“มิว เค้กก้อนนี้ไม่ใช่เพียงของขวัญที่กูอยากให้ แต่มันเป็นเหมือนเครื่องยืนยันว่าตอนนี้มึงไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้วนะ ความคิดความอ่านมึงต้องโตขึ้น คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาย่อมตัดสินใจได้ว่าอะไรที่ควรจะทำเพื่อตนเอง”
“กูควรทำยังไง ฮึก”
“ปิดสมอง แล้วใช้หัวใจมึงนำทางซะ อย่างน้อย ก็ให้มันได้ตัดสินว่า ใครที่เป็นเจ้าของมันจริงๆ”
2 เดือนถัดมา…กลิ่นข้าวต้มโชยผ่านจมูกผมไปจนท้องไส้เริ่มส่งสัญญาณประท้วง วันนี้หลังจากที่ตื่นนอนผมก็ลุกขึ้นมาทำอาหารเช้ากันการหิวที่จะเกิดขึ้นระหว่างวัน และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วนั้น ผมจึงเดินออกจากครัวไปตรวจความเรียบร้อยของถังสังฆทานบนโต๊ะอีกครั้ง จนเห็นแล้วว่าไม่ได้ลืมหรือมีอะไรขาดหาย หน้าที่อย่างสุดท้ายของผมจึงผลักดันให้ผมกลับไปที่ห้องนอนแล้วทำการปลุกบุรุษขี้เซาให้ตื่นขึ้น
“ภพ ไอ้ภพ!! ตื่นได้แล้ว ไปกินข้าว”
ผมนั่งเขย่าตัวมันอยู่ข้างๆเตียง พลางจ้องใบหน้างุ้มงออย่างขัดใจยามโดนรบกวนการนอนหลับ เมื่อคืนไอ้ภพต้องทำงานอยู่ดึกดื่น มันจึงได้นอนไปเมื่อช่วงใกล้เช้าเท่านั้น ตามความจริงผมก็ต้องการให้มันนอนพักผ่อนร่างกายต่อไปอีก แต่ในเมื่อมันอุตส่าห์ขับรถพาผมไปเลือกของสังฆทาน ผมจึงมีความจำเป็นที่จะต้องปลุกมันให้ลุกขึ้นไปตามแผนการที่เราทั้งคู่วางเอาไว้
“ขออีกสิบนาที”เสียงงัวเงียตอบกลับมา ทั้งที่ตายังลืมไม่ขึ้น
“ไม่ได้ ตื่นได้แล้วไอ้ภพ มึงจะไปตอนพระท่านจำวัดหรือไง ลุกได้แล้ว”
“อืม ขออีกนิดเดียวนะ”
“พี่ภพ…ตื่นได้แล้วครับ”เมื่อทำอย่างไรไอ้ภพก็ไม่มีทางตื่น ผมจึงก้มหน้าไปพูดประโยคนั้นที่ข้างหู ตาของไอ้ภพจึงเปิดขึ้นมาโดยทันที ก่อนที่วงแขนของมันจะเกี่ยวร่างกายของผมให้ลงไปนอนด้วยพร้อมส่งสายตาไม่พอใจมาให้ แต่กระนั้นผมกลับมองว่าเป็นภาพที่น่าตลกเสียมากกว่า มือข้างหนึ่งของผมจึงยื่นขึ้นไปนวดคลายที่หัวคิ้วให้ ก่อนจะนอนรอรับฟังคำบ่น
คำว่าพี่ ถือเป็นคำต้องห้ามสำหรับไอ้ภพ มันบอกกับผมว่าทุกครั้งที่ได้ยิน มันจะพาให้นึกถึงตอนที่ผมเดินจากไป มันจึงแสดงอาการไม่พอใจทุกครั้งที่ผมแหย่หรือแกล้งเล่น แต่ถึงมันจะโมโหผมมากแค่ไหน มันก็ต้องยอมทนฟังบ้าง เพราะถ้าผมไปในที่สาธารณะกับมันแล้วมีคนรู้จักไอ้ภพอยู่ ผมก็ต้องเรียกมันว่าพี่เพื่อที่จะให้เกียรติมัน ต่อหน้าคนที่มองพวกเราสองคนกลับมาด้วย
“เรียกอย่างนี้ทำไม? อยากโดนดีหรือไงมิว”
“555 ก็มึงไม่ตื่นเอง ไปอาบน้ำได้แล้ว…เดี๋ยวจะสายนะครับ”
ไม่ทันพูดจบ ไอ้ภพก็ยื่นใบหน้าของตนเองมาจูบที่หน้าผากผมแผ่วเบาอย่างที่มันต้องทำในทุกๆวัน ผมไม่รู้ว่าการกระทำของมันเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร ตั้งแต่ที่ผมเดินกลับเข้ามาหามันอีกครั้ง ไอ้ภพก็พยายามที่จะดูแลผมทุกอย่างชนิดที่ว่ามันจะไล่ให้ผมไปลาออกจากงาน ตอนนั้นผมต้องเถียงกับมันบ้านแตกเพราะผมไม่อาจอยู่เฉยๆเพื่อให้มันหาเลี้ยงผมได้แน่
คำพูดที่ไอ้วุฒิกล่าวกับผม มันทำให้วันต่อมาผมต้องนั่งรถฝ่าวิญญาณตามรายทางไปยังสถานที่นัดพบโดยไม่สนว่าตอนนั้นจะเริ่มมืดแล้ว วีดีโอที่ไอ้วุฒิเปิดให้ฟังครั้งแรก มันระบุเอาไว้ว่าไอ้ภพโทรเข้าไปหารายการ หลังจากที่ผมกับมันแยกย้ายจากการให้ปากคำไปได้เพียงสามวัน เท่ากับว่ามันได้มารอผมอยู่ในร้านนั้นเป็นเดือนๆโดยที่ผมไม่มีทางได้รู้ เนื่องจากตัวผมแทบไม่ได้เปิดอินเทอร์เน็ตเล่นอีกเลยตั้งแต่ได้กลับมา
ผมรีบลงจากรถเดินหาร้านที่ไอ้ภพนัดเอาไว้ ก่อนจะพบว่ามันอยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่ผมยืนอยู่เท่าไรนัก แต่ทว่าไฟในร้านกลับปิดหมดคล้ายกับร้านปิดทำการไปแล้ว ตอนนั้นความรู้สึกผมย่ำแย่จนไม่อยากเดินต่อ แต่เพราะคิดว่าไอ้ภพอาจจะยังรอผมอยู่ ผมจึงตัดสินใจก้าวต่อไป และได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มคุ้นตา ซึ่งกำลังนั่งทอดสายตาออกไปยังถนนอย่างไม่รู้จุดหมาย จนกระทั่งเสียงฝีเท้าของผมดังเข้าไปใกล้ ใบหน้าหล่อเหลานั้นจึงหันกลับมาพร้อมตาที่เบิกกว้างขึ้น
ไม่มีเสียงเรียก ไม่มีการทักทาย ไอ้ภพก็วิ่งตรงเข้ามาหาผมพร้อมกับกระชากเข้าไปกอดเอาไว้แน่น ช่วงหน้าของมันซบลงไปบนไหล่ผม ก่อนที่ความรู้สึกอุ่นชื้นจะเกิดขึ้นลงบนสาบเสื้อ ตัวของไอ้ภพสั่นไหวเพียงเล็กน้อย มือของผมเลยเอื้อมขึ้นไปกอดปลอบมันไว้ แล้วจึงซบหน้าลงบนไออุ่นที่ร่างกายผมปรารถนามาตลอด
“จะนั่งจ้องหน้ากูอีกนานไหม? ทำไมไม่พูดอะไรเลย”ผมหยั่งเชิงถามมัน เนื่องจากตั้งแต่ได้เจอกันจนมันพาผมมาที่ร้านอาหารใกล้บ้าน ไอ้ภพก็ยังไม่พูดอะไรนอกจากการนั่งจ้องหน้าผม
“คิดถึง”
“คิดถึง? คำเดียวเองเนี่ยนะ…เฮ้อ ตั้งแต่ในบ้านร้างนั่นแล้วนะภพ ที่มึงไม่ยอมพูดอะไรออกมาก่อนถ้ากูไม่พูด เอางี้ ครั้งนี้กูจะยอมเล่านิทานให้มึงฟังก่อนแล้วกัน”ผมก้มหน้าบ่นออกไปทั้งที่หัวใจเต้นรัว คำพูดคำเดียวสั้นๆสะกิดให้ใบหน้าผมร้อนผ่าว อาจจะเพราะสายตาหวานเยิ้มนั่นด้วยที่ทำให้ตัวของผมแทบทรุดลงบนโต๊ะ
“นิทาน?”
“อืม…มีผู้ชายอยู่คนหนึ่ง ต้องเข้าไปร่วมเล่นเกมในรายการที่กะจะฆ่าให้เขาตาย ตลอดการแข่งขันเขาต้องใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างกายผู้ชายอีกคนท่ามกลางความสามารถที่เขาไม่ต้องการ จากแค่เคยชินมันจึงเริ่มกลายเป็นความผูกพันที่ทำยังไงก็ตัดไม่ได้ เมื่อเขารอดชีวิตกลับมาเขาก็เป็นอันต้องแยกจากผู้ชายคนนั้น เพราะต้องการให้อีกฝ่ายได้มีเวลาทบทวนความรู้สึกตนเอง ว่ากล้าพอไหมที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเขา นั่นดูเหมือนกล้าหาญใช่ไหม? แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย ชีวิตของเขาแทบไม่มีความสุข เวลาว่างเขาก็ได้แต่นึกถึงช่วงเวลาเก่าๆที่ทำให้เขายิ้ม และที่สำคัญนะ เขาคนนั้นยังคงกลัวผี กลัวสัมผัสแปลกๆเหมือนเดิม รอคอยแต่เพียงให้ชายคนเดิมหวนกลับมา”
“แล้วตอนจบเป็นไง?”
“ตอบไม่ได้หรอก เพราะอีกฝ่ายยังไม่ยอมเล่านิทานให้ฟัง”
“งั้นก็รีบกินข้าว เดี๋ยวกูจะพากลับไปฟังตอนจบของนิทานนั่นเอง”บรรยากาศเดิมๆระหว่างกินข้าวเริ่มกลับมาจนทำให้ความรู้สึกของผมเหมือนถูกเติมเต็มไปด้วยสิ่งที่ขาดหาย ไอ้ภพนั่งกินไปพลางลอบมองผมไปด้วยอย่างผิดลักษณะ ต่างจากผมที่มักจะแอบจ้องมองมันเป็นประจำอยู่เสมอ ตั้งแต่ในบ้านร้างหลังนั้น จนแม้กระทั่งตอนที่เรานั่งข้างกันไปในรถตอนนี้
“แอบมองแบบนี้ไม่เบื่อหรือไง? มันก็มีแต่หน้าเดิมๆ”ไอ้ภพขับรถเลี้ยวเข้าไปจอดในบ้าน ก่อนจะหันใบหน้าของมันให้ผมจ้องมองเต็มๆตา
“แล้วมึงหละ แอบจ้องกูมากๆไม่เบื่อหรือไง?”
“ไม่เบื่อหรอก ไม่เคยเบื่อเลย ต่อให้ต้องจ้องทั้งชีวิต กูก็ไม่เบื่อ”
“เอ่อ…ภพ!! มึงไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า? ทำไมอยู่ดีๆมาพูดอะไรแบบนี้”
ผมอึ้งไปกับแววตาทอดหวานที่สื่อถึงผม ก่อนจะแสร้งถามมันไปเพื่อกลบเกลื่อนใบหน้าและมุมปากที่เริ่มยกยิ้มขึ้นมา แต่ผมยังยืนยันคำเดิมกับที่ถามไปเมื่อครู่ เนื่องจากไอ้ภพค่อนข้างเปลี่ยนไปมากจนผมตั้งตัวไม่ทัน ไอ้ภพมีนิสัยกวนๆแฝงอยู่ อันนี้ผมเข้าใจและรับรู้มาด้วยตนเอง แต่ไอ้ภพโหมดที่ปากตรงกับใจนี่ผมรับไม่ทัน เพราะถ้ามันไม่โกรธหรือกำลังอ่อนแอ มันไม่มีทางที่จะบอกความรู้สึกออกมาเด็ดขาด
“เขินรึไง? มึงบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าอยากให้พูดความรู้สึกออกมาก่อน”
รอยยิ้มปิดท้ายก่อนลงจากรถแทบจะทำให้ผมละลายหายไปกับเบาะ อานุภาพการทำลายล้างของไอ้ภพยังคงสูงและพร้อมจะจัดการผมได้ทุกเมื่อที่ได้เห็นมันยิ้มหรือหัวเราะ มันเดินนำผมเข้าไปในบ้าน เปิดไฟจนสว่าง เผยให้เห็นพื้นที่ซึ่งเคยสะอาด รกไปด้วยเศษกระดาษหรืองานที่มันขนกลับมาทำ
“โห งานยุ่งขนาดนี้ยังมีเวลาไปโทรเล่าเรื่องผีอีกนะ..แล้วนี่อะไร เอาหนังสือพิมพ์มาตัดเล่นทำไมเนี่ย”
ไอ้ภพยิ้มน้อยๆให้กับผมก่อนที่จะแยกตัวไปยังโต๊ะทำงานซึ่งตั้งไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไรนัก หยิบสมุดเล่มหนาขึ้นมาพร้อมกับลากกีตาร์ที่ผมไม่เคยเห็นติดมือมาด้วย มันสั่งให้ผมนั่งลงอยู่ตรงโซฟากลางบ้าน แล้วจึงไปลากเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งด้านหน้าผม ก่อนที่สมุดบนมือไอ้ภพนั้นจะถูกจับยัดลงบนมือผมแทน
“ลองเปิดอ่านดูนะ ตอนจบของนิทาน มันอยู่ในนั้นแหละ”
ไอ้ภพพูดทั้งที่นั่งจับสายกีตาร์ไปเรื่อยๆ นำให้คิ้วของผมเลิกสูงด้วยความสงสัย แล้วจึงตัดสินใจเปิดสมุดพวกนั้นดู เนื้อความข้างในทำผมตาค้างไปพร้อมใจที่เต้นรัว น้ำตาเริ่มไหลซึมขึ้นมาคลอหน่วย จนมือที่ถือสมุดสั่นไปหมด
ภาพตัดปะรูปผมจากในกระดาษหนังสือพิมพ์รวมทั้งภาพที่แอบถ่ายผมจากระยะไกล ถูกนำมาแปะไว้ในกระดาษทีละหน้าพร้อมคำบรรยายที่กล่าวถึงความรู้สึกของมันที่มีต่อตัวผม วินาทีนั้นผมต้องพยายามกลั้นเสียงสะอื้นทุกครั้งที่หน้าสมุดค่อยๆพลิกไป ไอ้ภพพยายามถ่ายทอดทุกอย่างออกมาตั้งแต่วันแรกที่เราสองคนได้พบกัน ผ่านมุมมองทางความรู้สึกที่ผมไม่เคยรู้ ภาพแอบถ่ายรูปของผมคือสิ่งที่บอกว่าไอ้ภพ ไม่เคยห่างไปจากผมเลย มันพยายามใช้เวลาส่วนหนึ่งติดตามผมโดยไม่แม้แต่จะเข้าหาหรือทักทาย
“ถ้าคิดถึงกู…ทำไมไม่เข้าไปหา ไม่เห็นหน้ากูหรือไงว่ามันไม่มีความสุข”
“เพราะกูไม่เคยรู้เลยว่ามึงเป็นอะไร ทำไมถึงหนีกูไปทั้งอย่างนั้น…กูเลยไม่กล้าพอที่จะเดินเข้าไปหา กูกลัวจะทนไม่ได้ถ้ามึงจะหนีกูไปอีก”
“เลยโทรไประบายในรายการผีอย่างนั้นเหรอ คิดว่าเท่รึไง”ผมเงยหน้ามองมันด้วยอารมณ์ที่รู้สึกผิด เสียงของมันดูเลื่อนลอยและเจ็บปวดมากยามที่กล่าวถึงตอนนั้น ผมจึงต้องหาทางเพื่อแก้ไขความรู้สึกของไอ้ภพตอนนี้
“เท่ไม่เท่ไม่รู้หรอก ความพอใจของกูมีเพียงการรับรู้ว่ามันพามึงกลับมาได้”
ผมยิ้มให้กับความคิดแบบเด็กๆของมัน ก่อนจะเอื้อนเอ่ยคำขอโทษที่กลั่นออกมาจากใจมากที่สุด ไอ้ภพมองหน้าผมแล้วจึงยิ้มขึ้นมาทั้งตาและปาก บ่งบอกให้ผมรับรู้ว่ามันมีความสุขมากที่ได้อยู่ข้างกันกับผม จนครู่หนึ่งที่เราต่างนั่งกุมมือให้อารมณ์ของทั้งคู่สัมผัสกัน ไอ้ภพก็ยื่นมือเข้ามาเปิดไปยังหน้าหนึ่งซึ่งมีเพียงรูปตัดแปะไว้พร้อมแววตาที่หม่นแสง มันเป็นรูป ของผมและไอ้วุฒิที่กำลังเดินกลับออกจากสถานที่นัดสอบปากคำ
“กูเจ็บนะ…ทุกครั้งที่เห็นรูปนี้”
“มันไม่มีอะไรหรอกนะภพ ผู้ชายในรูปเขาคือเพื่อนสนิทของกู เป็นคนที่คอยอยู่ข้างกู ในวันที่กูกลายเป็นตัวประหลาดของมหาลัย”
“กูรู้แล้วหละ แต่รู้ไหม? พอได้ยินมึงพูดแบบนี้ กูยิ่งอิจฉาเขา หน้าที่นั้นกูยังอยากทำมันทุกเวลานะ”
“ไม่ต้องอิจฉาหรอกภพ สิ่งที่เพื่อนกูทำมันเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะในรูปนี้หรือในอดีตที่ผ่านมา พวกกูก็อยู่ข้างกันมาเสมอ แต่สำหรับมึง มันเป็นสิ่งพิเศษ เพราะกูไม่สามารถไปเคียงข้างใครอย่างที่ทำกับมึงได้อีก”
“ไม่ต้องมาพูด แล้วมองกูแบบนั้น กูเขิน…อยากรู้ไหมว่าทำไมหน้านี้มันถึงไม่มีตัวหนังสือเขียนไว้?”
“อืม ทำไมถึงเว้นไว้หละ?”
“เพราะที่ว่างตรงนั้นมันมีไว้ให้มึง ได้เขียนความจริงที่จะลบความเจ็บปวดของกู”ไอ้ภพเลื่อนใบหน้าเข้ามากระซิบข้างหูจนทำให้กายผมร้อนผ่าว วันนี้หัวใจผมต้องเต้นถี่จากการกระทำของไอ้ภพไปไม่รู้กี่ร้อยครั้ง และดูเหมือนว่าไอ้ภพจะจับสัมผัสอาการเขินอายของผมได้ มันจึงไม่รอช้าที่จะคว้าเอากีตาร์ตัวโปรดขึ้นมา แล้วเริ่มบรรเลงเมโลดี้เพลงรักหวานหูหลายต่อหลายเพลงที่สะกดให้ตาของผมจ้องมองเพียงแต่หน้าของมัน
“Would you be my nightmare?”หลังจากท่วงทำนองสุดท้ายของเพลงหมดไป ไอ้ภพก็ลุกขึ้นมานั่งจ้องหน้าใกล้ๆผม ก่อนที่เสียงนุ่มทุ้มชวนฝันจะถามคำถามให้ผู้ฟังรู้สึกไม่เข้าใจ ความหมายของมันไม่อาจสร้างภาพชวนเพ้อให้ผมตอบตกลงมันไปโดยไม่ทันได้คิด
“ฝันร้าย? หมายถึงอะไรอย่างนั้นเหรอ”ผมขมวดคิ้วถามเสียงแผ่ว ก่อนที่ริมฝีปากเปื้อนยิ้มของมันจะเริ่มคลายข้อสงสัย
“เวลาที่คนเราฝัน หลายคนก็อยากจะเห็นสิ่งดีๆที่เกิดขณะหลับ แต่พอลืมตาขึ้น เกือบทุกคนมักจะจำไม่ได้ว่าเขาฝันถึงอะไร ซึ่งต่างจากฝันร้ายที่ถึงจะไม่อยากเจอแค่ไหน พอได้ลองฝันไปแล้ว มันก็ต้องติดหัวติดตาไปตลอดแม้กระทั่งเราตื่นขึ้น ไม่ต่างไปจากมึง ที่แรกเริ่มกูก็ไม่ได้อยากเจอหน้า พอได้มาอยู่ด้วยกัน มึงก็กลายมาเป็นภาพที่ติดหัวอยู่ตลอด แม้ครั้งหนึ่งมึงจะทำให้กูตื่นโดยการเดินจากไป”
“ถ้ามันไม่ดีต่อใจมึงขนาดนั้น จะอยากได้ความฝันนั้นกลับมาอีกทำไม?”
“เพราะกูรู้ว่าอะไรที่กูต้องการ ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นฝันร้ายที่สร้างเรื่องราวให้กูมากมาย แต่กูก็ยังอยากจะฝัน เพื่อสานต่อทุกอย่างให้จบ”
“แน่ใจแล้วใช่ไหม? ว่าปลายทางสุดท้ายจะอยากทิ้งมันไว้กับกู”
“อืม ปลายทางของกู…มันมีแค่มึงมาตั้งนานแล้ว”คำพูดสุดท้ายของไอ้ภพได้ทำให้โลกของผมกลับมาเป็นปกติ เหตุการณ์ตอนวันเกิด เป็นเรื่องที่ทุกคนจงใจให้เกิดขึ้น เนื่องจากทุกคนได้ฟังเรื่องราวการตามหาและเริ่มเดาได้ว่าผมเป็นอะไร ไอ้วุฒิจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ถูกนำมาช่วยเหลือผม จนทำให้วันนี้พวกผมสองคนมีโอกาสได้กลับมาทำบุญด้วยกันอีกครั้งหลังจากที่จบรายการนั้นมา
“ร้อนเหรอ มึงอยากกลับเลยไหม?”ผมหันไปถามไอ้ภพที่นั่งทอดสายตาไปเงียบๆ หลังจากที่พากันมานั่งให้อาหารปลา
“หืม? เปล่าหรอก กูแค่นึกถึงตอนที่มึงกับกูไปหาน้ำเก้าวัด จำได้ไหม? มันจะมีอยู่วัดหนึ่งที่มีบึงแบบนี้ ตอนนั้นกูอยากพามึงไปนั่งให้อาหารปลาแบบนี้มากเลย”
“วันนี้ก็พามาแล้วไง ไม่ต้องคิดมากเป็นคนแก่แล้วนะ”
ผมหัวเราะให้กับท่าทีแปลกๆของมัน ก่อนจะหันไปมองหน้าคนที่พึ่งบอกว่าไม่ร้อน เหงื่อมากมายไหลซึมออกมาจนชุ่มใบหน้า กระดาษทิชชู่ในกระเป๋าจึงถูกผมหยิบขึ้นมาซับเอาน้ำใสๆออกไปจากหน้ามันโดยอัตโนมัติ รั้งให้ใบหน้าของมันหันกลับมามอง พลางขยับเข้ามาใกล้จนปลายจมูกแทบชิดกัน
“หยุดเลย ภพ นี่ในวัดในวามึงจะมาทำอะไรแบบนี้เนี่ยนะ?”ผมขยับใบหน้าถอยห่างออกมาได้เพียงนิด เนื่องจากไอ้ภพใช้มือของตนเองมารั้งเอาไว้
“แล้วไง ตอนกูช่วยมึงกลับมา กูก็ทำในวัดเหมือนกัน”
“มึงทำอะไรกู?”
ไอ้ภพยักไหล่เบาๆอย่างไม่สนใจ ก่อนที่ใบหน้าของมันจะเลื่อนเข้ามากระซิบประโยคบางอย่างที่ข้างหูผม หลังจากนั้นลมหายใจของผมก็ถูกช่วงชิงไปโดยไอ้ภพทันที รสจูบที่ไอ้ภพมอบให้ไม่ได้ดูดดื่มหรือเร่าร้อนอย่างในหนัง หากแต่มันกลับส่งผ่านความรู้สึกมาให้ผมได้ทั้งหมด หวานหอมเสียจนร่างกายผมไม่ต่างกับถูกผนึกให้อยู่ข้างกายไอ้ภพไปชั่วนิรันด์
“ถ้าอยากรู้…ก็คอยดูแล้วกัน”THE END
เอาตอนสุดท้ายของภพมิว มาให้แล้วนะครับ ยอมรับเลยว่าผมค่อนข้างใจหายที่ต้องเขียนคำว่า The end แทนคำว่า TBC
แต่ถึงอย่างไร เกมชีวิตของภพมิว ก็ต้องฝ่าฟันกันไปต่อ พวกเขาจะยังคงมีชีวิตอยู่ภายใต้เล้าแห่งนี้ เดินขนานไปกับการใช้ชีวิตของทุกคน ฉะนั้น หากวันใดที่ทุกคนคิดถึงความทรหดของคู่นี้ ก็ให้เข้ามาเจอกันในนี้นะครับ ไม่ก็ซื้อหนังสือได้ 55555
ก่อนอื่นเลย ต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกคนเป็นอย่างมากนะครับ ที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งให้นิยายเรื่องเเรกในชีวิตของผมเต็มไปด้วยความทรงจำมากขนาดนี้ หลายคนคือนักอ่านที่ผมคุ้นหน้ามาตั้งแต่ลงตอนแรกและอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนสุดท้าย หลายคนคือนักอ่านหน้าใหม่ที่เข้ามาให้กำลังใจผมมากขึ้นเรื่อยๆ ขอขอบคุณเป็นอย่างมากนะครับ มันเป็นกำลังใจให้ผมมากเลย ส่วนคำชมต่างๆ ผมจะเก็บมาเป็นกำลังใจในการเขียนงานเรื่องต่อๆไปนะครับ ผมยังมีข้อผิดพลาดอีกมาก สัญญาเลยว่า ถ้ามีโอกาสได้เขียนเรื่องหน้าอีกครั้ง ผมจะทำให้ดีกว่าเดิม จะพัฒนาภาษาให้แข็งขึ้นกว่าเดิมด้วยครับ
ตอนสุดท้ายนี้ ผมตั้งใจเขียนออกมาให้ดีที่สุด เพื่อตอบแทนคำติชมของทุกคน ถูกใจไม่ถูกใจยังไง ขอโทษนะครับ ผมเชื่อว่าสำหรับตอนจบแบบนี้มันดีสำหรับคนทั้งคู่แล้วครับ
รักนักอ่านทุกคนมากๆครับ
P-Rawitลืมบอกครับ 5555 ผมจะมีตอนพิเศษลงเว็บให้อีกตอนนะครับ มารอดูกันว่าจะเป็นเรื่องราวของอะไร ส่วนที่เหลือจะอยู่ในหนังสืออีกสามตอนนะครับ