ไม่โผล่หน้ามาให้นายเห็นหรอก”

โกหก... เขาตามหาเจเรมีมาตั้งแต่หนีไปตั้งหลักได้แล้ว เสียเวลาไปทั้งวันกับการตามหาตัวจอมวายร้ายคนนี้มากแค่ไหน เจเรมีจะรู้บ้างไหม ทั้งหมดก็เพราะเป็นห่วงคำเดียวแท้ๆ แต่ที่ตามมาเจอตัวได้ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเพราะกลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีที่ส่งกลิ่นคละคลุ้งไปทั่ว

ทว่าการที่คริสพูดอย่างนั้นทำให้เจเรมีแค่นหัวเราะออกมา ขณะที่พวงแก้มทั้งสองข้างเริ่มแดงเรื่อขึ้นเรื่อยๆ จากการสูบฉีดของเลือด

“ติดสัดล่ะสิ”
“พูดถึงตัวเองหรือไง”

โดนตอกกลับเข้าเต็มๆ เจเรมีก็ถึงกับหน้าชา

คริสเป็นคนปากคอเราะร้ายอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!?

อยากจะสั่งให้ลูก้าเอาชะแลงเหล็กที่ถือตามเข้ามาในห้องส่งให้เขาเพื่อเอาไปกระแทกหน้าคริสให้หมดหล่อชะมัด ทว่าก็ไม่ทันจะได้สั่งเพราะคริสเอ่ยปากก่อน

“ปิดประตูให้สนิท แล้วหาอะไรมาอุดช่องใต้ประตูด้วย”
ลูก้าพยักหน้า ทำตามอย่างรวดเร็ว ขณะที่เจเรมีเริ่มออกอาการฮีทมากขึ้นกว่าเดิมจนเขาไม่มีเรี่ยวแรงจะไปต่อกรกับอีกฝ่ายแล้ว ตัวร้อนผ่าวจนแทบจะละลาย ช่วงกลางลำตัวเริ่มชูชันจนดันเนื้อผ้าออกมาจนเห็นเป็นเนินชัดเจน กระนั้นก็ยังทำปากเก่งด้วยไม่ต้องการให้คริสมาเห็นเขาในสภาพนี้

“อย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่อง ไสหัวไปได้แล้ว...ฮึก...”
ส่งเสียงประหลาดออกมาอีก ก่อนจะรีบเม้มริมฝีปากแน่นด้วยสะกดความกำหนัดของตัวเองไว้ไม่ไหว

คริสก็กะไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ มองแล้วก็เม้มปากแน่นเช่นกันเพราะเขาเองก็เริ่มมีอาการตอบสนองต่อกลิ่นของเจเรมีขึ้นมาแล้ว ก่อนจะยื่นมือไปอังที่ซีกหน้าของเจเรมีที่มีเม็ดเหงื่อผุดพรายอย่างเบามือ

เจเรมีเบือนหน้าหลบเล็กน้อย แต่คริสก็ยังดึงดันที่จะวางมือลงบนนั้น พลันกระซิบเสียงพร่า
“เจมี ขอร้อง ฟังฉันหน่อย”
“อย่ามาเรียกฉันอย่างนั้น”
“เจเรมี” ยอมเรียกชื่อเต็มก็ได้เพื่อที่จะได้ตะล่อมง่ายๆ ก่อนจะว่าออกมาอีก “นายกับฉันเราต้องร่วมมือกันถ้าอยากจะมีชีวิตรอดทั้งคู่ เข้าใจใช่ไหมว่าฉันหมายถึงอะไร”

ทำไมจะไม่เข้าใจ คริสต้องหมายถึงเรื่องการครอบครอง การเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว

เฮอะ! หนีไม่พ้นเรื่องนี้จนได้ ในหัวทึบๆ ของมันมีแต่เรื่องอย่างนี้หรือไง!

เจเรมีอดมองอีกฝ่ายตาขวางไม่ได้ และก็ไม่อาจควบคุมร่างกายของตัวเองได้เช่นกัน ยิ่งคริสอยู่ใกล้ กลิ่นฟีโรโมนของคริสก็ทำให้ร่างกายเขามีปฏิกิริยามากขึ้น ผิวเนื้อขาวนวลเริ่มแดงไปทั่วทั้งกาย เหงื่อเม็ดโตผุดพรายเสียท่วมราวกับน้ำตกขณะเดียวกันก็ปล่อยกลิ่นฟีโรโมนของตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมจนคริสต้องกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

“เจมี” เรียกชื่อเล่นอีกแล้ว เป็นการเรียกเพื่อกระตุ้นให้เจเรมีรีบตัดสินใจ “รู้ใช่ไหมว่าฉันยอมปล่อยให้นายเล่นเกมนี้คนเดียวไม่ได้ เข้าใจใช่ไหมว่าเป็นห่วง”

ทว่าเจเรมีกลับปฏิเสธ “เป็นห่วงหรืออยากจะเอาฉันเพื่อประโยชน์ของตัวเองกันแน่”
ว่าแต่คริสปากคอเราะร้าย เจเรมีเองก็ร้ายกาจไม่แพ้กัน ทำเอาคริสสะอึกไปชั่ววินาทีหนึ่งเลย
“ฉันไม่ทำตามแผนทุเรศๆ ของนาย” จากนั้นก็ปฏิเสธหนักแน่น

คริสก็รู้อยู่หรอกว่าจะต้องลงเอยอย่างนี้ เขารู้ว่าตนทำลายความเชื่อใจของเจเรมีไปหมดแล้วตั้งแต่คืนนั้น แต่ก็ยังดึงดัน มันเป็นผลดีกับทั้งตัวเขาเองและกับตัวคนตรงหน้า

“ขอร้องล่ะ เชื่อกันอีกสักครั้ง”
ที่ต้องขอร้องเพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของผลประโยชน์ มันเป็นมากกว่านั้น

...เป็นสิ่งที่เขายังไม่ได้บอกกับเจเรมี

แต่เจเรมีมีเหรอที่จะหยุดฟัง ได้ยินแล้วก็ตั้งแง่ขึ้นมา ถามเสียงกระเส่าและแผ่วเบา
“งั้นฉันขอถาม นายทำอย่างนี้เพราะต้องการเป็นอิสระใช่ไหม”
คริสพยักหน้ารับไปตามตรง “ใช่ ฉันอยากได้อิสระคืน”
“เห็นฉันเป็นเครื่องมือหรือไงไอ้สวะ” ฟังแล้วก็หัวเสีย ก่นด่าออกมาทันที หากแต่ก็ยังเป็นน้ำเสียงกระเส่า

ทว่าคริสส่ายหน้า “เปล่า เพราะนายเป็นคู่แห่งโชคชะตาของฉันต่างหาก”

เจเรมีนิ่งไป สบตาคริสที่จ้องมานิ่งครู่หนึ่งก่อนจะเผยอยิ้มเย้ย
“ก็เลยจะใช้ประโยชน์จากฉัน” ยังคงคิดในแง่ร้าย

คริสรู้สึกว่าเสียเวลาเหลือเกินในการต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายเพราะสุดท้ายแล้วมันก็วนกลับมาที่จุดเดิม แต่กระนั้นก็ยังจะตอบ
“ที่ฉันทำไปทั้งหมด เป็นเพราะฉันอยากปกป้องนายต่างหาก ถ้าไม่อยากปกป้อง ฉันจะตามหานายทำไมทั้งที่จับคู่กับโอเมก้าคนอื่นเพื่อเอาตัวรอดไปจากที่นี่ก็ได้ มันง่ายกว่าจับคู่กับนายเยอะ” ว่าพลางลากมือที่อังซีกแก้มของอีกฝ่ายอยู่วนไปมาเล็กน้อย

เจเรมีได้ยินก็นิ่งงันไป เขาไม่คาดคิดว่าคนตรงหน้าจะพูดอะไรอย่างนี้ มันถูกของคริส ถ้าคริสจับคู่กับโอเมก้าคนอื่นก็คงจะเอาตัวรอดจากที่นี่ได้ง่ายกว่านี้เพราะคริสไม่เป็นรองเรื่องการต่อสู้อยู่แล้ว ทว่าการที่คริสบอกเป็นนัยว่าเลือกเขามันทำให้อาการครั่นเนื้อครั่นตัวทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระทึกราวกับมีใครมาตีกลองข้างใน ขณะที่คริสเห็นเจเรมีเงียบไปก็โน้มใบหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ๆ

“ให้ฉันได้ปกป้องนายนะเจมี”
ไม่มีคำตอบจากคนถูกถาม มีแต่ความเงียบงัน ทว่าดวงตาที่แข็งกร้าวอ่อนโยนลงแล้ว คริสจึงทึกทักเอาว่าเป็นการตอบตกลง พลันหันไปหาลูก้าที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่

“นายออกไปรอข้างนอกก่อน”
“แต่ว่า...” กำลังจะแย้งเพราะเป็นห่วงว่าเจเรมีจะถูกทำมิดีมิร้าย ทว่าพอถูกสายตาของคริสจ้องดุๆ ก็จำต้องทำตามอย่างไม่มีทางเลือก “ถ้ามีอะไรก็เรียกผมนะครับ”

ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก็เปิดประตู ออกไปรอข้างนอกแต่โดยดี คริสผละจากเจเรมีไปปิดประตูและเอาผ้าอุดตามช่องเล็กๆ เสียจนสนิทถึงเดินกลับมาที่เตียงอีกครั้ง หากแต่ไม่ได้กลับมานั่งข้างเตียงอย่างที่ทำในตอนแรก เขาเดินมาหยุดที่ปลายเท้า เอื้อมมือไปถอดเสื้อของตัวเอง เผยกล้ามเนื้อบนผิวสีแทนให้อีกฝ่ายเห็นเต็มสองตา พลันคุกเข่าลงบนฟูกนุ่ม ขยับเข้าไปหาคนที่นอนแผ่หลาอยู่

“ได้ไหม?” จู่ๆ ก็ถามออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้เจเรมีต้องชักสีหน้าเล็กน้อย
“อะไร”
“ให้ฉันปกป้องได้ไหมเจมี” คริสพูดประโยคเดิมซ้ำ

ครั้งนี้เขาไม่ขืนใจและจะไม่ฝืนถ้าหากเจเรมีไม่ต้องการ เพียงแต่ยื่นข้อเสนอเพื่อให้เจเรมีได้ตัดสินใจ และสิ่งที่เจเรมีควรทำคือการปฏิเสธและผลักไสให้คริสออกห่างจากร่างกายเขา ทว่ายิ่งคริสอยู่ใกล้ เขาก็ยิ่งไม่เป็นตัวของตัวเอง ความต้องการทวีมากขึ้นเรื่อยๆ

หากเป็นความต้องการแต่เพียงร่างกายและเป็นเพราะกลิ่นฟีโรโมนของคริสกระตุ้น เขาคงจะไม่หงุดหงิดกับการกระทำของตัวเองสักเท่าไหร่นัก ทว่ามันเป็นความต้องการของจิตใจด้วย

ยิ่งคริสอยู่ใกล้...ก็ยิ่งสบายใจ
ยิ่งใกล้...ก็ยิ่งรู้สึกถึงความปลอดภัย

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เจเรมีรู้สึกว่าชีวิตเขาไปแขวนอยู่กับผู้ชายคนนี้

น่าหงุดหงิดชะมัด ไอ้เวรนี่นึกว่าตัวเองเป็นใคร!?

มาทำให้เขาสับสน ทำให้จิตใจเขาปั่นป่วนขนาดนี้ นึกว่าตัวเองเป็นใครกันแน่!

แต่มือสั่นระริกทั้งสองข้างเอื้อมไปแตะหัวไหล่แกร่งของอัลฟ่าหนุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เนื้อตัวร้อนผะผ่าวแต่ฝ่ามือเย็นเยียบเลยทีเดียว คริสมองสีหน้าของเจเรมีที่ดูสับสนและกรุ่นโกรธตัวเองครู่หนึ่ง ก่อนจะเปล่งเสียงออกมา

“เจมี...”
“รีบๆ ลงมือเถอะน่า พูดมากอยู่ได้ เดี๋ยวพ่อก็ฆ่าทิ้ง...” ขนาดขู่ก็ยังเป็นเสียงกระเส่า ซ้ำยังไม่สบตาคนบนตัวด้วย

คริสไม่รู้ว่าเขาควรจะรู้สึกอย่างไรดีเลย แล้วก็ไม่แน่ใจว่าที่ได้ยินเมื่อครู่คือการอนุญาตแล้วใช่หรือไม่
ทว่าจะอะไรก็ช่าง ถือว่ายินยอมพร้อมใจแล้วก็แล้วกัน

ใบหน้าคร้ามโน้มลงต่ำไปประทับจูบที่ข้างแก้มอย่างทะนุถนอม ก่อนไล่ลงไปที่ลำคอและขยับขึ้นมายังใบหู และลากกลับมาประทับจูบบนริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่งแผ่วเบา กระซิบเสียงพร่า

“ฉันจะอ่อนโยนกับนาย...เจมี”
ยิ่งได้ยินคริสเรียกชื่อเขาอย่างสนิทสนมทั้งที่ไม่ได้อนุญาต เจเรมีก็หงุดหงิดใจขึ้นมา

เจมีๆๆ อยู่ได้ ไม่เคยเรียกหรือไง!

ก็ไม่เคยเรียกจริงๆ เพิ่งจะมาเรียกเอาช่วงนี้ ปกติเขาไม่ชอบให้ใครเรียกชื่อเล่นของเขาสักเท่าไหร่นัก ยกเว้นคนที่สนิทสนมด้วย และคนที่เขาไม่อยากให้เรียกมากที่สุดก็คือคริส แต่ก็ต้องยอมรับว่ารู้สึกดีไม่น้อยที่ได้ยินเสียงทุ้มนั้นเรียกชื่อ ก่อนที่จะถูกดึงสติกลับมาเมื่อคริสประทับจูบลงมาบนเรียวปากของเขาอีกครั้ง

สัมผัสที่เหมือนจะกลืนกินทำให้มือหนาของเจเรมีที่แตะบนหัวไหล่ของคริสอยู่เลื่อนไปโอบกอดแผ่นหลังแทน ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกให้คริสจู่โจมได้เต็มที่ พลันอัลฟ่าหนุ่มก็สอดปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปากของคนใต้ร่าง เกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นของอีกฝ่าย ตักตวงความหอมหวานราวกับผึ้งภมรตอมดอกไม้

เจเรมีส่งเสียงในลำคอเล็กน้อยเป็นการบอกให้รู้ว่าเขาพอใจกับสัมผัสนั้น และมันทำให้คริสชักจะทนไม่ไหว ใจจริงเขาอยากจะกลืนกินเจเรมีอย่างตะกรุมตะกรามตามแรงขับทางเพศที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเสียเหลือเกิน ทว่าด้วยความที่บอกกับอีกฝ่ายไว้แต่แรกว่าจะอ่อนโยนจึงทำให้เขาต้องค่อยๆ เคลื่อนไหวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เขาถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่งเมื่อเห็นว่าเจเรมีเริ่มหายใจกระชั้น ก่อนไล้ริมฝีปากไปยังแก้มทั้งสองข้าง หน้าผากและปลายจมูก จากนั้นถึงจูบพรมไล่ต่ำลงมายังลำคอ ขบกัดเล็กน้อยด้วยบริเวณนั้นเป็นส่วนที่มีกลิ่นฟีโรโมนชัดเจนเพราะความมันเขี้ยว ขณะเดียวกันก็สอดมือเข้าไปใต้เสื้อ ถลกมันขึ้นสูงเพื่อส่งปลายนิ้วไปหยอกเย้าตุ่มไตเล็กๆ

เม็ดเล็กสีสวยนั่นตอบสนองต่อการสัมผัสทันทีที่ถูกปลายนิ้วร้อนรังแก เจเรมีกระตุกเล็กน้อยเมื่อคริสบิดปลายนิ้วไปมา ความวาบหวามจู่โจมจนเขาต้องกัดริมฝีปากเพื่อข่มเสียงไว้ในลำคอ หากแต่คริสไม่ยอมให้เขาทำอย่างนั้น แค่เห็นสีหน้าของเจเรมีที่พยายามอดกลั้นก็นึกอยากแกล้งขึ้นมาให้สมกับความดื้อดึง

เท่านั้นก็จูบไล่พรมลงต่ำกว่าเดิม ลากปลายลิ้นไปยังยอดอกข้างหนึ่งที่ยังไม่ถูกรังแก ดุนดันจนมันตื่นตัวขึ้นมา พลันเข้าครอบครองทีละน้อย

เจเรมีถึงกับเบือนหน้าหนีไปอีกฝั่ง เผลอส่งเสียงออกมาอย่างลืมตัว เขาแข็งแกร่ง มีความอดทนทางกายภาพสูง แต่ไม่อาจอดทนต่อการรุกเร้าของปลายลิ้นนุ่มได้ ยิ่งคริสตวัดไล้ลิ้นไปมามากเท่าไหร่ อุณหภูมิในร่างกายก็เหมือนจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง

ใช่... ระเบิด ไม่ทันไร เจเรมีก็ต้องสะท้านไปทั้งร่างเมื่อมีแสงขาวโพลนปรากฏวาบเข้ามาในหัว

เสียงหายใจหอบหนักๆ ทำให้คริสรู้ว่าเจเรมีถึงฝั่งแล้วทั้งที่ยังไม่ได้แตะช่วงล่างเลยด้วยซ้ำ แต่นั่นมันเป็นเรื่องปกติของผู้ชายคนนี้ในยามเป็นฮีท

ครั้งแรกที่เห็นเจเรมีเป็นฮีท แค่ได้กลิ่นเขาอย่างเดียวยังสุขสมได้เลย ถูกกระตุ้นอย่างนี้ก็ไม่แปลกหรอกถ้าจะใช้เวลาไม่นานนัก แต่นั่นแหละความพิเศษของเจเรมี คริสรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่จบแค่นี้ อีกครู่เดียวอาการกำหนัดระลอกใหม่ก็ต้องมา ซึ่งก็เป็นจริงตามคาดเมื่อคริสหยอกเย้ากับยอดอกทั้งสองข้างสลับไปมาด้วยปาก มือทั้งสองข้างตอนนี้เลื่อนลงไปสาละวนกับการปลดตะขอกางเกงยีนของเจเรมีแล้ว

จะว่าด้วยความชำนาญหรืออะไรก็ได้ เพราะคริสใช้เวลาไม่นานก็จัดการกับปราการที่ขวางกั้นเขาอยู่ออกสำเร็จ เขาผละออกจากเจเรมีไปจับอีกฝ่ายถอดกางเกงออก ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาต้องกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

มันเป็นภาพที่ดูลามกสิ้นดี แต่กลับทำให้เจเรมีดูยั่วยวนขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัวจนเขาแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะจัดการคู่แห่งโชคชะตาในวินาทีนั้น

“นายเปียกไปหมดเลยนะ” โน้มใบหน้าลงไปกระซิบเสียงพร่า พลันใช้มือกอบกุมแก่นกายของอีกฝ่ายที่เริ่มจะแข็งขืนขึ้นมาอีกรอบ “แล้วก็ตื่นตัวอีกแล้ว”
“อย่าพูดมากได้ไหม” เจเรมีไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคริส ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่าคริสในเวลาอย่างนี้ช่างเจ้าเล่ห์เหลือเกิน

อัลฟ่าหนุ่มเผยอยิ้มให้กับคนที่หน้าแดงเรื่ออยู่ใต้ร่าง พลันประทับจูบลงไปที่ริมฝีปากอีกครั้ง
“นายน่ารักเกินไปแล้วเจมี”

ฟังแล้วประดักประเดิดเสียเหลือเกิน ตั้งแต่จำความได้มีแค่ตอนเด็กเท่านั้นที่เคยได้ยินคนอื่นชมเขาด้วยคำนี้ พอเริ่มเข้าวัยรุ่นก็ถูกเรียกว่าจอมวายร้ายแทน พอมาได้ยินอย่างนี้อีกครั้งก็ทำให้หน้าของเขาร้อนวูบขึ้นมาไม่ได้
“หยุดพล่ามสักที”

ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเขินอาย ถึงจะถูกสั่งห้าม ถึงจะไม่พูด แต่คริสก็อดคิดไม่ได้อยู่ดีว่าท่าทางอย่างนี้ของเจเรมีมันน่ารัก
เขาอดใจไม่ไหวที่จะแกล้งขบริมฝีปากของอีกฝ่าย ทำให้เจเรมีต้องย่นคิ้วอย่างหัวเสีย

“นายนี่มัน... ลีลาท่ามาก” เปล่งเสียงออกมาเมื่อเป็นอิสระ

คริสเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงถามว่าหมายความว่าอะไร ทว่าไม่มีคำตอบจากคนตรงหน้า แต่ก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องอะไรจากการกระทำ

หมายถึงเขาทำอะไรไม่ทันใจนั่นเอง และมันทำให้เจเรมีหงุดหงิดงุ่นง่านจนต้องเป็นพลิกบทมาเป็นฝ่ายจู่โจม

ลำคอแกร่งของคริสถูกรั้งเข้าหา ริมฝีปากถูกตะโบมจูบอย่างกระหาย คราแรกคริสก็จูบตอบรับกับปฏิกิริยานั้น แต่ครู่เดียวก็รู้สึกว่าเขาถูกรุกเร้าจนแทบจะหายใจหายคอไม่ทัน ผละมาได้เล็กน้อยก็จะบอกให้เจเรมีใจเย็นๆ แต่เหมือนจะไม่ทันแล้วเมื่ออีกฝ่ายจัดการถอดเสื้อของตัวเองออก โยนทิ้งไปข้างเตียง หันมาคว้าอัลฟ่าหนุ่มให้ล้มตัวลงนอนแทน ซ้ำยังเป็นฝ่ายขึ้นมาคร่อมเอาไว้จนคริสต้องร้องปราม

“เดี๋ยวเจมี...”
“หุบปาก”
ถูกเอ็ดมาอีกแล้ว จากนั้นก็ถูกช่วงชิงริมฝีปากไปอีกระลอก เจเรมีเหมือนกับสัตว์ป่ากำลังกัดกินเหยื่ออันโอชะอยู่ก็ไม่ปาน อะไรที่คริสทำกับร่างกายเขาก่อนหน้า เขาทำอย่างเดียวกันกับร่างกายคริสบ้างในคราวนี้ จะมีก็เพียงอย่างเดียวที่ดูจะพิเศษหน่อยตรงที่พอเจเรมีปลดเปลื้องช่วงล่างของคู่แห่งโชคชะตา แก่นกายก็ถูกครอบครองด้วยลิ้นและโพรงปาก

คริสครางฮืมในลำคอ กรามขบเข้าหากันจนเป็นสันนูนทันควัน

ให้ความร่วมมือในการเอาชีวิตรอดเกินไปแล้วเจมี...

อดรำพึงออกมาในใจอย่างนั้นไม่ได้เลย ยิ่งเห็นศีรษะของเจเรมีเคลื่อนไหวไปมาที่กลางลำตัวเขา คริสก็อดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายจัดการทุกอย่างก่อนที่มันจะสายเกินไป

“มานี่” ออกปากเรียกพลางดึงตัวคนตรงหน้าให้มานอนแทนที่

หากแต่พอเจเรมีเงยหน้าขึ้นมา เขาก็ดันไปจูบเจเรมีเสียอย่างนั้น ทำให้อีกฝ่ายปลดปล่อยออกมาโดยไม่ทันตั้งตัวอีกระลอก
คริสดึงร่างของคนตัวเล็กกว่าที่หายใจกระหืดหอบเข้ามากอด รอให้เจเรมีหายใจเป็นปกติครู่หนึ่งก็จับให้เอนกายลงไปนอนแทนที่เขา กระซิบเสียงเบาอย่างขบขัน

“จะรีบร้อนไปถึงไหน”

รีบจริงๆ เขายังไม่ทันจะได้ทำอะไรสักเท่าไหร่เลย คนใต้ร่างเขาก็ปลดปล่อยไปสองครั้งแล้ว

เจเรมีเหลือบมองขวางๆ ด้วยสายตายั่วยวน เถียงกลับอย่างไม่ยอม “นายอยากชักช้าทำไม”
“ก็บอกแล้วว่าจะอ่อนโยน นายนี่มันดื้อได้ทุกเวลาจริงๆ”
“ฉันจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของ...อึ้ก” กำลังจะเถียงอีกครั้งแต่ก็ต้องแอ่นสะโพกขึ้นเล็กน้อยเมื่อช่องทางระหว่างเนื้อหนั่นบริเวณบั้นท้ายถูกรุกรานด้วยปลายนิ้ว

ไม่แน่ใจว่าคริสสอดใส่เข้ามาตั้งแต่ตอนไหน รู้เพียงอย่างเดียวว่ามันทำให้เจเรมีเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง อาการฮีททวีมากขึ้นจนไม่อาจจเพิ่มไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว สติของเจเรมีแทบจะหลุดลอยในขณะที่ของเหลวค่อยๆ หลั่งออกมาเปรอะเปื้อนมืออีกฝ่ายเป็นการบอกให้รู้ว่าเขาพร้อมที่จะรับคริสเข้ามา

คริสแกล้งขยับนิ้วไปโดนจุดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกให้เจเรมีได้หลุดครางออกมา ก่อนจะกระซิบที่ข้างหู
“ตั้งแต่วินาทีนี้...เรื่องของนายก็เหมือนเรื่องของฉัน จำเอาไว้ให้ดี... เจเรมี เมอร์ซี”

แล้วก็ถอนนิ้วออกด้วยเกรงว่าคู่แห่งโชคชะตาจะหนีเขาไปสุขสมเพียงลำพังเป็นครั้งที่สาม มือหนาจับท่อนขาของเจเรมีตั้งชันขึ้น และขยับให้แยกออกเล็กน้อยเพื่อแทรกตัวเข้ามาระหว่างกลาง มือจับสะโพกขยับยกสูงเพื่อให้อยู่ในท่าทางที่ถนัด ก่อนที่ความเป็นชายของอัลฟ่าหนุ่มจะสัมผัสยังกลีบดอกไม้อย่างแผ่วเบา

อึดใจเดียว ความคับแน่นก็พร่างพรายไปทั่วช่องท้องของเจเรมี เขาเบ้หน้าเล็กน้อยด้วยไม่คุ้นชินกับความรู้สึกแปลกใหม่ คริสค่อยๆ ให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเชื่องช้าด้วยเกรงว่าจะไปสร้างความเจ็บปวดให้กับเจเรมี พอทุกอย่างเข้าที่ เขาก็เอ่ยถาม

“ไหวไหม?”
เจเรมีไม่ตอบ ได้แต่สบดวงตาเหยี่ยวอย่างวิงวอน
“คริส...”

เรียกแค่ชื่อแล้วก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก แต่กลับทำให้สัญชาตญาณนักล่าของคริสตื่นขึ้นมาเต็มตัว

เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว... สะโพกขยับเข้าหาจนร่างแนบชิด ช่วงล่างของเจเรมีแอ่นรับกับแรงกระแทกนั้น ไม่นานก็คุ้นชิน คริสเพิ่มความเร็วขึ้นเล็กน้อย เท่านั้นความเสียวซ่านก็พร่างพรายไปทั่วจนเจเรมีไม่เป็นตัวของตัวเอง เสียงที่กักเก็บมาครู่ใหญ่ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้น แขนทั้งสองข้างเกี่ยวกระหวัดโอบรัดร่างใหญ่ของคนตรงหน้า ขณะที่คริสก็พรมจูบรับรสและกลิ่นหอมหวานจากคนใต้ร่างไม่ห่าง

หลงใหลมัวเมาในกลิ่นฟีโรโมนของกันและกันจนจมดิ่งสู่โลกที่มีเพียงเขาสองคน... บทรักดำเนินไปครั้งแล้วครั้งเล่าคล้ายว่าจะไม่มีจุดสิ้นสุด เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งคืนจนคนที่รออยู่ด้านนอกหน้าร้อนวาบไปถึงไหนต่อไหนเมื่อได้ยินเสียงฟังไม่ได้ศัพย์ลอยตามลมมาให้ได้ยิน

แต่ใครจะสน เพียงแค่ได้ตระกองกอดกันและกันไม่ห่างอย่างนี้ พวกเขาก็ไม่มีเวลาจะไปคิดอะไรอย่างอื่นแล้ว

ความมหัศจรรย์ของคู่แห่งโชคชะตาระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง จนทำให้เจเรมีอดคิดไม่ได้เลยว่าคริสนี่แหละ... ยาระงับอาการฮีทชั้นดีของเขาล่ะ
-----------------------------------
เอาไปเพิ่มบทมานิดหน่อยค่ะ ความจริงเขียนเสร็จนานละตอนนี้
เพิ่มบทแล้วนัวมากกกก //ปาดน้ำลาย
เขาเป็นของกันและกันแล้วค่ะแม่! //จุดพลุ
ขอแสดงความยินดีกับขุ่นคริสด้วยค่ะที่ได้กินน้องสักที
แม่ยกไม่ต้องสยายปีกแล้วนะคะ ไม่นกละ ก๊ากก
ฝากฟีดแบ็กไว้ให้หน่อย เดี๋ยวเย็นๆ จะมาแปะตัวอย่างตอนต่อไปให้ค่ะ XD

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อื้อหือ นายนี่มันเจมีจริง ๆ !

และแล้วพี่คริสพญานกฟีนิกซ์ก็โดนปืนกระตุ้นฮีทสอยลงมาจากฟ้า
แลนดิ้งมาสยายปีกบนอกเจมีอย่างสง่างาม

 :laugh:

พี่คริสก็ยังใจดีกับเจมีเหมือนเดิม ไอ้ที่สารภาพทั้งหลายแหล่คือคำบอกรักกลาย ๆ หรือเปล่า? วุ้ย! เขิน  :-[

ลูก้าที่น่าสงสาร ถูกพ่อขายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไอ้ตระกูลเฮงซวยนี่ต้องมีเงื่อนงำแน่

เกมนี้มันวิปริตเหมือนไอ้นายพลเดร็กเลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด