บทที่ 8
เมื่อน้องปูนหกล้มสุดท้ายผมก็โดนมันลากไปด้วยกันจนได้ครับ โอ๊ยพี่ปูนล่ะปวดหัวกับตัวเอง ทำไมผมไม่เคยชนะอะไรเอื้อมันเลยอ่ะ อะไรก็เหมือนจะแพ้ทางมันตลอดเลย แค่มันทำหน้าดุๆ เสียงเข้มๆ ผมก็ยอมมันหมดแล้ว พี่ปูนไม่เข้าจายยยยยยย
แต่การมาเดินเที่ยว (แบบไม่เต็มใจ) กับมันก็ทำให้ผมรู้ว่า...เอื้อมันเป็นผู้ชายประหลาด...สิ่งที่มันชอบแต่ละอย่างแม่งก็ประหลาดๆ ทั้งนั้น ไม่เข้ากับหน้าหล่อๆ ของมึงเลยสักนิด!
“มึงจะซื้อจริงเหรอไอ้เอื้อ”
“เออดิ ออกจะน่ารัก”
“ตรงไหนวะ”
“ก็ตรงที่มันมีเสียงไง”
แอบบบ แอบบบ แอบบบบบบ
ไอ้เอื้อมันลูบไม้ท่อนเล็กๆ ไปตามตัวของกบไม้พลางทำหน้าเคลิ้มๆ ไปด้วย
“เสียงแม่งเพราะว่ะ”
ตรงไหนเนี่ย!!
แล้วไม่ว่าใครจะพูดอะไร มันก็ซื้อมาอยู่ในครอบครองเป็นที่เรียบร้อบแล้วครับ
“นี่มึงหมดเงินไปกับอะไรแบบนี้เท่าไหร่แล้วเนี่ย”
“แคร์ทำไม บ้านกูรวยมาก” ผมอดจะเบ้ปากไม่ได้จริงๆ เชื่อเถอะ พี่ปูนพยายามที่จะไม่หมั่นไส้มันแล้ว เชิญมึงดูของต่อไปอย่างมีความสุขเถอะครับ
“รวยมากทำไมไม่ไปเที่ยวต่างประเทศอะไรแบบนี้อ่ะ มาเที่ยวที่นี่ทำไม”
“จังหวัดนี้เป็นของมึงเหรอ” มันมองผมกวนๆ “อีกอย่างมึงไม่คิดหรือไงว่าที่เราเจอกันอาจจะเป็นพรหมลิขิต”
“ไม่!” อย่างผมกับมันก็ต้องกรรมลิขิตเท่านั้นแหละ!
“ได้ไกด์พาเที่ยวแล้วลืมพวกกูเลยนะไอ้เอื้อ”
ถ้าเปรียบพี่ฟิ้งเหมือนไอ้ฟ้า (ชื่อแม่งคล้ายกันจังวะ) พี่เดียวก็คงเปรียบเป็นไอ้กล้านั่นแหละครับ อะไรคือการที่พี่มันแซะไอ้เอื้อกับผมได้ทุกเวลาทุกนาที
“ก็พวกมึงมันไม่ได้เรื่อง แค่บอกทางให้กูยังหลงเลย” ไอ้เอื้อตอบทั้งที่ดวงตาคู่สวยของมันก็กำลังมองสอดส่องหาของแปลกๆ ต่อไป “ไอ้ตัวนี้น่ารักดีวะ”
ผมมองตามนิ้มเรียวยาวที่ชี้ไปยังตุ๊กตาไม้ตัวหนึ่ง มันคล้ายๆ พีนอคคีโอ้เลยครับแต่หัวมันกลมๆ แล้ววาดเครื่องหน้าเอา น่ารักดี ตัวเล็กเท่าฝ่ามือนี่เอง
“มีเป็นครอบครัวเลย” จากการที่เดินกับมันมานะ ผมว่าไอ้เอื้อนอกจากจะชอบของแปลกๆ แล้ว มันยังชอบของเก่า และของทำมืออีกด้วย
“มึงดูหน้าพ่อดิ แม่งอย่างฮาอ่ะ” ผมชี้หน้าหุ่นไม้ตัวที่สูงที่สุด มีหนวดและอ้าปากกว้าง
“เออ หน้าเหมือนมึงเลย” อ้าวไอ้เชี่ยนี่ จะบอกว่าหน้ากูตลกเหรอ
นิ้วใหญ่ๆ ของมันจิ้มไปที่ตุ๊กตา ดวงตาสวยเป็นประกายระยิบระยับเมื่อเจอสิ่งของที่เจ้าตัวถูกใจ ดูมันจะชอบตุ๊กตาไม้เซ็ตนี้เอามาก
“พี่ครับ เอาเซ็ตนี้”
หือ นี่มึงจะซื้อแบบไม่คิดเลยเหรอ
ผมกำลังเอ่ยปากจะถามมันอยู่แล้ว แต่ถึงได้ว่า ‘มันรวยมากกก’ งั้นมึงก็ซื้อไปเหอะ ซื้อให้เงินมึงหมดกระเป๋าไปเลย
“ไปไหนต่อดี” มันหันไปถามเพื่อนอีกสองคน
ผมโคตรสงสารพี่ฟิ้งกับพี่เดียวเลย พี่เขาสองคนเดินตามความต้องการของไอ้เอื้อตลอดเลยครับ แดดก็ร้อน ของตัวเองก็ไม่ได้ซื้อ ยังต้องคอยมาตามใจไอ้ผู้ชายบ้าอำนาจนี่อีก
จะว่าไปผมก็เหมือนกันนี่หว่า -*-
“มึงซื้อของพอใจยังไอ้เอื้อ”
“เออ พอแล้ว”
มึง ‘ควร’ พอได้แล้วถึงจะถูกนะ มือมึงไม่มีที่จะถือแล้วเว้ย
“ของได้แล้วค่ะ”
“ไอ้ปูนมึงถือดิ มือกูเต็มแล้วเนี่ย ประคองลูกๆ กูดีๆ นะอย่าให้ตก”
ลำบากกูอีกนะมึง!!
ผมรับกล่องที่ภายในบรรจุ ‘ลูกๆ ของไอ้เอื้อ’ (กระกาดปากว่ะ พาลคิดไปถึงอย่างอื่นเลย) เอาไว้อย่างระมัดระวัง เมื่อกี้ผมบอกว่ามันน่ารักดี แต่ตอนนี้เริ่มจะเกลียดมันแล้วครับ
“ต่อไปกูขอไปร้านช็อกโกแลตนะมึง กูจะเหมามันให้หมดเลย!!” หน้าตาพี่ฟิ้งมุ่งมันมากเลยครับ “น้องปูนนำไปเลยครับ”
ผมอยากจะหันไปบอกว่าผมก็ไม่รู้ทางหรอกนะ แต่พี่ฟิ้งแม่งเดินเข้ามากอดคอผมแล้วลากไปเลย แบบเดียวกับที่ไอ้เอื้อมันทำกับผมเป๊ะ
รู้แล้วทำไมพวกมึงถึงเป็นเพื่อนกันได้!
“เฮ้ยไอ้ฟิ้งเบาๆ หน่อย เดี๋ยวลูกกูตก!”
นี่มึงไม่ห่วงกูเลยใช่ม้ายยย!!
ปึก!!
“โอ๊ะ!/ขอโทษครับ”
สามเสียงข้างต้นเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน เมื่อพี่ฟิ้งดันเดินไม่ดูทาง ทำให้เราชนกับนักท่องเที่ยวที่เดินสวนมาจนเซไปทางด้านหลัง แรงปะทะทำให้กล่องตุ๊กตาไม้ของไอ้เอื้อที่ผมถืออยู่กระเด็นออกจากมือลอยละลิ่วอยู่กลางอากาศ
“อ๊ะ! ตุ๊กตา!”
ร่างกายของผมไปเร็วกว่าความคิด ผมกระโจนออกไปข้างหน้าเพื่อรองรับกล่องที่มันกำลังร่วงลงมา และในจังหวะที่มันจะตกถึงพื้นนั้น…
เซฟ!!!
ผมรับได้ครับ!
ตุ้บ!! ปึก!!
“โอ๊ย!!”
โอยยย หัวกู กระแทกขอบน้ำพุเต็มๆ เลย ฮือออ พี่ปูนเจ็บบบ
“ไอ้ปูน!! / น้องปูน /ปูน!”
เอื้อและเพื่อนๆ ร้องเรียกชื่อผมอย่างพร้อมเพียงก่อนที่พี่ฟิ้งซึ่งอยู่ใกล้สุดจะถึงตัวผมเป็นคนแรก
“เป็นไงบ้างปูน” มือนิ่มๆ ของพี่ฟิ้งจับไปทั่วตัวของผม “อ่า...แขนถลอกเป็นทางเลย หัวก็โนด้วย”
จริงดิ หัวโนน่ะคาดไว้อยู่แล้วแต่ไม่คิดว่าแขนมันจะถลอก สงสัยตอนที่พุ่งตัวไปรับกล่องตุ๊กตาเมื่อกี้แน่ๆ เลย ซี๊ดดด พอพูดแล้วก็แสบขึ้นมาทันควัน เข่าถลอกด้วยนี่หว่า นี่จะไม่เหลือส่วนไหนให้กูปกติเลยใช่ป่ะ
แต่ก็ช่างมันเถอะ ลูกผู้ชายต้องคลุกฝุ่นกันบ้าง
“ไม่เจ็บมากหรอกครับ”
ผมโกหก ที่จริงตอนนี้เจ็บหัวที่โขกกับน้ำพุสุดๆ เลยอ่ะ น้ำตาจะไหลแล้วเนี่ย ส่วนเรื่องหัวเขากับแขนก็ถือเป็นโชคร้ายของผมแล้วกัน เพราะผมดันใส่กาเกงขาสั้นกับเสื้อแขนสั้นมา ถ้าใส่ให้ยาวๆ ก็คงไม่เป็นแบบนี้
“ลุกไหวมั้ยปูน” พี่เดียวเดินเข้ามาพยุงผมให้ลุกขึ้นนั่งที่ขอบน้ำพุ ไม่นานไอ้เอื้อก็เดินเข้ามาครับ หน้ามันบอกบุญไม่รับเลย สงสัยมันคงโกรธที่ผมเกือบทำของมันพัง
ผมยื่นกล่องตุ๊กตาให้มัน
“เอาไปเลยมึง กูไม่ถือแล้ว เดี๋ยวทำตกอีก”
ไอ้เอื้อเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่มันก็เงียบปากไปก่อนจะยื่นมือมารับกล่อองตุ๊กตาที่ผมยื่นให้
“ฝากดูมันด้วย” พูดจบมันก็เดินออกไปเลย
มัน...โกรธผมขนาดนั้นเลยเหรอ
ผมลุกขึ้นยืน อ่า...ตึงเข่าชะมัด แต่ไม่เป็นอะไรครับ ตอนนี้ผมอยากตามไปขอโทษไอ้เอื้อก่อน มันรู้สึกไม่ค่อยดีเลยครับ มันด่ามาสักคำก็ยังดี ดีกว่าเงียบแล้วเดินหนีแบบนี้
“จะไปไหนน้องปูน”
“เดี๋ยวผมมา”
ผมเดินกระหย่องกระแหย่งตามมันไป ไอ้เอื้อนี่ก็เดินไวจัง ขายาวแล้วยังเสือกเดินไวอีกนะมึง สงสารคนตามมึงบ้างเถอะเว้ย แล้วนี่มึงจะเดินไปถึงไหนวะ กูเจ็บขาเว้ย!
ทุกครั้งที่ผมจะตะโกนเรียกมัน มันก็เดินเลยระยะได้ยินตลอด ไม่ก็เดินเลี้ยวไปอีกทางทำให้ผมไม่สามารถจะเรียกให้มันหยุดได้
อ่า...มันหยุดเดินแล้วครับ มันหยุดอยู่หน้าถังขยะใหญ่ๆ แต่มันกำลังทำอะไรอ่ะ หรือว่า…
“หยุดนะไอ้เอื้อ!”
ร่างสูงที่กำลังจะทิ้งหล่อตุ๊กตาลงถังขยะชะงักก่อนที่คิ้วเข้มจะขมวดเข้านากันแล้วหันมามองผมที่ฝืนตัวเองวิ่งเข้าไปแย่งกล่องตุ๊กตานั่นมาถือไว้
“มึงจะทิ้งเหรอ! ไม่ได้นะเว้ย!” ผมอุตส่าห์สละตัวเองเพื่อปกป้องมันเลยนะ!!
“เอาคืนมา!”
“ไม่ให้ แม่งมึงบ้าเปล่าเนี่ย จะทิ้งทำไมเพิ่งซื้อมา”
“กูไม่อยากได้มันแล้ว”
“ทำไมเล่า มึงก็ชอบมันไม่ใช่หรือไง อีกอย่างกูอุตส่าห์ปกป้องมันเลยนะ ดูสภาพกูนี่ กูทุ่มเทขนาดไหน” ผมกอดกล่องตุ๊กตาแน่นขึ้นไปอีกเท่าตัว อื้อหือ ร้านนี้บรรจุภัณฒ์เขามีคุณภาพจริงๆ ครับ ขนาดกอดแรงแบบนี้กล่องยังไม่ยุบบุบสลายเลย
“เอามาไอ้ปูน”
“ไม่ให้!”
“เอามา!!”
“ไม่ให้!! มึงจะทิ้งมันทำไมเล่า! แม่งไม่มีเหตุผลเลย”
“ที่กูทิ้งก็เพราะมันทำมึงเจ็บไง!”
“...”
“มึงนี่แม่ง บ้าหรือเปล่าวะ ห่วงแต่ตุ๊กตาแทนที่จะห่วงตัวเอง ตุ๊กตาน่ะพังมันก็ซื้อใหม่ได้ แต่ถ้ามึงเป็นอะไรไปจะทำยังไง”
“...ก็กู…”
“อะไร!” เสียงแม่งโคตรโหดเลย อย่ามองแบบนั้นพี่ปูนกลัววว
ผมหลุบตาลงมองกล่องตุ๊กตาในอ้อมแขน
“กูไม่ได้ห่วงตุ๊กตาหรอก...แค่เห็นว่ามึงชอบมันมากก็เลยไม่อยากให้มันพังก็เท่านั้นเอง”
ถ้าคุณได้เห็นสายตาของเอื้อตอนมองตุ๊กตานะ คุณจะต้องทำแบบผมแน่ๆ เชื่อผมเถอะ
“กูแม่ง...หมดคำพูดเลย มานี่ดิ” เอื้อมองผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก มันถอนหายใจ มองไปทางอื่น แล้วกลับมามองผมอีกครั้ง พร้อมกวกมือเรียก
“ไม่ให้ทิ้งนะ”
“ไม่ได้จะทิ้ง แต่จะพาไปทำแผลที่รถ”
เอื้อไม่ได้รอให้ผมเข้าไปหาอย่างที่ปากมันพูดหรอก มันเข้ามาคว้าแขนผมแล้วดึงให้เดินตามมันไปเลย อ่า...หน้ามันแดงๆ นะ เมาแดดหรือเปล่าวะ
“เบาๆ เอื้อ กูเจ็บ”
“นี่มึงเดินตามกูมาเลยเหรอ”
“ก็เออสิวะ จะให้กูบินมาหรือไง” ผมเถียงกลับ ตอนเดินมามันยังไม่เจ็บเท่าไหร่ แต่พอหยุดเดินเท่านั้นแหละ โคตรแสบแผลเลย
“...” เอื้อเงียบครับ หน้ามันเพิ่มดีกรีความโหดขึ้นอีกสิบแปดเปอร์เซ็นต์ เง้อออ ผมต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ก่อนที่มันจะพาผมไปฆ่าปาดคอ
งั้นเอางี้แล้วกัน ใช้กับตาทีไรได้ผลทุกที
“กูกลัวว่ามึงจะโกรธที่กูเกือบทำตุ๊กตามึงพังเลยตามมาขอโทษ”
“มึงว่าไงนะ”
“กูขอโทษที่เกือบทำมันพังนะ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
“...”
“ไม่โกรธกูนะเอื้อ” ผมส่งยิ้มอ้อนๆ ให้มัน พร้อมกับมือที่กระตุกชายเสื้อมันไปด้วย “นะๆๆๆ ไม่โกรธนะ”
มุกนี้แหละครับ อ้อนตาร้อยครั้งก็สำเร็จร้อยครั้ง แต่ทำไมไอ้เอื้อแม่งนิ่งไปเลยวะ หรือว่ามันจะไม่ได้ผล แล้วผมจะทำยังไง
“นะๆๆๆ หายโกรธกูเถอะนะ”
เอื้อเงียบไปนานจนผมเริ่มใจเสีย แล้วสุดท้ายมันก็พูดออกมาจนได้
“...ใครจะไปโกรธลงวะ”
ผมจะถือว่าได้ผลก็แล้วกันนะ อิอิ
…
..
.
“โอ๊ยเอื้อ บอกว่าเบาๆ ไง!”
“ทนหน่อย นี่ก็เบาไม่รู้จะเบายังไงแล้ว”
นี่เบาของมึงแล้วใช่มั้ย แม่งแรงคนหรือแรงควายวะ
เอื้อมันกำลังทำความสะอาดแผลให้ผมอยู่ครับ มันลงทุนใช้ผ้าเช็ดหน้าของมันซับน้ำเปล่าแล้วค่อยๆ เช็ดแผลผมเลย ตอนแรกผมก็ไม่ยอมหรอก ผ้าเช็ดหน้ามันก็ไม่ใช่ถูกๆ ด้วย แถมยังเป็นสีขาวอีก มาเปื้อนเลือดแบบนี้ก็ต้องทิ้งอย่างเดียว
แต่ก็นั่นแหละ คิดว่าคนอย่างมันจะยอมหรือเปล่าล่ะ
“เสร็จล่ะ เอาแขนมึงมา”
ผมยื่นแขนไปให้มันทำความสะอาดต่อ แผลผมมีแต่ฝุ่นดินทั้งนั้นเลย เลอะเต็มผ้าเช็ดหน้าของอีกฝ่ายจากสีขาวกลายเป็นน้ำตาลเลย
“เดี๋ยวกูซื้อผ้าใช้ให้นะ”
“ไม่ต้องอ่ะ”
“เห้ย ไม่ได้ๆ เดี๋ยวกูซื้อให้”
“บอกว่าไม่ต้องไง” มันหันมาดุผมทางสายตาด้วยอ่ะ “เฮ้อ เอาเป็นว่าเป็นค่าน้ำหอมที่กูทำของมึงหกแล้วกัน”
“ได้ไง มันคนละเรื่องกันเว้ย” ไม่ครับผมจะไม่ยอมเรื่องน้ำหอมเด็ดขาด เพราะถือว่ามันได้พรากหัวใจอีกเสี่ยวหนึ่งของผมตั้งแต่มันทำน้ำหอมผมร่วงพื้น
“งั้นกูซื้อให้ใหม่ แต่ขอเลือกกลิ่นให้ได้มั้ย กลิ่นเก่ามันไม่เข้ากับมึงเท่าไหร่”
“ยังไงก็ได้ แล้วแต่มึงเลย” ผมพยักหน้าเออออไป “แต่ผ้าเช็ดหน้ามึงก็ต้องให้กูซื้อด้วยนะ”
“มึงนี่มันดื้อจริงๆ” ร่างสูงส่ายหน้าไปมา ก่อนจะบรรจงเช็ดแผลผมอย่างตั้งอกตั้งใจ คราวนี้ผมไม่เจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่รู้ว่าเพราะแผลมันไม่ได้ใหญ่โต หรือเพราะเอื้อทำเบาๆ อบ่างที่ผมบอกไปแต่ต้นกันแน่
“เรียบร้อย เพี้ยง...หายเร็วๆ นะครับน้องปูน” พูดจบมันก็ก้มหน้าเป่าลมที่แผลผมเบาๆ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้ผม ยิ้มแบบที่ไม่ใช่การแสยะยิ้มแบบที่มันชอบทำ แต่เป็นยิ้มที่ยิ้มจริงๆ ยิ้มที่ทำให้ใบหน้าหล่อๆ นั่นอ่อนโยนลงหลายเท่าตัว
“เป็นอะไรหน้าแดงๆ”
“มันร้อนไงมึง” ผมยกมืออีกข้างที่ไม่ได้เป็นแผลถลอกมาพัดๆ ที่หน้า แม่งอยู่ๆ ก็ร้อนขึ้นมาเองเฉย
“เดี๋ยวกูมานะ รออยู่นี้อย่าหายไปไหน กูไปทิ้งขยะแปบ”
“เออ ไม่หายไปไหนหรอกเดี้ยงขนาดนี้”
“เถียงกูตลอด” มันวางมือลงบนหัวผมก่อนจะขยี้เบาๆ
โอยยย ผมกูเสียทรงแล้ว
ผมโบกมือไล่เอื้อให้ไปๆ สักที หน้ามันที่มองผมเมื่อกี้มันเจ้าเล่ห์ยังไงก็ไม่รู้ เอ้อ ผมจะบอกว่าต่อไปนี้ผมจะพยายามไม่เรียกมันว่า ‘ไอ้เอื้อ’ แล้วนะ เพราะไหนๆ ผมก็ไม่อยากจะเกลียดมันแล้ว ยกเว้ยถ้ามันกวนตีนผม (ซึ่งมันทำเป็นบ่อยๆ)
Rrrrr
ผมล้วงหยิบโทรศัพท์ที่แผดเสียงดังลั่นขึ้นมาดู ก่อนจะกดรับ “นึกว่าลืมผมไปแล้วซะอีก”
ลุงคณิตเองครับ หายไปนานพอสมควรเลย
[“พอดีต้องฉีดยาเจ้าหมาน่ะ แล้วมันก็เกเรมาก ไม่ยอมให้จับเลยนานไปหน่อย”] ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ [“อยู่ไหนล่ะเรา เดี๋ยวลุงไปหา”]
“อยู่ตรงที่จอดรถครับ ลุงเดินมาก็เห็นเลย”
[“โอเค รอลุงแปบนะเดี๋ยวไป”]
“ครับลุง”
ผมวางสายจากลุงสักพักเดียวร่างสูงที่เริ่มจะคุ้นตาบ้างแล้วในตอนนี้ก็โผล่เข้ามา ข้างหลังมีพี่เดียวที่เดินคู่กับพี่ฟิ้งผู้ซึ่งสองมือเต็มไปด้วยช้อกโกแลต
เชื่อแล้วว่าพี่มาเพื่อช็อกโกแลตจริงๆ
“น้องปูน เป็นไงบ้างเนี่ยเด็กน้อย” พี่ฟิ้งเห็นผมก็รีบวิ่งเข้ามาหา ผมเสียวว่าพี่แกจะหกล้มจริงๆ
“ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกครับ”
“เป็นเด็กหัดโกหกผู้ใหญ่เหรอมึง”
“ไม่ได้โกหกเว้ย ก็มันไม่เจ็บแล้วอ่ะ” ผมหันไปเถียงไอ้เอื้อ
“พี่ตกใจแทบแย่ตอนเราวิ่งตามไอ้เอื้อออกมา พอจะตามเราไปก็คลาดกันแล้ว ไม่รู้ว่าปูนไปทางไหน”
“ขอโทษครับพี่” ผมส่งยิ้มแห้งๆ ให้พี่ฟิ้ง พี่แกก็ยิ้มกลับมาด้วยรอยยิ้มน่ารักๆ
ผมเป็นคนแพ้รอยยิ้มครับ ถ้าใครส่งยิ้มจริงใจมาให้ผมก็จะชอบคนนั้นเป็นพิเศษ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นกับไอ้เอื้อเลย
“ปูน ไปโดนอะไรมา!”
พวกเราทั้งหมดหันไปทางต้นเสียง ลุงคณิตตาโตวิ่งมาหาผมก่อนจะหยุดลงข้างหน้าแล้วยกมือจับตัวผมหันไปมาเพื่อสำรวจบาดแผล
“หกล้มครับ”
“ทำไมไม่ระวัง! ไอ้แสบนี่คลาดสายตาไม่ได้เลย” ลุงส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะหันไปหาบุคคลทั้งสามที่ยืนอยู่ด้านหลัง “แล้วนี่…”
“อ๋อ รุ่นพี่ที่มหา’ลัยครับลุง นี่พี่เดียว พี่ฟิ้ง แล้วก็เอื้อ พี่ๆ นี่ลุงของผม ลุงคณิต”
พวกพี่ๆ ยกมือไหว้ลุงของผมอย่างนอบน้อม
“น้องปูนโกหกหรือเปล่าครับ นี่ลุงแน่เหรอทำไมยังไม่แก่เลย พี่ก็นึกว่าพี่ชายน้องปูนนะเนี่ย” แหมะ ปากหวานมากครับพี่เดียว
“ไอ้นี่พูดเข้าหูดีว่ะ” ลุงยิ้มขำแล้วตบไหล่พี่เดียวดัง ปาบ! สองครั้งติดๆ เห็นเลยว่าพี่มันแทบทรุด “แล้วนี่มาเที่ยวเหรอ”
“ครับ ว่าจะอยู่ที่นี่สักคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับ” พี่ฟิ้งเป็นคนตอบ
“แล้วพักที่ไหนกันล่ะเนี่ย”
“ยังไม่มีที่พักเลยครับ”
ผมเริ่มเห็นเคล้ารางของความเลวร้ายอะไรบางอย่างล่ะครับ…
“ดีเลยงั้นไปนอนบ้านปูนสิ”
นั่นไง! ผมเดาไม่ผิดจริงๆ ด้วย
ลุงนะลุง ทำกับผมได้!! คือถ้าเป็นพี่เดียวกับพี่ฟิ้งก็ไม่อะไรมากหรอก แต่นี่มีไอ้เอื้อไง ถึงผมจะพยายามไม่เกลียดมันแต่มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดว่าจะหายเกลียดภายในชั่วโมงกว่าๆ นะ
“ไงปูน ให้พี่เขาไปค้างที่ไร่ด้วยสิ จำได้พาพี่ๆ เขาเที่ยวด้วย”
“ปูนมีไร่ด้วยเหรอ!” หน้าพี่เดียวตื่นตาตื่นใจมาก
“ไร่ดอกไม้เล็กๆ น่ะครับ ไม่ใหญ่หรอก ไม่ค่อยมีอะไรให้เที่ยวด้วย” ผมพูดเสียงอ่อยๆ กำลังเซ็งชีวิตอยู่ครับ ไม่เอาไอ้เอื้อไปได้ป่ะวะ
“ใหญ่ไม่ใหญ่เดี๋ยวไปถึงก็รู้เองแหละ” ลุงคณิตบอกยิ้มๆ ก่อนจะหันมาหาผม “ปูนพาพี่ๆ เขาไปก่อนเลยนะ ลุงต้องไปดูวัวที่ฟาร์มเสี่ยกิต เดี๋ยวตอนเย็นลุงเข้าไป วันนี้ลุงจะเตรียมของดีไว้แล้วกัน”
‘ของดี’ ของลุงคณิตไม่ใช่อะไรอย่างอื่นครับ มันเป็นเหล้าเถื่อนที่คนในหมู่บ้านหมักไว้กินกันเอง ดีกรีแรงเลย ผมเคยกินไปแค่สามแก้วก็จอดล่ะครับ
“เอ่อ…”
“ไปล่ะปูน ไปแล้วนะเด็กๆ”
ลุงอ่ะ ไม่ฟังปูนเลย!
“เราก็ไปกันเถอะเนาะ” พี่ฟิ้งส่งยิ้มมาให้ผม ก่อนที่พวกเราทั้งหมดจะขึ้นรถ แต่มันก็เกิดปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ครับ…
“เฮ้ยๆๆๆ ทำอะไร!!!” ผมโวยวายเสียงดังเมื่ออยู่ๆ ตัวเองก็ถูกอุ้มจนตัวลอย “เอื้อปล่อย! กูเดินเองได้”
“มึงเดินไม่ไหวหรอก เข่ามึงจะตึงขยับขาลำบาก”
“แต่…”
“เงียบ!!”
ทำไมจ้องดุด้วยเล่า!!
ผมเกร็งไปทั้งตัว คิดว่าไม่น่าไปนั่งฝั่งคนขับเลย รู้งี้เลือกนั่งที่นั่งข้างๆ เสียก็ดี จะได้ไม่โดยมันอุ้มแบบนี้ เกิดเป็นชาติชาย แต่โดยผู้ชายอุ้มท่าเจ้าหญิงมันไม่คูลเลย! พี่ปูนปวดร้าว!!
“ก็แค่นี้” มันค่อยๆ ว่างผมลงที่เบาะ ตอนแรกคิดว่ามันคงโยนแบบแรงๆ ซะแล้ว “มึงนี่เบากว่าที่คิดนะ ตัวมีแต่กระดูก”
“กูผอมจริงดิ มีคนพูดแบบนี้หลายคนแล้ว”
“เออ กระดูกมึงทิ่มกูแล้วเนี่ย แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูขุนเอง” มันยิ้มมุมปากแบบกวนๆ
“ไม่ต้อง กูขุนตัวกูเองได้เว้ย”
“หึหึหึ”
บทเรียนทั้งหลายสอนไว้ว่าอย่าอยู่ใกล้มันมากดีที่สุด!
===============================================
=====================================
ซาหวัดดีค่าาาาาา
ทักทายคนอ่านอีกครั้งและอย่าเกลียดพี่เอื้อเลยนะะะ
ต่อไปนี้พี่เขาจะเป็นคนดีแย้วว (หราา) จะไม่ทำให้ปูนเสียใจ (แน่นะ?)
ให้โอกาสหนุ่มเภสัชคนนี้สักครั้งเถอะค่ะ