[เรื่องยาว] Dear, My customer. รักลับๆ ของช่างตัดเสื้อ บทที่53 (จบ)p.24(6/1/63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องยาว] Dear, My customer. รักลับๆ ของช่างตัดเสื้อ บทที่53 (จบ)p.24(6/1/63)  (อ่าน 98024 ครั้ง)

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยย! ใจอีเจ๊นี่แทบปลิว
นึกว่าจะมีคนมาเห็นซะแล้วใจหายใจคว่ำหมด
(เดี๋ยวจับแม่เป็ดกดน้ำแล้วมาตุ๋นกินซะเลยนิ่!)
กอร์ดอนน่าสงสารสุดอะไรสุด!
ยิ่งอ่านยิ่งมีแต่เรื่องให้สงสารกอร์ดอน
ฉะนั้น เรื่องความรักก็อย่าให้ลำบากยากเย็นนักเลยนะคะคุณคนเขียน

ส่วนท่าอาร์ชดยุค(พิมพ์ถูกไหมนะ?)เรารู้สึกตะหงิดๆนิดๆ
เหมือนคนเขียนอาจจะให้ท่านดยุคเคยตกหลุมคุณย่าของกอร์ดอนมาก่อนก็เป็นได้
เพราะคนเขียนก็เคยบอกว่ามีขุนนางเคยมาชอบคุณย่านี่คะใช่ไหม?
แล้วแบบกอร์ดอนก็หน้าเหมือนคุณย่ามากๆ
เลยเป็นเหตุผลให้ท่านดยุคเลยมาหากอร์ดอนด้วยตัวเองที่ร้านบ่อยๆ
เพราะคิดถึงคุณย่าของกอร์ดอนก็เป็นได้

เราก็เดาไปเรื่อยล่ะค่ะ55555555555555555
เดาเพราะเห็นความสำคัญของท่านดยุคเลยนะเพราะแอบเห็นว่านามท่านโผล่มาหลายทีละ

ออฟไลน์ แม่มดน้อย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนนี้หลงกอร์ดอนหนักมาก
นางสวย นางน่าสงสาร ไม่อยากให้นางเจอเรื่องแย่ๆ
นี่ก็แพ้ทางผู้ชายแบบจอร์นอีก
ใจนึงก็อยากให้ทุกคนรู้สักที จะได้ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ
อยากให้พากันหนีไปอยู่อเมริกาเลย ฮือ :katai1:

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
ใจหายใจคว่ำกับแม่เป็ดมากกกกก

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
เราว่าต้องมีคนเห็นแน่ๆ  :katai1: :ling3:

ออฟไลน์ theG

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
กลางแจ้งมากค่ท่านลอร์ด ทำอะไรลงไปปป มีคนเห็นชัวร์เลย

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
** คำเตือน บุหรี่มีอันตรายต่อสุขภาพ การสูบบุหรี่ภายในเรื่องเป็นเพียงการบอกกล่าวถึงค่านิยมของคนในยุคนั้นเท่านั้นค่ะ**
*****************
Dear, My customer.

ตอนที่26 บ้านของกอร์ดอน


                เดวิดและบิสโม่กำลังช่วยกันเก็บลูกพีชและลูกแอ๊ปเปิ้ลที่หล่นอยู่ใต้ต้น ตอนที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์และกอร์ดอนกลับไปถึง อันที่จริงแล้วถ้าพูดให้ถูกคือทั้งสองคนกำลังเอาลูกพีชปาใส่กันมากกว่า เสียงเอะอะเอ็ดตะโรทำให้มิสซิสชิมเมอร์เดินมาเอ็ดพวกเขา

                “โอ๊ย ตายแล้ว! พวกเธอหยุดเล่นกันสักครึ่งวันจะได้มั้ย เดี๋ยวเกิดคันขึ้นมาจะต้องไปรบกวนคุณหมออับบราฮัมอีกนะ”

                เด็กทั้งสองต่างพากันหัวเราะชอบใจ ก่อนที่เดวิดจะหันมาเห็นสองคนที่เดินผ่านประตูรั้วมา

                “อ้าว พวกคุณกลับมาเร็วจัง ได้ปลามาเยอะไหมครับ?”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยื่นถังใส่ปลาให้เขาแทนคำตอบ ก่อนจะพูดต่อ “ฉันจอดเรือไว้ที่เดิมนะ”

                “ครับ เดี๋ยวพวกผมจะไปยกกลับมา ว้าว! คุณได้ปลาชับตัวใหญ่มากเลยนะครับเนี่ย ไอ้ตัวนี้แน่ที่ดึงสายเบ็ดผมขาดวันก่อน” เดวิดพูดจ๋อยๆ ขณะที่เพื่อนของเขาเดินมาชะโงกดูด้วย

                “โอ้โห ตัวใหญ่มากจริงๆ พวกคุณโชคดีมากครับ”

                มิสซิสชิมเมอร์ยิ้ม “พวกคุณโชคดีจริงๆ เดี๋ยวฉันจะให้เดวิดยกเข้าไปในครัวนะคะ”

                “ไม่เป็นไร” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ผมตั้งใจจะเอามันไปให้ที่ไพเพอร์ ลอด์จ ปลาตัวใหญ่ขนาดนี้เหมาะที่จะอยู่ในงานเลี้ยงมากกว่าจะกินกันแค่ไม่กี่คน คุณจะไปงานนี้ด้วยใช่ไหม?”

                “โอ... แน่นอนค่ะ” มิสซิสชิมเมอร์พยักหน้า “เซอร์จอร์จเชิญทุกคนในละแวกนี้ คุณช่างมีน้ำใจดีเหลือเกินค่ะ”

                “แสดงว่าคุณจะไปงานเลี้ยงเย็นนี้ด้วยใช่ไหมครับ?” เดวิดพูดแทรกขึ้นมา ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า

                “ใช่ เดี๋ยวฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปที่บ้านของเซอร์จอร์จเลย”

                “คุณไม่อยู่ดื่มชากับเราก่อนหรือครับ? แม่ผมทำพายลูกพีชเอาไว้เยอะเลยนะครับ”

                มิสซิสชิมเมอร์หันไปสะกิดลูกชาย ก่อนจะหันมายิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เชิญพวกคุณตามสบาย”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์คลี่ยิ้มตอบไป “พายลูกพีชฟังดูน่าอร่อยนะ พวกเราก็ไม่ได้รีบอะไร ดื่มชาก่อนแล้วค่อยไปก็ได้ เซอร์จอร์จคงไม่ปิดประตูไม่ต้อนรับผมหลังเวลาน้ำชาหรอก”

                กอร์ดอนหัวเราะออกมา ก่อนจะพาลอร์ดโทรว์บริดจ์เข้าบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า

-------------------------------------

                “นี่ กอร์ดอน ผมเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ชมด้านในตัวบ้านของคุณเลย” ลอร์ดหนุ่มพูดเมื่อทั้งคู่เดินขึ้นบันไดมายังชั้นสอง

                “ไว้เดี๋ยวกลับมาจากบ้านของเซอร์จอร์จแล้ว ผมค่อยพาคุณชมก็ได้ครับ บ้านผมไม่มีอะไรมากหรอก” กอร์ดอนพูดพลางเดินไปหยุดหน้าประตูห้องที่อยู่ด้านขวา “นี่ห้องคุณครับ ตู้เสื้อผ้าขวามือคุณเปิดใช้ได้เลย ส่วนผ้าเช็ดตัวไอเวอรี่น่าจะแขวนเอาไว้ให้แล้ว ห้องน้ำอยู่สุดทางเดินด้านซ้าย ส่วนห้องผมอยู่ด้านหลังก่อนถึงห้องน้ำ ถ้าขาดเหลืออะไรคุณตะโกนเรียกผมหรือเดวิดได้เลยครับ”

                “ตกลง” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้อง สิ่งแรกที่เขาสังเกตเห็นคือเตียงนอนสี่เสาหลังใหญ่ที่สลักเสลาลวดลายเอาไว้อย่างสวยงาม พร้อมด้วยผ้าคลุมเตียงและปลอกหมอนที่เข้าชุดกับตัวเตียง แม้จะไม่สวยหรูและใหญ่โตอย่างเตียงของเขาในคฤหาสน์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเป็นเตียงไม้ที่สวยงามมากทีเดียว เช่นเดียวกับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นๆ ในห้อง ที่ทำมาเข้าชุดกันและรับกับขนาดของห้องอย่างพอดิบพอดี ผนังห้องทาสีแดงอิฐ และทาสีบัวด้วยสีขาว ผ้าม่านสีน้ำตาลเข้มถูกเปิดเอาไว้เพื่อให้แดดส่องเข้ามา ด้านหลังบานหน้าต่างคือภาพของอ่างเก็บน้ำเวลส์ฮาร์ปที่ดูสวยงามราวกับภาพวาด ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถึงกับอุทานออกมาด้วยความประทับใจ แม้เขาเคยชินกับการเห็นวิวสวยๆ จากที่พักของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นที่คฤหาสน์ หรือที่โรงแรม ซึ่งมักจะจัดห้องที่วิวดีที่สุดให้กับเขาและครอบครัวเสมอ แต่เขาคาดไม่ถึงว่า ในบ้านคนสามัญธรรมดาที่ตั้งอยู่ชานกรุงลอนดอน จะมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามเมื่อมองผ่านหน้าต่างแบบนี้ ชายหนุ่มถึงกับเดินไปที่หน้าต่าง ผลักมันออก และก้าวเท้าไปยืนตรงระเบียงเพื่อชมความงามของอ่างเก็บน้ำเวลส์ฮาร์ปในยามบ่าย เขาได้ยินเสียงเด็กหนุ่มคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้ด้านล่าง จากหน้าต่างบานนี้ เขาแทบจะเอื้อมมือไปปลิดลูกแอ๊ปเปิ้ลหรือลูกพีชที่อยู่บนต้นของมันได้เลย ลอร์ดโทรว์บริดจ์คิดว่าช่วงเดือนเมษายน ภายในห้องนี้คงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกพีชเป็นแน่

                ชายหนุ่มกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง เขาสะดุดตากับกรอบรูปที่วางอยู่บนหิ้งเหนือเตาผิงขนาดใหญ่ ซึ่งกินพื้นที่ถึงหนึ่งในสามของผนังห้องที่มันตั้งอยู่ ตัวหิ้งก็ถูกทำให้รับกับห้องเช่นเดียวกับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นๆ บนนั้นมีกรอบรูปวางอยู่หลายกรอบ ส่วนใหญ่เป็นรูปถ่ายคู่ของชายหญิงที่มีอายุแล้วคู่หนึ่ง ลอร์ดโทรว์บริดจ์เดาว่าน่าจะเป็นรูปถ่ายของปู่และย่าของกอร์ดอน เขาพินิจมองรูปพวกนั้น คุณโอเดนเบิร์กเป็นผู้ชายที่มีท่าทางซื่อตรง เขาแต่งตัวพิถีพิถันอย่างที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์เคยจินตนาการว่าจะได้เห็นจากช่างตัดเสื้อผู้มากฝีมือ และมีดวงตาที่แสนอ่อนโยน ขณะที่คุณนายโอเดนเบิร์กเป็นผู้หญิงที่คงความสวยเอาไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ แม้ว่าวัยของเธอจะไม่น้อยไปกว่าผู้ที่เป็นสามีแล้วก็ตาม ถึงมันจะเป็นเพียงแค่รูปถ่ายขาวดำ แต่ลอร์ดโทรว์บริดจ์กลับรู้สึกว่ารูปนี้แหละสะท้อนความงามที่แท้จริงของเธอได้ยิ่งกว่ารูปวาดที่ร้านของกอร์ดอนเสียอีก

                เธอรวบผมสีอ่อนไว้ด้านหลัง สวมหมวกและชุดสีเข้ม ใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ ที่ชวนให้คนมองหัวใจพองโต ชุดของเธอสวยอย่างที่กอร์ดอนพูดไว้ แม้เธอจะไม่ได้สวมเครื่องประดับที่ดูมีราคาค่างวดอะไร แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความงามของเธอดูด้อยลงเลย ตรงข้าม ลอร์ดโทรว์บริดจ์กลับคิดว่า หากมีอัญมณีมีค่าใดมาประดับอยู่บนตัวเธอ มันคงดูหมองลงเพราะไม่อาจเทียบชั้นกับความงามของผู้สวมใส่ได้ สายตาของเธอที่มองมานั้นช่างอ่อนหวาน อ่อนโยนและล้ำลึก จนเขาถึงกับไม่กล้านึกภาพว่าเมื่อเธอยังสาว จะมีผู้ชายกี่คนที่ปรารถนาจะได้ครอบครองเธอ แต่ชายเดียวที่ชนะใจเธอได้ ก็คือผู้ชายที่เธอคล้องแขนเขาเอาไว้อย่างรักใคร่ในรูปถ่ายใบนี้

                มีภาพถ่ายของทั้งคู่วางอยู่บนหิ้งราวสี่ห้าภาพ สองในนั้นพวกเขาถ่ายร่วมกับชายหนุ่มอีกคน ซึ่งมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับคุณโอเดนเบิร์ก เพียงแต่เขามีดวงตาและผมเป็นลอนแบบคุณนายโอเดนเบิร์ก ซึ่งคงไม่น่าจะเป็นใครอื่นนอกจากลูกชายของเขา หรือพ่อของกอร์ดอนนั่นเอง ลอร์ดโทรว์บริดจ์ไล่ดูรูปถ่ายพวกนั้นจนมาสะดุดกับรูปสุดท้าย

                มันเป็นกรอบรูปคู่ทองเหลืองที่เจาะด้านในเป็นวงรี ดุนลายสวยงาม ด้านหนึ่งเป็นรูปของคุณโอเดนเบิร์กในวัยกลางคน แต่อีกด้านหนึ่งกลับว่างเปล่า ทั้งที่ควรจะมีรูปของคุณนายโอเดนเบิร์กใส่อยู่คู่กัน ระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังนึกสงสัยอยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

                “จอห์น คุณแต่งตัวเสร็จหรือยังครับ? มีเรื่องอะไรให้ผมช่วยมั้ย?”

                “อ้อ เปล่า” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ปฏิเสธ “พอดีผมคิดอะไรเพลินไปหน่อย คุณลงไปรอข้างล่างเลย เดี๋ยวผมจะตามลงไป”

                “ตกลงครับ”

-------------------------------------

                สิบห้านาทีหลังจากนั้น ลอร์ดโทรว์บริดจ์ก็เดินลงมาชั้นล่าง เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทั้งหมด โดยสวมเสื้อกั๊กสีแดงเข้ม และเสื้อสูทสีน้ำตาลเข้มเข้าคู่กับกางเกงสีเดียวกัน สวมหมวกฮอมเบิร์กสีน้ำตาล และถือไม้เท้าที่ทำจากไม้มะเกลือสีดำสนิท โดยมีหัวทำจากเงิน

                “ว้าว คุณดูดีมากเลยครับ” กอร์ดอนพูดออกมา เขานั่งรออยู่ที่เก้าอี้ตรงโถงข้างบันได “ผมแน่ใจว่านอกจากทุกคนจะสะดุดตากับหน้าตาของคุณแล้ว สายนาฬิกากับหัวไม้เท้าของคุณก็คงเป็นที่จับตามองไม่น้อยทีเดียว

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะขวยๆ “มันดูสะดุดตาเกินไปหรือ? ผมไม่มีนาฬิกาที่มีสายทำด้วยโลหะอื่นนี่นา ส่วนไม้เท้า... อันนี้ธรรมดาที่สุดแล้วเท่าที่ผมมี”

                กอร์ดอนหัวเราะ ก่อนจะพูดต่อ “ผมไม่ยักรู้มาก่อนว่าคุณนิยมพกไม้เท้าแล้ว”

                “ผมคิดว่าควรจะพกมันหลังจากเรื่องที่บาร์นั่นน่ะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบ ก่อนจะพูดต่อ “เราจะออกไปดื่มชาที่สวนใช่ไหม? มิสซิสชิมเมอร์จะสะดวกไหม?”

                “ผมบอกเธอไว้แล้วครับ ผมแน่ใจว่าคุณคงไม่อยากดื่มชาในบ้าน ขณะที่อากาศด้านนอกดีขนาดนี้หรอก”

                มิสซิสชิมเมอร์ปูผ้าเอาไว้ให้พวกเขาแล้วในสวนใต้ร่มของต้นแอ๊ปเปิ้ลและต้นพีช เธอพยายามเลือกบริเวณที่มีลูกไม้สุกอยู่น้อยที่สุด เพื่อไม่ให้มันหล่นลงมาโดนคนที่อยู่เบื้องล่าง

                กอร์ดอนและลอร์ดโทรว์บริดจ์นั่งลงใต้ร่มไม้ ช่างตัดเสื้อถามถึงเดวิด และได้รับคำตอบว่าเขากับเพื่อนกำลังไปนำเรือกลับมาจากอ่างเก็บน้ำอยู่ มิสซิสชิมเมอร์ยกน้ำชาและพายลูกพีชมาให้พวกเขา ก่อนจะปลีกตัวกลับไปที่ครัว ปล่อยให้คนทั้งคู่พูดคุยกันตามอัธยาศัย

                “กอร์ดอน ห้องที่คุณให้ผมยืมใช้เป็นห้องของปู่คุณใช่ไหม เฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ด้านในสวยมาก”

                คนถูกถามพยักหน้า ก่อนจะตอบอย่างภาคภูมิใจ “เฟอร์นิเจอร์ทั้งชุดนั่น พ่อผมเป็นคนทำเองกับมือเลยครับ ผมดีใจที่คุณเห็นว่ามันสวย”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้ม “เขาเป็นคนมีฝีมือจริงๆ สมแล้วที่เป็นเจ้าของโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ น่าเสียดายที่เขาด่วนจากไปเสียก่อน”

                “ถ้าพ่อยังอยู่ ผมคงประหยัดเงินค่าเฟอร์นิเจอร์ที่ร้านไปได้อีกเยอะ” กอร์ดอนพูดพลางหัวเราะ ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเขาแล้วพูดต่อ

                “ผมเห็นรูปปู่กับย่าคุณบนหิ้งแล้ว ทั้งสองคนเหมาะกันมาก โดยเฉพาะย่าของคุณ เธอเป็นคนที่สวยอย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว”

                กอร์ดอนยิ้มให้เขา “คุณคงหลงรักย่าจากรูปถ่ายแล้วสินะครับ”

                “ผมหลงรักหลานของเธอต่างหาก” อีกฝ่ายว่า กอร์ดอนรีบเอานิ้วแตะปาก

                “อย่าพูดดังไปครับ เดี๋ยวใครจะมาได้ยินเข้า”

                ลอร์ดหนุ่มหัวเราะชอบใจ “แต่น่าแปลกมากเลยที่รูปในกรอบคู่หายไปรูปหนึ่ง ผมคิดว่ามันน่าจะเคยมีรูปย่าของคุณอยู่ในนั้นมาก่อน ทำไมมันถึงได้หายไปล่ะ?”

                กอร์ดอนมองฝ่ายนั้น ก่อนจะยิ้ม “ทำไมคุณถึงไม่คิดว่ามันไม่เคยมีรูปอยู่ในนั้นมาก่อนล่ะครับ”

                “ก็เพราะมันเป็นกรอบคู่น่ะสิ แล้วทั้งหิ้งก็มีแต่รูปปู่กับย่าของคุณ กรอบแบบนั้นในเมื่อด้านหนึ่งมีรูปปู่ของคุณแล้ว อีกด้านก็ควรจะมีรูปย่าคุณ ไม่อย่างนั้นก็รูปของลูกชายเขา เป็นไปไม่ได้ที่ใครคนหนึ่งจะซื้อกรอบรูปคู่มา แล้วใส่รูปถ่ายแค่ใบเดียว ทั้งๆ ที่เขามีคนพร้อมที่จะใส่รูปคู่ลงไปแล้ว” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า กอร์ดอนพยักหน้า

                “ครับ ในนั้นเคยมีรูปอยู่ แต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว”

                “ผมถามได้ไหมว่ามันหายไปไหน? เดี๋ยวนะ ให้ผมเดาดีกว่า” เขาพูดแล้วทำหน้าครุ่นคิด กอร์ดอนหัวเราะ

                “เอาสิครับ คุณจะลองเล่นเป็นโฮล์มดูอีกสักทีก็ได้ ผมจะได้มีเรื่องความลับของคุณเก็บไว้อีกเรื่อง”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์สั่นศีรษะพลางยิ้ม “อย่ารบกวนสมาธิผมสิ นี่ผมกำลังคิดอย่างจริงจังเลยนะ อืม...”

                เขายกมือลูบคางอย่างใช้ความคิด ก่อนจะโพล่งขึ้น “รู้แล้ว คุณคิดถึงย่าเลยเอารูปไปไว้ที่ร้าน... เอ๊ะ เดี๋ยวสิ... ถ้าเป็นคุณทำไมถึงไม่เอาไปทั้งคู่เลยล่ะ ไม่ๆ ผมขอคิดอีกที”

                กอร์ดอนยกถ้วยชาขึ้นมาจิบพลางมองฝ่ายนั้นยิ้มๆ “ระหว่างคิดผมว่าคุณลองชิมพายของไอเวอรี่ดูดีกว่าครับ”

                เขาหยิบพายส่งให้ฝ่ายนั้น ลอร์ดโทรว์บริดจ์รับมาแล้วกัดไปคำหนึ่ง “อืม... รสชาติไม่เลว กลิ่นลูกพีชหอมมาก”

                เขากินพายชิ้นนั้นกับน้ำชาจนหมด จากนั้นก็พูดขึ้น “มิสซิสชิมเมอร์ต้องเป็นภรรยาที่ดีทีเดียว ดูจากการทำพายลูกพีชของเธอ”

                กอร์ดอนพยักหน้า ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถามขึ้นต่อ “แล้วย่าคุณทำอาหารเก่งมั้ย?”

                “โอ... ผมไม่รู้หรอกครับ ตอนผมจำความได้ย่าก็เสียไปแล้ว แต่แม่ผมทำอาหารเก่งครับ”

                “อืม... โอ้ ผมรู้แล้ว!” จู่ๆ ลอร์ดหนุ่มก็โพล่งขึ้นมา “ใครสักคนขโมยรูปถ่ายในกรอบใบนั้นไป ย่าคุณเป็นคนสวยมาก ผมเพิ่งนึกได้ว่าบนหิ้งมีแค่รูปนั้นรูปเดียวที่เป็นรูปเดี่ยวของเธอ คนที่มาขโมยจะต้องเป็นคนที่แอบหลงรักเธอแน่ๆ เขาแอบปีนเข้ามาทางหน้าต่างตอนคุณไม่อยู่ คุณทิ้งบ้านหลังนี้ไปตั้งหลายปีนี่นา”

                ช่างตัดเสื้อยิ้ม “จอห์น ถ้าย่าผมยังอยู่ตอนนี้อายุอย่างน้อยๆ ก็ต้องแปดสิบแล้วนะครับ ถ้าคุณคิดว่าคนที่แอบหลงรักย่ามาขโมยมันไป คนคนนั้นก็ต้องอายุแปดสิบหรือไม่ก็บวกลบกว่านั้นไม่มาก ผมว่าคนอายุแปดสิบคงปีนหรือย่องเบาเข้าบ้านใครไม่ไหวแล้วล่ะ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หน้าแดงด้วยความอับอาย “จริงด้วย ผมนี่โง่ชะมัด ให้ตาย ถ้าไม่ใช่คนที่แอบหลงรักย่าคุณมาขโมยมันไป แล้วสาเหตุอะไรมันถึงได้หายไปล่ะ?”

                “เขามาขอมันไปครับ” กอร์ดอนตอบยิ้มๆ “เขามาที่นี่และขอรูปใบนั้นไป”

                “ว้าว” ลอร์ดโทรว์บริดจ์อุทาน “นั่นสินะ เขามาขอไปดีๆ ก็ได้นี่นา... เขาคงรักย่าคุณมาก เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เขายังกลับมาขอรูปเธออีก เขาคงจะตัดใจจากเธอไม่ลง”

                กอร์ดอนพยักหน้า “แต่เขาก็มีชีวิตส่วนของเขาไปแล้วครับ เขาไม่เคยมายุ่งกับเรื่องของย่าเลยตอนที่ปู่ยังอยู่”

                “อืม... เขามีความเป็นสุภาพบุรุษมากทีเดียว” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า จังหวะนั้นเดวิดกับบิสโม่ยกเรือมาถึงหน้าประตูรั้วพอดี

                “คุณโอเดนเบิร์ก คุณเคฟ พายลูกพีชเป็นไงบ้างครับ?” เด็กหนุ่มร้องถามอย่างร่าเริง ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้มให้เขา

                “อร่อยมาก ฝากบอกแม่เธอด้วยว่าใครที่ได้เธอเป็นภรรยาถือว่าโชคดีมาก”

                เดวิดหัวเราะชอบใจ “แม่ต้องเขินมากแน่ที่คุณเป็นคนพูด” จากนั้นเขาก็ขอตัวเอาเรือไปเก็บที่อาคารเก็บของ ก่อนจะวกกลับมาอีกครั้ง

                “คุณจะให้ผมเอาปลาไปส่งให้ที่ไพเพอร์ ลอด์จมั้ยครับ? บ้านของบิสโม่ผ่านทางนั้น ผมจะไปส่งเขาด้วย”

                “เอาสิ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ที่นั่นอยู่ไกลจากนี่มากไหมล่ะ? ถ้าไม่ไกลเราเดินไปพร้อมกันก็ได้”

                “ไม่ไกลหรอกครับ” เด็กหนุ่มตอบเขา

-------------------------------------

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ และกอร์ดอนออกเดินไปที่ไพเพอร์ ลอด์จตอนบ่ายสองโมงพอดี โดยมีเด็กหนุ่มสองคนถือถังใส่ปลาเดินไล่หลัง

                “คุณเคฟ บิสโม่บอกว่าคุณต้องเป็นลอร์ดโทรว์บริดจ์แน่ ผมบอกเขาไปแล้วว่าไม่ใช่” เดวิดตะโกนบอกคนที่เดินอยู่หน้าเขา ได้ยินเสียงบิสโม่ตะโกนตามมา

                “ไม่จริงครับ ผมแค่บอกว่า ไม้เท้าของคุณสวยมากต่างหาก ถ้าลอร์ดโทรว์บริดจ์มาที่นี่ เขาต้องถือไม้เท้าแบบนี้แน่”

                กอร์ดอนขำพรวดออกมาทันที ขณะที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยักไหล่ แล้วหันไปตอบสองคนนั้นด้วยสีหน้าจริงจัง

                “พวกเธอเคยเห็นไม้เท้าของลอร์ดโทรว์บริดจ์หรือ? รู้รึเปล่าว่าไม้เท้าของเขาเลี่ยมหัวด้วยทองคำฝังบุษราคัมกับพลอยแดงหนักรวมกันห้าสิบกะรัต”

                “โอ้โห! เขาร่ำรวยขนาดนั้นเลยหรือครับ” เด็กหนุ่มทั้งคู่ทำตาโต ก่อนที่บิสโม่จะถามออกมา “คุณรู้ได้ไงครับ เคยเห็นไม้เท้าเขาหรือ?”

                “เคยสิ ก็ฉันเป็นคนขายบุษราคัมเม็ดนั้นให้เขาเอง” พูดจบเขาก็หัวเราะ “พวกเธอประเมินความร่ำรวยของเขาต่ำไปแล้ว”

                “งั้นคุณก็ไม่ใช่เขา...” บิสโม่พูดอย่างไม่แน่ใจ “แต่หน้าคุณคล้ายท่านลอร์ดที่อยู่ในโปสเตอร์มาก”

                “ภาพในโปสเตอร์ไม่ใช่ตัวจริง” ลอร์ดหนุ่มว่า “มีคนเป็นล้านๆ ในลอนดอน ฉันไม่แปลกใจถ้าจะมีสักสองสามคนที่หน้าคล้ายเขา บังเอิญว่าฉันเป็นหนึ่งในนั้นพอดี”

                “โอ... อย่างนั้นเองหรือครับ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หันมาหลิ่วตาให้เขา “รู้แล้วเหยียบไว้ล่ะ ฉันอาจจะหลอกคนแถบนี้ได้ครึ่งหนึ่งเลยว่าตัวเองคือลอร์ดโทรว์บริดจ์”

                บิสโม่ขมวดคิ้ว “แต่มันไม่ดีไม่ใช่หรือครับ? คนเราไม่ควรจะหลอกลวงใคร”

                “งั้นเธอก็ไม่คิดว่าฉันคือลอร์ดโทรว์บริดจ์แล้ว”

                เด็กหนุ่มสั่นศีรษะ เดวิดหัวเราะออกมา “ฉันบอกนายแล้วว่าเขาไม่ใช่”

                “ฉันก็ไม่คิดหรอกว่าเขาจะใช่ ท่านลอร์ดจะมาเดินอยู่ที่นี่ได้ไง เขาถือไม้เท้าที่หัวทำจากทองคำฝังบุษราคัมหนักตั้งห้าสิบกะรัตเชียวนะ เขาไม่มีทางมาเดินอยู่ที่นี่หรอก”

                กอร์ดอนหันมากระซิบกับลอร์ดโทรว์บริดจ์ “นี่คุณถือไม้เท้าเลี่ยมทองฝังบุษราคัมหนักห้าสิบกะรัตจริงหรือ?”

                “ใช่” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบยิ้มๆ “ผมคิดว่าคุณสังเกตเห็นที่งานเต้นรำแล้วเสียอีก อันที่จริงผมมีอีกอันเป็นไพลินล้อมด้วยเพชรหนักห้าสิบกะรัตเท่ากัน แต่ผมชอบอันที่เป็นบุษราคัมมากว่า”

                “โอย...” กอร์ดอนคราง “คุณพกมาเมื่อไหร่บอกผมนะครับ ผมจะได้หลีกให้ห่างไว้”

                “ทำไมล่ะ ผมไม่เอามันฟาดคุณหรอกน่า”

                “เปล่าหรอกครับ ผมกลัวจะไปทำมันเสียหายเข้า มีหวังทำงานใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด”

                ลอร์ดหนุ่มหัวเราะ แล้วหลิ่วตามองเขา “มันไม่ได้เสียหายง่ายขนาดนั้นหรอก แต่ก็ฟังดูน่าสนใจอยู่นะ ถ้าคุณจะมาทำงานเป็นช่างส่วนตัวให้ผมเพื่อชดใช้ค่าไม้เท้าเนี่ย”

                “หยุดเลยนะจอห์น หยุดคิดอะไรแบบนั้นเลย!”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์แสร้งทำเป็นวิ่งหนี ช่างตัดเสื้อไล่ตามเข้าไป เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วทุ่งกว้างของนีสเดน ท่ามกลางแสงแดดและสายลมยามบ่าย

-------------------------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
                ไพเพอร์ ลอด์จตั้งอยู่ห่างจากทรีลอว์นีย์ไปทางทิศใต้ราวครึ่งไมล์ มันเป็นคฤหาสน์หลังย่อมๆ ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาดราวสองเอเคอร์ ตัวคฤหาสน์สร้างจากอิฐสีเหลือง ดูเด่นเมื่ออยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ประดับและท้องฟ้าสีครามของหน้าร้อน

                ประตูรั้วของคฤหาสน์ไม่ได้ปิด พวกเขาทั้งสี่จึงเดินเข้าไปจนถึงหน้าประตู และเคาะมันด้วยห่วงเหล็กที่ฝังอยู่ ไม่นานก็มีคนรับใช้วิ่งตื๋อออกมา

                “คุณมีธุระอะไรหรือครับ? โอ้ สวัสดีตอนบ่ายครับคุณโอเดนเบิร์ก นายท่านกำลังยุ่งมาก เกรงว่าจะไม่สะดวกให้เข้าพบครับ พวกคุณมีธุระด่วนรึเปล่าครับ?”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เลิกคิ้ว “เขายุ่งกับการเตรียมงานเลี้ยงขนาดนั้นเลยหรือ? ช่วยไปบอกเขาหน่อยสิว่าหลานชายของโธมัสที่อเมริกามาหาเขา”

                คนรับมองดูลอร์ดโทรว์บริดจ์ ด้วยท่าทางและการแต่งตัวทำให้เขาคาดเดาได้ไม่ยากว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ จึงรีบรับคำ

                “ครับ ผมจะไปแจ้งท่านให้” ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในตัวคฤหาสน์ ไม่นานนักประตูก็เปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เซอร์จอร์จ คาเมรอน ถึงกับออกมาต้อนรับแขกด้วยตัวเอง เขาเป็นชายอายุราวหกสิบเศษ รูปร่างสันทัด สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีเหลืองอ่อน และกางเกงสีน้ำตาลดำ ท่าทางกระฉับกระเฉง

                “พระเจ้าช่วย! ให้ตายเถอะ! เป็นคุณจริงๆ ด้วย ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะมา” ท่านเซอร์พูดด้วยความตื่นเต้น ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยกมือแตะปาก

                “สวัสดีตอนบ่าย ผมตกได้ปลาตัวใหญ่เลยเอามาที่นี่ ผมอยากให้มันอยู่ในมื้อเย็นของงานเลี้ยงด้วย หวังว่าการมาของผมจะไม่รบกวนเวลาของคุณหรอกนะ”

                “โอ... ไม่เลยครับ ไม่เลย” เซอร์จอร์จ คาเมรอนพูด “คุณช่างน้ำใจงามจริงๆ เอาไปที่ครัวได้เลย พวกแม่บ้านกำลังจัดการเรื่องนี้กันอยู่ มาเถอะ พวกเราไปคุยกันที่ห้องนั่งเล่นดีกว่า”

                เซอร์จอร์จ คาเมรอนพาทั้งสองคนไปที่ห้องนั่งเล่นด้วยตัวเอง ขณะที่เดวิดและบิสโม่ถูกพาไปที่ครัวด้านหลัง หลังจากคนรับใช้ยกน้ำชามาให้แล้ว เขาก็พูดขึ้นต่อ

                “โอ้... ท่านลอร์ด ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะมาที่ได้ คุณมากับดอนนี่หรือ?”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “ใช่ ผมเป็นเพื่อนเขา ผมเพิ่งรู้ว่าคุณเป็นญาติเขา ช่างบังเอิญมาก”

                “บังเอิญจริงๆ ดอนนี่ เธอโชคดีมากที่ได้เป็นเพื่อนกับเขา” เซอร์จอร์จ คาเมรอนหันมามองญาติของเขา “ลอร์ดโทรว์บริดจ์เป็นคนหนุ่มที่มีน้ำใจและตรงไปตรงมามาก และเขายังเป็นคนที่มีความสดใสอย่างที่หาจากใครได้ยากอีกด้วย”

                เขาหันกลับมามองลอร์ดหนุ่มอย่างชื่นชม “ผมไปชมการชกของคุณมาด้วย มันช่างน่าประทับใจมาก คุณเป็นแบบอย่างของสุภาพบุรุษนักกีฬาที่เริ่มหาได้ยากแล้วในยุคนี้ มันเป็นการชกมวยที่ดีที่สุดเลย”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะขวยๆ “คุณยกยอผมเกินไปแล้ว ผมก็แค่อยากจะขึ้นชกมวยเท่านั้นเอง”

                “คุณช่างเหมือนกับอาของคุณ ท่านลอร์ด ว่าแต่ลอร์ดโธมัสเป็นไงบ้างครับ เขาอยู่อเมริกาสบายดีใช่ไหม?”

                “เขามีความสุขกับที่นั่นมาก” อีกฝ่ายตอบ “การทำเหมืองแร่ที่นั่นเป็นเรื่องท้าทายเขา พอๆ กับการเป็นทหารเลย”

                “โอ... ใช่ ผมนึกภาพลอร์ดโธมัสออกเลย เขาคงสนุกที่ได้อยู่ท่ามกลางอุปสรรค์ ผมหวังว่าเขาจะปลดเกษียณตัวเองได้สักวันหนึ่ง ในสงครามย่อมมีความโหดร้ายเสมอ”

                “ธุรกิจเหมืองแร่ที่อเมริกากำลังดำเนินไปด้วยดีครับ ผมคิดว่าไม่นานอาคงได้เป็นนักธุรกิจเต็มตัว”

                “ขอพระเจ้าอวยพรให้เขา” เซอร์จอร์จ คาเมรอนว่า ก่อนจะหันไปหาญาติของเขาอีกครั้ง

                “ดอนนี่ เธอชวนท่านลอร์ดมางานเต้นรำคืนนี้หรือยัง? ฉันไม่คิดว่าเราควรจะปล่อยให้เขาอยู่บ้านของเธอตามลำพัง ขณะที่เรามาสนุกกันที่นี่หรอกนะ มันไม่สมควรเลย”

                กอร์ดอนยิ้ม “คุณพ็อตเตอร์ยังไม่ได้บอกคุณหรือครับ ว่าเขาตกลงจะมางานเต้นรำด้วย”

                ท่านเซอร์สั่นศีรษะ “ไม่ เขาแค่บอกว่าเธอกับเพื่อนจะมาด้วยกัน โอ้ จริงสินะ คุณตกลงแล้วนี่นา”

                เขาหันมาหาลอร์ดโทรว์บริดจ์อีกครั้ง “ช่างเป็นเกียรติสำหรับผมและคนที่นี่จริงๆ ที่คุณมาร่วมงานเลี้ยงเต้นรำเล็กๆ ของเรา ทุกคนต้องแปลกใจมากแน่”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเขาแล้วยิ้ม “อันที่จริงผมต้องการมาพักผ่อนที่นี่เงียบๆ โดยไม่ให้ใครทราบถึงฐานะที่แท้จริง อย่างที่ผมได้กำชับกับทุกคนที่บ้านของกอร์ดอน รวมถึงคุณพ็อตเตอร์ เลขาของคุณแล้ว ผมมาที่นี่เพื่อขอให้คุณช่วยปิดบังฐานะผมด้วย ผมคงไม่ค่อยมีความสุขนัก หากถูกมองในฐานะของลอร์ดโทรว์บริดจ์ แทนที่จะเป็นเพื่อนคนหนึ่งของญาติคุณ ผมอยากให้คุณเรียกผมในชื่อ จอห์น เคฟ คุณสะดวกรึเปล่า?”

                “ถ้าคุณต้องการเช่นนั้น ผมก็ไม่ขัดครับ” เซอร์จอร์จ คาเมรอนพยักหน้า “ถึงอย่างนั้นผมเกรงว่าทุกคนอาจจะจำคุณได้เนื่องจากรูปของคุณที่ปิดอยู่บนโปสเตอร์เมื่อครั้งชกมวยคราวก่อน มันเป็นที่กล่าวถึงกันมาก โดยเฉพาะพวกเด็กหนุ่มสาว”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะ “เรื่องนั้นผมจะหาวิธีรับมือเอง คุณแค่ช่วยยืนยันว่าผมคือ คุณจอห์น เคฟก็พอ”

                “เช่นนั้นก็ตกลงตามที่คุณว่า” เซอร์จอร์จ คาเมรอนพยักหน้า ก่อนจะพูดต่อ “ผมดีใจมากที่คุณเป็นเพื่อนกับดอนนี่ เขาไม่เคยพาเพื่อนมาแนะนำให้ผมรู้จักเลย ตลอดเวลาหลายปีที่เขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวคนเดียว อันที่จริงผมหวังอย่างยิ่งว่าเขาจะแต่งงานกับผู้หญิงดีๆ สักคนหนึ่ง”

                “จอร์จ เราไม่ควรพูดเรื่องนี้ต่อหน้าท่านลอร์ดนะครับ มันค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัว”

                “มันเป็นเรื่องสำคัญ” เซอร์จอร์จ คาเมรอนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันหวังจากใจจริงว่าเธอจะมองหาผู้หญิงที่ดี แต่งงาน และสร้างครอบครัวเสียที เรื่องข่าวลืออะไรนั่นเธอควรจะทิ้งมันไปได้แล้ว”

                “โอ้... จอร์จ คุณไม่เข้าใจผมหรอก” กอร์ดอนคราง ลอร์ดโทรว์บริดจ์จึงพูดแทรกขึ้นมา

                “ผมขอเสียมารยาท ผมเห็นว่าการแต่งงานควรเป็นไปด้วยความสมัครใจ เขาเป็นผู้ชายที่ทำงานขยันขันแข็ง คงมีสักวันที่เขาจะสามารถหาภรรยาทีดีได้ คุณไม่ควรจะไปเร่งรัดเขา”

                “เขาอายุตั้งสามสิบหกแล้วนะครับ ในเมื่อคุณเองก็รู้จักกับเขา คุณคงรู้ว่าเขาเป็นคนที่ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ตัวเองเลย ผมไม่ได้จะบังคับอะไรเขาหรอกครับ ผมแค่พยายามจะสร้างโอกาสให้เขา และหวังว่าเขาจะใช้โอกาสพวกนั้นอย่างเต็มที่”

                “ผมตกลงมางานเลี้ยงเต้นรำของคุณแล้วไง” กอร์ดอนพูดต่อ “ผมขอร้องล่ะจอร์จ เราอย่าพูดถึงเรื่องนี้กันอีกเลย คุณจะได้เห็นเองที่งานเลี้ยงเย็นนี้ ว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากจะสุงสิงกับผมหรอก”

                “เวลามันผ่านมาตั้งนานแล้ว ดอนนี่” เซอร์จอร์จ คาเมรอนพูด ก่อนจะถอนใจแรง “ก็ได้ ฉันจะไม่พูดเรื่องนี้อีก ขอแค่เธอมางานเลี้ยงเต้นรำเย็นนี้ก็พอ”

---------------------------------------

                “ดูเขาอยากให้คุณแต่งงานมีครอบครัวมากเลยนะ เซอร์จอร์จน่ะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดขึ้น หลังจากทั้งสองคนออกจากไพเพอร์ ลอด์จมาแล้ว กอร์ดอนถอนหายใจ

                “ผมเข้าใจถึงความเป็นห่วงของเขา เขาคิดว่าเรื่องนั้นเป็นแค่ข่าวลือ เขาไม่อยากยอมรับหรอกว่ามันคือเรื่องจริง”

                “เขาเกี่ยวข้องกับคุณยังไงหรือ... ผมถามได้ไหม? ดูเขาสนิทกับคุณนะ”

                “โอ... เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่ผม แม่ผมย้ายมาอยู่กับครอบครัวของเขาที่นี่หลังจากตากับยายผมเสีย นั่นเป็นเรื่องก่อนที่เธอจะได้พบกับพ่อหลายปี แน่นอนว่าเซอร์จอร์จ คาเมรอนถือแม่ผมเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง เขาเลยถือผมเหมือนหลานแท้ๆ ของตัวเองด้วย”

                “อ้อ ผมเข้าใจล่ะ” ลอร์ดหนุ่มพยักหน้า “ที่เขาจัดงานเลี้ยงเต้นรำขึ้นมา เพื่อเปิดโอกาสให้คุณรู้จักกับผู้หญิงอื่นสินะ”

                “ครับ และเขาแน่ใจว่าผมจะต้องปฏิเสธ เลยส่งคุณพ็อตเตอร์ไปคาดคั้นคำตอบจากผมถึงที่บ้าน เขาทำให้ตัวเองวุ่นวายโดยใช่เหตุแท้ๆ”

                “นั่นสิ” อีกฝ่ายเห็นด้วย “ผมเองก็บอกเขาไม่ได้ด้วยว่าคุณจะแต่งงานกับใครไม่ได้ทั้งนั้น เพราะคุณจะต้องแต่งกับผมคนเดียว”

                “ให้ตาย จอห์น!” กอร์ดอนเอ็ด “นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูดระหว่างทางนะครับ คิดดูสิ ถ้าเกิดใครมาได้ยินเข้าล่ะก็...”

                “งั้นเราจะกลับไปพูดกันที่บ้านคุณ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดยิ้มๆ “คุณยังติดผมเรื่องพาชมบ้านอยู่นะ ผมชอบวิวในห้องนอนปู่ของคุณมาก น่าอัศจรรย์ทีเดียว ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าบ้านคนสามัญจะมีวิวที่สวยขนาดนี้ได้”

                คราวนี้กอร์ดอนค่อยยิ้มออกมาได้หน่อย เขาพูดอย่างภาคภูมิใจ “นั่นคือทั้งชีวิตที่ปู่กับย่าทุ่มเทให้มันเลยครับ ทั้งคู่ปลูกบ้านหลังนี้เอง ปู่เคยเล่าว่าตอนแรกตั้งใจจะใช้เงินที่ได้รับจากท่านดยุกแห่งยอร์กซื้อบ้านที่ชานเมืองสักหลัง เขาเวียนดูบ้านอยู่หลายหลัง สุดท้ายก็ขึ้นมาบนเนินนี้ แล้วเขาก็ได้เห็นวิวพวกนั้น ปู่ผมคิดว่าถ้าเขาปลูกบ้านบนเนินนี้ มันคงจะสามารถมองเห็นวิวของอ่างเก็บน้ำเวลส์ฮาร์ปได้อย่างชัดเจน เขาจึงตกลงใจทุ่มเงินทั้งหมดเพื่อซื้อที่ผืนนี้เอาไว้ จากนั้นก็ใช้เงินที่ได้จากการตัดเสื้อเอามาใช้ปลูกบ้าน ปู่ผมทำรายได้สูงจากการตัดเสื้อ แต่การปลูกบ้านใหม่ก็ใช้เงินมหาศาล เขาและย่าจึงใช้ชีวิตอย่างกระเบียดกระเสียรเพื่อให้มีเงินมากพอจะสร้างบ้านหลังนี้ได้ แล้วในที่สุดฝันของปู่ก็เป็นจริง บ้านหลังนี้แล้วเสร็จ เขาพาย่าขึ้นไปที่ชั้นสอง ตรงห้องที่คุณพักนั่นแหละครับ เปิดหน้าต่างออก แล้วขอเธอแต่งงานอีกครั้งด้วยวิวนั้น แน่นอนว่าย่าตกลงอย่างไม่ลังเล ตอนนั้นเหมือนพ่อผมจะอายุได้สักเจ็ดขวบแล้ว เขายืนข้างย่าและตกลงยอมให้ย่าเป็นภรรยาของปู่ด้วย มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากในชีวิตของปู่ ผมยังจำท่าทางตอนเขาเล่าเรื่องบ้านนี้ได้อยู่เลย เขาดูมีความสุขมาก”

                “ว้าว ปู่คุณเป็นคนโรแมนติกมาก” ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเขาอย่างประทับใจ “ผมชักอยากรู้แล้วสิว่าตอนที่เขาขอย่าคุณแต่งงานครั้งแรก เขาทำยังไง”

                ช่างตัดเสื้อหัวเราะ เขามองไปยังทุ่งหญ้ากว้างด้านหน้า แล้วเริ่มเล่าต่อ “รับรองว่าคุณต้องเดาไม่ถูกแน่ ปู่ขอย่าแต่งงานริมถนนครับ เขาตะโกนให้รถม้าของเธอจอด แล้วขอเธอแต่งงานที่นั่นเลย”

                “โอ้... ท่าทางเหมือนว่าเขาทำมันลงไปโดยกะทันหัน”

                กอร์ดอนพยักหน้า “ปู่มีคู่แข่งเยอะมากครับ คุณคงเห็นแล้วว่าย่าเป็นคนสวยมาก เธอเป็นลูกสาวของช่างทำรองเท้าประจำตัวของท่านดยุกแห่งยอร์ก อันที่จริงทั้งสองคนรู้จักกันมานานแล้ว เพราะบ้านของปู่กับย่าอยู่ใกล้ๆ กัน ปู่เล่าว่าตั้งแต่เล็ก เขามองย่าเหมือนกับน้องสาวคนหนึ่ง พอโตขึ้น เขาก็กลายเป็นคนที่ทำหน้าที่ประหนึ่งผู้คัดกรองผู้ชายที่เข้ามาเกี้ยวเธอ พอเวลาผ่านไปปู่ก็รู้ตัวว่าหลงรักย่าเสียแล้ว แต่ปู่คิดว่าย่าจะมีอนาคตที่ดีกว่าหากแต่งงานกับชายอื่น เขาจึงทำเป็นเฉยเสีย จนกระทั่งวันหนึ่ง สุภาพบุรุษคนหนึ่งส่งรถม้ามาเชิญย่าไปที่คฤหาสน์ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ปู่วางใจและคิดว่าย่าจะมีความสุขที่สุดหากได้แต่งงานกับเขา ปู่เป็นคนเดินมาส่งย่าขึ้นรถม้าคันนั้น เขาเล่าว่าตอนนั้นย่ามองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและสิ้นหวัง เธอไม่ยิ้มให้เขาเลย ย่าพูดขึ้นมาว่า ‘ดอนนี่ ถ้าเธอให้ฉันไปในครั้งนี้ ฉันจะไม่กลับมาหาเธออีกเลย’ แล้วประตูก็ปิดลง”

                “ปู่เล่าว่า เขายืนอึ้งอยู่พักใหญ่ พอคิดได้ว่าอะไรเป็นอะไรเขาก็วิ่งไล่หลังรถม้าคันนั้น แล้วตะโกนเหมือนคนบ้าจนรถม้าจอด เขาวิ่งไปเปิดประตูรถม้า ถอดแหวนที่ใส่อยู่ยื่นให้ย่า มันเป็นแหวนทองคำวงเก่าที่เป็นมรดกตกทอดของปู่ ไม่ได้ประดับเพชรหรืออัญมณีใด เขาขอเธอแต่งงานที่หน้าประตูรถม้า ย่าก้าวเท้าลงมา และตอบตกลงทั้งรอยยิ้มและน้ำตา สุดท้ายรถม้าคันนั้นจึงต้องกลับไปโดยที่ไม่มีย่านั่งไปด้วย เพราะเธอตกลงแต่งงานกับปู่ผมแล้ว”

                “ว้าว...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์คราง เขาเกือบจะหาคำพูดมาพูดต่อไม่ได้ “น่าอัศจรรย์มาก ย่าคุณมีตัวเลือกมากมาย แต่เธอเลือกตกลงแต่งงานกับช่างตัดเสื้อที่ขอเธอด้วยแหวนโบราณริมถนน”

                กอร์ดอนยิ้ม “ย่ามาเล่าให้ปู่ฟังทีหลัง ว่าปู่เป็นรักแรกของเธอครับ เธอแอบชอบปู่มานาน แต่ปู่ทำเหมือนไม่ได้คิดอะไร เธอเลยไม่กล้าแสดงออก ยิ่งพอปู่ทำท่าเหมือนยินดีที่จะได้เธอได้แต่งงานกับสุภาพบุรุษคนนั้น ย่าเลยน้อยใจมาก เธอตกลงใจว่าถ้าปู่ยอมให้เธอไป เธอจะไม่กลับมาเจอหน้าปู่อีกเลย โชคดีที่ย่าพูดสิ่งที่คิดออกมาด้วย ไม่อย่างนั้นทั้งคู่คงไม่รู้ว่าตกหลุมรักกันและกันมานานแล้ว”

                “เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับปู่และย่าของคุณ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบพลางยิ้ม “แต่สำหรับสุภาพบุรุษคนนั้น เขาคงผิดหวังมากทีเดียว เขาตั้งใจเชิญเธอไปที่คฤหาสน์เพื่อขอเธอแต่งงานใช่ไหม?”

                “ครับ เขาตั้งใจแบบนั้น และเขาก็ผิดหวังมาก แต่เขามีความเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้น”

                ลอร์ดหนุ่มส่งเสียงในคอ “อืม... ถ้าเป็นผม ผมคงต้องใช้เวลาทำใจนานโขเชียวล่ะ สำหรับสุภาพบุรุษที่มีรถม้าและคฤหาสน์ พวกเขาไม่ค่อยคุ้นชินกับความผิดหวังนักหรอก”

                กอร์ดอนพยักหน้า ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดขึ้นต่อ “เขาคือคนที่มาขอรูปที่อยู่ในกรอบใบนั้นไปใช่ไหม?”

                “ครับ”

                พวกเขาทั้งคู่เดินกลับมาถึงบ้านราวๆ บ่ายสามโมงครึ่ง กอร์ดอนพาลอร์ดโทรว์บริดจ์เข้าไปเดินชมภายในตัวบ้าน เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ด้านในเป็นฝีมือของพ่อเขา และรูปวาดต่างๆ ก็เป็นการเลือกสรรของปู่กับย่าของกอร์ดอนเป็นหลัก ลอร์ดโทรว์บริดจ์ให้ความสนใจกับรูปถ่ายรูปหนึ่งบนหิ้งเหนือเตาผิงในห้องนั่งเล่นเป็นพิเศษ รูปนั้นเป็นรูปถ่ายของเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุราวเจ็ดขวบในชุดกะลาสีเรือ เขามีใบหน้าอ่อนหวานจิ้มลิ้ม และมีดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ลอร์ดหนุ่มยิ้มออกมา

                “นี่รูปคุณใช่ไหม?”

                “ครับ” กอร์ดอนพยักหน้า ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ชุดนี้ปู่ตัดให้ผม”

                “อืม... มันทำให้คุณดูน่ารักมาก ผมเดาว่าสมัยเด็กคุณคงมีชุดใส่เยอะทีเดียว”

                “ครับ ปู่ชอบตัดชุดให้ผม มันเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาลืมความทุกข์จากการสูญเสียย่าได้ เขาสนุกมากกับการจับผมแต่งตัว ช่วงนั้นเขารับตัดชุดให้กับสุภาพบุรุษตัวน้อยด้วย แต่สุดท้ายก็เลิกไปเพราะทำไม่ทันครับ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะ “ผมเดานะ เขาน่าจะถ่ายรูปคุณในช่วงนั้นเอาไว้เยอะเลยสิ”

                “พอสมควรเลยครับ เขาใช้ผมเป็นแบบไว้ให้ลูกค้าเลือกชุด แต่รูปส่วนใหญ่เลือนไปหมดแล้ว เพราะเวลาผ่านมานานมาก ผมเลยทิ้งไปเกือบหมด เหลือแต่รูปนี้ล่ะครับที่ยังสภาพดีอยู่”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์มีสีหน้าเสียดาย เขาถามขึ้นต่อ “แล้วคุณไม่มีรูปถ่ายเก็บเอาไว้อีกแล้วหรือ? ผมอยากดูรูปถ่ายคุณน่ะ”

                “โอ... ผมไม่ชอบถ่ายรูปหรอกครับ ไม่ค่อยมีเวลาด้วย ยิ่งหลังจากปู่เสียผมไม่ได้ถ่ายรูปอีกเลย ที่จริงมีรูปที่ผมถ่ายกับปู่ตอนอายุสิบหก แต่ว่ารูปนั้นอยู่ที่ร้านครับ”

                “งั้นวันหลังเวลาผมไปที่ร้าน คุณหยิบมาให้ผมดูบ้างนะ ผมอยากเห็นรูปคุณตอนอายุยังไม่ถึงสามสิบ อยากรู้ว่าต่างจากตอนนี้มากมั้ย?”

                กอร์ดอนหัวเราะออกมา “ผมชอบตัวเองตอนนี้มากกว่าตอนนั้นนะ ผมรู้สึกว่าตัวเองดูเป็นผู้ชายขึ้นน่ะ”

                อีกฝ่ายคลี่ยิ้ม “ผมคงชอบคุณทุกแบบนั่นแหละ นี่ ว่างๆ พวกเราไปถ่ายรูปกันดีกว่า ผมจะได้มีรูปถ่ายคุณเก็บไว้บ้าง”

                “ก็ดีครับ แต่เราไม่ควรจะไปถ่ายกันแค่สองคนใช่ไหม? ผมว่ามันต้องแปลกแน่ คุณกับผมไม่ได้เป็นญาติหรือเพื่อนสนิทกันด้วย”

                “อันที่จริงแล้วผมว่าเราออกจะสนิทกันนะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “แต่เอาเถอะ ผมจะชวนเพื่อนๆ สโมสรแบล็กเบิร์ดไปถ่ายด้วย ผมไม่ได้ถ่ายรูปร่วมกับพวกเขาตั้งแต่ก่อนไปอเมริกา ถ่ายแล้วเอาไปเทียบกับรูปเก่าคงสนุกพิลึก จอร์จกับเอ็ดดี้คงเถียงกันเรื่องผ้าผูกคอกับสายนาฬิกาแน่ ฮ่าๆ”

                “พูดถึงลอร์ดจอร์จ ผมถึงถึงเปียโนกับการเต้นรำทุกที เขาเล่นเปียโนเก่งมาก”

                “โอ... จอร์จเป็นนักเปียโนที่เก่งอย่างหาตัวจับยากเลยล่ะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกกิตติมาศักดิ์ของสมาคมดนตรีและคีตกวีแห่งลอนดอน มีคนหนุ่มอายุยังไม่ถึงสามสิบแค่สองคนเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับเป็นสมาชิกกิตติมาศักดิ์ของที่นี่ ผมว่าถ้าจอร์จไม่ได้เกิดมาอยู่สุขสบายมีกินมีใช้โดยไม่ต้องทำอะไร เขาคงจะผันตัวเองไปเป็นนักเปียโนที่มีชื่อเสียงได้ แต่เผอิญว่าเขาคือลอร์ดจอร์จ เฟลตัน เพราะงั้นคนที่จะได้ฟังเปียโนของเขา ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทก็ต้องเป็นผู้หญิงที่เขาเกี้ยวเท่านั้นแหละ”

                กอร์ดอนหัวเราะ ก่อนจะถามต่อ “แล้วคุณล่ะครับ คุณเล่นดนตรีด้วยหรือเปล่า? ผมคิดว่าสุภาพบุรุษที่เกิดในตระกูลสูงอย่างคุณน่าจะเล่นดนตรีเป็นทุกคน แต่ผมนึกภาพคุณดีดเปียโนไม่ออกเลย”

                ลอร์ดหนุ่มยักไหล่ “เพราะผมดูตัวใหญ่เกินกว่าจะนั่งอยู่หน้าเปียโนแบบจอร์จสินะ” พูดจบเขาก็หัวเราะ “อันที่จริงมีอยู่ช่วงหนึ่งแม่เคยเคี่ยวเข็ญผมให้เล่นเปียโนเหมือนกัน แต่ผมค้นพบว่าตัวเองชอบเล่นไวโอลินมากกว่า”

                กอร์ดอนหรี่ตามองฝ่ายนั้น “ฮั่นแน่... การค้นพบของคุณเกี่ยวกับโฮล์มรึเปล่าครับ? เขาเองก็เป็นนักสืบที่เล่นไวโอลินเก่งทีเดียว”

                คราวนี้ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะชอบใจ “ผมดีใจที่มีส่วนหนึ่งคล้ายกับคุณโฮล์มผู้โด่งดังคนนั้น แต่ผมเล่นไวโอลินมาก่อนที่หมอวัตสันจะเปิดเผยเรื่องของเขา แหม... ผมอยากจะเก่งด้านการอนุมานเหมือนเขาด้วยจริงๆ”

                “ผมชักอยากเห็นคุณเล่นไวโอลินเสียแล้ว” กอร์ดอนว่า ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบเขายิ้มๆ

                “ผมแน่ใจว่าเล่นรักบี้ได้ดีกว่ามัน” ฝ่ายนั้นว่า “แต่ถ้าคุณต้องการฟัง ผมอาจจะขอโอกาสสักเพลงในไพเพอร์ ลอด์จเย็นนี้”

                “เอาสิครับ ผมว่าเซอร์จอร์จน่าจะใจกว้างพอจะให้คุณร่วมเล่นกับนักดนตรีของเขา”

                ทั้งคู่นั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่นกระทั่งถึงเวลาหกโมงเย็น จึงขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมจะไปงานเลี้ยงที่ไพเพอร์ลอด์จ

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์สวมเสื้อสูทตัวเดียวกับที่เขาสวมตอนบ่าย และสวมเสื้อโฟลกโค้ทสีดำที่เขานำมาจากอเมริกาทับอีกชั้น สวมหมวกฮอมเบิร์กสีดำตาล และถือไม้เท้าอันเดิม เขาแต่งตัวเสร็จแล้วก็ลงมายังชั้นล่าง ซึ่งช่างตัดเสื้อรออยู่ก่อนแล้ว พอเห็นเขาฝ่ายนั้นก็อุทานออกมา

                “โอ... คุณดูดีมากจริงๆ” กอร์ดอนคราง ก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรได้ เขาขอให้ลอร์ดโทรว์บริดจ์รอสักครู่ ก่อนที่จะกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปยังชั้นสอง ไม่นานนักเขาก็กลับลงมาพร้อมไม้เท้าที่มีหัวทำจากทองเหลืองอันหนึ่ง

                “ว้าว... ผมเพิ่งเคยเห็นคุณถือไม้เท้า” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า กอร์ดอนยิ้ม

                “ผมเพิ่งนึกได้ตอนเห็นคุณเดินลงมานี่เองครับ ดูน่าเกลียดรึเปล่าครับ? มันเป็นไม้เท้าของปู่ ผมรื้อออกมาจากห้องเขาเมื่อกี้นี้เอง เขาสูงกว่าผมพอสมควรเลย”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองฝ่ายนั้น แล้วสั่นศีรษะ “ไม่ ผมว่าดูดีเชียวล่ะ พอคุณถือไม้เท้าแล้วดูดีขึ้นมาทันตาเห็นเลยล่ะ อันที่จริงถึงคุณไม่ถือก็ดูดีอยู่แล้ว”

                พูดจบเขาก็ยิ้มให้ช่างตัดเสื้อ กอร์ดอนยิ้มตอบเขินๆ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินออกประตูไป

----------------------------------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
                ไพเพอร์ ลอด์จกำลังคึกคัก ตอนที่ทั้งสองเดินไปถึง เดวิดกับแม่ของเขาที่สวมชุดที่ดีที่สุดเดินเข้ามาทักทาย ก่อนที่ทั้งสี่คนจะเดินผ่านประตูเข้าไป

                ห้องโถงที่ใช้จัดงานค่อนข้างคับแคบในความคิดของลอร์ดโทรว์บริดจ์ แต่ก็เป็นเรื่องปกติของคฤหาสน์ที่มีขนาดไม่ใหญ่โตอะไรนัก มีคนอยู่ภายในห้องแล้วประมาณสิบคน เซอร์จอร์จ คาเมรอนและภรรยารีบเดินมาทักพวกเขาทันที

                “โอ้ สายัณห์สวัสดิ์ ดอนนี่ที่รัก มาให้ฉันกอดทีเถอะ” เลดี้ชาร์ลอต คาเมรอนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดสวยเอ่ยขึ้นพลางอ้าแขนกอดกอร์ดอนเอาไว้ ช่างตัดเสื้อกอดตอบเธอเบาๆ

                “สายัณห์สวัสดิ์ชาร์ลอต คุณสบายดีนะครับ”

                “แน่นอน ฉันสบายดี” เธอขยับตัวออก แล้วจ้องหน้าเขา “กี่ปีแล้วนะที่ฉันไม่ได้กอดเธอแบบนี้ โอ้ ดอนนี่ เธอผอมมาก งานตัดเสื้อช่างทำร้ายเธออย่างร้ายกาจทีเดียว” เลดี้สูงวัยเอ่ยพลางยกมือขึ้นลูบใบหน้าของช่างตัดเสื้อด้วยความเป็นห่วง กอร์ดอนยิ้มให้เธอ

                “ผมก็เป็นของผมแบบนี้อยู่แล้ว” ชายหนุ่มว่า “ส่วนคุณเองก็ไม่เปลี่ยน ยังสวยเหมือนเดิมเลย”

                เลดี้ชาร์ลอต คาเมรอนยิ้มให้เขา “ฉันหวังว่าสักวันเธอจะย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ โอ... เธอยังไม่ได้แนะนำเพื่อนของเธอให้เราได้รู้จักเลย”

                กอร์ดอนหันไปแนะนำลอร์ดโทรว์บริดจ์ “นี่คุณจอห์น เคฟ เพื่อนของผม ส่วนนี่คือเซอร์จอร์จ และเลดี้ชาร์ลอต คาเมรอน ภรรยาของเขา”

                “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถอดหมวกแล้วโค้งให้ฝ่ายนั้น ก่อนจะจับมือของเลดี้สูงวัยขึ้นมาจูบ

                “เรารู้จักกันแล้วเมื่อตอนบ่าย” เซอร์จอร์จ คาเมรอนว่า ก่อนที่ภรรยาของเขาจะพูดขึ้น

                “โอ... คุณช่างเป็นชายหนุ่มที่ดูสง่างามมาก คุณเคฟ” เธอมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ “คุณเป็นเพื่อนคนแรกเลยที่เขาพามาแนะนำให้รู้จักกับเรา ตั้งแต่เขาย้ายไปอยู่ที่ร้านในลอนดอน พวกคุณพบกันที่ไหนหรือ?”

                “ที่ท่าเรือครับ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบ ก่อนจะเล่าเรื่องที่เขาพบกับกอร์ดอนครั้งแรกให้เลดี้ชาร์ลอต และเซอร์จอร์จ คาเมรอนฟัง

                “โอ ช่างเป็นเคราะห์ดีสำหรับดอนนี่ และเป็นโชคดีของเขาด้วยที่ทำให้ได้รู้จักกับคุณ” เลดี้ชาร์ลอต คาเมรอนว่า สามีของเธอพยักหน้าเห็นด้วย

                “ใช่ เป็นโชคดีของเขามาก” เซอร์จอร์จพูด ก่อนจะกล่าวสืบต่อ “ผมว่าเราควรจะปล่อยให้พวกเขาได้พูดคุยกับคนอื่นๆ บ้าง ดอนนี่ไม่ได้มางานเลี้ยงที่นี่นานแล้ว”

                “นั่นสินะคะ” เลดี้สูงวัยพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่เธอจะเหลือบไปเห็นคนที่เดินเข้ามาใหม่ “โอ้ เรจิน่า มาดอนนี่ ฉันจะแนะนำให้เธอรู้จักกับเพื่อนใหม่ของเรา”

                พูดจบเลดี้ชาร์ลอต คาเมรอนก็ดึงมือช่างตัดเสื้อตามเธอไป เซอร์จอร์จ คาเมรอนจึงปลีกตัวออกมาคุยกับลอร์ดโทรว์บริดจ์

                คุณเคฟ ผมต้องขออภัยในความคับแคบของสถานที่ หวังว่าที่นี่คงจะไม่ทำให้คุณอึดอัดจนเกินไป”

                “ไม่เลย” ลอร์ดโทรว์บริดจ์สั่นศีรษะ “คุณอย่ากังวลใจไปเลย ผมรู้สึกว่านี่จะต้องเป็นงานเลี้ยงที่อบอุ่นมากแน่ ผมดีใจที่คุณไม่ได้บอกภรรยาคุณเกี่ยวกับผม แต่ผมอนุญาตให้คุณบอกเธอได้ ผมเห็นว่าระหว่างสามีภรรยาไม่ควรจะมีความลับต่อกัน”

                “คุณช่างเป็นคนหนุ่มที่ซื่อตรงอย่างน่าชื่นชม” เซอร์จอร์จ คาเมรอนว่า “ผมจะเล่าให้ชาร์ลอตฟังเมื่อถึงโอกาส โต๊ะอาหารอยู่อีกห้องหนึ่ง มาเถอะ ผมจะพาคุณไปดูปลาชับตัวนั้น”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เดินตามเซอร์จอร์จ คาเมรอนออกไปยังห้องที่อยู่ติดกัน จึงเหลือกอร์ดอนอยู่กับญาติผู้ใหญ่ของเขา เลดี้ชาร์ลอตดูจะภูมิใจเหลือเกินที่ได้แนะนำให้เขารู้จักกับครอบครัวใหม่

                คาล์สันและเรจิน่า เรดดิงตัน เป็นสามีภรรยาวัยกลางคนที่เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นีสเดนเมื่อสามปีก่อน พวกเขามีลูกชายและลูกสาวอย่างละคน ตัวลูกชายอายุสิบแปดปี เป็นเด็กหนุ่มที่ดูผอมจนเก้งกางและมีใบหน้าตกกระ ส่วนลูกสาวปีนี้อายุสิบหก มีผมสีแดงสลวยและมีใบหน้ายิ้มแย้ม

                “ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณโอเดนเบิร์ก” คาล์สันจับมือทักทายตามมารยาท “ได้ยินว่าคุณเป็นเจ้าของบ้านทรีลอว์นีย์ มันเป็นบ้านที่สวยงามมาก ผมประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่มาที่นี่”

                “ขอบคุณครับ มันเป็นบ้านที่ปู่กับพ่อผมช่วยกันสร้างขึ้นมา”

                “คุณไม่คิดจะเปิดให้เช่าหรือคะ?” คุณนายเรดดิงตันพูดขึ้น สามีของเธอพยักหน้า

                “นั่นสิครับ คุณโอเดนเบิร์ก คุณไม่คิดจะให้เช่าหรือครับ ผมยินดีจะจ่ายตามที่คุณเห็นว่าเหมาะสมเพื่อให้ได้อยู่ในบ้านหลังนั้น มันดูสวยงามมากจริงๆ”

                “โอ... ผมไม่ได้อยากจะปฏิเสธหรอกนะครับ” กอร์ดอนว่า “แต่ผมไม่รู้ว่าควรจะย้ายของใช้ส่วนตัวของครอบครัวที่ล่วงลับของผมไปไว้ที่ไหน ผมยินดีเหลือเกินที่คุณชื่นชอบบ้านหลังนั้น แต่ผมคงจะให้เช่าไม่ได้จริงๆ”

                “ฉันบอกพวกเธอแล้วว่ามันเป็นเหมือนบ้านเก็บของของเขา” เลดี้ชาร์ลอต คาเมรอนว่า ก่อนจะพูดต่อ “แต่ดอนนี่ของเรายังโสด เขาเป็นช่างตัดเสื้อที่ตัดเสื้อให้เหล่าสุภาพบุรุษชั้นสูงในลอนดอน รายได้ของเขางามทีเดียว ฉันแน่ใจว่าเขาอาจจะย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ หากเขาได้เจอกับคนที่รู้ใจ”

                “เดวิดเลยเล่าให้ผมฟังว่าคุณสนิทกับลอร์ดโทรว์บริดจ์มาก จริงรึเปล่าครับ?” เด็กหนุ่มเรดดิงตันถามขึ้นหลังจากนั้น กอร์ดอนหันไปมองเขา

                “เดวิดเล่าให้เธอฟังแบบนั้นหรือ?”

                “ใช่ค่ะ” เด็กสาวเรดดิงตันพยักหน้า “เดวิดชอบมาเล่าเรื่องของท่านลอร์ดให้พวกเราฟัง เขาโม้ว่าได้ไปดูการต่อยมวยของท่านลอร์ดด้วย บอกว่าคุณได้รับบัตรเชิญพิเศษมา เขาเป็นเพื่อนที่สนิทมากของคุณ”

                กอร์ดอนไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือครางออกมาดี “เขาคงเล่าเรื่องให้พวกเธอฟังเยอะมาก”

                “มากๆ เลยครับ” เด็กหนุ่มเรดดิงตันว่า “เขาเที่ยวโม้ไปทั่วว่าลอร์ดโทรว์บริดจ์แวะไปเยี่ยมที่ร้านบ่อยๆ จริงหรือครับคุณโอเดนเบิร์ก มันไม่น่าเป็นไปได้เลย ผมไม่คิดว่าสุภาพบุรุษจะชอบแวะเวียนไปที่ร้านตัดเสื้อบ่อยๆ เหมือนผู้หญิง”

                คราวที่กอร์ดอนหัวเราะออกมา “เขามีเหตุให้ต้องสั่งตัดเสื้อกับฉันเยอะมาก และเขาค่อนข้างสนใจรายละเอียดของตัวเสื้อ ดังนั้นเขาจึงแวะไปที่ร้านของฉันบ่อยๆ”

                “โอ้ อย่างนั้นเดวิดก็ไม่ได้โกหกสิคะ” เด็กสาวเรดดิงตันว่า “แล้วเขาสนิทกับคุณด้วยหรือคะ?”

                “ระดับหนึ่ง” กอร์ดอนตอบ “เขาเป็นคนไม่วางตัว ช่างพูดช่างคุยทีเดียว”

                “ว้าว” เด็กสาวมีท่าทางประทับใจ “แล้วคุณเชิญเขามาที่นี่ได้รึเปล่าคะ หนูอยากพบตัวจริงเขามาก เขาช่างเป็นสุภาพบุรุษในฝัน”

                “แมรี่แอนคลั่งไคล้ท่านลอร์ดมากครับ” เด็กหนุ่มเรดดิงตันว่า “ตั้งแต่เธอเห็นโปสเตอร์ชกมวยที่ปิดเอาไว้ทั่วลอนดอนเมื่อเดือนที่แล้ว เธอก็เพ้อถึงเขาเกือบทุกวัน เธอตัดรูปเขาในหนังสือพิมพ์เก็บเอาไว้ในสมุดบันทึกด้วย”

                “โธ่... พี่เรย์มอน พี่ก็เห็นด้วยกับฉันไม่ใช่หรือ ว่าท่านลอร์ดเป็นสุภาพบุรุษที่ควรจะเอาเป็นแบบอย่างมาก เขารูปหล่อ มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ที่สำคัญคุณโอเดนเบิร์กยังยืนยันว่าเขาเป็นคนไม่วางตัวด้วย ฉันปรารถนาที่จะได้พบเขาเหลือเกิน ตัวจริงเขาคงจะงามราวกับเทพบุตร”

                กอร์ดอนมองเธอยิ้มๆ “ฉันหวังว่าเธอคงจะสมปรารถนาในเร็ววัน”

                เด็กสาวยิ้มให้เขา จังหวะนั้นเองลอร์ดโทรว์บริดจ์ก็เดินกลับมาพร้อมเซอร์จอร์จ คาเมรอนพอดี

                “เฮ้ กอร์ดอน ผมว่าคุณควรจะได้เห็นปลาชับตัวนั้นก่อนที่มันจะถูกยกมาเสิร์ฟ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์เข้ามาอย่างอารมณ์ดี ครอบครัวเรดดิงตันหันไปมองเขาเป็นตาเดียว

                “นี่เพื่อนผม คุณจอห์น เคฟ” กอร์ดอนรีบแนะนำฝ่ายนั้นให้ทุกคนรู้จัก เซอร์จอร์จ คาเมรอนรีบเสริม

                “ใช่ เขามาที่นี่เพื่อมาตกปลา แน่นอนว่าปลาตัวใหญ่บนโต๊ะนั่นเป็นฝีมือของเขา”

                สามีภรรยาเรดดิงตันแนะนำตัวเอง ระหว่างนั้นลูกสาวของเขาอุทานขึ้นมา “โอ้... คุณไม่ใช่ลอร์ดโทรว์บริดจ์หรือคะ?”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ขณะที่ผู้เป็นแม่สะกิดไหล่ลูกสาว แต่เธอยังคงจ้องหน้าเขาไม่วางตา

                “คุณช่างคล้ายท่านลอร์ดที่อยู่ในหนังสือพิมพ์เหลือเกินค่ะ โอ... ได้ยินเดวิดเล่าว่าคุณโอเดนเบิร์กสนิทกับท่านลอร์ดมาก หรือว่าคุณคือเขาคะ?”

                ท่านเอิร์ลชะงักไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา “ฉันรู้สึกภูมิใจมากที่เธอทักว่าฉันเป็นเขา คงมีคนไม่น้อยทีเดียวที่อยากจะเป็นลอร์ดโทรว์บริดจ์แม้เพียงแค่วันเดียว แต่น่าเสียดายที่ฉันต้องปฏิเสธต่อเธอด้วยความจริงใจว่าฉันไม่ใช่เขา”

                “จริงหรือคะ? แต่คุณเหมือนเขามากทีเดียว” เด็กสาวมีทีท่าละล้าละลัง “หนูรู้สึกเลยว่าคุณคือเขาแน่ๆ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หันไปมองหน้ากอร์ดอน ฝ่ายนั้นสั่นศีรษะ ขณะที่แม่ของเธอรีบพูดขึ้น “อภัยให้ความไร้มารยาทของลูกสาวฉันด้วยค่ะ คุณเคฟ เธอคลั่งไคล้ท่านลอร์ดมากตั้งแต่เรื่องชกมวยเมื่อเดือนก่อน แต่ฉันไม่เคยคิดว่าเธอจะเที่ยวทึกทักว่าใครต่อใครเป็นเขาไปเสียหมด”

                “โธ่ แม่ขา หนูไม่ได้เที่ยวทึกทักใครไปทั่วนะคะ แม่ไม่เห็นหรือคะว่าเขาเหมือนลอร์ดโทรว์บริดจ์ที่อยู่ในหนังสือพิมพ์มาก ดูดวงตาเขาสิคะ เดวิดเล่าว่าลอร์ดโทรว์บริดจ์มีดวงตาสีเขียวสดใสเหมือนทุ่งหญ้าในหน้าร้อน แล้วเขามีก็ดวงตาที่สดใสอย่างที่ว่าจริงๆ” เด็กสาวพูดพลางจ้องมองใบหน้าของลอร์ดหนุ่มอย่างลุ่มหลง “หนูไม่คิดเลยค่ะว่าจะได้พบคุณรวดเร็วแบบนี้”

                เซอร์จอร์จ คาเมรอนและกอร์ดอนเหลือบมองกัน ก่อนจะหันไปมองลอร์ดโทรว์บริดจ์ที่เอาแต่ยิ้ม

                “เอาล่ะ สาวน้อย ถ้าเธอคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่เธอเข้าใจถูกต้องแล้ว ฉันก็จะไม่ปฏิเสธแล้วกัน แต่เธอต้องห้ามไปบอกลอร์ดโทรว์บริดจ์ตัวจริงนะ ว่าฉันสมอ้างเป็นเขา ไม่อย่างนั้นฉันคงถูกโกรธมากทีเดียว เพราะเป็นเรื่องไม่สมควรเลยที่ใครต่อใครจะมาเที่ยวสมอ้างเป็นท่านเอิร์ลแห่งโทรว์บริดจ์”

                แมรี่แอนเริ่มสีหน้าลังเลใจ เธอมองเขาอีกครั้ง “คุณไม่ใช่เขาจริงๆ หรือคะ?”

                “ตอนนี้ใช่แล้ว” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ถ้าเธอคิดว่าฉันใช่ ก็คือฉันใช่ เธอคิดว่าไงล่ะ”

                เด็กสาวดูลังเลกว่าเดิม “หนูไม่รู้ค่ะ คุณทำหนูสับสนไปหมดแล้ว หนูคิดว่าคุณใช่ แต่ก็ไม่คิดว่าคุณจะใช่ ตกลงแล้วคุณใช่หรือไม่ใช่กันแน่คะ?”

                “ถ้าเธอไม่เคยเห็นลอร์ดโทรว์บริดจ์ตัวจริง เธอก็ไม่ควรจะเชื่อเอาจากรูปถ่ายในหนังสือพิมพ์ หรือคำบอกเล่าว่านั่นเป็นเขา” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบยิ้มๆ “รูปในหนังสือพิมพ์มักคลาดเคลื่อนเสมอ”

                ในที่สุดเด็กสาวก็ยอมพยักหน้า “ขอโทษนะคะที่หนูทึกทักเอาเอง”

                “ไม่เป็นไรหรอก” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “คราวนี้เธอคงไม่ว่าอะไร ถ้าฉันจะขอตัวเพื่อนฉันสักครู่”

                “โอ้ เชิญเลยค่ะ” เด็กสาวพยักหน้า ลอร์ดโทรว์บริดจ์เลยพากอร์ดอนออกมา

----------------------------------------------

                “ให้ตาย... ผมคงหาความสงบไม่ได้แม้แต่วันเดียวเพราะหนังสือพิมพ์กับโปสเตอร์พวกนั้น” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พึมพำระหว่างเดินออกมาจากห้อง กอร์ดอนมองเขาแล้วอมยิ้ม

                “ผมคิดว่าคุณจะเอาเรื่องเดวิดด้วยเสียอีก ดูท่าทางเขาเล่าเรื่องคุณให้คนอื่นฟังไปทั่วเลย”

                “ผมคงต้องเตือนเขาสักวันหนึ่ง” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “อันที่จริงแล้วมันคงไม่ใช่เรื่องเดือดร้อนอะไร ถ้าผมไม่บังเอิญอยากจะมางานเลี้ยงเล็กๆ ของญาติคุณโดยไม่อยากให้มันเอิกเหริกนัก”

                กอร์ดอนหัวเราะ เขาหลิ่วตามองลอร์ดหนุ่ม “อันที่จริงแล้วเมื่อตะกี้คุณเพิ่งทำร้ายหัวใจของเด็กสาวที่น่าสงสารคนหนึ่ง เธอลุ่มหลงคุณน่าดู”

                “อืม... ผมเห็นแล้ว คงเป็นที่ผิดหวังของญาติคุณมาก ท่าทางเลดี้ชาร์ลอตคาดหวังจะให้เธอลุ่มหลงคุณมากกว่า”

                กอร์ดอนสั่นศีรษะ “เธอยังเด็กมาก ผมไม่อยากได้เด็กสาวมาเป็นภรรยาหรอก มันเป็นภาระกับผมมากกว่า”

                “มีหลายคนที่ผมรู้จักอยากได้ภรรยาเป็นสาวรุ่น” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดพลางหัวเราะ “คุณเป็นคนที่แปลกทีเดียว”

                “ถ้าพวกเขาไม่มีภาระหน้าที่การงานอะไรแบบผม การมีภรรยาวัยรุ่นคงตื่นเต้นอยู่หรอกครับ แต่ผมไม่มีเวลาจะมาคอยเอาใจภรรยาวัยรุ่นอีกแล้วล่ะ”

                “อืม... ผมเห็นด้วยกับคุณนะ นี่ไง ปลาชับของเรา” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พากอร์ดอนมายืนอยู่หน้าโต๊ะยาวที่มีอาหารหลายอย่างวางเรียงกันอยู่

                ปลาชับหนักแปดปอนด์ที่พวกเขาตกได้ ตอนนี้แปรสภาพเป็นปลาที่ถูกแล่เป็นชิ้นๆ ย่างด้วยสมุนไพร และนำไปวางเรียงคู่กับหัวเหมือนเดิมอยู่บนจานที่ถูกตกแต่งอย่างพิถีพิถัน

                “ว้าว มันดูดีทีเดียวครับ” เขาหันไปมองลอร์ดโทรว์บริดจ์ “แต่อันที่จริงแล้วคุณไม่ต้องเรียกผมมาดูก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร”

                “ผมแค่หาข้ออ้างดึงคุณออกมาน่ะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์กระซิบ ก่อนจะหันไปพูดกับคนรับใช้ “ยกไปได้เลย ผมเสร็จธุระกับปลาตัวนี้แล้ว”

----------------------------------------------

                บรรยากาศเริ่มคึกคักขึ้นหลังจากอาหารและเครื่องดื่มถูกนำมาเสิร์ฟ เซอร์จอร์จ คาเมรอนว่าจ้างนักดนตรีสองคนมาเล่นดนตรี คนหนึ่งเล่นไวโอลิน อีกคนเล่นเปียโน เพลงที่เล่นส่วนใหญ่เป็นเพลงพื้นบ้านที่มีท่วงทำนองสนุกสนาน ทำให้บรรยากาศในงานครึกครื้นมากขึ้น พวกเด็กๆ พากันจับกลุ่มเต้นรำกัน ขณะที่พวกผู้ใหญ่นั่งคุยกันที่โต๊ะอาหาร ลอร์ดโทรว์บริดจ์และกอร์ดอนร่วมโต๊ะกับเซอร์จอร์จ คาเมรอนและภรรยา ขณะที่ครอบครัวเรดดิงตันนั่งถัดไปอีกโต๊ะหนึ่ง

                “ดอนนี่ เธอจำเวโรนิกาได้มั้ย? ที่เป็นลูกของมาร์คัสน่ะ ปีนี้เธออายุยี่สิบสองแล้ว เธอนั่งอยู่ตรงนั้นไง” เลดี้ชาร์ลอต คาเมรอนพูดพลางบุ้ยหน้าไปยังหญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้มที่นั่งอยู่กับครอบครัวเรดดิงตัน กอร์ดอนพยักหน้า

                “เมื่อครู่พวกเราคุยกันแล้ว เธอโตขึ้นมาก เหมือนไม่กี่ปีก่อนโน้นเธอยังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่เลย”

                “แล้วแม่สาวเจนจากบ้านเพนเนโลล่ะ? เธอเพิ่งอายุสิบเก้า”

                กอร์ดอนยิ้ม “ชาร์ลอต ผมไม่สนใจเด็กสาวหรอกนะครับ คุณก็รู้ว่างานที่ร้านของผมยุ่งมาก ผมไม่มีเวลามาเอาใจใส่ดูแลพวกเธอหรอก”

                “โธ่... ดอนนี่ที่รัก” เลดี้ชาร์ลอต คาเมรอนคราง “เธอเอาแต่ปิดตัวเองแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่เธอถึงจะหาภรรยาได้ล่ะ? เธออายุตั้งสามสิบหกแล้ว อีกไม่กี่ปีก็จะสี่สิบ คนเรายิ่งแก่ตัวยิ่งอยู่คนเดียวได้ลำบาก ลองนึกถึงเวลาเธอป่วยไข้ไม่สบายสิ การนอนซมอยู่บนเตียงคนเดียวมันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเอามากๆ ฉันไม่อยากให้เธอต้องอยู่โดดเดี่ยวเพียงเพราะข่าวลือบ้าๆ พวกนั้น”

                “ใช่แล้ว” เซอร์จอร์จ คาเมรอนเสริม “เธอจะให้ข่าวลือพวกนั้นมาทำลายชีวิตเธอไม่ได้หรอกนะดอนนี่ เวลามันก็ล่วงมานานแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว เธอควรจะเริ่มต้นมองหาใครสักคน ฉันจะดีใจมากถ้าเธอเริ่มหาเสียแต่คืนนี้”

                กอร์ดอนมองพวกเขาแล้วพยักหน้าโดยไม่ปริปากพูดอะไร ลอร์ดโทรว์บริดจ์เองก็ได้แต่นั่งฟังเงียบๆ เลดี้ชาร์ลอต คาเมรอนหันมามองเขา

                “คุณเคฟคะ”

                “ครับ?”

                “ฉันอาจจะทึกทักเอาเอง แต่ดูจากท่าทางแล้ว คุณคงรู้จักผู้คนดีๆ ไม่น้อย คุณคงเห็นแล้วว่าดอนนี่เข้าสังคมไม่เก่งเอาเสียเลย ถ้าคุณจะกรุณาพาเขาไปรู้จักผู้หญิงดีๆ สักคน”

                “อันที่จริงผมว่าเขาได้รู้จักกับ ‘คนดีๆ’ สักคนแล้วนะครับ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบ ก่อนจะพูดต่อ “ผมคิดว่าเรื่องแต่งงานไม่ควรจะเร่งรัด และควรจะกระทำไปตามความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย แน่นอนว่ามันควรจะเริ่มต้นด้วยความรัก แล้วจึงตามมาด้วยคำว่าหน้าที่ ผมคิดว่าความรู้สึกควรจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเรื่องนี้”

                “ฉันไม่เห็นด้วยกับคุณในเรื่องนี้เลย คุณเคฟ” เลดี้ชาร์ลอต คาเมรอนว่า “มันเป็นแนวคิดของคนสมัยใหม่ที่น่ากลัวมากในความคิดของฉัน เด็กสาวหนีตามผู้ชายเพราะคิดว่านั่นเป็นความรัก แล้วก็ลงท้ายด้วยความอับอายและเสื่อมเสียชื่อเสียง เราไม่ควรจะใช้ความรู้สึกเป็นตัวตัดสินเรื่องนี้ มันควรเป็นเรื่องของความเหมาะสมมากกว่า การแต่งงานคือการอยู่ร่วมกันโดยความรับผิดชอบของทั้งสองฝ่าย ส่วนเรื่องของความรักมักจะตามมาทีหลังเสมอ ใช่ไหมคะจอร์จ?”

                เซอร์จอร์จ คาเมรอนยักไหล่ “ผมเห็นด้วยกับคุณเรื่องที่ว่ามันเป็นความรับผิดชอบของทั้งสองฝ่าย แต่ผมคิดว่าความรักก็มีส่วนสำคัญไม่น้อย อย่างน้อยที่สุดมันก็ทำให้คนสองคนเริ่มพูดคุยกัน”

                “โอ... แต่ดอนนี่ของเราไม่ยอมพูดคุยกับใครเกินสิบประโยคเลย เขาจะหวังให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายเข้ามาพูดก่อนไม่ได้หรอกนะ”

                “ผมก็ไม่เคยหวังว่าพวกเธอจะมาคุยกับผมก่อนหรอก” กอร์ดอนพูดออกมาในที่สุด เขามองญาติทั้งสองอย่างวิงวอน “ขอร้องล่ะครับ พวกคุณหยุดเป็นห่วงผมเรื่องนี้เถอะ ผมรู้ดีว่าตัวผมเองเป็นยังไง ถ้าผมจะให้ใครสักคนอยู่เคียงข้าง คนคนนั้นจะต้องเป็นคนที่รักผมอย่างไม่มีเงื่อนไข และต้องเป็นคนที่ผมรักอย่างสุดหัวใจ ผมไม่ปรารถนาจะมีภรรยาเพียงเพราะกลัวความว้าเหว่ กลัวความเหงาที่จะเข้ามาเฉียดกรายยามป่วยไข้ ผมผ่านจุดนั้นมานานแล้ว ผมไม่เคยกลัวความอ้างว้าง สิ่งที่ผมกลัวคือการดูถูกเหยียดหยามจากคนใกล้ชิด ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังก็ตาม”

                เซอร์จอร์จ คาเมรอนและภรรยามองญาติของเขาด้วยความรู้สึกสะทกสะท้อน ขณะที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์ทำได้เพียงแค่เสมองไปทางอื่น กอร์ดอนจ้องมองพวกเขาแน่วนิ่ง ก่อนจะถอนหายใจ

                “จอร์จ ชาร์ลอต พวกคุณคือคนที่ดีที่สุดที่ผมยังมีเหลืออยู่ที่นี่ พวกคุณดีต่อผมมาตลอด รักผมเหมือนหลานแท้ๆ ผมซาบซึ้งใจกับความเป็นห่วงของพวกคุณ แต่ขอร้องล่ะครับ ได้โปรดให้ผมจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองเถอะ”

                เซอร์จอร์จ และเลดี้ชาร์ลอต คาเมรอนมองเขาอึดใจ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ ลอร์ดโทรว์บริดจ์จึงขอตัวลุกออกจากโต๊ะ เพื่อเป็นการรักษามารยาท เขาเดินออกจากห้องอาหาร ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปมองทั้งสามคนที่ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะ พลันรู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นคนนอกเสียนี่กระไร ความรู้สึกอันล้ำลึกและรุนแรงระหว่างเขากับกอร์ดอน เป็นเหมือนธุลีละอองที่ไม่อาจมองเห็นได้ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ว่าเขาจะรู้สึกกับกอร์ดอนมากเพียงไหน จริงจังกับฝ่ายนั้นมากเท่าไร แต่ในความเป็นจริงเมื่ออยู่ต่อหน้าสังคม เขาไม่อาจทำได้แม้แต่จับมือของฝ่ายนั้นเอาไว้ ในระหว่างที่เจ้าตัวอยู่ในสภาวะที่น่าอึดอัดที่สุด

                ลอร์ดหนุ่มตัดสินใจเดินออกไปที่นอกระเบียง แล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ แสงตะวันยามเย็นจับท้องฟ้าเป็นสีแดงฉานเหมือนกับไฟที่สว่างวาบตรงปลายบุหรี่ เขาปล่อยให้สายลมยามเย็นพัดเอาควันสีขาวฟุ้งกระจายหายไป จังหวะนั้นเองเดวิดก็เดินออกมาที่ระเบียง

                “คุณเคฟ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึเปล่าครับ?” เด็กหนุ่มถามพลางมองเขาด้วยสายตาสงสัย “ผมเห็นคุณเดินออกมาคนเดียวจากห้องอาหาร”

                “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบพลางอัดบุหรี่เข้าปอด “ฉันแค่อยากออกมาสูบบุหรี่”

                “อ้อ...” เดวิดพยักหน้า “ผมขอโทษเรื่องแมรี่แอนด้วยนะครับ ดูเธอจะสงสัยว่าคุณคือลอร์ดโทรว์บริดจ์”

                “ไม่เป็นไร” อีกฝ่ายสั่นศีรษะพลางยิ้ม เดวิดมองฝ่ายนั้นสูบบุหรี่ก่อนจะพูดออกมา

                “คุณดูเท่จัง”

                “หืม?”

                เด็กหนุ่มมองเขาด้วยสายตาเป็นประกาย “ผมอยากหัดสูบบุหรี่ครับ คุณโอเดนเบิร์กไม่สูบบุหรี่ เรย์มอนเองก็สูบไม่ได้เรื่องเลย ไม่เท่แบบคุณ”

                “งั้นหรือ...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ส่งเสียงในคอ ก่อนจะล้วงกล่องใส่บุหรี่ที่ทำจากเงินออกมาจากอกเสื้อ แล้วหยิบบุหรี่ออกมาตัวหนึ่ง ยื่นให้เด็กหนุ่ม “เคยลองสูบรึเปล่า?”

                เดวิดสั่นศีรษะ พลางยื่นมือไปรับบุหรี่มาถือไว้ “ขอบคุณครับ”

                “คาบเอาไว้” ลอร์ดหนุ่มสั่ง ก่อนจะหยิบกลักไม้ขีดยื่นให้ฝ่ายนั้น “จุดไม้ขีดแล้วค่อยๆ จ่อกับปลาย เป่าลมออกมาเบาๆ จะทำให้จุดติดง่ายขึ้น”

                 เด็กหนุ่มทำตาม เขาขีดไม้ขีดเข้ากับด้านข้างของกลัก จากนั้นก็นำมันไปจ่อที่บุหรี่ ไม่นานนักแสงสีแดงก็สว่างวาบขึ้นมาตรงปลาย

                “เอาล่ะ ค่อยๆ สูดเข้าไป ช้าๆ ระวังจะสำ...”

                ยังไม่ทันขาดคำ เด็กหนุ่มก็ไอจนบุหรี่หล่นลงไปบนพื้น ลอร์ดหนุ่มสั่นศีรษะ พลางก้มลงเก็บบุหรี่ขึ้นมาดับ ระหว่างที่อีกฝ่ายสำลักจนหน้าแดง

                “ขะ... ขอโทษนะครับ” เดวิดเค้นคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก “ผมทำคุณเสียบุหรี่ไปมวนหนึ่งเปล่าๆ เลย”

                “ไม่เป็นไรหรอก” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า เขาทิ้งบุหรี่ลงในแท่นเขี่ยที่ตั้งเอาไว้บนโต๊ะที่ระเบียง ก่อนจะถอนใจแล้วยิ้ม

                “ครั้งแรกก็สำลักแบบนี้กันทุกคนแหละ”

                เดวิดพยักหน้า เขายังคงไอออกมาอีกสองสามครั้ง ถึงจะพูดต่อได้ “คุณหัดสูบนานรึเปล่าครับ?”

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-05-2017 13:42:56 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
               “สองสัปดาห์” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ครั้งแรกฉันหยุดไปนานพอดูเลย แสบคอน่ะ”

                “ครับ ผมเห็นด้วยกับคุณเลย” เขาพูด แล้วถอนใจ “ผมอยากเป็นผู้ชายที่ดูเท่แบบคุณชะมัด แต่ท่าทางคงยากน่าดู”

                ลอร์ดหนุ่มหัวเราะ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร กอร์ดอนก็เดินออกมาที่ระเบียง

                “อ้าว” ช่างตัดเสื้ออุทานออกมาด้วยความแปลกใจ “เดวิดมารบกวนอะไรคุณรึเปล่าครับ?””

                “อ๋อ เปล่า” ลอร์ดโทรว์บริดจ์สั่นศีรษะ “เขาแค่มาขอให้ผมสอนเรื่องสูบบุหรี่”

                กอร์ดอนหรี่ตามองเด็กหนุ่ม “ร้านฉันไม่อนุญาตให้สูบบุหรี่นะ”

                “โธ่ ผมไม่คิดจะสูบในร้านหรอกครับ แค่หัดสูบผมยังสำลักแทบตายเลย” เดวิดคราง แล้วไอออกมาอีก กอร์ดอนถอนใจเฮือก ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเขา

                “คุณเป็นอะไรไป มีเรื่องไม่สบายใจหรือ?”

                คนถูกถามสั่นศีรษะ “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่เหนื่อย”

                ลอร์ดหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจ “พวกเขาเป็นห่วงคุณนะ”

                “ครับ ผมรู้” กอร์ดอนว่า ก่อนจะมองบุหรี่ที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยักไหล่

                “เอาสักมวนมั้ย ผมยังมีเหลืออีก”

                ช่างตัดเสื้อนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า อีกฝ่ายจึงหยิบบุหรี่ส่งให้เขา

                “ขอบคุณครับ” กอร์ดอนคาบบุหรี่เอาไว้ในปาก เขาหันไปหาลอร์ดโทรว์บริดจ์อีกครั้งเพื่อจะขอไม้ขีด แต่กลับพบว่าฝ่ายนั้นคาบบุหรี่เอาไว้ในปากแล้ว ลอร์ดโทรว์บริดจ์เหลือบมองเขา ก่อนจะยกมือคีบบุหรี่เอาไว้ กอร์ดอนจึงขยับไปใกล้เพื่อต่อบุหรี่จากฝ่ายนั้น

                “โอ... ผมเพิ่งรู้ว่าจุดบุหรี่แบบนี้ได้ด้วย” เดวิดพูดด้วยความพิศวง เขามองดูนายจ้างที่อัดบุหรี่เข้าปอดราวกับอดอยากมานาน กอร์ดอนสูบบุหรี่เร็วจนน่าตกใจ เขาระบายควันสีขาวออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ในเวลาแค่อึดใจเดียว บุหรี่ของเขาก็มอดไปครึ่งมวน

                “คุณสูบบุหรี่เร็วมาก” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดออกมา ระหว่างที่ฝ่ายนั้นหันไปเคาะขี้บุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ กอร์ดอนถอนใจเฮือก เขายกบุหรี่ขึ้นสูบอีกครั้ง

                “ถ้าคุณรู้จักผมตอนอายุยี่สิบ คุณจะไม่ได้กลิ่นอะไรเลยนอกจากกลิ่นบุหรี่” เขาพูดพลางถอนใจอีก ก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่ลงไปในที่เขี่ยบุหรี่

                “คุณจะกลับเข้าไปทานมื้อเย็นต่อรึเปล่าครับ?” กอร์ดอนหันมาถามลอร์ดโทรว์บริดจ์ ฝ่ายนั้นพยักหน้า

                “แน่นอน ถ้าคุณพร้อมจะเข้าไปกับผมนะ... พวกเราย้ายโต๊ะก็ได้”

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ” กอร์ดอนพูด พวกเขาจึงกลับเข้าไปในห้องอาหารอีกครั้ง คราวนี้เซอร์จอร์จและภรรยาไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานอีก พวกเขาคุยกับเรื่องสัพเพเหระเกี่ยวกับข่าวในหนังสือพิมพ์ เรื่องซุบซิบ สามีภรรยาเรดดิงตันมาร่วมโต๊ะด้วยหลังจากนั้น ท่าทางพวกเขาสนใจอยากทำความรู้จักกับลอร์ดโทรว์บริดจ์ ทั้งคู่คงเดาได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนสามัญธรรมดา ลอร์ดหนุ่มเองก็รู้ตัว จึงพยายามตัดบทสนทนาอย่างสุภาพ เขาลุกออกจากโต๊ะอาหารเดินไปยังห้องโถงที่ใช้จัดงานเต้นรำ ก่อนจะเอ่ยปากขอยืมไวโอลินจากนักดนตรีที่เล่นอยู่

                “ในฐานะผู้มาเยือนอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผมขอเล่นเพลงให้พวกคุณสักเพลงหนึ่ง” ลอร์ดหนุ่มพูดพลางมองตรงไปยังกอร์ดอนซึ่งเดินมากับเซอร์จอร์จและภรรยาของเขา ก่อนจะทาบคันชักเข้ากับสายไวโอลิน และเริ่มเล่นเพลง Hungarian dance No. 5 ของ โยฮันเนส บราห์ม คีตกวีชาวเยอรมันผู้มีชื่อเสียง ภายในห้องเงียบกริบทันที

                “ว้าว คุณเล่นไวโอลินได้น่าประทับใจมาก” เซอร์จอร์จ คาเมรอนพูดด้วยความตื่นเต้น ท่ามกลางเสียงปรบมือหลังจากที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์เล่นเพลงจบ ฝ่ายนั้นโค้งให้เขา ก่อนจะคืนไวโอลินให้กับนักดนตรี แล้วเดินตรงเข้ามา

                “ผมชอบงานเต้นรำมาก ท่านเซอร์ ถ้าคุณจะกรุณา ผมขออนุญาตเชิญเลดี้ชาร์ลอตมาเป็นคู่เต้นของผม”

                “เป็นเกียรติกับภรรยาผมมาก” เซอร์จอร์จ คาเมรอนว่า ขณะที่เลดี้ชาร์ลอตมีท่าทางประหม่า

                “โอ้ คุณเคฟ ฉันไม่ได้เต้นรำมานานแล้ว”

                “ไม่เป็นไรครับ ให้เกียรติเต้นกับผมสักเพลงเถอะ” เขาโค้งให้ฝ่ายนั่น ก่อนจะจูงมือเธอออกมาที่กลางห้องโถง เซอร์จอร์จจึงไปเชิญคุณนายเรดดิงตันมาเป็นคู่เต้น คนอื่นๆ พากันจับคู่และจูงมือกันออกมายืนรอบพวกเขา เมื่อดนตรีเริ่มบรรเลง การเต้นรำก็เริ่มต้นขึ้น

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์พาเลดี้ชาร์ลอตเต้นช้าๆ ไปตามจังหวะเพลง แม้ว่าคู่เต้นของเขาจะมีวัยสูงกว่าถึงครึ่งหนึ่ง แต่ก็มิได้ทำให้ความสง่างามของคนทั้งคู่ลดน้อยลงแต่อย่างใด เมื่อเพลงจบลง เลดี้ชาร์ลอตหอบหายใจเล็กน้อย ขณะมองดูคู่เต้นรำของเธอด้วยความประทับใจ

                “โอ... ถ้าหากฉันเด็กกว่านี้อีกสักยี่สิบปี ฉันคงต้องตกหลุมรักคุณเป็นแน่ คุณเคฟ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยกมือของเธอขึ้นมาจูบก่อนจะยิ้มให้ จากนั้นเขาก็เดินไปโค้งเด็กสาวเรดดิงตัน เธอหน้าแดงจนถึงใบหู ก่อนจะยื่นมือให้เขาด้วยท่าทางเอียงอาย

                “คุณเคฟ หนูเต้นรำไม่เก่งนะคะ”

                “ไม่เป็นไร มาเถอะ”

                เช่นเดียวกับตอนที่เขาเต้นรำคู่กับเลดี้ชาร์ลอต คาเมรอน ลอร์ดโทรว์บริดจ์แสดงให้เห็นถึงท่วงท่าที่สง่างาม เขาพาคู่เต้นวัยรุ่นเต้นตามจังหวะเพลงได้ลื่นไหลราวกับสายน้ำ ต่อให้แมรี่แอนไม่ได้สวมกระโปรงฟูฟ่องอย่างที่เลดี้ทั้งหลายสวมกันในงานเต้นรำ แต่เธอก็ดูโดดเด่นขึ้นมามากเมื่อได้จับคู่กับเขา เมื่อเพลงจบลง เธอแทบจะไม่อยากให้อีกฝ่ายปล่อยมือเลย

                “คุณเคฟ คุณจะพักอยู่ที่นี่อีกกี่วันคะ?” เด็กสาวถามเขาอย่างคาดหวัง ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้มให้เธอ

                “พรุ่งนี้ฉันก็จะกลับแล้ว”

                “โอ... แล้วเราจะได้พบกันอีกหรือเปล่า? หนูอยากพบคุณอีกครั้งค่ะ”

                “ถ้าพระเจ้าอวยพร เราคงได้พบกันอีก” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบ ก่อนจะผละออกมา เขาหันไปยิ้มให้พ่อแม่ของเธอ ก่อนจะเดินไปหยุดตรงหน้ากอร์ดอนที่กำลังจิบไวน์อยู่

                “คุณไม่ออกไปเต้นรำหรือ?” ลอร์ดหนุ่มถามช่างตัดเสื้อ อีกฝ่ายยิ้มพลางสั่นศีรษะ

                “คุณก็รู้ว่าผมเต้นรำไม่เอาไหน แต่คุณเต้นรำสวยมากนะครับ ผมมองเพลินเลย”

                “งั้นผมคงต้องบอกว่าหมดเวลาที่คุณจะมองผมเต้นรำแล้ว”

                กอร์ดอนเลิกคิ้วขึ้นสูง ขณะที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยื่นมือให้เขา “มากับผมเถอะ”

                โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรต่อ เขาฉวยมือของกอร์ดอนขึ้นมาแล้วจูงไปที่กลางห้องโถง

                “จอห์น” ช่างตัดเสื้อเรียกชื่อฝ่ายนั้นอย่างละล้าละลัง “มันจะดีหรือ?”

                “ดีสิ นี่เป็นแค่การเต้นรำสนุกๆ เท่านั้นเอง” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ในงานเล็กๆ บางทีผมยังเต้นกับเพื่อนผู้ชายด้วยกันเลย คุณไม่ต้องเกร็งหรอก”

                “งั้นหรือครับ...” กอร์ดอนมองเขา ก่อนจะถูกอีกฝ่ายรวบเอวไว้ ในขณะที่ดนตรีเริ่มบรรเลงอีกครั้ง เมื่อลอร์ดโทรว์บริดจ์เริ่มก้าวเท้าตามจังหวะเพลง ก็ดูราวกับว่าทั้งโลกเหลือเพียงพวกเขาสองคน

                “ผมบอกคุณเลยว่านี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงในการมางานนี้ของผม” ลอร์ดหนุ่มพูดระหว่างที่พวกเขากำลังเต้นรำกันอยู่ เขาจ้องมองใบหน้าของช่างตัดเสื้อ มองลงไปในดวงตาสีฟ้าที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นคู่นั้น

                “ผมปรารถนาที่จะเต้นรำกับคุณอีกครั้ง กอร์ดอน คุณคงไม่รู้ว่าตอนผมขอคุณเต้นรำครั้งแรกในห้องนั้น ผมประหม่าแค่ไหน”

                “โอ... จอห์น...” กอร์ดอนเรียกชื่อฝ่ายนั้นพลางจ้องไปยังดวงตาสีเขียวที่เป็นประกายของเขา ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดต่อ

                “ผมรู้ว่าตอนนั้นคุณรำคาญ แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุด ผมได้มีคุณอยู่ในอ้อมกอด ได้มองหน้าคุณ ได้จ้องตาคุณ ผมทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ได้รู้จักกับคุณ ให้ได้ใกล้ชิดกับคุณตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเจอกัน แต่ผมไม่คิดหรอกว่าผมจะมีโอกาสได้เต้นรำกับคุณอีกครั้ง ได้มองหน้าคุณ โดยที่คุณมองตอบผมด้วยสายตาแบบเดียวกัน”

                กอร์ดอนมองฝ่ายนั้น “ผมยังจำที่คุณสอนผมได้ เรื่องที่ต้องสบตากับคู่เต้น... ผมไม่คาดคิดเหมือนกันว่าการเต้นรำกับคุณในครั้งนั้นจะทำให้ผมมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้” เขาคลี่ยิ้มก่อนจะพูดต่อ “คุณทำให้ผมไม่อาจจะละสายตาไปจากคุณได้อีกเลย”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้มตอบ “ผมดีใจที่เรารู้สึกตรงกัน” เขาโอบเอวกอร์ดอนแน่นกว่าเดิม “ผมไม่อยากให้เพลงนี้จบเลย ผมอยากจะเต้นกับคุณแบบนี้ไปเรื่อยๆ เราจะเต้นกันอีกสักสองสามเพลงได้ไหม?”

                “อย่าเลยจอห์น” กอร์ดอนตอบเขา “ผมไม่อยากให้การเต้นรำครั้งนี้เป็นการเต้นรำครั้งสุดท้ายของเรา”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์มีท่าทางเห็นแย้งอย่างเห็นได้ชัด แต่สุดท้ายเขาก็ยอมพยักหน้า “ก็ได้ จบเพลงนี้ผมจะปล่อยคุณให้ไปพักก่อน”

                กอร์ดอนหัวเราะ พวกเขาเต้นรำกันจนจบเพลง ก่อนที่ลอร์ดหนุ่มจะหันไปโค้งให้ผู้หญิงอีกสองคน และสร้างความประหลาดใจให้กับกอร์ดอนหลังจากนั้นด้วยการชวนเดวิดมาเป็นคู่เต้น

                “โอ้ คุณเคฟ คุณเต้นรำได้น่าประทับใจมาก คุณจะกรุณาสอนเคล็ดลับให้ผมใช่ไหมครับ?” เดวิดพูดอย่างตื่นเต้นตอนที่พวกเขามาหยุดยืนอยู่ด้วยกันในวงเต้นรำ ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า

                “ใช่ มาดูซิว่าเธอจะทำได้ดีกว่านายจ้างของเธอรึเปล่า” พูดจบเขาก็จับมืออีกฝ่ายยกขึ้น

                “ว้าว มือของคุณนิ่มมาก” เด็กหนุ่มอุทานออกมา “ผมไม่คิดว่ามือของผู้ชายจะนิ่มขนาดนี้”

                 ลอร์ดโทรว์บริดจ์ชะงักเล็กน้อย เขากะพริบตามองฝ่ายนั้น “อืม... คงเพราะฉันไม่เคยทำงานหนักน่ะ”

                “ก็จริงของคุณ แบบนี้มือของสุภาพสตรียิ่งต้องนิ่มมากแน่ๆ ใช่ไหมครับ?”

                “ใช่” ลอร์ดหนุ่มพยักหน้า “บางคนก็มือนิ่มอย่างกับไม่มีกระดูกแน่ะ”

                เด็กหนุ่มหัวเราะ “คุณโอเดนเบิร์กโชคดีมากที่ได้รู้จักกับคุณ ผมที่เป็นลูกน้องเขาเลยพลอยโชคดีไปด้วย”

                “อืม...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มก้าวเท้าตามจังหวะเพลง

                “ฟังจังหวะไว้นะเดวิด” ท่านเอิร์ลพูด “เธอต้องก้าวเท้าให้ลงจังหวะ พยายามให้มันต่อเนื่อง และนุ่มนวลที่สุด เต้นรำแบบนี้ก็เหมือนเล่นดนตรี มีหนักมีเบา มีอารมณ์ร่วมกับคู่เต้นและเสียงดนตรี เธอต้องทำให้คู่เต้นของเธอวางใจ และรู้สึกคล้อยตามกับการเต้นของเธอ”

                “โอ... ฟังแล้วดูยากไม่น้อยเลยนะครับ ผมเองก็ไม่เคยหัดเล่นดนตรีด้วย”

                “ไม่เป็นไรหรอก เธอแค่รู้จักฟังจังหวะของมันก็พอ”

                “ครับ” เดวิดพยักหน้า หลังจากนั้นเขาก็ดูเอาจริงเอาจังกับการฟังจังหวะและการจดจำการเคลื่อนไหวของลอร์ดโทรว์บริดจ์จนอีกฝ่ายต้องทักขึ้น

                “นี่ เธอต้องหัดมองหน้าคู่เต้นด้วยนะ ไม่ใช่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาแบบนี้”

                “ขอโทษครับ ผมมัวแต่พะวงเรื่องจังหวะ” เดวิดตอบก่อนจะเงยหน้ากลับมามองเขา “แบบนี้ใช้ได้มั้ยครับ?”

                “ใช้ได้แล้วล่ะ”

                ทั้งคู่เต้นด้วยกันจนจบเพลง ลอร์ดโทรว์บริดจ์เดินมานั่งพักที่เก้าอี้ ส่วนเดวิดไปโค้งสาวน้อยแมรี่แอนให้มาเต้นรำด้วย

                “ผมว่าเขาพยายามเลียนแบบคุณนะ” กอร์ดอนที่นั่งอยู่ข้างกันพูดขึ้น “พ่อเขาเสียไปแล้ว ท่าทางเขาจะเอาคุณเป็นแบบอย่างแทน”

                ลอร์ดหนุ่มพยักหน้า “ใช่ เขากำลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ตอนผมอายุเท่าเขา ผมพยายามเลียนแบบทั้งพ่อทั้งอาเลย แต่ผมชอบวิธีการใช้ชีวิตของอาผมมากกว่า”

                “เขาชื่นชมคุณมาก ผมเพิ่งรู้ว่าเขาเที่ยวเล่าเรื่องคุณให้ใครต่อใครฟังไปทั่วเลย”

                ลอร์ดหนุ่มหัวเราะออกมา “เป็นผมผมก็คงเล่า มันน่าตื่นเต้นน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ”

                กอร์ดอนยิ้มพลางสั่นศีรษะ พวกผู้ใหญ่เริ่มทยอยมานั่งคุยกันอีกครั้ง ปล่อยให้เด็กๆ เต้นรำกันไปตามเรื่อง กระทั่งสี่ทุ่ม ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับที่พัก

----------------------------------

                “คุณเคฟ คุณว่าผมเต้นรำเป็นไงบ้างครับ?” เดวิดวิ่งมาถามระหว่างที่ทั้งคู่เดินออกจากคฤหาสน์ของเซอร์จอร์จ คาเมรอน ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า

                “ใช้ได้แล้ว หัดบ่อยๆ เดี๋ยวก็จะเชี่ยวชาญขึ้นเอง”

                เด็กหนุ่มพยักหน้าแข็งขัน ขณะที่แม่ของเขาพูดอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “ต้องขออภัยพวกคุณจริงๆ นะคะที่ลูกชายดิฉันชอบมารบกวนอยู่เรื่อย”

                “ไม่เป็นไรหรอก” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า ก่อนที่กอร์ดอนจะถามขึ้นต่อ

                “พรุ่งนี้คุณจะเข้าไปที่บ้านผมกี่โมง?”

                “พวกคุณจะกินมื้อเช้าก่อนไปโบสถ์รึเปล่าคะ? ถ้าอย่างนั้นฉันจะเข้าไปประมาณเจ็ดโมงค่ะ”

                “ตกลง ตามนั้นแหละ” กอร์ดอนว่า จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันเดินทางกลับไปยังบ้านของตัวเอง ช่างตัดเสื้อถือตะเกียงเดินนำหน้าลอร์ดหนุ่ม พวกเขาเดินตัดผ่านทุ่งหญ้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดสนิทของยามราตรี ลอร์ดโทรว์บริดจ์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน ก่อนจะพูดออกมา

                “ท้องฟ้าสวยมาก คุณดูสิ”

                กอร์ดอนเงยหน้าขึ้นมองตาม ดวงดาวมากมายพร่างพราวอยู่บนท้องฟ้าสีดำสนิท ดูราวกับเพชรเม็ดเล็กๆ ที่ติดประดับผ้าคลุมหน้าของหญิงสาว ทั้งสวยงาม ยั่วยวน ลึกลับและห่างไกล

                “สวยเหลือเกิน” กอร์ดอนคราง ลอร์ดโทรว์บริดจ์ขยับมายืนเคียงข้างเขา

                “ผมบอกแล้ว ดูดาวต้องดูตอนดึก”

                กอร์ดอนเบือนหน้ากลับมามองคนยืนข้าง แสงไฟจากตะเกียงสะท้อนให้เห็นรอยยิ้มที่สว่างไสวของอีกฝ่าย ช่างตัดเสื้อยิ้มตอบเขา

                “ขอบคุณพระเจ้า ที่ให้คุณยืนอยู่ตรงนี้”

                “....”

                “ท้องฟ้าคืนนี้คงไม่สวยเลยสำหรับผม ถ้าไม่มีคุณอยู่ด้วย”

                “....”

                “คุณทำให้ผมมีความสุขที่สุด แม้จะยืนอยู่ในที่ที่อึดอัดที่สุด ขอบคุณนะจอห์น ขอบคุณที่ยืนข้างผม”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองหน้าคนรัก ก่อนจะพูดออกมา “ผมเองก็ต้องขอบคุณคุณเหมือนกัน กอร์ดอน ขอบคุณที่คุณอุตส่าห์อดทนกับความอึดอัดที่คุณรู้อยู่แล้วว่าต้องเจอเพื่อที่จะตามใจผม แม้ผมจะรู้สึกผิดอยู่บ้างที่เหมือนเป็นฝ่ายบีบบังคับให้คุณทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ แต่ผมดีใจเหลือเกินที่คุณมีความสุขเมื่อได้อยู่กับผม ผมเองก็มีความสุขมาก หากผมเป็นผู้หญิง ผมคงไม่ลังเลเลยที่จะตกลงแต่งงานกับคุณ แม้ว่าคุณจะไม่ใช่ผู้ชายอย่างที่ใครๆ คาดหวังก็ตาม”

                กอร์ดอนหัวเราะออกมา “ผมเองก็จะตอบคุณในแบบเดียวกัน เพียงแต่ว่าคุณเป็นผู้ชายที่ทุกคนคาดหวัง ซึ่งตรงกันข้ามกับผมอย่างสิ้นเชิง”

                “ไม่เป็นไรหรอก แค่พวกเราคิดตรงกันก็พอแล้ว” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า สายลมยามดึกพัดมาต้องผิว ทั้งคู่ขยับหมวกและเสื้อโค้ทให้เข้าที่ พลางก้าวเท้าเดินต่อไป แสงไฟจากโคมหน้าบ้านค่อยสว่างชัดขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาถึงทรีลอว์นีย์เสียที

--------------------------------------------
(จบตอน)
**ในที่สุดก็หาเวลามาเขียนตอนนี้ให้จบได้เสียที หลังจากใจหายใจคว่ำกับแม่เป็ดในตอนก่อน อันที่จริงเราตั้งใจจะเขียนให้ทั้งสองคนคุยกันเรื่องนี้ด้วย แต่ทว่าโควต้าของหน้ามันก็เกินมาไกลมากแล้ว จึงจำต้องยกไปอยู่ในตอนถัดไปแทน (นี่เป็นนิยายที่ช่วงหลังๆ มีจำนวนหน้าต่อตอนอยู่ที่20หน้ากระดาษเอสี่เข้าไปแล้ว บร๊ะเจ้า!!)

อันที่จริงตอนแรกเราตั้งใจจะเขียนถึงเหล่าบรรดาญาติๆ ของกอร์ดอน แต่ไปๆ มาๆ สุดท้ายก็พูดถึงแต่เซอร์จอร์จกับภรรยาแค่สองคน เนื่องจากเห็นว่าแค่สองคนนี้ กอร์ดอนคนดีก็อึดอัดใจจะแย่ ขืนยังใส่บทคนอื่นๆ ลงไปอีก มีหวังเนื้อหาอาจจะยาวไปเป็นสามสิบหน้าเอสี่ก็เป็นได้ (ยาวเกินกว่าที่อิฉันจะยอมรับได้ในตอนหนึ่ง)

ช็อตที่ตั้งใจเขียนถึงตั้งแต่เริ่มพูดถึงงานเต้นรำ คือช็อตการเต้นรำคู่กันอีกครั้งของพระนายสองคน แต่ทว่าช็อตที่มาอย่างคาดไม่ถึงอย่างช็อตต่อบุหรี่ กลับแย่งซีนช็อตที่คิดมาไปหมดเลย ฮ่าๆๆ (มันคงจะติดตาตรึงใจเดวิดไปอีกนานแสนนานด้วย)

ความสัมพันธ์ของเดวิดกับจอห์นนี่ในตอนนี้เหมือนกับพี่ชายน้องชาย หรือไม่ก็พ่อลูก เราแอบชอบความสัมพันธ์ของคู่นี้มาก เวลามาอยู่ด้วยกันสามคนแล้วให้บรรยากาศครอบครัวอบอุ่นดี  :-[

บางเวลาที่เขียนเรื่องนี้ก็มีมโนขึ้นมาว่า ถ้ามีนางฟ้าใจดีมาเสกกอร์ดอนให้กลายเป็นผู้หญิง เรื่องคงแฮปปี้เอ็นดิ้ง... แต่แน่นอนว่ามันเป็นแค่ความคิดชั่ววูบ และนิยายเรื่องนี้ก็ไม่ใช่นิยายแฟนตาซี  :hao5:

ถึงอย่างนั้นเราก็ยังแอบอยากบิดเนื้อหาบางตอนไปเป็นแฟนฟิกเพื่อให้กอร์ดอนได้กลายเป็นผู้หญิง จะได้มีลูกกับจอห์นนี่ได้สมใจ ฮ่าๆ คงฟินพิลึก (นี่คือเขียนนิยายวายออกมาเพื่อให้จิ้นกลับไปเป็นคู่นอร์มอล???)

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ^^

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ยาวสะใจที่สุด

ตอนนี้อ่านแล้วน้ำตาปริ่มอยู่ตลอด ความรักอบอวลมาก แต่ความขมที่เป็นพื้นหลังก็เข้มข้นจนขมคอเลยทีเดียว

ใครอยู่ใกล้ก็ต้องรักจอห์นนี่ พ่อคุณช่างสว่างไสวและงดงามราวกับดวงอาทิตย์ยามเช้าตรู่

ขอบคุณพระเจ้าที่นำพาเขาให้มาพบดอนนี่


ฉากต่อบุหรี่นี่ทำเอาฉันเขินไปเลย เดวิดจะใจแตกไหมนั่น ฮ่า ๆ ๆ

อยากอ่านค่ำคืนในทรีลอว์นีย์แล้วววววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ ทั่วหล้า

  • ไม่ช่างพูดแต่ช่างพิมพ์
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1049
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
ฉากต่อบุหรี่นี่แบบดิ้นแถดๆๆอยู่บนเตียงคนเดียวเลยค่ะ
จริงๆแอบกริ๊ดใส่หมอนด้วย
อิจฉาเดวิดจริงๆที่ไดัเห็นฉากนี้ในระยะประชิด

ปล.เรย์มอน เรดดิงตัน คนเขียนเป็นแฟนแบล็คลิสต์เหรอคะ? คิคิคิ


ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
อบอุ่นได้ใจ
ยาวจุใจ
ซึ้งเหลือใจ
เป็นคนหนึ่งที่จินตนาการสถานที่ตามคนเขียนได้บรรยายไว้
อยากมีสักครั้ง ที่ได้ไปอยู่ที่นั้นๆ อย่างมีความสุข
จะมีบ้างไหมน้าาาาา
 :catrun:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
อบอวลไปด้วยความรักที่ไม่สามารถเปิดเผยได้

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ฉากต่อบุหรี่นี่แบบดิ้นแถดๆๆอยู่บนเตียงคนเดียวเลยค่ะ
จริงๆแอบกริ๊ดใส่หมอนด้วย
อิจฉาเดวิดจริงๆที่ไดัเห็นฉากนี้ในระยะประชิด

ปล.เรย์มอน เรดดิงตัน คนเขียนเป็นแฟนแบล็คลิสต์เหรอคะ? คิคิคิ



เบื่อและรำคาญนางเอกมากค่ะ ฮ่าๆๆๆ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เข้าใจเลยเมื่อผู้ใหญ่วุ่นวาย อยากให้ลูกหลานได้แต่งงาน
แล้วช่วงเวลาที่กอร์ดอนเป็นหุ่นุ่มจนถึงสามสิบกว่า
จะถูกเซ้าซี้เรื่องนี้ น่าเบื่อขนาดไหนกัน

ชื่นชมความรักของจอห์นนี่ กอร์ดอน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
แต่ก็รู้สึกถึงความยาก ที่ความรักจะสมหวัง
แม้จะเปิดเผยไม่ได้ แต่ก็อยากให้ทั้งคู่กล้าแสดงออก
อย่างเต็มที่ เวลาที่อยู่กันในที่ส่วนตัว
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ chen

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
โอ้ว ชอบบรรยากาศงานเต้นรำแบบชนบท และ
ชอบที่สุด คือ เค้าใช้ชีวิตในหนึ่งวันร่วมกัน วันสบายๆอันแสนสุข แม้ต้องกลับไปในโลกความจริง
ที่ว่า จะอยู่คู่กันได้อย่างไร ...มอง ไปที่เรือมุ่งสู่ดินแดนอเมริกา
นี่แหล่ะหนาชีวิต ทุกข์สุขและทางเลือก เชียร์จอนนี่กับกอร์ดอนยาวๆไปค่ะ

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
พออยู่รวมกันสามคนแล้วให้บรรยากาศเหมือน พ่อ แม่ ลูก เลยค่ะ

ออฟไลน์ ChabaSri

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ถ้าท่านลอร์ดเปรียบเสมือนแสงอาทิตย์ ดอนนี่ของเราคงเหมือนพระจันทร์ละมั๊งนะ


มันคือหนึ่งตอนที่อบอุ่นและอวลไอไปด้วยบรรยากาศสบายๆนะแต่ความขมขื่นฝาดเผื่อนก็เหมือนจะปะปนอยู่ในทุกตัวอักษร จะยิ้มก็ยิ้มไม่สุดจริงๆ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
คำผิดนิดหน่อยค่ะ

เหมือนทุลีละอองที่ไม่อาจมองเห็นได้ >> ธุลี


ยิ่งอ่านยิ่งหลงรักดอนนี่และจอห์นนี่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
อ่านตอนนี้ละเหมือนมีอะไรกรุ่นๆอยู่ในอก อยากบอกให้ทุกคนได้รู้ แต่บอกไม่ได้   :pig4: :pig4: :3123: :3123:

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
Dear, My customer.

ตอนที่27 รักที่ไม่อาจเปิดเผย


            กอร์ดอนหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตูบ้าน ด้านในมืดสนิท เขาวางตะเกียงลงบนหิ้ง ลอร์ดโทรว์บริดจ์จะล้วงเอาไม้ขีดขึ้นมาจุดตะเกียงสำหรับใช้ในบ้านที่วางอยู่ใกล้กัน แสงไฟจากตะเกียงสองดวงส่องให้ตัวบ้านดูสว่างขึ้น

                “ตั้งแต่กลับมาจากอเมริกา นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมจุดตะเกียงเอง” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดพลางไขไส้ตะเกียงขึ้นเพื่อเพิ่มความสว่าง กอร์ดอนหัวเราะ

                “ผมควรดีใจที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์มาจุดตะเกียงให้สินะครับ”

                “แน่นอน ถ้าคุณไม่ดีใจผมคงจะโกรธมาก” ลอร์ดหนุ่มพูดด้วยสีหน้าขึงขัง พลางวางครอบแก้วของตะเกียงกลับไปที่เดิม กอร์ดอนหันไปปิดล็อกประตูบ้าน ก่อนจะหยิบตะเกียงเดินนำลอร์ดโทรว์บริดจ์ขึ้นบันได

                “ผมลืมบอกคุณอีกอย่าง”

                “อะไรหรือครับ?”

                ลอร์ดหนุ่มเดินมาประชิดตัวเขาตอนที่ทั้งคู่ก้าวขึ้นสู่พื้นบ้านชั้นสอง “นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมพักค้างในสถานที่ที่ไม่มีคนรับใช้หรือผู้ติดตาม”

                “โอ...” กอร์ดอนคราง “งั้นคุณคงลำบากหน่อย เพราะผมอาจจะเป็นคนรับใช้ที่ไม่ดีนัก”

                “เปล่า ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” อีกฝ่ายรีบพูด “ผมแค่จะบอกว่า มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับผมมาก ที่ได้มาพักค้างกับคนที่ผมรักแค่สองต่อสอง โดยไม่ต้องพะวงว่าจะมีใครอื่นมากวนใจระหว่างนั้น”

                กอร์ดอนหน้าแดง เขารีบเดินนำอีกฝ่ายไปยังห้องพัก “ผมว่าพวกเราควรรีบเข้านอนนะครับ พรุ่งนี้จะได้ตื่นไปโบสถ์แต่เช้า”

                “อืม... ผมเห็นด้วยกับคุณนะ เปิดประตูสิ”

                ช่างตัดเสื้อรีบบิดลูกบิดประตู แล้วโค้งให้ฝ่ายนั้น “เชิญครับท่านลอร์ด”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเขายิ้มๆ “คุณทำตัวอย่างกับเด็กเปิดประตูที่ร้านอาหารแน่ะ เข้าไปเถอะ เดี๋ยวผมจะปิดประตูเอง”

                “เอ๋?”

                “เข้าห้องสิ คุณบอกให้เรารีบนอนไม่ใช่หรือ?”

                โดยไม่รอให้กอร์ดอนพูดอะไรอีก ลอร์ดโทรว์บริดจ์โอบไหล่ฝ่ายนั้นแล้วดันเข้าไปในห้อง ก่อนจะปิดประตู

                “จอห์น ผมจะไม่...” คำพูดของกอร์ดอนถูกกั้นเอาไว้ในริมฝีปากด้วยนิ้วชี้ที่แตะลงมา ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเขา แล้วยิ้ม

                “ผมรู้ว่าคุณยังกังวลเรื่องเมื่อกลางวันอยู่ ผมเองก็รู้สึกละอายเช่นกันที่เผลอตัวทำเรื่องแบบนั้นกับคุณในที่สาธารณะ”

                ช่างตัดเสื้อหน้าแดง เขาเสมองไปทางอื่น แล้วพูดทั้งที่ยังถือตะเกียงอยู่ “ผมว่าพระเจ้าเตือนเราแล้วนะจอห์น ถ้านั่นไม่ใช่เป็ด แต่เป็นคนล่ะก็... พวกเราคงไม่ได้มายืนคุยกันอยู่ตรงนี้หรอก”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เม้มริมฝีปาก เขาวางตะเกียงลงบนโต๊ะ ก่อนจะหันมามองช่างตัดเสื้ออีกครั้ง

                “ผมคงจะต้องฆ่าคนคนนั้น... เพื่อที่จะไม่ต้องสูญเสียคุณไป ถ้านั่นคือการตักเตือนของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ก็ทรงเมตตาต่อพวกเรามากทีเดียว”

                กอร์ดอนพยักหน้า ก่อนจะพูดต่อ “เพราะอย่างนั้น พวกเราไม่ควรจะทำให้พระองค์ต้องผิดหวัง”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เม้มริมฝีปากอีกครั้ง เขาสูดหายใจลึก ขมวดคิ้วพลางหลับตาลง ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ผมไม่อยากนอนคนเดียวเลยกอร์ดอน ผมเฝ้าฝันอยู่ทุกวัน ถึงการได้นอนเคียงกับคุณบนเตียง จูบราตรีสวัสดิ์คุณก่อนนอน และลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นคุณเป็นคนแรก พวกเรามีโอกาสได้อยู่กันตามลำพังแบบนี้แล้ว คุณจะยอมให้ผมนอนข้างไม่ได้เชียวหรือ?”

                “ผมเกรงว่าพวกเราจะละเมิดทำในสิ่งที่พระเจ้าห้าม”

                “โอ...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์คราง “ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าผมปรารถนาในตัวคุณอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ผมกระหายที่จะได้ร่วมรักกับคุณเฉกเช่นชายหญิงทั่วไป พฤติกรรมที่ผมแสดงออกต่อคุณในตอนเที่ยงคงทำให้คุณหมดความวางใจในตัวผม แต่ได้โปรดเถอะ คุณจะเอาหมอนมาขวาง จะจับผมมัดกับเสาเตียง ทำยังไงก็ได้ ขอแค่คุณนอนข้างผมคืนนี้ก็พอ”

                กอร์ดอนยิ้มให้อีกฝ่ายพลางสั่นศีรษะ “ไม่ใช่เพราะผมหมดความไว้ใจในตัวคุณหรอกจอห์น แต่เพราะผมกลัวตัวเองไม่อาจหักใจปฏิเสธความต้องการของคุณได้ต่างหาก”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์จ้องหน้าฝ่ายนั้น “คุณต้องการผมเหมือนกันหรือ? คุณปรารถนาในตัวผมเหมือนกันใช่ไหม?”

                “ผมต้องกลับห้องแล้ว” กอร์ดอนเบี่ยงตัวไปที่ประตู แต่ถูกลอร์ดหนุ่มใช้มือขวางเอาไว้

                “ไม่ ผมไม่อนุญาตให้คุณไป” เขาดึงตัวของช่างตัดเสื้อเข้ามากอด แล้วปลดตะเกียงออกจากมือของฝ่ายนั้น กอร์ดอนมองเขาด้วยความตกใจ

                “อย่าจอห์น! คุณต้องให้ผมไป”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์วางตะเกียงลงบนโต๊ะ และตอบอีกฝ่ายด้วยการแนบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากของเขา กอร์ดอนดิ้นเล็กน้อย เมื่อลอร์ดโทรว์บริดจ์สอดปลายลิ้นเข้ามาอย่างกระหาย แรงที่จะต่อต้านเฮือกสุดท้ายของเขาก็หมดลง ช่างตัดเสื้อจูบตอบฝ่ายนั้นด้วยความต้องการทั้งหมดที่มี

                เสื้อผ้าค่อยๆ ถูกถอดออก ระหว่างที่ทั้งคู่จูบกันอย่างดูดดื่ม ลอร์ดโทรว์บริดจ์ดึงเสื้อเชิ้ตออกจากแขนของกอร์ดอน ก่อนจะดันร่างเปลือยเปล่าของฝ่ายนั้นลงไปบนเตียง แล้วขยับไปคร่อมไว้

                กอร์ดอนมองร่างที่อยู่เหนือตัวเขา กล้ามเนื้อที่เรียงตัวได้รูปสวยของฝ่ายนั้นกระตุ้นให้เขายกมือขึ้นลูบไล้มันด้วยความหลงใหล ลอร์ดโทรว์บริดจ์จับมือของเขาไปจูบ ก่อนจะทิ้งตัวลงทับร่างที่อยู่เบื้องล่าง ทั้งคู่ลูบไล้ร่างกายของกันและกัน ขณะแลกจูบจนแทบไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้หายใจ หัวใจของลอร์ดหนุ่มเต้นระรัว เขาลูบไล้เรียวขาของช่างตัดเสื้อด้วยความปรารถนา ก่อนจะยกขาทั้งสองข้างของฝ่ายนั้นขึ้น แล้วดันส่วนสำคัญของตัวเองเข้าไปในร่องสะโพก

                ความเจ็บปวดจากการถูกรุกล้ำอย่างผิดธรรมชาติดึงสติของกอร์ดอนให้กลับมาอีกครั้ง เขาผงะตัวขึ้นมาแล้วคว้าแขนของลอร์ดหนุ่มเอาไว้แน่น “อย่า ผมเจ็บ!”

                น้ำเสียงและท่าทางตกใจของเขาทำให้อีกฝ่ายชะงัก ทั้งคู่จ้องหน้ากันท่ามกลางความเงียบงันอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนที่กอร์ดอนจะร้องไห้ออกมา เสียงคร่ำครวญของเขาทำให้อารมณ์วาบหวามของลอร์ดโทรว์บริดจ์ปลาสนาการไปสิ้น เขาปล่อยขาของอีกฝ่ายลง แล้วถามด้วยความเป็นห่วง

                “คุณเจ็บมากหรือ?”

                กอร์ดอนขดตัวหนีพลางยกมือขึ้นปิดหน้า เขาสะอื้นจนตัวโยน ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองอีกฝ่ายอย่างว้าวุ่นใจ

                “กอร์ดอน เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?”

                ช่างตัดเสื้อยังคงขดตัวอยู่อย่างนั้น ร่ำไห้ราวกับจะขาดใจ “โอ... พระเจ้าโปรดให้อภัยลูกด้วย โปรดให้อภัยลูกด้วย”

                “โอ...” ลอร์ดหนุ่มคราง เขาเอื้อมมือไปหมายจะจับไหล่ฝ่ายนั้นเป็นเชิงปลอบ แต่ช่างตัดเสื้อกลับบิดตัวหนีราวกับไม่ต้องการการสัมผัสของเขาอีกแล้ว ลอร์ดโทรว์บริดจ์ขบริมฝีปาก รู้สึกปวดร้าวไปทั้งหัวใจ

                “อย่าทำกับผมแบบนี้เลย คุณรังเกียจผมแล้วหรือ?”

                กอร์ดอนสั่นศีรษะ เขาสะอื้นอยู่อีกพักใหญ่ๆ ถึงจะพอเค้นคำพูดกระท่อนกระแท่นออกมาได้

                “อย่ามาเกลือกกลั้วกับผมเลยจอห์น... ผมไม่คู่ควรหรอก”

                “อย่าพูดอย่างนี้สิกอร์ดอน คุณบอกผมเถอะว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ลอร์ดโทรว์บริดจ์แล้วยื่นมือไปจับไหล่ฝ่ายนั้นอีกครั้ง คราวนี้ช่างตัดเสื้อยอมให้เขาจับแต่โดยดี

                “ผมสมเพชตัวเองเหลือเกิน ผมไม่อาจให้ความสุขคุณเหมือนผู้หญิงได้ ผม...” กอร์ดอนร้องไห้ออกมาอีก ลอร์ดโทรว์บริดจ์พลิกตัวเขาให้หันมาเผชิญหน้ากัน

                “คุณกลัวใช่ไหม?”

                กอร์ดอนผงกศีรษะ ใบหน้าของเขาชุ่มไปด้วยคราบน้ำตา “พระเจ้าจะไม่ให้อภัยพวกเรา... จะไม่มีใครให้อภัยพวกเรา...”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ใช้มือเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของฝ่ายนั้น ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผาก “ความผิดของผมเอง... ผมปล่อยให้ความต้องการครอบงำตัวเองจนเกือบจะละเมิดคำสาบานของเราเสียแล้ว”

                กอร์ดอนมองหน้าเขา น้ำตาไหลอาบหน้า ลอร์ดโทรว์บริดจ์ประคองเขาให้ลุกขึ้นมานั่ง ใช้มือเช็ดน้ำตาให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะหยิบผ้าห่มมาคลุมตัวเขาเอาไว้

                “อยู่นี่นะ เดี๋ยวผมจะไปเอาเสื้อนอนมาให้ เสื้อแขวนอยู่ในห้องคุณใช่ไหม?”

                กอร์ดอนพยักหน้า ก่อนจะคว้าแขนฝ่ายนั้นเอาไว้ “ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมไปเอง”

                “ให้ผมทำให้คุณเถอะ... ผมอยากชดเชยเรื่องที่ทำกับคุณเมื่อครู่นี้” ลอร์ดหนุ่มพูดพลางยิ้ม เขาลุกขึ้นจากเตียง เดินไปหยิบเสื้อคลุมที่แขวนอยู่มาสวม แล้วถือตะเกียงเดินออกไปจากห้อง

                เขากลับมาอีกครั้งพร้อมกับเสื้อนอน ช่างตัดเสื้อยังคงนั่งอยู่บนเตียงโดยมีผ้าห่มคลุมร่างเหมือนเดิม ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตรงไปที่เตียง ยื่นเสื้อให้ฝ่ายนั้น

                “ขอบคุณนะครับ” กอร์ดอนพูด ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้มให้เขา ก่อนจะหันหน้าเข้าหาผนัง ช่างตัดเสื้อจึงลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินไปสวมเสื้อผ้าที่หลังฉากกั้น พอเขาชะโงกออกมาเขาก็เห็นลอร์ดหนุ่มกำลังเก็บเสื้อผ้าที่กองเกลื่อนบนพื้นอยู่

                “โอ้ จอห์น ให้ผมทำเถอะ” กอร์ดอนรีบปราดเข้าไปทันที “มันควรจะเป็นหน้าที่ของผมมากกว่า”

                “ผมไม่เถียงคุณแล้วกัน” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ผมจะช่วยคุณเก็บ”

                พวกเขาพากันเก็บเสื้อผ้าของตัวเองขึ้นมา สะบัดพวกมันแล้วแขวนเอาไว้บนตะขอแขวน ก่อนจะหันมามองหน้ากันโดยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ

                “....”

                “....”

                “ผมขอโทษนะกอร์ดอน” ในที่สุดลอร์ดหนุ่มก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน เขาเดินไปจับมือของฝ่ายนั้นมากุมไว้ “ผมขอโทษที่เกือบผิดคำสาบาน ขอโทษที่เกือบจะทำร้ายร่างกายและจิตใจของคุณเข้า”

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องมันผ่านไปแล้ว” กอร์ดอนพยักหน้า “ผมคงต้องไปนอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์ครับ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์นิ่งไปอึดใจ แต่ก็ยอมปล่อยมือของช่างตัดเสื้อในที่สุด “ราตรีสวัสดิ์กอร์ดอน”

                ช่างตัดเสื้อหยิบตะเกียงแล้วเดินออกจากห้องไป ลอร์ดหนุ่มทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ในห้อง ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขากวาดตามองสภาพของเตียง แล้วรู้สึกละอายแก่ใจจนหน้าแดงก่ำ เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

                เขาเกือบจะทำเรื่องร้ายแรงลงไปเสียแล้ว

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หวนนึกถึงความรู้สึกเมื่อตอนที่เขาเริ่มต้นจูบฝ่ายนั้น ตอนที่ลูบไล้กันบนเตียง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเร่าร้อนจนน่าตกใจ กอร์ดอนเผยความปรารถนาเบื้องลึกออกมาให้เขาเห็นเป็นครั้งแรก เจ้าตัวตอบสนองสัมผัสของเขาอย่างวาบหวาม ในห้วงเวลานั้นเขาลืมเลือนข้อห้ามและหลักศีลธรรมทุกอย่าง ลืมเลือนกระทั่งคำสาบาน ที่อยู่ในความคิดมีเพียงความปรารถนาอันดำมืดเท่านั้น เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่ากอร์ดอนจะพร้อมหรือไม่สำหรับเรื่องนี้ ความต้องการขับดันให้เขาพยายามสอดใส่เข้าไปในช่องทางที่ผิดธรรมชาติ

                เมื่อนึกถึงสีหน้าตกใจของกอร์ดอนและเรื่องหลังจากนั้น ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ่งรู้สึกละอายแก่ใจมากกว่าเดิม หากเขาดึงดันทำต่อไป อีกฝ่ายคงต้องรับทุกข์ทรมานอย่างไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกายหรือจิตใจก็ตาม

                ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้า เขารู้สึกผิดหวังกับตัวเองที่ไม่อาจควบคุมความปรารถนาได้ จนทำให้ต้องทำลายบรรยากาศดีๆ ระหว่างเขากับกอร์ดอนลง ลอร์ดโทรว์บริดจ์เบือนหน้ากลับไปมองเตียงนอนอีกครั้ง

                หากแต่เพียงเขาควบคุมอารมณ์สักนิด กอร์ดอนคงไม่ต้องเสียน้ำตา และเขาคงได้จูบราตรีสวัสดิ์ฝ่ายนั้นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกจากห้องไป

                เสียงถอนหายใจยาวถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตู ลอร์ดหนุ่มสะดุ้ง เขารีบกุลีกูจอไปเปิดประตูทันที

                “เอ่อ...” กอร์ดอนที่อยู่หลังประตูมองหน้าเขาอย่างลังเล “คุณยังไม่นอนใช่ไหม?”

                “เปล่า คุณมีธุระอะไรหรือ?”

                กอร์ดอนเม้มริมฝีปาก “คือผมเอาหมอนข้างมาให้คุณ... ไม่รู้ว่าคุณจะใช้หรือเปล่า?”

                หัวใจของลอร์ดโทรว์บริดจ์เต้นแรงขึ้นมา เขาเปิดประตูกว้างขึ้น “เข้ามาก่อนสิ”

                อีกฝ่ายเดินเข้ามาพร้อมกับตะเกียงและหมอนข้างที่หนีบไว้ในซอกแขน พอเห็นสภาพของเตียงเขาก็หน้าแดง

                “ผมจัดเตียงให้คุณใหม่ดีกว่า” ชายหนุ่มว่า เขาวางหมอนข้างลงบนเก้าอี้ แล้วตรงไปดึงผ้าปูที่นอนบนเตียง ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยืนมองอากับกิริยาของฝ่ายนั้น

                “คุณนอนไม่หลับหรือ?” ลอร์ดหนุ่มตัดสินใจถามออกไปตรงๆ กอร์ดอนหันมามองเขา ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ

                “ครับ... ที่จริงแล้วผมควรจะต้องขอโทษคุณด้วย”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เดินเข้าไปหาฝ่ายนั้น “คุณไม่ต้องขอโทษอะไรผมหรอก คุณไม่ได้ทำผิดอะไร”

                “ไม่ครับ” กอร์ดอนยืดตัวขึ้นมาเผชิญหน้ากับคู่สนทนา “มันผิดที่ผมด้วย ผมปล่อยให้คุณโทษตัวเองคนเดียวไม่ได้หรอก ผมผิดที่ไม่ช่วยคุณรักษาคำสาบาน... ผมเองก็ห้ามใจไม่ได้เหมือนกัน”

                “ไม่เป็นไรหรอก” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้ม พลางยกมือขึ้นไล้เรือนผมของฝ่ายนั้น “เพราะสุดท้ายคุณก็ห้ามผมได้สำเร็จ คุณช่วยให้ผมไม่ผิดคำสาบาน ผมไม่ถือโทษโกรธคุณหรอก”

                กอร์ดอนมองฝ่ายนั้น ก่อนจะพูดต่อ “คุณไม่หงุดหงิดผมหรือ?”

                “ทำไมผมต้องหงุดหงิดคุณด้วยล่ะ?” ลอร์ดหนุ่มถามอย่างสงสัย กอร์ดอนเหลือบมองไปข้างๆ อย่างลังเลใจ

                “ก็ผมให้ความสุขคุณบนเตียงไม่ได้...”

                “โอ...”

                “คุณยังหนุ่มมาก มีผู้หญิงดีๆ มากมายที่มีความพร้อมมากกว่าผม เธอให้ความสุขกับคุณได้ ดูแลคุณได้ มีลูกให้คุณได้ ถ้าตอนนี้คุณจะยกเลิกคำสาบานที่มีต่อผม ผมยินดีจะอภัยให้คุณ ผมเห็นแล้วว่ามันดีกับคุณมากกว่า”

                “ให้ตาย...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ครางออกมา เขาจับไหล่ช่างตัดเสื้อเอาไว้ “คุณคิดว่าผมเห็นเรื่องนั้นสำคัญหรือ? ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าผมมีความต้องการ และผมก็ผิดหวังมากที่ไม่อาจควบคุมมันได้ ผมทำให้คุณต้องร้องไห้ นั่นทำให้ผมเจ็บปวดมาก ผมสัญญาว่าผมจะไม่ละเมิดเรื่องนี้อีก ผมจะไม่ผิดคำสาบาน จะไม่ทำให้รักของเราต้องแปดเปื้อนอีก”

                ช่างตัดเสื้อช้อนดวงตาสีฟ้าที่สั่นระริกขึ้นมองหน้าอีกฝ่าย “หมายความว่าต่อให้เรามีอะไรกันไม่ได้ คุณก็จะยังรักผมใช่ไหม?”

                “แน่นอน... ผมรักคุณ ไม่ว่ายังไงผมก็รักคุณ”

                กอร์ดอนมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวสดใสคู่นั้น ภาพตรงหน้าเขาพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อขึ้นมา

                “ผมเชื่อคุณจอห์น ผมเชื่อคุณ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ประคองใบหน้าของช่างตัดเสื้อด้วยมือทั้งสองข้างของเขา ก่อนจะโน้มจูบลงไปบนริมฝีปากคู่นั้น กอร์ดอนยกแขนกอดร่างของคนรักเอาไว้แน่น

                “ผมรักคุณ...”

                “ผมก็รักคุณเช่นกัน”

                ทั้งสองกอดกันอยู่นาน ความรู้สึกผิดและความไม่ไว้วางใจถูกความรักที่เอ่อท้นขึ้นมาเจือจางจนแทบไม่เหลือเค้ารอย ตอนที่ผละออกจากกัน ทั้งคู่แทบไม่อาจปิดบังรอยยิ้มแห่งความปิติที่ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากได้ กอร์ดอนมองลอร์ดโทรว์บริดจ์อย่างเขินอาย

                “ผมคงต้องไปนอนจริงๆ นี่มันก็ดึกมากแล้ว”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้มให้เขา “ผมจะไม่ขัดขวางคุณอีก แต่ผมจะขอคุณดีๆ” เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย พยายามใช้คำพูดที่ดูไม่บีบบังคับจนเกินไปนัก

                “คืนนี้คุณนอนกับผมได้ไหม? แค่นอนเฉยๆ น่ะ... แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ให้ผมจูบราตรีสวัสดิ์คุณก่อนนอนแทนก็แล้วกัน ไม่ว่ายังไงผมก็มีความสุข ขอแค่เป็นคุณก็พอ”

                “คือผม...”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เชยคางของเขาขึ้นมา แล้วจูบเบาๆ “ราตรีสวัสดิ์กอร์ดอน ไปนอนเถอะ ผมไม่ฝืนใจคุณล่ะ”

                กอร์ดอนมองหน้าเขาอึดใจ ก่อนจะพยักหน้า แล้วถือตะเกียงเดินออกไปจากห้อง ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถอนหายใจอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาทำมันพร้อมกับรอยยิ้ม ลอร์ดหนุ่มดับตะเกียง ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ล้มตัวลงนอน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีก

                “ผมเพิ่งนึกได้ว่าลืมหมอนข้าง” ช่างตัดเสื้อพูด อีกฝ่ายมองเขาอย่างสงสัย

                “แต่คุณจะเอามาให้ผมอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”

                “อ้อ... นั่นสินะครับ” กอร์ดอนพยักหน้า แล้วหัวเราะเขินๆ “ผมนี่ขี้ลืมจริง”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะเปิดประตูกว้างขึ้น “อยากมานอนเป็นเพื่อนผมไหม? คุณให้หมอนข้างผมแล้วนี่... เราเอามันคั่นไว้ตรงกลางก็ได้นี่นา”

                “ได้หรือครับ? มันจะไม่ทำให้คุณหงุดหงิดหรือ?”

                “ไม่เลย” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบพลางยิ้ม “ผมไม่หึงกระทั่งหมอนข้างหรอก ไม่แน่ว่าผมอาจจะชอบมันมากก็ได้ ถ้ามันจะทำให้คุณยอมตกลงนอนเป็นเพื่อนผม”

                “งั้นผม...”

                “เข้ามาเถอะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดแล้วผายมือให้ กอร์ดอนก้าวเท้าเข้ามาแล้ววางตะเกียงลงบนโต๊ะ ก่อนจะหันมายิ้มเขินๆ ทำเอาลอร์ดหนุ่มพลอยรู้สึกเขินไปด้วย เขาจึงเดินไปดับตะเกียงเสีย

                “เข้านอนกันเถอะกอร์ดอน” เขาพูดแล้วจูงมือฝ่ายนั้นไปที่เตียงด้วยหัวใจที่เต้นระรัวด้วยความยินดี ช่างตัดเสื้อบีบมือเขาเบาๆ ก่อนจะผละออก

                “ราตรีสวัสดิ์จอห์น”

                “ราตรีสวัสดิ์กอร์ดอน”

                ทั้งคู่นอนลงบนเตียงข้างกัน โดยมีหมอนข้างคั่นกลาง ลอร์ดโทรว์บริดจ์ค่อยๆ เอื้อมมือไปจับมือของกอร์ดอนมากุมเอาไว้ เขาหลับตาลง แล้วปล่อยให้ความเงียบและเสียงหัวใจนำทางสู่ห่วงนิททรา

---------------------------------------------

                คืนนั้นกอร์ดอนฝัน ในความฝันเขาเป็นหญิงสาวที่ได้พบรักกับลอร์ดหนุ่มผู้สง่างามทั้งร่างกายและจิตใจ เพียบพร้อมไปด้วยทรัพย์สมบัติและเกียรติยศ ดวงตาของเขาเป็นสีเขียวสดใสราวกับสีของใบไม้ในหน้าร้อน รอยยิ้มของเขาสว่างไสวเหมือนแสงอรุณ พวกเขาเดินด้วยกันในทุ่งหญ้ากว้างที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ ลอร์ดหนุ่มจับมือของเขาเอาไว้ หัวเราะและพูดคุยกับเขาอย่างมีความสุข ส่วนเขาเอาแต่จ้องหน้าของอีกฝ่ายด้วยความหลงใหล ไม่ว่าฝ่ายนั้นจะพูดหรือทำอะไรก็ดีงามในความรู้สึกของเขาทั้งสิ้น

                พวกเขาทั้งสองเดินกันมาหยุดที่หน้าโบสถ์แห่งหนึ่ง ลอร์ดหนุ่มคุกเข่าลง จับมือของเขาขึ้นมา แล้วสวมแหวนที่ทำด้วยใบหญ้าและดอกไม้ป่าลงบนนิ้วนางด้านซ้ายของเขา ก่อนจะช้อนดวงตาสีเขียวสดใสที่เป็นประกายเหมือนผิวน้ำยามต้องแสงอาทิตย์ขึ้นมองเขา ถามเขาว่าจะยอมตกลงเป็นสามีภรรยากันหรือไม่ ตัวเขาในความฝันตอบตกลงอย่างไม่ลังเล

                ทันใดนั้นทุกอย่างก็สว่างไสวขึ้นกว่าเดิม เขาพบตัวเองสวมชุดสีขาว ถือช่อดอกไม้ยืนอยู่หน้าไม้กางเขน โดยมีลอร์ดหนุ่มยืนเคียงข้าง บาทหลวงที่เขามองไม่เห็นหน้ากล่าวนำให้พวกเขากล่าวคำสาบานเป็นสามีภรรยาต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาได้รับการอวยพรให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

                ในบ้านหลังเล็กแต่สวยงาม เขาให้กำเนิดเด็กแฝดชายหญิง เด็กชายมีดวงตาสีเขียวสดใสเหมือนผู้เป็นพ่อไม่มีผิด ส่วนเด็กหญิงมีเรือนผมสีทองเป็นลอนสลวย และมีดวงตาสีฟ้าที่งดงามอย่างที่เขามี เขาอุ้มทารกหญิงไว้ในอ้อมแขน ส่วนลอร์ดหนุ่มผู้เป็นสามีอุ้มทารกชายเอาไว้ ฝ่ายนั้นคลี่ยิ้มสดใสแล้วโน้มหน้าลงจูบเขาเบาๆ

                “......”

                “โอ... ผมทำคุณตื่นใช่ไหม?”

                แว้บแรกกอร์ดอนคิดว่าเขายังคงฝันอยู่ เมื่อได้เห็นดวงตาสีเขียวเป็นประกายคู่นั้นกำลังมองมา แต่อีกเสี้ยววินาทีต่อมาเขาก็ระลึกได้ว่าที่อยู่ตรงหน้าคือความจริง ชายหนุ่มยกมือขึ้นประคองใบหน้าของฝ่ายนั้นไว้ แล้วดึงเข้ามาจูบอีกครั้ง

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ แต่เขาก็จูบตอบช่างตัดเสื้ออย่างอ่อนโยน

                “อรุณสวัสดิ์”

                “อรุณสวัสดิ์ครับ” กอร์ดอนพูดก่อนจะยิ้มอายๆ ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเขาแล้วพูดต่อ

                “อนุญาตให้ผมเอาหมอนข้างออกรึเปล่า ผมอยากกอดคุณแล้ว”

                ช่างตัดเสื้อพยักหน้า อีกฝ่ายจึงดึงหมอนข้างออกแล้วขยับมาโอบเขาไว้

                “ผมมีความสุขเหลือเกิน” ลอร์ดหนุ่มพูดพลางขยับมาจูบหน้าผากคนรัก “ผมรู้สึกเหมือนเราเพิ่งผ่านการแต่งงานคืนแรกมาเลย”

                กอร์ดอนหัวเราะขวยๆ ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดต่อ “ผมฝันมานานแล้วว่าสักวันจะได้จูบราตรีสวัสดิ์คุณก่อนนอน และตื่นเช้ามาโดยมีคุณนอนข้าง แน่นอนว่าผมจะไม่ยอมพลาดจูบรับอรุณกับคุณอย่างเด็ดขาด”

                ช่างตัดเสื้อหน้าแดงด้วยความเขินอาย เขาซุกหน้าลงไปบนอกของอีกฝ่าย “ผมเพิ่งฝันว่าพวกเราได้แต่งงานกัน”

                “งั้นหรือ... มันเป็นฝันที่ดีใช่ไหม?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถามพลางยกมือขึ้นปัดปอยผมออกจากใบหน้าของคนรัก กอร์ดอนพยักหน้า

                “ผมฝันว่าเรามีลูกด้วยกัน ลูกชายหน้าเหมือนคุณมาก ส่วนลูกสาวมีผมกับสีตาเหมือนผม เธอน่ารักทีเดียว”

                “ผมแน่ใจว่าเธอจะต้องเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุด” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า กอร์ดอนพยักหน้าอีกครั้ง เขาหลับตาลง น้ำใสๆ ไหลหยดออกมาจากดวงตา ลอร์ดหนุ่มโอบเขาแน่นกว่าเดิม ก่อนจะจูบศีรษะของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

                พวกเขากอดกันเงียบๆ แบบนั้นอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งได้ยินเสียงคนเดินในบ้าน กอร์ดอนจึงค่อยขยับตัว

                “ไอเวอรี่คงมาแล้ว ผมต้องกลับห้องแล้วล่ะ”

                “ขอเวลาให้เราอีกสักห้านาทีได้ไหม” ลอร์ดโทรว์บริดจ์อ้อนวอน “มิสซิสชิมเมอร์คงไม่เดินขึ้นมาดูพวกเราหรอก”

                กอร์ดอนพิงศีรษะลงบนแผ่นอกของเขาแทนคำตอบ ลอร์ดโทรว์บริดจ์ขยับมืออีกข้างมาจับมือของช่างตัดเสื้อขึ้นมาจูบอย่างรักใคร่

                “ผมไม่อยากให้เวลาเดินเลย อยากให้ทุกอย่างหยุดอยู่ตรงนี้”

                “ผมเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน” กอร์ดอนพูดพลางช้อนตามองคู่รักของเขา “ถ้าเพียงแต่ผมเป็นผู้หญิง...”

                “เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ขอแค่เป็นคุณ แค่นี้ผมก็มีความสุขมากแล้ว”

                “ขอบคุณนะจอห์น... ที่คุณรักผม” กอร์ดอนพูดพลางยิ้มให้ฝ่ายนั้น ลอร์ดโทรว์บริดจ์จับแก้มของเขา

                “ผมควรจะต้องเป็นฝ่ายบอกคุณแบบนั้นเหมือนกัน ขอบใจนะกอร์ดอน ที่รักตอบผม ตั้งแต่เมื่อคืนคุณทำให้ผมได้รู้ว่าเราทั้งสองใจตรงกันทุกอย่างในเรื่องนี้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม ผมไม่เคยเสียใจที่ได้รักคุณเลย ผมดีใจมากที่ได้รักกับคุณ”

                 กอร์ดอนอ้าแขนกอดลอร์ดโทรว์บริดจ์เอาไว้ พวกเขาแนบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากของกันและกัน ถ่ายทอดความรักและความรู้สึกผ่านปลายลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกัน ห้วงเวลาแห่งความสุขพัดผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนสายลมอ่อนๆ ทว่าตราตรึงในความรู้สึกตราบชั่วนิรันดร์

-------------------------------------------

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2017 16:15:10 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
                 “อรุณสวัสดิ์ครับ” เดวิดยิ้มทักทาย ทันทีที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์และกอร์ดอนเดินเข้ามาที่ห้องอาหาร เขากำลังจัดเรียงช้อนจานลงบนโต๊ะ

                “อรุณสวัสดิ์” ทั้งสองเอ่ยทักเขา ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ เด็กหนุ่มพูดขึ้นต่อ

                “เมื่อคืนสนุกมากเลยนะครับ ผมแน่ใจว่าเช้านี้ที่โบสถ์ ทุกคนต้องพูดถึงแต่คุณแน่ คุณเคฟ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “ทำไมถึงเป็นงั้นล่ะ?”

                “แหม... ก็คุณออกจะเด่นไปครับ ใครๆ ก็ดูรู้ว่าคุณต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ พวกผู้ใหญ่ลือกันว่าต่อให้คุณไม่ใช่ลอร์ดโทรว์บริดจ์ ก็ต้องเป็นสุภาพบุรุษอย่างไม่ต้องสงสัย เขาว่าทั้งสำเนียงการพูดและท่าทางของคุณมันฟ้องอยู่”

                ลอร์ดหนุ่มยิ้มพลางสั่นศีรษะ “สองอย่างนั้นจะให้ฉันแก้ก็คงไม่ได้แล้วล่ะ ปล่อยให้พวกเขาลือกันไปแบบนั้นแหละ”

                เสียงตะโกนเรียกของมิสซิสชิมเมอร์ทำให้เดวิดต้องรีบวิ่งเข้าไปในครัว ไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับนมอุ่นๆ สองถ้วย โดยมีแม่ของเขาถือถาดขนมปังและเบคอนตามมาด้านหลัง

                “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” มิสซิสชิมเมอร์ทักทายพวกเขา พลางวางมื้อเช้าลงบนโต๊ะ “คุณทำให้งานเลี้ยงเมื่อคืนวิเศษมาก คุณเคฟ”

                เธอหันมามองลอร์ดโทรว์บริดจ์อย่างประทับใจ “ฉันแน่ใจว่าเซอร์จอร์จคงอยากจะพูดให้คนอื่นฟังถึงเรื่องคุณใจจะขาด เขาดูภูมิใจมากที่คุณไปที่นั่นเมื่อคืน”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า ขณะที่กอร์ดอนพูดขึ้น “ผมค่อนข้างแน่ใจว่าทุกคนในที่นั้นคงเดาได้ล่ะครับว่าคุณคือลอร์ดโทรว์บริดจ์ เพียงแต่ไม่กล้าพูดออกมาเพราะเกรงใจคุณเท่านั้นเอง”

                “อืม... ผมก็ว่างั้นแหละ ช่วยไม่ได้ ก็มีคนเล่นบอกว่าผมสนิทกับคุณมากนี่นา” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดพลางหลิ่วตาไปมองเดวิด ฝ่ายนั้นรีบพูดอย่างร้อนตัว

                “โอ... ผมขอโทษครับ ผมไม่ทันได้คิดเรื่องนี้ ผมไม่นึกว่าคุณจะมาที่นี่”

                ลอร์ดหนุ่มหัวเราะออกมา เขามองเด็กหนุ่มอย่างเอ็นดู “ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นหรอก ฉันไม่ได้โกรธอะไร อันที่จริงถ้าฉันเป็นเธอฉันก็คงจะคุยฟุ้งไปทั่วเหมือนกัน มันน่าตื่นเต้นออกนะที่มีนายจ้างเป็นเพื่อนสนิทกับท่านเอิร์ลน่ะ”

                “มันน่าตื่นเต้นเพราะเป็นคุณนี่แหละครับ” เดวิดว่า “ผมไม่เคยเห็นสุภาพบุรุษคนไหนเหมือนคุณเลย สุภาพบุรุษส่วนใหญ่มักวางตัว พวกเขามาที่ร้านด้วยรถม้าคันใหญ่ สวมหมวกทรงสูง ถือไม้เท้าใส่เสื้อผ้าเนี้ยบกริบ เวลาพวกเขามองคนอื่นจะต้องเชิดหน้าขึ้นนิดๆ พูดจาแบบสงวนท่าทีและไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย”

                “กำลังจะบอกว่าฉันไม่เหมือนสุภาพบุรุษสินะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดยิ้มๆ เดวิดรีบสั่นศีรษะ

                “เปล่าครับ ผมจะบอกว่า คุณทำให้พวกเรารู้ว่าสุภาพบุรุษไม่ได้เย่อหยิ่งทุกคน คุณเป็นกันเอง ไม่ดูแคลนคนอื่น คุณเป็นมิตรมาก และที่สำคัญ คุณให้เกียรติทุกคนแม้แต่คนที่ต่ำกว่าคุณ ถ้าผมจะนับถือใครสักคนจากใจจริง คนคนนั้นก็คือคุณนี่แหละครับ”

                “ยกยอกันเกินไปแล้ว อันที่จริงแล้วฉันก็เป็นคนเย่อหยิ่งพอตัวอยู่นะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “เพียงแต่เธอโชคดีที่ไม่เคยเจอฉันในเวลาแบบนั้น”

                “งั้นหรือครับ” เดวิดทำตาโต ก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดต่อ “แต่ผมชอบคุณในแบบนี้มากกว่า ผมไม่รบกวนเวลาอาหารเช้าพวกคุณล่ะ ขอตัวครับ”

                พูดจบเขาก็เดินออกไป ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้มพลางสั่นศีรษะ กอร์ดอนมองเขายิ้มๆ “ท่าทางเดวิดติดคุณแล้วนะครับ”

                “เขาทำให้ผมนึกถึงเฟรดดี้” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “เขาเป็นลูกชายของอาผม ผมรักเขาเหมือนน้องชายแท้ๆ ทีเดียว”

                “โอ... ผมเพิ่งเคยได้ยินคุณพูดถึงญาติคนอื่น” กอร์ดอนว่า ลอร์ดโทรว์บริดจ์โคลงศีรษะพลางใช้มีดหั่นขนมปังออกเป็นชิ้นๆ

                “อันที่จริงผมมีญาติเยอะมาก แต่เฟรดดี้สนิทกับผมที่สุด ปีนี้เขาอายุสิบสี่ เป็นเด็กผู้ชายที่ตรงไปตรงมาเหมือนเดวิดนี่แหละ เขายิ้มง่ายหัวเราะเก่งแถมยังช่างสงสัย ตอนรู้ว่าผมต้องกลับมาอังกฤษเขางอแงเอาเรื่องเลย”

                “คุณคงสนิทกับเขามาก”

                “ใช่ เขาติดผมแจ เฟรดดี้ชอบขี่ม้า ชอบอ่านหนังสือและตั้งคำถาม คุณจะไม่เหงาแน่ถ้ามีเขาขี่ม้าเป็นเพื่อน เขาคุยกับคุณได้ตั้งแต่เรื่องชื่อของต้นไม้กระทั่งที่มาของเชือกผูกรองเท้าเลย”

                กอร์ดอนหัวเราะ พวกเขากินมื้อเช้าเสร็จก็ออกเดินไปที่โบสถ์พร้อมกับเดวิดและแม่ของเขา ตลอดทางเด็กหนุ่มคุยจ้อถึงเรื่องความคืบหน้าในการหัดเย็บเสื้อของเขา และความประทับใจของคนอื่นๆ ที่มีต่อลอร์ดโทรว์บริดจ์ในงานเลี้ยงเต้นรำเมื่อคืน

                โบสถ์ตั้งอยู่ไม่ไกลจากไพเพอร์ ลอร์จ มันเป็นโบสถ์โบราณขนาดเล็กที่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย อยู่ในอุปถัมภ์ของเซอร์จอร์จและเลดี้ชาร์ลอต คาเมรอน สาธุคุณเบอร์นาโดที่ประจำอยู่ก็เป็นเครือญาติของพวกเขา ลอร์ดโทรว์บริดจ์พบว่ากอร์ดอนมีญาติอยู่ที่นี่ไม่น้อยเลยทีเดียว มีหลายคนหน้าตาสะสวย แต่ถึงอย่างนั้นในสายตาของลอร์ดหนุ่ม ก็หามีใครสวยสู้ช่างตัดเสื้อคนงามของเขาไม่

                หลังพิธีมิซา เลดี้ชาร์ลอตเข้ามาทักทายเขาด้วยท่าทางตื่นเต้น

                “โอ้ คุณเคฟ จอร์จได้เล่าเรื่องของคุณให้ฉันฟังแล้ว ช่างเป็นเกียรติกับเราเหลือเกินที่คุณมาเยือนที่นี่ และช่างเป็นโชคดีอะไรอย่างนี้ของดอนนี่ที่มีเพื่อนเช่นคุณ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้มให้เธอ “ดังนั้นผมขอยืนยันต่อคุณว่า ไม่ต้องเป็นห่วงกอร์ดอนไป รับรองว่าผมจะแนะนำคนที่ดีที่สุดให้กับเขาอย่างแน่นอน”

                “ได้ยินอย่างนี้ฉันก็วางใจค่ะ” เลดี้ชาร์ลอตว่า เซอร์จอร์จพูดขึ้นต่อ

                “ผมอยากเชิญคุณไปดื่มชาตอนบ่ายนี้ ไม่ทราบว่าคุณสะดวกรึเปล่า?”

                “ผมเกรงว่าจะไม่ ผมตั้งใจจะออกไปปิกนิกเที่ยงนี้ ผมอยากจะชมธรรมชาติที่ยังเหลืออยู่ของที่นี่ให้เต็มที่ก่อนจะกลับเข้าไปในลอนดอน”

                “โอ... อย่างนั้นเราจะไม่รบกวนคุณแล้วกัน” เซอร์จอร์จว่า หลังจากนั้นก็มีอีกหลายคนเข้ามาทักทายเขาและพูดถึงความประทับใจเมื่อคืน กว่าที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์จะเดินออกจากโบสถ์มาได้ เวลาก็ล่วงเข้าเกือบจะสิบเอ็ดโมงแล้ว
                “ผมว่าถ้าคุณยังอยู่ที่นี่อีกวัน ทุกคนต้องแย่งกันเชิญคุณไปดื่มชาหรือกินมื้อเย็นแน่” กอร์ดอนพูดยิ้มๆ ระหว่างที่พวกเขาเดินกลับบ้าน ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยักไหล่

                “เพราะงั้นผมถึงต้องกลับวันนี้เลยไง” เขาว่า ก่อนจะหันไปพูดกับมิสซิสชิมเมอร์ “คุณพอทำแซนวิชสักสองสามชิ้นกับเตรียมน้ำชาให้เราได้หรือเปล่า? ผมคิดว่าจะออกไปเดินเล่นตอนบ่ายนี้ และผมตั้งใจจะชวนกอร์ดอนและเดวิดไปด้วย”

                “ว้าว” เดวิดร้องด้วยความดีใจ “คุณจะให้ผมไปด้วยหรือครับ?”

                “ใช่ ฉันคิดว่ามันคงดีกว่า ถ้าเราจะไปกันสามคน” เขาหันไปมองช่างตัดเสื้อ “คุณว่าไง?”

                กอร์ดอนยิ้ม “ตามที่คุณว่าเลยครับ ผมเห็นว่าเดวิดเหมาะจะหิ้วตะกร้ามากกว่าคุณเป็นไหนๆ”

                ทั้งสามคนหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน มิสซิสชิมเมอร์พูดขึ้นต่อจากนั้น “คุณช่างกรุณาต่อเดวิดเหลือเกินค่ะ ฉันจะทำแซนวิชไส้ปลาคอตแห้งย่างอย่างที่คุณโอเดนเบิร์กชอบแล้วกันนะคะ”

                “เยี่ยมเลย” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า “ผมเองก็ชอบปลาคอตเหมือนกัน”

-----------------------------------

                ระหว่างรอมิสซิสชิมเมอร์เตรียมแซนวิช ลอร์ดโทรว์บริดจ์ฆ่าเวลาด้วยการเล่นมวยปล้ำ เขาชวนกอร์ดอนเล่นด้วยแต่ถูกปฏิเสธอย่างสุภาพ จึงหันไปชวนเดวิดแทน กว่าที่มิสซิสชิมเมอร์จะทำแซนวิชเสร็จ ทั้งคู่ก็เขลอะไปด้วยเศษหญ้า

                “คุณซนมาก” กอร์ดอนพูดขณะที่พวกเขาออกเดินจากทรีลอว์นีย์ ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะ

                “ผมชอบออกกำลังกาย ผมคิดว่าคุณควรจะออกบ้าง มันทำให้สดชื่นมากนะ”

                “โอ... ผมไม่มีเวลาหรอกครับ” กอร์ดอนว่า “ผมชอบอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้นวมมากกว่าออกมาวิ่งเล่นนอกบ้าน อีกอย่างที่ร้านผมไม่มีที่ให้วิ่งเล่นด้วย”

                “แต่ที่นี่ไม่ใช่ร้านคุณ มองไปรอบๆ สิ ที่นี่กว้างขวางมาก พวกเราวิ่งไปที่ต้นไม้ตรงนั้นดีกว่า”

                ไม่พูดเปล่า ลอร์ดโทรว์บริดจ์ออกวิ่งโดยยุดมือช่างตัดเสื้อให้วิ่งตามไปด้วย เดวิดรีบวิ่งตามพวกเขา “รอด้วยครับ”

                “ช้าหน่อย” กอร์ดอนพูดพลางหอบหายใจ เขาพยายามวิ่งตามลอร์ดหนุ่มจนเกือบจะหน้าคะมำ อีกฝ่ายดึงตัวเขาไว้ ก่อนจะเสียหลักกลิ้งหลุนๆ ไปด้วยกัน

                “ผมจะไม่ยอมลุกอีกแล้ว!” กอร์ดอนประกาศขณะนอนหอบอยู่บนพื้นหญ้า ลอร์ดโทรว์บริดจ์ที่นอนอยู่ข้างกันหัวเราะ เดวิดที่วิ่งตามมาหยุดยืนหอบหายใจอยู่ข้างพวกเขา ก่อนที่ทั้งสามคนจะหัวเราะออกมา

                ดวงตะวันลอยโด่งอยู่บนท้องฟ้านานแล้ว สาดส่องแสงสีทองลงมาขับให้ต้นไม้ใบหญ้าทอสีสันสวยงาม ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยันตัวลุกขึ้น เขาหันไปมองช่างตัดเสื้อที่ยังคงนอนอยู่ ก่อนจะพูดขึ้นต่อ

                “เอาล่ะ คุณช่างตัดเสื้อ ได้เวลาลุกแล้ว ผมยังอยากจะเดินอีก”

                “คุณแน่ใจนะครับว่าต้องการ ‘เดิน’ ไม่ใช่ ‘วิ่ง’ ผมจะไม่ยอมวิ่งไปไหนกับคุณอีกแล้ว” กอร์ดอนว่า เดวิดมองเขาแล้วหัวเราะ

                “คุณโอเดนเบิร์กหมดแรงแล้วหรือครับ? ผมแน่ใจว่าท่านลอร์ดคงจะแบกคุณไปเหมือนแบกถุงทะเล ถ้าคุณยังเอาแต่นอนอยู่แบบนี้”

                กอร์ดอนถลึงตามองเด็กหนุ่ม ขณะที่ลอร์ดหนุ่มหัวเราะชอบใจ “ใช่ ถูกของเดวิด ถ้าคุณยังเอาแต่นอนแบบนี้ ผมจะแบกคุณไป ผมคิดว่าตัวคุณคงหนักและยาวกว่าลูกรักบี้ไม่มาก”

                “ตกลงครับ ผมจะเดินไปกับคุณ” กอร์ดอนรีบผุดลุกขึ้นทันที ราวกับกลัวตัวเองจะถูกอีกฝ่ายเอาไปใช้แทนลูกรักบี้ลอร์ดโทรว์บริดจ์ลุกขึ้นยืนแล้วดึงมือเขาให้ลุกขึ้น ก่อนที่ทั้งสามคนจะออกเดินกันต่อ

                พวกเขาเดินเลาะไปตามถนนด้านข้างของอ่างเก็บน้ำเวลส์ฮาร์ป กอร์ดอนรู้สึกเขินเล็กน้อยเมื่อย้อนนึกว่าเมื่อวานเขากับลอร์ดโทรว์บริดจ์ทำอะไรกันที่นี่ ขณะที่ลอร์ดหนุ่มดูผ่อนคลายกับธรรมชาติรอบๆ ตัว บนถนนเส้นเดียวกัน มีบ้านทรงหน้าจั่วสร้างเรียงกันอยู่ พวกเขาเปิดกิจการให้เช่าเรือสำหรับตกปลา บนถนนมีผู้คนสัญจรขวักไขว่ ส่วนใหญ่เป็นพวกที่ออกมาจากตัวเมืองเพื่อมาปิกนิกและตกปลาในวันหยุดสุดสัปดาห์ รถม้าวิ่งผ่านพวกเขาไปคันแล้วคันเล่า ในอ่างเก็บน้ำมีเรือลอยอยู่หลายลำ กอร์ดอนนึกดีใจที่เมื่อวานตอนพวกเขาออกมาตกปลา ไม่มีคนหนาตาเช่นนี้

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เดินเลยอ่างเก็บน้ำขึ้นไปยังทุ่งหญ้ากว้างที่อยู่ทางเหนือ เขาเลือกต้นเอมต้นหนึ่งที่แผ่กิ่งก้านสาขาอยู่เป็นที่สำหรับพักดื่มชาและกินแซนวิช กอร์ดอนกับเดวิดช่วยกันปูผ้ารองนั่ง ทั้งสามดื่มชาและคุยกันท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นในช่วงบ่ายแก่ๆ ของวัน ลอร์ดโทรว์บริดจ์เล่าถึงการผจญภัยของเขาที่อเมริกา แน่นอนว่าเป็นที่สนใจของผู้ร่วมทางทั้งสองคน โดยเฉพาะเดวิด เด็กหนุ่มเบิ่งตากว้างด้วยความพิศวงและครางออกมาหลายครั้ง เขาถึงกับคร่ำครวญว่าอยากจะขี่ม้าท่องไปในทะเลทรายที่มีผาหินรูปทรงแปลกตาอย่างที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์ทำบ้างสักครั้งหนึ่งในชีวิต

                พวกเขากลับมาที่ทรีลอว์นีย์อีกครั้งตอนสี่โมงเย็น หลังจากบอกลามิสซิสชิมเมอร์และเดวิดเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็ขับรถออกมาจากทรีลอว์นีย์เพื่อกลับเข้าตัวเมืองลอนดอน จังหวะที่กำลังจะเลี้ยวออกสู่ถนนเส้นหลัก สองพี่น้องเรดดิงตันก็วิ่งกระหืดกระหอบตรงเข้ามา

                “ขอเวลาสักครู่ครับ!” เด็กหนุ่มเรดดิงตันตะโกน ลอร์ดโทรว์บริดจ์จึงชะลอรถและเข้าจอดที่ข้างทาง ทั้งคู่วิ่งมาหยุดและทักทายพวกเขาทั้งสองคน

                “โชคดีเหลือเกินค่ะที่ได้พบคุณอีกครั้ง” เด็กสาวเรดดิงตันพูดพลางหอบจนตัวโยน ใบหน้าของเธอแดงก่ำ “หนูทราบแล้วค่ะว่าคุณเป็นใคร”

                พี่ชายของเธอรีบพูดต่อ “พวกผู้ใหญ่คุยกันว่าคุณคงไม่อยากให้เอิกเหริกจึงไม่เปิดเผยชื่อจริง”

                “โอ...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์คราง ขณะที่เด็กสาวเรดดิงตันพูดต่อด้วยความตื่นเต้น

                “ท่านลอร์ด หนูดีใจเหลือเกินค่ะที่ได้พบกับคุณ คุณช่างสง่างามยิ่งกว่าที่หนูฝันไว้” เลือดฝาดแผ่ไปจนถึงใบหูของเด็กสาว เธอล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กออกมาจากอกเสื้อ “ได้โปรดรับไว้ด้วยเถอะนะคะ หนูปักเองเมื่อตอนบ่ายค่ะ”

                “ได้โปรดช่วยรับไว้ด้วยเถอะครับ” คนเป็นพี่ชายรีบพูดเสริม ลอร์ดหนุ่มมองเด็กทั้งสองพลางยิ้ม ก่อนจะยื่นมือไปรับผ้าเช็ดหน้าไว้

                “ขอบใจนะ” เขาพูดแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองจากอกเสื้อส่งให้เด็กสาว กอร์ดอนคิดว่าเธอทำท่าเหมือนจะเป็นลมตอนที่เห็นว่าลอร์ดหนุ่มยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ แมรีแอนรับมันด้วยมือสั่นเทา

                “โอ... ขอบคุณมากค่ะ คุณช่างใจดีเหลือเกิน” เธอครางด้วยความดีใจ ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะบอกลาเด็กทั้งสอง แล้วขับรถออกมา

                “ผมว่ามิสเรดดิงตันคงดีใจจนนอนไม่หลับ” กอร์ดอนพูดยิ้มๆ “เธอได้เต้นรำกับชายในฝัน แถมยังเพิ่งได้ผ้าเช็ดหน้าจากเขาด้วย”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า “ผมเข้าใจเธอดีเลยล่ะ เพราะผมเองก็ดีใจจนเกือบนอนไม่หลับเหมือนกัน ที่ได้ร่วมเตียงกับคนในฝัน”

                กอร์ดอนหน้าแดง “โอ... เมื่อคืนคุณนอนไม่หลับหรือครับ”

                “ไม่เชิง” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ผมหลับนะ แต่ผมตื่นเป็นพักๆ ผมกลัวคุณจะหายไปตอนผมหลับ” เขาเม้มปากแล้วหน้าแดงอย่างเขินจัด “ผมอยากแน่ใจว่าคุณนอนอยู่กับผมจริงๆ ไม่ใช่ผมนึกฝันเอาเอง”

                ช่างตัดเสื้อหน้าแดงกว่าเดิม เขาเสมองทางอื่น ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “บ้าจัง ผมหลับสนิทเลย”

                “ผมดีใจที่คุณหลับสนิท” ลอร์ดหนุ่มว่า “มันแสดงให้เห็นว่าคุณวางใจผมมาก ผมชอบหน้าคุณตอนหลับนะ ชอบจูบคุณตอนตื่นนอนด้วย”

                กอร์ดอนเขินจนไม่รู้จะเขินยังไง เขาเม้มปากเพื่อข่มรอยยิ้มเอาไว้ ขณะที่มองออกไปด้านข้าง ลอร์ดโทรว์บริดจ์เหลือบมองเขา แล้วพูดต่อ “นี่ กอร์ดอน ถ้าคุณจะยิ้ม คุณก็หันมายิ้มให้ผมดูสิ ผมชอบเวลาคุณยิ้มที่สุดเลยนะ เหมือนดอกไม้ที่สวยที่สุดมาบานตรงหน้าผมเลย”

                “ให้ตาย จอห์น...” กอร์ดอนหันมายิ้มด้วยความขัดเขิน ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถึงกับเลี้ยวรถเข้าข้างทางเพื่อที่จะได้มองหน้าคนรักได้อย่างชัดๆ

                “คุณทำให้ผมมีความสุขมาก นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของผมเลย” เขาพูดพลางยิ้ม กอร์ดอนพยักหน้าเขินๆ

                “ผมก็เหมือนกันครับ... คุณขับรถต่อเถอะ เดี๋ยวคนที่ผ่านไปผ่านมาจะสงสัยเอา”

                รถยนต์ออกแล่นอีกครั้ง มุ่งหน้านำพวกเขากลับเข้าสู่ตัวเมืองสีดำทะมึนของลอนดอน

-------------------------------------

                “จอห์น คุณจะไปไหนหรือครับ?” กอร์ดอนถามขึ้นเมื่อเห็นว่าลอร์ดโทรว์บริดจ์ไม่ได้เลี้ยวรถไปยังถนนที่จะไปสู่ร้านของเขา แต่กลับเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง อีกฝ่ายหันมาบอกเขายิ้มๆ

                “ไปกินมื้อเย็นน่ะ อย่าบอกนะว่าคุณจะกลับไปกินมื้อเย็นคนเดียวที่บ้าน”

                “โอ... ครับ” กอร์ดอนพยักหน้า ลอร์ดหนุ่มขับรถผ่านถนนเส้นหลักในเมืองที่ดูโล่งเพราะร้านรวงสองข้างทางปิดบริการกันหมด หลังจากนั้นไม่นานกอร์ดอนก็พบว่าพวกเขาทั้งสองกำลังออกนอกเมืองอีกครั้ง

                “จอห์น เราจะไปกินมื้อเย็นกันที่ไหนครับ คุณขับรถเลยถนนเส้นที่มีร้านอาหารมาเกือบหมดแล้วนะ”

                “ที่บ้านผม” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบยิ้มๆ กอร์ดอนมีสีหน้าตกใจ

                “โอ... ผมคิดว่าคงไม่เหมาะ...”

                “ผมเพิ่งไปนอนค้างบ้านคุณนะ” ลอร์ดหนุ่มว่า “ผมควรจะตอบแทนคุณด้วยการเลี้ยงมื้อค่ำสักมื้อ พ่อกับแม่ผมไม่รังเกียจอะไรหรอก”

                ท้ายที่สุด กอร์ดอนก็ได้มาเยือนคฤหาสน์เดลอีกครั้ง ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดกับเขาขณะขับรถผ่านประตูรั้วผ่านสวนสวยที่ถูกฉาบด้วยแสงสีทองของยามเย็น

                “ผมจำได้นะ ครั้งแรกที่ผมพาคุณมาที่นี่ คุณทำหน้าตกใจเชียว”

                “โอ... ผมไม่คิดว่าคุณจะอาศัยอยู่ที่นี่นี่ครับ” กอร์ดอนว่า “ผมไม่รู้มาก่อนว่าลอร์ดบาธมีลูกชาย”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะ “นี่ถ้าผมไม่ไปอเมริกาเสียก่อน ผมคงได้จีบคุณหลายปีแล้ว”

                กอร์ดอนหัวเราะเขินๆ ขณะที่ลอร์ดหนุ่มพูดต่อ “แต่ถึงอย่างนั้น พระเจ้าก็ชักนำให้ผมได้พบคุณอยู่ดี”

                สวนของคฤหาสน์เดลสวยงามอย่างที่สวนในคฤหาสน์ใหญ่ๆ ควรจะเป็น แต่กอร์ดอนรู้สึกว่ามันช่างสวยน่าประทับใจเสียเหลือเกิน เมื่อเขาได้ชมมันขณะนั่งรถมากับลอร์ดหนุ่มผู้เป็นที่รัก

                “จอห์น ตอนผมมาที่นี่กับคุณครั้งแรก ผมไม่เคยคิดเลยนะว่าผมจะมีความสุขเวลาที่ได้อยู่กับคุณ” เขาพูดพลางหัวเราะอย่างนึกขัน “ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าทำอย่างไรก็ได้ให้ไปจากคุณได้เร็วที่สุด”

                ลอร์ดหนุ่มยิ้มพลางหลิ่วตาให้เขา “ตอนนี้คุณคงคิดตรงข้ามกับตอนนั้นแล้วสิ”

                กอร์ดอนยิ้มให้เขาแทนคำตอบ ลอร์ดโทรว์บริดจ์ขับรถมาจอดด้านหน้าคฤหาสน์ โอลิเวอร์และคนรับใช้คนอื่นๆ รีบเข้ามาต้อนรับเขา

                “สายัณห์สวัสดิ์ครับนายน้อย สายัณห์สวัสดิ์ครับคุณโอเดนเบิร์ก”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์และกอร์ดอนลงจากรถ ลอร์ดหนุ่มโยนกุญแจให้คนรับใช้คนสนิท “เอารถไปเก็บ คุณพ่ออยู่บ้านใช่ไหม”

                “ครับ นายท่านอยู่ในห้องหนังสือ” โอลิเวอร์ตอบเขา ลอร์ดโทรว์บริดจ์หันมาหากอร์ดอน

                “เดี๋ยวผมจะไปบอกพ่อเรื่องคุณ คุณรอผมที่ห้องรับแขกก่อนนะ”

                “โอ... ผมขอเดินชมสวนอยู่ด้านนอกดีกว่าครับ” กอร์ดอนว่า ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเขาอึดใจหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า

                “ตกลง... โอลิเวอร์ เดี๋ยวเอารถไปเก็บเสร็จแล้ว ช่วยพาคุณโอเดนเบิร์กชมสวนหน่อยนะ เขาเป็นแขกของฉัน”

                “ครับนายน้อย”

-----------------------------------

                ลอร์ดบาธวางปากกาลงบนที่เสียบเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ก่อนจะเลิกคิ้วมองลูกชายตัวดีที่เดินยิ้มเข้ามาในห้อง

                “สายัณห์สวัสดิ์ครับ พ่อยุ่งอยู่รึเปล่า?”

                “เปล่า ไง จอห์น ค้างคืนที่นีสเดนเป็นไงบ้าง ท่าทางแกดูมีความสุขจังนะ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์คลี่ยิ้มกว้างแบบไม่อำพราง “ผมมีความสุขมาก ที่นั่นมีแต่ผู้คนน่ารัก พวกเขาเป็นมิตรมาก”

                ลอร์ดบาธพยักหน้า “แล้วโอเดนเบิร์กล่ะ แกไปส่งเขาแล้วหรือ?”

                “โอ... เขาอยู่ในสวนครับ ผมชวนเขามากินมื้อเย็นที่บ้านเรา”

                พ่อของเขาเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองพ่อเขา “ทำไมพ่อทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ?”

                “พ่อสงสัยว่าทำไมแกถึงชวนเขามากินมื้อเย็นที่บ้านเรา”

                “อ้าว ก็ผมไปรบกวนเขาตั้งสองวัน ผมควรต้องตอบแทนเขาบ้างไม่ใช่หรือครับ?” ลอร์ดหนุ่มย้อน ลอร์ดบาธมองหน้าลูกชาย

                “ก็ใช่ แต่แกไม่เคยเชิญเพื่อนคนไหนของแกมากินมื้อเย็นที่บ้านเราอย่างนี้มาก่อน”

                “สมัยก่อนจอร์จมาที่นี่บ่อยไป” ลอร์ดลูกชายแย้ง “ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยนี่ครับ”

                ลอร์ดบาธขมวดคิ้ว “จอร์จกับโอเดนเบิร์กไม่เหมือนกัน” คนเป็นพ่อว่า “จอร์จรู้จักกับแกมากี่ปีแล้ว เขาเป็นลูกชายของเพื่อนสนิทของแม่แก ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองครอบครัวก็สนิทสนม ไม่แปลกที่เขาจะมากินมื้อเย็นที่บ้านเราอย่างไม่เป็นทางการ แต่โอเดนเบิร์กไม่ใช่...”

                สีหน้าของลอร์ดโทรว์บริดจ์แข็งขึ้นมา “แสดงว่าพ่อรังเกียจที่เขาเป็นแค่ช่างตัดเสื้อ ทำไมล่ะครับ แค่เพราะเขาไม่ใช่ลูกขุนนาง พ่อเลยไม่อยากต้อนรับเขาบนโต๊ะอาหารของเรางั้นหรือ?”

                “พ่อไม่ได้รังเกียจ” ลอร์ดบาธว่า “แต่มันเป็นการไม่สมควรที่แกจะชวนเขามาร่วมมื้อเย็นเป็นการส่วนตัวที่บ้านเรา พ่ออาจจะร่วมโต๊ะกับเขาที่ร้านอาหารที่ไหนสักแห่งได้ แต่ต้องไม่ใช่ที่บ้านเรา”

                “ผมไม่เข้าใจ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ทำไมเขาถึงร่วมโต๊ะอาหารที่บ้านเราไม่ได้”

                “แกไม่เข้าใจหรือจอห์น...” ลอร์ดบาธมองหน้าลูกชายพลางถอนหายใจ “การที่แกจะเชิญใครคนหนึ่งมากินมื้อเย็นอย่างเป็นส่วนตัวที่บ้าน มันหมายความว่าไงรู้ไหม มันหมายความว่าคนคนนั้นจะต้องเป็นคนที่พิเศษกับแกมากๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แกถึงอยากจะพามาแนะนำให้รู้จักกับพ่อแม่ของแกเป็นการส่วนตัว ซึ่งพ่อคิดว่าในกรณีของโอเดนเบิร์กมันไม่ได้มีความพิเศษขนาดนั้น ถ้าเป็นแคทเธอรีนก็ว่าไปอย่าง”

                “งั้นผมจะเชิญเธอมากินมื้อเย็นที่บ้านเรา พ่อจะได้พอใจ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง ก่อนจะผุดลุกขึ้น ลอร์ดบาธขมวดคิ้ว แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ อีกฝ่ายก็เดินออกไปแล้ว

----------------------------------

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2017 16:15:56 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
               “โอ้ จอห์น ทำไมลูกทำหน้าบึ้งแบบนั้น” เลดี้บาธทักลูกชายของเธอที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องหนังสือ ลอร์ดโทรว์บริดจ์ทักทายแม่ของเขา

                “สายัณห์สวัสดิ์ครับแม่ มื้อเย็นไม่ต้องวางจานเผื่อผมนะครับ ผมจะออกไปกินข้างนอก”

                “แล้วกัน ลูกเพิ่งกลับมาไม่ใช่หรือจ๊ะ ทำไมถึงจะออกไปกินมื้อเย็นข้างนอกอีกล่ะ?”

                “กอร์ดอนรออยู่ข้างนอก ผมตั้งใจจะชวนเขามากินมื้อเย็นที่บ้านเรา แต่พ่อปฏิเสธ ผมเลยจะออกไปกินมื้อเย็นกับเขาแล้วจะเลยไปส่งเขาที่ร้านด้วย”

                “ลูกชวนเขามากินมื้อเย็นที่บ้านเราหรือ?” เลดี้บาธถามอย่างแปลกใจ “ลูกบอกเขาแล้วหรือ?”

                “ผมบอกเขาแล้ว” ลอร์ดหนุ่มว่า “ผมคงพอหาเหตุผลดีๆ บอกเขาได้หรอกว่าเขาไม่อาจกินมื้อเย็นที่นี่ได้” ลอร์ดหนุ่มเม้มปากด้วยความหงุดหงิด “ผมไม่ยักรู้มาก่อนว่าพ่อเลือกฐานะของคนที่จะมากินมื้อเย็นที่บ้านเราด้วย”

                “โอ... ใจเย็นก่อนลูกรัก แม่แน่ใจว่าพ่อไม่ใช่คนแบบนั้น ลูกเองก็คงคิดเหมือนกัน ลูกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าล้างหน้าให้สดชื่นก่อนเถอะ แม่จะคุยกับพ่อดูอีกที”

                สีหน้าของลอร์ดโทรว์บริดจ์ค่อยดีขึ้นหน่อย “ขอบคุณนะครับแม่ แต่ถ้าไม่ได้ผมก็จะออกไปกินมื้อเย็นกับเขา ผมว่ามันไม่สมควรเลยที่จะให้เขากลับไปกินมื้อเย็นคนเดียว หลังจากที่ผมรบกวนเขามาแล้วตั้งสองวัน”

                “จ้ะ แม่ก็คิดแบบนั้นลูกรัก” เลดี้บาธพยักหน้า หลังจากแน่ใจว่าลูกชายไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เธอจึงเปิดประตูเข้าไปในห้องหนังสือของสามี

                “เฮนรี่ที่รัก” เธอเรียกชื่อเขาแล้วก้มลงจูบแก้มลอร์ดสามี “คุณคุยอะไรกับจอห์นหรือคะ? เขาดูอารมณ์เสียทีเดียว”

                “คุณเจอเขาที่หน้าห้องใช่ไหม” ลอร์ดบาธว่า ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “เขาจะชวนโอเดนเบิร์กมากินมื้อเย็นกับเราคืนนี้”

                “เขาไม่ได้ ‘จะ’ แต่เขาชวนโอเดนเบิร์กแล้ว” เลดี้บาธว่า ก่อนจะดึงเก้าอี้มานั่งข้างเขา “ทำไมคุณถึงปฏิเสธล่ะคะ?”

                “ผมคิดว่ามันไม่สมควร” ลอร์ดบาธว่า “ผมไม่ได้รังเกียจโอเดนเบิร์ก แต่มันประหลาดมาก ถ้าเขามาร่วมโต๊ะกับเราเสมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้าน ผมว่าเขากับเราไม่ได้สนิทอะไรกันขนาดนั้น"

                “โอ... แต่เขาสนิทกับจอห์นออกนี่คะ อย่างน้อยๆ ลูกชายเราก็ติดเขาแจ”

                ลอร์ดบาธพยักหน้า “แต่เขาไม่เคยชวนเพื่อนคนไหนมากินมื้อเย็นที่บ้านเป็นการส่วนตัวแบบนี้มาก่อน ปกติแล้วพวกเขามักจะออกไปกินกันข้างนอก”

                “เขาอาจจะอยากให้เรายอมรับเพื่อนคนนี้ของเขาก็ได้นะคะ คุณก็รู้ว่าเขามักจะทุ่มเทให้กับเพื่อนๆ สามัญชนของเขามาก ครั้งหนึ่งเขายังเคยชวนอีธานกับเจมส์มาร่วมดื่มชากับเราเลย ฉันยังรู้สึกว่าเด็กหนุ่มสองคนนั่นเป็นคนดีทีเดียว ครั้งนี้เวลาอาจจะประจวบเหมาะมาลงเอยที่มื้อเย็นพอดี ฉันว่าจอห์นคงรู้สึกเสียหน้ามากที่ถูกคุณปฏิเสธ เพราะเขาออกปากชวนโอเดนเบิร์กไปแล้ว”

                “เขาควรจะมาขออนุญาตผมก่อน” ลอร์ดบาธว่า “เมื่อครั้งอีธานกับเจมส์เขาก็มาบอกพวกเราก่อน ผมไม่รู้ว่าเขามีนิสัยทำอะไรลงไปโดยพละการตั้งแต่แบบนี้เมื่อไหร่ เขาควรจะหัดเรียนรู้การเสียหน้าจากการกระทำของเขาบ้าง”

                “แปลว่าคุณจะให้ลูกออกไปกินข้าวข้างนอกวันนี้?” เลดี้บาธว่า ลอร์ดบาธมองหน้าเธอ

                “อะไรนะ?”

                “จอห์นบอกฉันว่าเขาจะออกไปกินมื้อเย็นกับโอเดนเบิร์ก ถ้าคุณไม่อนุญาตให้เขาร่วมโต๊ะกับเรา”

                “ก็ให้เขาไป” ลอร์ดบาธว่า “เขาควรทำหน้าที่ผู้รบกวนที่ดีด้วยการเลี้ยงอาหารโอเดนเบิร์กดีๆ สักมื้อหนึ่งอยู่แล้ว”

                “โอ...”

                “อย่าทำหน้าแบบนั้นน่ามาเรียที่รัก” ลอร์ดบาธปลอบภรรยาของเขา “คุณก็รู้ว่าลูกควรได้รับบทเรียนบ้าง”

                เลดี้บาธพยักหน้า “ฉันจะไปบอกให้เฮเลนเก็บจานออกค่ะ”

---------------------------------------------

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เดินหน้าบึ้งออกมาจากคฤหาสน์ เขาสั่งให้คนรับใช้ไปตามตัวกอร์ดอนกับโอลิเวอร์

                “ไปเอารถม้ามา ฉันจะออกไปกินมื้อเย็นกับคุณโอเดนเบิร์กที่เบิร์ตแอนเบล” ลอร์ดโทรว์บริดจ์สั่งคนรับใช้ของเขา โอลิเวอร์เลิกคิ้ว แต่ก็พยักหน้าโดยไม่ปริปากถามอะไร กอร์ดอนมีสีหน้าแปลกใจ

                “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

                “ผมจะบอกคุณบนรถ” ลอร์ดหนุ่มว่า เขาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดแรกที่กอร์ดอนเป็นคนตัดให้ สวมทับด้วยเสื้อโฟลกโค้ทที่เพิ่งตัดมาใหม่ แต่ยังคงสวมหมวกฮอมเบิร์กใบเดิมที่เคยสวมประจำ เขาฉุดมือช่างตัดเสื้อให้ขึ้นไปบนรถ ก่อนจะกอดเอาไว้แน่น

                “มีอะไรหรือจอห์น?” กอร์ดอนเงยหน้าขึ้นถาม ลอร์ดโทรว์บริดจ์ไม่ตอบในทันที เขาก้มลงจูบหน้าผากฝ่ายนั้นซ้ำหลายครั้ง

                “ผมรักคุณเหลือเกิน”

                กอร์ดอนยิ้มให้ฝ่ายนั้น “พ่อคุณไม่อนุญาตใช่ไหมครับ?”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เม้มปาก ก่อนจะพยักหน้า “ใช่ พ่อผมไม่ยอม ให้ตาย กอร์ดอน ผมขอโทษ”

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมรู้ อันที่จริงแล้วผมไม่สมควรได้รับเกียรติให้ร่วมโต๊ะกับท่านมาร์ควิสหรอก”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยกมือขึ้นลูบใบหน้าฝ่ายนั้นด้วยความรวดร้าวใจ “โอ... เขาไม่รู้หรอกว่าคุณสำคัญกับผมแค่ไหน ต่อให้เลดี้ทั้งลอนดอนมายืนต่อหน้าผม ผมก็ไม่อยากเชิญใครไปกินมื้อเย็นกับพ่อแม่ผม ผมต้องการเชิญแค่คุณคนเดียว”

                “ไม่เอาน่าจอห์น ผมไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย ผมเป็นแค่ช่างตัดเสื้อ” กอร์ดอนว่า ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยกมือเขาขึ้นมาจูบ

                “ผมแค้นใจเหลือเกินกอร์ดอน แค้นใจที่คุณไม่ได้รับการยอมรับแม้แต่การร่วมโต๊ะกับครอบครัวของผม พ่อผมบอกผมว่าถ้าเป็นแคทเธอรีนก็ว่าไปอย่าง โอ้... ใช่ ผมโมโหจนหลุดปากว่าจะเชิญเธอมากินมื้อเย็นกับเขา แต่มันจะเป็นมื้อเย็นที่แสนจืดชืดทั้งผมและเธอ พวกเราไม่เคยมีความรักให้กันและกันเลย ไม่เหมือนคุณ มันจะวิเศษแค่ไหนถ้าคุณได้ร่วมโต๊ะกับครอบครัวผมในคืนนี้ พ่อกับแม่ผมจะได้เห็นคุณ พวกเขาจะได้รู้ว่าเรามีความสุขกันมาก”

                กอร์ดอนสั่นศีรษะ “อย่าเลย ผมว่าที่พ่อคุณปฏิเสธน่ะถูกต้องแล้วล่ะครับ ด้วยฐานะของคุณ การจะเชิญใครคนหนึ่งไปกินมื้อเย็นเป็นการส่วนตัวกับพ่อแม่ที่บ้าน นั่นต้องหมายถึงว่าคนคนนั้นต้องสำคัญกับคุณมาก ถ้าไม่ใช่เพื่อนที่มีบุญคุณ ก็คงจะต้องเป็นผู้หญิงที่คุณหมายปองและหวังจะขอเธอแต่งงาน ซึ่งผมไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”

                “ผมไม่คิดว่าเขาจะปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยแบบนี้”

                “เอาน่ะ ยังดีกว่าถ้าเขาตกลงแล้วเกิดผิดสังเกตเรื่องคุณกับผมขึ้นมานะครับ” กอร์ดอนปลอบ ลอร์ดโทรว์บริดจ์สูดหายใจลึก ก่อนจะกอดช่างตัดเสื้อไว้อีกครั้ง

                “กอร์ดอน ผมอยากให้เราหนีไปด้วยกัน ไปอยู่ที่ใดที่หนึ่งในโลกที่ไม่มีใครรู้จักพวกเราสองคน ที่ที่ไม่มีคนรังเกียจความรักของพวกเรา ที่ที่พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผย”

                “ที่แบบนั้นไม่มีหรอกจอห์น” กอร์ดอนว่า “เชื่อผมเถอะ เราต้องทนกับมันให้ได้ ผมเรียนรู้มาแล้ว แต่ผมเศร้าใจเหลือเกินที่ต้องดึงคุณลงมาทนทุกข์กับผมด้วย”

                “อย่าพูดแบบนั้น” ลอร์ดโทรว์บริดจ์แนบแก้มของเขาเข้ากับแก้มของกอร์ดอน “คุณไม่ต้องเศร้าใจกับผมหรอก ผมอาจจะรู้สึกอึดอัด นั่นเพราะผมรักคุณเหลือเกิน ผมอาจจะรู้สึกทุกข์ทรมานที่ไม่อาจเปิดเผยความรู้สึกที่เรามีต่อกันกับสังคมได้ แต่ผมเต็มใจกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ขอแค่คุณรักผม แค่นี้ผมก็มีความสุขที่สุดแล้ว”

                กอร์ดอนยกมือขึ้นประคองหน้าของลอร์ดหนุ่มเข้ามา ก่อนจะแนบจูบลงไป ทั้งคู่จูบกันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ช่างตัดเสื้อจะกระซิบแผ่วเบา

                “ผมรักคุณจอห์น ผมรักคุณ”

---------------------------------

                หลังจากดื่มไวน์หลังมื้อเย็นไปหลายแก้ว ลอร์ดโทรว์บริดจ์ก็พากอร์ดอนมาส่งที่ร้าน เขาให้โอลิเวอร์จอดรถม้าไว้ตรงหัวมุมถนน แล้วชวนช่างตัดเสื้อให้เดินไปที่ร้านด้วยกัน

                “ผมไม่อยากจากคุณเลย” ลอร์ดหนุ่มพูดหลังจากที่กอร์ดอนเปิดประตูให้เขาเข้ามาในร้าน

                “เดี๋ยวพวกเราก็เจอกันอีกครับ ผมยังค้างเสื้อคุณอยู่อีกตั้งหลายตัว”

                “นั่นสินะ” อีกฝ่ายพยักหน้าแล้วค่อยยิ้มออกมาได้

                “กอร์ดอน”

                “ครับ?”

                “ผมขอผ้าเช็ดหน้าของคุณได้ไหม”

                “ได้สิครับ” ช่างตัดเสื้อรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “อันที่จริงแล้วผมก็มีของคุณอยู่ผืนหนึ่ง ยังไม่ได้คืนให้คุณเลยตั้งแต่เราไปที่บาร์บีช็อตวันนั้น”

                “เก็บไว้เถอะ ผมให้คุณ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ผมตั้งใจให้คุณเก็บเอาไว้อยู่แล้ว” เขารับผ้าเช็ดหน้าจากมือของช่างตัดเสื้อ ก่อนจะถือโอกาสจับมือฝ่ายนั้นช่วงสั้นๆ

                “วันพุธผมจะแวะมารับคุณไปกินมื้อเย็นแล้วไปที่สโมสรเหมือนเดิม สัปดาห์นี้คุณว่างใช่ไหม?”

                “ครับ ผมยังไม่มีนัดด่วน” กอร์ดอนว่า “แต่ถ้าผมติดธุระกะทันหันผมจะเขียนจดหมายไปแจ้งคุณ”

                “ไม่เป็นไร ผมจะแวะมาเอง ถึงผมไม่เจอคุณแค่ผมได้เห็นร้านของคุณก็ยังดี” ลอร์ดหนุ่มว่า กอร์ดอนยิ้มเขินๆ

                “ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าคุณเกี้ยวสาวสักคน เธอจะหลงคุณขนาดไหน”

                “คุณไม่ต้องนึกหรอก” อีกฝ่ายตอบเขา “เพราะผมไม่เคยเกี้ยวใครอย่างที่เกี้ยวคุณ และผมจะดีใจมากถ้าคุณจะหลงผมจนถอนตัวไม่ขึ้น”

                กอร์ดอนยิ้มให้ฝ่ายนั้นแทนคำตอบ ลอร์ดโทรว์บริดจ์ใช้สองมือประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ แล้วแนบจูบลงไป

                “ราตรีสวัสดิ์ ยอดรักของผม”

                “ราตรีสวัสดิ์จอห์น”

--------------------------------------------

                วันรุ่งขึ้น หลังมื้อเช้า ลอร์ดโทรว์บริดจ์ลงไปที่ศาลาชมสวนพร้อมไวโอลินตัวโปรดของเขา ลอร์ดหนุ่มเล่นเพลง Hungarian dance No.5 ของบราห์ม พลางนึกถึงสีหน้าของกอร์ดอนขณะที่จ้องมองเขาเล่นเพลงนี้ที่ห้องโถงของไพเพอร์ ลอร์จ แม้ฝ่ายนั้นไม่ได้พูดอะไรกับเขาเป็นพิเศษ แต่สายตาที่จ้องมองมาอย่างชื่นชมด้วยความจริงใจ กลับส่งผลต่อหัวใจของลอร์ดหนุ่มมากกว่าคำเยินยอใดในโลก เพราะคิดถึงสายตานั้น ลอร์ดโทรว์บริดจ์เล่นเพลงเดิมซ้ำกันถึงห้ารอบ ก่อนที่เขาจะวางไวโอลินลง แล้วหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าของกอร์ดอนขึ้นมาจูบ

                “แม่ไม่ยักรู้ว่าลูกเปลี่ยนมาชอบเพลงของบราห์มแล้ว”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์สะดุ้งเฮือก เขารีบเก็บผ้าเช็ดหน้าใส่กระเป๋าเสื้อ แล้วลุกพรวดขึ้น เลดี้บาธเดินขึ้นมาบนศาลาชมสวน เธอมองเขาแล้วยิ้ม

                “แม่ทำให้ลูกตกใจหรือ?”

                “เอ่อ... ครับ นิดหน่อย” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ผมไม่คิดว่าแม่จะมาที่นี่”

                “ลูกใจลอยแอบคิดถึงใครอยู่ล่ะสิ” เลดี้บาธว่า ก่อนจะนั่งลงข้างลูกชาย “แก้มแดงเชียว”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์รู้สึกว่าใบหน้าของเขาร้อนผ่าวกว่าเดิม “โอ... แม่ครับ ผมไม่ได้คิดถึงใครหรอก ผมแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”

                “งั้นหรือ” ผู้เป็นแม่มองเขายิ้มๆ “แม่ชอบเพลงของบราห์มที่ลูกเล่นนะจ้ะ ได้ยินว่าเขากำลังเปิดการแสดงอยู่ที่ปารีส เราน่าจะไปชมการแสดงดนตรีของเขา มันต้องยอดเยี่ยมมากแน่”

                “โอ... จอร์จคงไม่พลาดข่าวนี้แน่” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า เลดี้บาธพยักหน้า

                “ลูกจะชวนเขาไปด้วยก็ได้นะ แม่ว่าจอร์จคงเต็มใจ”

                ลอร์ดหนุ่มหัวเราะออกมา “จอร์จคงมีคนที่อยากจะไปดูด้วยกันอยู่แล้วล่ะครับ ช่วงหลังนี้ความสัมพันธ์ของเขากับมาร์กาเร็ตดีขึ้นมาก ผมคิดว่าสักวันพวกเขาคงแต่งงานกัน”

                “ใช่จ้ะ แม่เห็นว่าทั้งคู่เหมาะกันมาก แล้วลูกล่ะจ๊ะ ไม่คิดจะชวนใครไปดูดนตรีที่ปารีสบ้างเลยหรือ?”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองหน้าแม่ของเขาอยู่อึดใจ ก่อนจะพูดต่อ “แม่คงหมายถึงแคทเธอรีน ไม่หรอกครับ ผมยังไม่คิดจะชวนเธอ อันที่จริงแล้วผมยังไม่เคยคุยเรื่องดนตรีกับเธอเลย”

                “งั้นพรุ่งนี้ชวนเธอมาเล่นเปียโนสิจ้ะ แม่อยากฟังลูกเล่นไวโอลินคู่กับเธอ” เลดี้บาธว่า “ลูกจะชวนเธอกินมื้อเย็นกับเราก็ได้ แม่ว่าพ่อคงไม่ปฏิเสธหรอก”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์กะพริบตาครั้งสองครั้ง ก่อนจะพยักหน้า “ได้ครับ ผมจะบอกเธอให้ แต่ผมไม่แน่ใจหรอกนะครับว่าจะเล่นไวโอลินคู่กับเธอได้”

                “แม่ว่าลูกน่าจะเข้ากับเธอได้ดี” เลดี้บาธว่า พลางมองลูกชายอย่างพินิจพิเคราะห์ “แต่ถ้าลูกคิดว่าลูกมีคนที่เข้ากันได้ดีอยู่แล้ว และลูกก็คิดถึงเธอมาก ลูกก็ควรจะพามาแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จักนะจ้ะ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หน้าแดงก่ำ เขาขบริมฝีปากเหมือนพยายามจะข่มใจเอาไว้ สุดท้ายก็โพล่งออกมา “เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีกครับแม่ พรุ่งนี้ผมจะชวนแคทเธอรีนมาเล่นเปียโน และผมจะเล่นไวโอลินคู่กับเธอ มันคงทำให้พ่อกับแม่มีความสุขมาก”

                พูดจบเขาก็ผุดลุกขึ้น หยิบไวโอลินแล้วเดินลงจากศาลาไปทันที ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้สร้างความงุนงงให้กับเลดี้บาธเป็นอย่างมาก เธอนั่งอยู่ที่นั่นอึดใจใหญ่ กระทั่งสาวใช้ประจำตัวเดินขึ้นมา

                “เกิดอะไรขึ้นหรือคะ? ดิฉันเห็นนายน้อยเดินหน้าบึ้งออกไป”

                “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” นายหญิงแห่งคฤหาสน์เดลตอบอย่างจนใจ

------------------------------------------

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ให้คนรับใช้เอาไวโอลินไปเก็บ ก่อนจะตรงไปที่คอกม้า สั่งให้คนดูแลม้าผูกบังเหียนเข้ากับม้าตัวที่เขาเคยขี่ประจำ จากนั้นเจ้าตัวก็ขี่ม้าออกไปจากคฤหาสน์โดยไม่ได้บอกจุดมุ่งหมาย ร้อนถึงโอลิเวอร์ต้องควบม้าอีกตัวตามออกไป

                ลอร์ดหนุ่มควบม้าไปทางเซาธ์เกทด้วยความเร็ว และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแวะที่ไหน กระทั่งเจ้าม้าตัวนั้นเริ่มส่งเสียงหอบด้วยความเหนื่อยล้า เขาจึงค่อยให้มันชะลอฝีเท้าลง

                รอบตัวของเขาคือท้องทุ่งกว้างอันเต็มไปด้วยพื้นที่ทางเกษตรกรรม ลอร์ดโทรว์บริดจ์บังคับม้าให้เดินขึ้นไปบนเนินลูกหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยต้นหญ้าเตี้ยๆ จากบนเนินนั้น เขาเห็นทุ่งข้าวสาลีสีทองที่กำลังตั้งท้องแก่รอการเก็บเกี่ยว และไร่ข้าวโพดที่ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้วบางส่วน ลอร์ดหนุ่มลงจากหลังม้า เหม่อมองไปยังทุ่งนาสีทองพวกนั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและอัดอั้น

                “ผมรักคุณ! ผมรักคุณเหลือเกิน!” เขากู่ร้องตะโกนสุดเสียง ดวงตาสีเขียวสดใสที่เคยเป็นประกายบัดนี้สั่นระริก ชายหนุ่มตะโกนถ้อยคำเดิมซ้ำอีกครั้ง และอีกครั้ง ด้วยใบหน้าแดงก่ำและร่างกายที่สั่นเทา เขาคิดถึงช่างตัดเสื้อจับใจ และปรารถนาเหลือเกินที่จะย้อนเวลากลับไปสู่คืนวันที่เพิ่งผ่านพ้นมาอีกครั้ง คืนวันที่พวกเขาได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ทิ้งตัวลงนอนบนพื้นหญ้า นึกถึงสีหน้าของกอร์ดอนตอนที่นอนเคียงข้างเขา คิดถึงเสียงหัวเราะ และรอยยิ้มพิมพ์ใจของฝ่ายนั้น เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าฝืนเดิมขึ้นมาอีกครั้ง มันเป็นผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ตัดเย็บอย่างธรรมดาสามัญ มีตัวอักษร G.O. เล็กๆ ปักอยู่ตรงมุมด้านหนึ่ง เขาแนบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นเข้ากับริมฝีปาก แล้วหลับตาลง พลางหวนนึกถึงห้วงเวลาที่เขาจุมพิตกับเจ้าของผ้าเช็ดหน้าผืนนี้

                เสียงสวบสาบทำให้ลอร์ดหนุ่มลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขายันตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วหันไปมองที่มาของเสียง

                “แกเองหรือ...”

                โอลิเวอร์เดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล “นายน้อย คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ?”

                คนถูกถามสั่นศีรษะ ก่อนจะจ้องหน้าคนรับใช้ “แกเพิ่งมาถึง หรือมาถึงนานแล้ว?”

                คนรับใช้มองเขา “ผมขี่ม้าไล่ตามคุณมาครับ”

                “งั้นแกคงได้ยินที่ฉันตะโกนสินะ”

                โอลิเวอร์ผงกศีรษะ ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถอนใจยาว “ฉันไว้ใจแกได้ใช่ไหม? แกจะเล่าเรื่องนี้ให้พ่อฉันฟังหรือเปล่า? เขาเป็นเจ้านายแกนี่นา”

                “โอ... ไม่หรอกครับนายน้อย” อีกฝ่ายรีบปฏิเสธ “ถ้าคุณไม่ต้องการให้เล่า ผมก็จะไม่เล่า”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า “อืม... ฉันรู้ว่าแกซื่อสัตย์กับฉันเสมอ” เขาถอนใจอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจพูดต่อ “แกรู้ใช่ไหมว่าฉันหมายถึงใคร?”

                “โอ...” โอลิเวอร์ทำหน้าปั้นยาก “ผมไม่ทราบหรอกครับ?”

                “แกไม่รู้จริงๆ หรือแกทำเป็นไม่อยากรู้กันแน่” ลอร์ดหนุ่มจ้องหน้าเขา “ว่าไง โอลิเวอร์ ตอบฉันมาตามตรงสิ ด้วยความสัตย์ของแก ตกลงแกรู้หรือไม่รู้กันแน่”

                “.....”

                “.....”

                ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบไปนาน จนกระทั่งโอลิเวอร์เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน “ผมรู้ว่าคุณชอบผู้หญิงที่มีผมสีทองและดวงตาสีฟ้าสดใส”

                “.....”

                “และคุณโอเดนเบิร์กก็เป็นคนที่สวยมาก เขามีผมสีทองสลวยและมีดวงตาสีเดียวกับท้องฟ้าในหน้าร้อน ผมไม่ปฏิเสธว่าถ้าเขาเป็นผู้หญิง คงเป็นผู้หญิงที่งามอย่างยากจะหาใครเทียบได้”

                “.....” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า “ใช่... เขางามเหลือเกิน”

                โอลิเวอร์มองเขาด้วยดวงตาที่สั่นระริก “ผมอยู่ที่นั่น... นายน้อย ผมอยู่ที่อ่างเก็บน้ำเวลส์ฮาร์ป ตอนที่พวกคุณ...”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์คว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้พูดจบ ก่อนจะกระชากตัวลงมากดกับพื้น “แกเห็นหรือ! แกเห็นอย่างนั้นหรือ?!”

                คนรับใช้พยายามดิ้นรนจากมือที่เค้นลงบนเส้นเลือดใหญ่ที่คอของเขา “อย่า... ได้โปรด นายน้อย... ได้โปรด...”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ขบกรามจนเป็นสันนูนด้วยความโมโห แต่ในที่สุดเขาก็ยอมปล่อยมือจากคอของคนรับใช้ โอลิเวอร์ยกมือลูบคอของเขาพลางไอออกมาถี่ๆ ขณะที่ลอร์ดหนุ่มซบหน้าลงกับฝ่ามือ

                “โอ... จบสิ้นแล้ว มันจบสิ้นแล้ว” เขาคร่ำครวญ ก่อนจะเงยหน้ามองคนรับใช้อีกครั้งด้วยสีหน้าแดงก่ำและดวงตาของคนสิ้นหวัง “แกเล่าให้พ่อฉันฟังแล้วใช่ไหม?”

                โอลิเวอร์สั่นศีรษะ เขาขยับมาใกล้เจ้านาย “ไม่ครับ ผมไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ผมไม่ทรยศคุณ นายน้อย”

                ดวงตาของลอร์ดโทรว์บริดจ์สั่นระริก เขายกมือจับไหล่ฝ่ายนั้นเอาไว้ “แกพูดจริงๆ หรือ?”

                “ครับ”

                โอลิเวอร์มองลอร์ดหนุ่มที่เบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อซ่อนน้ำตาของตัวเองด้วยสายตาสะทกสะท้อน “ผมเข้าใจคุณนะครับ”

                “.....” ลอร์ดโทรว์บริดจ์เบือนหน้ากลับมาอีกครั้ง “อะไรนะ... แกพูดว่าเข้าใจฉันงั้นหรือ?”

                “ครับ” อีกฝ่ายพยักหน้า “ผมมีลูกพี่ลูกน้องที่สนิทอยู่คนหนึ่ง เขาทำไร่อยู่ที่แอสฮอร์น พวกเราเขียนจดหมายถึงกันเป็นประจำ” คนรับใช้เริ่มเล่า “เขามีเพื่อนชายที่สนิทมากอยู่คนหนึ่ง พวกเขาสนิทสนมกันมาก ผมไม่เคยคิดถึงความสัมพันธ์ในแง่อื่นนอกจากเพื่อนระหว่างพวกเขาเลย กระทั่งเมื่อผมได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากลูกพี่ลูกน้องของผม เขาพรรณนาคร่ำครวญถึงความรักที่ไม่อาจเป็นไปได้ระหว่างเขากับเพื่อนคนนั้น ผมตกใจมาก หลังจากนั้นไม่กี่วันผมก็ได้รับโทรเลขว่าพวกเขาทั้งคู่จมน้ำตาย ครอบครัวของพวกเขาบอกตำรวจว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ผมรู้ว่าพวกเขาต้องการรักษาชื่อเสียงของครอบครัวเอาไว้ ลูกพี่ลูกน้องของผมถูกจับได้ว่าพลอดรักกับเพื่อนชายของเขา เขาเขียนจดหมายบอกเล่าความคับข้องใจถึงผม หลังจากนั้นพวกเขาก็ฆ่าตัวตาย โอ... นายน้อย ผมไม่อยากให้คุณต้องพบจุดจบแบบนั้น”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์จ้องคนรับใช้อยู่เป็นนาน ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ฉันจะไม่พบจุดจบแบบนั้น ถ้าแกไม่เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง”

                “ผมไม่เล่าหรอกครับ” โอลิเวอร์ว่า “แต่คุณต้องระวังตัวมากกว่านี้ การพลอดรักในสถานที่เปิดแบบนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย ถ้าคนที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่ผมล่ะก็...”

                “โอ...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์คราง “แกเป็นคนไล่เป็ดตัวนั้นกับลูกๆ ของมันลงมาใช่ไหม”

                โอลิเวอร์พยักหน้า “ผมไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงชีวิตส่วนตัวของคุณนะครับ แต่มันเป็นทางเดียวที่อาจจะทำให้พวกคุณได้สติ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หน้าแดงด้วยความอับอาย แต่เขาก็พยักหน้าเห็นด้วย “อืม... แกช่วยพวกเราเอาไว้ โอลิเวอร์ ขอบใจนะ”

                “ไม่เป็นไรครับ”

                “ว่าแต่แกไปทำอะไรที่นั่น? พ่อให้แกตามมาดูฉันหรือ? เขาสงสัยเรื่องนี้รึเปล่า?”

                “โอ... ไม่หรอกครับ นายท่านไม่ได้สงสัยเรื่องของคุณกับคุณโอเดนเบิร์กหรอก” โอลิเวอร์สั่นศีรษะ “เขาแค่ให้ผมคอยตามดูแลคุณห่างๆ เหมือนอย่างเมื่อก่อนครับ คุณก็รู้ว่านายท่านกับนายหญิงรักและห่วงคุณมาก”

                ลอร์ดหนุ่มพยักหน้า “อืม... ฉันรู้ว่าพ่อกับแม่รักฉันมาก” เขาถอนหายใจอีกครั้ง “ฉันคงทำให้เขาทั้งคู่ผิดหวังที่ไม่อาจเป็นลูกชายที่ดีได้”

                “อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ คุณเป็นผู้ชายที่ดีมากที่สุดคนหนึ่งอยู่แล้ว” โอลิเวอร์ว่า “ผมเข้าใจว่าคุณคงอึดอัดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคุณโอเดนเบิร์ก แต่คุณควรจะทำทุกอย่างให้ดูเป็นปกติ อย่าพยายามทำให้ใครระแคะระคายหรือสงสัยความสัมพันธ์ของพวกคุณเลยครับ มันจะดีต่อคุณและเขามากกว่า”

                “ถูกของแก ขอบใจนะที่ช่วยเตือนสติฉัน” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า ก่อนจะผุดลุกขึ้น “พวกเรากลับกันเถอะ ฉันว่าพ่อกับแม่คงตกใจมากทีเดียวที่ฉันควบม้าออกมาโดยไม่บอกอะไรแบบนี้”

                โอลิเวอร์ยิ้มแล้วลุกขึ้นตาม “ผมดีใจที่คุณคนเดิมกลับมาอีกครั้งนะครับ ท่าทางหุนหันพลันแล่นเมื่อครู่ดูไม่ใช่คุณเลย”

                อีกฝ่ายยกมือลูบท้ายทอยอย่างเขินๆ “ฉันออกจะไม่ทันได้คิดอะไร บางทีฉันอาจจะหมกมุ่นมากไปก็ได้”

                “ครับ... ผมเห็นแล้วว่าคุณโอเดนเบิร์กเป็นคนสวยมาก เขามีเสน่ห์จริงๆ”

                “พวกเรามีความสุขกันมาก เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดพลางเดินไปหาม้าของเขาซึ่งกำลังเล็มหญ้าอยู่ ก่อนจะรีบหันมาบอกคนรับใช้ซึ่งเดินตามหลังมา

                “แต่ฉันบอกแกไว้เลยนะ ว่าเราไม่ได้มีสัมพันธ์เกินเลยกันด้านร่างกาย แม้ในเวลาที่เราอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ฉันต้องบอกให้แกรู้ว่ากอร์ดอนซื่อสัตย์ต่อพระเจ้ามาก ร่ายกายเขายังบริสุทธิ์และมันจะบริสุทธิ์ตลอดไป เพราะฉันสาบานเอาไว้แล้ว”

                โอลิเวอร์เบิ่งตากว้างด้วยความประหลาดใจ “โอ... อย่างนั้นหรือครับ ดีเหลือเกินนายน้อย ผมอาจจะไม่ใช่คนเคร่งศาสนามาก แต่ผมดีใจที่พวกคุณไม่ได้ละเมิดข้อห้าม มันทำให้ผมกล้ายืนยันกับคนอื่นได้อย่างเต็มปาก ว่าคุณกับเขาไม่ได้มีอะไรเกินเลยกัน”

                “ใช่ ฉันกับเขารักกันอย่างบริสุทธิ์ใจ และฉันจะรักษามันเอาไว้ตราบเท่าที่ชีวิตของฉันจะหาไม่” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า โอลิเวอร์วิ่งเหยาะๆ แซงเขาเพื่อจะไปจูงม้ามาให้

                “แกจะอยู่ข้างฉันเรื่องนี้ใช่ไหม?” เขาถาม อีกฝ่ายพยักหน้า

                “ในฐานะคนรับใช้ของคุณ ผมจะซื่อสัตย์ต่อคุณและคำสั่งของคุณตลอดไปครับ”

                “ดี ขอบใจแกมาก ฉันดีใจที่แกอยู่ตรงนี้กับฉัน” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยื่นมือไปตบไหล่คนรับใช้ ก่อนจะปีนขึ้นม้า โอลิเวอร์โค้งให้เจ้านายของเขา ก่อนจะขี่ม้าอีกตัวตามไป ท่ามกลางแสงแดดในช่วงเที่ยงวัน

---------------------------------------
(จบตอน)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2017 16:16:24 โดย juon »

ออฟไลน์ Jitsupa_milk

  • Just Milky('s) Way
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
อ่านตอนนี้แล้วสงสารจอห์นมากๆ
อยู่ในสภาพที่ต้องบังคับจิตใจ
เศร้าตามเลย
 :mew6:

ออฟไลน์ ChabaSri

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
โอยยยยยน้ำตาไหล มันทั้งซาบซึ้งในความรักของทั้งคู่และอึดอัดไปหมด  ดูเหมือนว่าวามหวังคือโอลืเวอร์นะ แค่คิดว่าถ้าหนีไปด้วยกันเหมือนจอห์นว่าก็คิดอีกว่าแล้วพ่อแม่ล่ะท่านคงใจสลายและนั่นก็คงผิดต่อพระเจ้าเช่นกัน แต่ก็คิดอีกถ้าไม่หนี ถ้าทนอยู่แบบนี้....ไม่รู้สิ เหมือนเส้นขนานเคียงข้างแต่ไม่มีวันบรรจบ

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อ่านไปน้ำตาไหลไปตั้งแต่บรรทัดแรกจนบรรทัดสุดท้ายของตอน

ทั้งรักทั้งปราถนา ความสุขก็เป็นแค่ลมพัดมาแล้วผ่านไป

เฮ้อ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
สงสารทั้งคู่จัง
ดีใจที่อย่างน้อยก็มีคนเข้าใจเพิ่มขึ้น 1 คน

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
คงไม่จบลงแบบโศกนาฏกกรมเนาะ  :m15:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด