พิมพ์หน้านี้ - NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: P-Rawit ที่ 27-12-2016 14:38:33

หัวข้อ: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 27-12-2016 14:38:33
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.เรื่องสั้นให้จั่วคนว่าเรื่องสั้นด้วยนะครับ และนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


Nightmare Game

**** โปรดใช้วิจารณญาณขณะอ่าน ****

-  ตัวละครและสถานที่เป็นสิ่งที่เกิดจากจินตนาการผู้แต่งไม่เกี่ยวกับสถานที่จริงแต่อย่างใด -




สารบัญ

บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3544379#msg3544379)

ตอนที่1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3544401#msg3544401)

ตอนที่2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3544547#msg3544547)

ตอนที่3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3546600#msg3546600)

ตอนที่4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3549563#msg3549563)

ตอนที่5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3551527#msg3551527)

ตอนที่6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3554632#msg3554632)

ตอนที่7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3556697#msg3556697)

ตอนที่8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3559574#msg3559574)

ตอนที่9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3561711#msg3561711)

ตอนที่10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3564483#msg3564483)

ตอนที่11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3568812#msg3568812)

ตอนที่12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3573696#msg3573696)

ตอนที่13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3578626#msg3578626)

ตอนที่14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3583865#msg3583865)

ตอนที่15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3593346#msg3593346)

ตอนที่16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3597546#msg3597546)

ตอนที่17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3601425#msg3601425)

ตอนที่18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3605925#msg3605925)

ตอนที่19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3609923#msg3609923)

ตอนที่20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3614251#msg3614251)

ตอนที่21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3618638#msg3618638)

ตอนที่22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3623057#msg3623057)

ตอนที่23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3627411#msg3627411)

ตอนที่24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3632305#msg3632305)

ตอนที่25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3636405#msg3636405)

ตอนที่26 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3640523#msg3640523)

ตอนที่27 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3644490#msg3644490)

ตอนที่28 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3648605#msg3648605)

ตอนที่29 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3653027#msg3653027)

ตอนที่30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3657190#msg3657190)

ตอนพิเศษ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57092.msg3663308#msg3663308)

หัวข้อ: Re: ์NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: บทนำ
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 27-12-2016 14:51:51
บทนำ


"Horror house กลับมาแล้ว พบกับเกมส์โชว์ที่เป็นกระแสโด่งดังจากความน่ากลัวและความสยองขวัญ ขอเชิญเหล่าผู้กล้าที่ชอบความท้าทายและความตื่นเต้นเข้าร่วมแข่งขันเพื่อชิงเงินรางวัลกว่า 400,000บาท เท่านั้นยังไม่พอปีนี้เกมส์ของเรายังได้เพิ่มของขวัญเล็กๆน้อยๆให้แก่ผู้ที่สามารถอยู่จนจบได้ หากท่านแน่จริงก็สมัครเข้ามาร่วมกันเยอะๆ แล้วเราจะรอ…."

"400,000 บาทเลยหรอ? กูจะรวยแล้วงั้นดิ ? น่าสนใจดี…"

คำเปรยของโฆษณาบนเว็บไซต์แห่งหนึ่ง  ได้หลอกล่อให้ผมติดกับดักเข้าอย่างจัง จากเงินจำนวนมากมายนั่นและรูปแบบเกมส์ที่ค่อนข้างแปลกเกินไปสำหรับผม ทำให้ผมติดอยู่กับหน้าเว็บนี้มาได้ร่วมชั่วโมงเพียงเพื่อต้องการอ่านข้อมูลให้ชัดเจนและแน่ใจว่าไม่ได้อ่านผิดพลาด


หากจะพูดถึงตัวเกมส์ คนทั่วๆไปเช่นผมก็รู้แค่ว่าเป็นเกมส์ที่ดังมากเกมส์หนึ่ง เป็นกระแสอยู่ในโลกของ internet  มียอดรับชมและยอดสมัครค่อนข้างสูงทุกปี แต่ถ้าจะให้บอกถึงข้อมูลเชิงลึกของเกมส์ ผมก็ไม่สามารถบอกได้ อาจเพราะในปีก่อนๆผมไม่ได้สนใจมันเท่าไรนัก หรืออาจเพราะผมไม่ได้ต้องการเงินมากมายเท่าปีนี้


ผม นาย ภวัต สุขุมชัยการ หรือ เรียกผมสั้นๆว่า  "มิว"  ตอนนี้ผมเป็นนักศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน กทม นี่แหละครับ ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมของผม ผมจึงอยากหารายได้เสริมไปแสวงหาความสุขให้กับตัวเอง งานอดิเรกของผมคือการออกไปเล่นเกมส์โชว์ต่างๆเพื่อชิงของรางวัลที่น่าสนใจของแต่ละรายการครับ ได้บ้างไม่ได้บ้างแล้วแต่ดวงและความสามารถผมจะพาไป แรงจูงใจที่ทำให้ผมหันมาเล่นพวกนี้คือ เมื่อตอนผมปี 1 จำได้ว่าช่วงนั้นผมว่างมาก การเรียนยังไม่ค่อยหนักเท่าไร ผมจึง อยากหาอะไรทำแก้เบื่อไปจนไปเจอประกาศรับคนเข้าแข่งขันของรายการทีวีรายการหนึ่ง ด้วยมูลค่าสิ่งของค่อนข้างสูงและกติกาดูเล่นสบาย ผมจึงสมัครไป ปรากฎว่าเกมส์นั้นผมชนะและได้ของรางวัลมาผมจึงติดใจในความ “ง่าย” ของโชว์พวกนี้   horror house นี่ก็เช่นกัน…..

"ฮัลโหล ไอ้วุฒิ กูมิวนะ ได้ยินใช่มั้ย กูมีอะไรอยากถามมึงนิดนึง"

"เออได้ยิน มีไรวะมิว ปรึกษากับกูได้ทุกเรื่องแต่ถ้าเป็นเรื่องเงินๆทองๆ โปรดโทรเบอร์อื่นครับ กูก็ไม่มีจะแดก"

"สัส ฟังก่อนกูไม่ได้จะมาถามเรื่องเงิน กูจะถามมึงเรื่องเกมส์ horror house"

 ผมเลือกที่จะปรึกษาเพื่อนสนิทของผม มันเป็นคนที่ชอบดูเกมส์โชว์พวกนี้มาก แต่ไม่เคยสนใจที่จะเข้าร่วมเหมือนผม โดยให้เหตุผลว่า ถ้ามันออกไปเล่น จะมีหลายคนที่จำมันได้ ถ้ามันไปโชว์โง่บนนั้นจะเป็นตราบาปติดตัวมันไปตลอดชีพ

"…"

"ฮัลโหลไอ้วุฒิ มึงฟังกูอยู่ปะเนี่ย ได้ยินมั้ย"

"เออ กูฟังอยู่  ได้ยินด้วย"

"ได้ยินแล้วทำไมไม่ตอบกูวะ รู้จักมั้ยไอ้เกมส์ลึกลับเนี่ย กูไม่รู้ข้อมูลไรเลยสักอย่าง "

"เออ รู้จัก ว่าแต่มึงเถอะมิว ทำไมถึงอยากไปเล่นเกมส์นี้ กูขอได้มั้ยวะ อย่าไปเลย"

"ทำไมวะ..เกมส์นี้มันมีอะไร?"


เสียงไอ้วุฒิเปลี่ยนไปจนผมรู้สึกได้ เสียงมันดูกังวลและเป็นห่วงผมมากจนผมอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าทำไมมันถึงเลือกที่จะห้ามผมทั้งๆที่แต่ก่อนมันออกจะสนับสนุนให้ผมออกไปโชว์โง่ด้วยซ้ำ

"เอ่อ มันเป็นเกมส์ผีไงมึง ใช่ๆ มันเป็นเกมส์ผี น่ากลัวนะมึง มึงไม่กลัวผีหรอ"

"พ่องงงงงดิ เหตุผลแค่เนี้ยยยย กูก็รู้อยู่แล้วมั้ย นี่กูระดับไหนแล้ว อย่าห่วงดิ"

"มิว กูขอได้มั้ยวะอย่าไปเลย"

"อย่าไร้สาระหน่า บอกกูมาเถอะ แล้วกูจะตัดสินใจเองเรื่องจะไปไม่ไป"

"เออก็ได้ เกมส์นี้มัน…"

เมื่อผมกล่อมให้ไอ้วุฒิพูดข้อมูลเกมส์มาได้ ผมก็เริ่มที่จะคลิกเข้าหน้าเว็บไซต์เพื่ออ่านกฎและกติกาคร่าวๆของเกมส์นี้ แม้จะแปลกใจกับพฤติกรรมเพื่อนตัวเองไปบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความสนใจของผมลดลง สิ่งที่ไอ้วุฒิพูดก็มีลักษณะคล้ายๆกับสิ่งที่ผมกำลังอ่าน ผมจึงตัดสินใจได้ว่าไอ้เกมส์นี้มันก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร และเริ่มกรอกข้อมูลของตัวเองลงไป…

"ไอ้มิว มึงฟังที่กูพูดใช่มั้ยเนี่ย"

"ฮะ  เออๆ ฟังอยู่ดิ ที่มึงพูดมาแม่งก็ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวนี่หว่ามันก็กติกาเกมส์ทั่วๆไปไม่ใช่หรอวะ”"  ระหว่างตอบมันไปผมก็กรอกข้อมูลไปเรื่อยๆจนถึงข้อมูลสุดท้ายก่อนกด enter

"นี่มึง ฟังกูทั้งหมดจริงปะเนี่ย ไอ้สัส กูพล่ามมายาวมากมึงฟังอยู่นิดเดียวเนี่ยนะ  เกมส์นี้มันไม่ใช่เล่นๆนะไอ้มิว"

"งั้นมึงลองบอกความน่ากลัวสั้นๆมาให้กูฟังดิ เผื่อกูจะอยากเปลี่ยนใจ" ผมเลือกที่จะตอบส่งๆไปให้มันสบายใจว่าผมกำลังฟังมันอยู่ทั้งที่จริงแล้ว นิ้วมือของผมได้กด enter ส่งข้อมูลไปแล้ว  แต่คำพูดของไอ้วุฒิประโยคถัดมาก็ทำให้ผมรู้สึกว่าการไม่ฟังอะไรใครมันเป็นหายนะร้ายแรงมากกว่าที่คิด

เพราะอะไรหนะหรอ…

"น่ากลัวไม่น่ากลัวกูไม่รู้ แต่เกมส์นี้มันไม่เคยมีใครได้รางวัล…"



 



************************************************************************************
สวัสดีนักอ่านทุกคนนะครับ   ขอฝากนิยายเรื่องแรกของผมไว้กับทุกคนด้วยนะครับ

ผมยังไม่ชินกับการใช้เว็บ 555  ยังไงถ้าอ่านติดขัดหรืออะไรต้องขอโทษล่วงหน้านะครับ ผมจะพยายามปรับแก้ในตอนต่อๆไป

ขอบคุณล่วงหน้าครับ

หัวข้อ: Re: ์NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่ 1 ผู้ถูกเลือก ( 27/12/2559)
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 27-12-2016 15:37:21
ตอนที่1

ผู้ถูกเลือก


   น่าขำที่คำพูดไม่กี่คำของไอ้วุฒิจะสามารถกระตุ้นต่อมความกลัวของผมออกมาได้  “ ไม่เคยมีใครได้รางวัล” ประโยคนี้วนอยู่ในหัวผมซ้ำๆทุกวันหลังจากได้ยิน  มันน่าแปลกมั้ย? เกมส์นี้เป็นที่โด่งดังมานานหลายปี แม้ผมจะไม่ได้รู้จักเบื้องลึกเบื้องหลังของเกมส์แต่ก็มั่นใจได้ว่าเกมส์นี้เป็นที่รู้จักและมีคนสนใจมากมายเกินกว่าจะไม่เคยมีใครเอาชนะมันได้

หลังจากที่ผมตัดสินใจบอกไอ้วุฒิไปว่าผมสมัครร่วมแข่งขันไปแล้ว สิ่งที่ได้กลับมาคือบทสวดสารพัดสัตว์ที่ออกมาจากปากมัน พร้อมกับคำแนะนำให้ผมระวังตัวให้มากๆหากเป็นผู้ถูกเลือก  อย่างที่บอกไว้ครับว่าเกมส์นี้มันมีคนสมัครเยอะก็จริงแต่ระบบที่แปลกของมันคือจะคัดเลือกบุคคลเข้าร่วมแค่ปีละ 2 คนเท่านั้น โดยระบุชัดเจนว่าหากสุ่มได้ผู้หญิง ปีนั้นก็จะมีผู้หญิง2คนได้แข่ง แต่ถ้าหากเป็นผู้ชายก็จะมีผู้ชาย2 คนเข้าร่วมแข่งขันเช่นเดียวกัน 

กติกาของเกมส์นั้นง่ายมาก หากมองผ่านๆเพียงแค่อยู่ให้ถึง 30 วัน ในบ้านร้างที่มีประวัติ คุณก็จะได้รับรางวัลตามจำนวนที่กำหนดไว้ และของขวัญพิเศษของปีนี้คือถ้าหากมีใครคนหนึ่งถอนตัวไป ค่าหัวของคุณก็จะเพิ่มขึ้น ถ้าคุณไม่หัวใจวายตายไปหรือเป็นบ้าไปก่อนการแข่งขันจบเงินทั้งหมดจะเป็นของคุณทันที แต่หากมองให้ลึก เกมส์นี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับเอาชีวิตตัวเองไปแขวนไว้กับอันตราย ไม่มีใครรู้ว่าเราจะต้องเจอกับอะไร ไม่มีใครรู้ว่าบ้านที่เราไปอยู่จะปลอดภัยมากแค่ไหน และไม่มีใครรู้เลยว่าผู้ที่ผ่านเกมส์นี้มาจะยังคงมีตัวตนหรือไม่

“ไม่จริงหนะ!!! เรื่องล้อเล่นใช่มั้ย กูคงไม่ได้ซวยขนาดนั้นหรอกใช่มั้ย?”

ผมถึงกลับพูดไม่ออกเพราะหลังจากเปิดอีเมลเช็คความเคลื่อนไหวรายวัน กลับมีอีเมลฉบับหนึ่งถูกส่งมาจากเว็บ horror house มือของผมสั่นเกินกว่าจะเปิดมัน แต่อย่างที่เรารู้กันความจริงยังไงเราก็หนีไม่พ้น ผมจึงตัดสินใจทำใจกล้าเปิดดูเนื้อความที่ส่งมาว่า…

ถึง คุณภวัต สุขุมชัยการ
   ทางทีมงาน horror house มีความประสงค์จะแจ้งให้คุณทราบว่า คุณคือผู้ที่ถูกเลือกให้เข้าร่วมรายการของเรา โดยทางรายการของดการปฏิเสธการเข้าร่วมในทุกกรณี กำหนดวันนัดหมายขอให้คุณภวัตมาเจอกันที่ xx วันที่ xx เดือนxx ปี 2559 ในเวลา 08.00 น .  เพื่อจะได้เตรียมพร้อมสำหรับการพาไปยังสถานที่ที่เราจัดไว้ให้ร่วมเกมส์ ทางเราของดการพกเครื่องมือสื่อสารและของมีค่ามาทุกชนิด ส่วนสัมภาระส่วนตัวทางเราอนุญาตให้นำมาได้ เรื่องอื่นๆทางเราจะแจ้งให้คุณทราบภายหลัง
                                                                                       ขอแสดงความยินดีนี้ด้วย

**************************

วันที่ xx เดือน xx ปี 2559

ในเมื่อผมหนีความจริงไม่ได้ ก็คงต้องก้มหน้ายอมรับอย่างเดียว    หลายวันหลังจากที่ผมได้รับอีเมลฉบับนั้น ผมก็มีอาการจิตตกอย่างแรงครับ โทรไปหาไอ้วุฒิให้มันปลอบใจผมบ้างแต่ก็นั่นแหละไม่มีอะไรช่วยผมได้สักอย่าง จนสุดท้ายผมต้องนั่งบอกกับตัวเองว่า ผมไม่ได้ต้องเข้าไปอยู่บ้านหลังนั้นเพียงคนเดียว ยังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมกับผมอีกตั้ง1คน อีกทั้งหากผมทนอยู่ได้  เงินรางวัลมากมายก็จะเป็นของผม ผมจึงเบาใจได้มาก

วันนี้เป็นวันนัดของผมนอกจากอารมณ์กลัวที่ยังคงตกตะกอนอยู่ภายในใจของผม ก็ยังมีอารมณ์ตื่นเต้นเพิ่มขึ้นมาด้วยเนื่องจากวันนี้จะเป็นวันแรกที่ผมจะได้ไปเจอผู้เข้าแข่งขันอีกคนที่ผมถือว่าเค้าคือเพื่อนของผมตั้งแต่ยังไม่ได้เห็นหน้า  ผมจึงออกมาสถานที่นัดหมายก่อนเวลานัด หนึ่งชั่วโมงเพื่อปรับตัวให้ชินกับสถานการณ์ที่ต้องไปเผชิญและเตรียมพร้อมที่จะรู้จักกับ  "เพื่อน"  ใหม่

"สวัสดีครับ คุณ ภวัต ใช่มั้ยครับ"

"อ่า ใช่ครับ ผมภวัตครับ  เรียกผมว่า มิวเฉยๆก็ได้นะครับ"

"ได้ครับ คุณ มิว เฉยๆ"

"…."

"ล้อเล่น ครับ คุณมิว ผมไม่อยากให้คุณเครียดครับ 555 เดี๋ยวจะพาไปรู้จักผู้เข้าแข่งขันอีกคนด้านในนะครับ"

พ่องงงงงง!!!! นี่คือการล้อเล่นหรอ ถามใบหน้ากูรึยัง กูอยากเล่นด้วยมั้ย ?  แต่ก่อนที่ผมจะได้ทำการประทุษร้ายทีมงานทางความคิดนั้น  ผมก็ต้องวนกลับมาคิดกับคำพูดของทีมงานที่ว่าจะพาไปเจอผู้เข้าแข่งขันอีกคน
 
ตัวผมเองที่ว่าตื่นเต้นจนต้องรีบออกมานั้น ลึกๆแล้วก็ยังมีความกลัวรั้งเอาไว้ไม่ให้ออกมาเร็วมากเกินไปเพราะกลัวจะไม่มีโอกาสกลับบ้านมาสมประกอบอีก ผู้ชายอีกคนนั้นเค้าคิดอะไรอยู่ ? ทำไมถึงได้รีบออกมาเร็วนัก  ทำไมถึงได้อยากมาร่วมเกมส์ที่เต็มไปด้วยปริศนานี้ ไม่มีความกลัวอะไรบ้างหรอ  หรือไม่มีอะไรจะเสียแล้วถึงได้รีบออกมาขนาดนั้น ผมคิดของผมไปเรื่อยพร้อมๆกับเดินตามหลังทีมงานเข้าไปด้านใน

ด้านในที่ทีมงานว่านั้นถูกจัดแบ่งโซนเอาไว้สำหรับรับรองผู้ร่วมเกมส์นี้โดยเฉพาะ ทำให้สายตาของผมได้เห็นกับผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง ถ้าเดาจากใบหน้าแล้วก็น่าจะรุ่นเดียวกัน ท่าทางสุขุมและดูเข้าถึงยากขัดกับใบหน้าที่เรียกได้ว่า หล่อ ถึง หล่อมากครับ ผู้ชายคนนั้นดูนั่งเหม่อลอยอยู่กับโลกส่วนตัวของตัวเองท่ามกลางความวุ่นวายของทีมงานที่เร่งมือเตรียมของและโทรตามรถที่จะพาผู้เข้าแข่งขันไปส่งยังบ้านที่ถูกจัดไว้ ท่าทางนิ่งๆยังคงแสดงออกมาจนกระทั่งถูกรบกวนด้วยเสียงของทีมงานจึงทำให้ผู้ชายคนนั้นรู้สึกตัว

"คุณ มิวครับ นี่คือคุณเอกภพ ผู้เข้าแข่งขันอีกหนึ่งคนครับ"

คุณเอกภพที่ว่าหลังจากถูกเอ่ยชื่อแล้ว ก็หันหน้ามามองผมด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ติดไปทางแข็งจนน่ากลัว เค้ามองผมเพียงแค่นั้นแล้วก็หันหน้ากลับไปยังมุมเดิม

"เอ่อ ….คุณมิวตามสบายเลยนะครับ ถ้าถึงเวลาแล้วผมจะมาเรียกอีกที" ทีมงานบอกผมแค่นั้นก็เดินออกไปจากโซนรับรอง ทิ้งให้ผมอยู่กับความกดดันจากพฤติกรรมของผู้ชายอีกคนที่ผมค่อนข้างขัดใจ แต่ก็นั่นแหละใจดีสู้เสือเข้าไว้ยังไงเราก็ต้องอยู่ร่วมกันอีกยาว

" สวัสดีครับ คุณเอกภพ  ผม ภวัตนะครับ เรียกผมสั้นๆว่ามิวก็ได้ครับ "

เงียบ…………..

"เอ่อ คุณเอกภพ มีชื่อเล่นสั้นๆมั้ยครับ เราอายุน่าจะใกล้ๆกัน ผมอยากให้เราสนิทกันมากขึ้น"

เงียบ…………..

"คุณเอกภพมาเร็วดีนะครับ  ไม่กลัวมั่งหรอ"

เงียบ……………

และยังคงเงียบกับอีก แปดแสนล้านคำถามที่ผมขุดมาเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี จนกระทั่ง

"โว้ยยยย ไอ้คุณเอกภพ  มึงจะเงียบอีกนานมั้ยวะ  มีใครเคยบอกมึงมั้ยว่าใครถามอะไรก็ตอบตามมารยาทมั่งกลัวจนเป็นบ้าไปแล้วรึไง!!"

จบประโยคนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าผมไปพลาดตรงไหนแต่สิ่งที่ได้กลับมาทันทีคือตาที่แข็งกร้าวมากๆ จนทำให้ผมที่กำลังโมโหถึงกับสะดุดกับความน่ากลัวนั่น  พร้อมกับคำพูดที่แปร่งไปด้วยความไม่พอใจ

"มึงว่าใคร!!"

"ก..ก็คุณไม่ตอบผมเลยสักคำถามอ่ะ จะให้ผมพูดอยู่คนเดียวรึไง!!"  หลังจากตกใจได้แปปเดียวเท่านั้น หมาในปากผมก็เริ่มทำงานทันที มันน่าโมโหมั้ยหละ ปล่อยคนอื่นพล่ามมาเป็นร้อยประโยค ตัวเองนั่งทำเอ็มวีในโลกส่วนตัวจนคนอื่นเข้าไปไม่ได้

"ได้ อยากรู้ใช่มั้ยกูชื่ออะไร  กูชื่อภพ แล้วสิ่งที่กูต้องการจะบอกมึงคือ ถอนตัวไปซะ ตั้งแต่ตอนนี้ถ้ามึงไม่อยากทิ้งชีวิตที่เหลือของมึง"

"วะ..ว่าไงนะ มึงจะฮุบเงินคนเดียวรึไงถึงอยู่ดีๆ มาไล่ให้กูกลับไปอ่ะ  แล้วไง มึงอยู่มึงพร้อมจะทิ้งชีวิตหรอ"หมดแล้วครับความสุภาพที่ผมใช้กับไอ้ภพ  แม้จะรู้สึกแคลงใจกับแววตาของมันกับน้ำเสียงที่อ่อนลงตอนมันพูดประโยคหลังกับผม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมหายหงุดหงิดได้

"หึ พร้อมมากกว่ามึงแล้วกัน"

หลังจากจบประโยคชวนน่าสงสัยของมัน ผมก็ไม่มีโอกาสได้เถียงอะไรกับมันต่อ เนื่องจาก ทีมงานได้เดินมาบอกกับพวกผมว่ารถที่จะพาผมไป พร้อมแล้วให้ผมกับไอ้ภพ นำสัมภาระที่เตรียมมาไปเก็บไว้บนรถได้ และยังบอกให้ผมรีบทำธุระส่วนตัวให้เสร็จในอีก 10 นาที เนื่องจากการขับรถไปนั้นจะจอดอีกครั้งคือเมื่อถึงที่หมายเท่านั้น

ก่อนนำสัมภาระไปวางทีมงานได้ขอตรวจค้นกระเป๋าของผมและไอ้ภพก่อน โดยได้กล่าวคำขอโทษพร้อมบอกว่ามันเป็นกฎที่ต้องทำและพวกผมต้องปฏิบัติตาม ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ยังไงซะก็ไม่มีใครคิดจะโกงในเกมส์นี้อยู่แล้ว

เมื่อรถเคลื่อนตัวออกไปนั้น ผมได้สังเกตว่ามีทีมงานที่ขึ้นมาด้วยแค่ 2 คน โดยได้บอกว่าเป็นตัวแทนขึ้นมารับประกันความปลอดภัยว่าจะไม่มีการพาไปทำอันตรายอย่างแน่นอนและยังได้ขึ้นมากำชับกฎกติกาอีกครั้ง พร้อมกับบอกถึงประวัติของบ้านที่ผมไปอยู่อย่างคร่าวๆ  ทางทีมงานบอกกับผมว่า บ้านที่ผมจะไปอยู่นั้นเดิมทีเป็นบ้านเก่าที่เกิดคดีฆาตรกรรมหมู่ภายในบ้าน มีคนตายในบ้านหลังนั้นถึง 7ศพ กว่าจะมีคนสงสัยถึงการสูญหายและไปพบ ศพก็แทบจะไม่เหลือเค้าเดิมของความเป็นมนุษย์ปกติแล้ว  ทางผู้จัดการเกมส์ปีนี้จึงได้ลงทุนรีโนเวทบ้านหลังนี้ใหม่ให้พร้อมเป็นสถานที่ถ่ายทำแก่ผู้ร่วมเกมส์ ซึ่งก็คือพวกผม

"ขอสอบถามได้มั้ยครับ ว่ารายการนี้จะนำเสนอพวกผมยังไง"
"ทางเรารู้แค่ว่า ชีวิตของพวกคุณจะถูกถ่ายทำผ่านกล้องวงจรปิดที่ถูกติดไว้ในบ้านเท่านั้น ส่วนรายละเอียดจะมีคนบอกคุณอีกที"

หลังจากจบคำถามผมก็ปล่อยตัวของผมให้จมกับความรู้สึกของตัวเองไป เนื่องจากถ้าอยากรู้อะไรมากกว่านี้คงต้องรอให้ถึงเพียงอย่างเดียว ระหว่างนั่งรถพร้อมกับมองวิวข้างทางไปเรื่อยๆนั้น ผมรู้สึกว่าข้างทางที่ผมกำลังผ่านไปเต็มไปด้วยป่ามากขึ้น  จากตอนแรกที่มีบ้านคนเรียงรายอยู่มากมายคาดว่าคงกำลังเดินทางไปต่างจังหวัด อีกทั้งเมื่อหันกลับมามองไอ้ภพที่นั่งติดๆกับผม  ผมก็รู้สึกว่าสีหน้าของมันเปลี่ยนไป ผมไม่แน่ใจว่ามันกลัวเรื่องสถานที่หรืออะไร เพราะตั้งแต่ออกมาจากที่นัดหมายมันก็ยังคงไม่คลายใบหน้าที่เหมือนคนคิดอะไรตลอดเวลาอีกทั้งยังเครียดมากขึ้นด้วยเมื่อมันได้ฟังถึงประวัติของบ้าน

"ตื่นๆครับ คุณมิว ถึงแล้วครับ"

ผมเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ รู้แค่ว่าระยะทางที่มามันต้องไกลมากแน่ๆเพราะผมรู้สึกว่าตัวเองได้พักผ่อนเต็มอิ่มมาก จะหันไปดูว่าไอ้ภพมันหลับด้วยรึเปล่าก็ต้องแปลกใจที่ไม่เห็นมันนั่งอยู่บนรถแล้ว

"แล้วไอ้ เอ่อ คุณภพไปไหนแล้วหละครับ"

"อ๋อ คุณเอกภพลงไปรอข้างล่างแล้วนะครับ สัมภาระที่คุณมิวเอามาก็ถูกนำออกไปวางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เชิญคุณมิวลงรถได้เลยครับ"

"ขอบคุณมากครับ"

เมื่อลงมาจากรถสิ่งที่ผมสังเกตเห็นคือ หลังไอ้ภพที่ยืนนิ่งมองบ้านหลังนั้น พร้อมกระเป๋าสัมภาระของผมกับมัน และบ้านสองชั้นหลังหนึ่ง ภาพรวมของบ้านหลังนั้น ถ้ามองข้ามเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ก็ถือว่าน่าอยู่มากครับ เป็นบ้านที่มีสวนอยู่หน้าบ้าน และยังมีโต๊ะเล็กๆตั้งไว้ในสวน และยังแฝงไปด้วยความสงบเนื่องจากบ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ตั้งเดี่ยวๆไว้ไม่ติดกับบ้านหลังใดเลยครับ เอกเทศมาก แต่ก็มีเรื่องน่าสงสัยอยู่ไม่น้อยนะครับสำหรับผม ผมว่าบ้านหลังนี้มันใหม่มากครับ ใหม่เกินกว่าจะเรียกว่าบ้านรีโนเวท

ผมที่กำลังตั้งข้อสงสัยอยู่กับบ้านหลังนั้นและกำลังจะเดินไปยืนข้างๆไอ้ภพ ก็ถูกเรียกโดยทีมงาน

"เดี๋ยวครับคุณมิว"

"มีอะไรหรอครับ?"

"ฝากย้ำกับคุณเอกภพอีกทีด้วยนะครับ เรื่องกฎและกติกาให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดนะครับ"

"ได้ครับ" ผมยิ้มให้กับทีมงานและเตรียมจะเดินต่อถ้าไม่มีเสียงของทีมงานคนเดิมแทรกขึ้นมา

"ผมขอเตือนอีกอย่างนะครับคุณมิว อะไรที่คุณสงสัยได้โปรดเก็บไว้จนจบเกมส์ด้วยครับ อย่าพยายามหาข้อสงสัย หรือ หาความเป็นไปได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น ยิ่งคุณหาสิ่งที่คุณจะพบคือทางตันของชีวิตคุณเองนะครับ"

เสียงเตือนที่พูดราวกับกลัวจะมีใครได้ยินนั้น ได้ดึงความสนใจให้ผมหันกลับไปมองที่ทีมงานคนนั้น จนได้เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความสั่นกลัวก่อนจะกลับมายิ้มให้ผมเป็นปกติราวกลับว่าอาการที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คือภาพลวงตาที่ผมคิดไปเอง

"Good Luck ครับคุณมิว" ทีมงานอวยพรผมเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ออกรถกลับไป ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงผมกับไอ้ภพที่อยู่กับบ้านหลังนี้

ผมเดินเข้าไปยืนข้างๆไอ้ภพที่กำลังมองบ้านหลังนั้นอย่างไม่วางตาแม้สีหน้าของมันจะดูเป็นมิตรมากขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมสามารถเข้าถึงตัวมันได้เลย

"แปลก" อยู่ดีๆมันก็เปล่งคำพูดออกมา จนผมที่กำลังสนใจสภาพแวดล้อมต้องหันมาหามัน

"แปลก? อะไรที่แปลก"
 
"ไหนทีมงานบอกว่า จะมีคนมาบอกถึงรายละเอียดอีกที"

มันตอบกลับผมแบบลอยๆ เหมือนมันพูดกับตัวเองมากกว่า แต่นั่นก็ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพราะเหตุผลที่ผมยังคงยืนอยู่หน้าบ้านหลังนี้ก็เพราะความสงสัยแบบเดียวกับมัน  เหตุใดถึงยังไม่มีใครมาบอกรายละเอียดของการถ่ายทำและการใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้

"พ่อหนุ่ม" เสียงเรียกของชายแก่ดูใจดีคนหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้ผมกับไอ้ภพต้องหันกลับไปหาที่มาของเสียง

"ขอโทษด้วยนะที่ลุงมาช้า  รอกันนานมากมั้ย"

"ไม่นานครับ" ผมตอบรับลุงไปโดยไม่ปรึกษาความเห็นไอ้ภพ กลัวอารมณ์แปรปรวนของมันจะสร้างความเดือนร้อนให้เราทั้งคู่

"โอเค เพื่อไม่ให้เสียเวลานะ ลุงจะอธิบายกฎหลักของบ้านหลังนี้ตั้งใจฟังด้วยหละ"

"ครับ"

หลังจากผมฟังลุงอธิบายจบ ลุงก็ขอตัวกลับไปยังบ้านพักของตนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านแห่งนี้ ผมกับไอ้ภพจึงได้ขึ้นมาเก็บของบนห้องนอนชั้นสอง  บ้านหลังนี้เราต้องนอนด้วยกันครับ มีเพียงหนึ่งเตียงและหนึ่งห้องนอนเท่านั้น แม้จะยังอึดอัดอยู่บ้าง แต่ด้วยท่าทีของไอ้ภพที่ไม่ได้ก้าวก่ายกับการร่วมเกมส์ของผมอีก ผมจึงวางใจที่จะอยู่ได้

คุณลุงแกแนะนำตัวว่าแกชื่อมั่น เข้ามาเพื่อจะบอกรายละเอียดว่า ตอนนี้ผมและไอ้ภพได้ถูกบันทึกภาพไว้แล้วตั้งแต่มาถึงด้วยกล้องวงจรปิดที่ถูกติดไว้ตรงบริเวณหน้าบ้าน  ในแต่ละวันพวกผมต้องอยู่แต่ภายในบ้านหลังนี้เท่านั้น ตอนกลางวันสามารถออกมาพักผ่อนบริเวณหน้าบ้านได้ แต่ก็ห้ามออกจากเขตบ้าน  ส่วนตอนกลางคืน พวกผมต้องอยู่แต่เพียงในบ้านเท่านั้น ห้ามออกมานอกประตูโดยเด็ดขาด อีกอย่างคือ จะมีผู้ดูแลบ้านอีกคนนอกจากคุณลุงเข้ามาเพื่อนำอาหารสดเข้ามาเติมตู้เย็นให้ สิ่งที่พวกผมต้องทำมีแค่ ในตอนกลางคืน จะมีภารกิจบางอย่างให้พวกผมทำเพื่อท้าทายผีในบ้านและทำอาหารกินเองแค่เท่านั้น

"กี่โมงแล้ววะเนี่ย"ผมบ่นกับตัวเองเพราะท้องของผมเริ่มประท้วง เนื่องจากไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า ผมจึงเริ่มหาอาหารสดมาทำ ด้วยความที่ผมอยู่หอเรื่องการหาอาหารกินจึงเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับผมมาก เมนูไม่ได้วิเศษอะไรแต่ก็พอเลี้ยงปากท้องตัวเองโดยที่หมาไม่เมินได้ วันนี้ผมเลยทำกระเพราหมูสับ กับไข่เจียวแค่สองอย่าง พร้อมหุงข้าวไปด้วย เมื่อทุกอย่างเสร็จ ผมจึงตัดสินใจที่จะไปเรียก เพื่อนร่วมโลกของผมมากินด้วย

"ไอ้ภพ"

"ไอ้ภพพพ"

"ไอ้ภพพพพพพพพพ มึงอยู่ไหนนนนนนน"  ผมเรียกหามันจากน้ำเสียงธรรมดาจนต้องตะโกน ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากมัน 

"ไอ้เหี้ยภพ อยู่ไหนวะ ไม่เล่นนะ" ความกลัวเริ่มเข้ามาครอบงำทันที เมื่อผมเรียกเท่าไรไอ้ภพก็ไม่ตอบ ลองนึกภาพตามนะครับ ภายในบ้านกว้างๆหลังหนึ่ง ที่ถูกจัดวางด้วยของเก่าเป็นเฟอร์นิเจอร์ มีแค่ผมที่กำลังเดินเรียกไอ้ภพและถูกบันทึกภาพอยู่ภายในบ้าน เหยียบบนพื้นที่ตายของใครรึป่าว ผมก็ไม่รู้ เดินจนทั่วบ้านก็ไม่เจอมันจนกระทั่ง…

"อยู่ข้างนอกรึป่าววะ?"  ควายที่แท้จริงอยู่ตรงนี้แล้วคร้าบบบบบ โชว์เด๋อออกรายการเลยครับ หน้าผมต้องเหวอมากเมื่อนึกได้ว่ามันอาจจะอยู่ข้างนอก

"ไอ้ภพพพ……..ไอ้ภพพพโว้ยยยยยยยยย"  เมื่อออกมาข้างนอกผมก็ตะโกนสุดเสียงเลยครับ มองจนทั่วบริเวณหน้าบ้านก็ไม่เจอ ที่สุดท้ายที่ผมนึกได้คงเป็นบริเวณด้านหลังบ้านที่ผมยังไม่ได้ออกไปดู

ผมเดินมาถึงพื้นที่ส่วนด้านหลังของบ้านแล้วค่อนข้างแปลกใจกับบริเวณนี้เพราะ มันเป็นแค่ลานดินกว้างๆที่มีพวกต้นไม้ถูกวางไว้เตรียมเอาลงดิน ผิดกับ บริเวณอื่นของตัวบ้านที่ถูกออกแบบและจัดเตรียมไว้เรียบร้อย  ตอนแรก ผมนึกว่ามันเป็นบ้านที่เตรียมพร้อมหมดทุกอย่างแล้วแต่ก็ยังเหลือส่วนนี้ที่ยังไม่เสร็จดี

"รายการนี้แม่งคงรวยเนอะ ทำบ้านแค่ให้กูมาอยู่จะเอาอะไรหรูหรามากมายวะ" ผมบ่นของผมไปเรื่อยๆเพื่อลดความกลัวกับความหงุดหงิดของตัวเองระหว่างมองหาไอ้ภพ

"ไอ้ภพ ถ้ามึงไม่ออกมาก็ไม่ต้องแดกแล้วนะข้าวอ่ะ  สัส" ตะโกนได้แค่นั้น ก็เตรียมจะเดินหันหลังกลับเพราะหลังเขตกำแพงบ้านไปคือป่าที่ค่อนข้างรกและเงียบมาก ผมที่กล้าๆกลัวๆอยู่จึงไม่อาจอยู่ต่อได้

ตุ้บ!!!!!!

เสียง…..

เสียงๆหนึ่งดังขึ้นด้านหลังผม เป็นเสียงที่เหมือนของหนักตกลงมากระทบบนพื้น ขาผมแข็งจนก้าวต่อไปไม่ได้ ได้แต่ยืนตัวสั่นอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงเดินเข้ามาใกล้

เข้ามาใกล้…

เข้ามาใกล้……

แล้ว………………

"มึงจะยืนเฉยๆอีกนานมั้ย"

เพล้งงงงงงงงงง!!!!

หน้าของผมแตกละเอียด เมื่อเสียงที่ได้ยินคือเสียงของไอ้ภพ ผมจึงหันหน้ากลับไปมองมันให้เต็มตา จึงเห็นว่าเป็นไอ้ภพจริงๆที่ต่างออกไปคือเนื้อตัวมันที่ค่อนข้างมอมแมมออกไปทางโสโครก

"มึ….มึงออกไปไหนมาวะ เค้าห้ามออกนอกบริเวณบ้านนะ เดี๋ยวก็โดนปลดกลางรายการหรอก"

"มึงแหกตาดูนะ ตรงนี้มันมีกล้องวงจรปิดมั้ย?"

ผมหันกลับไปดู แล้วก็ได้พบว่าบริเวณนี้เหมือนจุดบอดของเกมส์ ไม่มีกล้องเลยสักตัวและยังพบกับ

ประตู…..

ประตู……….

ใช่แล้วครับ  มันคือประตูที่เชื่อมมาจากห้องครัว ตอนนี้หน้าของผมคงเด๋อไปอีก 10 ระดับ แล้วเมื่อกี้ กูจะเดินบิ้วตัวเองมาทำไมวะ???

"เออแม่ง แล้วมึงไปไหนมา" หงุดหงิดครับ ผมหงุดหงิดมาก ส่วนหนึ่งก็เพราะมัน แต่อีกส่วนใหญ่ๆนี่มาจากความเด๋อของตัวเอง

"ดูอะไรนิดหน่อย ว่าแต่มึงเถอะ เรียกกูดังลั่นขนาดนั้นมีอะไร"

"ฮะ มีอะไรเนี่ยนะ  ไอ้ควายยยยย  ได้ยินเสียงกูเรียกลั่นขนาดนั้น  ไม่ได้เปิดหูฟังอีกหน่อยหรอว่ากูเรียกแดกข้าว" มันตอบผมหน้าตายมากครับ แต่ดีหน่อยที่ไม่ตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงแบบเมื่อเช้า ไม่งั้นคงได้ตีกันตายก่อนเกมส์จบ

"ก็ไปดิ" โหหหห พ่อคุณ พิกุลจะร่วงเหรอ ผมได้แต่ส่ายหน้าเอือมกับมันแล้วเดินตามมันเข้าไปในบ้าน…
.

.

.

"ไอ้ภพ มึงมาดูนี่ดิ"

"มีอะไร?" หลังจากทานข้าวเสร็จ ผมกับมันก็มาแยกกันนั่งพักผ่อนครับ ข้างนอกบ้านตอนนี้ฟ้าครึ้มจนเหมือนฝนจะตกพวกผมเลยขอนั่งกันอยู่แต่ในบ้าน ทำกิจกรรมส่วนตัวกันไป ในบ้านหลังนี้ไม่มีทีวีหรือสื่อใดๆ มีแค่หนังสืออ่านเล่นกับหนังสือผีให้ผมอ่านแค่นั้นครับ

"ตารางภารกิจเราไง" ผมมองกระดาษแผ่นนั้นที่ถูกติดไว้ข้างชั้นหนังสือ  โดยที่กิจกรรมทุกอย่างมีเวลากำหนดไว้ชัดเจนมาก 30 วัน 28 กิจกรรม ที่ผมต้องทำร่วมกับไอ้ภพเพื่อทำให้รายการดูสนุกขึ้น

"หึ สมกับเป็นรายการดี 28 วิธีเห็นผี" มันพูดเหมือนเป็นเรื่องขำขันสำหรับมัน

"มึงไม่กลัวหรอ" ผมถามในสิ่งที่ผมอยากรู้มาตั้งแต่ตอนต้นกับมันเพราะมั่นใจแล้วว่าผมต้องได้คำตอบ

"กลัว? ถ้ากลัวกูจะมาเล่นหรอ ผีกับจิตใจคน กูกลัวใจคนมากกว่าอีก" มันพูดแค่นั้นก็เดินออกไปจากผม  ไอ้ภพโหมดเข้าไม่ถึงได้กลับมาอีกแล้ว ผมแปลกใจและสงสัยนะว่ามันเป็นอะไร? แต่คงยังไม่ถาม  เพราะสิ่งที่น่าสนใจของผมตอนนี้คือ ไอ้ 28 วิธีเห็นผีเนี่ยแหละ

"วิธีเล่นทั้งหมดอยู่ในหนังสือผีทั้ง 28 เล่มบนชั้นหนังสือ" ท้ายกระดาษได้บอกถึงวิธีการเล่นเกมส์พวกนี้  ผมจึงละสายตาจากกระดาษแผ่นนั้นไปบนชั้นหนังสือ   หนังสือทั้ง 28 เล่มถูกจัดวางไว้เป็นระเบียบบนชั้นตามวันที่ต้องเล่น โชคดีหน่อย ที่เกมส์แรกที่ต้องเล่นจะเริ่มในคืนพรุ่งนี้

"ไอ้ภพ เกมส์แรกที่ต้องเล่นจะเริ่มคืนพรุ่งนี้นะ"

"อืม"

ผมบอกมันแค่นั้นก็หันกลับมาหยิบหนังสืออ่านเล่น ไปอ่านบนโซฟาแก้เบื่อไปพลางๆ จนรู้ตัวอีกทีก็มีเสียงเรียกให้ผมตื่น

"มึง"

"มึง ตื่น ตื่น  ตื่นดิ ตื่น"

"โอ้ยยยย กูตื่นแล้ว หยุบตบหน้ากูซะที" ไอ้ภพครับ  มันปลุกผมด้วยวิธีที่พิเรนที่สุดตั้งแต่ผมเกิดมา  นอกจากเสียงเรียกผมที่เบาราวกับกระซิบแล้ว มันยังเพิ่มการตบอย่างรุนแรงบนหน้าผมด้วย แม่ง ทำไมมันไม่เรียกดังๆแทนวะ

"ตื่นก็ดี ลุงอีกคนมาแล้ว"

เมื่อมันพูดจบมันก็ชี้ให้ผมเห็น ลุงอีกคนที่กำลังเดินออกมาจากครัว  ท่าทางดูใจดีพอๆกับลุงมั่น

"อ้าวไงพ่อหนุ่ม  หลับสบายดีมั้ยบ้านคนตายเนี่ย"

"โหลุง  ผมเลือกได้หรอ ผมง่วงผมก็นอน"

"555 ไอ้หนุ่มนี่  ลุงแซวเล่น ว่าแต่พวกเอ็งชื่ออะไร"

"ผมมิวครับ  ส่วนนี่ไอ้ภพครับ"

"อ่อ ลุงชื่อลุงคำนะ  ลุงจะเอาอาหารเข้ามาให้ทุกวัน ช่วงเย็นๆนี่แหละ ถ้าพวกเอ็งต้องการอะไรเพิ่มก็ให้บอกลุงนะ ลุงจะหามาให้ "

"ได้ครับลุง แล้วลุงจะอยู่อีกนานมั้ย กินข้าวด้วยกันมั้ยครับ" คราวนี้ไอ้ภพเป็นคนถามครับ ผมถึงกับต้องหันไปมองอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง คนอย่างมันนี่มีมุมนี้กับเค้าด้วยหรอ?

"ไม่ได้ๆ  มันเป็นกฎเค้าลุงอยู่กับพวกเอ็งนานๆไม่ได้ เอาหละลุงต้องไปละ ไว้พรุ่งนี้ค่อยเจอกัน"

"เจอกันครับลุง"

พวกผมร่ำลากับลุงคำก็เตรียมไปทำอาหารเย็นกินกัน  เพราะดูจากนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ตั้งไว้มันก็จะ 1 ทุ่มแล้ว   ไอ้ภพดูคล่องตัวในการทำอาหารมากไม่รู้ว่ามันไปร่ำเรียนมาจากไหน มื้อนี้ผมเลยเป็นลูกมือช่วยมันทำของสดกับหุงข้าวแทน

"อร่อยหวะ มึงไปเรียนทำมาจากไหนวะ"

"กูแค่ทำกินเองบ่อย"

"กูก็ทำกินเองบ่อยยังไม่อร่อยเท่ามึงเลย"

"กากไง"

"ไอ้สัส กวนตีนแดกข้าวไปเลยมึงอ่ะ" ผมตอบมันแค่นั้น ต่างคนต่างก็รีบกินข้าวเพื่อไปเตรียมตัวอาบน้ำและเข้านอน

กลางดึกคืนนั้น

"พี่ขอโทษ  พี่ขอโทษ อย่าไปเลยนะนัท อย่าไป พี่ขอโทษ!!!" เสียงไอ้ภพร้องลั่นปลุกผมให้ตื่นจากฝัน แล้วลุกขึ้นหันไปหามันที่เพิ่งตื่นจากฝันเหมือนกัน

"ภพ มึงเป็นอะไรมั้ยวะ" ผมถามมันด้วยความเป็นห่วง เนื่องจากเสียงร้องมันดังมาก  เหมือนในฝันมันเจอกับอะไรที่ร้ายแรงมาก แถมตามันยังคลอไปด้วยน้ำตา

"ช่างเหอะ  มึงนอนไปเถอะ ขอโทษละกันที่ทำให้ตื่น"  มันตอบผมเสร็จ ก็ล้มตัวลงนอนหันหลังให้กับผม   

เอาอีกแล้ว….. มันละเลยในการตอบคำถามผมอีกแล้ว   วันนี้มันทิ้งความน่าสงสัยมากมายไว้กับผม  จะทำเป็นไม่สนใจก็ไม่ได้ ถ้ามันยังเป็นแบบนี้ทุกคืน ผมจะหลับได้ไง

มึงเป็นอะไรวะ ไอ้ภพ.......

อะไรที่ทำให้มึงต้องเป็นแบบนี้…..

แล้วใครคือ…..นัท?









*********************************ั********************************************
เดี๋ยวดึกๆ  ผมจะมาลงตอนที่2 ให้นะครับ แล้วก็หลังจากนี้ผมจะลงให้ทุกวันอังคารครับ

ผมจะพยายามไม่ดองนะครับ  ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงผมจะแจ้งให้ทราบนะครับ

สุดท้าย  คอมเมนต์ติชม กันเข้ามาเยอะนะครับ :)    P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่2 เกมส์ซ่อนหา (27/12/2559)
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 27-12-2016 20:04:07
ตอนที่2

เกมส์ซ่อนหา


เช้านี้อากาศช่างแจ่มใส ทุกอย่างดูแจ่มใสไปหมด ยกเว้น
ตัวผมครับ  ผมตื่นมาพร้อมกับดวงตาที่โหลลึก และใบหน้าที่หมองคล้ำจากการอดนอน ต่างกับไอ้ภพที่สร้างเรื่องไว้แล้วนอนหลับต่อชนิดที่ว่าไฟไหม้แม่งก็ตายไปแล้ว  เมื่อคืนผมแทบไม่ได้นอน กลัวก็กลัวแต่จะข่มตานอนก็ทำไม่ได้  เรื่องไอ้ภพยังคงวนซ้ำๆอยู่ในหัวผม  จนผมอดที่จะถามมันไม่ได้ว่ามันเป็นอะไร

“มึงเป็นอะไรวะ เมื่อคืน”

“เมื่อคืน?”

“เออ ไม่ต้องมาทำหน้าหมางงใส่กู ร้องดังลั่นขนาดนั้นจนทำกูนอนไม่หลับเนี่ยเป็นห่าไร”

“กูแค่…ละเมอ”  ว้อทเดอะฟัคคคคคคค  คำตอบมันเป็นอะไรที่ชุ่ยที่สุดแล้วมั้ง  ผมอดหลับอดนอนเพื่อมาฟังมันตอบว่าละเมอเนี่ยนะ  ดูก็รู้ว่ามันกำลังโกหก

“กูไม่เชื่อ มึงร้องดังขนาดนั้นเพราะแค่ละเมอเนี่ยนะ”

“ไม่เชื่อก็เรื่องของมึง” มันพูดจบก็ทำท่าจะเดินจากผมไป ผมจึงต้องรีบถามอีกข้อสงสัย

“ถ้ามึง ละเมอจริง แล้วใครคือนัท?” ได้ผลครับ มันหยุดเดินแล้วหันหลังเดินกลับ มาหาผมด้วยใบหน้าแบบเดิมกับตอนที่ผมเจอมันครั้งแรก

“มึงได้ยินอะไร บอกมาให้หมด” มันเดินกลับมากระชากตัวผมแล้วถามผมด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดราวกับผมไปพูดกระตุ้นจุดสำคัญบางอย่างของมัน  มันบีบแขนผมจนแน่นเหมือนมันกำลังจะขาดสติ

“โอ๊ย ไอ้ภพกูเจ็บนะ ปล่อยดิวะ กูไม่ได้ยินเชี่ยไรทั้งนั้นแหละ กูได้ยินแค่ชื่อนี้” ผมเลือกที่จะโกหกมันเพราะคิดว่าการพูดถึงเรื่องส่วนตัวมันไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย

“อย่ายุ่งเรื่องของกูอีก”มันปล่อยแขนผมอย่างแรงแล้วก็เดินหายออกไปทางหลังบ้าน

โกรธ.....

ผมยอมรับเลยว่าผมโกรธมันที่มันทำแบบนั้นกับผม  ผมอาจจะผิดที่ไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของมัน แต่การกระทำของมันก็รุนแรงเกินไปสำหรับผม  ผมไม่คิดว่าคำถามนั้นจะเป็นเหมือนไฟที่ไปจุดชนวนระเบิดในตัวมันได้ ผมถามเพราะอาการของมันน่าเป็นห่วงมากกว่าจะทำให้ผมอยากเสือกเรื่องของมัน

ผมเลือกที่จะมานั่งมุมเดิมของผมเพื่อสงบจิตใจก่อนไปทำอาหารเช้ากิน เมื่อวานลุงคำนำของสดมาให้เพิ่มรวมทั้งยังมีขนมเพิ่มมาให้อีกด้วย ผมเลือกหยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่มาอ่าน แต่เนื่องด้วยความเพลินของผมจึงทำให้ผมอ่านยาวจนไม่ได้ดูระยะเวลาเลยว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งได้ยินเสียงประตูในครัวถูกเปิดเข้ามา

ไอ้ภพกลับเข้ามาในบ้านด้วยสภาพแบบเดิมคือตัวเปื้อนไปด้วยดิน ดูสกปรก มันเดินผ่านผมเพื่อจะขึ้นไปทำความสะอาดร่างกายมัน  ผมจึงเริ่มลุกขึ้นเพื่อไปเตรียมอาหารกึ่งเช้ากึ่งเที่ยง ระหว่างทำไปผมก็ได้แต่เดาว่ามันออกไปไหน ไปทำอะไรมาทำไมเนื้อตัวมันถึงเปื้อนขนาดนั้น แต่การเลือกที่จะไม่ถามคงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด

“ภพ เรื่องเมื่อเช้ากูขอโทษ” หลังจากกินข้าวเสร็จผมก็เลือกที่จะลดทิฐิเดินมาขอโทษมันที่กำลังนั่งคิดอะไรอยู่เงียบๆ แม้จะโกรธมันอยู่แต่ความสงสารมันมีมากกว่า

“อืม”

“ถึงกูจะขอโทษแต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามึงไม่ผิดนะ ที่มึงทำกูมันแรงมากไปนะไอ้ภพ ไม่พอใจก็บอกกันดีๆดิ”  จบคำพูดผมมันก็หันหน้ามามองผมแต่ไม่ได้มีแววตาเกรี้ยวกราดใดๆ มันแค่มอง มองจนเป็นผมเองที่ต้องหลบตามัน

“กูจะไม่ก้าวก่ายเรื่องของมึงอีกตกลงมั้ย”

ผมบอกมันเสร็จ ก็เดินแยกมาที่ตู้หนังสือ วันนี้แล้วครับที่จะเป็นวันเริ่มภารกิจของผมกับไอ้ภพ โดยภารกิจแรกที่ผมต้องทำคือ “เล่นซ่อนหาในยามวิกาล” ผมเปิดดูเนื้อหาข้างในแล้วพบว่า กติกาการเล่นเกมส์นี้ก็เหมือนเกมส์ซ่อนหาทั่วๆไปอย่างที่เราเคยเล่นกันนั่นแหละครับ แต่เกมส์นี้ผมกับไอ้ภพต้องเล่นแค่ตอนกลางคืน  และ ต้องซ่อนกันอยู่ภายในบ้านเท่านั้น ข้อตกลงอื่นๆทางรายการให้ผมกับไอ้ภพสามารถตกลงกันเองได้ ภายใต้เงื่อนไขคือไฟในบ้านทุกดวงต้องถูกปิด

นานอยู่เหมือนกันที่ผมยืนอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น  ส่วนใหญ่หนังสือก็จะเขียนคำบอกเล่าของพวกที่เคยลองดีแล้วเจอ มาให้หนังสือดูน่ากลัวขึ้น    ผมเลือกที่จะยังเก็บเนื้อหาส่วนอื่นเอาไว้อ่านอีกครั้งตอนเย็น และจะไปนอนกลางวันแทน เนื่องจากเมื่อคืนผมแทบไม่ได้นอนและกิจกรรมคืนนี้ยังต้องใช้พลังงานอีกเยอะ

“เฮ้ย!!  ไอ้เหี้ย ตกใจหมด” ผมเผลออุทานออกมาดังลั่นบ้าน เพราะเมื่อหันกลับมาจากตู้หนังสือ ก็เจอไอ้ภพ มายืนอยู่ใกล้ๆ ใกล้มากๆชนิดที่ว่าผมหันไปก็ชนกับอกมันเลยครับ

“ตกใจเหี้ยไร กูก็เดินมาเสียงออกจะดัง”

“ก็ตกใจมึงนั่นแหละ มึงมีไรวะ”  ผมโวยกลับ ก่อนจะถามหาเหตุผลที่ทำให้มันมายืนตรงนี้

“กู…กูเอ่อ”

“?”

"กู คือกู"

“ไอ้ภพ ถ้ามึงจะเสียเวลามาเพื่อบอกว่า กู คือกูเนี่ย ก็ถอย กูจะไปนอน กูง่วง!!!”

“เออๆ กูขอโทษ”

“ขอโทษ?  เรื่องอะไรวะ”  งงครับ  อยู่ดีๆมันก็มาอ้ำๆอึ้งๆ แล้วก็บอกขอโทษผม ที่ยืนอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ  สร้างเวรสร้างกรรมให้ผมต้องมานั่งระลึกอีกว่ามันมาขอโทษผมเรื่องอะไร เพราะพฤติกรรมมันนี่น่าถือเป็นโทษได้หมดทุกเรื่อง ก่อนที่ผมจะนึกถึงเรื่องล่าสุดที่มันก่อไว้กับผม

“เรื่องเมื่อเช้าหรอ” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างกวนเบื้องล่างของมัน

“ไม่รู้ก็เรื่องของมึง” มันตอบผมหน้าตาย ก่อนจะหันหลังเดินหนีออกไป เหลือไว้แต่ความขบขันกับฟอร์มของมัน

“โถถถถถถ  มึงจะฟอร์มจัดไปไหนวะ แค่คำว่าขอโทษไม่ได้ทำให้มึงหล่อน้อยลงหรอก”

“เสือก จะไปนอนตายที่ไหนก็ไป” จบครับ  จบ ณ บัดนั้น ตรงนั้นเลยครับ จะไปเซ้าซี้กับมันมากก็ไม่ได้ เดี๋ยวเกิดองค์ลงขึ้นมาอีกผมจะซวยเอาได้ ยิ่งอยู่ด้วยกันสองคนถ้า บ้านหลังนี้จะมีศพที่แปดเกิดขึ้น  ก็คงจะเป็นผมนี่แหละ

ตกเย็น…

“ต้องการอะไรเพิ่มมั้ย พวกเอ็ง” ลุงคำถามพวกเราที่นั่งเงียบๆกันอยู่ที่โซฟา

“วันนี้ยังไม่อยากได้อะไรครับลุง”

“โอเค งั้นพวกเอ็งเอานี่ไป”

“อะไรหรอครับ?”

ผมรับของสิ่งหนึ่งมาจากมือของลุงคำ มันคือสมุดเล่มเล็กๆเล่มหนึ่ง หน้าปกถูกเขียนเอาไว้ว่า “คาถาเห็นผี” ผมกับไอ้ภพได้สมุดเล่มนี้มาคนละหนึ่งเล่ม  เมื่อผมลองเปิดเข้าไปข้างใน หน้าแรกผมพบเพียงแค่คาถา คาถาหนึ่ง ที่ถูกเขียนกำกับไว้ข้างใต้ว่า พวกผมต้องท่องก่อนเริ่มเกมส์ในวันนี้

“ไฟฉาย ธูป เทียนไข ไฟแช็ก ลุงใส่ไว้ให้ในลิ้นชักแล้วนะ เมื่อต้องทำพิธี ก็ไปหยิบมาใช้ รู้ใช่มั้ยว่าต้องทำยังไง วิธีอยู่ในหนังสือนะ”

“ครับ”

“ลุงอาจจะทำผิดกฎของรายการ แต่ขอเตือนพวกเอ็งไว้ คาถานี้เป็นของจริง อย่าคิดว่าเป็นเรื่องตลก ระวังตัวด้วย”

“ขอบคุณครับลุง” ผมกับไอ้ภพตอบรับคำเตือนของลุงคำ ที่กล่าวไว้แค่นั้นแล้วก็เดินออกจากบ้านหลังนี้ไป

“มึง กลัวมั้ยวะ”ผมถามไอ้ภพ  ที่ดูเฉยๆกับอะไรพวกนี้ เนื่องจากผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าสิ่งที่ผมต้องทำคือต้องมาเล่นกับคาถาพวกนี้ด้วย  แม้จะไม่ค่อยเชื่อ แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะไปลบหลู่อะไร

“กลัว ? จะกลัวทำไมบอกแล้วไงว่าผีไม่น่ากลัวเท่าใจคน”

“แต่….”

“อย่าไร้สาระ กูเคยเตือนมึงแล้วนะให้กลับไป”  มันพูดไว้แค่นั้นก็เดินไปในครัวเพื่อจัดเตรียมข้าวเย็นของผมกับมัน  ทิ้งผมให้ยืนอยู่กับความคิดของตัวเองว่า ผมมาเสี่ยงเพื่ออะไร  ทำไมรายการนี้ถึงให้เล่นอะไรแรงขนาดนี้ แล้วทำไมไอ้ภพถึงพูดเหมือนรู้ว่าในรายการจะมีอะไรแบบนี้ 

“เฮ้ย!!!! ถ้าไม่มาช่วยกูทำ  เย็นนี้มึงไม่ต้องกินนะ” ไอ้ภพ ตะโกนออกคำสั่งมาจากห้องครัว นั่นถึงได้เรียกสติของผมให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน  ผมส่ายหน้าให้กับความคิดไร้สาระของตนเองแล้วเดินเข้าครัวไปทำอาหารกับมัน

ระหว่างการกินข้าวเย็น ผมรู้สึกไม่เป็นตัวเอง ในขณะที่ไอ้ภพกลับใช้ชีวิตได้เป็นปกติ นี่ผมกำลังกลัวอะไรอยู่? ตั้งแต่ที่ลุงคำพูดกับผมว่าคาถานี้เป็นของจริงเล่นไม่ได้นั้น ผมก็ใจเสียจนกู่ไม่กลับ ผมยอมรับว่าผมกลัว   คาถานี้มีแค่ให้ท่องเพื่อเห็น แต่ไม่มีคาถาที่จะช่วยยกเลิกคาถานั้นได้เลย  หมายความว่าถ้าผมเห็น ผมก็ต้องเห็นตลอดหรอ?

แม้จะบอกกับตัวเองไปว่า ยังไงรายการคงไม่ได้เอาคาถาแรงๆมาให้ผมเล่น แต่ก็ไว้ใจอะไรไม่ได้ทั้งนั้น รายการนี้มีเพียงคนที่เคยเข้ามาเล่นแล้วเท่านั้นที่รู้ว่า ความจริงทั้งหมดคืออะไร แต่แปลกมั้ย ที่ไม่เคยมีใครได้ออกมาพูดอะไรเกี่ยวกับเกมส์เลย รายการนี้เก่งที่ยังทำให้ทุกอย่างเป็นความลับอยู่ได้

“มึงจะอาบน้ำก่อนเลยมั้ย”  ไอ้ภพมันถามผมหลังจากเรากินข้าวกันเสร็จ

“มึงอาบก่อนก็ได้ กูขออ่านวิธีเล่นเกมส์นี่ก่อน”

“เออ มันให้ทำไรก็บอกกูด้วยละกัน”

ผมหยิบหนังสือ  “เล่นซ่อนหาในยามวิกาล”  เดินตามไอ้ภพขึ้นไปบนห้อง อ่านรอระหว่างมันอาบน้ำ ผมเริ่มอ่านจากหน้าที่ผมอ่านค้างไว้อยู่  ส่วนที่ผมยังไม่ได้อ่านได้บอกถึงพิธีกรรมที่ผมต้องทำเอาไว้ชัดเจน หลายข้อที่ผมค่อนข้างตกใจในความแรงของมัน 

สิ่งที่เค้าให้ผมทำมันมากกว่าการท้าทาย.....

มันไม่ใช่แค่การลบหลู่

แต่หากสมมุติว่าผมคือคนตาย คือดวงวิญญาณในบ้านหลังนี้  สิ่งที่ผมโดนกระทำมันคงไม่ต่างอะไรไปกับการถูกหยามเกียรติ ถูกดูถูกด้วยพฤติกรรมอันหยาบช้าของคนเป็น

ปั้ง!!!!!

“เฮ้ย”  เสียงดังของอะไรสักอย่างได้ ดึงสติของผมให้กลับมา และเมื่อผมหันไปทางต้นเสียงก็พบว่าไอ้ภพมันกำลังเดินเข้าห้องนอนมาหลังจากอาบน้ำเสร็จ

“มึงนี่ขวัญอ่อนเนอะ อะไรนิดหน่อยก็ร้องโวยวาย”

“พ่องดิ  กูอยู่เงียบๆ ใครเจอเสียงดังแบบนั้นก็ต้องตกใจกันทุกคนแหละ แล้วมึงจะโป๊ออกมาทำไมไปแต่งตัว”

“โป๊ห่าไร นี่กูนุ่งผ้าเช็ดตัวอยู่”

“เออ แม่ง”  ผมหงุดหงิดมัน เลยพาลไปหมดผมโวยวายเสร็จก็คว้าผ้าเช็ดตัวเดินออกจากห้องไป ไม่อยากจะบอกเลยว่า นอกจากจะตกใจเสียงประตูที่ไอ้ภพมันปิดเสียงดังแล้ว ผมยังตกใจกับหุ่นมันด้วย มันซ่อนรูปมากครับ   6 7 8 แพ็คคือมาหมดเลย แล้วพอหันกลับมาดูหุ่นผมเองก็ได้แต่ถอนหายใจ กูท้องกี่เดือนแล้ววะ???

ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นาน ก็ออกมาจากห้องน้ำ ด้วยสภาพแต่งตัวเรียบร้อยแล้วนะครับ เดินเข้าห้องมาก็เจอไอ้ภพกำลังนั่งเหม่อออกไปทางหน้าต่างห้องนอน ในมือถือหนังสือภารกิจเอาไว้แต่ผมไม่แน่ใจว่ามันเปิดอ่านแล้วรึยัง ผมจึงเดินไปนั่งข้างๆมันแล้วถาม

“ไงมึง อ่านรึยังวะภารกิจวันนี้ของเรา”

“ยัง ก็กูบอกอยู่ว่าจะให้มึงเล่าให้ฟัง”

“แล้วจะฟังเลยมั้ยจะได้บอก”

“มันให้เริ่มทำเมื่อไร?”

“ภารกิจนี้หรอ เริ่มเที่ยงคืน”

“อืม งั้นเดี๋ยวมึงค่อยเล่าละกัน ขออยู่แบบนี้สักพัก”

“มึง…โอเคใช่มั้ย?”

“อืม ไม่มีไรหรอก มึงเอาไปอ่านต่อก็ได้ กูแค่ยังขี้เกียจเริ่ม”

แค่มองก็รู้แล้วครับว่ามันกำลังโกหกผม แต่ถ้ามันยังไม่คิดจะบอกอะไรผม ผมก็จะไม่เซ้าซี้มันอีก ผมเอาหนังสือนั่นมาเปิดดูเล่นๆอีกนิดหน่อยก็วางครับ ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าต่างคนต่างนั่งซึมซับความรู้สึกของตัวเองไปพลางๆ นานเท่าไรไม่อาจทราบได้ แต่เมื่อผมหันมามองนาฬิกา มันก็บอกเวลา ห้าทุ่ม กว่าแล้ว และนั่นก็บอกได้ว่าเวลาที่จะอยู่กับตัวเองวันนี้ได้หมดลง

ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมกำลังจะไปทำ จะส่งผลอะไรมั้ย?

ผมไม่รู้ว่า ไอ้ภพ จะรู้สึกบ้างรึป่าวว่าเกมส์นี้มันน่ากลัว…

และผม…ก็ไม่มีทางรู้ว่าหลังจากผมบอกไอ้ภพให้ไปทำภารกิจ ตัวของผมจะไม่มีทางเหมือนเดิมได้อีกตลอดเกมส์…..

“ป่ะ ไอ้ภพ ไปทำให้เกมส์ของวันนี้มันจบกันเถอะ”

ระหว่างทางเดินลงบันได้ ผมกับไอ้ภพก็ไล่ปิดไฟในส่วนของทางเดินชั้นสองจนหมด เท่ากับว่าตอนนี้เหลือเพียงไฟจากห้องนั่งเล่นที่ส่องขึ้นมาให้มองเห็นทางบ้างเท่านั้น

ผมได้อธิบายให้ไอ้ภพฟังไปคร่าวๆแล้วว่า เกมส์นี้มันเหมือนกับการเล่นซ่อนหาปกติ  ไม่มีอะไรใหม่เพียงแต่ว่าก่อนเล่น ผมกับมันต้องนั่งทำพิธีเปิดเนตรให้เห็นผีและท้าทายทุกดวงวิญญาณในที่นี้ ส่วนรายละเอียดของพิธีกรรมผมจะบอกมันอีกทีตอนเริ่ม

“มึงเที่ยงคืนแล้ว  จะเริ่มยัง?” ไอ้ภพถามผม

“เอาดิ  มึงไปเอาเทียนไขมาจุดให้ได้สี่มุม ล้อมพวกเราไว้ เตรียมธูปแล้วก็ไฟฉายออกมาด้วย  อ้อ  มึงอย่าลืมสมุดคาถาที่ลุงคำให้มาด้วย” ผมสั่งให้มันทำทุกอย่าง มันก็แค่พยักหน้าแล้วก็เดินไปทำตามที่ผมบอก จนมันเตรียมทุกอย่างเสร็จ ผมจึงเดินไปปิดไฟดวงสุดท้ายของบ้าน

“เริ่มแล้วนะ”

พรึบ

ไฟทั้งบ้านถูกปิดลง   ผมเดินมาอยู่ตรงหน้ามัน ตอนนี้ผมกับไอ้ภพ ยืนหันหน้าเข้าหากัน ล้อมรอบด้วยเทียนไขทั้ง4เล่มที่ถูกจุดวางไว้มุมละ1เล่มเท่านั้น

“หยิบธูปขึ้นมาจุดคนละ 1 ดอก” ผมบอกไอ้ภพ

“จุดเสร็จแล้ว ให้ท่องตามกูก่อนนะ  สุ ปิ นา…..” เมื่อผมเริ่มท่องบทภาวนานี้  ไอ้ภพก็เริ่มท่องตามผมบ้าง ระหว่างที่สวดกันอยู่นั้น ผมรู้สึกได้เลยว่า บรรยากาศรอบๆตัวผมมันเปลี่ยนไป  ทุกอย่างเริ่มเย็นขึ้น มือและใจผมก็เริ่มสั่นจนเริ่มควบคุมไม่ได้ ผมเริ่มหาข้อเท็จจริงมาโต้แย้งว่านี่คือกลางคืนอากาศย่อมเย็นลงเป็นธรรมดา หรือไม่ ผมก็คิดไปเอง

“กูต้องสวดบทนี้ไปถึงเมื่อไร” ไอ้ภพ หยุดท่องแล้วถามผม

"ไม่รู้หวะ  ในหนังสือบอกแค่ว่าให้มึงตั้งสมาธิแล้วท่องไปเรื่อยๆ"

“งั้นก็ทำพิธีต่อไปเถอะ มันจะได้จบๆสักที”

“เอางั้นก็ได้ แต่ขอเปิดดูหนังสือแปปนะว่า มันให้ทำอะไรต่อ”

“เดี๋ยวกูเปิดเอง มึงยืนรอเฉยๆเถอะ มือสั่นขนาดนั้น พรุ่งนี้จะจบมั้ย”

“อืม แล้วมันให้ทำอะไร…” ผมลุ้นกับคำพูดไอ้ภพมากเพราะผมรู้สึกคุ้นๆว่าพิธีกรรมต่อไปที่เกมส์จะให้ผมทำ ค่อนข้างแรงเพียงแต่ผมจำไม่ได้ว่า มันให้ทำอะไรบ้าง

“หักธูปซะ แล้วเหยียบ พร้อมกับสาปแช่ง  ”  ตัน....ผมยอมรับเลยครับว่าผมตันจริงๆหลังจากที่ไอ้ภพบอกสิ่งที่ผมต้องทำต่อไป

“ภ…ภพ มึงจะทำจริงๆหรอ”

“ก็มันบอกให้มึงทำ หรือมึงจะไม่ทำ กลัวอะไรนักหนาวะ” ไอ้ภพคงเริ่มรำคาญกับท่าทีของผม เลยแสดงออกว่ามันกำลังหงุดหงิดผมแบบสุดๆแล้ว

“ภพ กูไม่อยากทำ กูยอมรับก็ได้ กูกลัวมาก” เสียงผมสั่นไปหมดตอนตอบไอ้ภพ

“กูเตือนมึงแล้วใช่มั้ย ว่าให้กลับไป ในเมื่อมึงเลือกที่จะอยู่ก็รีบทำให้จบซะ”

 กึก

“วิญญาณทั้งหลายที่อยู่ในบ้านหลังนี้และบริเวณนี้ กูขอสาปแช่งให้พวกมึงไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ขอให้พวกมึงพบเจอแต่เรื่องเลวร้ายต่อๆไป ก่อนตายพวกมึงเคยเจอเรื่องร้ายแรงมาอย่างไร  หลังตายขอให้พวกมึงพบเจอเรื่องที่ร้ายแรงกว่า ร้อย เท่า  พันเท่า “

หลังจากไอ้ภพบอกให้ผมใจกล้าทำภารกิจนี้ให้เสร็จ มันก็หักธูปของมัน แล้วเหยียบลงบนพื้น พร้อมกับตะโกนสาปแช่งวิญญาณอย่างไม่มีความกลัวใดๆ  ผมมองการกระทำของมันแล้วยิ่งกลัวกว่าเดิม แต่เนื่องจากผมได้เห็นไอ้ภพทำก่อน  ผมจึงใจกล้าที่จะทำอย่างมันบ้าง  แม้ในใจจะมีเสียงคัดค้านมากมายเท่าใด แต่ก็มิอาจห้ามการกระทำของผมตอนนี้ได้   ในเมื่อถ้าคิดจะอยู่ให้จบเกมส์ผมต้องใช้กายเล่นไม่ใช่ใจ

“ไม่มีอะไรอีกแล้วใช่มั้ย  งั้นก็รีบๆเล่นซ่อนหาไรนี่ให้จบกันเถอะ” ผมบอกไอ้ภพ เมื่อผมกล่าวคำสาปแช่งคำสุดท้ายเสร็จ

“ยัง”

“ฮะ  ยังมี….อะไรอีก” 

“มึงลืมสมุดที่ลุงคำให้มาแล้วหรอ  พิธีกรรมต่อไปหนังสือบอกให้กูกับมึงท่องคาถาในสมุดเล่มนั้น”

“ภพ ในเล่มของมึงกับของกูมันเขียนไว้เหมือนกันรึป่าววะ”   ผมเสียงสั่นมากเมื่อเอ่ยคำถามนี้กับไอ้ภพ อย่างที่รู้กันว่าคาถาในสมุดเล่มนั้นมันคือคาถาเห็นผี ดังนั้นผมจึงเริ่มหาทางที่จะหลีกเลี่ยงการท่องให้จบเอง เพราะตัวผมตอนนี้ความกลัวเริ่มกลับมาอีกครั้งหลังจากที่คิดว่าทุกอย่างควรจบลงตั้งแต่คำสาปแช่งนั่น

“เหมือน   มึงมีอะไร? “

“ภพ  มึงท่องนำกูหน่อยนะ กูขอร้อง กูจะหลับตาแล้วท่องตามมึงเอง  กูไม่ไหวแล้วหวะ”

“เออ”

 เมื่อมันตอบผมเสร็จ  สิ่งที่ผมทำคือการเขยิบตัวให้เข้าไปใกล้มันอีก พร้อมพนมมือแล้วหลับตาลงรอฟังบทสวดจากไอ้ภพ

“อิติ สุคโต อรหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ ปฐวีคงคา พระภุมมะเทวา………”

“ไหนๆมึงก็ปิดตาแล้ว  งั้นมึงเป็นคนหาแล้วกัน ดูจากท่าแล้วให้มึงไปซ่อนคงไม่ได้เล่น”

ไอ้ภพบอกผมทันทีหลังจากที่มันท่องคาถาเห็นผีบทนี้ครบ เก้าจบเสร็จ ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกคัดค้านอะไร ให้ผมเป็นคนหาอย่างน้อยมันก็ดีกว่าให้ผมไปซ่อน อย่างที่มันบอกถ้าผมต้องซ่อนผมคงไม่กล้า ยิ่งได้อ่านเรื่องราวที่อยู่ในหนังสือว่าเล่นซ่อนแอบตอนกลางคืนแล้วจะเจอกับอะไรบ้าง  ผมยิ่งรู้สึกขอบคุณไอ้ภพที่เสียสละตัวเองขนาดนี้

“เออ จะให้นับถึงเท่าไร”

“แค่ สามสิบก็พอ บ้านมีหลังแค่นี้จะนับยาวๆไปเพื่อ”

“เออมึงก็รีบๆไปซ่อน จะได้เล่นให้มันจบๆ ไม่ต้องเสือกไปหาที่ซ่อนยากละกัน”

“งั้น กูดับเทียนเลยนะ”

“จะทำอะไรก็ทำ”

"โชคดี"

ไอ้เวรรรรรรรภพ!! คนยิ่งกลัวๆอยู่ มันยังแกล้งโดยการมากระซิบข้างหูผมให้กลัวยิ่งกว่าเดิมไปอีก บ่นมันไปก็เท่านั้นครับเพราะผมได้ยินเสียงฝีเท้ามันแล้วว่ามันกำลังเดินออกไปจากตัวผม  บางทีไอ้เกมส์นี้มันก็คงไม่ได้อยากแกล้งผมเท่าไรเพราะด้วยความที่บ้านหลังแค่นี้แถมให้เล่นตอนกลางคืนที่ทั้งบ้านมีแค่ผมกับไอ้ภพ  ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมกำลังได้เปรียบมันอยู่ครับ  ผมได้ยินเสียงมันทุกอย่าง

“ไอ้ภพ กูนับครบแล้วนะ มึงหาที่ซ่อนได้แล้วใช่มั้ย กูจะหาแล้วนะ “

3

2

1

เริ่ม!!!!


ผมตัดสินใจลืมตาขึ้นมา เพื่อพบกับความเงียบ  ไม่สิ นอกจากความเงียบผมยังรู้สึกได้อีกว่า ทุกอย่างรอบตัวของผมมันเปลี่ยนไป ผมไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเลยตั้งแต่เริ่มท่องคาถาเห็นผีบทนั้น จนถึงตอนนี้   ไม่อยากจะพูดเลยว่า สิ่งที่ผมสัมผัสได้ตั้งแต่ตอนแรกว่า อากาศมันเย็นลง ทุกอย่างดูอึดอัดไปหมด บรรยากาศเปลี่ยนไปอย่างไร มันก็ยังคงเป็นแบบนั้น จนผมเริ่มที่จะอดคิดไม่ได้แล้วว่าผมคิดไปเอง หรือ ทุกสิ่งมันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

“ภพ กูจะเริ่มหาแล้วนะ อยากจบเกมส์นี้ไวไวก็ส่งเสียงให้กูรู้ด้วยว่ามึงอยู่ตรงไหน”

ผมตะโกนให้มันได้ยินเลยครับ ไม่ได้สนใจการบันทึกเทปแต่อย่างใด อีกอย่าง ที่ผมพูดก็เพื่อลดความกลัวตัวเองลงไปบ้างไม่ได้กังวลว่าจะหาไอ้ภพไม่เจอ เพราะยังไงซะตำแหน่งสุดท้ายที่ผมจับได้ก่อนจะลืมตาว่าต้องเป็นเสียงไอ้ภพแน่นอนคือชั้นสอง

“ภพ กูรู้นะว่ามึงอยู่ชั้นสอง กูได้ยินเสียงมึง”

“อยู่ตรงไหน  รีบออกมาให้กูเห็นสิกูจะได้เล่นให้มันจบ”

ฮืดดดดด ฮืดดดดดดด ฮืดดดดดดด

“โอ้โห ไอ้ภพ ส่งเสียงอย่างอื่นก็ได้ ไม่ต้องหายใจแรงขนาดนี้หรอก ปอดมึงพังพอดี หรือว่า มึงจะกลัว?”

เสียงไอ้ภพหายใจแรงมากครับ ดังมาจากห้องน้ำบนชั้นสอง ดูก็รู้แล้วว่ามันคงกำลังกลัวอยู่ แต่ก็ถือว่ามันค่อนข้างที่จะพูดรู้เรื่องเพราะว่าการที่มันส่งเสียงแบบนี้ทำให้ผมได้ยินทุกอย่างชัดเจนมาก แม้จะอยากตบหัวมันสักป้าบว่า มึงเคาะอะไรก็ได้ให้กูได้ยินก็พอแล้วไม่ต้องเล่นใหญ่ หายใจฟืดฟาดเพิ่มความหลอนให้กูอีก

“หยุดหายใจ ประหลาดๆสักที กูมาแล้ว แล้วกูก็รู้ว่ามึงอยู่ในนั้น กูจะเปิดไปโป้งมึงแล้วนะ”

แกรก แอ๊ดดดดดดดดดด

“โป้งงงงงงงงงไอ้ภพ กูเจอมึงแล้ว กูชนะ ”

เงียบ…   

ว่างเปล่า……

ในห้องน้ำชั้นสองไม่มีแม้แต่เงาของไอ้ภพ นั่นทำให้ผมที่เปิดประตูบานนั้นนิ่งค้างไปกับความว่างเปล่าตรงหน้า เหงื่อเม็ดเล็กเม็ดน้อย เริ่มซึมออกมาตามขมับและไรผมของผม   ผมสาบานได้ว่าเสียงที่ผมได้ยินมันคือเสียงลมหายใจของมนุษย์จริงๆ เพียงแต่ภาพที่เห็นตรงหน้ากลับทำให้ความมั่นใจของผมเป็นศูนย์  จะเป็นไปได้อย่างไร? สายตาของผมเริ่มสอดส่องหาข้อเท็จจริงว่าเสียงที่เกิดขึ้นมาจากไหน ก่อนจะพลันไปเห็นช่องลมขนาดเล็กที่ถูกติดตั้งไว้ด้านบนห้องน้ำ  หรือเสียงที่เกิดขึ้นจะมาจากตรงนี้?

“จะเป็นไปได้ไงวะ”  แม้เห็นสิ่งที่จะทำให้ผมไม่กลัวอยู่ตรงหน้า แต่ประสบการณ์ชีวิตมันก็บอกกับผมได้เหมือนกันว่าเสียงที่เกิดขึ้นไม่มีทางจะมาจากช่องลมตรงนั้นแน่ๆ

เคร้งงงงงงงงงงงงง!!!

“เหี้ยยยยย”

ผมคงตกใจกับเสียงที่เกิดขึ้นมากไป เลยอุทานออกมาลั่นบ้าน แต่นั่นก็ทำให้ร่างกายของผมตื่นตัวและเริ่มที่จะรู้แล้วว่าไอ้ภพอยู่ในครัวของบ้านหลังนี้

“ไอ้ภพ  มึงจะไปไหนหนะ”

เมื่อผมวิ่งลงบันไดของบ้านลงมาแล้วจะวิ่งไปทางห้องครัว  ผมก็เห็นหลังไอ้ภพ วิ่งแล้วเปิดประตูด้านหลังบ้านออกไปทางด้านหลังที่ซึ่งเป็นสถานที่ต้องห้ามในยามวิกาลของเกมส์นี้ 

“ไอ้ภพพพพ  มึงจะออกไปทำเหี้ยไรวะ หยุดนะ กูเจอมึงแล้ว โป้งงงงง”

“ไอ้ภพพพพ   เดี๋ยวมึงก็โดนปลดกลางรายการหรอก จะเอามั้ยเงินอ่ะ จะออกไปทำไมวะ”

ผมตะโกนไล่หลังมันไปเรื่อยๆ เมื่อมันไม่มีทีท่าเลยว่าจะหยุดวิ่งจนมันวิ่งไปถึงเขตกำแพงบ้านแล้วทำท่าจะปีนออกไป

“ไอ้ภพ ถ้ามึงไม่กลับ ก็แล้วแต่มึงนะ เชิญมึงออกไปเลย”

ตุ้บ!!!!!!

เสียง…..

เสียงเดิมอีกแล้วครับ   ไอ้ภพคงกะจะใช้มุกเดิมในการแกล้งผมให้กลัวหนักกว่าเก่า แต่คราวนี้มันพลาดครับ  มันที่เพิ่งจะปีนขึ้นไปนั่ง คงจะหลอกผมได้หรอก ว่าเป็นเสียงอย่างอื่นที่ไม่ใช่มัน

แกร๊บ..

มาแล้วครับเสียงเหยียบใบไม้  เสียงนี้มันเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆจนผมสัมผัสได้ว่ามันอยู่ข้างหลังผม จากอารมณ์กลัวที่มีอยู่ตอนแรก บัดนี้ได้กลายมาเป็นอารมณ์หงุดหงิดแทน เนื่องจากการเล่นไม่เลือกเวลาของมัน  แต่ถ้ามันจะเล่นผมก็จะสนองให้   ผมปล่อยให้มันยืนอยู่สักพักก่อนที่ผมจะตัดสินใจที่จะหันไปตวาดมัน   ทว่ากลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นห้ามการกระทำของผม

“เฮ้ย!!!  มึงออกไปทำอะไร จะกลับเข้าบ้านได้รึยัง อยากโดนปลดรึไงวะ”

กึก

ไอ้ภพครับ  มันมายืนอยู่ตรงประตูครัว แถมยังตะโกนเรียกผมด้วยเนื้อความแบบเดียวกับผมที่ตะโกนเรียกหามัน คาดว่าส่วนหนึ่งมันคงได้ยินเสียงผมที่โวยวายด่ามัน แต่ก่อนที่ผมจะเข้าใจในส่วนนั้น  ร่างกายของผมตอนนี้ได้ชาไปหมดทุกส่วน ถ้าไอ้ภพอยู่ตรงนั้นแล้วคนข้างหลังผมคือใคร?

ไอเย็นที่ผมสัมผัสได้ หรือจะเป็นความรู้สึกที่ว่ามีคนยืนอยู่ด้านหลังสิ่งเหล่านั้นก็ยังคงอยู่  ไม่ได้หายไปเหมือนหนังเหมือนละครแบบที่ผมเคยดู  ไม่อยากเข้าใจคำว่าผีอำเท่าไร แต่ตอนนี้ผมขยับตัวไปไหนไม่ได้ สิ่งเดียวที่ขยับมีเพียงปากไอ้ภพ ที่เรียกให้ผมกลับเข้าบ้าน และ สิ่งที่อยู่ด้านหลังผมเท่านั้น

แกร๊บ

มาแล้วครับ สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นไอ้ภพ กำลังเดินเข้ามาใกล้ผมอีกเรื่อยๆ  ผมได้แต่หลับตาปี๋ พร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหลจากความกลัว ตอนนี้ผมทำได้เพียงแค่หวังให้ไอ้ภพเห็นความผิดปกตินี้แล้วมาลากผมออกไปจากตรงนี้ก่อนที่ไอ้สิ่งที่อยู่ข้างหลังผมจะถึงตัวผม  แต่นั่นแหละ ผมไม่ใช่นางเอก มันจึงไม่เป็นแบบที่ผมคาดหวัง…..

“ฮืดดดดดดดดดดด  ฮืดดดดดดดดดดดด ฮืดดดดดดดดดด”

“หึหึ  โชคดี”

เสียงลมหายใจเหล่านั้น  คำพูดพวกนั้น คล้ายกับสิ่งที่ผมเจอมาก่อนหน้า  อะไรสักอย่างเริ่มเข้ามาคุกคามความปกติของผมขึ้นเรื่อยๆ ผมขยับออกไปไหนไม่ได้ มีเพียงน้ำตาที่ไหลออกเรื่อยๆ อีกทั้งสิ่งที่อยู่ด้านหลังของผมทำท่าว่าจะยื่นอะไรสักอย่างมาสัมผัสผม ถ้าไม่มีมือไอ้ภพเดินมาสัมผัสผมก่อน

“มึงจะร้องไห้ ทำไมวะ กูแค่เรียกเข้าบ้าน”

“อะ…ไอ้ภพ  ฮือออ”   ผมลืมตาขึ้นแล้วก็เห็นว่าไอ้ภพมันเดินมาลากผมให้เข้าบ้านไปพร้อมกับมัน ผมจึงปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาย พร้อมเกาะแขนไอ้ภพแน่น  โดยไม่หันหลังกลับไปมองตรงนั้นอีก

มือของผมสั่นไปหมด……

ใจของผมก็ด้วย

เสียงที่ได้ยินตอนแรก  ที่ผมคิดว่าไอ้ภพแกล้ง ไม่ใช่ไอ้ภพ

เสียงลมหายใจบนห้องน้ำชั้นสองนั่นอีก  นั่นก็ไม่ใช่ไอ้ภพ

แล้ว….สิ่งที่ผมกำลังต้องเผชิญอยู่หละ  มันคืออะไร?  อะไรที่กำลังเล่นกับชีวิตของผมอยู่?


*************************** TBC ******************************
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่2 27/12/2559
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 27-12-2016 20:48:11
โอ้ยยยยย อ่านแล้วน่ามากกกกกก :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่2 27/12/2559
เริ่มหัวข้อโดย: Babarahbreem ที่ 27-12-2016 21:53:27
เรื่องน่าติดตามมากค่าาาา :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่2 27/12/2559
เริ่มหัวข้อโดย: nuchhxk ที่ 28-12-2016 00:13:14
เนื้อเรื่องน่าติดตามดีค่ะ อ่านแล้วหลอนตาม  :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่2 27/12/2559
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 29-12-2016 19:55:24
เนื้อเรื่องน่าติดตามดีค่ะ อ่านแล้วหลอนตาม  :katai1:

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ  ฝากติดตามต่อเรื่อยๆจนจบนะครับ

คอมเม้นท์อื่นๆ  ผมไม่รู้จะอ้างถึงยังไง  ยังใช้ไม่ค่อยเป็นครับ ขอโทษด้วยนะครับ ยังไงก็ขอบคุณและฝากติดตามเหมือนกันนะครับ  เลิฟๆๆๆๆๆ :o8:

P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่3 ผีถ้วยแก้ว (30/12/2559)
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 30-12-2016 20:33:37
ตอนที่3

ผีถ้วยแก้ว


“มึงจะบอกกุได้รึยัง ว่าเมื่อคืนมึงเป็นอะไร”

คำถามนี้ของไอ้ภพ ได้ถูกเอ่ยถามผมเป็นระยะ  ตั้งแต่เมื่อคืนที่ไอ้ภพลากผมออกมาจากความน่ากลัวตรงนั้นมันก็เอาแต่ถามผมว่า ผมเป็นอะไร ทำไมผมที่เคารพในกฎกติกาเกมส์มากที่สุดถึงได้ทำอะไรแบบนั้น   ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน  ว่าผมเป็นอะไร หลังจากที่ความกลัวเริ่มลดลง สิ่งที่ยืนยันไอ้ภพได้ว่าผมยังคงมีลมหายใจอยู่มีเพียงน้ำตา และ ตัวที่ยังสั่นเทาของผมเท่านั้นที่ตอบมันได้  และมันก็คงรู้ว่าเค้นให้ตายยังไงผมก็คงยังไม่พูด มันจึงละความพยายามและล้มตัวนอนในที่สุด

“กู….ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากูเป็นอะไร”

“แล้วมึงวิ่งออกนอกประตูไปทำไม?”

ผมเงยหน้าขึ้นสบตาไอ้ภพหลังจากจบคำถามนั้น  ความแคลงใจหลายอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นในใจผม  ในเมื่อมันเห็นว่าผมวิ่งออกไป ทำไมถึงไม่ได้รู้เลยหละว่า ผมวิ่งตามมัน

“กูบอกไปมึงจะเชื่อกูมั้ยภพ?”

“ขึ้นอยู่กับเหตุผลของมึง”

“เอาเป็นว่าถ้ามึง อยากรู้กูก็จะบอก    ที่กูวิ่งออกไปตรงนั้นเพราะกูวิ่งตามบางอย่างซึ่งกูคิดว่าเป็นมึง”

“กู?”

“ใช่ มึงไม่ได้ยินเสียงอะไรหน่อยหรอภพ กูตะโกนไล่หลังสิ่งนั้นไปโดยเอ่ยชื่อมึงออกมาตลอดเวลา”

“เสียง?”

“ใช่ เสียง กูตะโกนด่าออกมาว่ามึงจะออกไปทำไม อีกอย่างทำไมมึงถึงไม่แปลกใจว่าประตูมันเปิดเอง”

“…..”

“ทำไม..ถึงไม่ตอบคำถามกู”ไอ้ภพทำท่าครุ่นคริดเหมือนกับว่าเหตุการณ์ที่ผมเจอไม่ได้เป็นเหตุการณ์เดียวกับมัน

“เอาเป็นว่ากูจะบอกมึงแค่ ประตูนั่นกูอาจปิดไม่สนิทเองก็ได้”

“แล้วเรื่องเสียงกูหละ มึงจะว่ายังไง”

“หูกูคงไม่ได้ตั้งใจฟังมึงมั้ง”

“กูไม่เชื่อ !!! ไอ้ภพบอกกูเถอะ มันแปลกไปทุกอย่างตั้งแต่กูท่องคาถานั่น”

“เฮ้อ  มึงไปนั่งสงบสติตัวเองก่อนไป ไอ้มิว”

ผมเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้อีกครั้ง  หลังจากที่ผมคาดหวังกับคำตอบของไอ้ภพ  ทำไมมันถึงไม่ได้ยินเสียงผมว่าผมกำลังเรียกมัน ความกลัวที่ตกตะกอนในใจผมตั้งแต่ที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมเกมส์ มันเริ่มถูกเหตุการณ์หลายๆอย่างกวนให้ใจผมขุ่นมัวอีกครั้ง  การที่ไอ้ภพเมินที่จะตอบผมมันมีความเสี่ยงสูงมากที่ไอ้ภพจะไม่ได้ยินว่าผมพูดอะไร ซึ่งนั่นคงไม่ได้ทำให้ผมต่างไปจากวิญญาณพวกนั้น ออกมาให้รับรู้  ออกมาให้เห็น แต่คนเป็นก็ไม่รับรู้อยู่ดีว่าต้องการอะไร

“ภพ อย่าเมินกู  ตอบคำถามกูเถอะกูไหว้หละ”

“มึงอย่าเซ้าซี้ไอ้มิว  นู่นมึงเตรียมไปตอบคำถามคนพวกนั้นดีกว่า”

ไอ้ภพพูดเสร็จก็ชี้ให้ผมเห็นว่า ตอนนี้หน้าบ้านมีทีมงานของเกมส์ 2-3 คน กำลังเดินเข้ามาหาพวกผมที่ยืนคุยกันอยู่  คาดว่าเรื่องเมื่อคืนที่ผมทำผิดกฎนั้นทางรายการคงจะได้รับรู้กันแล้วผ่านกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่บริเวณห้องครัว และคงอยากหาเหตุผลเหมือนๆกับไอ้ภพว่าทำไมผมถึงผิดกติกา

“ขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะการถ่ายทำของคุณมิวและคุณภพนะครับ จำพวกผมได้มั้ย”

“จำได้ครับ”

“งั้นผมจะไม่แนะนำตัวใหม่นะครับ อย่างที่พวกคุณทราบกันว่า กติกาของเราคือห้ามออกจากบริเวณบ้านในยามวิกาลซึ่งเมื่อคืนคุณมิวได้ทำผิดกฎในข้อนี้ “

“จะปลดมันออกทันทีเลยหรอครับ”  ไอ้ภพถามกลับทีมงานกลุ่มนั้น หลังจากที่ทีมงานชี้แจงรายละเอียดความผิดผม

“ตามจริงจะปลดเพื่อลงโทษเลยก็ได้ครับ แต่ทางผู้จัดการเกมส์ต้องการฟังเหตุผลของคุณมิวก่อน เนื่องด้วยเป็นการทำผิดครั้งแรก ทางเราจึงเห็นตรงกันว่าหากเหตุผลนั้นฟังขึ้นทางเราจะอนุญาตให้คุณมิวร่วมเล่นเกมส์ต่อได้ครับ”

“ว่าไงครับ คุณมิวพร้อมชี้แจงเหตุผลหรือไม่ครับ”

"ค…คือ  คือผม"

“เอาเป็นว่าถ้าคุณมิวยังไม่พร้อมตอนนี้ก็ไม่เป็นไรครับ ทางเราจะนำเทปบันทึกของเมื่อคืนมารีรันให้คุณมิวดูอีกครั้ง เมื่อจบการรีรันผมหวังว่าจะได้คำตอบของคำถามนะครับ”

“ไม่ต้องครับ”

“ทำไมครับคุณภพ”

“จะรีรันภาพซ้ำอีกทำไมครับ ในเมื่อพวกผมคือคนที่เล่นเกมส์นั้นเอง” ไอ้ภพเริ่มขึ้นเสียงใส่ทีมงานแล้วครับ ไม่รู้ว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้มันเริ่มไม่พอใจการคาดคั้นของทีมงานที่ทำต่อผม

“งั้นคุณมิว  ได้โปรดตอบคำถามด้วยครับ พวกผมมีเวลาจำกัดสำหรับตรงนี้”

“ผมไม่มีข้อแก้ตัวครับ ผมออกไปจริงตามที่พวกคุณเห็นนั่นแหละครับ”

“งั้นผมคงต้องขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับคุณไม่มีสิ…”

“เป็นความผิดของผมเองครับ”

“เกิดอะไรขึ้นครับคุณภพ”

“อย่างที่เห็น กันในเทปเมื่อคีนนะครับ ผมเป็นคนที่แอบอยู่ในครัวนั่น สาเหตุที่ประตูถูกเปิดคิดว่าน่าจะมาจากผมที่ปิดไม่สนิทเอง อีกอย่างที่ไอ้มิวมันวิ่งออกไปตรงนั้นเพราะผมทำของตกลงมาแล้วมันกลิ้งออกไปครับ ไอ้มิวจึงต้องวิ่งไปเก็บ”

“แต่…”

“ได้โปรดบอกทางผู้จัดการเกมส์ด้วยครับ หากนี่เป็นความผิดครั้งแรก โปรดเข้าใจอะไรง่ายๆด้วยครับ”

“งั้นรอสักครู่นะครับ”

เมื่อทีมงานพูดเสร็จก็ได้ต่อสายหาใครสักคนคาดว่าน่าจะเป็นผู้จักการเกมส์ เพื่อบอกกล่าวถึงเหตุผลของผม ระหว่างนั้นผมจึงได้หันกลับไปมองหน้าไอ้ภพ ทำไมมันต้องใช้ตาและน้ำเสียงโหดแบบนั้นกับทางทีมงานและยังเรื่องโกหกนั่นอีก เหมือนกับว่า มันไม่อยากให้ผมออกจากเกมส์นี้ ทั้งๆที่ตัวของมันเองในทีแรก ก็ไม่ได้อยากให้ผมเข้าร่วมด้วยอยู่แล้ว ทำไมมันถึงไม่ใช้โอกาสนี้เอาผมออก

“ทางผู้จัดการให้ข้อตกลงมาแล้วนะครับว่า จะยังให้คุณมิวเล่นเกมส์ต่อแต่ช่วยเคารพกติกาด้วยนะครับ เกรงว่าหากทำผิดในครั้งต่อไป จะไม่ได้รับโอกาสแบบนี้อีก”

“ขอบคุณครับ”

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ”

“เอ่อ เดี๋ยวครับ วันนี้ทีมงานอีกคนไม่มาหรอครับ คนที่คุยกับผมวันที่มาส่งผมหนะครับ”

ผมถามหาทีมงานอีกคนที่เคยเตือนผมกับไอ้ภพให้เคารพในกติกา เนื่องจากเหตุการณ์เมื่อคืนเริ่มทำให้ผมอยากรู้ถึงความน่ากลัวของเกมส์นี้ให้มากขึ้น และคนเดียวที่คาดว่าจะให้คำตอบกับผมได้ คงมีเพียงทีมงานคนนั้น

“อ๋อ วันนี้ไม่มาครับ เขาต้องไปทำงานกับผู้จัดการเกมส์ครับ”

“อ่อ  ขอบคุณอีกครั้งครับ”

เมื่อทีมงานออกจากบ้านไป ผมจึงได้หันกลับมาคุยกับไอ้ภพอีกครั้งเพื่อถามถึงสาเหตุที่มันยังเก็บผมไว้ในเกมส์

“ภพ ทำไมมึงถึงต้องสร้างเรื่องมาปกป้องกู”

“ให้มึงออกจากเกมส์ด้วยวิธีนี้มันไม่แฟร์หวะ กูอยากให้มึงไปขอออกเองมากกว่า”

“แค่นั้นหรอ?”

“เออ  อย่าถามมากได้มั้ยวะ ได้อยู่ต่อก็ดีแล้วไง”

“ขอบคุณ”

“มึงคงมีเหตุผลของมึงที่จะอยู่ต่อ”

มันพูดทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้น แล้วก็หันหลังกลับไปทางประตูครัว ทำแบบเดิมกับทุกๆวันตั้งแต่มันมาที่บ้านหลังนี้คือการปีนกำแพงด้านหลังบ้านออกไป แล้วกลับมาในสภาพที่สกปรก  อยากจะถามมันเหลือเกินว่ามันออกไปทำอะไร อีกอย่างเสื้อผ้ามันเอามาก็ไม่ได้เยอะ ยังจะไปทำให้มันเปื้อนอีก  พูดถึงเสื้อผ้าเปื้อน เย็นนี้ผมคงต้องขอลุงคำเอาผงซักฟอกมาซักผ้าแล้วหละครับ 3 วันแล้วที่เสื้อผ้าพวกผมยังกองอยู่ในตะกร้าบนบ้าน


***********************


“ลุงคำครับ  พรุ่งนี้ผมขอผงซักฟอกสักถุงได้มั้ยครับ จะซักผ้าครับ”

“อ้าว ยังไม่เห็นหรอลุงเอามาให้แล้วนะ อยู่ในตู้เก็บของถ้าซักกันไม่เป็นจะฝากไปให้ลุงซักให้มั้ย”

“ไม่เป็นไรครับลุง เกรงใจลุงครับ”

“ลุงไม่ได้จะเอาไปซักเอง เดี๋ยวเอาไปให้ร้านซักให้”

“ไม่เป็นไรครับลุง   ซักเองดีกว่าครับ”

“เอางั้นก็ได้  เดี๋ยวลุงไปแล้วนะ”

“ครับลุง”

“ทำไมมึงไม่เอาไปให้ลุงเค้าซักให้วะ” ไอ้ภพ ถามผมหลังจากที่ลุงคำเดินออกจากบ้านไป

“มึงคิดว่าลุงเค้าจะไม่สงสัยหรอ เรื่องเสื้อผ้ามึงที่เปื้อนดินได้ขนาดนั้นอ่ะ”

"....."

“ถามจริงๆนะไอ้ภพ มึงออกไปทำห่าอะไรทุกวันวะ กลับมาทีเสื้อผ้ามึงนี่อย่างกับไปรบมา”

“มึงไม่ได้อยากรู้หรอก”

“มึงจะไม่บอกกูก็บอกมา ห่านี่ชอบทำตัวมีความลับ”

บ่นมันเสร็จก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินไปทำอาหารเย็น  ทำไปซักพักไอ้ภพก็เดินมาสมทบ   ไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นมันไปยืนทำเอ็มวีตรงไหนมาถึงได้มาช่วยช้านัก

“กูอ่านแล้วนะ”

“อ่านไรวะ”

“ภารกิจที่ต้องทำคืนนี้”

เคร้งงงงงงงงง

ตะหลิวบนมือผมร่วงหล่นทันที หลังจากฟังประโยคหยุดหายใจของไอ้ภพ   ผมเคยชินกับชีวิตตอนกลางวันมากไปจนลืมนึกไปว่า ผมจะต้องทำภารกิจในตอนกลางคืนทุกวัน อาจด้วยเพราะวันนี้ผมมีแต่เรื่อง  หรือเพราะผมพยายามคิดเรื่องไอ้ภพเยอะๆ จึงทำให้ผมลืมเรื่องที่ผมควรเป็นกังวลมากที่สุดตอนนี้

“แล้ว….มันให้ทำอะไร”  เสียงของผมคงแผ่วลงไป ถึงได้ทำให้ไอ้ภพที่กำลังก้มเก็บตะหลิว  หันมามองหน้าผมทันทีหลังจากผมถามจบ มันคงเริ่มรู้แล้วว่า ผมยังคงกลัวและประหม่ากับภารกิจที่ต้องทำต่อจากนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากบางสิ่งบางอย่างที่ผมเจอในภารกิจแรก

“ไม่ยาก ภารกิจนี้ไม่ต้องท่องคาถาอะไรทั้งสิ้น เป็นเกมส์ที่พวกเราทุกคนต้องเคยเล่นอยู่แล้ว” มันตอบคำถามผมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ค่อนไปทางปลอบใจผม  ก่อนจะหยุดเพื่อสังเกตสีหน้าของผมที่มองมันอยู่ แล้วพูดต่อไปว่า

“ผีถ้วยแก้ว รู้จักใช่มั้ย?”

“อืม...วิธีการเล่นหละ เกมส์บังคับให้ต้องทำอะไรรึป่าว”

“ไม่ เกมส์นี้ค่อนข้างเบากว่าเมื่อคืนเพียงแต่คำถามที่จะต้องใช้ถามจะต้องคิดขึ้นมา 13 คำถาม”

“เริ่มเมื่อไร”

“เวลาเดิม….เที่ยงคืน”

ผมเงียบลงหลังจากคุยเรื่องภารกิจกับไอ้ภพเสร็จ ไอ้ภพก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรกับผมในเวลานี้  มันอาจจะรู้ว่าผมต้องการเวลาอยู่กับตัวเองให้มากขึ้น นับถือเกมส์จริงๆเลือกเวลาและคำถามให้เป็นตัวเลขที่หนังผีชอบใช้กัน  13 คำถาม ผมพอจะนึกออกบ้างแล้วหละว่าจะถามอะไร อย่างน้อยก็คำถามเบสิค ชื่ออะไร  ตายยังไง ผู้หญิงหรือผู้ชาย

“ภพ แล้วมึงจะเอาของเล่นผีถ้วยแก้วมาจากไหน”

ผมเริ่มที่จะกลับมาคุยเรื่องภารกิจอีกครั้งหลังจากอาบน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่เดียวกับเมื่อวาน  บนเตียงในห้องนอนของผม   ไอ้ภพซึ่งกำลังนั่งมองออกไปทางหน้าต่างเหมือนเดิมนั้น หันกลับมามองผมครู่หนึ่งก่อนจะหันไปเปิดหนังสือนั่นอีกรอบ

“ในหนังสือเขียนว่า ของเล่นผีถ้วยแก้วอยู่ใต้ตู้หนังสือ”

“อืม  แล้วมึงคิดไว้รึยังว่าจะถามอะไรบ้าง”

“ก็คำถามทั่วไป  เอาให้ครบ 13 คำถามก็พอ ขี้เกียจโดนไอ้พวกทีมงานมันมาไต่สวนอีก”

“งั้นตอนนี้  ก็อยู่เฉยๆรอเวลาไปแบบเดิมเหมือนเมื่อวานละกัน”

“มิว ถามจริงๆนะเมื่อวานมึงเจออะไร”

ไอ้ภพหันหน้าออกไปมองที่หน้าต่างอีกครั้ง พร้อมกับเอ่ยคำถามที่ผมได้ให้คำตอบกับมันไปแล้ว ผมซึ่งนั่งอยู่เฉยๆก็ทำได้แค่มองมัน  มันจะรู้มั้ยว่าผมกลัวมากจนไม่อยากพูดถึงมันอีก แต่ท่าทางของมันคงไม่ได้ตั้งใจทำให้ผมกลัว มันคงกำลังต้องการคำตอบบางอย่างไปลบความสงสัยในใจมัน

“เฮ้อ ภพกูไม่รู้นะว่ามึงต้องการคำตอบแบบไหน แต่สิ่งที่กูเจอมากูได้บอกมึงไปหมดแล้ว อยู่ที่มึงจะเชื่อกูหรือไม่เชื่อ ที่กูบอกมึงว่ากูก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร กูพูดจริงๆ เพราะกูก็ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเหมือนกัน หลังจากกูท่องคาถาบทนั้นจบ กูก็มองบ้านหลังนี้ไม่เหมือนเดิมเลย ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว   ภารกิจวันนี้กูถึงได้…กลัว”

พูดจบมันก็หันหน้ามามองผมพร้อมกับพยักหน้า  แปลกดีที่มันไม่ได้มีทีท่าสงสัยหรือไม่เชื่อใจอะไรในตัวผม กลับกันท่าทางของมันกลับแสดงออกเหมือนกับว่า มันเคารพและยอมรับในคำตอบของผม อีกทั้งตั้งแต่ผมเจอเรื่องน่ากลัวเมื่อคืน ไอ้ภพก็ดูเข้าถึงง่ายขึ้น พูดกับผมมากขึ้น ผิดกับไอ้ภพที่ผมเจอวันแรก

“ภพ มึงไปเจออะไรมา ทำไมถึงเข้ามาร่วมในเกมส์นี้เหมือนมึงไม่กลัวอะไรสักอย่าง ความลับหลายๆอย่างของมึงพอจะบอกกูได้มั้ย”

“ถ้ากูพร้อม มึงจะรู้เอง”

ผมพยักหน้าตอบมันไป แสดงให้มันเห็นว่าผมเคารพกับการตัดสินใจของมัน และปล่อยให้มันนั่งซึมซับบรรยากาศของตัวเองไป ตัวผมก็ทำได้แต่นั่งสวดมนตร์  หอบเอาทุกบทสวดที่พอจะนึกได้ ท่องวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า สะกดจิตตัวเองให้เชื่อในความเป็นจริงมากกว่าสิ่งที่ผมคิดว่าผมสร้างมันขึ้นมา

“มึง มึง ตื่น”

"ฮะ ฮะ กูเผลอหลับไปหรอ"

“เออ ไปทำภารกิจได้แล้ว ถึงเวลาแล้ว”

“เชี่ยยยย  ไม่อยากทำเลยโว้ยยยยยยยย” 

“หึ”  เสียงบางอย่างของมัน เรียกความสนใจให้ผมต้องหันไปมอง และพบว่ามันกำลังกลั้นขำพฤติกรรมของผมอยู่   ผมลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยออกจากตัวให้พร้อมสำหรับการเล่นเกมส์คืนนี้  แต่ภาพเหล่านั้นมันคงดูทุเรศทุรังในสายตาไอ้ภพ จึงทำให้มันเผยรอยยิ้มเล็กๆออกมา

“เฮ้ย มึงยิ้มก็เป็นนี่หว่า แล้วจะ ทำฟอร์มไปทำไมวะ”  ผมเอ่ยปากแซวมันที่รีบทำหน้าให้กลับมาเป็นปกติ

“เรื่องของกู มึงไปปิดไฟได้แล้ว ไอ้เกมส์ห่านี่แม่งก็ให้เล่นแต่ที่มืดๆ”

"55555  เออๆ เขินก็บอกดิวะ"

“เสือก!!!”

หลังจากแหย่มันได้ ผมก็เดินไปปิดไฟทุกดวงของบ้านนี้เหลือเพียงไฟของห้องนั่งเล่นที่ยังคงต้องเปิดไว้ เพราะไอ้ภพกำลังไปเอาเทียนมาจุดเป็น 4 มุม ล้อมรอบการเล่นผีถ้วยแก้วของพวกผมอยู่  ไอ้ภพนี่ก็ประสาท ผมก็บอกมันอยู่ว่ากลัว มันยังจะใช้ให้ผมไปปิดไฟแล้วค่อยเดินไปหามัน ผมต้องระแวงหลังตัวเองขนาดหนัก ทุกครั้งที่หันหลังให้กับความมืด

“แล้วกระดานผีถ้วยแก้วอยู่ไหน” ผมถามมันที่จุดเทียนครบ4เล่ม

“มึงเข้าไปนั่งตรงกลางเทียนเลย เดี๋ยวกูไปเอาเอง”

พูดจบไอ้ภพ ก็ไปก้มๆเงยๆ อยู่ที่ชั้นหนังสือ จนเห็นว่ามันดึงกระดานอันหนึ่งออกมาถึงได้มั่นใจว่ามันเจอแล้ว

“กูปิดไฟเลยแล้วกัน”

“อืม”

พรึบบบบ

ไฟบ้านนี้ถูกปิดลงทั้งหมดเหลือเพียงแต่แสงเทียนที่จุดอยู่รอบๆตัวผมให้เห็นกระดานเท่านั้น ดีหน่อยที่ภารกิจนี้ผมไม่ต้องดับเทียน  เมื่อไอ้ภพยกกระดานมาไว้ตรงหน้าผม  สิ่งที่ผมเห็นคือกระดานผีถ้วยแก้วรูปแบบทั่วๆไปที่ใช้เล่นกันอยู่  แต่ที่ต่างออกไปก็คือ  แก้วที่ใช้เล่นมี2 ใบ

“ไอ้ภพ  ทำไมแก้วมันมีสองใบวะ”

“กูก็ไม่รู้ กูหยิบมา มันก็ถูกวางอยู่บนกระดานแล้ว กันแก้วแตกมั้ง”

“ไอ้เหี้ย!! ปากเสีย เล่นผีถ้วยแก้วที่ไหนเค้าให้แก้วแตกได้”

“หมายความว่าไง”

“มึงอาจไม่เคยรู้นะภพ แต่ผีถ้วยแก้วมันคือการเชิญวิญญาณเข้ามาอยู่ในแก้ว หากแก้วแตกหรือมีใครเอานิ้วออกจากแก้วก่อนการเชิญออก วิญญาณจะไม่ไปไหน เค้าจะยังอยู่กับมึงในสถานที่ที่มึงเชิญเค้ามา”

“แล้วมึงเชื่อ?”

“ใช่กูเชื่อ ถึงกูไม่เชื่อ กูก็ไม่กล้าไปลบหลู่สิ่งแบบนี้ มึงไม่ใช่กูไม่มีทางรู้หรอกว่าตอนนี้กูกลัวมากแค่ไหน”

ผมตวาดมันไปพร้อมกับมองหน้ามัน ผมอาจจะปล่อยให้อารมณ์ครอบงำตัวเองมากไปจนควบคุมสติไม่ได้ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ผมยังไม่ช็อกหรือหัวใจวายตายไปซะก่อนก็ถือว่าผมเก่งมากแล้ว

“งั้นก็รีบเริ่มเกมส์เถอะ” มันมองหน้าผมแค่นั้นแล้วก็ตัดจบโดยการบอกให้ผมเริ่มเกมส์

“เอาแก้วไปวางไว้ตรงจุดเริ่มก่อนไอ้ภพ เสร็จแล้วเอานิ้วมาแตะแก้วไว้พร้อมกู แล้วพูดตามกูนะ”  แม้จะกลัวแค่ไหนผมก็ต้องเป็นผู้นำของเกมส์นี้ ดูท่าแล้วไอ้ภพคงแค่รู้จักและเคยเล่นไม่บ่อยครั้ง

“วิญญาณ สัมภเวสี ตนใดที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้  บริเวณนี้ หากได้ยินเสียงของข้าพเจ้า ได้โปรดมาเข้าแก้วนี้ด้วยเถิด”

พรึบ ลมเย็นๆลูกหนึ่งได้พัดเข้ามาจากตรงไหนสักที่แม้ไม่ได้พัดมาแรงมาก แต่ก็สามารถทำให้เปลวเทียนสั่นไหวจนสังเกตได้ อีกทั้งยังสามารถทำให้ขนในร่างกายของผมลุกชันขึ้นมาจากความกลัว  ผมเงยหน้ามองไอ้ภพ ด้วยดวงตาที่บัดนี้ที่เริ่มถูกคลุมไปด้วยม่านน้ำตา ไอ้ภพพยักหน้ากับผมอีกครั้งเป็นสัญญาณให้ผมเริ่มให้จบ

“ถ..ถ้ามีวิญญาณอยู่ในแก้วใบนี้แล้วจริงๆได้โปรดเดินไปที่คำว่าใช่”

ใช่    

 แก้วถูกเลื่อนไปทันทีหลังผมถามคำถามเสร็จ นั่นจึงทำให้ผมกับไอ้ภพมองหน้ากันทันที หยั่งเชิงกันว่าใครคือคนดันแก้ว เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครได้ออกแรงดัน คำถามต่อไปจึงเริ่มขึ้น

"คุณเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“ผู้หญิง”

“มึง เค้าเป็นผู้หญิงหวะ ถามอะไรต่..” ผมเงยหน้าถามไอ้ภพทันทีหลังจากรู้เพศของวิญญาณ แต่ก็ต้องหยุดคำถามนั่น เพราะแก้วดันเลื่อนไปมาอีกครั้ง และไปตามตัวอักษรที่สุดท้ายออกมาเป็นคำว่า “ผู้ชาย”

“เกิดอะไร”  ไอ้ภพถามผม  หลังจากที่แก้วเกิดการเลื่อนไปมาสลับกันระหว่างคำว่า ผู้หญิง และผู้ชาย

“ภพ มึงไม่ได้ดันหรอ” ผมถามกลับไปที่ไอ้ภพทันที ร่างกายผมตอบสนองต่อความกลัวตรงหน้าอย่างรวดเร็วด้วยการปล่อยให้เหงื่อเริ่มซึมออกมาตามไรผมและขมับ

“เพ้อเจ้อ มึงรีบถามคำถามต่อไปเถอะ”

“ค..คุณ ตายยังไง?”

“ฆ่า”

“ช่วยด้วย”

“ฆ่า”   


แก้วที่มือผมถูกเลื่อนอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว สลับไปมาระหว่างคำว่าฆ่าและช่วยด้วย  น้ำตาที่ผมพยายามเก็บมาบัดนี้เริ่มไหลออกมาทางหางตาของผม ความเครียดที่ก่อตัวขึ้นภายในหัวเริ่มทำให้ใจของผมเกิดการร้อนรน ควบคุมอะไรไม่ได้ตัวสั่นไปหมด  ผมทำได้แค่ เอ่ยปากแบบไม่มีเสียงให้ไอ้ภพเห็นว่า “กลัว” แต่ก็อย่างที่รู้แก้วเมื่อเคลื่อนแล้ว เราจะไม่มีทางทำให้มันหยุดได้จนกว่ามันจะหยุดเอง     

เพล้งงงงงงงง

แก้วที่มือของผมกับไอ้ภพ แตกขึ้นมาทันทีหลังจากการเคลื่อนที่ไปมาแบบไม่มีการหยุด พร้อมทั้งเทียนที่คอยให้ความสว่างของบ้านนี้ก็ดับลงไปด้วย

“ภพ ไอ้ภพ  เกิดอะไรขึ้น ทำไมแก้วแตก” ผมกระโดดเข้าไปนั่งใกล้ไอ้ภพ และเริ่มที่จะโวยวายกับเหตุการณ์ตรงหน้า ผมร้องไห้ไม่ต่างไปกับเมื่อคืนวาน จนไอ้ภพที่นั่งอยู่หันกลับมาจับตัวผมให้ตั้งสติและจะเริ่มเล่นใหม่อีกครั้งโดยใช้แก้วอีกใบ

“ไอ้มิว  มึงตั้งสติ  ตอนนี้เราได้ไป3 คำถามแล้ว  รีบถามต่อให้จบๆกันเหอะ”

“ภพ กูไม่ไหวแล้ว ทำไมกูต้องมาเจออะไรแบบนี้”

“ใจเย็นๆกูก็นั่งอยู่ตรงนี้   รีบเล่นให้จบกัน”  ไอ้ภพปลอบผม พร้อมกับหันไปสนใจกระดานนั่นอีกครั้ง แสงจากดวงจันทร์ถูกส่องเข้ามาในบ้าน ผมกับไอ้ภพจึงละเลยในการจุดเทียนให้แสงสว่างเป็นครั้งที่สอง

“วิญญาณ สัมภเวสี ตนใดที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้  บริเวณนี้ หากได้ยินเสียงของข้าพเจ้า ได้โปรดมาเข้าแก้วนี้ด้วยเถิด”

คำกล่าวเชิญวิญญาณถูกอ้างถึงอีกครั้งโดยไอ้ภพ  ซึ่งตอนนี้ได้ทำหน้าที่ทุกอย่างแทนผมที่ใกล้จะเสียสติไปกับเกมส์นี้

“ถ้ามีวิญญาณอยู่ในแก้วใบนี้แล้วจริงๆได้โปรดเดินไปที่คำว่าใช่”

นิ่งสนิท…..

แก้วบนกระดานไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเกิดขึ้น สร้างความฉงนให้กับไอ้ภพ ผมที่ไม่อยากให้เสียเวลาจึงรีบรับหน้าที่ที่จะพูดคำพวกนั้นแทนมัน

“ถ้ามีวิญญาณอยู่ในแก้วใบนี้แล้วจริ..”

กึก

ลมหายใจของผมถูกขัดจังหวะทันที เมื่อครั้นผมจะกล่าวเชิญวิญญาณให้มาเข้าแก้วเหมือนอย่างที่เคยทำก่อนหน้า กลับมีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป หากมือบนแก้วมีเพียงสองผมคงพูดต่อไปได้ แต่นี่ กลับมีมือจำนวนไม่ต่ำกว่า 5 มือ ถูกยื่นเข้ามาจับบนแก้วใบนี้ร่วมกับผม ไอเย็นที่ผมสัมผัสได้คือสิ่งยืนยันเพียงสิ่งเดียวว่าผมไม่ได้ตาฝาด

การที่ผมมาร่วมเล่นเกมส์  ผมไม่ได้ลบหลู่ต่างไปจากไอ้ภพ แล้วทำไมสิ่งที่ต้องเจอถึงไม่เหมือนกัน…

“มิว มึงเป็นอะไร” ไอ้ภพถามผมอีกครั้ง หลังจากความผิดปกติของผมเกิดขึ้น ตัวผมสั่น มือผมสั่นไปหมด น้ำตาที่แห้งไปแล้วกลับไหลอีกครั้ง ยิ่งแก้วในมือผมถูกอีกหลายๆมือเลื่อนไปที่คำว่าใช่ แล้วนั้นผมยิ่งควบคุมไม่ได้

“งั้นกูถามเอง ให้แม่งจบๆไป  พวกมึงอยู่ที่ไหน” ไอ้ภพเอ่ยคำถามเสียงดังลั่นบ้าน

“บ้าน หลัง นี้”

“มึงอยู่ตรงไหน”  ไอ้ภพคงไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเริ่มถามคำถามไร้สาระ เพื่อให้ครบตามจำนวนที่กำหนดไว้

“ภ..ภพ มึงอย่าถามคำถามนี้”  ผมห้ามไอ้ภพ แต่ก็ไม่ทัน ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นอีกเลยตั้งแต่เห็นมือบนแก้วแย่งกันเลื่อนแก้วใบนั้นไปมา  เหมือนเป็นของเล่นชิ้นหนึ่งของพวกมัน

“นอก แก้ว ใบ นี้”

“นอกแก้วใบนี้…ไอ้มิวเห็นพวกมึงด้วยใช่มั้ย” มันพึมพำออกมา และถามคำถามสิ้นคิดออกไปเมื่อรู้แล้วว่าผมเป็นอะไร

“ไอ้ภพ!!   ฮือออออ”

“เชื่อใจกูมึงทนหน่อย  คำถาม ใกล้จะหมดแล้ว”

“มัน เห็น พวก กู”

“กูจะถามมึงอีกครั้ง มึงตายยังไง”  คำถามนี้เคยถูกเอ่ยขึ้นจนทำให้แก้วใบแรกแตก และยังเป็นเหมือนคำถามคีย์เวิร์ดที่พวกสัมภเวสีมันรอ  แก้วถูกมือพวกนั้นแย่งกันเลื่อนขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับมีเสียงของวิญญาณพวกนั้นเอ่ยออกมาแบบเดียวกัน

“ฆ่า”

“พวกกูถูกฆ่า”


มันเอ่ยข้อความนี้กรอกหูผมซ้ำๆ มือหนึ่งอยู่บนแก้ว อีกมือของผมจึงต้องยกขึ้นมาปิดหูตัวเอง เสียงนั่นดังขึ้นเรื่อยๆจนเริ่มจับไม่ได้แล้วว่ามาจากจุดไหน เหมือนมันต้องการให้ผมรับรู้ถึงความทรมานของพวกมัน หากแต่ไอ้ภพจะรับรู้ เกมส์นี้มันคงง่ายขึ้น  แก้วถูกเลื่อนไปมาอย่างไม่มีทิศทางทำให้ไอ้ภพ จับไม่ได้ว่ามันต้องการจะบอกอะไร

“ฆ่า!!!!  พวกมันถูกฆ่า!!!”

แก้วใบนั้น…หยุดทันทีหลังจากผมเอ่ยปากบอกไอ้ภพ  พร้อมๆกับที่ไอ้ภพ หันมามองผมที่ก้มหน้าปิดหูตัวเองอยู่

“หมายความว่าไงไอ้มิว”

“ฮึก ภพ พวกมันถูกฆ่า มึงได้ยินมั้ย มันถูกฆ่าตาย “

“มึงรู้ได้ยังไง….ไอ้มิว” พูดจบมันก็หันไปมองที่แก้วบนกระดานที่บัดนี้มันถูกหยุดตรงตัว     เหมือนกับเรื่องบังเอิญในฝัน  ทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างหยุดอยู่ตรงนั้น มีเพียงมือของวิญญาณเหล่านั้นที่จงใจเคลื่อนแก้วให้เป็นไปตามความต้องการของพวกมัน

ในหัวผมเต็มไปด้วยคำถาม  ทำไมไอ้ภพถึงไม่สามารถรับรู้อะไรพวกนี้  ทำไมถึงต้องเป็นผมที่ถูกเลือกให้มาเจอพวกมัน ทำไมคาถานั่นถึงมีผลกับผมแค่คนเดียว  และอีกครั้งทำไมถึงต้องเป็น…ผม







****************************************TBC*****************************************

สุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้านะครับ  มีความสุขกันมากๆ  วันนี้ผมเอาตอนที่ 3 มาลงให้แล้ว

เจอกันวันอังคารหน้าครับ

P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่3 ผีถ้วยแก้ว (30/12/2559)
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 30-12-2016 21:02:40
หลอนจริงๆ ค่ะ หลอนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
 :katai1: :katai1:
วิญญาณที่ถูกฆ่า ใครเป็นคนทำ ทีมงานหรือเปล่า ภพออกไปทำอะไรกันแน่ เหมือนเคยเล่นเกมส์นี้มาแล้วหรือไม่ก็ต้องเจอเรื่องไม่ดีมาแน่ๆ เลย ว่าแต่นัทเป็นใคร เป็นหนึ่งในวิญญาณหรือเปล่า

ติดตามค่ะ
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่3 ผีถ้วยแก้ว (30/12/2559)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 31-12-2016 09:23:03
โอ๊ยยยย หลอน :ling2:
ดีนะอ่านตอนกลางวัน ภพมีความหลังกับบ้านนี้ใช่ไหม? นัทก็ด้วย
ไอ่ที่ออกไปหลังบ้านบ่อยๆต้องมีเงื่อนงำแน่นอน :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่3 ผีถ้วยแก้ว (30/12/2559)
เริ่มหัวข้อโดย: nuchhxk ที่ 31-12-2016 11:25:57
เรา ไม่ กล้า อ่าน ตอน กลาง คืน !!!!!!! มันน่ากลัวจริงๆนะ สงสารมิวมากๆ คนที่อยากเห็นดันไม่เห็น มิวะยังโอเคในวันต่อๆไปไหมคะเนี่ย  :katai1: ติดตามต่อๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่3 ผีถ้วยแก้ว (30/12/2559)
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 31-12-2016 15:42:11
อื้อหืออออ สนุกดีค่าาาา เพิ่งเจอนิยายหลอนอ่านแล้วเห็นภาพในรอบหลายปี สุขสันต์วันปีใหม่ค่า :กอด1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่3 ผีถ้วยแก้ว (30/12/2559)
เริ่มหัวข้อโดย: ไม่บอกเธอ ที่ 31-12-2016 17:49:49
เดาเลยครับ ออกไปขุดหาศพน้องชาย น้องสาว หรือแฟนเก่าแน่ๆ
หรือไม่ก็ไปขุดเอาไว้ใช้ อะไรบางอย่าง

รอต่อปายยยยยยยย :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่3 ผีถ้วยแก้ว (30/12/2559)
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 01-01-2017 22:18:53
Azure ::  โอ๊ยยยย หลอน ดีนะอ่านตอนกลางวัน ภพมีความหลังกับบ้านนี้ใช่ไหม? นัทก็ด้วย
ไอ่ที่ออกไปหลังบ้านบ่อยๆต้องมีเงื่อนงำแน่นอน
ตอบ ::  ใจเย็นๆ  อ่านตอนกลางคืนก็ได้อีกบรรยากาศนะครับ 55555  //// รอลุ้นๆ ฝากติดตามเรื่อยๆนะครับ

Mirage   ::    หลอนจริงๆ ค่ะ หลอนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่    วิญญาณที่ถูกฆ่า ใครเป็นคนทำ ทีมงานหรือเปล่า ภพออกไปทำอะไรกันแน่ เหมือนเคยเล่นเกมส์นี้มาแล้วหรือไม่ก็ต้องเจอเรื่องไม่ดีมาแน่ๆ เลย ว่าแต่นัทเป็นใคร เป็นหนึ่งในวิญญาณหรือเปล่า     ติดตามค่ะ
ตอบ ::   ปีใหม่นี้ก็รอหลอนต่อนะครับ 5555    ////  รอลุ้นเลยว่าจะเดาถูกรึเปล่า  ขอบคุณที่ติดตามนะครับ

nuchhxk  ::  เรา ไม่ กล้า อ่าน ตอน กลาง คืน !!!!!!! มันน่ากลัวจริงๆนะ สงสารมิวมากๆ คนที่อยากเห็นดันไม่เห็น มิวะยังโอเคในวันต่อๆไปไหมคะเนี่ย  ติดตามต่อๆ
ตอบ ::  ลองอ่านๆ ได้อีกบรรยากาศเลย  55555  รอลุ้นในตอนต่อๆไปนะครับ  ขอบคุณที่ติดตามกัน

   
เข็มวินาที  ::  อื้อหืออออ สนุกดีค่าาาา เพิ่งเจอนิยายหลอนอ่านแล้วเห็นภาพในรอบหลายปี สุขสันต์วันปีใหม่ค่า
ตอบ ::  โหหหหห ขอบคุณมากๆเลยครับ  ผมยังมีข้อผิดพลาดอีกเยอะ  ฝากติดตามต่อด้วยนะครับ  สุขสันต์ปีใหม่เช่นกันครับ

ไม่บอกเธอ   ::   เดาเลยครับ ออกไปขุดหาศพน้องชาย น้องสาว หรือแฟนเก่าแน่ๆ
หรือไม่ก็ไปขุดเอาไว้ใช้ อะไรบางอย่าง   รอต่อปายยยยยยยย
ตอบ  ::  งั้นรอลุ้นตอนต่อๆไปนะครับ  55555   ขอบคุณที่ติดตามครับ


ขอบคุณทุกๆคอมเม้นท์ และทุกๆการอ่านเลยนะครับ  ฝากติดตามในตอนต่อๆไปด้วยนะครับ

P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่3 ผีถ้วยแก้ว (30/12/2559)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 02-01-2017 10:24:12
หลอนจริงค่ะะะ ฮืออออออ นี่อ่านตอนกลางคืน(แต่เพิ่งมาเม้น...)
โถ มิวน้อยยย ซงซานนน55555 นี่แหละน้าคนที่ไม่อยากเห็นมักจะเห็น

ภพฟอร์มจัดจริงแหละ ถถถถถ แล้วภพมาบ้านหลังนี้ทำไมหนออ นัทคือใคร(ยังอยู่มั้ย...)
แต่เราแอบคิดว่าภพคือผีแหละ...แหงะ55555

สนุกค่ะ น่าติดตามมากก สู้ๆ นะคะ ^ - ^v

 o13
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่3 ผีถ้วยแก้ว (30/12/2559)
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 03-01-2017 19:10:34
เข้ามารอค่ะ สนุกมากเลย อ่านตอนกลางคืนนี่ทั้งลุ้นทั้งหลอนจริงๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่4 ลางสังหรณ์ (3/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 03-01-2017 19:47:32
อัพแล้วไม่ขึ้นหรือเปล่าคะ
ติดตามค่ะ
เป็นกำลังใจให้ สู้ๆ

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่4 ลางสังหรณ์ (3/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 03-01-2017 20:07:23
*หมายเหตุ : เนื่องจากตอนนี้มีเนื้อหาบางส่วนเกี่ยวเนื่องกับตอนที่แล้ว เพื่ออรรถรสในการอ่านแนะนำให้อ่านตอนที่แล้วก่อนครับ

ตอนที่4

ลางสังหรณ์

“ฮึก ไอ้ภพ เราเลิกเล่นกันเถอะ  กูจะไม่ไหวแล้ว” ผมเรียกร้องให้ยุติเกมส์นี้ หลังจากสิ่งที่ต้องเผชิญกำลังทำให้จิตใจของผมแปรปรวน

“อดทนอีกหน่อยไอ้มิว 8 คำถามแล้วนะ ไอ้กล้องเหี้ยนั่นมันก็ดูเราอยู่ เดี๋ยวที่เหลือกูจะถามเอง”

“ใคร…ฆ่าพวกมึง?” มันเริ่มถามคำถามอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกดดัน เส้นเลือดที่ขมับของมันขึ้นชัดเจน จนบอกได้ว่ามันกำลังจริงจังและเครียดกับสถานการณ์ตรงหน้า

“ไม่ รู้”

“โถ่เว้ย!! พวกมึงโดนฆ่าตายแต่เสือกไม่รู้ว่าใครฆ่า มึงถูกฆ่าที่ไหน” ไอ้ภพหัวเสียมากจนมันควบคุมอารมณ์ไม่ได้ มันสบถออกมาเสียงดังลั่น   สร้างความตกใจและประหลาดใจให้กับผม  ผมไม่รู้ว่าตัวมันกำลังคาดหวังกับอะไร เหตุใดถึงมีท่าทีไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับ

“บ้าน”

“บ้าน…..หลังนี้?”

“ไม่”

“ไม่ใช่บ้านหลังนี้ เป็นไปได้ไงวะ…”ไอ้ภพพึมพำกับตัวเอง  ก่อนจะหันมามองหน้าผมที่ก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน  ความกลัวของผมถูกสร้างขึ้นมาไม่ใช่แค่เพราะว่าผมเห็นวิญญาณหรือสัมภเวสีพวกนั้น แต่เป็นเพราะประวัติบ้านที่ผมกับมันเคยฟังจากทีมงานด้วย  บ้านหลังนี้มีคนตายถึง 7 ศพ จากการถูกฆาตกรรม  หากวิญญาณที่เห็นไม่ได้ตายที่บ้านหลังนี้แล้วพวกมัน มาจากไหน?

“พวกมึง…ถูกฆ่าตายยังไง?” เป็นไอ้ภพที่เริ่มถามอีกครั้ง

“มืด”

“มืด? มันคืออะไรวะ....แล้วพวกมึงต้องการอะไรจากพวกกู” คำถามสุดท้ายถูกเอ่ยขึ้นจากปากไอ้ภพ  ทำให้คีย์เวิร์ดตัวที่สองถูกเปิดมาอีกครั้ง มือที่อยู่บนแก้วมากมายเริ่มแย่งกันดันอีกรอบ จนไม่สามารถระบุทิศทางและความหมายของมันได้

“ช่วยด้วย”

“ช่วยกูด้วยยยยยยยยยย”

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด ช่วยกู พวกมึงต้องช่วยกู”


“ฮึกไอ้ภพ  เชิญออก!!!  เชิญออก!!!  กูไม่ไหวแล้ว มันบอกให้เราช่วยมัน ไอ้ภพ ฮึก”  อีกครั้งแล้วที่แก้วควบคุมไม่ได้ แล้วก็เป็นอีกครั้งที่พวกมันเลือกที่จะส่งเสียงให้ผมได้ยินแทนการเคลื่อนแก้วไปทีละตัว  เสียงกรี๊ดสลับกับคำพูดว่าช่วยด้วย  ถูกเอ่ยวนซ้ำๆเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้แค่นั้น   

ผมคิดว่านั่นคือที่สุดที่ผมจะโดนแล้ว

แต่ไม่ใช่…ผมคิดผิด

หมับ

มือของพวกมันถูกเปลี่ยนจากการดันแก้วมาจับข้อมือของผมด้านที่แตะอยู่บนแก้วไว้  ไอเย็นมากมายถูกถ่ายทอดเข้าสู่ร่างกายของผมจนขั้วหัวใจผมชาสนิท  สายตาของผมบัดนี้เห็นเต็มๆตาว่า พวกมันพยายามจะเขย่ามือผมให้หลุดจากแก้ว ด้วยสาเหตุใดผมไม่ทราบ พวกมันหลายตน เริ่มเอามือทั้งสองข้างมาสัมผัสกับผมเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงกรีดร้อง บอกให้ผมช่วยมัน

“ฮึก ฮือ ไอ้ภพ  ช..เชิญพวกมันออก ช่วยกูด้วย ฮึก” ผมสะอื้น พร้อมกับบอกไอ้ภพให้รีบทำตามที่ผมบอก

“ออกไปให้หมด เชิญพวกมึงออกไปให้หมด”

“กรี๊ดดดดดดดดดดดด  หึหึ  กู ไม่ ออก ห้าห้าห้า”

“กู ไม่ออกกกกกกก”


“ฮึก ภพ   มันไม่ไป มันไม่ออกช่วยกูด้วย”  ผมเริ่มทนไม่ไหวกับสถานการณ์นี้ ใจผมสั่นจนกลัวว่าหัวใจผมจะวาย  น้ำตาของผมมากมายถูกปล่อยให้ไหลมาอย่างต่อเนื่อง  ทางรอดเดียวที่ผมคิดได้คือต้องหาทางมองที่อื่นที่ไม่ใช่มือของตัวเองและแก้วนั่น    ผมจึงตัดสินใจที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองแต่ไอ้ภพ

“กู ไม่ ออก"  หน้าไอ้ภพ ถูกเปลี่ยนไปเป็นหน้าผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด  แววตาของมันแดงก่ำเหมือนกับกำลังโกรธแค้นอะไรสักอย่าง มันมองมาทางผมที่คิดจะหนีจากความจริงตรงนี้

“เหี้ยยยยย!!!!” ผมตะโกนออกมาเสียงดัง  พร้อมกับมือข้างที่แตะไว้กับแก้วเตรียมจะหลุดออกมา ทุกอย่างรอบตัวผมเริ่มมืดบอดไปหมด ผมคงกำลังใกล้จะสูญสิ้นสติที่มีแล้ว

หมับ

มือของไอ้ภพอีกข้างจับมือของผมที่ใกล้จะหลุดออกจากแก้วเอาไว้  สติเบลอๆของผม เห็นมันท่องอะไรอยู่สักอย่าง ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงดังฟังชัดว่า  กูบอกให้พวกมึงออกไป

สิ้นคำพูดไอ้ภพทุกอย่างที่อึดอัดรอบตัวผม ก็พลันหายไปราวกับว่าสิ่งที่ผมเจอเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น  ไอ้ภพปล่อยผมนอนลงตรงนั้น ก่อนที่มันจะลุกขึ้นไปเปิดไฟแล้ววิ่งกลับมาหาผมอีกครั้ง

“มิว  ไอ้มิว มึงเป็นอะไร” เสียงร้อนรนของมันเริ่มแสดงให้เห็นว่ามันคงเป็นห่วงผมอยู่ไม่น้อย

“ฮึก ไอ้ภพ กูมองเห็นผี  ไอ้ภพ กูเห็นผี ฮึก ช่วยกูด้วย”  กำลังกายที่มีอยู่เล็กน้อย พาตัวผมให้เข้าไปกอดไอ้ภพที่กำลังประคองผมอยู่  มันกอดตอบผมและค่อยๆลูบหลังให้สติผมค่อยๆคืนมา  อ้อมกอดของมันอบอุ่นมากจนคลายความกลัวและความเครียดของผมที่มีอยู่ได้    ผมไม่เคยคิดว่าตัวมันจะดีกับผมถึงเพียงนี้เพราะที่ผ่านมามันเอาแต่ปฏิเสธผม   จนตอนนี้ ผมต้องยอมรับเลยว่า ผมยังเป็นผมอยู่ได้ก็เพราะมีมัน 

“ รู้แล้ว กูรู้แล้ว ไอ้มิวตั้งสติ  ตั้งสติก่อน อย่าเพิ่งร้องไห้ ไม่มีอะไรแล้ว”

“ฮึก ภพกูไม่อยากเห็นแล้ว กูไม่อยากเห็น”

“มึงลืมตามาก่อนไอ้มิว  ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว”

ผมตัดสินใจออกห่างจากไอ้ภพแล้วค่อยๆ  ลืมตามาพบกับความจริงที่ว่า สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามีเพียงไอ้ภพที่มองมาที่ผม  ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่สูญหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่คราบน้ำตาบนแก้มและร่องรอยมือมากมายที่เกิดขึ้นบนแขนผมเท่านั้นที่ยืนยันได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงการคิดไปเอง

“ภพ…..มึงเชื่อกูใช่มั้ย กูไม่ได้บ้านะมึง กูเห็นจริงๆ” เสียงเรียกแผ่วเบาของผม กำลังเรียกร้องความเห็นใจจากไอ้ภพให้เชื่อว่าสิ่งที่ผมเห็นมันไม่ใช่แค่ภาพลวงตา

“รอยบนแขนมึงนั่น  โกหกกูไม่ได้หรอก” ไอ้ภพพูดพร้อมมองรอยแดงบนแขนผม

“ขึ้นห้อง กูจะพาไปทายาแล้วนอนซะ คืนนี้หนักมากพอแล้ว”

“อืม”  ผมตอบรับไอ้ภพ และเดินตามมันขึ้นห้องนอน  ก่อนขึ้น  ผมเห็นไอ้ภพ เดินไปหยิบกล่องยาที่อยู่ใกล้ๆกับตู้หนังสือถือเดินตามผมขึ้นไปด้วย  ความหน่วงในใจที่เกิดขึ้น ทำให้ผมได้มีเวลาสังเกตการกระทำไอ้ภพ  มันกำลังพยายามดูแลผมทั้งๆที่ไม่ได้มีความจำเป็นจะต้องทำก็ได้ 

“มึงยื่นแขนมา กูจะทายาให้”

“…..”  ผมยื่นแขนไปให้มันและจ้องมองมันอยู่แบบนั้น ความรู้สึกบางอย่างพุ่งตรงสู่หัวใจของผม บางอย่างที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

“มีอะไร?”  ไอ้ภพคงเห็นว่าผมจ้องมันนานเกินไป จึงได้ถามขึ้นมาอย่างคนอยากรู้

“ขอบคุณนะ” ผมบอกมันได้แค่คำนี้ แม้ในใจจะรู้สึกเอ่อล้นออกมาแค่ไหน แต่คำนี้คงเป็นคำที่ดีที่สุดที่สมองผมจะนึกได้

“เรื่อง?”

“เรื่องที่มึงทายาให้แล้วก็….เรื่องเมื่อครู่นี้”

“อืม ไม่ต้องไปพูดหรือนึกถึงมันแล้วนะ  เดี๋ยวจะนอนไม่หลับ”

“มึง…กูถามอะไรได้มั้ย”

“อะไร”

“มึงท่องอะไรก่อนที่มึงจะเชิญพวกนั้นออก” ไอ้ภพมองหน้าผมเรียบๆอย่างไม่รู้ว่ามันกำลังคิดอะไร มันอาจกำลังเป็นกังวลหากต้องพูดออกมาหรือไม่ก็คงไม่อยากอธิบายอะไรให้ผมฟัง

“ไม่ได้ท่องอะไรทั้งนั้นแหละ กูแค่นึกถึงพ่อแม่กู แล้วก็สาปแช่งพวกมัน”

“ทำไมอยู่ดีๆก็นึกถึงพ่อกับแม่”

“ท่านเสียไปแล้วไง….กูเลยคิดว่าคนตายกับคนตายมันต้องจบได้ เลยนึกถึงมีอะไรอีกมั้ย”

“แล้วมึงอยู่กับใคร   เหตุผลที่มึงทำหลายๆอย่างได้ไม่น่าใช่เพราะมึงอยู่คนเดียว”

“หึ แสนรู้ดีหนิ กูเคยอยู่กับน้องสาวกู”

“ไอ้เหี้ยกูไม่ใช่หมา…น้องสาวหรอ หรือว่าจะเป็น นัท?”

“อืม  แล้วมึงก็ไม่ต้องถามอะไรต่อแล้วนะ วันนี้มึงรู้เรื่องของกูเยอะมากพอละ”

“เออ แค่นี้ทำหวง” พูดจบผมก็ล้มตัวลงนอน ได้ยินเสียงไอ้ภพเก็บกล่องยาเรียบร้อย มันก็เดินไปปิดไฟก่อนมันจะมาล้มตัวนอนข้างๆผม

“ภพ กูไม่รู้ว่ามึงจะเบื่อรึเปล่า แต่กูอยากบอกมึงอีกครั้งว่าขอบคุณ” 

“ไม่ต้องขอบคุณกูมากหรอก ถ้ามึงรู้เหตุผลจริงๆของกู มึงอาจจะเกลียดกูเลยก็ได้”

“เอาเหอะ ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตวันนี้มึงช่วยกู กูก็ต้องขอบคุณมึง มันเป็นเรื่องที่ควรทำ”

“พอ นอนเหอะ กูง่วง”

“อืม ฝันดี...”  แม้จะบอกให้ไอ้ภพฝันดี แต่เมื่อผมหลับตา  ภาพหลอน  ความกลัวที่คอยวนเวียนอยู่ในใจผมมันยังไม่จางหาย สิ่งที่ทำได้คือการคิดถึงเรื่องอื่นให้เยอะๆเพื่อลบความทรงจำเลวๆนั่น  ยอมรับเลยว่า ไอ้ภพมันเก่งมากที่เอาเรื่องราวมายัดไว้ในหัวของผมได้เพื่อให้ผมลืมความทรงจำแย่ๆพวกนั้น ถึงจะช่วยผมได้ไม่มากแต่มันก็ทำให้ผมนอนหลับได้เร็วขึ้น

ป๊อก

ป๊อกกก


“เสียงอะไรวะ” ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หันไปมองข้างๆไอ้ภพก็ยังนอนอยู่ปกติ เสียงไร้แหล่งที่มาดังขึ้นหลายครั้งกระตุ้นความกลัวและความอยากรู้อยากเห็นของผม มันเป็นเสียงเหมือนของแข็งกระทบกับอะไรสักอย่าง  เมื่อตั้งใจฟังดีๆแล้วก็พบว่ามันดังมาจากกำแพงนอกบ้าน

ป๊อกกกกกก

ป๊อกกกกกกกกกก


ผมเดินตามเสียงไปเรื่อยๆ โชคดีที่ว่า เสียงที่ผมได้ยินไม่จำเป็นต้องออกไปนอกห้องก็คาดว่าผมก็สามารถหาแหล่งที่มาได้ ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าต่างห้อง เสียงดังชัดมากตรงบริเวณนี้เพียงแต่ว่าผมก็ยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร  ผมจึงลองเอาหูแนบกับกำแพงฟัง

“เสียงเชี่ยไรวะ  กูจะนอนแม่งก็นอนไม่ได้ “ ผมลองเอาหน้าแนบกับกระจกดูอีกครั้ง เพื่อมองลงไปข้างล่างว่า มีคนทำอะไรอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า เมื่อพบว่าไม่มีผมจึงเตรียมหันหลังกลับเตียงนอน

ป๊อก 

เสียงเดิมๆสั่งผมหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วหันกลับไปมองอีกครั้ง คราวนี้ผมค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าผมต้องได้รู้แหล่งที่มาของเสียงเพราะเงาของวัตถุบางอย่างที่ตกกระทบพื้นในห้องยังคงเกิดอยู่อย่างต่อเนื่อง

กู บอก ให้ ช่วย กู  !!!!


“เหี้ยยยยย”  ผมรู้แล้ว....เสียงป๊อกที่ผมได้ยินมาจากไหน มันคือเสียงของหัวผู้หญิงคนนั้น กระทบกับกระจกของห้องผม  เสียงที่ผมได้ยินก่อนหน้านั้น คงเป็นเสียงที่มันเคาะกับกำแพงบ้านมาเรื่อยๆก่อนถึงกระจกบานนี้

“ภพ ช่วยกูด้วย  ไอ้ภพ ช่วยกูด้วยยยยยยย ฮึก” น้ำตาผมกลับมาไหลอีกครั้ง ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงยังต้องมาตามหลอกหลอนผมแบบนี้

“ภพ”

“ไอ้ภพพพพพพพพ”

เฮือกกกกกกกกกกกก

ผมลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมคราบน้ำตาบนหน้าผมก่อนจะมาพบความจริงที่ว่าแสงอาทิตย์มากมายถูกส่องมายังห้องผมแล้ว  ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ฝัน ผมคงกลัวมากเกินไปเลยเก็บมาคิดมากไปเอง  สงบจิตใจตัวเองได้ดังนั้นจึงมองไปข้างเตียง    ไอ้ภพหายไปแล้วครับ  มันคงตื่นไปอาบน้ำตามเรื่องตามราวของมัน

ป๊อกกกกกกกกกก

ทำไมไม่ช่วยกู


ผมที่กำลังจะก้าวลงจากเตียงรีบตาลีตาเหลือกหดขากลับขึ้นมาแล้วนอนคลุมโปงทันที  เสียงนั่น เสียงแบบเดียวกับในฝันมันยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวผม ความกลัวที่คิดว่าหมดไปแล้วหากแสงของพระอาทิตย์มาเยือน เริ่มกลับมาอีกรอบ

“ไอ้ภพพพพพพ มึงอยู่ไหน ไอ้เหี้ยยย กูกลัว  ไอ้ภพพพพพพ “ ผมโวยลั่น ตะโกนเรียกหาคนที่จะช่วยผมได้มากที่สุดตอนนี้  มันไม่ใช่แค่ฝันแล้ว เสียงนั่นยังคงตามหลอกหลอนผม มันยังตามราวีผมไม่เลิก

“มีอะไร จะเรียกกูเสียงดังทำไมตั้งแต่เช้าวะ ” เมื่อได้ยินเสียงไอ้ภพ ผมจึงรีบกุลีกุจอ ลุกออกจากเตียงแล้ววิ่งไปหามัน

“ไอ้ภพ กูได้ยินเสียง เสียงเหมือนผู้หญิงคนที่กูเจอตอนเล่นเกมส์นั่นมึงช่วยกูด้วย”

“มันพูดว่าไร”

“ทำไมไม่ช่วยกู  ไอ้เวรแม่งจะให้กูกับมึงช่วยมันให้ได้อ่ะ”

“ดังมาจากหน้าต่าง?”

“เออดิ  นี่มึงก็ได้ยินหรอ” ผมแสดงท่าทีตื่นเต้นออกไปอย่างปิดไม่มิด  เมื่อตอนนี้รู้สึกดีใจที่ไอ้ภพมันจะได้แชร์ประสบการณ์หลอนร่วมกับผม

“ได้ยินดิ ไปดูให้เห็นดิ๊ ผีตัวไหนแม่งเฮี้ยนนักวะ” พูดเสร็จมันก็ล็อกคอผมให้ออกไปดูตรงหน้าต่างนั่น

เฮ้ยทำไมมึงไม่ช่วยกูวะ  ไอ้สัสอู้งานหรอพวกมึง

“ไง ผีแม่งเฮี้ยนใช่มั้ย ไอ้ควายยยยย  เสียงคนงานโว้ย เพ้อเจ้อไรของมึง” พูดเสร็จมันที่ล็อกคอผมอยู่ก็กระหน่ำฟาดหัวผมเหมือนเป็นกลองชนิดหนึ่ง อย่างไม่ยั้งมือ ไม่รู้ว่าผมไปทำให้มันโมโหมากๆตอนไหนเหตุใดถึงได้มาคิดบัญชีอย่างรุนแรงกับผม

“โอ้ยพอ!!! กูเจ็บ  ใครมันจะไปรู้วะ”

“ไม่รู้ก็หัดเดินออกมาหาความจริงก่อนซะมั่ง ไม่ใช่คิดเพ้อเจ้อไปแบบนี้ “

“เออๆ   แล้วนี่...คนงานมาจากไหนนักหนา”

“ลุงมั่นมั้ง เกณฑ์คนมาลงต้นไม้ กูก็คิดว่าแม่งจะปล่อยให้เฉาตายอยู่ตรงนั้นละ”

“ปากมึงนี่มัน  กลับไปเงียบๆแบบเดิมก็ได้นะ กูไม่ว่า”

“เรื่องของกู” พูดเสร็จมันก็ทำท่าจะเดินออก  ผมที่ยังแคลงใจกับความฝันก็ตัดสินใจที่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มันฟัง

“มึง ที่บอกว่าให้กูเดินไปดูก่อนอ่ะ  กูทำแล้วนะ แต่พอกูทำมันไม่เป็นแบบนี้ ก่อนกูตื่นกูฝันว่ากูได้ยินเสียงแบบที่มึงได้ยินนี่แหละ เสียงที่บอกให้กูช่วย เสียงเดียวกับที่กูได้ยินตอนเล่นเกมส์นั่น กูลุกขึ้นเดินไปดูแต่ก็นั่นแหละ หน้าผู้หญิงคนนั้นโผล่ออกมาให้กูเห็น”

“แล้ว?”

“กู…กูไม่รู้จะทำยังไง มันเหมือนกับภาพที่มันไม่หลุด กูขอโทษถ้าโวยวายให้มึงรำคาญแต่เข้าใจกูด้วย”

“กูก็ไม่ได้ว่าอะไร  มีอะไรก็บอกกู อย่าเก็บไว้  ถ้าเอามันหลุดไม่ได้ก็ทำใจอยู่ร่วมกับมันซะ”

“แต่…”

“เชื่อกู ไอ้มิวตราบใดที่มึงยังอยู่ในเกมส์นี้ มึงหนีเรื่องนี้ไม่พ้นแน่”

“กูจะอยู่กับมันไปได้ยังไง ไม่มีอะไรการันตีสักอย่างว่าจบเกมส์ไปแล้วกูจะหาย”

“งั้นรู้เอาไว้  ถ้ากูยังไม่ตาย….มึงก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”

“อ…อืม”

มึงอยู่ปกป้องกูไม่ได้ตลอดหรอก   ผมเถียงมันอยู่ในใจไปแบบนั้น ความจริงที่ต่างคนก็รับรู้ว่านี่มันก็แค่รายการผีๆ ที่ถูกสร้างมากำหนดชีวิตคน  ผมคือคนหนึ่งที่หลงเชื่อคำเชิญชวนของรายการ และตกเป็นเหยื่อของเรื่องราวหลังความตายที่ผมไม่เคยสัมผัส  เมื่อจบเกมส์ทุกคนในที่นี้ก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตดังเดิมตามสิ่งที่เราทิ้งมา 

ไอ้ภพเดินออกจากห้องลงไปด้านล่างเพื่อไปเตรียมอาหารเช้าตามปกติ ผมจึงหันหลังกลับมามองที่หน้าต่างเพื่อมองภาพด้านล่างคลายความเครียดที่อยู่ในใจ  อิจฉา  คำนี้เด่นชัดในหัวผมทันทีเมื่อได้เห็นคนงานกลุ่มนั้นทำงาน ผมอยากเป็นแบบนั้นบ้าง ผมอยากจะแค่เข้ามาตอนเช้าและกลับออกจากบ้านหลังนี้ไปเมื่อเสร็จงาน ไม่ได้อยากอยู่เพื่อรับรู้แล้วว่าผมจะต้องเจออะไรบ้างในตอนกลางคืน จนคิดอยากจะถอนตัวไปซะ   

แต่……..

ก็ทำได้แค่คิด ภาพไอ้ภพถูกซ้อนทับความเห็นแก่ตัวของผม พฤติกรรมแปลกๆของมันที่แสดงออกว่ามันต้องมีจุดประสงค์แฝงกับเกมส์นี้แน่ๆลอยขึ้นมา ผมปล่อยมันไว้ไม่ได้ลางสังหรณ์บางอย่างบอกกับผม  ไอ้ภพแย่แน่ถ้ามันต้องอยู่คนเดียว

“ทำไรแดกวะวันนี้” ผมเดินไปตบบ่ามันที่กำลังมองกลุ่มคนงานลงต้นไม้และขุดหลุมอย่างจริงจัง

“ไปดูเอง” มันหันมาตอบแค่นั้นแล้วก็หันไปมองตรงนั้นต่อ

“มันน่าสนใจตรงไหนวะ กะอีแค่ลุงมั่นกะคนงานจะลงต้นไม้ มึงจะมองให้ต้นไม้มันงอกเพิ่มหรอ”

“แล้วมึงจะยุ่งทำไมวะ ปากว่างนักก็เอาไปแดกข้าว”

“ก็มึงอยากทำตัวแปลกๆเอง  เกิดหงุดหงิดที่วันนี้ไม่ได้ปีนออกไปรึไง”

“งั้นมั้ง” ไปแล้วครับ  ตอบส่งๆกับผมแล้วก็เดินขึ้นห้องนอนไปเลยคาดว่าคงจะรำคาญผมเลยจะไปยืนส่องที่หน้าต่างห้องนอนแทน เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมยังคงไม่ได้คำตอบ มันจะอยากออกไปทำไมทุกวัน ออกจนผมเองเริ่มที่จะสนใจและอยากจะปีนออกไปบ้างแล้ว

เมื่อไม่มีอะไรทำ ผมจึงเดินไปตักข้าวและถือจานมานั่งลงตรงประตูห้องครัวนั่นเลย ในเมื่อไม่ได้คำตอบอะไรจากไอ้ภพว่ามันจะมองทำไม ผมจึงนั่งหาคำตอบให้ตัวเองแทน   ตามที่นั่งสังเกตไปกินข้าวไป ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันก็ไม่ได้มีอะไร ผิดปกติไปกว่าการทำสวนธรรมดา ลุงมั่นดูชำนาญมาก จับนู่นจับนี่เหมือนเป็นงานถนัด คนงานที่มีก็ช่วยกันขุดหลุมเตรียมเอาต้นไม้ลง

“อ้าว ทำไมมานั่งกินคนเดียวหละ เพื่อนอีกคนไปไหน”  ลุงมั่นเดินแยกออกจากงานมาหาผมที่นั่งอยู่ตรงประตู

“มันขึ้นไปบนห้องครับ น่าจะไปนอน” ตอแหลไปครับ รู้อยู่เต็มอกว่าไอ้ภพขึ้นไปทำห่าอะไร

“บ๊ะ เพิ่งจะตื่น กลับขึ้นไปนอนอีกแล้วรึ เกมส์หนักมากเลยรึไง”

“เอาการอยู่ครับลุง  ผมกับมันนี่เล่นมา2เกมส์ โคตรรรรเหนื่อยเลย” ผมหลีกเลี่ยงที่จะไม่บอกไปว่าผมเจออะไรบ้าง

“อดทนเอา เงินตั้งเยอะลุงยังอยากเล่นเองเลย”

“555 ลุงไม่ลองสมัครละครับ เผื่อจะได้มาเล่นบ้าง”

“อายุปูนนี้แล้ว อยู่เฉยๆรอตายดีกว่า อย่าหาเรื่องให้ตัวเองเลย 55”

“โถ่ลุง ตาย อะไรครับลุงยังดูแข็งแรงอยู่เลย แล้วนี่….ลุงได้ดูรายการของพวกผมบ้างมั้ยครับ”

“โอ้ย ไม่ได้ดูหรอกลุงเปิดคอมเองยังไม่เป็นเลยจะไปหาดูจากไหน แต่ทางผู้จัดการเกมส์เค้าก็มาคุยกับลุงอยู่นะเห็นบอกกระแสตอบรับของพวกเอ็ง ดีเลยทีเดียว”

“หรอครับ…เกมส์นี้มันมีคนดูอยู่เยอะแล้วรึเปล่าไม่น่าเกี่ยวกับพวกผมนะ”

“ไม่หรอก พวกเอ็งนั่นแหละที่ดึงกระแส ไม่สงสัยหรอว่าทำไมเอ็งถึงได้อยู่ในรายการต่อทั้งที่ทำผิด”

“ก็……สงสัยบ้างครับ” ผมหันกลับไปมองหน้าลุงมั่น เหตุใดลุงถึงรู้ว่าผมทำผิด ผู้จัดการเกมส์บอก?

“เรตติ้งวันที่เอ็งทำผิดสูงมาก ทางผู้จัดการเกมส์เลยไม่อยากเอาเอ็งออก ถ้าเป็นปีก่อนๆนะ เด้งออกไปแล้ว”

“ปีก่อนๆมีคนทำผิดด้วยหรอครับ?”

“มี มีทุกปี ข้อห้ามแบบนี้มันเป็นข้อห้ามพื้นฐานของเกมส์ แสดงว่าเอ็งไม่เคยดูเลยหละสิ”

“ก็ใช่ครับ ผมเคยได้ยินแต่ชื่อ แต่ไม่เคยดูเลย”

“ปีนี้ก็อยู่เล่นนานๆละกัน  จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”

“จะพยายามละกันนะครับลุง”

“เอาหละ คุยกันพอแล้ว เดี๋ยวลุงกลับแล้วนะ คืนนี้ขอให้โชคดี”  โชคดี...คำนี้อีกแล้ว ลุงมั่นทำให้ผมนึกย้อนกลับไปตอนเล่นซ่อนหานั่น ผีตนนั้นก็บอกให้ผม โชคดี ทำไมถึงต้องมีคำนี้วนเวียนอยู่รอบตัวผม บางทีถ้าคำนี้ออกมาจากปากลุงมั่นแค่คนเดียวผมก็คงไม่คิดมากแบบนี้

“เสร็จแล้วหรอครับลุง”

“ใช่ วันนี้ลุงทำแค่นี้แหละ  หลุมอื่นที่ขุดไว้เดี๋ยวค่อยเอาต้นไม้มาลงวันหลัง” 

หลังจากคุยกับลุงมั่นเสร็จ ผมก็เดินมาล้างจานให้เรียบร้อย และเดินไปยังตู้เก็บของเพื่อหยิบผงซักฟอก ระหว่างการทำงานผมต้องรีบสลัดความคิดบางอย่างออก มันติดค้างอยู่ในใจของผม ที่ไม่รู้ว่าจะหาคำตอบมาจากไหน

“ไอ้ภพ ไปซักผ้ากัน” ผมเดินขึ้นมาบนห้องนอนเพื่อเรียกไอ้ภพ แล้วก็เป็นไปอย่างที่คาดเดาจริงๆ ไอ้ภพมันขึ้นมายืนมองคนงานด้านล่างจากหน้าต่างห้องนี้

“ไอ้ภพ มึงมองอะไรอีกวะ คนงานเค้ากลับกันไปหมดแล้วนะ”

“รู้แล้ว”

“รู้แล้วก็เลิกมอง ไปซักผ้าได้แล้วเดี๋ยวกูซักเป็นเพื่อน”

“อืม” มันตอบผมเหมือนละเมอ ไม่ได้รับรู้หรอกว่าผมพูดอะไร เคยบอกแล้วใช่มั้ยครับว่าไอ้ภพถ้าอยู่ในโลกของตัวเองเมื่อไร ใครก็เข้าถึงมันไม่ได้ เพียงแต่ครั้งนี้มันยอมปล่อยให้ผมเข้าไปนิดนึงมันถึงมีปฏิกิริยาตอบกลับมาบ้าง

“เฮ้อ พอ!! มึงหันมามองกูนี่” ผมจับหน้ามันหันมามองหน้าผมเลยครับ ไม่อย่างนั้นวันนี้ไม่มีทางคุยรู้เรื่องแน่

“ไอ้ภพ วันนี้มึงอยู่เฉยๆในบ้านพอ ไม่ต้องคิดหรือว่าจะหาทางออกไปข้างนอกนั่น วันอื่นกูจะไม่ห้ามแต่วันนี้กูขอ”

“ทำไม”

“ไม่ทำไมทั้งนั้น มึงแหกตาดูผ้ามึงด้วย จะเหลือแต่กางเกงในแล้วมั้งที่สะอาดอ่ะ ไปซักผ้า”

“ยัง ยัง ยังนิ่งอีก เดี๋ยวกูโบก มึงฟังกูเถอะจริงๆ ไม่ออกไปวันเดียว ต้นไม้ข้างนอกนั่นแม่งก็ไม่ตาย รักโลกมากลุงมั่นเค้าก็เอามาตั้งไว้ให้มึงดูแล้วไง ต้นสองต้นก็ดูไปก่อน”

เปรี้ยง


มาอีกแล้ว....ลางสังหรณ์แปลกๆที่ผมเดาไม่ได้ว่ามาจากเรื่องอะไร รู้แค่ว่ามันไม่ดี ไม่ดีเอามากๆ ที่บอกว่าอีกแล้ว เพราะว่าลางสังหรณ์นี้มันเกิดขึ้นมาแล้วหลังจากที่ลุงมั่นบอกว่าจะลงต้นไม้แค่หลุมเดียว  มันไม่มีเหตุผลอะไรเลย ที่จะลงหลุมอื่นไม่ได้

“แปลกใช่มั้ย” ไอ้ภพพูดขึ้นมาทันที หลังจากเห็นอาการของผมที่นิ่งไปหลังจากผมพูดจบ

“คืออะไร ทำไมมึงถึงรู้สึกว่ามันแปลก”

“กูไม่รู้ ตอนนี้กูยังไม่แน่ใจ”

“มันเกี่ยวกับการที่มึงออกไปข้างนอกนั่นด้วย…ใช่มั้ย?”

“อืม”

“บอกกูสักนิดไม่ได้หรอ”

“มันยังไม่ถึงเวลา”

“พร้อมเมื่อไร…บอกกูด้วย”  เวลา?   เวลาอีกแล้ว ทำไมผมเหมือนกำลังถูกทำให้ตัวเองเป็นคนโง่ จริงๆผมจะมองข้ามเรื่องนี้ไปเลยก็ได้ยังไงซะ บ้านหลังนี้มันก็มีอะไรหลายอย่างที่แปลก  หลายอย่างที่ผมสงสัยและหาคำตอบด้วยตัวเองไม่ได้

“อืม”

“เฮ้อ ไปๆ ไปซักผ้ากัน กูกับมึงวันนี้มีเรื่องให้คิดเยอะพอละ” ผมเดินลากไอ้ภพ มาที่ตะกร้าผ้าทันที  ตัดปัญหาการคิดเยอะของผมโดยการหาเรื่องอื่นทำ ผมบังคับให้มันถือตะกร้าผ้าตัวเอง เดินตามผมลงไปยังลานหลังบ้าน ตรงนั้นจะมีลานว่างและก๊อกน้ำอยู่จุดหนึ่งผมจึงเลือกตรงนั้นไว้ซักผ้า

“มึงดูผ้ากูกับมึงไว้ตรงนี้ ไม่ต้องเสือกปีนกำแพงออกไปเลยนะ กูจะไปเอากะละมัง”

“เออ พูดมากชิบหาย”

“เรื่องของกู” เลียนแบบคำพูดมันที่พูดกับผมเมื่อเช้าครับ เมื่อดูแล้วว่ามันไม่หนีไปไหนแน่ๆ ผมจึงรีบวิ่งไปหยิบกะละมัง

“มีกะละมังสองใบ?”

“น่าจะใช่ กูเห็นมันวางไว้แค่นี้”

“แล้วจะซักกันยังไง”

“งั้นซักผ้ามึงก่อนละกัน เดี๋ยวกูช่วยด้วยจะได้เสร็จเร็วๆ”  ผมเอากะละมังใบแรกมารองน้ำไว้เพื่อแยกให้เป็นกะละมังใส่ผงซักฟอก ส่วนอีกใบผมเอารองไว้เพื่อเป็นน้ำล้างฟองออก

“มึงซักผ้าเป็นใช่มั้ย ? ไอ้ภพ”

“เป็น”

“เป็นก็มาช่วยกูขยี้ผ้ามึงสิ จะยืนทำหอกอะไร” ผมโวยมันที่ยืนมองผมตั้งแต่เทผงซักฟอกจนผมขยี้ผ้ามันไปสองตัวแล้วมันก็ยังยืนอยู่เฉยๆ เหมือนมันซักผ้าไม่เป็น  แต่เมื่อมันลงมานั่งอีกฝั่งของกะละมังซักผ้าและเริ่มขยี้ผ้าของตัวเองนั้น ผมจึงได้เห็นว่ามันชำนาญมาก

เมื่อผมได้มองมันตรงหน้าใกล้ๆ   ผู้ชายตรงหน้าผมก็ไม่ได้ต่างไปกับผู้ชายมีปมทั่วไป    ภาพของมันตอนนี้บอกได้เป็นอย่างดีว่า มันเก็บเรื่องราวเอาไว้มากมายในใจโดยที่ไม่คิดจะพูดออกมา ตั้งแต่มันเริ่มขยี้ผ้ามันก็เหมือนหายไปกับโลกของมันอีกครั้ง มันอาจไม่เคยสังเกตตัวเอง แต่ทุกครั้งที่มันทำอะไรของมันคนเดียวมันจะเหมือนคนเหม่อลอย  เหมือนคนที่อยู่กับตัวเองจนไม่ระแวงหรือระวังอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ผมหยุดขยี้ผ้าไปแล้วและเลือกที่จะมองมันแทน

ผมเริ่มเดาทางบางอย่างของมันได้ คนแบบมันไม่มีทางที่จะเอ่ยปากเล่าเรื่องของตัวเองออกมาก่อน   ถ้าไม่มีเหตุการณ์หรืออะไรบางอย่างจากคนอื่นไปกระตุ้นกำแพงในตัวมันจนมันเลือกที่จะพังมันลงเพื่อให้คนเข้าถึงมันได้มากขึ้น เห็นได้ชัดจากเมื่อคืน เมื่อผมบอกกับมันไปว่า ผมเห็นวิญญาณพวกนั้น  ผมรู้แน่ชัดแล้วว่าผมเป็นอะไร มันถึงได้บอกเล่าความลับบางส่วนเกี่ยวกับตัวมันออกมา 

“หยุดก่อน” ผมเอื้อมมือไปจับมันที่กำลังขยี้ผ้า และส่งเสียงออกมาเพื่อเรียกสติของมันกลับมายังปัจจุบัน

“มีอะไร”

“ยังคิดเรื่องนั้นอยู่อีกหรอ”

“อืม ” เสียงตอบรับของมัน  ทำให้ผมตัดสินใจอะไรได้บางอย่าง  ผมหันไปมองให้แน่ใจว่ารอบๆตัวจะไม่มีกล้องหรืออะไรที่ถ่ายทำเราไว้  เรื่องหลังจากนี้จะเป็นเรื่องที่ต้องมีแค่ผมกับมันเท่านั้นที่รู้

“นอกจากป่าข้างนอกนั่น กับต้นไม้ที่เอาลงวันนี้มีอะไรอีกรึเปล่าที่มึงรู้สึกว่า…แปลก”

“ก็ไม่”

“งั้นอยากรู้รึเปล่าว่านอกจากพวกนั้น  มีอะไรที่แปลกอีก”



****************************************TBC************************************

สวัสดีครับบบบบบบบบบบบ  เอาตอนที่4มาส่งแล้วนะครับ  ถูกใจไม่ถูกใจยังไงเขียนติชมกันมาได้เลยนะครับ ผมพร้อมโดนพิพากษา  555555 :z10:

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมากๆเลยนะครับ  คำชมของทุกคนผมจะเก็บเอามาเขียนนิยายเรื่องนี้ให้ดีขึ้นไปอีก  ยอมรับว่ากดดันมาก กลัวทำให้ผิดหวัง  แต่ขอบคุณจริงๆครับ   :heaven

เจอกันตอนหน้าครับ

P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่4 ลางสังหรณ์ (3/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-01-2017 20:29:10
หลอนมากกกกกก
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่4 ลางสังหรณ์ (3/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 03-01-2017 22:08:54
ดีใจที่มาอัพต่อ ติดมากค่่ะ ขอบคุุณนะคะ :pig4:

วันนี้แอบมารอ มีีเพจให้้ติิดตามมัั้้ยคะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่4 ลางสังหรณ์ (3/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 04-01-2017 13:07:09
ถ้าเป็นมิวตอนนี้คือสติแตกกก แงงงง  :ling3:
ภพเป็นหมอผีเรอะะะ 5555555555
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่4 ลางสังหรณ์ (3/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 04-01-2017 15:38:00
เราว่าก็แปลกนะ บ้านร้างที่ให้คนเข้ามาทำพิธีทางไสยศาสตร์ ไม่น่าเอาต้นไม้เข้ามาลงใหม่ เหมือนเป็นการทับที่เขา คิดว่าวิญญาณในบ้านอาจมาจากต้นไม้ก็ได้ เพราะบอกว่าอยู่ในบ้านแต่ไม่ได้ตายในบ้าน หลอนจริงๆ

ติดตาม เป็นกำลังใจให้ค่ะ
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่4 ลางสังหรณ์ (3/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 04-01-2017 18:32:34
น่ากลัวววว ไม่กล้าอ่านตอนอยู่คนเดียวเลยค่ะ หลอนนน :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่4 ลางสังหรณ์ (3/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: nuchhxk ที่ 04-01-2017 19:57:58
มาทุกอังคารห้ามขาดห้ามหายเลยนะรู้เปล่า จะติดตามยันตอนจบเลย! แต่อ่านแล้วแอบอึดอัดแทนมิวอ่ะ รู้ไรก็บอกกันบ้างเถอะภพ ถึงปากจะบอกรอเวลาแต่ในใจก็อยากรู้แหละฮื่อออออ เราจะไม่อ่านตอนกลางคืนเด็ดขาด! 55555555555555
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่4 ลางสังหรณ์ (3/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 04-01-2017 21:22:05
เราว่าศพถูกเอามาทิ้งไว้ที่นี่แหงแซะ ยิ่งอ่านยิ่งอยากรู้ แต่มิวถือว่าเข้มแข็งมากทั้งๆที่กลัว แต่ก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติ  :z3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่4 ลางสังหรณ์ (3/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: AkaneSama ที่ 04-01-2017 22:22:01
หลอนจริงอะไรจริง ชอบอ่านตอนกลางคืน :laugh:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่4 ลางสังหรณ์ (3/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: เสพศิลป์ ที่ 04-01-2017 23:58:56
มาต่อเดี่ยวนี้ คนเขียน เราชอบแนวนี้มากๆ ขออย่างเดียวอย่าไห้ พระนายตาย ยังไงก็อยากไห้จบแบบแฮปปี้ ถึงเป็นแนวนี้ก็เถอะ


ตื้นเต้นๆๆๆๆรอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่4 ลางสังหรณ์ (3/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 05-01-2017 00:20:49
คนอ่านก็กดดันตามคนเขียน 5555

จะหลอนอะไรเบอร์นี้  :ling2:

หลุมที่เหวนี่อย่าบอกนะว่าเอาไว้ฝังคน.... :mew5:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่4 ลางสังหรณ์ (3/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: Opoln Miyabi ที่ 06-01-2017 01:36:05
ชอบเรื่องนี้มากกกกด  o13
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่5 กระจกโบราณ (ุ6/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 06-01-2017 18:26:56
ตอนที่5

กระจกโบราณ


ผมคิดว่าผมมาถูกทางไอ้ภพ  เมื่อผมเอ่ยประโยคนั่นเสร็จไอ้ภพมีท่าทีสนใจในสิ่งที่มันไม่ได้สังเกตเท่าผม มันพยักหน้าตอบผมเบาๆเป็นสัญญาณว่ามันอยากรู้ตรงจุดนั้น ผมจึงบอกมันให้รีบซักผ้าให้เสร็จก่อนที่ผ้าจะแห้งไม่ทันค่ำ

ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผมกับไอ้ภพไปร่วมกันทำเวรทำกรรมอะไรไว้ เมื่อซักผ้าเสร็จทุกอย่างถึงได้รู้ว่า ไม่มีราวตากผ้าและไม้แขวนเสื้อพวกผมเสียเวลาไปกับการหาวัตถุที่จะนำมาใช้แทนราวตากผ้า ส่วนไม้แขวน พวกผมตัดสินใจให้ปล่อยมันไป  เดี๋ยวเย็นนี้ก็ต้องเก็บ  หากันอยู่พักหนึ่ง ถึงได้เห็นว่ามีแค่เชือกเท่านั้นที่พอจะใช้แทนราวตากผ้าได้  ผมกับมันจึงต้องหาที่ขึงเชือกและนำผ้าไปตากให้เรียบร้อย

“เมื่อยโว้ยยยยยยยยยยยยยย” ผมบ่นออกมาเมื่อเข้ามานั่งพักในห้องนั่งเล่นหลังจากตากผ้าเสร็จ

“มึงพักให้หายเหนื่อยไปก่อน เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว”

“แล้วมึงอ่ะ?”

“หาข้าวเที่ยงแดกดิ กูหิว”  วันนี้ทั้งวันผมยังไม่ได้ดูนาฬิกาเลยว่าเวลาผ่านไปยาวนานเท่าไร  อาศัยแค่สังเกตพระอาทิตย์เอาเท่านั้น เมื่อมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ตั้งในบ้าน ถึงได้เห็นว่า เข็มสั้นชี้เลยเลข 12 มาร่วมชั่วโมงแล้ว ซึ่งก็คาดว่าถ้าบ่ายนี้แดดไม่แรงจริง ผ้าพวกผมคงต้องเก็บพรุ่งนี้

“เฮ้ย กูไปด้วย”

“จะมาแดกก็ลุก” มันสั่งให้ผมลุกเดินตามมันไปในห้องครัว ข้าวเที่ยงวันนี้ก็คือกับข้าวจากเมื่อเช้า ผมจับมันอุ่นให้ร้อนนิดหน่อย แล้วก็ยกไปวางไว้ที่โต๊ะกินข้าว   ไอ้ภพมีหน้าที่ตักข้าวใส่จากไว้รอแค่นั้น  เมื่อนั่งกินต่างคนต่างก็รีบจัดการกับอาหารตรงหน้าด้วยเพราะหิวมากจึงไม่มีเวลามากวนตีนกันอีก

“ไอ้มิว มึงมีอะไรจะพูดมั้ย?”  มันถามคำถามเชิงบังคับผมทันที หลังมันกินข้าวเสร็จ

“เรื่อง?”

“ก็เรื่องที่มึงบอกว่าบ้านหลังนี้มัน…”

“ชู่ว์" ผมรีบยกนิ้วชี้ขึ้นชิดปากเพื่อสั่งห้ามไม่ให้ไอ้ภพพูดคำที่เหลือออกมา และเอ่ยไปแบบไม่มีเสียงให้มันเข้าใจว่า ตรงนี้ไม่ได้

“เก็บจานให้เสร็จก่อน   แล้วค่อยไปคุยกันบนห้อง”

“อืม” มันพยักหน้าเข้าใจและเริ่มที่จะรีบเคลียร์พื้นที่ตรงหน้าอย่างไม่ให้เสียเวลาอีก

“ทำไมถึงพูดข้างล่างไม่ได้” ไอ้ภพถามหลังจากที่ขึ้นมาบนห้องนอนเรียบร้อยแล้ว  ก่อนขึ้นผมเห็นไอ้ภพเดินไปหยิบหนังสือเล่มที่3 ออกมาซึ่งก็คือภารกิจที่พวกผมต้องทำกันวันนี้  แค่คิดขนทั่วร่างของผมก็พร้อมใจกันลุกชันขึ้นมา และคาดว่าตลอดบ่ายพวกผมคงเลือกที่จะอยู่กันบนนี้แทนลงไปนั่งข้างล่าง

“กูไม่ไว้ใจ  ข้างนอกห้องนี้มีแต่กล้อง กูไม่รู้ว่ามันจะได้ยินเสียงเรามั้ย”

“แล้ว...อะไรที่มึงคิดว่าแปลก” เสียงพูดเบาๆของมันถามผมอีกครั้ง

“จำวันแรกที่เราเข้ามาได้มั้ย” ผมมองหน้าไอ้ภพและเริ่มเท้าความไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมรู้จักกับมัน

“อืม แล้วไง?”

“ตั้งแต่วันแรกที่เราต้องมาที่นี่ ทีมงานบนรถได้บอกประวัติบ้านหลังนี้กับพวกเราใช่มั้ย? นั่นคือครั้งแรกที่กูรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผล  มีคนตายถึง7 คนในบ้านหลังนี้ แต่ทำไมถึงไม่มีใครรู้หรือเอะใจอะไรเลยว่าคนหายไป  ตามที่ทีมงานบอกกว่าจะเจอว่ามีคนตาย ศพก็เน่าไปเกือบหมดแล้ว  มันน่าคิดมั้ยคนพวกนี้ไม่มีสังคมหรอ ถึงได้ไม่มีใครตามหา”

“มันก็เป็นไปได้ มึงดูตำแหน่งที่ตั้งของบ้านดิ เปลี่ยวขนาดนี้ ใครจะผ่านมาบ่อยๆวะ”

“ตอนแรกกูก็คิดแบบนั้น แต่ก็อย่างที่มึงพูดใครจะผ่านมาบ่อยๆถูกมั้ย  ถ้าพื้นที่นี้มันไม่มีใครผ่านมาแล้วใครคือคนพบศพคนแรก?”   ไอ้ภพดูนิ่งไปกับคำพูดของผม เหมือนมันจะเริ่มคิดตามว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น  ผมเริ่มแคลงใจมาตั้งแต่ที่ทีมงานบอก  อยากจะถามคำถามนี้ออกไปมากๆ แต่ทีมงานก็พูดดักทางผมเอาไว้หมด

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ”

“อะไรอีก”

“มึงคิดว่าคดีฆาตรกรรมถึง7ศพเป็นเรื่องเล็กมั้ย?  ทำไมถึงไม่มีการออกข่าวใดๆทั้งสิ้น การตายที่มันผิดธรรมชาติแบบนี้มันไม่ได้จบแค่การเจอศพแล้วนำศพไปทำพิธี คดีมันต้องมีตำรวจมาเกี่ยวด้วยแน่ นี่ไม่ใช่คดีเล็กๆแต่ทำไมเรื่องเงียบ"

“ถ้ามันเป็นข่าวที่มีขึ้นมาก่อนกูกับมึงเกิด เราก็ไม่รู้”

“กูรู้ กูจะไม่แปลกใจเลยถ้าบ้านหลังนี้มันดูเก่ามากกว่านี้ หรือการออกแบบตัวบ้านไม่ทันสมัยขนาดนี้”

“มึงรู้ดูยังไงว่าบ้านมันใหม่หรือเก่า  บ้านหลังนี้มันถูกรีโนเวทมาแล้วนะ”

“อืมใช่….แต่รีโนเวทกับสร้างใหม่มันไม่เหมือนกัน”

“มึงต้องการจะบอกอะไร”

“กูอาจจะดูเพ้อในสายตามึงนะ แต่มันเป็นความรู้สึกของกูจริงๆบ้านหลังนี้รูปทรงบ้าน การออกแบบโดยรอบ หรือความใหม่ มันเกินกว่าจะเป็นบ้านรีโนเวท บ้านที่เคยมีคนอยู่กับบ้านที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆอารมณ์ของการอยู่มันต่างกันนะไอ้ภพ ถ้ามันมีคนเคยอยู่มาแล้วบ้านมันต้องโทรมกว่านี้ สิ่งของพื้นฐานที่อยู่ภายในบ้านต้องเก่ากว่านี้ สังเกตก๊อกน้ำบ้างมั้ย มันเป็นของใหม่ทุกชิ้น ทั้งๆที่จุดเล็กๆแค่นี้ ไม่ต้องรีโนเวทก็ได้”   

“มึงสังเกตขนาดนี้เลยหรอ”

“ของบางอย่างมันไม่ต้องใช้การสังเกตหรอก บางสิ่งที่มึงต้องเห็นมันทุกวันถึงมันจะคุ้นชิน แต่ในสถานที่แบบนี้มันย่อมต้องสงสัยบ้างแหละ ว่าความเป็นไปได้ที่รายการจะทุ่มให้เรามันมากน้อยแค่ไหน”

“งั้น…คงต้องรอดูต่อไป” 

“มึงไม่เชื่อกูใช่มั้ย?”

“มันก็เชื่อยาก เพราะที่มึงบอกมันก็คือความรู้สึกของมึงทั้งนั้น”

“อืม…มันก็แค่ความรู้สึกกู”  นั่นสิผมลืมส่วนนี้ไปได้ยังไง  คำพูดที่ไม่มีหลักฐานใดๆมาอ้างอิงได้ มันไม่ต่างอะไรไปกับลมปากที่พัดผ่านหู แม้ไอ้ภพจะเชื่อว่าผมเห็นผีได้จริงๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเชื่อผมทุกอย่าง มันเข้ามาในบ้านหลังนี้ด้วยเหตุผลของมัน  ความจริงที่มันต้องการหาจึงต้องไม่ใช่แค่มาจากความรู้สึกผมหรือแค่เพราะว่าผมสังเกตได้

“มีอะไรจะบอกกูอีกมั้ย”

“ไม่” ผมส่ายหน้าพร้อมกับปฏิเสธมันไป

.

.

.

ดวงอาทิตย์กำลังจะลับของฟ้า…

แสงสุดท้ายของวันใกล้จะหมดลงแล้ว นั่นหมายความว่าเกมส์ที่3ของผมใกล้จะเริ่มขึ้นในทุกที ยิ่งเห็นลุงคำสั่งคนงานมากมายขนตู้กระจกเก่าๆมาสองตู้เข้ามาไว้ในบ้านตู้หลังหนึ่งถูกย้ายขึ้นไปบนห้องและตู้อีกหลังถูกวางไว้ด้านล่าง  ท่ามกลางความสงสัยของผมกับไอ้ภพ ลุงคำได้ให้คำตอบแค่ว่า มันคือส่วนหนึ่งของเกมส์นี้  ผมกับไอ้ภพที่ยังไม่ได้เปิดอ่านรายละเอียดเกมส์จึงทำได้แค่พยักหน้าตอบรับลุงคำไปแค่นั้น

พูดถึงไอ้ภพ หลังจากผมปฏิเสธที่จะเล่าต่อ ผมกับมันก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก  ผมรู้ว่าถึงพูดอะไรไปตอนนี้ไอ้ภพมันก็ไม่เชื่อ เพราะคำพูดของผมมันไม่มีหลักฐานหรือแรงจูงใจมากพอ แม้จะยังคงมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะบอกมัน แต่เวลานี้มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไร   มันลุกเดินไปนั่งอยู่ริมหน้าต่างมองดูกำแพงนั่นอีกครั้งอย่างคนเหม่อลอย ผมที่ไม่คิดจะเข้าไปขัดจังหวะของมัน จึงได้แต่นั่งเงียบบนเตียงจนเผลอหลับไป รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ไอ้ภพมาปลุกและบอกว่าลุงคำมาแล้วให้ผมเตรียมลงไปข้างล่างกับมัน

เมื่อลงมา  นอกจากลุงคำผมยังเห็นคนงานเดินถือตู้กระจกสองหลังตามมาด้วย มันเป็นตู้กระจกโบราณรูปทรงเหมือนในหนังผีทั่วๆไป ด้วยความที่ผมยังไม่อยากใส่ใจมันมากนัก จึงเดินไปจับผ้าของผมกับไอ้ภพเพื่อตรวจดูว่ามันแห้งหรือยัง แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิด  ผ้ายังคงชื้นอยู่เมื่อเก็บไม่ได้ผมจึงต้องปล่อยให้มันแห้งไปแบบนั้นและกลับเข้าบ้านไปตามเดิม

“ผ้าแห้งรึยังหละ”

“ยังเลยครับลุง กว่าพวกผมจะซักกันเสร็จก็ตั้งบ่ายโมงแล้วครับ”

“บอกแล้วให้ลุงเอาไปซักให้ ป่านนี้ก็ได้ผ้ากันแล้ว”

“ไม่เป็นไรครับลุง พวกผมยังมีผ้ากันอยู่แถมซักเองก็แก้เบื่อดีครับ”

“ตามใจๆ  มีอะไรอยากได้อีกมั้ย ลุงจะได้เอามาให้เพิ่ม”

“ไม่มีอะไรแล้วครับลุง ตอนนี้ยังไม่ขาดอะไร”

“งั้นลุงไปแล้วนะ”

“เดี๋ยวครับลุง  นอกจากตู้กระจกพวกนี้แล้วลุงเอาอะไรมาให้เพิ่มอีกมั้ยครับ พอดีผมกับไอ้ภพยังไม่ได้เปิดอ่านหนังสือครับ”

“อ้อ  มีแอปเปิ้ลอีกอย่างที่ลุงเอามาให้ กินได้นะลุงเอามาให้หลายลูกเลย แต่ก็เหลือๆไว้2ลูกละกัน มันต้องใช้”

“ขอบคุณครับลุง”

“ไม่มีอะไรแล้วลุงไปนะ  ระวังตัวกันด้วยหละ”

“ครับ”  ผมกับไอ้ภพมองหน้าลุงที่เตือนพวกผมด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเริ่มหันมามองหน้ากันเอง หน้าไอ้ภพคงไม่เท่าไร แต่หน้าผมตอนนี้เต็มไปด้วยร่องรอยของความกังวลที่ก่อตัวขึ้น  ไม่ต้องเปิดหนังสือผมก็พอเดาได้ว่าเกมส์นี้มันต้องการให้ผมทำอะไร ทุกอย่างลงล็อคของมันอย่างไม่ต้องสงสัย กระจกโบราณ เอย แอปเปิ้ลเอย ถ้าคนที่เคยดูหนังผีย่อมต้องเดาได้ว่าเกมส์นี้มันให้ ปอกแอปเปิ้ลหน้ากระจก

ถ้าการเดาของผมมันใช้ได้ตลอดเวลาก็คงดี ไม่อย่างนั้นชีวิตการเรียนของผมคงไม่ต้องลุ่มๆดอนๆ เสี่ยงโดนไล่ออกทุกเทอมแบบนี้  ผมกับไอ้ภพตัดสินใจที่จะเปิดหนังสือนั่นเพื่ออ่านวิธีการเล่นเกมส์ก่อนการทำอาหารเย็น แล้วก็พบว่าเกมส์นี้มันสั่งให้ผมกับไอ้ภพปอกแอปเปิ้ลกันจริงๆแต่ต้องปอกกันคนละที่ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าตู้กระจกนั่นทำไมมันถึงถูกวางไว้สองตำแหน่ง

เกมส์นี้บังคับให้ผมเล่นกันดึกหน่อยคือตอนตีสาม เวลาดีผีเฮี้ยน นี่เกมส์คงอยากดึงกระแสมากจึงได้คิดหาแต่เกมส์ยากๆแล้วเสี่ยงเจอผีหลอกออกมาตั้งแต่เกมส์แรกๆ   ผมไม่รู้ว่าวันต่อๆไปเกมส์จะยากมากขึ้นแค่ไหน รู้แค่ว่าผมต้องเข้มแข็งให้ได้มากกว่าตอนนี้  เกมส์นี้ดีกรีความโหดมันสูงขึ้นเรื่อยๆ สังเกตจากการบอกเล่าประสบการณ์การเจอผีใน2เล่มที่ผ่านมา จำนวนผู้มีประสบการณ์นั้นมากขึ้นและเจอแรงขึ้นเรื่อยๆ   จนเล่มนี้เมื่อผมตัดสินใจเปิดดูหน้าคำบอกเล่านั้น คำบรรยายไปในทิศทางเดียวกันหมดคือ เมื่อปอกแอปเปิ้ลไปได้สักพักสิ่งที่จะเจอคือ

เนื้อคู่….

“เหี้ยไรวะ?? พิธีกรรมนี้มันใช้เห็นเนื้อคู่”  หน้าผมตอนนี้คงไม่ต่างอะไรไปกับหน้าหมางง  ไอ้ภพก็ไม่ต่างกัน  ต่างคนต่างสงสัยว่าทำไมเกมส์ถึงให้พวกผมมาหาวิธีดูเนื้อคู่แทนที่จะเป็นผีเหมือนเกมส์ก่อนๆ

“มึงอ่านผิดรึเปล่า”

.
.
.
(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่5 กระจกโบราณ (ุ6/01/2560)
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 06-01-2017 18:28:23


“งั้นมึงเอาไปอ่านเอง” ผมยื่นหนังสือไปให้มันอ่าน  ก่อนมันจะเปิดดูประสบการณ์คนอื่นไปเรื่อยๆเพื่อหาความแน่นอนจนเหมือนกับว่ามันไปเจอข้อความอะไรสักอย่างที่น่าสนใจ  ผมเห็นมันหยุดอ่านอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะเงยหน้ามองพร้อมกับยกสันหนังสือมาเขกหัวผม

“โอ้ยยยย  มึงจะเขกหัวกูทำไมวะ”

“ปลุกมึงให้ตื่นไง  จะอ่านอะไรก็หัดอ่านให้มันหมดบ้าง”

“อะไรวะ กูก็อ่านหมดแล้วไง จะอะไรกับกูอีก” ผมเริ่มมีน้ำโหกับพฤติกรรมของมันบ้าง

“งั้นมึงก็แหกตาดูนี่ให้มันชัดๆ”

คำเตือน: เมื่อเห็นเนื้อคู่ของเราแล้วให้รีบตัดเปลือกแอปเปิ้ลทิ้งทันที ไม่รับประกันว่านอกจากเนื้อคู่จะเห็นสิ่งลี้ลับอื่นหรือไม่

“ใครจะรู้วะ หน้านี้กูยังไม่ได้อ่าน”

“ไหนมึงบอกอ่านหมดแล้ว?”

“ก็…เอ่อ คนเรามันก็ต้องผิดพลาดกันบ้างดิวะ กูก็อ่านแล้วนี่ไง”

“ถ้าอ่านแล้วก็พอ  ไปทำอาหารแดก” พูดจบแล้วมันก็เดินเข้าครัวไป  ผมยักไหล่ให้กับการกระทำของมันแล้วหันไปเก็บหนังสือให้เข้าที่เดิม เรื่องพิธีกรรมอื่นค่อยมาทบทวนทีหลัง  ถ้าถามผมว่า ผมกลัวพิธีกรรมนี้มากน้อยแค่ไหน ผมคิดว่าตั้งแต่เล่นเกมส์มาพิธีกรรมนี้ทำให้ผมกลัวน้อยที่สุด  เพราะพิธีมันทำให้เห็นเนื้อคู่ไม่ใช่ผี แต่ก็ยังไว้วางใจอะไรไม่ได้ทั้งนั้น คำเตือนนั่น ไม่น่ามีไว้แค่ประดับหนังสือเฉยๆแน่

“เฮ้อ มึงว่าคืนนี้กูจะรอดมั้ยวะ” คำถามจากผมเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากจัดการมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย และเลือกที่จะมานั่งพักเอาแรงอยู่เฉยๆก่อนการทำพิธีกรรมคืนนี้

“เพ้อเจ้ออะไรของมึงอีก”

“ให้ความร่วมมือกับกูหน่อยจะตายรึไง”

“เอ้า กูก็ถามมึงนี่ไงว่าเพ้อเจ้อ เรื่องอะไร” ผมปล่อยมันให้กวนตีนต่อไป พร้อมกับส่ายหน้าเอือมกับพฤติกรรมมัน   ไม่อยากจะเสวนาใดๆด้วย แต่ก็ทำไม่ได้อยู่กับมันแค่2 คน ถ้าไม่ระบายออกให้มันฟังบ้างผมคงต้องใช้วิธีผีถ้วยแก้วนั่นอีกครั้ง แล้วเชิญวิญญาณพวกนั้นให้มาฟังผมระบายทุกอย่าง ก่อนที่ผมจะยอมโดนพวกมันหลอก

“กูละเพลียกับมึงเหลือเกิน  ก็พิธีกรรมห่านี่ไงโว้ย กูเครียดกูจะโดนผีหลอกอีกมั้ย”

“มึงควรชินได้แล้วนะ”

“ชินห่าชินเหวไรละ กูแช่งแม่ง ให้มึงเจอแบบกูบ้าง”

“แช่งไปเหอะ ยังไงกูก็ไม่เห็น”

“ทำไม  มึงตาบอดหรอ”

“เปล่า กูหล่อ”

“ฮะ!!!!!   กวนตีนละ ไอ้ภพ” หน้าตายมากครับ มันตอบได้หน้าตายมากมีอย่างทีไหนมาชมตัวเองว่าหล่อด้วยสีหน้าแบบนั้นต่อหน้าบุคคลที่ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมด้วยแม้แต่น้อย

“เฮ้อ  อย่างที่กูเตือนมึงเมื่อเช้าจำได้มั้ย ถ้ามึงหนีไม่ได้ก็ต้องทำใจให้ชิน มันมีแค่หนทางเดียวจริงๆ”

“กูพยายามอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรเหมือนกันที่กูจะทำได้” มันกลับสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง  รวมถึงผมด้วย

“ เวลาของเกมส์มันยังมีอีกหลายวันก็จริง แต่เวลาของมึงมันมีจำกัด รักษาตัวเองให้ดี”

“กู…ไม่เข้าใจ”

“ตามที่บอก เวลาของจิตใจ เวลาของสุขภาพมึงมันไม่ได้ถาวรนะไอ้มิว มึงแย่ลงทุกครั้งหลังจบเกมส์ ดูลิมิตตัวเองด้วยว่าทนได้แค่ไหนถ้ามึงยังคงไม่ชินกับอะไรแบบนี้” มันพูดเตือนผมด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจริงจังและจริงใจ อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความห่วงใยเล็กๆ  นั่นทำให้ผมรู้สึกอุ่นในใจได้อย่างน่าประหลาด ไม่น่าเชื่อว่าคนแบบมันที่พยายามจะขับไล่ผมออกจากเกมส์ในวันแรก จะพยายามเตือนผมให้กลับเข้าสู่ความเป็นจริงหลังจากอยู่ร่วมกันเพียงไม่กี่วัน

“ขอบคุณที่เป็นห่วง”

“อืม ถ้ามีอะไรอีกก็บอกกู”

“แล้ว….มึงคิดว่าถ้ามันเห็นเนื้อคู่ได้จริงๆ มึงคิดว่ามึงจะเห็นใคร” ผมรีบหลบสายตามันก่อนจะตัดบทมาถามเรื่องเนื้อคู่กับไอ้ภพแบบดื้อๆ   หน้าของไอ้ภพยามให้คำปรึกษาผม   เป็นใบหน้าที่ค่อนข้างจริงจังส่งผลให้มันดูเท่อย่างบอกไม่ถูก  น้ำเสียงของมันนั่นอีก  คำถามถูกถามขึ้นภายในใจทันทีว่า ผมกำลังเป็นอะไร  ทำไมใจของผมถึงเต้นแรงเหมือนว่ามันจะออกมาจากอกให้ได้  อีกทั้งสมองของผมยังสั่งไม่ให้มองหน้ามันนานเกินกว่านั้น

“กูจะรู้มั้ย ถ้ากูรู้ว่าเนื้อคู่กูเป็นใคร กูจะมานั่งทำอะไรแบบนี้หรอ”  มันหันมามองผมด้วยสีหน้าไม่เข้าใจนั่น  ก่อนจะตอบผมด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป ทำให้บรรยากาศหวานใสที่ผมคิดไปเองเมื่อครู่กลับกลายเป็นปกติ

“เผื่อมึงจะอยากเห็นหน้าแฟนมึงไง”

“…..”

“เงียบทำไม มึงเพิ่งโดนแฟนทิ้งมาหรอ”

“เปล่า กูไม่มีแฟน”

“ฮะ อะไรนะทำไมกูไม่ได้ยินเลยวะ ไม่ อะไร แฟนๆนะ”

“สัสหูหนวกรึไง กูก็บอกว่ากูไม่มีแฟน”

“โด่วววว แค่นี้เองจะอายไมวะ  กูก็ไม่มียังไม่เห็นอายเลย”

“มึงเลยจะรอเห็นไอ้ผีพวกนั้นใช่มั้ย”

“….”

“เฮ้ย!!  กูล้อเล่น มึงไม่ต้องทำหน้าจริงจังขนาดนั้นก็ได้”

“มันใช่เรื่องมั้ยไอ้ภพ กูอุตส่าห์ทำใจลืมๆมันไปแล้วนะ”

“มึงจะคิดมากทำไมวะ  เค้าก็บอกอยู่นี่ไงว่ามันมีไว้ดูเนื้อคู่ มันจะเห็นผีได้ไง”ไอ้นี่กลับคำครับ ทีตอนแรกทำท่าไม่เชื่อผมว่าพิธีกรรมมันใช้ดูเนื้อคู่ไม่ใช่ผี

“กูรู้ แต่คำเตือนนั่นมันคงไม่ได้มีไว้เตือนมึงเล่นๆหรอก”

“งั้นเดี๋ยวกูจะอ่านให้มึงฟังเอง ว่าคนที่เล่นเกมส์นี้แม่งเจอผีมั้ย” ผมมองไปที่มันเงียบๆดูการกระทำของมันที่เริ่มกระตือรือร้นแก้ปัญหาให้ผมแบบเด็กๆ  มันคงไม่ได้ทันคิดอะไรหรอก แต่ผมนี่สิเริ่มคิดแล้ว ภาพนั้นมันช่างน่ารักอย่างบอกไม่ถูก   สำหรับผมมันคล้ายกับพี่ชายที่กำลังโอ๋น้องสาวของตัวเองแบบนั้น

น้องสาว?

หรือว่าผม…ไม่เคยมีพี่ที่คอยดูแล เลยหวั่นไหวไปกับการกระทำของไอ้ภพได้ง่าย ผมใช้ชีวิตด้วยตัวเองมาเสมอ การเข้ามาของไอ้ภพ จึงเหมือนมาเติมเต็มสิ่งนี้ให้กับผมที่พักหลังแทบไม่ต้องทำอะไรคนเดียว มีมันคอยช่วยทุกอย่าง  อีกทั้งปัญหาหลายๆอย่างที่ผมต้องแบกรับไว้ พอมีมันมาช่วยแชร์ ผมถึงรู้สึกได้ว่าชีวิตผมไม่ได้ตัวคนเดียว

“สวัสดีค่ะ  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดจากหนูโดยตรงเลยนะคะ  เริ่มเลยละกัน หนูขอใช้นามสมมตินะคะว่าหนูชื่อ A แรกเริ่มเดิมทีหนูไม่ใช่คนสวยค่ะ แต่ก็มีผู้ชายมากมายเข้ามาคุยกับหนูนะคะ ไม่ใช่ไม่มี  ทีนี้หนูก็เลือกไม่ได้ค่ะว่าจะให้คนไหนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตหนู บางทีมีผู้ชายเข้ามามากๆมันก็ปัญหาแบบนี้แหละค่ะ หนูเลยลองไปสืบค้นค่ะว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะคัดสรรผู้ชายที่ดีที่สุด  หนูเลยมาเจอวิธีนี้ค่ะ ปอกแอปเปิ้ล  หนูไม่รอช้าค่ะ ไม่อยากให้ผู้ชายในสต๊อกตีกันตายก่อน เลยรีบทำพิธีกรรมนี้ทันที  เมื่อลองทำตามที่พิธีกรรมบอก ตอนแรกหนูไม่เชื่อเลยนะคะ ว่าแค่ปอกแอปเปิ้ลหน้ากระจกจะมีภาพผู้ชายโผล่มาได้ยังไง แต่เมื่อหนูลองทำ มันมีภาพขึ้นมาจริงๆค่ะ เป็นภาพผู้ชายหนึ่งในหลายสิบคนที่คุยกับหนูอยู่ หนูเลยมั่นใจว่าคนนี้คือเนื้อคู่หนูแน่ๆ เลยปฏิเสธผู้ชายที่เหลือแล้วเลือกคนนี้เลยค่ะ  นับว่าโชคดีมากเลือกไม่ผิดเลยจริงๆเค้าใหญ่ดีค่ะ อุ๊ย ผิดจุดนะคะ เค้านิสัยดีค่ะ ตอนนี้หนูกับเค้าเลยรักกันแฮปปี้มาก    นางสาวAร้อยผัว”

“555555555555 โอ้ยยยยยขำ” ผมขำอย่างไม่มีกั๊กทันทีที่ไอ้ภพอ่านจบ ถ้ามันอ่านด้วยน้ำเสียงปกติผมคงไม่ได้รู้สึกฮามากขนาดนี้แต่นี่มันเล่นเลียนเสียงแบบ นางสาวเอร้อยผัวไปด้วย  คาดว่าคงกะให้ผมอารมณ์ดีแบบสุดๆแน่ ไม่มันก็รู้สึกผิดจริงๆถึงได้ยอมลงทุนเล่นอะไรแบบนี้

“มึงขำไรวะ นางสาวเอร้อยผัวเนี่ยหรอ เออมันก็น่าขำ ไหนบอกเลือกผู้ชายคนนั้น แล้วผัวอีก 99คนมาจากไหน” มันยังคงไม่รู้ตัวว่ามันทำอะไรลงไป ถึงได้ไปคิดว่าผมขำอีกประเด็นหนึ่ง ทั้งที่ความจริงมันก็น่าขำ แต่พอนึกเสียงไอ้ภพ เรื่องนี้ก็เป็นด้อยไปทันที

“สัส กูขำมึงนั่นแหละ เล่นมาได้นะไอ้ดัดเสียงเป็นนางสาวเอเนี่ย  ดูเสียงมึงด้วยใหญ่จะตายห่ายังจะกล้าเล่น”

“แล้วไง มึงก็ดูไม่กลัวแล้วหนิ จะให้เล่าต่อมั้ย?” มันฉุนกึกใส่ผมทันที  เดาว่าคงอายที่ผมไปแซวมัน เลยเริ่มแสดงอาการพยศผมอีกครั้ง

“เอาดิ กูอยากฟังอีกเรื่อยๆ”

“เออ!!” หลังจากนั้น ไอ้ภพมันก็เล่าเรื่องต่างๆสลับกับด่าผมที่ยังคงหัวเราะมันไปเรื่อยๆ เรื่องหลังจากนั้นมันไม่ได้มีอะไรต่างไปจากเรื่องแรก ทุกคนจะบอกถึงแนวความน่ารักของเหตุการณ์หลังพิธีกรรมนั่นมากกว่าที่จะโฟกัสเรื่องที่เกิดระหว่างพิธีกรรม ราวกับว่าเนื้อเรื่องที่อ่านทั้งหมดมีเนื้อหาที่มาจากแหล่งอ้างอิงเดียวกัน ซึ่งผิดปกติไปมากสำหรับเรื่องที่ควรจะต้องนำมาลงในหนังสือแนวผีๆแบบนี้ จนกระทั่งเรื่องสุดท้ายที่ไอ้ภพจะเล่าให้ผมฟัง

“กูจะเล่าเรื่องนี้เรื่องสุดท้าย มึงก็หายประสาทหลอน เลิกกลัว เลิกเพ้อเจ้อสักที กูเหนื่อย”

“เออๆ เล่ามาเหอะ กูหายกลัวไปนานละ”

“อ้าว??  แล้วทำไมไม่บอกวะ งั้นเรื่องนี้กูไม่เล่า”

“เฮ้ย เล่าให้ฟังก่อนดิ กูอยากฟัง”

“งั้นเชิญมึงนั่งฟังเงียบๆครับ ก่อนที่กูจะไม่มีอารมณ์เล่า”

“เชิญมึงตามสบายเลยครับ”

“สวัสดีค่ะ หลังจากที่ได้อ่านประสบการณ์คนอื่นมาก็นาน วันนี้ดิฉันจะขอมานำเสนอเรื่องของตัวเองบ้างนะคะ ดิฉันชื่อพราวค่ะ เดิมทีเป็นคนอาภัพรักขั้นรุนแรงถึงแรงมากค่ะ  ใครบอกว่าอะไรดี คาถาบทไหนเด็ด พราวก็จะนำมาประยุกต์ใช้กับตัวเอง แต่ลองยังไงทุกอย่างมันก็ไม่ดีขึ้นจนตอนแรกพราวถึงกับถอดใจไปเลยค่ะ คิดว่าชาตินี้ยังไงก็หาสามีไม่ได้แน่ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งพราวเปิดเว็บไซต์ไปเรื่อยๆตามประสาสาวโสด สิ่งที่พราวพบคือหน้าเว็บแห่งนี้นี่แหละค่ะ  กระทู้เรื่องการปอกแอปเปิ้ลหน้ากระจกตอนนั้นกำลังขึ้นเป็นกระทู้แนะนำ พราวจึงลองกดเข้ามาดู สิ่งที่พราวเห็นตรงหน้า พราวค่อนข้างไม่เชื่อนะคะว่าจะเห็นได้ยังไง มันก็แค่กระจกธรรมดาๆ ไม่น่าจะเห็นได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่ในเมื่อพราวเล่นกับไสยศาสตร์มาก็เยอะ คราวนี้พราวจึงลองเสี่ยงอีกครั้งกะว่า ถ้าครั้งนี้ยังไม่ประสบผลสำเร็จพราวจะไปบวช  พราวเริ่มต้นไปหาซื้อกระจกโบราณมาเหมือนกับคุณคนอื่นๆ เริ่มทำพิธีกรรมตามเนื้อหาในกระทู้ ในช่วงแรกของการทำพิธีพราวไม่เห็นอะไรเลยนะคะ จนเปลือกแอปเปิ้ลที่พราวปอกจะหมดแล้วอีกทั้งเทียนก็ใกล้จะหมดลง พราวเตรียมจะถอดใจละค่ะ ถ้าไม่มีภาพหนึ่งปรากฎขึ้นมาบนนั้น  มันเป็นภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่พราวไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวค่ะ เคยเห็นกันบ้างเวลาพราวจะเดินทางไปทำงานเพราะออกมารอรถพร้อมกัน  ผู้ชายคนนั้นหน้าตาดูใจดีและหล่อเหลามากค่ะ  พราวดีใจเป็นอย่างมากไม่คิดว่าผู้ชายที่เป็นเนื้อคู่ของพราวจะอยู่ใกล้แค่นี้ แม้ช่วงนั้นพราวจะไม่ค่อยเจอเค้าแล้วก็ตามทีแต่พราวสัญญากับตัวเองเลยค่ะว่าตอนเช้าจะไปตามหาเค้า แต่….”

“หยุดทำไมวะไอ้ภพ  แต่อะไร” ผมโวยมันทันทีเมื่อมันหยุดในตอนที่ผมคาดว่ามันจะเป็นจุดสำคัญของเนื้อเรื่องนี้

“กูขี้เกียจอ่านต่อ มันเยอะชิบหาย”

“โว้ยยย  นั้นเอามากูจะอ่านเอง”

“พอ ไม่ต้องอ่านไปหาอย่างอื่นทำกันดีกว่า อ่านไปแม่งก็เท่านั้น”

“พูดอย่างกับว่าบ้านนี้มันมีอะไรให้มึงทำนักหนาอ่ะ  เอามากูจะอ่านต่อ”

“งั้นไม่ต้องถ้ามึงจะฟัง กูจะอ่านให้มึงฟังเอง”มันมองหน้าผมอีกหนึ่งครั้งเพื่อยืนยันว่าผมไม่เปลี่ยนใจจริงๆก่อนจะเริ่มเล่าต่อ

“พราวสัญญากับตัวเองเลยค่ะว่าตอนเช้าจะไปหาเค้า  แต่ก่อนที่พราวจะได้ทำตามใจคิด เทียนที่จุดไว้หน้ากระจกก็ดับลงไปก่อน พราวกลัวว่าภาพของผู้ชายคนนั้นจะหายไปพราวเลยรีบวางแอปเปิ้ลที่ยังไม่ได้ตัดเปลือกลงและก้มลงไปหาเทียนกับไม้ขีดไฟเพื่อจะรีบนำขึ้นมาจุดต่อ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองกระจกอีกครั้ง ของทุกอย่างในมือพราวก็ร่วงลงไปทันที ภาพผู้ชายคนนั้นยังคงอยู่ที่เดิมแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ หน้าเค้าที่ดูใจดีนั่นถูกเปลี่ยนไปเป็นหน้าที่ช้ำเลือดช้ำหนอง กำลังก้มลงกินแอปเปิ้ลนั่นภายในกระจก เมื่อพราวก้มลงมองแอปเปิ้ลตัวเอง พราวก็พบว่าแอปเปิ้ลนั้นมันกลายเป็นแอปเปิ้ลเน่ามีแต่หนอนชอนไชเต็มไปหมด เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งผู้ชายคนนั้นก็นั่งจองแพรวตาเขม็งพร้อมกับเอ่ยประโยคนึงซ้ำๆว่า มึงเรียกกูมาทำไม   พราวตกใจกรี๊ดลั่นบ้าน แต่ด้วยความที่พราวอยู่คนเดียวจึงไม่มีใครช่วยพราวได้ พราวจึงวิ่งออกมาหลบข้างนอกห้องกะจะขับรถออกจากบ้านไปอาศัยบ้านเพื่อน  แต่เชื่อมั้ยคะ  ทุกครั้งที่พราวผ่านกระจก ไม่ว่าจะบานใดก็ตามภาพผู้ชายคนนั้นจะปรากฎออกมาตลอดพร้อมกับเอ่ยประโยคเดิมๆว่า มึงเรียกกูมาทำไม  พราวเหมือนคนไร้สติไปพักหนึ่ง กลัวกระจกทุกบานจนปล่อยให้ตัวเองโทรมลงเรื่อยๆ คนรอบข้างพราวทนไม่ไหวเลยพาพราวไปหาพระที่พราวนับถือ พระท่านบอกพราวว่า พราวเข้าไปเล่นกับพิธีที่ไม่สมควร ผู้ชายคนนั้นคือเนื้อคู่ของพราวจริง แต่เค้าตายไปแล้ว เท่ากับว่าพราวไปเรียกคนตายมาคุยด้วย  พระท่านทำพิธีรดน้ำมนตร์ให้พราว และสวดมนตร์ช่วยพราว พราวจึงไม่เห็นภาพพวกนั้นในกระจกอีก  ที่พราวเขียนไม่ได้จะเขียนเพื่อลดความน่าเชื่อถือคนอื่นๆ แต่อยากให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนอยากลองว่าไม่ใช่ทุกคนที่เนื้อคู่…จะยังมีชีวิตอยู่    พราว(มึงเรียกกูมาทำไม)”

“…..”

“ไงละ กูบอกมึงแล้วว่าจะไม่อ่านต่อ” ไอ้ภพเงยหน้าขึ้นมาถากถางผมทันทีหลังอ่านจบ เพราะผมเริ่มเงียบไปหลังจากเนื้อเรื่องมันดำเนินไปในจุดที่ไม่เหมาะกับการได้ยิน

“แล้วทำไมมึงไม่บอกกู ว่าเนื้อเรื่องต่อไปมันเจอผี”

“มึงคิดว่าตัวเองจะรับได้มั้ย ถ้ากูบอกว่าพิธีกรรมนี้มันเห็นผีได้จริงๆ”

“…..”

“เอาเหอะ มึงพักผ่อนไปยังไงซะ คนเล่ามันก็เจอผีเพราะเนื้อคู่มันตายไปแล้ว”

“แล้วถ้าเนื้อคู่กูตายไปแล้วมั่งอ่ะ กูจะทำไง”

“มันก็แค่เกมส์ คำบอกเล่าพวกนั้นมันมีอะไรยืนยันได้บ้างว่าเรื่องจริง อย่าเพ้อเจ้อ”

“กูไม่ได้เพ้อเจ้อ กูแค่กลัว”

“เอางี้  ช่วงพิธีกรรม มึงตะโกนมาเรื่อยๆ พูดอะไรก็ได้ เดี๋ยวกูจะตะโกนคุยกับมึงเอง”

“โอเค แต่มึงอย่าเงียบนะ”

“เออ ถ้ามึงไม่เงียบกูก็จะตะโกนตอบมึงแบบนั้นแหละ แล้วมึงจะทำพิธีที่ไหนในห้องนี้รึข้างล่าง”

“กูขอในห้องละกัน ไม่อยากลงไปข้างล่างหวะ”

“งั้นก็ตามนี้ เดี๋ยวอุปกรณ์อื่นกูเอาขึ้นมาให้ มึงก็นั่งรอบนนี้พอ”

“ภพ….ถ้าเกมส์นี้กูยังเจอผีอีก กูจะทำไงดี”

“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ทำใจให้แข็งอย่างเดียว”

“ถ้ามันขอให้กูช่วยมันแบบเดิมหละ ถ้ามันพยายามจะเข้าถึงตัวกูหละ”

“ถ้ามันขอให้มึงช่วย คราวนี้มึงต้องถามให้รู้เรื่อง ถ้ามันพยายามจับตัวมึงหรืออะไรอีก ให้เรียกกูซะ ”

“อืม ขอบคุณ”

มันพยักหน้าตอบรับผมแค่นั้นก็เดินแยกออกไปข้างนอกห้อง เดาว่ามันคงไปเข้าห้องน้ำ ผมที่เมื่ออยู่คนเดียวในห้องตอนนี้ก็ได้แต่เบนสายตาไปยังตู้กระจกโบราณหลังนั้น พิจารณาถึงความเก่าแก่ของมัน รายการนี้เก่งมากที่ไปสรรหาของเก่าแบบนี้มาได้  กระจกรูปทรงรีมีกรอบเป็นรูปคดโค้งดูสวยงามตามแบบฉบับไทยแท้ๆ  ไม่รู้ว่าด้วยแรงดึงดูดของมันหรืออะไร ทำให้ผมต้องลุกขึ้นจากเตียงไปสัมผัสมัน ของเก่าเก็บเกือบทุกชิ้นมันดูมีมนตร์ขลังแต่ก็ดูน่ากลัวไปพร้อมๆกัน  แม้สำหรับผมจะอยากให้มันเป็นของเก่าที่ไม่ต้องมีประวัติใดๆ แต่ความคิดเบื้องลึกก็ต่อต้านมาว่า เกมส์มันไม่ง่ายขนาดนั้น 




**************************************TBC****************************************
สวัสดีครับบบบบบบบ  วันนี้เอาตอนที่ 5 มาให้แล้วนะครับ  555555  ไม่เคยได้ลงวันอังคารวันเดียวซะที ตอนนี้ผมว่างเลยมาลงวันศุกร์ให้ด้วย  แต่ตั้งแต่อาทิตย์หน้าไป ผมเปิดเรียนแล้วคงได้ลงแค่วันอังคารจริงๆแล้วครับ :hao7:

เห็นหลายๆคนบอกว่าหลอน  ตอนนี้ผมเลยขอแบบเบาๆไว้ก่อนนะครับจะได้อ่านตอนกลางคืนกันได้ เรื่องหลอนๆรวบยอดเป็นตอนหน้าละกันครับ :katai3:

ส่วนเรื่องเพจ  ตอนนี้ผมยังไม่มีนะครับ นี่เป็นนิยายเรื่องแรกผมยังไม่กล้าเปิดเพจครับ 5555 กลัวเขียนได้ไม่ดีพอ แต่ถ้าอยากพูดคุยกับผม สามารถติด #Nightmaregame ในทวิตเตอร์ได้นะครับ เดี๋ยวจะไปรีมาคุยด้วยครับ

ขอบคุณที่ติดตามครับ  เจอกันตอนหน้า
P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่5 กระจกโบราณ (6/01/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 06-01-2017 20:47:08
โอ้ยยยย หลอนมากกกก
คราวหน้าจะไม่อ่านเรื่องนี้ตอนกลางคืนแล้ว :ling3:

ปล. เริ่มมีโมเม้นท์มุ้งมิ่ง5555
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่5 กระจกโบราณ (6/01/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 06-01-2017 22:22:03
สนุกและหลอนสุดๆ เขียนเก่งมากกกก เพิ่งได้มาตามและจะตามจนจบเลยคับ เป็นกำลังใจให้ o13
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่5 กระจกโบราณ (6/01/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-01-2017 22:22:21
บางที ทุกอย่างทีมงานอาจจัดฉากทั้งหมดก็ได้ อืมมมมมม น่าสงสัย
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่5 กระจกโบราณ (6/01/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Babarahbreem ที่ 06-01-2017 22:31:02
หลอนมากกกกกก    :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่5 กระจกโบราณ (6/01/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 07-01-2017 08:39:22
ตามสิ จะเหลือหรอ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่5 กระจกโบราณ (6/01/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 07-01-2017 10:57:28
เห็นแต่เมื่อคืน ไม่กล้าอ่าน 5555 อยากอ่านอีกกก :ling1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่5 กระจกโบราณ (6/01/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 07-01-2017 17:44:36
โอ้โห ขนาดยังไม่มีอะไร อ่านตอนนี้เรายังหลอนเลยค่ะ กลัวอะไรพวกนี้ขึ้นสมองมาก :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่5 กระจกโบราณ (6/01/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: เสพศิลป์ ที่ 07-01-2017 22:54:48
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: มาต่อๆๆ อยากรู้ว่าจะเป็นไงต่อไปปปป
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่5 กระจกโบราณ (6/01/2560) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nuchhxk ที่ 08-01-2017 00:02:48
มาอ่านตามที่บอกว่าจะติดตาม ฮื่อออ อ่านแล้วรู้เลยมันไม่ง่ายแน่ๆ แต่พอจะเดาได้ว่าเจอหน้าใคร..
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่6 คำตัดสินจากสัมภเวสี (10/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 10-01-2017 19:40:39
ตอนที่6

คำตัดสินจากสัมภเวสี


“อ่ะ อุปกรณ์ของมึง ถือดีๆมีดมันคม” ไอ้ภพยื่นอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในคืนนี้ให้กับผมหลังจากที่ใกล้จะถึงเวลาทำพิธีกรรม

“มึง…จะลงไปข้างล่างเลยหรอ”

“อืม ทำไม?”

“ยังเหลืออีก10 นาที นั่งเป็นเพื่อนกูก่อนดิ” ผมหันไปขอร้องมันที่เตรียมจะลงไปข้างล่างให้นั่งอยู่เป็นเพื่อนผมก่อน  ตอนนี้ผมนั่งรออยู่หน้ากระจกเรียบร้อยแล้ว ไอ้ภพที่ถูกผมขอร้องจึงเดินมายืนข้างๆตู้กระจกเป็นการบอกว่ามันยังไม่ไปไหน

“มึงรู้ใช่มั้ย ไอ้ภพว่าเวลาปอกแอปเปิ้ลต้องปอกไม่ให้เปลือกมันขาดจากกันเลยนะ”

“ยังไง”

“มึงก็ต้องเริ่มปอกแล้ววนรอบแอปเปิ้ลไปเรื่อยๆ  อย่าใช้การปอกจากบนลงล่าง”

“อืม….นี่มึงกำลังกลัวอยู่ใช่มั้ย?”

“ฮะ…อืม กูกลัว” แม้ผมจะทำใจมาก่อนหน้านั้นนานมากอย่างไร แต่เมื่อถึงเวลาความกลัวที่ผมมีมันไม่ได้ลดลงไปเลย มันยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆตามเวลาที่ใกล้จะถึง  ความประหม่าของผมก่อนตัวขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อะไรสักอย่างบอกผม ว่าคืนนี้ผมต้องเจอดีแน่ เพียงแต่ว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหนก็เท่านั้น  กระจกเก่าคร่ำครึ คงไม่โชว์แค่เนื้อคู่ผมหากพิธีกรรมมันเป็นจริง 

“ทำอย่างที่ตกลงกันไว้ก็พอ ไม่ต้องคิดอะไรให้มาก”

“อืม จะพยายาม”

“งั้นกูลงไปแล้วนะ  จะให้ปิดไฟในห้องให้เลยมั้ย”

“ปิดเลย  แต่ไม่ต้องปิดประตูห้องนะ”

“ได้”  สิ้นคำไอ้ภพ ไฟในห้องก็ถูกปิดลงโดยฝีมือมัน แต่ก็ยังไม่ถึงกับว่ามืดสนิท เพราะแสงไฟจากด้านล่างยังคงส่องสว่างขึ้นมาบ้าง วินาทีนั้นผมจึงรีบนำเทียนที่เตรียมไว้ขึ้นมาจุดแล้ววางไว้หน้ากระจก เตรียมแอปเปิ้ลและมีดออกมาวางไว้ข้างๆกันและมองตัวเองในกระจกนิ่งๆอย่างคนคิดไม่ตก

กระจกบานนั้นสะท้อนภาพของผู้ชายที่มีแต่เหงื่อไหลซึม อีกทั้งคิ้วบนหน้าผากยังขมวดกันเป็นปมอย่างไม่รู้ตัว ผมจึงต้องสูดหายใจเข้าปอดให้ลึกๆ เรียกขวัญและกำลังใจของตัวเองให้ผ่านเกมส์นี้ไปอย่างง่ายๆ เชื่อมั่นในคำพูดของไอ้ภพว่ามันจะมาช่วยผมทันทีหากผมกำลังเจอเหตุการณ์แย่ๆ  ไม่เพียงเท่านั้น ภาพในกระจกยังสะท้อนด้านหลังของผมออกไปเห็นถึงประตูที่ถูกเปิดอ้าเอาไว้อีกด้วย  และยังบันไดทางขึ้นที่ตั้งอยู่เยื้องๆนั่นอีก กลายเป็นภาพที่สร้างความหลอนให้เพิ่มไปอีกขั้น

“ไอ้มิว  กูจะเริ่มแล้วนะ”  ไอ้ภพตะโกนขึ้นมาบอกว่ามันกำลังจะปิดไฟด้านล่างและเริ่มเกมส์นี้ตามแบบฉบับของมัน

“เออ  เริ่มเลยกูพร้อมแล้ว” น้ำเสียงมั่นใจถูกตอบกลับไปให้มั่นได้ยินแทนการพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงอาการประหม่าผมไม่อยากให้มันเป็นห่วง กลัวว่าเกมส์นี้จะไม่จบถ้ามันต้องมานั่งพะว้าพะวงดูแต่ผม ทั้งที่ความเป็นจริง มือที่จะหยิบมีดและแอปเปิ้ลนั้นสั่นจนกลัวว่าจะปอกแอปเปิ้ลไม่ได้ด้วยซ้ำ

พรึบ

ไฟถูกปิดลงหมดแล้ว…

ตอนนี้เหลือเพียงแค่ผมกับแสงเทียนเพียงเท่านั้นในห้องนี้  เมื่อมองผ่านผมไปในกระจก ผมเห็นว่าด้านล่างไม่ได้มืดสนิทซะทีเดียว แสงเทียนที่ไอ้ภพจุดมันยังคงทำงานอยู่ เงาไอ้ภพที่ปรากฏให้เห็นเป็นสิ่งเดียวที่ยังทำให้ผมอุ่นใจ

“ภพ กูจะปอกแอปเปิ้ลแล้วนะ”  ผมตะโกนบอกมันเรียกกำลังใจให้ตัวเอง

“นี่มึงยังไม่ปอกอีกหรอ  จะเล่นตีห้ารึไง” น้ำเสียงกวนประสาทของมันถูกตอบกลับมาในทันที คลายความกังวลไปให้ผมเยอะ  จนมือที่ว่าสั่นก็เริ่มที่จะหยุด

“ไอ้สัสสส ให้กูเตรียมตัวบ้างมึงปอกไปเลย ระวังมีดบาด”

“เออ  มึงด้วยระวังมีดบาด” แค่ประโยคเดียวของมัน ก่อให้เกิดยิ้มจางๆบนหน้าผม  ความเป็นห่วงที่มันส่งมาให้ทำให้ใจของผมรู้สึกเหมือนได้เกราะคุ้มกันชั้นดี มีแต่ความรู้สึกว่าปลอดภัย  แม้มันจะไม่ได้รู้ตัวก็ตาม

“เชี่ย ทำไมหน้ากูแดงแบบนี้วะ” ผมบ่นกับตัวเองหลังจากที่เงยหน้า เพราะว่าตอนนี้ภาพสะท้อนที่ผมเห็นไม่ใช่ผู้ชายที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความระแวงหรือหวาดกลัวใดๆ   ภาพเหล่านั้นมันถูกแทนที่ด้วยภาพผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุขกับอะไรเล็กน้อยที่ผู้ชายอีกคนทำให้ แต่ก็คิดได้ไม่นาน  สมองผมรีบสั่งให้สะบัดความคิดฟุ้งซ่านนั้นทิ้งเสีย เพราะเริ่มกลัวใจตัวเองแล้วว่าจะสั่นคลอนมากไปกับผู้ชายคนนั้น

 “ไอ้มิวมึงบ่นอะไรวะ จะคุยก็ตะโกนมาให้กูได้ยินดิ กูจะได้ตอบมึงได้”

“ ก็ให้กูพูดคนเดียวบ้าง ไม่มีอะไรหรอก  มึงปอกไปถึงไหนแล้ว”

“กูปอกจนจะหมดอยู่แล้วเนี่ย ไม่เห็น…จะมีอะไรเลยวะ”

“กูก็เหมือนกันไม่มีภาพเหี้ยไรขึ้นมาทั้งสิ้น กูว่าพิธีกรรมนี้เราจะได้พักเร็วหวะ”

“กูก็หวังให้เป็นแบบนั้น”  มันตอบผมด้วยเสียงที่เบากว่าเดิม แต่ก็ไม่ถึงกับว่าผมไม่ได้ยิน

“งั้นกูจะปอกต่อแล้วนะ  ไม่อยากคุยไปปอกไปกลัวมีดบาด”

“เรื่องของมึง”  มันบอกผมแค่นั้น ทั้งผมกับมันก็เงียบกันไป  ผมตั้งใจปอกเปลือกแอปเปิ้ลนี่ให้เร็วขึ้น เพราะผมเห็นว่าอีกไม่กี่อึดใจ พิธีกรรมนี้ก็จะเสร็จสมบูรณ์  ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าบ้านทั้งบ้านเงียบมากไม่ใครคิดจะสนทนากันอีก ผมปอกไปเรื่อยๆจนรู้สึกว่าเมื่อยคอและต้องเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง

….กระจกตรงหน้าผมก็สะท้อนภาพที่เปลี่ยนไป….

ไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนไปนานแค่ไหนแล้ว  เพราะผมไม่ได้สังเกต แต่ตอนนี้ภาพที่มันสะท้อนออกมาไม่ใช่ภาพผม แต่กลับเป็นการเคลื่อนไหวของผู้ชายส่วนสูงใกล้เคียงผมแต่รูปร่างสันทัดกว่าคนหนึ่งเดินหันหลังให้กับผม ความรู้สึกแรกที่เข้ามาผมค่อนข้างตกใจไม่คิดว่าจะเห็นเนื้อคู่จริงๆที่สำคัญคนๆนั้นคือ ผู้ชาย มีทุกๆอย่างเหมือนผม   มือของผมหยุดการปอกแอปเปิ้ลไปทันที  สมองสั่งให้ละเลยคำเตือนในหนังสือนั่นและหันกลับมาจ้องร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินตรงหน้า

แผ่นหลังนั่นสร้างความแปลกใจให้ผมมาก   ผมรู้สึกคุ้นมากๆว่าผู้ชายคนนั้นคือคนที่ผมต้องรู้จักและค่อนข้างสนิทสนมด้วย ผู้ชายคนนั้นเดินออกไปตามแนวป่า เขาเดินออกไปเรื่อยๆ  เดินบ้าง หลบซ่อนตัวเองบ้างเหมือนกับว่าเขากำลังทำอะไรลับๆ ทางที่เขาไป  มันเหมือนกับผู้ชายคนนั้นลองเสี่ยงมาด้านนี้   ซึ่งขัดกับความรู้สึกของผม อะไรสักอย่างบอกผมว่าสิ่งที่เขากำลังหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น เขาเลือกเดินไปผิดทาง  ป่าที่ผมเห็นก็ไม่ใช่ป่ารกทึบมากมาย มันเป็นป่าที่ยังดูโล่งสภาพแวดล้อมคุ้นตามาก  คล้ายกับป่าด้านหลังของบ้านหลังนี้นี่เอง

ป่าของบ้านหลังนี้ ?

แสดงว่าผู้ชายตรงหน้าผมคือ…

“ไอ้ภพ”  ผมเผลอเรียกชื่อมันออกไปเบาๆหลังรู้แล้วว่าความคุ้นตาที่ผมเห็นนั่นความจริงคือใคร ใจผมเต้นอย่างแรง กระจกบานนี้ พิธีกรรมนี้มันบอกถึงเนื้อคู่ แสดงว่าเนื้อคู่ของผมคือไอ้ภพอย่างนั้นหรือ  แม้ผมจะไม่ได้รู้สึกเสียใจที่เป็นมัน ลึกๆแล้วกลับรู้สึกดีใจอย่างน่าประหลาด แต่อะไรสักอย่างก็มาสะกิดความคิดของผมอีกครั้งว่า ถ้านี่ไม่ได้บอกเนื้อคู่ กระจกบานนี้มันกำลังจะบอกอะไร ทำไมถึงแสดงให้ผมเห็นว่าไอ้ภพมันปีนกำแพงนั่นออกไปทำอะไรแบบนั้น

สิ้นความคิดผู้ชายที่ผมสงสัยว่าเป็นไอ้ภพก็หยุดเดินทันที และหันกลับมาจ้องตาผมอีกครั้ง เป็นไอ้ภพจริงๆที่เดินอยู่ตรงนั้น และทันเท่าความคิด  สภาพแวดล้อมแรกที่เป็นป่า บัดนี้ได้กลับมาสะท้อนใบหน้าผมและภาพในห้องแบบเดิมแต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือ ภาพที่สะท้อน…มันกำลังปรากฏร่างของไอ้ภพที่ค่อยๆเดินขึ้นมาจากบันไดด้านหลัง สายตาคู่นั้นของมันกำลังสะกดผมให้มองมันเดินเข้ามาเรื่อยๆผ่านกระจกบานนี้   มันเดินมาหยุดหน้ากระจกนั่นและนั่งตรงหน้ากระจกที่เดียวกับผม ภาพสะท้อนที่ควรจะเป็นผมก็เปลี่ยนไปเป็นหน้ามันแทน

“อะ…ไอ้ภพ ทำไมมึงถึง” เมื่อปากผมไปไม่ทันความคิดสิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นเพียงเสียงพูดตะกุกตะกัก เบาๆ เหงื่อเม็ดเล็กเม็ดน้อยก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ผมถามมันไปแบบนั้น ไม่ได้ต้องการคำตอบมากสักเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ต้องการภาพที่เห็นว่าไอ้ภพมันอ้าปากพูดตามผมทุกคำ

“คุณ….เป็นใคร” ผมกลั้นใจถามออกไปในที่สุด เพราะมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ไอ้ภพแน่นอน แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็ยังคงเป็นเพียงภาพไอ้ภพที่สะท้อนถามกลับมาว่าคุณเป็นใคร

“คุณเป็นใคร”  ตัวผม   คำพูด  และน้ำเสียงที่เปล่งออกไปนั้นสั่นจนยากเกินกว่าจะควบคุม แต่ก็ต้องทำใจกล้า คำบอกกล่าวของไอ้ภพลอยมาในหัวว่าให้ผมพูดคุยให้รู้เรื่อง   

ถ้านี่เป็นละคร…ผมคงโง่มากที่เจอขนาดนี้แต่ยังไม่ยอมเปิดปาดเรียกหาคนที่พร้อมช่วยผมได้มากที่สุด

พรึบ

แสงเทียนที่เคยให้ความสว่างได้มอดดับลงไป เพื่อไม่ให้ห้องต้องมืดนาน ผมจึงรีบก้มหน้าเพื่อจะหยิบไม้ขีดไฟขึ้นมาจุดอีกครั้ง แต่ให้รีบยังไงก็ไม่ทันความกังวลเบื้องลึกอยู่ดี

“เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองกระจกอีกครั้ง ของทุกอย่างในมือพราวก็ร่วงลงไปทันที ภาพผู้ชายคนนั้นยังคงอยู่ที่เดิมแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ หน้าเค้าที่ดูใจดีนั่นถูกเปลี่ยนไปเป็นหน้าที่ช้ำเลือดช้ำหนอง”

ผมมือสั่นหนักยิ่งกว่าเดิม หลับตาลงเพราะไม่อยากที่จะเงยหน้าขึ้นมามองที่กระจกนั่นอีกครั้ง ปากผมเริ่มทำงานตามที่ได้ตกลงกันไว้  ผมตะโกนสุดเสียงเพื่อเรียกหาไอ้ภพ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นความเงียบ ไม่มีเสียงตอบรับขึ้นมาจากไอ้ภพ ผมนั่งตัวสั่น ร้องไห้อยู่นานและตัดสินใจจะเสี่ยงวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือแทน

ว่างเปล่า

บ้านหลังนี้เงียบเหมือนไม่มีคนอยู่  ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเรียกแล้วไอ้ภพถึงไม่ตอบรับผม ผมวิ่งลงมาด้านล่างทันทีเมื่อคิดว่าไอ้ภพอาจจะหลับอยู่หน้ากระจก แต่สิ่งที่เห็นคือไม่มีแม้แต่เงาของไอ้ภพ เทียนที่สมควรจะมีอยู่ก็ไม่มี  แย่ไปกว่านั้นไอ้ภพที่ผมไม่ต้องการเห็นกลับมาปรากฏอยู่ในกระจกด้านล่างแววตานั่นมองมาที่ผม และเริ่มเอ่ยปากออกมาเองว่า ไอ้ภพอยู่ไหน 

นั่นคือคำที่ผมใช้เรียกหาไอ้ภพตั้งแต่ออกจากห้องนอนมา…..

“ไอ้ภพ มึงอยู่ไหนอย่าทิ้งกูไว้แบบนี้ ฮึก มึงอยู่ไหนมาหากูสักที”  ผมวิ่งกลับขึ้นมาบนห้องนอนอีกครั้งเพราะไม่สามารถอยู่กับกระจกด้านล่างได้ ผมปิดประตูห้องและเริ่มกรีดร้องเหมือนคนไร้สติ  มันจริงที่ไอ้ภพบอกว่าผมแย่ลงทุกครั้ง เพราะครั้งนี้ผมเหมือนคุมสติไว้ไม่ได้เลย

“ไอ้ภพพพพพพพพพพ  กรี๊ดดดดดดด”ผมก้มลงปิดหูแล้วเริ่มกรี๊ดออกมาให้สุดเสียง  ความอายของบุรุษเพศหากต้องส่งเสียงกรีดร้องออกมาหายไปจากตัวผมทันทีเมื่อผมคิดว่า ผมทนกับสถานการณ์นี้ไม่ได้แล้ว

ปั้ง  ปั้ง ปั้ง!!!!

“ไอ้มิว เปิดประตู มึงเป็นอะไร ทำไมไม่เรียกกูวะ!!!” ไอ้ภพทุบประตูเสียงดังลั่นแล้วเริ่มเรียกผมด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย

“ภพ  ไอ้ภพช่วยกูด้วย กูไม่ไหวแล้ว”

“มึงก็มาเปิดประตูดิวะ  เร็ว!!!”

ไม่อยากรู้แล้วหรอ ว่ากูคือใคร

น้ำเสียงเสียงเย็นยะเยือกพร้อมกับมือจำนวนมาก ฉุดแขนผมไว้เมื่อผมกำลังจะลุกออกไปเปิดประตูให้ไอ้ภพ ตัวของผมแข็งทื่อทันที เรี่ยวแรงสุดท้ายที่จะดันตัวเองออกไปก็พลันหายไปเสียดื้อๆ  ผมทรุดนั่งอยู่แบบนั้นใช้แรงที่เหลือตะโกนเรียกไอ้ภพออกไป  สิ่งที่ได้ยินกลับมามีเพียงเสียงไอ้ภพที่บอกให้ผมเปิดประตู แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบกลับมือเย็นๆพวกนั้นก็ถูกเลื่อนขึ้นมาปิดปากของผมและดันตัวผมที่สั่นไปด้วยความกลัวพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา ให้หันกลับไปมองกระจกนั่นอีกครั้ง

“อื้อออออออ” ผมพยายามจะกรี๊ดบอกว่าผมตกใจกับภาพตรงหน้ามากแค่ไหนให้ไอ้ภพได้ยิน   กลับมีเพียงเสียงอื้ออึงจากการถูกปิดปางแค่นั้นที่ออกมา ตาผมเบิกโตขึ้น เมื่อภาพที่อยู่ในกระจกเป็นภาพของไอ้ภพจริง แต่ลำคอของมันถูกกรีดจนมีเลือดไหลออกมา อีกทั้งภาพที่สะท้อนอยู่ภายในกระจกยังปรากฏวิญญาณกลุ่มเดิมล้อมรอบตัวผมไว้

“โถ่เว้ย!!!!  ไอ้มิวมึงเป็นอะไรเปิดประตูสิวะ” ไอ้ภพยังคงไม่ละความพยายามที่จะเปิดมาในห้องนี้ มันจะรู้บ้างมั้ยว่าประตูบานนั้นผมแค่ปิดแต่ไม่ได้ล็อกอะไรเอาไว้เลย

“ช่วยด้วย  ช่วยพวกกูด้วย”  ภาพไอ้ภพในกระจกเริ่มพูดกับผมอีกครั้ง

“มึงจะให้กูทำอะไร ไม่บอกกูก็ช่วยไม่ได้ ฮึก ปล่อยกูไปสักที”   ผมคิดในใจตอบกลับความคิดของพวกมันไป น้ำตาของผมยังไหลไม่หยุด  ความกลัวของผมยังมีอยู่ แต่ก็ต้องทำใจแข็งให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะหลุดพ้นบ่วงพวกนี้

“ช่วยกู กูบอกให้ช่วยกู”  เสียงดุดันของวิญญาณนอกกระจกนั่นเปล่งออกมาอีกครั้ง และเริ่มดันร่างกายผมให้กลับมานั่งยังกระจก และจัดการทำสิ่งที่ผมไม่คาดคิดขึ้น   

มือพวกนั้นเริ่มจับมีดปอกแอปเปิ้ลนั่นเข้ามาใส่มือผมและบังคับเอามือผมมาจ่อไว้ที่คอลักษณะเหมือนจะปาดคอในตำแหน่งเดียวกับภาพไอ้ภพในกระจกโดนกรีด  ท่ามกลางการโวยวายของไอ้ภพข้างนอกนั่น มันเริ่มหาอะไรมากระแทกประตูเพื่อจะเปิดเข้ามา  ผมที่โดนมีดจ่อคอนั้นก็แทบจะหยุดหายใจไปเสียดื้อๆ เพราะกลัวมีดเล่มนั้นจะเฉือนเข้ามาจริงๆ จึงทำได้เพียงปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาช้าๆและค่อยๆภาวนาให้ทุกอย่างจบลงเสียที

“ช่วยกู กูบอกให้ช่วยพวกกูถ้าไม่ช่วยก็มาอยู่กับพวกกูซะ” พวกมันใช้น้ำเสียงที่เรียกได้ว่าอาฆาตยิ่งกว่าเดิม พวกมันทรมานมากกับสิ่งที่เป็นอยู่จึงเริ่มใช้การขู่ฆ่าผมที่ติดต่อกับมันได้แต่ไม่พยายามจะช่วยพวกมัน

“ฮึก  ช่วยแล้ว กูยอมแล้ว ปล่อยกูไปนะ ฮึกฮือออ” 

“หาให้ได้ว่าใครฆ่าพวกกู” พวกมันบอกทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วจับมือของผมไปตัดเปลือกแอปเปิ้ลที่ปอกค้างไว้ให้ขาดออกจากกัน ก่อนที่พวกมันจะอันตรธานหายไป 

เคร้งงงงงงง

เสียงมีดที่หล่นจากมือผมปลุกผมขึ้นมาอีกครั้ง ผมทรุดลงไปนั่งร้องไห้อยู่แบบนั้น และเริ่มกรีดร้องออกมาเสียงดัง เป็นจังหวะเดียวกับไอ้ภพที่เปิดประตูห้องนี้มาได้  มันเปิดไฟห้องและรีบวิ่งมาหาผมที่ยังคงกรี๊ดแบบคนเสียสติ

“ไอ้มิว  มิวมึงเป็นอะไรใจเย็นดิวะ”  มันทำเสียงร้อนรนทันทีเมื่อเห็นท่าทางของผม  มันเขย่าตัวผมเพื่อเรียกสติ แต่ผมในขณะนั้นไม่สามารถตอบสนองอะไรมันได้สักอย่าง

“ฮึก  กลัว กูกลัว พวกมันบอกให้กูช่วยอีกแล้ว กูหนีไม่ได้แล้ว กูตอบตกลงพวกมันไปแล้ว ฮืออออ”

“มิว มึงใจเย็นดิวะอย่าเป็นแบบนี้ ทำไมมึงไม่เรียกกู” มันตอบโต้ผมด้วยน้ำเสียงแปลกๆเหมือนมันจะเสียงสั่นคล้ายจะร้องไห้ออกมาแต่ก็พยายามกลั้นไว้  เมื่อมันพูดถึงว่าทำไมผมไม่เรียกมัน ผมจึงเริ่มกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง

“กรี๊ดดดดดดดดด  กูเรียกแล้ว กูไม่เจอมึง มึงหายไป “

“มิวใจเย็น ไม่เป็นอะไรแล้ว กูอยู่นี่แล้วไง” มันดึงตัวผมไปกอดไว้กับอกมัน น้ำตาจำนวนมากมายถูกปล่อยออกมาอย่างไม่ขาดสาย ความรู้สึกที่ว่าไอ้ภพมันหายไป ถูกเติมเต็มด้วยความอบอุ่นของมันอีกครั้ง ถึงตอนนี้ผมจะได้สติกลับมาแต่ความกลัวที่ยังมีอยู่ไม่ได้หายไปด้วย

ผมกอดมันแน่นอยู่อย่างนั้นด้วยความกลัวที่ว่ามันจะหายไปจากผม  ซึ่งไม่ต่างกับมันที่รัดตัวผมไว้แน่นตั้งแต่ผมกรีดร้องและดิ้นอย่างทรมานจนตอนนี้ผมกลับมานิ่งสนิทเหมือนเดิม  ผมนิ่งไม่ใช่เพราะมันกอดผม แต่เป็นเพราะน้ำตาหยดนั้นของมันที่ตกกระทบลงบนหัวของผม

มันกำลังร้องไห้

.
.
.

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่6 คำตัดสินจากสัมภเวสี (10/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 10-01-2017 19:41:37
ความกลัวที่เกิดเริ่มเปลี่ยนมาเป็นความรู้สึกบางอย่างเกี่ยวกับมัน  มันจะร้องไห้ทำไมกันเรื่องอะไรที่ทำให้มันต้องอินกับผมไปได้ขนาดนี้ ทั้งๆที่มันไม่ได้พบเจออะไรเลย ผมเงยหน้ามองมันอีกครั้งด้วยอารมณ์ที่สงบลงกว่าเดิมและพบว่ามันก็มองมาที่ผมอยู่เหมือนกันด้วยดวงตาที่เอ่อไปด้วยหยาดน้ำใสๆของมัน

“อย่า….ร้องไห้” ไม่รู้ว่าผมเหนื่อยหรือเพราะอะไร สิ่งที่ผมพูดได้มากสุดคงเป็นแค่สามคำนั้น ผมไม่มีแรงแม้แต่จะปลอบมัน ผมเหมือนคนเหม่อลอยไปทันทีหลังจากจบเกมส์ที่ผ่านมา ภาพพวกนั้นยังคงตราตรึงในหัวผม ผมกลัว ผมรู้แค่นี้แต่ผมยังคงเป็นผม ยังไม่ได้บ้าหรือเสียสติไป

“มึงเป็นอะไร อย่าเป็นแบบนี้” มันคงเห็นว่าตาผมที่มองตามันว่างเปล่าเกินไป ผมรู้ตัวว่าคงทำให้มันเป็นห่วงไม่มากก็น้อยแต่ด้วยความที่จิตผมหลุดออกไปไกลมากแล้ว จะให้กลับคืนมาในทันทีก็คงไม่ใช่

“กูแค่…กลัว”

“มึงจะกลัวอะไร ไม่มีอะไรแล้ว”

“กูไม่รู้”ผมตอบมันได้แค่นั้นจริงๆ ให้มันรู้ว่าผมยังไม่ได้บ้าไปกับเกมส์หลอนประสาทพวกนี้ ก่อนที่ผมจะหันตัวออกจากมันเตรียมจะไปนอน เพราะความเหนื่อยล้าทางกายและจิตใจที่มากเกินควร

“เดี๋ยว” มันฉุดแขนของผมไว้

“…” ผมหันกลับไปมองหน้ามันที่จ้องมายังคอผมด้วยสายตาที่บอกไม่ถูกว่า มันกำลังรู้สึกยังไง

“คอมึงไปโดนอะไรมา” มันรั้งคอผมให้เชิดขึ้นและจับ บาดแผลนั่น คอผมเป็นแผลแต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดใดๆกับมัน แม้ก่อนหน้าจะรู้สึกแสบบ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจมันได้เลย

“ม..มีด” ผมเริ่มตัวสั่นและปล่อยให้น้ำตาไหลมาอีกครั้งด้วยความหวาดผวาจากภาพในหัว  ไอ้ภพมือสั่นขึ้นจนสังเกตได้ มันเดินออกไปยังตู้กระจกหลังนั้นด้วยความโมโหอย่างรุนแรง ก่อนจะเริ่มดัน ตู้กระจกพวกนั้นออกจากห้องไป 

เพล้งงงง!!!

เสียงตู้กระจกนั่นแตกออกมา คาดว่าไอ้ภพคงดันมันออกไปตรงบันไดและผลักมันลงไป ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้มันต้องโมโหขนาดนี้ จะบอกว่าเป็นเพราะผมคงไม่น่าใช่ มันคงไม่ได้รักจนทำได้ทุกอย่างกับคนที่เพิ่งเจอกัน

“รวยนัก พวกมึงก็ไม่ต้องเสียดาย พรุ่งนี้ให้คนของเกมส์มาทำความสะอาดให้กูซะ!!” ไอ้ภพเริ่มโวยวายเสียงดัง มันคงโมโหจัดจนเผลอระบายอารมณ์ใส่รายการและทำลายข้าวของ

“เล่นแต่เกมส์บ้าบออะไร ไอ้คนดูอีกมึงชอบกันหรอดูความวินาศของคนอื่น สัส” มันด่าอีกครั้งพร้อมยกนิ้วกลางให้กล้องสักตัวก่อนจะปิดประตูเดินเข้าห้องมาด้วยความโมโห  รายการไม่ปล่อยมันไว้แน่ที่ไปทำกริยาแบบนั้นออกอากาศ พรุ่งนี้คนของรายการคงได้มาถามหาสาเหตุแบบที่ผมเคยโดนแน่นอน

“ไอ้มิว  ทำแผล” มันเดินมากระชากตัวผมให้ไปนั่งให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินไปหยิบกล่องยามา

“ทำไมมึงไม่ทำตามที่ตกลงไว้” มันยังคงโมโหเลยเผลอกระชากเสียงใส่ผมที่ยังคงหวาดกลัวอยู่

“กูทำแล้ว กูเรียกมึงแล้ว แต่ไม่มีเสียงเหี้ยไรตอบกลับกูมาเลย!!” ผมระเบิดอารมณ์ใส่หน้ามันกลับ  พร้อมทั้งน้ำตาที่ยังคงไหลออกมา  มันนิ่งสนิทไปและเริ่มทำแผลให้ผมเงียบๆแทน

“แล้วทำไม มีดนั่นถึงไปอยู่ตรงคอมึงได้”

“ฮึก อย่าเพิ่งถาม กูขอร้อง”

“อืม งั้นมึงก็ไปนอนซะ ดึกมากแล้ว”

มันพูดไว้แค่นั้นก่อนจะดันผมให้กลับไปที่เตียงนอน ผมยังไม่ง่วง เหตุการณ์หลายๆอย่างในช่วงที่ผ่านมามันไม่ได้ทำให้ผมอยากนอนแต่อย่างใด แต่คิดว่าผมคงเหนื่อย เมื่อหัวผมถึงหมอน ตาผมก็เริ่มที่จะปิดลง ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือไอ้ภพยังคงนั่งเงียบๆมองออกไปยังหน้าต่างอย่างคนคิดอะไรอยู่

มีดที่สร้างรอยแผลให้กับผม มันไม่ได้ถูกกรีดลงแค่บนผิวหนังเท่านั้น แต่มันยังกรีดลงบนใจของผมไปด้วย แผลที่กายไม่ได้ลึก แต่แผลที่ใจนั้นกลับเหวอะหวะอย่างที่ไม่รู้ว่ามันจะคืนกลับมาเป็นปกติเมื่อไร  อย่างที่ไอ้ภพบอกทำไมคนดูถึงอยากดูชีวิตคนอื่นเจอกับความวินาศนัก  ผมไม่รู้ว่ารายการจะจับได้หรือเปล่าว่าสภาพผมมันเป็นแบบนี้ เพราะพวกผมไม่เคยรู้เลยว่ากล้องมีติดอยู่ในห้องนอนหรือไม่ ผมไม่เคยเห็น  ไอ้ภพก็คงไม่  ในทุกราตรี หลายคนชอบบอกว่ามันยังอีกยาวไกล แต่สำหรับผม ไกลแค่ไหนมันก็ใกล้แค่นี้ แค่ที่ว่าผมเจอผีพวกนั้นแล้วชีวิตผมก็แยกกลางวันหรือกลางคืนไม่ออกอีกเลย

******************************

“เช้าแล้วสินะ” ผมพูดกับตัวเองเมื่อแสงอาทิตย์เริ่มที่จะแยงตาผมและปลุกผมให้ตื่นรับความเป็นจริงเรื่องใหม่  หันไปมองข้างๆไอ้
ภพยังคงนอนหลับอยู่  วันนี้ผมตื่นเช้ากว่าปกติด้วยอารมณ์ที่ไม่ปกติ หากในทุกวันที่ผ่านมาในยามเช้าแม้มันจะไม่ได้สดใสนักแต่ก็มั่นใจได้ว่า มันต้องไม่อึมครึมเท่าวันนี้

ผมเริ่มลุกมาทำธุระส่วนตัวของตัวเองและลงไปยังด้านล่าง เศษไม้และเศษกระจกจำนวนมากมายแตกกระจายอยู่บริเวณพื้น ผมจึงต้องหาไม้กวาดมาเคลียร์พื้นที่ตรงนี้ให้เรียบร้อยก่อนไม่งั้นจะไม่มีใครเดินไปไหนได้ ผมที่กวาดไปก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืนไป มันเศร้านะ สำหรับผม แม้ในตอนนี้ร่างกายจะกลับมาปกติแล้วแต่ด้านจิตใจยังคงเหมือนเดิม

หมับ

“พอ ไม่ต้องทำ มันไม่ใช่หน้าที่มึงให้ไอ้รายการมันมาจัดการซะ” ไอ้ภพที่คงตื่นมาสักพักเดินมาจับมือผมให้หยุดกวาด

“แต่…”

“ไม่มีแต่ มึงมาทำอาหารกับกูพอ”

“ไม่ได้ ถ้ากูไม่เคลียร์ไปก่อนแล้วเราจะเดินกันยังไง เศษกระจกเยอะขนาดนี้” ผมรีบสะบัดมือออกก่อนที่มันจะลากผมเข้าครัวตามมันไป และรีบบอกเหตุผลกับมันก่อนมันจะหงุดหงิด

“งั้นกูเคลียร์เอง มึงไปนั่งเฉยๆ  ตรงนี้กูทำเดี๋ยวกูรับผิดชอบ” มันใช้น้ำเสียงหงุดหงิดหน่อยๆก่อนไล่ผมไปนั่ง มันแย่งไม้กวาดผมไปและเริ่มกวาดพื้นด้วยความเร็วตามแรงอารมณ์ของมัน  ผมว่ามันไม่รู้ตัวหรอก มันในตอนนี้หรือจะตอนเมื่อคืน คือมันที่ผมเจอในวันแรก สายตา บุคลิกที่ผมไม่ได้ต้องการให้มันเป็น  เริ่มกลับมาอีกครั้ง

สวัสดีครับ คุณมิว คุณภพ เจอกันอีกครั้งแล้วนะครับ

ผมกับไอ้ภพหันไปตามเสียงทักทายที่คุ้นเคย  กลุ่มคนตรงหน้ายิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตรแม้จะใช้น้ำเสียงที่สดใสแต่ก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยความจริงจังที่คนฟังสัมผัสได้  ทางรายการส่งทีมงานมาจริงๆแต่คิดว่าคงไม่ได้ส่งมาทำความสะอาดตามที่ไอ้ภพสั่งแน่นอน เรื่องที่พวกผมได้ก่อ มันกำลังจะถูกพิพากษา

“ส…”

“มาจนได้สินะ” ผมที่กำลังจะสวัสดีตอบรับไป ถูกไอ้ภพทักทายตัดหน้าด้วยวาจาที่เรียกได้ว่าไม่สามารถก่อเกิดมิตรภาพใดๆได้  ผมมองมันด้วยความเป็นห่วงเรื่องเมื่อคืนไอ้ภพทำผิดเอาไว้จริงๆ ถ้ามันยังแสดงพฤติกรรมแบบนี้ผมเกรงว่าจะไม่มีการประนีประนอมใดๆเกิดขึ้น

“ครับ พวกเราถูกส่งมา คงไม่ต้องบอกนะครับว่าพวกเรามาด้วยสาเหตุอะไร”

“งั้นชี้แจงให้ฟังด้วยครับว่ามาด้วยสาเหตุอะไร” ไอ้ภพเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ไม่รู้ว่ามันจะมาไม้ไหนแต่คงมั่นใจพอตัวว่าตัวเองจะชนะในครั้งนี้

“ได้ครับ แต่เดี๋ยวรอสักครู่ ผมจะรีรันความผิดของคุณให้ดูก่อนครับ” ทีมงานบอกไอ้ภพและเริ่มหยิบโน้ตบุ๊คของรายการออกมาแสดงวีดีโอว่าเมื่อคืนมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

วีดีโอเริ่มเล่นตั้งแต่ตอนที่ไอ้ภพไปยืนอยู่ข้างๆตู้กระจกนั่น โดยมีผมนั่งอยู่ตรงหน้ากระจกคาดว่าทีมงานคงต้องการให้เห็นตั้งแต่เริ่มแรกเลยว่าพวกผมเริ่มเกมส์กันยังไง    เป็นไปอย่างที่คิด ห้องของผมมันไม่มีกล้องวงจรหรือกล้องวีดีโอใดๆติดไว้ ภาพที่เห็นจึงเป็นภาพที่ถูกถ่ายมาจากที่ไกลๆ  ด้วยเพราะว่า กระจกตั้งไว้ตรงกับประตูห้องและในตอนนั้นไอ้ภพ ไม่ได้ปิดประตูไว้ จึงทำให้เห็นได้ว่าภายในห้องมีอะไร  วีดีโอเล่นมาเรื่อยๆและได้ยินเสียงพวกผมตะโกนคุยกันอย่างชัดเจนจนถึงช่วงที่ผมตะโกนเรียกให้ไอ้ภพช่วย

“พี่ครับย้อนดูตรงเมื่อกี้ได้มั้ยครับ”  ผมบอกทีมงาน

“ได้ครับ ตรงไหนหรอครับ”

“ตรงที่ผมตะโกนเรียกให้ไอ้ภพช่วยหนะครับ”

เมื่อวีดีโอกลับมาเล่นตรงนั้นอีกครั้ง ผมถึงกับเหงื่อตก และไม่ใช่แค่ผมที่เป็นไอ้ภพก็เป็นไปด้วย เราทั้งสองคนมองหน้ากันในทันที เพราะภาพที่ปรากฏมันไม่น่ามีความเป็นไปได้เลยตามหลักความเป็นจริง   ตอนนี้ไอ้ภพคงเชื่อผมแล้วว่าผมเรียกมันจริงๆ มันถึงได้ก้มหน้าทำคิ้วขมวดด้วยความสงสัยว่าทำไมมันถึงไม่ได้ยิน

วีดีโอนั้น ฉายภาพที่ผมตะโกนเรียกมันและเริ่มวิ่งออกจากห้อง สิ่งที่แปลกไปคือ เราสองคนเหมือนอยู่ในโลกคู่ขนาน ผมวิ่งหน้าตาตื่นลงมาจากห้องแล้วตะโกนเรียกหาไอ้ภพอยู่แบบนั้นและยังวิ่งออกไปดูทุกที่ที่ไปได้

แต่… 

ไอ้ภพยังคงนั่งอยู่ที่เดิมหน้ากระจกนั่นไม่ได้มีท่าทีรับรู้เลยว่าผมเรียกมันหรือผมก็ไม่รู้เลยว่าไอ้ภพยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น  มันเกิดอะไรขึ้น ผมจำได้ว่าตอนผมวิ่งลงมา ผมไม่เห็นใคร กระจกนั่นก็ไม่มีใครนั่งอยู่  ผมหันไปหาไอ้ภพเพื่อขอความคิดเห็นแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการส่ายหน้าเบาๆของไอ้ภพที่แสดงให้รู้ว่ามันก็หาคำตอบให้ผมไม่ได้

“ทำไมคุณมิวเรียกคุณภพ แล้วคุณภพถึงไม่เห็นครับ”

“เป็นปกติครับ เวลาที่ผมสนใจอะไรมากๆผมจะไม่ได้ยินเสียงใครเลย” ไอ้ภพแถเหตุผลของมันให้ทีมงานฟัง

“น่าสนใจดีนะครับ แล้วคุณมิวเรียกคุณภพทำไมครับ”

“เอ่อ ผมตกใจอะไรนิดหน่อยครับ เลยวิ่งลงมา  คงตาลายไปหนะครับเลยไม่เห็นมัน”

“น่าสนใจพอกันเลยนะครับ เอาหละแล้วภาพนี้คุณภพจะให้คำตอบอย่างไรครับ”

ภาพวีดีโอถูกเล่นมาจนถึงตอนที่ไอ้ภพ ดันตู้กระจกนั่นตกบันไดแล้วตะโกนด่าเกมส์และคนดูก่อนจะชูนิ้วกลางใส่กล้อง ไอ้ภพมองภาพนั่นและเริ่มคิ้วขมวด อารมณ์ที่ถูกทำให้สงบไป ถูกกระตุ้นให้ปะทุขึ้นอีกครั้ง

“ดูไม่ออกหรอครับว่าผมกำลัง….ด่า” ไอ้ภพเริ่มกวนตีนทีมงาน

“ทางเราต้องการทราบเหตุผลของการกระทำครับ ถ้าไม่มีเหตุผลมากพอทางเราจำเป็นต้องปลดคุณออก”

“เหรอครับ ปลดผมด้วยข้อหาอะไรช่วยชี้แจงด้วยครับ”

“คุณทำลายข้าวของ กับทำให้เกมส์เสียหาย นี่ยังไม่รวมถึงพฤติกรรมของคุณต่อคนดูของเราอีก”

“กฎข้อไหนเขียนไว้ครับ  เท่าที่จำได้ผมไม่เคยเห็นกฎนี้ถูกเขียนไว้นะครับ”

“แต่อย่างไรผมก็จำเป็นต้องเอาคุณออก  คุณทำลายข้าวของของเกมส์รู้มั้ยครับว่ามันราคาเท่าไร”  ไอ้ภพคิ้วกระตุกอย่างแรง ตาของมันแข็งกร้าวขึ้นทันที มันกำมือแน่นเหมือนกำลังระงับโทสะของมันไว้ไม่ให้ทำร้ายทีมงาน

“กู ไม่ ออก!!!” ไอ้ภพเอ่ยเสียงเย็นขึ้นมา  เวอร์ชันนี้ผมยังไม่เคยเห็นครับและไม่ปรารถนาจะเห็น

“คุณจำเป็นต้องออก”

“กูไม่ออก!!!  กฎของพวกมึงข้อไหนหรอที่ไม่ให้กูทำลายข้าวของ ทีหลังก็หัดเขียนมาก่อน ไม่ใช่มาเล่นไม่แฟร์เกมส์กับกู” สติไอ้ภพขาดไปทันที  มันพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อทีมงานคนนั้น    เมื่อทีมงานคนอื่นจะเข้ามาช่วย ก็เจอสายตาเเข็งกร้าวของมันสั่งให้หยุดอยู่ที่เดิมถ้าไม่อยากมีเรื่อง

“มันก็เป็นมารยาทไงครับ” ทีมงานคนนั้นยังไม่ยอมแพ้ ยังคงพูดเพื่อจะเอาไอ้ภพออกให้ได้

“หึ  ให้กูทำร้ายมึงอีกคนตรงนี้เอามั้ย คนอย่างกูมันไม่ต้องมีเรื่องของมารยาทมาเกี่ยวข้อง ถ้ามึงแฟร์เกมส์พอ”

“และดูนี่ มึงดูเพื่อนกู มึงเห็นมั้ยว่าสภาพ มันเป็นยังไง มึงเห็นมั้ย!!! มันเคยดีกว่านี้ พวกมึงดูนะ ว่ามึงทำอะไรลงไปกับมัน   ชีวิตมันมีค่าน้อยกว่าไอ้กระจกเส็งเครงนั่นหรอ ฮะ มึงตอบกูมาดิ เกมส์ของพวกมึงต้องการให้มันเป็นบ้าไปอีกคนรึไง”  มันผลักทีมงานนั่นออกไปและกระชากผมที่ยืนอยู่ใกล้มาชี้ให้ทีมงานเห็น  ตัวมันสั่นด้วยแรงโมโหจนผมต้องเอามือไปจับแขนมันไว้เพื่อให้มันใจเย็นลง

“งั้นคุณมิวครับ คุณประสงค์จะออกจากเกมส์นี้มั้ยครับ”  ทีมงานที่ยังคงตกใจกับเสียงไอ้ภพ หันมาถามผมอย่างขวัญเสีย

“เอ่อ …”

“เราไม่บังคับนะครับ แต่ดูร่างกายคุณด้วยถ้าคุณเป็นบ้าหรือตายไปทางเราไม่รับผิดชอบนะครับ” ผมพยักหน้าตอบรับทีมงานเพื่อรับทราบในกฎข้อนี้ ก่อนจะหันมามองหน้าไอ้ภพ ที่ก็มองมาที่ผมอยู่ 

“มึงกลับไปเถอะ  เกมส์นี้มันไม่ปลอดภัยสำหรับมึง” มันดันผมให้ไปหาทีมงานผมมองหน้ามันอีกครั้งเพื่อถามความแน่ใจของมันแต่เมื่อเห็นมันพยักหน้า ผมก็ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรอีก

“ไม่ครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงแต่ผมยังไม่ได้บ้าหรือใกล้ตายแน่ๆ"  ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าสุภาพที่สุดกลับไป หันไปมองไอ้ภพ มันก็ทำหน้างงๆใส่ผม ก่อนที่ผมจะยิ้มให้มันแล้วปล่อยให้มันจัดการกับทีมงานตรงหน้า

“หึ ได้ยินแล้วก็เชิญกลับครับ ฝากไปบอกผู้จัดการเกมส์ด้วยว่าถ้าจะทำเกมส์ก็ต้องรู้จักแฟร์ให้เป็นด้วย”

“ได้ครับ แต่ระวังตัวไว้หน่อยนะครับคุณภพ กล้องไม่เห็นไม่ใช่พวกเราไม่รู้ เก่งให้ถึงที่สุดนะครับ หวังว่าจะไม่เจอกันอีก”

ทีมงานทิ้งระเบิดลูกใหญ่ให้กับผมและไอ้ภพ  ผมรู้ว่าทีมงานหมายถึงอะไร ไอ้ภพก็รู้ไม่อย่างนั้นมันคงไม่หน้าถอดสีได้ถึงขนาดนี้  การที่มันออกไปข้างนอกนั่น ผมคิดไว้แล้วว่ายังไงก็ปิดไม่มิด ป่านั่นไม่ได้ใหญ่มาก ทีมงานคงไม่ทำงานหละหลวมจนตรวจสอบอะไรไม่ได้

“เค้ายังไม่เอามึงออกหรอก เชื่อกู” ผมเดินไปตบบ่ามันให้กำลังใจมันบ้าง ให้สมกับที่มันคอยช่วยเหลือผม

“ทำไม”

“ลุงมั่นเคยบอกกู ว่าคู่พวกเรามันดึงกระแสไม่รู้ว่าจากอะไร แต่เหตุผลที่กูยังอยู่ในเกมส์มันก็เพราะเรื่องนั้น”

“แล้ว…ทำไมมึงถึงยังอยู่ในเกมส์” ผมมองหน้ามันแล้วยิ้มเล็กๆให้มันสบายใจ  ก่อนจะตัดสินใจพูดประโยคที่ต่างคนต่างค้างคากันมานาน

“มันถึงเวลาแล้วนะภพ ที่มึงต้องเล่าให้กูฟังว่ามึงเข้าเกมส์มาเพราะอะไร  คำว่าอีกครั้งที่มึงพูดคงไม่ใช่กูคนเดียวแน่นอน”

ใช่มั้ย?




**************************************TBC****************************************

สวัสดีครับบบบ  ผมเอาตอนที่6 มาส่งให้แล้วนะครับ  :katai4:

ลองอ่านตอนกลางคืนกันนะครับ มันได้บรรยากาศมาก 5555555  หลอนให้จุใจกันไปเลย  :hao7:

เจอกันตอนหน้าครับ

P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่6 คำตัดสินจากสัมภเวสี (10/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 10-01-2017 20:06:07
ภพพยายามหาศพใครสักคนอยู่ใช่ไหม?  :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่6 คำตัดสินจากสัมภเวสี (10/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 10-01-2017 20:12:23
ภพพยายามหาศพใครสักคนอยู่ใช่ไหม?  :ling3:

มาคนแรก เกือบทุกตอนเลย  5555  รอดูต่อไปนะครับว่าเดาถูกหรือเปล่า  ขอบคุณที่ตามนะครับ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่6 คำตัดสินจากสัมภเวสี (10/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-01-2017 23:06:59
มีความลึกลับ เริ่มคิดว่าจริงๆ ภพอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับคนที่ตาย
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่6 คำตัดสินจากสัมภเวสี (10/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Babarahbreem ที่ 11-01-2017 00:20:16
เริ่มหลอนขึ้นเรื่อยๆอ่ะ  :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่6 คำตัดสินจากสัมภเวสี (10/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 11-01-2017 06:22:50
หลอนแถมสงสัยปมคนตายปมพระเอกด้วยดีใจที่เค้าเป็นเนื้อคู่กัน
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่6 คำตัดสินจากสัมภเวสี (10/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 11-01-2017 10:59:08
คนที่ภพละเมอถึงน่าจะเคยเล่นเกมนี้แล้วเป็นบ้ารึป่าวหว่า
อ่า แต่สรุปภพเป็นเนื้อคู่มิวจริงๆ หรือวิญญาณต้องการให้มิวเห็นความจริงอะไรบางอย่าง

แล้วก็ เราแอบคิดว่าคนที่ทำรายการนี้ส้รางบ้านแล้วหาคนมาฆ่าเองรึป่าว อยากทำให้รายการดังๆ ส่วนพวกคนที่มาเล่นก็ซวยไป

เดาไปทั่วมาก555555555

หลอนมากค่ะ ตอนนี้เปลี่ยนมาอ่านตอนเช้าแล้ว ก็ยังหลอนอยู่ ฮือออออออ :sad4:


หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่6 คำตัดสินจากสัมภเวสี (10/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 11-01-2017 17:07:53
สรุปว่าที่ออกไปข้างนอกไปหาศพหรือคะ ว่าแต่ศพใคร กุ๊กกู๋ในบ้านหรือคะ  :ling3:

ข้าพเจ้าพลาดตอนที่เเล้วไปได้ไงเนี่ย :hao7: :hao7:
ติดตามค่ะ
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่6 คำตัดสินจากสัมภเวสี (10/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 11-01-2017 21:44:21
โกรษคนเขียนล้าวววววว เราจะหลับลงมั้ยคืนนี้เนี่ยยยยยย
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่6 คำตัดสินจากสัมภเวสี (10/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: nuchhxk ที่ 12-01-2017 02:23:11
เริ่มน่ากลัวขึ้นทุกทีๆ กลัวใจว่าจะเป็นทีมงานนี่แหละที่ก่อเรื่องทั้งหมด ฮื่อ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่6 คำตัดสินจากสัมภเวสี (10/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 12-01-2017 22:45:15
ขออนุญาตินะครับ  หากนักอ่านคนใดต้องการพูดคุยกับผม หรือต้องการช่องทางไว้ดูการอัพเดทของผมตอนนี้ผมเปิด Twitter ไว้ให้ร่วมพูดคุยกับผมแล้วนะครับ อยากติอยากชม สามารถเข้ามา followได้เลย แล้วผมจะเข้ามาตอบพร้อมกับแจ้งการลงนิยายไว้นะครับ follow กันเยอะๆนะครับ :mew2:>>>>> 
TWITTER (https://twitter.com/PRaawit)
   

ขอบคุณทุกการติดตามอีกครั้งครับ  มีกำลังใจแต่งต่อเยอะเลย 555  :katai4:    P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่7 ความหลัง (13/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 13-01-2017 19:15:05
ตอนที่7

ความหลัง


น่าแปลกที่ความต้องการของผมถูกขัดขวางได้เพียงแค่ เรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ผมได้อยู่ร่วมกันมาแค่ ห้าวันเท่านั้น ผมไม่ได้มีความประสงค์ที่จะอยากเล่นเกมส์นี้อีกแล้ว เงินทองจำนวนมหาศาลไม่อาจล่อตาล่อใจผมได้อีก สิ่งเดียวที่ทำให้ผมอยู่ตอนนี้คือมัน  ไอ้ภพ

“มันถึงเวลาแล้วนะภพ ที่มึงต้องเล่าให้กูฟังว่ามึงเข้าเกมส์มาเพราะอะไร  คำว่าอีกครั้งที่มึงพูดคงไม่ใช่กูคนเดียวแน่นอน”

ใช่มั้ย?

ผมเอ่ยถามคำถามนี้กับมันไป ในสายตาคนอื่นผมคงไม่ได้ต่างอะไรไปกับมนุษย์ขี้เสือก แต่จะให้ทำอย่างไรได้ พฤติกรรมที่ไอ้ภพแสดงออกต่อผมมันล้วนถูกเรียกว่าความช่วยเหลือในขณะที่ผมยังไม่เคยได้ช่วยอะไรเลย   มันยังคงมีเรื่องราวในใจและยังไม่สามารถบอกใครได้ เป็นเหตุให้ผมไม่กล้าทิ้งมันไปโดยที่ปล่อยให้มันจมอยู่กับเรื่องราวของมันโดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อจบเกมส์ไปแล้วจะแก้ไขได้หรือไม่

มันไม่ตอบอะไรผมอีกคงเพราะมันอาจจะกำลังตกใจอยู่กับคำพูดของทีมงานที่รู้ว่าลับหลังกล้องพวกนั้น ไอ้ภพได้กระทำความผิดอะไรเอาไว้บ้าง แต่ที่รายการยังไม่เอาออกคงเพราะเหตุผลเดียว พวกผมทำให้เกมส์นี้มียอดรับชมเพิ่มขึ้น

ไอ้ภพพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ผมเดินตามมันไป ของที่ไอ้ภพทำพังทั้งหลายคาดว่าเย็นนี้ลุงคำคงให้คนงานมาขนมันออกไป  ไอ้ภพเดินนำผมขึ้นห้องนอนที่ซึ่งเป็นเหมือนจุดที่เราแสดงความเป็นส่วนตัวออกมาได้มากที่สุด ไม่มีการถ่ายทำภายในห้องนี้   ไม่การก้าวก่ายเรื่องของเรา  จะพูดอะไรก็ได้ คนดู…ไม่มีทางรับรู้

“คงถึงเวลาแล้วจริงๆสินะ” ไอ้ภพ บ่นออกมาเบาๆกับตัวเอง เมื่อพวกผมนั่งกันบนเตียงเรียบร้อยแล้ว มือของมันคลึงศรีษะไปมาทำท่าเครียดเสมือนเรื่องที่จะเล่าเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก ผมรู้ว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าไอ้ภพจะพูด จึงเริ่มที่จะเกริ่นเรื่องที่น่าสนใจของตัวเองออกไปก่อน

“อยากรู้มั้ย รอยแผลที่คอกูได้มายังไง” ผมหันไปจับมือมันมาสัมผัสแผลของผม มันรีบชักมือออกทันทีไม่รู้ว่าเพราะกลัวโดนแผลผมแล้วผมจะเจ็บหรือเป็นการตอบสนองเมื่อผู้ชายด้วยกันโดนตัว

“หึ ไม่ต้องรังเกียจกู ขนาดนั้นก็ได้” ผมหัวเราะแกมเย้ยตัวเองน้อยๆให้กับท่าทางของมัน

“กูเปล่า…”

“เฮ้อ ใจจริงกูไม่อยากจะรื้อฟื้นเท่าไรนัก แต่เป็นเพราะมึงเลยนะกูถึงจะพูด”

“งั้นก็พูดมา”

“อย่าใจร้อนดิ  รอยแผลนี้กูได้มา…..เพราะตัวกูเอง" ผมยิ้มจางๆให้กับมันแล้วก็ก้มหน้าลงมองพื้นอย่างปลงตก รอยแผลนั่นมันไม่ได้เกิดจากน้ำมือใคร แต่เป็นเพราะมือของผมเอง เพียงแต่ การควบคุมมันไม่ได้มาจากสมองของผม

“หมายความว่าไง มึงจะฆ่าตัวตายหรอ” มันทำเสียงร้อนรน เพราะคำพูดกำกวมของผม

“ฟังให้จบก่อนดิวะ อย่าเพิ่งรีบโวยวาย”

“มึงก็อย่าถ่วงเวลา คนฟังมันก็เป็นห่วง”

“เป็นห่วงหรอ  ดีใจชิบหายเลยหวะ” ผมพูดลอยๆออกไป ก่อนจะเริ่มเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่เริ่มเจอให้มันฟัง  ผมนับถือไอ้ภพตรงนี้อีกเรื่อง มันเป็นผู้ฟังที่ดีมาก ไม่ขัดหรือแสดงสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่เชื่อผมออกมาแต่อย่างใดแถมยังคอยให้กำลังใจผมอีก เมื่อผมต้องเล่าถึงช่วงเวลาแห่งความทรมานนั่น

“กูขอโทษ” มันเอ่ยคำพูดที่บอกความรู้สึกผิดออกมา

“กูไม่ได้เป็นอะไรแล้ว อย่างน้อยก็มีมึงที่รับฟังกูได้   คราวนี้ตามึงเล่าแล้วภพ ไม่ต้องถามอะไรแล้วนะ ไม่ใช่กูที่มีแค่มึงให้คอยรับฟังปัญหา อย่าลืมดิ บ้านนี้มีกันแค่สองคน ถ้ามึงเก็บอะไรไว้ไม่ได้แล้ว มึงยังมีกูนะ” ผมย้ำความจริงให้มันฟัง

“เมื่อสามปีก่อน น้องกูเคยเข้าร่วมเกมส์นี้…..”


Pob’s Part


ผมเป็นผู้ชายธรรมดา ที่อยู่กับน้องสาวแค่สองคน พ่อแม่ของผมท่านจากผมกับน้องไปตั้งแต่ผมยังเรียนอยู่ ม.ปลาย โชคดีหน่อยที่เงินจำนวนมากมายถูกทิ้งไว้ให้ผมกับน้อง ทำให้ผมสามารถเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้  ตั้งแต่ที่ชีวิตของผมต้องจัดการทุกอย่างให้ตัวเอง  ผมต้องเรียนรู้ที่จะประหยัดในหลายๆอย่าง  กับข้าวผมเน้นทำกินเองมากกว่าที่จะซื้อกิน งานอย่างอื่นผมก็ต้องหัดทำเพื่อลดค่าใช้จ่ายส่วนเกิน  เลยไม่ค่อยมีปัญหาด้านการเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง

แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มี…

ช่วงโค้งสุดท้ายของการเรียนในมหาวิทยาลัย เป็นช่วงที่น้องสาวผมเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยจึงต้องมีการไปเรียนกวดวิชาจำนวนมากซึ่งใช้จำนวนเงินค่อนข้างสูง  ด้วยความที่ตัวเองก็ใกล้จะเรียนจบและอยากทำหน้าที่พี่ชายให้ดีที่สุด จึงสนับสนุนน้องสาวเต็มที่ให้เขาเลือกในสิ่งที่เขาอยากจะทำ

เมื่อผมให้เงินแก่น้องสาวไปเรียนพิเศษ ผมจึงได้มีโอกาสมาเช็คยอดเงินคงเหลือในบัญชี ผมค่อนข้างตกใจกับตัวเลขในนั้นจำนวนเงินเหลือน้อยกว่าที่ผมคาดการณ์เอาไว้มาก ด้วยความที่หลายปีที่ผ่านมามีแต่รายจ่าย ไม่มีรายรับมาเสริมเงินก้อนนี้จึงทำให้ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้  ผมเลยคิดที่จะหางานพิเศษทำ แต่เนื่องจากผมอยู่ปี4 การหางานให้ได้ตรงกับวันและเวลาที่ผมว่างจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก

ผมไม่เคยรู้เลยว่าน้องสาวผมก็รู้เรื่องเงินนี่ได้สักพักแล้ว จนเมื่อวันที่เขาเดินมาบอกผมว่าเขามีวิธีหาเงินก้อนให้ผมได้แล้วนั้น ผมถึงได้รู้ว่าน้องสาวผมเขาโตพอที่จะจัดการทุกอย่างแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด สิ่งหนึ่งที่ผมในตอนนั้นยังคงไม่รู้และไม่ได้คาดหวังว่าจะรู้คือ

วิธีนั้นมันจะพรากเอาคำว่าครอบครัวผมหายไปตลอดกาล….

“พี่ภพ  นัทรู้วิธีที่จะหาเงินเยอะๆได้แล้วนะคะ”

“หาเงิน? จะหาเงินไปทำอะไรตั้งใจเรียนก็พอ”

“พี่ภพคะ  นัทอยู่ ม.6 แล้วนะคะ นัทโตพอที่จะรู้แล้วว่าเงินในบัญชีของเรามันเหลือน้อย”

“ไม่ต้องยุ่งหรอก เรื่องเงินพี่จัดการได้”

“พี่นั่นแหละที่ไม่ต้องยุ่ง จะเรียนจบแล้วก็ไปรีบทำโปรเจคของพี่เถอะ ก่อนนัทเข้ามหาลัย นัทมีเวลาว่างตั้ง6เดือนนะพี่ ให้นัททำเหอะ”

“แล้วนัทจะทำอะไร?”

“นี่เลยค่ะ  ดูสิคะมันเป็นเกมส์โชว์ค่ะ ได้เงินเยอะด้วยแค่ไปทำภารกิจในบ้านนั้น1เดือนเอง”

“ฮะ!!! 1 เดือน พอเลยพี่ไม่ให้ไป เราเป็นผู้หญิงนะจะไปอยู่ยังไง”

“อย่าเพิ่งกริ้วค่ะพี่ภพ นี่มันเป็นรายการที่ปลอดภัยนะคะ ใครๆก็รู้จัก”

“พี่นี่ไงที่ไม่รู้จัก พอเลยไม่ต้องไป”

“โนๆค่ะ  นัทตัดสินใจแล้วสมัครไปแล้วด้วยค่ะ พี่ไม่ต้องห่วงนะคะ เกมส์นี้ ถ้านัทได้ นัทก็ต้องไปอยู่กับผู้หญิงค่ะ เค้าไม่ให้ชายหญิงอยู่รวมกัน”

“มันจะปลอดภัยมั้ยนัท  ไปอยู่บ้านใคร ไปทำอะไร พี่เป็นห่วงนะ”

“นัทรู้ค่ะพี่ภพ ว่าพี่เป็นห่วง แต่เราก็เหลือกันแค่นี้ นัทก็ห่วงพี่ไม่แพ้กันนะ ให้นัททำเหอะ นัทอยากลอง”

“งั้นก็ตามใจ เตือนแล้วไม่ฟัง”

“เย้ๆๆๆๆ   พี่ภพใจดีที่สุดเลยค่ะ  รักพี่ภพนะคะ”  ผมส่ายหัวให้กับการเอาอกเอาใจเล็กๆน้อยๆของน้องสาว ก่อนจะปล่อยให้น้องสาวไปเรียนพิเศษ ส่วนผมก็ต้องรีบไปเคลียร์โปรเจคจบให้เสร็จ  ก่อนออกไปผมไม่ลืมที่จะหยิบกระดาษเกมส์ที่น้องสาวผมปริ้นมาให้ดูด้วย กะว่าจะไปถามเพื่อนให้รู้ว่านี่มันเกมส์อะไร ถ้าอันตรายจะได้ค้านทันเวลา

แต่คงเป็นโชคร้าย ผมลืมที่จะหยิบใบนั้นออกมาถามเพื่อน  จนกระทั่งผมเรียนจบ ใบนั้นมันก็ยังคงอยู่ในกระเป๋า... 


“Horror House  เกมส์อะไรของมันวะ”

ผมอ่านข้อความที่น้องสาวผมยื่นมาให้ดูว่าตัวเองเป็นผู้ถูกเลือกให้เข้าร่วมเกมส์  ผมถามน้องผมอีกครั้งเรื่องความอันตราย แต่เมื่อน้องยืนยันแล้วว่าปลอดภัยผมจึงไว้วางใจที่จะปล่อยน้องไป

“นัท ไปรู้จักเกมส์นี้ได้ยังไง”

“อ๋อ  นัทหาตามเว็บไซต์ต่างๆค่ะ พอดีเห็นมันมีรีวิวรายการน่าสนใจเลยกดดู”

“แล้วนัทเคยดูรายการมั้ยว่าเค้าให้ทำอะไรบ้าง”

“เอ่อ ไม่เคยค่ะพี่ภพ”

“แล้วรายละเอียดเกมส์หละ รู้มั้ย”

“ไม่รู้ค่ะ”

“ฮะ!!!  แล้วนัทจะให้พี่ไว้วางใจได้ยังไง  ยกเลิกเถอะ เดี๋ยวพี่ไปคุยให้  พี่รู้สึกไม่อยากให้นัทไปเลย”

“ไม่ได้แล้วค่ะพี่ภพ”

“ทำไม”

“ในจดหมายนั่นระบุชัดเจนแล้วค่ะ ว่ายกเลิกไม่ได้”   ผมในตอนนั้นไม่รู้จะทำอย่างไร  เลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย แต่นั่นก็เป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมสนใจเกมส์นี้และเริ่มหาข้อมูลอย่างจริงจัง  ยิ่งอ่านผมยิ่งกลัว ยิ่งอ่านผมยิ่งรู้สึกว่าเกมส์นี้มันไม่ปลอดภัย  ผมไม่อยากให้น้องสาวเข้าไปเสี่ยงในนั้น แต่เมื่อคุยกันกับน้องสาวก็มีแต่จะนำไปสู่การทะเลาะกันผมจึงทำได้แค่คอยดูอยู่ห่างๆ

เมื่อวันนัดมาถึงผมจัดกระเป๋าให้น้องสาวและเตรียมไปส่งตามสถานที่นัดหมาย ผมย้ำเตือนเขาอีกครั้งเรื่องความปลอดภัยและให้ดูแลตัวเองให้ดี 

“นัทเปลี่ยนใจตอนนี้มั้ย พี่ได้งานแล้วยังไงก็ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินแล้วนะ”

“นัทรู้ค่ะพี่  แต่นัทก็อยากลอง เอาเป็นว่าถ้านัทไม่ไหวเมื่อไรนัทจะรีบถอนตัวออกจากเกมส์เลยค่ะ”

“เฮ้อ เอาเหอะพี่อาจคิดมากไปเอง ถ้าพี่ไม่ติดว่าต้องรีบไปทำงานพี่จะตามไปส่งเราถึงที่เลย”

“555 คิดมากแก่เร็วนะคะพี่  ไปทำงานเถอะนัทดูแลตัวเองได้ บอกแล้วไงว่าถ้าไม่ไหวนัทจะถอนตัวเอง”

“อืม โชคดีนะ อย่าประมาท ดูแลตัวเองด้วย พี่รักนัทนะ”

“นัทก็รักพี่ภพค่ะ  งั้นเดี๋ยวนัทไปแล้วนะ มาหอมแก้มที”

นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้รับความอบอุ่นจากน้องสาว  หลังจากผมปล่อยตัวนัทไปกับทางรายการ  ความตั้งใจที่จะดูนัทออกอากาศในคราแรกถูกล้มเลิกไปเพราะว่างานและโปรเจคของบริษัทที่ถาโถมเข้ามาเพื่อทดสอบพนักงานใหม่ว่ามีความสามารถมากพอที่จะรับเงินเดือนของบริษัทหรือไม่

ในแต่ละคืนผมเครียดอยู่กับงานของตัวเองจนลืมที่จะนึกเป็นห่วงน้องสาวไป  แค่ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปถึง 15 วันแล้ว   ในตอนนั้นผมซึ่งยังไม่สามารถติดต่อใดๆกับน้องสาวได้ก็ยังคงเพลินไปกับงาน แต่ก็ไม่ได้ถึงกับละเลยน้องตัวเองเมื่อผมนึกขึ้นได้ว่าน้องสาวผมยังอยู่ในเกมส์นั่น ผมก็รู้สึกทึ่งในความสามารถของน้องผมมาก ผมคิดว่าน้องผมเก่ง น้องผมเอาตัวรอดในเกมส์พวกนั้นได้ แต่……ผมคิดผิด

กริ๊งงงงงงง

“สวัสดีค่ะ  นั่นใช่ญาติของนางสาว อรพิมล หรือเปล่าครับ”

“ใช่ครับ ผมเอกภพ ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”  ผมเริ่มใจคอไม่ดีกับปลายสาย

“ค่ะ โทรมาจาก โรงพยาบาลจิตเวท xx นะคะ ทางเราอยากให้คุณเอกภพมาดูทางนี้หน่อยค่ะ”

“ก…เกิดอะไรขึ้นหรอครับ”

“ดิฉันอยากให้คุณเอกภพมาดูเองดีกว่าค่ะ เกรงว่าคุยกันทางนี้จะคุยกันไม่สะดวกค่ะ”

หลังจากวางสาย ผมรีบพาตัวเองไปยังโรงพยาบาลจิตเวทนั่นทันที  สัญชาตญาณในตัวผมเริ่มบอกแล้วว่ามันต้องมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับน้องสาวผมแน่นอน ช่วงระหว่างขับรถผมไม่รู้เลยว่าตัวเองเหยียบไปด้วยความเร็วเท่าไร ยอมรับว่าผมกลัวไปหมด ผมเหลือน้องสาวแค่คนเดียว ถ้าไม่มีเขาผมจะใช้ชีวิตอยู่ต่อยังไง  ผมภาวนาไปตลอดว่าขอให้น้องผมยังแค่กลัวกับเกมส์และยังปรับตัวไม่ได้เท่านั้นจึงขอเข้าพบจิตแพทย์ แม้ความจริงมันมักจะโหดร้ายกว่านั้นเสมอ

“กรี๊ดดดดดดดดดด  ผี ผีเต็มไปหมด  กรี๊ดดดดดดด พี่ภพ ช่วยด้วยยย ช่วยนัทด้วย กรี๊ดดดดดดดดดดด”

“อย่างที่ญาติคนไข้เห็นนะครับ ตอนนี้คุณอรพิมล มีอาการทางจิตขั้นรุนแรง ต้องใช้เวลาในการรักษาตัวอีกนาน ผมอยากให้ญาติทำใจไว้ด้วยนะครับ เค้าได้พบเจอเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจมาค่อนข้างมาก ผมไม่สามารถยืนยันได้ว่า…เค้าจะกลับมาเป็นปกติ”

“น้องผม…เค้าไปเจออะไรมาครับ”  ผมมองภาพนั้นทั้งน้ำตา น้องสาวผมถูกผูกไว้กับเตียงเพราะเธอดิ้นแรงจนพยาบาลกลัวจะหล่น   ใบหน้าน้องสาวผมดำคล้ำและมีท่าทีหวาดระแวงตลอดเวลา อีกทั้งปากยังตะโกนเอาแต่บอกว่าเจอผี จนไม่สามารถพูดคุยใดๆได้อีก

“เชิญคุณทางนี้ดีกว่าครับ” จิตแพทย์ท่านนั้น ได้พาผมกลับมายังห้องพักเพื่อบอกเล่าสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น

“ทางเราได้รับคำบอกเล่าจากทางรายการ ที่น้องคุณเข้าร่วมเล่นว่า น้องคุณเริ่มมีอาการแปลกๆมาตั้งแต่เกมส์วันแรกๆโดยส่วนมากจะเพ้อออกมาว่าเจอผี  เมื่อทางรายการเห็นว่าน้องคุณเริ่มไม่ไหวจึงได้เข้าไปสอบถามเพื่อเชิญให้ออก แต่น้องคุณยังคงยึดมั่นที่จะอยู่ต่อ จนถึงเกมส์ล่าสุดที่น้องคุณเล่น…ก็เป็นอย่างที่เห็นครับ”

“แล้วทางรายการ ไม่คิดจะรับผิดชอบอะไรเลยหรอครับ!!!”ผมไม่สามารถเก็บอารมณ์ได้อีกต่อไป จึงเผลอแสดงท่าทีก้าวร้าวใส่จิตแพทย์

“เราเข้าใจคุณนะครับ แต่อยากให้คุณใจเย็นๆก่อน ทางรายการบอกผมแล้วครับว่าก่อนที่จะให้ผู้สมัครลงแข่งมีการเขียนหมายเหตุไว้ว่าถ้าเป็นบ้าหรือตาย ทางรายการไม่ขอรับผิดชอบครับ”

“โถ่เว้ย!! ผมจะเย็นได้ไง นั่นน้องสาวผมนะ เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของผม ผม…จะอยู่ยังไง”

“ใจเย็นๆนะครับ  ตอนนี้เราแก้ไขตรงจุดนั้นไม่ได้แล้ว หมออยากให้คุณร่วมมือกับหมอคอยเยียวยารักษาคนไข้ไปเรื่อยๆ หมอไม่อาจรับประกันโอกาสใดๆได้ แต่แม้เพียง 1% หมอก็อยากให้คุณหวัง เพราะนั่นมันก็คือโอกาสหายของน้องคุณ”

“ขอ…ผมพบน้องสาวผมได้มั้ยครับ”

“ได้ครับแต่หมอคงให้เวลาได้ไม่นาน ร่างกายคนไข้อ่อนเพลียมาก หมอจำเป็นต้องให้คนไข้พักผ่อน” ผมพยักหน้าให้กับหมอก่อนเดินตามออกไปยังห้องพักของน้องสาวผม   น้องสาวผมยังคงกรี๊ดอยู่แบบนั้น เมื่อเขาเหนื่อย เขาจะนั่งเงียบๆเหมือนคนเหม่อลอยก่อนจะเริ่มกรี๊ด สลับกันไปมา  ผมเดินเข้าห้องนั้นไปเงียบๆเพื่อพูดคุยและปลอบใจน้อง

“นัท  จำพี่ได้มั้ย”  ผมพูดเสียงสั่นอย่างคนสะกดอารมณ์ตัวเอง ณ เวลานั้นผมอยากเป็นคนที่เข็มแข็งที่สุดเพื่อให้น้องสาวเชื่อว่าพี่ชายคนนี้ยังเป็นที่พึ่งให้เขาได้

“พี่ภพ  พี่ภพ กรี๊ดดดดดดดดด  ช่วยนัทด้วย นัทเห็นผี  พี่ภพ เชื่อนัทมั้ย นัทเห็นผี  ผีเต็มไปหมด กรี๊ดดดด ช่วยนัทด้วย”

“นัท  นัท  นัท ใจเย็นๆ พี่อยู่นี่แล้วไง  ไม่มีผีแล้วนะครับ  ฮึก” ผมแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้เมื่อต้องปลอบน้องออกไปแบบนั้น

“ผี  ผี  พี่ภพ บ้านหลังนั้นมันมีแต่ผี  ผีเต็มไปหมด นัทกลัว ไม่มีใครเชื่อนัท นัทกลัว”

“นัทใจเย็นๆนะ  ที่นี่ไม่มีผีแล้ว นัทอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ ที่นี่มีแต่หมอใจดี เค้าจะดูแลนัทแทนพี่เมื่อพี่ไม่อยู่ แต่พี่จะกลับมาหานัทบ่อยๆนะ  เป็นเด็กดีกับหมอด้วย…พี่ไปก่อนนะ” ผมบอกน้องแค่นั้นก่อนจะเดินออกมาจากนอกห้องเพื่อให้หมอทำหน้าที่ของหมอต่อไป

เวลาแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น ผมต้องเสียน้องสาวคนเดิมไปอย่างที่ไม่รู้ว่าจะได้คืนมาเมื่อไร ผมร้องไห้โทษตัวเองในทุกๆวันว่าไม่สามารถปกป้องน้องคนเดียวได้  อยากขอโทษพ่อแม่ใจแทบขาดแต่ก็ทำไม่ได้   กลางวันผมตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อให้ลืมเรื่องนี้และเพื่อเก็บเงินมารักษาน้อง ผมตั้งใจว่าจะพาน้องไปยังโรงพยาบาลจิตเวทที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ในประเทศไทย

จนกระทั่ง….

“นัท วันนี้พี่มาเยี่ยมแล้ว ดีใจมั้ย”

“นัท อย่าปล่อยให้พี่คุยคนเดียวดิ พี่เหงานะรู้มั้ย  นัทหละอยู่คนเดียวเป็นไงมั่ง”

“เฮ้อ พี่บอกเราแล้วใช่มั้ยว่าให้ฟังพี่ ทำไมถึงยังดื้อกับพี่ ทั้งๆที่พี่รัก….และเป็นห่วงเรามาก” ผมปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมา เมื่อต้องทนสนทนากับน้องสาวที่ไม่แม้แต่จะเอ่ยปากพูดกับผม น้องผมเหม่อลอยไม่ต่างกับคนเป็นบ้าไปแล้วแต่ยังไงผมก็อยากให้เค้ารู้ว่าผมยังรักและอยากให้เค้ากลับมา

“ฮึก พี่รักนัทนะ  รีบกลับมาหาพี่รู้มั้ย พี่เหงามาก ไหนมาให้พี่หอมหน่อย พี่ต้องไปแล้ว” ผมหันไปหอมหน้าน้องสาวตัวเองก่อนจะต้องรีบออกมาเพราะใกล้หมดเวลาเยี่ยม

“พี่ภพ”

“นัท นัทเรียกพี่ได้แล้วหรอ นัทหายดีแล้วใช่มั้ย”  ผมแสดงความดีใจออกมาทันทีเมื่อน้องสาวเริ่มที่จะคุยกับผมก่อน มันอาจเป็นสัญญาณที่บอกว่าน้องผมกำลังจะกลับมา

“ศพ  บ้านหลังนั้นมันมีศพ  บ้านหลังนั้นมันมีผี  บ้านหลังนั้นมันมีศพ  มันจะฆ่านัท มันจะฆ่านัท กรี๊ดดดดดดดด  พี่ภพช่วยนัทด้วย กรี๊ดดดดดดดดดดดดด”   ผมยืนตัวแข็งอยู่แบบนั้น  ไม่ใช่แค่ว่าเพราะผิดหวังที่น้องสาวผมยังไม่หาย แต่เพราะคำพูดนั้นของน้องสาว 

ศพ? ฆ่า? คำพวกนี้ไม่ควรออกมาจากปากของน้องสาวผม

ผมกลับบ้านมาหาข้อมูลนั่นอีกครั้ง  ผมแปลกใจอยู่มากที่เมื่อเข้าเว็บที่น้องสาวผมสมัครไปและพบว่าหน้าเว็บนั้นมันถูกปิดไปแล้ว ผมจึงไม่สามารถจะหาข้อมูลอะไรได้อีก ผมเริ่มหารีวิวที่คนเคยดูมาเขียนแนะนำไว้และทำให้ผมรู้เพิ่มว่า ผู้เข้าแข่งขันอีกคนที่ต้องแข่งร่วมกับน้องผมถอนตัวออกไปตั้งแต่วันที่ 5 แสดงว่าสิบกว่าวันที่น้องผมต้องเล่นเกมส์น้องผมทำมันเพียงคนเดียว

ผมเริ่มหาสาเหตุที่น้องผมเอ่ยถึงคำว่าศพและฆ่าออกมา  ผมไม่คิดว่าเกมส์มันจะโหดร้ายได้ถึงขนาดนั้นแต่เมื่อผมยิ่งหาข้อมูลไป ผมก็ยิ่งสับสนเพราะคนที่มาเล่าถึงเกมส์ล้วนเป็นแค่คนเคยดู ไม่ใช่คนเคยเล่น คนเหล่านั้นหายไปไหน อีกทั้งเกมส์นี้ยังไม่เคยมีใครได้รางวัลเลยยิ่งสร้างความประหลาดใจให้กับผมอีกขั้นหนึ่ง

ผมใช้เวลา สองปีเต็มๆไปกับการสังเกตรูปแบบเกมส์ แล้วพบว่าเกมส์จะรับเพศชายและหญิงสลับกันในทุกปีและเปลี่ยนสถานที่แข่งขันนั้นไปเรื่อยๆ แต่ผมยังคงไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆกับเว็บของเกมส์ เพราะช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาผมต้องตั้งใจทำงานและเก็บเงินให้พร้อมมากที่สุดเพื่อจะเอาไปรักษาน้องและเพื่อเตรียมชดเชยเวลาหนึ่งเดือนที่ผมต้องเสียไป

ใช่แล้วครับ

ผมลางานเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มในปีนี้ โดยบอกเหตุผลกับทางบริษัทว่าจะพาน้องผมไปรักษาแต่ความจริงนั่นคือ  ผมสมัครเข้าร่วมเกมส์นี้เพื่อจะลงมาแก้ไขสิ่งที่ติดค้างด้วยตนเอง  ในเมื่อคนที่เคยเข้าเล่นครั้งก่อนๆไม่มีใครบอกผมได้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ผมเหยียดยิ้มออกมาเมื่อรายการคัดเลือกผมให้เข้าร่วมเกมส์ ลึกๆแล้วในใจผมเต็มไปด้วยความโกรธ เกลียดและแค้นเกมส์มาก ผมไม่สนใจเงินรางวัลใดๆทั้งสิ้นและไม่สนใจว่าผู้เข้าร่วมแข่งอีกคนจะเป็นใครแค่อย่ามาขวางเกมส์ที่ผมจะเดินก็พอ  เมื่อถึงวันนัดหมาย ผมรีบออกจากบ้านมายังที่ที่เกมส์นัดผม  ก่อนเวลาหลายชั่วโมง เพื่อจะได้สังเกตการทำงานของทีมงานทุกคนว่ามีจุดใดที่ผิดปกติหรือไม่  แต่ยิ่งสังเกตผมยิ่งไม่เห็น นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเครียดและเริ่มจมอยู่กับตัวเอง ก่อนจะมีทีมงานพาผู้เข้าแข่งขันอีกคนมาให้ผมรู้จัก นั่นคือ ไอ้มิว

อย่างที่ผมบอกว่าผมไม่ได้สนใจว่าผู้เข้าแข่งขันอีกคนเป็นใคร ผมจึงไม่ได้อยากรู้ชื่อมันและอยากคุยกับมันจนมันหลุดด่าผมโดยเอ่ยคำว่าบ้ามา นั่นถึงทำให้ผมสติขาดไปทันที  คำนั้นมันทำให้ผมนึกถึงน้องสาวตัวเอง ผมไม่ได้ตั้งใจจะตะคอกมัน แต่ด้วยอารมณ์ผม ผมไม่สามารถควบคุมได้เลย ผมอยากให้มันออกจากเกมส์เพราะไม่อยากให้มันเป็นแบบน้องผมและเพื่อไม่ให้มันขัดขวางสิ่งที่ผมจะทำ  แต่เมื่อมันคิดไปอีกทางว่าผมจะยึดเงินรางวัลไปคนเดียวผมจึงปล่อยไป

ระหว่างทางที่มา ผมคิดอะไรหลายๆอย่างมาตลอดยิ่งฟังประวัติบ้านสลับกับมองเส้นทางไปเรื่อยๆ ผมยิ่งเครียด รายการนี้มันให้น้องผมไปทำอะไร ทำไมถึงได้มาที่เปลี่ยวๆแบบนี้ ผมไม่แปลกใจเลยที่น้องสาวผมจะเป็นแบบนั้น และเมื่อใกล้จะถึงบ้านที่ผมต้องเล่นเกมส์ ผมสังเกตเห็นบ้างหลังหนึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านที่ผมต้องอยู่   ผมสงสัยมากว่าบ้านใครทำไมถึงคิดมาสร้างในที่แบบนี้ แต่เมื่อเจอลุงมั่นและแกบอกผมว่าแกอยู่แถวนั้น ผมเลยถึงบางอ้อทันทีว่า…นั่นบ้านใคร

ผมไม่คุกคามอะไรไอ้มิวอีกเพราะมันดูไม่มีพิษภัยอะไร ออกจะเอ๋อๆ ดูเกินๆไปด้วยซ้ำ ผมตัดสินใจปีนกำแพงบ้านออกไปเพื่อไปสังเกตป่าด้านหลัง ผมมีความรู้สึกว่าบ้านที่ผมคิดว่าเป็นของลุงมั่นต้องมีการเชื่อมต่อกับเกมส์แน่นอนเลยกะว่าจะเดินไปสังเกต และอยากเห็นหน้าผู้จัดการเกมส์  ในวันแรกผมต้องดูท่าทีก่อนเลยไปไม่ได้ไกล เมื่อได้ยินเสียงไอ้มิวเรียกผมจึงรีบกลับมา และสาเหตุที่ตัวผมเปื้อนมันเป็นเพราะผมต้องเดินไปแบบหลบๆซ่อนๆ เพราะไม่รู้ว่าในป่านั่นมีอะไรบ้างเลยทำให้ชุดเปื้อนดินไปด้วย

ในเกมส์แรกยอมรับตรงๆเลยว่าผมหงุดหงิดไอ้มิวจนแทบคลั่งเพราะมันทำท่าว่ากลัวไปหมด  ผมเคยเตือนมันแล้วว่าให้มันกลับออกไปแต่มันก็ไม่ยอม จนตั้งแต่มันท่องคาถาเห็นผีนั่นและเริ่มเล่นซ่อนแอบ ไอ้มิวมันก็เริ่มเปลี่ยนไปชัดเจน มันกลัวจนผมสงสาร เลยคิดว่าการวิ่งไปหลบเสียงดังๆจะทำให้มันหาเจอง่ายขึ้น  แต่ก็ไม่เป็นแบบนั้น ด้วยอะไรไม่รู้ที่ทำให้ไอ้มิววิ่งขึ้นข้างบนและบอกว่าผมอยู่ตรงนั้น ผมได้ยินเสียงมันชัดเจนว่ามันเพ้อเจ้อคิดว่าผมหายใจแรงแอบอยู่ในห้องน้ำ ก่อนที่มันจะเงียบไป ผมจึงหันไปปัดหม้อให้หล่นเพื่อบอกมันว่าผมอยู่ในครัว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ไอ้มิวมันวิ่งมาทางครัว และวิ่งออกไปข้างนอกทันทีโดยที่ผมห้ามไม่ทันและมันก็ไม่เห็นผมที่ยังคงยืนอยู่   ก่อนจะไปได้ยินเสียงมันด่าๆข้างนอกนั่น  ผมไปเอามันกลับเข้ามามันก็เอาแต่ร้องไห้ ถามอะไรก็ไม่ตอบ

จนตอนเช้าผมถามมันอีกครั้ง และโดนมันถามกลับมาว่า ทำไมผมถึงไม่เห็นว่าประตูมันเปิดเอง และไม่ได้ยินเสียงมันด่าผม คำถามนี้ทำผมนิ่งไปสักพักเริ่มรู้สึกแล้วว่าไอ้มิวไม่ปกติ มันต้องเจออะไรบางอย่าง ผมตอบมันไม่ได้เพราะผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ประตูนั่นมันก็ไม่ได้เปิดเอง ไอ้มิวนั่นแหละที่วิ่งไปเปิด และเพราะกลัวมันจิตตกผมจึงไม่ให้ทีมงานรีรันภาพ เมื่อทีมงานมาถามเหตุผลที่มันวิ่งออกไป  ผมจึงต้องโกหกทีมงานเพื่อช่วยมัน  ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากมีเพื่อนในการแข่งขันแต่อีกส่วนหนึ่งคือเพราะผมเริ่มรู้แล้วว่าไอ้มิวมันเห็นอะไรในแบบที่น้องสาวผมเห็น ผมจึงจำเป็นต้องเอามันไว้เพื่อใช้มันสื่อกับวิญญาณพวกนั้น หาทางให้ผมเจอความจริงให้เร็วที่สุด ผมรู้ว่าผมเลว แต่ผมจำเป็นต้องมีมันจริงๆ

ตั้งแต่เกมส์ผีถ้วยแก้วไอ้มิวก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าสู่ใจผม ผมไม่ชอบที่เห็นน้องสาวผมทรมานแล้วเหตุใดผมจึงมาทรมานคนอื่น สิ่งที่ผมทำไม่ต่างอะไรไปกับที่เกมส์ทำน้องสาวผม ผมจึงคิดจะหาทางให้มันออกจากเกมส์นี้ให้เร็วที่สุด ไม่ใช่เพราะผมจะเอาเงิน แต่เพราะตัวมันเอง

พอมาได้เล่นเกมส์ปอกแอปเปิ้ลนั่น  ผมค่อนข้างตลกเพราะมันเป็นเกมส์หาเนื้อคู่ไร้สาระ ผมไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าเกมส์เป็นยังไง ผมเททุกอย่างเพื่อคอยฟังแต่เสียงไอ้มิว แต่รู้อะไรมั้ยครับ พิธีกรรมนั่นมันไม่ได้หลอกลวง เรื่องนี้ผมไม่เคยบอกไอ้มิวและไม่คิดจะบอกเพราะตอนผมปอกแอปเปิ้ลภาพที่ผมเห็นในกระจก มันคือภาพไอ้มิว ภาพที่ขึ้นแสดงว่ามันกำลังปอกแอปเปิ้ลอยู่เงียบๆบนห้อง ผมมองมันปอกไปเรื่อยๆโดยที่ตัวผมเองปอกเสร็จหมดแล้ว จนก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงไอ้มิวกรี๊ด ภาพมันแสดงให้ผมเห็นว่าไอ้มิวยังนั่งอยู่ที่เดิม ท่าเดิม แต่หัวของมันหายไป ผมตกใจและรีบขึ้นไปดู เสียงไอ้มิวกรีดร้องให้ผมช่วยก็ดังขึ้นมาทันที

ผมจงใจทำลายข้าวของเพราะผมรู้ว่าทีมงานต้องมา ผมไม่อาจเอาไอ้มิวไว้ในเกมส์ได้แล้ว แม้มันจะช่างสังเกตและสื่อสารกับวิญญาณได้ แต่ผมสงสารมันยิ่งเห็นแผลที่คอกับสภาพมันผมไม่อาจปล่อยไว้ได้  ผมท้าตีกับทีมงานเพราะมันไม่แฟร์เกมส์ที่จะเอาผมออก จนทีมงานไปถามความประสงค์กับไอ้มิว  ผมสนับสนุนให้มันออกทันทีโดยไม่รั้งมันไว้ แค่นี้มันก็ช่วยผมไว้มากพอแล้ว แต่ไอ้มิวก็สร้างความตกใจให้ผมเพราะมันขอปฏิเสธที่จะออก แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าผมดีใจที่มันยังอยู่ ผมหาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าเพราะอะไร แล้วก็ยังไม่รู้ด้วยว่าทำไมมันถึงไม่กลับไป

ผมไม่อยากให้มันขอบคุณผมที่ผมคอยช่วยเหลือและดูแลมันเพราะที่ผมทำผมก็หวังผลกับมันทั้งนั้น เป็นผมซะอีกที่ต้องขอบคุณมันที่ต้องยอมแลกอะไรหลายๆอย่างกับการช่วยเหลือจอมปลอมของผม แม้หลังๆผมจะช่วยด้วยความเคยชินไปแล้ว ไม่ได้นึกจะใช้งานมันอีก แต่ความผิดมันก็ต้องเป็นความผิด

ผมไม่ใช่คนดีอีกต่อไปเมื่อเลือกที่จะเอาความไว้วางใจของมันมาแก้ปัญหาให้ผม

ผมไม่รู้ว่าต้องเอ่ยคำขอโทษมันอีกกี่ล้านครั้ง เมื่อผมเล่าความผิดของผมให้มันฟังไป หน้ามันก็เปลี่ยนไปทันทีอาจจะเพราะความ
ผิดหวังในตัวผมด้วย แต่ผมยอมรับทุกอย่าง ในเมื่อผมเลือกที่จะใช้มัน ผมก็ต้องยอมรับในการกระทำตนเอง



"ไงสิ่งที่มึงอยากฟัง กูเคยบอกมึงแล้วใช่มั้ยว่าไม่ต้องขอบคุณคนเลวๆแบบกู….”



*****************************************TBC*****************************************
เอาตอนที่ 7  มาส่งแล้วนะครับ  หลายคนคงสงสัยเรื่องเวลาลง  เอาเป็นว่าผมจะลงทุกวันอังคารนะครับ ส่วนวันอื่นถ้าผมไม่มีงานหรือติดอะไรก็จะนำมาลงให้นะครับ สามารถติดตามได้ในทวิตเตอร์ผมโล้ดดดดดด >>> TWITTER (https://twitter.com/PRaawit)

ตอนนี้คงเป็นตอนที่หลายคนอยากรู้มากที่สุด  5555 เดากันถูกมั้ยครับ

เจอกันตอนหน้า
P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่7 ความหลัง (13/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 13-01-2017 20:24:16
อยากอ่านอีก :ling1: เค้าฟอลลไปแล้วนะ :katai3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่7 ความหลัง (13/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 13-01-2017 23:15:24
โหยยยยยย
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่7 ความหลัง (13/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แม่มดน้อย ที่ 14-01-2017 09:01:55
อ่านรวดเดียวจบ หลอนมากกกกกกกกกก

ชอบมากอ่ะบรรยายได้เห็นภาพชัดดี สนุดกเวอร์
 :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่7 ความหลัง (13/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 14-01-2017 09:12:04
อ้ายยยภพพพพพพพพพพพพพพพพพพ  :m31:

แต่ยังไงเค้าก็เป็นเนื้อคู่กัน..ใช่มั้ยคะ แง้5555555555 :n1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่8 หวั่นไหว (17/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 17-01-2017 18:58:53
ตอนที่8

หวั่นไหว


ยอมรับแบบลูกผู้ชายเลยว่าผมโกรธมันมาก การโดนใช้เป็นเหยื่อไม่มีใครอยากเป็น แต่คนอย่างผมมันไม่เคยโกรธไอ้ภพได้นานเพียงเพราะเรื่องราวที่ออกมาจากปากมัน  มันเจอเรื่องแย่ๆมามาก และต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดของตัวเอง ทั้งๆที่เมื่อผมฟังผมไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่ามันผิดที่ดูแลน้องสาวตัวเองไม่ได้

“ไงสิ่งที่มึงอยากฟัง กูเคยบอกมึงแล้วใช่มั้ยว่าไม่ต้องขอบคุณคนเลวๆแบบกู….” คำพูดเลื่อนลอยเชิงประชดประชันผม ไม่อาจกลบความรู้สึกที่มันจะสื่อออกมาได้ มันกำลังรู้สึกผิด  มันกำลังด่าตัวเอง ทั้งๆที่ผมไม่เคยคิดว่ามันเลว สถานการณ์มันบีบให้ไอ้ภพต้องเห็นแก่ตัว ถ้าผมเป็นมันผมก็คงทำ

“ไม่มีคนเลวที่ไหนมานั่งด่าตัวเองหรอกนะไอ้ภพ  กูยอมรับว่ากูโกรธมึงนะที่ทำกับกูแบบนี้ แต่กูโกรธไปแล้วได้อะไรวะ กูกลับออกจากเกมส์แล้วได้อะไร ในเมื่อกูก็ยังต้องเห็นผีอยู่แบบนี้ หยุดรู้สึกผิดกับตัวเองได้แล้ว"  ผมหันไปปลอบมัน  เห็นท่าทีของมันแล้วผมรับไม่ได้ มันกำลังอ่อนแอมากจนไม่เหมือนไอ้ภพคนเดิมที่ผมรู้จัก

“กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจแต่กูหมดหนทางแล้วจริงๆ” มันนั่งก้มหน้าเอ่ยคำขอโทษกับผม

“สัส!ขอโทษกูใครสั่งให้ก้มหน้า  มองหน้ากูดิ อย่ามาอ่อนแอไหนบอกจะปกป้องกูไง” ผมจับหน้ามันให้เงยขึ้นมาสบตากับผม

“ฟังกูนะ กูยกโทษให้มึงทุกอย่าง แต่ต่อจากนี้อย่าเก็บเรื่องแบบนี้ไว้คนเดียวอีก มีอะไรก็พูด” มันพยักหน้าตอบรับความต้องการของผมก่อนผมกับมันจะนั่งกันอยู่เงียบๆอย่างนั้น ต่างคนต่างต้องรีบเอาความรู้สึกแย่ๆออกไปให้หมด เพราะรู้แล้วว่าการเล่นเกมส์ต่อจากนี้จะไม่ได้ทำเพราะท้าทายอย่างเดียวแล้ว

“มิว ทำไมมึงถึงไม่ออกจากเกมส์ไปวะ กูกลัวมึงจะเป็นแบบน้องกู” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยและเจือด้วยความเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยของมัน ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ขลุ่ยใดๆ

“งั้นก็เงยหน้ามาฟังกู ดูปากกูให้ชัดๆ” ผมจับมันให้เงยหน้ามาฟังผมอีกครั้ง ไม่รู้ว่ามันจะนั่งก้มหน้าทำไมนักหนา รู้สึกผิด หรือว่าทุกข์ใจเพราะเอ่ยถึงเรื่องน้องสาว

“ฟังนะ มึงรู้ตัวมั้ยว่าเวลามึงอยู่กับตัวเอง มึงจะไม่ระวังห่าเหวอะไรเลย กูยอมอยู่ในรายการนี้ก็เพราะรู้ว่า เดี๋ยวมึงก็ต้องออกไปข้างนอกนั่นอีก  มึงกำลังตามหาความจริงบางอย่างข้างนอกนั่นใช่มั้ย?  ถ้ามึงออกไปนานๆแล้วบ้านนี้มันไม่มีใคร ไม่กลัวรายการจะสงสัยหรอว่ามึงหายไปไหน อย่างน้อยกูอยู่กูก็ตอแหลให้ได้ว่ามึงหลับอยู่บนห้อง ถึงกล้องมันจะจับได้ว่ามึงเดินออกไปแต่เชื่อสิ กูตอแหลเก่งกว่าพูดเรื่องจริงแน่นอน”

“แล้วมึงรู้ได้ยัง ว่ากูออกไปตามหาบางอย่าง”

“จากที่มึงเล่าให้ฟังนะภพว่ามึงออกไปเพื่อจะเดินไปหาบ้านลุงมั่นและคอยดูหน้าผู้จัดการเกมส์  แต่หน้ามึงไม่ได้บอกกูแค่นั้นมึงกำลังสงสัยบางอย่าง และต้องการหาความจริงมาสนับสนุนความคิดมึง อีกอย่าง…”

“อีกอย่าง?   อะไร”

“ตอนที่กูปอกแอปเปิ้ลหน้ากระจกนั่น พูดแล้วอย่ารังเกียจกูนะ กูไม่ได้ตั้งใจให้กูเห็นแบบนั้น แต่กูเห็นภาพมึง มึงกำลังเดินอยู่ในป่านั่นโดยที่มีท่าทีหลบๆซ่อนๆอยู่ตลอดเวลา เสื้อมึงที่เปื้อนก็เพราะจากสาเหตุนี้ใช่มั้ย?”

“อืม….อย่างที่มึงพูด” มันตอบรับผม อย่างรีบร้อนก่อนจะหลบสายตาผมไปทันที

“ภพ ไม่ว่าความจริงที่มึงหาจะคืออะไร แต่กูมีเรื่องอยากจะบอก ลองเชื่อกูอีกสักครั้งนะ”

“เชื่อ? อะไร”

“มึงกำลังไปผิดทาง”  มันนิ่งไปทันทีหลังผมพูดจบ  ท่าทางของมันเหมือนกำลังประมวลภาพในหัวว่าตัวมันกำลังเดินไปทางไหนและผมรู้ได้ยังไงว่าทางที่มันเดินไม่ใช่ทางที่มีคำตอบ

“มึงรู้ได้ไง”

“อย่างที่บอกว่ากูเห็นมึงเดินในกระจก กูไม่ใช่เห็นแค่มึง แต่กูเห็นป่าบริเวณโดยรอบ อะไรสักอย่าง ลางสังหรณ์หรือวิญญาณก็แล้วแต่ มันบอกกูว่าทางที่มึงต้องไป ไม่ใช่ทางนั้น มึงต้องไปอีกทาง ทางที่มึงละเลยมันมากที่สุด”

“แต่อีกทางมันรกมาก มันไม่ได้มีวี่แววเลยนะว่ามีคนเคยผ่านไป”

“กูถึงได้ขอไงว่าเชื่อกูอีกสักครั้ง…ว่าแต่พอจะบอกได้มั้ยว่ามึงกำลังหาอะไร”

“ศพ กูกำลังหาศพคนตาย” คำพูดมันทำผมนิ่งอึ้งไปสักพัก ทำไมอยู่ดีๆมันถึงจะลุกขึ้นไปหาศพคนตาย

“เพราะคำพูดน้องมึงหรอ”

“อืม น้องกูไม่ต่างอะไรกับคนบ้า การที่น้องกูพูดถึงสิ่งนั้นออกมาแสดงว่ามันต้องมีมูลเหตุของเรื่อง”

“ถึงว่า….” ผมพึมพำกับตัวเองทันที เพราะผมก็ยังคงมีอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ได้บอกมัน เนื่องจากผมหาอะไรมาอ้างอิงไม่ได้  เลยไม่คิดจะพูดให้ตัวเองเสียความรู้สึกหากมันไม่เชื่อ

“ถึงว่าอะไร” คำพูดที่อัดแน่นไปด้วยความอยากรู้ของมันเอ่ยออกมาแทบจะในทันทีหลังจากผมพูดจบ   ผมที่กำลังครุ่นคิดว่าจะบอกมันดีหรือไม่ ก็รีบเงยหน้าขึ้นมองหน้ามัน ก่อนจะสูดหายใจรวบรวมความกล้าที่จะเล่าเรื่องที่ติดค้างเรื่องสุดท้าย

“ภพ กูสังเกตบางอย่างได้อีกเรื่องเพียงแต่กูไม่กล้าบอกมึงเพราะมันไม่มีหลักฐาน…แต่หลังจากกูฟังความต้องการของมึงกูคิดว่ากูต้องบอก ตั้งแต่กูเล่นเกมส์มา กูเจอผีพวกนั้นพวกมันเข้ามาหากูด้วยวิธีที่แตกต่างกัน ครั้งแรกที่กูเจอกูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันต้องการอะไร ครั้งที่สองกับสามพวกมันบังคับให้กูช่วยหาคนที่ฆ่ามัน รู้มั้ย?...ว่าพวกมันมีอะไรที่เหมือนกัน”

“อะไร…”

“พวกมัน…ล้วนมาจากนอกบ้านหลังนี้”  ไอ้ภพหยุดคิดตามคำพูดผมทันที ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างนั่น คาดว่าในใจมันตอนนี้คงกำลังหาหนทางไปยังทางที่ผมบอก

“แต่ถ้าเป็นไปได้ วันนี้อย่าเพิ่งออกไปไหน อยู่ในบ้านไปอีกสักวันสองวันก่อน” ผมรีบเตือนมันเมื่อเห็นว่ามันเริ่มที่จะไม่คิดถึงเหตุถึงผลและเอาแต่ความต้องการตัวเอง

“มีอะไรอีก ไหนมึงบอกว่าวันนี้มึงจะไม่ห้ามกู”

“กูรู้ กูก็ไม่อยากผิดคำพูด แต่เรื่องมันยังร้อนไปไอ้ภพ ไม่คิดหรอว่าทีมงานพวกนั้นรู้ได้ยังไงว่ามึงออกไป”

“มันอาจจะไม่เห็นกูอยู่ในบ้านนานก็ได้”

“ไม่ไอ้ภพ ตามกฎของเกมส์กลางวันมึงจะอยู่นอกบ้านก็ได้ ยิ่งพื้นที่หลังบ้านแม่งไม่มีกล้องสักตัว ทำไมทีมงานถึงไม่คิดว่ามึงอาจจะแค่ออกไปนั่งพักผ่อนหลังบ้านเฉยๆ ทำไมถึงกล้าฟันธงทันทีว่ามึงแหกกฎไปแล้ว”

“….”

“ถ้าให้กูเดาต้นไม้ข้างหลังนั่นมันต้องมีกล้องติดไว้ ถ้ามึงต้องออกไปอีกครั้งกูอยากให้แค่มึงออกไปหากล้องพวกนั้นอย่าเพิ่งเพ่งเล็งไปหาศพทันที เดี๋ยวพวกมันจะสงสัย กูกลัวว่าศพต่อไป อาจเป็นมึง”

“อืม ขอบคุณที่เตือนกู”

“มึงช่วยกูมาเยอะแล้วนะภพ ให้กูทำอะไรเพื่อมึงบ้าง” ผมบอกมันที่หันมาขอบคุณผม ไอ้ภพมันเหมือนเด็กที่ไม่ได้ถี่ถ้วนกับเหตุผล เพียงแค่มีคำใบ้เล็กน้อยมันก็ดีใจจนไม่มองอันตรายที่จะเกิดกับตัว แต่ด้วยความที่ตัวผมผ่านเกมส์โชว์ต่างๆมาก็มาก การสังเกตพวกนี้ผมก็ได้มาจากหลายๆเกมส์ ที่สอนผมไม่ให้ดีใจกับอะไรที่มองง่ายเกินไป

“แล้วมึงจะทำยังไงต่อ”

“เรื่อง?”

“เรื่องที่มึงเห็นผี แล้วก็ตอบรับที่จะช่วยพวกนั้น”

“ตอบตามตรงนะ เรื่องเห็นผีนี่กูก็ยังต้องพึ่งมึง กูยังไม่หายกลัว กูยังปรับตัวไม่ได้ ตอนนี้มึงอาจจะเห็นว่ากูกลับมาพูดคุยปกติ แต่เชื่อกูสิ ถ้าต้องเล่นเกมส์ท้าทายผีนั่นอีกครั้ง กูก็จะเป็นแบบเดิม  ส่วนเรื่องช่วย ก็ทำตามที่บอกกูจะช่วยมัน”

“มึงจะช่วยยังไง อะไรสักอย่างมึงก็ไม่รู้”

“รู้สิ ที่มึงเล่าให้กูฟังมันมีแนวโน้มสูงมากนะว่าที่น้องสาวมึงเจอศพจะเป็นศพของผีพวกนี้ อีกอย่างการที่กูช่วย มันไม่ได้หมายความว่ากูช่วยมัน สิ่งที่กูกำลังจะกลั้นใจทำทั้งหลาย ก็เพื่อจะช่วยมึง”

“ขอบคุณ…แต่มึงแน่ใจแล้วใช่มั้ยว่าจะไม่เป็นอะไร”

“กูไม่มีความแน่ใจอะไรทั้งนั้น แต่กูมั่นใจอยู่หนึ่งอย่างว่าผีพวกนั้นต้องไม่คุกคามกูแล้วเพราะกูรับปากไปแล้ว ส่วนถ้ากูจะเจอผีตนอื่น  กูก็แค่ต้องทำให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้นเท่านั้น”

“อย่าลืมที่กูเคยบอกไว้ ถ้าคิดจะอยู่ในเกมส์นี้มึงต้องทำตัวให้ชิน ส่วนเรื่องภาพหลอนในหัวถ้ามันรบกวนมึงจนทำอะไรไม่ได้ ให้เดินมาระบายกับกูซะ มีแค่ทางนี้ทางเดียวที่กูจะช่วยมึงได้”

“อืม กูจะพยายามชินให้เร็วที่สุดละกัน”

“แล้วเราจะเริ่มกันยังไง” ไอ้ภพหันมาถามถึงวิธีที่เราจะใช้หาความจริงพวกนั้น  ผมหันไปมองหน้ามันและเริ่มครุ่นคิดอย่างหนัก วิธีที่ผมจะใช้มันมีในหัวผมตั้งแต่ผมเริ่มตัดสินใจที่จะช่วยเหลือไอ้ภพ แต่มันเป็นวิธีที่ทำร้ายผมได้มากที่สุด ห้วงหนึ่งของความคิดบอกผมว่าทำไมผมต้องมาตัดสินใจเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงกับไอ้ภพด้วย ทำไมผมถึงยอมทำตาม? แต่ยิ่งคิดผมยิ่งหาไม่ได้ จึงต้องปล่อยไปก่อนตอนนี้สิ่งที่เราต้องทำมันสำคัญกว่า

วิธีของผมมันมาพร้อมกับความสามารถพิเศษที่ผมไม่ต้องการ ผมว่ามันดูโง่เง่าและดูตลกที่สุดท้ายแล้วคนเราต้องมาหาความจริงที่กฎหมายไม่สามารถตามให้ได้ ด้วยวิธีพึ่งคนที่ตายไปแล้ว ไม่อยากจะยอมรับเพราะผมกลัวว่าตัวเองจะกลัวจนทนไม่ไหว แต่ก็ต้องยอมรับเพราะตัวผมเองที่เป็นคนตัดสินใจจะช่วยทุกอย่าง อย่างน้อยก็คงต้องทำเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองหลังจบเกมส์ไป

“กู….จะคุยกับวิญญาณพวกนั้นอีกครั้ง”

ไอ้ภพดูตกใจในคำพูดของผม สิ่งที่ผมบอกมันไม่ต่างจากการที่ผมจะฆ่าตัวตาย แต่ก็แค่ชั่วครู่ เพราะผมหันไปยิ้มจางๆให้มันเห็นและบอกว่านี่เป็นทางเดียวและทางสุดท้ายที่จะหาความจริงของเกมส์นี้โดยที่พวกเราจะยังปลอดภัยทั้งคู่  ผมต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับความกลัวที่ก่อเกิดภายในใจของตัวเอง  ส่วนไอ้ภพต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการหาความจริงข้างนอกนั่น อันตรายที่มันต้องเผชิญมากกว่าผมหลายเท่า เพราะฉะนั้นการให้คนตายบอกตำแหน่งที่ฝังศพของตัวเองจะเป็นการง่ายที่สุดต่อตัวไอ้ภพ

ผมกลับลงมาเคลียร์พื้นที่ด้านล่างอีกครั้ง  ดูเวลาก็ล่วงเลยมาบ่ายโมงกว่าแล้วผ้าที่ตากไว้ก็ยังไม่ถูกเก็บ ข้าวสักมื้อก็ยังไม่ตกถึงท้อง ผมกับไอ้ภพจึงต้องกระจายงานกันไปทำ ผมเก็บเศษกระจกที่เหลือและจับทั้งหมดใส่ถุงไปวางไว้ด้านนอก ไอ้ภพเก็บซากตู้ไม้ไปวางไว้ที่เดียวกับผม ก่อนที่มันจะแยกไปทำกับข้าวส่วนผมก็แยกไปเก็บผ้า

เมื่อได้มานั่งพักรอข้าวหุงสุก ความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว ภาพต่างๆตั้งแต่วันแรกถูกฉายเข้ามาเรื่อยๆไล่เรียงลำดับเหตุการณ์มา ยิ่งคิด หน้าผมยิ่งเห่อร้อน ผมกับไอ้ภพ ไม่ต่างไปกับคู่รักที่แต่งงานใหม่และพึ่งจะย้ายเข้าเรือนหอของตัวเอง เพียงแต่ว่า เรือนหอหลังนี้มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญแวะเวียนมาหาบ่อยๆในตอนกลางคืนก็เท่านั้น

“ไอ้มิว  มึงไม่สบายหรอ รึแผลมึงอักเสบ ทำไมหน้ามึงแดงขนาดนั้น”

“ฮะ อะ เอ่อ แผลมันคงอักเสบแหละ กูเจ็บๆได้สักพักละ”

“กรรมเวร ยาแก้อักเสบแม่งก็ไม่มี เดี๋ยวกูดูยาพาราให้เผื่อแก้ปวดได้ก่อน”

“เฮ้ย ไม่ต้องๆ เดี๋ยวกูกินข้าวแล้วทำแผลใหม่ มันคงดีขึ้นเอง” ผมรีบเบรกไอ้ภพที่ทำท่าจะเดินขึ้นไปหายาพาราบนห้อง

“แล้วแต่มึงละกัน ถ้าจะทำแผลก็บอกเดี๋ยวทำให้ ส่วนข้าวก็ไปกินดิมันสุกแล้ว”

“แล้วมึงอ่ะ? ไม่กินหรอ”

“กินดิสัส กูก็หิว” ผมกับมันพากันเดินเข้าห้องครัวไปตักข้าว เห็นได้ชัดเจนเลยว่าตั้งแต่ผมกับมันพูดในสิ่งที่ติดค้างในใจหมด บรรยากาศรอบๆตัวผมก็ดีขึ้นกว่าเดิมมาก แม้ก่อนหน้านั้นมันก็ดีขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ตอนนี้มันยืนยันกับผมได้ว่าไม่ใช่แค่ผมแล้วที่คิดว่าสนิทกับไอ้ภพฝ่ายเดียว

“จะว่าไป มึงเป็นพี่กูนี่หว่า กูต้องเรียกมึงพี่มั้ย  พี่ภพไรงี้”

“หน้ากูดูเหมือนรุ่นเดียวกับมึงรึไง แล้วก็ไม่ต้องเรียกกูพี่ กูขนลุก”

“ได้ไงอ่ะ พี่ภพครับ น้องมิวชอบกับข้าวที่ภพทำจังครับ อร่อยม๊วกมวก ><”

“เป็นห่าไร อยู่ดีๆก็เป็นเอ๋อหรอ”

“อ้าวสัส เล่นด้วยนิดเดียวไม่ได้นะมึงอ่ะ “

“มึงเรียนอยู่ปีไรแล้ว”

“เปลี่ยนเรื่องเร็วเชียวนะมึง  อยู่ปีสี่แล้ว เหลือเทอมหน้าอีกเทอมกูก็จบแล้วมีไรอ่ะ”

“ปีสี่ มึงว่างขนาดออกมาทำอะไรแบบนี้ด้วย?”

“จริงๆก็ไม่ กูโกงความตายไง โยนโปรเจคให้เพื่อนทำไปก่อน”

“กูขอให้มึงเอฟ”

“โห แดกข้าวครับคุณพี่ภพ มึงจะแช่งกูทำไม  ให้กูจบแล้วเลี้ยงดูพ่อแม่กูบ้างดิ”

“…….”

“อ้าว เงียบ เงียบทำไม เถีย…”  ตายโหงครับบบบบบบบบบบ  ผมรีบหุบปากเน่าๆของตัวเองทันที ผมลืมนึกไปว่าไอ้ภพมันเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่มันอยู่มัธยม เด็กขนาดนั้นคงมีปมเรื่องพ่อแม่อยู่แน่ๆ

“ภพ….กูขอโทษ มึงเป็นไรมั้ยวะ” ผมถามมันที่ทำหน้าสลดลงไปทันทีหลังจากที่ผมพูดอะไรไม่คิดไปกระทบใจมัน

“ช่างมันเหอะ แดกข้าวต่อๆ กูก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว”  มันพูดเหมือนไม่ใส่ใจแล้วก็ก้มลงกินข้าวในจานของตัวเองต่อไป  ลักษณะมันนี่ฟ้องผมได้เยอะเลยนะครับ มันคงโดนคนถากถางเรื่องนี้มาเยอะจนทำเป็นไม่สนใจดีกว่า แต่กับผม ผมละเลยมันไม่ได้  มันรู้สึกผิดที่ต้องไปจี้ปมใครสักคน ผมจึงลุกขึ้นไปนั่งข้างๆมัน

“มึงมีอะไร”  มันหันมาถามผมอย่างคนที่พยายามจะแสดงออกว่าตัวเองนั้นปกติ

“หันมาก็ดีแล้ว หันมาอีกหน่อยดิ๊”

.
.
.

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่8 หวั่นไหว (17/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 17-01-2017 19:00:47
“มีไรวะ” มันวางช้อนส้อมลงก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับผมตรงๆ   ไม่รู้ว่าเพราะความรู้สึกผิดของผมที่มากเกินไปหรือเป็นความต้องการเบื้องลึกที่ร้องขอให้ผมทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ  การกระทำของผมจึงแสดงออกไปอย่างไม่ทันคิดต่อคนตรงหน้า

ผู้ชายมันไม่จำเป็นต้องแกร่งเสมอไปหรอก…

“ถ้าไม่ได้เก่งจริง ก็แสดงความอ่อนแอมาบ้างดิ”  ผมสวมกอดไอ้ภพเอาไว้เบาๆและเริ่มพูดปลอบใจมัน    ส่วนไอ้ภพนั่งตัวแข็งทื่อไปทันทีไม่รู้ว่าตกใจหรือว่าช็อกไปเลยที่จู่ๆก็โดนผู้ชายด้วยกันจู่โจม

“อยู่กับกูจะทำฟอร์มทำไมนักหนา มึงจะร้องไห้จนน้ำตามึงหมดกูก็ไม่ได้ว่า ทีกูยังร้องจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว คนดูทั้งประเทศ ถ้ามึงไม่อยากร้องให้กล้องเห็นก็ขึ้นไปบนห้องกูจะปลอบมึงเอง” พูดไปผมก็ลูบหลังมันไป ทำเหมือนมันเป็นเด็ก

“มึงไม่เคยใช่มั้ย ที่จะมีใครพูดทำร้ายจิตใจแล้วมานั่งปลอบมึงแบบนี้  ดีใจไว้ด้วย กูเป็นคนแรกที่ปลอบมึงเลยนะ”

“อย่าเก็บความรู้สึกแย่ๆไว้กับตัวเองอีก  รู้มั้ยการระบายออกกับคนแปลกหน้ามันดีกว่าพูดกับคนรู้จักซะอีก  คนแปลกหน้าอีกไม่นานมึงก็ลืมมัน  มึงจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยพูดอะไรให้ใครฟังบ้าง  ส่วนคนรู้จักมึงจะจำมันและระแวงตลอดว่าเรื่องของมึงมันจะสนใจมากแค่ไหน”  พูดไปก็รู้สึกตันในอกแปลกๆ  การพูดแบบนั้นไม่ต่างอะไรไปกับผมคือคนแปลกหน้าของมันที่อีกไม่นานมันก็จะลืมผมไปเอง  ผมใช้ชีวิตกับมันจนชินและลืมนึกไปว่าจบเกมส์นี้เมื่อไร เราสองคนต้องออกไปทำหน้าที่ตัวเอง สิ่งที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ มันคือสิ่งจอมปลอมที่โลกของความจริง ไม่มีวันทำให้ได้

ใจของผมเริ่มเต้นช้าลงเพราะความหน่วงที่เกิดขึ้นในใจซึ่งต่างจากตอนที่กอดมันแรกๆ ใจผมเต้นดังและรัวแรงมาก ความอบอุ่นของมัน เป็นสิ่งที่เหมือนมีเวทย์มนตร์  มันช่วยคลายทุกความกลัวและความกังวลใจให้กับผม  สมองสั่งให้ปฏิเสธ แต่หัวใจของผมมันบอกสวนทาง จังหวะการเต้นของมันบอกกับผมได้เป็นอย่างดี

หัวใจของผมกำลังเปลี่ยนไป

แม้ตอนนี้ผมจะยังไม่มั่นใจว่ามันเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด มากน้อยแค่ไหน   ผมรู้แค่ว่าไอ้ภพกำลังทำให้เข็มทิศหัวใจผมสั่นคลอน    ทิศทางที่มันควรจะเป็นไป บัดนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น   ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของผมความเชื่อมั่นในความเป็นชายถูกทำให้คงคงที่มาตลอด ไม่อยากจะเชื่อว่ามันกำลังจะค่อยๆถูกพังลงเพราะผู้ชายตรงหน้า

“มึงจะปล่อยกูได้รึยัง  กูจะแดกข้าว”

“ฮะ เออๆแดกข้าวดิ ทำไมไม่รีบบอกกูวะ ปล่อยให้กูปลอบอยู่ได้ตั้งนาน”  ผมรีบดึงตัวเองออกห่างไอ้ภพ ทันทีเมื่อมันส่งเสียงออกมา 

“แล้วนี่มึงเจ็บแผลอีกแล้วหรอ”

“ฮะ อะไรเจ็บแผล?”

“ก็หน้ามึงแดงขนาดนี้ รึไข้มึงขึ้น กูบอกแล้วไงให้แดกยาพาราไปสักเม็ดก่อน”

“ไม่ต้องๆ อากาศมันคงร้อน”

“ร้อนไรวะ เจ็บแผลก็บอก  กูจะดูให้”   พูดจบไอ้ภพ ก็เลื่อนมือมาเปิดแผลผม  หน้ามันกับหน้าผมตอนนี้ห่างกันไม่ถึงฝ่ามือ ยิ่งทำให้ความร้อนในตัวผมพุ่งสูงขึ้น หน้าที่ไอ้ภพบอกว่าแดงตอนนี้มันต้องแดงยิ่งกว่าเดิม

ตุ้บ ตุ้บ   ตุ้บ ตุ้บ

หัวใจผมเต้นรัวแรงด้วยความตื่นเต้น ไม่รู้ว่ามันจะได้ยินมากน้อยแค่ไหน  ความเงียบที่มีในบ้านหลังนี้อาจทำให้มันได้ยินเสียงทั้งหมด ผมได้แต่ภาวนา อย่างน้อยก็อย่าเพิ่งให้มันสงสัยอะไรในตัวผม   ยิ่งไปกว่านั้น ตอนมันเอามือมาค่อยๆสัมผัสผิวหนังของผม  ยิ่งทำให้จังหวะหัวใจเต้นถี่มากขึ้น 

ใบหน้าของมันยามจดจ่ออยู่กับบางอย่างซึ่งในตอนนี้คือการดูแผลให้ผม  ทำให้มันดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปเป็นกอง  จมูก ปาก ตา ทุกสิ่งทุกอย่างบนหน้าที่รวมเป็นไอ้ภพ มันดูเข้ากันอย่างไม่มีที่ติ  จนผมนึกอิจฉา และเผลอหลงใหลไปกับมัน

“มองขนาดนั้น   คิดว่ากูเขินไม่เป็นรึไง”

“อะ….อะไร ใครมอง”

“หมามั้ง  กูก็อยู่กับมึงแค่สองคน”

“ก็…ก็จะให้มองอะไรหละ ตรงหน้ากูก็มีแค่มึง”  มันช้อนตาขึ้นมองผมอย่างจับผิด

“อืม อยากมองก็มองไปเหอะ แต่ถ้ากูมองมึงกลับบ้าง…”  ไอ้ภพหยุดยุ่งกับแผลผม และเปลี่ยนมาสบตากับผมแทน  ความรู้สึกยามต้องมองตากัน  มันคล้ายกับมีสายฟ้าแล่นผ่านไปเป็นระยะ สะกดให้ผมขยับไปไหนไม่ได้ 

“ท…ทำไม”

ไอ้ภพไม่ตอบ แต่กลับค่อยๆเลื่อนหน้าของมันเข้ามาแทน ระยะห่างที่เคยมีอยู่เล็กน้อย บัดนี้ถูกทำให้สั้นลงยิ่งขึ้น   

สั้น……จนลมหายใจของมันรดต้นคอผม

“ก็แค่…อยู่นิ่งๆละกัน”

ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม

หัวใจของผมราวกับโดนจุดชนวนระเบิด  น้ำเสียงของไอ้ภพยามเคลื่อนมากระซิบที่ข้างหู ทำเอาจิตใจของผมกระเด็นออกไปคนละทิศทาง หน้าผมร้อนไปหมด สติที่มีอยู่ก็เหมือนจะถูกทำให้หายไปด้วย  วูบหนึ่งของความรู้สึก ร้องเตือนผมถึงสัญญาณอันตราย   ผมต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงได้มามีปฏิกิริยากับผู้ชาย

“กูว่ามึงเจ็บแผลหนักแล้วหวะ  หน้ามึงมันแดงยิ่งกว่าเดิมอีก ไอ้มิว” มันค่อยๆถอยหน้าตัวเองออกมาและยื่นมือมาจับที่แผลผมอีกครั้ง  ปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ที่มันสร้างขึ้น

“เฮ้ยพอๆ  กูแค่ร้อน  เดี๋ยวจะทำแผลเมื่อไรจะบอก แดกๆข้าวไป ไม่เสร็จสักทีกะอีแค่กินข้าวเนี่ย”

“555555”  พระเจ้า  ช่วยไอ้มิวด้วยยยยยยย  ผีเผลอตนไหนก็ได้มาช่วยกูยืนยันภาพนี้ที   ไอ้ภพมันขำครับ ขำแบบไม่ได้กั๊กอะไรไว้เลย มันเป็นภาพที่ผมไม่เคยเห็นและไม่คิดว่าจะได้เห็น

“มึงตลกไรวะ  ไหนบอกจะแดกข้าว”

“ขำมึงนั่นแหละ  จะเก๊กทำไมวะ เจ็บแผลก็บอกดิ อากาศต้นเดือนธันวามันร้อนมากรึไง”

“เออร้อน!! มึงดูแดดประเทศไทยด้วย  พอเลยหยุดขำ แดกข้าวไปซะ” โมโหกลบเกลื่อนมันไปครับ ทั้งที่จริงยังคงเขินและตกใจกับภาพที่ไอ้ภพมันยิ้มออกมาได้กว้างๆ  มันยิ้มสวยมากครับ เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าไอ้ภพมันคือผู้ชายหล่อคนหนึ่ง ยิ่งได้เห็นมันยิ้มแบบนี้ มันยิ่งทวีคูณความน่าเข้าหาของตัวเองเพิ่มไปอีก 

“มึงว่าลุงคำกับลุงมั่นเค้าจะรู้มั้ยวะ ว่ามึงแอบไปข้างนอก” เมื่อกลับมาเป็นปกติ  คำถามตึงเครียดก็ถูกกล่าวขึ้นจากผมอีกครั้ง

“สงสัยอะไรอีก?”

“เปล่า แต่แค่คิดขึ้นมาได้เฉยๆว่า ที่กูกับมึงแปลกใจเรื่องต้นไม้อ่ะ  มันพอดีกับช่วงเวลาไปรึเปล่าวะ”

“ยังไง”

“เมื่อวานเพิ่งจะพูดกันไงว่าลุงมั่นเอาต้นไม้มาลงแล้วมันน่าสงสัย ตอนนั้นกูคิดเลยนะว่ามันต้องเกี่ยวกับที่มึงออกไปข้างนอกแน่ๆ แล้ววันนี้ทีมงานดันมาบอกอีกว่าเค้ารู้เรื่องมึง กูเห็นลุงมั่นกับลุงคำเค้าไม่ว่าอะไรพวกเรากูเลยอยากรู้”

“เค้าคงรู้นั่นแหละ แต่อำนาจไม่ได้อยู่ในมือเค้าไง เค้าจะพูดทำไม อีกอย่างที่กูสงสัยมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องลงต้นไม้”

“แล้วเกี่ยวกับอะไร?”

“ศพ  กูนั่งมองเค้าลงต้นไม้ตลอดเพราะกลัวว่าทางทีมงานจะเอากระดูกคนตายมาฝังลงไปด้วย แต่มันก็ไม่มี กูเลยเบนความคิดไปว่า หรือที่จริงโครงกระดูกทั้งหลายอาจถูกฝังอยู่ใต้ต้นไม้สักต้นข้างนอกนั่น”

“ขอบเขตมึงกว้างไปมั้ยวะ ข้างนอกนั่นมันป่าเลยนะ”

“กูถึงอยากรีบออกไปดูไง กูกะจะลองขุดมันจริงๆอย่างน้อยกว่าจะจบเกมส์กูต้องเจอบ้าง”

“มึงไม่ได้เผื่อใจเลยหรอภพ ว่ามันจะไม่มี”  ผมชี้ความจริงให้ไอ้ภพฟัง มันทำตาแข็งใส่ผมทันทีเพราะเหมือนกับว่าผมไปทำความหวังทั้งหลายของมันพัง แต่ผมต้องพูดให้มันเผื่อใจไว้ด้วย มันไม่แน่นอน

“เฮ้อ ก่อนจะโกรธกูขอกูพูดอะไรหน่อย  กูไม่ได้อยากตัดกำลังใจมึง เห็นมั้ยว่ากูก็พยายามช่วย แต่กูเป็นห่วงถ้ามันไม่มีศพหรือกระดูกอะไรเลย ถ้าเกมส์นี้มันเป็นเพียงแค่เกมส์ มึงจะเป็นยังไงต่อไอ้ภพ รู้ว่าเป็นห่วงน้องมึง แต่ยังไงก็ต้องห่วงตัวเองด้วย  ถ้ามันทำให้มึงกำลังแย่ กูขอโทษ”

“อย่าพูดอีก กูขอ ถ้ามันจะพลาดขอให้มันพลาดเพราะกูทำเต็มที่แล้วจริงๆ”

“อืม ยังไงกูก็ไม่ปล่อยให้มึงทำคนเดียวหรอก ลงเรือลำเดียวกันแล้วถ้าจะจมก็ให้มันจมทั้งคู่”

“เลี่ยน   มึงรู้ยังว่าวันนี้เกมส์มันให้ทำอะไร” อึ้งเลยครับ ผมนั่งทำตาปริบๆมองมันที่เปลี่ยนอารมณ์เร็วยิ่งกว่ากดรีโมทเปลี่ยนช่อง  ไอ้นี่มันเป็นพวกชอบทำลายบรรยากาศคนอื่นหรือว่าอะไร ทำไมมันชอบขัดตอนที่ผมกำลังสรรหาคำพูดสวยๆมาช่วยเยียวยามัน 

“โว๊ะ   กูอยู่กับมึงทั้งวันเนี่ยจะอ่านตอนไหน”

“ตอนนี้มึงว่างก็ไปหยิบมาอ่านดิวะ”

“แล้วทำไมมึงไม่ไปอ่านเอง”

“ขี้เกียจ”

“อะไรนะ!!!!  ไอ้ควายภพ เหตุผลมึงทำไมมันสันดานแบบนี้ โตแล้วหัดเป็นผู้นำดิวะ”

“รู้ว่ากูโตแล้วยังกล้าด่ากูว่าควาย มึงไปหัดอ่านหนังสือให้สามัญสำนึกมันมีในหัวก่อนดิ๊ จะได้รู้จักรุ่นพี่รุ่นน้อง”

จึก!!!!!!!

คำพูดดั่งหอกแหลมคมพุ่งตรงเข้าสู่หัวผมทันที  ปากมันนี่ร้ายมาก บทจะไม่พูดก็ไม่พูดเลย   บทจะดีมันก็ดีมาก พอบทจะเหี้ยมันก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน  มีมันคนเดียวแต่ผมต้องรองรับอารมณ์สามแบบในหนึ่งวัน  หลังจบเกมส์ผมคงต้องพามันไปหาจิตแพทย์ก่อน เพราะผมสงสัยว่ามันอาจจะป่วยเป็น ไตรโพล่า ไปแล้ว

“หยุดทำหน้ากวนตีนนินทากูในใจได้ละ  ไปหยิบหนังสือมาสักที”

“เออ!! มึงแม่งก็รีบชิบหาย”

ผมลุกขึ้นมายืนอยู่หน้าตู้หนังสือ เพื่อหยิบหนังสือเล่มที่4ที่มีเนื้อหาของพิธีกรรมที่ผมต้องทำวันนี้ เมื่อต้องมองหนังสือทั้ง28 เล่มตรงหน้าอีกครั้ง ความรู้สึกที่ผมมีมันก็ค่อยๆเปลี่ยนไป จากวันแรกตู้หนังสือพวกนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อนแก้เหงาให้ผม แต่มาวันนี้มันไม่ต่างอะไรกับคำสั่งประหาร   ในทุกๆวัน ที่ผมต้องมาหยิบหนังสือ สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดคือการที่จะต้องเปิดมัน เพราะ เนื้อหาพิธีกรรมนั่นมันกำลังชี้เป็นชี้ตายผม

เลขสี่ ตามความเชื่อของคนจีนมันหมายถึงเลขแห่งความตาย ผมหยิบหนังสือนั่นลงมาอ่านด้วยความกังวลที่พูดไปก็ไม่มีทางที่คนอื่นจะเข้าใจแม้กระทั่งไอ้ภพ  พิธีกรรมด้านในหนังสือบอกว่าสิ่งที่ผมต้องทำวันนี้เป็นเพียงแค่การสลับกันเล่าเรื่องผีของผมกับไอ้ภพให้ครบ หนึ่งร้อยเรื่อง โดยที่คำอธิบายของมันบอกเพียงว่า ตามความเชื่อเมื่อเล่าเรื่องผีไปเรื่อยๆสุดท้ายเราจะพบว่าจะมีคนมาเล่าเพิ่มทำให้จำนวนเรื่องผีที่ควรจะเป็นเปลี่ยนไป

“ระวัง  คนตายจะมาเล่าเรื่องราวของตัวเอง” ผมอ่านคำเตือนเล็กๆข้างล่าง  ยอมรับว่าหนังสือพวกนี้ถ้าถูกวางขายโดยทั่วไปจะต้องได้ขึ้นแท่นว่าเป็น หนังสือขายดีแน่นอน  ข้างนอกนั่นมีผู้คนมากมายที่อยากจะลองสัมผัสกับสิ่งพวกนี้เพียงแต่เกมส์นี้ไม่ได้เลือกให้คนพวกนั้นมาเล่น

“ไง วันนี้มันให้เล่นอะไร” ไอ้ภพลุกมาจากที่นั่งเพื่อเดินมาหาผมที่ยังคงอ่านหนังสือผีไปอย่างเงียบๆ  ไม่ใช่ว่ามันน่ากลัวจนผมละไปไม่ได้ แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่ตกอยู่ในกลไกของนักเขียน ที่ใช้ภาษากระตุ้นจิตวิทยาในแต่ละบุคคลให้ทำงาน ข้อที่ว่า มนุษย์เรายิ่งกลัว มักยิ่งอยากรู้ อยากตามไปเรื่อยๆ

“มันให้กูกับมึงสลับกันเล่าเรื่องผีให้ครบร้อยเรื่อง”

“เยอะจังวะ ร้อยเรื่อง”

“ตามจริง เกมส์นี้มันไม่ได้ให้เล่ากันแค่สองคน มันต้องเล่ากันเป็นหมู่คณะ”

“มึงเคยเล่น?”

“ก็เคย  กูไปค่ายอาสากับเพื่อนแล้วกลางคืนมันว่างเลยลอง”

“เจออะไรมั้ย?”

“ไม่ กลุ่มกูไม่มีใครเจออะไรเลย ทุกคนก็เล่ากันปกติ”

“อืม แต่คืนนี้มันจะไม่เหมือนเดิมแล้วนะ รู้ใช่มั้ย”

“รู้ ไม่ใช่แค่กูหรอกที่ไม่เหมือนเดิม พิธีกรรมนี่ก็ด้วย” อย่างที่บอกไว้ว่าพิธีกรรมวันนี้ผมจะต้องเจอกับวิญญาณกลุ่มนั้นอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะความบังเอิญ แต่ผมจะต้องเชิญพวกนั้นให้มานั่งเล่าเรื่องราวของตนเอง ยิ่งเกมส์วันนี้มันเหมือนสนับสนุนผมมากเท่าไร สิ่งที่จะได้จากวิญญาณกลับไป ต้องไม่ใช่แค่ความกลัว

“จะเปลี่ยนยังไง”

“กระดานผีถ้วยแก้วนั่น  เราต้องหยิบมันมาอีกครั้ง” ผมตอบไอ้ภพด้วยความกังวลที่ปิดไม่มิด ผีถ้วยแก้วมันคือพิธีกรรมแรกที่ผมโดนวิญญาณเข้าถึงตัว ความจริงข้อนี้ ผมกับไอ้ภพต่างรู้กันว่าจะไม่มีทางกลับไปข้องเกี่ยวด้วยอีก  แต่เกมส์นี้มันไม่ใช่แค่ทำไปผ่านๆแล้ว ผมต้องทำเพื่อความปลอดภัยไอ้ภพ และตัวเอง

เกมส์นี้มันเหมือนมีทางแยกโดยมีป้ายบอกทางเป็นความเชื่อ ถ้าเชื่อว่าเกมส์นี้ไม่มีอะไรเจอหนักสุดก็แค่เห็นผีจะถอยกลับมาเมื่อไรก็ได้ ทางที่จะไปมันคงมีแต่ดอกกุหลาบโรยไว้ แต่ในเมื่อผมกับไอ้ภพเลือกที่จะไม่เชื่อ ทางที่ผมไปมันจึงอุดมไปด้วยความอันตรายจะถอยกลับก็ไม่ได้ เสี่ยงไปทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะเจอทางตันหรือเปล่า ถ้าเจอทางตันผมกับไอ้ภพคงเจ็บตัวฟรี แต่ถ้าไม่ผมกับไอ้ภพจะเป็นสองคนแรกของเกมส์ที่รอดชีวิตกลับไปเป็นปกติ

ด้วยความที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีผู้เข้าร่วมเล่นเกมส์คนใดสามารถเอ่ยปากบอกเล่าเรื่องระหว่างเกมส์ได้ ความน่าสงสัยตรงนี้ได้ชักจูงผมไปว่า ถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่าง จบเกมส์นี้ชีวิตผมต้องเปลี่ยนไปแน่ๆ  ความลับที่เกมส์ถือไว้มันไม่ได้มีแค่ข้อมูลเกมส์ แต่มันยังเพิ่มเรื่องราวของชีวิตผู้เข้าแข่งขันไปด้วยว่าคนเหล่านั้นกำลังเจอกับการคุกคามอะไร ทำไมถึงหายไปเหมือนคนไม่มีตัวตน



******************************************TBC***************************************
เอาตอนที่ 8 มาส่งแล้วครับผมมมมมมมม  555555  รอกันนานมั้ยครับ จะบอกว่าตอนนี้แต่งยากมากไม่ถนัดแต่งเรื่องหวานๆเลย ส่วนใครรอตอนหลอนๆถ้าผิดหวังขอโทษด้วยคร้าบบบบบบบ :hao5: สมทบไปตอนหน้าทีเดียว

ฝากติดตามด้วยนะครับผม  ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ครับ :pig4:

เจอกันตอนหน้า  P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่8 หวั่นไหว (17/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 18-01-2017 07:17:30
เกมส์คืนนี้คงได้ช่วยให้เบาะแสอะไรมากกว่าหลอนเนอะแอบอยากรู้อ่ะเรื่องนี้มีผีกี่ตัวคะ? 55555 ดูเยอะอ่ะผีผู้หญิงผีผู้ชาย มีกี่ศพน้อ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่8 หวั่นไหว (17/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 18-01-2017 12:21:03
พี่ภพนี่ร้ายยยยยย55555555

มิวต้องเข้มแข็งนะลูกกกก สงน้องมากกก :mew6:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่8 หวั่นไหว (17/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 19-01-2017 17:44:30
Naruxiah :  เกมส์คืนนี้คงได้อะไรมากกว่าหลอน อยากรู้ว่ามีผีกี่ตัว?

ตอบ. รอลุ้นไปเรื่อยๆนะครับ 555 ส่วนเรื่องมีผีกี่ตัวผมตอบไม่ได้เลยครับ. มิวกลายเป็นคนเห็นผีไปแล้ว นับไม่ได้ครับ :katai5:

Zongpei :   คนนี้คุ้นๆนะครับ 55555. เอาใจช่วยมิวต่อไปเน้ออ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่8 หวั่นไหว (17/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: minibusez ที่ 19-01-2017 20:55:58
ทั้งที่อ่านไปก็กลัวไป แต่ก็ยังอ่านต่อ ให้ตายสิ
แอบคิดไปว่ารายการอาจเป็นคนฆ่าแล้วเอาผีมาปล่อยที่นี่ ส่วนผีก็อาจจะเป็นผู้เล่นรายก่อนๆ บรึ๋ยยย~
ขอให้ตอนจบตัวเอกมีชีวิตอยู่ทั้งสองคนด้วยเถอะ

ส่งกำลังใจให้คนอ่านทุกคนนะคะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่9 นิทานคนตาย (20/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 20-01-2017 20:31:45
ตอนที่9

นิทานคนตาย

“ไง พวกเอ็งลุงได้ข่าวว่าสร้างเรื่องอีกแล้วหรอ” ลุงคำเดินเข้ามาพูดคุยกับผมและไอ้ภพ หลังจากที่แกเข้ามาจัดของเข้าตู้เย็นและนำอุปกรณ์ที่ต้องใช้เล่นเกมส์มาให้เพิ่ม

“โหลุง ข่าวไวดีเหมือนกันนะครับ”

“จะไม่ไวยังไง เอ็งทำลายข้าวของ คนเห็นทั้งประเทศนะ”

“ของของลุงหรอครับ ผมขอโทษนะครับ” ไอ้ภพเอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างคนรู้สึกผิด  ไม่ว่าจะผมหรือไอ้ภพ สำหรับเกมส์นี้ลุงคำกับลุงมั่นเป็นสองคนที่เราค่อนข้างเคารพเพราะลุงทั้งสองได้เข้ามาบ้านหลังนี้เพื่อช่วยเหลือเราในขณะที่คนอื่นมักจะเข้ามาทำลาย  โดยเฉพาะลุงคำที่ยอมฝ่าฝืนกฎของเกมส์เพื่อเตือนเราเรื่องความปลอดภัย

“เฮ้ย ไม่ใช่ของลุงหรอก ของผู้จัดการเกมส์หนะ” น้ำเสียงติดตลกของลุงคำพูดขึ้นปรามอารมณ์เคร่งเครียดที่ไอ้ภพก่อขึ้นจนทำให้บรรยากาศการสนทนาเต็มไปด้วยความจริงจัง

“งั้นหรอครับ แล้วลุงพอจะรู้จักผู้จัดการเกมส์มั้ยครับว่าเค้าคือใคร?” ไอ้ภพถามขึ้น

“ลุงไม่รู้หรอก ลุงรับคำสั่งมาจากทางทีมงานอีกที”

“ลึกลับมากเลยนะครับ เกมส์นี้”

“คงใช่  ลุงก็พูดมากไม่ได้หรอก เดี๋ยวลุงจะโดนเด้ง”

“ไม่เป็นไรครับลุง” ไอ้ภพพยักหน้าตอบรับลุงคำอย่างเข้าใจ ก่อนจะนิ่งเงียบไปตามสไตล์โลกส่วนตัวสูงของมัน 

“วันนี้ลุงเอาอะไรมาให้เพิ่มบ้างครับ”

“อ้อ  ก็พวกของสดของกินเล่นพวกเอ็งนั่นแหละ  แล้วก็มีเครื่องเล่นเทปด้วย ทางทีมงานบอกลุงให้บอกพวกเอ็งว่าระหว่างที่เล่นเกมส์ในคืนนี้ให้กดเทปนั่นไปด้วย  พวกแผ่นเสียงลุงจัดการให้หมดแล้วพวกเอ็งแค่กดเล่นก็พอ”

“ลุงครับระหว่างที่ผมเล่นเกมส์นี้ผมสามารถทำพิธีอื่นแทรกได้มั้ยครับ”

“จะทำอะไร?” คิ้วของลุงคำขมวดลงทันที พร้อมกับเนื้อเสียงที่เปลี่ยนไปทางจริงจังจนคนฟังสัมผัสได้

“เอ่อ..ผมจะเชิญวิญญาณเข้ามาหนะครับ เห็นว่าคู่พวกผมเป็นกระแสเลยจะสร้างความหลอนเพิ่มครับ”

“อยากทำอะไรก็ทำเถอะ เกมส์ไม่ว่า แต่ลุงอยากเตือน อย่าท้าทายของพวกนี้มากนะ มันจะอันตราย”

“เรื่องนั้น…ผมรู้ดีแล้วครับ” ผมตอบลุงคำไปด้วยน้ำเสียงและใจที่แผ่วลงกว่าเดิม คำว่าอันตรายมันมีอยู่ในหัวผมตั้งแต่ผมคิดจะทำ ความน่ากลัวที่ผมต้องเผชิญมาตลอดสามเกมส์มันไม่ได้หล่อหลอมให้ผมแกร่งขึ้น ตรงกันข้ามมันกลับทำให้ผมอ่อนลง

“คุณลุงพาผมไปดูเครื่องเล่นนั่นได้มั้ยครับว่าลุงเก็บไว้ตรงไหน”

“ลุงก็เก็บไว้ตรงตู้เก็บของนั่นแหละ  พวกเอ็งใช้กันเป็นมั้ยจะให้ลุงช่วยสอนรึเปล่า”

“งั้นรบกวนด้วยครับ ผมเป็นพวกอ่อนด้านเทคโนโลยีพวกนี้”  ผมตอบรับลุงคำก่อนเดินตามลุงคำไปที่เก็บของพวกนั้น  ไอ้ภพมันคงงงและทำท่าเตรียมจะแย้งขึ้นมาเสียก่อน ถ้ามันไม่เห็นสัญญาณมือของผมที่สั่งให้มันอยู่นิ่งๆ

“พอเอ็งหยิบมาเอ็งก็แค่เสียบปลั๊ก แล้วก็กดปุ่มตรงนี้ให้มันเล่นไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันวนเอง พอเอ็งเล่นเกมส์เสร็จก็มากดปุ่มนี้ให้มันหยุดซะ แค่นี้แหละมันไม่ยาก”

“โห  ไม่ยากจริงๆด้วย ลุงดูชำนาญมากเลยนะครับ”

“ลุงเปิดฟังบ่อย อยู่บ้านเบื่อๆลุงก็ต้องหาอะไรทำ”

“แล้ว บ้านลุงอยู่แถวนี้หรอครับ?”

“ไม่เชิงหรอก บ้านลุงต้องขับรถออกจากตรงนี้ไปอีก แต่ก็ไม่ได้ไกลมาก ทำไมหรอ?”

“อ๋อ เปล่าครับ คือผมก็มาอยู่ตรงนี้ได้ห้าวันแล้ว ผมยังไม่รู้เลยครับว่าตรงนี้มันอยู่แถวไหน เพราะในกรุงเทพไม่น่ามีสภาพแวดล้อมแบบนี้”

“5555 จะไปมีได้ไงที่นี่ไม่ใช่กรุงเทพ  นี่มันเขตนครสวรรค์แล้วนะ”

“อ้อ ผมว่าแล้วว่าต้องต่างจังหวัด  แล้วนี่ลุงอยู่แถวนี้ พอจะรู้จักครอบครัวที่ถูกฆ่าตายรึป่าวครับ”

“ไม่รู้จักหรอก ปกติลุงก็อยู่แต่บ้านเพิ่งจะรู้ว่ามีบ้านแบบนี้อยู่ก็ตอนถูกจ้างให้มาดูพวกเอ็งนี่แหละ”

“หรอครับ ครอบครัวนี้อาภัพดีนะครับ ตายก็ทรมานยังตายแบบไม่มีคนรู้อีก”

“มันก็เกิด แก่ เจ็บตายนั่นแหละ อีกอย่างมาสร้างบ้านในที่แบบนี้ด้วย….เดี๋ยววันนี้ลุงต้องกลับแล้วนะ เอ็งนี่ก็ช่างสังเกตเหลือเกิน  ที่เรียกลุงมาคุยตรงนี้คงไม่ได้อยากรู้เรื่องเครื่องเล่นพวกนี้ใช่มั้ย”

“ลุงก็ว่าไปครับ ผมก็แค่สงสัยเพราะตอนนั่งมาผมว่ามันไกล อีกอย่างเครื่องเล่นพวกนี้ผมไม่เคยใช้ครับเลยต้องถามลุงก่อน”

“อืม ลุงไปแล้วนะ” ลุงคำพยักหน้าให้ผมเบาๆหนึ่งที ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปยังประตูหน้าบ้าน

ผมส่งลุงคำกลับไปสักพักจึงได้เดินหน้าเครียดมาหาไอ้ภพ  ที่ถามไปก็รู้เพิ่มแค่ตรงนี้อยู่ในเขตต่างจังหวัด ลุงคำซึ่งมีบ้านอยู่แถวนี้ก็ดันไม่รู้ข้อมูลของบ้านหลังนี้เลย จะให้ไปถามลุงมั่นผมก็ไม่กล้าถามเนื่องด้วยลุงมั่นไม่ได้เข้ามาทุกวันจึงไม่ได้สนิทมากขนาดนั้น

“ได้อะไรมาเพิ่มบ้างหละ” ไอ้ภพถามขึ้นมาเพราะคงสังเกตเห็นพฤติกรรมของผมยามเมื่อคุยกับลุงคำ อีกทั้งสีหน้าผมตอนนี้ก็คงไม่ได้สู้ดีนักจนมันอดจะนึกถามไม่ได้

“กูรู้แค่ตรงนี้อยู่เขตนครสวรรค์ กับ ลุงคำไม่เคยรู้จักคนในครอบครัวนี้เลย”

“เรื่องตำแหน่งจริงๆมึงน่าจะถามกูก่อน กูเห็นป้ายจังหวัดตั้งแต่วันแรก ส่วนเรื่องคนในครอบครัวนี้กูคิดว่าถึงลุงคำจะรู้เค้าก็ไม่บอกหรอก เราคงต้องหาเอาเอง”

“แล้วจะทำยังไง ตอนนี้ที่พอเหลือจะช่วยได้มีแค่ลุงมั่นแล้วนะ บ้านแกอยู่แถวนี้คงพอรู้อยู่”

“เชื่อกูสิ ลุงมั่นก็จะไม่บอก”

“แล้วมึงจะทำยังไงไอ้ภพ ข้อมูลบ้านหลังนี้ไม่ใช่หาได้ง่ายๆนะ”

“ก็ทำวิธีเดิม ในเมื่อกุญแจดอกเดียวที่จะไขได้ทุกอย่างคือผู้จัดการเกมส์ กูก็ต้องเสี่ยงเดินไปหาบ้านลุงมั่น”

“มึงคิดดีแล้วใช่มั้ย?”

“มันมีทางอื่นให้กูคิดรึไง”

“อืม…งั้นก็ตามนั้น”

เมื่อบทสนทนาจบลงผมกับมันก็แยกย้ายกันไปทำกิจวัตรประจำวันของตนเอง  พฤติกรรมเดิมๆถูกถ่ายทอดออกอากาศอย่างไม่กลัวคนดูจะเบื่อ  เกมส์นี้ฉลาดมากที่เลือกวิธีลดการแก้เบื่อของคนดูโดยการปรับแต่งวิธีเล่นของพวกผมให้อยู่นอกกติกาจนชีวิตพวกผมมีค่าไม่ต่างไปจากหมากในกระดาน   เครื่องเล่นเสียงนั่นไม่ได้ถูกระบุไว้ในหนังสือ พวกผมไม่รู้ว่าแผ่นเสียงนั่นบันทึกเสียงของอะไรไว้ แต่มั่นใจได้ว่าเสียงที่ได้ยินคงไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นหรือทำให้ผู้เล่นมีความสุขใดๆ

ในหนังสือเล่มนี้กำหนดเวลาให้พวกผมเริ่มเล่าเรื่องผีเรื่องแรกตอนเที่ยงคืนตรง ซึ่งถ้าคำนวณเวลาคร่าวๆกว่าจะเล่าเรื่องครบคงต้องใช้เวลาอย่างต่ำสองชั่วโมง ยิ่งพิธีกรรมที่ต้องใส่เพิ่มเข้าไปอีก คงกินเวลาได้มากโข   ผมค่อนข้างเป็นกังวลกับตัวเองเนื่องจากการปรับตัวที่ยังต้องใช้เวลา ผมกลัวจะควบคุมตัวเองไม่ได้จนไม่สามารถรับรู้อะไรเพิ่มเติมมาช่วยไอ้ภพได้เลย ซ้ำร้าย นั่นอาจหมายถึงการทำร้ายตัวผมเอง

ไอ้ภพได้บอกกับผมไว้แล้วว่ามันไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือด้วยวิธีหักดิบแบบนั้น   ถ้าผมไม่ไหวมันจะหาทางอื่นเอง  แต่เพราะผมมองดูแล้ววิธีที่ง่ายที่สุดมันเป็นได้แค่วิธีนี้  ผมจึงยืนกรานที่จะทำต่อ  ไอ้ภพไม่ใช่พระเจ้ามันจึงไม่มีสิทธิ์อยู่เหนือกฎของเกมส์หรืออยู่เหนือความต้องการของผู้จัดการเกมส์ไปได้ หากวิธีที่มันจะเลือกใช้ ส่งผลให้มันต้องออกจากเกมส์  มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าคนที่ต้องเดินต่อไปคือผม

“ใกล้ถึงเวลาแล้วนะ ไอ้มิว”

“อืม งั้นก็เริ่มเลยเถอะ”  ผมสั่งให้ไอ้ภพเริ่มเกมส์ในทันทีหลังจากเข็มเวลาชี้เลข12  ไอ้ภพดึงกระดานผีถ้วยแก้วนั่นออกมาจากใต้ตู้  ความรู้สึกเก่าๆของผมก็เหมือนจะถูกดึงออกมาด้วย ภาพในวันนั้นยังคงติดตา ความกลัวต่างๆยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวผม  ใจผมสั่นจนควบคุมไม่ได้เมื่อเห็นของต้องห้าม สีหน้าในยามนี้มีแต่ความวิตก

“มิว ถ้ามึงไม่ไหวอย่าทำ กูยอมทำลายข้าวของก็เพื่อช่วยมึง เพราะงั้นอย่าทำลายตัวเองเพื่อช่วยกู”

“ช่างเถอะ….กูไหว เริ่มเลย” ผมตอบไอ้ภพไปด้วยเสียงที่ดูมั่นใจแต่ก็เจือด้วยการสั่นไหวเล็กน้อย

“งั้นกูจะไปจุดเทียนกับเปิดเทปมึงก็นั่งอยู่ตรงนี้ละกัน”

“อย่าจุดเทียน!!”

“ทำไม?”

“เชื่อกู จุดไปก็เท่านั้น มึงไปเปิดเทปก็พอแล้วเร่งเสียงให้ดังที่สุด” ไอ้ภพพยักหน้ารับ แล้วเดินไปเปิดเทปก่อนจะเดินไปปิดไฟ  เสียงที่ได้ยินไม่ต่างไปจากที่คิดสักเท่าไร เครื่องดนตรีของวงปี่พาทย์มอญถูกบรรเลงออกมาอย่างช้าๆ ให้อารมณ์โศกเศร้า ไม่ต่างกับบรรยากาศของงานศพ 

“ไหวใช่มั้ย?” ไอ้ภพถามผมอย่างเป็นห่วง เสียงของมันเบากว่าความเป็นจริงที่ควรจะได้ยิน  ผมจงใจให้มันเปิดเทปเสียงดังที่สุดเพื่อกลบบทสนทนาที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้  เรื่องของผมกับมันต้องเป็นความลับ  ผมยืนยันมันด้วยการพยักหน้าไปก่อนที่จะเริ่มเอานิ้วไปวางไว้บนแก้ว และเริ่มกล่าวคำเชิญวิญญาณบทเดิมๆ

“วิญญาณ สัมภเวสี ตนใดที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้  บริเวณนี้ หากได้ยินเสียงของข้าพเจ้า ได้โปรดมาเข้าแก้วนี้ด้วยเถิด”

“ถ้าแก้วใบนี้มีวิญญาณเข้ามาแล้ว โปรดเดินไปที่คำว่าใช่”

“ใช่” แก้วถูกเลื่อนไปที่คำว่าใช่อย่างที่เคยเป็นในเกมส์ก่อนหน้า  ผมมือสั่นไปหมดเพราะความไม่ชินกับสถานการณ์แม้จะมั่นใจแค่ไหน พอต้องอยู่กับเหตุการณ์จริงๆก็ไม่อาจเก็บความกลัวได้มิด

“พวกมึงตายยังไง” ผมเอ่ยคำถามคีย์เวิร์ดออกไป และก็เป็นไปอย่างที่คิดแก้วบนกระดานถูกเลื่อนไปมาอย่างไม่รู้ทิศทางเหมือนกับเกมส์ครั้งก่อน   ภาพเดิมๆในหัวยืนยันผมกับได้ว่า วิญญาณกลุ่มเดิมได้กลับมาแล้วอีกครั้ง

…ผมรอเวลาอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ผมต้องรีบท้าทาย ก่อนที่ตัวผมจะทนไม่ได้อีก….

“ภพ กูขออะไรได้มั้ย”  ผมเงยหน้าขึ้นมาจากแก้ว เอ่ยถามไอ้ภพไปด้วยเสียงที่ยังคงสั่นไหว  อีกทั้งน้ำตาก็เริ่มล้นขอบตาออกมาอย่างช้าๆ สายตาไอ้ภพมองอย่างเป็นห่วงก่อนจะพยักหน้าตอบรับ

“สัญญากับกู…ถ้าสิ่งที่กูจะทำต่อจากนี้มันทำให้กูหายไป ช่วยพากูกลับมาที ” ผมบอกออกไปทั้งน้ำตานองหน้า รอคำตอบที่ผมคาดหวังว่าจะได้รับ  บทสนทนาที่คนภายนอกรับรู้มันคงเป็นเพียงคำขอร้องสุดโรแมนติก ทั้งที่ความเป็นจริง มันก็แค่คำขอร้องสุดโง่เง่าเท่านั้น

“กูจะทำยังไงไอ้มิว น้องกู  กูยังพาเค้ากลับมาไม่ได้”

“กูเชื่อว่ามึงจะพากูกลับมาได้ กูขอเถอะ เป็นมึงได้มั้ยที่จะพากูกลับมา”ผมขอร้องมันไปซ้ำสองอย่างคาดหวัง อนาคตคนเราไม่ได้มีความแน่นอน  ผมจึงต้องบอกมันไว้ก่อน หากหลังจากเกมส์นี้ผมต้องถูกปลดและถูกพาตัวเข้าสู่โรงพยาบาลจิตเวท อย่างน้อยคำสัญญานี้มันต้องเป็นบ่วงรั้งไอ้ภพให้กลับมาหาผมอีกครั้ง

“อืม…มึงจะทำอะไร” ไอ้ภพเสียงสั่น ถามกลับมาหาผม มันอาจจะกำลังรู้สึกกลัว แต่คงไม่ใช่เพราะผี ไอ้ภพมันบอกกับผมไว้ว่ามันกลัวผมเป็นแบบน้องมัน  ผมยิ้มเล็กๆให้มันหลังได้คำตอบที่ถูกใจ ก่อนจะเอ่ยคำสั่งให้ไอ้ภพทำตามทันที

“ไอ้ภพ ปล่อยนิ้วออกจากแก้ว”

“เดี๋ยว  ไอ้มิวมึงจะทำอะไร”

“ท้าทายไง ทำตามที่กูบอกซะ!!”  ไอ้ภพรีบปล่อยมือออกจากแก้วทันที  ผมจึงมองแก้วนั้นอีกครั้ง ความอึดอัดรอบตัวเริ่มกลับมา ผมสูดลมหายใจเข้าปอดของตัวเองเพื่อเรียกความกล้าก่อนจะทำในสิ่งที่ตัวเองกลัวมากที่สุด

เพล้งงงงง

เสียงของแก้วยามตกกระทบกับพื้นกระเบื้องแข็ง  ค่อยๆกรีดใจของผมออกไปอย่างไม่มีชิ้นดี เศษแก้วกระจัดกระจายเต็มพื้น ไม่ต่างไปจากเศษใจของผมที่ถูกทำให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆจากการกระทำตนเอง  ผมต้องปล่อยมือจากแก้วนั่นแล้วจับมันเหวี่ยงลงพื้นให้แตก  ครั้งก่อนเป็นเพราะแก้วแตกผมจึงเห็นพวกมัน ครั้งนี้มันไม่มีอะไรรับประกันว่าแก้วใบนี้จะแตกซ้ำสอง  ผมจึงต้องท้าทายให้ถึงที่สุด คำพูดที่ผมเคยบอกไอ้ภพ ถูกรีรันเข้ามาในหัว  ถ้าแก้วแตกเมื่อไร วิญญาณที่เชิญมาจะอยู่ร่วมกับเราทันที

“มิว…มึงเห็นอะไรรึยัง” ไอ้ภพถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง  น้ำตาของผมยังคงไม่หยุดไหล ความหวาดระแวงในการกระทำของตัวเองสร้างภาพหลอนในหัวผมซ้ำๆ  ภาพมากมายถูกจินตนาการขึ้นมาอย่างคนกำลังหลอกตัวเอง  ทั้งที่ความจริงสิ่งที่เห็นก็ยังคงมีแค่ไอ้ภพ และความว่างเปล่าของบ้านหลังนี้

“ย..ยัง คงต้องเล่าเรื่องไปก่อน” ความไม่แน่ใจชักจูงให้ผมบอกไอ้ภพไปแบบนั้น  ผมค่อนข้างแปลกใจที่ทำไมคราวนี้ผมถึงไม่เห็นอะไรเลย ความกลัวที่มีถูกลดลงเหลือเพียงอาการสั่นของเสียงเพียงเล็กน้อย และการหลอกตัวเองเท่านั้น การกระทำเมื่อครู่สร้างความกดดันให้ผมมาก  แม้จะดีใจที่ผลออกมาเป็นแบบนี้ แต่จิตใจกลับสะท้อนความผิดหวังออกมาอย่างน่าฉงน

“มึงหรือกูที่จะเริ่มก่อน” ไอ้ภพทำท่าเบาใจขึ้นมา ก่อนจะรีบถามผมเพื่อเตรียมเคลียร์เกมส์นี้

“งั้นมึงเริ่มก่อน”

“อืม”

“เรื่องของกู เป็นเรื่องที่กูฟังมาจากคนอื่นอีกทีคนเล่า เล่าว่า มีผู้ชายคนหนึ่งขับรถไปหาแฟนที่อยู่ต่างอำเภอ  ตอนขากลับฝ่ายผู้หญิงบอกกับผู้ชายว่า ให้ขับไปทางถนนใหญ่ อย่าขับกลับทางเดิมซึ่งเป็นทางลัด  ผู้ชายนั้นก็เกิดความสงสัยจึงถามกลับไปว่าทำไม แต่ผู้หญิงแค่ยิ้มให้และบอกว่าทำตามที่บอกก็พอ  เมื่อผู้ชายขับรถออกมา ด้วยความที่ว่าเวลานั้นก็ดึกมาก และก็คิดว่า ตนนั้นเป็นผู้ชายติดไปทางนักเลง ที่สำคัญคนแถวนี้ก็รู้ประวัติตนดี จึงไม่กลัวว่าจะมีใครมาทำร้าย ผู้หญิงคงห่วงเรื่องโจรมากเกินไป ผู้ชายเลยตัดสินใจขับรถกลับทางเดิม”  ไม่รู้ว่าไอ้ภพมันเล่าน่ากลัวหรือว่าเสียงเพลงที่กล่อมอารมณ์ผมมากเกินไป  ผมเลยเริ่มขยับเข้าไปติดไอ้ภพมากขึ้น และตัดสินใจจับมือมันไว้ 

“กลัวรึไง”
.
.
.

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่9 นิทานคนตาย (20/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 20-01-2017 20:34:49
“อืม ขอจับไว้แบบนี้นะ” ไอ้ภพไม่ได้ว่าอะไรผม มันพยักหน้า ก่อนที่จะเริ่มเล่าเองของตัวเองต่อ

“เมื่อผู้ชายขับรถกลับเส้นทางเดิม สิ่งที่ผู้ชายสัมผัสได้ทันทีคือถนนเส้นนี้เงียบมากผิดกับตอนกลางวันที่เต็มไปด้วยรถมากมาย ดังนั้นผู้ชายจึงได้เร่งเครื่องอย่างไม่กลัวตาย  เมื่อผู้ชายคนนั้นขับรถไปได้เรื่อยๆ สายตาของเค้าก็ได้เห็นว่ามีผู้หญิงวัยนักเรียนเดินอยู่ข้างถนน ตอนนั้นผู้ชายสงสัยว่าทำไมเด็กนักเรียนถึงได้มาเดินอยู่ตรงนี้ จะจอดรับก็ไม่กล้า หากผู้หญิงคนนั้นเป็นนกต่อให้กลุ่มโจร ตนจะซวยเอา อีกทั้งหากเข้าไปถามตนอาจถูกมองว่าเป็นฆาตรกรฆ่าข่มขืนก็เป็นได้ จึงไม่ได้สนใจและขับไปต่อ  เมื่อขับไปได้สักพัก ผู้ชายคนนั้นก็เจอผู้หญิงคนเดิมเดินอยู่ข้างหน้าอีก ตอนนั้นผู้ชายใจคอไม่ดีแล้ว เพราะว่าถนนเส้นนี้มันยังไม่มีรถสักคันขับผ่านไปเลย จึงได้เร่งเครื่องเพิ่มอีกเพื่อหนีภาพตรงหน้า หากแต่ว่าเมื่อขับไปได้อีก ก็เจอผู้หญิงคนเดิมแต่มีสิ่งที่เปลี่ยนไป ผู้หญิงคนนั้นเดินออกจากข้างทางมายังกลางถนนเรื่อยๆ ทำให้เมื่อผู้ชายขับรถผ่านจึงได้เห็นหน้าด้านข้างของผู้หญิงคนนั้น  เธอเป็นหญิงสาวที่ปากยิ้มถึงรูหู ดวงตาลึกโหลคล้ายว่ามีแค่เบ้าตา เธอหันมาสบตาก่อนที่จะเริ่มเอื้อมมือมาจับรถผู้ชาย  ผู้ชายจึงเร่งเครื่องจนสุดเพื่อหนี  แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อผู้หญิงคนนั้นวิ่งตามและพยายามจะเอื้อมมือจับรถให้ได้ พร้อมเปล่งเสียงหัวเราะเย็นๆออกมาตลอด  ด้วยความที่ผู้ชายชินเส้นทางมาก จึงขับเข้าหมู่บ้านของตัวเองอย่างไม่เป็นอันตราย  เมื่อผ่านพ้นเขตหมู่บ้าน ผู้ชายมองกลับไปก็เจอผู้หญิงคนเดิมชี้หน้าตัวเองและกรีดร้องออกมาอย่างน่าสยดสยอง  และเมื่อไปถามคนแก่แถวนั้นก็ได้คำตอบมาว่าที่ตรงนั้นคนตายเยอะ ถนนเส้นนั้นชาวบ้านรู้จักความเฮี้ยนดี  การที่รอดตายมากได้แสดงว่าดวงยังแข็งอยู่”

“ตามึงแล้วมิว” ไอ้ภพปลุกผมที่กำลังกลัวไปกับการจินตนาการภาพตาม  เรื่องไอ้ภพเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากยิ่งบวกกับบรรยากาศเย็นๆ มีเสียงดนตรีไทยแบบนี้ ร้อยทั้งร้อยอยู่เฉยๆไม่ได้แน่

“อืม”

“เรื่องของกู เริ่มจากว่า มีผู้หญิ..” 

เฮือกกกกกกก

ฟัง และเล่าเรื่องของกูซะ


เสียงเย็นๆเสียงหนึ่งลอยกระทบเข้าโสตประสาทผมจนทำให้น้ำเสียงและลมหายใจที่ปล่อยออกไปหยุดกะทันหัน   สิ่งที่ผมท้าทายไปไม่ได้ไร้ความหมาย เพียงแต่ว่าครั้งนี้ผมไม่เห็นตัวตนของวิญญาณพวกนั้น  ผมกลัวเรื่องไอ้ภพมากจนไม่ได้สังเกตถึงความรู้สึกโดยรอบที่เปลี่ยนไป อากาศเย็นขึ้น ความอึดอัดจำนวนมากมายถูกก่อตัวขึ้นรอบๆตัวผม

พวกมันคงค่อยๆเข้าถึงตัวผมในขณะที่ผมจดจ่ออยู่เพียงไอ้ภพ…

ผมบีบมือไอ้ภพอย่างรุนแรงพร้อมกับอาการสั่นของร่างกาย เหงื่อจำนวนมากไหลออกมาขัดกับความเย็นที่ผมสัมผัสได้  ไอ้ภพคงเห็นอาการพวกนี้และพอจะเดาได้แล้วว่ามันเกิดจากอะไร มันถึงได้ตาโตขึ้นและขยับปากถามผมว่ามาแล้วใช่มั้ย?พร้อมบีบมือผมกลับอย่างให้กำลังใจ

ผมพยักหน้าตอบรับไอ้ภพ ก่อนที่ความสนใจทั้งหมดจะถูกดึงไปด้วยเสียงเย็นๆเสียงหนึ่งที่กำลังถ่ายทอดเรื่องราวบางอย่างออกมาด้วยแรงอาฆาตที่ค่อนข้างแรง  จะเรียกว่าชินก็ทำไม่ได้เพราะน้ำตาที่ค่อยๆไหลออกมาเป็นสิ่งเดียวที่บอกผมว่าใจผมยังไม่แข็งพอแต่แค่มีสติกว่าครั้งก่อนๆเท่านั้น 

“ระ..เรื่องของกูมี ยะ..อยู่” เมื่อน้ำเสียงนั่นหายไป ผมจึงต้องเริ่มเล่าเรื่องของคนตายสักที ผมกลัวจนเสียงสั่น นั่งตัวแข็งทื่อไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

“มิว มึงใจเย็นๆเห็นมั้ยว่า กูยังอยู่ตรงนี้”

“ฮึก เรื่องของกู มีอยู่ว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งได้รับจดหมายตอบรับฉบับหนึ่งว่า เธอเป็นผู้ได้รับเลือกให้เข้าร่วมเกมส์บางอย่างที่มีเงินรางวัลค่อนข้างสูง  เธอไม่รู้เลยว่าเกมส์นี้คือเกมส์อะไร ในจดหมายมีเพียงสถานที่กำหนดเอาไว้  เมื่อเธอไปถึงเธอเห็นเพียงจดหมายฉบับหนึ่งวางไว้อยู่ตรงหน้าและบอกว่าให้เธอเดินเข้าไปในบ้าน และหาเงินนั่นให้เจอ  เท่านี้เงินทั้งหมดที่เธอต้องการก็จะตกเป็นของเธอทันที  เธอรีบเข้าไปหาด้วยความรีบร้อนเพราะต้องการที่จะรีบหารีบกลับ  เธอกำลังหนีบางอย่าง  บางอย่างที่ตามเธอมา เงินทั้งหมดนี่จะยืดชีวิตของเธอได้  จนเธอไปพบกระเป๋าเดินทางที่บรรจุเงินไว้ข้างใน  แต่มันไม่ได้มีแค่เงินนั่น จดหมายซองหนึ่งถูกวางทับเอาไว้ เมื่อเธอเปิดข้อความข้างในก็ทำเธอตาค้างก่อนจะตายอย่างไม่รู้ตัว ทุกอย่างมืดบอดไปทันที ศพของเธอถูกเคลื่อนย้ายไปฝังไว้ในที่แห่งหนึ่ง วิญญาณของเธอไปเกิดไม่ได้ เพราะแรงอาฆาตที่ยังคงอยู่ กระดูกของเธอถูกเคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้แหล่ง และครั้งนี้ มันถูกฝังอยู่ที่ในป่าด้านหลังตรงจุดที่อยู่ใกล้บ่อน้ำ”

“จดหมายนั่น  มันเขียนไว้ว่าอะไร….มึงรู้มั้ย”  ไอ้ภพ ถามออกมาอย่างร้อนรนและคาดหวังกับเรื่องราวที่ผมบอก  ผมพยักหน้าตอบรับไอ้ภพอย่างคนกล้าๆกลัวๆ เรื่องราวที่ได้ฟังมันน่าสนใจจนลบความกลัวผมไปแทบหมด  แต่กระนั้นก็ยังคงมีเศษเสี้ยวหลงเหลืออยู่

“ยินดีต้อนรับสู่นรกภูมิ”

“มันหมายถึงอะไร”

“กูไม่รู้ไอ้ภพ มันบอกกูมาแค่นี้ มึงรีบเล่าให้ครบร้อยเรื่องเถอะ เรื่องราวไม่ได้มีแค่ผู้หญิงคนนี้แน่”  เกมส์ในตอนนี้สร้างความโกลาหลให้ผมกับไอ้ภพเป็นอย่างมาก  คนหนึ่งคาดหวังที่จะรีบให้เกมส์จบและค่อยเริ่มต้นเล่าใหม่ในตอนเช้า  อีกคนที่ไม่สามารถฟังเรื่องราวจากแหล่งเดียวกันได้ ก็คาดคั้นอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะมันนำไปสู่ความจริงที่ต้องการหา

ไอ้ภพเริ่มเล่าเรื่องผีของตนเองอีกครั้ง แต่ละเรื่องของมันได้สร้างดีกรีความหลอนให้ผมเพิ่มไปด้วย เมื่อจบเรื่องของมันผมก็มีเรื่องเล่าจากคนตายเรื่องใหม่มาพูดให้มันฟังอีกครั้งวนซ้ำๆ  ก่อนที่เสียงเย็นๆจะหายไป  สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงเรื่องเล่าจากคนตายเจ็ดเรื่องและความกลัวภายในจิตใจของผม

ความอดทนของคนมันเหมือนกับลูกโป่งที่เมื่ออัดแก๊ซเข้าไปเรื่อยๆมันก็จะแตก ไม่ต่างจากผมที่เมื่อครู่ผมต้องทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวของคนตายสู่คนเป็น    ผมใจสั่นมากแทบจะคุมตัวเองไม่ได้  จนเมื่อการคุกคามมันหายไป ผมก็ทรุดไปในทันที ผมเหนื่อยจนไม่อยากทำอะไรต่อ แต่เรื่องผีที่ได้ยังไม่ครบร้อย  จึงต้องผลัดกันเล่าต่อไปเรื่อยๆ สลับกับการเสแสร้งพูดคุยเรื่องของตนเอง


เรื่องราวทั้งเจ็ดเรื่อง ถูกสร้างให้เกิดกันคนละเวลาและสถานที่

แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือวิญญาณทุกตนต่างก็กำลังหนีบางอย่างที่คุกคาม และได้รับการติดต่อผ่านจดหมายเท่านั้น

ที่สำคัญ….ทุกตนตายอย่างไม่รู้ตัวพร้อมกับประโยคในจดหมายฉบับสุดท้าย ‘ยินดีต้อนรับสู่นรกภูมิ’



“คือยังไงวะ แล้วกูจะรู้ได้ไงว่าใครเป็นคนฆ่า” ไอ้ภพหยุดเล่าเรื่องผีและโวยวายในสิ่งที่มันไม่เข้าใจอีกครั้ง

“อย่างน้อยมึงก็แน่ใจได้แล้วไง ว่าศพพวกนั้นมันเกี่ยวข้องกับรายการนี้แน่ๆ”

“ทีมงานรายการมีเป็นร้อยคน กูจะรู้ได้ไงวะ”

“ภพ มึงใจเย็นๆ เรื่องนี้ค่อยเล่าวันพรุ่งนี้ ตอนนี้กูอยากพักแล้วหวะ รีบทำให้จบเหอะ กูไม่ไหวแล้ว”

“งั้นโกงกัน พวกมันไม่รู้หรอกว่าเรายังเล่าไม่ครบร้อย”

“อย่าดูถูกรายการไอ้ภพ  มึงเล่าๆมาเถอะ เอาเรื่องสั้นพอ”

หลังจากนั้น  เรื่องผีอีกมากมายก็ถูกผลัดกันถ่ายทอดอย่างรวดเร็ว บางเรื่องของไอ้ภพน่าติดตามจนอาการเหนื่อยกายและใจทั้งหลายสูญสิ้นไป เพียงเพราะต้องการที่จะฟังเรื่องพวกนั้นให้ครบ  เสียงเพลงทำนองเศร้าถูกเปิดและวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นสิ่งที่บอกให้ได้รู้ว่าเราทั้งคู่ใช้เวลาไปกับการสนทนาภาษาผีๆกันอย่างยาวนาน

ความกลัวที่เกิดขึ้นตอนต้นไม่สามารถทำอะไรได้อีก  เพราะสิ่งที่ไอ้ภพเล่าบางเรื่องมันน่ากลัวกว่า อีกทั้งความตื่นเต้นและความหลอนนี้มันทำให้ผมนึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาที่เคยนั่งเล่ากับเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆ  ภาพตอนนั้นมันช่วยเยียวยาความรู้สึกในใจผม ยิ่งไอ้ภพเป็นนักเล่าเรื่องที่ดี ถ่ายทอดทุกอย่างออกมาแบบไม่ติดขัด ยิ่งทำให้เกมส์วันนี้ไม่ต่างอะไรไปกับการที่ผมเคยไปค่ายกับเพื่อน

“โห มึงเล่าเรื่องโคตรเทพอ่ะ น่ากลัวชิบหาย ไปหามาจากไหนวะ”

“กูก็ฟังเค้ามาทั้งนั้น  ว่าแต่มึงเหอะไม่อยากพักรึไง เรื่องสุดท้ายแล้วมึงก็รีบๆเล่า”

“ เออๆ เดี๋ยวกูจัดหนักปิดท้าย เรื่องนี้กูฟังมาบ่อย”

“เรื่องมีอยู่ว่า มีผู้ชายคนหนึ่งเป็นคนขับรถส่งของให้แก่บริษัท มีหน้าที่ต้องส่งของจากโรงงานที่เชียงใหม่เข้าสู่กรุงเทพ ผู้ชายคนนั้นชอบเดินทางในตอนกลางคืนเสมอเพราะว่าถนนโล่งและสามารถขับได้สะดวกกว่า  ด้วยความที่ต้องส่งของระยะไกลจึงต้องมีผู้ช่วยเพื่อเปลี่ยนกันขับ วันนั้นผู้ชายคนนี้ตัดสินใจที่จะขับรถมากับพ่อ  ช่วงขับออกมาจากเชียงใหม่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ จนเข้าสู่จังหวัดตาก  พ่อคนขับก็เอ่ยขึ้นมาว่าถ้าเห็นหรือได้ยินอะไรให้ขับไปเลยนะอย่าทัก ทีนี้คนขับก็ไม่ได้คิดอะไร ขับไปเรื่อยๆก็ไปเจอกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนขายพวงมาลัยอยู่ ด้วยความที่รถคันนี้ยังไม่มีพวงมาลัยผู้ชายคนนั้นก็จะจอดซื้อ แต่โดนพ่อห้ามไว้และบอกแค่คำเดียวว่า ให้ขับไป  เมื่อผู้ชายคนนั้นขับผ่านเด็กก็ได้มองไปยังข้างทางก็พบว่าตรงนั้นมีบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่งเป็นบ้านไม้ ที่มีเด็กเล็กๆและคนแก่ กำลังนั่งร้อยพวงมาลัยขาย ผู้ชายคนนั้นถึงบางอ้อทันทีว่าเหตุใดในยามนี้ถึงยังมีเด็กมาทำงาน  เมื่อผู้ชายคนนั้นขับไปเรื่อยๆ สิ่งที่พบคือเด็กคนเดิมจะคอยยืนขายพวงมาลัยอยู่ตลอด ผู้ชายคนนั้นตกใจและหันไปมองหน้าพ่อ  พ่อแค่พยักหน้าและบอกว่าค่อยคุย  แต่เรื่องมันยังไม่จบ เมื่อผู้ชายคนนั้นดันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนที่ติดๆกับรถ จึงได้มองผ่านกระจกข้างไปก็เห็นเป็นเด็กคนนั้นวิ่งตามมาติดๆ และถือพวงมาลัยเอ่ยถามตลอดว่า พวงมาลัยมั้ย?  พ่อที่คงเห็นแบบเดียวกันก็สั่งว่าให้มีสติและขับไป จนเข้าเขตกรุงเทพ พ่อก็เล่าให้ฟังว่า ตรงนั้นมันเคยมีบ้านขายพวงมาลัยจริงๆ แต่ก็ต้องตายยกครอบครัวเพราะโดนรถบรรทุกเบรกแตกพุ่งเข้าชน”

“เป็นไงหลอนมั้ย เรื่องนี้กูฟังครั้งแรกนี่ลมจับเลยนะมึง”

“หลอนดี เก็บของเถอะ ดึกแล้วกูง่วง”

“งั้นมึงไปเปิดไฟ เดี๋ยวกูไปปิดเพลง”


อยากฟังเรื่องที่หลอนกว่านั้นมั้ย


“อะไรนะไอ้ภพ  มึงว่าอะไร”  ผมที่กำลังจะแยกย้ายกันไปทำตามที่บอก ก็ต้องตกใจเพราะเสียงผู้ชายที่คล้ายเหมือนจะเป็นไอ้ภพ เอ่ยขึ้นมา ทำท่าว่าจะอยากเล่าเรื่องต่อ

“อะไร?  กูยังไม่ได้พูดอะไรเลย” ไอ้ภพทำหน้างงใส่ผม  ก่อนที่ผมจะพยักหน้าไม่ใส่ใจ ผมอาจจะหูฝาดไปเอง ความกลัวอาจจะหลอนผมมากไปจนทำให้ผมคิดอะไรเกินความจำเป็น

หึหึ  อยากเห็นกูมั้ย?  มึงเห็นกูมั้ย? หากูให้เจอสิ 55555

ผมนิ่งค้างไปในทันที ลมหายใจที่บ่งบอกถึงการมีชีวิตของผมเหมือนกำลังโดนคนตายกระชากออกไป  ผมไม่ได้คิดไปเองแล้ว คำพูดเย็นๆยาวๆถูกปล่อยออกมาจากที่ๆหนึ่งซึ่งเมื่อมองไปทางด้านนั้น ผมก็ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น  ไอ้ภพหันมามองกับอากัปกริยาแปลกๆของผมที่ยังคงไม่ก้มลงไปปิดเพลง ก่อนที่มันจะสาวเท้าเข้ามาหาด้วยความรวดเร็ว

“มึง มีอะไร?”

“ภ…ภพ เสียง มีเสียงผู้ชายพูดขึ้นมา กูได้ยินมันอยู่ข้างหลังกู แต่หันไปกูก็ไม่เห็น ไม่น่าจะเป็นไปได้แล้วนะมึง วิญญาณพวกนั้นกูก็จะช่วยมันแล้วไง”

“ได้ยินแน่รึเปล่า มึงคิดไปเองมั้ย”

“ไม่ไอ้ภพ  ตอนนี้กูก็ยังได้ยินมันท้าทายกูให้กูหามันตลอด”

“เอางี้ มึงแกล้งทำเป็นไม่เห็น  ไม่ได้ยินไป”  ตลอดการสนทนาผมคุยกันเหมือนจะกระซิบ  ผมกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็นวิญญาณตนนี้ มีแต่เสียงที่ผมได้ยิน ความกลัวเดิมๆเริ่มกลับมาครอบงำอีกครั้ง  ไอ้ภพรีบเดินไปเปิดไฟ ทำให้เสียงพวกนั้นหายไปด้วย  ผมรีบเก็บข้าวของ ปิดเพลง และทำความสะอาดพื้นทันที

เมื่อมองไปยังกระดานผีถ้วยแก้ว  ประสบการณ์ที่สอนผมมาก็บอกทันทีว่า ผมยังไม่ได้เชิญวิญญาณออกไป ความตายใจที่เกิดจากวิญญาณกลุ่มเดิมที่เมื่อเล่าเรื่องทุกอย่างเสร็จก็พลันหายไป ทำให้ผมไม่ได้คำนึงเลยว่า วิญญาณที่เข้ามาในแก้วครั้งนี้ อาจไม่ได้มีแค่ผีพวกนั้น

ไอ้ภพมองผมที่ยังไม่ยอมเก็บกระดานเข้าที่เดิม  ก่อนที่มันจะนึกขึ้นได้แบบเดียวกับผม  มันเดิมมาถามผมว่าจะเอายังไงต่อทั้งๆที่ตอนนี้มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเชิญออกเพียงอย่างเดียว   ผมจึงบอกให้ไอ้ภพไปเอาแก้วในครัวมาอีก1ใบเพื่อจบพิธีกรรม  ผมไม่สามารถอาศัยอยู่ร่วมกับวิญญาณพวกนี้ได้ พวกมันไม่ได้มาดี

ผมนั่งประจำอยู่ที่เดิม  ไอ้ภพที่ตอนแรกจะไม่ปิดไฟเล่น ถูกผมสั่งให้เดินกลับไปปิดอีกครั้ง ความมืดเท่านั้นที่จะพาผมเข้าสู่โลกที่สามได้  บทเชิญวิญญาณบทเดิมถูกขานออกมาเสียงดัง เพื่อต้องการดึงวิญญาณพวกนั้นกลับมาสู่แก้วใบนี้

“ถ้าแก้วใบนี้มีวิญญาณเข้ามาแล้ว โปรดเดินไปที่คำว่าใช่”

ใช่ แก้วเลื่อนกลับไปยังจุดเดิมๆของกระดานอีกครั้ง  ก่อนที่มันจะเคลื่อนย้ายไปมาเองโดยที่ไม่พวกผมไม่มีใครได้เอ่ยคำสั่ง

หาพวกกูให้เจอ  อยากเจอพวกกูไม่ใช่หรอ   พวกกูมาแล้ว  และอีกกว่าเป็นสิบประโยคที่แก้วเคลื่อนนำไป  สถานการณ์ตรงหน้าเรียกได้ว่าสร้างความกดดันให้ผมและไอ้ภพอย่างหนักหน่วง  ผมที่เริ่มชินกับคำข่มขู่ของวิญญาณจึงไม่ได้รู้สึกอะไรมากนอกจากกลัวและหลอน น้ำตาที่เคยไหลออกมามากมาย บัดนี้เหลือเพียงแค่การซึมออกมาเท่านั้น

“พวก? ไอ้ภพ มันไม่ได้มีแค่ตนเดียวในบ้าน”  ผมเรียกสติไอ้ภพที่เงียบลงไป  เพราะจนปัญญาในการหาวิธีแก้ปัญหาของกระดานตรงหน้า

“รู้แล้วเดี๋ยวกูจัดการเอง  กูขอเชิญพวกมึงออก”

กูไม่ออก  

“เอาไงดีวะไอ้ภพ  กูกลัวว่าจะทนต่อไปไม่ได้” ผมเงยหน้ามองไอ้ภพแล้ว ถามมันไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

หากูให้เจอสิ 55555  หากู  หากู

คราวนี้ไม่ใช่แก้วที่เคลื่อน  เสียงเดิมๆถูกเอ่ยขึ้นมาอย่างกับเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกขบขัน  ผมก้มหน้าลงปาดน้ำตาออกอย่างคนที่ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไร  เลยตัดสินใจเคลื่อนกายเข้าไปนั่งติดไอ้ภพทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง และได้พบกับ เงาของมนุษย์ที่ตกกระทบกับกำแพงของบ้าน  เงานั่นมันกำลังเคลื่อนเข้ามาหาพวกผมทางด้านหลัง พร้อมกับเอ่ยเรื่องราวชวนน่าขนลุกออกมาเรื่อยๆ  ตำแหน่งของมันไม่ได้เดินเหมือนมนุษย์ปกติ  เงานั่นสะท้อนภาพคนที่ใช้ขาเดิน แต่เดินบนเพดาน ทำให้ส่วนหัวห้อยลงมาอย่างอิสระ แกว่งไปมาเหมือนมันจงใจจะกลั่นแกล้งผม

“เรื่องของกู มีอยู่ว่า  มีคนเป็นสองคน พยายามที่จะท้าทายคนตายด้วยการลบหลู่อย่างไม่คิดกลัว  กูมาแล้ว หึหึ หากูให้เจอสิ 
หากู!!  หากู!!!!”

“เงยหน้าของมึงขึ้นมา!!!”

“เงยขึ้นมา 555555”

“ตาย!!!  ตาย!!!  ตาย!!!”


ผมนั่งตัวแข็งทื่อจนแทบจะอยากตายตามคำที่มันสั่ง น้ำเสียงยานคางของมันเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยวอย่างที่ไม่ทันตั้งตัว สะกดผมให้นิ่งไปกับภาพบนกำแพงที่แสดงว่ามันกำลังย่างกรายเข้ามาหาผม ก่อนที่สัมผัสของปอยผมมันจะตกกระทบลงบนใบหูของผมเบาๆ 

ผมค่อยๆทำตามความต้องการของมันและตัวผมเองที่อยากรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร มีรูปร่างหน้าตาแบบไหน   โดยเมื่อเงยหน้าขึ้นไป ตาผมก็เบิกโพลงมากขึ้นไปอีก เพียงเพราะภาพผู้ชายที่มีใบหน้าเละเทะ ลูกตาข้างหนึ่งหลุดห้อยออกมาจากเบ้าตาและริมฝีปากของมันที่ค่อยๆฉีกยิ้มให้กับผม ก่อนจะเอ่ยประโยคชวนสยองออกมา

เจอกันแล้ว

ผมรีบก้มหน้าลงมาอย่างเร็ว เพราะไม่อาจทนมองได้อีก น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่มีเสียงสะอื้น  ไอ้ภพยังคงไม่รู้ว่าผมกำลังเจอกับอะไร เพราะมันเอาแต่หัวเสียอยู่กับกระดานนั่นที่ตอนนี้ไม่มีการเคลื่อนที่ของแก้ว

ตึก  ตึก  ตึก

เสียงบางอย่างดังขึ้นที่บันไดอย่างชัดเจน ทำให้ผมต้องหันหน้าไปมองและพบว่า บนบันไดบ้านมีหญิงสาวกำลังลงมาด้วยท่าทางผิดปกติ  มันใช้มือและเท้าเดินอย่างคนตัวหักงอผิดรูป  ปากของมันอ้ากว้าง และดวงตาลึกโหล

มันค่อยๆพาตัวเองลงมาทีละขั้น จนเสียงกรอบแกรบของกระดูกมนุษย์ที่ฟังดูก็รู้ว่าหักจนไม่เหลือชิ้นดีดังขึ้นชัดสุดที่บันไดขั้นสุดท้าย ตาของผมโตขึ้นอีกครั้ง ด้วยความกลัวน้ำตาจำนวนมากถูกปล่อยให้ไหลออกมา ผมมองการเคลื่อนไหวตรงหน้าที่กำลังเดินเข้ามาทางผมอย่างกับถูกสั่งให้มองอยู่แบบนั้น จนกระทั่ง….ดวงตาของผมสัมผัสได้ถึงความมืดบอดจากมือของผู้ชายข้างๆตัวที่ยื่นเข้ามาปิดไว้ให้

กูขอเชิญวิญญาณพวกมึงออก  ถ้าไม่ออกกูขอสาปแช่งไม่ให้มึงได้ผุดได้เกิด ขอให้นรกภูมิพามึงไปยังอเวจีเบื้องลึกที่สุดเท่าที่จะไปได้”  ไอ้ภพเอ่ยประโยคยาวๆออกมา และนั่นก็ทำให้แก้วเคลื่อนที่อีกครั้ง  ผมไม่รู้เลยว่าเรื่องราวภายนอกดำเนินไปถึงตรงไหน ไอ้ภพปิดตาผมไว้ตลอด ราวกับไม่อยากให้ผมเสี่ยงลืมตาแล้วพบว่าทุกอย่างยังคงเดิม

ช่วงที่มันลุกไปเก็บกระดานผีถ้วยแก้ว มันกำชับผมอย่างหนักแน่นว่าให้นั่งเฉยๆ ไม่ต้องลืมตาขึ้นมาทั้งสิ้น มันจะจัดการที่เหลือเอง  ตัวผมก็ไม่คิดจะขัดขืนเพราะผมรู้ดีว่าหากผมไม่ฟังมัน คาดว่าตัวผมคงต้องออกจากเกมส์และมุ่งตรงเข้าสู่โรงพยาบาลจิตเวทในฐานะคนไข้ทันที

จวบจนทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยในความคิด ไอ้ภพก็เดินมาดึงตัวผมขึ้น พร้อมกับนำผมมาไว้ด้านหน้าให้ชนกับหน้าอกมัน และดันผมให้เดินขึ้นห้องไปอย่างช้าๆ  สัมผัสการเต้นของหัวใจมันเต้นช้ากว่าผมในเวลานี้มาก  ความกลัวที่ยังคงมีทำให้ใจสั่นแรง แต่นั่นก็ไม่เท่ากับการกระทำและคำพูดของไอ้ภพ ที่ทำตามสัญญาเป็นอย่างดี



“ไม่ต้องลืมตา จะได้ไม่ต้องกลัว ทางที่เหลือ….กูจะเดินนำมึงเอง”




****************************************TBC***************************************
เอาตอนที่ 9 มาให้แล้วครับผม  หวังว่าจะถูกใจกันนะครับ  :mew2:

ตอนนี้ขอเป็นเรื่องราวเอาใจนักอ่านคอหลอนๆกันบ้าง  ถูกใจไม่ถูกใจยังไงเขียนติชมมาเยอะๆนะครับ

หลับฝันดีไปกับนิทานเรื่องนี้กันเลยนะครับ  :hao7:

เจอกันตอนหน้า P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่9 นิทานคนตาย (20/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: เสพศิลป์ ที่ 20-01-2017 21:08:17
แอบหวานตอนท้าย นอกนั้นหลอน ชอบมาก ชอบมากๆ

อ็ากกกก  ชอบและหลอนมากกกก 
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่9 นิทานคนตาย (20/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 20-01-2017 21:42:33
หุ้ยยยยยย ภพนายเทห์มากตอนนี้ :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่9 นิทานคนตาย (20/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 20-01-2017 22:41:44
หลอนมากกกกกกก...อย่างที่บอกไว้เลยค่ะ ฮือออ  :ling3:
ในเรื่องก็น่ากลัว เรื่องที่เอามาเล่าก็น่ากลัวว โอ่ยยยใจเอยยย
ผีที่มาขอให้ช่วยอ่ะ...ก็ช่วยไปจัดการผีตนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวไม่ได้เหรอ แงงง น่าจะคุยกันง่าย(กว่ามิว)นะ555555

มีความจับมงจับมือ...
คิดภาพตอนขึ้นบันไดแล้ว...แหม แนบชิดกันดีจังนะคะ
..ดีแล้วน้องจะได้กลัวน้อยลงๆ สงสารร  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่9 นิทานคนตาย (20/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 20-01-2017 23:47:11
หลอนมากกกกกกกก เราอ่านตอนกลางคืนด้วย กลัวไปหมดแล้ววววว ฮือออออออออ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่9 นิทานคนตาย (20/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 21-01-2017 00:19:58
หลอนสุดๆ o22
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่9 นิทานคนตาย (20/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: IRDirada ที่ 21-01-2017 01:28:14
โอ่ยยยย หัวใจจะวาย :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่9 นิทานคนตาย (20/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 21-01-2017 10:08:31
เรื่องผีหายไปจากหัว เมื่อเขาแนบชิดกันขึ้นบรรได อิอิ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่9 นิทานคนตาย (20/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 21-01-2017 15:26:47
สนุกมากค่ะ   :o8: :o8: :o8: :o8: ดูท่าจะมีปมเยอะมาก
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่9 นิทานคนตาย (20/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 21-01-2017 19:06:35
เรื่องแรกที่ภพเล่าคล้ายๆที่เราฟังจากเดอะช็อค ยอมรับว่าน่ากลัวมากและมากที่สุด เล่นเอาหลอนเลยอ่ะตอนนั้น และตอนนี้ก็กำลังกลอนเพราะเรื่องนี้เหมือนกัน สนุกมากค้าบบบบบ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่9 นิทานคนตาย (20/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: แม่มดน้อย ที่ 22-01-2017 08:45:54
สนุกมากไม่กล้าอ่านตอนกลางคืนเลย  ต้องเก็บไว้มาอ่านตอนเช้าตลอดก็ยังหลอนอยู่ดี

บรรยายเห็นภาพดีมาก สนุกและแอบหวานเวอร์555555


 :mew3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่9 นิทานคนตาย (20/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 22-01-2017 08:53:26
อ่านตอนกลางคืนเกือบจะตายทนไม่ไหวต้องอ่านตอนเช้าแทน น่ากลัวและหลอนมากๆ
คนเขียนบรรยายเก่งละเอียดดีจนจินตนาการได้เลย
สนุกและหลอนมากๆ รอตอนต่อไปค่ะ บรื๋อออออออ :katai4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่9 นิทานคนตาย (20/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 22-01-2017 19:46:20
พออ่านไปเริ่มคิดเยอะว่าลุงสองคนนี้ต้องมีส่วนร่วมในการฆ่าศพก่อนๆแน่ เลยค่ะแล้วแบบทำไมผีมันกวนตีนจังอยากให้เค้าช่วยหาคนร้ายก็มาทำร้ายเค้าเอง ส่วนรายการที่เรตติ้งดีนี่สงสัยเค้าวายกันบ่อยๆ ตอนเจอผีแน่ๆเลย
อินไปหน่อยขอโทษทีค่ะยังคงความหลอนอยู่แต่แอบรู้สึกว่ายังหลอนได้อีกนี่ยังไม่ใช่จุดพีค แล้วก็แอบลุ้นด้วยว่าศพก่อนๆตายยังไง สองคนนี้จะโดนลอบฆ่าตอนไหน รายการมันต้องไม่ยอมเสียเงินรางวัลแน่ๆเลย  :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่9 นิทานคนตาย (20/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 23-01-2017 16:42:22
อ่านไปเสียวหลังไป อยากจะอ่านกลางวันนะ แต่ไม่สามารถต้องอ่านกลางคืนทุกที สงสารนิวน่ะ เป็นเราออกตั้งแต่คืนแรก
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่10 คำถาม (24/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 24-01-2017 21:29:10
ตอนที่10

คำถาม


คำพูดของคนมันไม่ต่างไปกับดาบสองคม  ยามที่ต้องการให้หวานมันก็สามารถปั้นแต่งออกมาจนคนฟังถึงกับคล้อยตามหากได้ลิ้มรส  และยามที่ต้องการใช้มันฆ่าใคร คำพูดพวกนั้นก็ถูกสร้างมาอีกแบบซึ่งก็เชือดเฉือนจิตใจคนได้ไม่แพ้กัน

เมื่อคืนหลังจากที่ผมได้ยินไอ้ภพพูดประโยคนั่น  ความกลัวที่มีมันก็หายไปแทบจะในทันที  คำสัญญาที่เชื่อมใจผมกับไอ้ภพไว้ไม่ได้ไร้ความหมาย  มันพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะให้คำพูดนั้นไม่เป็นเพียงลมปาก  สิ่งที่มันทำคือการไม่ให้ผมมองอะไรได้อีกเลยจนกระทั่งถึงเตียงตัวเอง  แม้ว่าความจริงไอ้ภพมันต้องการให้ผมนอนแล้วหลับตาไปเลย แต่ภาพวิญญาณพวกนั้นมันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวผม น้ำเสียงเย็นเยียบของเหล่าสัมภเวสียังหลอนหูผมไม่เลิกเสมือนว่าผมกำลังฟังมันผ่านเครื่องเล่นเสียงที่วนซ้ำๆอยู่แบบนั้น  ผมจึงตัดสินใจที่จะลืมตาขึ้น

บ้านหลังนี้กลับมาเป็นเหมือนเดิม  วิญญาณที่เคยเข้ามาคุกคามชีวิตผมได้สูญหายไปจนหมดสิ้น ทิ้งไว้แต่เศษเสี้ยวความหลอนและความน่ากลัวจนทำให้ใจที่เบาบางของผมเกิดรอยขีดข่วนอย่างที่ไม่มีวันลบออกได้  มากไปกว่านั้นความรู้สึกบางอย่างยังทำให้ตัวผมกระสับกระส่ายไปมาจนเหมือนคนนอนไม่หลับ ทั้งที่ร่างกายก็ล้าเต็มทน     

…มันกำลังปั่นป่วนเนื่องจากความหลอนและจากตัวไอ้ภพ… 

ความรู้สึกหวั่นไหวที่เคยสัมผัสได้ย้ำเตือนหัวใจผมอีกครั้ง คนที่กำลังจะค่อยๆเป็นเจ้าของมันไม่ใช่ใครอื่นเลย  คนๆนั้นไม่ใช่ผู้หญิงสวยๆที่ผมเคยเดินชนในร้านกาแฟ  ไม่ใช่สาวหน้าหมวยที่ผมเคยจีบตอนต้นปี  ไม่ใช่รุ่นน้องที่เข้ามาทักทายบ่อยๆตอนผมเลิกเรียน  แต่เป็นเพียง…

ผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งที่อยู่ข้างกัน ในวันเวลาที่ใจผม…อ่อนล้าที่สุด

ดวงตาของผมในเวลานั้นจึงถูกใช้เพื่อมองแค่เพียงไอ้ภพที่นอนอยู่ข้างๆกันเท่านั้น  มันนอนหันหลังให้กับผมเหมือนกับในทุกๆวัน  เสียงลมหายใจอ่อนๆของมันกำลังสร้างรอยยิ้มจางบนหน้าผมอย่างไม่รู้สาเหตุ  ความอบอุ่นจากแผ่นหลังยามได้มองดึงดูดให้ผมขยับตัวเข้าไปซบกับแผ่นหลังนั่น  ก่อนจะตัดสินใจค่อยๆคลายเปลือกตาลง  ไม่รู้ว่ามันจะรู้สึกตัวหรือเปล่า แต่คืนนี้ผมหลับสนิทได้ก็เพราะมัน

“อ้าว ตื่นนานแล้วหรอวะ”  ไอ้ภพงัวเงียลุกขึ้นถามผมที่นั่งจ้องมันนอนมาได้พักใหญ่ๆ  ผมตื่นสายมาก แต่ก็ยังไม่เท่าไอ้ภพ เกมส์เมื่อคืนเล่นผมกับไอ้ภพจนถึงเกือบเช้า จึงไม่แปลกที่วันนี้เราทั้งคู่ต่างก็เลือกที่จะนอนให้พอแทนการลุกไปหามื้อเช้าประทังชีวิต

“หึ กูก็เพิ่งจะตื่นแต่ยังไม่อยากทำอะไร เลยนั่งเฉยๆก่อน”

“มึงจะนั่งอมขี้ฟันอยู่แบบนี้ทำไม ปากเหม็นหวะ” ไอ้ภพคงตื่นเต็มตา มันเลยหันมาหยอกล้อผมได้

“อย่าว่าแต่กู มึงตื่นแล้วมึงยังไม่ลุกไปเลย”

“กูเหนื่อย ขอกูนั่งเฉยๆบ้าง มึงไปแปรงก่อนดิ”

“กูก็เหนื่อย เมื่อคืนมึงเล่นเกมส์คนเดียวรึไง มึงนั่นแหละไปแปรงก่อน”

“แต่กูช่วยมึง มึงไปแปรงก่อนเลย”

“พอๆ  ไปแปรงพร้อมกันนี่แหละ”  เถียงกันวันนี้ก็ไม่จบ นั่งพ่นแบคทีเรียในช่องปากกันไปมาเสียเวลา ผมจึงต้องลากไอ้ภพให้ลุกไปแปรงฟันพร้อมกันเลย  น้ำยังไม่ต้องอาบเพราะไม่แน่ใจว่าวันนี้ไอ้ภพจะออกไปในป่านั่นหรือไม่

“ภพ วันนี้มึงจะทำอะไร?”ผมถามมันขณะ ยืนบีบยาสีฟันให้ทั้งของมันที่ยังคงยืนเกาพุงอยู่หน้าห้องน้ำและของผม

“มึงคิดว่าไงอ่ะ?”  มันไม่ตอบ แต่ถามกลับมาอย่างขอความคิดเห็น  เราทั้งคู่หลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่จะบอกว่าเราจะทำอะไรกับเกมส์นี้เมื่อต้องอยู่ต่อหน้ากล้องจำนวนมาก

“ถ้าถามกู กูยังไม่อยากให้ทำ คิดว่ารออีกวันดีกว่า แต่ถ้ามึงจะทำก็ไม่ได้ว่าอะไร มันคงไม่มีอะไรแล้ว”

“งั้นก็ตามที่มึงบอก”  พูดเสร็จ มันก็เมินแปรงสีฟันที่ผมยื่นให้และเดินไปยังโถส้วมที่ตั้งอยู่เยื้องๆกับผมค่อนไปทางด้านหลังนิดหน่อย แต่ยังคงมองเห็นได้ว่ามันจะทำอะไรผ่านกระจกเงา

“เฮ้ย!!!!!   มึงจะทำอะไรไอ้ภพ”

“กูก็จะฉี่ มึงจะโวยวายทำไม”

“แม่ง!! อายบ้างเหอะ กูก็ยืนอยู่เนี่ย”

“ประสาท กูจะอายมึงทำไม มึงก็ผู้ชาย”  ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อมันสวนกลับมา  จิตสำนึกกำลังย้ำเตือนถึงเพศสภาพว่าผมก็เป็นผู้ชาย มีอะไรเหมือนๆกับมัน  ถ้าเป็นสักสามสี่วันก่อน ผมคงไม่รู้สึกกระดากอายได้เท่านี้ แต่เพราะตอนนี้ผมกำลังไม่เหมือนเดิม   การกระทำทุกอย่างของมันจึงส่งผลต่อจิตใจผมอย่างรุนแรง

“มึง…ไม่อาย  แต่กูอายโว้ยยยย!!” ผมโวยวายมันเสียงดังเพื่อให้มันหยุดการกระทำบ้าๆนั่น  แต่มันกลับแค่ยกไหล่ตอบมาอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะหันกลับไปทำธุระตามเดิม   ผมจึงต้องก้มหน้าเพราะถ้ายังมองไปที่กระจก ผมคงได้เห็นภพน้อยของมัน 

น่าขำสิ้นดี เมื่อจิตใจด้านมืดและด้านสว่างของผมกำลังตีกันไปมาจนเกิดความสับสนอยู่ในหัว ภาพยมทูตตัวจิ๋วและเทวดาตัวน้อยกำลังกล่อมหูผมแบบในการ์ตูนให้เลือกสักทางว่าจะทำอย่างไรต่อไป ระหว่างก้มหน้าไปนิ่งๆหรือจะทะลึ่งเงยหน้าขึ้นมาแอบดูไอ้ภพ   แต่กระนั้นความเลวและด้านมืดของผมมันมีสูงกว่า จึงเสแสร้งแค่ว่าก้มหน้าแล้วก็ค่อยๆช้อนตาขึ้นมามองมันผ่านกระจกอย่างไม่เหนียมอาย

หันหลัง…ทำไมวะ??

ผิดคาดไปเล็กน้อย เมื่อไอ้ภพมันก็คงอาย จึงได้ยืนเบี่ยงตัวหันหลังให้ผม ความผิดหวังเล็กๆก่อตัวจนผมกลัวใจตัวเอง   นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเข้ามาในห้องน้ำพร้อมมัน  ความตื่นเต้นในตัวจึงพุ่งทะยานถึงขีดสุด  มือข้างหนึ่งกำแปรงสีฟันมันไว้แน่น มืออีกข้างกำกางเกงตัวเองไว้ สายตาก็ยังคงทอดมองมันอย่างเคลิบเคลิ้ม  จนกระทั่ง…

ป้าบบบบบบบบบบ

“โอ้ยยยยยยยยย” ไอ้ภพ มันเดินมาตบหัวผมอย่างแรง  เรียกสติกลับมาโดยพลัน  ผมรีบหันกลับไปมองมันอย่างเอาเรื่อง เพราะไม่รู้ว่ามันจะตบหัวผมทำไม

“มึงเล่นอะไรวะ กูเจ็บนะ”

“มึงจะก้มหน้าทำห่าอะไร ถ้าตาจะจ้องกูแบบนั้น”

“จ้องอะไร ใครจ้อง มั่วแล๊วว” ผมเฉไฉไป  อย่างคนกำลังโดนจับพิรุธ 

“มึงอยากจะโกหกกูก็ทำไป แต่รู้มั้ย…บางอย่างมันโกหกไม่ได้”  ด้วยส่วนสูงที่ไม่ต่างกันมากนัก  ทำให้ไอ้ภพยื่นหน้าเข้ามาพูดกับผมจนแทบจะติดกัน  ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าฟันยังไม่ได้แปรง

“อะ…อะไร”  ไอ้ภพไม่ตอบ แต่กลับใช้สายตาของมันมองต่ำลงไป  ซึ่งก็ทำให้ผมต้องมองลงไปดูบ้างว่าอะไรที่มันกำลังสนใจขนาดนั้น

เช้ดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!

เป้า  เป้ากางเกงผมครับ มันนูนขึ้นมามากกว่าปกติ บอกได้ทันทีว่าผมกำลังมีอารมณ์อย่างมหาศาล ยิ่งมือที่กำกางเกงรั้งให้กางเกงมันแนบมากขึ้น  ส่วนเว้าส่วนโค้งของผมยิ่งเห็นชัดขึ้นไปอีก

“เฮ้ยยยยย  มึงจะมองทำไมวะ” ผมดีดตัวออกมาจากมันทันทีและเอารีบเอามือมาปิดเป้ากางเกงตัวเอง

“นี่มึงมีอารมณ์กับกูหรอ?  มึงชอบผู้ชายหรอวะ  หรือมึงเป็นโรคจิต”  ไอ้ภพยังคงเดินตามจี้เข้ามาใกล้อย่างไม่ยอมลดละ

“พ่อง!!! ไม่ได้อะไรทั้งนั้นแหละ  กูปวดฉี่เฉยๆโว้ย”

“งั้นหรอ  ก็ไปฉี่ดิ”  เมื่อมันหยุดระราน  ผมจึงต้องวางแปรงสีฟันมันแล้วหันหลังมาที่โถส้วมเพื่อจะฉี่  เดชะบุญของผมมากที่ตอนนั้นผมปวดฉี่จริงๆ  จึงได้มาสงบสติอารมณ์ตัวเองที่ฟุ้งซ่านไปมากให้เบาลง  ใจของผมเต้นรัวเร็วจนแทบจะทะลุออกจากอก ราวกับเด็กที่ทำผิดแล้วโดนพ่อแม่จับได้ แม้จะแปลกใจอยู่บ้างที่ไอ้ภพยอมผมง่ายขนาดนั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเคารพในตัวผมอยู่เหมือนกัน

“โอ้โหหหหหห ไม่ธรรมดาหวะ”

ไอ้สัส ภพ………

กูขอถอนคำพูดดดดดดดดดดดดดดดดดด

“เฮ้ยยยยยยยยย!!!”  ผมสะดุ้งสุดตัวจนเกือบจะฉี่ไม่ตรงโถ  เมื่อไอ้ภพมันเดินเข้ามายืนดูผมฉี่โต้งๆอย่างไม่อาย

“จะโวยวายทำไมวะ อายอะไรนักหนา”

“หยุดพูดไอ้ห่า  ออกไปโว้ย ทีกูยังไม่เห็นของมึงเลยนะ ” ผมโวยใส่มันอย่างคนจนตรอก  หลบไปทางไหนมันก็เห็นอยู่ดี เลยต้องยืนไล่มันแทน

“จะดูมั้ยหละ  เดี๋ยวกูเปิดให้”

“สัส กูไม่ได้โรคจิต ไปแปรงฟันโน่นน” หมดแล้วซึ่งความอาย  เป็นจังหวะพอดีกับที่ผมหมดธุระตรงโถส้วม  ผมจึงหันหลังกลับมาล้างมืออย่างหัวเสีย  มองค้อนไอ้ภพไปทีนึงตอนมันเดินมายืนข้างๆ

“อะไร มึงจะมองค้อนกูทำไม  ทำอย่างกับผู้หญิง”

“เออ กูมันไม่ใช่ผู้หญิง มึงเลยจะทำอะไรก็ได้” ดราม่าเกิดขึ้นมาเฉยๆ  ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ที่ผมได้ยินมันเปรียบเทียบแบบนั้นแล้วอดจะน้อยใจไม่ได้ ทั้งๆที่มันก็เป็นความจริง

“เฮ้อ  หยุดดราม่าไอ้น้อง  ดูหน้าตัวเองดิ๊มันเหมาะมั้ย” ไอ้ภพล๊อกคอผมให้ไปมองตัวเองในกระจกที่สะท้อนภาพผู้ชายตัวเท่าๆกันสองคนยืนกอดคอกันอยู่ คนหนึ่งหน้าตากวนตีน อีกคนก็หน้าตาทุเรศจากการทำหน้างอ ลองทายสิครับว่าผมคือคนไหน

“เออๆ งั้นก็แปรงฟันให้มันจบๆ”  ผมบอกมันอย่างตัดรำคาญ

ไม่น่าเชื่อเลยว่า แค่การแปรงฟันในห้องน้ำจะกินเวลาได้นานขนาดนี้  ผมแปรงฟันล้างหน้าเสร็จก็เดินออกมาจากห้องน้ำโดยที่ไม่รอไอ้ภพ  ผมกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้งเพื่อไปเช็ดหน้าเช็ดตาและเปลี่ยนเสื้อผ้า  ครู่เดียวไอ้ภพก็เดินตามเข้ามา มันมองหน้าผมอย่างไม่พูดอะไร  ผมจึงตัดใจและบอกกับตัวเองทันทีว่า ผมจะน้อยใจมันไปเพื่ออะไร

“ไอ้มิว”  ไอ้ภพเรียกผมหลังจากที่ผมทำท่าว่าจะเดินออกไปจากห้อง และกวักมือเรียกให้เข้าไปหามัน

“มีอะไร?”

“มึงนั่นแหละที่มีอะไร อย่าบอกนะว่าเคืองกูเรื่องในห้องน้ำ”

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก กูแค่หิว”

“ไม่ต้องมาโกหก ก่อนเข้าห้องน้ำมึงยังดีๆอยู่”

“เปล่า!!  บอกว่าไม่มีก็ไม่มีดิ” ผมตอบปัดคำพูดมันไปอย่างหัวเสีย  เพราะไม่รู้ว่ามันจะอยากคาดคั้นอะไรผมนักหนา

“ไอ้มิว” เสียงเรียกเย็นๆแกมบังคับถูกเอ่ยมาจากไอ้ภพ  สายตาของมันกำลังขู่ให้ผมพูดความจริงออกมาจนถึงขั้นเหงื่อตก

“เออๆ  ก็ได้  กูเคืองมึง กูไม่รู้ว่ากูเป็นอะไร แต่กูไม่ได้โกรธมึงที่มาดูกูฉี่ กูโกรธที่มึงคิดจะทำอะไรกับกูก็ได้แค่เพราะกูไม่ใช่ผู้หญิง  แล้วไงวะ  กูเป็นผู้ชายแล้วมันรู้สึกไม่เป็นรึไง!!” ผมสารภาพความรู้สึกออกไปทั้งหมดอย่างไม่ยั้งปาก ก่อนจะรู้สึกว่ามันมากเกินไป   ไอ้ภพมองผมนิ่งสนิท เหมือนมันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันทำผิดจนกระทั่งผมบอก

“เอ่อ…แต่กูว่ากูงี่เง่าอ่ะ กูเลยจะลงไปด่าตัวเองเงียบๆ  มึงก็อย่าคิดมาก”

“เฮ้อ  กูขอโทษๆ กูไม่นึกว่ามึงจะเปราะบางขนาดนี้”

“เอาเหอะ มึงไม่ได้ผิด กูงี่เง่าไปเอง  กูไม่รู้ว่ากูเป็นอะไร  อยู่ดีๆกูก็งี่เง่า” ผมเลือกที่จะตอบมันไปว่าไม่รู้ทั้งที่ความจริง ก็รู้อย่างเต็มอกว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเกิดจากหัวใจผมกำลังเล่นตลก

“มากด้วย” 

“อะไรนะ!!!” อยู่ดีๆมันก็เสริมขึ้นมาอย่างคนไม่รู้สึกผิด  ผมที่กำลังก้มหน้าตีหน้าเศร้าถึงกับต้องชะงัก อารมณ์ผมพุ่งขึ้นจนหยุดไม่ได้เหมือนกับว่าถ้านี่เป็นการ์ตูนคงมีภาพปรอทที่กำลังจะระเบิดออกมานอกแท่งแก้วอย่างไรอย่างนั้น  ผมจึงรีบเงยหน้ามองมันอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะเห็นว่ามันกำลังกลั้นยิ้ม

“55555  มึงนี่ตลกหวะ กูขอโทษๆ กูแหย่เล่นเอง”

“มันใช่เรื่องมั้ยฮะ!!!  ไอ้ภพ  คนกำลังจริงจังเนี่ย” 

“ไม่เป็นไรนะครับ เบบี๋  เดี๋ยวพี่….ให้ตีก้น” มันยื่นหน้ามากระซิบข้อความนั้นข้างๆหู จนลมหายใจอุ่นร้อนของมันปลุกขนในร่างกายผมให้ลุกชัน  ก่อนจะทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด  เมื่อมันหันหลังกลับไปแล้วแอ่นก้นให้ผม พร้อมกับส่ายไปมาอย่างน่ากวนตีน

ตุ้บ ตุ้บ  ตุ้บ ตุ้บ

เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยย    น่ารักหวะ


ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พร้อมกับมองมันอย่างตาค้าง ไอความร้อนในตัวผมพร้อมใจกันขึ้นมารวมอยู่ที่ใบหน้าทั้งหมด ริ้วแดงๆปรากฎขึ้นจนผมทำอะไรไม่ถูก  ไอ้ภพโหมดนี้ผมยังไม่เคยเห็น ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นด้วย  ใจผมเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง การกระทำของมันทำไมถึงได้ต่างจากวันแรกลิบลับ  มันเป็นอะไรไป ไอ้ภพคนที่เคยตะคอกผมมันตายอยู่ในป่านั่น แล้วที่อยู่ตรงนี้คือวิญญาณมันหรืออะไร  ทำไมมันถึงได้มีหลายมิติขนาดนี้

“มึงมองก้นกูทำไมวะ?  คิดอะไรอะไรอยู่”

“ฮะ…..เอ่อ….”   ตายโหง คือคำแรกที่ปรากฏเข้ามาในหัวผม  ผมจ้องมันอย่างไม่รู้ตัวและคาดว่าคงจะเพลินสายตาไปหน่อย  ไอ้ภพมันเลยผิดสังเกตเลยหยุดทำ พร้อมกับหันกลับมาจ้องหน้าผมแทน นั่นเลยทำให้ผมได้สติและรีบก้มหน้าลงหาข้อแก้ตัวที่จะตอบมัน

“เอ่อ….เปล่ากูไม่ได้มองมึ๊งงง อย่าหลงตัวเองดิ”

“งั้นหรอ  ไม่ได้มองจริงๆหรอ”   ไอ้ภพขยับเข้ามาใกล้ผมยิ่งกว่าเดิม  เสียงทุ้มๆน่าฟังของมัน บัดนี้กำลังทำลายล้างหัวสมองของผมอย่างสิ้นเชิง

“อะ…เออดิ กูจะมองไมวะของกูก็มี”  มันพยักหน้ารับแบบช้าๆในขณะที่จ้องผมไปด้วย  ก่อนจะหันตัวกลับไปส่ายก้นกวนตีนผมอีกครั้ง   

“อยากมองเหรอน้อง  มองเลยดิ  มองเลย พี่ให้มอง อิอิ”

“อิอิ พ่อง!  ตายซะเถอะมึง”  ผมด่ามันพร้อมกับยกเท้าถีบส่งมันไปอย่างรวดเร็ว  ไอ้ภพมันหลบทันและรีบวิ่งหนีผมออกไปพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นบ้าน  ผมจึงต้องวิ่งตามด้วยความคับแค้นใจ เรื่องนี้ผมยอมไม่ได้  ต้องมีการเอาคืนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

จวบจนผมวิ่งไล่หลังมันทันและคาดว่า ถ้ากระโดดออกไปผมจับมันได้แน่ๆ  จังหวะของการก้าวขาขณะวิ่งจึงเร่งเครื่องเต็มสูบเพื่อที่จะรีบไปเกาะมันให้ทัน  และเมื่อผมหาช่องทางการเข้าหาไอ้ภพได้ การเสียเวลาจึงเป็นทางเลือกที่แย่ที่สุด

ตายซะ!!!!!!

“โอ้ยยยยยยยยยยยยยยย”

“เฮ้ย!  มึงจะลงไปนอนทำไมวะ” ไอ้ภพหันกลับมาถามด้วยสีหน้าตกใจ หลังจากที่มันได้ยินเสียงหัวเข่าผมกระแทกพื้นดังลั่นและตามมาด้วยเสียงโอดโอยของผม

ไม่รู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรตัวไหนมันกำลังกลั่นแกล้งผมอยู่  ช่วงจังหวะที่ผมกำลังถลาเข้าหาไอ้ภพ ดันเป็นจังหวะเดียวกับที่มันเปลี่ยนเส้นทางการวิ่งจากเส้นตรงเป็นหักเลี้ยวออกไปซะงั้น  เพราะฉะนั้นคนที่ซวยจึงไม่ใช่ใคร…มันคือผมเอง

“ลงไปนอนบ้านมึงดิ!! ก็เห็นอยู่ว่ากูล้มลงไปอ่ะ” ผมค้อนขวับไปที่มันอย่างช่วยไม่ได้  เมื่อมันเดินเข้ามาพร้อมกับคำถามชวนหาเรื่องนั่น

“5555 เป็นไงละ ให้ทุกข์แก่คนอื่น ถึงตัวเร็วมั้ย?”

“ก็มึงแกล้งกูก่อนทำไมอ่ะ “

“ใครแกล้ง? มึงนั่นแหละที่หาเรื่องเอง  เอาขามาดูดิ๊”

“ไม่ต้อง!  เดี๋ยวกูจัดการเอง”

“เอา ขา มา” ไอ้ภพพูดด้วยน้ำเสียงช้าๆ ชัดๆทีละคำ แถมส่งสายตาข่มขู่จนผมรู้สึกว่า ถ้าไม่ทำตามมัน  ผมคงได้มีรอยช้ำเพิ่มอีกนอกจากหัวเข่า

“แค่นี้ก็จบเรื่อง” ไอ้ผมส่ายหัวน้อยอย่างอ่อนใจ พร้อมกับเดินไปหยิบกล่องยามาทาให้และไม่ทำอะไรอีก นอกจากค่อยๆนำยาทาตรงรอยแดงที่หัวเข่าผมซ้ำๆ  บรรยากาศที่รู้สึกเหมือนมีหมอกควันทึบๆเมื่อครู่จึงค่อยๆสลายออกไป

ความเย็นของยาทาทำผมรู้สึกปวดหัวเข่าน้อยๆ  แต่ก็ไม่ได้หนักมากเท่าไร อาจจะเพราะว่าผมไม่ได้ล้มลงไปแรงความช้ำที่เกิดจึงทิ้งรอยไว้นิดเดียวจนแทบไม่รู้สึก  แต่ในสายตาไอ้ภพผมไม่รู้ว่ารอยนี่มันใหญ่ขนาดไหน มันถึงได้ดูจริงจังขนาดนั้น ร่องรอยเมื่อตอนที่ผมล้มขณะเตะบอลกับเพื่อนมันยังดูใหญ่กว่านี้เสียอีก

“ภพ…พอได้แล้ว” ผมเอื้อมมือไปจับมือของมัน พร้อมกับส่งยิ้มบางๆไปให้เพื่อยืนยันว่าผมโอเค

“แต่มันยังแดงอยู่เลย”

“ไม่เป็นไรหรอก กูไม่ได้เจ็บ รอยแดงนี่เดี๋ยวมันก็หาย”

“อืม แล้วมึง เดินไหวมั้ย?”

“ไหวดิ เรื่องแค่นี้เอง ถ้ากูไม่ไหวมึงจะอุ้มกูหรอ 555”

“ใช่” น้ำเสียงจริงจังถูกถ่ายทอดออกมาพร้อมแววตาที่ไม่เจือความตลกใดๆ ทำเอาใจผมกระตุกวูบ  เสียงหัวเราะที่ผมสร้างขึ้นจึงค่อยๆเบาลงจนเงียบไปในที่สุด

“งั้นก็อุ้มเลยดิ….กูคงเดินไม่ไหวแล้วหละ

ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมตอบกลับไปแบบนั้น  ไอ้ภพมันก็ทำแค่มองผม ก่อนจะพยักหน้าและนั่งหันหลังย่อตัวให้ผมขึ้น  เมื่อมันกระชับขาผมจนมั่นใจว่าผมจะไม่ตกลงไป มันก็ค่อยๆพาเดินออกจากห้อง  ย่างก้าวของมันเต็มไปด้วยความเชื่องช้าจนคนอื่นอาจอึดอัดใจ  แต่สำหรับผม…มันกลับเป็นช่วงเวลาที่ผมอยากจะหยุดไว้นานๆ  กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวมันกำลังสะกดให้ผมหลงใหลไปจนถอนตัวแทบไม่ขึ้น

“ภพ…มึงเคยทำแบบนี้กับคนอื่นมั้ย?”

“ถามทำไม?”

“ไม่มีอะไรหรอก กูแค่ไม่เคยมีใครทำอะไรแบบนี้ให้ และกูก็ไม่เคยทำให้ใคร เลยรู้สึกไม่ชิน”

“กูก็ทำแผลให้มึงตั้งหลายรอบแล้วไง มึงควรชินได้แล้วนะ”

“หึ พูดอย่างนี้ถ้าคราวหน้ากูเป็นแผลอีก มึงก็ทำให้เลยนะ”

“อืม ถ้ามึงไม่ไล่ กูก็จะทำให้แบบนี้แหละ”

“แต่ถ้าให้ดี อย่ามีอีกเลยนะ  แผลอ่ะ…กูเป็นห่วง

“อืม  จำคำพูดตัวเองไว้แล้วกัน…” คำพูดของไอ้ภพก่อให้เกิดความอบอุ่นในใจขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาอย่างหาสาเหตุไม่ได้  น้ำเสียงนั่น ไม่ได้มีแววล้อผมเล่นแต่อย่างใด  กี่ครั้งแล้วที่ใจของผมเต้นรัวไปกับไอ้ภพ กี่ครั้งแล้วที่ผมเป็นแบบนี้  ผมไม่อยากให้ตัวเองต้องคิดไกล แต่ก็ช่วยไม่ได้  ตอนนี้ผมอยากหวังและอยากรู้เหลือเกินว่าเคยมีสักครั้งไหมที่ใจผมกับมันจะเต้นด้วยจังหวะเดียวกัน
.

.

.

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่10 คำถาม (24/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 24-01-2017 21:32:56
ตั้งแต่ตื่นมาวันนี้จะพูดว่าผมมีความสุขมากๆก็ทำได้ไม่เต็มปาก   เพราะเมื่อผมกับไอ้ภพลงมาจากห้องและทำกิจวัตรประจำวันไป ก็มีทีมงานจากเกมส์ แต่ไม่ใช่ชุดเดิมกับที่จะมาเอาไอ้ภพออก เดินเข้ามาทักทายในบ้าน ก่อนจะนำตัวผมกับไอ้ภพ ไปแต่งองค์ทรงเครื่อง ให้ดีกว่าสภาพในตอนนั้นอย่างรีบร้อนจนผมจับต้นชนปลายไม่ถูก  เลยกลายเป็นว่าจากยาจกคนหนึ่ง บัดนี้ได้เขยิบฐานะขึ้นมาเป็นคนใช้   

….ซึ่งต่างจากไอ้ภพ…. 

ในตอนแรกที่ผมถูกแปลงสภาพ ผมมองตัวเองในกระจกก็อดที่จะชมตัวเองไม่ได้ว่าผมก็หล่อ  แต่เมื่อมองไปที่ไอ้ภพ ทุกอย่างที่ว่ามามันก็หายไปทันที  ไอ้ภพในสภาพที่ผมถูกเซตขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่แต่งเติมเครื่องสำอางไปเล็กน้อย ได้ทำให้มันกลายเป็นผู้ชายที่ดูมีภูมิฐานและหล่อขึ้นเป็นกอง  ทีมงานที่แต่งหน้าให้มันต่างหลงใหลไปกับใบหน้าราวกับรูปปั้นนั่นไม่ต่างไปจากผม วัดได้จากคำชมมากมายที่ถูกเอ่ยให้มันได้ยิน แต่มันก็ทำแค่ยิ้มรับและขอบคุณไปเท่านั้น

เมื่อผมและไอ้ภพพร้อม  ทีมงานจากเกมส์กลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาบอกกับเราว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่ทางรายการได้เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ร่วมสนุก อันเนื่องมาจากกระแสความแรงของคู่ผม ที่ไปกระตุ้นยอดคนดูได้สูงกว่าปีก่อนๆ

“เอ่อ….ขอโทษนะครับ กิจกรรมที่ให้ร่วมสนุกคืออะไรหรอครับ”

“ทางเราเปิดโอกาสให้ผู้ชมถามคำถามอะไรก็ได้เพื่อจะนำมาถามพวกคุณ โดยเราเลือกมา 20 คำถามที่ถูกถามมากที่สุดจากคำถามทั้งหมด”

“อ๋อ แล้วพวกผมต้องทำอย่างไรบ้างครับ”

“เดี๋ยวเราจะอัดเป็นคลิปวีดีโอนะครับ  คุณมิวมีหน้าที่แค่ตอบคำถามเท่านั้นครับ”

“ทำไมคู่พวกผมถึงเป็นกระแสได้ครับ”ไอ้ภพที่นั่งหน้าหล่อมาสักพัก ถามขึ้นบ้าง ซึ่งก็เรียกความสนใจจากทีมงานได้ไม่น้อย

“เอาเป็นว่าเดี๋ยวก็รู้ครับ  เริ่มเลยนะครับ อันดับแรกแนะนำตัวให้กล้องเลยครับ”

“สวัสดีครับผมมิวครับ/สวัสดีครับผมภพครับ”

“คำถามแรกนะครับ  คิดอย่างไรถึงมาร่วมเกมส์นี้”

“คำถามเบสิคเลยนะครับ  ผมร่วมเกมส์นี้ในตอนแรกก็เพราะเงินเลยครับ อีกอย่างผมก็เล่นเกมส์โชว์มาหลายรายการแล้ว คงพอมีหลายคนคุ้นหน้าผมบ้าง  ผมเห็นว่าเกมส์นี้มันแปลกเลยอยากเข้าร่วมครับ” ผมยิ้มให้กล้องและตอบคำถามอย่างไม่เขินอาย คำถามแรกไม่ต่างไปจากที่ผมคิดเท่าไร

“ส่วนผม  เข้าร่วมเกมส์นี้เพราะเห็นว่ามันน่าสนุกครับ” คำตอบสั้นๆแต่กระชากจิตใจทีมงานถัดมาเป็นของไอ้ภพ

“คำถามต่อมาเลยนะครับ  คุณกลัวผีกันหรือไม่”

“ผมกลัวครับ  ในตอนแรกที่รู้ว่าได้ร่วมเล่นก็ทำผมใจเสียไปพอสมควร”

“ผมไม่กลัวครับ” คำตอบสมกับเป็นชายชาตรีของไอ้ภพ  ทำให้ทีมงานหลายคนต่างพร่ำเพ้อไปกับมันอีกรอบ ซึ่งปฏิกิริยาพวกนี้ไม่ได้มีตอนผมตอบคำถามแต่อย่างใด

“คำถามที่สามเป็นของคุณมิวนะครับ ในเกมส์ซ่อนหาทำไมคุณมิวถึงเปิดประตูออกไปครับ”

“ฮะ!!  ผมไม่ได้เปิดนะครับ ประตูมันเปิดเอง”  ความงุนงงเกิดขึ้นทันทีหลังจบคำถาม ซึ่งก็ไม่ใช่แค่ผมที่งง ทีมงานทุกคนต่างก็ทำสีหน้าไม่ต่างจากผม เสมือนว่าต่างคนต่างก็ถือความจริงอยู่คนละเรื่อง

“คำถามถัดไปเลยครับ” ไอ้ภพรีบแทรกขึ้นมาอย่างรีบร้อน เลยทำให้บรรยากาศตึงๆเมื่อครู่หายไปกับตา

“อ่าครับ คำถามนี้เป็นของคุณภพนะครับ  ทำไมในช่วงกลางวันส่วนมากจะเห็นแค่คุณมิวครับ คุณภพไปไหน?”

“ผมแค่ออกไปพักข้างนอกครับ อยู่ในบ้านมันเบื่อๆ ไอ้มิวมันไม่ออกเพราะมันกลัวดำครับ”

“55555 คุณมิวนี่กลัวดำด้วยหรอครับ”

“เอ่อ ครับๆผมกลัวดำ” ผมค้อนขวับไปที่ไอ้ภพทันทีหลังจากที่มันโกหกเรื่องของมันและเบนความสนใจทั้งหมดมาที่ผม  ทีมงานพวกนี้ก็มีความสองมาตรฐาน ทั้งๆที่ก็รู้ว่าไอ้ภพมันหายไปไหนแต่กลับไม่มีใครทักท้วงอะไรขึ้นมา  ตัวการที่สร้างเรื่องก็หันมายิ้มเย้ยๆผมและตบท้ายด้วยการยักคิ้วกวนๆให้

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”

บ้านแทบแตกไปในทันที เมื่อทีมงานผู้หญิงต่างก็แหกปากกันขึ้นมาลั่นบ้าน ทำเอาบรรยากาศบ้านผีสิงพังย่อยยับ และยังมีคำพูดที่เหมือนจะคุยกันเองว่า ไอ้ภพหล่อบ้าง   อยากได้บ้าง ต่างๆนานา เอ่ยขึ้นมาเป็นระยะ เล่นเอาไอ้ภพรีบทำหน้ากลับไปเป็นปกติแทบไม่ทัน

“55555” ผมแอบขำกับภาพตรงหน้า แต่คงแอบดังไปหน่อยจึงทำให้ไอ้ภพหันมามองผม

“มึงขำอะไรวะ”

“ขำมึงนั่นแหละ เป็นไงหละ หล่อดีนัก แม่ยกตรึมเลยทีนี้”

“แล้ว?  มึงอิจฉารึไง” ตาคมๆของมันหรี่ลงก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาอย่างจับผิด

“บ..บ้าละ   แล้วมึงจะยื่นหน้ามาทำไมเนี่ย  ออกไปเลย” ความรู้สึกผมค่อนข้างไวต่อการกระทำของไอ้ภพ  จึงรีบดันหน้ามันออกไป กลัวว่าจะต้องเขินมันหน้าแดงออกวีดีโอนี่  ไอ้ภพก็ไม่ให้ความร่วมมือ ยังคงต้านกับแรงดันมือผมและยิ้มอย่างเป็นเรื่องสนุก

“หยุดแกล้งกันก่อนนะครับ คำถามถัดไปนี่มีคนอยากรู้เยอะเลยครับ คุณสองคนรู้จักกันมาก่อนหรือไม่”

“ไม่ครับ” เราทั้งคู่ตอบพร้อมกันอย่างไม่ต้องสงสัย

“ทำไมคุณทั้งคู่ถึงดูสนิทกันมาก ทั้งที่อยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่วัน”

“ผมคิดว่าด้วยความที่ผมกับมันกินนอนด้วยกัน เวลาทั้งวันเราทำทุกเรื่องคล้ายๆกันมันเลยสนิทกันไปเองครับ”

“สำหรับผมก็ตามที่ไอ้มิวบอกเลยครับ”

“แล้วคุณเคยรับชมรายการนี้กันมาก่อนหรือไม่”

“ไม่/ไม่ครับ”  แทบจะในทันทีที่เราทั้งคู่หันมามองหน้ากัน อย่างคงกำลังสงสัย เป็นไปได้ยังไงที่ไม่เคยมีใครดูรายการนี้

“คำถามนี้ยากหน่อยนะครับแต่ขอให้ตอบด้วย  พวกคุณมีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์กันหรือไม่”

“ฮะ!!!!!!!!!!” ทั้งผมและไอ้ภพต่างก็ตะโกนออกมาสุดเสียง  หลังจากได้ยินคำถามบ้าบอนั่น ก่อนที่จะหันมามองหน้ากันด้วยแววตาเลิ่กลั่ก

“เอ่อ….ไม่รู้ครับ คงต้องเป็นเรื่องของเวลามั้งครับ”ผมที่ตั้งสติได้ก่อนรีบตอบขึ้นมาทำลายความเงียบที่ก่อตัวขึ้น  แม้จะยังตื่นเต้นและตกใจกับคำถามมากก็ตาม   รู้เลยว่ากระแสที่มันดีขึ้น มันดีเพราะอะไร  ในหัวผมมีแต่คำถามว่า  ใครมันถามคำถามนี้ เดี๋ยวพ่อจับดีดหนังยางใส่ปาก  เอาเวลาตรงไหนของรายการไปคิดอะไรแปลกๆแบบนี้

“แล้วคุณภพละครับ?”   จบคำถามของทีมงานผมก็ต้องหันไปมองหน้ามัน  นั่งลุ้นกับคำตอบมันอย่างใจตุ้มๆต่อมๆ หากมันหักดิบตอบว่าไม่ ผมจะทำอย่างไรให้น้ำตาไม่ไหล  หรือถ้ามันคิดแบบผม ผมจะทำหน้าอย่างไรให้รู้สึกว่าชนะทีมงานทุกคน

ตุ้บ ตุ้บ    ตุ้บ ตุ้บ

“มิว…เค้าพูดไปหมดแล้วครับ” คำตอบอย่างดาราถูกเอ่ยมา  ทำให้ผมรีบหันหน้ากลับด้วยความเขินอาย อยากจะวิ่งออกไปดีใจรอบๆบ้าน   ตีลังกา320ตลบ  และยิ้มให้ทีมงานทุกคนอย่างผู้ชนะ  แต่ความจริง ผมก็แค่นั่งยิ้มๆกำมือแน่นๆไปคนเดียว

“คำถามต่อไปนะครับ คุณเจอวิญญาณกันบ้างหรือไม่”

“ผมไม่เจอและไม่เคยเจอครับ” ไอ้ภพชิงตอบก่อนเพราะเห็นว่าผมเงียบ สมองผมเวลานี้ตีกันสับสนไปหมด  ผมไม่แน่ใจว่าจะบอกไปดีหรือไม่ว่าผมเคยเห็น  หรือจะแค่โกหกตอบผ่านๆไป 

“คือเอ่อ คือผม….ไม่เคยเห็นครับ” ผมนั่งตีรวนตัวเองอยู่สักพัก  จนกระทั่งไอ้ภพยื่นมือมาบีบมือผม ผมจึงใจกล้าที่ตอบไปว่าผมไม่เคยเห็น   และยิ้มแกนๆให้กล้องอย่างเป็นกังวล

คำถามอีกมากมายถูกเอ่ยขึ้นหลังจากนั้น  ส่วนมากไม่ใช่คำถามเกี่ยวกับรายการนี้หรือสิ่งที่พวกผมทำในรายการ แต่จะเป็นคำถามส่วนตัว ประมาณว่า พวกเราชอบอะไร  ชอบกินอะไร   ชอบผู้หญิงแบบไหน อะไรพวกนี้มากกว่า  ผมกับไอ้ภพก็ตอบแกล้งกันไป  ตอบเอาสนุกๆแก้เครียดไป เพราะตั้งแต่อยู่ในบ้านมา วันนี้คึกครื้นที่สุด

เราใช้เวลาในช่วงบ่ายไปกับการถ่ายวีดีโอตอบคำถามให้ผู้ชม  คำถามในแต่ละข้อกินเวลาอยู่มากโข เพราะทางทีมงานได้บอกว่าให้เล่นได้ตามปกติ เราทั้งคู่จึงปฏิบัติต่อกันเหมือนไม่มีคนมอง จนกระทั่งถึงคำถามสุดท้าย

“เอาหละ คำถามสุดท้ายแล้วนะครับ ถ้าคุณคนใดคนหนึ่งเกิดตายหรือเป็นบ้าไปเกมส์นี้ คนที่เหลือจะรู้สึกอย่างไร

สิ้นเสียงของทีมงาน   ผมกับไอ้ภพก็อึ้งไปตามๆกัน  คำถามนี้สำหรับพวกผมถือเป็นคำถามต้องห้าม เพราะในช่วงเวลาที่เราต่างก็ช่วยเหลือกัน  ย่อมไม่มีใครคิดอยากให้ใครอีกคนเป็นอะไรไป 

“ผมไม่ตอบได้รึเปล่าครับ”

“ตอบเถอะครับ คำถามนี้เป็นคำถามอันดับหนึ่งที่ถูกถามมามากที่สุดนะครับ”

“จากใครหรอครับ?” ไอ้ภพสวนกลับไปในทันที แววตาของมันเริ่มทำเอาบรรยากาศรอบๆกายมาคุด้วยแรงอารมณ์

“เอ่อ…ตอบเถอะครับ ผมบอกไม่ได้จริงๆ” ทีมงานบอกกลับมาด้วยท่าทีที่คงกลัวไอ้ภพอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังไม่มากเท่ากับคำสั่งจากเบื้องบนที่กดหัวผู้คนเหล่านั้นเอาไว้

“ก็ได้ครับ…สำหรับผม ผมไม่เคยคิดที่จะให้ไอ้ภพตายหรือเป็นบ้าไประหว่างเกมส์เพราะไอ้ภพมันใจแข็งมาก  รายการให้ทำอะไรมันก็ทำได้หมด  ถ้าวันหนึ่งมันเป็นบ้าหรือตายไป คิดว่ามันคงเป็นเพราะผม  ผมคงเสียใจมากที่ช่วยมันไว้ไม่ได้ เกมส์นี้มันไม่เหมาะกับคนจิตอ่อนอย่างผมหรอกครับ  ถ้าต้องมีหนึ่งคนเป็นบ้าไป ผมว่ามันควรจะเป็นผมมากกว่า…”

ผมลังเลอยู่พักหนึ่ง   ก่อนที่จะเลือกตอบคำถามทีมงานไปตามความเป็นจริง  ไอ้ภพมันหันมามองอย่างไม่คิดว่าผมจะเห็นค่าตัวเองน้อยขนาดนั้น ซึ่งสำหรับผมแล้วสิ่งที่ผมตอบมันไม่ได้เกินจริงใดๆ  มันคือสิ่งที่ผมและมันต้องยอมรับหากมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น

“เกมส์นี้ ในความรู้สึกผม ผมไม่ใช่คนเข้มแข็ง ผมยังมีอารมณ์กลัวและหวาดหวั่นตามประสามนุษย์ทั่วไป แต่เมื่อต้องอยู่ในเกมส์นี้กับไอ้มิว ที่มีโอกาสพาตัวเองออกไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังอยู่เพียงเพราะอยากอยู่เป็นเพื่อนผม ผมก็ต้องเข้มแข็งและปกป้องมันให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้  ไอ้มิวมันไม่เหมือนกับที่เราเห็น   พวกผมสัญญากันไว้ว่าจะไม่มีใครทิ้งใครไป หากวันหนึ่งไอ้มิวต้องเป็นบ้าหรือตายไป ผมก็คงไม่รอดด้วย  กิจกรรมที่ทีมงานให้ทำมันไม่มีเกมส์ไหนพาพวกผมตายได้สักเกมส์ อีกทั้ง….”  ผมรีบบีบมือไอ้ภพ และใช้สายตาปรามมันให้เร็วที่สุดก่อนที่แรงอารมณ์ของมันจะพาพวกเราแย่  ในเกมส์นี้เรายังหาเบาะแสไม่ได้ว่ามีฆาตกรจริงหรือไม่   ผมจึงไม่กล้าเสี่ยงให้มันพูด

“อีกทั้งอะไรหรอครับคุณภพ”

“อีกทั้ง ผมยังหล่อและเก่งครับ ผมจึงมั่นใจว่าผมสามารถรอดและปกป้องไอ้มิวได้อย่างแน่นอน”

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” เสียงกรี๊ดและเสียงปรบมือของทีมงาน  ดังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อไอ้ภพทำลายบรรยากาศขุ่นมัวรอบๆตัวให้กลับมาครื้นเครงด้วยคำตอบแบบพระเอกของมัน

พวกผมฝืนยิ้มให้กล้องที่เป็นอย่างสุดท้าย ก่อนที่ทีมงานจะยกออกไป  รอบตัวของผมเต็มไปด้วยความสนุกสนานมากมาย เพราะงานที่ทีมงานต้องทำเป็นอันเสร็จสิ้น  เว้นแต่ผมกับไอ้ภพ ที่ตั้งแต่เจอคำถามนั่นไป เราทั้งคู่ก็ได้แต่นั่งจับมือที่มีแต่เหงื่อซึมออกมา   และต่างก็รู้กันว่าคำถามเมื่อสักครู่  มันไม่ธรรมดา

“ปีก่อนๆมีคำถามให้ผู้เข้าแข่งขันเล่นอย่างนี้มั้ยครับ  ผมว่ามันช่วยคลายเครียดมาก”  ไอ้ภพถามกับทีมงานที่กำลังเก็บของเตรียมจะกลับ

“ไม่มีหรอกครับ ปีนี้เราจัดเป็นพิเศษ ถ้าปีก่อนๆเราจะให้ทำเป็นแบบสอบถามมากกว่า”

“คำถามแบบนี้เลยหรอครับ”

“ไม่หรอกครับ  ปีที่ผ่านมานี่ทางการกว่าเยอะมากครับ คุณภพกับคุณมิวนี่โชคดีมากเลยนะครับที่โดนถามแต่อะไรเบาๆ”

“55555 ไม่เบามั้งครับ คำถามสุดท้ายก็เล่นซะอ่วมเลย”

“เป็นปกติครับ ปีผ่านๆมาก็แสดงอาการแบบเดียวกับคุณหมด แต่ยังไงก็ระวังนะครับ เรื่องแบบนี้มันมีทุกปีไม่รู้ว่าเพราะอะไร”

“หรอครับ  ขอบคุณมากเลยนะครับ ช่วยพวกผมได้เยอะเลย”

กว่าที่ทีมงานจะกลับออกไปจากบ้านหลังนี้ ก็เกือบจะเย็นแล้ว ผมกับไอ้ภพในตอนนั้นต่างก็ภาวนาให้ทีมงานกลับกันเร็วๆ เพราะข้อมูลที่ได้มาใหม่เป็นสิ่งที่เราพึ่งจะรู้  อีกทั้งข้อสงสัยเรื่องการเข้าร่วมเกมส์ของเราก็ดูเหมือนจะเป็นประเด็นใหญ่จนได้เมื่อไม่มีใครเคยเกี่ยวข้องกับรายการเลย

“มึงคิดเหมือนกูใช่มั้ยวะ บีหนึ่ง” เมื่อขึ้นมาบนห้องผมรีบหันไปถามไอ้ภพทันทีด้วยความตื่นเต้น  ข้อมูลพวกนี้มันจะทำให้ผมหาความจริงได้เร็วขึ้น ซึ่งนั่นอาจหมายความว่า ผมสามารถลดโอกาสการเจอผีได้มากขึ้นไปอีก

“…..”

“อ้าว บีหนึ่งมึงเงียบทำไม มึงไม่คิดเหมือนกูหรอวะ”

“บีหนึ่งห่าอะไรของมึง”

“นี่มึงไม่รู้จักกล้วยหอมจอมซนหรอวะ??   มึงเติบโตมากับวัฒนธรรมไหนไอ้ภพ”

ป้าบบบบบบ

“โอ้ย มึงตบหัวกูอีกแล้ว จะใช้ความรุนแรงอะไรนักหนาวะ”

“เรื่องแบบนี้มึงยังจะเล่นอีกนะ”

“ก็กู…ไม่อยากให้มึงเครียด” ผมกลับเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง เมื่อไอ้ภพไม่มีอารมณ์เล่นด้วย  สีหน้าของมันดูกังวลมากตั้งแต่เจอคำถามนั่น 

“มึงคิดอย่างไรกับคำถามสุดท้าย?” ไอ้ภพพุ่งประเด็นเข้ามาทันที

“สำหรับกู กูมองว่ามันเหมือนจดหมายเตือน  เพียงแต่มันระบุเวลาไม่แน่นอน น้องมึงถูกปลดออกจากเกมส์หลังเล่นไปสิบห้าวัน กูคิดว่าอีกไม่กี่วันเราคงต้องโดนอะไรบางอย่าง”  น้ำเสียงของผมเต็มไปด้วยความกังวลอย่างชัดเจน ไม่ต่างไปจากสีหน้าไอ้ภพ  ด้วยความที่พวกผมอาศัยบ้านนี้มาได้ 6 วันแล้ว ยิ่งตอนนี้ยังไม่มีใครออกจากเกมส์ไป  รายการคงไม่ปล่อยให้เสียเวลา

“อืม กูก็คิดแบบนั้น  เราจะทำไงดีวะ”

“ใจเย็นๆก่อนไอ้ภพ มึงมีสติ อย่าตามเกมส์ กูกับมึงมีหน้าที่วางไว้อยู่แล้ว  รีบทำตามนั้นก็พอ”

“อืม”มันพยักหน้ารับ

“อีกเรื่อง มึงไม่เคยดูรายการนี้หรอไอ้มิว”

“ใช่ กูเพิ่งเคยเห็น และก็เพิ่งเคยสมัครเข้ามา แล้วมึงอ่ะทำไมไม่เคย”

“ตอนนั้นกูก็กะว่าจะดู แต่กูติดงานเลยไม่ได้ข้องเกี่ยวอีกเลยจนเข้ามาในเกมส์ปีนี้  น้องกู…ก็ไม่เคยดู”

“มึงคิดว่าตรงนี้มีอะไรแปลกมั้ย?”

“มี เหมือนเกมส์มันจะเลือกแค่คนไม่เคยดูเข้ามาเท่านั้น แต่กูไม่รู้ว่าเพราะอะไร”

“เพราะ…กล้องพวกนั้นไง”ผมคิดตามอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดคำตอบที่ผมคิดว่าใช่ออกมา   ไอ้ภพเลยรีบหันมามองหน้าผมอย่างสงสัย 

“เกมส์นี้มันถ่ายทอดชีวิตผู้เล่นผ่านกล้อง  คนที่เคยดูย่อมรู้ว่าผู้เล่นจะเจอกับอะไร หลายคนถึงกล้าที่จะสมัครเข้ามาเสี่ยง แต่สำหรับคนที่ไม่เคยดู เกมส์มันสามารถเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา เพราะอย่างไร พวกเราก็ไม่รู้”  คำตอบของคำถามที่ผมเคยสงสัยว่าทำไมถึงต้องเป็นผม ถูกเฉลยออกมาอย่างง่ายดาย  เกมส์นี้มันไม่ได้สุ่มผู้เล่น แต่มันจงใจเลือกคนเข้ามา

ระบบของเกมส์เมื่อจะเข้าดูรายการต้องสมัครสมาชิกมาก่อนเท่านั้น จึงทำให้ข้อมูลส่วนตัวถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลอยู่แล้ว  ส่วนคนที่จะสมัครเข้ามาเล่น ไม่ต้องสมัครสมาชิก จึงทำให้ข้อมูลแตกต่างจากผู้สมัครอีกหลายๆคน  เกมส์นี้มันเป็นที่รู้จักก็จริง แต่อีกหลายๆคนก็เพิ่งจะได้เห็นและรู้ถึงการมีอยู่   เกมส์จึงคัดคนเข้ามาไม่ยาก

“อย่างนี้สินะ” ไอ้ภพยืนหน้าเครียดดังเดิม  มันกำลังใช้ความคิดอย่างหนักจนทำให้ใบหน้าหล่อๆของมันตอนนี้ ดูแย่ลงไปกว่าเดิม  ผมมองมันอย่างไม่รู้จะทำยังไง เพราะผมเชื่อว่าตอนนี้เครียดไปก็เท่านั้น เราทำอะไรไม่ได้ ผมจึงไม่อยากให้มันตีตนไปก่อน 

“ภพ”  น้ำเสียงผมปลุกมันออกจากความคิด และทำให้มันมองหน้าผมได้    คิ้วของมันยังไม่หายขมวดเป็นปม สร้างความรำคาญตาให้กับผม

“นี่ รู้ตัวมั้ย…วันนี้มึงหล่อมากนะ อย่าให้ความเครียดมาทำลายมึงสิ  ไอ้ภพคนเมื่อเช้าหายไปไหนแล้ว ทำไมทิ้งกูให้อยู่กับไอ้ภพคนนี้ กูเป็นห่วงมันนะ” ผมยื่นมือไปนวดระหว่างคิ้วเพื่อคลายเครียดให้มันซึ่งกำลังมองหน้าผมอยู่ ดวงตาของเราทั้งคู่จ้องกันอย่างไม่ได้ละสายตาไปไหน   

ไม่เลย…แม้แต่วินาทีเดียว

หมับ

ไอ้ภพยื่นมือขึ้นมาจับมือผมให้หยุดการกระทำ ก่อนจะมองหน้าผมนิ่งๆ   มันเม้มปากแน่นจนริมฝีปากถูกกลืนไปกับผิวหน้าเหมือนกับว่ามันกำลังจะพูดอะไรบางอย่างกับผม 

บางอย่าง…ที่แม้แต่ตัวผมก็ไม่มีทางกล้าจะเอ่ยขึ้นมาก่อน

“ทำไมถึงบอกว่า...ขึ้นอยู่กับเวลา” ไอ้ภพถามขึ้น  มันคงจะนึกถึงคำถามเรื่องความสัมพันธ์ของเราในอนาคตที่ผมไม่ปฏิเสธออกไป ตัวผมเองรู้ดีอยู่แล้วว่าเพราะอะไร ผมจึงส่งยิ้มเล็กๆไปให้ ก่อนจะตัดสินใจพูดประโยคที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดทั้งกับผมและมัน



“กูไม่อยากปิดกั้นตัวเอง อนาคตกูไม่รู้ว่าจะอยู่ในบ้านหลังนี้อีกนานเท่าไร หากความรู้สึกของกูมันเปลี่ยนไปเพราะมึง กูก็อยากยอมรับ มันไม่ใช่เรื่องแย่อะไรสำหรับกู  แล้วมึงหละ…เพราะอะไร?” 




***********************************************TBC*****************************************
เอาตอนที่ 10 มาส่งแล้วคร้าบบบบบบบบบบบบบบบ   ตอนนี้เป็นตอนหวานๆบ้างเนอะเผื่อคนทนความหลอนไม่ไหว :hao7:

ผมอาจจะแต่งตอนหวานๆไม่เก่ง  ไม่กุ๊กกิ๊กเท่าที่ควร หากไม่ชอบใจก็ขอโทษด้วยนะครับบ   

ฝากคอมเมนต์ ติชมกันเยอะๆเน้ออออ  มันเป็นกำลังใจให้ผมมากกกกก :o8:

สุดท้าย  เจอกันตอนหน้าครับ  P-Rawit


หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่10 คำถาม (24/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-01-2017 23:45:27
โอ้ยยยย มีความรู้สึกว่ามิวจะสตรองไปไหนเนี่ย
รู้ว่าต้องเจออะไรแต่ก็เดินหน้าต่อ นับถือใจนางงงงงงง
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่10 คำถาม (24/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 25-01-2017 11:39:22
รายการนี้มันต้องตั้งใจไม่ให้ใครได้รางวัลแน่ๆ
พอฉากหวานๆล่ะอ่านกลางวัน ฉากหลอนๆดันไปอ่านกลางคืน :mew5:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่10 คำถาม (24/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 25-01-2017 14:06:05
เหมือนเม้นข้างบนเลยค่ะ...
นี่อ่านกลางวัน แต่หวานกันซะงั้น
พอหลอนๆ ก็ไปอ่านกลางคืนเฉย 555555

มิวแกร่งมาก ทั้งที่เจอมาหนักหนาเหลือเกิน งือออ
ทั้งสองอยู่แบบพึ่งพากันจริงๆ ไม่ใช่แค่ภพช่วยมิว
เวลาคนนึงอ่อนแออีกคนก็อยู่ข้างๆ คอยเตือน ให้กำลังใจ

ตอนนี้จบได้ค้างมากค่ะ กำลังลุ้นเลย งื้อออ
มิวเผยออกมาแล้ว พี่ภพว่าไงคะ ตอบน้องดีๆ น้า...  o18
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่10 คำถาม (24/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 25-01-2017 20:03:55
ค่อยยังชั่วที่วันนี้ไม่มีหลอนๆ 5555
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่10 คำถาม (24/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: AkaneSama ที่ 25-01-2017 20:39:15
น่ากลัวเป็นที่สุด   :ling3:  :katai1:  อ่านแล้วทำให้รู้สึกเหมือนจะเป็น  :hao7:  :hao7:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่10 คำถาม (24/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: JACKSON ที่ 26-01-2017 06:29:17
มิวเขินน่ารักกกกก :mew2:

ปลิง.ขอบคุณคนเขียนที่สอนเม้นนะคะะะ เม้นเป็นแล้วโว้ยยยย สัญญาว่าจะเม้นทุกตอนเลยย55555555
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่10 คำถาม (24/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: minibusez ที่ 29-01-2017 19:20:42
นี่เพิ่งจะหกวัน  :katai1: ความรู้สึกคือกว่าจะถึง 15 วันนี่จะรอดไหมเนี่ย

คำถามสุดท้ายทำเราหวั่นๆ เลย  :heaven ถ้าจะต้องมีใครเก็บกระเป๋าออกจากบ้านเอเอฟ /ผิด 555 รายการคงบีบให้เหลือคนเดียวแน่ๆ เลยจากรูปการณ์
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่10 คำถาม (24/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 29-01-2017 20:50:33
 :o8: :o8: :o8: :o8:  สนุกมากก  รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่11 ศพทวงตาย (31/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 31-01-2017 22:08:52
ตอนที่11

ศพทวงตาย


หน้าของไอ้ภพชัดเจนในความรู้สึกของผม  มันปรากฎเด่นชัดขึ้นมาได้นานพอควรเพียงแต่ผมยังไม่อาจจะยอมรับได้ในขณะนั้น ความกังวลและความไม่กล้าที่เกิดขึ้นบดบังเสียงของสมองไปแทบมิด แต่ตอนนี้หัวใจของผมมันดื้อรั้นจนควบคุมไม่ได้แล้ว  การตอบคำถามว่าขึ้นอยู่กับเวลาจึงเป็นอะไรที่ดีที่สุด

ความรู้สึกชอบพอกันของมนุษย์ในโลกแห่งความเป็นจริงมักถูกจำกัดด้วยบริบทของชายและหญิง  การชอบเพศเดียวกันจึงเป็นเรื่องผิดแปลกไป   สำหรับตัวผมเรื่องพวกนี้ทำอะไรผมไม่ได้  ผมไม่เคยสนใจโลกภายนอกที่ให้ความสุขจอมปลอมแก่ผม   สิ่งที่ผมสนใจมีเพียงหัวใจของผมเท่านั้นที่ร่ำร้องบอกว่าใครคือคนที่สร้างความสุขที่แท้จริง

แต่สำหรับไอ้ภพ ผมไม่รู้เลยว่ามันคิดแบบเดียวกับผมรึเปล่า  คำถามที่ผมถามไปมันก็ยังไม่ได้ให้คำตอบ  ไม่ใช่ว่ามันเมินแต่เพราะตอนนั้นลุงคำมาตะโกนเรียกหาพวกผมในบ้าน  เราทั้งคู่จึงต้องรีบวิ่งลงไปให้เร็วที่สุดเพื่อฟังคำชี้แจงที่เกมส์อาจสร้างมาให้เพิ่มหรือไม่ก็ลงไปคุยกับลุงไม่ให้เสียมารยาท

“เฮ้ย !! นี่พวกเอ็งไปทำอะไรกับหน้ามา” ลุงคำ ถามด้วยความตกใจจนเสียงหลง

“อ๋อ เมื่อช่วงบ่ายผมมีอัดคลิปตอบคำถามผู้ชมกันครับ ทีมงานเลยจับแต่งหน้า”

“ถึงว่า…ลุงเห็นลิปสติกตกอยู่  ลุงก็สงสัยว่าพวกเอ็งเอามาจากไหน”

“หืม? มีด้วยหรอครับ อยู่ตรงไหนครับลุง”

“ลุงเห็นตกอยู่ที่ข้างตู้หนังสือนั่นแหละ”

“สงสัย….ทีมงานคงลืมเอากลับ”

“ลุงเรียกพวกผม มีอะไรสำคัญหรือเปล่าครับ”  ไอ้ภพถามแทรกขึ้นมา เรียกความสนใจจากลุงคำที่กำลังคุยกับผมให้หันไปมองหน้ามัน  คำถามนี้ผมก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน  เสียงของลุงคำที่ใช้เรียกพวกเรามันเจือไปด้วยความน่าตื่นเต้นเล็กๆจนพวกเราสองคนรู้สึกลุ้นไปกับคำพูดของลุงคำตั้งแต่ลุงแกยังไม่เปิดปากด้วยซ้ำ

…เกมส์วันนี้มันกำลังจะให้ผมทำอะไร…

“มีสิ สำคัญมากด้วย”

“อะไรหรอครับลุง เกี่ยวกับเกมส์คืนนี้หรอครับ”

“ใช่  เกมส์วันนี้ไม่ต้องไปหยิบหนังสือนั่นมาอ่านนะ”

“ทำไมหรอครับลุง”

“ทางผู้จัดการเกมส์บอกลุงว่า วันนี้ทางรายการอยากให้พวกเอ็งพักผ่อนเลยงดกิจกรรม”

“ฮะ!!! จริงหรอครับ!!!   ทำไมอ่ะลุง  เกิดอะไรขึ้น” ผมตอบออกไปด้วยความตื่นเต้นและดีใจเป็นอย่างมาก ประโยคนั้นของลุงคำนอกจากความหมายตรงตัวที่ว่าวันนี้ผมจะอยู่สบายๆกันแล้ว  มันยังแฝงความนัยเพิ่มอีกว่าวันนี้ผมจะไม่มีโอกาสเจอผีอีกด้วย   

ถึงแม้ว่าผมจะกลายเป็นคนมีสัมผัสที่6ไปแล้ว แต่บ้านหลังนี้มันไม่ได้มีวิญญาณให้ผมเห็นเลยตั้งแต่แรก ดังนั้นการที่ผมไม่ต้องท้าทายมันจึงเอื้อประโยชน์ให้กับผมนัก ผมรีบหันไปมองไอ้ภพกะว่าจะหาเพื่อนร่วมดีใจ  แต่กลายเป็นว่าไอ้ภพมันกำลังทำสีหน้าเคร่งขรึมจ้องลุงคำอย่างไม่วางตา จนผมต้องรีบหุบยิ้ม

“มีอะไรรึเปล่า  ภพ? ลุงเรียกถูกใช่มั้ย?” ลุงคำหันไปหาไอ้ภพก่อนจะตอบคำถามผม

“ครับ?..เอ่อไม่มีอะไรครับ แล้วทำไมเกมส์ถึงให้หยุดหละครับลุง” ไอ้ภพสะดุ้งเล็กน้อยพอเป็นพิธีหลังได้สติจากคำถามนั่น

“ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน  ดีใจกับพวกเอ็งด้วยนะ”

“ขอบคุณครับลุง/ขอบคุณครับ”

“งั้นลุงไปก่อนแล้วกัน  พักผ่อนให้เต็มที่ พรุ่งนี้ค่อยเริ่มกันใหม่”

ผมปล่อยลุงคำออกจากบ้านไปด้วยความรู้สึกอิ่มๆอยู่ในอก  คำว่าดีใจจนเนื้อเต้นเป็นอย่างไรวันนี้ผมเข้าใจมันอย่างถ่องแท้  สัญญาณของพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าไม่ได้มีผลต่อผมเหมือนในทุกๆวัน  ความสบายใจที่จะอยู่ในเกมส์นี้ก่อตัวขึ้นมามากอย่างบอกไม่ถูก วันนี้คงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นวันที่ดีที่สุดของผม

“ไอ้ภพเป็นอะไรไปวะ  วันนี้วันดีนะเว้ย”  ผมรีบวิ่งเข้าไปกอดคอไอ้ภพ จนร่างมันเซเข้าหาตัวผม

“…..”

“อ้าวเฮ้ย  มึงเงียบทำไมเนี่ย ดีใจกันหน่อยดิวะ”

“มึงไม่สงสัยอะไรหน่อยหรอ”

“สงสัย?  จะให้สงสัยอะไรวะไอ้ภพ รายการทำดีกับเรามาตั้งแต่เช้าแล้วนะเว้ย”

“ก็นั่นแหละ…ที่กูกำลังสงสัย”

“หมายความว่าไง?”

“กูไม่รู้จะพูดยังไง มันไม่ใช่ว่ากูไม่ดีใจที่ทีมงานดีกับเรานะ แต่ว่า…นี่มันมากไป”


ใจดีมากไป งั้นหรอ?....


วูบหนึ่งของความคิด  สะกิดลางสังหรณ์ของผมให้ทำงาน  ทีมงานดีกับผมมาทั้งวันก็จริง แต่นี่มันดีเกินไป รายการปล่อยให้ผมระทมทุกข์มา 4 วันเต็มโดยไม่เหลียวแล มิหนำซ้ำยังทารุณพวกผมเพิ่มไปอีกโดยการบังคับให้ทำในสิ่งที่หนังสือไม่บอกไว้  เหตุใดเรื่องดีๆถึงประเดประดังเข้ามาในวันเดียว

“มัน…แปลกจริงๆ” ผมนิ่งเงียบพูดแทบไม่ออก คิ้วขมวดต่ำลงมาจนแทบจะบังเปลือกตา  คำพูดไอ้ภพกระตุ้นให้ต่อมป้องกัน
ตนเองของผมทำงาน หลังจากที่มันหยุดไปเพราะคำพูดแสนหวานจอมปลอมของลุงคำนั่น

“อืม  แต่อย่าเพิ่งคุยตอนนี้ตามกูขึ้นมาบนห้อง”  ไอ้ภพยื่นหน้ามากระซิบข้างหูผม  ลมหายใจอุ่นๆของมันพร้อมกระตุ้นเซลล์สมองผมให้รีบทำตามมันโดยอัตโนมัติ  ถ้าไม่ติดว่าสายตาของผมดันเหลือบไปเห็นกล้องที่ติดอยู่บนกำแพงเสียก่อน

พลันความคิดก็รีบส่งเสียงสัญญาณเตือนภัยขึ้นมา พฤติกรรมของเราเมื่อครู่อาจจะกำลังก่อพิรุธให้ทีมงานสงสัย  สิ่งที่ทีมงานถามผมเมื่อตอนกลางวันย้อนกลับเข้ามาในหัว ผู้ชมรายการนี้กำลังจับตาดูคู่ผมกับไอ้ภพ ดังนั้นเพื่อเป็นการปกป้องตัวเอง ปากของผมจึงเริ่มทำงานโดยการแกล้งยิ้มหวานๆและส่งเสียงหัวเราะเล็กๆออกมา เสมือนว่าเราสองคนกำลังสร้างความรักกันอยู่

“มึงจะยิ้มทำไม?  มันใช่เรื่องน่ายินดีตรงไหน”

“อย่าเพิ่งถาม  เล่นตามเกมส์กูไป จับมือกูขึ้นบันไดไปด้วย!!” ผมปล่อยเสียงให้เล็ดรอดไรฟันออกมาพร้อมส่งสายตาเชิงบังคับไอ้ภพให้ทำตาม เพราะขณะที่ผมพูดผมยังต้องยิ้มสู้กล้องหลอกทุกคนอยู่แบบนั้น  ไอ้ภพยังคงไม่เข้าใจกับการกระทำของผม แต่มันก็ไม่ได้ขัดอะไร ยอมทำตามคำสั่งผมและเดินขึ้นห้องไปอย่างเงียบๆ

แทบไม่อยากจะเชื่อว่าผมจะเป็นไปมากขนาดนี้….

ลึกๆแล้วแผนการจับมือ  มันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อหลอกคนดูด้วยซ้ำ  คนที่กำลังโดนหลอกมันคือตัวผมที่กำลังหลอกตัวเองว่าไอ้ภพมันอยากจะจับมือ ฉะนั้นการที่ผมยิ้มกว้างจนแก้มขึ้นริ้วสีแดงๆระเรื่อให้คนดูเห็น จึงไม่ใช่การเสแสร้ง

…มันกำลังเกิดจากใจผมจริงๆ…

“หยุดยิ้มสักที  กูขนลุก”  มันสั่งให้ผมหยุดอากัปกริยาของตัวเอง หลังจากมันปิดประตูห้อง

“ตามเกมส์กูหน่อยได้มั้ยวะ  จะได้ไม่ผิดสังเกตเพราะคนดูมันกำลังคิดว่ากูจะได้กับมึง”

“แล้วไง?  กูต้องเสียเปรียบขนาดนี้เลยหรอวะ”

“ไอ้ห่า!!  กูก็เสียเปรียบ  อยู่ดีๆก็ถูกจับยัดให้มีมึงเป็นแฟนเนี่ย” ผมโวยลั่นเมื่อมันเล่นทำหน้าทำตาไม่พอใจใส่ผม  ไม่รู้ว่ามันกำลังจริงจังแค่ไหน  แต่ในความจริงคนที่เสียเปรียบไม่ได้มีแค่มันด้วยซ้ำ  ผมก็เสียไปด้วย แต่ผมยอม ถ้ามันจะทำให้ผมได้สัมผัสกับตัวมัน แม้จะแค่ปลายนิ้วก็ยังดี

“แล้วมันไม่ดีตรงไหน?”

“มันก็ดีไงเล่า !!! จะอะไรนักหนาวะ”

“….” 

“อะ เอ่อ…ช่างมัน มึงมีอะไรจะพูดวะ”  ผมไม่เป็นตัวเองไปชั่วขณะ ดวงตาของผมหลุกหลิกไปมาเพราะไม่สามารถจ้องหน้ามันตรงๆได้ เนื่องจากการเผลอหลุดพูดเรื่องที่อยู่ในใจออกไปให้มันฟัง ไอ้ภพนิ่งค้างไปกับคำพูดของผมนิดหน่อยก่อนจะกลับมาปกติเพราะผมรีบเปลี่ยนเรื่องไปอย่างเร็ว

“กูสงสัยเรื่องที่รายการสั่งให้เราหยุดเล่นเกมส์วันนี้   มันไม่มีเหตุผลเลย”  ไอ้ภพมันกลับเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง

“สำหรับกู มันแปลกตรงที่ทำไมรายการถึงยัดเยียดเรื่องดีๆทั้งหมดมาให้เราวันนี้  กูกลัวมันจะมีอะไรแฝง” ผมบอกมัน

“กูก็กลัวแบบนั้น แล้วมึงพอจะคิดอะไรได้บ้างมั้ย?”

“อืม..ถ้าให้คิดมันก็มี”

“เรื่อง?”

“คำเตือนจากคำถามนั่นไง กูว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกัน”

“ถ้าอย่างนั้น….กูก็ว่ามันไม่แปลกแล้ว” มันทำท่าคิดตาม ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“ทำไม?”

“มึงคิดดูนะ  ถ้าจดหมายนั่นมันคือคำเตือนกูกับมึงจริงๆ ตอนนี้รายการคงกำลังจะเริ่มทำในสิ่งที่กูกับมึงกลัวกันแล้ว เราอยู่ในเกมส์โดยที่ไม่เป็นอะไร นานเกินไป…”

“มันจะทำไปเพื่ออะไรวะ  กูว่าสาเหตุที่ผู้เข้าแข่งขันปีก่อนมันไม่มีใครมาบอกอะไรได้เพราะโดนแบบนี้จนเป็นบ้ากันไปแน่ๆ” ผมเหวลั่น เพราะเริ่มรู้สึกถึงกลิ่นอายความไม่ปลอดภัยบางอย่าง

“ไม่มันก็…ตาย”

“อืม…” ผมพยักหน้าตอบไปเบาๆ พร้อมกับแววตาผมที่หม่นแสงลง

ผมลืมคิดไปได้อย่างไร ทั้งๆที่มันควรจะเป็นเรื่องที่ติดหัวผมมากที่สุด  เรื่องเล่าเจ็ดเรื่องจากคนตายมันก็บอกทุกอย่างกับผมหมดแล้วว่ารายการนี้มันไม่ปกติ ฉะนั้นสิ่งที่ผมกำลังจะต้องเจอต่อไป มันจึงเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งที่ผู้เล่นคนอื่นๆเคยโดน

“เริ่มแล้วจริงๆสินะ…” ผมพูดกับตัวเองอย่างสิ้นหวัง  เวลาที่อยู่ในบ้านหลังนี้ของผมเหลือน้อยลงเต็มที  ไม่ใช่เพราะผมมีเบาะแสมากมายจนหาเรื่องจริงทั้งหมดได้  แต่เป็นเพราะ รายการกำลังจะใช้วิธีเดียวกับปีก่อนๆกำจัดผมให้ออกจากเกมส์

วิธีที่บีบให้พวกผมไม่ต่างไปจากหมาจนตรอก….

“มึงจะไม่เป็นอะไร…เชื่อใจกู”  ไอ้ภพกระชับมือของผมให้แน่นมากขึ้น   เราทั้งคู่ต่างก็สบตากันอย่างกังวล  นัยน์ตาไอ้ภพไม่ได้เข็มแข็งเท่าที่มันพูดไว้  มันสั่นไหว  มันกำลังกลัว แต่เพราะคำสัญญาที่บอกว่าจะดูแลผม มันจึงต้องแสดงออกมาว่าใจกล้าให้ถึงที่สุด

ผมมองหน้ามันอย่างให้กำลังใจและต้องการสื่อให้มันรู้ว่าผมไม่ได้ต้องการให้มันปกป้องอยู่ฝ่ายเดียว  ผมก็เป็นผู้ชายที่ก็สามารถทำใจให้แข็งได้เมื่อยามที่รู้ว่าอันตรายกำลังมาถึงตัวเองและคนที่ตนเองห่วงหา  ผมอยากให้มันรู้ว่าผมก็สามารถปกป้องมันได้เหมือนกัน  แม้จะไม่ได้ด้วยกำลัง แต่ดวงตาของผม มันมีสิ่งที่ไม่ธรรมดาซ่อนอยู่ ความพิเศษนั้นเดิมทีผมไม่ต้องการ แต่ถ้ามีมันแล้วจะช่วยไอ้ภพได้  ผมก็ยอม

ตอนนี้ผมกับมันต่างยืนจมอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง มองหน้ากันแต่แววตาเราทั้งคู่ไม่ได้สื่อถึงกันอีก แต่ละคนกลับสู่โลกของตนเอง  ใช้ความคิดไปกับเรื่องที่เกิดขึ้นและรีบขจัดความกังวลที่มีอยู่อย่างหนัก จนไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่ได้สนใจแม้กระทั่งว่า  ตั้งแต่ขึ้นห้องมาจนกระทั่งถึงตอนนี้

มือของเราทั้งคู่ยังไม่คลายออกจากกัน

****************************************************

“มึงแพ้แล้ว  มาให้กูทำโทษซะไอ้ภพ 5555” เสียงดังโหวกเหวกของผม กำลังบอกถึงบรรยากาศความสนุกที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้
เมื่อเราทั้งคู่ตั้งสติกับปัจจุบันได้ ก็รีบพากันลงมาข้างล่างทำในสิ่งที่เหมือนๆกับในแต่ละวัน  จนเมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อย  ร่างกายของผมก็ยังไม่ได้ต้องการที่จะนอน  ด้วยความที่ว่าหลายคืนก่อน พวกเราต่างก็นอนหลังเที่ยงคืนไปแล้ว  วันนี้ผมกับมันจึงต้องหาอะไรทำฆ่าเวลาไปก่อน

เราทั้งคู่ตัดสินใจที่จะนั่งเล่นเกมส์กันง่ายๆแบบที่ทุกคนก็ต้องเคยเล่น นั่นคือ เกมส์เป่ายิงฉุบ  โดยมีกติกาคือพวกเราจะเล่นกัน 5เป้า เมื่อครบแล้วใครชนะมากที่สุดจะมีสิทธิ์ทำโทษโดยการเขียนหน้าจากลิปสติกที่ทีมงานทำหล่นไว้ในบ้านหลังนี้   ซึ่งเกมส์ล่าสุดที่ผมเล่นไอ้ภพเป็นฝ่ายแพ้ จึงต้องโดนเขียนหน้าไปตามระเบียบ

“พอ เลิกเล่นๆ หน้ากูมีแต่รอยแล้วเนี่ย จะล้างออกรึเปล่าก็ไม่รู้”  ไอ้ภพเหวลั่น   เพราะหน้าตาของมันเต็มไปด้วยหลักฐานของความพ่ายแพ้

“อย่ามาโวยไอ้ภพ มึงชนะกูทีก็แทบจะทาสีบนหน้ากูแล้ว”

“งั้นก็เลิกเล่น กูจะไปอาบน้ำนอน”

“เออ  แต่เอาหน้ามึงมาให้กูเขียนก่อน อย่าเนียนๆ”ไอ้ภพส่ายหน้าเบาๆอย่างยอมแพ้ ก่อนจะยื่นหน้าของมันให้ผมเขียนเป็นครั้งสุดท้าย   

เมื่อทุกอย่างจบลง  เราทั้งคู่ก็ปิดไฟด้านล่างทั้งหมดโดยที่ผมไม่ลืมที่จะไปวางลิปสติกไว้ที่เดิม  และค่อยๆเดินตามแผ่นหลังไอ้ภพขึ้นห้อง   ผมบังคับให้มันรอผมเพราะแม้ว่าวันนี้ผมยังไม่ได้เห็นผี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะหายกลัวกับบรรยากาศในบ้านนี้ไปได้

ผมขึ้นมาบนห้องและตัดสินใจที่จะอาบน้ำเป็นคนแรก  เพราะตอนนี้มันยังไม่ได้ดึกมาก ผมกลัวว่าหากอาบช้ากว่านี้ผมจะยิ่งกลัวจนอาบไม่ได้  ซึ่งตัวไอ้ภพก็ไม่ได้ขัดอะไร

เมื่อเข้ามาในห้องน้ำและเห็นหน้าตัวเอง ผมถึงกับผงะถอยหลังด้วยความตกใจ เพราะว่าใบหน้ามีแต่รอยเครื่องสำอาง ทั้งจากเมื่อเช้าที่ยังไม่ได้ล้างออกและของเมื่อครู่ที่เล่นลิปสติกกันทับไปอีกจนไม่คิดว่าการล้างหน้ารอบเดียวจะทำให้มันหายทั้งหมด   

ผมค่อยๆก้มหน้าของตัวเองลงไปล้างน้ำเปล่าและบีบโฟมล้างหน้าถูอย่างแรงหลายรอบ  แต่ไม่ว่าจะถูด้วยแรงมือขนาดไหนความรู้สึกของผมมันก็บอกว่าเครื่องสำอางที่ฉาบหน้าผมไว้มันยังอยู่  ผมจึงต้องเงยหน้าขึ้นมาและหัวเสียไปกับภาพสะท้อนที่ยังแสดงว่าทุกตารางของใบหน้ายังประดับประดาไปด้วยสีสันของลิปสติก

“มึงจะกันน้ำไปถึงไหนวะ ออกๆสักที”  ผมบ่นเงียบๆในห้องน้ำ เพราะยิ่งขัดยิ่งถูเท่าไรเครื่องสำอางมันก็ยิ่งไม่ออก จนต้องก้มๆเงยๆล้างน้ำเปล่าอยู่หลายรอบ เสียงของน้ำที่ถูกปล่อยให้ไหลจากก๊อกไม่อาจทำลายความเงียบของบ้านที่มีมากขึ้นเรื่อยๆจนได้ยินเสียงหวีดในช่องลมไปได้  ความกังวลใจเริ่มเกาะกินจิตสำนึกจนผมรู้สึกหงุดหงิด ความกลัวจากประสบการณ์เริ่มกระตุ้นให้ผมรีบทำธุระตรงนี้ให้เสร็จก่อนที่เรื่องในความคิดจะเกิดขึ้นจริง 

“เหี้ย!!!”  ผมตะโกนออกมาลั่นบ้าน  เพราะเมื่อเงยหน้าดูเครื่องสำอางที่ติดอยู่บนหน้าอีกครั้ง  สิ่งที่ติดอยู่มันไม่ใช่เครื่องสำอางอย่างที่เคย  แต่กลับเป็นใบหน้าผมที่มีแผลเหวอะหวะ  สีแดงสดของเลือดไหลผ่านดวงตาที่สั่นไหวมายังรูจมูก จนสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเหม็นๆของเลือดสดปนน้ำเหลืองที่เหมือนกับว่ามันกำลังไหลออกมาจากตัวศพที่กำลังเน่าเหม็น


ปั้ง  ปั้ง  ปั้ง!!!


“ไอ้มิว!! มึงเป็นอะไร”  เป็นไอ้ภพที่วิ่งมาเคาะประตูห้องน้ำเรียกผมอย่างรวดเร็วจนผมถึงกับสะดุ้งและถามไถ่ถึงที่มาของเสียงว่าเกิดจากอะไร

“อะ…เอ่อ เปล่าๆ กูแค่จะลื่น”

“ฮะ!!”

“ไม่มีอะไรหรอก กูแค่…ลื่น”

“เออๆ  แล้วก็แหกปากซะดังลั่น ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว”  และเสียงไอ้ภพก็เงียบหายไป  คาดว่ามันคงกลับเข้าห้องนอนไปตามเดิม

เฮือกกกก

“ปะ..เป็นไปไม่ได้” ผมค่อยๆเค้นเสียงของตัวเองออกมาอย่างยากลำบาก  มือเล็กๆนั่นเกิดการสั่นอย่างรุนแรงเมื่อต้องค่อยๆเอื้อมมันมาสัมผัสใบหน้า  แววตาที่เคยสะท้อนความสุขใส บัดนี้เหลือเพียงอาการสั่นไม่ต่างจากมือและการเบิกโตขึ้นเท่านั้น ความรู้สึกที่ว่าใจร่วงไปที่ตาตุ่มเกิดขึ้นชัดเจนจนรู้แล้วว่ามันเป็นอย่างไร

หลังจากที่ผมหันหน้าไปตอบไอ้ภพและหันกลับมามองกระจกอีกที  ใบหน้าผมเวลานี้ก็กลับมาเป็นปกติไม่มีทั้งแผลและร่องรอยเครื่องสำอางติดอยู่แล้ว ผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนจะสะบัดไล่ความคิดบางอย่างออกไป และรีบสรุปกับตัวเองทันทีว่าคงกลัวมากไปจนตาฝาด  ก่อนจะรีบไปอาบน้ำอย่างเร็วที่สุดเพื่อที่จะได้กลับเข้าห้องนอน

ช่วงที่กลับเข้ามาและรอไอ้ภพอาบน้ำ แม้จะแค่ไม่นาน แต่แม้เพียงหนึ่งวินาทีในเวลานี้ผมก็ว่านานได้ การนั่งรอเงียบๆมันทำให้ผมมีช่วงเวลาที่ได้เฝ้าครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดในห้องน้ำว่า ผมตาฝาดจริงๆหรือไม่  ดวงตาของผมมันยิ่งเห็นไม่เหมือนคนอื่นด้วย  ความสับสนในจิตใจหลอนผมให้กลัวไปต่างๆนานา จนแทบไม่เป็นตัวเอง แต่สุดท้ายก็บอกกับตัวเองได้ว่า ตาของผมมันเห็นผี ไม่ใช่ภาพหลอนเพราะฉะนั้นเรื่องเมื่อครู่จึงเป็นสิ่งที่ผมคิดไปเองคนเดียว

“นั่งหน้าเครียด มีไรวะ?” ไอ้ภพเดินเข้ามาหาผมหลังจากที่มันอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย

“ไม่มีอะไรหรอก  ว่าแต่มึงเหอะ ทำไมอาบน้ำเร็วจังวะ”

“กูก็อาบเวลาเท่านี้ทุกวัน เร็วตรงไหน”

“มึงล้างเครื่องสำอางออกง่ายขนาดนั้นเลยรึไง”

“เออ  ล้างรอบเดียวมันก็ออกแล้ว มันไม่ได้กันน้ำ”

ไม่ได้กันน้ำ?
 
“วะ…ว่าไงนะ”  ถ้อยคำที่ไอ้ภพพูดมันเป็นแค่คำธรรมดา แต่กลับเชือดเฉือนใจของผมอย่างถึงที่สุด  ความกังวลใจนำผมกลับไปสู่การคิดเรื่องเครื่องสำอางนั่นอีกครั้ง   ผมใช้เครื่องสำอางชุดเดียวกันกับไอ้ภพ เหตุใดการล้างออกถึงแสดงผลออกมาไม่เหมือนกัน  ผมล้างอยู่นานจนรู้สึกแสบและตึงที่ใบหน้า แต่ไม่ใช่สำหรับไอ้ภพที่ออกตัวมาว่า…ล้างง่าย

มันไม่ได้กันน้ำไง  มึงมีอะไรรึเปล่า”

“มะ..ไม่มีอะไรหรอก” ผมส่ายหน้าน้อยๆไปให้มัน แต่สายตาก็ยังคงสะท้อนความกังวลออกไป

“มิว  เป็นอะไร?” น้ำเสียงทุ้มจริงจังแต่เจือไปด้วยความห่วงใยถ่ายทอดออกมาจากมันอีกครั้ง  จนผมต้องหันกลับไปมอง

“กู…คงตาฝาด ไม่มีอะไรหรอก”

“อยากเล่าให้กูฟังมั้ย?”

.
.
.

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่11 ศพทวงตาย (31/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 31-01-2017 22:12:12
“ไม่เป็นไร  มันไร้สาระ กูคงแค่ตาฝาดไปจริงๆ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธความหวังดีของมันไปก่อนจะยิ้มให้มันวางใจ  ไอ้ภพก็ไม่ว่าอะไรมันพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินไปปิดไฟ เป็นสัญญาณว่าคืนนี้ถึงเวลาเข้าสู่ห้วงแห่งนิทรากาลเสียที

เราทั้งคู่นอนหันหลังให้กันอย่างเป็นเรื่องปกติ  เสียงหายใจเรียบๆของไอ้ภพบอกได้อย่างดีว่ามันจมไปกับการหลับใหลเรียบร้อยแล้ว  ผมที่ยังคงคิดไม่ตกกับเรื่องเดิมๆ ก็มีความกลัวถาโถมเข้ามาจนทำให้นอนไม่หลับ  อีกทั้งภาพใบหน้าของผมก็ยังคงติดค้างในใจอย่างไม่น่าเชื่อว่าผมจะมองผิดไป

.

.

.

ที่นี่ที่ไหน?

คำถามชวนให้สงสัยวนอยู่ในหัวผมซ้ำๆหลายรอบ เมื่อต้องมาเห็นสถานที่ที่หนึ่งที่ตัวผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน   ภายในสถานที่แห่งนั้นถูกประดับประดาไปด้วยเครื่องเรือนและการจัดบ้านสไตล์ยุโรป  ชวนให้หลงใหลไปกับกลิ่นอายแห่งความหรูหรา

จะเรียกว่าบ้านก็เรียกไม่เต็มปากเพราะความโอ่อ่าของมันเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าคนธรรมดาไม่มีทางเอื้อมถึง  ความสวยงามที่เห็นไม่สามารถตีค่าเป็นเม็ดเงินได้ตามราคาตลาด  ผมเดินเข้าไปเรื่อยๆตามประสาคนแปลกที่   ความรู้สึกอบอุ่นในใจเกิดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด   ต่างจากความรู้สึกตอนอยู่ในบ้านหลังนั้น

เมื่อเดินต่อมาอีก ผมก็เห็นบันไดบ้านทรงสูงถูกปูไปด้วยพรมสีแดงตลอดทางเดิน  ให้ความรู้สึกถึงวังในนิยายหลายๆเรื่อง และเมื่อผมค่อยๆเงยหน้าขึ้น  สายตาของผมก็ไปพบกับผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่สุดทางเดินบันได

สวย

คือคำนิยามที่ผมมอบให้แก่เธอคนนั้น  ผมสบตากับเธอราวกับถูกทำให้ต้องมนตร์สะกด  ผิวกายขาวละเอียด ผมยาวดกดำเป็นสิ่งที่ดึงดูดพลังความเป็นเพศชายของผมให้ทำงานอีกครั้ง   ไม่อาจบอกได้เลยว่าผมจ้องเธอนานเท่าไร  รู้แค่ว่าเธอคนนี้ทำให้ใจผมสั่นไปกับความงามของอิสตรีเพศ  จนปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอทำให้ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องราวหลอนๆอีกเลย

ขึ้นมาสิ

เธอเรียกผมให้ขึ้นไปหาเธอพร้อมกับรอยยิ้มแสนหวานชวนให้ทำตามอย่างไม่มีข้อแม้  ผมเดินขึ้นไปช้าๆพร้อมกับมองเธอคนนั้นไปด้วย  เธอผู้แต่งกายด้วยชุดนอนผ้าลื่นสีขาว เผยสัดส่วนของผู้หญิงออกมาจนสามารถเร้าอารมณ์หนุ่มของผมได้  ยิ่งมองใกล้ๆยิ่งทำให้เห็นความสวยของเธอชัดเจน และได้ข้อสังเกตอีกด้วยว่าเธอ ทาลิปสีแดง

“ชื่ออะไร?” คำถามสั้นๆถูกเอ่ยโดยผู้หญิงหน้าสวยคนนั้น

“เอ่อ  ผมมิวครับ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรหรอครับ”

“เดี๋ยวก็ได้รู้ค่ะ”  เธอยิ้มเล็กๆพร้อมกับหันหลังให้ผมเดินตามเธอไปเรื่อยๆ   เธอนำผมผ่านห้องหลายห้องของบ้านหลังนี้ แปลกที่บ้านหลังใหญ่แต่กลับไม่มีใครอาศัยอยู่เลย  จนมาถึงห้องหนึ่งเธอก็เปิดเข้าไปและได้พบกับห้องนอนสีสันแปลกตา เฟอร์นิเจอร์ภายในถูกจัดเรียงไว้เป็นระเบียบราวกับมีมัณฑนากรฝีมือดีจัดวางให้

“ห้องนอนสวยจังเลยนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มสวยๆให้ผมอีกครั้ง

“ขอสอบถามได้มั้ยครับ ว่าที่นี่ที่ไหน”

“บ้านของฉันเองค่ะ…..จะดื่มอะไรหน่อยมั้ยคะ”  เธอตอบผมผ่านๆก่อนจะเดินไปหยิบไวน์ชั้นดีที่ตั้งไว้พร้อมแก้วไวน์สองใบ

“งั้นรบกวนด้วยครับ”  ผมยิ้มตอบไป

เราทั้งคู่นั่งจิบไวน์กันอย่างเพลิดเพลิน  เก็บเกี่ยวอารมณ์ของความสุขที่เกิดขึ้นรอบตัวอย่างไม่มีใครคิดจะทำอะไร  ช่วงที่ดื่มกัน ผมมองหน้าเธออย่างพินิจพิเคราะห์  ใบหน้าสวยงามนั่น มีดวงตาที่ค่อนข้างเศร้าหมองเหมือนกับว่าเธอต้องเก็บเรื่องบางอย่าไว้กับตัวเองและบอกใครไม่ได้

“ไม่ทราบว่า คุณผู้หญิงมีอะไรอยากจะบอกผมมั้ยครับ”

“ทำไมหรอคะ?”

“ดวงตาของคุณ ปิดผมไม่ได้หนะครับ”

“อุ๊ย  ตายจริง เผลอแสดงให้คุณเห็นเลยหรอคะ” เธอทำเสียงที่แสดงว่าตกใจจากการจับสังเกตของผม ก่อนจะเงียบไป

“ก็นิดหน่อยครับ  พอจะบอกผมได้มั้ยเผื่อผมจะช่วยได้”

“ฉัน…เหงาหนะค่ะ” เธอยิ้มเศร้าๆตอบผม

“ฉันอยู่ที่นี่คนเดียวมานานหลายปี  ครอบครัวของฉันก็ไม่รู้ไปอยู่ไหน  ฉันอยากให้ใครสักคนมาอยู่ด้วยกันที่นี่ บ้านหลังนี้มันกว้างคุณก็เห็น  ดังนั้นฉันจึงรู้สึกโชคดีมากๆเลยนะคะที่วันนี้ฉันเจอคุณ”

“หรอครับ  งั้นผมก็ยินดีมากๆที่ช่วยทำให้คุณคลายเหงาได้บ้าง”

“ชนแก้วกันดีมั้ยคะ ฉลองให้กับฉันและ…คุณ”

เคร้ง

เสียงแก้วกระทบกันเกิดขึ้นก่อนที่ต่างคน ต่างก็ยกแก้วขึ้นชิมรสชาติของไวน์ชั้นดีกันไป   ผมจิบเสร็จก่อนจึงได้มีโอกาสนั่งดูเธอค่อยๆละเลียดเครื่องดื่มชวนเมาลงคอ  แก้วบางใสยามต้องอยู่กับไวน์สีสวยเป็นสิ่งที่เข้ากันอย่างปฏิเสธไม่ได้ ยิ่งได้ผสมกับสีของลิปสติกนั่น ยิ่งดึงดูดให้ผมมองภาพนั้นอย่างตาค้าง

“ลิปสีสวยดีนะครับ เหมาะกับคุณมาก”

“ก็สีแดงทั่วไปแหละค่ะ  อยากเห็นมั้ยคะว่าแท่งไหน”

“ถ้าไม่รังเกียจก็ขอดูด้วยครับ” เธอยิ้ม  ก่อนจะลุกออกไปหยิบลิปสติกมาจากโต๊ะเครื่องแป้ง  ใจจริงๆผมไม่ได้ได้อยากดูลิปนั่นเลยสักนิด เพียงแต่ว่าร่องรอยความสุขที่เกิดหลังจากผมถามเป็นสิ่งที่ทำให้ผมปฏิเสธเธอไม่ได้หากเธอตั้งใจจะนำออกมาให้ดู

“นี่ค่ะ  ฉันใช้รุ่นนี้…”

“หืม?”

คุ้น คุ้นมากๆ

ผมมองลิปสติกแท่งนั้นด้วยความตกใจ   รูปลักษณ์ของมันเป็นสิ่งที่สมองผมรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่า ลิปแท่งนี้ไม่ได้ต่างไปจากลิปแท่งอื่นๆเพียงแต่อะไรสักอย่างบอกผมว่าผมต้องเคยสัมผัสมันมาก่อน

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“อะ…เอ่อเปล่าครับ แค่ไม่เคยเห็นลิปแท่งสวยๆแบบนี้เท่านั้นเอง”

“แน่ใจหรอคะ?”

“ครับ?”

“ช่างมันเถอะค่ะ ตอนนี้เรามาทำอะไรดีๆ กันดีกว่านะคะ  ส่วนลิปนั่นฉันให้คุณค่ะ”

“อะไรหรอครับ?”

“ก็เวลาผู้ชายกับผู้หญิงอยู่กันสองต่อสอง  เค้าทำอะไรกันหละคะ”  เธอยิ้มให้ผมอย่างยั่วยวนก่อนจะลุกขึ้นมาดึงผมให้ค่อยๆเดินไปที่เตียงนอน

เธอคล้องคอผมให้จูบกับเธออย่างเร่าร้อน   ริมฝีปากชื้นแฉะที่กำลังแลกเปลี่ยนอากาศหายใจของเราทั้งคู่ กำลังปลุกอารมณ์เพศของผมให้ตื่นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งสัมผัสของเธอยามแนบลงบนส่วนนั้นของผมยังทำให้เครื่องจุดติดได้ง่าย  เราทั้งคู่จูบกันจนมาจบที่เตียงนอน  จากนั้นเธอก็ผละออกไปพร้อมกับส่งสายตาหวานซึ้งมาให้

“ฉันเริ่มติดใจคุณแล้วค่ะ  มาอยู่ด้วยกันมั้ยคะ”

“ได้หรอครับ?”

“ได้สิคะไม่เป็นปัญหาเลย มาอยู่ด้วยกันมั้ยคะ”

“อ่า ก็…”  ผมนิ่งเงียบไปไม่ตอบคำถาม

ภาพของไอ้ภพถูกซ้อนทับเข้ามาราวกับมีใครส่องไฟฉายรูปหน้ามันมาให้ดูในหัว  ความลังเลที่ผมรู้สึกได้ดึงตัวผมไม่ให้คล้อยตามไปกับคำถามนั่น ยิ่งไปกว่านั้น ภาพเมื่อตอนก่อนเข้านอนก็ลอยเข้ามาให้เห็นเป็นฉากๆ  จนผมเริ่มรู้แล้วว่าทำไมลิปสติกแท่งนั้นผมถึงได้คุ้นตามากขนาดที่ว่าผมละสายตาไปไม่ได้

…มันคือลิปสติกแท่งเดียวกับที่ผมใช้เล่นเกมส์เมื่อตอนเย็น…

“ว่าไงคะ?” น้ำเสียงที่ใช้ถูกเปลี่ยนไปทันที จากเสียงหวานๆก็กลายเป็นเสียงเย็นๆเรียบๆ

“เอ่อ ไม่ดีกว่าครับ ผมคิดว่าตอนนี้ผมต้องรีบกลับ” ลางสังหรณ์แปลกๆเริ่มส่งสัญญาณให้ผม รีบออกจากตรงนี้โดยเร็วที่สุด

“จะรีบทำไมคะ  คุณยังไม่ตอบคำถามเลยนะคะ” เธอเดินตามผมมาเรื่อยๆ อย่างเค้นเอาคำตอบ

“ผมไม่อยู่ครับ ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ” ผมรีบตอบเธอและวิ่งไปเปิดประตูออกมาจากห้องนั้นทันที

พรึบ   

ไวยิ่งกว่าความคิด แค่เพียงผมหันหลังออกมาจากประตูบานนั้น จากภาพบ้านหรูหราก็ถูกเปลี่ยนให้กลับมาอยู่ในบ้านหลังเดิม หลังที่เต็มไปด้วยเรื่องราวสุดหลอนของผม ตรงบริเวณพื้นที่นั่งเล่นชั้นล่าง  ความรู้สึกเย็นเยียบจนเสียวสันหลังปลุกขนในร่างกายของผมทุกส่วนให้ลุกชันขึ้นมา ก่อนที่จิตสำนึกของผมจะกระตุ้นให้รีบก้าวขาออกจากตรงนั้นอย่างไว

ตึก  ตึก  ตึก

เสียงฝีเท้าที่เกิดจากการเดินลงส้นหนักๆของใครสักคน กำลังก้าวเดินตามผมมาอย่างช้าๆแต่กลับไวในความรู้สึกผม  ระยะห่างระหว่างผมกับเสียงนั่นถูกทิ้งช่วงไว้พอตัว  แม้กายสัมผัสจะไม่ได้อึดอัดมาก แต่จิตใจของผมกลับรู้สึกราวกับว่ากำลังมีอะไรสักอย่างบีบรัดมันอย่างรุนแรงจนแทบหายใจไม่ได้

“หึหึ”

“คิดว่าจะหนีกูพ้น…อย่างนั้นหรอ? 55555”

“มึงเอาของๆกูมาทำไม”


น้ำเสียงตะคอกเย็นๆไม่ดังมากนักของผู้หญิงคนหนึ่ง เอ่ยขึ้นมาหยุดการเคลื่อนไหวของผมจนลำตัวชาวาบ เหงื่อเริ่มไหลออกมาพร้อมกับน้ำตาแห่งความกลัว  ตัวของผมสั่นไปหมด ขาก็แข็งจนก้าวไม่ออก ความเงียบของบ้านขณะนี้เริ่มทำให้ผมได้ยินว่าเธอกำลังค่อยๆย่างฝีเท้าเข้ามาหาผมอีกครั้ง

“ผ…ผมไม่ได้เอามา”  ผมรีบตะโกนตอบออกไปในทันที เพื่อหวังจะหยุดการเคลื่อนไหวของเธอคนนั้น ระยะห่างที่เคยมี บัดนี้ถูกทำให้สั้นลงมาอีกจนผมไม่กล้าหันหลังกลับไปมองสิ่งที่ผมต้องเผชิญ

“มึงเอาของๆกูมาทำไม!!”

“มึงเอาของๆกูมาทำไม!!”

“มึงเอาของๆกูมาทำไม!!”


“มึงเอาของๆกูมาทำไม”  เสียงเรียกเย็นๆนั่น ร้องถามผมซ้ำๆ  พร้อมกับการก้าวเท้าเข้ามาหาอีกเรื่อยๆ

คำภาวนาของผมไม่เป็นผล  เมื่อเธอคนนั้นยังคงไม่หยุดการเคลื่อนที่  เธอยังคงเคลื่อนกายเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ ไอเย็นรอบตัวเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆจนผมสัมผัสได้  แต่ทว่าในตอนนี้มันกลับเย็นจัดอยู่ที่ด้านหลังผมนี่เอง

“หึหึ มาอยู่ด้วยกันมั้ยคะ?” น้ำเสียงดั่งลมกระซิบ เอ่ยขึ้นข้างหูผมเบาๆพร้อมกับมือที่เอื้อมมาจับไหล่อย่างแรง

เฮือกกกกกกก

ผมตื่นขึ้นมาจากฝัน  ลมหายใจถูกปล่อยออกจากปอดของผมด้วยความเร็วที่ถี่ขึ้น  เหงื่อท่วมกายผมเต็มไปหมด  เมื่อหันไปมองข้างๆ ผมก็เห็นไอ้ภพยังคงหลับปกติ เสียงลมหายใจของมัน ยังคงคงที่เหมือนเมื่อตอนช่วงก่อนนอน  ทำให้ผมไม่กล้าที่จะขัดการนอนหลับอย่างสบายของมัน

ผมล้มตัวนอนอีกครั้งด้วยใจที่ยังคงเต้นรัว  สมองขาวโพลนอย่างคนนึกอะไรไม่ออกนอกจากความรู้สึกบางอย่างที่บอกผมว่าความฝันเมื่อครู่เหมือนจริงเสียเหลือเกิน  เหมือนจริงมากจนรสสัมผัสของการจูบยังคงติดค้างอยู่บนปากผม

ปั้ง  ปั้ง  ปั้ง

“เปิดประตูให้กู!!!!!.....มึงจะล็อกห้องทำไม!!!!”

ตึ้ง

คราวนี้เป็นเสียงเคาะประตูอย่างแรงที่กำลังทำลายสติผมแต่เสียงนั่นมันมาพร้อมกับเสียงนุ่มทุ้มอีกเสียงหนึ่งที่ตะโกนเรียกให้ผม ลุกไปเปิดประตูห้องนอน

ไม่ผิดแน่…

เสียงนั่นเป็นของไอ้ภพ…

ผมนอนตัวสั่น ตาค้างไปกับเสียงที่ได้ยิน  ความกลัวเริ่มเกาะกุมจิตใจผมมากขึ้น ถ้าไอ้ภพอยู่ข้างนอกจริง แล้วใครกันที่นอนอยู่ข้างหลังผม?  แต่กระนั้นความคิดด้านสว่างก็ยังบอกกับผมว่า เสียงที่ผมได้ยินอาจเป็นเสียงของวิญญาณตนนั้นที่ต้องการให้ผมเปิดประตูออกไป  ยิ่งไอ้ภพที่นอนด้านหลังไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินเสียงนั่น ผมยิ่งเอนเอียงความคิดมาข้อนี้

เสียงเรียกให้เปิดประตูยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง  เรียกความหวาดผวาในตัวผมได้ตลอดเวลา ทำให้ผมนึกถึงคืนนั้นคืนที่ผมกลัวจนต้องนอนซบหลังไอ้ภพหลับไป  ภาพเหล่านั้นมันทำให้ผมต้องรีบหันกลับไปทำแบบเดิม

เมื่อพลิกตัวกลับมา ผมถึงกับโล่งใจเมื่อไอ้ภพยังคงนอนอยู่ที่เดิมของมัน ไม่ได้มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเคาะประตูนั่น  ผมนอนมองแผ่นหลังของมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนใบหน้าและกายของตัวเองให้ขยับไปชิดมันมากขึ้น ความอบอุ่นที่สัมผัสได้นั้น ทำให้เสียงเคาะประตูที่ดังอยู่ไม่เป็นปัญหาสำหรับผม มิหนำซ้ำ ผมยังรู้สึกสาแก่ใจอยู่เล็กๆที่ผีนั่นมันเข้ามาไม่ได้

“หึหึ 555”

เสียงหัวเราะเล็กๆของสตรีเพศ ทำเอาผมที่กำลังจะปิดเปลือกตาอีกครั้งถึงกลับสะดุ้ง เสียงนั่นมันดังขึ้นใกล้ผมมากชนิดที่ว่าเหมือนมันหัวเราะอยู่ข้างหูผมนี่เอง  เมื่อมองไปที่ไอ้ภพ ทุกอย่างก็ยังเป็นปกติ มันยังนอนหลับด้วยจังหวะหายใจเดียวกับตอนก่อนนอน

แต่ถ้าหากสังเกตให้ดีๆแล้วนั้น สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคงเป็นเสียงเคาะประตูที่มัน…หายไป

แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ร่างกายไอ้ภพก็เริ่มขยับ แสดงให้เห็นว่ามันกำลังจะตื่นจากนิทรา ผมจ้องมันด้วยความดีใจจนอยากจะเข้าไปชิดแผ่นหลังมันมากกว่าเดิมเพื่อบอกให้มันรู้ว่าผมตื่นอยู่  อย่างน้อยมันก็จะได้ตื่นมาอยู่เป็นเพื่อนผม หรืออาจจะกล่อมให้ผมหลับไปก่อนมันก็เป็นได้ ถ้าไม่ได้สังเกตเสียงและการเคลื่อนไหวแปลกๆบนตัวมันเสียก่อน

“หึหึ 555  มาแล้ว กูมาแล้ว 555”

เสียงหัวเราะพร้อมกับคำพูดและท่าทางที่ไม่ปกติของมัน  สั่งให้ผมถอยห่างออกมาจากไอ้ภพอย่างเร็ว ตัวของมันสั่นเล็กๆไปกับจังหวะเสียงหัวเราะหลอนๆที่ผมได้ยิน  การขยับกายของมันกำลังทำให้ผมหวาดผวาจนต้องจิกเล็บลงบนผ้าห่มแน่นดวงตาของผมเห็นมันค่อยๆพยายามพลิกตัวกลับมาหา แต่ไม่รู้ว่าร่างกายมันติดอะไร สิ่งที่ค่อยๆหันกลับมาจึงมีเพียงอย่างเดียวคือ

หัวของมัน….

“กลัวปะ?” 

เสียงกระซิบสยองราวกับเสียงจากนรก เอ่ยถามผมเมื่อส่วนหัวของไอ้ภพหันกลับจนสุด   ใบหน้าที่ควรจะเห็นเป็นหน้าไอ้ภพบัดนี้ได้กลับกลายเป็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นที่ตอนนี้เต็มไปด้วยบาดแผลและความเน่าเฟะไม่ต่างไปจากใบหน้าที่ผมเห็นเมื่อตอนอาบน้ำ เธอกำลังใช้สายตาจ้องมองผมราวกับจะกลืนผมเข้าไป  เธอถามออกมาพร้อมแสยะยิ้มอย่างผู้ชนะเมื่อเธอทำให้ผมแทบหมดสติไป

“มึงเอาของๆกูมาทำไม”  แววตาแข็งกร้าวพร้อมกับเสียงเย็นๆ ถามผมมาอีกครั้ง  พร้อมกับที่ร่างนั้นพยายามเคลื่อนกายเข้ามาหาผม  มือของมันขยับเข้ามาตรงคอผมเรื่อยๆกดรอยแผลจากใบมีดที่ยังคงไม่แห้งสนิท   ใบหน้านั่นขยับมาหาผมอย่างช้าๆจนผมรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือดบนหน้าเธอคนนั้น

“ชะ…ช่วยด้วย” เสียงแผ่วเบาของผมเรียกออกไปอย่างกำลังหวังปาฏิหาริย์ให้ไอ้ภพที่เคยเคาะประตูรีบพังประตูเข้ามา

“หึหึ มาอยู่ด้วยกันมั้ยคะ?”  น้ำเสียงยั่วยวนแบบเดิม เอ่ยเข้าที่ข้างหูของผม พร้อมกับสัมผัสเปียกชื้น เมื่อลิ้นของมันเริ่มแลบออกมาคลอเคลียที่ใบหูของผม เมือกน้ำลายไหลยืดลงมาถึงต้นคอจนสัมผัสได้  กลิ่นสาปศพลอยคละคลุ้งไปทั่ว จนทำให้ผมแทบหายใจไม่ออก   เธอคนนั้นคงสงสารผมมากจึงไม่ปล่อยให้ผมทรมานจากกลิ่นให้เสียเวลา มือของเธอจึงเริ่มบีบลำคอผมอย่างช้าๆจนรู้สึกแน่นๆไปหมด

“มาอยู่ด้วยกันนะคะ”

“อีกนิดเดียว ก็สบายแล้ว…หึหึ”      

“ตาย…”


“ช่วยด้วย!!!!   ไอ้ภพ”  ความพยายามเฮือกสุดท้ายของผมถูกปล่อยออกไปก่อนที่จะพูดไม่ได้อีก

“มิว”

“ไอ้มิว ตื่น!!!”

“ไอ้มิว ตื่นดิวะ!!!!!”

เฮือกกกกกกก

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง  คราวนี้ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้ฝัน แรงตบหนักๆจากน้ำมือของไอ้ภพยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้ผมได้โลกความเป็นจริงของผมคืนกลับมา    ผมมองไปรอบๆห้องอย่างหวาดผวา แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากแสงไฟที่ถูกเปิดและหน้าไอ้ภพที่มองผมอย่างเป็นกังวล

“อะ…ไอ้ภพ  ฮืออออออออ”  ผมร้องไห้อย่างหนักพร้อมกับโผเข้ากอดไอ้ภพทันทีอย่างคนหวาดกลัว  มันกอดผมตอบพร้อมกับค่อยๆลูบหลังให้ผมอย่างแผ่วเบาเพื่อเรียกสติของผมให้กลับมาและละลายความกลัวของผมที่มันก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร

“มิวใจเย็นๆ  เกิดอะไรขึ้น”

“ลิป…ลิปสติกนั่นมันเป็นของคนตาย มันมาทวงของมันคืน!!!!” ผมโวยวายลั่นเมื่อนึกถึงฝันนั่นอีกครั้ง

“เดี๋ยวๆไอ้มิว  เกิดอะไร ค่อยๆเล่าให้กูฟัง” ผมพยักหน้าตอบรับไปพร้อมกับอาการหวาดระแวงที่ยังไม่จางหายไป

ผมเริ่มเล่าให้มันฟังตั้งแต่สิ่งที่ผมเห็นขณะอาบน้ำจนกระทั่งความฝันที่ผมเห็น  ยิ่งเล่าผมก็ยิ่งกลัวจนไอ้ภพต้องจับมือของผมไว้อย่างให้กำลังใจโดยที่ไม่ได้ขัดอะไรขึ้นมา

“มันอาจจะแค่ฝัน  ไม่มีอะไรหรอกวันนี้เรายังไม่ได้ท้าทายผีเลยนะ”ไอ้ภพพูดปลอบใจผม

“ก็เพราะกูยังไม่ได้ทำไง  แล้วทำไมกูยังต้องมาเจอด้วย!!”

“ตั้งสติ! ไอ้มิว  มึงอย่าเพิ่งโวยวาย”

“ฮึก  กูกลัวไอ้ภพ  กูกลัว” ผมสะอึกสะอื้นตอบมันด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

“ใจเย็นๆ  ไม่มีอะไรแล้ว กูอยู่ตรงนี้แล้ว” ไอ้ภพเลื่อนมือมากอบกุมมือของผมอีกข้าง

กึก

ราวกับมีไม้หน้าสามฟาดมาบนหน้าและสมองผมแรงๆ  ลำตัวผมเกิดการชาวาบอีกครั้ง  ทั้งผมกับมันต่างก็นิ่งค้างไป ก่อนจะก้มลงมองมือข้างนั้นของผม…

“ช่างมันเถอะค่ะ ตอนนี้เรามาทำอะไรดีๆ กันดีกว่านะคะ  ส่วนลิปนั่นฉันให้คุณค่ะ”

คำพูดนั่นลอยเข้ามากระแทกในหัวผมจนทำให้ผมต้องนึกย้อนกลับไปและพบว่าตั้งแต่ตอนนั้นผมยังไม่ได้วางลิปอีกเลย

“อ…ไอ้ภพ ลิปมันมาอยู่บนมือกูได้ยังไง”  ผมช็อกไปกับสิ่งที่เห็น และพูดตะกุกตะกักอย่างคนไร้สติ  ไอ้ภพไม่รอช้ารีบคว้าลิปบนมือผมก่อนจะวิ่งไปเปิดหน้าต่างและขว้างลิปออกไปทางลานด้านหลังบ้านอย่างรวดเร็ว เราทั้งคู่ต่างรู้อยู่แก่ใจ ก่อนขึ้นนอนผมไม่ได้หยิบมันขึ้นมาด้วย

“มิว ใจเย็นๆ มึงอาจจะละเมอลงไปหยิบมาก็ได้”

“….” ผมหันขวับไปมองหน้ามันด้วยแววตาที่สั่นไหว คำถามมากมายก่อเกิดอยู่ในหัว ผมลงไปได้ยังไง บันไดนั่นมันชันพอที่จะฆ่าผมหากผมก้าวพลาดตกลงไปแม้แค่ก้าวเดียว

“กูว่า มันมีอะไรแปลกๆแล้วหวะ”

“ยะ….ยังไง” ผมเสียงสั่นตอบมันไป

“มิว….มึงกำลังไม่ปลอดภัย” ไอ้ภพเหงื่อตก ทำเสียงเครียดบอกกับผม

“เกมส์วันนี้ ที่เราสองคนสงสัยว่าทำไมมันถึงไม่ให้เล่นตามหนังสือนั่น มันไม่ใช่ว่าเกมส์ใจดีตามที่มึงบอก แต่มันจ้องเล่นงานมึงเพียงคนเดียวผ่านสิ่งที่มึงมีไม่เหมือนคนอื่น  ถ้ามันทำให้มึงเป็นบ้าไปได้ มึงก็ต้องออกจากเกมส์แล้วไม่ได้เงินรางวัลแบบน้องสาวกู ยิ่งถ้ามึงละเมอออกไปจริงๆ  ถ้ามึงพลาด....มึงก็ตาย”

“มะ…หมายความว่ายังไง” ผมใจเสียจนพูดแทบไม่เป็นภาษา ตกอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่า กลืนไม่เข้าคายไม่ออก  น้ำเสียงที่กลั่นออกไปจึงเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“มีคนรู้แล้วไอ้มิว….ว่ามึงเห็นผี” ไอ้ภพมองมาที่ผมอย่างเป็นห่วง  ใครกัน? ที่รู้ว่าผมไม่ปกติไปแล้ว ผมไม่เคยบอกใคร  ทุกคนรู้ความผิดปกติของผมจากกล้องแค่ตัวเดียวอย่างนั้นเหรอ?  ความคิดตีกันสับสนในหัว  ผมกำลังโดนเล่นงาน เกมส์วันนี้กำลังทำให้ผมหลอนจนถึงขั้นสูงสุด และมันก็ทำสำเร็จ

“ใคร?  ใครกันที่รู้ว่ากูเห็นผี แล้วมันจะเอากูออกไปเพื่ออะไร กูไปทำอะไรให้มัน”  ผมพูดออกไปอย่างคนหมดหนทาง นอกจากผมจะเจอผีหลอกในฝันยังต้องตื่นมาพบเจอความจริงที่น่ากลัวกว่าเมื่อพบว่าผู้จัดการเกมส์นี้คิดจะกำจัดผมออกจากเกมส์ด้วยวิธีที่ถ้าผมเป็นอะไรไป ทุกอย่างก็จะเป็นเพียงแค่…อุบัติเหตุ

“กูไม่รู้…เรื่องนี้ไม่เคยมีใครได้รู้”

“อืม” ผมพยักหน้าช้าๆก่อนเงยหน้าขึ้นมองหน้าของไอ้ภพ  ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและความกังวลของมันกำลังถูกใช้มองผมอย่างคนกำลังสงสาร

“มึง…กูขอถามอีกครั้ง  มึงไม่ได้สงสัยอะไรหน่อยหรอไอ้มิว ไม่ใช่แค่เรื่องคำเตือนนั่น อย่างอื่นหละ? มีมั้ย?”

“จริงๆ…ก็มี” ผมบอกมันไปตามความจริง  เรื่องเมื่อเย็นผมไม่ได้ดีใจจนจับความผิดปกติบางอย่างไม่ได้ เพียงแต่ตอนนั้นผมไม่คิดว่าการละเลยไม่สนใจในสิ่งที่ลางสังหรณ์ตัวเองบอก  จะนำมาซึ่งปัญหาที่เกือบจะพรากเอาชีวิตผมไป

“เรื่อง?” 

“กู…สงสัยเรื่องลิปสติก” ผมเอ่ยออกไปเบาๆให้ไอ้ภพฟัง  หลังจากที่ผมเงียบตั้งสติของตัวเองให้มั่น พยายามทำใจให้เข้มแข็ง ไม่หลงเป็นเหยื่อของแผนที่ทางรายการวางไว้ 

“ยังไง?” ไอ้ภพหันมาถามอย่างรวดเร็ว

“เราสองคนถูกจับแต่งหน้าโดยที่ไม่มีใครใช้ลิปสีแดงเลย แล้วมัน…ตกออกมาได้ไง” 

“มึง…จะบอกว่าอะไร” ไอ้ภพดูนิ่งไปกับคำพูดนั้น  มันคือเรื่องจริงที่ทีมงานไม่ได้หยิบลิปสีแดงออกมาเลยขณะที่ผมแต่งหน้า ผมจึงสงสัยมากว่า ทีมงานลืมไว้ได้ยังไง

“มีคนจงใจเอามันมาไว้ในบ้านหลังนี้ ”

“ทีมงานพวกนั้น?”

“ไม่ใช่….ไม่ใช่คนพวกนั้น”

“ทำไม?”

“ก่อนทีมงานกลับไป กูดูหมดแล้วภพ…ไม่มีอะไรตกอยู่เลย” ในตอนนั้นผมที่กำลังกลัวกับคำถามสุดท้ายเลยได้พอมีเวลาสังเกตพฤติกรรมทีมงานทุกอย่าง เพราะกลัวว่าทางรายการจะเล่นไม่ซื่อกับพวกผม

“แล้วใครกันที่จะทำได้  วันนี้นอกจากทีมงานก็มีแค่…”  ไอ้ภพเลิกตาขึ้น หันมามองผมอย่างคนที่ไม่เชื่อในความคิดตัวเอง 

ผู้ต้องสงสัยที่ผมคิดได้เป็นคนใกล้ตัวของพวกเราแถมยังใกล้ชิดสนิทสนมเสียจนผมไม่เชื่อในความคิดของตนเอง    ผมมีปฏิกิริยาแบบเดียวกับมันตอนที่คิดได้ถึงเรื่องนี้ แต่ก็พยายามไม่เก็บมาคิดให้มากความ จนถึงตอนนี้ ตอนที่ทุกอย่างดูอันตรายไปหมดสำหรับผม เตียงที่เคยหลับนอนอยู่ทุกวันยังสร้างบาดแผลขึ้นมาได้ นับประสาอะไรกับใจมนุษย์  แม้ผมจะอยากปฏิเสธออกไปแค่ไหน  ก็ทำไม่ได้แล้ว  หลักฐานที่รัดตัวคนนั้นเอาไว้มันแน่นหนาเกินไป

“อืม”






ลุงคำ


************************************TBC*****************************************
เอาตอนที่ 11 มาส่งแล้วครับ  หายไปอาทิตย์นึงคิดถึงผมกันมั้ยยยย 55555 :-[
วันนี้ขอเอาใจคนอ่านคอหลอนๆกันบ้างนะครับ  หวังว่าจะถูกใจกันเน้อ มีอะไรอยากติชมก็คอมเมนต์มากันเยอะๆนะครับ

-แน่ใจได้อย่างไร ว่าคนที่นอนด้วยกันทุกวันจะยังเป็นคนเดิม-

เจอกันครับ  P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่11 ศพทวงตาย (31/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 31-01-2017 22:47:27
โอ้ยยยยยยยยยยยย อะไรกัน
คนน่ากลัวกว่าผีแน่ๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่11 ศพทวงตาย (31/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 01-02-2017 09:30:25
น่ากลัวทั้งคนทั้งผีเลยค่ะ ฮือออออออ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่11 ศพทวงตาย (31/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: เหนียนเหนียนโหย่วหยู ที่ 01-02-2017 13:58:02
ตรงประโยคทิ้งท้ายนี่ขนลุงเลยค่ะ แน่ใจได้อย่างไรว่าคนที่นอนด้วยกันทุกวันจะยังเป็นคนเดิม บรึ๋ยยยยย
เราว่ามันต้องมีหักมุมเรื่องภพแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่11 ศพทวงตาย (31/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: JACKSON ที่ 01-02-2017 20:42:25
หรือจะเป็นลุงคำที่เป็นผู้จัดการเกม.... :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่11 ศพทวงตาย (31/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 01-02-2017 21:43:52
น่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่11 ศพทวงตาย (31/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 02-02-2017 13:56:06
ไม่ให้มิวได้พักบ้างเลยย สงสารร
ไม่ได้เล่นเกมส์แต่ยังต้องมาเจอผีอีกก  :z3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่11 ศพทวงตาย (31/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 02-02-2017 21:21:12
 :katai4: :katai4:
ขอให้ทั้งสองรอดปลอดภัยด้วยเถิด
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่11 ศพทวงตาย (31/01/60) P.3
เริ่มหัวข้อโดย: aurusma ที่ 02-02-2017 23:28:38
อ่านรวดเดียว ตอนกลางคืนอีกต่างหาก กลัวก็กลัว แต่ก็ยังอ่านต่อไป 555
ติดตามค่ะะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่12 เบาะแส (7/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 07-02-2017 18:03:26
ตอนที่12

เบาะแส

บางครั้งผมก็เคยคิดว่า ปากของผมมันศักดิ์สิทธิ์มากเกินไปหรือเปล่า ทำไมหลายๆครั้งที่ผมได้เอ่ยอะไรออกไป เรื่องราวที่ผมไม่ต้องการจึงเกิดขึ้นราวกับมีคนกด copy คำพูดและจับวางมันใส่ตัวผมเอง

ครั้งนี้ก็เหมือนกัน… 

ผมเคยลั่นวาจาออกไปแล้วว่า อีกไม่กี่วันทางรายการต้องทำอะไรกับพวกผมสักอย่างเพื่อให้เกมส์ดำเนินไปเหมือนปีก่อนๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับคิดเผื่อใจเอาไว้เลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นเพียงแค่ผมหลับตานอน

รายการกำลังคิดจะกำจัดพวกผมออกอย่างไม่ปรานี…

เมื่อไอ้ภพบอกกับผมว่า ผมกำลังไม่ปลอดภัยเพราะตอนนี้ทางรายการหรืออาจจะแค่ผู้จัดการเกมส์ล่วงรู้แล้วว่าผมสามารถเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปไม่เห็น แม้จะยังไม่เข้าใจว่าทางนั้นรู้ได้อย่างไร พวกผมไม่เคยมีใครปริปากบอก อีกอย่างตอนเล่นเกมส์พวกนั้น ผมไม่คิดว่ารายการจะเชื่อว่าผมเห็นผีเพียงแค่เพราะผมโวยวาย มันไม่มีอะไรยืนยันได้เลย ขนาดรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งที่พวกเราเคยดูมานาน เรายังคิดว่าทีมงานจัดฉากได้ นับประสาอะไรกับผมที่เพิ่งจะเข้ามาเล่นคงไม่ได้มีความสามารถที่จะโน้มน้าวจิตใจใครได้แน่

กลัว….

ผมกลัวไปหมด กลัวจนไม่สามารถจะบอกได้แล้วว่าตอนนี้ความกลัวที่ผมมีจะอยู่ที่ระดับไหน  ผมเป็นคนแรกที่รายการเลือกที่จะเอาออก ไม่เข้าใจเลยว่าทางรายการมีหลักการเลือกกำจัดคนอย่างไร เหตุใดถึงเพ่งเล็งมาที่ผมเป็นคนแรก วันก่อนๆผมเจอแต่ผี เจอแต่วิญญาณผมคิดว่านั่นก็สาหัสมากพอแล้ว ทำไมผมยังต้องมาเพิ่มความกลัวให้กับความคิดของมนุษย์ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเหนือกว่าสัตว์อื่นๆอีก

ผีไม่น่ากลัวเท่ากับใจของมนุษย์จริงๆ

หลังจากที่ผมคลายทุกความกังวลและความกลัวออกไปได้บ้างแล้ว เราทั้งคู่จึงตัดสินใจล้มตัวลงนอนกันอีกครั้ง ผู้ต้องสงสัยรายแรก  ผมกับไอ้ภพไม่ได้ฟันธงทันทีว่าเป็นลุงคำ 100% เพราะอย่างที่บอก พวกผมค่อนข้างเคารพลุงแกมาก แต่เมื่อหลักฐานที่ผมมีมันเกี่ยวข้องกับลุงคำ ทางเดียวที่ลุงคำจะรอด ผมต้องหาเบาะแสอื่นมาหักล้าง   

เราทั้งคู่ต่างก็นอนจมอยู่กับเรื่องของตัวเองโดยที่ไม่มีใครเอ่ยปากอะไรออกมาอีกเลย จนร่างสูงใหญ่ข้างกายผมขยับตัวไปนอนยังท่าประจำของมัน ผมถึงได้รู้ว่าเวลาของคืนนี้ควรหมดลงได้แล้ว

ผมหันไปมองแผ่นหลังนั่น พลางคิดในใจไปว่าอยากเข้มแข็งให้ได้เท่าผู้ชายตรงหน้าผมเหลือเกิน ไม่อยากอ่อนแออยู่แบบนี้ ขนาดไอ้ภพที่ต้องสูญเสียน้องสาวไปเพราะเกมส์ มันยังใจกล้าเข้ามาเสี่ยงได้ทั้งๆที่รู้ว่าตัวมันเองก็จะไม่ปลอดภัย แต่กับตัวผมที่ไม่ได้มีส่วนพัวพันอะไรเลย หนักสุดก็แค่เจอผี ผมยังทำใจให้แข็งไม่ได้เท่ามันเลยสักครั้งแม้จะพยายามลองแล้วก็ตาม และเมื่ออดที่จะจ้องมองอย่างเดียวไม่ได้  ผมจึงรีบเอาหน้าของตนเองไปซุกกับแผ่นหลังของมันและตัดสินใจข่มตานอนอย่างรวดเร็วที่สุด โดยไม่คิดว่าไอ้ภพจะพลิกตัวหันกลับมา

“กลัวรึไง?”

“อะ…อืม”

“กูอยู่ตรงนี้แล้วนะ  หลับได้แล้ว” พูดจบไอ้ภพก็ใช้วงแขนกระชับตัวผมให้เข้าไปชิดกับอกมัน พร้อมลูบหลังแข็งๆของผมให้คลายตัวลงจากการเกร็งอย่างหนักเมื่อครู่  แม้ส่วนสูงจะใกล้เคียงกัน แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเมื่อผมนอนขดตัวและทำให้ร่างกายของผมต่ำลงกว่าที่ควรจะเป็น

….กลิ่นตัวของมัน ความอบอุ่นของมัน  สัมผัสของผู้หญิงคนนั้นเทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย…. 

เมื่อพูดถึงฝัน…ความทรงจำก็ไหลกลับเข้ามาอย่างกับเปิดวาล์วน้ำ  ถ้าผมไม่ได้เห็นหน้ามันตอนนั้น ไม่รู้ป่านนี้ ผมจะมีโอกาสได้ตื่นอีกครั้งหรือเปล่า

“ขอบคุณนะ”  ผมเอ่ยขอบคุณมันออกไปอย่างไม่ทันได้คิดอะไร ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าไอ้ภพมันไม่ได้รู้เรื่องราวภายใต้เปลือกตาของผมทั้งหมด

“เรื่อง?” มันตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงติดสงสัยในการกระทำของผม

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”

“ก็แค่…”

“ถ้าไม่ได้มึง….กูคงตายไปแล้ว”


Pob’s Part


ไอ้มิว…หลับไปแล้ว

คำพูดประโยคสุดท้ายของมันดังก้องอยู่ในหูผม  วนเวียนจนทำให้ผมนอนไม่หลับ ผมพยายามจะถามถึงสาเหตุที่มันพูดประโยคนั่นออกมา แต่ถามเท่าไรไอ้มิวก็ไม่ตอบ ผมไม่รู้ว่าในฝันมันต้องเจอกับอะไร ร้ายแรงมากแค่ไหน ผมอยากให้มันพูดกับผม ไม่อยากให้มันเก็บเอาไว้คนเดียว น้องสาวผมต้องเป็นบ้าไปเพราะไม่มีใครฟังคำพูดของเธอเลยสักคน

ผมนอนมองใบหน้ามันอยู่อย่างนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกที่กำลังมีอยู่ตอนนี้มันเรียกว่าอะไร  ผมรู้แค่ว่าผมกำลังเป็นห่วงมันมาก มากเสียจนไม่รู้ว่านอกจากน้องสาวผมแล้วนั้น ผมเคยเป็นห่วงใครได้ขนาดนี้ไหม  มันชอบบอกว่าตัวมันไม่คู่ควรกับเรื่องแบบนี้  แต่ไม่ว่าตัวมันจะคิดว่าตัวเองอ่อนแอมากน้อยแค่ไหน  สำหรับผมมันคือคนที่เข้มแข็งที่สุด เก่งที่สุด  มันยอมทนอะไรหลายๆอย่างในเกมส์เพื่ออยู่ช่วยผม มันกำลังพยายามและอดทนอย่างมากที่จะเป็นคนเดิมให้ได้ในแต่ละวัน ในขณะที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น 

ไอ้มิวกลายเป็นคนหวาดระแวงกับเสียงดังๆได้ง่าย หลายครั้งที่มันสะดุ้งจนตัวโยนเพียงเพราะผมทำของตก ท่าทางหวาดๆของมันนั่นอีกที่เปลี่ยนไป ผมจึงอดไม่ได้ที่จะสงสารมันจนอยากแบ่งเบาความรู้สึกตรงนั้นของมันมา แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร  ไอ้มิวมันมองเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปไม่เห็นเพียงเพราะคาถานั่น ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจอีกเหมือนกันว่าทำไมมันถึงไม่มีผลกับผมเลย ทั้งๆที่ก็ท่องคาถาแบบเดียวกัน

พฤติกรรมหลายๆอย่างของมันที่แสดงออกมาค่อยๆละลายกำแพงในหัวใจผม  ใจของผมแกว่งไปเพียงเพราะมันแสดงสีหน้าว่าเป็นห่วง   ใจของผมสั่นไหวเพียงเพราะผมเห็นน้ำตาของมันแต่ผมช่วยมันไว้ไม่ได้ และตอนนี้ใจของผมกำลังอ่อนแอเพียงเพราะรู้ว่าตัวมันกำลังจะต้องเจอกับอันตรายที่แม้แต่ผมก็…กลัว

ผมช้าต่อไปไม่ได้แล้ว

เมื่อแสงแดดยามเช้าเริ่มส่องเข้ามา โซ่ตรวนของเวลาที่เหนี่ยวรั้งผมไม่ให้ออกจากบ้านก็พลันหลุดหายไปด้วย ผมรีบลุกออกจากเตียงไปทำธุระส่วนตัวก่อนจะรีบพาตัวเองเข้าไปในป่านั่น ไปหาความจริงที่ถูกซ่อนไว้มาหลายปี  ใจจริงผมไม่อยากออกไปไหนด้วยซ้ำ อารมณ์ห่วงไอ้มิวยังคงอยู่ แต่ก็เพราะคิดว่าเพื่อตัวไอ้มิวและน้องสาวผม ผมต้องรีบจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด

ผมรู้อยู่เต็มอกว่าการกระทำของผมมันผิดกฎของทางรายการที่ห้ามผมออกจากเขตบ้านหลังนี้ แต่ผมไม่สนใจ ในเมื่อทางรายการก็รู้แล้วว่าผมทำผิด แต่ยังคงเก็บผมไว้ ผมก็จะถือว่านี่คืออีกหนึ่งสิ่งที่ทางรายการให้อิสระกับผม  ก่อนออกจากบ้านผมไม่ลืมหยิบลิปสติกแท่งเจ้าปัญหาที่ทำร้ายไอ้มิวเมื่อคืนออกมาด้วย กะว่าถ้าไปถึงบ้านลุงมั่นเมื่อไร จะขว้างมันใส่บ้านลุงมั่นแทนเก็บเอาไว้ส่งคืนรายการ

ผมปีนกำแพงบ้านกลับมาเหยียบผืนดินด้านหลังอีกครั้ง หลังจากไม่ได้ออกมา 2-3 วันตามคำสั่งของไอ้มิว  ทุกอย่างรอบตัวผมยังคงเหมือนเดิมไม่มีผิด  ป่าด้านหลังบ้านมันไม่ใช่ป่ารกมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเตียนจนคนสามารถเดินได้อย่างสะดวก

ผมมองไปยังเส้นทางตรงหน้าก่อนที่จะตัดสินใจเดินไปยังอีกทางที่ผมไม่เคยคิดจะไป ด้วยเพราะว่าเส้นทางนั้นมันอุดมไปด้วยต้นไม้ขึ้นถี่ๆและต้นหญ้าที่ขึ้นระเกะระกะจนไม่คิดว่าคนธรรมดาจะสามารถผ่านเข้าไปได้ อีกทั้งที่รกๆตรงนั้นมันยังเหมาะเป็นที่อยู่ของสัตว์เลื้อยคลานอันตรายๆ การที่ผมจะตัดสินใจฝ่าไปจึงนับว่าเสี่ยงมาก อุปกรณ์ป้องกันตัวเองผมก็ไม่มีสักอย่าง

เมื่อหันกลับมามองยังเส้นทางที่ผมเลือกไปในวันแรก มันก็เหมือนมีบางอย่างลอยมาฉุดรั้งขาของผมไม่ให้ก้าวต่อไป ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าผมกำลังจะโดดเรียนเกิดขึ้นมาเพราะอะไรผมก็ไม่ทราบได้  อะไรหลายๆอย่างที่ผมสมมุติไปว่าเป็นครูฝ่ายปกครองกำลังทำให้ผมกลัวในความผิดและความหัวรั้นของตัวเอง  อะไรหลายๆอย่าง เช่น

เสียงของไอ้มิว

เสียงของมันดังซ้ำๆในหัวผมจนเหมือนได้เห็นมันมายืนชี้นิ้วสั่งอยู่ตรงหน้า  ย้ำเตือนให้ผมทำตามที่มันบอกก่อน  โดยที่มันเคยบอกกับผมว่าไม่อยากให้ผมเปลี่ยนเส้นทางไปในทันทีเพราะกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้น  ข้อสงสัยอีกหนึ่งอย่างของเกมส์นี้คือ รายการรู้ได้อย่างไรว่าผมปีนออกมาทั้งที่ด้านหลังบ้านไม่มีกล้องติดเอาไว้เลย อาจจะเพราะตรงนี้ ไอ้มิวเลยบอกให้ผมหาสิ่งที่จับตาผมไว้ให้ได้ก่อน ส่วนเรื่องศพ เรื่องผีปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมัน

ผมเดินกลับมายังเส้นทางเดิมอย่างช่วยไม่ได้  ความเป็นห่วงของไอ้มิวมีผลต่อการตัดสินใจของผมเป็นอย่างมาก  เส้นทางเดิมที่ผมไปไม่ใช่ว่ามันไม่รกแต่ตอนแรกที่ผมเลือกทางนี้เพราะมันมีร่องรอยของการเดินผ่าน มันมีร่องรอยของมนุษย์ ผมเลยเลือกสิ่งที่ทำให้ผมปลอดภัยไว้ก่อน   

เมื่อคืนหลังจากที่ผมบอกกับไอ้มิวไปว่าทีมงานล่วงรู้แล้วว่ามันสามารถเห็นผีได้ แม้จะยังไม่มั่นใจเท่าไร แต่ความรู้สึกผมมันก็บอกแบบนั้น  ลิปสติกนั่นดูเผินๆก็คงไม่มีใครได้คิดอะไรหากทีมงานจะลืมไว้บ้างก็คงไม่แปลก  แต่จังหวะของรายการที่สร้างขึ้นผมว่ามันประจวบเหมาะเกินไป  รายการกำลังจงใจให้ไอ้มิวมีเวลานอนมากขึ้นเพื่อที่จะให้มันเผชิญกับความกลัวที่คนอย่างผมไม่มีทางสัมผัสได้ และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง รายการนี้คงเริ่มเกิดการระแคะระคายกันแล้วว่าการที่ผมออกมาด้านหลังนี่  ผมออกมาเพื่ออะไร

ในคราแรกที่ผมได้ยินมันบอกว่ามันเห็นผมเดินในกระจกและรู้สึกได้ว่าผมกำลังไปผิดทาง ตอนนั้นผมถึงกับทำอะไรไม่ถูก รู้สึกตกใจไปกับคำพูดของมัน คำถามที่ว่ามันรู้ได้อย่างไรว่าทางไหนถูกทางไหนผิดวิ่งแล่นเข้ามาในหัว มันไม่เคยออกมานอกเขตบ้านด้วยซ้ำ  อีกอย่างการที่มันบอกผมว่ามันเห็นผมนั้น เล่นทำเอาจังหวะการเต้นหัวใจผมสะดุดไปได้ทันที เพราะสิ่งที่มันเห็นไม่ได้ต่างจากสิ่งที่ผมเห็นเลยแม้แต่น้อย

ผมเดินย้อนรอยเท้าของตัวเองไป ในใจก็ภาวนาให้วันนี้ผมเจอในสิ่งที่ผมต้องการหาให้เร็วที่สุด มันไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าทีมงานจะไม่เข้ามาในบ้านวันนี้   ถึงผมจะไม่กลัวหากทีมงานจะรู้ว่าผมหนีออกมาแต่เพื่อป้องกันภาวะเสี่ยงที่จะถูกตัดสิทธิ์ผมจึงต้องรีบกลับเข้าไปในบ้าน  อีกทั้งถ้าต้นไม้สักต้นตรงนี้มีกล้องติดไว้จริงๆ ป่านนี้ทีมงานหรือผู้จัดการเกมส์คงได้มานั่งจ้องหน้าจอดูการกระทำของผมแล้ว

ผมเงยหน้ามองต้นไม้ทุกต้นที่เป็นไปได้ เพื่อหาบางสิ่งที่จับตามองผมอยู่ แดดตอนนี้ยังไม่แรงมากนัก การใช้สายตาเงยขึ้นไปตรงๆเลยยังไม่ใช่ปัญหา  แต่สิ่งที่กำลังเรียกว่าเป็นปัญหานั่นคือการที่ยิ่งมองหาผมยิ่งไม่พบ ต้นไม้ทุกต้นไม่มีต้นไหนเลยที่แสดงออกถึงความผิดแปลกไป หากจะเดาว่ากล้องอาจถูกติดอยู่ตรงต้นไม้ต้นอื่น ที่ยืนต้นอยู่นอกเส้นทางนี้ ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะกล้องคงไม่ได้มีความละเอียดมากจนถึงขนาดสามารถจับภาพและดูออกทันทีว่าเป็นผม  พื้นที่ตรงนี้มันไม่ได้มีบ้านผมตั้งอยู่แค่หลังเดียว แต่ยังมีบ้านของลุงมั่นอีกหลังที่ตั้งอยู่

ระหว่างมองหาใจผมก็พะว้าพะวงถึงไอ้มิวที่ยังคงนอนหลับอยู่ไปด้วย  ไม่รู้ว่าตอนนี้มันจะลืมตาตื่นขึ้นมาหรือยัง ผมเดาว่ามันคงแปลกใจถ้าหากพบว่าผมออกมาจากบ้านหลังนั้นเช้ากว่าปกติ  เรื่องเมื่อคืนเล่นเอาผมไม่อยากปล่อยมันไว้คนเดียวกลัวว่ามันไม่เห็นผมอยู่แล้วจะหลอนไปกับภาพที่หัวมันสร้างขึ้น  อีกอย่างช่วงนี้ไอ้มิวก็เริ่มทำตัวแปลกๆจนบางครั้งผมก็ตั้งตัวไม่ทัน อย่างเมื่อวานที่มีตอบคำถาม ไอ้มิวก็ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ในใจผม ทั้งเรื่องที่มันไม่ได้ปฏิเสธทีมงานไป และเรื่องที่มันย้อนถามกลับมาว่า ทำไมตัวผมถึงได้คล้อยตามไปกับคำตอบของมัน

นั่นสิ?…เพราะอะไร

คำถามที่มันถามกลับมานั้น ยอมรับตรงๆเลยว่าผมยังหาคำตอบให้มันไม่ได้  ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมตัวผมถึงไม่แย้งออกไป รู้แค่ว่าใจสั่งให้ตอบไปแบบนั้น ผมอยากเห็นแก้มของมันขึ้นสีแดงจางๆ ผมอยากเห็นใบหน้าของมันที่ชอบแอบอมยิ้มเมื่อผมพูดอะไรถูกใจมันและคิดว่าผมคงมองไม่เห็น  ในตอนนั้นผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณลุงคำมากที่ตะโกนเรียกผมกับมันถูกจังหวะพอดี เลยไม่มีใครได้สนใจคำถามนั่นอีกต่อไป

และเมื่อพูดถึงลุงคำ…ความคิดในหัวผมก็เปลี่ยนไปเป็นการโฟกัสกับต้นไม้และเส้นทางตรงหน้าทันที   

น่าแปลกที่ป่าด้านหลังนี้เงียบสงัดราวกับว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่เลย  ป่าทั้งป่าไม่ต่างอะไรไปกับป่าช้า เงียบจนเหมือนเป็นที่พักผ่อนของคนตายเสียมากกว่า  การเดินย่ำเท้าของผมเลยกลายเป็นเสียงดังเสียงเดียวที่ผมได้ยิน  เมื่อสมองทำงานอยู่เงียบๆ คำโบราณทั้งหลายก็ผุดขึ้นมาในหัวโดยเฉพาะที่พร่ำสอนมาทั้งหลายว่านกที่ออกหากินในตอนเช้าย่อมได้หนอนตัวใหญ่กว่า บัดนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องหลอกลวงเอาเสียดื้อๆ ทั้งๆที่ผมก็รีบออกจากบ้านหลังนั้นมาด้วยเวลาที่ไม่ต่างไปจาก นกออกหากิน แต่ทำไมผมถึงไม่สามารถหาเบาะแสชื้นสำคัญได้เท่ากับที่นกมันเจอหนอน หรือแท้จริงแล้ว ที่ตรงนี้มันอาจจะไม่มีหนอนสำหรับนกอย่างผม

จากแสงอาทิตย์อ่อนๆก็เริ่มเปลี่ยนเป็นทอแสงเข้มขึ้นมา นี่คงเป็นสัญญาณที่กำลังบอกว่าผมใช้เวลาไปกับการสังเกตหากล้องตามต้นไม้ต่างๆนานอยู่พอสมควร  ไอความร้อนของอากาศเริ่มทรยศร่างกายผม จนแผ่นหลังของผมเต็มไปด้วยความชื้นแฉะของเหงื่อที่ไหลออกมา  ผมเริ่มที่จะอึดอัดกับการเดินลอยชายอยู่ตรงบริเวณนี้เลยตัดสินใจที่จะก้าวเร็วๆไปยังบ้านลุงมั่นแทนการสังเกตต้นไม้ต้นที่เหลือซึ่งบางทีมันอาจจะเป็นแค่ต้นไม้ธรรมดาๆที่ไม่ได้มีการเพิ่มลูกเล่นลงไปแต่อย่างใด

จากเดินกลายเป็นเดินเร็ว จากเดินเร็วกลายเป็นวิ่ง ผมถอดเสื้อพาดบ่าและออกตัวอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นกำแพงบ้านของลุงมั่นตั้งอยู่ตรงหน้า เสียงดังโหวกเหวกในบ้านเร้าให้ผมสนใจความเป็นไปในนั้น  บางเสียงคุ้นหูจนเดาได้ทันทีเลยว่าเป็นเสียงของทีมงานเกมส์ที่เคยมาบังคับให้ผมออก  บางเสียงก็ไม่คุ้นแต่เสียงหนึ่งที่ทำเอาใจของผมเต้นรัวแรงด้วยความเป็นห่วงจนแทบจะเข้าไปดูให้ไวที่สุดกลับกลายเป็นเสียงของลุงมั่น

ผลักกกกกกก

เสียงประตูด้านหลังบ้านถูกเปิดกระแทกออกมาอย่างรวดเร็ว จนเกือบทำให้ผมหาที่ซ่อนตัวแทบไม่ทัน  ภาพที่เห็นเป็นภาพของลุงมั่นที่โดนผลักออกมา พร้อมกับทีมงานของรายการอีก 6-7 คนเดินตามมาติดๆ   พวกมันยืนล้อมลุงมั่นอย่านักเลง วางมาดข่มคนแก่ที่ไม่มีทางสู้  จนตัวผมที่แอบสังเกตการณ์อยู่เดือดพล่านไปกับพฤติกรรมหยาบๆของพวกมัน

“เฮ้ย !! ไอ้แก่ หน้าที่มึงมีแค่นี้ทำไม่ได้รึไงวะ” เสียงของหนึ่งในทีมงานตรงนั้น ตะคอกออกมาเสียงดังพร้อมกับทำท่าจะยกเท้าขึ้นมาเตะลุงมั่น ถ้าเพื่อนของมันไม่ห้ามไว้เสียก่อน

“ย…อย่าทำอะไรลุงเลย ลุงกลัวแล้วๆ”

“กลัวก็หัดทำตามที่พวกกูบอกดิ จะอะไรนักหนาแค่ดูแลพวกมันไม่ให้เล่นเกินหน้าที่ มึงทำไม่ได้รึไง!!”

“ล…ลุง  ยังไม่ได้เข้าไปหาพวกนั้นเลย”

“แล้วจะรอเมื่อไร! !  รอให้พวกกูฆ่ามึงก่อนใช่มั้ยถึงจะเข้าไปหามันได้” 

“ย…อย่าทำอะไรลุงนะ เดี๋ยวลุงจะเข้าไปหาวันนี้เลย” ท่าทางหวาดกลัวของลุงมั่น ไม่ได้ทำให้พวกมันสลดลงเลยแม้แต่น้อย กลับกันยิ่งทำให้พวกมันได้ใจ ยืนขู่ลุงมั่นด้วยถ้อยคำหยาบคายสารพัดที่ผมไม่เคยคิดว่ามนุษย์ด้วยกันเองจะกระทำต่อกันแบบนี้  อีกทั้งลุงมั่นยังมีอายุมากกว่า พวกมันไม่ได้มีสำนึกเลยสักนิดว่าคนอายุน้อยกว่าไม่ควรทำ

“เฮ้ย กูสงสัยหวะ ทำไมรายการแม่งไม่เอาพวกมันออกไปซะทีวะ ผิดกฎกันก็เยอะฉิบหาย” เสียงหนึ่งของทีมงานเอ่ยถามบุคคลที่คาดว่าจะเป็นหัวโจกของคนกลุ่มนี้  ไอ้คนนี้ผมจำหน้ามันได้แม่น มันคือคนที่เคยเข้าไปขู่จะเอาผมออก  มันทำยิ้มเย้ยๆให้กับเพื่อนมันก่อนจะหันกลับมามองลุงมั่นที่ล้มกองอยู่ตรงนั้น

“หึ ก็พวกมันกำลังทำเงินไงวะ เงินที่พวกมึงใช้ผลาญกันอยู่ก็มาจากพวกมันทั้งนั้น  เงินที่ต้องจ่ายให้ไอ้แก่นี่ก็เงินที่พวกมันทำให้  รายการจะอยากเอามันออกทำไมวะ” มันตอบเพื่อนมันไปด้วยน้ำเสียงสบายๆแต่ดวงตาของมันกลับจ้องลุงมั่นอย่างเอาเรื่อง

“ลุง ผมจะพูดกับลุงดีๆแล้วกันนะ ถ้าลุงยังอยากมีเงินกินเงินใช้ ก็รีบไปจัดการเรื่องที่ตกลงกันไว้ซะ  เราคุยกันดีๆได้ แต่ถ้าลุงยังมัวช้า พวกผมไม่รับประกันชีวิตลุงนะว่า….จะเกิดอะไรขึ้น” 

ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความคับแค้นใจแทนลุงมั่นและตัวของผมเอง  พวกมันกำลังใช้ผมกับไอ้มิวให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเงิน   มองพวกผมเป็นสินค้าที่ถ้าหากหมดราคาพวกมันไม่เก็บผมไว้แน่  น้ำเสียงของมัน สีหน้าของมัน ทำให้ผมเหลืออดจนอยากจะวิ่งเข้าไปต่อยตีให้จบเรื่อง   แต่ผมทำไม่ได้ หากผมผลีผลามออกไปเมื่อไรสิ่งที่กำลังจะทำต่อหรือที่พยายามมาทั้งหมดจะสูญเปล่าทันที

เฮือกกกกกก

อาจเพราะผมนึกโมโหอยู่กับตัวเองนานเกินไปเลยไม่ได้สังเกตว่าบัดนี้ดวงตาคมคู่นั้นที่เคยจ้องหาเรื่องลุงมั่นได้เคลื่อนย้ายตำแหน่งการมองใหม่มาทางผม  ผมไม่รู้ว่ามันมองเห็นผมหรือเปล่า เพราะตำแหน่งที่ผมแอบอยู่ก็ค่อนข้างจะมิดชิด แต่มันก็ไม่แน่เสมอไป ทุกระบบ ทุกตำแหน่งมักมีช่องโหว่อยู่เสมอ ผมจึงต้องรีบก้มหัวตัวเองลงให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตไปมากกว่านี้

“ฝากดูคนของลุงด้วยละกัน  ต่อให้มันทำเงินมากแค่ไหน แต่ถ้ายังไม่สนใจคำสั่งอยู่แบบนี้ผมไม่เอามันไว้แน่”

“ด…ได้ เดี๋ยวลุงจะดูให้”  พวกมันพูดกับลุงมั่นจบก็หันหลังเดินกลับเข้าตัวบ้านไป  ทิ้งลุงมั่นให้ค่อยๆเดินพาตัวเองกลับเข้าบ้านทีหลัง

ผมแอบอยู่ตรงนั้นได้พักใหญ่จนเมื่อได้ยินเสียงรถที่คาดว่าจะเป็นรถของทีมงานขับออกไปผมถึงได้วิ่งออกมาจากจุดนั้นและไปส่องตามแนวประตูด้านหลังที่ปิดไม่สนิท

เมื่อมองเข้าไปในบ้านลุงมั่น พื้นที่ด้านหลังของบ้านดูจะคล้ายกับบ้านที่พวกผมต้องถ่ายทำรายการอยู่ เพียงแต่ว่าพื้นที่บ้านของลุงมั่นถูกออกแบบให้กลายเป็นแปลงปลูกผักสวนครัวซะส่วนใหญ่ จนเมื่อสังเกตแล้วว่าไม่มีอะไร ผมจึงกล้าที่จะเปิดประตูเข้าไป

“มาทำอะไร?”

น้ำเสียงเรียบๆของคนแก่คนหนึ่งเอ่ยทักผมที่กำลังแอบดูภายในบ้านจากหน้าต่างที่ถูกติดไว้ทางห้องครัว  ส่งผลให้ผมถึงกับสะดุ้งจนหัวแทบโขกกับบานหน้าต่าง

“ผ…ผมเอ่อ”

“มาทำอะไร?” ลุงมั่นใช้เสียงที่กดให้ต่ำลงกว่าเดิมเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบจากผม

“ผม…เอานี่มาคืนครับ”

“ลิปสติก?”

“ใช่ครับ เมื่อวานเหมือนทีมงานจะลืมไว้ในบ้าน ผมไม่รู้จะเอาคืนยังไงเลยเอามาให้”

“เดี๋ยวเย็นนี้ลุงคำก็เข้าไป ทำไมไม่รอคืน”

“เอ่อ…ผมจะมาขอยาด้วยครับ”

“ยาอะไร?”

“ไอ้มิวโดนมีดบาดตั้งแต่เกมส์คืนก่อน แล้วเหมือนแผลจะอักเสบ เลยจะมาขอยาแก้อักเสบครับ”

“อ้าว แล้วทำไมไม่รีบบอก งั้นรออยู่ตรงนี้เดี๋ยวลุงไปเอามาให้” แค่เพียงเหตุผลนั้น หน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดของลุงมั่นก็หายไปในทันที

“ขอบคุณครับ”

ผมถึงกับต้องเอามือทาบอกด้วยความโล่งเมื่อลุงมั่นเดินหายเข้าไปในบ้าน  ไม่คิดว่าไอ้ลิปสติกแท่งเจ้าปัญหาจะนำมาซึ่งการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ผมได้ อีกทั้งบาดแผลของไอ้มิวที่ยังคงติดค้างในใจของผมยังถูกนำขึ้นมาเป็นข้ออ้างหลีกเลี่ยงการจนตรอก เนื่องจากผมไม่สามารถหาเหตุผลที่สามารถฟังขึ้นได้แล้ว

ผมรออยู่ครู่หนึ่ง ลุงมั่นก็เดินออกมาพร้อมกับยาเม็ดที่ข้างกล่องระบุชัดเจนว่าเป็นยาแก้อักเสบนำมายื่นให้ผม พร้อมกับที่ลุงมั่นได้บอกกับผมว่าจะเดินนำไปส่งบ้านเพราะแกต้องการจะคุยเรื่องบางอย่างกับผม ซึ่งก็เดาได้ไม่ยากว่าแกจะพูดเรื่องอะไร ภาพเมื่อสักครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาบอกผมไว้หมดแล้ว

“ไอ้หนุ่ม เอ็งชื่อภพ ใช่มั้ย?”

“ใช่ครับ”

“ลุงขอเตือนเอ็งนะ คราวหน้าคราวหลังอย่าแอบออกมาอีกมันไม่ปลอดภัย”

“ไม่ปลอดภัย?....จากอะไรครับ”

“ไม่มีอะไรหรอก ลุงแค่ไม่อยากให้เอ็งออกจากเกมส์เร็วเท่านั้น”

“ไม่ใช่เพราะลุงโดนพวกนั้นขู่หรอครับ?”

กึก

“เอ็งได้ยินอะไร” ลุงมั่นหยุดเดินทันที ทำให้ผมที่เดินตามมาชนเข้ากับลุงแกอย่างไม่แรงนัก  น้ำเสียงยามที่ลุงมั่นหันหน้ากลับมาถามผมเริ่มดุดันจนผมแปลกใจ หากแต่มันก็แค่นั้น น้ำเสียงนั่นไม่ได้ทำให้ผมกลัวแต่อย่างใด ผมจึงเริ่มตอบออกไปด้วยท่าทีสบายๆ

“ขอโทษที่ล่วงเกินนะครับ แต่ผมเห็นและได้ยินหมดแล้วว่ารายการมันขู่ลุงให้มาบอกเรื่องที่ผมกำลังทำผิด”

“เอ็งคงไม่ได้คิดว่าลุงจะเอาเงินจากการเอาเปรียบพวกเอ็งใช่มั้ย?”

“หึ จะคิดได้ไงครับ ลุงทำหน้าที่มันก็สมควรได้เงินอยู่แล้วอีกอย่างหากผมชนะยังไงผมก็ต้องได้เงินอยู่ดี”

“อืม  ขอบใจ…แล้วนี่ไอ้หนุ่มอีกคนมันเป็นไงบ้าง” ลุงมั่นตอบเสียงแผ่วลง ก่อนจะรีบทำให้เสียงดูมีชีวิตขึ้นอีกครั้งยามถามถึงไอ้มิว

“ไอ้มิวหรอครับ ตอนนี้มันก็…แย่”คราวนี้กลายเป็นผมที่น้ำเสียงอ่อนลงไป หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าตัวผมเองควบคุมใจตัวเองไม่ได้เมื่อได้ยินชื่อมัน  ความรู้สึกหลายๆอย่างตีรวนกันในอกจนทำให้ผมสับสน ทั้งจากการกระทำของมันและจากการกระทำของตนเองที่บางครั้งก็เผลอตัวทำในสิ่งที่ไม่ควรไป

“มันเจอผีหลอกเหรอ”

“เปล่าครับ มันแค่ป่วยเพราะแผลอักเสบ” ผมยิ้มน้อยๆให้กับลุงมั่น  ก่อนจะรีบกลบเกลื่อนเรื่องที่ควรมีเพียงผมกับมันเท่านั้นที่รู้

“ให้มันกินยานี่ เดี๋ยวมันก็หายแล้ว” ผมพยักหน้าตอบรับลุงมั่นไป ก่อนที่ต่างคนจะเดินไปด้วยกันเงียบๆ ไม่มีการพูดคุยกันใดๆเพิ่ม
เติมอีก

ระหว่างทางกลับ ผมไม่ได้ละเลยที่จะมองหากล้องที่ซ่อนไว้อีกครั้ง เนื่องด้วยตอนนี้ผมเดินกลับกันอย่างไม่รีบไม่ร้อน ลุงมั่นที่เดินนำหน้าผม หากแกเบื่อ แกก็จะหันกลับมาชวนผมคุยบ้าง  ถามถึงบรรยากาศการเล่นเกมส์ในตอนกลางคืนบ้างว่าพวกผมเล่นกันเป็นอย่างไร 

ผมเดินตามลุงมั่นไปเรื่อยๆ  ยิ่งใกล้ทางกลับบ้านเท่าไรใจผมยิ่งอยู่ไม่เป็นสุข ผมเสียเวลาออกมาตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ล่วงเลยไปหลายชั่วโมงโดยที่ผมยังไม่ได้มีอะไรคืบหน้า ทั้งเรื่องกล้องและเรื่องเกมส์  จนครู่หนึ่งที่ใจผมเกือบจะยอมแพ้ ถ้าไม่ได้มีโอกาสนึกถึงบทสนทนาของผมกับไอ้มิววันนั้น  ที่มันเคยบอกกับผมว่าตอนนี้คนที่จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขข้อมูลของบ้านนี้หลังนี้ได้ มีเพียงคนเดียวคือลุงมั่น แม้ในใจผมจะกล้าๆกลัวๆ และเชื่อว่าถึงถามไปยังไงก็คงไม่ได้คำตอบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย การเงียบไม่ถามอะไรนั่นเสียอีก ที่เป็นการปิดข้อมูลที่ควรรู้ของผม

“ลุงมั่นครับ”

“มีอะไร?”

“ลุงพอจะรู้จักคนที่ตายในบ้านหลังนั้นมั้ยครับ?....บ้านหลังที่พวกผมใช้เล่นเกมส์กัน”

“ถามทำไม?” ลุงมั่นหยุดเดินไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจก้าวเท้าเดินต่อโดยไม่หันหลังกลับมามองคู่สนทนาอย่างผม
.
.
.
(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่12 เบาะแส (7/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 07-02-2017 18:03:56
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมต้องมาอยู่ในบ้านของคนอื่น อย่างน้อยก็ขอให้รู้ข้อมูลครอบครัวเขาก็ยังดี เผื่อผมออกจากเกมส์ไปจะได้ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาได้หนะครับ  ”

“เรื่องทำบุญ ไม่ต้องใส่ใจนักหรอก มีคนทำให้ทุกปีอยู่แล้ว”

“ใครครับ?  ผมรู้มาจากประวัติบ้านเขาตายทั้งครอบครัวนะครับ กว่าจะเจอศพก็นานพอควรแล้วใครที่ทำให้….ลุงหรอครับ?”

“เปล่า นี่เอ็งจะรู้ให้ได้เลยใช่มั้ย?” เสียงติดรำคาญของลุงมั่น ตอบปัดๆผมก่อนจะหันมาถามด้วยความหงุดหงิดใจ

“ก็…ถ้าลุงจะกรุณาผมก็ยินดีครับ” ผมยิ้มจางๆตอบลุงมั่นไป

“ครอบครัวนั้น…ไม่ได้ตายทั้งหมดหรอก” ลุงมั่นเริ่มเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจให้ผมฟัง ด้วยน้ำเสียงเรียบๆที่บอกไม่ได้ว่าตอนนี้ลุงมั่นรู้สึกอย่างไร

“มีคนรอดด้วยหรอครับ?”

“มีสิ ลูกชายคนกลางของบ้านหลังนั้น คือคนที่รอดชีวิตมา” ลุงมั่นหันมามองหน้าผม ก่อนจะเงียบไปสักพักหนึ่งและเริ่มที่จะเล่าบางเรื่องต่อ

“วันนั้น ลุงจำได้ว่า เด็กคนนั้นวิ่งเข้ามาหลบอยู่ในบ้านลุง ในตอนแรกลุงไม่รู้หรอกว่าเด็กนั่นมาแอบ จนลุงได้ยินเสียงบางอย่างดังที่ด้านหลังบ้าน  มันคือเสียงร้องของเด็กคนนั้นที่ค่อยๆส่งเสียงให้ลุงเปิดประตูให้  ลุงเลยรีบพาเด็กเข้ามาในบ้านแต่เด็กก็เอาแต่บอกว่ามีฆาตรกรกำลังตามมา  มันกำลังจะตามมาฆ่าเขาจนลุงรู้สึกไม่ปลอดภัย  เลยรีบพาเด็กคนนั้นขับรถออกไปที่อื่นก่อน เพื่อหลบซ่อนตัวอยู่หลายวัน”

“ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าลุง…”

“ใช่ ลุงคือคนพบศพของบ้านนั้นคนแรก หลังจากที่ลุงพาเด็กกลับมาเพราะมั่นใจว่าปลอดภัยแล้ว ทุกคนในบ้านนั้นก็ตายกันหมด”

“แล้วทำไม วันที่เกิดเหตุลุงถึงไม่รีบแจ้งตำรวจไปหละครับ  ทำไมถึงปล่อยให้เรื่องเกิดจนกระทั่งมีศพนอนอืดอยู่ในบ้าน”

“ก็เด็กคนนั้นเอาแต่พูดว่า พ่อแม่จะหาทางออกมาเองห้ามแจ้งตำรวจเรื่องนี้เด็ดขาด ลุงเลยไม่รู้จะทำอย่างไร”

“งั้นหรอครับ”  ผมพยักหน้ารับรู้ไปแบบส่งๆ  ในใจของผมสัมผัสได้ถึงความย้อนแย้งหลายๆเรื่อง ผมไม่กล้าฟันธงว่าเรื่องที่ลุงมั่นเล่าจะเกิดจากเรื่องจริงทั้งหมด แม้ว่าลุงแกจะอาศัยอยู่ตรงนี้มานานก็ตาม แต่ความจริงที่ว่ายังไงลุงก็เป็นคนของรายการ เรื่องราวพวกนี้อาจถูกกำหนดมาให้เล่าก็เป็นได้ หากผู้ร่วมรายการอยากรู้ข้อมูลมากกว่าที่รายการจัดไว้ให้

“นี่ เอ็งกลัวผีมั้ย?”

“ผมหรอ? ไม่กลัวหรอกครับลุง”

“งั้นดีเลย เดี๋ยวลุงจะเล่าเรื่องผีเรื่องหนึ่งให้ฟัง”

“เรื่องอะไรหรอครับ?”

“มันชื่อเรื่องว่า เด็กชายกับห้องพิมพ์ดีด

“เรื่องเป็นไงครับ? ผมไม่เคยได้ยิน”

“เรื่องนั้น…”

กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

เสียงกริ่งโรงเรียนตีบอกเวลาพักทานข้าวของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ปลุกเสียงพูดคุยของเหล่านักเรียนชั้นมัธยมปลายให้ดังขึ้นกลบเสียงเนื้อหาของคุณครูที่กำลังจะตั้งใจสอนเกินเวลาไปซะมิด  น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำการประท้วงเจ้าของร่างกายที่นั่งหน้าเครียดมาได้ร่วมชั่วโมง จนสติที่จะนำไปตั้งใจเรียนขาดผึงไปในที่สุด

“งั้นวันนี้ครูพักแค่นี้ก่อนแล้วกัน ไปกินข้าวได้”

“นักเรียนเคารพ”

“ขอบคุณครับ/ค่ะ”

หลังจากนั้น ร่างของเหล่าเด็กชายและเด็กหญิงต่างก็รีบกรูกันออกจากห้องด้วยความเร็วชนิดที่ว่าไม่มีใครยอมใคร  เสียงตึงตังของรองเท้านักเรียนดังขึ้นทำลายบรรยากาศเงียบๆของโถงทางเดินไปจนถึงโรงอาหารที่บัดนี้อัดแน่นไปด้วยนักเรียนนับร้อยคน กำลังจับจองพื้นที่นั่งกินข้าวเที่ยงจนชั่วพริบตาเดียวที่นั่งว่างๆก็เต็มไปด้วยกระเป๋ามากมายกองกันไว้

“เฮ้ย พวกมึงกูมีเรื่องเด็ดๆจะมาเล่าให้ฟัง” เสียงหัวโจกของเพื่อนชายในกลุ่มดังขึ้นเรียกความสนใจจากหลายๆคนที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวจนไม่สนใจอย่างอื่น  เขามองไปที่ต้นเสียงเงียบๆ ก็เห็นเพียงแค่มันกำลังรอทุกคนให้มองไปที่มันก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องพร้อมยิ้มร้ายๆ

“เรื่องอะไรวะ?” ใครสักคนถามขึ้น

“เออหน่า รอให้ไอ้เก่งเงยหน้ามาก่อนดิ เรื่องนี้ต้องรับรู้กันทุกคน”

“ไอ้ห่า มากดดันกูอีก งั้นมึงก็รีบๆเล่ามาถ้าไม่น่าสนใจกูจะถีบให้หน้าเขียวเชียว บังอาจมาขัดเวลาแดกข้าวกู”

“555 มึงไม่มีทางได้ถีบกูแน่” น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจเอ่ยขึ้นมา จนทุกคนถึงกับหันมามองกันเป็นตาเดียวก่อนจะหันไปที่มันอีกครั้ง

“พวกมึงเคยได้ยินเรื่องเล่าในห้องพิมพ์ดีดมั้ย?”

“ไอ้ที่มีคนเล่ามาว่า มีครูเคยผูกคอตายในห้องนั้นเพราะผิดหวังเรื่องรักใช่มั้ย?”

“เออ นั่นแหละ”

“อะไรอย่าบอกนะว่ามึงจะเล่าซ้ำ ไอ้ควายเค้ารู้กันยันเด็กอนุบาลแล้ว”

“โห ไอ้สัส ฟังกูก่อนดิ ที่กูจะเล่ามันเกี่ยวกับเรื่องนั้นเฉยๆ”

“มีอะไรหละ?”เขาถามขึ้นบ้าง เพราะหลังจากนั่งฟังไอ้คนที่เป็นหัวโจกพล่ามอยู่นานแต่ก็ยังหาแก่นสารไม่ได้

“เรื่องนี้กูได้ยินมาจากไอ้ต้าห้องหนึ่ง มันเล่าให้ฟังว่าวันนั้นมันต้องขึ้นไปส่งงานในห้องพักครูบนชั้นห้องพิมพ์ดีดนั่นแหละ ตอนนั้นก็เย็นพอสมควร ด้วยความที่ว่ามันส่งงานช้าเลยต้องแอบขึ้นไปไม่ให้ครูรู้  ทีนี้ตอนมันจะกลับ มันก็ต้องเดินผ่านห้องพิมพ์ดีดไปลงบันได ระหว่างนั้นมันได้ยินเสียงแป้นพิมพ์ดีดทำงาน มันเลยหยุดฟังด้วยความสงสัยว่าใครมาทำอะไร   จนสายตาของมันเหลือบไปเห็นแม่กุญแจที่คล้องอยู่ มันเลยรู้ว่า ตัวมันโดนดีเข้าให้แล้ว  แต่พวกมึงก็รู้ ไอ้ต้ามันโคตรจะนักเลง มันเลยเล่นพิเรนทร์โดยการ ก้มมองลอดหว่างขาผ่านช่องลมข้างใต้กำแพงห้อง แล้วสิ่งที่มันเห็นก็คือ มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งเคาะแป้นพิมพ์อยู่ เธอคนนั้นกำลังพิมพ์บางอย่างไปเรื่อยๆ จนสักพักเธอคนนั้นก็หยุดและลุกเดินถือกระดาษนั่นวนรอบห้องแทน สุดท้ายเกิดอะไรรู้มั้ย?”

“อะไร?” เสียงเพื่อนๆตอบไอ้หัวโจกไปด้วยความตื่นเต้น

“กระดาษแผ่นนั้นมันก็ตกอยู่ตรงหน้าไอ้ต้าพอดี  ตอนนั้นไอ้ต้ากลัวจนแทบจะหัวใจวายตายไปแล้ว แต่พอจะขยับออกมามันก็ทำไม่ได้ เข้าใจคำว่าผีอำใช่มั้ย? ไอ้ต้าเลยต้องทนมองดูผู้หญิงคนนั้นค่อยๆก้มตัวลงมาเก็บกระดาษนั่นแทน  ในใจไอ้ต้าพยายามจะสวดมนต์ตลอด จะหลับตามันก็ทำไม่ได้ จนมันได้ยินเสียงหัวเราะเย็นๆและเห็นหัวผู้หญิงคนนั้นค่อยๆหันมามองมันนั่นแหละ มันถึงจะหลุดออกจากภวังค์นั่นได้  แต่รู้มั้ย ไอ้ต้าบอกกูมาว่า มันไม่ใช่แค่นั้นนะ ช่วงก่อนที่ไอ้ต้ามันจะหลุดออกมา  ผู้หญิงคนนั้นได้หันหัวมายิ้มให้พร้อมกับชูกระดาษนั่นให้ไอ้ต้าดู  ในแผ่นนั้นมันไม่มีอะไรเลยนอกจากคำว่า วันตายและตัวเลขวันที่เท่านั้น”

“วันตายงั้นหรอ?”เขาทวนซ้ำคำที่ได้ยินให้เพื่อนฟังอีกครั้ง เลือดในกายเขาสูบฉีดอย่างเร็วแต่มันไม่ใช่เพราะความกลัว  ใจของเขาตอนนี้มันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นจนเก็บความรู้สึกไว้ไม่อยู่

“มึงไม่ต้องมาทำเสียงแบบนั้น  กูเล่าให้ฟังเฉยๆไม่ได้จะไปทำตาม”

“โห่ไรวะ  นี่พวกมึงเชื่อที่ไอ้ต้าเล่าให้ฟังรึไง กระจอกหวะ”

“แล้วไงถึงกูไม่เชื่อ กูก็ไม่ไปลบหลู่หรอก มึงก็เหมือนกันอย่าไปท้าทายไรให้มาก”

“เออๆ กูไม่ทำหรอก แดกข้าวๆๆๆๆ” เขาตอบไอ้หัวโจกไปอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะตอนนี้ความอยากรู้อยากเห็นเรื่องห้องพิมพ์ดีดมันกำลังทำให้เขาสนใจมากกว่า

เย็นวันนั้นเขาตัดสินใจไม่กลับบ้านไปพร้อมกับเพื่อน โดยอ้างว่าเดี๋ยววันนี้พ่อแม่ตนเองจะมารับ ซึ่งแท้จริงแล้วจุดประสงค์หลักไม่ใช่อื่นใดเลยนอกจากการขึ้นไปท้าทายเรื่องลี้ลับบนห้องนั้น

“ลุงยามครับ  อย่าเพิ่งปิดตึกนะครับผมจะขึ้นไปส่งงาน  แปปเดียวครับ”

“ตอนนี้เนี่ยนะ  ลุงว่าเอ็งอย่าเพิ่งขึ้นไปส่งเถอะบนตึกตอนนี้ไม่มีคนอยู่แล้วนะ เอ็งไม่กลัวรึไง”

“กลัว? กลัวอะไรครับ สิ่งเดียวที่ผมกลัวคือโดนครูตีครับลุง”

“เอ็งไม่เคยได้ยินเรื่องของตึกนี้เลยหรอ?”

“เคยครับ  แต่มันไร้สาระ นี่ถ้าลุงปล่อยผมขึ้นไปตั้งแต่แรกผมว่าผมก็ส่งเสร็จแล้วมั้งครับ”

“เฮ้อ งั้นลุงจะรออยู่นี่แหละ ลุงเตือนแล้วนะ”

“ได้ครับ”

เมื่อลุงยามปล่อยเขาให้ได้อิสระ  ขาทั้งสองข้างเลยรีบพากันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เวลาที่เขาจะอยู่บนชั้นนี้มันค่อนข้างมีจำกัด เขาเลยไม่อยากเสียเวลาไปกับการค่อยๆก้าวขึ้นมา

“ถึงสักทีนะ  ห้องนี้ใช่มั้ย? ที่มีปัญหา” เขาพูดกับตัวเอง พร้อมกับจ้องไปที่บ้านประตูของห้องพิมพ์ดีดที่บัดนี้ถูกล็อกเอาไว้ด้วยแม่กุญแจ

“เอาหละ ไหนๆกูก็อุสส่าห์เหนื่อยขึ้นมาหามึงแล้วก็ช่วยโผล่ออกมาให้กูเห็นหน่อยละกัน อีผีนรก” เขายิ้มร้ายๆให้กับประตูนั่นก่อนจะก้มตัวลงมองลอดหว่างขาผ่านช่องลงดังคำบอกเล่าของเพื่อนตนเอง โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าบัดนี้ มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมาที่เขาอย่างมาดร้ายผ่านช่องเล็กๆด้านบนกำแพง ตั้งแต่เขามาถึงห้องนี้

เขากวาดสายตาไปทั่วห้องอย่างหัวเสียเมื่อไม่พบแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิต  ห้องทั้งห้องมีแต่เพียงโต๊ะพิมพ์ดีดที่ตั้งเรียงกันเป็นแถวแต่ไม่มีโต๊ะไหนที่กำลังทำงานตามคำบอกเล่าของเพื่อนตนเองเลย  เขาจ้องอยู่นานจนกลัวว่าลุงยามจะปิดตึกเลยตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมาเพื่อจะกลับลงไปข้างล่าง

แต๊ก แต๊ก แต๊ก….กริ๊ง

ช่วงที่ผ่านประตูหน้าห้อง  เสียงของพิมพ์ดีดตัวหนึ่งในห้องก็ร้องระงมขึ้นมาสลับกับเสียงกริ่งที่ดังตามมาหลังจากการพิมพ์ถึงจุดที่ตั้งไว้พร้อมกับเสียงปรับแคร่ เสียงของมันดังสนั่นลั่นตึก เป็นจังหวะเหมือนกับว่ามีใครสักคนกำลังนั่งพิมพ์งานอยู่ภายในห้องนั้น แม้จะตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเพราะเมื่อครู่เขาได้เห็นมาหมดแล้วว่าภายในห้องนั่นมันไม่มีใครแต่สัญชาตญาณของเขามันรีบสั่งให้ก้มไปมองช่องลมนั่นอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบว่ามีพิมพ์ดีดตัวใดทำงานเลยแม้จะยังคงได้ยินเสียงพิมพ์ดีดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง  จนสายตารู้สึกผิดสังเกตไปกับการวูบไหวแปลกๆด้านบน เขาเลยต้องช้อนตาขึ้นมองให้สูงขึ้น  สิ่งที่เห็นก็ทำเอาหัวใจเขากระตุกไปพลัน

เห็นกู….หรือยัง?

ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีใบหน้าบวมบูดพร้อมกับลิ้นที่จุกปากแน่น กำลังจ้องมาที่เขาด้วยแววตาแดงกล่ำ  เสียงพิมพ์ดีดที่เขาได้ยินบัดนี้เขารู้แล้วว่ามันมาจากไหน  หญิงสาวคนนั้น เธอกำลังถือพิมพ์ดีดไว้กับตัว พร้อมกับใช้มืออีกข้างพิมพ์บางอย่างลงไป  แต่นั่นก็ยังไม่เลวร้ายเท่ากับเชือกที่ห้อยอยู่บนขื่อ ที่กำลังเริ่มขยับรูดมาทางเขามากขึ้นเรื่อยๆ ร่างของผู้หญิงคนนั้นกำลังไหลมาทางคานไม้ด้านบนจนใกล้จะถึงดวงตาของเขา  ใกล้…เสียจนเขาไม่อาจรอช้าที่จะรีบลุกวิ่งหนีไปจากตรงนั้น แต่…

ปั้ง  ปั้ง  ปั้ง

เสียงประตูไม้ที่ปิดไว้เริ่มเขย่าอย่างแรง หยุดการเคลื่อนไหวของเขา  ลำตัวเขาสั่นมากจนอยากจะย้อนเวลากลับไป หากเลือกได้เขาจะไม่ท้าทายแบบนี้ เขาพร่ำตะโกนคำว่าขอโทษออกไปพร้อมกับน้ำตาเป็นสิบๆครั้ง แต่เสียงเขย่าประตูและเสียงหัวเราะมันก็ยังไม่หยุด  อีกทั้งประตูนั่นมันยังสั่นแรงมากขึ้นเหมือนกับว่าใครบางคนกำลังจะพังมันออกมาให้ได้ และยังความรู้สึกที่ราวกับมีคนจ้องตลอดเวลานั่นอีกทำเอาเขาต้องเหลือบหาที่มาของสายตานั่น จนไปเห็น ช่องลมเล็กๆด้านบน ที่ตรงนั้นมันกำลังมีตาที่แข็งกร้าวคู่หนึ่งจ้องมาที่เขาอย่างเอาเรื่อง เส้นเลือดในตานั่นขึ้นสีแดงจนกลัวว่ามันจะแตกออกมา ประตูที่กำลังเขย่าคงมาจากมือของผู้หญิงคนนั้นที่พยายามจะเปิดมันออกมาหาเขา แรงอาฆาตในตัวเธอมันแรงจนเขาสัมผัสได้  จวบจนทุกอย่างที่ว่ามาหายไป เขาถึงได้ร้องไห้ทรุดกายอยู่แบบนั้น พร้อมกับกระดาษใบหนึ่งที่ถูกส่งลอดออกมาหาเขา

ทุกอย่างเป็นไปตามคำบอกเล่า เนื้อความในนั้นมันคือ วันตาย ของเขาเอง

หลายอาทิตย์ต่อมา เรื่องราวที่ทำให้เขาจับไข้ไปหลายวันก็ค่อยๆถูกกลืนหายไปพร้อมกับกาลเวลา อาการที่หวาดระแวงไปหมดเสียทุกอย่างจนเพื่อนของเขาสงสัยก็ค่อยๆจางหายไปด้วย  เขากำลังจะกลับมามีรอยยิ้มมากขึ้น และใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติ ถ้าไม่บังเอิญไปได้ยินเรื่องราวที่ดึงความรู้สึกเก่าๆของเขากลับมาเสียก่อน

“เฮ้ยพวกมึง ข่าวใหญ่หวะ”

“มีไรวะ?”

“ก็ไอ้ต้าอ่ะดิ  มันเพิ่งถูกรถชนตายเมื่อคืน วันนี้กูก็ว่าจะไปงานศพมันพอดี”

เนื้อความที่ได้ยิน ทำเอาเหงื่อในกายไหลออกมา เนื้อตัวของเขากำลังสั่นไปด้วยความกลัว  เพื่อนๆของเขาต่างก็รีบกรูกันเข้าไปถามหาสาเหตุและวัดที่ตั้งศพ แต่ไม่ใช่กับเขาที่ตอนนี้ยังคงช็อกไปกับเรื่องที่ได้ยิน ไม่กล้าแม้แต่จะขยับกายออกไปตามเพื่อน

“พวกมึงจะไปกันมั้ย  งานศพไอ้ต้าอ่ะ”

“ก็ไปดิ  สงสารมันหวะไม่น่ารีบตายเลย”

“จะว่าไงดี สำหรับกูเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก”

“หมายความว่าไง”

“จำที่กูเล่าให้ฟังได้มั้ย? เรื่องวันตายที่ไอ้ต้าเคยได้รับ”

“อืมจำได้  แล้วมันเกี่ยวอะไรกันวะ”

“เกี่ยวดิ มันคือวันเดียวกับเมื่อคืน มันตายตามวันที่กำหนดมาเลย”

“วะ…ว่าไงนะ” เขาหันไปพูดเสียงสั่นกับหัวโจกของกลุ่มที่เคยเล่าเรื่องราวผีนั่นให้เขาฟัง”

“ก็อย่างที่บอก ไอ้ต้ามันตายตามวันที่ผีนั่นกำหนด”

“แล้วทำไมมึงไม่รีบบอกกู!!!!!”

“ก็กูไม่คิดว่ามันจะเป็นจริง แล้วมึงเถอะจะโวยวายทำไม”

“กู….”

“อย่าบอกนะ ว่ามึงไปท้าทายมาอ่ะ”

“อืม”  เขาจำเป็นต้องพยักหน้าตอบเพื่อนของเขาไป  สิ่งที่ได้กลับมาจึงมีเพียงคำด่าทอมากมาย ก่อนที่มันจะรีบแนะนำให้ผมไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา

“มึง…วันตายมึงคือวันไหน” เพื่อนของเขาหันมาถามเขาอย่างกดดัน

“อ..อีกสองวัน”

“ฮะ!!!!”

“ไม่ต้องตกใจไปหรอก  กูก็จะไปทำบุญตามที่พวกมึงบอกแล้วไงไม่มีอะไรหรอก”เขาตอบรับเพื่อนไปอย่างนั้น  ทั้งที่ในใจก็กำลังกลัวจนไม่รู้ว่าจะหาทางแก้อย่างไรดี 

ตกเย็นเขารีบออกจากโรงเรียนไปยังวัดที่ใกล้ที่สุด เพื่อทำบุญตามคำแนะนำของเพื่อน  เมื่อก้าวขาเข้ามาในเขตลาดวัดเขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นและความปลอดภัยแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน   ในอดีตเขาไม่ใช่คนที่จะเข้าหาเรื่องพวกนี้ แต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องยอมรับเพราะมันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เขารอดจากความตาย…..


“เด็กผู้ชายคนนั้น รอดตายจริงๆหรอครับลุงมั่น วิธีนั่นมันช่วยได้จริงๆหรอครับ” ผมหันไปถามลุงมั่นอย่างใคร่รู้ เรื่องที่ไอ้มิวมันเห็นผี ตอนนี้มันยังไม่มีทางแก้ หากวิธีนั่นมันช่วยได้จริงๆหลังจบเกมส์ผมจะพาไอ้มิวไปทำบุญทันที

“เดี๋ยวสิ ลุงยังเล่าไม่จบ จะฟังต่อมั้ย?”

“เอาตอนจบเลยดีกว่าครับ  มันใกล้จะถึงบ้านแล้วด้วย ผมกลัวจะติดลมจนไม่ได้เข้าบ้าน555”

“เอ็งคิดว่าไงหละ  ตายรึไม่ตาย”

“คงไม่ตาย…มั้งครับ” ไม่รู้อะไรที่ทำให้ผมตอบไปแบบนั้น  ทั้งที่ความจริงในหัวผมมันก็มีแต่คำว่าตายลอยอยู่เต็มไปหมด พล๊อตที่ลุงมั่นเล่ามันเหมือนกับพล๊อตละครทั่วไปด้วยซ้ำ แต่ใจผมก็ย้อนแย้งขึ้นมา มันสั่งให้ตอบว่าเด็กคนนั้นปลอดภัย 

บางทีนี่อาจจะเป็นแค่กลไกการปกป้องอะไรสักอย่างในใจของผม

กลไกที่กำลังปกป้อง….ไอ้มิว

“ผิดแล้วหละ  สุดท้ายเด็กคนนั้นก็ตาย เขาตายเพราะเขาหนีผีตนนั้นไม่พ้น  มันตามมาหลอกหลอนเขาจนเขาต้องฆ่าตัวตายไป”

“โห…..น่ากลัวดีนะครับ แต่ผมว่าเขาโง่ไปหน่อย เป็นผม ผมจะไปหาพระดีๆมาใส่ยังไงผีนั่นมันก็ทำอะไรผมไม่ได้ ถ้ามันจะฆ่าทำไมไม่ทำตั้งแต่วันแรก ยังไงซะ เด็กนั่นมันก็ขึ้นไปท้าทายคนเดียวอยู่แล้ว”

“5555 เอ็งนี่ตลกนะ แต่ก็อย่างว่าแหละ คนเรามักจะทำได้ทุกอย่างเมื่อไม่ใช่เรื่องของตนเอง”

“ก็ประมาณนั้นแหละครับ”

“แล้ว…ถ้าเป็นลุงหละครับ จะทำอย่างไร?”

“ถ้าเป็นลุงหรอ….ลุงก็จะอยู่เฉยๆไม่ไปท้าทายไง

“555 สมกับเป็นลุงดีนะครับ”

“เอ็งเข้าใจในสิ่งที่ลุงต้องการจะบอกมั้ย?” จากน้ำเสียงเล่นๆติดตลกของลุงมั่น ถูกเปลี่ยนไปเป็นเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความจริงจังจนคนฟังถึงกับกดดันกับประโยคนั้น

“เรื่องอะไรครับ?”

“ลุงขอเตือนเลยนะ  เรื่องบางเรื่องหนะ รู้แค่ข้อมูลก็พอ โดยเฉพาะเรื่องของคนตาย อย่าไปขุดคุ้ยให้มาก หากนั่นไม่ใช่การตายปกติ มันย่อมไม่ปลอดภัยอยู่แล้ว  อย่าพยายามไปหาอะไรให้มากความ เพราะสุดท้ายคนที่จะตาย…มันก็คือเรา”


“ลุงมาส่งแค่นี้นะ”

“ไม่เข้าบ้านไปด้วยกันหรอครับลุง”

“ไม่หละ  เดี๋ยวกล้องพวกนั้นมันจับได้ ลุงจะซวยเอา”

“อ่อ ขอบคุณมากนะครับลุง  ได้อะไรเพิ่มเติมเยอะแยะเลย”

“งั้นลุงไปแล้วนะ”

“เดี๋ยวครับ!!!”

“มีอะไร?”

“เรื่องที่ลุงเตือนผม ผมขอบคุณนะครับ แต่ก็อย่างที่บอกเด็กคนนั้นไม่ได้ตายเพราะผี เขาตายเพราะความโง่ของตนเอง สำหรับผม ผมมั่นใจว่าฉลาดกว่านั้น ดังนั้นลุงไม่ต้องห่วงครับ ทีมงานจะทำอะไรลุงไม่ได้อีก”

“คนฉลาดหนะ…เขาไม่หาเรื่องใส่ตัวกันหรอกนะ”

“แต่คนที่ไม่ทำอะไรเลย มันก็คือคนโง่ไม่ใช่หรอครับ?”

“งั้นก็อย่าประมาทก็แล้วกัน  อันตรายของเกมส์นี้มีขึ้นทุกปี จนลุงอดห่วงพวกเอ็งไม่ได้  โชคดีนะ”

“ครับ”  ผมยิ้มเล็กๆตอบลุงมั่นไปอย่างมั่นใจก่อนจะเดินหันหลังมาปีนกำแพงกลับเข้าบ้าน

ริ้วรอยความดีใจบนใบหน้า ไม่อาจปิดได้มิด หลังจากที่คิดท้อแท้มาได้สักพักแล้วว่า อย่างไรวันนี้ผมก็คงไม่มีทางหาข้อมูลดีๆกลับมาฝากไอ้มิวได้  เนื่องจากเบาะแสที่ต้องการไม่ปรากฏอะไรขึ้นมาเลย  จนกระทั่งที่ลุงมั่นมาส่งผมเมื่อครู่ สิ่งที่ผมตามหามาครึ่งค่อนวันก็ปรากฎอยู่ตรงหน้าผมนี่เอง

บ้านหลังนี้มันไม่มีกล้องที่ติดอยู่หลังบ้าน

เหตุผลที่ลุงมั่นกลัวถูกกล้องถ่ายจึงนำไปสู่ความจริงของสิ่งที่ผมต้องการหา

เป็นไปอย่างที่ลุงมั่นเตือนจริงๆ บางอย่างก็อย่าไปพยายามขุดคุ้ย ไม่ใช่เพราะมันอันตรายแต่เป็นเพราะ…มันจะมาหาเราเอง


“หึ อยู่ตรงนั้นเองสินะ”




***********************************************TBC******************************************

เอาตอนที่12 มาส่งแล้วครับผมมมมมม  ไม่เจอกันหนึ่งอาทิตย์เต็มๆเลยคิดถึงกันมั้ยครับ ตอนนี้ผมจัดให้ยาวๆเลย :mew2:

ช่วงนี้ผมยังหาที่ฝึกงานอยู่ เลยไม่ค่อยได้มีเวลาไปอัพเดทในเพจหรือในเว็บนี้นะครับ

ฝากติดตาม ฝากคอมเมนต์กันเยอะๆนะครับ  ถ้ามีคำผิดสามารถบอกได้นะครับ ผมกลัวตรวจสอบไม่ดี
เจอกันครับ  P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่12 เบาะแส (7/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-02-2017 20:33:41
กล้องอยู่ตรงไหนอ่ะ????
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่12 เบาะแส (7/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 07-02-2017 20:53:33
แค่จะเตือนกันก็ต้องทำหลอนขนาดเน้ แอร่กกก  :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่12 เบาะแส (7/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 08-02-2017 03:30:35
อยากรู้ว่าภพตามหาอะไร :katai4: :ling1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่12 เบาะแส (7/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 08-02-2017 11:38:27
ชอบเนื้อเรื่องคะ :impress2: แต่คำผิดที่เห็นในตอนนี้คือ
ตกลงตอนนี้จะให้เป็นลุงมั่นหรือลุงคำคะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่12 เบาะแส (7/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: karamailpraleen ที่ 08-02-2017 17:13:26
ชอบเรื่องนี้แรงมากกกกกกก งานดี อ่านไปกลัวไป  :hao6: มิวสตรองจริงไรจริง ฮาภพตอนให้ลิปติสนี่แหละสงสัยกลัวไม่ได้แก้แค้ให้มิว :-[   เป็นกำลังใจให้คนเขียนมาอัพต่อเร็วๆ ติดตามค่ะ  :katai2-1:   
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่12 เบาะแส (7/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 08-02-2017 23:37:06
ชอบเนื้อเรื่องคะ :impress2: แต่คำผิดที่เห็นในตอนนี้คือ
ตกลงตอนนี้จะให้เป็นลุงมั่นหรือลุงคำคะ  :katai1:

เดี๋ยวพรุ่งนี้ผม จะมาตรวจสอบแล้วแก้ให้นะครับ  คืนนี้ไม่ไหวแล้ววววว :katai1:

ขอบคุณที่บอกเน้อ ขอโทษด้วยนะครับ ผมวนเวียนกับเรื่องที่ฝึกงานจนไม่มีเวลาทวนเลย

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกการติดตามนะครับ  รักมากๆๆๆๆๆๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่12 เบาะแส (7/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 09-02-2017 00:36:09
เหมือนลุงมั่นจะไว้ใจได้แต่ก็ระแวงอยู่ดีไม่ไว้ใจใครสักคนทั้งเรื่องยกเว้นพระนางยังคงลุ้นอยู่และสงสัยในคนตายรุ่นก่อนๆเกี่ยวไรกะลุงมั่นมากน้อยแค่ไหน
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่13 เสแสร้งแกล้งตาย (14/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 14-02-2017 02:10:28
ตอนที่13

เสแสร้งแกล้งตาย

ความเย็นและความว่างเปล่าของพื้นที่ข้างตัวบอกกับผมว่าบุคคลที่เคยนอนข้างกันตรงนี้ลุกออกจากเตียงไปได้พักใหญ่ๆแล้ว  ความสบายที่เกิดจากเตียงว่างๆและการนอนเต็มอิ่มจึงทำการปลุกผมให้ตื่นขึ้นมารับแสงอาทิตย์ของวันใหม่อีกครั้ง

ความรู้สึกปวดหนึบบริเวณเบ้าตาและอาการหน้ามืดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อผมรีบลุกขึ้นมาเพราะไม่เห็นหน้าไอ้ภพอย่างที่ควรจะเป็น  ภายนอกห้องนอนก็ไม่มีเสียงหรือการเคลื่อนไหวใดๆที่จะสามารถบอกถึงวี่แววการมีอยู่ของไอ้ภพ บ้านหลังนี้เงียบสนิทราวกับว่านอกจากผมแล้วก็คงมีเพียงเฟอร์นิเจอร์เท่านั้นที่อาศัยอยู่ภายในนี้

ผมเดินออกจากห้องมาเพื่อทำกิจวัติประจำวันตามปกติ แม้จะแปลกใจไปบ้างที่เมื่อออกมาข้างนอกก็ยังคงไม่เห็นไอ้ภพ แต่เพราะรู้ว่าสถานที่ที่ไอ้ภพจะไปคงมีได้ไม่กี่ที่ ความสงสัยที่เกิดขึ้นจึงอยู่กับสมองของผมได้ไม่นาน และยิ่งเมื่อคืนเกิดเรื่องชนิดที่ว่าเราสองคนต่างก็ไม่ได้คาดคิดและไม่ต้องการให้เกิด ไอ้ภพมันก็คงไม่อยากที่จะรอช้าให้เสียเวลา ป่านนี้มันคงออกไปถึงจุดหมายหลักจุดเดียวของมันเรียบร้อยแล้ว ป่านั่นคงกำลังโดนไอ้ภพถากถางทางสายตาจนไม่มีชิ้นดี สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมจะทำได้ตอนนี้ จึงมีแค่เพียงคำอวยพรและการภาวนาไม่ให้ทีมงานเห็นเท่านั้น

จังหวะการเดินก้าวเท้าพาผมมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องน้ำเหมือนในทุกๆวัน  แต่ดูเหมือนว่าวันนี้มันจะพิเศษกว่าหน่อย  ตรงที่สายตาของผมเอาแต่จ้องมองไปยังลูกบิดประตูนั่นราวกับมันเปิดไม่ได้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าแค่ทำการยื่นไปบิดมันก็ออกแล้ว แต่กระนั้น ความคิดของผมก็ยังยืนยันความต้องการเดิม คือการเรียกร้องให้ลูกบิดตรงหน้าพังไปเสีย   มือของผมที่แข็งแรงสมกับเป็นชายชาตรีก็ดันอ่อนปวกเปียกไปหมดไม่มีแรงแม้จะหมุนลูกบิดออก  อีกทั้งความชื้นของเหงื่อที่กระจายตัวอยู่บนฝ่ามือจนผมรู้สึกถึงความเหนอะหนะของมัน กำลังทำให้ตัวผมสัมผัสได้ถึงความผวาและความหวาดกลัวจากเหตุการณ์เมื่อคืน

ผมกลั้นใจเปิดประตูเข้าไปและหลับหูหลับตารีบอาบน้ำ ทำทุกอย่างให้เสร็จโดยพยายามไม่มองกระจกเงานั่น  ภาพในนั้นมันเคยสะท้อนบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่แค่คนส่องออกมา จนทำให้ผมเกือบจะหัวใจวายตาย การหลีกเลี่ยงไม่ต้องเจอกันได้จึงดูเหมือนจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการเยียวยาจิตใจตัวเอง

ผมกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อแต่งตัวและเรียกขวัญกำลังใจของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ  การเล่นเกมส์นี้ถ้าผมไม่ลองเลิกหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ทำให้ตัวเองกลัวและไม่กล้าหรือไม่พร้อมที่จะก้าวต่อ  ผมก็คงไม่ต่างไปจากคนขี้แพ้ที่รายการจะบังคับให้ผมทำอะไรก็ได้ จะทำให้ผมออกตอนไหนก็ได้  จะขู่ผมให้กลายเป็นบ้าก็ได้ หรือแม้กระทั่งจะสั่งให้ผมจบชีวิตตัวเองภายในบ้านหลังนี้ก็ทำได้

ความสงสัยจากเรื่องราวของเมื่อคืนทำให้การเดินลงบันไดในตอนนี้เป็นไปอย่างช้าๆ มือของผมเกาะกุมราวบันไดเอาไว้ราวกับว่ามันคือสิ่งสุดท้ายที่ยึดเหนี่ยวร่างกายและจิตใจของผม  ภายในหัวก็เอาแต่คิดถึงความเป็นไปได้จากการที่ลิปสติกแท่งนั้นไปอยู่บนมือผม  แต่ยิ่งคิดมันก็ยิ่งไม่ต่างไปกับพายเรือในอ่าง วนเวียนอยู่แค่นั้น หาทางออกให้ความคิดตัวเองไม่ได้ และยิ่งสถานการณ์ตอนนี้ที่ไม่มีอะไรบอกผมถึงที่มาของเหตุการณ์นั้นได้สักอย่าง ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอ่อนแอและสั่นคลอนไปกับความฝันนั่น

ความผิดปกติที่เกิดขึ้นเริ่มทำให้ใจของผมอยู่ไม่สุข มันกำลังร้องหาความจริงอย่างบ้าคลั่ง แม้จะรู้ว่ายิ่งค้นหายิ่งทำให้ผมต้องเจ็บปวด แต่มันก็คือทางเดียวที่จะเยียวยาผมได้เหมือนกัน  ความบังเอิญที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อวานกำลังปลุกความหวาดระแวงในตัวผม สายตาที่เคยคิดว่ามองขาดเกมส์แล้วนั้นบัดนี้กลับหลุกหลิกอย่างบอกไม่ถูก พลันขาของผมก็ค่อยๆพาตัวเองไปสู่สิ่งที่ผมคิดว่ามันจะตอบทุกความสงสัยในใจได้ หากทุกสิ่งไม่ใช่อย่างที่ผมคิด ประเด็นที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ผมจะทำใจยอมรับและปล่อยผ่านไปเงียบๆ แต่ถ้าทุกอย่างมันคือคำตอบ ผมกับไอ้ภพคงกำลังอยู่ในจุดที่เรียกว่า 7วันอันตราย

เกมส์ที่5 มันสั่งให้ผมทำอะไร…

หนังสือเล่มที่5 เล่มที่ผมควรจะได้มาเปิดเมื่อวานถูกวางนิ่งอยู่บนชั้นของมัน   แรงดึงดูดของหนังสือนั่นกำลังทำให้มือของผมค่อยๆเอื้อมไปจับอย่างกล้าๆกลัวๆ  เนื้อหาภายในนี้กำลังจะเปิดเผยถึงความเลวทรามของรายการเมื่อคืนและจะยิ่งส่งผลให้ลุงคำดูเป็นผู้ต้องสงสัยในสายตาของผมมากขึ้น แม้ตอนก่อนนอนผมจะพยายามไม่ปักใจเชื่อไปแล้ว

มือของผมค่อยๆเลื่อนเปิดไปทีละหน้าพร้อมกับแววตาที่เบิกโพลง  น้ำตาเริ่มค่อยๆไหลออกมาคลอหน่วยอย่างไม่ต้องเสียเวลาประดิษฐ์  ความเครียดที่สะสมมาเริ่มส่งผลให้ร่างกายเกิดความรวดร้าวภายในอก จนส่งผลให้ตัวและมือสั่นเทิ้มจนควบคุมไม่ไหว  อีกทั้ง ริมฝีปากของผมยังต้องถูกฟันขบกัดจนเกิดห้อเลือดอย่างคนกำลังกลั้นเสียงสะอื้นในลำคอ

หนังสือนั่น มันมีลิปสติกเกี่ยวข้องด้วยจริงๆ

เพียงแต่ว่า…

เกมส์นั้นมันต้องได้เล่นกันทั้งสองคน ผ่านลิปสติกสองแท่ง และบทสวดเชิญวิญญาณหนึ่งบท


คำอธิบายเกมส์กล่าวเพียงว่า ผมกับไอ้ภพจะต้องใช้ลิปสติกนั่นทาปากและเชิญวิญญาณเข้ามาในบ้านหลังนี้ ก่อนที่เกมส์จะบังคับให้ผมเข้านอนกันทั้งอย่างนั้น  คำสั่งที่ถูกบอกเล่าผ่านตัวอักษรกำลังค่อยๆเชือดผมทั้งเป็น สิ่งที่ไอ้ภพเคยบอกมันกำลังถูกย้ำความจริงด้วยหนังสือนี่  รายการนี้ล่วงรู้แล้วว่าผมเห็นผีได้ เพราะฉะนั้นการที่จะกำจัดผมออกไปแค่คนเดียว บทสวดนั่นจึงไม่จำเป็น  อีกทั้งเรื่องลุงคำที่ยังคงคิดไม่ตกก็ผุดขึ้นมาในหัวอย่างช่วยไม่ได้ เหตุใดลุงคำถึงต้องแสร้งบอกกับผมว่าทีมงานทำตกเอาไว้   ทำไมไม่บอกว่าเกมส์นี้มันกำลังจะทำอะไรกับผมเหมือนในทุกๆวัน

ทำไมต้องทำให้แม้กระทั่งถ้าผมตาย….มันก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญ 

ปั้ง!!!

เสียงประตูในครัวถูกปิดอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงเท้าของมนุษย์กระทบพื้นอย่างเร็ว  ก่อนที่มันจะมาหยุดอยู่ใกล้ๆผม เรียกสติของผมให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน

“อ้าว ไอ้มิว มึงตื่นตั้งแต่เมื่อไรวะ?”  น้ำเสียงเจือความดีใจบางอย่างของไอ้ภพพูดขึ้นข้างหลังผม คาดว่าช่วงเวลาที่ผมวนเวียนอยู่กับหนังสือนี่  ไอ้ภพคงกลับมาถึงบ้านพอดี

“มึงไม่ต้องรีบตื่นก็ได้นะ แต่ช่างเหอะ กู…มีเรื่องสำคัญจะบอก”

“ร…เรื่อง?  เรื่องอะไรวะ” ผมถามกลับมันไปด้วยเสียงที่ยังคงสั่น ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปเผชิญหน้ามัน ผมไม่อยากให้มันเห็น
ว่าผมกำลังร้องไห้

“ทำไมเสียงมึงสั่น?  ไอ้มิว หันมาคุยกับกูดิ”

“ม..ไม่มีอะไร มึงมีเรื่องอะไรอ่ะ กูฟังอยู่”

“ไอ้มิว  กูบอกให้หันกลับมา มีอะไรก็บอกดิวะ” เสียงไอ้ภพเปลี่ยนไป บอกให้รู้ว่ามันกำลังจริงจังกับคำพูดนั่น

“ม..ไม่มี เฮ้ย!!!!”

ตุ้บ!!!

แรงจำนวนไม่น้อยของไอ้ภพ จับผมให้หันกลับไปเผชิญหน้ามัน  เป็นเหตุให้หนังสือเล่มนั้นตกลงไปจากมือของผม แผ่หลาให้ไอ้ภพเห็นเรื่องราวที่ไม่ได้รับการเปิดดูเมื่อคืนทั้งหมด  ไอ้ภพมองหน้าผมด้วยสีหน้าที่ผมบรรยายไม่ได้อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆก้มลงไปเก็บหนังสือนั่นขึ้นมาอ่าน

แรงบีบมือขณะอ่านหนังสือของไอ้ภพชัดเจนจนคนดูสังเกตได้  ดวงหน้าของมันที่คลาคล้ำไปด้วยรอยปนเปื้อนถูกแต่งแต้มไปด้วยร่องรอยแห่งอารมณ์จนดูไม่จืดนัก  ไอ้ภพคงกำลังโกรธที่เกมส์เริ่มเล่นไม่ซื่อกับพวกเราอีกครั้ง  เรื่องราวตรงนี้คือสิ่งที่ผมไม่ต้องการจะให้ไอ้ภพเห็น เพราะผมรู้ว่าถ้ามันรับรู้ สภาพของมันก็จะไม่ต่างไปจากสถานการณ์ตรงหน้าของผมนัก  ความรู้สึกอึดอัดและความไม่พอใจรายการไม่ใช่ว่าผมไม่มี แต่สำหรับไอ้ภพมันคงบวกเรื่องความแค้นส่วนตัวไปด้วย ซึ่งถ้ามันควบคุมไม่ได้เมื่อไร อาจจะนำมาซึ่งการคว้าน้ำเหลว

“เฮ้อ กูบอกมึงแล้วไงว่ามัน…ไม่มีอะไร” ผมยื่นมือไปกุมบ่าไอ้ภพเบาๆ   กลืนก้อนบางอย่างในคอไปอย่างยากลำบากเมื่อต้องปลอบไอ้ภพไปด้วยคำว่าไม่มีอะไร ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แก่ใจตัวเอง  ผมไม่รู้ว่าก่อนมันออกไปสภาพมันเป็นอย่างไร  แต่ตอนขากลับตัวมันค่อนข้างจะสกปรกกว่าทุกวัน อีกทั้งมันยังถอดเสื้อชื้นๆพาดบ่ามันไว้ด้วย  ดูก็รู้เลยว่านอกจากมันจะต้องอดทนกับการค่อยๆมองหาบางอย่าง มันยังต้องต่อสู้กับสภาพอากาศที่ไม่อำนวยมันอีก

“มันจะไม่มีอะไรได้ไง  มึงก็เห็นว่าเกมส์มันกำลังโกง” ไอ้ภพเงยหน้าขึ้นมาตอบด้วยแววตาที่แข็งกร้าวกว่าเดิม แต่ยังดีที่มันไม่ตะโกนออกมาเสียงดัง  มันกำลังกดอารมณ์กดความรู้สึกตัวเองในเนื้อเสียง แม้สีหน้าจะบอกทุกอย่างหมดแล้วก็ตาม

“มัน..ไม่ได้โกงหรอกภพ อย่าลืมสิเกมส์นี้มันจะทำอะไรก็ได้”

“แต่ก็ไม่ใช่การบังคับให้มึงเล่นคนเดียว”

“ที่ผ่านมา…มันให้เราเล่นตามหนังสือรึไง มันก็ค่อยๆโกงมาอยู่แล้ว” ผมค่อยๆบอกถึงเหตุผลกับมันไป  ที่ผ่านมาเกมส์พยายามจะแทรกเนื้อหาเข้ามาเพิ่มโดยที่ไม่ได้บอกอะไรอยู่แล้ว ฉะนั้นเกมส์เมื่อคืนก็ไม่ได้ดูเป็นเรื่องที่ผิดปกติหากเกมส์จะทำ

“มึงไม่ต้องมาปลอบกูหรอกมิว  ก่อนกูกลับมามึงก็เครียด มึงก็ร้องไห้ไปแล้ว  กูจะโมโหบ้างมันแปลกตรงไหนวะ”

“พอก่อนๆ  ตามกูมานี่” ผมปรามเสียงไอ้ภพที่มันเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ  ก่อนจะพามันเดินออกมาหน้าบ้าน

โชคดีที่อากาศตอนนี้ค่อนข้างจะเป็นใจให้ผมและไอ้ภพได้พักกายพักใจกันบ้าง  ลมเอื่อยๆถูกพัดเข้ามาเป็นระยะ พวกเราทั้งคู่ต่างก็เลือกนั่งบริเวณหน้าบ้าน หลบเลี่ยงกล้องออกมานิดหน่อย เพื่อให้การพูดคุยสะดวกขึ้น  แดดแรงๆไม่อาจทำอะไรได้ เพราะชายคาที่ถูกติดตั้งไว้อำนวยความสะดวกให้พวกผมเป็นอย่างดี  หากไม่คิดอะไรนี่คงเป็นบรรยากาศเบาๆ เงียบสงบอย่างที่ใครหลายๆคนถวิลหา

“กูกับมึงนี่เจอแต่เรื่องเนอะ ทำบาปทำกรรมอะไรกันมาวะ” ผมพูดขึ้นมาทำลายบรรยากาศเงียบๆนั่น เมื่อเห็นว่าอารมณ์ไอ้ภพเริ่มเย็นลงไปบ้าง

“ถามว่า กูกับมึงไปทำอะไรให้เกมส์ มันจะดีกว่ามั้ย?”

“555 นั่นสินะ กูกับมึงไปทำอะไรให้เกมส์วะ…”

“มิว” เสียงทุ้มๆของไอ้ภพเรียกให้ผมหันไปหามัน

“หืม?”

“เจ็บ…มากมั้ย?” 

“เจ็บ?  เจ็บไรวะ” ผมถามกลับไอ้ภพด้วยความงุนงง  แต่ไอ้ภพก็ไม่ได้ให้คำตอบ นอกจากการค่อยๆเลื่อนมือของมันมาสัมผัสไปยังแผลตามร่างกายของผม  เริ่มตั้งแต่ ดวงตาที่บวมจากการร้องไห้อย่างหนัก  ปากที่แตกจากการขบกัดเมื่อครู่  แผลที่คอที่เริ่มดีขึ้นบ้างจากการโดนใบมีด เมื่อครั้นเล่นเกมส์หน้ากระจกนั่น  เข่าที่มีอาการช้ำเล็กน้อยจากการเล่นกันเมื่อวาน และตำแหน่งสุดท้ายที่มันเลื่อนไปสัมผัสอยู่นาน เล่นเอาดวงตาของผมชื้นขึ้นมาเล็กน้อย

นั่นสินะ…คงเป็นหัวใจของผม

ที่มีบาดแผลมากที่สุด


“เจ็บ…มากมั้ย?”

“ฮึก…เจ็บสิ กูเจ็บมาก แต่มันไม่ได้เกิดจากความกลัวเพียงอย่างเดียว  มันเหมือนกูถูกหักหลัง กูไว้ใจเขามาก แต่ทำไมเรื่องเมื่อวานถึงต้องจบลงแบบนี้  ทำไมเขาไม่พูดกับกูตรงๆ กูจะได้เตรียมใจเอาไว้บ้าง ว่าจะต้องเจอกับอะไร” สุดท้ายบ่อน้ำตาของผมก็พังทลายมาอีกครั้ง  น้ำตาหยดเล็กหยดน้อยไหลออกมาจนผมสงสารดวงตาของตนเอง  ไอ้ภพคงรับสภาพของผมไม่ไหว มันเลยขยับเข้ามาใกล้ผมมากกว่าเดิมและจับไหล่ผมเบาๆอย่างที่คิดว่ามันกำลังปลอบผม

“อย่าคิดมาก รายการนี้มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอก ลุงคำเขาอาจจะโดนสั่งมาให้ทำแบบนั้น อย่าลืมสิ เขาก็เป็นคนของรายการ กูก็ผิดหวังไม่ต่างจากมึงหรอก แต่กูอยากให้ทุกอย่างมันแน่ใจกว่านี้ก่อน  สิ่งที่เราทำได้ คือต้องค่อยๆสังเกตลุงแกไป อย่าเพิ่งร้อนไปตามเกมส์ก็เท่านั้น”

“อืม กูก็จะทำแบบนั้นนั่นแหละ  แต่ตอนกูเปิดหนังสือนั่น ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เหมือนกูจะควบคุมไม่ได้เลย มันเหมือน พวกเรากำลังจะโดนหลอกซ้ำซ้อน” ผมหันหน้ากลับไปตอบมันด้วยความรู้สึกที่สงบลง  เคยบอกตัวเองอย่างไร ผมก็ยังยืนยันกับตัวเองอย่างนั้น  ไอ้ภพมันคงมีเวทย์มนตร์บางอย่าง แค่ได้อยู่ใกล้ๆความสบายใจก็เกิดได้

“ว่าแต่มึงเหอะ  ออกไปทำไรตั้งแต่เช้าวะ สภาพนี่ดูไม่ได้เลย” ผมถามมันกลับบ้าง เมื่อได้มีโอกาสสังเกตหน้ามันชัดๆ ถึงได้รู้ว่า มันโทรมกว่าทุกวัน  ดวงตาของมันดูอ่อนล้าเหมือนคนไม่ได้นอน  ตามลำตัวก็มีแต่แผลเล็กๆ จนอดเป็นห่วงไม่ได้

“มันเกี่ยวกับเรื่องสำคัญที่จะบอกนั่นแหละ”

“เรื่อง? พูดตรงนี้ได้มั้ย?”

“ได้ดิ เดี๋ยวพูดเบาๆเอา กูขี้เกียจลุกแล้ว นั่งตรงนี้ก็สบายใจดี”

“งั้นก็ว่ามา”

“อืม  เมื่อเช้ากูรีบออกไปหากล้อง”

“กล้อง?  ไอ้ที่กูเคยให้มึงสังเกตก่อนหนะเหรอ”

“อืม สารภาพว่าจริงๆกูจะไปตามเส้นทางที่มึงเคยบอกว่ามีศพ แต่สุดท้ายกูก็เปลี่ยนใจกลับมาทางเดิม ช่วงระหว่างทางไปบ้านลุงมั่นกูก็มองหาอย่างที่มึงบอก แต่ก็ไม่พบอะไรจนอากาศเริ่มร้อน กูเลยถอดเสื้อออก พวกกิ่งไม้ต่างๆหรือเศษหินเล็กๆมันคงบาดกูนั่นแหละ แผลพวกนี้ไม่มีอะไรหรอก แต่รู้มั้ย? กูเจออะไรที่แย่กว่านั้นอีก”

“เกิดอะไรขึ้น?” ผมหันไปมองหน้าไอ้ภพ และถามมันด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจริงจัง  จากที่ฟังไอ้ภพเล่าเรื่องสำคัญที่มันว่าคงจะสำคัญจริงๆ ไม่อย่างนั้นไอ้ภพก็คงไม่พูด ยิ่งแววตาของมันที่เข้มขึ้น ยิ่งทำให้เรื่องนี้ดูไม่น่าไว้ใจ

“กูเจอลุงมั่นกำลังโดนทีมงานกลุ่มที่เคยเข้ามาจะเอากูออกข่มขู่  มันกำลังไม่พอใจที่กูพยายามออกไปข้างหลังนั่น  ตอนแรกกูก็สงสัยนะ ว่าพวกนั้นมันรู้ได้ไงว่ากูกำลังผิดกฎ เหมือนกับที่มึงสงสัย จนขากลับ ลุงมั่นเขามาส่งกู กูถึงได้เห็นว่า ต้นไม้ที่อยู่ตรงหลังบ้านเราพอดี มันมีบางสิ่งไม่เหมือนต้นอื่น  ใบของมันเหมือนมีคนจงใจดึงมาคลุมบางอย่างไว้”

“มึงจะบอกว่าที่ผ่านมา ชีวิตข้างหลังบ้านเราถูกกล้องตัวนั้นบันทึกไว้หรอ”

“กูไม่แน่ใจหรอก เพราะกูก็ไม่เห็น แต่ถ้าจะหาความเป็นไปได้ ตรงนั้นมันก็ไม่น่าไว้ใจมากที่สุด ยิ่งตอนขากลับลุงมั่นแกหยุดส่งกูก่อนถึงต้นไม้ต้นนั้น กูยิ่งเข้าข้างความคิดตัวเอง”

“งั้นเหรอ…ยังดีที่มึงหาจุดที่ควรระวังเจอ  รู้แล้วใช่มั้ยภพ คราวหน้าถ้าต้องออกไปให้เดินเลี่ยงตรงนั้นซะ อย่างน้อยมันก็หลอกทีมงานได้ว่ามึงยังไปเส้นทางเดิม”

“อืม กูจะระวังแล้วกัน.. อ้อ! มึงรู้มั้ยว่าลุงมั่นแกยอมเล่าประวัติบ้านหลังนี้ให้กูฟังด้วย  แต่กูว่ามันไม่น่าเชื่อเท่าไร มันยังมีหลายจุดที่ค่อนข้างแปลก แล้วก็ ลุงแกยังเล่าเรื่องผีให้กูฟังอีก”

“หืม? เรื่องผีเนี่ยนะ ลุงมั่นแกอยู่ในอารมณ์ไหนวะ”

“ไม่มีอารมณ์ไหนหรอก แกแค่อยากเตือนกูผ่านเรื่องผี ยิ่งแกเห็นกูไม่กลัว แกยิ่งชอบเล่า”

“555  เออดีเนอะ แกคงเหงา…แล้วเรื่องบ้านนี่หละ แกว่าไงบ้าง”

“แกบอกแกเจอศพคนแรก เพราะลูกชายคนกลางของบ้านนั้นรอดมาได้เลยมาบอกให้แกช่วย”

“อย่างนั้นหรอ…แปลกเนอะ ไม่ยักรู้ว่าเขายอมเอาบ้านที่มีเรื่องราวหดหู่ของตัวเอง มาทำอะไรแบบนี้ด้วย แล้วตอนนี้เขาไปอยู่ไหนแล้ว?”

“กูไม่รู้หรอก ลุงมั่นไม่ได้เล่า จริงๆเรื่องนี้มันไม่ได้มีแปลกแค่นี้หรอก มันยังมีอีกเยอะ อยากฟังมั้ย?”

“ไม่หรอก ขนาดมึงยังว่าแปลก กูจะฟังทำไม รายการนี้แม่งเชื่ออะไรไม่ได้นักหรอก”

“อืม ดีแล้วหละ กูก็ไม่อยากใส่อะไรให้มึงคิดมากแล้ว” พูดจบไอ้ภพก็ก้มหน้ามองมือตัวเองนิ่งๆ ไม่รู้ว่าบรรยากาศมันไปเรื่อยๆมากเกินไปหรือเปล่า ผมถึงรู้สึกว่าผู้ชายข้างตัวผมเขาอ่อนล้าเต็มทน  น้ำเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก็ดูเหนื่อยจนไม่เหมือนไอ้ภพคนที่ผมเคยรู้จัก

“นี่ ไอ้ภพ เมื่อคืนมึงไม่ได้นอนใช่มั้ย?”

“อืม ก็นิดหน่อย แต่ไม่ใช่เพราะมึงหรอก กูไม่ง่วงเอง”

“เพราะกูก็บอกดิวะ อย่าเก็บไว้เป็นความผิดตัวเอง มีอะไรแชร์กันได้ก็แชร์กัน”

“ไม่ได้หรอก…ความเจ็บปวดของมึงกูยังแชร์มาไม่ได้เลย”

“เรื่องนี้…ไม่ต้องหรอก แค่ยังมีมึงอยู่รับฟัง มันก็มากพอแล้ว”คำพูดของมันเล่นเอาผมชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่ผมจะหันไปยิ้มให้ไอ้ภพเบาๆและดึงตัวมันให้มานอนบนตักของตัวเอง  สีหน้าที่แสดงถึงความรู้สึกผิดของไอ้ภพยังทำใจผมแปลบๆไม่หาย  ตัวมันมีค่ามากพอสำหรับผม ดังนั้นการที่มันรู้สึกผิดกับตัวเอง เลยเหมือนเป็นการทำร้ายผมเพิ่มอีก

“ยังไม่ได้นอนก็นอนไป สูดออกซิเจนเข้าไปเยอะๆ เราจะได้ไม่เครียดกัน”

“มิว…มึงลองต่อยกูมั้ย?”

“ฮะ!!! มึงประสาทแดกแล้วรึไง ทำไมถึงอยากให้มีคนทำร้ายตัวเอง”

“กูแค่…อยากรู้ถึงความเจ็บปวดของมึง อย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้กูรู้สึกผิดแบบนี้ กูกลัวมึงจะไม่ไหว”

“ภพ มึงเหนื่อยมากมั้ย?”

“ถามทำไม?”

“ตอบมาเถอะ เอาตรงๆนะ คุยกันแบบผู้ชายคุยอ่ะ”

“อืม ไอ้เหนื่อยมันก็เหนื่อย แต่ก็ไม่ใช่ทุกวันหรอกอย่างน้อยมันก็ยังมีมึงที่อยู่เล่นกับกู กูยังไหว”

“งั้นรู้เอาไว้ ถ้าตราบใดที่เกมส์นี้มันยังมีมึง…กูไหวเสมอ”ผมยิ้มให้ไอ้ภพ ก่อนจะค่อยๆเอามือของตัวเองพัดให้ลมมันโกรกตัวไอ้ภพมากขึ้น  ผมต้องการให้ช่วงเวลาต่อจากนี้มันได้หลับพักผ่อน แม้ตัวผมเองอาจจะยังไม่ได้กินข้าว แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา ความเครียดที่สะสมมา มันทำให้ผมไม่รู้สึกอยากอะไร กลับกัน การได้ดูแลไอ้ภพคืนบ้าง นั่นยังทำให้ผมอิ่มมากกว่าเสียอีก

“กูขอสัญญา เราสองคนจะไม่มีทางได้หยิบหนังสือเล่มที่สิบห้าออกมาอ่าน  ไม่ใช่ว่าเพราะเราต้องออก แต่เป็นเพราะ…เราจะจบเกมส์นี้ไปด้วยกัน”

“อืม กูจะรอ…”


.

.

.

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่13 เสแสร้งแกล้งตาย (14/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 14-02-2017 02:12:43
แสงอาทิตย์ที่เริ่มจะลับขอบฟ้าบอกถึงเวลาของการเล่นเกมส์ถัดไปที่จะเริ่มขึ้น  หลังจากที่พวกผมใช้เวลาไปกว่าครึ่งค่อนวันในการพักกายอยู่บริเวณหน้าบ้าน  สภาพร่างกายก็เริ่มประท้วงทันทีเนื่องจากเราทั้งคู่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง

เมื่อพวกเราตัดสินใจกลับเข้ามาเพื่อเตรียมอาหารกันในบ้าน บุคคลที่ตกเป็นประเด็นเมื่อช่วงบ่ายก็เข้ามาในบ้านหลังนี้อีกครั้งพร้อมกับอาหารสดและขนมเหมือนเคย   ลุงคำเดินเข้ามาทักทายพวกผมที่ตั้งใจทำอาหารกันอย่างสนุกสนาน ทำให้บรรยากาศดีๆเมื่อครู่เปลี่ยนไปเป็นอึดอัดจนลุงคำคงสัมผัสได้

“พวกเอ็งมีอะไรกันรึเปล่า?”

“เอ่อ…ไม่มีครับ วันนี้ลุงเอาอะไรมาบ้างหรอครับ?”ผมเลือกที่จะทำลายความเงียบโดยการรีบตอบลุงคำไปเหมือนกับในทุกๆวัน 
ผมไม่อยากให้การสงสัยที่ยังหามูลเหตุไม่ได้มาทำลายความสัมพันธ์ตรงนี้ หากเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือลุงคำจริง วิธีนี้ก็นับว่าฉลาดพอที่จะปกป้องตัวพวกเราเอง

“เอ็งนี่ก็ถามอยู่ได้ทุกวันนะ 555 ก็อาหาร กับ ขนมพวกเอ็งเหมือนเดิมนั่นแหละ”

“แหม่ลุง ผมก็ถามเผื่อเกมส์มันจะยัดเยียดอะไรมาให้ผมทำผ่านลุงอีก เครื่องเล่นเทปนั่นยังทำผมหลอนไม่หายนะครับ”

“555 ถ้าวันนี้ก็ไม่มีหรอก สบายใจได้”

“แล้วไอ้หนุ่มนี่เป็นอะไร ยืนหน้าเครียดตั้งแต่ลุงเข้ามาแล้วนะ” ลุงคำหันกลับไปหาไอ้ภพที่ยืนจ้องแกอย่างจับผิด

“อ่อ ไม่มีอะไรครับลุง ผมคิดเรื่องเกมส์ที่จะเล่นคืนนี้นิดหน่อย”

“วันนี้เกมส์มันให้เล่นอะไรหละ เผื่อมีอะไรที่ลุงพอจะแนะนำได้”

“นี่ลุงไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ครับ” ไม่รู้ว่าผีตนไหนที่เข้าสิงไอ้ภพ มันถึงได้สวนกลับลุงคำออกมาแบบนั้น ผมรีบหันไปมองหน้าลุงคำก็พบว่าแกกำลังทำสีหน้าเรียบๆไม่บอกถึงอารมณ์ แต่ก็พอเดาได้ว่าไม่พอใจ

“อ..เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกครับลุง จริงๆพวกเรายังไม่ได้อ่านกันครับ อีกอย่างไอ้ภพมันคงสงสัย เพราะปกติก็เห็นลุงจะรู้ตลอดว่าพวกเราต้องทำอะไร ใช่มั้ย? ไอ้ภพ ” ผมหันไปมองไอ้ภพอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะรีบสั่งให้มันคล้อยตามไปกับคำพูดผม

“ใช่ครับ ปกติผมเห็นลุงรู้ก่อนพวกผม ขอโทษด้วยครับถ้าผมเผลอพูดไม่ดีไป”

“แปลกๆนะพวกเอ็ง นี่คงเครียดกันมากใช่มั้ย? ลุงไม่ได้รู้ทุกเกมส์หรอกนะ ถ้าทีมงานไม่มาบอกลุงก็ไม่รู้”

“ขอโทษครับ” พวกผมสองคนต่างก็รีบยกมือไหว้ขอโทษลุงคำไป เหตุผลที่ลุงว่ามาแม้จะสร้างความแคลงใจให้ผมบ้าง แต่น้ำเสียงของลุงก็ไม่ได้มีแววล้อเล่นแต่อย่างใด

“เฮ้อ เอาเถอะ ไหนๆลุงก็ยังพอมีเวลา ไปหยิบมาอ่านซะสิ เผื่อตรงไหนลุงช่วยได้ก็จะช่วย”

“ได้ครับ…งั้นเดี๋ยวกูไปเอามาอ่านละกัน มึงก็อยู่คุยกับลุงคำนะไอ้ภพ คุยดีๆด้วย” ผมตอบลุงคำไปก่อนจะปรับน้ำเสียงหันไปบอกไอ้ภพเบาๆให้ทำตามคำสั่งของผมอย่างเด็ดขาด

“เออๆ มึงจะไปทำไรก็ไปเหอะ” ผมส่ายหัวเอือมระอากับการประชดประชันของไอ้ภพน้อยๆ ก่อนจะขอทางจากลุงคำเพื่อมายังตู้หนังสือประจำบ้าน

เสียงพูดคุยเรื่องสัพเพเหระของไอ้ภพกับลุงคำดังขึ้นทุกขณะ จนสามารถเรียกได้ว่าอารมณ์ความสงสัยในตัวลุงคำกำลังค่อยๆหายไปจากตัวไอ้ภพทำให้การสนทนาเริ่มกลับมาเป็นปกติ ไม่ก็เป็นไอ้ภพที่เก็บความรู้สึกของตัวเองได้เก่งมากขึ้น มันถึงไม่ได้แสดงอาการแปลกๆออกมาอีก ผมที่ได้สังเกตเรื่องราวในห้องครัวอยู่พักหนึ่งก็ถึงกับเบาใจกับสถานการณ์ที่เคยกระอักกระอ่วนตรงหน้า และเริ่มหันกลับมาสนใจสิ่งที่ควรจะสนใจจริงๆเสียที

หนังสือที่ต้องเปิดอ่านทุกวันเล่มที่ 6 ถูกวางไว้ติดกับหนังสือที่ผมไม่ได้เปิดอ่านแต่สามารถก่อให้เกิดปัญหาได้มากที่สุดตั้งแต่ผมร่วมรายการมา  ลมหายใจของผมถูกสูดเข้าปอดอย่างลึกที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกับหนังสือตรงหน้าออกมาอ่านรายละเอียด

หนังสือเล่มนี้มีลักษณะที่ต่างจากเล่มที่เคยอ่านมาอย่างชัดเจน  ปกหนังสือดูเหมือนจะถูกทำขึ้นมาใหม่ กระดาษภายในก็เหมือนจะมีเพียงรายละเอียดคำสั่งของเกมส์เท่านั้นที่ต่างจากกระดาษแผ่นอื่น  ทั้งความเก่า ทั้งเนื้อหา ทำให้สามารถสรุปไปได้เองว่า รายการคงเอาหนังสืออ่านเล่นสักเล่มมาเพิ่มจำนวนหน้าโดยการยัดคำสั่งเข้าไปและจัดการทำปกใหม่เสีย ให้ทุกอย่างดูเหมาะกับเกมส์นี้

ร่องรอยของกระดาษในหนังสือ บอกกับผมว่านอกจากรายละเอียดของเกมส์แล้ว หน้าอื่นๆต้องผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก ไม่ก็ต้องถูกวางไว้ในที่ที่ต้องสกปรกมากๆ ไม่เช่นนั้น กระดาษจำนวนหนึ่งคงไม่มีร่องรอยของสี และความอับชื้นมากขนาดนี้ แต่นั่นก็ยังไม่น่าสนใจมากพอเท่ากับ กระดาษสีขาวที่มีเพียงตัวอักษรเท่านั้น ที่กำลังบอกผมว่าทุกๆอย่างในเกมส์ที่ผมจะต้องเล่นต่อไปนี้  ล้วนมีที่มา

“เป็นไงบ้าง เกมส์นี้มันให้เราทำอะไร” ลุงคำถามขึ้นมาหลังจากที่ผมเดินกลับมาในห้องครัวพร้อมหนังสือเล่มนั้น ด้วยใบหน้าที่ติดจะวิตกกังวลกับรูปการแบบนี้

“มันให้ผม…จำลองเหตุการณ์ฆาตกรรม

“ว่าไงนะ!!!” ไอ้ภพเหวลั่นจนลุงคำถึงกับสะดุ้ง แต่ก็ไม่เท่ากับสีหน้าของลุงคำที่เปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นจนดูน่ากลัว

“มันให้เราสองคน สร้างเหตุการณ์จากคดีฆาตกรรมที่เคยเกิดขึ้นจริงไอ้ภพ มันจะให้เราเห็นผีจากการซ้ำรอยคนตาย”

“หมายความว่ายังไง ลุงไม่เข้าใจ พวกเอ็งต้องแกล้งเป็นศพกับฆาตกรจากคดีไหน?”

“ผมไม่ทราบหรอกครับลุงว่ามันคือคดีไหน รู้แค่ว่าคนตาย…คือเจ้าของหนังสือเล่มนี้”ผมหันไปตอบลุงคำด้วยปลายเสียงที่แผ่วลง ความกลัวบางอย่างเกิดขึ้นย้ำความกลัวเดิมที่เคยมีอยู่แล้ว มันอาจจะเป็นความเคยชินหรือรู้อยู่แล้วว่าเกมส์นี้มันไม่เคยปรานีพวกผม แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกว่ามันแรงไป มันกำลังจะให้ผมล้ำเส้นระหว่างคนเป็นกับคนตาย

ลุงคำพยักหน้าให้ผมเบาๆก่อนที่แกจะเดินแยกออกไปคุยโทรศัพท์  เสียงที่ได้ยินผมไม่อาจรู้เลยว่าแกกำลังคุยกับใคร รู้แค่ว่าแกกำลังไม่พอใจอย่างหนักที่เกมส์ถูกสร้างมาแบบนี้  ผมกับไอ้ภพถึงกับมองหน้ากันทันที  เราสองคนเคยชินกับการโดนกระทำแรงๆกับเกมส์จึงไม่ได้รู้สึกว่ามันมากไป นอกเสียจากความกังวลที่เกิดขึ้นหากต้องท้าทาย อีกทั้งลุงคำคือผู้ต้องสงสัยมากที่สุด เหตุใดถึงได้ปฏิบัติกับผมราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อวาน

“คงเป็นคราวซวยของพวกเอ็ง ลุงขอโทษละกันที่ช่วยอะไรไม่ได้” ลุงคำเดินกลับเข้ามาอย่างหัวเสีย อารมณ์ที่อยู่ดีๆก็เกิดการปะทุขึ้นมาของแกทำเอาพวกผมสองคนปรับตัวกันไม่ทัน

“มัน…คงไม่มีอะไรหรอกครับลุง”ผมตอบลุงคำไปอย่างไม่มั่นใจนัก

“นั่นสิครับ ผมอยู่ในบ้านนี้มาครบอาทิตย์แล้วนะครับ ถ้ามันจะมีผีจริงๆผมคงโดนกันไปแล้ว”ไอ้ภพตอบขึ้นมาด้วยเหตุผลที่สนับสนุนความคิดของผม  ผมจึงพยักหน้าเห็นด้วยให้ลุงคำไป อย่างน้อยที่ไอ้ภพพูดมันก็คือเรื่องจริง ถ้ามีผี ผมต้องเห็น

“ไม่เหมือนกันหรอก”

“ยังไงครับลุง/ยังไง?”

“ในหนังสือเล่มนั้น นอกจากคำสั่งแล้วมันมีคาถาอะไรด้วยมั้ย?”ลุงคำมองหน้าพวกผมที่รีบพูดขึ้นมาพร้อมกัน ก่อนที่แกจะเปิดปากถามคำถามที่คนฟังถึงกับเหงื่อตก

“ม..มีครับ แต่มันก็แค่คาถาเห็นผีแบบที่พวกผมเคยท่องไม่ใช่หรอครับ”

“เคยท่องงั้นหรอ ครั้งที่แล้วพวกเอ็งท่องกับสิ่งของในเหตุการณ์ฆาตกรรมจริงๆอย่างนั้นหรอ  รู้หรือเปล่าตามปกติวิญญาณที่ถูกฆ่า มันจะผูกใจเจ็บกับสถานที่สุดท้ายที่มันตาย  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไปที่อื่นไม่ได้หากถูกเรียก ยิ่งสิ่งของที่เคยเป็นของมันมาตกอยู่ในพิธีกรรมของพวกเอ็ง คิดบ้างไหมว่ามันจะตามมาเอาคืน?”

“คงไม่มีอะไรหรอกครับ หนังสือเล่มนี้มันก็มีขายทั่วไป วิญญาณมันคงจำไม่ได้หรอกครับว่าเล่มไหนเป็นเล่มไหน” ไอ้ภพบอกขึ้นมาอย่างคนที่ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะคาถานี่ไอ้ภพมันเคยท่องมาแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่มีผลกับมัน

“คิดว่ารายการจะสะเพร่าขนาดนั้นหรอ ลองดูในหนังสือ มันมีอะไรแปลกมั้ย?”

“ไม่ต้องเปิดหรอกภพกูดูมาหมดแล้ว….ถ้าจะแปลกคงมีแต่รอยอับชื้นและสีแดงทึบๆที่ถูกแต้มลงไปครับ”ผมบอกไอ้ภพที่ทำท่าจะเปิดดูหนังสือ ก่อนจะหันมาตอบลุงคำด้วยน้ำเสียงที่เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เห็นมันไม่ใช่สิ่งเดียวกับที่คิด

“คิดว่ามันเป็นสีจริงๆหรอ?”

“ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้นครับ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ารอยนั่นมันคือสีของอะไร”

“อืม ระวังให้ดี เล่นกับเลือดของคนตายหนะ ต่อให้จิตแข็งมากแค่ไหน ย่อมต้องรู้สึกถึงความแค้นนั่นแน่ๆ เกมส์นี้มันไม่ได้ปลอดภัย

“แล้วผมควรต้องทำอย่างไรครับ?”

“ในหนังสือนั่น มันให้เริ่มพิธีกรรมยังไงหละ”

“ภพเปิดไปที่กระดาษขาวๆนั่น ดูให้หน่อยพิธีกรรมข้อแรกเราต้องทำอะไร” ผมหันไปสั่งไอ้ภพที่ถือหนังสืออยู่ กระดาษสีขาวที่โดดขึ้นมาภายในเล่ม ดูจะเป็นจุดรวมสายตาของทุกคนในขณะนี้

“อืม…ข้อแรก มันให้จุดธูปบอกเจ้าที่เจ้าทาง” ไอ้ภพเงยหน้าขึ้นมาตอบพร้อมกับขมวดคิ้วสงสัย  ในเกมส์ที่ผ่านๆมา พวกผมไม่เคยต้องจุดธูปขอเจ้าที่เจ้าทาง ก็ยังสามารถเจอวิญญาณได้ เหตุใดเกมส์นี้ถึงได้เพิ่มพิธีกรรมนี้ขึ้นมา

“เกมส์นี้มันกะเล่นให้ตายเลยหรือไง?” ลุงคำพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่ก็แฝงไปด้วยความดุดันจนน่ากลัว เรียกความสนใจจากพวกผมสองคนให้หันไปมอง

“หมายความว่ายังไงครับลุง”

“เกมส์ที่ผ่านมาลุงไม่รู้หรอกนะว่าพวกเอ็งเจออะไรมั้ย  แต่เกมส์นี้มันกะจะไม่ให้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองพื้นที่ตรงนี้เลย ลุงกลัวว่าถ้าเรียกวิญญาณมาได้จริง มันจะไม่ได้มาแค่วิญญาณตนนั้น” ลมปากของลุงคำ ทำเอาขนในร่างกายของผมและไอ้ภพลุกขึ้นมาเป็นแถบๆ เราทั้งคู่ต่างมองหน้ากันด้วยแววตาที่ต่างก็สั่นไหว ความกลัวที่เข้ามากำลังทำลายบรรยากาศบ้านหลังนี้จนไม่เหลือชิ้นดี

“ลุงเหลือเวลาไม่มาก  พวกเอ็งก็เดินตามมาละกัน เดี๋ยวลุงจะช่วยเท่าที่ช่วยได้”

หลังจากนั้นลุงคำก็เดินนำหน้าพวกผมให้มายังพื้นที่โล่งแจ้งบริเวณหน้าบ้าน โดยไม่ลืมที่จะสั่งให้ไอ้ภพถือธูปและไม้ขีดไฟตามมาด้วย  ตามคำบอกเล่าของลุงคำ เวลาที่เราต้องการจะไหว้เจ้าที่เจ้าทางหากไม่มีศาล ให้เลือกพื้นที่โล่งแทน

ลุงคำสั่งให้พวกผมจุดธูปและกล่าวตามลุงคำ ซึ่งคำพูดที่พวกผมต้องพูดตามก็คือบทขออนุญาตเจ้าที่เพื่อให้วิญญาณสามารถเข้ามาในบ้านหลังนี้ได้หากถูกเชิญ  ในคราแรกผมกลัวจนมือและปากแทบจะไม่สามารถทำตามที่ลุงคำบอกได้ แต่ด้วยความที่ลุงคำบอกให้เชื่อใจแก  ในสถานการณ์แบบนี้แม้หลายๆอย่างจะยังดูไม่น่าไว้ใจ แต่การเลือกจะเชื่อใจอีกครั้งก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

“บอกลุงมา วันนี้ใครจะเป็นฆาตกร ใครจะเป็นคนตาย”

“เดี๋ยวผมเป็นฆาตกรเองครับ เท่าที่อ่านมา ฆาตกรต้องออกมาเริ่มที่หน้าบ้านก่อน เดี๋ยวให้ไอ้มิวอยู่ในบ้านรอก็ได้ครับ”

“งั้นก็ดี ฟังลุงไว้ดีๆนะ เมื่อเอ็งต้องออกมาหน้าบ้านอีกครั้งตอนเล่นเกมส์ สิ่งที่ต้องทำคือเดินออกมาให้พ้นมุมกล้อง แล้วจุดธูปขอขมาซ้ำอีกดอก บอกกับเจ้าที่ไปว่าขอให้ช่วยคุ้มครองแทน อย่าให้มีวิญญาณเข้ามาได้ ต้องรีบทำนะ ลุงไม่รับประกัน ส่วนถ้าขณะเล่นพวกเอ็งเจอผีหรืออะไร ให้มีสตินะ แล้วเลือกเอา หนึ่งคนเผาหนังสือ อีกหนึ่ง ฝืนกฎของเกมส์มาจุดธูปซะ หากตอนเช้าทีมงานมาว่าอะไร ให้บอกไปว่าลุงคำแนะนำมา”

“ขอบคุณครับ ว่าแต่ทำไมลุงถึง…” ผมกับไอ้ภพตอนนี้จะเรียกว่ามึนงงถึงขั้นสุดแล้วก็ได้ เหตุการณ์ที่กำลังเกิดดูกลับตาลปัตรไปหมด สิ่งที่คิด สิ่งที่สงสัยเมื่อวาน ทำไมตอนนี้ถึงดูเหมือนจะไม่ใช่นิยายเรื่องเดิม

“ไม่มีอะไรหรอก ลุงแค่รู้สึกผิด ลุงไปแล้วนะ” พูดจบแกก็หันหลังเดินกลับออกจากบ้านไปทันที ทิ้งให้ผมกับไอ้ภพมองตามด้วยความสงสัย  ความรู้สึกผิดของลุงแก  พวกผมไม่รู้เลยว่ามันเกิดจากเรื่องอะไร

“แล้วพวกเราสองคน จะเอายังไงต่อ”ไอ้ภพหันมาถาม เมื่อเห็นว่าตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มถูกปกคลุมไปด้วยความมืดทึบอีกครั้ง ช่วงเวลาแห่งอิสระของเราก็เริ่มหมดลง  ผมจึงต้องเดินนำมันเข้าบ้านเพื่อไม่ให้ผิดกฎกับรายการ

“เราทำอะไรได้หละ นอกจากเข้าบ้านแล้วก็รอเล่นเกมส์”

“กูหมายถึง เราต้องเล่นเกมส์นี้เมื่อไร”

“อ่อ เล่นตอนไหนก็แล้วแต่เรา แต่บทบาทสมมติที่กูต้องตาย มันต้องเกิดขึ้นประมาณตีหนึ่ง…เวลาตายของคนนั้น”

“ช่วงตีหนึ่งหรอ เริ่มตอนเที่ยงคืนนิดๆก็ดี เราจะได้มีเวลา มันคงไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอก”

“ลองดูในหนังสือก่อน ถ้ากูจำไม่ผิดเหมือนมันจะบอกให้มึงเล่นตามบทที่มันเขียน”

“เรื่องมากจังวะ”

“ใจเย็นๆ เราทำอะไรไม่ได้หรอก ไหลตามน้ำไปเถอะ” ผมค่อยๆกดอารมณ์ไอ้ภพที่ตอนนี้ดูจะหงุดหงิดเป็นพิเศษให้เบาลง ก่อนจะเดินไปหยิบหนังสือเล่มเดิม เพื่ออ่านขั้นตอนทั้งหมดให้ละเอียด

“ตกลง มันให้เราเล่นยังไง?”

“จากที่อ่านนะ เราต้องสมมติเหตุการณ์ขึ้นจากข้อสันนิษฐานของตำรวจ ที่มีต่อรูปคดี ตามนี้…”

1.จุดธูปขอให้เจ้าที่เจ้าทางเปิดทางให้วิญญาณเจ้าของหนังสือเล่มนี้

2.ท่องคาถาเชิญวิญญาณที่มอบให้พร้อมกับที่มือของผู้เข้าร่วมรายการทั้งคู่จะต้องจับอยู่บนหนังสือเล่มนี้

3.จำลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยให้ผู้เล่นหนึ่งคนเป็นฆาตกร และอีกหนึ่งเล่นเป็นผู้ตาย

4.จากคำให้การของตำรวจ ผู้ตายเริ่มมีการต่อสู้ขัดขืนตั้งแต่อยู่บนห้องนอน เนื่องจากฆาตกรบุกเข้ามาจากทางหน้าบ้านและล่วงรู้
เป็นอย่างดีว่าผู้ตายพักอยู่ห้องไหน  การฆาตกรรมที่เกิดขึ้นสรุปหาสาเหตุที่แน่นอนไม่ได้ แต่คาดว่าอาจจะเป็นเรื่องชู้สาว เพราะผู้ตายได้มีความเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มีสัมพันธ์อยู่แล้ว แม้จะจับตัวฆาตกรไม่ได้แต่สาเหตุนี้ก็ถูกจัดให้เป็นสาเหตุหลักอันดับต้นๆ  ผู้ตายได้มีการวิ่งหนีลงมาชั้นล่างเพื่อค้นหาสิ่งของบางอย่างที่คาดว่าคงสำคัญเพราะมีการรื้อหาของบริเวณศพของผู้ตาย ก่อนจะถูกฆาตกรไล่ตามมาและทำการฆ่าปาดคอ

5.ออกแบบที่เกิดเหตุอย่างไรก็ได้ กรณีที่ฆาตกรเริ่มที่หน้าบ้าน อนุญาตให้ผู้เล่นเดินออกมายังประตูข้างนอกได้แต่ก็ยังต้องอยู่ในวิถีของกล้อง เวลาที่ใช้เล่นขึ้นอยู่กับผู้เล่นกำหนดเอง ส่วนเวลาที่ต้องตายคือประมาณตีหนึ่ง ซึ่งเป็นเวลาตายจริงๆของศพ

6.เกมส์นี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้เล่นได้เห็นกับวิญญาณตนนั้นและรับรู้ถึงความทรมานก่อนตาย ที่สำคัญ ของที่ผู้ตายพยายามหาก่อนตายสิ่งนั้นคืออะไร หวังว่าผู้เล่นทั้งสองจะโชคดีและล่วงรู้ถึงความลับและความเป็นไปก่อนที่ใครสักคนจะต้องจบชีวิตตนเอง


คำเตือน: หากสิ่งที่ผู้เล่นเห็น สามารถก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้เล่นทางเราไม่รับประกันชีวิตของท่าน สิ่งที่ต้องจัดการคือทำลายหนังสือเล่มนี้โดยเร็วที่สุด

“หึ สั่งให้กูทำลายโดยเร็ว แต่ไม่บอกวิธีเนี่ยนะ” ไอ้ภพเหยียดยิ้มร้ายออกมาเมื่ออ่านข้อความตรงหน้าจบ ซึ่งไม่ต่างจากผมที่ภายในใจตอนนี้ร้อนรุ่มไปด้วยไฟแห่งโทสะ  ชีวิตหลังการตัดสินใจเข้าร่วมเกมส์ของเราทั้งคู่ มันไม่ใช่แค่เดินบนเส้นด้าย แต่มันคือการที่เราถูกสั่งให้ลงไปนอนในโลง  เหลือเพียงตอกตะปูปิดฝาโลงเท่านั้น ผมกับไอ้ภพก็จะตายโดยสมบูรณ์

“พอๆ ไม่ต้องอะไรแล้ว สิ่งพวกนี้ลุงคำเขาก็ช่วยเราแล้วไง ไปกินข้าวกันดีกว่าเนอะ” ผมรู้สึกปลงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แม้ในใจจะยังคงร้อน แต่อยู่กับเกมส์แบบนี้ถ้าทุกอย่างร้อนไปหมด เราทั้งคู่จะไม่รอด ผมจึงชวนไอ้ภพไปกินข้าวกินน้ำดับไฟในตัวให้มอดก่อนถึงเวลาที่อารมณ์ของใครสักคนจะปะทุขึ้นมา

หลังจากการหมดธุระในห้องครัว เราทั้งคู่ก็เลือกที่จะขึ้นไปอาบน้ำชำระร่างกายของตนเอง และลงมายังข้างล่างอีกครั้งเพื่อรอเวลาทำพิธีกรรม  ระหว่างนั้นพวกผมก็นั่งพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันไป ลดความเครียดและความกังวลของร่างกายที่ก่อตัวขึ้น  เราตกลงกันว่า ในช่วงเวลาเริ่มเกมส์ ผมจะเริ่มตั้งต้นภายในห้องนอน จะได้หลีกเลี่ยงการโดนกล้องถ่ายและให้ใช้เสียงดังๆข่มแทน หลังจากนั้นผมก็จะหนีลงมาสู้กับไอ้ภพข้างล่างและทำท่าโดนปาดคอตายตรงใกล้ๆตู้หนังสือ  เมื่อคะเนเวลาคร่าวๆก็จะใกล้ช่วงตีหนึ่งพอดี

เวลาที่ผ่านไปไหลไวพอๆกับสายน้ำ แค่ช่วงการพูดคุยพริบตาเดียว เข็มนาฬิกาก็ทำหน้าที่ของมันจนถึงเวลาที่เราต้องลุกขึ้นไปทำตามคำสั่งของเกมส์…เวลาของการฆาตกรรม

“ภพ จับหนังสืออีกด้านเอาไว้ แล้วท่องคาถานี่พร้อมกูเลยนะ” ผมเอ่ยคำสั่งให้ไอ้ภพทำตาม หลังพิธีกรรมดำเนินมาถึงจุดที่พวกผมต้องเริ่มท่องคาถาเชิญวิญญาณ ไฟในบ้านทุกดวงปิดหมดเหมือนกับในทุกเกมส์   เทียน4 เล่มคือแสงสว่างจุดเดียวที่ล้อมรอบตัวเราเอาไว้แค่นั้น

อิติ สุคโต อรหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ ปฐวีคงคา พระภุมมะเทวา………

หากผู้ใดที่เกี่ยวข้องกับหนังสือเล่มนี้ได้ยินเสียงเรียก โปรดนำจิตวิญญาณแห่งนั้นเดินทางมาตามเสียงที่ได้ยินนี้เถิด


พรึบ

บรรยากาศหลังการท่องคาถาเป็นไปตามแบบฉบับเดียวกับเกมส์ครั้งก่อน ลมเย็นๆวูบใหญ่ลอยพัดเอาความร้อนภายในบ้านออกไป จนอุณหภูมิที่มีลดลงจนน่าใจหาย แสงเทียนที่ไหววูบไปตามแรงลมทำเอาเงาของบุรุษสองร่างที่ยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้นเคลื่อนไปมาจนหาที่สุดไม่ได้

ใจของทั้งคู่ก็เหมือนกัน…บัดนี้อวัยวะเท่ากำปั้นนั้นกำลังเต้นแรงเสียจนจะทะลุออกมาจากอก

“อ…เอาหละ เรามาทำพิธีถัดไปกันเถอะมึง เดี๋ยวกูไปรอข้างบนนะ โชคดี”

“อืม โชคดี แล้วเจอกัน”

ผมมองไอ้มิวที่ค่อยๆถือเทียนเดินนำขึ้นไปบนห้องด้วยความเป็นห่วง ครั้งนี้ผมรู้สึกถึงการเปลี่ยนไปบางอย่าง การเปลี่ยนไปที่ครั้งแรกผมไม่เคยได้รับรู้ หรืออาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้ใส่ใจ  อากาศที่เย็นลงจนจับขั้วหัวใจผมนั้น ไม่อาจหลอกลวงผมได้อีกต่อไปว่าในเกมส์ครั้งแรก สิ่งที่ไอ้มิวกลัว สิ่งที่ไอ้มิวสัมผัส มันเกิดขึ้นจริง

ผมเดินเอาหนังสือนี่ไปเก็บเข้าชั้น และเดินไปหยิบธูปเพิ่มอีกหนึ่งดอก ตามคำแนะนำของลุงคำ ก่อนจะค่อยๆเดินออกจากตัวบ้านมาโดยปล่อยให้เทียน1เล่มยังคงทำหน้าที่ของมันภายในบ้าน

ผมไม่รู้ว่าการที่ผมสามารถรู้สึกอะไรได้มากขึ้นจะทำให้ผมเห็นผีหรือเปล่า แต่ผมมั่นใจได้ว่าตั้งแต่นี้ความรู้สึกบางอย่างของผมจะไม่ด้านชาเท่าเกมส์ครั้งก่อนแน่  เมื่อผมเดินผ่านพ้นประตู สิ่งที่ผมมองหาคือกล้องที่ถูกติดไว้เป็นอย่างแรกก่อนจะค่อยๆคำนวณระยะของมันอย่างไม่รีบนัก และก้าวเท้าเดินไปให้เลยขอบเขตนั้น  สุดท้ายเมื่อเลือกจุดที่เหมาะสมได้ ผมก็ตัดสินใจจุดธูปและนั่งลงขอขมาทันที

“ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บริเวณนี้ เจ้าที่เจ้าทาง ได้โปรดช่วยคุ้มครองผมและไอ้มิวด้วย การกระทำที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการทำตามคำสั่งของรายการเท่านั้น พวกผมไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ผู้ตายหรือเจ้าที่เจ้าทางแต่อย่างใด หากการกระทำที่ผ่านมาทำให้ใครไม่พอใจ ผมก็อยากขอขมาไว้ที่นี้ด้วยครับ” เมื่อพูดเสร็จ ผมก็ปักธูปลงตรงพื้นที่ว่างตรงนั้น ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่สภาพแวดล้อมตรงนี้มันกำลังเปลี่ยนไป จากบรรยากาศเรียบๆอยู่ดีๆก็มีลมพัดผ่านจนผมขนลุก เสียงเห่าหอนของสุนัขที่ผมไม่เคยได้ยิน ก็ลอยมากระทบเข้าโสตประสาทผมอย่างจัง ยิ่งใกล้เข้าตัวบ้าน เสียงนั่น ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ

ผมไม่อยากเสียเวลากับตรงนี้อีกจึงค่อยๆพาตัวเองมายังประตูหน้าบ้าน สูดลมหายใจเข้าปอดตัวเองให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปโดยไม่ได้สนใจข้างนอกอีก  ในคราแรกผมตัดสินใจที่จะขึ้นไปยังตัวห้องและแสดงละครฉากนี้ให้จบเสียที แต่ไม่รู้อะไรสักอย่างที่ดลใจผมให้วนกลับไปที่ห้องครัว หยิบมีดขนาดเหมาะมือขึ้นไปด้วย บางทีถ้าจะเล่นให้สมจริง ผมอาจจะต้องลืมตัวตนและถืออาวุธขึ้นไป แม้ใครจะไม่ได้สั่งก็ตาม แต่ผมคงจะลืมมากไปจนไม่ได้คำนึงเหตุผลของความเป็นจริง 

การที่ใครสักคนจะสามารถเล่นกับของอันตรายได้ บางที มันอาจจะไม่ได้เกิดจากความคิดตนเองทั้งหมด

มันอาจเกิดจากใครคนหนึ่งที่ถูกเรียกกลับมาพร้อมแรงอาฆาต และมุ่งร้ายต่อผู้ที่รบกวนโลกหลังความตาย…

มันอาจเกิดจากใครคนหนึ่งที่ไม่ยอมรับการขอขมา จนธูปที่ถูกปักไว้โดนเหยียบย่ำจนไม่เหลือชิ้นดี…

มันอาจจะเป็นใครสักคนที่ไม่มีตัวตนอยู่ในความเป็นจริง แต่ร่างนั้นก็ปรากฏเงาไร้หัวขึ้นมาได้ยามแสงเทียนส่องผ่าน…

หรืออาจจะเป็นแค่ใครสักคน ที่กำลังเดินขึ้นบันไดไปหาอีกคน เพื่อให้เขา นำเรื่องราวก่อนความตายมาฉายซ้ำ…



***********************************************TBC******************************************
เอาตอนที่ 13 มาส่งแล้วนะครับ คงไม่ผิดสัญญาเนอะ วันนี้ก็วันอังคารแล้ว อีกอย่างมีคนเรียกร้องด้วย 555

วันนี้มาดึกมาก ยังไงก็ขอฝากไว้ด้วยนะครับ อาจจะมีตอนหลอนทิ้งท้ายเอาไว้ เพราะมันยังไม่จบ  :hao7:

ฝากติดตามคอมเมนต์กันเยอะๆเน้อ  ถ้ามีคำผิดบอกได้เลยนะครับ
ขอบคุณนักอ่านหน้าเก่า หน้าใหม่ทุกคนเลยนะครับ ที่เข้ามาอ่านนิยายผม รักมาก

*ผมได้ทำการลงตอนพิเศษ วันวาเลนไทน์ ไว้ในทวิตเตอร์ของนิยายนะครับ สามารถเข้าไปอ่านกันได้นะ แก้เครียด 555*
เจอกันครับ P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่13 เสแสร้งแกล้งตาย (14/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 14-02-2017 08:10:26
สรุปทำตามคำแนะนำของลุงนี่ดีหรือไม่ดีเนี่ยยย :ling3:

อ่านแล้วเครียดมาก 5555
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่13 เสแสร้งแกล้งตาย (14/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: karamailpraleen ที่ 14-02-2017 14:33:54
กรีดดร้องงงงแปป สตินะภพ สติ! :ling1: 
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่13 เสแสร้งแกล้งตาย (14/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 14-02-2017 15:30:10
ภพพพพพพพพพพพพพ *เอาสร้อยพระคล้องคอ*
ภพเป็นอย่างนี้อันตรายx2  :z3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่13 เสแสร้งแกล้งตาย (14/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-02-2017 21:04:41
เหยยยยจ น่ากลัวไปอีก
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่13 เสแสร้งแกล้งตาย (14/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: JACKSON ที่ 14-02-2017 21:55:01
จะเชื่อใจภพได้แค่ไหนนนนนน :ling1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่13 เสแสร้งแกล้งตาย (14/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 15-02-2017 16:23:53
รายการนี้มันเอาอีกแล้ว :m31: กำจัดยากนักเลยเอาของคนตายมาให้เล่นกันเลย

สงสารภพมิวมาก อย่าเป็นอะไรกันนะ :sad4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่13 เสแสร้งแกล้งตาย (14/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 16-02-2017 00:05:45

ความรักจะชนะทุกอย่างแม้แต่ความอาฆาตเราอ่านๆไปเราต้องเชื่อว่าสองคนนี้ี้จะรอดไปครองรักกันนอกเกมส์หวังว่าเกมส์นี้จะทำให้ปมคลี่คลายแต่มองไม่ออกว่าถ้าสองคนนี้รู้ความจริงจะออกจากเกมส์ไปได้ยังไงจะรอดตายจากเกมส์มั้ย?  :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่13 เสแสร้งแกล้งตาย (14/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 16-02-2017 13:47:43
 :o8: :o8: :o8: :o8: ชอบอ่ะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่13 เสแสร้งแกล้งตาย (14/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Carrot_t ที่ 19-02-2017 14:41:45
 ยกให้เป็นนิยายดีแห่งปีเลยอ่ะ ทั้งหลอนทั้งลุ้น แล้วก็หวานหน่อยๆด้วยอ่ะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่13 เสแสร้งแกล้งตาย (14/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: แม่มดน้อย ที่ 19-02-2017 18:15:26
ลุ้นมากเลยเรื่องนี้ เดาทางไม่ถูกด้วย
สงสารมิวมาก ภพแกอย่ามาเป็นลาสบอสตอนจบนะ :o12:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่13 เสแสร้งแกล้งตาย (14/02/60) P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 19-02-2017 19:06:40
นั่งผวาแขนขาสั่นทุกตอน
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่14 9วัด (21/02/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 21-02-2017 19:14:13

หมายเหตุ :  เนื้อหาตอนนี้มีบางส่วนเกี่ยวเนื่องมาตั้งแต่ตอนที่ 13 เพื่ออรรถรสในการอ่าน สามารถย้อนกลับไปอ่านตอนก่อนหน้าได้ครับ

ตอนที่14

9วัด

 

ตึก  ตึก  ตึก…


“มาแล้วสินะ…”



เสียงเดินลงส้นเท้าของบุรุษร่างหนาคนหนึ่งกำลังค่อยๆไล่ระดับเสียงให้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆจากบันไดชั้นล่างจนมาถึงหน้าห้องนอนชั้นสอง  การก้าวเดินของผู้ชายคนนั้นกำลังกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างในตัวบุรุษอีกคน ที่ก่อนหน้าได้ขอแยกกันออกมาเพื่อสานต่อหน้าที่และบทบาทที่แต่ละคนได้รับให้สมบูรณ์ 

ไอ้ภพกำลังสร้างความคาดหวังและความตื่นเต้นให้ผม

คำแนะนำที่ได้รับมาเมื่อตอนเย็น เป็นเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงที่ยังคงไหลผ่านจิตใจของพวกเราให้ชุ่มชื้นเอาไว้ วิธีที่ถูกแนะนำมาได้ถูกถ่ายทอดไปบ้างแล้วจากการเล่นบทบาทสมมติของไอ้ภพ การขอขมาเจ้าที่เจ้าทางคือทางออกเดียวที่เราทั้งคู่ต้องทำ เพื่อลดโอกาสการเห็นวิญญาณที่เต็มไปด้วยความแค้น แต่นั่นก็ไม่ได้รับประกันใดๆได้เลยว่าเกมส์คืนนี้ผมจะไม่เห็นผี เสียงเดินขึ้นบันไดที่ได้ยินจึงกล่อมความคิดในใจผม ให้คาดหวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นด้วยแรงกายของไอ้ภพไม่ใช่สิ่งอวตารจากวิญญาณตนอื่น

อย่างน้อย…วิธีที่เหลือ เราทั้งคู่ก็ไม่อยากจะใช้มัน

แกร๊ก

แอ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เสียงบานประตูที่กำลังเลื่อนออก ค่อยๆดันความคิดและความรู้สึกในใจผมให้ฟุ้งกระจายออกมาในรูปของอาการสั่นน้อยๆ มือเท้าของผมต่างก็กำลังเกร็งจนไม่สามารถปล่อยให้ทิ้งตัวเป็นอิสระได้จึงต้องนำมือมากอบกุมกันเองและปล่อยให้การสั่นขาคลายความกดดันที่มีออกไป

ผมนั่งหันหลังให้การเคลื่อนไหวนั่นด้วยความวิตก เราทั้งคู่ตกลงกันไว้ว่าผมต้องนั่งหันหลังให้กับการเข้ามาของไอ้ภพ สร้างละครฉากใหญ่ที่ผู้ตายต้องไม่เห็นการเข้ามาของฆาตกร นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมต้องฝืนความต้องการของตนเอง  ผมไม่สามารถที่จะหันหลังกลับไปหาความเป็นจริงได้ ร่างกายจึงต้องแสดงออกด้วยอาการแบบนี้เพื่อลดฮอร์โมนในตัวผมลง แม้ลึกๆจะเริ่มรู้แล้วว่าเสียงนั่นเป็นของไอ้ภพแน่นอน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าผมหันกลับไปจะเห็นแค่ไอ้ภพคนเดียว

“อย่า…ขยับ”

เสียงทุ้มนุ่มลึกพร้อมเชือดเฉือนใจคนฟัง มาพร้อมกับความแหลมคมของอุปกรณ์บางอย่างที่ไม่ควรมาอยู่บนมือไอ้ภพในขณะนี้  ไอ้ภพกำลังใช้มีดปลายแหลมสักอันกดเบาๆมายังบริเวณท้ายทอยของผม ผิวหนังส่วนนั้นหลายคนคงคุ้นชินกับอาการที่ไวต่อความรู้สึก มันจึงสามารถปลุกขนในกายผมให้ลุกชันขึ้นมาพร้อมกับอาการเสียวสันหลัง  อีกทั้งน้ำเสียงนั่นยังเต็มไปด้วยความเยือกเย็นอย่างที่ผมคิดไม่ถึง  ถ้านี่เป็นละครฟอร์มยักษ์  ไอ้ภพคงกำลังอยากได้รางวัลตุ๊กตาทองอยู่เป็นแน่ ไม่เช่นนั้น มันคงไม่พยายามแสดงออกให้สมบทบาทถึงขั้นใช้น้ำเสียงของตัวละครแบบนี้

…น้ำเสียงที่คงมีเพียง ฆาตกร เท่านั้นที่ใช้กัน…

หมับ

“ไอ้ภพ!! มึง…เล่นอะไร?” ผมขยับตัวออกห่างจากไอ้ภพ ก่อนจะหมุนตัวกลับมาจับมีดให้ห่างออกไป และถามไอ้ภพเสียงเครียดเพื่อค้นหาสาเหตุของการกระทำ

“ก็แค่เล่นตามบท  มึงมีอะไร?”

“บทมันให้มึงถือมีดมาด้วยรึไง  อย่ามาเล่นแบบนี้ไอ้ภพ เดี๋ยวผีผลัก”

“มันไม่มีอะไรหรอก กูถือมาสร้างอารมณ์ให้มึงเฉยๆ อีกอย่างกูก็ขอขมาแล้ว  ไม่มีอะไรหรอก”

“ภพ…นี่มึงคือภพจริงๆใช่มั้ย?  ทำไมมึงถึง…”

“กูจะเป็นคนอื่นไปได้ไง มึงคิดมากแล้วไอ้มิว”

“คิดมาก?  มันสมควรเล่นแบบนี้รึไงไอ้ภพ  มันอันตราย แค่นี้มึงคิดไม่ได้หรอ อีกอย่างนี่มันก็แค่เกมส์ มึงไม่จำเป็นด้วยซ้ำที่จะต้องพกมีด หรือ ใช้น้ำเสียงข่มขู่กูแบบนั้น กูคือมิวนะ ไม่ใช่คนตาย”

“แล้วมึงไม่ได้เล่นบทคนตายอยู่รึไง ถ้ากูไม่เอามีดมาด้วย มึงจะกลัวกูจริงๆหรอ”

“ไอ้ภพ นี่เราแค่เล่นตามเกมส์ห่านี่ ไม่ใช่เล่นเพื่อแสดงหนังจริงๆ  อีกอย่างแค่บรรยากาศเกมส์เหี้ยๆนี่ กูก็กลัวจะตายแล้ว มึงจะมากดดันอะไรกูอีก”

“สิ่งที่มึงกลัว…มันคงไม่เท่าคนตายหรอกไอ้มิว”

“อ…ไอ้ภพ มึ…”

“พอ เล่นกันสักทีเถอะ เดี๋ยวมึงไม่ตายตอนตีหนึ่งขึ้นมา รายการจะองค์ลงอีก” ไอ้ภพพูดแทรกผมขึ้นมาในขณะที่ผมกำลังอึ้งค้างไปกับคำพูดของมัน

ดวงตาของผมมองไปที่ไอ้ภพด้วยความสั่นไหว ความหมายในนั้นมันกำลังสื่อถึงการตัดพ้อและไม่เข้าใจผู้ชายตรงหน้านัก เหตุใดไอ้ภพที่เคยทะนุถนอมผมมากที่สุด ถึงได้ดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนหลังจากกลับขึ้นมาจากการขอขมานั่น แววตาของมันดูว่างเปล่าและติดจะรำคาญกับการกระทำที่ผมแสดงออก ไม่ต่างไปจากวันแรกที่ผมต้องร่วมเกมส์กับมัน

มันมองหน้ากดดันผมให้หันหลังกลับไปตรงบริเวณหน้าประตู ทำตามแผนที่เราได้วางกันไว้  ผมมองไปที่มันอีกทีเพื่อย้ำความแน่ใจและพิสูจน์ว่ามันกำลังแกล้งผมอยู่หรือเปล่า แต่ความจริงก็คือความจริง เมื่อไม่มีการล้อเล่นในแววตาไอ้ภพ มิหนำซ้ำ ท่าทีเมินเฉยที่แสดงออก ยังทำให้ผมรู้สึกปวดในอกราวกับว่าถ้านี่เป็นฝัน ผมก็อยากวอนขอ ให้ผมตื่นขึ้นมาเสียที

ผมยกมือเรียวขึ้นมาปาดน้ำใสๆที่ขอบตา แล้วหันหลังออกมารับความจริงที่ว่า เวลาแห่งการฆาตกรรมใกล้จะมาถึงเต็มทน  อีกทั้งท่าทีที่เปลี่ยนไปของไอ้ภพยังก่อให้เกิดการระแวงในตัวมันมากขึ้น ทั้งที่เคยคิดมาเสมอว่าในเกมส์นี้คงมีไอ้ภพเพียงคนเดียวที่ผมจะไว้ใจได้ แต่สถานการณ์ตอนนี้กลับดูไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างรอบตัวผมดูเปลี่ยนแปลงไปหมดไม่เว้นแม้แต่คนตรงหน้า บรรยากาศรอบกาย ไม่ต่างไปกับบทบรรยายในหนังสือฆาตกรรมหลายๆเรื่องที่ผมเคยอ่าน

ดูเหมือนว่าคืนนี้…คนตายคงจะกำลังเล่นเกมส์อะไรสักอย่าง

เพื่อสร้างให้บ้านหลังนี้มี  คนตาย เพิ่มอีกคน

“กูต้องทำไงอ่ะ ไอ้….เฮ้ย โอ๊ย!!!” ผมเดินมายังจุดที่คิดว่ากล้องตัวที่อยู่ข้างนอกจะถ่ายทำได้ ก่อนจะเตรียมหันหลังเพื่อมาถามเรื่องราวที่ควรดำเนินต่อจากไอ้ภพ  แต่สิ่งที่ผมไม่ทันได้คิดและคาดฝันมาก่อนก็เกิดขึ้นเมื่อไอ้ภพ วิ่งเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็วพร้อมถือมีดพุ่งเข้ามาก่อนจะผลักผมล้มลงเต็มแรง

“ป…ปล่อยไอ้ภพ กูเจ็บ มึงจะผลักกูทำไมวะ” ผมว่าขึ้นพร้อมกับค่อยๆใช้มือตัวเองปัดป่ายมือและมีดของไอ้ภพ ท่าทีของมันคราวนี้ดูเปลี่ยนไปจนชัดเจนขึ้น มันพยายามที่จะล็อกมือและแขนผมให้อยู่กับที่  ทำตัวเองให้เหมือนคนร้ายเสียจนผมรู้สึกกลัว

“กูจะปล่อยมึงได้ยังไง ในเมื่อ…มึงกำลังจะตาย” น้ำเสียเยาะเย้ยถากถางถูกเอ่ยขึ้นมาอย่างเลือดเย็น พร้อมกับแววตาที่แข็งกร้าวของไอ้ภพ

“ด…เดี๋ยวนะ ไอ้ภพ กูคือมิว กูไม่ได้จะตาย”

“ใครว่าละ ตอนนี้มึงคือคนตายไม่ใช่หรือไง ส่วนกู…ก็คือฆาตกร”

“ไม่ใช่ไอ้ภพ  ปล่อยกู!!!  มึงปล่อย!!  อย่าเล่นแบบนี้ ฮึก กูกลัวแล้วนะ”

“สมบทบาทดีนี่  ร้องอีกสิ  คนที่กำลังจะตาย เขาไม่ร้องเสียงแค่นี้หรอกนะ”  ไอ้ภพสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงที่โหดขึ้นกว่าเดิม  มือของผมต้องคอยปัดมือของไอ้ภพตลอดเวลา เรี่ยวแรงที่เคยมีก็ดูเหมือนจะสู้ไอ้ภพไม่ได้ ร่างกายมันใหญ่กว่าผมมาก มีดปลายแหลมที่มันถือก็ค่อยๆเคลื่อนเฉียดลำคอผมไปมา อย่างที่เดาไม่ได้ว่าหากผมหยุดสู้ มันจะถูกปักลงมาหรือเปล่า

“ฮึก ไอ้ภพ ปล่อยกู ไอ้สัส กูไม่เล่นแล้ว”

“เล่น? ใครเล่นกับมึงหรอ นี่กูกำลังจริงจังแล้วนะ”

“ภพ มึงอย่าเป็นแบบนี้ มีสติดิวะ!!!  มันแค่เกมส์นะไอ้เหี้ย”

“นิ่ง!!  หยุดดิ้นสักที!! เมื่อไรมึงจะตายฮะ”

“ไม่!!!  กูไม่ได้จะตาย  มึงก็หยุดสักที   เป็นบ้าไปแล้วรึไง ฮะ!!!  โอ๊ย!”


แอ๊ดดดดดดดดดดดดดด


ช่วงจังหวะที่ผมพลาดท่าเสียหลักจนไอ้ภพมันจับกดคอผมลงได้  ประตูที่เปิดอ้าเอาไว้ ก็ถูกดันให้กว้างขึ้นพร้อมกับการมาของเสียงก้าวเท้าเข้ามาในห้อง สลับกับเสียงดังของกระดูกที่หักจนเกิดการเสียดสีไปมาของชายคนหนึ่ง  ข้อเท้าของผู้ชายคนนั้นถูกฉาบไปด้วยเลือดและสิ่งสกปรกจนมันขึ้นดำ กลิ่นคาวและกลิ่นเหม็นเน่าลอยตลบอบอวลไปทั่วห้อง  ช่วงเวลานั้น ราวกับทุกอย่างค่อยๆหยุดนิ่งและสะกดให้สายตาของผมให้มองไปยังการก้าวย่างที่ค่อยๆเคลื่อนตรงมาทางผม ก่อนที่เหมือนโลกทั้งใบจะพังลง เพียงเพราะร่างนั้นค่อยๆนั่งย่อลงมาตรงหน้าและแสดงถึงหน้าตาเจ้าของข้อเท้านั้น

ผู้ชายตรงหน้า มีร่างกายที่บอบช้ำจนมันขึ้นเขียว กระดูกช่วงขาหักงอจนเห็นความผิดปกติ

เสื้อผ้าที่สวมใส่ ชุ่มไปด้วยสีแดงฉานของเลือดสดที่เกิดจากช่วงลำคอที่แหว่งจนเกือบขาดเนื่องจากคมมีด

ที่สำคัญ…มันกำลังนั่งเอียงหน้ามองผมด้วยตาดำที่ไม่เห็นแวว พร้อมกับแสยะยิ้มกว้างจนเห็นเหงือกแดงๆที่เอ่อล้นไปด้วยเลือดท่วมภายในปาก


….ผมรู้แล้ว ว่าไอ้ภพเปลี่ยนไปเพราะอะไร….

“ภ..ภพ ทิ้งมีด ทิ้งมีดเดี๋ยวนี้ มีสตินะ ไอ้ภพ” ผมเค้นเสียงที่มีออกจากคอด้วยความยากลำบาก คำพูดสั่นเครือไปพร้อมกับ น้ำตาจำนวนมากที่ค่อยๆไหลผ่านแก้มผมไป โดยปราศจากเสียงสะอื้น  ความกลัวที่ผมมีกำลังหาทางออกให้ผมโดยการสั่งให้มนุษย์ตรงหน้าทิ้งอาวุธที่จะปลิดชีวิตตัวเองลง

“ทิ้ง? ทิ้งทำไม มึงยังไม่ทันตายเลย”

หึ นั่นสิ มึงยังไม่ทันตายเลย

กลัวกูหรอ?  อย่ากลัวเลย ไม่ทันเจ็บนักหรอก 5555

เห็นคอกูไหม…เห็นเลือดกูไหม ความเจ็บมันทำอะไรกูไม่ได้แล้ว ดมเสียสิ ได้กลิ่นหอมๆของเลือดกูใช่ไหม?

หึหึ คิดจะท้าทายสวมบทของกู มึงต้องมากกว่านี้!!!! ต้องกลัวมากกว่านี้!!! ต้องตายทรมานกว่านี้!!! 55555


น้ำเสียงที่ไอ้ภพสวนกลับมาว่าเชือดเฉือนใจผมมากแล้ว  น้ำเสียงที่เกิดจากวิญญาณคนตายกลับเชือดผมให้ตายได้มากกว่า ร่างนั้น มันค่อยๆก้มตัวลงมาประชิดหน้าผมมากขึ้น  ศีรษะของมันถูกจับโยกซ้ำไปมาจนน่าเวียนหัว กลิ่นเหม็นสาบยามที่มันพูดค่อยๆทำลายเยื่อจมูกของผม ความอาฆาตของมันแรงพอที่จะฆ่าผมให้ตาย  ไม่เช่นนั้น มันคงไม่ยื่นนิ้วมือที่เปื้อนเลือดของมัน มาลูบคอผม พร้อมกับใช้เล็บกรีดไล่ไปตั้งแต่คอด้านซ้ายจนจบที่ด้านขวา

“ไอ้ภพ!!! ทิ้งมีด ฮึก กูกลัวแล้ว กูยอมแล้วภพ  ทิ้งมีด” ผมตะโกนสุดแรงคอด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสั่น

“ไอ้ภพ!!! ทิ้งมีดดิวะ!!”

“ไอ้ภพ กูบอกให้…เหี้ย!!!”

หมับ

เมื่อแรงที่จับคอผมเริ่มคลายลง ผมจึงรีบอาศัยช่วงเวลานี้ขยับใบหน้าตัวเองให้หันกลับมา เพื่อจะใช้แรงเฮือกสุดท้ายผลักไอ้ภพออกไป แต่เมื่อหัน ภาพตรงหน้าก็ทำผมแทบช็อก  ใบมีดที่พุ่งสวนมาอย่างเร็ว กำลังมีทิศทางมรณะมายังจุดที่เป็นดวงตาของผม  ซึ่งถ้าผมไม่ยั้งมือมันไว้ทัน ป่านนี้มีดเล่มนั้นคงปักเข้าสู่แกนกลางสมองของผมจนตายตามมันไปแล้ว

มัน…ที่เป็นต้นเหตุของมีดเล่มนั้น และกำลังค่อยๆขึ้นขี่คอไอ้ภพอยู่

5555 ตายสิ ตาย ตาย ตาย!!!

“5555  ตายสิ  ตาย ตาย ตาย!!!” คำพูดประโยคเดียวกันกับผีร้ายนั่น ถูกใช้อีกครั้งโดยไอ้ภพ มันพยายามจะจ้วงมีดลงมาซ้ำๆแม้ว่ามือของมันจะถูกตรึงด้วยมือของผมอยู่  ดวงตาของไอ้ภพ แข็งกร้าวและดูมาดร้ายชนิดที่ว่า ผมไม่เคยได้เห็นดวงตานี้เลยแม้จะเป็นตอนที่มันโกรธอะไรสักอย่างมากที่สุด ไม่รู้จะถือว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย ที่บัดนี้ ผมมีโอกาสได้เห็นแต่สายตานั่นมันกำลังถูกใช้มองผมอยู่

“โถ่เว้ย !!! ฮึก ภพ อย่าเป็นนี้ กลับมาสักที กูจะไม่ไหวแล้วนะ”

ดี  5555 ไม่ไหวแล้วหรอ ไม่ไหวแล้วใช่ไหม ดี หึหึ

ตายตามกูมาเลยแล้วกัน…


เมื่อมันพูดจบ ใบหน้าของมันก็ค่อยๆถูกปล่อยลงมาให้คลอเคลียอยู่ข้างใบหน้าไอ้ภพ  พฤติกรรมเช่นนี้ในคนปกติคงทำได้ยากถ้าไม่หามุมที่เหมาะสม แต่สำหรับวิญญาณตนนี้ มันไม่ใช่ปัญหา เมื่อลำคอที่เกือบขาดของมันช่วยส่งให้ส่วนหัวตกลงมาใกล้หน้าผมมากขึ้น   มันค่อยๆแลบลิ้นออกมาเลียบางส่วนของหน้าไอ้ภพ จนเลือดที่อยู่ภายในปากเริ่มไหลหยดลงมาบนหน้าผม กลิ่นเน่าเหม็นแรงมาก แต่ไอ้ภพกลับไม่รู้สึกถึงอะไรทั้งสิ้น มือของมันค่อยๆเคลื่อนมาบีบมือของผมให้คลายออก พร้อมกับใช้มืออีกข้าง ง้างมือไอ้ภพให้สูงขึ้น พร้อมแทงลงมาให้ตรงคอผม

“ฮึก ไอ้ภพ…อย่าเป็นแบบนี้ กูกลัวแล้ว กลัวแล้วจริงๆ” น้ำตาผมไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย เมื่อภาพที่เห็นตรงหน้ากำลังจะเปิดแสดงความตายให้ผม

“5555 ใกล้ตีหนึ่งแล้วมิว ตายได้แล้วนะ ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว” น้ำตาของผมไม่เป็นผลใดๆกับไอ้ผม หนำซ้ำ มันยังดูสะใจมากที่เห็นความหวาดกลัวของผมปรากฏขึ้น

อิติ สุคโต อรหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ ปฐวีคงคา พระภุมมะเทวา………

บทนี้ใช่ไหมที่เรียกกูมา?

จำเอาไว้!! ต่อจากนี้ มันอาจถูกใช้…เรียกมึง

เฮือก

ตาของผมเบิกโตขึ้น พร้อมกับน้ำตาที่ยังคงไหล ความรู้สึกที่ว่าเหมือนหายใจไม่ทั่วท้องเป็นอย่างไรกลับมาอีกครั้ง ลมหายใจที่ผมมีสะดุดไปตั้งแต่ที่วิญญาณนั่น เริ่มกล่าวบทสวดอัญเชิญวิญญาณของตนเองมาตั้งแต่เริ่มบทจนจบ บรรยากาศที่เคยสังเกตว่าแปลก คราวนี้มันกลับเปลี่ยนไปยิ่งกว่าเดิม อากาศที่เย็นลงจนผมหนาว มาพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉีกกว้างของมันยามจ้องมองมาที่ผมและเอ่ยประโยคเพชฌฆาตนั่นออกมา

“ฮึก ฮือ ฮือออ  พ่อ แม่ ไอ้ภพ กลับมาหากูที กูไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว!!!!”

“ลาก่อน ไอ้มิว55555”

“ฮึก ไอ้เหี้ยภพ กูขอโทษ”

ผลักกกกก

แรงจำนวนไม่น้อยของผม ถูกใช้ออกไปในรูปของหมัด ซัดไอ้ภพจนล้มกองลงไป  แม้ในใจผมตอนนี้จะอยากวิ่งเข้าไปดูไอ้ภพมากแค่ไหน แต่สัญชาตญาณที่มี มันก็สั่งให้ผมวิ่งออกจากห้องและบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด ตอนนี้ มันไม่มีอะไรที่เรียกว่าปลอดภัยแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมจะปลิดชีวิตผมทันทีหากผมพลาด และยิ่งเมื่อลุกขึ้นมาพร้อมกวาดสายตาไปทั่วตัวห้องแล้วไม่เจอวิญญาณนั่น ผมยิ่งต้องหนีออกไปให้ไวกว่าเดิม

ปั้ง!

ผมวิ่งออกมาจากห้องพร้อมดึงประตูเอาไว้ หางตาสุดท้ายก่อนออก ผมเห็นไอ้ภพรีบลุกคว้ามีดทำท่าเหมือนจะตามผมมา ยิ่งตอนนี้ เสียงเคาะประตูเริ่มดังออกมาสลับกับเสียงโวยวายอย่างบ้าคลั่งของไอ้ภพ ยิ่งทำให้ใจผมระส่ำระส่าย และร้อนรนไปกับสถานการณ์ที่ผมคุมเอาไว้ไม่ได้

ผมทรุดนั่งลงพร้อมกับดึงประตูเอาไว้สุดแรง ปล่อยให้เสียงสะอื้นและน้ำตาไหลกลบความรู้สึกปวดร้าวในอก ผมกำลังหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำหากต้องปล่อยมือออกจากประตูบานนี้ สิ่งที่ตนเองควรทำคืออะไร จะต้องหนีไปอย่างไร  หากผมตัดสินใจวิ่งออกไปข้างนอก ส่งสัญญาณยอมแพ้ แน่นอนว่าทีมงานจะส่งคนมาอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น คำสัญญาที่เคยให้ไว้กับไอ้ภพ สิ่งที่เคยทำไว้กับไอ้ภพ มันจะจบลงทันทีและผมอาจต้องสูญเสียมันไป…ตลอดกาล

ตึก  ตึก  ตึก…

555 นั่นสินะ ตามจริงมึงไม่สมควรตายบนห้องนอน

มึงจะต้องวิ่งลงมาด้วยความกลัว มองหาทางรอดของชีวิต และสุดท้ายทางรอดเดียวที่มึงได้รับ…มันก็คือความตาย

เอาเลยยยย  วิ่งอีกสิ 555  วิ่งอีก หนีอีก กูมาแล้วนี่ไง กูมาแล้ว วิ่งอีก วิ่ง!!!


เสียงลงส้นเท้าดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันดังมาจากมุมมืดของห้องน้ำ กำลังค่อยๆเคลื่อนตัวออกมากระทบแสงของดวงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาจากทางหน้าต่าง  ร่างหนาของผู้ชายคนเดิม ค่อยๆเดินกระเผกออกมาอย่างยากลำบาก  ช่วงคอยังคงเอียงเอาไว้แบบเดิมพร้อมกับที่มีเลือดจำนวนมากค่อยๆไหลล้นออกมาด้วย  ริมฝีปากของมันฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีขัดกับดวงตาของมันที่เริ่มมีเลือดเอ่อล้นออกมาคล้ายกับน้ำตาของผมตอนนี้

ก่อนที่การเคลื่อนที่นั้นจะเปลี่ยนเป็นวิ่งอย่างรวดเร็ว….มันกำลังใช้แรงที่มีวิ่งมาหาผมหลังจบคำสั่งนั่น

“ไอ้ภพ !!!!” ผมปล่อยมือออกจากประตูบานนั้น  พร้อมกับตะโกนชื่อไอ้ภพออกมาสุดเสียงอย่างที่เคยทำประจำเมื่อผมกำลังกลัวกับการเห็นผีอย่างสุดขีด

ช่วงที่วิ่งลงบันได ผมต้องมองหันหลังกลับไปดูว่าผีนั่นมันตามผมมาหรือไม่ พลางในหัวก็คิดถึงวิธีเอาตัวรอด  ผีนั่นมันไม่ได้ตามผมมาอย่างที่ผมคิด มันยังคงยืนจ้องมองผมอยู่ตรงบันไดขั้นบนสุดพร้อมกับแผดเสียงหัวเราะเย็นๆออกมา แต่กลับเป็นบานประตูที่กำลังถูกเปิดออก  ที่กระตุ้นให้การเคลื่อนที่ของผมเร็วขึ้นอย่างไม่กลัวตกบันไดตาย

วูบหนึ่งของความรู้สึกสั่งให้ผมวิ่งออกไปนอกบ้านและส่งสัญญาณยอมแพ้ออกมา แต่กระนั้น มันก็มีบางอย่างที่หยุดการกระทำของผมเอาไว้ได้

ตู้หนังสือนั่น….ดึงคำพูดของลุงคำและสติให้กลับสู่ตัวผมอีกครั้ง

ถ้าขณะเล่นพวกเอ็งเจอผีหรืออะไร ให้มีสตินะ แล้วเลือกเอา หนึ่งคนเผาหนังสือ อีกหนึ่ง ฝืนกฎของเกมส์มาจุดธูปซะ

ทิศทางการเคลื่อนที่ของผมจึงถูกเปลี่ยนไปที่ตู้หนังสือและรีบหาหนังสือเล่มที่ 6 ด้วยความร้อนรน  มือของผมสั่นมากจนทำให้การควานหาหนังสือเป็นไปอย่างยากลำบาก ยิ่งจังหวะการเคลื่อนเท้าของไอ้ภพ กำลังค่อยๆลงบันไดมาอย่างใจเย็น มันยิ่งทำให้ใจของผมร้อนขึ้นจนอยู่ไม่สุข  เทียนเล่มสุดท้ายที่ยังคงทำหน้าที่ของมัน เป็นเสมือนความหวังอันริบหรี่ของผมที่จะช่วยเพิ่มหนทางจัดการเผาหนังสือนี่ และจบเกมส์นี้ให้เร็วขึ้น

ผมคว้าหนังสือเล่มที่แปลกที่สุดออกมาได้ ก็วิ่งตรงเข้าสู่แสงเทียนเพื่อใช้ให้ความร้อนของมันเผาผลาญความอัปยศของเกมส์และวิญญาณนรกนั่น  น้ำตาของผมยังคงไหลเป็นสายอย่างต่อเนื่อง เสียงสะอึกสะอื้นจำนวนมากมายต้องถูกดึงกลับเข้าไปด้วยวิธีกัดริมฝีปากจนรสชาติของคาวเลือดซึมติดปลายลิ้นลงสู่คอและยิ่งตอนนี้ มีกลิ่นเหม็นเน่าลอยฟุ้งอยู่ทั่วบ้าน  เลือดตัวเองที่ผมได้ลิ้มลองจึงทำให้รสชาติของความสะอิดสะเอียนตีสวนกลับขึ้นมาจนแทบห้ามไม่ทัน

“นั่นมึงจะทำอะไร ไอ้มิว!!”

ตุ้บ

“โอ๊ย! ฮึก ไอ้ภพ ปล่อยกู” เสียงตะโกนลั่นของไอ้ภพ นำมาซึ่งการเข้าสู่ตัวผมอย่างรวดเร็ว  มันวิ่งเข้ามาล็อกคอผมจนหายใจไม่ได้ น้ำเสียงที่ผมปล่อยออกไปพร้อมกับการร้องไห้จึงแทบไม่ได้เข้าหูของใครแม้กระทั่งตัวผมเอง ซ้ำร้าย หนังสือที่เป็นความหวังเดียวของผมยังร่วงหลุดมือไปไกลกว่าจะเขี่ยเข้ามา

“มึงจะทำร้ายข้าวของของเกมส์หรอวะ จะให้มันกลับมาลากคอมึงอีกรึไง” เสียงของไอ้ภพดูเหี้ยมมากกว่าเดิม และยิ่งไปกว่านั้นแรงรัดที่ต้นคอผมก็มากขึ้นไปด้วย

“ปล่อย!! ไอ้ภพ มึงไม่ต้องมากระแดะ ปกติมึงไม่เคยสนใจเรื่องนี้”

“หึหึ ขอโทษที…แต่คราวนี้กูสน” คำพูดไร้สติถูกกระซิบที่ข้างหูผมอย่างเลือดเย็น  ใจของผม ตัวของผม สั่นจนแทบสำลักอาการกลัว แต่นั่นก็ดูเหมือนตัวกระตุ้นเสียมากกว่าการทำให้หยุด  ไอ้ภพในตอนนี้ไม่เหลือสติและการควบคุมใดๆแล้ว

“ภพ ปล่อยกูเถอะนะ  ฮึก กูไหว้แล้ว ปล่อยกูได้มั้ยภพ”

“กูจะปล่อยมึงได้ยังไงมิว  ในเมื่อกูเป็นฆาตกร แล้วมึงก็ยังไม่ได้ตาย”

.

.

.
(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่14 9วัด (21/02/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 21-02-2017 19:15:45
“ฮึก ไม่ใช่ไอ้ภพ กูคือมิว มึงคือภพ ตอนนี้ไม่มีฆาตกรหรือคนตายแล้ว ฮึก ปล่อยกูนะ”

“กูจะปล่อยก็ต่อเมื่อ…มึงตายไปแล้ว”

“ฮึก ภพ มึงไปอยู่ไหน กลับมาหากูสักที กูทนไม่ไหวแล้ว กูจะอยู่ไม่ไหวแล้วนะ”

“หึ กูก็อยู่ที่เดิม คนที่ต้องหายไปมันควรเป็นมึง”

มาอยู่กับกูสิ มาอยู่กับกู ตายตามมาสิ  ตายตามมา  5555…

“เขาบอกให้มึงตายได้แล้ว  เกินเวลาแล้วนะมิว 555”

“ว…ว่าไงนะไอ้ภพ มึงได้ยินด้วยรึไง ฮึก มึงไม่เห็นผีไอ้ภพ มึงไม่เห็น!!!”

“ได้ยิน? ทำไมกูต้องแค่ได้ยินหละ ในเมื่อ…กูเห็นทุกอย่างมาตั้งแต่แรก” สิ้นเสียงกระซิบนั่น มีดเล่มบางก็พุ่งตรงเข้ามาหาผมทันที  ผมรีบรั้งแขนไอ้ภพไว้สุดแรง  ภาวนาให้ทีมงานสังเกตความผิดปกติตรงนี้ ผมร้องไห้จนร่างกายผมเหนื่อยล้า แทบจะอ่อนแรง  สัญชาตญาณการเอาตัวรอดดูเหมือนจะไม่ทำงานไปเสียดื้อๆ  ทุกๆอย่างกำลังจะพรากเอาสติและชีวิตของผมไป ยิ่งตลอดการโต้เถียงระหว่างผมกับไอ้ภพ มีแขกผู้ที่ไม่ได้รับเชิญมาเดินหัวห้อยวนเวียนอยู่รอบตัว ยิ่งทำให้ทุกอย่างดูมืดบอดไปหมด

“ภพอย่า ฮึก อย่าเป็นแบบนี้  ไหนสัญญาว่าจะดูกูไง ทำไมถึงเป็นแบบนี้”

“ไหนสัญญาว่าต่อจากนี้มึงจะเดินนำกูไง ทำไมถึงต้องมาไล่ตามกูแบบนี้ ฮึก”

“ฮึก ไหนสัญญากับกูแล้วไง ว่าสุดท้าย เราจะชนะมันไปด้วยกัน ทำไมมึงถึงมาแพ้ง่ายๆแบบนี้ กูเจอผีก่อนมึงมากี่เกมส์ ทำไมกูถึงยังอยู่รอด ฮึก ไอ้ภพ”

“พี่ภพ…มิวเหนื่อยแล้วนะ มิวไม่ไหวแล้ว ฮึก”

“กลับมา…สักที”

ไม่ว่าจะพูดไปด้วยประโยคที่หวานหูแค่ไหน  ท่าทางของไอ้ภพก็ไม่ได้ดูเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย มันยังคงตั้งหน้าตั้งตาจ้วงมีดลงมาหาผมอย่างไม่ลดละ  แบตเตอรี่กายที่ผมมีก็เหมือนจะค่อยๆหมดไปตามแบตเตอรี่ใจที่ดับไปตั้งแต่คำพูดถากถางของไอ้ภพ  และสุดท้าย ในเมื่อผมหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ วิธีการดั้นด้นลุยเข้าไปจึงถูกหยิบนำมาใช้อย่างคนที่ถูกกระทำจนไม่ต่างไปจากหมาจนตรอก

“มึงเลือกเองนะไอ้ภพ ในเมื่อมึงไม่กลับมา กูนี่แหละจะพามึงกลับมาเอง”

“โอ๊ย!! ไอ้มิว มึง…”

ผลักกกก

ผมพูดออกไปทั้งน้ำตา และรอเวลาที่มือของไอ้ภพ เข้ามาใกล้ปากผมมากที่สุดก่อนจะกัดลงไปเต็มแรงจนมันต้องปล่อยออก หลังจากนั้น ผมก็หันไปชกเข้าที่หน้ามันจนมันเซออก และเดินเข้าไปต่อยย้ำๆอย่างไม่รอให้มันได้จังหวะจนมันล้มลง  ช่วงที่ผมต่อยหน้ามัน  สิ่งที่ผมสัมผัสได้ชัดเจนที่สุดคงเป็นความเจ็บปวดที่ร้าวขึ้นมาในอก  น้ำตาผมไหลออกมามากกว่าความกลัวที่ผมเจอ  ยิ่งชก ความเจ็บปวดก็ยิ่งทวีมากขึ้น  มือด้านขวาปวดหนึบและด้านชาไปพร้อมกับใจผม ปากผมสั่นเกินกว่าจะทนเก็บไว้ได้แล้ว

“ฮึก มึงกลับมารึยังภพ ฮึก กลับมาสักทีดิวะ!!” ผมนั่งค่อมตัวมันและกระชากคอเสื้อของมันมาเขย่าเต็มแรง เรียกสติที่ดับวูบของมันให้ฟื้นคืน  มองดูใบหน้ามันที่เต็มไปด้วยเลือดและรอยฟกช้ำจากฝีมือผม ก่อนจะทิ้งตัวลงข้างกายมันและปล่อยโฮออกมาอย่างไร้สติ

“ฮึก  ไอ้ภพ ฮึก กลับมาช่วยกูที!! กูสู้คนเดียวไม่ไหวแล้ว”

“ฮึก กลับมา ช่ว…”

ตุ้บ  ตุ้บ  ตุ้บ…

ช่วยด้วย!!!  ใครก็ได้ช่วยกูด้วย  ช่วยกูที 

โทรศัพท์ กุญแจ อยู่ตรงไหน??

ช่วยกูที  ช่วยกูที  ฮึก  โอ๊ย!!

รอดสิ  กูต้องรอด  กูต้องไม่ตาย  ฮึก

กุญแจ  กุญแจ  กูต้องหากุญแจสินะ

อยู่ไหน  มันอยู่ตรงไหน

อยู่  เฮ้ย!!  อั๊กกกกกกกกกกก


ภาพจำลองฉายชัดของวิญญาณที่เคยมาปรากฏตัวเมื่อครู่  ถูกซ้ำรอยการตายให้ผมดูอีกครั้ง สะกดเสียงร้องไห้โวยวายให้เงียบลง และมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า   เสียงวิ่งลงบันไดมาอย่างเร็วของผู้ชายคนนั้นที่ยามนี้ดูเป็นคนปกติ เต็มไปด้วยความร้อนรน และหวาดกลัว  ปากของมันเอาแต่เพรียกหาคนหรือสิ่งของที่จะยื้อชีวิตมันได้  จนเมื่อเกือบจะถึงพื้นชั้นล่าง มันก็ลื่นล้มกลิ้งตกลงมาจนกระดูกหักไปอย่างเห็นได้ชัดและไม่คิดว่ามันจะลุกขึ้นมาวิ่งต่อได้  ลำตัวและใบหน้ามีร่องรอยของการต่อสู้เอาชีวิตรอด  มันวิ่งไปทำท่าควานหาสิ่งของบางอย่างอยู่นาน ปากก็ร้องเรียกชื่อสิ่งนั้นๆราวกับว่ามันจะวิ่งมาหาเองได้ จนกระทั่งช่วงสุดท้ายของชีวิต  มันเหมือนถูกจับให้หันมาและโดนมีดฟันฉับเข้าที่ลำคอล้มลงไปทันที ผมที่มองเห็นความตายตรงหน้าจึงต้องรีบยกมือขึ้นมาป้องปากกันเสียงของความกลัวที่อาจเล็ดลอดออกไป

ผมมองไปยังภาพร่างกายนั่น  ตอนนี้มันกำลังกระตุกเหมือนกับการชักเบาๆของคนที่ตายอย่างในทันที ก่อนที่มันจะนิ่งเงียบไป  มือของผมค่อยๆเลื่อนควานหาหนังสือเล่มนั้นที่คลับคล้ายคลับคลาว่ามันตกอยู่แถวนี้ เพื่อที่จะรีบนำไปเผาลบภาพหลอนและความวุ่นวายตรงหน้า เมื่อเลื่อนมือไปเรื่อยๆ ผมก็ไปสัมผัสกับวัตถุทรงหนารูปร่างเหมือนหนังสือ ก่อนที่จะรีบคว้าขึ้นมาดูและตัดสินใจวิ่งไปที่แสงเทียนใกล้ดับอย่างรวดเร็ว

หึหึ  หึหึ  หึหึ

เสียงหัวเราะแปลกๆดังขึ้นจากร่างกายของศพนั่น ขณะที่ผมกำลังจะวิ่งไปเผาหนังสือ ร่างกายของศพที่ผมเคยเห็นว่านอนแน่นิ่งไปแล้ว ตอนนี้มันกลับมากระตุกอีกครั้ง พร้อมกับปล่อยเสียงเย็นๆออกมาเป็นระลอก  บาดแผลและความฟกช้ำของศพเริ่มเด่นชัดขึ้นมากกว่าเดิมจนเท่ากับวิญญาณที่ผมเห็นในตอนแรก  การเคลื่อนที่แปลกๆนั่นเริ่มทำให้ใจคอของผมไม่สู้ดีนัก  ร่างกายนั้นกำลังกระตุกและค่อยๆหันพลิกตัวกลับมาพร้อมกับเสียงและใบหน้าที่หลอกหลอนหัวใจผมตามเดิม

55555  555555

เห็นแล้วใช่ไหม? ว่ากูตายอย่างไร

คิดว่ากูกลัวมากไหม?  คิดว่ากูทรมานมากไหม?

ดูคอของกู!!! เห็นรึยัง ว่ามันโดนฟันจนเกือบจะขาด

กูถูกฆาตกรรม  มึงได้ยินไหม? กูถูกฆาตกรรม!!!  ไอ้ฆาตกรมันยังลอยนวลอยู่  กูตายโดยที่กูไม่ได้ทำอะไรผิด หึ

มึงอยากรู้ใช่ไหม ว่ากูหาอะไร กูตายอย่างไร  มึงได้เห็นแล้วววว  5555  ทีนี้ ก็ตายตามกูมาได้แล้ว  มาอยู่กับกูได้แล้ว

มาตามหาและฆ่าฆาตกร…ไปพร้อมกับกู หึหึ


หลังจากที่ร่างนั้นพลิกตัวกลับมาหาผม  มันก็ค่อยพยุงร่างของตัวเองขึ้นมาอย่างยากลำบาก อย่างที่ผมเคยบอกร่างกายของมันเต็มไปด้วยร่องรอยของความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส  มันจึงลุกขึ้นมาในท่าทางที่ปกติอย่างมนุษย์คนอื่นไม่ได้ มันค่อยๆพยุงร่างของมันเดินเข้ามาหาผม พร้อมกับการแผดเสียงข่มขู่และอาฆาต สลับกับการหัวเราะที่น้ำเสียงเจือไปด้วยความโหดเหี้ยม แต่พฤติกรรมทั้งหมดกลับขัดแย้งกับดวงตาของมัน ที่เอ่อล้นไปด้วยเลือดแดงๆไหลออกมาคล้ายน้ำตาจากความทรมานอย่างที่ผมเคยเห็นตอนอยู่บนชั้นสอง

จิ เจรุนิ จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง  นิพพานัง ทะพะนะมะเตโชธา….

จิ เจรุนิ จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง  นิพพานัง ทะพะนะมะเตโชธา….

จิ เจรุนิ จิตตัง เจตะสิกัง รูปัง  นิพพานัง ทะพะนะมะเตโชธา….


ช่วงการก้าวเท้าของวิญญาณ ปากของมันก็เริ่มทำหน้าที่โดยการพึมพำบทสวดบางอย่างออกมา  ผมเบิกตากว้างไปด้วยความกลัวที่มากกว่าเดิม  เนื้อตัวสั่นเทิ้มอย่างหนัก  คาถาที่ผมได้ยิน ผมไม่รู้ว่ามันคือคาถาของอะไร แต่เสียงท่องคาถานั่นมันกำลังค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ  เปลี่ยนบรรยากาศรอบตัวผมให้สาหัสหนักกว่าเดิม  ลมพายุลูกหนึ่งโหมกระหน่ำพัดเข้าสู่ตัวบ้านจนได้ยินการสั่นไหวของสิ่งของ หรือจะเป็นการเสียดสีระหว่างลมกับต้นไม้ใบหญ้า สะกดทุกความรู้สึกผมให้นิ่งงันและมองมันทำอะไรบางอย่างที่แม้แต่ผมเองก็แก้ไขไม่ได้

ปั้ง  ปั้ง  ปั้ง!!

เสียงการทุบประตู  ทุบหน้าต่าง ดังขึ้นรอบตัวบ้าน เรียกความสนใจของผมให้หันไปมองแหล่งกำเนิดเสียงที่หาที่มาที่ไปไม่ได้ด้วยแววตาที่สั่นกลัว  วิญญาณตนนั้น  มันกำลังก้าวเดินมาหาผมอย่างช้าๆ แต่หนักแน่นไปด้วยแรงพยาบาท ปากของมันยังคงสานต่อบทสวดที่คนธรรมดาไม่มีทางเข้าใจได้ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่สามารถเข้าใจในภาษาบาลีหรือพระสงฆ์  สิ่งที่จะสามารถคล้อยตามบทอุบาทนี่ได้คงมีแค่ สัมภเวสี

ไม่ทันหมดห้วงความคิด บานหน้าต่างที่เคยแสดงวิสัยทัศน์หน้าบ้านกลับต้องมีอันเปลี่ยนไป  หน้าคนน้อยใหญ่จำนวนมากกำลังแย่งกันแนบหน้าเข้ามามองภายใน  ใบหน้าและการกระทำของผมถูกจับจ้องไปด้วยดวงตาไร้แววนับยี่สิบคู่ มันกำลังจ้องมองมาอย่างกับเป็นเรื่องสนุกสนาน  บทสวดนี่ถ้าให้ผมเดา มันคือบทเชิญวิญญาณอีกบทที่ผมไม่เคยได้ยิน  ก่อนตายวิญญาณนี่มันต้องมีอะไรผูกพันกับคาถาเหล่านี้  มันจึงสามารถท่องออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติ

“ภ….ภพ  ไอ้ภพ!!  ฮึก  ไอ้ภพ  ช่วยกูด้วย  กูกลัวแล้วภพ  ช่วยกูด้วย” ผมร้องไห้จนน้ำตาแทบหมดตัว  ปากของผมเอาแต่ร้องเรียกหาความช่วยเหลือหนึ่งเดียวตรงนี้  ขาของผมแข็งจนไม่สามารถก้าวผ่านอะไรไปได้อีก  เกมส์คืนนี้กำลังทำให้ร่างกายผมเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส  มันมากกว่าเกมส์อื่นๆที่ผมเคยเล่น  ผมปิดตาปล่อยให้น้ำตาและความรู้สึกไหลไปกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างยอมแพ้  แม้จะรู้อยู่แก่ใจ ถ้าหากผมหยุด นั่นอาจหมายถึงผมกำลังเปิดรับความตายสู่ตัวเอง

“ภพ…ภพ  กูไม่ไหวแล้วนะ  ฮึก  มึงอยู่ที่ไหน  กูไม่ไหวแล้ว”

“กูทนต่อไปไม่ได้แล้วภพ  ฮึก ภพ อ๊ะ” ช่วงระหว่างที่ผมยืนรอความตายและฟังบทสวดเชิญวิญญาณนั่นซ้ำๆ  มือใหญ่ที่ผมคุ้นเคยก็ยื่นมาดันให้ผมเข้าหาตัวพร้อมกับปิดตาผมไว้  ความรู้สึกกลัวและหวาดระแวง ดันผมให้พยายามหนีออกจากตัวไอ้ภพ ถ้าไม่ได้รู้สึกถึงความร้อนบางอย่างที่แผดเผาสิ่งของบนมือจนผมต้องปล่อยหนังสือนั่นทิ้ง และหยุดรอความเปลี่ยนแปลงของบ้านให้กลับมาแบบเดิม

แค่พริบตาเดียวโลกที่เคยอึดอัดก็จางหายไปแทบสิ้น  ผมไม่รู้ว่าไอ้ภพได้สติกลับมาตอนไหน แต่ช่วงที่ผมยังคงหวาดกลัวกับการเข้าหาของวิญญาณที่ถูกฆาตกรรม  เป็นช่วงที่ไอ้ภพวิ่งไปคว้าธูปและทำการจุดเทียนอีกเล่ม เพื่อนำมายัดใส่มือผม ก่อนที่มันจะเดินเปิดประตูออกไป เพื่อปักธูปขอขมาอีกครั้งบริเวณหน้าบ้าน ในตำแหน่งที่กล้องยังคงมองเห็น

“หนึ่งคนเผา อีกหนึ่งจุดธูปขอขมา” ไอ้ภพเดินเข้ามาพูดกับผม หลังจากที่มันเดินกลับเข้าบ้าน จัดการเปิดไฟทุกอย่างเรียบร้อย แต่ยังคงเห็นท่าทีหวาดกลัวและหวาดระแวงของผม

“ภพ  ฮึก ไอ้ภพ มึงจริงๆใช่ไหม” ผมถอยห่างออกมาและกลั้นใจถามมันด้วยความรู้สึกที่ยังคงกลัว  ความรู้สึกที่ว่าแม้จะอยากกระโจนเข้าไปหา แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ยังคงรั้งทุกอย่างเอาไว้ ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดในใจไปมากกว่าเดิม

“ภพ มึงหายไปไหนมา  มึงไปอยู่ไหน ฮึก  กูกลัวรู้มั้ย ไอ้ภพ”

“ฮึก มึงคือภพจริงๆใช่ไหม  ไม่หลอกกูแล้วนะ ไม่เอาแล้วนะ กูไม่ไหวแล้ว”

“อืม กูเอง…กลับมาแล้วนะ” ไอ้ภพเดินเข้ามาหาผมเรื่อยๆ แม้ผมจะค่อยๆเดินออก จนเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ความรู้สึกผมไม่อยากจะหนีผู้ชายคนนี้อีกต่อไปแล้ว จึงปล่อยให้ไอ้ภพสาวเท้าเข้ามาหาและดึงผมไปกอดปลอบเอาไว้  กลิ่นตัวและความอบอุ่นที่นึกถึง เรียกน้ำตาผมให้ไหลออกมามากกว่าเดิม 

ผมรู้สึกทึ่งในความสามารถของบ่อน้ำตาคนมาก  มันจุน้ำตามนุษย์ไว้ได้มากขนาดไหน เหตุใดถึงไหลออกมาราวกับไม่มีวันหมด  นับตั้งแต่เกิดเรื่อง ยังไม่มีแม้แต่วินาทีที่ผมจะหยุดร้อง แม้ตอนนี้ไอ้ภพจะกลับมา  ผมก็ยังคงร้อง แต่มันไม่ใช่เพราะความกลัว ทุกอย่างมันเกิดเพราะความโหยหา

เพราะความคิดถึง….

“ฮึกไอ้ภพ  กูขอโทษ มึงเจ็บมากใช่ไหม กูขอโทษ” ผมพร่ำขอโทษขอโพยไอ้ภพ เพราะเมื่อต้องเงยหน้าขึ้นมองมัน  ร่องรอยความช้ำและเลือดสดยังคงมีอยู่  ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยรอยชกของผมจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บแทน  พรุ่งนี้มันคงช้ำและระบมหนักมาก

“กูจะไม่โกหกนะ  ก็เจ็บมากๆนั่นแหละ”

“ฮึก ไอ้ภพ กูขอโทษ กูขอโทษ มึงต่อยกูคืนเลยไอ้ภพ “

“เดี๋ยวดิ ฟังให้จบก่อน มันเจ็บก็จริงนะ  แต่ถ้ามันจะทำให้กูได้รับรู้บ้างว่าสิ่งที่มึงต้องแบบรับมันเจ็บปวดแค่ไหน  รู้มั้ยไอ้มิว  อย่างที่เคยบอก….กูยินดีเจ็บ

“ฮึกไอ้ภพ มึงไม่ต้องมาพูดดี เจ็บก็บอกเจ็บดิ”

“ชู่ว์…ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องเจ็บเดี๋ยวกูกินยามันก็หาย ตอนนี้เรารีบขึ้นไปนอนกันเถอะ คืนนี้มันมากพอแล้ว”

“ฮึก  อืม”

“มิว…ขอบคุณนะ ขอบคุณที่มึงไม่หนีกูไปไหน  ขอบคุณที่ยังทนรอกู  ขอบคุณที่เลือกเชื่อใจกู ขอบคุณที่พากูกลับมา”

“ขอบคุณ…ที่มึงกลับมา” ผมตอบกลับไอ้ภพไปด้วยอารมณ์ที่เบาลง  ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ไอ้ภพเลือกที่จะพูดขึ้นมาแบบนั้น  สีหน้า  แววตา ทุกๆอย่างมันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด และก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ผมเลือกจะบอกมันไปแค่นั้น แต่ทุกอย่างมันก็ชัดเจนในตัวมัน ผมต้องการแค่นั้นจริงๆ ต้องการแค่ให้มันกลับมา

“อืม ขอสัญญาอีกครั้งได้ไหม ทั้งหมดที่มึงทำ กูสัญญา กูจะตอบแทนทุกอย่าง…ด้วยหัวใจของกูเอง”

“อืม”

.

.

.

ผมลื่มตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการเมื่อยล้าทางกายและใจ  วันนี้พวกผมตื่นนอนกันสายมาก อันที่จริง ตั้งแต่พวกเราเล่นเกมส์กันมาก็แทบนับวันที่เราสองคนตื่นเช้าได้เลย  ผมหันไปมองหน้าไอ้ภพด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่นัก  ความรู้สึกเจ็บปวดและสงสารวิ่งแล่นขึ้นมาอย่างคนรู้สึกผิด รอยช้ำนั่น ผมรู้เลยว่าหากไอ้ภพตื่นขึ้นมาเมื่อไร มันคงต้องแบกรับความทรมานไปอีกสามสี่วันเลยทีเดียว แม้ก่อนนอนผมจะทายาและบังคับให้มันกินยาไปแล้วก็ตาม

หลังจากคำสัญญาสุดท้ายของวัน  พวกผมก็ตัดสินใจพากันขึ้นห้องนอน  เก็บกวาดซากหนังสือที่ยังเผาไม่หมดแต่ก็พังยับไม่เหลือชิ้นดีให้เข้าที่  สาเหตุที่ผมไม่อาจจะปล่อยให้มันเผาหมดได้  เกิดเพราะผมยังไม่อยากจะต้องมานั่งชดใช้อะไรให้มากความหากเกิดไฟไหม้บ้านหลังนี้

ผมนั่งมองหน้าไอ้ภพอยู่ไม่นาน  ไอ้ภพก็ขยับตัวตื่นขึ้นมาตามบ้าง  เสียงสูดลมเข้าปากเป็นสิ่งแรกที่ผมได้ยินจากไอ้ภพ มันเป็นการกระทำที่บอกผมว่า มันกำลังเจอกับความเจ็บปวดขนาดไหนแม้มันจะไม่ได้พูดอะไรออกมา  พวกเราพยักหน้าทักทายกันแค่นั้น ก่อนจะลุกแยกย้ายกันไปชำระล้างร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อไคลจากเมื่อคืน  ระหว่างการอาบน้ำ ผมก็ยังเลือกที่จะไม่มองกระจก อาจเพราะยังกลัวด้วยส่วนหนึ่ง  แต่อีกส่วนเป็นเพราะผมรับไม่ได้ที่หน้าตาของผมหมองคล้ำ อีกทั้งตาก็ยังดูบวมโตจนน่าเกลียด

ช่วงที่ผมรอไอ้ภพที่อาบน้ำ  มือของผมก็เตรียมยากินและยาทาออกมารอไอ้ภพไว้  สิ่งนี้คงเป็นสิ่งเดียวที่จะชดเชยความรู้สึกไม่ดีในใจผมได้ เมื่อมันเข้ามาในห้อง  ตาของมันดูแดงขึ้นเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะต้องล้างหน้าเลยทำให้มือไปกระทบอาการช้ำนั้น น้ำตาของมันเลยต้องไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้  และเมื่อพวกเราทำทุกอย่างบนห้องเสร็จเรียบร้อย  ผมกับไอ้ภพ ก็ค่อยๆพากันเดินลงมาข้างล่างแบบที่ต่างคนต่างเงียบแทบไม่คุยกัน  ไม่ใช่ว่าผมอึดอัดหรืออะไร  แต่ตอนนี้มันคงไม่ดีนัก หากผมต้องชวนไอ้ภพพูดและทำให้มันเจ็บหนักกว่าเดิม

“สวัสดีครับ คุณภพ คุณมิว ตื่นสายเชียวนะครับ” เสียงของทีมงานคนหนึ่งดังขึ้นดักทางพวกผม เมื่อเราทั้งคู่ต่างก็ลงมาด้านล่างและเตรียมไปทำอาหารกินกันตามปกติ

“สวัสดีครับ  ก็นิดหน่อยครับ  ไม่ทราบว่าวันนี้มีเรื่องอะไรหรอครับ?”

“อ๋อ วันนี้มีสองเรื่องที่จะมาชี้แจงและบอกเพิ่มเติมให้คุณมิวและคุณภพทราบครับ”

“สองเรื่อง?  เรื่องอะไรครับ”

“งั้นเริ่มเลยแล้วกันนะครับ  เรื่องแรก ผมขอแจ้งให้คุณมิวและคุณภพทราบว่า  ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการเผาหนังสือหรือการออกไปข้างนอกนะครับ  ทุกสิ่งทุกอย่างผมจะถือว่ามันถูกระบุเอาไว้ในหนังสืออยู่แล้ว สบายใจได้ครับ”

“อ่อ  ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เรื่องนั้นพวกผมไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว ขอบคุณมากนะครับ”

“ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี  เกมส์เมื่อคืนดูเหมือนจะผิดปกติไปเยอะเลยนะครับ”

“ก็นะ  เกมส์มันค่อนข้างแรงหนิครับ จะให้พวกผมนิ่งเฉยกันก็คงไม่ไหวครับ”

“ครับ แต่ก็ต้องระวังด้วย ถึงจะไม่มีกฎห้ามทำร้ายกันในเกมส์ แต่ก็อยากให้คิดกันไว้นะครับ เกมส์นี้มันมีคนดูอยู่”

“ไม่ต้องห่วงนะครับ คราวหน้าผมจะระวังไม่ให้เกิดขึ้นอีก”

“โอเคครับ…คุณภพอยากได้ยาหรือที่ปิดหน้าเพิ่มไหมครับ?”

“ผมขอตอบแทนเลยแล้วกัน ผมขอยาเพิ่มหน่อยนะครับ ไอ้ภพคงต้องใช้อีกเยอะ ส่วนผ้าปิดหน้าอะไรคงไม่ต้องหรอกครับ เราอยู่
แต่ในบ้าน เปิดไว้มันจะแห้งไวกว่าครับ”

“จะดีหรอครับ?”

“ดีสิครับ  หรือว่ามีอะไรอย่างนั้นหรอครับ?”

“ครับ เอาเป็นว่าเรื่องที่สองที่ผมจะบอก คือพวกคุณ ต้องออกไปทำกิจกรรมในตอนกลางวันกับโปรเจคใหม่ของรายการที่จะนำเสนอพวกคุณในแง่ใหม่ๆมากกว่าการอยู่ในบ้านครับ”

“แล้ว…ผมต้องทำอะไรครับ?” ผมนิ่งจนพูดแทบไม่ออก หันไปสบตากับไอ้ภพที่ก็ขมวดคิ้วลงด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน  ความไม่พอใจในตัวรายการตีรวนในหัวอีกครั้ง  เกมส์ปีนี้มันผิดไปจากปีก่อนๆ รายการกำลังเปลี่ยนรูปแบบเกมส์กะทันหัน

“ไม่ยากอะไรหรอกครับ…สิ่งที่คุณต้องทำ มีเพียงการออกไปหาบางอย่างตามคำสั่งของเกมส์  ในวัดที่เกมส์กำหนดเอาไว้ โดย 8 วัดแรก พวกคุณจะมีโอกาสหาสิ่งของพวกนั้นในตอนกลางวัน  ส่วนอีก1 วัดที่เหลือพวกคุณต้องทำตอนกลางคืน”

“ป…ไปวัดหรอครับ?” ผมตื่นตะลึงไปกับคำตอบที่ได้ยิน การไปวัดมันย่อมได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย ยามกลางวัน วัดคือสถานที่ที่ทำให้ใจของมนุษย์สงบสุขที่สุด  แต่ในตอนกลางคืนนั้น ความสงบที่มีอาจถูกโอนถ่ายไปเป็นของคนตาย ดังนั้น วัดสุดท้ายที่ผมต้องไปจึงสร้างความหวาดผวากับตัวผมได้มากที่สุด


“ใช่แล้วครับ โปรเจคใหม่ของรายการนี้ มีชื่อเรียกสั้นๆว่า 9วัด ครับ”






***********************************************TBC******************************************
เอาตอนที่ 14 มาส่งแล้วนะครับบบบบบบ  ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า เท่าที่แต่งมาตอนนี้แต่งยากที่สุดเลย  เนื่องจากมีฉากน่ากลัวอยู่หลายฉากจนผมแต่งต่อไม่ไหว  พอจะกลับมาเขียนใหม่อารมณ์ที่มีมันอาจได้ไม่เท่าเดิม  ถ้ามีอะไรที่ขัดใจคนอ่านหรือรู้สึกว่าเรื่องมันฟุ้งเกินไป ผมขอโทษด้วยนะครับ คราวหน้าจะระวังกว่าเดิม :pig4:

หวังว่าจะมีความสุขและสนุกไปกับการอ่านเหมือนเดิมนะครับผม :mew1:  ขอบคุณทุกกำลังใจและทุกคอมเมนต์นะครับ
ฝากติดตาม ฝากแชร์ ฝากคอมเมนต์กันเยอะๆเน้อ  ยินดีต้อนรับนักอ่านหน้าใหม่เสมอ   :katai2-1:
มีคำผิดหรือประโยคไหนที่ไม่ลื่นไหลบอกได้เลยนะครับ

เจอกันตอนหน้าครับ 
P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่14 9วัด (21/02/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 21-02-2017 20:29:57
ชอบเรื่องนี้มากค่ะ ติดตาม :กอด1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่14 9วัด (21/02/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 21-02-2017 20:35:39
รายการมันจะเอาไรอีกว้าา
แค่นี้มิวก็ช้ำไปหมดแล้วววววววว ฮ้วยยยย!!  :z6:

ลุ้นให้ภพกลับมามากก อ่านไปคือจะช็อคแทน ฮือ5555
 :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่14 9วัด (21/02/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-02-2017 20:42:15
คนคิดเกมนี่กะให้ไม่มีใครได้เงินเลยสินะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่14 9วัด (21/02/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 21-02-2017 20:48:53
โอ้ยยยย อ่านแล้วเครียดเลย  :ling3:
หลอนด้วย ไม่รู้จะบรรยายยังไง :ling2:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่14 9วัด (21/02/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: karamailpraleen ที่ 21-02-2017 21:05:47
ตอนนี้ภพน่ากลัว :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่14 9วัด (21/02/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 22-02-2017 17:47:42
รายการทำผิดกติกา ออกนอกสถานที่ได้ไง
มิวเก่งมากสติดีสุดๆที่เรียกสติภพกลับมากได้
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่14 9วัด (21/02/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: JACKSON ที่ 22-02-2017 18:49:37
ไม่กล้าอ่านตอนกลางคืนเลยทีเเดียว
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่14 9วัด (21/02/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: minibusez ที่ 22-02-2017 19:48:28
เห็นชื่อตอน 9 วัด นึกว่าสบโอกาสไปขอน้ำมนต์ละ ฮรือออ ความจริงที่กำลังจะมาถึงช่างโหดร้าย
 :ling3:  กลัวแล้ว กลัวแล้ว  :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่14 9วัด (21/02/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 24-02-2017 14:12:37
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่14 9วัด (21/02/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 27-02-2017 18:47:58
ถึงนักอ่านทุกคนนะครับ

ในอาทิตย์นี้ผมขออนุญาตไม่ลงนิยายตอนที่15นะครับ. ขอโทษทุกคนที่รอตอนต่อไปดัวยนะครับ

เนื่องจากผมมีสอบทั้งอาทิตย์เลยขอให้จบการสอบก่อนนะครับ ฝากติดตามกันต่อๆไปด้วยเน้อ :sad4:

P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่14 9วัด (21/02/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: AkaneSama ที่ 04-03-2017 17:24:47
ภพใจเย็นก่อนลูก  :katai1: :hao5:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่14 9วัด (21/02/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: AkaneSama ที่ 04-03-2017 17:45:19
สู้ๆนะ ภพมิว  :m15:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่14 9วัด (21/02/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: TonyPat ที่ 05-03-2017 14:41:01
น่ากลัววววว สนุก ระทึก หวาน ทุกตอนเลย :pig4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่15 ผีเสื้อ (7/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 07-03-2017 21:03:16
ตอนที่15

ผีเสื้อ



“ถึงแล้วครับ คุณภพ คุณมิว”


น้ำเสียงร้องเรียกของทีมงานคนหนึ่งได้ปลุกผมกับไอ้ภพให้ออกจากโลกของความฝัน  หลังจากที่พวกเราต่างก็เลือกใช้ช่วงเวลาระหว่างเดินทางมายังสถานที่ถ่ายทำที่ใหม่ ซึ่งก็คือวัดสักแห่งหนึ่งไม่ไกลจากบ้านหลังนั้น นอนพักเอาแรง เพิ่มพลังและกำลังกายที่แทบจะสูญสิ้นไปกับเรื่องราวในหลายๆวันที่ผ่านมาให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากคำบอกเล่าของทีมงานดำเนินไปอย่างรวดเร็ว  ผมกับไอ้ภพถูกสั่งให้รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูดีขึ้นและเหมาะสมที่จะไปวัดมากกว่าชุดเดิม เนื่องจากทีมงานบอกกับพวกเราว่ากำหนดการที่จะเดินทางในวันนี้ล่าช้าไปมากเพราะการนอนตื่นสายของพวกเรา  ผมกับไอ้ภพจึงต้องรีบจัดแจงตัวเองตาแทบปลิ้นเพื่อไม่ให้เกิดการเสียเวลาไปมากกว่าตอนนี้

พวกเราเดินทางไปวัดด้วยรถตู้ของรายการ บนรถคันนี้มีเพียงพวกผม คนขับรถ และทีมงานอีกสองคนเท่านั้นที่นั่งไปด้วยกัน  บทสนทนาเรื่องภายในเกมส์จึงถูกเอ่ยถามขึ้นมาเป็นระยะเพื่อไม่ให้รถเงียบเกินไป และเมื่อได้ลองคุยกับทีมงานเรื่องข้อสงสัยถึงสาเหตุที่ทีมงานไม่ขึ้นไปปลุกพวกผมให้ตื่นขึ้นมาทำกิจกรรมนี้ ก็ได้คำตอบกลับมาว่า เมื่อคืนทีมงานคนนี้คือคนที่ได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิด เขาเห็นตลอดว่าพวกเรากำลังเล่นเกมส์อะไรหรือระหว่างการเล่นเกิดความผิดปกติอะไรไปบ้าง ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจที่จะให้พวกเราพักกันให้เต็มที่ ไม่ก้าวก่ายและรบกวนการนอนหลับของพวกเราแม้ว่าเขาจะต้องนั่งรอการตื่นนอนร่วมชั่วโมง

“ถึงแล้วหรอครับ เร็วมากเลย” ผมหาววอดใหญ่ ก่อนจะหันไปตอบทีมงานด้วยน้ำเสียงที่ยังติดการง่วงซึมอยู่

“ครับ ถึงแล้ว”

ผมลงจากรถพร้อมกับไอ้ภพด้วยอาการที่ยังคงต้องการการนอนหลับมากกว่านี้ ก่อนที่จะตื่นเต็มตาไปกับภาพของวัดที่อยู่ตรงหน้าของผม  วัดแห่งนี้เป็นวัดตามรูปแบบของวัดต่างจังหวัด ไม่ได้มีโบสถ์หรือศาลาสวยๆอย่างที่ผมเคยเห็น พื้นที่จำนวนมากมายประกอบไปด้วยดินแดงเกือบทั้งนั้น  อีกทั้งวัดยังดูเก่าแต่ไม่ได้ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา อย่างกับว่าวัดแห่งนี้ถูกรักษาโดยประชาชนแถบนี้อยู่ตลอด

ผมค่อยๆเดินออกจากตัวรถมาเล็กน้อยเพื่อมองดูวัดที่ค่อนข้างแปลกตาสำหรับผม  ศาลาการเปรียญเล็กๆตั้งเด่นชัดอยู่ตรงกลางวัด  ข้างๆกันนั้น คือหอระฆังที่กำลังสร้างใหม่แทนอันเดิมที่คาดว่าอาจจะพังหรือไม่ก็ทรุดโทรมตามธรรมชาติ  เมื่อมองถัดไปอีกหน่อย จะเป็นที่ตั้งของกุฏิพระ และที่ดึงดูดพวกผมให้สนใจมากที่สุด คงเป็นทางขึ้นเขาชี้ให้เห็นถึงเส้นทางไปสักการะพระพุทธรูปประจำวัดแห่งนี้

“สวยใช่ไหมครับ?  คุณมิว”

“ครับ?  อ่อ สวยมากเลยครับ วัดลักษณะแบบนี้ผมพึ่งจะเคยเห็น ดูเงียบสงบแล้วก็ไม่วุ่นวายดีครับ”

“ครับ แต่เรามีเวลาให้คุณชื่นชมได้ไม่มาก  ขอโทษด้วยครับ…ขอเชิญคุณมิวคุณภพมาตรงนี้หน่อยครับ” ทีมงานเอ่ยขอโทษผมเรียบๆ ก่อนที่จะเรียกให้พวกผมก้าวขากลับไปยังใกล้ตัวรถ ทำท่าทางเหมือนกับว่าจะบอกอะไรสำคัญกับพวกเรา

“อย่างที่ผมได้บอกไปแล้วนะครับว่าพวกคุณต้องหาสิ่งของบางอย่างภายในวัด ผมจะบอกแค่ครั้งเดียว ได้โปรดจำกันไว้หน่อยนะครับ”

“ได้ครับ…แล้วผมต้องหาอะไร”

“น้ำครับ”

“น้ำ? น้ำมนตร์หรอครับ” ไอ้ภพถามขึ้นมาบ้าง หลังจากที่มันเงียบฟังทีมงานคุยกับผมมานาน อันที่จริงตั้งแต่อยู่ที่บ้านจนถึงตรงนี้
ไอ้ภพยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลยสักประโยคเดียว

“ไม่ใช่ครับคุณภพ  น้ำที่ทางรายการอยากให้พวกคุณไปหา คือน้ำที่ผุดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ ไม่ได้ผ่านการกรอง การปลุกเสก หรือการไหลผ่านจากก๊อก  เข้าใจกันใช่ไหมครับ?”

“เดี๋ยวนะครับ น้ำที่ผุดขึ้นมาเอง??  อย่างที่เป็นข่าวหรอครับ  ท่อส้วมแตกแล้วน้ำผุดขึ้นมา รายการจะเอาน้ำแบบนั้นไปทำไมครับ?” ผมรีบถามกลับไปด้วยความประหลาดใจ  น้ำตามแบบที่ทีมงานว่า ก็ดูเหมือนจะมีเพียงน้ำแบบนั้นอย่างเดียวที่ผมคิดได้ รายการจะต้องการมันไปทำอะไร และที่สำคัญมันคือน้ำจากท่อส้วม แค่คิดกลิ่นก็ลอยจางๆมาแล้ว

“5555 ไม่ใช่หรอกครับคุณมิว  ถามจริงจังใช่ไหมครับเนี่ย…น้ำแบบที่ผมบอกก็อย่างเช่น น้ำใต้ดิน น้ำฝน หรือน้ำอะไรก็ได้ที่เกิดจากธรรมชาติสร้างครับ  ผมใบ้ให้หน่อยก็ได้ ไม่ทราบว่าจะเคยเห็นกันหรือเปล่า แต่น้ำแบบนั้นมันจะอยู่ในบ่อลึกๆครับ ที่เวลาคนต้องการใช้น้ำจะใช้การชักรอกดึกเอาถังตักน้ำข้างล่างขึ้นมา”  ทีมงานปล่อยเสียงหัวเราะลั่นขึ้นมาหลังผมจบคำถาม  ก่อนที่จะเฉลยว่านอกจากน้ำในความคิดผม ยังเหลือน้ำอะไรบ้างที่ทางรายการอยากได้

“โอเคครับ  เดี๋ยวผมจะลองหาดู ถึงจะยังนึกภาพไม่ค่อยออก แต่ลักษณะแบบนั้นมันคงมีไม่มากใช่ไหมครับ?”

“ก็ครับ อย่างที่บอกมันมีไม่มาก ดังนั้นวัดแห่งนี้มันอาจจะไม่มีเลยก็ได้นะครับ ค่อยๆลองหาหรือไม่ก็ถามจากคนหรือพระในวัด
ก็ได้ครับ…ส่วนนี่กล้องวีดีโอครับ ระหว่างการมองหา ช่วยอัดวีดีโอของพวกคุณไว้ด้วยนะครับ ไม่จำเป็นต้องบันทึกตลอดเวลา แต่ช่วยเก็บภาพมาให้ทางเราด้วยครับ แล้วเดี๋ยวพวกเราจะรอที่รถตรงนี้นะครับ”

“ได้ครับ…ยังไงก็ขอบคุณแล้วก็ขอโทษที่ต้องให้รอเมื่อเช้าด้วยนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ยังไงมันก็หน้าที่ผมอยู่แล้ว หาให้เจอกันนะครับ”

เมื่อบอกลากับทางทีมงาน พวกเราสองคนก็ค่อยๆเดินแยกออกมาทางกลางวัด เพื่อมองหาน้ำลักษณะแบบนั้น  สภาพแวดล้อมโดยรอบในยามนี้ค่อนข้างที่จะเงียบสงบจนเรียกว่าร้างไปเลยก็ได้ คำแนะนำที่ถูกบอกให้ไปถามคนหรือพระในวัดก็ดูจะไร้ประโยชน์ เพราะเมื่อผมลองกวาดสายตาไปทั่วก็ไม่พบแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิต  มีเพียงเศษหินเศษปูนของการก่อสร้างและผ้าจีวรของพระสงฆ์ที่ตากไว้เท่านั้นที่ยังยืนยันได้ว่า ก่อนหน้าที่พวกผมจะมา วัดแห่งนี้ยังมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น

“สวัสดีครับ ชาว Nightmaregamer ทั้งหลาย วันนี้หลายคนคงจะรู้สึกแปลกใจกันใช่ไหมครับ ที่อยู่ๆพวกเราก็มาโผล่กันที่นี่  ที่วัดแห่งนี้ครับ…ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวและขอบคุณทุกการติดตามและเป็นกำลังใจให้พวกผมนะครับ  ผมมิวเจ้าเก่าเจ้าเดิมครับ  ส่วนผู้ชายหน้าบวมๆข้างๆผมนี่ก็ไอ้ภพครับ คงไม่ต้องให้บอกนะครับว่ามันบวมเพราะอะไร หลายคนคงรู้กัน  ส่วนวันนี้พวกเรามาทำอะไร  ผมคงบอกได้แค่ว่าเราถูกสั่งให้มาหาน้ำบางอย่าง  ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่ารายการจะเอาไปทำอะไร  แต่ก็คงไม่เอาไปเผื่อเล่นสงกรานต์แน่นอนใช่ไหม? 555  ตอนนี้ผมอัดไว้แค่นี้ก่อนนะครับ  ถ้ามีอะไรคืบหน้า เดี๋ยวจะอัดให้ทุกคนตามไปพร้อมๆกันเลยครับ” ผมเริ่มอัดวีดีโอตามคำสั่งของรายการ  อาจจะเพราะผมมีประสบการณ์หน้ากล้องมาบ่อย นี่จึงเหมือนเป็นการขุดเอาความเสแสร้งเดิมๆขึ้นมาใช้อีกครั้งพร้อมกับโชว์สถานที่ให้ผู้ชมเห็น ที่บอกว่าเพราะความเสแสร้ง ผมหมายถึงการที่ผมต้องยิ้มสู้กล้องทำตัวร่าเริงทั้งที่ใจมีแต่เครื่องหมายคำถามอยู่เต็มไปหมด น้ำนี่สำคัญอย่างไร  ทำไมรายการถึงจงใจให้พวกผมมาหามากขนาดนี้

“เชี่ยวเชียวนะมึง” เสียงไอ้ภพค่อนขอดขึ้นมาหลังจากที่มันเงียบเป็นเป่าสากมาได้พักใหญ่

“อะไรอีกฮะ  ก็กูเคยบอกแล้วไง กูเคยเล่นเกมส์พวกนี้บ่อย เรื่องพวกนี้ไม่ระคายอะไรกูหรอก”

“เออๆ แล้วนี่จะเริ่มกันยังไงวะ ให้ถามคนถามพระ  หมาในวัดสักตัวกูยังไม่เจอเลย”

“ใจเย็นๆไอ้ภพ  กูรู้ว่ามึงเจ็บ แต่ตอนนี้ต้องค่อยๆหาไปหวะ คิดซะว่าออกมาเจออะไรดีๆบ้างแล้วกัน”

“แล้วเอาไง จะเริ่มตรงไหนก่อน เมื่อกี้กูมองๆไปวัดกว้างอยู่นะ ด้านหลังศาลาไปนี่ก็ดูท่าว่าจะเป็นที่โล่ง แล้วมึงดูตรงไกลๆนั่น…กูคิดว่าเป็นเมรุของวัดนี้  ตรงนั้นอาจมีพระอยู่ก็ได้ จะลองไปหาจากตรงนั้นก่อนไหม?” ไอ้ภพพูดออกมาเป็นประโยคยาวๆอย่างลืมความเจ็บปวด  แต่นั่นก็ถือว่าช่วยผมได้มาก เมื่อผมมองตามนิ้วที่มันชี้ไปก็พบว่ามีเมรุอยู่จริงๆ  สาเหตุที่วัดแห่งนี้เงียบกะทันหันอาจเป็นเพราะพระท่านอาจไปรวมกันอยู่ตรงนั้นก็ได้

“หาแถวๆนี้ไปก่อนแล้วกัน บ่อน้ำหรือน้ำแบบนั้น สมัยก่อนคงต้องใช้ประโยชน์จากมันจริงๆ  มันคงไม่ไปตั้งอยู่ไกลกุฏิหรอก” ไอ้ภพพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะค่อยๆเดินนำไปมองหาบริเวณรอบๆศาลาแห่งนี้

การหาน้ำนั่น เริ่มกินเวลาจาก 5 นาที เป็นครึ่งชั่วโมง จากครึ่งชั่วโมง เริ่มเป็นชั่วโมง โดยที่เราต่างก็ไม่ได้เบาะแสอะไรกลับมาเลย แม้จะหาจนแทบจะพลิกกุฏิพระแล้วก็ตาม  อีกทั้งแสงแดดอ่อนๆก็เริ่มหอบเอาความร้อนมาสัมผัสผิวกายของผมกับไอ้ภพ  แม้จะมีลมเอื่อยๆพัดโชยเอาความร้อนออกไปบ้างแต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยพวกเราสักเท่าไร  ด้วยความที่ก่อนหน้าเนื้อตัวของพวกเราเต็มไปด้วยเหงื่อไคลไหลออกมา  ร่างกายจึงชุ่มไปด้วยหยาดน้ำของความร้อน  เมื่อลมพัดมา มันจึงหอบเอาเศษฝุ่น เศษดินแดงลอยขึ้นมาติดและตีจมูกจนรู้สึกแสบคัดไปทั่ว

“ภพ มึงไหวไหม?” ผมหันไปถามไอ้ภพด้วยความสงสาร  เมื่อตอนนี้พวกเราเลือกที่จะนั่งพักกันใต้ร่มไม้ แล้วเห็นไอ้ภพ ดึงเสื้อขึ้นมาเช็ดความสกปรกบนหน้านั่น  รอยขบกรามเพราะความเจ็บปวดเกิดอย่างเห็นได้ชัด ผมจึงไม่รอช้าที่จะถามไถ่อาการออกไป

“กูไม่ไหวได้หรือไง”

“ได้สิ ไม่ไหวก็ให้บอกกู  เดี๋ยวที่เหลือกูทำเอง กะอีแค่หาน้ำเนี่ยกูทำได้สบายๆ”

“อวดเก่ง ไอ้อาการหอบจนตัวโยนขนาดนี้ยังจะบอกว่าไหวอีกหรอ กูไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวมันก็หาย”

“เฮ้อ ไหนๆก็อยู่ในวัดแล้ว คุณพระคุณเจ้าได้โปรดคุ้มครองพวกผมด้วยเถิด สาบานจากใจเลยจริงๆนะครับว่าผมไม่ได้มีเจตนาจะต่อยไอ้ภพแต่อย่างใด  ตอนนี้ผมก็รู้สึกผิดมาก อย่าได้ถือโทษถือกรรมผมเลยนะครับ สาธุ”

“555 เพ้อเจ้อแล้วนะไอ้มิว กูรู้แล้ว กูไม่ได้โกรธมึงด้วย มึงทำก็เพราะจะปกป้องตัวเอง ดีซะอีก กูจะได้ไม่รู้สึกผิดกับมึงด้วย”
“รู้สึกผิดอะไร ไอ้ที่มึงบอกให้กูต่อยมึงนั่นหรอ?”

“อืมนั่นแหละ  กูรู้สึกแย่นะที่เหมือนมึงเจอผีอยู่ฝ่ายเดียว อีกอย่างก็เป็นกูที่เคยหลอกใช้มึง ให้มึงต่อยกูคืนบ้างก็ไม่เสียอะไร แต่ว่านะ ถึงจะบอกให้ต่อยได้  มึงจำเป็นต้องซัดกูมาแรงขนาดนี้เลยหรอ”

“อ้าว ไอ้สั…”

“หยุด!! นี่ในวัด ไปหาต่อได้แล้ว  เหลือที่เมรุนั่นแล้วแหละ เราคงเจออะไรบ้าง”

“นี่มึงเจ็บหน้าเจ็บปากอยู่จริงๆใช่ไหม  ทำไมถึงได้พูดมากขนาดนี้”

“ลองสักหมัดไหม จะได้รู้ว่ากูเจ็บอยู่หรือเปล่า”

“นี่ในวัดครับ ศีลห้าอ่ะรู้จักไหม”

“ที่ว่าอย่ารังแกสัตว์ใช่ไหม  กูท่องมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่เมื่อกี้กูคงลืมหวะ….ขอ โทษ ที”

“อ ไอ้ภพ ไอ้…”ผมกลืนคำพูดสุดท้ายลงคอด้วยอารมณ์ฉุนเล็กๆ  เมื่อการขอโทษหน้าตายของไอ้ภพสร้างความหงุดหงิดภายในใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จะให้เตะมันก็จะกลืนน้ำลายตัวเองเสียเปล่าๆ เมื่อกี้พึ่งจะด่ามันไป หรือจะให้ด่ามันด้วยคำหยาบแบบที่ใช้กันประจำก็ทำไม่ได้ ไม่เหมาะสมไปอีก  ชีวิตของผมตอนนี้เลยดูบัดซบไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น

ผมสาวเท้าก้าวขาตามไอ้ภพไปอย่างเร่งรีบ เมื่อมันเดินนำหน้าไปมากโข ไม่คิดจะหยุดรอผมแม้แต่น้อย  แต่ก็อย่างว่าเป็นผมผมก็คงไม่รอ เพราะลานกว้างที่คั่นระหว่างจุดที่ผมอยู่กับเมรุคือเป็นแค่ลานโล่งๆไม่มีต้นไม้ใดๆ แสงแดดเลยส่องกระทบได้อย่างเต็มที่  ไอความร้อนจำนวนมหาศาลจึงสั่งให้ผมก้าวผ่านตรงนี้ให้พ้นไวที่สุด

แกรก  แกรก  แกรก…

เสียงไม้กวาดทางมะพร้าวที่ครูดกับพื้นดินแดงดังขึ้นมาตามจังหวะการเคลื่อนไหวของใครสักคน  หลังจากที่ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงบริเวณเมรุด้านหลัง ก่อนสายตาจะพลันเหลือบไปเห็น พระสงฆ์ 2 รูป พร้อมกับลูกวัดจำนวนหนึ่ง กำลังกวาดเศษใบไม้ที่ตกพื้นให้เป็นระเบียบ ก่อนจะนำไปสุมกองกันเพื่อรอการเผาไฟ

“นมัสการครับหลวงพ่อ” เป็นไอ้ภพ ที่เดินเข้าไปหาและก้มนั่งกราบบนพื้นก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งภาพนั้นก็เรียกให้ผมรีบเข้าไปทำตามเพื่อไม่ให้ดูเสียมารยาทกับพระกับเจ้า

“อ้าว โยม มาช้ากันจังเลยนะ อาตมาก็กวาดพื้นรอมาตั้งนาน”

“ครับ? หลวงพ่อรู้ด้วยเหรอครับว่าพวกเราจะมา”

“5555 ว่าแต่โยมเถอะ จะมาทำอะไรกัน สิ่งที่หาอยู่ ตรงนี้ไม่มีหรอกนะ”

“ครับ?? หลวงพ่อรู้ด้วยเหรอครับ ว่าพวกเราหาอะไร”

“คนทุกวันนี้เข้าวัดมาก็หาอยู่ไม่กี่อย่างหรอกนะ  ไม่มาหาความสุข ก็มาหาความตาย  แต่กรณีของโยมอาตมาก็บอกไม่ได้หรอกนะว่าโยมมาหาอะไร ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้นตามการกระทำของโยมเอง  โยมต้องเป็นคนตัดสิน”

“ผมแค่มาหาน้ำครับหลวงพ่อ พวกเราโดนรายการสั่งให้มาหาน้ำภายในวัดแห่งนี้ครับ”

“ถ้าแค่น้ำธรรมดา โยมเปิดก๊อกแถวกุฏิอาตมาก็ได้ถูกไหม รายการไม่มีทางรู้หรอกว่าน้ำมาจากไหน แต่ที่โยมยังดั้นด้นหา มันเป็นเพราะภายในใจของโยมยังคงสั่งให้ตามหา คำถามมากมายในใจโยมตอนนี้ยังไม่มีทางแก้ไข  เอาเป็นว่า อาตมารู้ว่าโยมอยากได้น้ำอะไร  อาตมาจะพาไปเอาเอง”พูดจบ หลวงพ่อก็ยื่นไม้กวาดทางมะพร้าว ให้กับลูกวัดที่ยืนมองมาทางนี้ตั้งแต่แรก ก่อนจะเดินนำพวกผมไปอีกทาง ซึ่งเมื่อเพ่งเล็งไปดีๆ ก็พบว่า ทางที่หลวงพ่อพาไป คือทางขึ้นไปบนเขานั่นเอง

“สวัสดีครับท่านผู้ชมทุกคน ตอนนี้เราได้เบาะแสแล้วนะครับ ผมกับไอ้ภพกำลังจะเดินตามหลวงพ่อท่านขึ้นไปหาน้ำตามที่เกมส์สั่งมา ทายกันสิว่าผมจะไปกันที่ไหน  บนเขา!! นั่นเองครับ ทุกคนคงจะยังไม่รู้ว่าวัดแห่งนี้มีพระพุทธรูปอยู่บนเขาด้วยนะครับ ให้คนขึ้นไปสักการะข้างบน  เป็นแนวคิดที่แปลกและชวนให้มาเห็นจริงๆครับ เอาเป็นว่าผมอัดให้ดูแค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับ  เกรงว่าจะไม่เหมาะสมครับ  อยู่กับพระ อยู่ในวัด  ทุกคนต้องสำรวมนะครับ อย่าลืมความเป็นจริงข้อนี้กันนะ”

ผมเริ่มอัดวีดีโอขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ชวนให้ตื่นเต้นหนักกว่าเดิมโดยที่จับภาพไปยังด้านหน้าอย่างเดียว  ผมคงไม่มีความกล้ามากพอที่จะหันกล้องเข้ามาถ่ายหน้าตนเองในขณะที่คิ้วยังคงขมวดและสายตายังคงจับจ้องไปที่หลวงพ่อด้วยความมึนงงในหลายๆเรื่อง จึงทำให้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาขัดกับรูปลักษณ์ในความเป็นจริงของผม

“ไอ้ภพ  มึงว่าหลวงพ่อท่านรู้เรื่องพวกเราได้อย่างไร?” ผมเดินเข้าไปขนาบข้างไอ้ภพ และเอ่ยถามมันขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่คิดไปเองว่าเบาที่สุด

“กูจะรู้ไหมละ ก็เดินมาพร้อมกับมึง แต่ถ้าให้กูเดานะ รายการคงมาบอกล่วงหน้าไว้อยู่แล้ว ในวัดแบบนี้หลวงพ่อคงไม่อยากให้ใครผลีผลามกันเข้ามาทำลายความสงบสุขหรอก”

“นั่นก็ถูกของมึง แต่ว่านะอะไรบางอย่างมันบอกกูหวะ ทางรายการต้องไม่ได้บอกอะไรหลวงพ่อท่านแน่ๆอ่ะ ไม่อย่างนั้น ท่านก็ต้องออกมารอเราสิ  ทำไมถึงปล่อยให้เราหาเองตั้งนาน ดูท่าท่านก็อยากช่วยเราอยู่”

“ท่านช่วยก็ดีแล้วไง  เก็บความสงสัยมึงไปก่อน นั่นพระสงฆ์นะไอ้มิว เดี๋ยวนรกก็เล่นกบาลมึงหรอก”

“ไอ้นี่หนิ กูก็แค่สงสัยเฉยๆ ไม่ได้จะว่าร้ายอะไรท่านเลยนะ”

“เรื่องของมึงเถอะ  พื้นดินสูบมึงลงไปขึ้นมากูจะขำให้”

“โว๊ะ มึงนี่ก็จริงจังไปได้ทุกเรื่องนะ  แก่เร็วขึ้นมาหาเมียไม่ได้ ต้องมาง้อกูเร็วๆนะ”

“มึงว่าอะไรนะ??”

“ฮะ อะไรใครว่าอะไรอ่ะ กูบอกหาเมียไม่ได้ไม่ต้องมาง้อกูเลย….ไม่ต้องมาทำหน้าสงสัย เดินไปเงียบๆ เดี๋ยวพื้นดินสูบมึงขึ้นมากูจะขำให้”

ผมย้อนมันกลับด้วยคำแช่งเดิม ใครจะกล้าบอกมันกันว่าผมกำลังหยอดมันอยู่ โดยส่วนตัวผมมีความเชื่อของตัวเองอยู่หนึ่งอย่างคือการได้พูดหรือขออะไรในวัด ผมเชื่อว่ามันจะเป็นจริงเสมอ  มันจึงทำให้ผมกล้าที่จะพูดความรู้สึกตัวเองออกมาให้ไอ้ภพรับรู้ชัดขึ้นมาบ้าง อย่างน้อย ในวัดนี้ เทวดาทั้งหลายก็ต้องเห็นใจผมไม่มากก็น้อย

ผมกับไอ้ภพเดินตามหลวงพ่อขึ้นเขาไปเงียบๆโดยที่ไม่มีปริปากบ่นอะไร เพราะระยะทางที่ขึ้นมานั้นค่อนข้างชัน อีกทั้งอากาศตอนนี้ก็เริ่มร้อนแรงจนอดจะยกมือมาพัดคลายร้อนให้ตนเองไม่ได้ และที่สำคัญ หลวงพ่อท่านยังเดินนำขึ้นไปเหมือนกับว่านี่คือทางเดินเรียบๆ ที่ไม่มีแม้แต่เศษหิน เศษดิน อีกทั้งท่าทางของท่านยังเหมือนเดินอยู่ในที่ที่ลมโกรกตลอดเวลา ท่านถึงไม่ได้ดูร้อนมากเท่าที่ผมรู้สึก

“หลวงพ่อครับ ต้องเดินไปอีกไกลไหมครับ?”

“อะไรกันโยม ยังหนุ่มยังแน่น มาบ่นออดๆแอดๆเป็นคนแก่ไปแล้วรึ”

“ก็นิดหน่อยครับหลวงพ่อ  ช่วงที่ผ่านมาผมเล่นแต่เกมส์อยู่แต่ในบ้านไม่ได้ออกกำลังกายเลยครับ”

“เอาเถอะๆ  ถึงแล้วหละ ข้างหน้านั่นไง” พูดเสร็จหลวงพ่อก็ชี้ให้ดูถึงลักษณะของบ่อน้ำตามที่ทางรายการได้บอกมา เพียงแต่ว่า
นี่คงเก่ามากเกินไป เลยผิดไปจากความรู้สึกผมเล็กน้อย

เมื่อเห็นดังนั้น ผมกับไอ้ภพเลยรีบจ้ำอ้าวไปยังเป้าหมายทันที รีบก้มมองไปยังก้นบ่อ ก็พบว่าบ่อนี้ลึกมากชนิดที่ว่ามองไปก็เห็นแต่ความมืด สิ่งที่ทำได้จึงเป็นเพียงการค่อยๆดึงรอกขึ้นมาแล้วลุ้นเอาว่าจะยังคงมีน้ำอยู่ภายในบ่อนี่หรือไม่

“ไอ้ภพ  กูลืมเลย เราจะเอาอะไรใส่น้ำนี่กลับลงไปวะ?”

“เออหวะ กูก็ไม่มีอะไรเตรียมมาด้วย  งั้นเดี๋ยวกูวิ่งลงไปเอาที่รถตู้อีกรอบแล้วกัน”

“ไม่ต้องหรอกโยม นี่…ใช้ถุงนี่สิ อาตมาเตรียมไว้ให้” เสียงห้ามปรามของหลวงพ่อหยุดฝีเท้าของไอ้ภพที่เตรียมจะวิ่งลงไป พร้อมกับยื่นสิ่งที่ทำให้ขนในกายพวกเราลุกชันขึ้นมา  คำว่าเตรียมไว้ให้มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ หลวงพ่อแสดงออกเหมือนกับรู้ทุกอย่างว่า เหตุการณ์จะเกิดขึ้นแบบใด

“ข…ขอบคุณครับ หลวงพ่อ”

และเมื่อได้วัตถุใส่น้ำไปที่เรียบร้อย ผมจึงหันมาใส่ใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี่อีกครั้งและถือว่าเป็นเดชะบุญของพวกผมมากที่เมื่อดึงรอกขึ้นมาแล้วยังพบว่ามีน้ำอยู่  น้ำนั้นดูใสสะอาดไม่เหมือนกับน้ำที่ถูกทิ้งไว้ในที่แบบนี้  แม้รอบข้างจะดูไม่ได้รก  แต่มันก็แปลกเหลือเกินที่ว่าไม่มีแม้แต่เศษใบไม้ลอยติดขึ้นมาด้วย

“ได้ของครบแล้วใช่ไหมโยม”

“ไม่มีอะไรแล้วครับหลวงพ่อ  ขอบคุณมากนะครับ” ไอ้ภพก้มลงไปกราบอีกครั้งอย่างนอบน้อม รวมถึงผมด้วย

“ไม่เป็นอะไรหรอกโยม เรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกอย่าง…”

“มีอะไรหรอครับหลวงพ่อ” ไอ้ภพถามขึ้นมาเมื่อหลวงพ่อทิ้งท้ายประโยคไว้จนน่าติดตาม

“โยมทั้งสองคน อาตมาขอบอกอะไรแล้วกันนะ  ระวังตัวกันไว้ให้มาก รักษาตัวกันให้ดี พวกโยมได้ยื่นขาสองข้างของตัวเองให้เข้าไปหาสิ่งที่ไม่ควร มันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่โยมเลือกที่จะฝืนกฎธรรมชาติและพาตัวเองเข้าสู่อีกโลก  โดยเฉพาะโยมคนนี้”

“ผม? ผมทำไมหรอครับหลวงพ่อ”

“อะไรที่เป็นของโยมหนะ  โยมเลือกได้นะว่าจะให้มันเป็นแบบใด ดวงตาของโยมก็เหมือนกัน ถ้าโยมมองว่าสิ่งที่ได้มามันคือวิธีการที่จะช่วยให้โยมได้ช่วยตนอื่น อาตมาก็อยากให้โยมทำ  แต่ถ้ามันทำร้ายตัวโยมมากกว่า ก็ให้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปเสีย ร่างกายของโยม ใครจะทำอะไรโยมได้ถ้าโยมไม่อนุญาต จริงไหม? ส่วนเรื่องน้ำนี่ ถ้าเป็นไปได้ อย่าได้หยิบมาใช้เด็ดขาด  ในยามปกติมันก็คือน้ำดีๆนี่แหละ แต่เมื่อมันต้องเข้าไปเกี่ยวกับเกมส์ที่โยมกระทำ มันย่อมไม่ใช่เรื่องดี  อาตมาเตือนโยมได้แค่นี้นะ  มันผิดกฎของสงฆ์ไปมากแล้ว”

“แค่เท่านี้ก็ดีแล้วครับ ขอบคุณมากนะครับหลวงพ่อ  ขออนุญาตกราบลาแล้วครับ”

“เจริญพรนะโยม กลับกันดีๆ อย่าลืมคำเตือนของอาตมา…โยมกำลังเล่นกับสิ่งที่ไม่ควร”

“ครับ หลวงพ่อ”

หลังจากนั้นผมกับไอ้ภพก็เดินลงเขามาพร้อมกับหลวงพ่ออีกครั้ง ก่อนจะเดินแยกกันไป โดยที่หลวงพ่อท่านเดินกลับไปทางเดิม ส่วนผมก็เดินแยกมาทางรถตู้ที่จอดเอาไว้ทางหน้าวัด ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ได้  เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องที่กำลังล้อผมเล่น วัดแห่งนี้คือสถานที่ที่เต็มไปด้วยความสงสัย หลวงพ่อท่านเอ่ยเรื่องราวบนเขาราวกับล่วงรู้ทุกการกระทำของผมกับไอ้ภพ  ผมไม่อาจเดาได้ว่ารายการมาจัดการเรื่องให้มากน้อยแค่ไหน  รู้แต่ว่า สิ่งที่หลวงพ่อเตือนคงไม่ได้มาจากรายการเป็นแน่

“กลับกันมาเร็ว ดีนะครับ แค่ชั่วโมงสองชั่วโมงเอง ได้อัดวีดีโอไว้บ้างไหมครับ?” เสียงทีมงานเอ่ยเสียงดังเมื่อผมกับไอ้ภพเดินเข้ามาใกล้ตัวรถ

“เร็วหรอครับผมนึกว่าช้าเสียอีก ส่วนเรื่องวีดีโอ ผมอัดไว้บ้างแล้วครับ เหลือแค่ตอนหาน้ำได้นี่แหละครับ ที่ยังไม่ได้อัด พอดีหลวงพ่อพาผมไปครับเลยคิดว่าคงไม่เหมาะเท่าไร”

“ไม่เป็นอะไรครับ เดี๋ยวไปอัดตอนหาเจอที่วัดต่อไปเลยก็ได้”

“ฮะ!! หมายความว่ายังไงครับ”

“ตามนั้นแหละครับ พวกคุณต้องทำกิจกรรมวันละสองวัด  วัดแรกพวกคุณเร็วกว่าที่ผมคิดไว้ เลยทำให้กำหนดการกลับมาตรงเวลาเดิมพอดี ตอนแรกผมคิดว่าจะไม่ทันแล้วเสียอีก”

“แต่…พวกผมยังไม่ได้กินข้าวเลยนะครับ  ไอ้ภพก็ยังไม่ได้กินยา ตอนไปหาเมื่อครู่มันก็เจ็บแผลมันนะครับ”

“ไม่ต้องห่วงครับ ทางเราเตรียมข้าวเตรียมยาไว้ให้หมดแล้ว เดี๋ยวพวกคุณขึ้นไปนั่งกินบนรถระหว่างเดินทางไปนะครับ  พอกินเสร็จจะนอนพักไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมปลุกเหมือนเดิมครับ”

.

.

.

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่15 ผีเสื้อ (7/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 07-03-2017 21:03:52
“ตามนั้นเลยก็ได้ครับ” ผมยอมรับทีมงานไปอย่างช่วยไม่ได้  เมื่อใจจริงๆแล้วอยากจะกลับไปพักผ่อนมากกว่าเดินทางไปวัดในเวลาที่ใจฟุ้งซ่านไปแบบนี้  หันไปมองไอ้ภพ มันก็แค่พยักหน้ารับและรีบรุนหลังผมให้ขึ้นรถไปนั่งตำแหน่งเดิมกับเมื่อเช้าเพื่อรีบจัดแจงตัวเองก่อนที่จะไปทำกิจกรรมต่อไป

คราวนี้รถพาผมออกนอกเส้นทางไปไกลกว่าเดิม คำนวณระยะห่างจากบ้านหลังนั้นมาก็มากนับหลายกิโลเมตรแล้ว  ตอนนี้ผมคงกำลังเพ้อเจ้ออย่างที่ไอ้ภพบอก  เรื่องราวมากมายถูกย้อนกลับมาเป็นคำถามให้ผมได้เสมอ  ตั้งแต่เข้ามาในบ้านหลังนั้นผมกลายเป็นเจ้าหนูจำไมไปอย่างไม่ตั้งตัว  นู่นผมก็สงสัย นี่ผมก็ขัดตา ทุกอย่างดูแปลกไปจนไม่คิดว่าบ้านหลังเดียว  รายการแค่รายการเดียว จะผูกปมปริศนาไว้หลายเรื่อง จนผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าเวลาหนึ่งเดือนจะแก้ได้หมดตามที่ไอ้ภพเคยบอกไว้ไหม

ตลอดการเดินทางบนรถไม่ได้มีเรื่องพูดคุยกันอย่างขามา  ทีมงานปล่อยให้พวกผมพักผ่อนและมีโอกาสได้ทบทวนเรื่องราวของตนเอง  บนรถตอนนี้จึงมีเพียงไอ้ภพที่นั่งหลังตรงหลับตานอนอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน  ลึกๆแล้วภายในใจของมันเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบได้เลยสักคน มันเป็นคนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย  มีอะไรไม่ค่อยจะพูด  บทจะพูดขึ้นมาก็เล่นทำเอาผมไปไม่เป็นอยู่เหมือนกัน เวลามันโกรธหรือกำลังโมโหอะไรสุดขีด นั่นคงเป็นช่วงเวลาเดียวที่มันจะบอกอะไรทุกอย่างออกมา แต่ก็อย่างว่า ช่วงเวลานั้นผมไม่ปรารถนาจะเห็นอีกต่อไป

ผมถอนหายใจพลางข่มตาหลับนอนพิงไหล่มันอย่างหาโอกาส  ช้อนตาขึ้นไปมองใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำที่แม้ตอนนี้จะดีขึ้นมาบ้างนิดเดียว ย้ำว่านิดเดียวจริงๆ ผมก็รู้สึกผิดพร้อมกับกลัวไปหมด  ความรู้สึกผิดมันเกิดจากการที่ผมไม่ได้อยากจะทำอะไรแบบนี้ ไม่ใช่แค่มันที่เจ็บ ผมก็เจ็บไปด้วยเหมือนกัน  ส่วนความรู้สึกที่ว่ากลัว มันก็เกิดจากทุกครั้งที่มองเห็นรอย มันจะมีภาพซ้อนทับที่เป็นที่มาของรอยพวกนี้  ใบหน้าไอ้ภพยามไม่มีสติจากผีตนนั้น ดูน่ากลัวยิ่งกว่าเกมส์นี้ทั้งเกมส์รวมกัน

ความรู้สึกที่ว่ารถวิ่งมาได้นานเท่าไร กินระยะทางไปเท่าไร ผมไม่อาจทราบได้ แต่หลังจากการที่รถเริ่มชะลอตัวและตบไฟเลี้ยวเข้าสู่ตัววัด นั่นก็เริ่มเรียกความรู้สึกตัวของผมให้หันมาสนใจกับภาพภายในวัดแห่งนี้  ใช้ความตาไวของตนเองที่มีสอดส่องหาทิศทางที่จะนำไปสู่สิ่งที่ต้องตามหา เพื่อลดเวลาที่พวกเราต้องคล้อยตามเกมส์และเอาเวลาที่เหลือไปพักผ่อนภายในที่สงบแบบนี้

“อ่า วานคุณมิวปลุกคุณภพให้ผมทีนะครับ ใกล้ถึงเวลาที่จะต้องเริ่มค้นหาอีกครั้งแล้ว”

ผมพยักหน้าตอบรับกับทางทีมงานพร้อมกับที่มือก็สะกิดผู้ชายที่นอนหลับอยู่ข้างๆตัวให้ตื่นขึ้นมารับฟังทีมงานอีกครั้ง  เป็นจังหวะเดียวกับที่รถตู้ของทางรายการเคลื่อนตัวมาทางด้านหลังวัดและจอดลงตรงหน้าศาลาพักศพที่อยู่ด้านหลังใกล้กับโบสถ์เก่าๆของวัด

ตรงบริเวณนี้ไม่ได้เงียบเหงาเหมือนวัดแรก  เพราะศาลาตั้งศพที่อยู่ข้างรถตอนนี้ มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ล้วนแล้วแต่ก็ใส่ชุดดำเดินเข้าออกศาลากันให้วุ่น  หน้าตาของแต่ละคนคลาคล้ำไปด้วยความโศกเศร้าตามประสาบรรยากาศในงานศพทั่วๆไป ผมกับไอ้ภพที่ลงมาหยุดยืนมองภาพนั้น ก็ได้แต่ทำหน้าปลงและอนิจจังไปกับสังขารของผู้วายชนม์ในโลงศพข้างในศาลา 

คนขับรถตู้ของทางรายการ เคลื่อนตัวรถไปจอดให้ห่างจากรถของบรรดาญาติๆของผู้ตาย ทิ้งให้พวกผมและทางทีมงานยืนเด่นเป็นเป้าสายตาอยู่ตรงนั้น ในเมื่อชุดที่ทุกคนใส่มาแตกต่างไปจากคนหมู่มากอย่างชัดเจน  บางคนมองมาด้วยความสงสัย แต่กลับอีกหลายๆคน มองมาด้วยความไม่พอใจ เมื่อสีสันบนเสื้อผ้าของเราไปตัดอารมณ์อาลัยภายในศาลานั่น

“เอ่อ…ผมว่าเราไปยืนที่อื่นกันไหมครับ” ผมเสนอความคิดให้ทีมงานที่ก็ยังคงยืนแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“อ่อ ได้ครับคุณมิว  คงจะอึดอัดกับสายตาใช่ไหมครับ?”

“ครับ ตามนั้นเลย”

“เอาเป็นว่า  เราเดินไปคุยไปกันก็ได้นะครับ  เวลาไม่ได้จำกัดมาก ผมเลยไม่อยากรีบสักเท่าไร  ให้พวกคุณได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้าง ดีไหมครับ?”

“ก็ดีนะครับ  แต่จะดีกว่านี้ถ้าพาผมไปสูดอากาศที่สวนสาธารณะหรือห้างสรรพสินค้า ไม่ใช่ในวัดครับ”

“555 อยากพาไปนะครับ แต่คงจะผิดกฎ….วัดแห่งนี้ก็อย่างที่เห็นนะครับว่าพื้นที่กว้างกว่าวัดแรก  ดังนั้น ผมจะจำกัดเขตให้แล้วกันนะครับ  น้ำที่พวกคุณต้องการหา  อยู่บริเวณนี้แหละครับ  ไม่ได้หายากเท่าวัดเดิมแน่นอน แต่ถ้าคุณหาไม่เจอหรืออะไร ก็เหมือนเดิมครับ  ถามใครก็ได้ แต่อย่าลืมที่จะอัดวีดีโอไว้ด้วยนะครับ”

“ถ้าผมหาเสร็จแล้ว ขอไปไหว้พระในโบสถ์นั่นได้ไหมครับ?”

“ตามสะดวกเลยครับคุณมิว  ผมไม่ว่าอะไร  เดี๋ยวผมจะนั่งรอในรถตู้ของทางรายการแล้วกันนะครับ ถ้าคิดว่าทุกอย่างเป็นที่น่าพอใจแล้ว ก็ให้รีบกลับมานะครับ  อย่าลืมว่าคืนนี้พวกคุณยังต้องเล่นเกมส์ต่อ”

“ได้ครับ  ผมจะรีบกลับมาแล้วกันนะครับ”

ผมเดินแยกกับทีมงานออกมาแบบเดิม  ก่อนจะพุ่งตรงไปยังด้านหลังของศาลาทันที เนื่องด้วยพวกผมไม่มีใครที่จะกล้าเดินเข้าไปถามหาตำแหน่งบ่อน้ำแบบนั้นกับชาวบ้านในศาลา เลยเดินสุ่มหากันเองคาดว่าจะง่ายกว่า  อีกทั้งเท่าที่ผมคาดคะเนพื้นที่ทั้งหมด  ถ้าบริเวณนี้มีบ่อน้ำลักษณะนั้นจริงๆ  ก็คงจะหาง่าย เพราะหลังจากศาลาไป มันก็มีแค่บึงน้ำเล็กๆ กับพื้นที่โล่งเตียนทั่วไป คงไม่ยากนักหากผมจะเจอะเจอกับสิ่งที่สะดุดตา

ผมกับไอ้ภพ เดินแยกกันไปหาแต่ละฝั่ง โดยถ้าลองนึกภาพตามผม ฝั่งที่ไอ้ภพไปจะเป็นบริเวณด้านซ้ายของศาลาที่ซึ่งมีบึงน้ำขนาดไม่ใหญ่อยู่ไปจนสุดโบสถ์เก่าๆที่ตั้งแยกออกไปจากศาลาไม่ห่างกันมาก  ส่วนฝั่งด้านขวาจะเป็นพื้นที่โล่งๆสลับกับมีต้นไม้ขึ้นแซมให้พอมีร่มเงาไปจนสุดกำแพงวัดด้านนอก  และมีศาลาตั้งศพอยู่ตรงกลางคั่นระหว่างผมกับไอ้ภพ

“สวัสดีครับผู้ชมทุกคน  กลับมาพบกับมิวอีกแล้วนะครับ  ไม่รู้จะแปลกใจกันไหมที่ไม่เห็นไอ้ภพข้างตัวผม จะบอกว่าไม่ต้องแปลกใจไปนะครับ เราแยกกันหาน้ำที่ทางรายการสั่งให้หาหนะครับ  จากเมื่อช่วงเที่ยงๆผมมีข่าวมาอัพเดทนะครับว่าผมหาน้ำแบบนั้นที่วัดแรกเจอแล้ว แต่ที่ไม่ได้อัดเอาไว้เป็นเพราะ  หลวงพ่อของวัดนั้นเป็นคนพาไปครับ  มันคงไม่ดีเท่าไร  ส่วนวัดนี้  ผมจะแสดงให้เห็นทั้งหมดของวัดก่อนนะครับ….เห็นไหม  ว่าตรงนี้ของวัดไม่ได้กว้างเลย ผมกับมันแยกหากันได้สบายๆครับ  ลองสังเกตฝั่งนู้นดูดีๆจะเห็นหลังไอ้ภพไวไวอยู่นะครับ มันจริงจังมาก เพราะฝั่งของมันมีบึงน้ำเลยต้องตั้งใจหาเป็นพิเศษ  ส่วนฝั่งผมเป็นพื้นโล่งๆสบายๆครับ  เดินหาเรื่อยๆได้  ไม่ต้องถามกันนะครับว่าเห็นบึงน้ำแล้วทำไมไม่เอาน้ำ  ถึงที่นี่จะเป็นในวัด แต่บึงน้ำก็ไม่ได้สะอาดขนาดนั้นนะครับ  เกิดรายการสั่งให้ผมเอาไปล้างหน้า  ผมจะทำอย่างไรละครับ555  เอาเป็นว่าผมอัดไว้แค่นี้ก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวค่อยเจอกันใหม่”

ผมเดินอัดวีดีโอไปตามทางที่ผมต้องค้นหาบ่อน้ำนั่นด้วยความไม่รีบร้อนนัก จะเรียกว่าเดินลอยชายเลยก็ว่าได้ เพราะอย่างที่ผมเคยได้บอกไป พื้นที่ตรงนี้มันโล่งมากๆ แค่มองทะลุไปก็เห็นกำแพงวัดแล้ว  ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะละเลยขนาดนั้น ทุกช่วงที่ผมอัด สายตาของผมจะแทบไม่ได้มองกล้องเลย เอาแต่จับจ้องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่อาจจะปิดบังสิ่งที่ต้องการหาอยู่ก็ได้

จวบจนเดินวนไปมาระหว่างศาลาและกำแพงวัดหลายรอบ  ผมก็มั่นใจแล้วว่า พื้นที่ตรงนี้ไม่มีสิ่งที่ผมต้องการหาอย่างแน่นอน  ช่วงเดินกลับจากกำแพงวัดผมเลยหยิบกล้องวีดีโอขึ้นมาเปิดดูคลิปที่ผมอัดถ่ายกันไว้  ตรวจสอบความเรียบร้อยของมันว่าไม่มีอะไรผิดพลาดก่อนส่งกล้องนี่คืนรายการ 

“เฮ้ย!!”

ผมร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ ก่อนที่ขาจะหยุดก้าวไปเสียดื้อๆ  เมื่อวีดีโอถูกเปิดมาเป็นวีดีโอที่ผมพึ่งจะอัดไปเมื่อครู่ แล้วสิ่งที่ปรากฏอยู่ในนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงแค่หน้าผม  แต่กลับมีร่างของใครคนหนึ่งเดินประกบหลังผมมาเรื่อยๆจากระยะที่เห็นได้แค่เท้า เพิ่มมาเห็นขาท่อนล่าง จนสุดท้าย ใบหน้าของใครคนนั้นก็มาหยุดอยู่ในกล้องข้างหลัง จับจ้องมาที่ผมตลอดการอัดวีดีโอ

ด้วยความที่ผมไม่ได้มองกล้องตลอดเวลา ผมจึงไม่ได้สังเกตสิ่งพวกนี้  ความรู้สึกขนลุกที่ท้ายทอยจนตัวชาวาบเกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน  จะว่าผมกลัวก็ว่าได้แต่ที่ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาคงเป็นเพราะที่แห่งนี้คือวัด  แถมเมื่อมองไปข้างหน้าผมก็เห็นผู้คนจากศาลาคุยกันอยู่เพียบ และที่สำคัญเพียงแค่ผมเห็นถึงความผิดปกติผมก็รีบปิดวีดีโอทันทีนั่นจึงไม่ได้ส่งผลอะไรต่อผมมากนัก นอกจากการที่สมองสั่งให้รวบรวมสติและก้าวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งมายืนหอบอยู่หน้าโบสถ์ตรงที่คิดว่าหากไอ้ภพเดินมาหาแถวนี้ก็จะเจอผมได้ง่าย ยืนนิ่งสะกดอารมณ์และสายตาตนเองให้มองไปที่พระพุทธรูปภายในโบสถ์ อีกทั้งยิ่งเย็นมากเท่าไร ผู้คนในศาลาก็มากันมากขึ้น การมายืนรอด้วยเสื้อต่างสีตรงนี้เงียบๆคนเดียวก็ดูจะเหมาะสมที่สุด

“อ๊ะ!  มาจากไหนกันวะ” ผมร้องด้วยเสียงที่ค่อนข้างแปลกใจ ขัดกับดวงตาที่เป็นประกายความสุขยามได้มองสิ่งสวยงาม  เมื่ออยู่ดีๆก็มีกลุ่มผีเสื้อ บินมาโฉบกันไปมาบริเวณนี้ ทั้งที่ตรงนี้ไม่มีแม้แต่ดอกไม้เลยสักดอก

“ยืนมองอะไรอยู่วะ ไอ้มิว” เสียงไอ้ภพดังเข้ามาแทรกจังหวะการชื่นชมผีเสื้อของผม

“ผีเสื้อไงไอ้ภพ  ไม่รู้มาจากไหนเยอะไปหมด…มึงหาบ่อน้ำนั่นเจอแล้วเหรอ??  ขอโทษที่ไม่ได้ไปช่วยหานะ”

“เจอได้สักพักแล้ว ก็ช่วงที่มึงรีบเดินตาลีตาเหลือกมาตรงนี้นั่นแหละ กูยืนมองมานานละ กะว่าจะดูว่ามึงจะมาทำอะไร แต่ก็เห็นแค่มึงยืนมองในโบสถ์เฉยๆ”

“อ่อ… อะ… เออ… กูแค่จะมาไหว้พระไง  จำไม่ได้หรอ ที่บอกไว้แล้วว่าถ้าหาเจอแล้วจะมาไหว้พระในโบสถ์  กูเลยจะมารอมึงตรงนี้” ผมเลือกที่จะไม่พูดเรื่องนั้นออกไป  ก่อนจะเบี่ยงประเด็นมาที่เรื่องราวที่ไอ้ภพคงสนใจมากกว่า

“อืม…”ไอ้ภพเลือกตอบผมแค่นั้น  พลันสายตาของมันก็เอาแต่หันไปจับจ้องไปยังกลุ่มผีเสื้อตรงหน้าด้วยแววตาที่ไม่ได้แสดงความชื่นชมหรือชื่นชอบอะไรมากเป็นพิเศษ  กลับกันมันช่างดูว่างเปล่าและแสนสับสนเกินกว่าจะแค่ยืนดูผีเสื้อ

“ภพ….มึงเป็นอะไรหรือเปล่า”ผมถามมันไปด้วยน้ำเสียงที่เจือความเป็นห่วง

“กู…ไม่เป็นอะไรหรอก”

“นี่ในวัดนะภพ  อย่าโกหกกู มึงเป็นอะไร?”

“ทำไมมึงถึงชอบผีเสื้อ?”

“กู?  กูชอบเพราะผีเสื้อหนะเป็นสัตว์ที่มีวงจรชีวิตแปลกดีนะมึง ใครจะรู้ว่าจากดักแด้ธรรมดาจะกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถแต้มความสวยงามให้กับโลกได้ วงจรชีวิตอย่างกับโดนศัลยกรรมมา มึงว่าปะ??”

“อืม แล้ว…มึงรู้ความหมายของมันไหม?”

“ถ้าให้เดา กูว่ามันคงหมายถึงอิสระมั้ง ลักษณะของมันคงหมายถึงการได้โบยบินไปตามความต้องการของตนเอง”

“อืม  แต่รู้อะไรไหม อีกความหมายหนึ่งของมัน  ผีเสื้อ หมายถึง ความตาย หรือถ้าพูดให้ดีคงหมายถึงโชคร้าย ลางร้าย หรือแม้กระทั่งวิญญาณของคนตายที่บินกลับมาตามความเชื่อของคนจีน”

“คนแบบมึง  เชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยหรอภพ”

“เมื่อก่อนกูไม่เคยเชื่อ  แต่การที่ได้เห็นมึงกับน้องสาวเห็นในสิ่งที่กูไม่มีทางเห็น แค่นี้มันก็น่าจะยืนยันบางอย่างได้แล้ว”

“จะว่าไป ก็ถูกของมึงนั่นแหละนะ คงไม่มีอะไรเหลือเชื่อเท่าที่กูจะเห็นผีได้แล้ว”

“เมื่อก่อน กูกับน้องสาว ชอบไปยืนดูผีเสื้อที่บินมาเกาะตามดอกไม้ใกล้ๆบ้าน กูรู้ว่าผีเสื้อหมายถึงอิสระ ก็ตอนที่น้องกูบอกว่า อยากเป็นผีเสื้อ เพราะมันมีอิสระ มันจะโบยบินไปตรงไหนก็ได้ แล้วมึงเห็นไหม ว่าสุดท้ายแล้ว…น้องกูก็โบยบินไปจากกู”

“ภพ น้องมึงเขาไม่ได้บินไปไหน เขาแค่เข้าไปอยู่ในวงจรของผีเสื้อ  ทดลองเป็นผีเสื้อตามที่ใจเขาต้องการ  มึงก็เห็นนี่ว่าผีเสื้อมันไม่ได้บินเข้ามาหามึง มันบินของมันไปทั่ว น้องมึงกำลังได้อิสระตามที่เขาต้องการ  ส่วนเรื่องที่แปลว่าโชคร้าย กูคิดว่าเราสองคนก็คงเข้ามาในวงจรของผีเสื้อแล้วนะ เพราะเราทั้งคู่ก็ต่างถือความโชคร้ายกันเอาไว้ เกมส์นี้จะว่าไปมันยิ่งกว่าความโชคร้ายเสียอีกนะ” 

“ก็คงเป็นไปตามที่มึงว่า…”

“อย่าท้อแท้ อย่าหมดหวังเรื่องน้องสาวนะภพ  วงจรชีวิตของผีเสื้อมันสั้นมากนะ ไม่กี่วันมันก็ต้องทิ้งร่างและความสวยงามกลับสู่ดิน ไม่ต่างไปจากเรื่องของน้องมึงหรอกนะ  อีกไม่นานเขาก็ต้องทิ้งความหวาดกลัวที่เขามีได้ สักวันเขาจะกลับมา อีกอย่าง ถ้ามึงท้อ เรื่องของกูกับมึงจะว่าอย่างไร ในเมื่อเราก็อยู่ในวงจรผีเสื้อกันทั้งคู่ เชื่อกู อีกไม่นานหรอก เราจะได้กลับออกไป  จะได้กลับไปกำหนดทิศทางบินของตนเอง ไม่ต้องให้สายตานับแสนคู่หรือวาจาเชือดเฉือนเพียงหนึ่งมาคอยบอกให้เราบินแล้ว”

“…”

“ฟังกูนะภพ ความหมายที่คนเราสรรหามาให้ผีเสื้อ ไม่ว่าด้านดีหรือด้านร้าย มันก็ไม่ได้ทำให้ผีเสื้อสวยงามน้อยลงเลย กลับกัน มันยิ่งทำให้ผีเสื้อเป็นที่น่าสนใจมากขึ้นไปอีกนะ  ผีเสื้อมันมีความหมายและคุณค่าในตัวของมันเองอยู่แล้ว  อย่าไปใส่ใจอะไรมากนักเลย อย่าไปทำให้สิ่งที่น้องมึงชอบ ต้องด่างพร้อยเพราะการเพิ่มเรื่องเลวร้ายลงไป  กูยังอยากให้เมื่อน้องมึงกลับมา มึงจะยังมองไปที่ผีเสื้อพร้อมกับน้องด้วยแววตาที่เหมือนเดิมนะภพ” ผมหันไปมองหน้าไอ้ภพ พร้อมกับเห็นว่ามันก็ละสายตาจากผีเสื้อมาฟังที่ผมพูดอยู่เหมือนกัน  ก่อนจะเห็นการยกไม้ยกมือของทีมงานเป็นสัญญาณให้พวกผมรีบกลับไปที่รถได้แล้ว  ด้วยว่าตอนนี้แสงแดดที่เคยมีก็เริ่มน้อยลงไปตามช่วงเวลา

“เมื่อน้องกูกลับมา กูจะรู้ได้ไงมิวว่ากูจะแสดงแววตาออกไปแบบไหน  กูไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะมองผีเสื้อพวกนี้ด้วยแววตาที่เหมือนเดิม  เพราะสุดท้ายแล้ว  กูก็ไม่มีใครเลยที่จะมามองเห็นความต่างของแววตาหรือกล้าที่จะจ้องตาแล้วบอกกูได้ทุกอย่าง”

“…”

“เหมือนกับมึง”
.


.

.

“ขอบคุณมากๆนะครับสำหรับวันนี้  เจอกันพรุ่งนี้ครับ”ผมบอกลาออกไปตามมารยาท เมื่อทางทีมงานได้ขับรถกลับมาส่งผมถึงในบ้าน 

ผมกลับเข้าบ้านมาด้วยสภาพที่ค่อนข้างอ่อนล้า กว่าจะเดินทางกลับมาถึงก็ใช้เวลาจนท้องฟ้ามืดสนิท ผมเพิ่งจะได้รู้ว่าเราเดินทางกันไปไกลพอสมควรก็ตอนขากลับที่มีสติตื่นกันอยู่ตลอดเวลา  เมื่อเข้าห้องครัวได้ พวกผมก็รีบจัดแจงทุกอย่างให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว  วันนี้ลุงคำคงเอาของเข้ามาให้ใหม่แล้ว เพราะของเต็มตู้เย็น พร้อมกับทิ้งโน้ตที่ได้ถามไถ่เรื่องราวของเมื่อคืนเอาไว้

ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม พวกผมก็ได้มานั่งพักผ่อนกันตามความต้องการเรียบร้อย หลังจากที่รีบเข้าไปอาบน้ำขณะที่หุงเข้าทิ้งไว้และลงมากินข้าวด้วยความกระหายอย่างรุนแรงไม่ต่างไปจากปอบผีสิง และไม่ลืมที่จะหยิบหนังสือที่จะต้องใช้เล่นคืนนี้ออกมาอ่านด้วย

“ทำไมรายการถึงไม่เอากล้องคืนไปวะ?” ไอ้ภพเอ่ยขึ้นมาหลังจากหยิบกล้องขึ้นพลิกไปพลิกมาเหมือนกับจะหาเลขเด็ด

“เขาคงจะให้เราถ่ายให้เสร็จนั่นแหละ  ระยะเวลาแค่ 4 วันหนึ่งคืนเอง คงคิดจะเอาไปลงให้ผู้ชมดูอย่างต่อเนื่องอ่ะ”

“อยู่ดีๆก็ให้เราไปทำกิจกรรมกันข้างนอก รายการกำลังคิดอะไรวะ?” ไอ้ภพพึมพำออกมาเงียบๆ เหมือนพูดคนเดียวแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หูผมพลาดไปได้

“ไม่ได้คิดอะไรหรอกภพ  คงหาเรื่องไม่ให้พวกเราออกไปด้านหลังนั่นอีกไง อย่างน้อย 4 วันนี้เราก็ไปหาอะไรไม่ได้เลยนะ”

“….”

“อย่าเพิ่งเครียดเลยภพ ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องมีเวลาของมัน  รายการควบคุมไม่ได้หมดหรอก…มาดูกันดีกว่าว่าคืนนี้เราต้องทำ
อะไร?”

“ดูมึงสบายใจขึ้นนะ หลังกลับมาจากวัด”

“จริงๆกูสบายใจขึ้นตั้งแต่ได้ต่อยมึงนั่นแหละ 5555….เฮ้ย! กูล้อเล่นไม่ต้องมองแรงเลยครับมึง  เป็นใครก็สบายใจขึ้นทั้งนั้นแหละ อย่างที่หลวงพ่อพูด กูไปวัดครั้งนี้กูคงไปหาทั้งความสุขแล้วก็ความตายอ่ะ  มันทำให้กูปลงขึ้นเยอะ”

“ดีแล้ว  แต่ช่วยเอามาใช้จริงๆด้วยนะ ไม่ใช่คิดได้อย่างเดียว  ตัวมึงจะแย่นะไอ้มิว”

“รู้แล้วๆ จะลองพยายามไม่มองไม่เห็นแล้วกัน….ส่วนมึง ทายารึยัง  ดูเหมือนจะดีขึ้นมาหน่อยแล้วนะ”

“ทาแล้ว…ตกลงกูจะรู้ไหมว่าวันนี้เกมส์มันให้พวกเราทำอะไร?”

“ใจร้อนจังนะมึง เดี๋ยวกูขออ่านก่อน…..ดูเหมือนว่าเกมส์คืนนี้มันจะให้พวกเราเล่น  โพงพาง




*******************************************TBC*********************************************
กลับมาเจอกันแล้วครับ  วันนี้เอาตอนที่ 15 มาส่งแล้วววววว   
ไม่รู้ว่าจะสมกับที่รอคอยของทุกคนหรือเปล่า  แต่ขอฝากติดตาม ฝากติ  ฝากชม เหมือนเดิมนะครับ ช่วงที่ผมไม่ได้ลงผมก็เข้ามาอ่านนะครับว่าใครคอมเมนต์อะไรให้ผมบ้าง  ขอบคุณมากๆครับ :mew1:
เนื้อหาตอนนี้เป็นตอนที่ผมตัดแล้วใส่เรื่อง ผีเข้าไปไม่ได้จริงๆ  อยากจะถ่ายทอดความรู้สึกในอีกแง่มุมที่ไม่ได้มีแต่ความน่ากลัวอยากให้ทุกความรู้สึกมันค่อยๆเป็นไป  แต่จะไม่ให้ยืดเยื้อนะครับ

ถ้ามีคำผิดหรือมีประโยคที่ไม่ลื่นไหล บอกได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมจะมาแก้ให้
เจอกันตอนหน้าครับ
P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่15 ผีเสื้อ (7/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-03-2017 23:17:42
หลสงพ่อวัดแรกน่าจะเห็นอะไรเยอะแน่ๆ เลย
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่15 ผีเสื้อ (7/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 07-03-2017 23:22:07
อะไรอยู่หลังมิววว  :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่15 ผีเสื้อ (7/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: karamailpraleen ที่ 07-03-2017 23:31:19
จะเอาน้ำมาทำอะไรหว่า :ruready
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่15 ผีเสื้อ (7/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: TonyPat ที่ 08-03-2017 00:37:12
มาแล้ววว ๆๆๆๆ เย้ๆๆๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่15 ผีเสื้อ (7/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 08-03-2017 01:12:37
 :pig4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่15 ผีเสื้อ (7/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 08-03-2017 06:46:55
หลอนนนนน :ling3:

แต่แม่งเกลียดรายการนี้จริงๆ!
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่15 ผีเสื้อ (7/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 08-03-2017 13:03:25
อื้อหือ เมื่อกี้ไปเปิดดูวิธีเล่นโพงพางมา ก็เหมือนจะเดาความหลอนได้ แต่มันยังไม่มีอะไรทีเกี่ยวข้องกับน้ำแฮะ :ruready
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่15 ผีเสื้อ (7/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 08-03-2017 15:02:42
 :o8: :o8: :o12:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่15 ผีเสื้อ (7/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: JACKSON ที่ 08-03-2017 19:06:06
มิวสู้
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่15 ผีเสื้อ (7/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: แม่มดน้อย ที่ 12-03-2017 09:28:28
สรุปรายการต้องการอะไรนิ?
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่16 โพงพาง (15/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 15-03-2017 01:21:53
ตอนที่16

โพงพาง



“โพงพาง เป็นการละเล่นของเด็กไทยในสมัยก่อน ซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยเป็นที่นิยมนัก เนื่องจากเทคโนโลยีจำนวนมากมายได้เข้ามาแทรกการละเล่นของเด็กไทยในสมัยนี้  ดังนั้น เพื่อเป็นการอนุรักษ์การละเล่นนี้ให้ดำรงอยู่ ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองจะต้องนำวิธีการเล่นและเรื่องราวทั้งหมดมาถ่ายทอดให้ผู้ชมรายการได้รับชมกันอีกครั้ง ในแบบฉบับของการล่าท้าผี…”

“หมดแล้วภพ หนังสือเล่มนี้เขียนอธิบายไว้แค่นี้ ที่เหลือก็เป็นแค่วิธีการเล่น”  ผมอ่านคำนิยามประกอบการเล่นเกมส์โพงพางในคืนนี้ตามคำเปรยในหน้าหนังสือ เพื่อตอบข้อสงสัยของไอ้ภพ  เนื่องจากเมื่อสักสิบนาทีก่อนผมได้บอกกับมันไปแล้วว่าเกมส์คืนนี้เราต้องทำอะไร

“กูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี แค่การเล่นโพงพางจะทำให้เราเห็นผีได้ด้วยหรือไง?”

“อย่าดูแค่คำนิยามไอ้ภพ  เกมส์นี้มันต้องดูอย่างอื่นร่วมด้วย”

“เช่นอะไร?”

“วิธีการไง”

“แล้วเรา…จะต้องทำอะไร?”

“ถ้าตามที่กูเปิดอ่านวิธีการในหนังสือ มันแนะนำให้ฟังว่าเกมส์นี้จะมีผู้เล่นได้ไม่จำกัดจำนวน โดยให้ผู้เข้าแข่งขันตกลงกันว่าใครจะเป็นคนที่ถูกปิดตาเพื่อหา และใครที่จะต้องเป็นคนไปซ่อน เมื่อตกลงกันได้แล้ว เราทั้งคู่จะต้องเริ่มท่องบทกลอนก่อนการเล่นโพงพาง และให้ผู้ที่เป็นโพงพางเดินตามหาคนที่ไปซ่อนและทายให้ถูกว่าคนพวกนั้นคือใครหลังจากท่องจบ”

“แบบนี้ก็ง่ายเลยสิ เรามีกันสองคนสลับกันเป็นได้สบายๆ”

“ไม่หรอกภพ…นี่กูกับมึงไม่ได้พึ่งจะเข้าเกมส์กันมานะ  เราอยู่กันมาหนึ่งอาทิตย์ได้แล้ว อย่าลืมสิว่าทางรายการไม่ให้เราเล่นแค่สองคนหรอก”ผมส่ายหน้าให้กับไอ้ภพเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มจางๆไปพร้อมกับแววตาที่สั่นไหวอย่างคนกำลังสะกดอารมณ์บางอย่าง

“แล้วใครจะมาเล่นด้วยอีก?” ไอ้ภพทำหน้างงอย่างไม่ประสาราวกับว่ามันพึ่งจะได้เข้ามารู้จักกับเกมส์

“คำถามของมึงคือสาเหตุที่เกมส์คืนนี้…เราต้องเชิญวิญญาณ
 
รายการนี้นับวันยิ่งเหมือนกับรายการตลก  ก่อนการเข้าร่วมเล่นเกมส์สิ่งที่ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะต้องรับรู้ก่อนเสมอคือการที่ทุกคนที่สนใจเข้าร่วมจะต้องมาท้าทายผีหรือวิญญาณที่ตายโหงภายในบ้าน ซึ่งในปีก่อนๆก็ล้วนเป็นไปตามนั้น  แต่ในปีนี้ยิ่งอยู่นานเท่าไรจุดสนใจของเกมส์ยิ่งเปลี่ยนไปเท่านั้น  เกมส์กำลังเบี่ยงประเด็นทุกอย่างให้ออกจากบ้านหลังนี้   ให้เชิญวิญญาณบ้าง  ให้เรียกผีตายโหงกลับมาบ้าง  ซึ่งขัดกับข้อตกลงที่พวกเรารับทราบ  สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดกำลังหล่อหลอมความรู้สึกบางอย่างในใจผม ย้ำเตือนถึงสิ่งสำคัญที่ผมได้สังเกตเห็นมานานแล้วเพียงแต่ไม่สามารถจะย้ำทุกอย่างให้ไอ้ภพฟังได้หากไม่มีสิ่งยืนยันความรู้สึกนึกคิดนั้น  บ้านหลังนี้ รายการนี้กำลังหลอกลวงพวกเราอย่างสาหัส ทุกสิ่งที่เคยได้ยินล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ  บ้านหลังนี้มันไม่เคยมีผีหรือวิญญาณ หรือถ้าจะขยายความให้เข้าใจง่ายๆเลยคือ

….บ้านหลังนี้มันไม่เคยมีคนตายมาตั้งแต่แรก….

“อีกแล้วใช่ไหม?”

“อืม  ภพ…กูถามอะไรหน่อยได้ไหม?” ผมพยักหน้าตอกย้ำความจริงให้ไอ้ภพฟังอีกครั้ง ก่อนจะเรียกมันเพื่อลองถามคำถามในสิ่งที่ครั้งหนึ่ง มันเคยละเลยที่จะสนใจ

“ว่ามาสิ”

“ยังจำเรื่องบ้านใหม่กับบ้านรีโนเวทที่กูเคยพูดให้ฟังได้ไหม?”

“อืม…จำได้ มีอะไหรือเปล่า”ไอ้ภพนิ่งคิดไปสักครู่ ก่อนจะถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม

“ภพ กูจะไม่บังคับให้มึงต้องเชื่อกู แต่ขอร้องได้ไหม แค่สักครั้งที่มึงจะเชื่อในสิ่งที่มันเป็นแค่ความรู้สึกของกู ไม่ต้องถามหาหลักฐาน เพราะอย่างที่เคยบอกกูไม่มีจะให้  ไม่ต้องหาข้อโต้แย้งอื่น เพราะสิ่งที่กูเจอมากับตัวมันบอกกูมาหมดแล้วภพ”

“ว่าอะไร?”

“บ้านหลังนี้มันคือบ้านที่สร้างขึ้นใหม่ไอ้ภพ  มันไม่เคยมีคนตายมาตั้งแต่แรก ที่สำคัญ ถ้ามันมีผีหรือวิญญาณจริงๆ กูต้องเห็นแล้วภพ  กูจะต้องเห็นโดยที่ไม่ต้องเชิญวิญญาณจากที่อื่นเข้ามา  กูจะต้องเห็นโดยที่ไม่ต้องมีสิ่งของของคนตายอยู่ในบ้าน  กูจะต้องเห็น…ใครสักคนที่พยายามจะมีชีวิตอยู่ร่วมกับเราทั้งคู่” ผมพูดออกไปทุกอย่างพลางจ้องใบหน้าไอ้ภพไปด้วย หวังเป็นอย่างมากว่ามันจะฉุกคิดตามคำพูดของผม และยอมรับโดยที่ไม่มีวาจาว่าร้ายใดๆออกมาอีก

“มีแค่นี้ใช่ไหมที่จะพูด?”ไอ้ภพ จ้องหน้าผมกลับอยู่นาน ก่อนจะพูดเสียงเรียบๆอย่างบอกอะไรไม่ได้กลับมา

“อะ…อืม กูมีแค่นี้แหละ ที่เหลือมันก็ขึ้นอยู่กับมึงแล้ว”ผมอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลงตอบมันไป ด้วยภายในใจที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและร้าวไปกับวาจาที่บ่งบอกถึงการไม่เชื่อใจกัน

“มิว มึงรู้ใช่ไหม ว่าสิ่งที่มึงเคยบอกกูมันก็แค่ความรู้สึก  มันหาอะไรมาจับต้องไม่ได้  สิ่งที่กูต้องทำเพื่อน้อง มันมากกว่านั้น กูต้องหาความจริงมาขังเรื่องระยำพวกนี้ ความจริงที่มันต้องมีน้ำหนักมากกว่าแค่ความรู้สึก”

“กะ..กูเข้าใจภพ ลืมๆมันไปเถอะ  รีบเล่นเกมส์กันดีกว่าเนอะ จะได้รีบเร่งให้มึงเจอความจริงเร็วขึ้นได้”ผมสะบัดหน้าไล่ความรู้สึกน้อยใจออกไป และเงยหน้ามาด้วยน้ำเสียงที่สดใสกว่าเดิม แต่ใบหน้าก็ยังคงคลอไปด้วยความผิดหวังกับสิ่งที่ได้ยิน

“แต่รู้อะไรไหม ความเป็นจริงมักมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสมอ” ไอ้ภพรีบแทรกขึ้นมาหลังจากที่ผมเตรียมจะลุกไปจัดการกับเกมส์ที่ได้รับ

“หมายความว่าอะไรภพ”

“มิว คราวหลังไม่ต้องพยายามจะถามคำถามแบบนี้แล้วนะ มันไม่มีประโยชน์แล้ว  อย่างที่มึงรู้ กูเข้าเกมส์นี้มาเพราะความแค้นเรื่องน้องสาวกู มันเลยทำให้กูไม่สามารถรับอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ได้อีก แต่ตอนนี้  เวลานี้ กูไม่ได้ทำเพื่อน้องกูอย่างเดียวแล้ว  กูกำลังทำเพื่อเราทั้งคู่ ดังนั้น ที่กูบอกว่ามึงไม่ต้องพยายามอะไรแล้ว ไม่ใช่เพราะมันไร้สาระ แต่เป็นเพราะ ดวงตาของมึง มันยืนยันความจริงให้กูฟังมานานแล้ว มันบอกทุกอย่างกับกูหมดแล้ว มิว…กูเชื่อมึง

“จ..จริงใช่ไหม? ไอ้ภพ ขอบคุณนะมึง ขอบคุณที่เชื่อกู” ผมยิ้มกว้างออกมาแบบปิดไม่มิด รีบมองหน้าไอ้ภพที่ก็กำลังยิ้มเล็กๆกลับมาให้ผมเหมือนกันพร้อมกับการยักคิ้วกวนๆตามสไตล์ของมัน

“ในเมื่อมึงรู้ถึงขนาดนี้แล้วนะ  มิว..มึงรู้หรือยังว่าตกลงรายการนี้มันมีจุดประสงค์อะไร ทำไมหลายๆคนถึงไม่เคยได้รางวัล”

“กูบอกมึงไม่ได้หรอกภพ เราจะไม่มีทางได้รู้เลย จนกว่าวันที่มึงและกูต้องชนะเกมส์นี้ เราทั้งคู่ต้องเจอตัวฆาตกรที่มันเริ่มคดีฆาตกรรมแบบเนียนๆนี่ขึ้นมา ทุกสิ่งอย่างถึงจะคลายออกมาได้”

“ถ้าอย่างนั้น เกมส์คืนนี้ก็ต้องรีบเล่นสินะ….มันให้เริ่มเมื่อไร  เล่นในบ้านนี้เหรอ?”

“รอสักครู่ เดี๋ยวกูเปิดดูให้…..ในหนังสือนี่บอกว่า เรื่องเวลาให้เราเป็นคนกำหนดเอง จะเล่นเมื่อไรก็ได้ แต่ทั้งหมดต้องเกิดขึ้นนานมากกว่า 30 นาที โดยสถานที่ที่มันระบุให้เล่นไว้คือ…”

“คืออะไร มึงเงียบไปทำไม?”

“แปลก…กูว่าแปลกไอ้ภพ  เกมส์นี้มันให้กูกับมึงเล่นที่ ลานหลังบ้าน”ผมโพล่งตอบขึ้นมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

“ลานหลังบ้าน? แปลกยังไง ในเมื่อด้านหลังมันก็มีกล้องแอบถ่ายเราอยู่แล้ว”

“ไม่ไอ้ภพ ตอนเราเข้ามาครั้งแรกมึงก็บอกเองไม่ใช่หรอว่าด้านหลังมันไม่มีกล้อง  สมมติเลยนะว่าเรายังไม่รู้ว่ากล้องอยู่ตรงไหน ยังไงเราทั้งคู่ก็ต้องถามหากล้องที่จะถ่ายเราอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้น รายการก็ต้องให้กล้องเรามาถ่ายเอง”

ถ่ายเอง?  หรือว่าจะเป็น….

“มัน…ก็ให้เรามาแล้วไง” ไอ้ภพตอบกลับมาแบบไม่ต้องคิด รวมถึงตัวผมที่กระจ่างทันทีว่าทำไมรายการถึงไม่เก็บกล้องกลับไป ก่อนที่สายตาเราทั้งคู่จะเคลื่อนไปจ้องกล้องวีดีโอนั่นที่ตอนนี้ถูกจับให้วางนิ่งอยู่บนพื้น

“ถ้าอย่างนั้น ก็เริ่มกันเลย”ไอ้ภพตอบเสียงเข้ม ก่อนจะเดินนำไปออกไปโดยไม่ลืมที่จะหยิบกล้องและธูปเทียน เตรียมพร้อมที่จะอัญเชิญวิญญาณ

ปั้ง!!!

เสียงปิดประตูบ้านอย่างแรงที่เกิดขึ้นเพราะลมตี  นำให้ตัวและใจของผมสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย พลางสายตาก็มองบรรยากาศในคืนนี้ที่มีลมพัดเข้ามาคลายร้อนให้พวกเรามากกว่าคืนอื่นๆ ต้นไม้ด้านหลังโยกตามแรงลมเล็กน้อยจนใบไม้เสียดสีกันจนเกิดเสียง  เรียกเอาความหลอนและความกลัวที่หอบมากับลม สะกิดผิวกายผมให้ขนลุกชันและรู้สึกหนาวเย็นจนจับขั้วหัวใจเอาไว้ได้

 “กูอัดวีดีโอเอาไว้แล้วนะ ที่เหลือก็แค่เชิญวิญญาณแล้วก็เริ่มเล่นเกมส์”

“ภพ…มึงจะไม่โดนผีเข้าอีกแล้วใช่ไหม กูจะไม่โดนผีหลอกอีกแล้วใช่ไหม” ผมรีบคว้ามือไอ้ภพเข้ามาจับเอาไว้ พร้อมกับส่งเสียงถามไปด้วยความรู้สึกกลัวอยู่ในใจลึกๆ

“มิว ถ้ามันเลี่ยงไม่ได้มึงก็ต้องทำแบบเดิม  ไหนมึงบอกกูว่าสบายใจขึ้นแล้วไง สิ่งที่หลวงพ่อบอกมึงก็ต้องเอามาปรับใช้”

“กูรู้แล้วภพ แต่กูควบคุมตัวเองไม่ได้ กูรู้สึกหลอนกับภาพเดิมๆ”

“มิว..ใจเย็นๆ สิ่งที่มึงต้องทำ มีแค่บอกกับตัวเองว่า มึงมองไม่เห็น มึงไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันคือภาพที่มึงสร้างมาเอง”

“…”

“ฟังกูนะมิว  กูรู้ว่ามึงจะทรมานมากกับการที่ต้องแสร้งว่าไม่รู้สึกอะไรทั้งที่ความจริงมันก็ตำตามึงอยู่ แต่สถานการณ์ตรงนี้ถ้ามึงไม่ทำตามที่กูบอก  ต่อให้มีเกจิวัดดังๆอีกสัก ร้อยวัด ท่านก็ช่วยมึงไม่ได้ เข้าใจใช่ไหม?”

“กูเข้าใจทุกอย่างภพ เพียงแต่กูไม่รู้ว่าจะทนได้นานเท่าไร 30 นาทีมันนานมากนะสำหรับมือใหม่อย่างกู”

“งั้นก็เหมือนเดิม  มีอะไรก็ร้องออกมานะ กูจะเดินอยู่รอบๆตัวมึงนี่แหละ  แต่ขอไม่รับประกันนะว่าจะมองมึงตลอด ถ้าตาไหนกูต้องเป็นโพงพาง มึงเข้าใจใช่ไหมว่ากูจะมองไม่เห็น สิ่งที่กูทำได้จึงมีแค่ถ้าครั้งไหนที่กูได้มองมึง…กูสัญญา มึงจะไม่มีทางได้หลุดออกจากกรอบสายตากูอีกเลย”

“อืม ถ้าอย่างนั้นก็เอาธูปมา กูจะเชิญเอง”ผมสั่งให้ไอ้ภพยื่นธูปที่อยู่ในมือมาให้ผม  ร้องเรียกที่จะเป็นคนทำพิธีเหมือนคืนก่อนๆ ด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่า เรื่องแบบนี้ไอ้ภพคงไม่ถนัดนัก

“ขอเชิญวิญญาณ  สัมภเวสีทั้งหลายที่อยู่ในบริเวณนี้ หากได้ยินเสียงท้าทายเสียงนี้  ได้โปรดเข้ามาร่วมเล่นการละเล่นโพงพางกับพวกเราด้วย”

พรึบ

ลมวูบใหญ่พัดผ่านตัวพวกผมไปทันทีหลังจากการปักธูปลงดินจบ ก่อนที่ทุกอย่างจะพลันหายไปและกลับมาเงียบสงบ ไม่มีเสียงลมหรือแม้กระทั่งเสียงของสัตว์ที่ออกหากินกลางคืน บรรยากาศรอบกายดูเงียบไปหมด

เงียบเสียงจนกลัวว่าเสียงที่ได้ยิน อาจเป็นเสียงลมหายใจของใครต่อใคร…ที่ล้วนไม่ใช่ของเรา

“ตานี้ใครจะเป็นโพงพาง”ไอ้ภพถามขึ้นมาหลังจากที่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงรอบกายอยู่พักหนึ่ง

“กูเป็นก่อนก็ได้ ว่าแต่มึงจำบทท่องทั้งหมดนั่นได้แล้วใช่ไหม?”

“อืม จำได้แล้ว เริ่มเลยก็ได้”

“ก็ตามนั้น”ผมหยิบผ้าที่แนบมากับหนังสือโพงพางขึ้นผูกตา ก่อนจะหมุนตัวเองสามรอบตามคำสั่งที่เขียนเอาไว้

“โพงพางเอย ปลาเข้ารอด ปลาตาบอด เข้ารอดโพงพาง”

“โพงพางตาบอดมาจากไหน?” เสียงไอ้ภพถามขึ้นหลังจากผมตะโกนบทกลอนโพงพางจบ

“มาจากป่า”

“มาทำไม?”

“มากินคน”

“คนเป็นหรือคนตาย?” ผมหยุดกึกคิดเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินคำถามนี้ของไอ้ภพ หากผมตอบว่าคนเป็นไอ้ภพก็จะสามารถขยับไปไหนก็ได้  แต่ถ้าผมตอบว่าคนตาย ไอ้ภพก็ต้องหยุดนิ่ง

“คนเป็น”ผมตอบออกไปเพื่อป้องกันตนเอง อย่างน้อยผมก็เชื่อได้ว่าไอ้ภพมันคงขยับออกไปไหนได้ไม่ไกล แม้ความจริงมันจะสามารถเดินเข้ามาใกล้ผมเลยก็ได้  แต่นั่นก็เท่ากับว่าผมจะต้องเล่นกันอีกหลายตาเสียเวลาพันผ้ากันหลายรอบ สู้พันทีเดียวแล้วแกล้งหาไม่เจอมันจะง่ายกว่าและยิ่งผมปิดตาอยู่แบบนี้ มันก็ช่วยให้ผมเบาใจขึ้นไปได้มากโข

“มึงเดินเรื่อยๆได้นะไอ้ภพ กูไม่ได้สั่งคนตาย มึงเคลื่อนที่ได้”ผมเดินคลำหาพร้อมร้องบอกไอ้ภพขยับตัวเพื่อให้เกิดเสียง

แกรบ

เสียงเหยียบใบไม้ดังขึ้นมาจากทิศทางหนึ่งรอบตัวผม กระตุ้นประสาทหูให้ได้ยินก่อนที่ผมจะเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อไม่ให้ตามไปเจอไอ้ภพ  เกมส์นี้ดูท่าว่าจะง่ายกว่าที่ผมคิดเพราะประเด็นหลักๆของเกมส์มันมีเพียงแค่ ถ้าอยากให้เวลาหมดไปโดยไว ผมจะต้องไปอีกทางที่ไม่มีไอ้ภพตรงนั้น

“ไอ้ภพมึงอยู่ไหน ตามมาให้กูจับเสียดีๆ”

แกรบ แกรบ

เสียงฝีเท้าเดินไล่หลังตามผมมาอีกครั้ง ส่งผลให้ผมหันตัวหนีไปอีกทาง ซึ่งคาดว่าไอ้ภพคงกำลังสับสนว่าทำไมผมถึงไม่รีบเดินเข้าไปหามัน เนื่องจากการเดินหนีออกจากเสียงมันคือแผนการที่ผมพึ่งจะคิดออกตอนที่กำลังพันผ้า ผมจึงไม่มีโอกาสได้เตรียมกันไว้ก่อน

“ไอ้ภพอยู่ไหนวะ!!  กูหามึงนานแล้วนะ เสียเวลาฉิบหาย” ผมบอกใบ้ให้มันฟังผ่านเสียงโทสะของตนเอง แต่ดูเหมือนไอ้ภพมันก็จะยังไม่เข้าใจ เพราะเสียงเท้าของมันยังคงเดินไล่เข้ามาหาตัวผม  จนทำให้ผมต้องเดินหนีมันไปหลายที

แกรบ แกรบ แกรบ แกรบ….

“ไอ้ภพ กูตามหามึงนานแล้วนะ กูเริ่มขี้เกียจแล้ว…โอ้ย!!!”ผมเดินบ่นสลับกับหนีเสียงฝีเท้าที่ตามไล่หลังมาติดๆ จนไปชนเข้ากับร่างๆหนึ่งที่ยืนขวางทางเดินผม  กลิ่นกายและเสียงหัวใจของมันเริ่มบอกให้ผมรับรู้ถึงการมีชีวิต และสิ่งมีชีวิตแค่คนเดียวที่อยู่ร่วมกับผมตอนนี้ มันเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจาก…ไอ้ภพ

แล้วที่ผ่านมา ผมเดินหนีฝีเท้าของใคร…

“อยู่นิ่งๆตรงนี้  ไอ้มิว…มึงไม่ปกติแล้ว”เสียงกระซิบแผ่วเบาจากไอ้ภพ ดังขึ้นข้างหูของผม ก่อนที่มันจะเคลื่อนตัวเองมาบังหน้าผมไว้แล้วเลื่อนมือไปเปิดผ้าปิดตาของผม

ฮืดดดดดดดดดดดดดด  ฮืดดดดดดดดดดดดดดดดด

หึ หึ


หมับ

ผมคว้าข้อมือของไอ้ภพเอาไว้อย่างแรงแบบไม่ต้องการให้มันเปิดออก  มือของผมสั่นเทิ้มไปด้วยความกลัว  ปากของผมถูกกัดเข้าไว้เพื่อกลั้นเสียงสะอื้นที่เตรียมจะออกมา แต่…ดวงตาของผมนั้น ผมไม่สามารถกลั้นอะไรเอาไว้ได้ น้ำตาจำนวนมากมายจึงถูกปล่อยให้ไหลออกมาเองจนผ้าปิดตาเปียก

ช่วงที่ไอ้ภพกำลังจะดึงผ้าออก กลิ่นของดอกมะลิแห้งและน้ำอบไทยได้ลอยตลบอบอวลไปพร้อมกับกลิ่นคาวเหม็นๆของเลือดเน่า  ตีเข้าที่จมูกผมอย่างแรงจนผมแสบไปหมด  แสบยิ่งกว่าตอนที่โดนดินแดงพัดเข้ามาหลายเท่า  อีกทั้ง เสียงลมหายใจจำนวนมหาศาล ยังถูกปล่อยให้ดังขึ้นมารอบตัวผม จนผมไม่อาจสะกดอารมณ์ที่มีเอาไว้ได้

“อยู่นิ่งๆตรงนี้  หลับตา ท่องเอาไว้มิว  มึงไม่เห็น  ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น  ตานี้กูเป็นโพงพางกูจะสั่งคนตายแล้วรีบเดินมาหามึง”

“ย…อย่า”ผมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เค้นสุดความสามารถ แต่ก็ไม่ทัน เมื่อไอ้ภพเดินถือผ้าผูกตาออกไปอยู่ด้านหลังผมแล้วเริ่มท่องบทโพงพางออกมา คำสั่งสุดท้ายของมันเริ่มก่อเกิดความผวาในใจผม  คำสั่งคนตายไม่อาจเป็นคำสั่งธรรมดาได้อีก ในเมื่อตอนนี้มีคนเป็นที่พร้อมเล่นเกมส์เพียงหนึ่งเดียวคือผม ส่วนที่เหลือ…คือสิ่งที่มันที่มันกำลังจะเรียกหา

“คะ..คนเป็นหรือคนตาย?”

“คนตาย”

หลังจบคำพูดเสียงฝีเท้ามากมายที่ผมสัมผัสได้ก็เริ่มวิ่งกรูกันเข้าไปทางด้านหลังผม เข้าไปยังตัวไอ้ภพที่คาดว่าคงกำลังเตรียมจะเดินตรงมาทางนี้  เสียงเย็นๆของสัมภเวสีดังอื้ออึงสลับกับเสียงหัวเราะแหลมๆ กรีดใจของผมให้ยับแบบไม่เหลือเศษซากของความมั่นใจอีกต่อไป

แกรบ  แกรบ

เสียงเดินเข้าหาของไอ้ภพยังคงเดินตรงมาทางผมอย่างกับถูกเล็งไว้ อาจจะเป็นเพราะว่าตัวมันเองไม่ได้ยินเสียง ไม่ได้สัมผัสแบบที่ผมเป็น มันจึงไม่อาจรู้เลยว่า คนตายจำนวนมากมายที่เข้ามาเล่นด้วยกำลังรอคอยการเข้าหาของตัวมัน

หึหึ  ได้ยินเสียงกูไหม….

ได้กลิ่นของคาวเลือดบนตัวกูไหม…

มึงเห็นกูใช่ไหม…ลืมตาสิ  ลืมตาขึ้นมา


เสียงลมกระซิบของวิญญาณตนหนึ่งดังขึ้นเบาๆข้างหูผม  เรียกความหวาดกลัวจนร่างกายสั่นเทิ้มอย่างแรง  ภายในใจเริ่มตีกันสับสนไปหมด  คำว่า ไม่เห็น  ไม่ได้ยิน ถูกท่องซ้ำในหัวของตนเองเหมือนถูกตั้งไว้อัตโนมัติ  ผมกำลังหลอกตัวเองอย่างที่ไม่เคยทำเพื่อรอคอยแค่เพียงสัมผัสของไอ้ภพให้เข้ามาหาตัวผมที่ยืนนิ่งอยู่
.
.
.
(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่16 โพงพาง (15/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 15-03-2017 01:22:36
“มิว กูกำลังจะถึงตัวมึงแล้ว  อยู่เฉยๆนะ” ไอ้ภพร้องเตือนขึ้นมาอย่างกลัวว่าผมจะหลอนจนจิตหลุดออกไป

“มิว กูกำลังจะเข้าไปใจเย็นๆ อย่าขยับ”

“ไม่มีอะไรแล้วไอ้มิว  อยู่นิ่งๆ….เฮ้ย!!!!”

“ไอ้มิว!!  กูบอกให้มึงอยู่นิ่งๆ  จะวิ่งไปทำไมวะ กูสั่งว่าคนตายนะ  ไม่ได้ยินรึไง!!”

คนตาย  คนตาย  คนตาย…

555555555555

เสียงตะโกนลั่นของไอ้ภพทำให้ผมสะดุ้งอย่างแรง แต่นั่นก็ไม่เท่ากับการที่ไอ้ภพตะโกนขึ้นมาสั่งผมให้อยู่กับที่นิ่งๆ ราวกับว่ามันกำลังได้ยินเสียงของบางสิ่งบางอย่าง เคลื่อนไหวไปรอบๆตัวมัน  อีกทั้งเมื่อมันทวนคำสั่งว่าคนตายออกมา  เหล่าสัมภเวสีรอบตัวก็เริ่มเปล่งเสียงร้องออกมาว่าคนตายตามมันไป สลับกับเสียงหัวเราะราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุกสนาน

ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ผิดอะไร หากเกมส์นี้มีคนตายมาเป็นผู้เล่นด้วยจริงๆ สิ่งที่ไอ้ภพต้องเล่นด้วย คือวิญญาณพวกนั้น…ไม่ใช่ผม

ผมค่อยๆเอานิ้วชี้ขึ้นมาไว้ที่ปาก เพื่อเตรียมจะกัดเอาไว้กันเสียงสะอื้นที่ผมอาจพลั้งปากออกไปจนทำให้วิญญาณพวกนั้นล่วงรู้ถึงสิ่งที่ผมพยายามจะปกปิดเอาไว้ สิ่งที่ผมจะทำ เรียกได้ว่าผมกำลังจะฝืนคำสั่งและความต้องการของตนเอง  เสียงฝีเท้าของไอ้ภพที่เดินออกไปอีกทางกับจุดที่ผมยืน เริ่มทำให้ผมเป็นห่วงและคิดไม่ตกว่า หากปล่อยไอ้ภพให้วิ่งวนต่อไป สิ่งที่มันเจออาจจะมากกว่าผม

หลุมที่ลุงมั่นเคยขุดเอาไว้ มันสามารถทำไอ้ภพเจ็บได้ หากมันพลาดตกลงไป…

ฮืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด  ฮืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เห็นกูแล้วใช่ไหม?  เห็นกูแล้ว  มึงเห็นกูแล้ว

เจอกัน….อีกแล้ว


อึก!!

ผมกลั้นเสียงร้องกลัวที่กำลังจะออกมาเอาไว้ เพราะเมื่อผมลืมตาสิ่งที่ผมเห็นคือใบหน้าของผู้ชาย  ใบหน้านั้นมันเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาของมันห้อยย้อยหลุดออกมาจากเบ้า  ปากของมันฉีกยิ้มกว้างจนแทบจะถึงใบหู  ที่สำคัญ ใบหน้าของมันยังถูกยื่นเข้ามาจนเกือบประชิดหน้าของผม…หากสมองของผมจำได้ไม่ผิด มันเคยเรียกร้องให้ผมหามันหลังจบเกมส์การเล่าเรื่องผีร้อยเรื่องนั่น และครั้งนี้มันกำลังจะทำแบบเดิม

เฮือก!!!

ผมดึงลมหายใจเข้าสู่ปอดอย่างแรง เมื่อครั้นผมหันกลับมาเผชิญหน้ากับความจริง สิ่งที่ผมเห็นคือวิญญาณจำนวนมากกำลังเดินห้อมล้อมอยู่รอบๆตัวผมและไอ้ภพ บางส่วนเริ่มหันกลับมามองจ้องผมที่กวาดสายตาไปหาพวกมันทีละร่าง  บางส่วนกำลังมองไปที่ไอ้ภพอย่างไม่สู้ดีนัก  ปากของพวกมันทุกตนฉีกยิ้มกันอย่างเป็นเรื่องสนุก แต่ดวงตาพวกมันกลับแดงกล่ำอย่างไม่พอใจ

และที่สำคัญ…บนคอของไอ้ภพมีวิญญาณนั่งเอามือปิดบังลูกตาทั้งสองข้างของมัน  โดยที่ผ้าปิดตาที่เคยผูกไว้ถูกดึงรั้งขึ้นคาดหัวไอ้ภพเรียบร้อยแล้ว

“ภ….ภพ”ผมหลุดปากเรียกชื่อไอ้ภพออกมาไม่เบามากแต่ก็ไม่ดังจนเกินไป แต่นั่นก็ดูเหมือนว่าจะสามารถทำให้สัมภเวสีทั้งหลายรู้สึกได้ มันจึงพร้อมใจกันหันขวับเข้ามาสบตาผมเป็นตาเดียวกัน

เมื่อละความตกใจออกไปได้ ผมจึงค่อยๆรวบรวมสติย้ำเตือนตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้ทำเป็นเมินและมองไม่เห็นสิ่งที่อาจจะเข้ามาคุกคามชีวิตผม สายตาของผมถูกกวาดมองออกไปอย่างไม่มีเป้าหมายเพื่อหลอกตาสัมภเวสีเหล่านั้นที่ยังคงจ้องมาที่ผมอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะค่อยๆเรียกไอ้ภพเบาๆและตัดสินใจก้าวเข้าไปหา

ภาพของไอ้ภพที่ผมเห็น กำลังค่อยๆเรียกน้ำตาของผมให้ไหลออกมาอีกครั้ง ความกลัวที่เกิดจากวิญญาณคนตายรอบตัวกำลังผสมปนเปไปกับความสงสารไอ้ภพ ในตอนนี้ตอนที่มันกำลังโดนวิญญาณชั่วๆตนหนึ่งเข้าถึงตัวจนทำให้มันไม่เข้าใจกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ปากของมันก็เอาแต่ตะโกนเรียกหาผม  ไล่ตามหาผมไปตามเสียงเคลื่อนไหวรอบตัวมัน และดูเหมือนว่านั่นจะเป็นสิ่งเดียวที่ถูกกำหนดให้มันรับรู้ หลอกล่อให้มันหาตัวผมไม่เจอ แม้ว่าตัวผมจะเป็นฝ่ายร้องหาและเดินเข้าไปหามันแทน

พี่คะ พี่ผู้ชายคนนั้นเขาสั่งคนตายไม่ใช่หรอคะ…คนเป็นเดินได้ด้วยหรอ?

เสียงร้องทักของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาพร้อมกับการกระตุกชายเสื้อของผมอย่างรุนแรง จนผมถึงกับสะดุดและต้องเป็นฝ่ายหันไปมองเพื่อพบกับร่างเล็กๆของเด็กวัยไม่เกินห้าขวบที่ยื่นมือมารั้งผมไว้และค่อยๆเงยหน้าของตัวเองขึ้นมาให้ผมพบเจอกับความว่างเปล่าของใบหน้า หน้าของเด็กคนนั้นไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย นอกจากปากที่กำลังยิงคำถามเดิมๆใส่ผม

ตอบสิคะพี่คนเป็น…เดินได้ด้วยหรอ!!!

“ไม่ กูไม่เห็นอะไรทั้งนั้น กูไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น  กูไม่เห็น กูไม่ได้ยินพวกมึง ฮึก  กูไม่เห็น” ผมกลั้นใจปิดหูปิดตาพูดเบาๆปลอบใจตัวเอง พยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังไหลออกมามากกว่าเดิมแล้วสะบัดหน้าหนีหน้าของเด็กผู้หญิงที่เริ่มใช้การตะคอกถามผมเมื่อเห็นว่าผมแค่มองกลับไปแต่ไม่ได้ตอบอะไรออกมาและเหล่าวิญญาณด้านหลังที่กำลังค่อยๆสาวเท้าตรงมาที่ผม

เห็นกูได้ด้วยเหรอ?  มึงเห็นพวกกูใช่ไหม!!!

เห็นพวกกูอย่างนั้นเหรอ? อยากเห็นพวกกูอย่างนั้นเหรอ 5555

เจอกันอีกแล้ว  เจอกันอีกแล้ว

คนเป็นเดินได้ด้วยเหรอ?  มึงเดินได้ด้วยเหรอ?  มึงเดินหนีกูทำไม!! มาเล่นกับกู  มาเล่นกับกู

กูรู้แล้วนะ ว่ามึงเห็น…..


สารพัดเสียงที่ดังถาโถมเข้ามาใส่ผมท่ามกลางความแออัดของทางเดินที่มุ่งตรงสู่ไอ้ภพ  วิญญาณที่ถูกเชิญมาเหล่านั้นยังคงเปลี่ยนเป้าหมายดาหน้าเข้ามาหาผมที่ยังคงเสแสร้งหลอกตัวเองว่าไม่รู้ไม่เห็น  แม้ความอึดอัดที่เกิดขึ้นจะย้ำเตือนและสร้างความรู้สึกบีบคั้นภายในอกเท่าไร ผมก็ยังจำเป็นต้องทำว่าเรื่องที่เกิดเป็นสิ่งที่ผมต้องยอมรับและอยู่ร่วมกับมันไปให้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องที่เกิดจากผมรนหาที่เอง

“มิว!!  กูบอกว่าให้อยู่นิ่งๆ กูเข้าไปถึงตัวมึงไม่ได้”

“ภพ…กูอยู่ตรงนี้”ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ยังต้องกลืนความกลัวลงคอ  แม้จะอยากปล่อยให้มันสั่นออกไปมากแค่ไหน ผมก็ต้องทำทุกอย่างให้ปกติที่สุด  ไอ้ภพตะโกนเสียงดังตามตัวผม ทั้งๆที่ตอนนี้ผมก็ยืนอยู่แค่หน้ามัน ยืนสบตาอยู่กับอมนุษย์อีกตนที่นั่งห้อยขาลงมาจากคอไอ้ภพ

มึงเห็นกูใช่ไหม?

“มิว…มิว มึงอยู่ตรงไหน ทำไมกูมองไม่เห็นมึง  กูดึงผ้าออกมาแล้วนะ”

“ยัง ฮึก ไอ้ภพ มึงยังไม่ได้ดึงผ้าออก มึงยังใส่ผ้าอยู่จะเห็นกูได้ยังไง  กูเห็นมึงตามกูนานแล้ว เลยเดินเข้ามาหามึงดีกว่า ฮึก”

ร้องไห้  กลัวเหรอ?  กลัวกูเหรอ พวกมึงอยากเห็นกูไม่ใช่เหรอ

“มิว ทำไมอยู่ๆมึงก็วิ่ง ทำไมมึงไม่อยู่เฉยๆ”

“ฮึก มึงก็รู้นี่ภพว่ากูต้องเจอกับอะไร จะให้กูอยู่นิ่งๆหรือไง  กูก็วิ่งไปตามประสากูนั่นแหละ”

“ช่างมันเถอะ แล้วมึงร้องไห้ทำไม  ไม่ต้องร้องแล้วมิว เดี๋ยวกูดึงผ้าออกแล้วก็จบเกมส์นี้กันเถอะ”

“อย่า!!!  ไม่ต้องภพ มึงไม่ต้องดึงผ้าออก ตอนนี้เกมส์มันจบแล้วภพ มึงดึงเวลามานานมากแล้ว ฮึก  เดี๋ยวกูเอาผ้าออกให้เอง อย่าดึงออกนะ ฮึก”

“มิว มึงใจเย็นๆก่อนนะ ทำตามที่ตกลงกันไว้ก็พอ”

“ฮึก กูไม่เป็นไรหรอก กูแค่ร้องไห้ดีใจเฉยๆ พอทำตามมึงบอกกูก็ไม่กลัวอะไรเลย  กูไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ฮึก”

จริงเหรอ  มึงไม่เห็น ไม่ได้ยินเสียงกูงั้นเหรอ?

“ดีแล้วมิว…รีบๆดึงผ้าออก กูมองไม่เห็นมึงเลยมิว ไม่เห็นอะไรเลย”

ผมค่อยๆยื่นมือตัวเองออกไป พร้อมกับการกัดปากจนเกิดห้อเลือด ใช้แรงสุดท้ายที่มีค่อยๆง้างมือของอมนุษย์ที่ปิดโลกทั้งใบของไอ้ภพให้มืดบอด  มันทำสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาอย่างชัดเจนพร้อมกับใช้ดวงตาไร้แววนั้นจ้องมาที่ผมอย่างอาฆาต ยิ่งผมดึงมือของมันออกมาเท่าไรใบหน้าของมันยิ่งเข้ามาใกล้หน้าของผมมากขึ้นเท่านั้นพร้อมกับการส่งเสียงเดิมๆออกมาย้ำกับเสียงของวิญญาณตนอื่นที่บัดนี้ได้เข้ามายืนรายล้อมร่างกายของผม จนเสียงลมหายใจเย็นๆดังขึ้นกลบเสียงหัวใจของผมไปมิด

ฮืดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ฮืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

มึงเห็นกูแล้ว!!!  5555555……


Pob’s Part

โลกของผมกลับมาสว่างขึ้นอีกครั้งหลังจากที่การเล่นเกมส์โพงพางได้พาม่านความมืดเข้ามาปิดดวงตาของผมเอาไว้เสียมิด  ตอนผมได้ฟังน้ำเสียงของไอ้มิวยามสั่งห้ามไม่ให้ผมเปิดผ้าออก เสียงนั่นดูสั่นไปด้วยความกลัวตามแบบฉบับของมัน  มันกำลังร้องไห้อย่างนักจนผมเองรู้สึกผิดและอยากจะเข้าไปช่วยจัดการกับความรู้สึกตรงนั้น แต่มันก็ยังยืนยันที่จะเปิดผ้าออกด้วยตัวเองซึ่งผมก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไม แต่ในเมื่อมันอยากที่จะทำผมก็อยากคาดหวังว่าเมื่อผมได้เห็นมันอีกครั้ง มันจะแค่ร้องไห้แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความเข็มแข็งมากขึ้น

ไม่ใช่เป็นมัน ที่มีท่าทีเหมือนกับต่อสู้กับความรู้สึกของตนเองอยู่แบบนี้

ไม่ใช่เป็นมัน ที่ยื่นแขนมาจับไว้บนผ้าคาดตาด้วยแรงสั่นเทิ้มจนกล้องวีดีโอน่าจะบันทึกเอาไว้ได้

และไม่ใช่เป็นมัน ที่ปากเอาแต่พึมพำว่าไม่เห็น ไม่ได้ยิน ทั้งๆที่ดวงตาก็จับจ้องไปมองบางสิ่งบางอย่างที่อยู่เหนือหัวของผม

“กูไม่เห็น  ไม่มีอะไรทั้งสิ้น  กูไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น”

“มิว…มิว!!! มึงเป็นอะไร  มีสตินะไอ้มิว  ไม่มีอะไรแล้วนะ” ผมเขย่าตัวมันอย่างแรงจนมันกลับมารู้สึกตัวและเริ่มสบตากับผม

“ภพ ภพ กูไม่เห็น กูไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ฮึก  เกมส์จบแล้วๆ”

“มิว  ใจเย็นๆ เกมส์จบแล้วๆ  แต่เราต้องเชิญวิญญาณออกก่อน กูกับมึงอยู่ร่วมกับพวกมันไม่ได้”

“ฮึก  งั้นก็รีบๆเชิญออกไอ้ภพ  รีบเชิญออก  มึงทำได้ใช่ไหม”

“อืมๆ  กูทำได้” ผมพยักหน้าตอบรับมันไป ก่อนจะวิ่งไปหยิบธูปจุดเชิญวิญญาณออกจากบ้านตามที่เคยได้พูดไปเมื่อเกมส์คืนก่อน

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ผมก็พาไอ้มิวเข้ามานั่งภายในบ้าน หาของหวานและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปให้ใจของมันสงบขึ้น  แต่ครั้งนี้ผมไม่รู้ว่าไอ้มิวไปพลาดอะไรตรงไหน  มันถึงดูไม่ตอบสนองอะไรกับผมเลย  ปกติหลังจากเกมส์ที่มันต้องเจออะไรมาอย่างหนัก มากสุดไอ้มิวก็เป็นแค่ถามคำตอบคำ  ไม่ใช่การปล่อยให้ผมพูดคุยอยู่คนเดียวราวกับคนบ้า

“มิว มึงเป็นอะไร  ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เพราะกูสั่งให้มึงอย่ากลัวใช่ไหม? ถ้ามันทำให้มึงเป็นแบบนี้ ครั้งหน้าได้โปรดร้องไห้โวยวายแบบเดิมนะ  กูจะบ้าตายอยู่แล้ว” คำพูดเมื่อครู่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ไอ้มิวหันกลับมาสนใจผม และเริ่มตอบสนองอะไรผมกลับมาได้บ้าง

“กูไม่เป็นอะไรหรอกภพ…อย่างที่มึงเคยบอกเรื่องแบบนี้กูควรชินเสียที  แต่มันก็ตลกร้ายไปหน่อย ที่ไม่ว่ากูจะเห็นกี่ครั้งต่อกี่ครั้งกูก็ไม่เคยชิน  กูใช้ชีวิตของกูมาด้วยความปกติ  แต่ทุกอย่างต้องมาเปลี่ยนไปเพราะการเข้าร่วมรายการนี้ กูกำลังฆ่าตัวเองให้ตายอยู่หรือเปล่าภพ?”

“ไม่ใช่แค่มึงหรอกนะมิวที่กำลังฆ่าตนเอง  กูก็เป็นไปด้วย  ถึงกูจะไม่ได้เห็นอะไรแบบมึง แต่รู้ไหมว่าถ้าตอนนี้กูอยู่ที่วัด กูจะสาบานต่อหน้าพระว่าถ้ากูเห็นทุกอย่างแทนมึงได้ กูจะทำแทนทุกอย่าง  มึงแค่ต้องอยู่ในเกมส์นี้ต่อเพื่อความปลอดภัยของตนเอง  ข้างนอกนั่นไม่มีอะไรรับประกันชีวิตมึงได้เลยถ้ามึงต้องออกไปก่อน  เพราะเหตุนี้ กูเลยอยากให้มึงอยู่กับกูเรื่อยๆนะมิว  อย่างน้อย มึงก็ยังอยู่ในสายตากูได้”

“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ชีวิตกูตอนนี้อยู่ในบ้านหรือนอกบ้าน ก็แทบไม่ต่างกัน กูไม่จำเป็นต้องเชิญวิญญาณกูก็เห็นผีไปแล้ว ขอเวลาให้กูอีกหน่อยนะภพ  ไม่นานหรอก เดี๋ยวกูก็ชินไปเอง”

“ไม่ให้แล้วได้ไหม กูไม่อยากให้มึงเป็นแบบนี้แล้ว มึงกำลังต่อต้านกับตัวเองอย่างหนักนะมิว  กูกลัวไปหมดแล้ว กลัวจนตัวกูเองจะเป็นบ้าไปก่อนแล้ว”

“ภพ…ขออะไรได้ไหมไปวัดครั้งหน้า มึงช่วยไปหาสายสิญจน์หรืออะไรก็ได้ที่เป็นมงคล แอบเอามาพกติดตัวไว้ได้ไหม?”

“ทำไม?”

“เชื่อกูเถอะ…ไปหามาไว้นะภพ  อย่างน้อยถ้ากูจะต้องต้านความรู้สึกของตนเองก็ให้มันเกิดแค่เฉพาะตัวกู อย่าให้กูต้องต้านไปทั้งๆที่ตาของกูก็ยังคงมองเห็นบางอย่างที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับมึงเลยนะภพ”

“มิว เกมส์เมื่อกี้ เกิดอะไรขึ้น?”

“ไม่มีอะไรหรอกภพ มันก็แค่เหตุการณ์ที่ย้ำให้กูจำได้ว่า กูจะไม่มีทางชินหรือยอมรับมันได้เลยถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้มีผลแค่กับกูเพียงคนเดียว  เชื่อกูนะภพ”

“อืม วันพรุ่งนี้กูจะไปหามาใส่เอาไว้”

“ดีที่สุดแล้วหละ” ไอ้มิวหันมายิ้มจางๆให้กับผม  แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้โลกของผมสว่างขึ้นมาได้เลย รอยยิ้มที่เกิดจากการฝืน รอยยิ้มที่ไม่ได้ยิ้มพร้อมดวงตา กำลังทำให้ผมเกิดความสงสัยว่ามีอะไรที่ผมยังไม่รู้อยู่อีกบ้าง  อะไรที่เกิดขึ้นจนทำให้ไอ้มิวเงียบลงทันตาเห็น

“ขึ้นนอนกันเถอะ เอาเป็นว่าวันนี้พอแค่นี้แล้วกัน พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าอีก”

“อืม”

“มิว…พรุ่งนี้เช้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมนะ  ทิ้งตัวตนทุกอย่างไว้แค่คืนนี้ อย่าพามันข้ามคืนไปด้วยเลยนะ กูขอร้อง”

“กูจะพยายามนะภพ”

ผมพยักหน้าให้มันเป็นอย่างสุดท้าย ก่อนจะค่อยๆเดินตามหลังมันช้าๆกลับขึ้นห้องชั้นสอง  ที่สุดแล้ว เกมส์คืนนี้มันไม่ได้เบาแบบที่พวกเราคิดกันเอาไว้ ซ้ำร้ายมันกลับดูร้ายแรงมากที่สุดตั้งแต่เล่นมา  อาจไม่มีผีหรือวิญญาณมาหลอกหลอนจนไอ้มิวสติแตกร้องไห้เสียงดังลั่น  อาจไม่มีผีหรือวิญญาณที่พยายามมาควบคุมผมให้ทำร้ายไอ้มิวอีก แต่ที่มี มันคือการเอาสติที่เหลืออยู่น้อยนิดของไอ้มิวให้จางหายไป ทุกๆอย่างในเกมส์กำลังบั่นทอนสภาพจิตใจของไอ้มิวให้เหลวแหลกจนน่าสงสาร ดังนั้น ผมจึงต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะดึงไอ้มิวกลับมา เช่นตอนนี้ ผมไม่รู้ว่ามันจะสังเกตเห็นการกระทำของผมหรือเปล่า  การกระทำที่ผมพยายามตั้งใจทำให้ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยสัญญาเอาไว้ อย่างน้อยก็เพื่อให้มันได้รับรู้ว่ายังมีผมคนนี้ที่พร้อมจะไล่ตามมันเสมอ

ถ้าครั้งไหนที่กูได้มองมึง…กูสัญญา มึงจะไม่มีทางได้หลุดออกจากกรอบสายตากูอีกเลย

.

.

.
เกมส์คืนนี้คงจะจบได้สมบูรณ์แบบมากขึ้น หากไม่ติดว่า มีสายตาคู่หนึ่งพยายามจะจับจ้องคนทั้งคู่ตั้งแต่เริ่มการทำพิธี  หากเพียงว่าภพหรือมิวสังเกตมายังกำแพงนอกบ้านขณะเล่นเกมส์หรือจะเป็นที่ริมหน้าต่างของบ้านตอนนี้  เขาทั้งคู่คงจะได้เห็นดวงตาที่มองเข้ามาอย่างสุขสมเมื่อความจริงที่ทางรายการกำลังสงสัย ได้ถูกเปิดเผยออกมาอย่างที่พวกเขาทั้งคู่ไม่มีทางได้รับรู้ และต้องเตรียมรับชะตากรรมในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ตั้งใจก่อ

“ยืนยันแล้วครับนาย  คุณภวัต คือคนที่สามารถเห็นวิญญาณได้แล้วจริงๆ เป็นไปตามที่นายกำลังสงสัยครับ”

“หึ งั้นก็ดี โปรเจค 9 วัดนี่คงทำให้มันเป็นบ้าไปได้เร็วขึ้น…มึงคิดว่าคนดูจะชอบกันไหมถ้าเราจะแหกกฎเพิ่มกันอีกสักนิด”

“แล้วแต่นายเลยครับ”

“งั้นก็เตรียมรอดูความหายนะของพวกมันได้เลย  มันจะได้รู้กันเสียบ้าง ว่าไม่ควรมาท้าทายหรือแหกกฎอะไรในเกมส์ของเรา”



*****************************************TBC*********************************************
เอาตอนที่ 16 มาส่งแล้วนะครับ  หวังว่าจะถูกใจกันทุกคนเด้อ
ต้องกราบขออภัยทุกคนที่กำลังรอนิยายเรื่องนี้เป็นอย่างสูงนะครับที่วันนี้มาช้า
ผมติดธุระสำคัญจนไม่สามารถมาลงตามกำหนดเวลาได้จริงๆ  ขอโทษด้วยครับ :mew2:

ยังไงผมก็ขอฝาก ภพ มิว เหมือนเดิมนะครับ #Nightmaregame คือช่องทางที่ทุกคนสามารถมาติชมผมได้อีกทางนะครับ
ฝากคอมเมนต์ติชมกันเข้ามาเยอะๆนะครับ  ยังยืนยันว่าผมอ่านทุกคอมเมนต์และพร้อมนำไปปรับปรุงครับ
ถ้ามีคำผิดหรือประโยคไม่ลื่นไหลบอกผมมาได้เลยนะครับ
เจอกันตอนหน้า
P-Rawit

หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่16 โพงพาง (15/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 15-03-2017 11:48:37
ไอ้นายนี่คือผู้จัดการเกมส์ใช่ไหม  :m31:
รายการนี้่มันกะไม่ให้ใครได้เงินรางวัลจริงๆด้วยแต่มันได้เงินเข้ากระเป๋าจากคนดูแทน โกงมากๆๆ
สงสารมิวอ่ะ  :sad4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่16 โพงพาง (15/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 15-03-2017 12:37:18
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่16 โพงพาง (15/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 15-03-2017 12:44:10
เกลียดอีรายการนี้จริงๆ  :ling1:

ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากสงสารมิว :mew6:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่16 โพงพาง (15/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: plugie ที่ 15-03-2017 19:31:31
รายการนี้กะจะให้ผู้เข้าแข่งขันเป็นบ้าหรือตายไปเลยใช่ทั้ย :katai1: :angry2:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่16 โพงพาง (15/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 15-03-2017 23:20:11
สงสารมิวววววว โอยย  :z3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่16 โพงพาง (15/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: karamailpraleen ที่ 15-03-2017 23:23:14
เอาแล้วไงจะทำให้อะไรมิวอีกกกก :ling1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่16 โพงพาง (15/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 16-03-2017 00:45:29
ผจก เชี่ยมากกกกกกกกกกก ทำร้ายสองคนนี้เพื่ออะไรเนี่ย
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่16 โพงพาง (15/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: JACKSON ที่ 16-03-2017 10:38:10
สู้นะมิว
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่16 โพงพาง (15/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: nugnig7 ที่ 20-03-2017 12:32:24
ภพกับมิวสู้ๆ อย่าเป็นอะไรกันไปก่อนนะ นี่อยากรู้จุดประสงค์อิรายการนี้มาก ผีก็โคตรน่ากลัวอ่านแล้วหลอน 5555
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่17 คำเตือน (21/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 21-03-2017 19:40:11
ตอนที่17

คำเตือน


ความผิดพลาด…

เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนล้วนเคยต้องประสบ  หนักบ้างเบาบ้างต่างกันไปตามแต่ละสถานการณ์  เรียกได้ว่าเกือบทั้งชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งจะต้องเผชิญกับความผิดพลาดไม่รู้ตั้งกี่ร้อยครั้งถึงจะมีชีวิตที่อยู่ตัวได้  มนุษย์จึงต้องสรรหาคำพูดมากมายมาปลอบโยนความผิดพลาดร้ายแรงต่างๆให้เบาลง อย่างเช่น ความผิดพลาดคือครูชั้นดีของชีวิตที่คอยพร่ำสอนนักเรียนบนโลกให้เรียนรู้ด้วยตนเอง  หรือจะเป็น ความผิดพลาดก็แค่จุดเล็กๆในชีวิตเมื่อมองกลับมาทุกอย่างก็จะกลายเป็นเรื่องตลกขบขัน  หรือที่ผมเคยได้ยินมาหนาหูที่สุดคือ ไม่มีใครบนโลกไม่เคยผิดพลาด นอกเสียจากคนๆนั้น จะตายไปแล้ว

ตายไปแล้ว? จะใช่อย่างนั้นจริงๆเหรอ?

ผมเฝ้าถามคำถามนี้ตลอดทั้งคืนจนแทบนอนไม่หลับ  หาเหตุและผลต่างๆมาอ้างอิงหลักความเชื่อเรื่องความผิดพลาดเดิมๆที่ถูกผมงัดขึ้นมาใช้  ทุกอย่างในหัวตีกันจนผมสับสน  ตอนนี้ผมเหมือนคนที่กำลังลังเลตรงทางแยกอีกครั้ง ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมกำลังทำคือสิ่งที่ถูกต้องตามที่ผมคิดหรือเปล่า  ผมเสี่ยงเกินไปไหมที่จะยอมอยู่ในเกมส์นี้เพียงเพราะต้องการจะหลุดพ้นจากวงจรอุบาทที่เคยเกิดขึ้นในปีก่อนๆ จนทำให้ความเป็นอยู่ในปัจจุบันล้มเหลวไม่เป็นท่า

สุดท้ายหลังจากการย้ำความคิดในหัวซ้ำๆ  คำตอบก็ออกมาเพียงว่านี่คือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตตอนนี้  ผมเป็นคนเลือกยื่นเอาขาข้างหนึ่งเข้าโลงไปเอง  เลือกที่จะยอมมาอยู่ในกฎและข้อบังคับที่ได้เปลี่ยนชีวิตตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมาให้ไม่เหมือนเดิมและไม่มีทางที่จะได้กลับไปอยู่ในจุดที่ตนเองจากมาได้แล้ว  ระยะเวลาแค่เพียงอาทิตย์กว่าๆได้เปลี่ยนดวงตาของผมไปเป็นอีกแบบ  สรรสร้างให้มองเห็นในสิ่งที่คนปกติมองไม่เห็น  จนไม่คิดว่าผมจะทำใจได้เพียงแค่บอกว่าตนเองไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยินสิ่งที่คนอีกโลกพยายามจะบอก

คนตาย…ยังผิดพลาดไม่รู้จักจบจักสิ้นเลย

อย่างน้อย ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุด ก็คงเป็นเรื่องที่เขาไม่รู้ว่าใคร…คือคนที่ฆ่าเขา

ใคร? คือคนที่ดันชีวิตของเขาให้เข้าสู่โลกของความตาย

“คุณมิว  ดูเงียบไปนะครับวันนี้”

“ครับ?  อ๋อ ก็แค่…คิดอะไรนิดหน่อยครับ”

“มีอะไรให้คิดเยอะแยะหรอครับ?  คุณแค่เข้ามาเล่นเกมส์เองนะ  อย่างมาก ผมว่าคุณจะได้คิดมากสุดก็แค่หาที่อยู่ของแหล่งน้ำตามที่รายการต้องการนี่เท่านั้นนะครับ”

“ชีวิตคนมันไม่เหมือนกันหรอกนะครับ  คุณเป็นทีมงานคุณก็พูดได้  เช้าคุณมารับ เย็นคุณก็กลับไป แต่ผม…คือคนที่ต้องเล่นเกมส์ต่อ  ยังต้องเผชิญอะไรหลายๆอย่างที่ผมไม่เคยได้คาดคิดต่อ  คุณคิดว่ามันง่ายนักหรือครับ?”

“มันก็ไม่ได้มีอะไรยากนี่ครับ  เกมส์ของพวกคุณผมก็เห็น คุณก็ดูเล่นกันปกติดี”

“ปกติ?  คุณมองกล้องตัวไหนหรอครับ? ถึงบอกว่าผมเล่นกันปกติ  เกมส์เมื่อคืนคุณก็ได้เห็นผ่านที่ผมอัดให้ดูแล้วไม่ใช่หรอครับ  ไหนจะเกมส์คืนก่อนอีก?  อย่าพูดว่ามันง่ายนักเลยครับหากคุณไม่เคยสัมผัส”

“ถ้ามันยากนัก ทำไมคุณมิวไม่ถอนตัวไปหละครับ  จะฝืนอยู่ต่อทำไม?”

“หึ จะออกไปหรือทนอยู่ต่อมันก็เหมือนกันนั่นแหละครับ อะไรที่มันเปลี่ยนไปแล้วก็คือเปลี่ยน ผมแก้ด้วยตนเองไม่ได้หรอก”

“แล้วอะไรคือสิ่งที่เปลี่ยนไปครับ?”

“แล้วคุณจะอยากรู้ไปทำไมครับ?  ทีมงานรายการนี้ถูกสั่งให้มาล้วงความลับผมหรอ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ  ก็แค่ลักษณะของคุณเหมือนผู้เล่นปีก่อนๆที่ส่วนมากก็ทนอยู่กันไม่นานแล้วก็ถอนตัวออก จะมีก็ไม่กี่คนหรอกครับที่ทนอยู่ต่อ แต่สุดท้ายก็จบไม่สวยเท่าไร  เข้าใจใช่ไหม? ผมไม่อยากให้คุณเป็นแบบนั้น”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ  ปีนี้เรายังเหลือกันทั้งสองคน ไม่มีทางที่ผมจะเป็นบ้าไปก่อนแน่ๆครับ”

“อย่ามั่นใจมากไปนะครับ  บางอย่างอาจเปลี่ยนแปลงไปเร็วมากในเกมส์นี้  ใช่ว่าแค่พริบตาเดียว คุณภพจะหายออกจากเกมส์ไม่ได้ หรือแม้แต่ตัวคุณเองที่อาจเป็นบ้าไป หากนั่นคือความต้องการของเกมส์”

“ตรงดีนะครับ แต่ก็อย่างที่บอก ถ้าพวกคุณให้ผมเล่นตามหนังสือที่บ้าน ผมมั่นใจว่ามันไม่มีใครเป็นอะไรแน่นอน ยกเว้นแต่พวกคุณจะโกงผม  รู้ใช่ไหมครับ ว่าโปรเจคนี่ก็คือการโกง  มันไม่ได้อยู่ในข้อตกลงด้วยซ้ำ”

“ข้อตกลงหนึ่งเดียวที่พวกผมรับทราบมาก็คือพวกคุณต้องเล่นตามคำสั่งของเกมส์  และนี่คือหนึ่งในคำสั่งครับ”

“แปลกดีนะครับ  พวกคุณให้ผมมาท้าทายผีในบ้าน แต่ตอนนี้กลับสั่งให้ผมออกจากบ้านให้มากที่สุด ทำไมหรอครับ? หรือแท้จริงแล้ว  บ้านหลังนั้นมันไม่มีผี?”

“มีหรือไม่มี คนตัดสินคือคุณนะครับ ไม่ใช่ผม  เอาเป็นว่าขอโทษที่ทำให้คุณอารมณ์เสีย ตอนนี้ผมว่าผมส่งคุณให้ไปหาน้ำก่อนแล้วกัน  คุณภพไปยืนรออยู่นานแล้วด้วย  เรื่องอื่นๆนอกจากนี้ผมคงตอบไม่ได้  ผมเป็นแค่ทีมงานครับ”

“รายการคงโชคดีมาก ที่ได้คุณมาเป็นหนึ่งในทีมงาน ทำหน้าที่ได้ดีนะครับ ดีจนผมไม่รู้ว่ามันเกินไปหรือเปล่า”

“ไม่รู้สิครับ  ทุกปีผมก็ถูกสั่งให้มาถามมาพูดแบบเตือนแบบนี้อยู่แล้ว  ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะต้องทำหน้าที่ของคุณแล้วนะครับ  ทำให้ดีเหมือนผมแล้วกัน”

ผมเดินหน้าตึงสลับกับการสงบอารมณ์จากเรื่องเมื่อคืนและจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ตามหลังทีมงานที่เดินคุยอยู่ข้างกันได้พักใหญ่ๆ  ความไม่เข้าใจเกิดขึ้นซ้ำซ้อนจนจะทำให้ปวดหัว  เหตุใดทีมงานคนเดิมถึงได้มีท่าทีเปลี่ยนไปพิลึก  เมื่อวานตอนที่ผมถูกพาไปวัด ทีมงานคนนี้ได้อยู่คู่กับทีมงานที่คอยบอกผมเรื่องการถ่ายทำและแนะนำสถานที่ต่างๆอย่างเงียบๆ คอยขัดทีมงานคนนั้นขึ้นมาบ้าง คอยมองการกระทำของพวกผมบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีคุกคามผมหรือไอ้ภพแต่อย่างใด  พอมาวันนี้ วันที่ผมต้องไปหาน้ำในวัดที่สามและสี่ ทีมงานคนนี้ก็ยังคงเงียบ  เงียบ…จนถึงเวลาที่เขาได้เข้ามาคุยกับผม นั่นจึงเหมือนเปิดโอกาสให้ผมได้แลกเปลี่ยนทัศนคติกับเขามากยิ่งขึ้นและจบลงด้วยการโดนพูดจาหาเรื่องใส่จนน่าโมโห

“ทำไมมาช้า?” เสียงไอ้ภพที่เดินนำมากับทีมงานคนเดิมกับเมื่อวานร้องทักขึ้นอย่างไม่เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้า

“โดนหมาเห่าใส่” ผมพูดไปทั้งที่อารมณ์ยังขุ่นมัว จนไม่สามารถปกปิดใบหน้าที่แสดงออกถึงความหงุดหงิดได้

“หมา?  หมาที่ไหนไอ้มิว  กูเดินมายังไม่เจอสักตัว”

“เหอะ! อยู่ไปเรื่อยๆเดี๋ยวมึงก็เจอเอง” ผมพูดไปอย่างไม่ทันคิดพร้อมกับปรายตาไปมองทีมงานอีกคนที่ก็ยืนทำหน้าตายอยู่ตรงนั้น

“นี่มีอะไรกันหรือเปล่าครับ?  คุณทำอะไรไอ้มิว?”ไอ้ภพถามขึ้นมาด้วยความสงสัยในประโยคแรก  ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้นพร้อมกับดวงตาที่ฉายแววไม่พอใจออกมาแต่ก็แค่แวบเดียว

“ไม่มีอะไรหรอกครับ  ผมแค่เห็นคุณมิวเงียบๆไป เลยชวนคุยครับ”

“ขอบคุณที่ชวนมันคุยนะครับ  แต่หน้าที่นี้ผมทำเองก็ได้ครับ ไม่ต้องให้ถึงมือคุณหรอก”

“ก็ทำสิครับ  รายการยังต้องการเสียงพูดคุยนะครับ ไม่ใช่การเงียบและยังหน้าตาหงิกงอนั่นอีก  คนดูคงจะปลื้มกันน่าดู”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ  เรื่องใส่หน้ากาก พวกผมเลียนแบบรายการคุณจนชินแล้ว”

“ก็ดีครับ  จะได้เริ่มกันสักที” ทีมงานคนนั้นไหวไหล่ตอบกลับมาอย่างไม่ยี่หระ

“พักยกกันไว้ก่อนดีไหมครับ  ขอผมชี้แจงสิ่งที่พวกคุณต้องทำก่อนนะครับ…ก่อนอื่นผมขอให้พวกคุณมองไปที่ด้านหลังผมตอนนี้นะครับ จะเห็นป้ายที่เขียนเอาไว้ว่าไม่มีกิจห้ามเข้า  โดยข้างหลังป้ายนี่จะเป็นที่เก็บเถ้ากระดูกของคนตายเอาไว้  ความเป็นมาของคำสั่งห้ามเข้าเกิดจากอะไรไม่ทราบได้  คนเดียวที่ได้รับอนุญาตมีเพียงสัปเหร่อของวัดนี้เท่านั้น  ดังนั้นวันนี้  สิ่งที่พวกคุณต้องทำคือการเดินเข้าไปหาน้ำตามที่ตกลงข้างในนี้นะครับ  ผมลองถามมาแล้ว  น้ำลักษณะแบบนั้นหาได้จากแค่ในนี้อย่างเดียว  แต่พวกคุณห้ามถ่ายวีดีโอจนกว่าจะพ้นเขตนี้ไปก่อนนะครับ ส่วนเรื่องผิดกฎทางเราได้รับอนุญาตจากสัปเหร่อแล้ว  ไม่ต้องห่วงครับ ทางเราแค่ไม่อยากให้คนดูทำตามได้”

“ใครมันจะอยากทำตามวะ…ที่แบบนี้มันคงจะมีคนอยากมาเดินเล่นมั้ง” เสียงไอ้ภพพึมพำออกมาเบาๆ เรียกให้ผมหันไปมองหน้ามันที่ตอนนี้คิ้วทั้งสองข้างขมวดลงมาจนแทบจะเป็นปมเดียวกัน

“ถ้ายังไงผมขอให้คุณมิวอัดวีดีโอแบบเดียวกับเมื่อวานก่อนเข้าไปนะครับ สร้างบรรยากาศให้คนดูรู้สึกตามไปด้วย แต่อย่าลืมที่บอก ห้ามเห็นป้ายไม่มีกิจห้ามเข้านะครับ แล้วเดี๋ยวพวกผมจะไปรอดูผลงานพวกคุณที่รถ  ตอนนี้เชิญพวกคุณตามสบายเลยครับ”

เมื่อเสร็จสิ้นการชี้แจง  ทีมงานทั้งสองคนก็ได้ขอตัวแยกย้ายกลับไปรอที่รถ  ทิ้งให้ผมกับไอ้ภพอยู่กับบรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนใจที่ทีมงานตั้งใจเนรมิตขึ้นไว้   คำสั่งที่บอกให้สร้างวีดีโอคลิปที่คนดูต้องรู้สึกตามไปด้วย  นับเป็นงานยากสำหรับพวกผมมาก  ลำพังแค่ต้องเดินลุยเข้าไปในสถานที่พักผ่อนของคนตายแบบผิดๆก็ถือว่าหลอนจนขนหัวแทบร่วงแล้ว  แต่นี่พวกเราทั้งคู่ยังต้องมาบังคับตนเองให้มีอารมณ์ร่วมกับเกมส์ก่อนหน้าจะเข้าไปอีก  ไม่รู้เหมือนกันว่าคนดูจะอยากรู้สึกร่วมกับเราจริงๆหรือนั่นเป็นแค่คำสั่งที่ต้องการบังคับให้พวกเราทำแค่นั้น

“เอายังไงดีไอ้ภพ? จะให้เริ่มพูดเลยไหม?”

“มึงโอเคหรือเปล่าหละ  หรืออยากให้กูเป็นคนพูด”

“พูดกันทั้งคู่นั่นแหละ  ทีมงานมันอยากได้ยินเสียงของกูกับมึงไม่ใช่หรือไง”

“อืม  งั้นก็เริ่มกันเลย” ผมพยักหน้ารับและเริ่มจัดการกับวัตถุทรงสวยบนมืออีกครั้งเพื่อทำการอัดวีดีโอตามคำสั่ง

“สวัสดีครับ วันนี้กลับมาพบกันพวกเราอีกแล้ว  หลายคนคงอยากเห็นกันใช่ไหมว่าพวกเราต้องมาทำอะไรที่ไหน  และสถานที่แห่งนี้มีความพิเศษอย่างไร  พวกเราจะอธิบายให้ฟังเป็นข้อๆไปเลยนะครับ  เริ่มจาก…”

แกร๊ก

แอ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด

“ไม่มีกิจห้ามเข้า…”


ผมอ่านทวนป้ายที่ติดไว้ตรงหน้าประตูลูกกรงเหล็กอีกครั้ง  หลังจากที่ไอ้ภพตัดสินใจเปิดมันออกเพื่อให้เราได้เข้าไปสู่ดินแดนของชีวิตหลังความตาย เมื่อเข้ามาด้านใน สายตาของผมก็ได้พบกับเจดีย์เก็บกระดูกถูกตั้งเรียงกันไว้เป็นแถวแนวเนื่อง  วางเป็นระเบียบใต้ร่มไม้ใหญ่ที่ปลูกเอาไว้แค่พอร่มเงาจนดูคล้ายหมู่บ้านจัดสรรชั้นดีในตัวเมือง สลับปนเปไปกับโกศเก็บกระดูกอันเล็กๆทั้งสีทองและเงินเรียงไปจนสุดลูกหูลูกตา

ปั้ง!!!

แกร๊ก

“เฮ้ย!! ชู่ว์  ไอ้ภพ!! ปิดประตูเบาๆหน่อย  เดี๋ยวก็โดนคนจับได้หมดหรอก” ผมร้องตกใจไปกับเสียงปิดประตูที่ดังขึ้นขัดกับบรรยากาศเงียบๆและดูวังเวง ก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้นชิดปากเพื่อเป็นสัญญาณบอกให้ไอ้ภพระแวดระวังการกระทำที่ก่อให้เกิดเสียงรบกวนในนี้

“ไม่ต้องห่วงหรอก เราได้รับอนุญาตแล้ว  อีกอย่างถ้ามันมีคนผ่านมายังไงก็ต้องเห็นเรา ที่โปร่งขนาดนี้”

“รู้แล้ว แต่ไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อไป ไม่ดีกว่าหรือไง  รีบหารีบกลับ จะได้ไม่ต้องมานั่งตอบคำถามใครด้วย”

“อืม  แล้วแต่มึงว่าละกัน แต่ขอบอกอะไรหน่อย  เมื่อกี้กูไม่ได้เป็นคนปิดประตู...มันปิดเอง” ไอ้ภพทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยคำพูดที่สั่นประสาทคนฟังอย่างผม  แรงปิดประตูขนาดใหญ่ที่เกิดอาจเป็นไปได้ตามลมธรรมชาติ แต่เสียงแกร๊กของตัวล็อกประตูที่ดังตามมา มันเป็นไปแทบไม่ได้เลยหากนั่นไม่ได้เกิดจากฝีมือของคน

พวกเราเดินเท้ากันเข้าสู่ด้านหลังพื้นที่แห่งนี้เป็นอย่างแรก  ผ่านใบหน้าขาวดำนับร้อยรูปที่ต่างก็ทำหน้าตรงมองเรียงขนาบข้างทางเดินจนชวนให้ขนลุก คล้ายกับมีสายตาของวิญญาณนับร้อยนับพันคู่กำลังร่วมสังเกตพฤติกรรมของพวกเรา ร่มเงาของไม้ทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดีแต่ดูเหมือนจะผิดวันไปหน่อย เมื่อท้องฟ้าวันนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำทะมึน  ไม่มีแสงแดดเล็ดลอดออกมาสักน้อย จึงดูเหมือนกับว่าพวกเรากำลังค้นหาทุกอย่างในเวลาเย็นย่ำอย่างไรอย่างนั้น

ความเงียบที่เกิดจนได้ยินเสียงลมหายใจเริ่มจางหายออกไป  เมื่อการเดินจนใกล้สุดทางเริ่มทำให้หูของพวกเรารับรู้ถึงมวลของสายน้ำ  คลองขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ไหลผ่านด้านหลังของวัดนี้ชวนให้รู้สึกสดชื่นขึ้นได้บ้าง  หากแต่ว่าแค่ลองมองหันกลับมาความรู้สึกเมื่อครู่ก็หมดสิ้นไปทันที  ด้านในสุดเราต้องพบกับเจดีย์กระดูกที่เก่ากว่าอันแรกๆ  บางอันเริ่มผุพังและแตกหักไปตามกาลเวลาจนใบหน้าที่ถูกติดไว้เลือนหายไปด้วย

“เอาหละ  เริ่มจากตรงนี้เลยแล้วกัน  มันน่าจะแทรกอยู่ตามช่องว่างระหว่างโกศพวกนี้” ไอ้ภพพูดขึ้นกลบทำลายความวังเวงของสถานที่

“เดินดูไปตามแนวขวางเลยน่าจะเร็วกว่า  ช่วงกลางๆของพื้นที่นี้ไม่ต้องมองหาแล้วนะ  กูมองผ่านเจดีย์พวกนี้หมดแล้ว  ไม่เจอเลยสักบ่อ”

“เดินตามที่มึงบอกไปก่อนดีกว่า  เผื่อมันตั้งชนกับเจดีย์มึงก็มองไม่เห็น”

ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเริ่มเดินตามที่ตกลงกันไว้  ใช้สายตาสอดส่องไปตามช่องว่างระหว่างทางเดิน  ลัดเลาะไปตามแนวแถวของเจดีย์  จากแถวที่หนึ่ง เริ่มเพิ่มไปเป็นแถวที่สองเดินไปเรื่อยๆตามเส้นทางที่ถูกวางไว้ให้เดิน แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้เจอบ่อน้ำอย่างที่พวกเราเคยเห็น  ซ้ำร้าย ฟ้าฝนวันนี้ก็ดูจะไม่เป็นใจเท่าไร  เสียงดังของฟ้าร้อง ดังอึกทึกจนได้ยินเสียงสัญญาณกันขโมยของรถที่จอดเอาไว้ไกลๆ  ขัดกับสภาพอากาศที่ควรจะเป็นในเดือนธันวาคม

“ภพ…มันจะมีจริงๆเหรอไอ้บ่อน้ำนั่นอ่ะ  เราเดินกันจะทุกซอยแล้วนะ ทำไมถึงยังไม่เห็นอะไรเลย”

“มีสิ  ไม่งั้นรายการจะเอาเรามาปล่อยทิ้งที่นี่หรอ”

“รายการก็คือรายการนะภพ  มันจะช่วยเราตามปากว่าจริงๆหรอ  มันอาจแกล้งเราก็ได้”

“เอาหน่า  เดินหาต่ออีกหน่อยแล้วกัน ถ้าฝนตก เราก็จะได้น้ำกลับไปเลย ไม่ต้องไปหาในบ่อ”

“อืม เอางั้นก็ได้ หรือว่าเราจะรอให้ฝ…”

เคร้งงง!!

“อะ…ไอ้ภพ”ผมมองภาพตรงหน้าพร้อมกับแววตาที่เบิกโตขึ้นด้วยความรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าอยู่ในอก  ก่อนจะใช้มันเงยขึ้นไปมองไอ้ภพที่ก็ดูตกใจไม่ต่างกัน  โกศใส่กระดูกสีทองอันหนึ่งถูกเท้าของไอ้ภพเตะจนโกศล้มกลิ้งไม่เป็นแนว  กองกระดูกที่อยู่ภายในเล็กน้อยซึ่งคาดว่าญาติของผู้ตายคงจงใจเก็บเอาไว้ไม่นำไปลอยอังคาร  กระเด็นเกลื่อนทั่วพื้น ปรากฎภาพที่ไม่น่ามองเท่าไรนัก

ผมที่ตั้งสติได้ก่อน รีบวิ่งไปหยิบโกศที่กลิ้งไปหยุดตรงหน้าเจดีย์ใส่กระดูกของใครสักคน แล้วนำมาตั้งไว้ตรงที่ที่คาดว่ามันเคยถูกวางเอาไว้  ก่อนจะค่อยๆโกยกระดูกที่หล่นกระจัดกระจายนำมาวางไว้บนผ้าดิบสีขาวตามเดิม  ไอ้ภพที่เมื่อตั้งสติได้ก็ค่อยๆมองหาเศษกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อย ที่อาจจะกระเด็นออกไปนำมาวางไว้ที่เดียวกับกองกระดูกกองใหญ่  ก่อนที่ผมจะจัดการห่อผ้าขาวและนำไปใส่ไว้ยังโกศแล้วนำเอาฝามาปิดไว้ให้ตามเดิม

เงาที่สะท้อนบนโกศทองเหลือง ปรากฏภาพใบหน้าของผมที่นั่งประชิดโกศเนื่องจากเพิ่งจะจัดการปิดฝาไปเมื่อครู่ และภาพของไอ้ภพที่ยืนพนมมือไหว้โกศนี้อยู่ด้านหลังผม  นำให้ผมต้องยกมือขึ้นตามมันอย่างช่วยไม่ได้ แม้ครั้งนี้ผมจะไม่ใช่คนที่ผิด  แต่หลังจากฟังเรื่องผีในหลายๆเรื่องที่ผ่านมารวมทั้งการได้เห็นและสัมผัสด้วยตนเอง  วิญญาณมักไม่สนด้วยซ้ำว่าใครกันที่เริ่มทำก่อน

วิญญาณมักไม่สนด้วยซ้ำ ว่าการขอขมาในเรื่องที่ทำผิดไปคือสิ่งที่เหล่ามนุษย์ยึดถือให้เป็นต้นแบบของการสำนึกผิด

ไม่เช่นนั้น…โกศสีเหลืองทองใบเขื่องคงไม่เหลือทิ้งเงาของทั้งสอง กำลังค่อยๆหันคอมองเจ้าของร่างที่กำลังเดินจากไป

“เราเดินวนกันมากี่รอบแล้วไอ้มิว?” เสียงเหนื่อยอ่อนเล็กๆของไอ้ภพ ถามขึ้นหลังจากพวกผมเดินวนหาบ่อน้ำอยู่นาน แต่ก็ยังคงได้ผลลัพธ์แบบเดิมคือไม่พบสิ่งใดเลย

“ก็ถ้านับการผ่านโกศที่มึงเตะเอาไว้  รอบนี้ก็รอบที่4แล้ว”ผมตอบมันไปด้วยน้ำเสียงที่ล้าไม่แพ้กัน

“เราเดินเข้าๆออกๆกันตั้งหลายซอย  แล้วทำไมโกศนี่มึงถึงยังเห็นได้ทุกรอบ?  มึงมองถูกโกศแน่ใช่ไหม?”

“เสียงมึงเหนื่อยขนาดนี้ยังจะพูดว่ากูบอกผิดอีกหรอ  โกศนี่กูเป็นคนปิดนะภพ มันวางอยู่ตรงไหนทำไมกูจะไม่รู้  กูยังนึกเลยว่ามึงนำกูเดินโดยยึดโกศนี่เป็นหลัก”

“กูว่า…แปลกๆแล้วหวะไอ้มิว  ถึงกูจะเป็นคนเตะ แต่กูจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอันไหนคือโกศนั้น” สิ้นน้ำเสียงติดเครียดของไอ้ภพ  ความรู้สึกวังเวงแปลกๆก็ลอยมาสะกิดใจผมทันที  สายตาที่เคยมองหน้าไอ้ภพ บัดนี้ได้ถูกเลื่อนลงมามองยังโกศใบเดิมที่พวกเราเคยก่อเรื่องกันไว้

เคร้งง!!

“เฮ้ย!!!  แมวดำ…” ผมร้องออกมาเสียงหลงก่อนจะค่อยๆพูดทวนสิ่งที่เห็น  หลังจากการยืนหาวิธีแก้ปัญหา แมวดำตัวหนึ่งก็วิ่งมาตัดหน้าพวกผมจนโกศล้มลงอีกครั้ง  สร้างความโกลาหลจนเหงื่อกาฬในกายแตกซ่าน สัญชาตญาณบางอย่างในตัวกำลังฉายภาพเรื่องราวในเกมส์ที่ผ่านมา  ทุกๆสิ่งที่เกิดกำลังค่อยๆสอนผมถึงอันตรายที่ใกล้จะถึงตัว 

…เวลานี้วิญญาณผู้เป็นเจ้าของโกศอาจกำลังไม่พอใจที่เราได้เข้ามาลุกล้ำพื้นที่หลับตาของเขา…

“เดี๋ยวๆ มิว…มีอะไร มึงจะรีบไปไหน?”ไอ้ภพร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อผมเดินไปกระชากแขนของมันแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากพื้นที่ตรงนั้น

“ภพ ฟังกูนะ  แมวดำกับวิญญาณมันคือความเชื่อที่ผูกกันมานานแล้ว  การที่จู่ๆมีแมวดำมาวิ่งตัดจนโกศล้มมันไม่ใช่เรื่องตลก วิญญาณเจ้าของกระดูกนั่น…กำลังไม่พอใจเรา” ผมพูดไปด้วยน้ำเสียงร้อนรน  รีบซอยเท้าอย่างไวพร้อมใช้สายตากวาดไปให้ทั่วบริเวณเท่าที่จะเป็นได้  อย่างน้อยถ้าได้เห็นคงได้รู้แล้วว่าผมควรเร่งตนเองอีกขนาดไหน

“มึงเห็นเหรอมิว?”ไอ้ภพเอ่ยขึ้นถามอย่างเป็นห่วงและเข้าใจกับการที่ตนเองต้องเร่งฝีเท้าให้ทันผม

“ตอนนี้ยังไม่เห็นไอ้ภพ…ขอเถอะ อย่าเพิ่งให้กูเห็นเลย ขอเวลาให้กูได้พ้นตรงนี้ไปอีกสัก…”

ก๊อก  ก๊อก  ก๊อก

เสียงไม้เท้าของคนแก่ดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณจนสามารถที่จะหยุดร่างกายของผมไปได้ชั่วครู่  เลือดร้อนในกายเริ่มสูบฉีดไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว  ปากที่กำลังสาธยายความรู้สึกจำเป็นต้องหยุดลงกะทันหันเพราะไม่สามารถต้านทานอาการสั่นจากความหวาดกลัวและวิตกไปกับเสียงที่ได้ยิน ก่อนที่จะค่อยๆดันไอ้ภพให้เดินต่อ หลังจากที่มันหยุดการเคลื่อนที่ตามผม

“ภพ…กูนับถึงสามแล้ววิ่งให้สุดแรงเลยนะ”ผมบรรจงพูดกับไอ้ภพให้ได้ยินทีละคำ  แม้เสียงที่ปล่อยออกไปจะติดอาการสั่นและเบาลงไปบ้าง แต่ด้วยความเงียบที่มีเพียงไอ้ภพเท่านั้นที่ยังรับรู้  มันจึงส่งผลให้ไอ้ภพพยักหน้ายอมรับพร้อมกับส่งแววตาตึงเครียดกลับมาด้วยความเป็นห่วง

“หนึ่ง..สอง…สาม….วิ่ง!!”

.
.
.

(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่17 คำเตือน (21/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 21-03-2017 19:40:38
จากการเดินเร็วถูกเปลี่ยนเป็นการวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต  ระยะทางที่เคยเดินเข้ามาทำให้ช่วงสายตามองเห็นประตูลูกกรงเหล็กเข้ามาใกล้เรามากขึ้นเรื่อยๆ  แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาได้เลยแม้แต่น้อย  เพราะเสียงของไม้เท้ายังคงดังกระทบกับอะไรสักอย่างไล่หลังตามมาจนบางครั้งรู้สึกได้ว่า เสียงนั่นมันตามอยู่ข้างหลังผมนี่เอง

สายตาที่จับจ้องไปที่ประตูระหว่างวิ่ง  บัดนี้ได้จับสัมผัสการเคลื่อนที่บางอย่างทางบริเวณหางตาเอาไว้ได้  การเคลื่อนที่ที่ไม่ควรจะมีตามหลักของความเป็นจริง เพราะภายในนี้มีเพียงแค่ผมกับไอ้ภพเท่านั้นที่หาญกล้าเข้ามา  อีกทั้งการเคลื่อนไหวที่ดูเชื่องช้าข้างกายก็ไม่น่าจะมีความเร็วทัดเทียมกับกำลังของชายหนุ่มสองคนที่ออกแรงวิ่งจนหัวใจเต้นรัวเร็วเสียจนกลัวว่ามันจะหลุดออกจากอก

เมื่อไม่สามารถทัดทานความสงสัยได้อีกต่อไป  ผมจึงต้องหันหน้าออกไปทางด้านข้าง ก่อนที่แววตาทั้งสองข้างจะเบิกโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนมีน้ำตาคลอหน่วยเล็กน้อย  มือที่คอยจับแขนไอ้ภพ  ถูกเปลี่ยนเป็นบีบมือมันอย่างแรง ก่อนที่จะตั้งสติวิ่งไปข้างหน้าให้ไวที่สุด

ผมรู้แล้วว่าเสียงที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร?

มันเป็นเสียง…ของหญิงชราตนหนึ่ง  ที่กำลังค่อยๆเดินขนาบข้างพวกเรามาตามช่องทางเดินระหว่างโกศ

มันเป็นเสียง…ของไม้เท้าที่หญิงชราตนนั้น จงใจหยิบฟาดกับเจดีย์ใส่กระดูกทุกอัน ที่ร่างกายของตนนั้นเคลื่อนผ่าน

และที่สำคัญ  จากโฟกัสที่ต้องเพ่งมองระยะไกลตา บัดนี้ ร่างนั้นกำลังเคลื่อนตัดผ่านเข้ามา จนผมสีขาวหม่นเด่นชัดภายใต้ม่านดวงตาของผม

“ภ..ภพ” ผมเผลอหลุดชื่อไอ้ภพออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ  เมื่อสุดท้ายวิญญาณของหญิงชราก็ได้เคลื่อนผ่านมายังช่องทางเดินข้างผม ห่างกันแค่เพียงแถวของเจดีย์เก็บกระดูกกั้น

“ไม่ต้องพูดอะไร  หันหน้ากลับมา จะถึงประตูอยู่แล้ว”  ไอ้ภพเอ่ยเสียงเข้มคล้ายจะปลอบ แต่เมื่อฟังดูดีๆแล้ว มันติดไปทางคำสั่งมากกว่า  ผมจึงต้องรีบหันหน้ามามองยังแสงสว่างสุดท้ายที่จะช่วยให้ผมไม่ต้องกลับเข้ามาอีก

แต่ทว่า…เสียงของไม้เท้าที่เคยดังแรงมาอย่างต่อเนื่อง  จู่ๆก็เกิดเงียบหายไปจนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ  ทั้งที่สัมผัสของการเคลื่อนไหวยังคงเกิดขึ้นข้างกาย  และเมื่อมองไปที่ไอ้ภพ  ผมก็เห็นว่า มันไม่ได้รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆที่เกิดขึ้น  หรือไม่ มันก็อาจจะไม่ได้รับรู้อะไรที่เกิดขึ้นเลยมาตั้งแต่แรก

การเคลื่อนไหวของร่างกายหญิงชราคนนั้นเริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้งจนดวงตาของผมจับสังเกตได้   ภายในใจร่ำร้องบอกให้ผมจดจ้องอยู่เพียงแค่ประตูที่ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่ก้าวก็จะถึงทางออก  แต่สัญชาตญาณดิบในกายกลับไม่ตอบสนองผมเช่นนั้น  มันยังคงสั่งให้ผมหันหน้าไปเผชิญกับสิ่งที่ผมรู้อยู่แก่ใจว่าผมต้องกลัว  มันยังคงสั่งให้ผมหันไปยอมรับความจริงเพื่อที่จะให้เคยชินกับสิ่งเหล่านี้   คำพูดที่เคยย้ำเตือนเมื่อคืน ถูกนำมาเตือนตัวเองซ้ำๆในหัว  ไม่เห็น  ไม่ได้ยิน  ไม่ได้สัมผัสอะไรได้ทั้งสิ้น  หลอกหลอนผมไปมาจนกลัวจะเป็นบ้า  และสุดท้ายเมื่อร่างกายไม่ไปตามสมอง  สัญชาตญาณจึงถูกปลุกขึ้นมาจนเอาชนะเหตุและผลได้อีกครั้ง

“เหี้ย!!!”

ความตกใจ…ก่อให้เกิดคำอุทานหยาบคายชดเชยความหลอนที่เกิดขึ้น  เมื่อสุดท้ายผมตัดสินใจที่จะหันมายอมรับความจริง  ภาพที่ผมเห็นก็กำลังทำหน้าที่ฟ้องร้องความไม่พอใจของวิญญาณหญิงชราคนนั้น  บัดนี้มันกำลังยกไม้เท้าขึ้นมาชี้หน้าผมอยู่กลายๆ ก่อนจะหันคอมามองด้วยกรอบตากลวงโบ๋ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความอาฆาตอย่างแรงกล้า และเพียงชั่วพริบตา  กรอบหน้าของหญิงชราทั้งหมดก็ถูกย้ายมาประชิดกับใบหน้าของผม  เหลือเพียงช่องว่างระหว่างจมูกที่ยังคงถูกปล่อยไว้ให้เป็นอิสระ

“ไอ้มิว!!…ประตูเปิดไม่ออก” ไอ้ภพส่งเสียงร้องโวยวายขึ้นมา  เมื่อสุดท้ายประตูที่เป็นความหวังก็ล่มไปอย่างไม่ทันคิด  เสียงฮึดฮัดระหว่างการออกแรงของไอ้ภพ ดังขึ้นจนผมไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็รู้ได้ว่ามันกำลังพยายามดึงมากแค่ไหน

“ถอยไอ้ภพ!! กูดึงเอง”  เมื่อการยืนสบตาจนหยาดน้ำที่คลอหน่วยเมื่อครู่ไหลออกมากลายเป็นไร้ประโยชน์  ผมจึงต้องหันหลังกลับมาออกแรงดึงประตู  พลางปาดน้ำตาที่ไหลโดยปราศจากเสียงสะอื้นไปด้วย  หยาดน้ำใสๆที่ไหล มาจากความกลัวและกดดันกับรูปการตรงหน้า  สร้างความอึดอัดในใจจนมือผมสั่นเกินจะควบคุม

“สวัสดีครับ วันนี้กลับมาพบกันพวกเราอีกแล้ว  หลายคนคงอยากเห็นกันใช่ไหมว่าพวกเราต้องมาทำอะไรที่ไหน  และสถานที่แห่งนี้มีความพิเศษอย่างไร  พวกเราจะอธิบายให้ฟังเป็นข้อๆไปเลยนะครับ  เริ่มจาก วันนี้พวกเราต้องมาทำภารกิจอีกครั้งภายในวัดแห่งนี้  เห็นกันไหมครับ? สวยมากเลยใช่ไหม  แต่ถ้าใครคิดจะมาตามรอยพวกผม ก็ช่วยทำตามกฎนะครับ  วัดแห่งนี้จะมีสถานที่อยู่แห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าลึกลับชนิดที่หาคำตอบไม่ได้เลยว่า  บริเวณที่เก็บอัฐิคนตาย เหตุใดถึงมีป้ายว่าไม่มีกิจห้ามเข้า  คนเดียวที่ได้รับอนุญาตเข้าไปมีเพียงสัปเหร่อเท่านั้น   ดังนั้นวันนี้เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีพวกเราจะไปที่เก็บอัฐิอีกที่ที่ไม่มีป้ายแทนนะครับ  อย่างน้อยก็เพื่อให้ทุกคนมาชมให้ทั่วได้ และจะได้ไม่รบกวนคนตาย…”

และจะได้ไม่รบกวนคนตาย…


ช่วงจังหวะที่ผมพยายามเปิดประตูอยู่นั้น  กล้องบันทึกวีดีโอก็เกิดเปิดขึ้นมาจนพวกผมทั้งคู่ต้องหยุดการกระทำของตนเองและหันกลับไปมองกล้องบันทึกวีดีโอเป็นตาเดียวกัน  สร้างความอึดอัดให้กับสถานการณ์รอบตัวเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่า จนเมื่อวีดีโอถูกเล่นมาถึง คำพูดที่ว่า จะได้ไม่รบกวนคนตาย อยู่ดีๆวีดีโอก็ไม่ไปต่อและเล่นซ้ำคำนั้นอย่างต่อเนื่องแม้พวกผมจะพยายามปิดกันแล้ว

“มิว หยุด!…เดี๋ยวกูทำต่อเอง มายืนหลบข้างหลังกูก็พอ” ไอ้ภพสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลและตื่นกลัวไม่แพ้กัน  ผมจึงต้องปล่อยมือ แล้วเคลื่อนย้ายสายตามาไว้ที่แผ่นหลังของไอ้ภพแทน

มึงเตะกูทำไม?

เสียงแหบแห้งแต่ดุดันของหญิงชรา  ดังกังวานถามถึงพฤติกรรมที่ไม่ได้ตั้งใจของพวกผม เสียงนั่นดูเจ็บแค้นไปกับการกระทำที่อาจถูกมองว่าเหยียดหยามศักดิ์ศรีของผู้ที่เคยเป็นมนุษย์ วิญญาณตนนั้นจึงไม่ได้สนใจแม้พวกเราจะได้ทำการขอโทษขอโพยกันไปแล้ว  คำถามที่ได้ยินจึงดังขึ้นอย่างช้าๆแต่ชัดแจ้งในความรู้สึก กอปรกับเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆย่ำเดินเข้ามาพร้อมไม้เท้า นำให้มือที่ว่างเปล่าของผม ค่อยๆกำชายเสื้อไอ้ภพ จนผ้าหยาบหนาทั้งหมดไหลเข้ามากองบนมือ  ดวงตาถูกสั่งบังคับให้ปิดจนตาหยี อิงแอบซบแผ่นหลังกว้าง  มีเพียงหูของผมเท่านั้นที่ถูกปล่อยให้ได้ยินและรับรู้ถึงการเป็นไป

“ยาย!!  กลับไปในที่ของยายซะ”

“ยาย!!!  ผมบอกให้กลับไป  จะลองดีอย่างนั้นหรอ”

เสียงตะโกนก้องแต่ทุ้มลึกของชายหนุ่มวัยกลางคนดังขึ้นแทรกสถานการณ์บีบคั้นจิตใจคนทั้งสองตรงหน้า  เสียงนั่นไม่ใช่ของผม  เสียงนั่นไม่ใช่ของไอ้ภพ  หากแต่เป็นเสียงของบุรุษร่างใหญ่ ผู้มีใบหน้าขึงขังและไม่กลัวต่อสิ่งที่คาดว่าจะเห็นเช่นเดียวกับผม  ชายคนนั้นตะโกนสั่งขึ้นมาลอยๆแต่ว่ารู้กันว่าเขากำลังพูดอยู่กับใคร  ในที่นี้คงจะมีเพียงไอ้ภพเพียงคนเดียวที่ใช้สิ่งรอบตัวบอกให้รู้ถึงสิ่งที่เข้ามาคุกคาม แต่ไม่ได้เห็นหรือสัมผัสแบบที่ผมเป็น

แกร๊ก

เสียงเปิดลูกกรงเหล็กแหลมถูกดันเข้ามาด้านในอีกครั้ง  สะกดให้แววตาทั้งสองคู่มองไปยังบุคคลที่พึ่งจะมาเยือนใหม่  บุคคลที่ดูคุ้นชินกับที่แห่งนี้และสัมผัสกับโลกหลังความตายได้เช่นเดียวกับผม

“พวกมึง!! เข้ามาทำไม  ไม่เห็นหรือ ว่าป้ายมันห้ามเข้า ไอ้เด็กเวรพวกนี้ เล่นไม่เข้าเรื่อง” ชายคนนั้นเริ่มตะคอกผมและไอ้ภพอย่างไม่เก็บอารมณ์ทันที  หลังจากที่เข้ามายืนประจันหน้าพวกเราได้

“ผมถูกสั่งให้เข้ามาในนี้ครับ  รายการบอกกับผมว่าได้รับอนุญาตแล้ว” ไอ้ภพตอบออกไปด้วยเนื้อเสียงที่พยายามชี้แจงความจริงให้อารมณ์ของบุคคลที่สามดับลงไป

“รายการ? ไอ้รายการที่มาขอเข้าไปหาน้ำแปลกๆจากในวัดนั่นหนะหรอ หึ มันปล่อยพวกมึงเข้ามากันสองคนเนี่ยนะ  แล้วมันให้สิ่งของที่พวกมึงต้องพกกันมาหรือเปล่า?”

“สิ่งของ…อะไรหรอครับ?”ผมพูดถามขึ้นมาบ้าง หลังจากที่กลั้นเสียงสะอื้นและปาดคราบน้ำตาออกไปได้  เรียกให้ลุงคนนั้นหันมามองและเพ่งไปที่ใบหน้าอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวและเดินนำเข้าไปในดินแดนความตายนี่อีกครั้ง

“ถ้ายังอยากได้น้ำ  ก็ตามมา”ลุงคนนั้น  หยุดเดินเพียงครู่หนึ่งเพื่อหันมาบอกพวกเราทั้งคู่ที่ยังคงยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก

“พวกมึง…ริจะเข้ามาในสถานที่แบบนี้ ไม่ได้รู้กันเลยใช่ไหมว่า เดินตัวเปล่าหนะ อย่าได้หวังจะเอาอะไรกลับไปเลย  เผลอๆพวกมึงนี่แหละที่จะไม่ได้ออกไปด้วย  ป้ายห้ามเข้านั่น มันคงไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อติดไว้เล่นๆแน่   อีกอย่างนะถ้ากูเป็นพวกมึงกูจะรีบถอนตัวออกไปเสีย  รายการเหี้ยๆแบบนี้พวกมึงอย่าได้เข้ามาทิ้งชีวิต  กูอุสส่าห์ย้ำนักย้ำหนาว่าให้พวกมึงพกพระเครื่องกันเข้าไปด้วย   แต่มันก็ไม่ได้ให้พวกมึง  นี่รอดตายกลับมาที่ประตูกันได้ก็บุญแค่ไหนแล้ว  พวกที่เคยเข้ามาลองของไม่เคยมีใครตายดีสักราย  โดนเหล็กรั้วเสียบตายคาที่บ้าง  โดดคลองด้านหลังตายเป็นศพลอยอืดก็มีมามากแล้ว โชคดีขนาดไหนที่พวกมึงหนีไปได้ถึงตรงนั้น”

ลุงคนนั้นร้องเตือนขึ้นมาด้วยเสียงที่ไม่เบานัก  ก่อนจะเดินเร่งฝีเท้าพาไปยังพื้นที่ด้านหลังสุดชวนให้เกิดอาการหลอนอีกครั้ง  ช่วงระหว่างเดินผมยังรู้สึกถึงการติดตามที่ยังคงเดินขนานกับเรามาเรื่อยๆ รอเวลาที่จะได้หลอกหลอนผมเฉกเช่นกับผู้ท้าทายคนก่อนๆเคยโดน แต่ด้วยความรู้สึกอุ่นใจจากการอยู่ใกล้ๆบุคคลที่พวกเราอุปมากันไปว่าคงเป็นสัปเหร่อประจำวัดนี้  สิ่งเหล่านั้นจึงไม่สามารถเรียกผมให้หันกลับไปมองและสนใจภาพตรงนั้นอีก

“ได้มาหากันตรงนี้หรือยัง?” ลุงสัปเหร่อหยั่งเชิงถามพวกเราที่ทำหน้างุนงง เมื่อเดินมาจนถึงหลังวัดก็ยังคงไม่พบบ่อน้ำนั่น

“พวกผมหากันทั่วแล้วครับ  ไม่เจออะไรเลย”

“อย่างที่กูบอก  เดินมาตัวเปล่าพวกมึงไม่มีทางหาเจอ ผีบังตา คงรู้จักคำนี้กันใช่ไหม?  กูให้โอกาส มึงลองมองกันอีกที”

เมื่อได้โอกาสมองหา  พวกผมจึงใช้สายตากวาดไปให้ทั่วบริเวณโดยรอบ  หลีกเลี่ยงการพบเจอและสบตากับวิญญาณหญิงชราตนนั้นที่ยังคงจ้องมองมาที่พวกเราจากที่ไกลๆ จนสุดท้าย เมื่อมองหาจนครบและไม่พบอะไร ผมกับไอ้ภพจึงได้เลื่อนสายตากลับมามองที่ลุงสัปเหร่ออีกครั้ง  ก่อนจะพบว่า พื้นที่ด้านหลังลุง มีบ่อลักษณะคุ้นตาถูกตั้งเอาไว้ โดยมีกิ่งไม้ปกคลุมจนคล้ายจะมองไม่เห็น  ผมกับไอ้ภพถึงกับต้องหันหน้ามามองกันด้วยแววตาเลิกลัก  ในที่แบบนั้น หากมองผ่านๆคงไม่เห็นเป็นแน่  แต่ถ้าต้องเดินวนอยู่ถึงสี่หรือห้ารอบ  มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เรา จะไม่พบกับสิ่งที่เราต้องการ

“เดี๋ยวกูไปตักขึ้นมาให้  เกิดพวกมึงตกลงไปข้างล่าง เก่งขนาดไหนก็เอามึงขึ้นมาไม่ได้หรอก”

หลังจากลุงสัปเหร่อถากถางพวกเราเสร็จ  แกก็เดินไปชักรอกดึงเอาน้ำขึ้นมาใส่ถุงที่พวกเราเตรียมกันไว้ให้  ก่อนจะเร่งเร้าให้พวกเราเดินตามแกอย่างไว เพื่ออกไปจากสถานที่ต้องห้ามแห่งนี้

“ไม่ต้องเสือก กลับกันมาอีกแล้วนะ  คราวหน้าพวกมึงไม่โชคดีอย่างนี้แน่”

“ขอบคุณครับลุง  ไม่มีครั้งที่สองหรอกครับ  อีกไม่นาน…พวกผมก็จะจบเกมส์กันแล้ว คงไม่กลับมาทำอะไรแบบนี้แล้วครับ”

“กูจะเตือนอีกครั้ง  รีบถอนตัวออกจากสิ่งที่พวกมึงทำซะ  ไม่ต้องรอให้จบ  ถ้าพวกมึงไม่ฟังก็รอเจออะไรที่มันหนักกว่านี้ได้เลย”

“คงไม่มีอะไรหนักไปกว่านี้แล้วครับ  ที่ผ่านมาพวกผมก็เจอกันมาหนักมากพอแล้ว  อีกอย่างนะครับลุง  ที่วันนี้พวกผมเจอดี คงเป็นเพราะพวกเราเดินไปเตะโกศคนตายเข้าให้ครับ  เขาคงไม่พอใจ”

“55555  มึงใช้คำว่าพวกอย่างนั้นหรอ  สาบานกับกูสิว่าไอ้หนุ่มข้างมึงมันเห็นไปกับมึงด้วย  อีกอย่างนะ ถ้าระหว่างทางเดินไปกับกู พวกมึงไม่ได้สังเกต  กูจะให้โอกาส  ลองมองกลับไปอีกครั้ง…”

ลองมองกลับไป เพื่อจะได้เห็นว่า แท้จริงแล้วโกศสีทองสีเงินใบเขื่องเหล่านั้น…มันไม่เคยมีอยู่จริง


เสียงฝนและลมกรรโชกแรงพัดสาดเข้าสู่กระจกรถเป็นระยะ…


ระยะเวลาที่ใช้ในวัดที่สองไม่มากนัก  เนื่องจากตอนช่วงที่พวกเรากำลังตามหาน้ำในวัดที่สอง  ฝนห่าใหญ่ที่พวกเราคาดว่าน่าจะตกกันตั้งแต่วัดแรกก็เทลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย  จนทั้งผมและทีมงานต้องรีบวิ่งกันเข้าไปหลบอยู่ในอุโบสถกลางวัด 

ผมไม่รู้ว่ามันเป็นความต้องการของรายการหรือว่าเป็นเรื่องปกติ  เพราะวัดที่สี่ที่พวกเรามาถึง มีผู้คนจำนวนมากได้เข้ามาทำบุญในวัด ราวกับว่าคำสั่งของเกมส์นี้คือให้ผมไปวัดที่เงียบที่สุดในตอนเช้าและไปวัดที่มีผู้คนมากที่สุดเมื่อตกบ่าย  ยิ่งไปกว่านั้นจะเรียกว่าเป็นความโชคดีของพวกผมก็ได้  เมื่อผมไม่ต้องดั้นด้นหาน้ำให้มากความ เนื่องจากว่าผมสามารถนำถุงที่เตรียมมารองน้ำฝนกลับไป  ช่วงเวลาที่ต้องรอฝนหยุดพร้อมกับคนหมู่มาก  จึงเปรียบเป็นดั่งเวลาทองที่พวกผมจะได้แสร้งเข้ามากราบไหว้พระภายในอุโบสถหลังงาม  และรีบหาสายสิญจน์หรือวัตถุมงคลเล็กๆเพื่อแอบพกกลับกันไปด้วย  แต่วันนี้คงดูเหมือนว่าโชคจะไม่เข้าข้างพวกผมเท่าไร เพราะภายในนี้ผมยังหาของพวกนั้นไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว

เมื่อฝนเริ่มซา ทีมงานก็ได้สั่งให้พวกเรารีบกลับไปขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับบ้าน  เพราะดูท่าแล้วว่าฝนคงไม่หยุดตกง่ายๆ  และก็เป็นดังที่ทีมงานบอก เมื่อผมนั่งรถมาได้สักพัก ฝนและลมพายุก็กระหน่ำเทลงมากันอีกครั้ง จนทำให้อากาศภายในรถลดลงไปหลายองศา จนพวกเราต้องนั่งกอดอกพิงกัน แลกเปลี่ยนความร้อนในกายให้กลบความหนาวเย็นตรงนี้ไป

พอผมได้มีเวลานั่งคิด  มีเวลาอยู่กับตนเอง กระแสความคิดที่ยังตกค้างอยู่ในหัวก็ไหลกลับเข้ามาจนชวนให้มึนงงเพราะยังไม่สามารถเรียบเรียงทั้งหมดให้เข้าที่ได้  แต่ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นประเด็นเด่นชัดและติดค้างมากที่สุดคงเป็นเรื่องที่ลุงสัปเหร่อพูดเตือนมาเมื่อเช้า  โดยก่อนกลับลุงแกได้เข้ามาพูดคุยกับผม และพูดประโยคหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกชาไปตั้งแต่หัวจนถึงปลายเท้า  คำพูดนั้นเป็นคำพูดธรรมดาที่ไม่ธรรมดา เพราะผมได้ยินมันเป็นครั้งที่สองแล้วตั้งแต่ได้ทำโปรเจคนี้

“มึงหนะ”

“ใครครับ?...ผมหรอ”

“ก็เออสิวะ…กูขอถามอะไรมึงหน่อย  สงสัยไหมที่กูต้องจ้องมึงนานขนาดนั้นก่อนที่กูจะพามึงไปหาน้ำ”

“สงสัยมันก็สงสัยครับ  แต่ผมคิดว่าลุงมองเพราะสมเพชผมมากกว่า  คงตลกสินะครับที่ผมมายืนร้องไห้ทั้งๆที่เป็นผู้ชายเหมือนกับไอ้ภพ”

“ไอ้สมเพชมันก็แค่ส่วนหนึ่ง แต่จริงๆแล้วกูสงสาร”

“สงสาร?  สงสารผมทำไมครับ”

“ผีหรือวิญญาณที่มึงมองเห็น มันมีทั้งดีแล้วก็ไม่ดี  บางตนมาเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่อีกหลายๆตนมาเพราะเสียงเรียกหรือไม่ก็เพื่อหาตัวตายตัวแทน  มึงจะร้องไห้มันก็ไม่แปลกหรอก  สิ่งที่มึงทำมันคงไปเรียกวิญญาณอีกหลายๆตนให้เข้ามาหามึง ทั้งๆที่มึงไม่จำเป็นต้องเรียกมึงก็เห็นได้ แต่ถ้ามึงเรียกมา นั่นหมายถึง มึงพร้อมที่จะมารับความเคียดแค้น มึงพร้อมที่จะมารับเรื่องน่ากลัวพวกนี้  มึงกำลังท้าทายอยู่รู้ตัวไหม?  มึงกำลังเล่นกับสิ่งที่ไม่ควร

“ดวงตาของมึงมันไม่ได้ทิ้งร่องรอยของคราบน้ำตามึงเท่านั้น  กูอยู่กับเรื่องพวกนี้มานาน กูย่อมรู้ดีว่า ดวงตาของมึงมันทิ้งรอยกรรมรอยบาปเอาไว้ด้วย การกระทำที่มึงทำอยู่…เลิกเสียเถอะ”

“แต่…ไอ้ภพ เอ่อ ผู้ชายคนนี้ เขาก็ท่องไปพร้อมผม ตั้งแต่คาถาแรกที่พวกเราโดนบังคับให้ท่องนะครับ”

“ไม่ใช่ว่าทุกคนหรอก ที่จะรับเอาสิ่งพวกนี้เข้าไปได้  หากชาติที่แล้วมึงไม่ทำกรรมมามาก ชาตินี้จิตมึงก็คงแข็งได้ไม่เท่ามัน”

ทุกๆบทสนทนาที่ได้กรองออกมาจากปากของลุงสัปเหร่อ  ค่อยๆดึงเอาความคิดและข้อสงสัยเก่าๆภายในหัวของผมให้กลับมา  บ้านหลังนี้ทิ้งปริศนาไว้ให้ผมหลายเรื่อง  และดูเหมือนว่า เรื่องที่ผมเคยสงสัยเรื่องหนึ่งจะได้รับการยืนยันแน่ชัดอีกครั้งผ่านปากของลุงสัปเหร่อ  ซึ่งก่อนหน้านี้เรื่องนี้คือเรื่องที่ผมเคยคิดอยู่เล่นๆเพียงคนเดียวเพราะหาเหตุผลมารองรับไม่ได้  อีกอย่างไอ้ภพคือคนที่ต้องผ่านมันบ่อยครั้ง  แต่มันก็ไม่ได้มีทีท่าตื่นตระหนกหรือปิดบังอะไรกับผมแต่อย่างใด  ผมจึงสรุปเอาเองไปว่า  ไอ้ภพมันก็คงยังไม่ได้รู้หรือสงสัยขึ้นมาจริงๆ

การเดินทางกลับบ้านใช้เวลาไปไม่เกินสามชั่วโมงซึ่งถือว่าน้อยกว่าเมื่อวานมาก  เมื่อกลับมาถึงบ้านฝนฟ้าก็หยุดพอดี  ผมจึงได้มีโอกาสกลับมาเตรียมใจรับมือกับเกมส์ที่ต้องท้าทายคืนนี้  แม้จะได้รับคำเตือนมาหลายครั้งหลายหน  ผมก็คงทำได้แค่น้อมรับมันเท่านั้น  ไม่มีทางเลยที่ผมจะสามารถทำตามใจตนเองให้ออกไปจากบ้านหลังนี้ก่อนวันเวลาที่กำหนด  ทิ้งไอ้ภพให้ค้นหาความจริงต่อไปเพียงผู้เดียว โดยที่ผมก็ทำได้แค่นั่งรอความตายอยู่กับโลกหลังความตายเพียงคนเดียว

เสียงกุกกักภายในบ้าน เรียกให้ผมกับไอ้ภพหันไปมองหน้ากัน  เวลานี้คงเป็นเวลาที่ลุงคำเข้ามาจัดเตรียมอาหารและสิ่งของเพิ่มเติมนอกเหนือจากสิ่งที่เกมส์เตรียมไว้ให้   ความรู้สึกคลางแคลงในตัวลุงคำพวกผมก็ยังไม่ได้ถึงกับทิ้งไปโดยสมบูรณ์  เกมส์นี้จะให้ไว้ใจใครเต็มร้อยก็คงไม่ไหว  ผมกับมันจึงค่อยๆเดินเข้าบ้านไปอย่างเบาที่สุด  ส่งสัญญาณให้ทีมงานด้านหลังเงียบตามโดยให้เห็นว่าพวกเรากำลังจะเข้าไปหยอกล้อกับลุงคำ

การก้มๆเงยๆอยู่ที่หน้าตู้เก็บของเป็นภาพที่ผมและไอ้ภพเห็นกันอยู่ประจำ  เพราะนั่นคือจุดที่ลุงคำจะแวะเข้าไปนั่งเสมอหากเกมส์สั่งให้เอาอะไรมาเพิ่ม   แสดงว่าเกมส์คืนนี้พวกผมต้องเล่นเกมส์ที่ใช้อุปกรณ์ในการเล่นมาก  ไม่ก็เกมส์กำลังจะมีคำสั่งนอกเหนือจากเดิมอีกครั้ง  ความผิดปกติที่ทำให้พวกเราถึงกับขมวดคิ้วลง เกิดขึ้นหลังจากที่เรายืนจ้องลุงคำกันอยู่สักพักแต่ก็ไม่เห็นวี่แววลุงคำจะเงยหน้าขึ้นมาเสียที  มิหนำซ้ำ ลุงคำยังพยายามจะรื้อหรือยุ่งกับอะไรบางอย่างภายในตู้จนเราอดไม่ได้ที่จะร้องทักขึ้น

“นั่นลุงกำลังทำอะไรครับ?” ไอ้ภพร้องพูดเสียงดังลั่น จนสังเกตได้ถึงการหยุดมือของลุงคำภายในตู้

“อะ…อ้าว  พวกเอ็งกลับมากันตั้งแต่เมื่อไร  ไม่เรียกลุงหละ” ลุงคำหันกลับออกมาจากตู้ ใช้สายตาหลุกหลิกชวนให้สงสัยมองมาที่พวกเราทั้งคู่ ก่อนจะเบนไปยังทีมงานอีกสองคนที่อยู่ด้านหลัง

“ผมเห็นลุงวุ่นวายอยู่กับตู้เก็บของ เลยไม่ได้ทักครับ ว่าแต่ลุงยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลยนะครับ…ลุงกำลังทำอะไร?”

“ลุงก็กำลังเก็บของให้พวกเอ็งอยู่นั่นแหละ วันนี้ของเยอะน่าดู”

“ไม่ใช่ว่าหาอะไรอยู่หรอครับ?”ไอ้ภพพูดเสียงเข้ม และใช้ดวงตาสีดำสนิทจ้องลึกไปยังลุงคำติดจะเอาเรื่อง สร้างความฉงนใจให้กับผู้ที่เป็นคู่สนทนาจนน้ำเสียงที่ตอบกลับมาฟังเข้มขึ้นไม่ต่างกัน

“หมายความว่าอย่างไร?”

“ผมหมายความตามที่พูดครับ  เห็นลุงคำก้มๆเงยๆอยู่นาน แค่ใส่ของเข้าไปไม่น่าจะนานขนาดนั้นนะครับ”

“คิดว่าในตู้มันมีพื้นที่เหลือเยอะหรือไง  ลุงก็ต้องจัดแจงพื้นที่ให้พวกเอ็งบ้าง  อีกอย่าง  พักนี้พวกเอ็งเป็นอะไร  ทำไมถึงได้จ้องแต่จะหาเรื่องลุงตลอด ตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้วนะ”

“ผมไม่ได้หาเรื่องครับ  ถ้าลองให้ลุงมาเป็นผม ลุงก็ต้องเกิดอาการแบบนี้เหมือนกัน ผมไม่กล้าไว้ใจอะไรรายการทั้งนั้น เกิดลุงถูกสั่งให้เอาของแย่ๆมาไว้อีก พวกผมจะใช้ชีวิตกันอย่างไร  แค่ที่โดนกันอยู่มันยังไม่หนักพอหรือไงครับ”

“ลุงก็แค่ทำตามคำสั่งของรายการ  ต่อให้ลุงจะต้องทำอย่างที่เอ็งว่า ลุงก็เลือกไม่ได้ เพราะนั่นคือคำสั่ง”

“พอเถอะครับ อย่ามาเถียงอะไรกันตรงนี้เลย…วันนี้ลุงเอาอะไรมาให้เพิ่มหรอครับ?”ผมรีบห้ามปรามไอ้ภพและลุงคำที่กำลังเล่นสงครามประสาทกันอยู่  ก่อนจะเบี่ยงประเด็นไปที่คำถามอื่นก่อน เพื่อไม่ให้ทีมงานสงสัยในตัวพวกเรามากกว่านี้

“อ๋อ ก็พวกอุปกรณ์ที่ต้องใช้เล่นเกมส์นั่นแหละ  พวกเอ็งคงไม่อยากเอาของที่ใช้กันอยู่ไปเล่นหรอกใช่ไหม? แล้วก็ถ้าจะทำกับข้าว  ก็ทำไว้เยอะกว่าเดิมหน่อยนะ  พวกเอ็งต้องใช้” ลุงคำหลับตาลงสะกดอารมณ์ตัวเองไว้แค่ครู่เดียว ก่อนจะหันมาตอบผมด้วยเนื้อเสียงที่กลับมาเป็นปกติ

“ใช้?  เกมส์คืนนี้พวกเราต้องทำอะไรอย่างนั้นหรอครับ”

“อ้าว นี่พวกเอ็งยังไม่ได้อ่านกันหรอ? เกมส์คืนนี้พวกเอ็งต้อง”

“กลับกันดีกว่าไหมครับลุงคำ  ผมว่าหมดหน้าที่ลุงแล้วหละครับ”

ยังไม่ทันที่ใครสักคนจะได้บอกปฏิเสธ  เสียงทีมงานก็ดังขัดคำพูดลุงคำขึ้นมาเสียก่อน  จนดวงตาของลุงคำฉายแววไม่พอใจชัดเจนขึ้นมา และพลันหายไปทันทียามที่ต้องนำมาใช้มองพวกผม  คำพูดที่หายไปของลุงคำกระตุ้นความต้องการที่จะรู้ของผมเป็นอย่างมาก ราวกับกำลังเล่นเกมส์เติมคำในช่องว่าง  และสุดท้ายเมื่อทีมงานเดินนำออกจากบ้านไปก่อน ลุงคำก็ได้หันกลับมาจ้องไอ้ภพอย่างเอาเรื่องอีกครั้ง  พร้อมกับการพูดที่ใช้น้ำเสียงกดต่ำลงเพื่อทิ้งท้ายการออกจากบ้านในวันนี้จนคนฟังกดดันและอึดอัดไปกับท่าทีของลุงคำนั่น

“ระวังตัวให้ดี”

คือคำสุดท้ายที่ทำให้ปลายเท้าของผมเย็นชืด และรู้สึกชาวาบขึ้นมา ดวงตาของลุงคำไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แกกำลังโกรธจัดกับอะไรบางอย่าง บางอย่างที่อาจเป็นคำพูดไอ้ภพ หรือไม่ก็การตัดบทของทีมงาน จนเดาวัตถุประสงค์ของการร้องเตือนขึ้นมาไม่ได้เลย  และอย่างที่ผมเคยบอก หนังสือทุกเล่มที่วางไว้อยู่บนชั้นมันกำลังชี้เป็นชี้ตายชะตาชีวิตผม  เมื่อสามคนที่ใกล้หมดเวลาในบ้านนี้เดินออกไป  คนทั้งสองที่เหลือจึงต้องเบนสายตาทั้งหมดไปจับจ้องที่ตู้หนังสือ และกรูกันเข้าไปหาเพื่อฟังคำพิพากษาในคืนนี้

เรื่องราวในนั้น  มันกำลังสั่งให้พวกผมแสดงความสามารถทางด้านอาหารออกมาให้มากที่สุด

เรื่องราวในนั้น  มันกำลังบอกผม ให้เผื่อท้องไว้สำหรับการทานอาหารมื้อดึก ร่วมกับแขกเหรื่อที่พร้อมมากันในยามวิกาล

และเรื่องราวในนั้น  มันกำลังจะบอกกับผมให้เตรียมใจที่จะต้องพบเจอกับภาพอันน่าเวทนา เพราะเหล่าบรรดาแขกเหรื่อทั้งหลายอาจจะอาฆาตมาดร้ายเราได้  หากเรา…ต้องแย่งข้าวเขากิน




*****************************************TBC**********************************************
สวัสดีครับทุกคน  เฮ้ :katai2-1:  วันนี้เอาตอนที่ 17 มาส่งแล้วนะครับบ
ก่อนอื่น ต้องขอขอบคุณทุกๆคอมเมนต์ ทั้งคำติและคำชมนะครับ ผมพร้อมน้อมรับทุกอย่าง
สวัสดีนักอ่านหน้าใหม่หลายๆคนที่อาจหลงเข้ามานะครับ  5555 ไม่รู้จะอ่านแล้วเป็นอย่างไร แต่ผมอยากให้มีความสุขและลุ้นไปพร้อมกันกับผมนะครับ
เหมือนเดิมเลย  หากพบคำผิดหรือประโยคที่ไม่ลื่นไหลสามารถบอกผมได้นะครับ เดี๋ยวผมจะปรับแก้ให้
ส่วนใครที่อยากติมชมอีกช่องทาง  สามารถเข้าไปพูดคุยกับผมได้ตามทวิตเตอร์ข้างล่างนี้นะครับ หรือไม่ก็ผ่านแท็ก #Nightmaregame ก้ได้ครับหากไม่สะดวกติดตาม
เจอกันอาทิตย์หน้าครับ
P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่17 คำเตือน (21/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: nugnig7 ที่ 21-03-2017 20:03:54
เกลียดทีมงานพวกนี้ ตกลงลุงคำนี่ดีหรือไม่ดีกันแน่ จะมีใครเชื่อใจได้มั้ยน้อ อ่านมาจนถึงตอนน้ก็ยังกลัวเหมือนเดิม ตอนหน้ามีแววจะโดนรุม ภพกับมิวจะไหวมั้ยยย โฮรรร
 :mew1: :mew1:
ขอบคุณผู้แต่งมากนะคะ ติดตามค่าาา เป็นกำลังใจให้
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่17 คำเตือน (21/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 21-03-2017 20:40:28
จะอ่านกี่ตอนๆก็หลอนตบอด แล้ว่อย่างที่คคห.ข้างบนว่า สรุปลุงคำนี่ดีหรือไม่ดีเนี่ย :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่17 คำเตือน (21/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: karamailpraleen ที่ 21-03-2017 21:03:37
น่ากลัวขึ้นทุกที :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่17 คำเตือน (21/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-03-2017 21:34:24
คนของรายการไม่น่าไว้ใจซักคน
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่17 คำเตือน (21/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 21-03-2017 23:38:47
ลุงคำก็แค่ทำตามคำสั่งรึป่าว ; - ;;;

แล้วแต่ละเกมนี่ก็นะ มิวเฉาหมดแล้ว โอย  :z3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่17 คำเตือน (21/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: TonyPat ที่ 22-03-2017 18:12:24
เย้ๆๆๆ มาแล้วๆๆ หลอนๆแบบนี้ต้องอ่านตอนเที่ยงคืน หุหุ :call:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่17 คำเตือน (21/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: JACKSON ที่ 22-03-2017 18:38:08
มิวสู้ๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่17 คำเตือน (21/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 22-03-2017 21:15:31
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่17 คำเตือน (21/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: qxrb ที่ 23-03-2017 18:35:09
 :z3:
มาต่อเร็วๆน้าา
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่18 เลี้ยงผี (28/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 28-03-2017 22:32:57
ตอนที่18

เลี้ยงผี


หอม…

กลิ่นหอมอ่อนๆของใบกระเพรายามต้องไฟร้อน  ลอยโชยผ่านจมูกของชายหนุ่มสองคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำกับข้าวภายในครัว คนหนึ่งง่วนกับการทำเมนูพิเศษสำหรับคนสองคนและสำหรับการจัดลงจานใบเล็กๆอีกสามถึงสี่ใบ  อีกคนกำลังนั่งคดข้าวสวยร้อนๆออกจากหม้อหลังจากทำการหุงสุกและปล่อยให้ข้าวระอุมาได้พักหนึ่ง

เวลายามอาทิตย์อัสดง คงเหมือนฝันยามเย็นของผู้คนข้างนอกนั่น  การทำงานบวกกับความตึงเครียดในการใช้ชีวิตสามารถนำมาซึ่งความสุขเล็กๆที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆเพียงแค่ได้รับประทานอาหารรสถูกปาก หรือแค่เพียงได้กลิ่น  ทุกความอ่อนล้าที่สะสมมาก็แทบจะจางหายไปทั้งหมด

แต่คงไม่ใช่สำหรับชายหนุ่มทั้งคู่

ใบหน้าที่ติดจะง้ำงอและอาการที่แสดงถึงการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  เกิดขึ้นหลังจากที่หนังสือเล่ม 8 ถูกเปิดอ่านเนื้อความข้างในกำลังทำให้ความสุขในมื้ออาหารของทั้งคู่พังทลายลงในพริบตา  เพียงเพราะอาหารมื้อนี้จะไม่ใช่มื้อสุดท้ายของวัน หากแต่เมื่อถึงเวลา 23.55 นาที คนทั้งคู่จะต้องเตรียมนำสำรับอาหารออกมาตั้งรอแขกเหรื่อที่กำลังจะถูกเชิญมาฉลองการต้อนรับการขึ้นวันใหม่ผ่านเสียงเรียกของตะเกียบ

“ไอ้มิว  มึงจะเอาไข่ดาวด้วยไหม? กูจะได้ทอดเผื่อ” เสียงไอ้ภพร้องขัดความคิดที่แล่นไปไกลของผม 

“ฮะ? เออ  เอาดิ  มีกระเพราหมูไม่มีไข่ดาวได้ไง  เชยหมด”

“ทำไมจะไม่ได้? อาหารมื้อแรกที่กูกินในบ้านนี้ก็กระเพราหมูไข่เจียว  มันยังไม่เห็นมีไข่ดาวเลย”

“แหมไอ้สัส  มันก็ไข่เหมือนกันไหม?...ว่าแต่มึงเหอะ จำได้ด้วยหรือไงว่ากูทำอะไรให้กิน  ขนาดกูยังลืมไปแล้วเลย ถ้ามึงไม่พูด”

“ทำไมกูจะจำไม่ได้หละ  รสชาติหมาไม่แดกขนาดนั้น”

“อ้าว???  มึงครับ พูดจาแบบนี้คราวหลังไม่ต้องมาง้อให้กูทำนะครับ  เชิญมึงทำกินเอง”

“หึหึ กูล้อเล่น  กูแค่ไม่อยากให้มึงเครียด…อาหารที่มึงทำใครจะจำไม่ได้หละ ก็อยู่กันแค่สองคน”

“อย่าว่าแต่กู ขนาดมึงยังหัวเราะได้ไม่เต็มเสียงเลย”

“หืม?  กูก็เป็นของกูแบบนี้มานานแล้วนะ”

“ไม่หรอก  ตอนมึงยังติดค้างเรื่องน้องสาวอยู่ มึงก็ไม่เห็นเป็นแบบนี้  คราวนี้…มึงดูกังวลนะภพ มีอะไรหรือเปล่า?”

“อย่าให้พูดเลย  เดี๋ยวจะพาลกินข้าวกันไม่ลง”

หลังจากการปฏิเสธที่จะสานต่อบทสนทนา  ผมกับไอ้ภพ ก็รีบจัดแจงยกจานข้าวมานั่งหน้านิ่งกันอยู่ตรงโต๊ะอาหาร แต่ไม่มีใครยอมหยิบช้อนส้อมบนจานขึ้นมา ทั้งๆที่หิวจนไส้กิ่วทั้งคู่  คำถามที่ผ่านปากของผม ถูกกรองผ่านสมองแล้วว่า ผมต้องการแบ่งเบาความรู้สึกบางอย่างของไอ้ภพ เหมือนกับที่มันพยายามแบ่งจากผมไปตลอด  แต่ดูเหมือนว่าไอ้ภพจะยังคงไม่เข้าใจ มันถึงได้เลิกคิ้วหยั่งเชิงผมที่กำลังถอนหายใจออกมาไม่รู้กี่สิบรอบ ก่อนจะส่ายหัวและเริ่มนำมันกินข้าว

นี่คืออีกหนึ่งนิสัยที่แก้ไม่หายของไอ้ภพ  นิสัยที่จะไม่ยอมเปิดปากบอกเรื่องราวหรือความรู้สึกออกมาก่อน  หากคู่สนทนาไม่ยอมเกริ่นนำเรื่องของตนเอง  ในอดีตเรื่องราวของมันคงถูกคนที่ไว้ใจนำไปบอกต่อและทำให้จิตใจมันโดนทำลายอย่างไม่เหลือชิ้นดี  ไอ้ภพถึงไม่กล้าที่จะเอ่ยปากอะไรออกมาเลยสักคำแม้ใจมันกำลังจะทุกข์สุดๆแล้วก็ตาม เมื่อเห็นว่าคาดคั้นไปก็ไม่ได้อะไร  ผมจึงต้องปล่อยให้เวลาทำงานอย่างเต็มที่  ก่อนที่ผมจะไปหยุดมันไว้เพราะเรื่องราวที่เป็นไม้เด็ดของตนเอง

“อิ่มแล้วใช่ไหม? ไอ้ภพ” ผมเปิดปากถาม หลังจากที่จานบนโต๊ะถูกนำไปล้างเก็บหมดทุกใบ

“อืม อิ่มแล้วมีอะไร?”

“จะบอกกูได้หรือยัง  ว่ามึงกำลังกังวลอะไรอยู่”

“อย่ารู้เลย  ไม่ได้สำคัญอะไรเท่าไรหรอก”

“เฮ้อ  มึงก็เป็นแบบนี้ทุกที….งั้นกูจะเล่าเรื่องของกูก่อนแล้วกัน”

“เรื่อง?”

“มึงยังสงสัยอยู่หรือเปล่าภพ…เรื่องสายสิญจน์”ผมสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะเริ่มถามมันด้วยน้ำเสียงที่เบาลงจนแทบกระซิบ บรรยากาศเสียงดังเมื่อครู่จึงค่อยๆพลันหายไปด้วย

…จากที่เคยส่งเสียงเฮฮา บัดนี้ บ้านทั้งหลังได้กลับเข้าสู่โหมดวังเวงชวนให้ขนหัวลุกอีกครั้ง…

“ก็นิดหน่อย  แต่มึงคงมีเหตุผลของตัวเองถึงได้บอกให้กูทำ” ไอ้ภพพยักหน้ารับ และเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงโทนเดียวกับผม

“อืม ตามนั้น กูมีเหตุผล…เมื่อวาน ที่กูบอกมึงไปว่า มึงยังไม่ได้เปิดผ้าปิดตา  กูโกหก”คำสามพยางค์หลังถูกผมเน้นออกมาด้วยความจริงจัง  เรียกให้คิ้วของไอ้ภพกดลงจนเดาอารมณ์ไม่ได้

“โกหก?  หมายความว่ายังไง”ไอ้ภพถามเสียงเครียด

“ภพ…มึงเปิดผ้าปิดตาไปแล้ว แต่ที่มึงยังไม่เห็น มันเป็นเพราะมึงกำลังโดนผีบังตา   ผีนั่นมันนั่งอยู่บนคอมึงเอื้อมมือมาปิดตามึงอยู่  จำได้ไหมตอนที่กูบอกว่าจะเปิดผ้าให้มึง สายตาของกูมันไม่ได้มองหน้าของมึงเลย”

“เป็นไปไม่ได้…กูไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย”ไอ้ภพพูดเสียงเบากับตัวเอง  ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามย้ำกับผมด้วยแววตาที่กำลังวิตก

“รู้สึกสิ ไม่อย่างนั้นมึงคงไม่ตะโกนสั่งให้กูหยุด ทั้งๆที่กูยังไม่เคยวิ่งไปไหน  อีกอย่าง มันก็เป็นแบบนี้….มาตั้งแต่เกมส์แรกแล้ว”ผมบอกมันด้วยเสียงที่พาให้เครียดกว่าเดิม  หลับตาให้ภาพในหัวพาย้อนเวลากลับไปตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในบ้าน จนกระทั่งต้องท่องคาถาที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล

“เกมส์แรก?  อย่างนั้นหรอ”ไอ้ภพทวนซ้ำ พร้อมกับใช้ดวงตาสีดำสนิทจ้องเข้ามาในตาผมอย่างกับว่ามันอยากจะบอกอะไร

“อืม ที่ผ่านมามึงเคยลองสังเกตตัวเองไหม  มึงเป็นคนแรกนะภพที่ถูกวิญญาณคุกคาม… 

ตอนเล่นเกมส์ซ่อนหา  กูวิ่งตามใครสักคนออกไปเพราะคิดว่าเป็นมึง   ตอนเล่นผีถ้วยแก้ว กูจะหันไปหามึงแต่กูเห็นหน้าวิญญาณผู้หญิงคนหนึ่งแทน  ตอนเล่นเกมส์ปอกแอปเปิ้ล  กูเห็นวิญญาณที่แสร้งว่าเป็นมึงเดินในกระจก  ตอนเล่นเกมส์เล่านิทาน  กูได้ยินเสียงวิญญาณร้องทักและเข้าใจว่าเป็นเสียงมึง  ตอนกูฝัน วิญญาณตนนั้นมันก็เข้ามานอนแทนที่มึง  ตอนที่จำลองเหตุฆาตกรรม มึงโดนวิญญาณควบคุม  ตอนเล่นโพงพาง มึงคือคนที่โดนวิญญาณเข้าถึงตัวก่อนกู และสุดท้าย เมื่อเช้า...คนที่เตะโกศผีสิงนั่นก็คือมึงนะภพ

….เข้าใจแล้วใช่ไหม  ว่าทำไมมึงถึงต้องพกสายสิญจน์  สำหรับกู ถึงพกมันก็คงไม่ช่วยอะไร  อีกอย่างกูขอโทษนะที่ต้องโกหก  ในตอนนั้นกูพูดออกไปไม่ได้  การที่กูต้องเห็นวิญญาณเข้าถึงตัวมึง มันอึดอัดมากนะ  กูอยากร้องไห้  กูอยากโวยวาย กูอยากร้องเตือนมึง  แต่ถ้ากูทำ เสียงทั้งหมดมันจะถูกบันทึกเข้ากล้องและสุดท้ายความลับที่เราพยายามรักษามาทั้งหมดมันจะพังลง”

“มิว…ถ้ากูพูดอะไรออกไปเกี่ยวกับเกมส์ซ่อนหานั่น มึงจะรับได้ไหม?”ไอ้ภพเกริ่นถามขึ้นมาหลังจากมันพยายามฟังคำบอกเล่าเกี่ยวกับมันซึ่งมันไม่เคยมองเห็น

“ถ้าเรื่องที่มึงจะบอก เกี่ยวกับการที่มึงห้ามทีมงานไม่ให้รีรันภาพให้กูดู ก็ไม่ต้องหรอก”ผมพูดปลอบใจมันพร้อมยิ้มเล็กๆ  ใบหน้าที่ติดจะกังวลของมันเริ่มทำให้ผมรู้ว่าเรื่องที่มันปิดบังผมไว้ คงต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้  ไม่เช่นนั้น ยามที่ผมพูดถึงเกมส์ซ่อนหา ไอ้ภพคงไม่นิ่งไป

“มึงรู้?”

“อืม  รู้มาได้สักพักแล้วหละ  แต่กูไม่ได้รู้ละเอียดหรอกนะว่ามึงเจออะไรเกี่ยวกับกูบ้าง  กูรู้แค่ว่าเรื่องนั้นมันต้องเกี่ยวกับวิญญาณที่กูเห็นแน่นอน … คราวนี้ ก็บอกออกมาให้กูฟังได้แล้วนะภพ ว่ามึงกำลังกลัวอะไร”

“กูไม่ได้กลัว  กูแค่…กังวลบางอย่าง  ตั้งแต่เราออกจากบ้านกันไปในตอนกลางวัน มึงบอกกับกูว่ารายการมันคงไม่อยากให้เราออกไปด้านหลังนั่นอีก  สำหรับกู รายการมันจะทำไปเพื่ออะไร  ทั้งๆที่มันก็เห็นว่ากูออกไปหลายครั้งแล้ว มันก็ยังดูนิ่งเฉย แม้มันจะสั่งให้ลุงมั่นมาบอกกู  แต่แค่เรื่องนี้มันถึงกับยอมลงทุนให้พวกเราออกไปเจอพระเจอวัดเลยเหรอ มันไม่สมเหตุสมผล มันไม่กลัวเราออกไปร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นหรอวะ”

“รายการจะกลัวอะไร  แค่คำบอกเล่าที่ไม่มีหลักฐานประกอบ คนอื่นจะยอมช่วยเราอย่างนั้นหรอ  มากสุดที่มีก็แค่คำยืนยันจากปากกูที่สามารถพร่ำให้ใครฟังก็ได้ว่ากูเห็นผี  แต่แล้วไง ใครจะเชื่อเรา”

“รายการกำลังเล่นอะไรอีก  มันดึงเราออกไปข้างนอก เพื่อให้บ้านหลังนี้ว่างอย่างนั้นหรอ หรือว่า…”

“รายการกำลังถ่วงเวลา”ผมพูดออกไปขัดกับไอ้ภพที่ยังพูดไม่จบ  สายตาเราทั้งคู่จ้องมองกันด้วยรู้ว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นลับหลังเรา จนเหงื่อในกายไหลท่วมเสื้อผ้าเพราะอาการหวาดกลัว

“มันจะถ่วงเวลาเพื่ออะไร  ในเมื่อตอนนี้เกมส์ก็วางหมุดที่จะกำจัดกูกับมึงออกอยู่แล้ว”

“ไม่ใช่ภพ…ไม่ใช่เราทั้งคู่ จากเกมส์ที่ผ่านมา ตอนนี้รายการนี้กำลังปักธงตายให้กูคนเดียว”ผมพูดออกไปด้วยดวงตาที่สั่นไหว  แต่นั่นคือการบอกไอ้ภพให้เตรียมพร้อมและยอมรับความจริงที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

“จะเป็นไปได้ยังไง  ในเมื่อมึงกับกูก็หย่อนขาเข้าโลงตายนี่มาพร้อมกัน”

“ได้สิ เกมส์ก็แค่จับขากูเข้าโลงอีกข้างก่อนมึงแค่นั้น ที่สำคัญ รายการเริ่มดันกูเข้าโลงมาตั้งแต่เกมส์ลิปสติกนั่นแล้ว”ไอ้ภพนิ่งเงียบไปพร้อมด้วยดวงตาตึงเครียด  ก่อนจะเอื้อมมือมาลูบมือผมเบาๆเพื่อให้น้ำตาที่เริ่มซึมไหลกลับเข้านัยน์ตาไปอีกครั้ง

“ภพ…มันจะเป็นไปได้ไหม ถ้าลักษณะของเกมส์นี้จะต้องมีหนึ่งคนที่เป็นบ้าไป  ไม่ก็ตาย”

“หมายความว่าไง”

“อย่างที่เรารู้ ทุกปีมันจะมีคนที่ออกก่อนเสมอ ซึ่งคนที่ออกไปส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้เลยนะภพว่าเขาไปอยู่ไหน   แม้กระทั่งทีมงานเขายังรู้แค่ชะตาชีวิตของคนที่ฝืนอยู่ต่อเลยว่ามีจุดจบอย่างไร”

“มึงกำลังจะบอกว่าคนที่ขอถอนตัวออกไป ส่วนใหญ่คือถอนตัวออกไปตาย”

“มันเป็นไปได้สูงมากแล้วตอนนี้  ตั้งแต่ที่กูได้ฟังเรื่องจดหมายลึกลับของวิญญาณที่มาขอให้กูช่วย  กูว่าคนตายพวกนั้นน่าจะมีส่วนที่เกี่ยวกับการเล่นเกมส์นี้  เพียงแต่ว่ากูไม่รู้ว่าเขาคือใคร เขาไม่เคยได้บอกกูเลย  เขาดูเหมือนจำอะไรไม่ได้  พวกมันรู้แค่ว่าก่อนตายตัวเองเจออะไร นอกนั้นก็ไม่ได้บอกและที่สำคัญ…ตั้งแต่กูตอบรับที่จะช่วย กูก็ไม่เคยเห็นวิญญาณพวกนั้นอีกเลย”

“ว่าไงนะ!! แล้วที่ผ่านมามึงเจอใครไอ้มิว มึงเห็นใคร??”

“กู ไม่รู้เลยไอ้ภพ  ตั้งแต่เกมส์เล่านิทานมา กูเห็นแต่วิญญาณที่ไม่เคยมาดีเลย ทุกตนมาเพราะแรงอาฆาต  มาเพราะคาถาเชิญวิญญาณ แต่พอเมื่อเช้ากูได้ฟังคำพูดเตือนของลุงสัปเหร่อ มันเลยทำให้ความคิดหนึ่งที่กูเคยคิดเล่นๆผุดขึ้นมา”

“อะไร?”

“กูไม่รู้ว่ามึงจะเคยคิดหรือเปล่านะ แต่ภพ กูสงสัยว่าบริเวณรอบๆบ้านหลังนี้ อาจเคยเป็นป่าช้า ไม่ก็ต้องมีป่าช้าตั้งอยู่ตรงไหนสักที่ในป่านั่น  วิญญาณพวกนั้นมันถึงได้ยินเสียงเรียกของเราที่ไปรบกวน”

“ป่าช้าอย่างนั้นหรอ?  ไอ้เคยคิดมันก็เคย แต่มันจะเป็นไปได้จริงๆหรอมิว อย่าลืมสิว่าแถวนี้มันก็มีบ้านลุงมั่นอยู่นะ”

“ลุงมั่นแกอาจอยู่มาก่อนที่ตรงนี้เป็นป่าช้าก็ได้   อีกอย่างโอกาสที่เกมส์จะจงใจสร้างทับที่ตายของคนอื่นมันก็มีเยอะนะไอ้ภพ จงใจพรางตาให้เราคิดว่าบ้านหลังนี้มันเคยมีคนตายจริงๆ”

“พิสูจน์กันไหม?” ไอ้ภพนิ่งคิดไปได้เพียงครู่เดียว  มันก็ตวัดสายตาขึ้นมามองผมก่อนจะเอ่ยประโยคเขย่าขวัญออกมา

“จะทำอะไร”ผมตอบกลับไปด้วยความตกใจไม่น้อย  แววตาของไอ้ภพมันกำลังบอกวิธีการบางอย่างที่ผมยังไม่อยากยอมรับ

“มิว  กูขอโทษนะที่ต้องพูดประโยคเห็นแก่ตัว แต่เกมส์คืนนี้ มึงช่วยอย่ากลัวได้ไหม  อย่าตื่นตกใจไปกับความเปลี่ยนแปลงรอบกาย  ลองฝืนมันดูอีกสักครั้ง  อย่าหลับตา  อย่าหลบตา มองทุกอย่างให้เห็นว่าวิญญาณพวกนั้นมันมาจากตรงไหน”

“อยากให้กูทำมากน้อยแค่ไหน?”ผมตอบมันไปด้วยคำถาม หยั่งเชิงดูใบหน้าไอ้ภพที่ดูอึกอักไปกับคำตอบ  ผมรู้ว่ามันคงไม่ได้อยากจะให้ผมทำ แต่เพราะความจำเป็นมันเลยไม่มีทางเลือก  ส่วนตัวผมที่ถามกลับไปแบบนั้นก็ไม่ใช่ว่ากล้าหรืออะไร ลึกๆแล้วผมยังคงกลัว  ยังคงหวาดผวาไม่ต่างจากวันแรก แต่เป็นเพราะผมอยากรู้ว่าไอ้ภพจะเป็นอย่างไรหากมันโดนคำถามเชิงความรู้สึก

“มิว กูขอโทษนะ แต่มึงจำเป็นต้องทำ” ไอ้ภพตอบมาเสียงอ่อนพร้อมหลบตาลงมองพื้น

“ไม่เป็นไร  ถ้ามันเป็นความต้องการของมึง กูจะทำให้ แต่ขอเงื่อนไขเหมือนเดิมนะภพ  ถ้าการที่กูต้องฝืนตัวเองทำให้กูหายไป ขอเป็นมึงได้ไหมที่เรียกกูกลับมา”

“เงื่อนไขนี้…คราวหลังไม่ต้องพูดแล้วนะ อยู่ด้วยกันมาขนาดนี้ ถึงมึงไม่ร้องขอกูก็มีคำตอบให้ได้เสมอ”

“คือ?”

“กูสัญญา”


แสก  แสก  แสก…


เสียงร้องดังระงมของนกแสกยามค่ำคืน  ร้องดังลั่นทั่วบริเวณบ้านและป่าด้านหลัง  พาให้ผมกับไอ้ภพต้องหยุดทุกกิจกรรมและเงยหน้ามองกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ  เสียงนกแสกร้องถือเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้ยินตั้งแต่ได้เข้ามาอยู่บ้านหลังนี้  สะกดให้หัวใจของผมด้านชาไปได้สักพัก ตามประสามนุษย์ที่กลัวในบรรยากาศแห่งความวังเวงทั่วไป

ความเชื่อของคนไทยโบราณ นกแสกคือสัญลักษณ์ของลางร้าย ไม่ก็ความตาย  ในปัจจุบันนักอนุรักษ์นกทั่วไปคงไม่พอใจหากมีใครพยายามจะยัดเยียดสิ่งเลวร้ายให้สัตว์โลกพวกนี้ แต่ด้วยความที่ไทยผูกติดกับความเชื่อเหล่านี้มาช้านาน มันจึงสามารถถ่ายทอดวรรณกรรมหลอนหัวจากรุ่นสู่รุ่นมาได้ อย่างน้อยผมก็ได้รับมาตั้งแต่อายุผมยังไม่ถึงสิบขวบดี ผ่านปากของเพื่อนเล่นสมัยเด็กๆ

และยังได้รู้เพิ่มมาอีกว่า…หากเสียงของนกแสกเริ่มบรรเลงขับขานทักทายราตรีกาลอยู่ใกล้บ้านของใคร

บ้านหลังนั้น…จะต้องมีคนตาย

“ใกล้ถึงเวลาแล้วนะ  เริ่มกันเลยเถอะ”

เสียงทักท้วงให้เริ่มเล่นเกมส์เหมือนในทุกๆวันของไอ้ภพ  เรียกให้ผมต้องลุกขึ้นมาเตรียมพร้อมที่จะนำตัวเองไปต้อนรับบรรดาแขกเหรื่อที่กำลังจะเข้ามาเยี่ยมเยียนเจ้าบ้านอย่างผมและไอ้ภพคืนนี้

“มิวไปหยิบ ถาดสำรับในครัวมาที  เดี๋ยวกูจะจุดเทียน”

ผมพยักหน้าตอบรับคำสั่งของไอ้ภพ  เดินไปหยิบสำรับอาหารที่ถูกแบ่งใส่ถ้วยขนาดเล็กเอาไว้  ปาร์ตี้เลี้ยงผีคืนนี้อาหารเลิศรสที่คนเป็นบรรจงสร้างประกอบไปด้วย ผัดกระเพรา  ขนมหวานจำพวกทองหยิบและทองหยอดที่ลุงคำนำมาใส่ไว้ในตู้เย็น  จานข้าวสวยที่บัดนี้เย็นชืดดูไม่น่ากิน  และสุดท้ายเป็นผลไม้ที่ผมแบ่งออกมาหลังจากจบการทานมื้อเย็น

พิธีกรรมดำเนินไปเหมือนกับหลายๆคืนที่ผ่านมา คือการนำสิ่งของที่ต้องใช้ทำพิธีรวมถึงพวกผมสองคนให้อยู่ตรงกลางมีเทียนสี่เล่มถูกวางชดเชยแสงไฟภายในบ้านไว้สี่มุมล้อมรอบ  คาถาเชิญวิญญาณถูกหยิบยกขึ้นมาอ่านอีกครั้งตามคำสั่งในหนังสือ พร้อมกับการเริ่มจุดธูปให้กลิ่นของมันดึงความตายที่พวกผมยังไม่เคยสัมผัส กลับเข้ามาสู่การใช้ชีวิตเยี่ยงคนเป็นอีกครั้ง

อิติ สุคโ…

กึก

“มิว…หยุดทำไม?”

ไอ้ภพเงยหน้าขึ้นมาจากการอ่านคาถาในหนังสือ เพื่อถามถึงอาการที่เงียบไปอย่างกะทันหันของผม หลังจากการเริ่มท่องคำแรกของคาถาเชิญวิญญาณ ความรู้สึกบางอย่างรอบกายผมก็เปลี่ยนไป  บางสิ่งบางอย่างกำลังสะกดให้ใบหน้าของผมหันไปมองยังม่านความมืดรอบตัวด้วยแววตาที่จะเรียกว่ากลัวปนกังวลก็คงไม่แปลกนัก  ความรู้สึกที่ว่านี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างที่ร้องเตือนว่าในเกมส์คืนนี้กำลังมีผู้ร่วมชมรายการที่ได้รับสิทธิพิเศษให้เข้ามาดูการถ่ายทำในระยะที่ห่างกันเพียงหายใจรดต้นคอก็ไม่ควรจะมี

เพราะถ้ามันเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว  ผมต้องสัมผัสมันได้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา

“ภพ  มึงท่องคาถาเชิญวิญญาณจบแล้วใช่ไหม?” ผมหันกลับมามองหน้าไอ้ภพ  พร้อมกับถามคำถามที่คาดหวังว่าคำตอบจะออกมาเป็นที่ต้องการของผม

“กูยังไม่ได้ท่องเลยมิว….เกิดอะไรขึ้น?”

“ภพ บ้านหลังนี้มันแปลกไป  กูรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง”ผมตอบเสียงเครียด พร้อมกับที่ค่อยๆเคลื่อนกายเข้าหาผู้ชายตรงหน้า

“คือ?”

“กูรู้สึกเหมือนมีใครสักคน…จ้องพวกเราอยู่”

“มาจากตรงไหน?” ไอ้ภพรีบถามกลับพร้อมกับหันหน้ากวาดสายตาไปทั่วบริเวณบ้านตามอย่างที่ผมเคยทำก่อนหน้า

“กูไม่รู้ภพ  กูมองหาทั่วแล้วก็ไม่มี  บางที…กูอาจกลัวจนคิดไปเอง”

“ดูไปก่อนแล้วกัน  ความรู้สึกของมึงไม่น่าใช่การคิดไปเอง”

อิติ สุคโต อรหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ ปฐวีคงคา พระภุมมะเทวา………

ผมพยักหน้ารับไอ้ภพแล้วเริ่มท่องคาถาเชิญวิญญาณให้จบบทอีกครั้ง ก่อนที่จะปักธูปเซ่นผีลงบนจานข้าวสวย  เรียกเอาบรรยากาศเดิมๆให้กลับมาวนเวียนภายในบ้าน  อากาศที่เคยถ่ายเทสะดวกก็ดูจะหยุดนิ่งไปจนรอบกายรู้สึกถึงความอึดอัด ประกอบกับกลิ่นธูปที่ลอยพัดผ่านจมูกไปทางประตูครัวด้านหลัง ยิ่งทำให้เกมส์คืนนี้ดูเหมือนมีใครสักคนจงใจให้ทิศทางควันพาดผ่านพวกเราไปยังต้นเหตุของคำถาม

ป๊อก  ป๊อก  ป๊อก…

ผีตายห่า  ผีตายโหง  มันผู้ใดที่ได้ยินเสียงเรียกของกูนี้  กูขอเชิญพวกมึงให้มากินของเซ่นผีที่กูจัดหาให้ไว้ในคืนนี้!!!


.
.
.
(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่18 เลี้ยงผี (28/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 28-03-2017 22:33:24
เสียงเคาะตะเกียบสลับกับเสียงพูดดังคึกครื้นภายในบ้าน  พวกผมสองคนใช้น้ำเสียงที่เรียกว่าตะโกนกันออกไปอย่างสนุกปาก ทั้งๆที่หน้าตาไม่ได้สนุกด้วย  เรียกให้เหล่าวิญญาณที่อยู่บริเวณนี้มากินสำรับที่ผมจัดกันไว้ให้ตามคำสั่งของเกมส์  บทพูดที่พวกเราตะโกนออกไปนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้เกิดมาจากความคะนองปากของพวกเราแต่อย่างใด  แต่มันเกิดจากการที่เกมส์สั่งให้พวกเราพูดตามสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือให้เหมือนทุกคำ  ทุกพยางค์ พร้อมกับกำชับออกมาด้วยว่าต้องใช้น้ำเสียงที่ท้าทายมากกว่าเกมส์ครั้งก่อนๆ  หากเราไม่ทำตามนี้ เกมส์จะปรับแพ้ทันที

กึก

ใคร?  ใครที่กำลังจ้องมองพวกกูอยู่

ความรู้สึกที่เคยเกิดเมื่อช่วงต้นของการเล่นเกมส์  เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งหลังจากการเริ่มเรียกผีและตะโกนท้าทายออกไป จนผมต้องหยุดการเคาะตะเกียบและค่อยๆเริ่มกลั้นใจอีกครั้งเพื่อหาที่มาของดวงตาคู่ที่ใช้มองพวกผม

แล้วผมก็เจอ….

แสงเทียนอ่อนๆที่ให้ความสว่างภายในบ้าน  นำดวงตาไร้แววนับสิบคู่ให้ปรากฏเข้าสู่ม่านสายตาของผมจนต้องรีบยกมือปิดปากกันเสียงร้องที่อาจจะออกไปเพราะความตกใจ  ความกลัวแล่นริ้วขึ้นสู่ใจกลางสมองจนเนื้อตัวสั่นเทา  ดวงตาของผมสั่นจนทำให้ภาพที่เห็นพร่ามัวไปหมด 

หลังจากที่ตั้งสติและตัดสินใจที่จะไม่มองไปยังหน้าต่างบานนั้นเพียงอย่างเดียว ผมก็ค่อยๆเลื่อนใบหน้ากลับมาเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตทั้งกับตัวกล้องที่ถ่ายพวกผมอยู่หรือกับวิญญาณพวกนั้น  เมื่อผมหันใบหน้ากลับมาคาดหวังที่จะมองไอ้ภพ  สายตาของผมก็ไปปะทะกับกลุ่มดวงตาอีกลุ่มหนึ่งบนหน้าต่างอีกบาน  พวกมันกำลังยืนแออัดอยู่บริเวณบ้านหลังนี้  จ้องไปที่สำรับอาหารกลางบ้าน สลับกับการใช้ดวงตาโทโสเงยหน้ามองไอ้ภพที่ยังคงเคาะตะเกียบเรียกจนผมต้องเอามือไปจับมันไว้

…เสียงของไอ้ภพบวกกับกลิ่นธูป กำลังเรียกพวกมันให้มาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ…

“มิว…เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น”ไอ้ภพที่ถูกผมใช้มือเย็นเฉียบหยุดการกระทำเอาไว้ หันมองผมก่อนจะร้องด้วยความตกใจไปกับใบหน้า  ผมร้องไห้โดยพยายามกัดปากกลั้นเสียงสะอื้น  เนื้อตัวมีเหงื่อจำนวนไม่น้อยไหลออกมาท่วมกายจากความเครียดและหวาดผวา  ผมยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ไม่กล้าขยับไปไหน อีกทั้งยังเกร็งจนรู้สึกถึงอาการที่ใกล้มาของตะคริว   

ไม่กล้า…แม้แต่จะหายใจแรงจนทำให้พฤติกรรมตัวเองผิดสังเกตไป

“…”ผมส่ายหัวเล็กๆพร้อมจ้องตาสั่งไอ้ภพให้หยุดทำถามอาการผม 

“มาแล้วใช่ไหม?”เมื่อไอ้ภพรู้ตัวว่าตัวเองจะทำให้เรื่องที่เกิดแย่ลงกว่าเดิม  มันจึงถอยออกห่างผมเล็กน้อยและจ้องกลับมาหาผมที่พยักหน้าตอบรับคำถามของมัน

แกร๊บ  แกร๊บ…

เฮือก

เสียงเหยียบอะไรบางอย่างนอกบ้าน มาพร้อมกับการจับสัมผัสการเคลื่อนไหวได้ที่หางตาจนผมสะดุ้งและเริ่มตื่นกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ  วิญญาณที่พวกเราไม่ได้ตั้งใจเชิญมา เริ่มมีบางส่วนถดถอยออกไปจากหน้าต่างและเปลี่ยนเป็นเดินรอบๆบ้านตามทิศทางของกลิ่นธูปที่เปลี่ยนไป

ความรู้สึกแปลกประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูในร่างกายผม  ควันธูปที่ควรจะไหลออกไปเพียงทิศเดียว ถูกสลับเปลี่ยนไปมาอย่างน่าฉงน ทั้งๆที่ไม่มีแม้แต่ลมหายใจไปกระทบ ผมก้มลงมองภาพนั้นพร้อมกับไอ้ภพที่ไม่สามารถเก็บแววตาแห่งความสงสัยเอาไว้ได้  มันเงยหน้าขึ้นถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะคิดว่าทุกสิ่งที่เปลี่ยนไปภายในบ้านเกิดจากวิญญาณที่กำลังแย่งกันกินเครื่องเซ่น ทั้งๆที่ความจริงๆยังไม่มีวิญญาณตนไหนเข้ามาในบ้านได้เลย

“กูไม่รู้ไอ้ภพ  ควันนี่มันอาจเป็นปกติของธูปหรือเปล่า แต่  แต่ ตอนนี้มันไม่มีวิญญาณในบ้านจริงๆ”ผมตอบเสียงสั่น หลังจากนั่งก้มหน้าใช้เพียงหูฟังถึงการเคลื่อนไหวของวิญญาณสลับกับการจ้องมองควันธูปไปด้วย

“เกิดอะไรขึ้น  ปกติพวกมันก็เข้ากันมาได้”ไอ้ภพถามออกมาเหมือนพูดกับตัวเอง  ก่อนที่มันจะหันไปมองรอบบ้านด้วยแววตาเคร่งเครียดหนักกว่าเดิม เพราะความผิดปกติที่ต่างจากเกมส์ครั้งก่อนๆ

“กูไม่รู้ไอ้ภพ  กูไม่รู้”

แกร๊ก  แกร๊ก 

ปั้ง!  ปั้ง!  ปั้ง!


เฮือก

“ภ  ภพ  มึงได้ยินเสียงไหม  เสียงที่ประตู” จังหวะที่พวกผมปล่อยให้ความเงียบเข้ามาปกคลุมบรรยากาศบ้าน  เสียงลูกบิดหมุนพร้อมกับเสียงทุบประตูอย่างแรงก็ดังขึ้นลั่นบ้าน  เรียกให้ผมที่นั่งปล่อยใจยอมรับเรื่องที่เกิด กลับมาสะดุ้งตัวโยนจนหัวใจเต้นรัวเร็วอีกครั้ง

“มิว  บ้านหลังนี้ไม่มีเสียงอะไรเลย…นอกจากเสียงพวกเรา”

“ภพ…มันพยายามจะเปิดประตูเข้ามา พวกมันกำลังจะเข้ามา”เมื่อร่างกายไม่สามารถต้านทางความกดดันเอาไว้ได้อีก  น้ำตาที่หยุดไหลไปแล้วก็เริ่มคลอขึ้นมาพร้อมกับอาการคัดแน่นที่จมูกเนื่องจากกลิ่นธูปที่โชยเข้ามาเรื่อยๆ

“มิว ใจเย็นๆนะ จำที่กูขอได้ไหม  มึงสัญญากับกูไว้ยังไง”ท่าทีโวยวายของผม คงทำให้ไอ้ภพรู้สึกบางอย่างเข้า  มันจึงหยิบยก
เอาสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อตอนเย็นขึ้นมาพูด  เรียกให้ใจผมแกว่งไปเล็กน้อยเพราะความตกใจในน้ำเสียงของมันที่อ่อนลงจนแทบจะเป็นร้องขอ

“ขอร้อง…ได้ไหม” แววตาเว้าวอนแต่ก็ฉายแววเจ็บปวดของมัน ดันให้ช่วงหน้าของผมพยักรับความรู้สึก  ก่อนที่สายตาจะเบนออกจากหน้ามันไปเผชิญกับความจริงที่เกาะอยู่ตามหน้าต่างของบ้านหลังนี้

ผมขบกรามแน่นจนร้าวไปทั่วปาก  หลังจากการพยายามที่จะไม่ตื่นกลัวเพราะคำร้องขอของไอ้ภพ ทำให้ผมต้องต่อต้านกับความรู้สึกของร่างกายอย่างรุนแรง  ความกลัวและความอึดอัดที่มีถูกถ่ายทอดออกเป็นสัญญาณทางกายที่ผมต้องกัดปากตัวเองเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น  ต้องจิกเล็บตัวเองเพื่อกลั้นอาการสั่นกลัว หรือต้องพยายามถ่างตาให้กว้างเข้าไว้เพื่อที่จะให้ดวงตาเคยชินกับสัมภเวสีพวกนั้น  ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันก็แค่การหลอกตัวเอง

“มิว  วิญญาณพวกนั้นมาจากไหน”

“กู…ไม่รู้ภพ พวกมันอยู่แค่รอบบ้านหลังนี้ กูมองไม่เห็นที่ที่พวกมันมา”

“ถ้าอย่างนั้น เราเหลือวิธีเดียวแล้วนะ  ที่จะรู้”

“มึงจะทำอะไร?”

“เราต้องเปิดประตูครัว”

ปั้ง  ปั้ง  ปั้ง!!!

สิ้นคำพูดไอ้ภพ  เสียงเคาะประตูที่มีก็ยิ่งดังขึ้นไปอีก  เมื่อมองไปยังธูปที่ปักไว้ก็พบว่าธูปนั้นมันกำลังจะค่อยๆมอด รั้งให้ควันที่เคยมีจางหายไปด้วย  ดวงตาที่ยังคงจ้องมองมาในบ้านเริ่มเปลี่ยนเป็นแดงกล่ำ  พวกมันหลายตนพยายามที่จะใช้หัวของตนเองเคาะหน้าต่างที่กั้นโลกของความจริงและความตายเอาไว้ ก่อนที่ทั้งหมดจะอันตรธานหายไปและไปทำให้พื้นที่ด้านหลังบ้านนี้แน่นขนัดไปด้วยเสียงเคาะประตูและกำแพงบ้านแทน

“ไปเถอะ  ไปหาความจริงของเรากัน”ไอ้ภพร้องเรียกผมที่กำลังตื่นกลัวไปกับภาพที่เห็นและเสียงที่ได้ยิน

“รออีกหน่อยไม่ได้หรอภพ  ให้ควันธูปจางลงกว่านี้ก่อน”ผมเว้าวอนให้มันหยุด เนื่องจากสถานการณ์ที่ผมรับรู้ตอนนี้ มันเริ่มรุนแรงขึ้น

“เกี่ยวอะไรกับควันธูป  ผีพวกนั้นมันมาตามควัน?”

“อืม…มึงดูควันธูปตอนนี้  รู้แล้วใช่ไหมว่าตอนนี้วิญญาณพวกนั้นไปรวมกันตรงไหนหมด” ผมบอกพร้อมกับใช้สายตามองนำไอ้ภพไปที่ควันธูปจางๆ   ที่ตอนนี้กลิ่นของมันกำลังโชยไปทางด้านหลังบ้าน ผ่านออกไปทางประตูครัว

“ไหวอยู่ใช่ไหม?  ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนแล้วนะมิว กูไม่อยากรู้แล้ว”

“กู…ยังไหว”ผมตอบรับไปอย่างไม่เต็มเสียง พลางเงี่ยหูฟังเสียงวัตถุกระทบกับประตูและกำแพงบ้านไปด้วย 

“ถ้าอย่างนั้น  เตรียมรับมือเรื่องต่อจากนี้นะมิว ควันธูป…ใกล้จะหมดแล้ว”

“งั้นก็ไปกันเลย”ผมตอบออกไปแบบที่คิดว่ามั่นใจที่สุด  หลอกตัวเองไปว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้นหากผมกล้าที่จะเผชิญความจริงข้างนอกนั่น

พูดจบผมก็ลุกขึ้นออกจากกลางวง  เดินไปทางประตูครัวที่ตอนนี้เสียงเคาะประตูเริ่มเบาลงไปบ้างแล้วตามกลิ่นของควันธูปที่ค่อยๆจางไป ทิ้งไอ้ภพให้มองตามการกระทำที่ขัดแย้งกับพฤติกรรมด้านร่างกายอย่างสิ้นเชิง

อย่า…

ช่วงที่ผมกำลังชั่งใจและเตรียมยื่นเอามือที่สั่นเทาของตัวเองไปหมุนลูกบิดประตูให้เปิดออก  เสียงแหบทุ้มของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังร้องทักขึ้นมาจนหยุดการเอื้อมมือของผมไปได้  เสียงนั่นฟังผ่านๆคงคล้ายกับเสียงไอ้ภพ แต่เมื่อลองทบทวนดีๆก็พบว่ามันไม่ใช่ 

“มีอะไรไอ้มิว?” ไอ้ภพเดินมาถามหลังจากที่มันยืนมองผมอยู่ห่างๆและเห็นว่าผมหันกลับมามองไปรอบๆบ้านด้วยแววตาตื่นกลัวแทนที่จะหมุนลูกบิดประตูออก

“เสียงนั่น….เสียง  มีเสียงห้ามไอ้ภพ  เสียงใครไม่รู้มันดังห้ามไม่ให้กูเปิด”

“มาจากตรงไหน?”

“กูไม่รู้ภพ กูหาไม่เจอ แต่เสียงมันเหมือนลอยมาจากในบ้านนี้  ความรู้สึกเหมือนกับตอนที่กูบอกว่าเราโดนมองเลยภพ  มันเหมือนมาจากคนๆเดียวกัน” ลางสังหรณ์หรืออะไรสักอย่างบอกผม  ความรู้สึกที่ผมกำลังได้รับ ไม่ใช่เรื่องโกหก ไม่ว่าจะเป็นสายตาที่จ้องมอง  หรือจะเป็นเสียงทักที่ได้ยิน  ทุกสิ่งเกิดจากแหล่งที่มาแหล่งเดียวกัน

“ได้ยินอย่างอื่นอีกไหม?”

“ไม่แล้วภพ  กูได้ยินแค่นั้น มันไม่ได้คุกคาม แต่กูคุ้นมากเลยภพ เสียงนั่น…กูเหมือนเคยได้ยิน”

“แล้วกลัวหรือเปล่า?  กลัวเสียงนั่นไหม”

“ไม่ ไม่กลัว  กูแค่แปลกใจว่ากูได้ยินได้ยังไง  ในเมื่อบ้านหลังนี้มันไม่มีผี  อีกอย่างทำไมเสียงที่ได้ยินมันถึงได้คุ้นหูกูขนาดนี้”

“ถ้าอย่างนั้น  เดี๋ยวกูจะเปิดเอง มึงไปยืนกลางบ้านนะมิว เผื่อได้ยินอะไรอีกมึงจะได้รู้ว่ามันมาจากไหน”

ผมพยักหน้าแล้วเดินกลับมายืนอยู่กลางวงล้อมของเทียนอีกครั้ง  เสียงทุบกำแพงหนักๆรวมทั้งเสียงเคาะประตูที่ได้ยินหายไปจากโสตประสาทผมหมดแล้ว  เหลือเพียงแต่ความเงียบที่กลับมาเยือนบ้านหลังนี้ พร้อมกับท่าทางของไอ้ภพที่หันกลับมาถามไถ่เรื่องเสียงที่ได้ยิน และเมื่อเห็นผมส่ายหัว มันจึงหันขวับกลับไปเปิดประตู

อย่า…

อย่าเปิด!!


แกร๊ก

แอ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

พรึบ

ลมลูกใหญ่หอบเข้ามาในบ้านทันที หลังจากที่ประตูครัวเปิดอ้าออก  เทียนสี่เล่มที่คอยให้ความสว่างภายในบ้านพร้อมใจกันดับทั้งหมดสร้างความน่ากลัวและความหลอนให้เกิดขึ้นซ้ำๆ ช่วงก่อนที่ประตูจะเปิดผมได้ยินเสียงร้องห้ามขึ้นมาอีกครั้ง  คราวนี้เป็นเสียงที่ไม่ใช่แค่การห้ามแต่มันคือการตะคอกออกมาให้ผมทำตามคำสั่ง

ผมรีบเดินออกมาจากวงล้อมของเทียนเพื่อหาแหล่งที่มาของเสียง  หันไปทั่วทุกมุมบ้านด้วยความวิตกเนื่องจากเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ดังชัดจนไม่สามารถหลอกตัวเองได้แล้วว่าคิดไปเอง  มันดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่งภายในบ้าน  และเมื่อสายตาผมได้กระทบกับความโล่งของลานกว้างหลังบ้านผมถึงได้เริ่มเห็นว่าวิญญาณพวกนั้นมาจากตรงไหน และแท้ที่จริงแล้วเสียงที่เงียบหายไปมันไม่ได้หายไปไหน  เพียงแต่มันกำลังยืนจ้องมองเข้ามาจากบนกำแพงนั่นและรอเวลาเพื่อจะเตรียมวิ่งกรูกันเข้ามาหาเครื่องเซ่นผ่านประตูที่เจ้าบ้านเปิดต้อนรับ

แสก  แสก  แสก…

ปิดประตู!!

“ไอ้ภพ  ปิดประตู!!” ไม่ใช่แค่เสียงเดิมเท่านั้นที่ร้องสั่งผมให้บอกไอ้ภพปิดประตู  สัญชาตญาณในตัวผม มันก็สั่งให้ทำแบบนั้น  เมื่อภาพที่ผมเห็นและเสียงที่ผมได้ยินคือวิญญาณสัมภเวสีที่ต่างก็วิ่งกรูออกมาจากกำแพงนั่นพร้อมกับที่มีเสียงของนกแสกดังขึ้นร้องทักทายความตายยามที่สัมภเวสีเห็นช่องทางเข้าสู่เครื่องเซ่นไหว้กลางตัวบ้าน

ปั้ง!!

ไอ้ภพปิดประตูอย่างแรง พร้อมกับที่รีบวิ่งเข้ามาหาผม  ภาพที่ผมเห็นทั้งสองภาพดันให้บ่อน้ำตาที่ผมพยายามจะเก็บไว้พังทลายลงมา  ภาพแรกคือภาพที่วิญญาณเหล่านั้นกำลังวิ่งกรูกันเข้ามา  บางตนคือวิญญาณที่ผมเคยเห็นซ้ำๆจากหลายเกมส์ที่ผ่านมา  ส่วนอีกหลายๆตนผมไม่เคยเห็น สิ่งเดียวที่ผีทุกตนมีเหมือนกันคือความหิวโหยและร่ำร้องที่จะได้กินเครื่องเซ่นที่พวกผมไม่ได้ตั้งใจจะไหว้

ส่วนภาพที่สองเกิดขึ้นหลังจากที่ผมได้ยินเสียงให้ปิดประตู และพยายามหันไปหาแหล่งที่มาอีกครั้ง  คราวนี้ดูเหมือนความพยายามของผมจะเป็นผลเพราะช่วงที่กวาดสายตาไป  ผมไปสะดุดกับร่างๆหนึ่งในความมืด  ยืนอยู่บริเวณโซฟา  แสงเทียนที่ดับไปแล้วทำให้ผมไม่เห็นหน้าของวิญญาณตนนั้นชัดเจนนักแต่มั่นใจได้ว่าเป็นผู้ชาย  วิญญาณตนนั้นจับจ้องมาที่ผมและทำการส่ายหัวเล็กน้อยให้กับสิ่งที่พวกผมทำก่อนที่เขาจะเดินผ่านกำแพงบ้านออกไปต่อหน้าต่อตาผม

“มิว มีวิญญาณเข้ามาได้ไหม?”ไอ้ภพ ร้องถามด้วยใบหน้าที่ติดจะกังวลและหวาดกลัวไปไม่ต่างจากผม

“ฮึก  ไม่เห็นไอ้ภพ มึงปิดประตูได้ก่อน”

“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว  ใจเย็นๆนะ เราเหลือสิ่งที่จะต้องทำอย่างสุดท้ายแล้ว”

“ฮึก  งั้นก็ไปทำกั…”

ลมวูบใหญ่ที่พัดเข้ามา ไม่ใช่พัดพาเอากลิ่นธูปออกไปเท่านั้น 

แต่มันยังเป็นเหมือนบัตรเชิญที่นำพาวิญญาณกลับเข้าสู่โต๊ะอาหารคนตายอีกครั้ง…

เคร้ง  แจ๊บ แจ๊บ แจ๊บ

เสียงจานข้าวใบเล็กๆกระทบกับถาดใบเขื่องที่ตั้งไว้กลางบ้าน  ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคี้ยวอาหารอย่างเร่งรีบด้วยความหิวโหย  ช่วงจังหวะที่ผมยืนคุยกับไอ้ภพและเตรียมจะหันกลับไปทำภารกิจสุดท้าย  ภาพที่หางตาผม ก็ฟ้องขึ้นมาว่าบริเวณกลางบ้านตรงที่วางของเซ่นไหว้เอาไว้  ปรากฏร่างของวิญญาณกลุ่มหนึ่งกำลังรุมแย่งอาหารในถาดนั้นอย่างไม่คิดชีวิตจนผมถึงกับต้องปล่อยให้ดวงตาเบิกโพลงขึ้นมาและหยุดเสียงพูดไปเพื่อให้ดูไร้ตัวตนที่สุด

“อะ…ไอ้ภพ ฮึก”ผมคว้าข้อมือของไอ้ภพที่กำลังจะเดินเข้าไปนั่งแทรกระหว่างวิญญาณที่หิวโหยกลุ่มนั้น พร้อมกับส่ายหน้าไปมา

“ถ้าเราไม่ทำตอนนี้ มันก็จะไม่จบ ไม่ต้องกลัวนะมิว…กูอยู่ตรงนี้”คราวนี้กลายเป็นไอ้ภพ  ที่เดินคว้าข้อมือผมไปนั่งแทรกระหว่างวิญญาณกลุ่มนั้น จนพวกมันต้องหยุดหยิบจับอาหารและหันมาจ้องผู้มาใหม่ทันที

คำสั่งสุดท้ายที่ผมได้รับคือการที่ต้องเข้าไปแย่งข้าวผีกินตามที่ได้อ่านในหนังสือ  คำสั่งของเกมส์บอกเพียงว่าเมื่อถึงเวลาที่พวกเราเห็นว่าเหมาะว่าควร  สิ่งที่พวกเราต้องทำคือการเดินไปเคาะถาดเสียงดังสามครั้ง พร้อมกับการหยิบอาหารในสำหรับขึ้นมาทานให้หมด เสแสร้งให้คนดูเชื่อว่าผมกำลังแย่งอาหารสำหรับคนตาย

ผมเดินตามไอ้ภพเข้ามานั่งตรงจุดเดิมกับที่ผมเคยยืนเมื่อครั้นท่องคาถาเรียกวิญญาณ  แทรกอยู่ระหว่างวิญญาณคนตายที่กำลังจ้วงเอาเศษอาหารชิ้นเล็กชิ้นน้อยเข้าปาก  กลิ่นสาปศพเหม็นเน่าลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณจนผมรู้สึกแสบจมูก  น้ำตาของผมถูกความกดดันรอบกายกดเข้าไปในดวงตาอีกครั้งเพื่อไม่ให้สัมภเวสีพวกนี้จับได้ว่าผมกำลังมองเห็นพวกมัน

เคร้ง  เคร้ง  เคร้ง

เสียงเคาะถาดอาหารดังครบสามครั้ง  นั่นจึงหมายถึงสัญญาณที่ผมจะต้องหยิบอาหารทั้งหมดขึ้นมาเข้าปาก  ไอ้ภพคือคนที่ตั้งสติได้ก่อนมันจึงหยิบเอาจานขนมหวานใบเล็กมายัดเข้าปากทันที  วิญญาณเหล่านั้นมองตามมือไอ้ภพไปด้วยแววตาที่มาดร้ายต่อชีวิตพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ  จังหวะเดียวกันนั้น ผมก็ได้หยิบเอาผลไม้รสชาติฝืดคอเข้าปากตามไปด้วย และเริ่มละเลงถาดอาหารตรงหน้าให้หมดก่อนที่วิญญาณจะคุกคาม

การหยิบอาหารเป็นไปอย่างรวดเร็ว  กลิ่นสาปเหม็นเน่าที่ผมได้รับ ลอยผสมเจือกับกลิ่นของอาหารทำให้รู้สึกพะอืดพะอมทุกครั้งที่ต้องกลืนลงคอ  วิญญาณผีตายโหงตายห่าพวกนั้น  เมื่อเห็นว่าผมไม่หยุดการกระทำของตนเอง  มันก็เริ่มจ้วงเอาเศษอาหารที่ตกหล่นจากพื้นขึ้นมากินบ้าง  มองหน้าพวกผมและขยับให้เข้าใกล้ขึ้นบ้าง ก่อนจะสร้างเหตุการณ์ที่พวกผมไม่ได้คาดคิดขึ้นมา

แผลบ แผลบ…

เสียงแลบลิ้นของบรรดาแขกเหรื่อร่วมโต๊ะอาหาร  เกิดขึ้นหลังจากที่ถาดอาหารตรงหน้าถูกกำจัดหมดโดยไอ้ภพ  นอกจากเศษอาหารบางส่วนที่ยังตกค้างอยู่บนพื้น  เศษอาหารที่เกิดจากความเร่งรีบยังติดอยู่บนข้างริมฝีปากและแก้มของไอ้ภพอีกด้วย  เมื่อร่องรอยบนพื้นของอาหารถูกวิญญาณกินเข้าไปหมด  อาหารที่ยังคงติดค้างอยู่บนหน้าไอ้ภพจึงเป็นเหมือนเป้าหมายใหม่ที่วิญญาณต่างกรูกันเข้าไปรุมเลียเอาเข้าปากตนเอง

“อะ ไอ้ภพ  ฮึก เศษอาหารติดปากมึง”ผมกลั้นเสียงสะอื้นหลังจากที่ภาพอันน่าสยดสยองตรงหน้า สะกิดต่อมน้ำตาที่ผมพยายามกลั้นเอาไว้ให้พังลงมา

“ตรงไหน? ยังมีอยู่อีกหรอ”ไอ้ภพถามกลับพร้อมกับใช้มือคลำไปทั่ว แต่ถึงจะพยายามไปมันก็คงหาไม่เจอ  เมื่อวิญญาณเหล่านั้นพยายามจะยื่นหน้าเข้ามาเลีย อำพลางเศษอาหารที่ยังคงติดอยู่

เมื่อผมทนเห็นภาพนั้นต่อไปไม่ได้  ผมจึงเริ่มขยับเข้าไปใกล้มันแล้วยื่นมือของตนเองเข้าไปปัดออกให้แทน  สัมผัสกับลิ้นสากของวิญญาณ  เมือกน้ำลายเหนียวที่ไหลติดมือกลับมาจนสายตาไร้แววของวิญญาณทั้งหมดหันมาจ้องผมแทน

มึงเห็นกูด้วยเหรอ?

มึงแย่งข้าวกูทำไม?


แค่ชั่วพริบตา วิญญาณก็เปลี่ยนเป้าหมายเข้ามาหาผม  พร้อมกับร้องตะคอกเสียงดังจนผมต้องเอามือแสร้งขึ้นมาอุดหู  ความอึดอัดรอบกาย  กำลังทำให้เนื้อตัวผมสั่นอีกรอบ  ผมรีบจ้องมองไอ้ภพเพื่อให้มันจัดการอะไรสักอย่างก่อนที่ผมจะทนไม่ไหว โดยที่ไอ้ภพก็ให้ความร่วมมือแต่โดยดี

ไอ้ภพรีบวิ่งกลับเข้าไปในครัวหยิบจานใบเล็กที่ยังคงเหลือจากเมื่อเย็น ตักเศษอาหารออกมาให้มากที่สุด และนำมันมาวางไว้บนถาดเรียกให้วิญญาณพวกนั้นหันมองเป็นตาเดียวกันและเริ่มกรูกันเข้าไปกินเศษอาหารอีกครั้ง  เมื่อทุกอย่างถูกจัดวางเอาไว้เสร็จมันก็รีบเดินไปหยิบธูปและให้สัญญาณกับผมว่าถ้ามันจุดธูปได้เมื่อไร  ผมจะต้องวิ่งถือถาดนั้นโยนออกไปหน้าบ้าน

เมื่อไอ้ภพจุดธูป  มันเริ่มท่องอะไรบางอย่างออกมา ก่อนจะเดินนำไปที่ประตู จัดการเปิดมันออกและสั่งให้ผมกระชากถาดสำรับขว้างออกไปนอกประตูด้วยความรวดเร็ว  ก่อนที่มันจะเหวี่ยงธูปออกไปทับกับกองอาหารพวกนั้น  วิญญาณที่อยู่ในบ้านเมื่อเห็นว่าถาดอาหารถูกเปลี่ยนที่ไปมันจึงรีบวิ่งออกไปแย่งกันใหม่ที่หน้าบ้าน  มากไปกว่านั้น  วิญญาณที่ยังคงมีบางส่วนอยู่รอบบริเวณบ้านก็แห่กันเข้ามาตามกลิ่นธูปที่ไอ้ภพจุดไว้  ก่อนที่ไอ้ภพจะปิดประตูหนีและนำผมขึ้นห้องนอนในที่สุด

ตกดึก  ผมต้องนอนหลับไปพร้อมกับเสียงดังแย่งกันอยู่ที่ถาดอาหาร  ส่งเสียงอื้ออึงสลับกับเสียงนกแสกที่ยังคงบินวนอยู่ตรงหลังคาบ้าน  อีกทั้ง เกมส์คืนนี้ยังทิ้งคำถามเอาไว้ให้ผมอีกหนึ่งข้อ  คำถามที่ทำให้ใจผมแกว่งไปและรู้สึกไม่ดีถึงอันตรายที่เดินทางเข้ามาใกล้ตัวผม

ใคร?  คือเจ้าของเสียงคุ้นหูเสียงนั้น

แล้วทำไม…เสียงคุ้นหูเสียงนั้น  ถึงกลายมาเป็นวิญญาณอยู่ในเกมส์คืนนี้
 

เสียงนกกระจอกร้องทักรับวันใหม่


อากาศยามเช้าในคืนนี้ ปลุกผมให้ลุกขึ้นมาเตรียมตัวไปทำภารกิจเก้าวัดต่อ  วันนี้ผมกับไอ้ภพจะต้องไปเผชิญหาน้ำในวัดที่ห้าและหก  ดวงตาบวมช้ำและร่างกายเหนื่อยล้า รั้งแต่จะให้ตัวผมทิ้งกายอยู่บนเตียงให้นานอีกหน่อย  เกมส์เมื่อคืนทำเอาผมหมดแรงไปกับการต่อต้านความรู้สึกของตนเอง  ผมเจ็บปาก เจ็บอก และรู้สึกคัดจมูกไปทั่ว  การอดทนให้ต้องรับกรรมในสิ่งที่ตนเองกลัว ไม่ใช่เรื่องดีนัก  มันกำลังจะค่อยๆฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น

“อ้าว  วันนี้ตื่นเช้ากันดีนะครับ  คุณภพคุณมิว” เสียงทีมงานที่พูดจากวนเบื้องล่างผมเมื่อวานพูดทักขึ้น

“ก็คุณนัดไว้นี่ครับ  จะให้คุณรออีกก็คงไม่ได้”

“เสียงแหบ ตาบวมเชียวนะครับคุณมิว”

“ก็เมื่อคืนนอนดึกนิดหน่อยครับ”

“เห็นแล้วหละครับ  จะว่าไปเกมส์เมื่อคืนผมก็นั่งลุ้นกับพวกคุณตาเหลือกเลยนะครับ”

“มีอะไรให้ลุ้นหรอครับ?”ไอ้ภพมองหน้าผมและหันกลับไปถามทีมงานคนนั้น

“ก็นะ  คุณภพไปเปิดประตูในครัวทำไมหละครับ  ผมก็นึกว่าอยากจะยอมแพ้เสียอีก  ถ้าไม่ได้คุณมิวร้องไห้ตะโกนสั่งให้ปิดคุณจะกลับมาไหมครับ?”

“กลับสิครับ  กลิ่นธูปแรงซะขนาดนั้นจะให้ผมอยู่แบบอุดอู้หรอ  อีกอย่างผมแค่เปิดไม่ได้วิ่งออกไป”

“หรอครับ งั้นเกมส์เมื่อคืนพวกคุณก็ไม่เห็นจะต้องหัวเสียถึงขนาดโยนถาดออกไปหน้าบ้านก็ได้มั้งครับ  แค่พวกคุณกินข้าวผีทั้งหมดได้ผมก็ว่าพวกคุณผ่านแล้วนะครับ  จะโยนไปข้างนอกทำไม?”

“ผมแค่เห็นว่าพวกคุณอยากให้ผมเลี้ยงผี  ผมเลยสนองพวกคุณเสียหน่อย  ไม่ดีหรอครับที่ผมตัดสินใจตักข้าว จุดธูปเซ่นวิญญาณพวกนั้นใหม่อีกรอบ”

“คงดีกว่านี้ครับ  ถ้าถาดที่วางอยู่หน้าบ้าน  มันไม่ใช่ถาดเปล่าขัดกับที่คุณว่า”




*******************************************TBC**********************************************
เอาตอนที่ 18 มาส่งแล้วนะครับ  มาทันวันอังคารอยู่ใช่ไหม :mew3:
ก่อนอื่น คงต้องขอขอบคุณทุกการติดตามและทุกคอมเมนต์ทั้งในเล้าและในทวิตเตอร์แฟนเพจนะครับ ผมดีใจมากที่หลายคนยังคงอินไปกับนิยายของผม
เหมือนเดิมครับ  ทุกคนสามารถติชมผมมาได้เลยนะครับ ผมจะนำพวกนี้ไปปรับปรุงและพัฒนาฝีมือตนเองให้ดียิ่งขึ้นครับ
หากมีคำผิดหรือประโยคใดที่ไม่ลื่นไหล  บอกผมได้เลยนะครับ  เดี๋ยวผมจะเข้ามาแก้ให้
เจอกันใน  #Nightmaregame  ได้นะครับ  ผมรอทุกคนอยู่  รักและขอบคุณมากๆครับ
เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่18 เลี้ยงผี (28/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 28-03-2017 23:11:51
ลุงมั่นตายแล้วหรอ หรือว่าลุงสัปเหร่อมาช่วย
งื้ออออออ สงสัย ๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่18 เลี้ยงผี (28/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 28-03-2017 23:21:25
หลวงพ่อถอดจิตมาช่วยรึป่าว55555

ยังน่ากลัวสม่ำเสมอเลยนะคะ  :z3:
ตอนแรกแอบกลัวใจสภาพจิตน้องจะไม่ไหวเอา
แต่อ่านตอนพิเศษวันวาเลนไทน์ไปแล้ว เลยได้แต่ลุ้นว่าความจริงคืออะไรรกันแน่
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่18 เลี้ยงผี (28/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: karamailpraleen ที่ 28-03-2017 23:42:15
หลอนจริงจัง เสียงใครอ่ะอยากรู้
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่18 เลี้ยงผี (28/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: nugnig7 ที่ 29-03-2017 07:37:50
โฮรวววว บทหวานๆอยู่หนายยยย คุณผีออกมาเริงร่าอีกแล้วอ่านไปๆปริศนาก็เพิ่มความหลอนก็อัพตาม มิวกับภพสู้ๆอย่าเป็นอะไรไปขออะไรdokidokiมากระแทกหัวใจหน่อยค่ะ (ไม่เอาผีนะ) 5555
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่18 เลี้ยงผี (28/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 29-03-2017 18:00:02
เกลียดไอ้พวกทีมงานจริงๆ ผีตนนั้นเป็นใครต้องเกี่ยวอะไรกับคนที่ตายในเกมส์นี้แน่ๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่18 เลี้ยงผี (28/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: JACKSON ที่ 29-03-2017 18:50:57
เสียงใครหนออ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่18 เลี้ยงผี (28/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 30-03-2017 23:26:47
ใครที่มาเตือนมิวเพื้อนมิวหรอใจนึงก็อยากให้สองคนนี้ออกจากเกมส์แต่มันก็ง่ายไปอยากให้ชนะเกมส์ได้ตังค์จับคนร้ายได้เอาตังค์ส่วนนึงมาทำบุญให้ผีพวกนี้อย่างน้อยก็จะได้สบายใจเฮ้อเครียดและกลัวมากอ่ะยิ่งอ่านยิ่งอยากรู้ว่าจะเป็นไงต่อ :z3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่18 เลี้ยงผี (28/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 31-03-2017 08:02:55
อยากรู้ว่าเขาคนนั้นคือใคร มาดีหรือมาร้าย หลอนแล้วก็สนุกมากๆเลยค่ะ รอติดตามตอนต่อไป :katai4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่18 เลี้ยงผี (28/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: TonyPat ที่ 31-03-2017 18:08:47
 :hao3:มาแล้วววว   ต่อๆๆ :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่18 เลี้ยงผี (28/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 31-03-2017 20:47:04
หลอนทุกตอนซิ จะบ้าตาย  :ling3:

สงสัยจริงๆว่านั้นคือเสียงใคร
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่19 สายตา (4/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 04-04-2017 22:42:42
ตอนที่19

สายตา


เกร้ง…

เสียงระฆังดังกังวานเสนาะหู


เสียงนั่นดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณวัด ดังต่อเนื่องกันไปคล้ายกับเสียงเพลงที่ถูกบรรเลงโดยวาทยกรฝีมือฉมัง ขับกล่อมให้ใจของชายหนุ่มทั้งสองคนรู้สึกสงบและปลอดภัยจากเรื่องวุ่นวายที่พร้อมใจกันถาโถมเข้ามาจนไม่แน่ใจว่าความอดทนของมนุษย์จะสามารถแบกรับมันเอาไว้ได้

ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับความจริง  ชะตาชีวิตก็ลิขิตให้ผมต้องเจอกับเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น เมื่อขณะที่พวกผมกำลังเตรียมตัวออกจากบ้าน ทีมงานที่เข้ามาทักทายก็ได้บอกความจริงบางอย่างที่เรียกให้ขนในกายลุกชันขึ้นมาแม้ผมจะยังไม่ได้เห็นหรือสัมผัสกับสิ่งลี้ลับเหมือนอย่างเคย

“คงดีกว่านี้ครับ  ถ้าถาดที่วางอยู่หน้าบ้าน  มันไม่ใช่ถาดเปล่าขัดกับที่คุณว่า”

เพียงแค่จบประโยคนั้น  ผมกับไอ้ภพก็รีบวิ่งออกไปดูหน้าบ้าน บริเวณที่มีถาดสำรับอาหารวางเอาไว้อยู่  ก่อนจะพบกับสิ่งที่ทำให้พวกผมตื่นเต็มตา หนำซ้ำ มันยังนำมาซึ่งคำครหาที่คนดูและรายการต่างก็ไม่เข้าใจว่าถาดสำรับนั้นไอ้ภพจะโยนออกไปทำไมในเมื่อสิ่งที่ทุกคนเห็นมันก็เป็นแค่ถาดเปล่า  ไม่มีและไม่เหลืออะไรอยู่บนนั้น นอกจากจานใบเขื่องสามสี่ใบ

ไม่มี…แม้แต่เศษอาหารชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ควรจะตกอยู่รอบๆถาด

ไม่มี…แม้แต่คราบอาหารที่ความเป็นจริงมันจะต้องทิ้งร่องรอยของความมันและกลิ่นคาวเอาไว้บนจานบ้าง

สิ่งที่เหลือ…คงเป็นเพียงเสียงโหยหวนแก่งแย่งอาหารในถาดและเสียงนกแสกที่ดังขับขานรับวิญญาณเหล่านั้นตลอดคืน

“เป็นไปไม่ได้”

คือคำพูดที่ไอ้ภพเปล่งออกมาทันทีหลังจากที่ได้เห็น  ประโยคนั่น ไอ้ภพคงไม่ได้ตั้งใจที่จะพ่นออกมาจนดูเหมือนว่ามันกำลังกลัวกับสิ่งที่เห็นและรับรู้ คำพูดของมันเป็นเพียงคำพูดลอยๆปลอบใจตนเองหลังจากที่มีเสียงฝีเท้าของทีมงานดังไล่หลังมาพร้อมกับคำถามที่เสียดแทงหัวใจคนฟัง จนไอ้ภพ ไม่อาจปกปิดใบหน้าเคร่งเครียดของตนเองได้ยามที่ต้องหาคำตอบให้กับทีมงานว่า เหตุใดมันจึงได้สร้างพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะทำลายข้าวของของเกมส์อีกครั้ง

ทีมงานที่เข้ามาเค้นคำตอบไม่ใช่ทีมงานคนที่คอยเอาแต่พูดจากวนพวกผม  ทีมงานคนนั้นหลังจากที่พูดคุยกับผมเสร็จก็ยืนนิ่งดูสิ่งที่พวกผมตอบสนองไปให้  ปล่อยให้ทีมงานอีกคนได้ทำหน้าที่ของตนเอง โดยการเข้ามาไต่สวนเรื่องราวที่เกิด ก่อนจะยอมราวีไปเพราะผมได้ยืนยันอีกเสียงไปว่า  สิ่งที่พวกผมทำคือการสร้างกระแสให้รายการน่ากลัวขึ้น  ยอมท้าทายมากกว่าสิ่งที่หนังสือได้สั่งเอาไว้ เพื่อให้เรตติ้งรายการสูงขึ้นมากขึ้นกว่าเดิม

ผมนั่งกุมมือไอ้ภพให้กำลังใจกันและกันมาตั้งแต่บ้าน  เก็บงำความจริงที่มีเพียงเราสองคนที่รู้ อีกทั้งผมยังต้องคอยหลบสายตาทีมงานทั้งสองที่เมื่อขึ้นรถได้ก็นั่งมองมาที่พวกผมด้วยสายตาแปลกๆ  คนหนึ่งมองด้วยแววตาจับผิดกับคำตอบของผม  แต่อีกคนกลับมองมาด้วยแววตาที่ผมคาดเดาไม่ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรนอกจากสายตาที่บ่งบอกว่าเรื่องราวของผมสองคนต้องมีบางอย่างที่ผู้ชายคนนั้นรับรู้มามากกว่าทีมงานคนอื่นๆ  มากกว่าที่จะเชื่อคำแก้ตัวจอมปลอมของผม  มากกว่า…เสียจนอดคิดไม่ได้ว่า  ที่สุดแล้ว ความลับที่พวกเราตั้งใจเก็บไว้คงไม่อาจพ้นสายตาของนักล่าที่ถูกสร้างมาแหลมคมกว่าเหยื่ออยู่เสมอ

“เอาละครับ ถึงวัดแล้ว เริ่มหาน้ำภายในนี้ได้เลยนะครับ  แต่อย่าหากันเพลินจนลืมอัดวีดีโอมาส่งผม  บอกไว้เลยนะครับ หากคุณลืม ต่อให้คุณมีเป็นสิบข้อแก้ตัว  คุณก็ไม่รอดเหมือนอย่างเมื่อเช้าแล้วนะครับ  เกมส์จะปลดคุณออกทันที”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ  ผมไม่ลืมแน่นอน อีกอย่างเหตุผลที่ผมบอกคุณไปมันก็คือเรื่องจริง ไม่ใช่ข้อแก้ตัวครับ”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีครับ  และก็ต้องขอบคุณมากที่ยอมทำเพื่อรายการเรามากขนาดนี้ ซึ้งใจทีเดียวครับ”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ  ยิ่งผมเสี่ยงทำเท่าไร ผลประโยชน์ที่ผมจะได้มันก็น่าจะยิ่งมากขึ้นนะครับ คุณว่าไหม?” ไอ้ภพเถียงขึ้นมาบ้าง หลังจากที่ทีมงานยังคงวกวนกลับเข้ามาสู่เรื่องที่เราทั้งคู่ต่างก็คิดว่าจบไปแล้ว

“ไม่รู้สิครับ  มันอยู่ในข้อตกลงอย่างนั้นหรือ? ถ้าอยู่ ผมดีใจด้วยนะครับ คุณคงจะได้เงินเพิ่ม  แต่ถ้าไม่  ก็ระวังตัวให้ดีนะครับ นอกจากจะไม่ได้เงินแล้ว คุณอาจจะโดนกระแสด้านลบตีกลับมานะครับ”

“กระแสด้านลบ?  มันจะมาจากไหนหรอครับ ในเมื่อคนดูก็น่าจะชอบที่ผมเสี่ยงท้าทายให้แบบนี้”

“ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะครับ  คุณอาจจะยังไม่รู้ แต่ทางเราได้รับข้อความบางอย่างมาจากคนดู ต่อว่าทางรายการที่ความผิดเป็นกิโลของคุณยังไม่ถูกชะล้าง”

“งั้นหรอครับ  เอาเป็นว่าคราวหน้าผมจะระวังแล้วกัน  หากคุณไม่ติดขัดอะไร ผมขอตัวนะครับ  เดี๋ยวจะโดนข้อความตีกลับมาอีกว่าผมถ่วงเวลาของเกมส์”

“เชิญเลยครับ”

บทสนทนาที่เต็มไปด้วยไฟโทสะจบลงหลังจากที่ไอ้ภพกระชากมือผมให้เดินออกมาจากตรงนั้น  แรงบีบมืออันมหาศาลของมันกำลังทำให้ผมรู้สึกปวดไปถึงแกนกระดูกนิ้ว  อีกทั้งคิ้วของมันยังกระตุกไปพร้อมกับดวงตาที่แข็งกร้าว บ่งบอกว่ามันกำลังโมโหและอึดอัดไปกับสิ่งที่ทำให้มันอยู่เบื้องล่างจนผมไม่กล้าที่จะบอกมันว่าผมกำลังเจ็บและตัดสินใจเดินก้าวเท้าตามมันไปด้วยความรวดเร็ว

“เดี๋ยวครับ!!!  คุณภพ  คุณมิว” เสียงตะโกนห้ามของทีมงานอีกคนดังขึ้นลั่น สลับกับเสียงหอบยามต้องวิ่งเข้ามาหาพวกผมที่ก้าวเท้าออกมาด้วยความเร็วไม่น้อย

“มีอะไร?” ไอ้ภพหยุดเดิน  ก่อนจะหันไปตอบทีมงานเสียงเย็นชนิดที่ว่าเขาต้องหันมามองหน้าผมก่อนที่จะตัดสินใจพูดต่อ

“คุณภพ  คุณใจเย็นๆก่อนครับ  เอาเป็นว่าผมขอคุยกับคุณมิวหน่อย”

“มีอะไร?  ทำไมถึงคุยพร้อมกันไม่ได้”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ  คุณไปยืนสงบตัวเองนิ่งๆก่อน คุยกับคุณไปยังไงก็ไม่รู้เรื่อง  อีกอย่างเผื่อคุณจะไม่รู้ตัว มือของคุณมิวตอนนี้มันแดงจนจะช้ำแล้วนะครับ”ไอ้ภพตัวกระตุกไปเล็กน้อยเหมือนพึ่งจะรู้สึกตัวว่ามันกำมือผมอยู่ ก่อนจะหันมาทำหน้ารู้สึกผิดและคลายมือออกไป

“ไอ้มิว กู…”

“เฮ้อ  ทำตามที่ทีมงานบอกก่อนไอ้ภพ ยืนอยู่ตรงนี้ กูไม่ไปไหนไกลหรอก  ในวัดในวา ก็หัดใจเย็นซะบ้าง…ส่วนคุณ จะคุยกันตรงไหนหละครับ  นำผมไปเลยแต่ให้อยู่ในสายตาไอ้ภพมันด้วยนะครับ เดี๋ยวเกิดมันโมโหอีก พวกคุณจะซวยเอา”

“ตามมาเลยครับ ไปคุยใกล้ๆศาลาตรงนั้นแล้วกัน เงียบดีด้วย”

เมื่อทีมงานพูดจบผมก็สั่งให้ไอ้ภพไปยืนรออยู่ใต้ต้นโพธิ์ขนาดสูงใหญ่ภายในวัดใกล้ๆศาลาการเปรียญ  ห่างจากจุดที่ผมจะเดินไปคุยกับทีมงานไม่มาก ทิ้งให้มันยืนรอไปกับเสียงระฆังที่ดังขับกล่อมอารมณ์มาอย่างต่อเนื่องโดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เสียงนั่นจะซึมลงเข้าสู้จิตใจของไอ้ภพให้เบาลงได้

“มีอะไรถึงต้องเรียกมาอย่างนี้ครับ  ขอบอกเลยนะว่าถ้าจะเรียกมาเพื่อกวนตีนผมเหมือนอย่างเมื่อวานนี่ เตรียมตัวตายเลยนะครับ  ผมไม่มีอารมณ์มาเล่นด้วย” ผมออกตัวขู่ทีมงานไปก่อน หลังจากที่ท่าทีของทีมงานดูไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องราวหลังจากนี้มากนัก

“แหม่คุณมิว  อยู่ในวัดในวา ก็หัดใจเย็นบ้างสิครับ”

“เย็นได้เท่านี้แหละครับ  ตั้งแต่เช้ามามีแต่เรื่องให้ปวดหัว  ใจเย็นแค่ไหนมันก็ร้อนได้ทั้งนั้น ”

“เอาเถอะๆ  ก่อนอื่น ผมต้องขอโทษเรื่องเมื่อเช้าที่อยู่ดีๆก็พูดเรื่องถาดสำรับนั่นขึ้นมาจนไปทำให้ทีมงานอีกคนไม่พอใจเข้า”หลังจากบรรยากาศเล่นๆจบลง  น้ำเสียงของทีมงานก็กลับมาตึงเครียดและจริงจังมากขึ้น ฉุดให้ผมต้องปรับตัวไปตามสภาวะที่เปลี่ยนไปจนไม่น่าไว้ใจ

“ช่างมันเถอะครับ คุณก็คงไม่ได้ตั้งใจ  อีกอย่างขอถามได้ไหมครับ  ทีมงานคนเมื่อกี้ไม่ได้ดูผมเมื่อคืนหรอครับ”

“ไม่ครับ ส่วนมากกลางคืนจะเป็นผมที่อาสาดูเสียส่วนใหญ่”

“ทำไมครับ?”

“คุณมิวครับ? ผมขอถามอะไรบางอย่างได้ไหม ได้โปรดตอบผมมาตามตรงด้วยครับ”ทีมงานคนนั้นไม่ตอบ แต่กลับสวนกลับมาด้วยประโยคที่ทำให้ผมถึงกับไปไม่เป็น

“เรื่อง…อะไรครับ?  ถ้าตอบได้ผมจะตอบให้”

“เรื่องแรก  คำตอบที่คุณบอกว่าคุณโยนถาดออกไปเพราะจะท้าทายเกมส์มากขึ้น   ถาดนั่น…มันไม่ได้ว่างใช่ไหมครับ สำหรับผมที่ดูพวกคุณอยู่  ผมเห็นนะครับว่าคุณภพเดินเข้าไปในครัวอีกครั้ง”

“เรื่องนี้จริงๆไอ้ภพบอกคุณไปแล้ว พวกผมเอาข้าวเอาทุกอย่างใส่ไปให้ใหม่แล้วครับ ไม่ได้โมโหจนต้องไปขว้างปาถาดอย่างที่คุณคิดกัน”

“แล้วคุณจะเอาข้าวใส่ไปใหม่ทำไมครับ  ในเมื่อถ้ามันไม่มีผีคุณก็แค่เอาถาดเปล่าวางออกไปเฉยๆก็ได้นี่ครับ  อีกอย่าง ท่าทีที่ผมเห็น พวกคุณดูรีบร้อนและทำท่าเหมือนจะเชิญวิญญาณเลยนะครับเพียงแต่ สิ่งที่คุณภพทำมันกำลังฟ้องว่าพวกคุณกำลังเชิญวิญญาณออกจากบ้าน”

“นี่คุณ…ต้องการจะบอกอะไรผมครับ”ผมนิ่งค้างไปกับคำบอกเล่าผ่านมุมมองของทีมงาน  สัมผัสของหัวใจเต้นรัวไปกับทุกคำพูดที่เขาเปล่งออกมา จนรู้สึกถึงบางอย่างที่เริ่มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

“คุณมิวครับ…คำถามข้อที่สอง  คุณเห็นผีใช่ไหม?”

“ไม่ครับ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น  ผมบอกแล้วไงผมกำลังท้าทายเพื่อเรียกเรตติ้งให้รายการคุณ”

“อย่าโกหกนะครับ  ผมเคยพูดแล้วใช่ไหมว่าทุกปีมันจะมีคนแบบคุณเสมอ…คุณอยู่ในเกมส์นี้มาได้สิบวันโดยที่ท่าทีของคุณยังดูปกติที่สุด  ผมเลยอยากรู้ว่าเบื้องหลังหน้าจอที่ผมเห็นมันเกิดอะไรขึ้นกับคนในนั้น  ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครที่บอกผมได้ ทุกคนที่อยู่ได้มาถึงตอนนี้ จิตใจของเขาก็แทบไม่เหลือแล้ว”

“แล้วคุณจะรู้ไปทำไมครับ  ต่อให้ผมเห็นผีจริงๆคุณจะทำอะไรอย่างนั้นเหรอ?”

“ผมทำอะไรไม่ได้มากหรอกครับ  แต่อย่างน้อยในเกมส์ถัดไปมันก็น่าสนุกกว่านี้ใช่ไหมหากคุณไม่ต้องไปท้าทายอะไรแรงๆอย่างที่คุณเคยโดนมา”

“คุณคือทีมงาน คือบุคคลที่ชี้ชะตาผู้เข้าร่วมเกมส์มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว  จะมาพูดสวยหรูทำไมครับ อีกอย่าง ไม่รู้ว่าจะบอกยังไงนะครับ  แต่ผม…ไม่เคยเห็นผีครับ”ความรู้สึกก้ำกึ่งจากคำชักจูงเริ่มทำให้ผมอยากไขว้เขวและบอกความลับแก่ทีมงานคนนี้ไป หากแต่เมื่อมองกลับไปที่ไอ้ภพ สายตาที่จ้องมาของมันก็ปลุกจิตสำนึกบางอย่างว่าผมไม่ควรเชื่อใจใครตอนนี้  คนเดียวที่ผมจะฝากความเชื่อใจทั้งหมดไว้ได้ มีแค่เพียงชายหนุ่มใต้ต้นโพธิ์คนนั้น

“ถ้าอย่างนั้น  ระวังตัวไว้ด้วยแล้วกันครับ”

“ครับ?” เมื่อผมเห็นว่าทีมงานนิ่งเงียบไปกับคำตอบของผม  หน้าที่ตรงนี้จึงไม่ได้สำคัญอีกต่อไป  ผมเลยตัดสินใจที่จะเดินกลับไปหาไอ้ภพและเริ่มออกหาน้ำภายในวัดนี้ให้เสร็จเสียที  แต่หลังจากก้าวออกมาได้เพียงสามก้าวเสียงของทีมงานก็ดังขึ้นมารั้งขาของผมไว้

“ผมนั่งอยู่เบื้องหลังหน้าจอนั่นมานาน  นานพอที่จะรู้ว่าคุณกำลังปิดบังบางอย่างเอาไว้  อีกอย่างสายตาของผมก็ใช้สังเกตผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนมาทุกปี หากคุณยังไม่คิดจะพูดความจริงกับผมก็ไม่เป็นอะไร แต่ระวังตัวเอาไว้ด้วยแล้วกัน เกมส์หลังจากนี้มันจะไม่ใช่การก้าวเดินให้คุณจบทุกอย่างเร็วขึ้น …”

“ยังไง?”ผมขยับปากร้องถามไปด้วยเสียงที่แผ่วเบา สีหน้าที่เคร่งขรึมของทีมงานกำลังทำให้ผมรู้สึกกลัว  ความไม่ไว้ใจถาโถมเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ  เกมส์ตอนนี้ผมจึงดูไม่ต่างไปจากหนูติดจั่นที่กำลังตกเป็นเหยื่อทางจิตของผู้บงการ

“ชีวิตของคุณมันกำลังถอยหลังครับ ถอยไปตามบ่วงที่เกมส์ผูกเอาไว้  และไม่น่าเกินสิบวันต่อจากนี้ ชีวิตที่คุณรักนักรักหนามันจะไม่ใช่ของคุณ…อีกต่อไป” 

น้ำเสียงกดลงต่ำของทีมงาน จงใจพูดขึ้นมาราวกับต้องการให้ได้ยินเพียงเราสอง  แกว่งชิงช้าหัวใจของผมให้ไกวไปมาเรื่อยๆ  ความรู้สึกใจหายและรวดร้าววิ่งแล่นขึ้นมาจนจุกหน้าอก  ดวงตาโตขึ้นถึงขั้นเบิกโพลงไปกับคำพูดที่เหมือนจะเป็นคำเตือนแฝงไปด้วยการขู่แปลกๆจนผมไม่อาจทนฟังถ้อยคำหลังจากนี้ได้  นำพาให้ร่างกายสะบัดออกจากสถานการณ์ชวนอึดอัดและวิ่งไปยังไอ้ภพที่ยืนรอช่วงเวลานี้อยู่แล้ว  ก่อนจะพากันเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองหน้าทีมงานอีก  แม้จะรู้สึกได้เลยว่าทีมงานคนนั้นยังคงไม่ละสายตาไปจากตัวผม

การก้าวเดินอย่างไร้จุดหมายนำพาผมและไอ้ภพมาสิ้นสุดอยู่บริเวณหลังวัด  โดยที่ตั้งแต่เดินแยกออกมาจากทีมงานผมกับมันก็ไม่มีใครได้พูดอะไรเลย  ทุกอย่างสื่อสารกันเพียงภาษากายเท่านั้นเมื่อได้จับมือแลกเปลี่ยนความรู้สึกในใจของเราทั้งคู่ ให้ความร้อนของไฟที่สุมอยู่ในอกเย็นลงจากความรู้สึกอบอุ่นที่มาพร้อมกับความปลอดภัยในอุ้งมือนั้น  เวลานี้คงไม่มีใครที่เป็นฝ่ายเห็นแก่ตัวกอบโกยเอาแต่ความสุขของอีกฝ่ายได้แล้ว  หากแต่เป็นเราทั้งคู่กำลังถ่ายเทความทุกข์ออกไปพร้อมกันและรับรู้เข้าใจกันผ่านความห่วงใยที่ไร้เสียง

“เย็นดีเหมือนกันนะ”ไอ้ภพเปิดปากขึ้นมาด้วยประโยคที่ผมค่อนข้างเห็นด้วย หลังวัดที่ผมมามีบึงขนาดใหญ่ชวนให้เย็นใจตั้งอยู่  เสียงจอแจของหลายๆครอบครัว กำลังแสดงถึงความสุขที่เกิดขึ้นดังทางด้านขวามือของผม คนเหล่านั้นกำลังให้อาหารปลากันอย่างสนุกสนานบนศาลาที่ตั้งอยู่ริมบึงเล็กๆ   บ้างก็พูดคุยกันเสียงดังหยอกล้อกันไปมา  บ้างก็นั่งรับประทานอาหารอยู่ในร้านที่ขายติดๆกัน ปล่อยให้ลมเย็นๆพัดโชยเอาไอแดดออกไป จนอดไม่ได้ที่จะต้องอมยิ้มตามความสุขที่เห็น

“จะไม่ถามหน่อยเหรอ ว่ากูพูดอะไรกับทีมงาน”เมื่อบรรยากาศพาไป  คำถามหยั่งเชิงจึงถูกผมขุดขึ้นมาใช้กับไอ้ภพ

.
.
.
(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่19 สายตา (4/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 04-04-2017 22:43:08
“หืม? อยากเล่าหรือไง”

“เอาจริงๆก็ไม่  กูแค่อยากให้มึงลองถามเหมือนทุกครั้ง”

“หึ ทุกครั้งที่กูถามมึงมันเป็นเพราะกูไม่รู้ว่ามึงจะต้องเผชิญกับอะไร  แต่ครั้งนี้เพราะกูรู้ไงว่ามึงเจอกับอะไรมา  ท่าทางที่ดูกลัวจนเหงื่อซึม  ใบหน้าที่เคร่งเครียดขนาดนั้น มันบอกกูหมดแล้วว่ามึงไม่ได้เจอเรื่องที่ดี  ฉะนั้น ละครเรื่องเดิมๆที่กูต้องให้มึงนำมาฉายซ้ำอีกรอบ กูก็ไม่อยากดูหรอก ถ้าความต้องการของกู มันต้องขยี้ความรู้สึกของมึง”

“ขอบคุณมากๆนะ ที่เข้าใจ”

“อืม  ก็อยู่กันแค่นี้ ยังไงความรู้สึกมึงก็ต้องมาก่อน”

“น่าอิจฉาเนอะ  ถ้าตอนนี้เราไม่ต้องอยู่ในเกมส์นี่  เราสองคนคงไปมีความสุขอยู่ที่ไหนสักแห่ง”ผมพยักหน้ารับความรู้สึก ก่อนจะพ่นคำพูดตัวเองออกมาอีกครั้งยามที่ต้องมองไปที่บรรดาครอบครัวข้างหน้านั่น

“ไม่หรอก  สำหรับมึงอาจจะใช่  แต่สำหรับกู สามปีที่ผ่านมามันไม่เคยมีวันไหนที่กูสุข ไม่เคยมีวันไหนที่กูหลับได้เต็มตาเลยสักครั้ง  ตั้งแต่กูเสียน้องสาวไป มันก็เหมือนเสียชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของกูไปด้วย”

“เฮ้ย  กูขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจให้มึงคิดมากนะ  กูแค่เผลอหลุดพูดไปกับบรรยากาศตรงนี้เฉยๆ”

“หึ ไม่ต้องคิดมากหรอก  บรรยากาศแบบนี้มันก็สุขอย่างมึงว่านั่นแหละ…แล้วมึงเป็นไง  อารมณ์ดีขึ้นแล้วใช่ไหม?  เตรียมอัดวีดีโอแล้วไปหาน้ำกันเถอะ เผื่อมีเวลาจะได้มานั่งพักตรงนี้กันด้วย”พูดจบไอ้ภพก็เดินมาขยี้หัวผมจนฟูไปหมด ก่อนที่มันจะเดินแยกออกไป ทิ้งให้ใบหน้าของผมขึ้นริ้วสีอมชมพูพร้อมกับมุมปากที่ยกขึ้นมาเบาๆ

ผมเดินออกไปให้ทันไอ้ภพ  ก่อนจะหยิบกล้องวีดีโอขึ้นมาอัดเอาไว้ด้วยประโยคเดิมๆเหมือนกับทุกวัน  แต่ดูเหมือนวันนี้จะพิเศษกว่าหน่อย ตรงที่มีไอ้ภพเข้ามาร่วมแจมบ้างจนการอัดวีดีโอดูสนุกสนานไปมากกว่าทุกๆวัน  วัดที่ผมมาวันนี้ค่อนข้างจะต่างจากวัดแรกๆโดยสิ้นเชิง  ทั้งความกว้างใหญ่ของวัด  ทั้งจำนวนคนที่เข้ามาทำบุญกันในนี้  เลยทำให้บรรยากาศไม่ดูเงียบเหงาและวังเวงเหมือนกับวัดก่อนๆ

ด้วยความที่วัดค่อนข้างใหญ่ พวกผมจึงต้องเดินและสังเกตกันให้ละเอียดมากขึ้น  ทิฐิที่ถูกสร้างตอนลงมาจากรถทำให้พวกผมสองคนไม่เอ่ยปากร้องขอความช่วยเหลือจากทีมงานแม้แต่คนเดียว  ใช้ความสามารถของตนเองสุ่มเดาไปเรื่อยๆว่าบ่อน้ำลักษณะแบบนั้นมันควรอยู่ตรงไหน  จนเหงื่อไคลเริ่มไหลเลียผิว  พวกผมถึงได้รู้สึกตัวกันว่า  เราใช้เวลาในการหาไปค่อนข้างมากแต่ก็ยังไม่ได้หลักฐานใดๆติดมือกลับมาเลย

“ขอโทษนะครับ  ขอถามอะไรได้ไหมครับ?”ผมและไอ้ภพเดินพัดมือคลายร้อนเข้าไปหา ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่ยืนพักเหนื่อยอยู่ใต้ร่มไม้  ก่อนที่พวกเธอจะหันมาสบตาเข้ากับผมพอดี

“ได้สิคะ  ถามมาเลย”หนึ่งในคนกลุ่มนั้น จ้องมองมาที่พวกผมน้อยๆ ก่อนจะเริ่มตอบคำถามและพูดคุยแบบเป็นกันเอง

“ไม่ทราบว่าพอจะเคยเห็นบ่อน้ำลักษณะเก่าๆ ที่เวลาใช้ต้องชักรอกขึ้นมาบ้างไหมครับ?”

“อ๋อ เคยค่ะ  มันก็อยู่ตรงหลังวัดไม่ใช่หรอคะ คุณยังไม่เห็นเหรอ  เลยร้านอาหารไปหน่อยก็เจอแล้วค่ะ”

“หลังวัด?  รู้ด้วยหรอครับว่าพวกผมเดินกันไปที่หลังวัดมาแล้ว”ผมผงะไปทันทีหลังจากได้ยินคำตอบ  ผู้หญิงกลุ่มนี้รู้ได้อย่างไรว่าผมเคยไปไหนกันมาบ้าง

“แหม่ จะให้พูดจริงๆหรอคะ  ผู้ชายสองคนเดินคู่กันในวัดทำท่าทำทางกระหนุงกระหนิงแบบนั้นมันเด่นน้อยเสียเมื่อไร อีกอย่าง พวกเราเห็นคุณสองคนตั้งแต่ไปยืนหน้าดำหน้าแดงกันตรงบึงน้ำแล้วค่ะ” 

“อ่อครับ  งั้นขอบคุณมากนะครับ  พวกผมขอตัวก่อน”

ผมโบกมือลาออกมาพร้อมใบหน้าที่จะยิ้มก็ยิ้มไม่เต็มที่  ความรู้สึกอุ่นๆในหัวใจกำลังเรียกเลือดให้ขึ้นหน้า  ผมไม่รู้ตัวเลยว่าระหว่างการเดินหาสิ่งของเหล่านี้  ทุกการกระทำจะตกเป็นเป้าสายตาของผู้หญิงกลุ่มนั้นหรืออาจจะคนทุกกลุ่ม  นำให้ผมต้องคอยลอบมองปฏิกิริยาของไอ้ภพบ้างว่ามันจะแสดงออกแบบหรือไม่ 

และก็เป็นไปอย่างที่ผมคิด  ไอ้ภพไม่ได้แสดงออกอะไรออกมาเลย ใบหน้าแดงก่ำของมันก็ดูเหมือนจะเกิดจากความร้อนมากกว่าที่จะเขิน  ทำเอาผมใจแป้วไปบ้าง แต่ด้วยความที่ผมไม่ค่อยสนใจตรงนั้นมากนัก เรื่องในหัวจึงมีเพียงสิ่งที่พวกเธอเหล่านั้นบอกมาว่าพวกเราต่างก็ดูแลกันโดยที่ไม่รู้ตัว  ผมจึงถือว่าไอ้ภพมันก็คงเป็นห่วงผมอยู่ไม่น้อย

“จะมองอะไรนักหนา  เห็นหน้ากันทุกวันขนาดนี้มึงยังมองไม่หมดหรือไง?” ไอ้ภพถามขึ้นหลังจากที่สองเท้าของเราพากันมาหยุดยืนตรงหน้าบ่อน้ำคนละฝั่งของบ่อ

“ทำไมขี้หวงจังวะ  มองทุกวันก็ไม่ใช่ว่ามันจะเห็นทุกอย่างหนิ”

“จะอยากเห็นขนาดไหนกัน  แค่กูยิ้มออกมาได้นี่มึงก็ต้องทำบุญเพิ่มแล้วนะไอ้มิว”

“โถ คุณมึงครับ  เพ้อเจ้อ แค่ยิ้มของมึงมันใช้บุญเก่ากูไม่หมดหรอก”

“อย่างนั้นหรอ  แล้วถ้าแบบนี้หละ…จะหมดหรือยัง”

เมื่อพูดจบไอ้ภพก็ละมือจากรอกนั่นแล้วเปลี่ยนไปเป็นค้ำบ่อแทน ก่อนจะเคลื่อนย้ายใบหน้าของมันให้เข้ามาใกล้ผมมากขึ้นจนลมหายใจของเรารดปลายจมูกกันและกัน  ทุกสิ่งรอบกายผมหรือแม้แต่หูของผมก็ดูจะบอดไปหมด  ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงของหัวใจตัวเองที่ร่ำร้องออกมาว่าผู้ที่เป็นเจ้าของมันกำลังเล่นตลกจนน่ากลัว 

และเหมือนไอ้ภพจะสนุกที่ได้แกล้งผม  มันจึงค่อยๆยิ้มออกมา ยิ้มนั่นเป็นยิ้มที่ผมไม่เคยเห็นจากไอ้ภพเลยสักครั้ง  มันเป็นยิ้มที่ดูอ่อนโยน   เป็นยิ้มที่ไม่ได้ทำให้มันหล่อขึ้นเพียงอย่างเดียว  แต่เป็นยิ้มที่ระเบิดความรู้สึกและหัวใจของผมให้แตกละเอียดไปไม่เหลือชิ้นดี

“นี่ใช่ไหมที่อยากเห็น” ไอ้ภพเลื่อนใบหน้าของมันเข้ามากระซิบอย่างแผ่วเบาที่ข้างหูผมที่ตอนนี้นิ่งค้างไปกับการกระทำของมันโดยสมบูรณ์

“…”

“คราวหลังไม่ต้องแอบมองหรอก  ขอให้กูยิ้มออกมาเลย กูก็ทำได้และไม่ต้องกลัวด้วยว่ากูจะไปยิ้มให้คนอื่น”

“ทะ…ทำไม”

“หึหึ เพราะยิ้มแบบนี้….มันมีไว้ใช้กับมึงคนเดียว”


แสงตะวันยามบ่ายนำทางพวกเราให้กลับเข้าสู่ตัวบ้านอีกครั้ง…

ผมเดินทางกลับจากวัดที่หกด้วยความรวดเร็ว  ระยะเวลาที่พวกเราใช้กันในวันนี้ดูจะสั้นมากกว่าวันอื่นๆจนทีมงานที่นั่งรออยู่บนรถต่างก็ทำหน้าแปลกใจไปตามๆกัน  โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ผมกับไอ้ภพต้องทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็วเช่นนี้มันเกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ชวนให้โลกเป็นสีชมพูข้างบ่อน้ำจบลง

หลังจากที่ไอ้ภพพูดประโยคที่ทำให้โลกของผมกลับมาสดใสขึ้น  ความรู้สึกบางอย่างที่ผมสัมผัสได้มาก็แทบจะดึงให้โลกของผมกลับมาหม่นลงในทันที  ช่วงที่ไอ้ภพมันละออกไปจากตัวผมและเปลี่ยนไปดึงรอกเอาน้ำขึ้นมาแทน  สัญชาตญาณบางอย่างในตัวผมก็ทำงานโดยการสั่งให้ผมหันไปมองทุกมุมของวัดเพื่อหาต้นเหตุของความรู้สึกที่ว่า มีสายตาคู่คมกำลังจับจ้องมาที่พวกผมสองคนอย่างจริงจัง

นาทีแรกที่ผมจะตัดสินใจบอกไอ้ภพ  ความรู้สึกช่วงหนึ่งมันทำให้ผมนึกถึงผู้หญิงกลุ่มนั้น  กลุ่มที่บอกกับผมว่าพวกเธอมองผมมาตั้งแต่แรก  และเพื่อไม่ให้ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะการคิดไปเอง  ผมจึงลองปิดปากไปก่อนและปล่อยให้ช่วงเวลาที่ผมรู้สึกถึงสายตาที่เสียดแทงมาทางผมดำเนินต่อไปอย่างเต็มที่  แล้วจึงนำไปเปรียบเทียบกับความรู้สึกยามที่พวกผมสองคนเดินออกมาเข้าสู่ฝูงชนกลุ่มใหญ่ สุดท้าย ผมก็ได้พบว่าสายตาคู่ที่คอยจ้องมาตั้งแต่บ่อน้ำกับสายตาคู่ที่กำลังจดจ้องพวกผมอยู่มันให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย

สายตาคู่นั้นกำลังใช้มองผมด้วยอารมณ์บางอย่าง…อารมณ์ที่ผมเดาไม่ได้ว่าผู้เป็นเจ้าของดวงตากำลังรู้สึกอะไร

ผมรีบบอกให้ไอ้ภพเดินกลับไปกินข้าวที่รถ  ละทิ้งแผนการที่จะนั่งพักผ่อนอยู่ตรงศาลาริมบึงไป  ผมทนไม่ได้ที่จะต้องตกเป็นเป้าสายตาของบุคคลที่มองมาอย่างไม่หวังดี  ผมรู้สึกกลัวไปกับสายตาคู่นั้น  กลัวมากจนสายตาของวิญญาณเมื่อคืนเทียบไม่ติดเลย  สายตาที่มองมาแม้จะบอกไม่ได้ว่าเป็นผีหรือคนแต่สิ่งนั้นกำลังไม่พอใจอะไรในตัวพวกผมแน่ๆ  ผมเชื่ออย่างนั้น  ยิ่งลางสังหรณ์ที่ผมสนับสนุนความเชื่อของผม  ไซเรนแห่งการป้องกันตนเองจึงดังขึ้นสั่งให้ผมออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด

“เกิดอะไรขึ้นไอ้มิว?” ไอ้ภพที่วิ่งตามมาเพราะแรงฉุดกระชากของผม ถามขึ้นด้วยความรู้สึกงุนงงไปกับเหตุการณ์ที่พลิกจากหน้ามึงจนแทบจะเป็นหลังเท้า

“ภพ…สายตา มีสายตาอีกคู่แล้วที่กำลังจ้องมองพวกเราอยู่”

“สายตา? อีกแล้วเหรอ  มึงแน่ใจใช่ไหม  อาจจะเป็นสายตาของคนรอบๆตัวเราหรือเปล่า”

“ไม่ผิดแน่ไอ้ภพ  มีสายตามองเราจริงๆ กูรู้สึกได้มาสักพักแล้ว สายตาที่มองมันไม่ต่างไปจากที่กูโดนมองเมื่อคืนเลย แต่คราวนี้มันไม่ได้หวังดีหวะ  กูรู้สึกอย่างนั้น  มันกำลังมองมาที่เราด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างแรงนะภพ”

“เอาอีกแล้ว  คราวนี้มันจะเป็นสายตาของใครกัน  สายตาคู่เมื่อคืนเราก็ยังไม่รู้ผู้เป็นเจ้าของมันเลยนะ”

“เชื่อกูเถอะ  ว่าสายตาคู่ล่าสุด เราจะไม่อยากรู้ถึงเจ้าของดวงตาเท่าเมื่อคืนแน่นอน”

เมื่อกลับมาถึงรถได้  ผมก็รีบบอกให้ทีมงานออกรถไปอย่างรวดเร็ว  จัดการกินข้าวให้เรียบร้อยและนอนรอเวลาให้รถเคลื่อนตัวพาผมไปยังวัดที่สองที่ผมต้องทำภารกิจ โดยไม่ลืมที่จะหย่อนเอาความรู้สึกไม่ดีตรงนั้น ฝากทิ้งไว้ภายในวัดที่สร้างทั้งความสุขและความหวาดระแวงให้ผม

ขณะเดินทางมาถึงวัดที่สองของวันนี้  ผมไม่ลืมที่จะขอความช่วยเหลือจากทีมงานอีกครั้ง  เนื่องจากวัดนี้มีขนาดใหญ่และจำนวนคนที่เยอะไม่แพ้วัดเมื่อเช้า ฉะนั้นการแบกทิฐิลงไปด้วยก็อาจจะเป็นการทำร้ายตัวเองมากเกินไป  ช่วงเวลาที่ผมจะต้องใช้ภายในวัดนี้จึงเป็นไปตามการคาดเดาล่วงหน้าของพวกเรา

เมื่อทำการหาทุกอย่างเสร็จ ผมจึงมีเวลาได้พักผ่อนภายในสถานที่แบบนี้เสียที  เตรียมพร้อมพละกำลังทางใจให้เข็มแข็งพร้อมตั้งรับกับสิ่งที่ตนเองต้องเจอในคืนนี้และคืนต่อๆไป  โดยไม่ลืมที่จะเอาเวลาพักผ่อนในตอนนี้ไปใช้กับจุดประสงค์ที่แฝงรวมอยู่ด้วย  ซึ่งนั่นก็คือการหาสายสิญจน์หรือวัตถุมงคลเพื่อแอบพกไปใช้ให้อุ่นใจภายในบ้าน

ด้วยจำนวนคนที่มากมายเลยทำให้ผมไม่ได้ตระหนักถึงความรู้สึกที่ว่ามีคนกำลังจ้องมองมาอีกเลย จนกระทั่งการเดินเข้าไปภายในโบสถ์เพื่อพากันไปไหว้พระและเตรียมหาสิ่งของที่ต้องการ  ความรู้สึกเดิมๆที่ผมตัดสินใจหักดิบทิ้งมันเอาไว้ในวัดตอนเช้าก็กลับมาอีกครั้ง  คราวนี้ชัดเจนจนไม่ใช่แค่ผมที่รู้สึก  ไอ้ภพก็เป็นไปด้วย

มันเริ่มต้นบอกกับผมว่า ช่วงที่มันกำลังจะก้มลงไปกราบพระ  หางตาของมันก็รู้สึกถึงการจ้องมองมาจากทางหน้าต่างโบสถ์  แต่แค่เพียงแวบเดียว เพราะเมื่อมันเงยหน้าขึ้นมาก็ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว   คำบอกเล่าของไอ้ภพอาจจะกลายเป็นเรื่องไร้สาระและไม่น่าเชื่อหากเรื่องนี้ถูกถ่ายทอดให้คนภายนอกฟัง แต่ไม่ใช่กับผม ที่ถึงกับนั่งเงียบไปหลังจากได้ฟังเรื่องราวผ่านปากไอ้ภพ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย  รับความรู้สึกที่ว่า ผมก็สัมผัสได้จากจุดนั้นเหมือนกัน

เมื่อความรู้สึกที่เหมือนโดนคุกคามเข้ามาเล่นงาน  พวกผมจึงไม่คิดจะถ่วงเวลาอีกต่อไป  รีบวิ่งกันกลับไปที่ตัวรถ เรียกให้ทีมงานที่นั่งนิ่งๆอยู่แถวนั้นตกใจกันเป็นแถบๆ ก่อนจะถามไถ่ถึงที่มาของการกระทำนี้  และเมื่อพวกผมไม่มีคนใดเปิดปากเหล่าทีมงานจึงไม่คิดจะซักไซ้และพาเรากลับเข้าสู่ตัวบ้านอย่างที่เราต้องการ

“ขอบคุณครับที่มาส่ง”ผมขอบคุณทีมงานไปตามมารยาทหลังจากที่ส้นเท้าสัมผัสหน้าดินของบ้านผีสิงหลังนี้

“ไม่เป็นอะไรครับ  แต่คุณยังไม่ตอบคำถามผมเลยนะครับว่าทำไมวันนี้ถึงได้กลับกันมาเร็วนัก อีกสามวัดก็จะไม่ได้ออกแล้วนะครับ”

“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ  ผมแค่เหนื่อยเลยขอกลับมาพักผ่อนดีกว่า คืนนี้พวกผมต้องเจออะไรกันอีกยาว”

“โอเคครับ ผมตามใจยังไงถ้าวันพรุ่งนี้อยากกลับก่อนก็บอกได้เลยนะครับ พวกผมไม่ว่า”

“ขอบคุณอีกครั้งครับ”ผมโค้งหัวให้นิดหน่อยและเดินหันหลังกลับเข้าสู่ตัวบ้านพร้อมไอ้ภพ

“เดี๋ยวครับ…คุณมิว”

“ครับ?”ผมหยุดก้าวขาออกไปและหันกลับมามองหน้าทีมงานที่พูดคุยกับผมเมื่อเช้าอีกครั้ง  ความรู้สึกที่เรียกว่าเดจาวูตีซ้อนกลับมาให้ผมนึกถึงวันแรกที่เข้ามาในบ้านหลังนี้  วันนั้น ผมก็โดนทีมงานคนหนึ่งร้องทักเอาไว้ด้วยคำแบบเมื่อสักครู่นี้ ตรงบริเวณนี้ อย่างไม่มีผิดเพี้ยน

“คุณยังยืนยันที่จะไม่ตอบคำถามผมใช่ไหมครับ?”

“ครับ  ไม่ว่าคุณจะถามคำถามผมอีกสักกี่ครั้ง คำตอบของผมก็คงจะเป็นเหมือนเดิมคือ  ผมไม่เห็น”

“ใช้คำว่าคงจะ นี่ไม่แน่นอนเลยนะครับ  แต่เอาเถอะ คุณไม่พูดวันนี้ก็ได้  แต่บอกไว้เลยนะครับ  ถ้าครั้งหน้าผมถามคำถามนี้ขึ้นมาอีกเมื่อไร  สิ่งที่คุณจะต้องตอบผม มีเพียงอย่างเดียวคือ พูด ความ จริง”ท้ายประโยคทีมงานคนนั้นก็เงียบเสียงลงไปและใช้การขยับปากทีละคำอย่างช้าๆเพื่อให้ผมได้เห็นความต้องการนั้นเพียงคนเดียว

เมื่อทีมงานเดินกลับออกไป ผมก็ทำได้แค่ส่ายหัวเบาๆ จนเรียกได้ว่าปลงและชินชาไปกับการดื้อรั้นที่จะถามของทีมงาน  ถอนหายใจออกอย่างช้าๆและเดินกลับเข้าไปภายในบ้าน  กวาดสายมองหาไอ้ภพและเห็นว่ามันกำลังยกตะกร้าผ้าที่คงมีทีมงานเอาไปซักไว้ให้ตั้งแต่เมื่อวานขึ้นไปบนห้อง  ก่อนที่ผมจะเดินตามมันขึ้นไปจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วพากันไปนอนรอเวลาให้แสงอาทิตย์ของวันนี้ลับขอบฟ้าลงไป

กริ๊งงงงง  กริ๊งงงงง  กริ๊งงงงงงงงงง

เสียงโทรศัพท์ดังแผดเสียงร้องอยู่ข้างหูของผมกับไอ้ภพที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ  ปลุกให้ผมงัวเงียขึ้นมาเอื้อมมือไปคลำหาเพราะคิดว่าเป็นเสียงร้องเตือนของนาฬิกาปลุกยามเช้า  ก่อนที่จิตสำนึกจะร้องเตือนขึ้นมาว่า  ผมไม่ได้อยู่ที่หอ  ผมกำลังเล่นเกมส์อยู่ในบ้านร้างมีประวัติหลังหนึ่ง  บ้านร้างที่มีกฎหลักของบ้านคือ ห้ามผู้เข้าแข่งขันพกโทรศัพท์กันเข้ามา

“ตื่นแล้วใช่ไหม?”

“เฮ้ย!! โถ่….ลุงคำ เล่นอะไรครับเนี่ย  ทำไมไม่ปลุกผมดีๆ”ผมสะดุ้งตกใจไปกับเสียงร้องทักที่คุ้นชิน ก่อนจะเบนสายตาไปหาที่มาของเสียงและพบกับลุงคำที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างเตียงพร้อมกับชูโทรศัพท์รุ่นดึกดำบรรพ์ที่ตอนนี้ยังคงร้องเสียงดังขึ้นมาให้ดู

“เอ้า  ลุงก็ปลุกพวกเอ็งด้วยโทรศัพท์นี่แล้วไง  อุสส่าห์ไม่เรียกแล้วนะ 555”

“ครับๆ ดีแล้วครับ  แล้วนั่นโทรศัพท์ของใครหรอครับ ของลุงหรอ?”

“อ้าว  ลุงคำ สวัสดีครับ มาตั้งแต่เมื่อไรกัน”ไอ้ภพ หาววอดใหญ่ บิดขี้เกียจหลังจากตื่นนอน ก่อนจะหันไปทักทายลุงคำด้วยดวงตาที่แทบลืมไม่ขึ้น

“ไหว้พระเถอะเอ็งหนะ  ส่วนโทรศัพท์นี่ไม่ใช่ของลุงหรอก  รายการให้เอามาให้มันต้องใช้ในเกมส์คืนนี้”

“เกมส์…คืนนี้หรอครับ”

“ใช่  ทำหน้ากันอย่างนี้แสดงว่ายังไม่ได้อ่านกันใช่ไหม?  รีบไปล้างหน้าล้างตาได้แล้วจะได้รีบลงไปอ่านกัน  ลุงก็จะได้กลับด้วย  นี่ลุงยอมทำผิดกฎรายการเพื่อพวกเอ็งเลยนะ”

“ผิดอะไรหรอครับลุง?  หรือว่า….นี่กี่โมงแล้วครับ!!”ผมนึกตามคำพูดลุงคำ ก่อนจะร้องโหวกเหวกถามลุงคำด้วยหน้าตาตื่น

“ตอนนี้…สองทุ่มกว่าแล้ว ตามจริงลุงอยู่ถึงขนาดนี้ไม่ได้หรอก แต่เห็นว่าพวกเอ็งคงเหนื่อย ลุงเลยทำกับข้าวเอาไว้ให้แล้วก็รอปลุกพวกเอ็งเนี่ย  ขืนปล่อยให้ตื่นเองคงได้โดนปรับแพ้เข้าจนได้”

“ข..ขอบคุณมากนะครับลุง  แล้วลุงจะไม่เป็นอะไรหรอครับ” คำพูดของลุงคำทำเอาผมกับไอ้ภพ พูดแทบไม่ออก ความรู้สึกผิด  ความรู้สึกที่เคยไม่ไว้ใจตีรื้นขึ้นมาจนจุกคอไปหมด  เรียกให้ดวงตาซึมไปด้วยน้ำใสๆเล็กน้อย

“ลุงไม่เป็นอะไรหรอก  พวกเอ็งตื่นกันได้ก็ดีแล้ว  งั้นเดี๋ยวลุงไปแล้วนะ  ระวังตัวกันด้วยนะ ลุงเป็นห่วง”

“เกมส์คืนนี้…มันหนักมากเลยหรอครับลุง”

“หนักไม่หนักลุงไม่รู้หรอก  ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับพวกเอ็ง…แต่เกมส์คืนนี้พวกเอ็งจำคำพูดลุงเอาไว้ด้วยนะ”

“จำ?  จำอะไรครับ”ไอ้ภพที่คงตื่นเต็มตา  ยืดตัวขึ้นนั่งท้าวคางมองหน้าลุงคำด้วยความสงสัย

“พวกเอ็งเล่นกันมาหลายเกมส์แล้ว  รู้หรือยังคนตายกับผีมันไม่เหมือนกันหรอกนะ”

“ยังไงครับ  ในเมื่อที่ลุงว่ามามันก็คือคนที่สิ้นชีวิตไปแล้วทั้งคู่”

“คนตายหนะใช่ เขาสิ้นชีวิตไปแล้ว นอนนิ่งให้ผืนดินกลบตาไปแล้ว  แต่สำหรับผี  มันไม่ใช่อย่างนั้น ผีหรือวิญญาณคือสิ่งมีชีวิตหลังความตาย พวกมันล้วนต่อลมหายใจปลอมๆเพียงเพื่อจะได้ติดต่อกับใครสักคนที่สามารถจะนำทางพวกมันไปสู่ภพภูมิที่พวกมันต้องการได้”

“ถ้าอย่างนั้น อย่าบอกนะครับลุงว่าเกมส์คืนนี้…”ผมนั่งนิ่งกำผ้าห่มผืนหนาเอาไว้แน่น สบตากับไอ้ภพที่ยื่นมือมาสัมผัสกับไหล่ ก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าลุงคำที่ก็มองมาด้วยความเป็นห่วงไม่แพ้กัน

“อืม  เกมส์คืนนี้มันจะไม่มีการท้าทาย  ไม่มีคาถาเชิญวิญญาณ  ไม่มีการจุดธูป  ไม่มีการขอเจ้าที่…มีแค่โทรศัพท์เครื่องนี้  ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ให้พวกเอ็ง  ติดต่อกับผู้มีชีวิตหลังโลกแห่งความตาย”





************************************************TBC*****************************************
สวัสดีครับวันนี้เอาตอนที่  19  มาส่งแล้วววว 
ก่อนอื่นต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ตอนนี้อาจจะน้อยกว่าตอนอื่นๆที่ผ่านมาเพราะว่าผมไม่สามารถตัดช่วงของบทถัดไปได้
หากใครที่รอลุ้นหรือคาดหวังกับตอนนี้แล้วไม่พอใจ  ผมขอโทษด้วยครับ  คราวหน้าจะระวังการแบ่งช่วงให้ดีกว่านี้ :o12:
ขอบคุณทุกๆคอมเมนต์ ทุกการแชร์ และ ทุกการติดตามนะครับ  เป็นกำลังใจให้ผมมากเลยทีเดียว
หากมีเรื่องอยากติชม สามารถเข้ามาบอกในนี้ได้เลยนะครับผมอ่านของทุกคนเลย
หรือถ้าไม่สะดวกสามารถเข้าไปใน  #Nightmaregame ได้เลยนะครับ ผมพร้อมตอบทุกคนเสมอ
ถ้ามีคำผิดหรือประโยคที่ไม่ลื่นไหลบอกผมได้เลยนะครับ  ผมจะมาแก้ให้
รักคนอ่านทุกคนครับ
เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่19 สายตา (4/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 04-04-2017 23:11:25
สายตาของใครอีกแล้วว มาไม่ดีอีกก  :z3:

หวานไม่เท่าไหร่ก็หลอนล้าว 5555555
เอาใจช่วยให้ทั้งคู่ผ่านเกมส์นี้ และไฝว้พวกทีมงานชนะนะคะะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่19 สายตา (4/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 05-04-2017 00:32:19
ไม่รู้เลยว่าใครหวังดีหวังร้าย?! หลอนไม่เลิกเลย :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่19 สายตา (4/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: karamailpraleen ที่ 05-04-2017 03:25:38
ไม่ค่อยเห็นภพหวานกับมิวเท่าไร แต่พอหวานทีนี่เขินเลย :-[
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่19 สายตา (4/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 05-04-2017 22:25:46
เป็นห่วงมิว
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่19 สายตา (4/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: JACKSON ที่ 11-04-2017 19:31:13
สู้น้าาาาา
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่20 โทรทักรับตาย (11/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 11-04-2017 20:28:37
ตอนที่ 20

โทรทักรับตาย

เคยได้ยินไหม?

เรื่องราวของเบอร์โทรศัพท์ปริศนาที่โทรเข้ามาเพื่อคร่าหนึ่งชีวิตที่อยู่ปลายสาย  เบอร์พวกนั้นไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วมันโทรมาจากไหน หรือใครคือผู้ที่ถือครองเบอร์เหล่านี้  เท่าที่ทุกคนรู้  มีเพียงว่าทุกสภาพศพจะมีลักษณะแบบเดียวกันคือแก้วหูแตก เลือดคั่งในสมอง  อีกทั้งยังได้รับสายในช่วงเวลาใกล้ๆกัน  ดังนั้น จุดประสงค์ของสายมรณะนั่นจึงไม่เคยมีใครทราบ  นอกเสียจากการเดาไปว่าต้นสายมีเป้าหมายที่หวังจะฆ่าให้ตายโดยที่ไม่มีการเลือกคน  ไม่มีการเลือกจังหวัด ขอแค่เพียงผู้ที่ใจกล้ารับสายเท่านั้น ชั่วพริบตาเดียว ชีวิตของพวกเขาก็จะหวนคืนสู่จุดที่ทุกคนเคยจากมา

หวนคืนสู่เรื่องราวแห่งความตาย…

ด้วยเพราะไม่เคยมีผู้ใดรอดชีวิตกลับมา  คำบอกเล่าต่างๆนานาจึงเริ่มเกิดขึ้น  เรื่องราวที่ถูกเผยแพร่แบบผิดๆถูกๆของบรรดาผู้ที่รู้เรื่อง เริ่มถูกประติดประต่อเปลี่ยนเนื้อหาไปดั่งไฟลามทุ่ง ไม่ว่าจะเป็น เสียงที่คนตายได้ยินคือเสียงของคำสาปจากผู้วายชนม์  เสียงของคนเล่นของที่ต้องการโทรมาลองของที่ตนมี  เสียงของบทสวดภาษาต่างๆ  หรือที่เป็นข้อสันนิษฐานโน้มน้าวผู้ฟังได้มากที่สุดคือ  สายจากวิญญาณที่ตายโหงจากแหล่งต่างๆ โทรเข้ามาเพื่อขอความช่วยเหลือ  หากแต่ว่าผู้รับไม่สามารถรับคลื่นความถี่ที่ต่างกันได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ เยื่อแก้วหูของคนเป็นจึงเกิดการฉีกขาดแล้วนำไปสู่ความตาย

“เป็นไปไม่ได้” ไอ้ภพพูดเสียงแข็ง ขัดการอ่านคำอธิบายของเกมส์ที่จะต้องเล่นในคืนนี้

“เรื่องไหน?”ผมเงยหน้าขึ้นมองไอ้ภพแทบจะในทันทีที่มันพูดจบ  ก่อนจะค่อยๆเปิดปากถามถึงสาเหตุ

“ตอนกูฟังข่าวนี้ครั้งแรก เรื่องพวกนี้กูไม่เชื่ออะไรสักอย่างนอกจาก คลื่นความถี่ที่มันสามารถทำลายเยื่อแก้วหู แต่หลังจากที่เข้ามาในเกมส์นี้  กูรับรู้เรื่องราวหลังความตายผ่านปากของมึง เรื่องที่ว่าวิญญาณโทรมาขอความช่วยเหลือแล้วคนฟังต้องตาย มันจึงเป็นไปไม่ได้ในความคิดกู  เพราะถ้ามันเป็น…มึงคงตายไปนานแล้ว

“มึงอย่าไปให้ราคาอะไรกับมันเลย เรื่องคำอธิบายในหนังสือนี่มันก็แค่คัดลอกข้อความมาจากเนื้อความในหนังสือพิมพ์  ความเป็นจริงเป็นอย่างไร พวกเราย่อมรู้กันดี ไม่อย่างนั้น กูกับมึงคงไม่ตัดสินใจที่จะอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไปหรอก”

“เบื้องหลังของคดีนี้  คือฆาตกรสินะ”

“อืม  คดีสายมรณะนี่ ไม่ต่างไปจากคดีคนสูญหายหรือวิญญาณคนตายในเกมส์นี้หรอก  เบื้องหลังของมันมี…ฆาตกร”ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับไอ้ภพ ก่อนจะก้มลงมองเนื้อความบนมือทั้งหมดด้วยความตะขิดตะขวงใจ

ข้อสันนิษฐานจำนวนมากมายถูกบอกเล่าให้พวกผมฟังผ่านตัวอักษร  ดึงให้จิตใจเบื้องลึกรู้สึกหดหู่ไปกับความคิดของชาวบ้านหลายๆคน  แน่นอนว่าทุกข้อความที่บอกเล่ากันมาล้วนไม่มีข้อใดถูกหรือผิด เพราะนั่นคือสิ่งที่เกิดมาจากคนภายนอก  คนเหล่านั้น ไม่สามารถรับรู้ความจริงได้  ไม่สามารถอ้างอิงหลักต่างๆได้  ความเชื่อที่สั่งสมกันมานานจึงถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อเปิดม่านเรื่องราวให้ขยายออกและสามารถโน้มน้าวความคิดของคนฟังให้คล้อยตามได้ ราวกับว่าข้อความลูกโซ่พวกนั้นไม่เคยถูกดัดแปลงอะไรมาก่อนเลย

ซึ่งแตกต่างจากผม ที่เพียงได้อ่านคำอธิบายแค่สองสามบรรทัด สัญชาตญาณในตัวก็พุ่งโจมตีขึ้นมาทันทีว่า เรื่องที่เกิดขึ้นภายใต้สัญญาณโทรศัพท์ไม่ได้เกิดจากฝีมือผี หรือ บทสวดใดๆทั้งสิ้น  หากแต่เป็นฝีมือของสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ ฝีมือของฆาตกรที่จงใจบิดเบือนข้อเท็จจริงต่างๆให้เปลี่ยนไป  หลอกลวงทุกคนโดยการนำความเชื่อและสิ่งที่สังคมไทยปลูกฝังกันมานานกลบความผิดและเรื่องเลวทรามที่ตนเองได้ก่อเอาไว้  ไม่ต่างไปจากเกมส์นี้  เกมส์ที่นำเอาชีวิตของผู้เข้าแข่งขันมาเดิมพันกับเรื่องอันน่าสยดสยอง  มาพบเจอกับวิญญาณที่เข้ามาขอความช่วยเหลือโดยมีเบื้องหลังเป็นนิทานของคนตายที่มีเพียงหนึ่งคนควบคุม

ฆาตกร…กำลังเพ่งเล็งการกระทำของพวกผมและเฝ้ารอเพียงวันและเวลาอันเหมาะสมเพื่อจะได้กำจัดพวกผมออกไปโดยที่ทุกอย่างจะยังคงเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ

“ภพ  รู้ไหมว่าเกมส์นี้ไม่เหลือช่องให้เราหนีแล้วนะ”ผมโพล่งขึ้นบอกไอ้ภพ ที่นั่งมองหนังสือในมือผมอยู่เงียบๆ  หลังจากนั่งคิดไม่ตกกับเนื้อความที่ได้อ่าน บวกกับสิ่งที่ได้เจอในวันนี้

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”ไอ้ภพถามขึ้นด้วยแววตาสงสัยแต่ยังคงเจือไปด้วยความเป็นห่วงน้อยๆผ่านน้ำเสียง

“จำเรื่องที่กูบอกว่า วันนี้เราโดนจ้องมองจากที่ใดที่หนึ่งได้ไหม?”

“อืมจำได้  แต่มึงแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าไม่ได้รู้สึกไปเอง หรือ สายตาที่มึงรู้สึกไม่ใช่สายตาเดียวกับเมื่อคืน”

“ไม่ใช่ สายตาที่จ้องมองเราในบ้าน ถึงกูไม่หาที่มากูก็รู้ได้ว่ามันไม่ใช่คน  แต่วันนี้สายตานั่นที่มองเรา ถ้ามันให้ความรู้สึกแบบเดียวกับเมื่อคืนกูคงไม่รู้สึกใจเต้นขนาดนี้  กูสังหรณ์ใจแปลกๆว่ะ  กูกลัวว่ามันจะมาจาก…คน” แค่เพียงเท่านั้น  ช่องว่างของอากาศก็เกิดขึ้นมาทันที  ผมกับไอ้ภพนั่งมองหน้ากันด้วยแววตาที่ผิดปกติทั้งคู่แต่ดูเหมือนว่าผมจะผิดปกติไปมากกว่ามันเล็กน้อย  เพราะเนื้อตัวก็เริ่มรู้สึกสั่นเทาขึ้นมาอย่างคุมไม่อยู่

“ทีมงาน…หรือเปล่า?”ไอ้ภพพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา อีกทั้งลมหายใจของมันยังขาดช่วง บอกให้รู้ว่ามันกำลังเครียดกับสิ่งที่เรากำลังเผชิญ

“เป็นแบบนั้นก็คงดี  แต่ถ้าไม่ใช่ทีมงานขึ้นมา  เราก็คงไม่เหลือเวลาแล้วนะภพ เกมส์นี้คงเดินหน้ากำจัดเราสองคนจวนจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว”

“จะเป็นไปได้ยังไง เราสองคนก็ยังอยู่ตรงนี้  ยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย”

“ได้สิ  วันนี้ทีมงานเรียกกูไปคุย  รู้ไหมทีมงานคนนั้นเหมือนรู้เรื่องทุกอย่างที่เราตั้งใจปกปิดเอาไว้  เขาถามกูว่า กูเห็นผีหรือเปล่า แล้วพยายามจะเค้นคำตอบจากกูให้ได้  ที่สำคัญนะภพ เขารู้ว่ากูกำลังโกหก  ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พยายามเตือนกูว่าอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ กูคงต้องออกจากเกมส์ไปแบบน้องของมึง”

“ไอ้เหี้ยนั่น…”ท่าทีของไอ้ภพเปลี่ยนไปทันที  มันนั่งตัวสั่น มือกำแน่น  ดวงตาจับจ้องผ่านหน้าผมไปอย่างไม่รู้จุดหมาย แต่แววตานั้นดูแข็งกร้าวเสียจนน่ากลัว

“ใจเย็นๆก่อนนะ  ทีมงานคนนั้นเขาไม่ได้คุกคามอะไรกูไปมากกว่านี้หรอก  ดูเขาอยากจะช่วยมากกว่า  แต่ประเด็นที่กูกลัวมันอยู่ที่…สมมตินะภพ  ถ้าทีมงานคนนั้นเป็นคนดีจริงๆ มีจุดประสงค์ที่จะเตือนเราจริงๆ แล้วเขาสามารถมองเราออกได้ทะลุขนาดนี้  มึงคิดว่าคนที่มาดร้ายต่อเรา จะยังมองไม่ออกเหรอภพ เผลอๆคนพวกนั้นมันอาจจะดูเราออกมาตั้งนานแล้ว”

“อะไรที่ทำให้มึงคิดว่ามันดี”อารมณ์ไอ้ภพยังคงไม่ลดลง หนำซ้ำยังดูจะเพิ่มขึ้นด้วยหลังจากคำพูดของผม

“ฟังนะ กูอาจจะเชื่อคนง่ายไปหน่อย  แต่ท่าทีของทีมงานคนนั้นยังดูเข้าใจพวกเรามากกว่าทีมงานอีกคนเสียอีก  วันนี้เขามาขอโทษที่เป็นต้นเหตุให้พวกเราโดนทีมงานอีกคนสอบสวน  นั่นมันจึงทำให้กูรู้ว่าเจตนาที่เขาคุยกับเรา  เขาคงแค่อยากจะกวนตีนให้เราระบายบางอย่างออกมา  เกมส์เมื่อคืน เขาคือคนที่นั่งมองพวกเราตลอด แสดงว่าตั้งแต่ตอนนั้นจนเมื่อเช้า เขายังไม่ได้นอน  เขาเห็นทุกอย่างนะภพ ถ้าเขาจะเอาเราออกจริงๆ แค่เขาเปิดปากพูดเมื่อเช้า  เราสองคนต้องเด้งออกไปแล้ว”

“ถึงอย่างนั้นก็ยังไว้ใจไม่ได้  กูไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น”

“กูรู้  กูก็ไม่ได้บอกให้มึงไว้ใจเขา  ที่กูต้องพูดแบบนี้ก็เพื่ออยากให้มึงรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง  วันนี้มึงเจอแต่แรงกระตุ้นเครียดๆ ที่สำคัญ 90% มาจากกู   ฉะนั้นก็ให้กูเป็นฝ่ายทำให้มึงเย็นลงเถอะ อย่างน้อยก็ทำให้มึงได้เห็นข้อดีของใครบ้าง”

“เหอะ! แค่วันสองวันนี่มึงก็เห็นข้อดีของมันแล้วหรอ?”ขณะที่กำลังเคร่งเครียดไปกับอารมณ์ไอ้ภพ  โทนเสียงของมันก็เปลี่ยนไป จากที่ต้องปลอบมันเพราะอารมณ์โมโหร้ายก็ต้องเปลี่ยนมาทำหน้างงแทนเพราะคำพูดเหน็บแนมผม

“ทำไม? เป็นอะไรอีก วันเดียวกูก็เห็นได้ว่าใครดีไม่ดี จะมาทำน้ำเสียงประชดประชันทำไม”

“ก็เปล่า  กูแค่…เบื่อคนเชื่อคนง่าย  ทีมงานมันแค่มาพูดดีหน่อย ทำเคลิ้มนะมึง”

“ไอ้ห่า กูก็บอกแล้วไงว่ากูแค่รู้สึกว่าเขาดี แต่กูยังไม่ได้ไว้ใจเขา ไม่อย่างนั้นกูก็บอกเขาไปแล้วสิ มึงจะมาอะไรเนี่ย”

“เออๆ  แล้วเราจะทำยังไงต่อไป  ถึงมึงจะบอกว่าเราไม่เหลือเวลาแล้ว  เราก็ทำอะไรไม่ได้ ความจริงที่อยู่แค่ด้านหลังมันกำลังถูกเกมส์สร้างกำแพงป้องกันเราเอาไว้”เมื่อท่าทีแปลกๆของไอ้ภพหายไป  มันก็วกกลับเข้ามาสู่เรื่องเดิมที่ยังไม่จบ

“เพราะเราทำอะไรไม่ได้ไง  กูถึงยังรู้สึกอึดอัด”

“ตามเกมส์ไปก่อนแล้วกัน วันพรุ่งนี้ก็จะจบโปรเจคกลางวันแล้ว  วัดสุดท้ายที่เราต้องทำตอนกลางคืนเราคงพอมีเวลา”

“อืม  งั้นกูอ่านต่อเลยนะ”

หลังจากตกลงเรื่องที่ค้างคากันเรียบร้อย ผมจึงได้มีโอกาสกลับมาอ่านเนื้อหาในหนังสือหน้าถัดไปอีกครั้ง  ภายในหน้านี้ประกอบไปด้วยวิธีการที่เราต้องทำทั้งหมด พร้อมกับเบอร์โทรและชื่อจริงของใครสักคนมากกว่าสิบชื่อ  ในคราแรกผมไม่ได้รู้สึกแปลกใจไปมากเท่าไรและพอเดาได้ว่าโทรศัพท์รุ่นเก่ากึกที่ได้มาคงมีเอาไว้โทรหารายชื่อพวกนี้  แต่เมื่อเลื่อนสายตาลงไปยังหมายเหตุสีแดงเล็กๆด้านล่างหนังสือ ข้อความก็ได้ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า รายชื่อที่ผมมีทั้งหมดล้วนเป็นชื่อของคนที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เบอร์โทรศัพท์มรณะที่เคยเป็นข่าว หน้าที่ของผมในคืนนี้จึงเป็นการโทรออกไปหาเบอร์ที่ได้บอกเอาไว้พร้อมด้วยการกล่าวถามถึงสาเหตุการตายและเชิญให้เขาเข้ามาบอกเรื่องราวให้พวกผมฟังทั้งหมดในบ้านหลังนี้

“มันว่ายังไงบ้าง?”ไอ้ภพถามขึ้นมา เนื่องจากมันคงเห็นผมอ่านวนซ้ำอยู่ตรงหมายเหตุสีแดงด้านล่างหนังสือนานเกินไป

“เกมส์คืนนี้…เราต้องโทรไปหาเบอร์คนตายทั้งหมดนี่แล้วเชิญเขาให้มาบอกเรื่องราวก่อนตายของตนเอง”

“มีแค่นั้นเองเหรอ”

“ก็ถ้าที่เห็นตอนนี้  รู้สึกว่าจะมีแค่นี้นะ”

“แค่นี้ก็ดีแล้ว  กูก็นึกว่าจะมีอะไรมากกว่านี้ เห็นลุงคำเตือนไว้ซะน่ากลัวเลย”

“แกก็พูดถูกนะภพ เรื่องที่แกเตือนมา”

“อย่าทักเสียงที่จะได้ยินตอนกลางคืนกับระวังตัวเนี่ยนะ?  เราจะได้ยินได้ยังไงในเมื่อเราก็คุยทางโทรศัพท์อยู่แล้ว”

“มึงฟังกูทั้งประโยคจริงๆไหม?? ไอ้ภพ  กูก็บอกแล้วไงว่าเราต้องเชิญเขามาเล่าเรื่องของตัวเองที่บ้าน”

ก่อนจากลากับลุงคำ  แกได้ทิ้งประโยคชวนให้สังหรณ์ใจไม่ดีเอาไว้เล็กน้อย  คาดว่าเรื่องราวทั้งหมดของเกมส์ในคืนนี้คงได้ถูกเปิดอ่านโดยลุงคำหมดแล้ว  ไม่เช่นนั้นแกคงไม่พูดขึ้นมาว่าให้พวกผมสองคนระวังตัวกันให้ดี  อ่านทั้งหมดนี่ให้แตกฉานที่สุด อย่าหลงกลไปกับอุบายที่เกมส์สร้างมาเพราะพวกเราจะไม่มีทางรู้เลยว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเกมส์นี้คืออะไร อีกอย่างแกยังบอกเอาไว้ด้วยว่า คืนนี้ระหว่างที่ผมหลับไปหากได้ยินเสียงเรียกแปลกๆหรือเสียงใครก็ตาม อย่าตอบรับเป็นอันขาด เพราะตามกฎของเกมส์ ยามวิกาลจะต้องไม่มีใครสักคนเข้ามาในบริเวณบ้านหลังนี้

เรื่องเสียงทักยามวิกาลเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าหลายๆคนคงรู้อยู่บ้างว่าเมื่อไรที่ได้ยินห้ามทัก  ถ้าอิงตามหลักความเป็นจริงคนโบราณคงกลัวขโมยที่แอบขึ้นบ้านเข้ามาทำร้าย แต่ถ้าเมื่อไรที่มันต้องเกี่ยวกับผีสาง มันจึงเหมือนเป็นคำเตือนที่ป้องกันไม่ให้พวกผมตอบรับและเชิญวิญญาณเหล่านั้นเข้าบ้านของตนเอง ซึ่งผมก็เข้าใจดี  แต่คำเตือนเรื่องให้อ่านเนื้อความทั้งหมดให้แตกฉาน คือสิ่งที่ผมกับไอ้ภพยังไม่เข้าใจ  ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้ผมอ่านข้ามบรรทัดไหนไปหรือเปล่า เหตุใดคำเตือนของลุงคำถึงได้ดูขัดแย้งกับเรื่องราวที่ผมกำลังรับรู้

“งั้นพร้อมแล้วใช่ไหม? เริ่มกันเลยก็แล้วกัน”

“อืม”

ผมตอบรับมันเป็นอย่างสุดท้าย ก่อนจะปล่อยให้ไฟในบ้านทั้งหลังดับสนิท  เทียนเล่มหนาเล่มหนึ่งจึงถูกนำออกมาจุดไว้กลางบ้านชดเชยความสว่างตามคำสั่งของเกมส์  ทำให้แสงเทียนที่มีคืนนี้น้อยลงไปมากกว่าคืนอื่นๆ  สร้างบรรยากาศของบ้านให้ขุ่นมัวไปมากกว่าในทุกๆวัน  อีกทั้ง เรื่องราวของวิญญาณปริศนาที่มาส่งเสียงร้องเตือนเมื่อวานก็ยังหาที่มาไม่ได้ จิตสำนึกในกายจึงปลุกความกลัวในใจของเราสองคนให้ตื่นขึ้น  เหงื่อเม็ดน้อยไหลซึมข้างขมับยามที่ต้องจับโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ภายใต้เงาเทียนนั่น แล้วทำได้เพียงรอเวลาให้สัญญาณของมันทำงานพร้อมกับลุ้นไปว่าเสียงที่ตอบกลับมาจะเป็นเสียงของใครระหว่างคนหรือคอมพิวเตอร์

หมายเลขที่ท่านเรียก ยังไม่เปิดใช้บริการ…

“ส..สวัสดีครับ คุณวกร  คุณสบายดีไหมครับ?  ได้ข่าวมาว่าคุณต้องเสียชีวิตไปเพราะสายโทรศัพท์แปลกๆ โชคไม่ดีเท่าไรเลยนะครับ  เอาเป็นว่าถ้าคุณไม่รังเกียจ  ในคืนนี้พวกผมขอเชิญให้คุณเข้ามานั่งพูดคุยกันถึงสาเหตุการตายหน่อยครับ”


ประโยคเชิญชวนถูกกล่าวขานไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจนัก  ช่วงระหว่างที่เสียงผู้หญิงของระบบตอบกลับมาทำลายความเงียบภายในบ้านหลังนี้  คือช่วงเวลาที่พวกผมสองคนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นจนถึงกับต้องปล่อยให้ลมหายใจเล็ดลอดออกมาจนเปลวเทียนวูบไหว  พวกผมนั่งตัวเกร็งอย่างเห็นได้ชัดไปตั้งแต่เริ่มกดเลขศูนย์ ความกลัวที่ไม่รู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไรวิ่งแล่นขึ้นมายังสมอง  จวบจนเมื่อปล่อยให้เสียงระบบทำงานเสร็จสิ้น  ผมจึงเริ่มมองหน้าไอ้ภพอย่างขอกำลังใจ ก่อนจะเปล่งวาจาตามคำสั่งในหนังสือให้ดังฟังชัดที่สุด

คำสั่งบังคับให้พูดตามถูกวางเอาไว้ชัดเจน โดยที่มีเพียงหนึ่งช่องว่างเว้นเอาไว้ให้ใส่ชื่อคนตาย กำลังทำให้จิตใจของพวกผมสองคนอยู่ไม่เป็นสุข  แม้ว่าเกมส์คืนนี้พวกผมจะไม่มีแม้แต่การเชิญวิญญาณมาพร้อมควันธูป พวกผมก็ไม่อาจละเลยความรู้สึกกลัวแบบนี้ไปได้  เกมส์ที่ต้องเล่นมันเพิ่มระดับความหลอนไปมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งขัดกับวิธีการที่ต้องทำ  การท้าทายที่เคยระบุเอาไว้มากมายในหนังสือเล่มแรกๆ ถูกลดลงมาจนทำให้เกมส์แทบไม่มีอะไร เหมือนกับทางรายการสามารถรับรู้ได้ว่า  การท้าทายไร้สาระอาจจะไม่จำเป็นสำหรับผมอีกแล้ว

“มิว เบอร์ที่สอง มึงจะให้กูพูดแทนไหม?”ไอ้ภพพูดแทรกขึ้นมาขณะที่ผมกำลังจะกดเบอร์ที่สองลงไป

“ไม่ต้องหรอก  เดี๋ยวมึงบอกเลขมาแล้วกันเบอร์คนตายพวกนี้คงไม่มีใครใช้แล้ว”

“งั้นเบอร์ถัดไปคือ 080-3264xxx  ผู้ตายชื่อคุณ ประมวล”

”อืม”

เมื่อกดปุ่มโทรออก เสียงสัญญาณที่พวกเราไม่ปรารถนาก็ดังขึ้นมาจนผมถึงกับต้องวางโทรศัพท์เอาไว้ที่พื้นแล้วเปิดลำโพงแทน  ผมรีบเงยหน้าขึ้นมองไอ้ภพที่มองผมอยู่ก่อนแล้วด้วยหน้าตาตื่น  ก่อนจะก้มลงไปมองโทรศัพท์อีกครั้งเพื่อลุ้นว่าเสียงปลายสายที่จะรับต่อไปเป็นเสียงของใคร

“สวัสดีครับ”

“ส…สวัสดีครับ  ขอโทษที่รบกวนนะครับ แต่เบอร์นี้ใช่เบอร์ของคุณประมวลหรือเปล่า?”

“ไม่ใช่ครับ…คุณน่าจะโทรผิด”

“อ่า ถ้าอย่างนั้นขอโทษด้วยนะครับ ไม่ได้ตั้งใจ”

ภายหลังสัญญาณตัดไป  คำพูดเชื้อเชิญผู้ตายที่ชื่อประมวลก็ยังคงต้องทำต่อ  เกมส์คืนนี้ไม่มีข้อยกเว้นใดๆเลย แม้ว่าเบอร์เหล่านั้นจะมีผู้ใช้คนใหม่ไปแล้วก็ตามที  คำสั่งที่ผมเห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ย้ำเตือนเอาไว้ว่าหากมีคนรับสาย ผมจะต้องพูดคำสั่งพวกนั้นหลังเสียงสัญญาณจบ

“สวัสดีครับ คุณประมวล คุณสบายดีไหมครับ?  ได้ข่าวมาว่าคุณต้องเสียชีวิตไปเพราะสายโทรศัพท์แปลกๆ โชคไม่ดีเท่าไรเลยนะครับ  เอาเป็นว่าถ้าคุณไม่รังเกียจ  ในคืนนี้พวกผมขอเชิญให้คุณเข้ามานั่งพูดคุยกันถึงสาเหตุการตายหน่อยครับ”

นับเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงที่เบอร์แล้วเบอร์เล่าถูกผมและไอ้ภพหยิบยกขึ้นมาต่อสายหา  หลายเบอร์มีเพียงเสียงตอบรับจากระบบเท่านั้นที่ส่งสัญญาณมาให้ผมต้องทำอะไรต่อไป  แต่ก็อีกหลายเบอร์เช่นกันที่สามารถติดต่อทางปลายสายได้และพบว่าเบอร์ที่ทางรายการให้มายังมีคนใช้อยู่ หนำซ้ำ ยังเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนตายทั้งสิ้น  ทำให้บทสนทนาที่ต้องใช้ตอบกลับไปยังผู้รับเต็มไปด้วยข้ออ้างและความยากลำบาก เนื่องจากพวกเราทั้งคู่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาพูดคุยกับคนเป็นด้วยกัน

“สวัสดีครับ  นั่นใช่เบอร์คุณสกลหรือเปล่าครับ”

“ใช่ครับ มีอะไรหรือเปล่า” สถานการณ์ชวนให้น่าอึดอัดเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเสียงที่ตอบกลับมามีท่าทีว่ารู้จักและสนิทสนมกับผู้ตายพอควร

“คือ…คือ พอดีว่า ผมได้รับการติดต่อจากคุณสกลให้โทรมาคุยเรื่องงานครับ”

“เมื่อไรครับ?”เสียงหวานหูเมื่อครู่กลับกลายเป็นเสียงนิ่งเรียบกึ่งไม่พอใจ   วินาทีนั้นผมอยากจะแทรกแผ่นดินหนีหายไปให้รู้แล้วรู้รอด  เพราะเนื้อความหลังจากนี้คือสิ่งที่ผมได้รับมาแล้วทั้งหมดจากเบอร์ก่อนหน้า

“ประ…ประมาณสองอาทิตย์ก่อนครับ”

“หรอครับ  แต่คุณรู้อะไรไหม?  พ่อผมเขาตายไปสองปีแล้ว!!!  เขาจะโทรไปหาคุณได้ยัง!!!  พวกคุณกำลังเล่นอะไรกันอยู่หรอ  ถ้าว่างมากนักก็ตายตามพ่อผมไปสิ  เล่นไม่เข้าเรื่อง  อย่าโทรมาอีก ถ้าพวกคุณไม่อยากเข้าไปนอนในคุก”

แค่เพียงเท่านั้นสายก็ถูกตัดไป  คงเหลือไว้แต่เพียงเสียงตะโกนที่ดังก้องกังวานเมื่อครู่ ที่ยังคงติดค้างอยู่ในหูและหัวของผม  อาการเหล่านี้เป็นเหมือนกันกับในทุกๆเบอร์ที่ผมสามารถติดต่อได้  ผู้รับล้วนปล่อยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ออกมาจนแม้แต่คำว่าขอโทษผมก็พูดแทรกเข้าไปไม่ได้  ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว จนไอ้ภพต้องเป็นฝ่ายออกคำสั่งถึงผู้ตายที่ชื่อสกล และนำโทรศัพท์บนพื้นไปกดเบอร์สุดท้ายสำหรับเกมส์คืนนี้

เสียงสัญญาณรอการตอบรับจากเบอร์นี้ ดังบรรเลงคลอเคล้าไปกับเสียงหวีดของลมที่พัดผ่านภายนอกบ้าน   ช่วงเวลาสุดท้ายของการรอคอยของเบอร์นี้ใช้เวลานานกว่าเบอร์ที่ผ่านๆมา  เมื่อเสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงสัญญาณที่ดังไหลไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีของการตอบรับหรือการตัดสายทิ้งไป  พวกผมจึงต้องลองกดโทรหาอีกหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าโทรศัพท์เครื่องนี้จะไม่มีการดังขึ้นมาทำลายความเงียบสงบ หากผมเดินเข้าสู่ประตูแห่งนิทรากาล

จวบจนเปลวเทียนเริ่มหรี่ลงจนแทบมอดดับ ไอ้ภพก็ตัดสินใจพูดประโยคปิดท้ายของเกมส์ให้จบลง

“จบสักที  เดี๋ยวมึงเอาหนังสือไปเก็บนะมิว แล้วเดี๋ยวกูจะเอาโทรศัพท์นี่ไปวางให้”

ผมพยักหน้ารับและเดินเอาหนังสือนี่ไปเก็บที่ตู้หนังสือโดยที่บ้านทั้งหลังตอนนี้ ไม่มีแสงใดๆที่ช่วยนำทางให้ผมแล้ว อาศัยแค่แสงของพระจันทร์ที่ส่องเข้ามาในบ้านและความเคยชินเท่านั้นที่สามารถพาผมนำหนังสือนี่ไปเก็บได้

กรี๊งงงงง  กริ๊งงงงงง กริ๊งงงงงงงง

เสียงโทรศัพท์เครื่องหนาดังแผดร้องขึ้นลั่นบ้านในขณะที่ขาของพวกผมขึ้นไปจนเกือบจะถึงประตูห้อง  เราสองคนมองหน้ากันพลางตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป ก่อนจะพากันเดินลงมาที่โทรศัพท์เครื่องนั้นอีกครั้งตามเสียงโทรศัพท์ที่คาดว่าจะยังร้องอยู่แบบนั้นหากผมไม่สนใจที่จะรับมัน

“ไอ้มิว  เบอร์สุดท้ายที่กูโทรไปว่ะ  ผู้ตายเขาชื่ออะไรนะ”

“กูก็จำไม่ได้  เอางี้มึงถือไว้ก่อน เดี๋ยวกูไปหยิบหนังสือมาให้”

ผมวิ่งกลับไปที่ตู้หนังสือและรีบเปิดไปยังหน้าที่ระบุรายชื่อเอาไว้  กวาดสายตาไปยังรายชื่อสุดท้ายที่มี จังหวะนั้นสายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับเนื้อความบางอย่างที่มีขนาดเล็กมากๆถัดจากตัวอักษรสีแดงนั้น  อาจจะเพราะแสงที่มีไม่พอ ผมจึงต้องใช้สายตาเพ่งเล็งจนหน้าแทบจะชิดกับหนังสือ  ผมถึงได้เห็นว่าแท้จริงแล้วข้อความกำกับในเกมส์นี้มันยังไม่หมด สิ่งที่หนังสือบอกเพิ่มไว้  กำลังจะเป็นอุบายที่ล่อลวงให้พวกผมพูดคุยกับคนเป็นก่อนที่คนเหล่านั้นจะกลายเป็นคนตาย

“ตกลงเขาชื่ออะไร?”

.
.
.
( ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่20 โทรทักรับตาย (11/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 11-04-2017 20:31:33
“ภพ…มึงลองเอานี่ไปอ่าน เดี๋ยวกูคุยให้เอง  เปิดไปที่หน้าสุดท้ายแล้วมองไปที่บรรทัดเล็กๆล่างสุด  จบการคุยเมื่อไรบอกกูแล้วกันว่ามึงจะเอายังไง”ผมหยิบโทรศัพท์ในมือมันมา และยื่นหนังสือเข้าไปแทน  ไอ้ภพมองหน้าผมด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากการพยักหน้ายอมรับ

“สวัสดีค่ะ  ได้โทรมาเบอร์นี้หรือเปล่าคะ”

“สวัสดีครับ  ขอโทษที่ปล่อยให้โทรมาซะหลายสายเลยนะครับ พอดีผมวางไว้ด้านล่างหนะครับ”

“อ๋อไม่เป็นไรค่ะ  คุณก็โทรมาหลายสายแล้วเหมือนกัน ขอโทษด้วยนะคะ  ว่าแต่ไม่ทราบว่ามีอะไรด่วนหรือเปล่าคะ”

“ครับ…ไม่ทราบว่านี่ใช่เบอร์โทรของคุณ ศตวรรษ หรือเปล่าครับ”

“ใช่ค่ะ  มีอะไรจะติดต่อกับพี่วรรษหรอคะ  ฝากดิฉันไว้ได้ค่ะ ดิฉันเป็นน้องสาว พอดีพี่วรรษออกไปทำงานค่ะ” สิ้นเสียงของอิสตรีในสาย  เนื้อตัวของผมก็ชาไปทั้งตัว  ความกลัวและความกังวลแปลกๆแล่นริ้วขึ้นมาจนจุกอก  จะเป็นไปได้อย่างไร ที่รายชื่อทั้งหมดนี่จะยังหลงเหลือรายชื่อของคนที่มีชีวิตอยู่

“ปะ…ไปทำงานหรอครับ  คุณศตวรรษ ออกไปทำงานเมื่อไรหรอครับ”ลางสังหรณ์บางอย่างตีตื้นขึ้นมาจนไอ้ภพรับรู้  อาการเกร็งไปทั้งร่าง จนมือที่จับโทรศัพท์สั่นเล็กน้อย คือสิ่งที่ทำให้ไอ้ภพหยุดยุ่งกับหนังสือแล้วหันมาจดจ้องผมแทน

“ก็ประมาณ  2 อาทิตย์ได้แล้วค่ะ  เห็นว่าออกไปทำงานที่ต่างจังหวัด รู้สึกจะ นครสวรรค์มั้งคะ”

ฮึก

เสียงสะอื้นและน้ำตาเกิดขึ้นในเวลาพร้อมๆกันจนผมต้องยกมือขึ้นมาปิดปาก   ดวงตาของผมคลอไปด้วยน้ำตาแห่งความรู้สึก  มันเต็มไปด้วยความสงสาร  ความไม่เข้าใจ ความกดดันและสุดท้ายคือความน่ากลัวในจิตใจของมนุษย์ เกมส์ส่งรายชื่อคุณศตวรรษมาให้ผมติดต่อเพื่ออะไร  มันกำลังจะบอกอะไรผม  สิ่งที่ผมภาวนาไม่ให้เกิดขึ้นจริง ไม่เป็นผล  เค้าลางแปลกๆที่ย้ำเตือนมาว่าคุณศตวรรษจะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเกมส์นี้  ได้รับการยืนยันจากปากของผู้เป็นน้องสาว แม้จะเป็นแค่เวลาและสถานที่ก็ตาม

“ง…งั้น ไม่เป็นไรครับ  เดี๋ยวผมจะติดต่อกับคุณศตวรรษภายหลังเอง  ยังไงขอโทษอีกครั้งนะครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ  ไม่ได้รบกวนอะไรเลย ถ้าพี่วรรษกลับมา ฉันจะบอกให้นะคะ”

ขอโทษ  ที่สุดท้ายแล้วการพยายามหาฆาตกร มันยังไม่เพียงพอที่จะยื้อชีวิตใครต่อใครเอาไว้ได้

ผมยืนปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาพร้อมกับอาการตัวสั่นเกร็ง  ปากของผมทำได้แค่พึมพำคำขอโทษที่ปลายสายไม่มีทางได้ยิน  ผมไม่รู้เลยว่าคุณศตวรรษคือใคร  คือหนึ่งในทีมงานคนไหน  แต่ที่เขาต้องมาจบชีวิตในเกมส์นี้ส่วนหนึ่งมันต้องเกิดมาจากพฤติกรรมของพวกผม  ไม่เช่นนั้น เกมส์คงไม่ดันรายชื่อของเขาให้เข้ามาเป็นรายชื่อมรณะชื่อสุดท้าย  นอกจากนี้ผมยังรู้ด้วยว่า  หนังสือนี่น่าจะถูกปรับเปลี่ยนในช่วงเวลาที่ผมไม่อยู่  คุณศตวรรษมีชีวิตจนถึงเมื่อไรผมไม่รู้  ที่แน่ๆก่อนเริ่มเกมส์นี้เขายังเป็นคน

“มิว…มีอะไร?"น้ำเสียงแผ่วเบาจากไอ้ภพ  เรียกให้ผมหันหน้ากลับไปมองมัน

“ภพ…คุณศตวรรษ ไม่ใช่หนึ่งในผู้เสียชีวิตจากสายมรณะ”

“แล้วเขาเสียชีวิตจากอะไร?”

“เขาตายเพราะเรา…คุณศตวรรษตายในเกมส์นี้ เขาคือหนึ่งในทีมงานที่ตามมาดูเราเข้าแข่งขันด้วย”

“ใจเย็นๆ แบบนั้นก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเขาตาย  เกมส์นี้มันอาจจะให้เราเล่นกับใจเราเองก็ได้”ไอ้ภพบีบมือแน่นให้กำลังใจผม  ปลอบใจให้ผมนึกถึงสิ่งที่ผมมองข้าม  ไม่แน่ว่าจุดประสงค์ของเกมส์นี้อาจไม่ใช่การท้าทายผี  แต่เป็นการท้าทายความหลอนและการคิดไปเองของมนุษย์

“อืม  ไม่เป็นไรภพ กูไม่เป็นไร กูแค่สงสารน้องเขาที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย  ถ้าพี่ชายเขาตายจริงๆ นั่นหมายความว่า การเฝ้ารอให้พี่ชายกลับบ้าน มันจะเป็นการรอที่สูญเปล่า”

“เราทำอะไรไม่ได้หรอก  อวยพรให้เขาปลอดภัยก็พอ  ส่วนเรื่องในหนังสือที่มึงบอกให้กูอ่าน…กูไม่ทำตาม!! นี่มันหนังสือรายชื่อคนตาย เพราะฉะนั้น กูจะไม่โทรหาใครทั้งสิ้น”ต้นประโยคไอ้ภพ พูดเสียงเบาให้ผมรับรู้ ก่อนจะส่งเสียงดังลั่นบ้านเพื่อให้รายการรับรู้ว่าพวกเราจะไม่ยอมทำตามคำสั่งในข้อนี้ในท้ายประโยค

คำสั่งที่บอกให้เราโทรหาใครก็ได้ แม้ว่าคำสั่งนั้นมันจะถูกระบุรวมเอาไว้ในหนังสือรายชื่อมรณะเล่มนี้

ยามกลางคืนดึกสงัด เสียงเท้าของใครสักคนก็มาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านร้างมีประวัติหลังหนึ่ง
ก่อนที่สายตาไร้แววคู่นั้นจะจับจ้องไปยังโทรศัพท์เครื่องหนา และฉีกยิ้มรับคำเชื้อเชิญที่ได้รับมาก่อนหน้านั้น…


กริ๊งงงงงงงงงง  กริ๊งงงงงงงงงงง

เสียงโทรศัพท์ดังแผดลั่นบ้านอีกครั้ง  ปลุกผมที่กำลังนอนหลับสนิทให้ตื่นขึ้นมาจากนิทรา  ก่อนขึ้นนอนผมและไอ้ภพได้จัดการวางโทรศัพท์เอาไว้ด้านล่าง  ไม่ได้นำติดตัวขึ้นมา และก็ไม่ได้คิดว่าจะมีใครโทรมาได้แล้ว

ผมเดินโซเซออกมาจากห้องพร้อมกับอาการง่วงซึม  ลืมความหลอนและความน่ากลัวหรือแม้กระทั่งคำเตือนไปเสียสนิท  เสียงโทรศัพท์นั่นมันดังหนวกหูผมมากจนไม่สามารถจะนอนต่อไปได้  อารมณ์ง่วงนอนตีซ้อนทับกับความหงุดหงิด  เบอร์ที่ผมติดต่อไปเมื่อตอนก่อนนอนผมมั่นใจแล้วว่า ผมสามารถติดต่อได้ทุกเบอร์  ถ้าเบอร์ไหนติดต่อไม่ได้ มันก็จะบอกผมเองว่าไม่มีคนใช้  แล้วเหตุใดถึงยังมีคนโทรเข้ามารบกวนพวกผมอยู่อีก

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับ  ไม่ทราบว่าเมื่อเย็นโทรติดต่อผมไปหรอครับ  มีอะไรหรือเปล่า”เสียงแหบแห้งของผู้ชายวัยชราถามขึ้น

“อืม…ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมขอโทษแล้วกัน เชิญคุณนอนได้เลยครับ”ผมหาววอดใหญ่พลางขยี้ตาให้ชัดมากขึ้น เพราะบัดนี้ม่ายสายตาที่จับจ้องไปที่หน้าต่าง สัมผัสได้ถึงความพร่ามัวของร่างกายมนุษย์ที่ยืนห่างออกไปจากหน้าต่างไม่ถึงคืบ

“นอนไม่ได้หรอกครับ ตอนนี้ผมอยู่หน้าบ้านคุณแล้ว เปิดประตูให้ผมด้วยครับ คุณเชิญผมมา…ไม่ใช่หรอ

“หมายความว่าไงครับ”ความรู้สึกเย็นเยียบลอยวาบผ่านมือไป เมื่อลืมตาตื่นได้เต็มที่ คำพูดที่ได้ยินเมื่อกี้ นำคำเตือนของลุงคำที่เคยบอกเอาไว้ให้กลับขึ้นมาสู่สมองของผม  ภาพเหตุการณ์ก่อนนอนลอยวนจนทำให้ขาของผมแข็งทื่อ  ผมไม่รู้ว่าผมลืมไปได้อย่างไร  ผมลืมแม้กระทั่งว่า เบอร์ที่ผมโทรไป ไม่มีใครที่มีชีวิตอยู่แล้ว

“ไอ้มิว!! ลงมาทำอะไร รีบขึ้นห้องเดี๋ยวนี้” เสียงไอ้ภพตะโกนมาจากบันไดด้านบน  เรียกสติให้ผมหันกลับไปหา ก่อนที่มันจะมองมาที่โทรศัพท์บนมือผมและสั่งให้ผมขึ้นห้องด้วยความรีบร้อน

ก๊อก  ก๊อก  ก๊อก

เสียงเคาะประตูด้วยจังหวะเนิบนาบ ดังเรียกความสนใจของผมไปจากไอ้ภพ  เสียงนั่นดังเบาๆอยู่ที่ประตูแต่กลับดังชัดเจนในความรู้สึกผม  พลันสายตาก็หันกลับมามองยังหน้าต่างที่ก่อนหน้าเคยสัมผัสได้ถึงการมาถึงของบุคคลที่เคยเป็นมนุษย์ร่างหนึ่งยืนอยู่ และหวังเพียงว่าเสียงที่เกิดขึ้นจากประตูจะเกิดจากฝีมือวิญญาณตนเดียวกัน

และเหมือนฟ้าจะบันดาลทุกอย่างตามคำขอ  เพราะภาพที่ผมเห็นตรงหน้าสามารถยืนยันได้ว่าวันนี้มีวิญญาณเพียงตนเดียวที่เข้ามาเยี่ยมเยียนผมถึงประตูบ้าน หากแต่ภาพนั้นกำลังทำให้มือของผมกำโทรศัพท์แน่นขึ้น  ใจเต้นรัวอย่างไม่รู้จะหยุดเมื่อไร  กรามของผมถูกขบกันไว้แน่นกันเสียงสะอื้นที่ออกมา และปล่อยให้ดวงตาทำหน้าที่ของมันโดยการทิ้งหยาดน้ำใสแห่งความสยองไหลอาบแก้มผมไป

วิญญาณตนนั้นใช้ใบหน้าแนบเข้ากับหน้าต่างบ้าน ก่อนจะเผยให้เห็นดวงตาไร้แววคู่หนึ่ง  พร้อมกับใบหูที่มีเลือดไหลออกมา  ปากที่กำลังอ้ากว้างสั่งให้ผมเปิดประตู  และมือที่ยื่นยาวออกไปเคาะประตูในระยะที่คนปกติ ไม่มีทางทำได้

เพียงเท่านั้นที่ผมได้เห็น  ไอ้ภพก็วิ่งลงบันไดมาคว้ามือผมออกไปจากตรงนั้นและพาขึ้นห้องนอนข้างบนด้วยความรีบร้อน

“มิว มึงจะลงไปข้างล่างทำไม จำที่ลุงคำเตือนไม่ได้หรอ…อย่ากัดปาก เลือดไหลหมดแล้ว”

“กู…กูลงไปปิดโทรศัพท์ไงไอ้ภพ เสียงดังลั่นขนาดนั้นกูนอนไม่ได้ เกิดมีคนโทรเข้ามาเราจะได้บอกเขา”

“ลืมไปแล้วหรือไง...ว่าก่อนนอนเราถอดแบตกับซิมทิ้งไปแล้วนะมิว ที่มึงถืออยู่ตอนนี้มันเป็นแค่เครื่องเปล่า”

มันเป็นแค่เครื่องเปล่า…

ปิ้บ  ปิ้บ

เปิดประตู!!  มึงจะเดินหนีกูทำไม

ปิ้บ ปิ้บ

อยากฟังเรื่องราวของกูไม่ใช่เหรอ  ลงมาฟังสิ กูมารอพวกมึงแล้ว


“ภพ…ถ้ามันเป็นแค่เครื่องเปล่า  แล้วข้อความพวกนี้คืออะไร”ผมยกมือที่สั่นเทาของตัวเองพลางถามคำถามที่พยายามกลบความรู้สึกกลัว  มันจริงอย่างที่ไอ้ภพว่า  พวกผมตัดสินใจถอดทุกอย่างทิ้งไปตั้งแต่ก่อนขึ้นนอนแล้ว  ก่อนจะค่อยๆโชว์ข้อความจากเบอร์เดิมให้ไอ้ภพดู และเห็นได้ว่ามันหน้าถอดสีลงไปจนต้องรีบปัดโทรศัพท์ทิ้งให้ห่างจากเตียงนอนของเราทั้งคู่

ผมกับมันรีบเดินขึ้นเตียงนอนไปอย่างเก่าและปล่อยให้โทรศัพท์นั่น แผดเสียงร้องขึ้นมาสลับกับเสียงของข้อความ  ผมนอนตัวสั่นอยู่ข้างๆไอ้ภพ  ความกลัวที่มีบีบรัดภาวะทางจิตใจของผมให้ตกต่ำ  ผมยังไม่ลืมที่ไอ้ภพพร่ำบอกกับผมเสมอว่าทุกครั้งที่ผมต้องเจออะไรแบบนี้  สิ่งเดียวที่ผมจะต้องทำคือการบอกตัวเองให้เข้มแข็ง  สะกดความรู้สึกของตนเองว่าไม่ให้รับรู้  ถึงเห็นก็ต้องแสร้งว่ามองไม่เห็น  ถึงได้ยินก็ต้องหลอกตัวเองว่าหูหนวก อย่าสนใจ แม้ว่าเสียงหรือภาพที่ปรากฎจะดังชัดอยู่แค่ใต้จมูกผมแล้วก็ตามที

ป๊อก

เสียงของแข็งกระทบกับอะไรสักอย่างบนตัวบ้าน ดึงให้ผมที่พยายามข่มตาหลับไปพร้อมเสียงข้อความลืมตาขึ้น  เสียงนั่นค่อยๆดังไล่ขึ้นมาจากบริเวณด้านล่างของตัวบ้าน  เคาะไล่วนอ้อมมาจากด้านซ้ายคล้ายกับการวนเมรุแห่คนตาย  อีกทั้งแสงพระจันทร์คืนนี้ยังทำหน้าที่ของมันได้ดีจนผมขนลุก  แสงนั่นสาดส่องเข้ามาในห้องของผมจากหน้าต่างทางด้านหลัง ก่อนที่จะวูบหายไปเพราะเงาของอะไรสักอย่างบดบัง  เป็นอย่างนี้อยู่หลายรอบจนผมต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากไอ้ภพที่ตอนนี้มันก็ยังไม่สามารถข่มตาไปพร้อมกับเสียงโทรศัพท์ได้

“ภ…ภพ  มึงได้ยินเสียงอะไรไหม?  เสียง เสียงที่มันเคาะดังรอบบ้านหลังนี้”

“กู…ได้ยินแค่เสียงโทรศัพท์กับข้อความ” ไอ้ภพตอบเสียงอ่อยกลับมา

“ไอ้ภพ  กูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่เสียงนั่นมันคล้ายกับของแข็งที่พยายามเคาะไปทั่วบ้านหลังนี้ ก่อนที่เสียงจะหายไปตรง
หน้าต่างนั่น  กูไม่กล้าลุกไปดูไอ้ภพ  เสียงนี้กูเคยได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่งจากความฝัน กูกลัวว่ามันจะซ้ำรอยเดิม”

“งั้นมึงดูกูอยู่ตรงนี้  เดี๋ยวกูลุกไปดูเองว่าเสียงอะไร”

ไอ้ภพหยัดตัวขึ้นจากเตียงนอนและเดินลงไปยังหน้าต่างหลังห้อง  หน้าต่างบานนั้นคือบานเดียวที่ติดเอาไว้ในห้องนอนผม เป็นบานที่เคยเกิดเรื่องราวลักษณะแบบนี้ในความฝัน  ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมพึ่งจะเข้ามาร่วมเกมส์  ผมจำได้ดีว่าวิญญาณที่มาขอความช่วยเหลือ ได้ปรากฏตัวอีกครั้งในฝันของผม  คราวนี้ผมเลยไม่กล้าที่จะลุกไปมอง  ไม่กล้าที่จะลุกไปเสี่ยงกับความจริงที่ว่า เสียงที่เกิดขึ้นครั้งนี้จะเป็นเสียงเดียวกับความฝันหรือไม่  เสียงที่เกิดจากหัวของคนตีเข้ากับกำแพงบ้านหลังนี้อย่างจัง

ป๊อก  ป๊อก…

ป๊อก  ป๊อก  ป๊อก ป๊อก….

ช่วงระหว่างที่ไอ้ภพเดินไปจับบานหน้าต่าง  คาดว่ามันคงคิดที่จะเปิดเพื่อชะโงกหัวออกไปดู  เสียงเคาะกำแพงรอบบ้านก็เริ่มดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ  จากตำแหน่งที่อยู่ไกลจากหน้าต่างบานนี้  ก็เริ่มเกิดเสียงเข้ามาใกล้จนน่าตกใจ  คราวนี้เสียงที่ผมได้ยินไม่ใช่เพียงเสียงเคาะอย่างเดียว หากแต่เป็นเสียงที่แสดงถึงอาการตะเกียกตะกายของมนุษย์  วิญญาณตนนั้นคงกำลังปีนตัวบ้านหลังนี้เพื่อหาทางเข้าอื่น และใช้ส่วนหัวของมันเคาะกำแพงบ้านสร้างความผวาให้กับมนุษย์ชายหนุ่มสองคนในบ้าน

“ไอ้ภพ!!  กลับมา  ไม่ต้องเปิด”ผมโพล่งออกไปเสียงดังลั่นทั้งน้ำตา  เมื่อสัมผัสรับรู้ได้ว่าวิญญาณกำลังคลานมาใกล้หน้าต่างแล้ว

“ไม่ได้ยินเสียงแล้วหรอ?”

“ฮึก  ไม่ต้องถาม  ไอ้สัส  กลับมานอนได้แล้ว  ฮึก  แล้วก็ไม่ต้องหันหน้ากลับไปนะ”

อาการเป็นห่วงไอ้ภพไม่ดูความสามารถตนเองของผม แสดงออกมาจนน่าสมเพศ  ผมสั่งให้ไอ้ภพหันหน้ากลับมานอนที่เตียง ซึ่งมันก็ทำตามแต่โดยดี  นั่นจึงเท่ากับว่าตอนนี้สายตาที่จับจ้องไปที่หน้าต่างจึงมีแค่เพียงหนึ่งเดียวคือสายตาของผม  และดูเหมือนว่าคืนนี้มันจะสามารถทำงานได้ดีมากกว่าคืนอื่นๆ  มันถึงได้เห็นว่าร่างกายของชายชราที่ปรากฎอยู่เบื้องหลังของไอ้ภพ เป็นร่างกายที่น่าสยดสยองมากขนาดไหน

ร่างกายนั่น ใช้มือและเท้าเกาะอยู่ตรงหน้าต่างห้องผม  เสื้อผ้าที่ใส่ขาดวิ่นเหมือนคนตายไม่ได้รับการดูแล อีกทั้ง ส่วนหัวของมันยังเต็มไปด้วยเลือดจากการพยายามใช้หัวเคาะกระจกห้องให้ผมเปิดจนรู้สึกเจ็บแสบแทน  หากแต่ว่าริมฝีปากของมันกลับฉีกยิ้มกว้าง ร่ำร้องออกมาแต่เพียง ประโยคที่สั่งให้ผม เปิดประตู

ไอ้ภพคงเห็นว่าร่างกายของผมกำลังต่อต้านตนเองจนไม่สามารถควบคุมอาการทางกายได้แล้ว  มันจึงเดินมาดันให้ผมล้มตัวนอนใกล้ชิดกับอกของมัน  ยื่นวงแขนกว้างมาปิดใบหูของผม และพ่นเพียงเสียงที่บอกให้ผมหลับฝันดีออกมาเท่านั้น

หลับฝันดี  ไปกับเสียงเคาะกระจก เสียงของโทรศัพท์และเสียงข้อความที่แผดออกมาดังลั่น

หลับฝันดี  ไปกับชื่อที่ปรากฏทิ้งท้ายในทุกข้อความที่ผมและไอ้ภพได้มีโอกาสอ่านก่อนการโยนมันทิ้งไป

และหลับฝันดี ไปพร้อมกับการปรากฏกายของชายที่ชื่อ…ประมวล


เสียงผู้คนจอแจขัดกับบรรยากาศวัด

สองวัดสุดท้ายของพาร์ทกลางวัน พวกผมถูกพามากันที่วัดใหญ่วัดหนึ่งห่างจากตัวบ้านมาพอสมควร  วัดแห่งนี้กำลังจัดงานทำบุญฝังลูกนิมิต นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้วันนี้มีผู้คนแน่นขนัด  เหล่าสาธุชนที่ต้องการเข้ามาแสวงบุญเดินเบียดเสียดกันอยู่ในวัดจนทำให้บรรยากาศหลอนๆเมื่อคืนไม่เหลือติดสมองของพวกผมเลยแม้แต่น้อยนิด

เมื่อเช้าทีมงานทั้งสองได้เข้ามารับเราทั้งคู่โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรชวนให้ปวดหัวออกมาเลย  ไม่มีแม้แต่คำทักทาย ซึ่งผิดปกติไปมาก  สิ่งเดียวที่ผมสัมผัสได้ว่าทีมงานยังคงเฝ้าดูผมอยู่คงเป็นเพียงแค่ สายตาของทีมงานที่พยายามคาดคั้นเรื่องการเห็นผีของผมเท่านั้น ที่ยังคงจ้องมองมาอย่างไม่ลดละ ก่อนจะปล่อยผมให้เป็นอิสระยามที่ต้องมาทำภารกิจหาน้ำในวัดแห่งนี้

“เอาละครับ วันนี้ขอบอกว่าวัดจะครึกครื้นหน่อยนะครับ  ยังไงถ้าพวกคุณหาน้ำได้ไวก็ขอเชิญให้ไปทำบุญฝังลูกนิมิตได้นะครับ”

“วันนี้มาแปลกนะครับ  ทำไมถึงมาเชิญชวนผมให้ไปทำบุญฝังลูกนิมิตได้ละครับ  ดูคุณเหมือนเป็นลูกวัดเลยนะครับ”ไอ้ภพเอ่ยแซวทีมงานไปอย่างเป็นมิตร  มันคงพยายามไม่เก็บเรื่องราวหลายวันก่อนมาใส่ใจ และเริ่มทำตัวให้เป็นพิรุธน้อยที่สุด

“ไม่ได้เชิญพวกคุณอย่างเดียวหรอกครับ  พวกผมก็ต้องทำด้วย  เกมส์ที่คุณเล่นกันเมื่อคืนมันคงแรงไปหน่อย เรื่องราวของพวกคุณเลยเป็นกระแสเต็มโลกอินเตอร์เน็ตไปหมด”

“หมายความว่าไงครับ”ไอ้ภพรีบถามขึ้นมาเสียงเครียด

“เสียงโทรศัพท์นั่นไงครับ พวกเราทุกคนรวมถึงคนดูทางบ้าน เห็นทุกอย่างตั้งแต่คุณถอดแบตและซิมการ์ดออก  ฉะนั้นช่วงที่คุณ
มิววิ่งลงมารับโทรศัพท์มันจึงเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมครับ  เสียงนั่นพวกเราทุกคนรับรู้มาตั้งแต่มันดังครั้งแรกครับ”

สิ้นเสียงทีมงาน พวกผมสองคนถึงกับต้องหันหน้ามามองกันด้วยแววตาเคร่งเครียด  เรื่องเมื่อคืนดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ผมคนเดียวแล้วที่สามารถรับรู้สิ่งเหล่านี้  เกมส์ต่อๆไปจึงดูยากมากขึ้น  หากผมยังคงไม่สามารถอดทนต่อวิญญาณพวกนั้น  พฤติกรรมที่แสดงออกคงปกปิดใครต่อไปไม่ได้แล้ว

“ยังไงก็ไปทำบุญให้เขาหน่อยแล้วกันนะครับ ดูท่าเกมส์คงแรงไปจริงๆ”ทีมงานอีกคนกล่าวบอกและปล่อยให้ผมเดินออกไปหาน้ำตามคำใบ้ที่ได้รับมาจากทีมงาน

ด้วยความที่วัดวันนี้มีผู้คนเยอะมาก  การหาน้ำจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป  พวกผมสองคนต่างก็เดินคุยกันไป อัดวีดีโอกันไปสร้างความครึกครื้นให้จิตใจของตนเอง  เมื่อคำใบ้ที่ได้รับมามีไม่พอ  พวกผมก็ใช้การเสาะหาจากผู้คนที่เดินให้ขวักไขว่ทั่ววัด จนสุดท้ายน้ำในแบบที่รายการต้องการ ก็ถูกไอ้ภพ ชักรอกขึ้นมาจากบ่อโดยที่มีสายตาของผู้คนนับสิบคู่จ้องมองมาที่การกระทำของพวกเรา

เมื่อภารกิจเป็นอันเสร็จสรรพ พวกผมก็เดินเลี่ยงสายตาผู้คนออกมาเล็กน้อย  และเดินเข้าไปยังซุ้มทำบุญต่างๆ  หาของที่คิดว่าจะแอบนำติดตัวกลับไปยังบ้านได้  จนสุดท้ายสายสิญจน์เส้นเล็กๆก็ตกมาอยู่ในมือพวกเราคนละเส้น

สายตาหลายคู่ที่จ้องมองมา ในครั้งแรกพวกผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไร  แต่นานๆไปสายตาพวกนั้นมันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อพวกผมตัดสินใจหันไปสบตาใครสักคน ก็เป็นว่าต้องคว้าน้ำเหลว  เพราะผู้คนเหล่านั้นต่างก็รีบหลบสายตาพวกผมไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น  อาจจะมีเพียงคนบางกลุ่มที่กล้าสบตากับพวกผมและจงใจยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร  เมื่อทำอะไรไม่ได้  พวกผมสองคนก็ต้องยิ้มตอบและเดินหลีกเลี่ยงออก

ผมไม่รู้เลยว่าความรู้สึกตื่นกลัวผู้คนนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไร  อาจจะเป็นเพราะผมใช้ชีวิตอยู่กับผู้คนในบ้านหลังนั้นนับคนได้มานานจึงยังไม่ชินกับการตกเป็นเป้าสายตาแบบนี้  หรืออาจจะเป็นเพราะ ความรู้สึกตื่นกลัวที่เกิดมาจากสายตาเพียงคู่เดียวที่จ้องมองมาที่พวกเราเมื่อวานและนำไปสู่การหวาดระแวงโลกภายนอก

“สองวันแล้วนะ” เมื่อเดินมานั่งพักเหนื่อย  ไอ้ภพก็พ่นประโยคนี้ออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“อะไรสองวัน?”

“สองวันแล้วนะ  ที่เกมส์จงใจพาเรามาในวัดที่มีคนเยอะแบบนี้  ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นพาเราไปแต่วัดที่โคตรจะวังเวง”

“แล้วก็เป็นสองวันแล้วนะภพ  ที่วิญญาณที่เราเชิญมา ไม่สามารถเข้ามาในบ้านได้เลย มัน…กำลังเกิดอะไรขึ้น”

“เรื่องวิญญาณที่เข้ามาไม่ได้ในบ้าน  มันจะเกี่ยวกับวิญญาณปริศนาตนนั้นหรือเปล่า”

“อืม  กูก็กำลังคิดอยู่  แต่สมองกูมันไม่ได้ไปแค่นั้น  กูรู้สึกผิดแล้วก็ยังเศร้าไม่หายเลยนะภพ กูไม่อยากคิดแบบนี้ แต่กูกลัว…กู
กลัวว่าวิญญาณที่กูเห็น จะเป็นวิญญาณของคุณศตวรรษ”

“อะไรที่ทำให้มึงคิดแบบนั้น”

“อย่างที่บอก ว่าเสียงที่กูได้ยินมันคุ้นหูกูมาก  เสียงมันคุ้นจนถ้ามันไม่ใช่เสียงของมึง  กูก็คิดว่ามันต้องเป็นเสียงทีมงาน”

“เอาเถอะ  เรื่องนี้อีกไม่นานมันต้องได้คำตอบ  แล้ววันนี้เป็นไงรู้สึกถึงสายตาคู่เมื่อวานไหม?”

“รู้สึกสิ  รู้สึกอยู่ตลอดตั้งแต่เราเดินหาน้ำแล้ว  แต่กูไม่อยากสนใจ  แม้กระทั่งตอนนี้กูก็ยังรู้สึกเลยว่าเขาต้องมองเราอยู่”

“พิสูจน์กันเลยสิ  คนเยอะแบบนี้มันยิ่งชัดเจนว่าใครที่กำลังมองเรา”

พูดจบไอ้ภพ ก็หยิบกล้องวีดีโอมาอัดใหม่อีกครั้ง  ทำทีเป็นการอัดพูดคุยกับผู้ชมรายการอย่างสนุกสนาน ก่อนที่มันจะแพลนกล้องไปให้ทั่วบริเวณและสั่งให้ผม มองตามกล้องวิดีโอที่เคลื่อนไปอย่างช้าๆ  จังหวะของการเคลื่อนไหวกล้อง ดึงเอาความสนใจของคนหมู่มากให้มองมาจนพวกเราแยกสายของคนไม่ได้เลย  แต่สุดท้ายสายตาเพียงหนึ่งเดียวที่จ้องมองพวกเราด้วยอารมณ์ต่างจากคนอื่น ก็ดึงดูดสายตาของพวกผมทั้งคู่ให้จ้องมองเธอคนนั้นเพียงคนเดียว ก่อนจะรีบปิดกล้องเดินตามผู้หญิงคนนั้นไป

ผู้หญิงคนนั้นมีจุดประสงค์อะไรที่ตามเรามาถึงที่นี่  และมีอะไรถึงได้จ้องมองพวกเราอย่างไม่เป็นมิตรนัก






**********************************************TBC*******************************************
สวัสดีครับ  เอาภพมิวมาส่งแล้ววววววววววว
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกคำติชมที่ได้บอกกันมาผ่านช่องทางในนี้และในทวิตเตอร์นะครับ  ผมดีใจมากๆ
เนื้อหาหลักๆของเรื่องนี้จะเกี่ยวกับผีและการสือสวนนะครับ  ดังนั้นความหลอนของมันอาจจะไม่ได้คงที่ทุกตอน  หวังว่าจะชอบกันนะครับ  อย่าพึ่งเบื่อกันนะะะะ
ถ้ามีคำติชมอะไร  เหมือนเดิมเลยนะครับสามารถบอกผมได้ทั้งในนี้แล้วก็ในทวิตเตอร์จะบอกโดยตรงหรือผ่าน #Nightmaregame ก็ได้ครับ  ผมอ่านทั้งหมดเลย
ถ้ามีคำผิดหรือประโยคไม่ลื่นไหลบอกผมได้นะครับ  เดี๋ยวผมจะแก้ให้
เจอกันอาทิตย์หน้าครับ  รัก
P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่20 โทรทักรับตาย (11/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 11-04-2017 22:16:32
 :ling3: :ling3: น่ากลัวอ่า น่ากลัวตลอดเลย เหมือนจะแรงขึ้นเรื่อยๆด้วย
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่20 โทรทักรับตาย (11/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: JACKSON ที่ 12-04-2017 14:10:44
กลัวแล้วว
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่20 โทรทักรับตาย (11/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: แม่มดน้อย ที่ 13-04-2017 10:00:17
สนุกม๊ากกกกก

ลุ้นมากเลย แอบคิดว่าวิญญาณตนนั้นแอบชอบมิวป่าว555

มาต่อเร็วๆนะพลีส :z13:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่20 โทรทักรับตาย (11/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: karamailpraleen ที่ 13-04-2017 10:22:04
 o13
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่20 โทรทักรับตาย (11/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 13-04-2017 21:05:02
เป็นเรื่องที่หลอนประสาทมากแต่หยุดอ่านไม่ได้เลย คนเขียนเก่งมากเลยค่ะ สู้ๆนะคะ o13
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่20 โทรทักรับตาย (11/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: sinyou ที่ 13-04-2017 23:29:37
รอๆๆๆๆ ยิ่งอ่านยิ่งติด อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่20 โทรทักรับตาย (11/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Poongsuke ที่ 14-04-2017 05:58:17
หยุดอ่านไม่ได้เรยจิงๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่20 โทรทักรับตาย (11/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: yamapong ที่ 14-04-2017 12:50:30
น่ากลัววว แต่หยุดอ่านไม่ได้้้ โฮออออ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่20 โทรทักรับตาย (11/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: huoan ที่ 14-04-2017 17:23:03
เป็นแนวสยองขวัญที่มีเนื้อเรื่องที่น่าติดตามมาก ชอบครับ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่20 โทรทักรับตาย (11/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-04-2017 22:26:21
เหมือนความจริงใกล้เปิดเผย ความอันตรายของเกมส์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลอนมากๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่21 กล่อม (18/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 18-04-2017 20:33:00
ตอนที่21

กล่อม


เดี๋ยวครับ!! หยุดก่อน

เสียงห้ามปรามการเคลื่อนไหวของไอ้ภพ ดังไปทั่วอาณาบริเวณจนทำให้คนแถวนั้นหันมาสบตาพวกเรากันเป็นแถบ เรียกให้ผมต้องโค้งหัวขอโทษและยิ้มแกนๆใส่ เพราะรู้ดีว่าเสียงที่ดังขนาดนั้นกำลังไปขัดบรรยากาศการทำบุญที่ต้องการความสงบค่อนข้างสูง  แต่แม้ว่าเสียงจะดังเพียงใดก็ตาม  บุคคลที่เป็นเป้าหมายสำหรับพวกผมก็ไม่วายที่จะหยุดเดิน  เธอคนนั้นยังคงก้าวขาออกห่างไปด้วยความเร่งรีบ  เบียดเสียดผู้คนออกไปโดยที่ไม่สนใจเลยว่าการกระทำแบบนั้นจะไปสร้างความเดือดร้อนให้ใครหรือเปล่า

“เดี๋ยวสิครับคุณ  จะรีบไปไหนครับ?”ไอ้ภพร้องถามด้วยความเหนื่อยอ่อน  หลังจากการวิ่งไล่ผู้หญิงปริศนาคนหนึ่งออกมา จนสุดท้ายก็สามารถเข้าถึงตัวได้ในบริเวณหน้าวัดซึ่งมีเพียงรถยนต์จอดเรียงรายเอาไว้เท่านั้น

“ตามมาจริงๆด้วยสินะคะ”เสียงเย้ยหยันของสตรีเพศ ดังขึ้นเรียกพวกเราที่กำลังก้มหน้าให้เงยขึ้นสบตาเธอคนนั้น

เมื่อได้มองใกล้ๆผู้หญิงตรงหน้า  สิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองของผมมีเพียงคำถามเดียวเท่านั้นคือ  เธอเป็นใคร?  เพราะรูปร่างหน้าตาที่ไม่คุ้นเคยบวกกับดวงตาที่ใช้มองอย่างไม่เป็นมิตร  ทำให้ผมหาสาเหตุกันไม่ได้ว่า  พวกเราเคยไปทำอะไรให้ผู้หญิงคนนี้ไม่พอใจหรือไม่  เหตุใดสีหน้าของเธอจึงดูค่อนขอดพวกผมนัก

“พวกเราต่างหากที่ต้องถามคำถามนั้นนะครับ  คุณตามพวกเรามาทำไม?”ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะเปิดปากถามถึงประเด็นที่ค้างคามากที่สุดขณะนี้

“หึ อย่าถือดีไปหน่อยเลยค่ะ พวกคุณไม่ได้มีอะไรให้น่าติดตามทั้งนั้น  ที่ฉันมา ก็แค่อยากเห็นหน้าคนขี้โกงเท่านั้น”

“ขี้โกง?  ไม่ได้ตาม? คุณหมายความว่าไงครับ”

“อย่าโง่นักเลยคะ  ถามจริงๆเถอะคุณไม่สังเกตบ้างเหรอว่าเมื่อวานกับวันนี้  นอกจากฉันแล้ว มีใครที่มองคุณอยู่อีกบ้าง”

คำถามล่อเป้า ส่งให้ผมกับไอ้ภพต้องหันมองหน้ากันและเริ่มที่จะจ้องตาผู้หญิงตรงหน้าให้ลึกขึ้น  ดื่มด่ำกับนัยน์ตาสีนิลที่ฉายแววท้าทายมาให้  เนื่องจากความลับและข้อสงสัยที่ไอ้ภพพึ่งจะถามไป  ผู้หญิงคนนี้คงเป็นคนเดียวที่กุมคำตอบเอาไว้

“จะมีหรือไม่มี แล้วมันเกิดอะไรขึ้นหละครับ ดูคุณจะรู้อะไรเยอะมากกว่าที่พวกผมรู้  คุณเข้ามาหาพวกผมถึงขนาดนี้คงไม่ใช่แค่ต้องการมาดูคนขี้โกงอย่างเดียวเสียแล้วนะครับ   คุณมีอะไรนอกเหนือจากนั้นหรือเปล่า?”

“ถ้าบอกว่าไม่มีก็คงโกหกสินะคะ  หึหึ  เรื่องจริงก็เป็นอย่างที่คุณว่านั่นแหละค่ะ….ฉันมี”

“งั้นก็รบกวนบอกด้วยครับ  หวังว่าพวกเราคงไม่ต้องแนะนำตัวให้เป็นทางการก่อนนะครับ ดูท่าคุณจะรู้จักพวกเราแล้ว”

“ค่ะ  ฉันทราบดีว่าพวกคุณเป็นใคร  โดยเฉพาะคุณเลยนะคะ…คุณเอกภพ” ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงสดของเธอคนนั้นกำลังเหยียดยิ้มกว้างอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า เมื่อคำพูดของเธอกำลังทำให้พวกเรารู้สึกเสียวสันหลังและอึดอัดไปกับความรู้สึกกำกวมเหล่านั้น

“เอาเป็นว่า  บอกผมมาเถอะครับว่าทำไมคุณถึงต้องมามองพวกผม  แล้วก็เรื่องคนอื่นๆนั่นอีก”

“มันก็ไม่ได้มีอะไรหรอกค่ะ  มันก็เป็นแค่อุบายของเกมส์ที่พวกคุณกำลังเล่น  หลอกล่อให้พวกแฟนคลับหน้าโง่ทั้งหลายออกมาพบปะกับพวกคุณได้ตามสบาย เพียงแต่มีข้อแม้ว่าจะต้องไม่เข้าไปก้าวก่ายกับพวกคุณ”

“นี่เป็นหนึ่งในกิจกรรมของเกมส์อย่างนั้นหรอครับ?”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ  เกมส์นี้ติดประกาศหราไว้บนหน้าเว็บว่า ถ้ามีใครสนใจจะพบปะกับพวกคุณตัวจริง  สามารถเข้าไปหาได้ตามสถานที่ของวัดต่างๆที่พวกคุณต้องไป”

“แสดงว่าคุณ รู้อยู่แล้วใช่ไหมครับว่าพวกผมจะต้องไปที่วัดไหนกันบ้าง”

“ค่ะ  ไม่รู้ก็คงแปลก  ในหน้าเว็บตอนนี้ติดประกาศไว้ทั้งข้อมูลของพวกคุณและกิจกรรมที่พวกคุณต้องทำ  ซึ่งก็รวมถึงไอ้โปรเจคเก้าวัดพวกนี้ด้วย….น่าสนุกดีไหมละคะ  ให้คนมาตามดูพวกคุณ อย่างกับสวนสัตว์เปิด”

คำพูดถากถางจากเธอคนนั้น สะกิดต่อมอารมณ์ของพวกผมให้ทำงาน   ทุกสิ่งที่เธอต้องการสื่อไม่ใช่แค่เพียงคำพูดหยาบหูเท่านั้น แต่แววตา  ท่าทาง ทุกสิ่งอย่างที่เธอแสดงออกล้วนอุดมไปด้วยอารมณ์แค้นและความสะใจอยู่ไม่น้อย   คำดูถูกดูแคลนที่พวกผมได้รับจึงเป็นดั่งเชื้อเพลิงชั้นดีที่ได้เข้ามากองสุมทับเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาจนทำให้ไฟโทสะในอกลุกโชนขึ้นอีกครั้ง

“จะมากไปแล้วนะครับ  ผมไม่รู้หรอกนะว่าผมไปทำอะไรให้ ทำไมคุณต้องโมโหนัก  แต่ถ้าคุณโกรธเพราะพวกผมไม่อยู่แต่ในบ้าน  ก็บอกเลยนะครับว่าที่พวกผมต้องออกมามันเป็นคำสั่งของรายการ”

“จุ๊ๆ…อย่ารีบขึ้นเสียงสิคะ  เรื่องแค่นี้ก็ทนกันไม่ไหวแล้วหรอ  ไม่ได้คิดกันเลยรึยังไงว่าเกมส์มันให้พวกคุณออกมาทำไม  หรือแค่ดีใจกับอุบายโง่ๆนี่ก็พอแล้ว ไม่ต้องสนใจอย่างอื่นแล้ว  เป็นอย่างนั้นหรอ?”

“นี่คุณ…”ไอ้ภพกำมือแน่นพร้อมกับตัวที่สั่นระริก  ผมรู้ว่ามันกำลังเดือดได้ที่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะหนึ่งเธอคนนั้นเป็นผู้หญิง สอง ตรงนี้ยังอยู่ในบริเวณวัด

“ภพ ใจเย็นๆ…เอาเป็นว่าถ้าคุณรู้อะไรก็บอกเถอะครับ  เรื่องที่คุณพูดมา พวกผมสงสัยกันตั้งแต่วันแรกแล้ว เพียงแต่ว่าผมก็หาหลักฐานอะไรไม่ได้  โลกของเกมส์ที่ผมอยู่มันแคบเกินไป”

“แคบ?  แคบอะไรหรอคะ  ฉันก็เห็นว่าคุณภพหนีออกไปนอกบ้านออกจะบ่อย ไม่เห็นแคบเลยนี่คะ”

“ผมว่าประเด็นนั้นน่าจะไม่เกี่ยวนะครับ  สิ่งที่ผมต้องการมีเพียงคำบอกเล่าของคุณเท่านั้น ได้โปรดบอกเถอะครับ”

“หึ น่าจะทำเสียงร้องขออีกหน่อยนะคะ จะได้ดูน่าสมเพชขึ้น  แต่เอาเถอะ ลองคิดตามนะคะ  การที่พวกคุณออกมาอยู่ตรงนี้แสดงว่าบ้านที่คุณเล่นเกมส์มันก็ว่างใช่ไหมคะ  แล้วพอมันว่างแบบนั้น มันจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง”

ถ้าผมเดาไม่ผิด  เธอคนนี้คงตั้งใจที่จะกล่าวถึง…ทีมงาน

“ทีมงาน…แต่มันจะเป็นไปได้หรอ  ถึงผมไม่อยู่ยังไงบ้านมันก็ยังมีกล้องติด และที่สำคัญ สัญญาณภาพมันก็ออนแอร์ให้พวกคุณดู 24 ชั่วโมง  ทีมงานจะกล้าเล่นอะไรตุกติกหรอครับ”

“555 โง่ให้ได้ตลอดนะคะ  เกมส์มันจะได้สนุกขึ้น…ถึงจะมีสัญญาณแต่ก็ใช่ว่าจะตัดออกไปไม่ได้  ยิ่งคนที่คอยเฝ้ามองพวกคุณจากจอภาพมากองรวมกันตามสถานที่พวกนี้หมด  คิดดูสิคะ ว่าทางรายการจะกล้าตัดภาพออกไปไหม ในเมื่อไม่มีใครให้ต้องเกรงใจแล้ว”

“พูดแบบนี้…แสดงว่าคุณเห็นหรอครับว่ารายการตัดภาพไป”

“เห็นสิ  เห็นมากกว่านั้นอีก…ฉันจำไม่ได้หรอกนะคะว่า เรื่องมันเกิดตอนวัดที่เท่าไร แต่ตอนนั้น ฉันเห็นว่ามีทีมงานของรายการสองสามคนเดินถืออะไรบางอย่างไปซ่อนที่ตู้เก็บของในบ้าน ก่อนที่ใครสักคนจะหันมาเจอกล้องและสั่งให้ตัดภาพไป”

“ตู้เก็บของ…อย่างนั้นเหรอ”พวกผมนิ่งค้างไปจนแทบพูดไม่ออก  ภาพในหัวพาย้อนกลับไปหาวันที่ลุงคำกำลังรื้อค้นอะไรสักอย่างในตู้อย่างเอาเป็นเอาตาย  ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างหัวเสีย

“คุ้นไหมคะ? ตู้ที่ลุงคนใช้ไปค้นไงคะ  555  ทีมงานพวกนั้นคงลืมไปหน่อยว่าที่บ้านมันมีกล้องเลยไม่ได้สังเกต แต่ก็ยังมีไหวพริบดีเลยสามารถสั่งให้ตัดภาพทันเพราะคิดว่าคนจะไม่เห็น  แต่ก็ช้าไป หึหึ สำหรับคนอื่นฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าเป็นไง  แต่สำหรับฉันที่จ้องมองพวกคุณมาตั้งแต่วันแรก  เรื่องพวกนี้…ไม่คลาดสายตาฉันหรอกค่ะ

“อย่างนั้นหรอครับ  งั้นคุณผู้หญิงแสนรู้  ได้โปรดบอกพวกเราทีครับ ว่าทีมงานกำลังซ่อนอะไร?”คงหมดความอดทนของไอ้ภพ  เมื่อท่าทีเกรี้ยวกราดที่มีแปรเปลี่ยนมาเป็นท่าทีนิ่งเฉย  หากแต่ว่าวาจาที่เปล่งกลับร้ายลึกจนสามารถฆ่าคนฟังให้ตายได้แม้แค่คำแรก

“หึ  ฉันไม่รู้หรอกค่ะ  มองไม่เห็น  แต่ขอบอกไว้อย่างหนึ่งนะคะ  อย่าเปลืองแรงค้นเลยค่ะ  ทีมงานคงไม่โง่พอที่จะซ่อนมันไว้ที่เดิมหรอกจริงไหม?”

“ถ้าอย่างนั้น  ผมก็ขอบคุณที่บอกนะครับ  เห็นทีว่าพวกผมคงจะต้องไปกันแล้ว  ลาก่อนครับ”

“หึ เดี๋ยวสิคะ  จะรีบกันไปไหน เรื่องสนุกๆมันยังไม่หมดหรอกนะคะ  คุณภวัต สุขุมชัยการ และคุณเอกภพ ชัยเจริญวิทย์…

ขณะที่ไอ้ภพ คว้ามือผมเตรียมจะเดินหนีผู้หญิงท่าทีแปลกๆตรงหน้า  เธอก็รีบพูดดักทางพวกผมเอาไว้ด้วยน้ำเสียงที่เรียกว่ากำลังพอใจที่ได้มองพวกผมก็ไม่ปาน  อีกทั้งชื่อและนามสกุลจริงยังถูกกล่าวขานมาอย่างช้าๆ ชัดๆ ให้ผมได้ฟังกันทีละคน ก่อนจะเว้นวรรคหยุดไป ราวกับว่าประโยคที่เธอจะพูดมันยังไม่จบและประโยคถัดไปคงเป็นไม้เด็ดชั้นดีที่พร้อมจะขยี้พวกผมให้จมดิน  ไม่เช่นนั้น ดวงตาของเธอคงไม่สะท้อนวาบวับมาพร้อมกับปากที่ฉีกยิ้มอย่างกับเธอคือผู้ชนะและไม่แยแสแม้ว่าหน้าของไอ้ภพจะปั้นปึ่งไปมากแล้วก็ตาม

คุณเอกภพ ชัยเจริญวิทย์  พี่ชายของ น.ส.อรพิมล ชัยเจริญวิทย์…ผู้เข้าแข่งขันที่เป็นบ้าออกจากรายการไปเมื่อ3ปีก่อน

“ฉัน…พูดถูกใช่ไหมคะ?  คุณเอกภพ”

คำว่าบ้า ที่เธอคนนั้นจงใจเน้นออกมา สามารถหยุดทุกการย่างก้าวของไอ้ภพ   ก่อนที่ท่าทีของมันจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว  จากที่ว่านิ่งบัดนี้มันกลับนิ่งยิ่งกว่าเดิม  มือของมันที่กอบกุมมือผมไว้ค่อยๆสั่นจนดูน่าสงสาร  อีกทั้งแววตาของมันยังวาวโรจน์ไปไม่ต่างไปจากครั้งแรกที่ผมเคยหลุดพูดคำนี้   ผมไม่รู้ว่าท่าทีของไอ้ภพที่เป็นอยู่คือการที่มันกำลังพยายามคุมตัวเองหรือว่าอะไร
แต่ที่แน่ๆประโยคเชือดเฉือนหัวใจนั่นคงได้พาจิตใจของไอ้ภพหวนคืนสู่โลกที่มันสร้างเอาไว้ 

โลก…ที่ไม่เคยมีใครเข้าถึง

ช่วงระยะเวลากว่าสองอาทิตย์ที่อยู่ด้วยกัน  นับว่านิสัยของไอ้ภพได้เปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก ตั้งแต่ที่เรื่องราวของมันถูกผมบังคับให้ถ่ายทอดออกมาให้หมด  ท่าทางที่มันแสดงออก ผมดูก็รู้แล้วว่ามันเก็บกดกับเรื่องน้องสาวของมันมาก  ใครก็ไม่สามารถแตะต้องเข้าไปได้  ซึ่งในยามปกติก็คงดูไม่ออก  แต่ถ้ามันได้เข้านอนเมื่อไร  ทุกสิ่งที่มันเก็บไว้จะถูกเปิดเผยออกมาผ่านการละเมอ  ดังนั้นในช่วงแรกๆ  ผมจึงได้ฟังความทรมานของมันทุกวัน ก่อนที่อาการจะหายไปในช่วงหลังๆเพราะความเหนื่อยล้าทางร่างกาย

เพี๊ยะ

เสียงตบหน้าฉาดใหญ่ดังสะกดทุกสิ่งรอบกายผม  เสียงนั่นไม่ได้เกิดมาจากอารมณ์ครุ่กรุ่นของไอ้ภพ  แต่เกิดจากน้ำมือและอารมณ์ของผู้หญิงคนนั้นที่ใช้การตบเพื่อป้องกันตัวเอง  เมื่ออยู่ดีๆไอ้ภพก็สลัดมือผมทิ้งและเดินหันหลังกลับไปหาผู้หญิงคนนั้นอย่างไว ก่อนที่จะกระชากคอเสื้อเธอขึ้นมาจนตัวโยน

“นี่คุณ!! ทำอะไรก็หัดเกรงใจกันบ้าง  ไม่ใช่ว่าเห็นพวกผมเป็นผู้ชายและจะทำอะไรก็ได้”ผมเหวลั่น เมื่อเห็นเธอตบหน้าไอ้ภพให้ปล่อยมืออย่างแรงจนใบหน้าของมันขึ้นสีและเป็นรอยนิ้วจนมันถึงกับนิ่งไป  สายตาที่เธอคนนั้นมองไอ้ภพตอนนี้ดูน่ากลัวจนน่าใจหาย  ราวกับว่าถ้ามันใช้ฉีกไอ้ภพออกเป็นชิ้นๆได้  ไอ้ภพก็คงไม่เหลือแล้ว

“มึงอย่ามาพูดพล่อยๆนะ!!  ไอ้เวรนี่มันทำกูก่อน”สรรพนามและเนื้อเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน  ส่งผลให้ผู้หญิงหน้าตาสะสวยตรงหน้ากลายเป็นเพียงแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีอาการทางจิตเท่านั้น

“ก็ถ้าคุณไม่ไปพูดจาอย่างนั้นก่อน  เพื่อนผมมันจะเป็นอย่างนี้ไหม?  ผิดก็คือผิด” ผมเถียงออกไปด้วยอารมณ์ที่แรงขึ้น แต่ยังสามารถคุมเอาไว้ได้

“กูพูดความจริงแล้วมันผิดตรงไหน  คนที่ผิด มันก็คือพวกมึงไม่ใช่หรอ  มันคือพวกมึงทั้งนั้นที่ผิด!!”

“ผมไปทำอะไรให้  ผมผิดอะไรนักหนา  ทำไมถึงต้องทำกันถึงขนาดนี้”ผมดันไอ้ภพให้มาอยู่ด้านหลัง  ก่อนจะเผชิญหน้าสนทนาอารมณ์กับเธอโดยตรง 

“ผิดอะไรอย่างนั้นหรอ กูจะบอกบางอย่างให้มึงฟังนะ  กูคือพี่สาวของดลยา  มึงคุ้นชื่อนี้ไหม?”

“ดลยา?...ใครคือดลยา ผมไม่รู้จัก”

“5555 มึงจะรู้จักได้ไง  กูไม่ได้ถามมึง!!  กูถามไอ้โง่ที่มันซ่อนตัวอยู่ข้างหลังมึงต่างหาก  ว่าไงไอ้เอกภพ  มึงรู้จักไหม?”

“ไม่  รู้  จัก”ไอ้ภพ  ทำเสียงเข้มเน้นให้ผู้หญิงคนนั้น ฟังอย่างชัดๆ

“น่าสงสารน้องกูนะ  ว่าไหม? หึหึ  ขนาดมึงยังไม่รู้จัก  ขนาดมันตายไปแล้วคนก็ยังเอาแต่สนใจน้องของมึง 555 ดลยาคือผู้หญิงที่เข้าร่วมแข่งขันพร้อมน้องของมึงไง ไอ้เอกภพ!!”สิ้นเสียงของเธอ  นิ้วชี้ด้านขวาก็ถูกยกขึ้นมาชี้หน้าพวกผม ก่อนที่จะไปหยุดอยู่เพียงหน้าไอ้ภพ  เรียกให้พวกผมสองคนอึ้งไปกับคำที่ได้ยินและทำให้ไอ้ภพก้าวขึ้นมันประชันหน้าโดยตรง

“แล้วยังไง…เหตุผลแค่นี้อย่างนั้นเหรอที่จะนำมาใช้ทำร้ายพวกผมได้”

“555 เหตุการณ์วันนี้มันจะไม่เกิดขึ้นเลย  ถ้าพวกมึงโดนบังคับถอนตัวไปตั้งแต่เกมส์แรก  พวกมึงผิดกติการายการ  แต่มันก็ยังเก็บพวกมึงไว้เพียงเพราะกระแสคู่รักน้ำเน่าและละครปาหี่ที่พวกมึงเล่น  ไม่เหมือนน้องสาวของกู  ที่แค่เปิดประตูออกไปนิดเดียว  ก็ถูกบังคับถอนตัวทั้งๆที่อยู่ไม่ถึงสิบวันด้วยซ้ำ”

“ละเมออะไรหรือเปล่าคุณ  น้องของคุณถอนตัวออกไปเอง  ทิ้งให้น้องสาวผมต้องรับชะตากรรมอยู่แค่คนเดียว”

“มันบอกมึงอย่างนั้นหละสิ  5555  มันบอกมึงอย่างนั้นใช่ไหม? ไอ้เว็บโง่ๆพรรค์นั้น   กูจะบอกให้เอาบุญนะ  น้องของกูถูกบังคับให้ถอนตัวออกจากเกมส์ตั้งแต่วันที่5 เพราะแค่ไปเปิดประตูตามเสียงเรียกของใครสักคนเท่านั้น”สิ่งที่อัดอั้นในใจและความทุกข์ทรมานของเธอคนนี้  กำลังค่อยๆเผยออกมาให้ผมเห็น  เมื่อปากของเธอดูหัวเราะอย่างสะใจ แต่ดวงตากลับมีน้ำใสๆไหลเอ่อมาไม่ขาดสาย สภาพของเธอตอนนี้จึงดูล่องลอยและไม่มีสติใดๆหลงเหลืออยู่

“งั้น…คุณก็ควรจะดีใจนะ  ที่น้องของคุณออกจากเกมส์ไปได้ก่อนน้องไอ้ภพ”

“ดีใจ? ดีใจกับอะไรอย่างนั้นหรอ  น้องของกูกลับมาอยู่บ้านได้ไม่ถึงสามวัน ก็ต้องเป็นอันหายตัวไปจากกู  หายไปอย่างไร้ร่องรอย  ก่อนที่กูจะไปพบว่าน้องของกูกลายเป็นศพอยู่ในเกมส์คืนสุดท้ายที่น้องของมึงเล่น” เสียงตวาดดังลั่นไปทั่ว  ดังมากจนผมรู้สึกกลัวว่าใครจะมาได้ยิน  และทำให้เรื่องราวแห่งความตายนี้เล็ดลอดไปถึงหูของผู้ที่คุมชะตาผมกับไอ้ภพเอาไว้

“หมายความว่ายังไง?” ไอ้ภพรีบถามขึ้นพร้อมกับคิ้วที่ขมวดลงด้วยความสงสัยและสนใจ   เนื้อความที่มันได้ยินคงกำลังประติดประต่อเรื่องราวของน้องสาวมันให้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างชัดมากขึ้น

เธอคนนั้นไม่พูดพร่ำอะไรต่อ  นอกจากจะค่อยๆล้วงจดหมายขึ้นมาสามฉบับจากกระเป๋าหนังที่เธอถือ

“น้องของกู!! ได้รับจดหมายพวกนี้ ตั้งแต่วันที่กลับมาถึงบ้าน  เนื้อความแปลกๆในนี้เรียกน้องสาวของกูให้ออกไปและไม่เคยได้กลับมา ฮึก”

“มี…แค่นี้เองหรอ?”

“นี่คือใบที่เก็บเอาไว้ได้  ส่วนใบสุดท้ายที่น้องกูได้รับ  ไม่เคยมีใครได้เห็นนอกจากน้องกูที่ถือออกไปในวันที่ หายตัวออกจากบ้าน”

“แล้วคุณรู้ได้ไงว่าน้องคุณเป็นศพอยู่ในนั้น”

“หึหึ  เกมส์ที่น้องมึงเล่นคืนนั้น  คือเกมส์ที่ต้องเอาตุ๊กตามาสมมติให้มีชีวิต  น้องของมึงถูกสั่งให้เดินลงมาจากบ้านเพื่อมาเปิดกล่องตุ๊กตาที่ตั้งเอาไว้   ภายในนั้นบรรจุตุ๊กตานั่งเก้าอี้โยกคลุมผ้าเอาไว้  และเมื่อน้องมึงเปิดผ้าออกมา  น้องมึงก็กรี๊ดอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนที่สัญญาณจะหายไป  แต่รู้อะไรไหม? คืนนั้นไม่ใช่แค่น้องมึงที่กรี๊ด แต่มันยังมีกูที่กรีดร้องร่วมกับน้องมึงด้วย  เมื่อกูได้เห็นว่าภายใต้ผ้าคลุมผืนนั้น  มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นตุ๊กตานั่งอยู่”

“ทุกคนเข้าใจว่าเป็นตุ๊กตา?  หมายความว่าไง  นั่นไม่ใช่ตุ๊กตาเหรอ” ไอ้ภพส่งเสียงถามออกไปอย่างร้อนรน  ปนเปไปกับท่าทีของผมที่รับรู้ได้ถึงกลิ่นของความตาย  กลิ่นของลางสังหรณ์มรณะเพียงแค่สิ้นสุดคำสุดท้ายของผู้หญิงตรงหน้า

“เสื้อและกางเกงที่ตุ๊กตาตัวนั้นใส่  มันคือชุดของน้องสาวกูในวันที่เขาหายไปและไม่กลับมา ฮึก” น้ำตาที่ไหลออกมาบวกกับท่าทีทรมาน  สร้างภาพอันน่าสงสารและน่าเวทนาให้กับผมและไอ้ภพ  จนอารมณ์ร้อนๆเมื่อครู่สูญหายไปทั้งหมด

“แล้วทำไมคุณไม่ไปแจ้งตำรวจ”

“คิดว่ากูไม่แจ้งอย่าง นั้นหรอ!!  กูแจ้งแล้ว  แจ้งไปหมดแล้ว แต่ใครจะเชื่อกู  จดหมายพวกนี้มันก็ไม่มีอะไรบอกได้เลยว่ามาจากไหน  หลังจากที่น้องมึงเป็นบ้า  ทุกคนก็เอาแต่สนใจเรื่องของน้องมึงคนเดียว จนกลบเรื่องของน้องกูไปหมด   จะเข้าเว็บไปหาคลิปนั่นก็ไม่ได้  รายการมันสั่งปิดไปแล้ว  เท่ากับว่ากูไม่มีหลักฐานอะไรเหลืออยู่เลย ฮึก”

เรื่องราวที่ได้รับบวกกับจดหมายบนมือที่ผมเห็น  เป็นดั่งจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ผมเฝ้ารอและตามหามาอยู่นาน  ไม่คิดเลยว่าผู้หญิงท่าทางไม่เป็นมิตรจะนำความจริงที่แม้แต่ไอ้ภพก็ไม่อยากเชื่อเข้ามาให้  แม้ภาพที่เธอร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือดจะบั่นทอนความรู้สึกผมมากขนาดไหน  แต่ผมก็ไม่อาจปฏิเสธตัวเองได้เลยว่าเลือดในกายของผมกำลังสูบฉีดอย่างแรงด้วยความตื่นเต้น  หลังจากนี้คงเหลือจิ๊กซอว์เพียงไม่กี่ชิ้น  เรื่องราวทั้งหมดก็จะจบลงอย่างสมบูรณ์ 

“มิว  ทีมงานมาตามแล้ว”ไอ้ภพ  เข้ามากระซิบที่ข้างหู ก่อนจะชี้ให้ผมเห็นทีมงานที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากเรานัก ผมหันไปยกมือให้สัญญาณก่อนจะหันกลับมาเพื่อกล่าวลาบุคคลสำคัญของเกมนี้

“คราวนี้พวกผมต้องไปกันจริงๆแล้ว  ยังไงก็ขอบคุณและขอโทษที่การกระทำของพวกผมมันทำให้คุณไม่พอใจ  แต่จะบอกอะไรให้นะครับ  กระแสคู่รักน้ำเน่าที่คุณบอก  มันกำลังช่วยยื้อเวลาให้ผมตามหาความจริงให้น้องสาวคุณและไอ้ภพได้”

“ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของน้องสาวกู!!   ดูเรื่องของมึงเถอะ  อย่าอวดดี  ชะตากรรมของพวกมึงหลังจากนี้ มันก็คงไม่ต่างจากน้องกูเท่าไร  สายสิญจน์ที่พวกมึงหยิบเอามาคิดว่าจะช่วยได้อย่างนั้นหรอ  555 ฝันกลางวัน”

“เอาเป็นว่าขอบคุณที่บอกนะครับ  ผมไปละ”

“5555  เตรียมตัวกันเอาไว้…วัดสุดท้ายที่พวกมึงต้องไป  มันต่างกับวัดพวกนี้แน่นอน  อยู่ให้ได้ อย่าถอนตัวก่อนซะหละ”

เผื่อพวกมึงต้องตาย  ญาติของพวกมึงจะได้หาศพเจอ


ผีตากผ้าอ้อมยามเย็น นำทางให้รถของรายการกลับเข้าสู่ตัวบ้านอีกครั้ง


เวลาช่วงบ่ายพวกผมต่างก็พากันไปใช้ชีวิตในวัดที่แปด  สูดลมหายใจเข้าปอดรับกับบรรยากาศอันเงียบสงบภายในวัด  แม้จะมีสายตาของบรรดาผู้คนเข้ามารบกวนบ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกผมสนใจอีกต่อไป  ความจริงที่ได้รับมาเมื่อเช้านั่นต่างหากที่ผมยังให้ราคาและเก็บมันเอาไว้ภายในหน่อยความจำสมองอย่างดี

อดกังวลไม่ได้เลยว่า ช่วงที่ทีมงานเข้ามาตามผม  เขาจะได้ยินเสียงตวาดลั่นลานวัดหรือไม่  ท่าทีที่เขาปฏิบัติยามบ่ายทุกอย่างยังคงนิ่งเฉย  ไม่มีปฏิกิริยาแบบวันก่อนๆนั่นคือการเข้ามากวนหรือการมาแอบถามถึงสิ่งที่ตนเองต้องการรู้  เรื่องราวที่ผู้หญิงคนนั้นระบายออกมาจะว่าไม่มีผลต่อทีมงานเลยก็ไม่น่าใช่  คนเหล่านี้ทำงานกับเกมมานาน  อยู่กับเกมมาอย่างเงียบๆ  ไม่ได้รู้เลยว่าเบื้องหลังจอแก้วที่ตนนำออกฉายจะซ่อนเงื่อนงำโหดร้ายไว้ภายใต้หน้ากากผู้เข้าแข่งขัน  มันจึงเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเขามีโอกาสรับรู้ชะตากรรมเหล่านั้น  เขาจะไม่สนใจ

“วันนี้มาถึงเย็นเลยนะครับ”  ประโยคก่อนบอกลาแบบในทุกๆวัน  ดังขึ้นเพื่อพูดคุยกับผม

“นั่นสิครับ  แต่ก็ไม่ได้เย็นมากหรอก  วัดแรกๆเย็นกว่านี้นะครับ”

“เผลอแปปเดียว  คุณก็เล่นกันมาแปดวัดแล้ว”

“ทำไมครับ  จะชวนผมดราม่าเหรอ  ยังไงก็ยังเหลือวัดที่เก้าอีก  อย่าห่วงเลยครับ”

“ก็นะ  ยังไงก็ดูแลตัวคุณและคุณภพให้ดี  อย่าเป็นอะไรไปซะก่อนนะครับ”

“ผมไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก  ว่าแต่คุณเถอะ  ทำไมต้องทำท่าเหมือนมีอะไร?”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้ครับ  แล้วก็สัญญากับผมว่าจะไม่เป็นอะไรก็ทำตามที่พูดนะครับ  หวังว่าเรา…จะได้คุยกันอีก”

บทกระซิบชวนให้ปวดหัว ถูกทิ้งท้ายไว้โดยทีมงานคนที่ดูเหมือนจะกวนผมที่สุด  ผู้ชายคนนั้น มีสองบุคลิกที่ผมไม่อาจเข้าใจได้ว่า แท้จริงแล้วตัวตนเขาเป็นคนอย่างไร  บทที่เขาจะกวนผมเขาก็ทำเสียจนผมกลัวและโมโห  แต่เมื่อไรที่ถึงบทดี ผู้ชายคนนี้ก็ทำได้ไม่แพ้กัน  ความห่วงใยบางอย่างที่ผมสัมผัสได้ ถูกส่งออกมาจากตัวเขาจางๆ  และไม่ใช่แค่ผมเท่านั้นที่ได้รับ สายตาและคำพูดที่มองไปที่ไอ้ภพยามตักเตือนก็ดูเหมือนกันกับผม  แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีใครบางคนไม่เข้าใจ

“คุยอะไรกัน”เสียงแข็งๆของไอ้ภพ ร้องทักผมทันทีที่เดินเข้ามาหามัน

“คุยเรื่องพรุ่งนี้  เรื่องวัดสุดท้ายนั่นแหละ  เขาฝากบอกมึงด้วยว่าให้ดูแลตัวเองดีๆ”

“ถ้าคุยกับมันอีก กูฝากบอกมันด้วยว่าขอบใจ แต่กูไม่ได้ต้องการ”

ผมส่ายหัวน้อยๆให้กับท่าทีเด็กๆของมัน  ก่อนจะเดินแยกเข้ามาในบ้าน  จัดแจงเก็บข้าวของและลงครัวไปช่วยไอ้ภพ  วิถีชีวิตเดิมๆถูกถ่ายออกอากาศซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่เคยเบื่อ  จนเมื่อทุกอย่างดำเนินมาถึงช่วงที่จะได้รับการพักผ่อนอย่างแท้จริง  ผมกับไอ้ภพก็แยกกันไปอาบน้ำ และกลับเข้ามาพิจารณาเนื้อความบนกระดาษเอสี่ที่ผมเขียนทิ้งเอาไว้และบอกกับมันว่าให้รออ่านมันพร้อมกัน

เนื้อความที่มีเพียงสั้นๆ…ในจดหมายสามฉบับนั้น

กักกันอย่างหรรษา  หรือ  อิสระตลอดกาล 

ตัวคนเดียว  หรือ ครอบครัว

Return if it possible


“Your Nightmare” สิ้นประโยคสุดท้ายของกระดาษเอสี่  ความเงียบก็ลอยปกคลุมทุกพื้นที่  จนแม้แต่เสียงลมหายใจก็ไม่อาจทำลายความวังเวงนี้ออกไปได้

.
.
.
(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่21 กล่อม (18/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 18-04-2017 20:33:26
คำลงท้ายสุดท้ายที่มีอยู่ในจดหมายทุกฉบับ  เป็นเพียงแค่คำอำลาสั้นๆที่ไม่บอกชื่อคนแต่งหรือแสดงความห่วงใยใดๆ  ความน่ากลัวของชื่อนี้ดูเผินๆคงไม่มีใครรู้สึกอะไรด้วยแน่  แต่ถ้าหากสมมติว่าขณะนี้ผมเป็นคุณดลยา ซึ่งพึ่งจะออกจากเกมส์สยดสยองนี้ไป  คำนั้นคงไม่ต่างกับฝันร้ายที่ยังตามหลอกหลอนไม่เลิก  โดยที่ตัวของคุณดลยาเองก็คงต้องได้รู้อะไรเกี่ยวกับคำนี้อยู่ไม่น้อย  ไม่เช่นนั้นสิ่งที่อยู่ในจดหมายคงไม่สามารถเรียกชีวิตของคุณดลยาออกไปตายได้

“มึงตีความสามประโยคนี้ยังไง?”ไอ้ภพถามเสียงเครียด

“กูยังไม่กล้าตีความเท่าไร  จะให้บอกว่าจดหมายนี้มันให้คุณดลยาเลือกก็ไม่น่าใช่เพราะจดหมายฉบับที่สามมีเพียงประโยคเดียวเขียนไว้  แต่จะให้บอกว่ามันไม่ได้ถูกเขียนมาเพื่อเลือก  กูก็ทำไม่ได้อีก เพราะสองฉบับแรกมันมีคำว่าหรือที่เนื้อความขัดแย้งกันอย่างชัดเจน”

“อย่างนั้นหรอกเหรอ”

“แล้วมึงอ่ะ?  ได้ลองตีความมันเอาไว้ไหม”

“กูลองแล้ว  แต่ก็ไม่ได้มั่นใจ จดหมายฉบับที่สองน่าจะเข้าใจได้ง่ายที่สุดในบรรดาทั้งสามฉบับนี้”

“แล้วมันหมายความว่ายังไงสำหรับมึง”

“มันไม่ใช่จดหมายเตือน….มันคือคำขู่ฆ่า”

ผมพยักหน้ารับรู้ไปอย่างช้าๆ  พร้อมแสดงแววตาที่วิตกอย่างปิดไม่มิด  การตีความของไอ้ภพคือสิ่งที่ผมมั่นใจว่าถูกต้องแน่ๆ  เพราะขณะที่ผมได้มีโอกาสนั่งเขียนทุกอย่างลงบนกระดาษ  จดหมายฉบับที่สองคือฉบับที่ทำให้การตวัดปากกาในมือผมเป็นอันต้องหยุดชะงัก  และปล่อยให้สมองทำหน้าที่ทุกอย่างแทน  คำว่าตัวคนเดียวหรือครอบครัวคงเป็นการสั่งให้คุณดลยาเลือกระหว่างจะเดือดร้อนคนเดียวหรือพ่วงไปทั้งครอบครัว  โอกาสที่เธอจะได้หาทางออกจึงมีไม่มากนัก  สุดท้ายเมื่อถึงคราวจนปัญญาเธอจึงได้เลือกเส้นทางเพื่อเข้าหาบ่วงรัดคอของเธอเพียงคนเดียว

นั่งไขความลับของจดหมายฉบับที่เหลือไปได้ไม่นาน  เสียงบีบแตรรถยนต์ก็ดังระงมไปทั่วบริเวณบ้าน  เสียงนั่นทำลายสมาธิของผมและไอ้ภพไปอย่างสิ้นเชิง  ก่อนจะสั่งให้ผมพากันวิ่งลงมาที่ชั้นล่างเพื่อมาดูว่า  จุดประสงค์ของแตรรถยนต์คันนั้นคืออะไร

“อ้าว ลุงมั่น  สวัสดีครับ  มายังไงเนี่ย?”ผมทักลุงมั่นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ต่างจากไอ้ภพที่แค่ยกมือไหว้แล้วสอดส่ายสายตาไปมองยังการกระทำของทีมงานซึ่งกำลังนำของบางอย่างลงมาจากรถ

“มากับทีมงาน ”

“แล้วมีอะไรหรือเปล่าครับ  มาบีบแตรเรียกพวกผมเสียดึกเชียว  อย่างนี้ผมเปิดประตูออกมาก็ถือว่าไม่ผิดกฎนะครับ”

“555 ไม่ผิดๆ  แล้วก็วันนี้ที่ลุงมาก็เพื่อจะขนเอาของที่ลุงคำแกขนไม่ได้มาให้”

“อะไรครับ?”

“เปลเด็กกับตุ๊กตา”

“เอามาทำไมครับ?”ผมตกใจไปกับสิ่งที่ได้ยิน  ก่อนจะค่อยๆเอ่ยถามหาเหตุผลไปอย่างกล้าๆกลัวๆ  คำบอกเล่าล่าสุดที่ได้ยินสร้างจินตนาการให้ผมนึกถึงศพคุณดลยา นึกถึงเกมส์สุดท้ายที่น้องไอ้ภพได้เล่น  ก่อนที่จะเบาใจลงไปเมื่อเห็นว่าตุ๊กตานั้นเป็นเพียงตุ๊กตาเด็กทารก

“อ้าว  จนป่านนี้แล้วยังไม่ได้อ่านรายละเอียดเกมส์อีกเหรอ?”

“ยังครับ  พวกผมเดินทางมาเหนื่อยเลยอยากพักก่อน”ไอ้ภพแทรกขึ้นมาเสียงเรียบ เมื่อเห็นว่าสีหน้าของลุงมั่นดูจะแปลกใจกับการไม่สนใจของพวกผม

“เอาเป็นว่า หลังจากนี้ก็ไปอ่านซะ  จะได้เข้าใจ  แล้วลุงคำเอาอะไรมาให้นี่เห็นกันหรือยัง?”

“เห็นแล้วครับ  เครื่องเล่นเทปแบบเดิมกับที่ผมเคยใช้”

“ดีแล้วหละ  งั้นพวกเอ็งก็ยกกันเข้าไปในบ้านแล้วกัน  ไม่ได้หนักหนาอะไรเท่าไร  รีบอ่านรีบเล่นซะหละจะได้มีเวลานอน”

“ขอบคุณครับลุง”

บอกลาลุงมั่นไว้แต่เพียงเท่านั้น  ผมกับไอ้ภพก็ช่วยกันยกเปลเด็กขนาดไม่ใหญ่เข้ามาไว้กลางบ้าน  มองสิ่งที่ผมต้องทำคืนนี้อย่างสงสัย  ก่อนที่ไอ้ภพจะขอเดินแยกขึ้นไปหยิบหนังสือที่ทิ้งไว้บนเตียงและกลับลงมาพร้อมหน้าตาที่ติดจะเป็นกังวล

คำบอกเล่าชวนให้เหงื่อในกายไหลออกมาของไอ้ภพ  กล่าวให้ผมฟังว่า  เกมส์คืนนี้ผมกับมันต้องสมมติตัวเองให้เป็นครอบครัวของตุ๊กตาตัวที่ต้องใช้เล่น โดยที่อ้างอิงความเชื่อเก่าๆที่ว่า  ตุ๊กตาที่มนุษย์ใช้เล่นกัน  มันไม่ใช่สิ่งของที่ไม่มีหัวใจอย่างที่หลายคนคิด  ตามคำบอกเล่าต่างๆที่ได้รับมาพบว่า  หากเราให้ความสนใจ ให้ความรักประหนึ่งว่าสิ่งที่อยู่กับเราไม่ใช่เพียงตุ๊กตา  สิ่งนั้นจะกลับกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างที่ไม่น่าเชื่อสายตาตนเอง

เรื่องราวที่หนังสือได้รวบรวมประสบการณ์ของมนุษย์ใจกล้าเอาไว้ ทุกๆคนล้วนบอกไปในทิศทางเดียวกันว่า  ตนเองติดตุ๊กตามาก เวลาไปไหนหรือทำอะไร  ตุ๊กตาตัวนั้นมักจะถูกเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตด้วยเสมอ  ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างกับเป็นครอบครัว   หนักสุดก็เป็นพี่น้องตามกันมาอย่างไม่ได้คิดอะไร  แต่สุดท้ายเมื่อชีวิตทุกคนต้องโตขึ้น  ตุ๊กตาที่ตนครอบครองได้กลับกลายเป็นเพียงของเล่นเด็กเท่านั้น  ถูกทิ้งร้างเอาไว้ในห้องเก็บของ  หรือบางรายก็อาจจะนำไปทิ้งโดยที่ไม่ได้นึกเลยว่า ตุ๊กตาตัวนั้นมีวิญญาณเข้าไปสิงสู่รับความอบอุ่นจากตนเองไปแล้ว  นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกครั้งที่นำไปทิ้งหรือปล่อยเอาไว้ในตู้

ทุกรุ่งเช้า ตุ๊กตาตัวเดิมจะเคลื่อนย้ายกลับมานอนสบตากับตนเองอยู่เสมอ…

“คำสั่งให้พวกคุณสมมติตัวเองเป็นพ่อแม่ของตุ๊กตาทารกตัวนี้  และตั้งชื่อเรียกให้สอดคล้องกับชื่อของพวกคุณ”

สิ้นสุดคำสั่งแรกจากปากไอ้ภพ  ผมกับมันก็เงยหน้ามองกันอย่างอัตโนมัติ  แปลกใจไปกับคำสั่งที่ถูกบัญญัติเอาไว้  การเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหากต้องมีใครสมมติบทบาทกันขึ้นมา  แต่คำสั่งที่ผมต้องปฏิบัติกับตุ๊กตาไม่ต่างไปกับลูกของตนเองนั้น ไม่อาจทำให้ใจของผมนิ่งเฉยได้  ความน่ากลัวที่ผมได้รับฟังมาจากในหนังสือคือเชื้อเพลิงอย่างดีที่กระตุ้นให้ผมรับรู้ว่าเกมส์คืนนี้ไม่อาจใช่เกมส์เลี้ยงเด็กธรรมดาอีกต่อไป

หลังจากสบตากันได้เพียงครู่เดียว  ไอ้ภพก็ก้มลงไปอ่านคำสั่งที่ยังไม่หมดต่อ  เนื้อความข้างในคือสิ่งที่บอกให้ผมถือและเรียกเด็กคนนี้ไปด้วยเสมอหลังจากที่ได้รับมา  ดูแลเขาให้เหมือนกับคนมากที่สุด  และสุดท้ายเมื่อถึงเวลาเข้านอนของตุ๊กตาตัวนี้  ผมกับไอ้ภพจะต้องนอนขนาบข้างเปลทั้งสองฝั่ง ผลัดกันไกวให้เปลเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆราวกับว่าผมกับมันกำลังกล่อมลูกนอน
ผมคงรู้สึกยินดีที่จะทำมากกว่านี้  ถ้าช่วงเข้านอนพวกผมไม่ต้องนอนอยู่ใต้เสื่อผืนใหญ่พร้อมกับเปิดเพลงกล่อมเด็กไปด้วย

ในสมัยก่อนคำสั่งห้ามของคนโบราณอีกอย่างคือ  ห้ามนำเสื่อมาคลุมร่างของตนเองเนื่องจากวิธีนั้นจะถูกนำไปใช้กับคนที่ตายไปแล้วอย่างเดียว  คำอธิบายของเกมส์บอกผมเพียงว่าสาเหตุที่พวกผมต้องนอนอยู่ภายใต้เสื่อ เนื่องมาจากตุ๊กตาที่ได้รับความเป็นจริงมันคือสิ่งที่ไม่มีชีวิต เพราะฉะนั้นเพื่อให้พวกผมเข้าใจและสามารถรับรู้ได้ถึงจิตวิญญาณของตุ๊กตา ผมจึงต้องเข้าไปอยู่ในโลกเดียวกับมัน

“คดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้  มีเด็กที่เสียชีวิตไปด้วย ดังนั้น พวกคุณต้องดูแลและปรนนิบัติตุ๊กตาตัวนี้เป็นอย่างดี  ไม่แน่ว่าวิญญาณของเด็กคนนั้นอาจจะกำลังต้องการความอบอุ่นจากพ่อแม่อีกครั้ง”

“หึ กูว่าคนคิดเกมส์คงพึ่งจะนึกได้มั้งว่าสร้างเรื่องให้บ้านหลังนี้ไว้แบบไหน  ถึงได้พึ่งจะสั่งให้กูท้าทายผีในบ้าน” ไอ้ภพอ่านคำเตือนสุดท้าย  ก่อนจะสบถออกมาเบาๆเมื่อที่สุดแล้วเกมส์ก็ไม่ได้ปล่อยให้เรื่องราวสยองขวัญในบ้านหลังนี้เป็นม่าย

“มันก็ให้เราท้าทายมาตั้งหลายเกมส์นะ”

“กูรู้  แต่มันก็ไม่ใช่ทุกเกมส์ สิ่งที่รายการควรจะโฟกัสมันคือเรื่องราวความตายในบ้าน  ไม่ใช่สั่งให้เชิญวิญญาณจากไหนไม่รู้ให้เข้ามา”

“เพราะมันรู้ไม่ต่างจากเราไงภพ  ว่าแท้จริงแล้วบ้านหลังนี้มันไม่มีวิญญาณหรืออะไรหรอก  ตุ๊กตาที่มันเอามาให้เราวันนี้ก็คงไปเอาของคนตายสักคนมา”

“มึงโอเคอยู่ใช่ไหม?  ไหวแน่หรือเปล่า  เกมส์คืนนี้มันชัดเจนมากแล้วนะ ว่ามึงต้องได้เจออะไรสักอย่าง”

“ถ้าอะไรสักอย่างที่มึงว่าคือผี  กูก็ตอบได้แค่กูโอเค  กูหลีกเลี่ยงไม่ได้ไอ้ภพ  ถึงกูจะกลัวกูก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”

“สู้อีกนิดนะ…กูขอโทษที่พูดได้แค่นี้  แต่มึงจำเป็นต้องอดทนนะมิว  เพื่อตัวมึงเอง”

“กูรู้แล้ว  ว่าแต่เราจะตั้งชื่อตุ๊กตานี่ว่าอะไร?”

“ง่ายๆเลย  ก็ชื่อ ภิว  เพราะมันสอดคล้องกับชื่อพวกเรามากสุด”

“ฮะ!!! จริงจังใช่ไหม?” ผมหลุดตกใจจนอ้าปากค้าง  ชื่อที่ไอ้ภพบอกว่าคิดมาเล่นเอาผมไปไม่เป็น  อีกทั้งสีหน้าที่มันพูดยังเต็มไปด้วยความแน่วแน่  ผมจึงยิ่งแปลกใจว่ามันคิดขึ้นมาแล้วจริงๆหรือว่าแค่อยากปล่อยผ่าน

“เออ ตามนั้น แล้วก็หุบปากของมึงไปได้แล้ว จะอ้าให้แมลงวันเข้าไปรึไง”

หลังจากจบบทสนทนา  ไอ้ภพก็เริ่มเดินแยกไปทำตามคำสั่งทันที  มันเดินไปยังห้องต่างๆของตัวบ้าน  เพื่อชี้ให้น้องภิวของมันเห็นว่าห้องเหล่านี้คืออะไร  พาเข้าห้องน้ำ  ห้องครัวไปไม่ต่างจากการดูแลเด็ก  ภาพที่ผมเห็นจึงเป็นเหมือนพ่อคนหนึ่งที่กำลังตั้งใจดูแลลูก  แม้ว่าการกระทำของมันจะติดออกประชดประชันเกมส์เสียส่วนใหญ่  แต่ก็อดคิดไม่ได้เลยว่า  ถ้ามันได้เป็นพ่อคนขึ้นมาจริงๆ  ลูกของมันคงได้พ่อที่ดีที่สุดเป็นแน่

และเวลาที่ผมไม่ต้องการให้ถึงก็เคลื่อนมา…เวลาที่ผมต้องกล่อมเด็กน้อยที่ชื่อภิว

“น้องภิวครับ  เดี๋ยวอยู่กับแม่ตรงนี้นะ  พ่อจะไปปิดไฟแล้วจะได้เปิดเพลงให้ลูกฟัง”

“นี่ไอ้ภพ  มึงไม่ได้โดนอะไรคุมอยู่ใช่ไหม?  ทำไมต้องจริงจังแบบนี้  กูหลอน”

“กลัวรึไง?  กูไม่ได้โดนอะไรคุมหรอก  กูแค่อยากลองทำหน้าที่นี้  กูอยากมีลูก

“ง…งั้นเหรอ  อืมกูเข้าใจแล้ว  มึงก็ไปปิดไฟได้แล้ว  เดี๋ยวลูกของมึงก็นอนไม่ได้พอดี”

“ใครว่านี่ลูกกูคนเดียว?  นี่ก็ลูกมึงด้วย  ไม่เข้าใจชื่อน้องภิวหรือไง?”

ผมพยักหน้ารับและดันไอ้ภพให้เดินไปปิดไฟ  ตุ๊กตาทารกตัวนั้น  บัดนี้ถูกไอ้ภพจับนอนลงบนเปลสีฟ้าอ่อนเก่าๆตัวหนึ่ง  ที่นำไปวางไว้ทั้งสองฝั่ง  เมื่อไอ้ภพเห็นว่าผมจัดแจงเสร็จมันก็กดปิดไฟและเดินมายังเครื่องเล่นเทปเพื่อจัดการเปิดเพลงกล่อมเด็กเป็นอย่างสุดท้าย

“โอ้..ละเห่  เรือเอ๋ยเรือเล่น ยาวสามเส้นสิบห้าวา จอดไว้ที่หน้าท่า คนก็ลงอยู่เต็มลำ หัวจดบางกอกน้อย   ท้ายก็ย้อยไปปากน้ำ คนก็ลงเต็มลำ  พายจ้ำจ้ำมาฉับฉับ พายดำและพายแดง…”           

ทันทีที่ไอ้ภพสั่งให้เครื่องเล่น  บทเพลงคุ้นหูก็ดังขึ้นแทรกความเงียบและความหม่นหมองของตัวบ้าน ใน เกมส์คืนนี้อาศัยเพียงความสว่างของแสงจันทร์ช่วยขจัดความมืดมิดภายในบ้านออกไป  พร้อมกับใช้เสียงเพลงกล่อมลูกของแม่นากทำลายความเงียบและเพิ่มดีกรีความน่ากลัวของเกมส์นี้ ให้ดังคลอเคล้าไปกับเสียงของจังหวะหัวใจที่เริ่มเต้นเปลี่ยนไปขณะที่มือข้างหนึ่งของผมเริ่มจับเชือกไกวเปล

ไอ้ภพกับผมหันมองหน้ากันเป็นอย่างสุดท้ายผ่านลูกกรงเปล ก่อนที่จะพยักให้สัญญาณล้มตัวนอนพร้อมกับที่มืออีกข้างก็ยกเสื่อผืนโตขึ้นมาปกคลุมร่างกายของเราทั้งคู่ไว้เกือบทุกส่วน  ทำให้ตอนนี้มีเพียงแขนข้างหนึ่งของผมและไอ้ภพเท่านั้นที่ถูกยื่นออกมาจากเสื่อเพื่อเริ่มไกวไปทีละข้างโดยที่ผมเป็นคนโยกเปลมาก่อน

เสียงหวีดแหลมของคำร้อง ดังขับกล่อมบรรยากาศรอบตัว  สร้างภาพหลอนและความรู้สึกให้ตีวนอยู่ในหัว  ผมไม่รู้เลยว่าฝ่ายไอ้ภพจะรู้สึกยังไง  เพราะตั้งแต่ที่เราได้เริ่มนอนและปล่อยให้เพลงวนซ้ำไปเรื่อยๆนั้น  ผมกับมันก็ไม่มีใครได้เอื้อนเอ่ยวาจาขึ้นมาแทรกบทเพลงทั้งสิ้น  ปล่อยให้ทำนองเสนาะหูของเพลงนั้นขับกล่องทารกตัวน้อยที่นอนนิ่งสนิทอยู่ในเปลสีฟ้าข้างกาย

ความรู้สึกกดดันทางกายและจิตใจ  ทำให้ตัวผมก่อเกิดความระแวงขึ้นมานับไม่ถ้วน  เสียงเตือนของไอ้ภพ ดังลอยวนอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า บอกให้จิตใจของผมระวังตัวกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้  โดยที่ผมไม่เคยได้รู้เลยว่า  สิ่งนั้นจะปรากฏตัวขึ้นมาเมื่อไร  ปรากฏตัวขึ้นมาแบบไหน  และมีจุดประสงค์เพื่ออะไร หรือแท้จริงแล้วสิ่งเหล่านั้นอาจจะไม่ปรากฏตัวขึ้นมาเลยก็ได้ เพราะพวกมันได้อยู่ข้างกายผมมาตั้งนานแล้วเพียงแค่ผมไม่ทันสังเกตหรือไม่ได้สนใจมันเท่าที่ควร

กริ้ง 

เสียงกังวานใสของลูกกระพรวนข้อเท้าเด็กดังขึ้นปนเปไปกับเสียงเพลงกล่อม  สะกดให้ตัวผมนอนเกร็งอยู่กับที่  แขนข้างเดียวที่ทำการยื่นออกไปนอกเสื่อ  สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นเยียบรอบกายที่เปลี่ยนไปพอควร  เสียงกระพรวนลูกนั้นดังสนั่นรอบกายของผม  เดินวนรอบไปมารอบๆเปลที่ยังคงถูกไกวอย่างต่อเนื่องจากฝีมือไอ้ภพ  ซึ่งตอนนี้มันอาจไม่ได้ทันสังเกตว่าแรงที่ไกวอยู่มีเพียงแรงของมันคนเดียว

พ่อจ๋า  แม่จ๋า  ออกมาเล่นกับหนูหน่อย

พ่อจ๋า  ออกมาเล่นกับหนูหน่อย  บ้านหลังนี้ไม่มีเพื่อนหนูเลย


คำชักชวนหวานหูของเด็กน้อย ดังขึ้นภายใต้ทำนองกล่อมเด็ก  น่าแปลกที่ผมสามารถได้ยินเสียงเด็กคนนั้นชัดเจนจนต้องนอนจิกเล็บตัวเกร็งนิ่ง  เพื่อไม่ให้เด็กคนนั้นหันมาสนใจผมที่นอนอยู่  เสียงเพลงที่เคยดังลั่นเริ่มแทนที่เข้ามาด้วยเสียงเรียกร้องความต้องการของเด็กน้อย  ดังอยู่ข้างๆไอ้ภพที่คาดว่าตอนนี้มันก็คงไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่ามีวิญญาณยืนอยู่ข้างตัวมันเรียบร้อย

พ่อจ๋า  ออกมาเล่นกัน  เล่นกัน  เล่นกับหนู

น้ำเสียงร่าเริงดังเรียกไอ้ภพอยู่แบบนั้น คลอเคล้าไปกับเสียงกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ  หากแต่ไอ้ภพยังคงนอนนิ่ง  ไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป  และเป็นผมแทนที่ได้ยินทุกอย่างจนภาวะทางกายเปลี่ยนไปเรื่อยๆ  ปากเริ่มสั่น  หน้าอกตันแน่น  มือเท้าเกร็ง  หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่าจะช็อก  และสุดท้ายเสียงที่ทำให้อาการทุกอย่างที่ว่ามาทวีคูณขึ้น  ก็กระทบเข้าหูผมจนได้  เมื่อวิญญาณเด็กน้อยตนนั้น ไม่สามารถเชื้อเชิญไอ้ภพออก  เป้าหมายใหม่ของมันจึงเป็นผมที่นอนอยู่อีกฝั่งแทน

กริ้ง  กริ้ง  กริ้ง

แม่จ๋า  พ่อไม่ออกมาเล่นกับหนู  แม่ออกมาเล่นด้วยกันไหมจ้ะ

เสียงกระพรวนลูกน้อยดังเปลี่ยนทิศทางเข้ามาหาผมพร้อมกับคำพูดเสียงเย็นที่เริ่มเข้าใกล้หูผมมากเรื่อยๆ  ความรู้สึกข้างกายผ่านเสื่อผืนโตของผม  รับรู้ได้ว่ารอบๆตัวผมเริ่มมีการเคลื่อนไหวลักษณะแปลกๆวนรอบเหมือนกับว่าการตัดสินใจเข้ามาหาผม เป็นการตัดสินใจที่วิญญาณตนนั้นรับรู้อยู่แล้วว่า  ใครจะเป็นผู้ที่สื่อสารกับมันได้จริงๆ

แม่จ๋า  ออกมาเล่นกันสักที หนูรู้นะ…ว่าแม่ได้ยินเสียงหนู

สิ้นเสียงเย็นเยียบนั้น  ตัวของผมก็สั่นไปมาอย่างแรง ซึ่งการสั่นนั้นไม่ได้เกิดมาจากการกลัวของผม  แต่มันเกิดมาจากแรงเขย่าของมือน้อยๆแต่กลับมีแรงมหาศาล  ผลักผมไปมาอย่างกับเป็นเรื่องสนุก  เรียกให้ผมออกไปเผชิญหน้ากับวิญญาณตรงหน้าเสียที  จนผมต้องปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างทรมานและอึดอัดไปกับสิ่งที่ตนเองได้รับ

“ภ…ภิว  หนูไปนอนได้แล้ว  อย่ากวนพ่อกับแม่”

คำพูดสิ้นคิดแต่ดูเหมือนจะได้ผล ถูกเอ่ยออกไปอย่างตัดปัญหาเมื่อแรงเขย่าของวิญญาณเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นสาเหตุให้เสื่อบนตัวผมเริ่มเคลื่อนย้ายออกจากตัวไปทีละนิด จนผมกลัวว่าหากปล่อยไว้ผมอาจจะต้องเจออะไรที่เลวร้ายมากกว่านี้  และไม่ใช่แค่แรงเขย่าของวิญญาณเท่านั้นที่หายไป  จังหวะการไกวเปลของไอ้ภพก็หายไปด้วย  เสียงพูดพึมพำของผมเมื่อครู่คงไปกระทบกับหูของมันเข้า

แม่ได้ยินเสียงหนูจริงๆหรอจ้ะ…

ฟังดูตลกร้าย เมื่อแรงเขย่าที่หายไปแปรเปลี่ยนมาเป็นเสียงกระซิบตรงบริเวณเสื่อข้างหู  เสียงนั่นเป็นเสียงที่ดูเหมือนสะใจปนมีความสุขเล็กๆที่สามารถสั่งให้ผมตอบสนองความต้องการของมันไปได้  ผมนอนเบิกตากว้างและเริ่มกัดฟันกันเสียงตกใจที่เกือบจะโพล่งออกไป  ก่อนที่การเคลื่อนไหวแปลกๆของเสื่อจะนำทางให้ผมหลับตาแน่นอีกครั้ง และทำได้เพียงแต่ภาวนาว่าขออย่าให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ผมคิด

และสุดท้ายในชีวิตจริงของมนุษย์  คำภาวนาทั้งหลายมันก็ไม่เคยตอบสนองต่อบุคคลที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกของวิญญาณเมื่อท้ายที่สุด เสื่อที่ปกคลุมผมก็ค่อยๆเปิดขึ้นมาจากปลายเท้า  นำให้บรรยากาศเย็นๆรอบกายค่อยๆเลียกับผิวหนังของผมจนขนในกายลุกชันขึ้นมาเรื่อยๆ  เสียงกระพรวนข้อเท้าที่ได้ยินก็เริ่มดังขึ้นมาอย่างช้าๆจากปลายเท้าขับกล่อมบรรยากาศไปพร้อมกับเสียงเพลงกล่อมเด็ก 

ผมนอนตัวสั่นหลับตาแน่นอยู่แบบนั้น  ปล่อยให้น้ำตาไหลซึมออกมาอย่างเป็นระยะ  เนื้อตัวรู้สึกเจ็บและชาไปทุกสัดส่วน  ปากผมสั่นจนไม่สามารถกัดมันเอาไว้ได้  ทำให้เสียงของฟันที่กระทบกันสร้างเสียงหัวเราะเล็กๆให้กับลูกชายของผมและไอ้ภพ ก่อนที่ดวงตาของผมจะสัมผัสได้ถึงมืออันน้อยนิดแต่กลับเย็นจัดจนสามารถกุมขั้วหัวใจของผมไว้ได้ทั้งหมด

มือบางนั้นค่อยๆถ่างดวงตาของผมทั้งสองข้างให้เปิดขึ้นจนผมมีโอกาสได้เห็นหน้าตาของลูกชายผม

มือบางนั้นค่อยๆเคลื่อนไปลูบไล้ใบหน้าของผมและไปหยุดอยู่บนปากที่กำลังสั่น ก่อนที่มันจะบีบปากของผมไว้จนเจ็บร้าว

และสุดท้ายเมื่อสองแม่ลูกได้พบหน้ากัน คำทักทายของวิญญาณนั้นจึงเริ่มบรรเลง

แม่จ๋า  มาเล่นด้วยกันไหม!!!





**************************************TBC**************************************************
เอาตอนที่21มาส่งแล้วนะครับ
ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนว่า เพลงกล่อมเด็กที่ใช้ในนี้ชื่อเพลง นากนางนะครับ ลองเปิดฟังคลอการอ่านไปด้วยได้ 555
ขอบคุณทุกคำติชม ทุกการติดตามเหมือนเดิมนะครับ  ผมดีใจและขอบคุณทุกคนมากๆครับ
ช่องทางการติดตามคือทวิตเตอร์ด้านล่างนะครับ หรือถ้าอยากพูดคุยสามารถเข้าไปบอกผมใน #Nightmaregame หรือเม้นบอกในนี้ได้ครับ
ถ้ามีคำผิดหรือประโยคไม่ลื่นไหลบอกผมได้นะครับ
เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่21 กล่อม (18/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: karamailpraleen ที่ 18-04-2017 20:55:06
หนูภิวดื้อขนาดนี้้ ต้องจับตีก้นซะให้เข็ด :katai5:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่21 กล่อม (18/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 18-04-2017 21:07:43
กลัวววว :katai4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่21 กล่อม (18/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 18-04-2017 21:24:38
ทำไมมิวไม่เคยหลาบจำเลยนะว่าอย่าไปคุยกับวิญญาณ งานเข้าแล้วเห็นไหม :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่21 กล่อม (18/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-04-2017 21:57:09
โอ้ยยย น้องภิว ไปนอนเถอะลูกกกกกก
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่21 กล่อม (18/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: JACKSON ที่ 19-04-2017 10:38:25
ภิวดื้อกับแม่ขนาดนี้พ่อต้องทำโทษภิวนะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่21 กล่อม (18/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 19-04-2017 22:42:09
แต่ละอย่างที่มิวเจอนี่...  :ling3: :z3: :ling3: :z3: :ling3: :z3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่21 กล่อม (18/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Poongsuke ที่ 23-04-2017 04:05:44
พลาดไม่ได้สักตัวอักษรเรย รอๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่21 กล่อม (18/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 25-04-2017 02:02:14
ฮือๆๆ ไม่น่าเลย...ไม่น่าอ่านเวลานี้เลย หนูกลัวอ่ะ กระซิกๆ :sad4: แต่มันอดใจไม่ได้ ภาษามันสวย บรรยายได้น่าติดตามเกินไปจนวางไม่ได้...คุณคนแต่งอ่ะผิด!!//เกี่ยวอะไร๊?!!
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 25-04-2017 19:34:05
ตอนที่22

วัดสุดท้าย


ภาพแห่งความจริงแปรเปลี่ยนเป็นภาพแห่งความฝัน


เช้าวันนี้ผมตื่นขึ้นมาด้วยอาการหวาดผวา ใบหน้าของคนตายเมื่อคืนยังคงวนเวียนอยู่ภายใต้เปลือกตาของผม สะกดให้ผมมองเห็นแต่ภาพอันน่าสยดสยองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนภายในใจรู้สึกขุ่นมัวและเศร้าหมอง แม้ตามจริง  โลกแห่งความฝันจะบังคับให้ผมละทิ้งความจริงอันแสนเจ็บปวดเอาไว้ภายนอกห้องนอนแล้ว แต่สุดท้ายวิญญาณ ก็ไม่ปล่อยให้ผมพาลพบกับความสุขที่แม้แต่การหลอกตัวเองก็ทำไม่ได้

ตุ๊กตาตัวนั้นที่ผมทิ้งมันไว้ข้างล่าง…เหตุใดมันจึงมาล้มกองอยู่หน้าประตูห้องของผม

เสียงดังโขมงโฉงเฉงนอกบ้านยามนี้ ไม่อาจทำให้ผมละสายตาไปจากตุ๊กตาเด็กทารกบนมือได้  แววตาที่สั่นไหวของผมสะท้อนออกมาเพียงเรื่องราวของเมื่อคืนราวกับว่า ผมไม่เคยสลัดภาพเหล่านั้นออกไปได้เลย  เหตุการณ์ในตอนนั้นสร้างบาดแผลและความทรมานให้กับจิตใจของผม เมื่อสุดท้ายแล้วสิ่งที่ผมได้เห็นและรับรู้เมื่อคืนมันไม่ได้จบแค่วิญญาณบังคับเปิดเปลือกตาผมเท่านั้น

วิญญาณปริศนาของใครอีกคนก็ได้เข้ามาเป็นส่วนร่วมของม่านสายตามรณะนี้

ความทรงจำสุดท้ายจำได้ว่า  หลังจากที่ผมถูกบังคับให้มองวิญญาณนั่น  สายตาของผมก็ไปพบปะกับวิญญาณเด็กชายตัวน้อยที่เนื้อตัวเปื้อนไปด้วยดินโคลน  ลำคอบิดเบี้ยวคล้ายกระดูกจะหักเป็นเสี่ยง กำลังจับจ้องมาที่ผม  ปากของมันเอาแต่พร่ำเรียกผมว่าเป็นแม่ ทั้งๆที่ผมไม่พอใจแต่ก็ไม่มีสิทธ์ที่จะปฏิเสธ  ผมเป็นคนตอบสนองความต้องการของเด็กคนนี้เอง

วิญญาณของเด็กคนนั้นเข้ามาพัวพันกับร่างกายของผมได้ไม่ทันไร  เสียงการเดินย่ำลงบันได ก็ดังแทรกขึ้นมากับเสียงเพลงกล่อมเด็กที่ดังประสานเสียงหัวเราะของเด็กจนทรมานแก้วหู  ผมนอนนิ่งอยู่ที่เดิมเพราะขยับไปไหนไม่ได้  ดังนั้นสิ่งที่สามารถเคลื่อนไหวได้เพียงหนึ่งเดียวคือดวงตามรณะคู่นี้  จุดโฟกัสของมันฉายชัดไปที่รองเท้าคู่หนึ่งที่กำลังเดินย่ำเข้ามาหาผมทางหัวนอนพร้อมกับเสียงตะวาดดังลั่นของชายหนุ่มคนหนึ่ง  ไล่ให้วิญญาณเด็กออกไปจากบ้านร้างหลังนี้

สายตาของผมไม่ทันได้เห็นชัดว่าใบหน้าที่ซุกซ่อนเอาไว้ในความมืดเป็นของชายคนใด  ความรู้สึกอึดอัดที่มีก็เริ่มจางหายออกไป  ผมสัมผัสได้ว่าวิญญาณของชายคนนั้นคงต้องทำอะไรสักอย่าง  ความรู้สึกชวนผวาของเด็กคนนั้นจึงเริ่มถอยห่างออกไปจากผมทุกขณะ  และท้ายที่สุดเมื่อทุกอย่างคลายลง  เสียงอันแผ่วเบาและแหบแห้งก็ลอยมาตามลมเพื่อบอกกับผมว่าให้รีบขึ้นไปยังห้องนอนให้ไวที่สุด

ผมไม่รอช้าที่จะทำตาม  แม้จะอยากรู้แค่ไหนว่าวิญญาณของชายคนนั้นเป็นใคร  แต่ท่าทีการเคลื่อนไหวภายใต้ความมืดของบุรุษร่างใหญ่และเด็กตัวน้อยที่ดิ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่มีโอกาสที่จะทิ้งลมหายใจอันเหนื่อยล้าไว้ตรงนี้อีกแล้ว

ผมรีบวิ่งไปกระชากเสื่อออกมาจากไอ้ภพ  ที่มองผมอย่างสงสัยและเอาแต่พร่ำถามถึงกำหนดเวลาอย่างที่ไม่รู้ความเป็นไปในชะตากรรมของผมและตัวมันเอง  ผมวิ่งขึ้นบันไดนำหน้าไอ้ภพไปอย่างเร่งรีบ  ก่อนจะปิดประตูห้องและบอกให้ไอ้ภพหลับไปโดยที่อย่าเพิ่งถามอะไรหรือสงสัยในการกระทำของผม  เพราะเวลาต่อมาไม่นาน  ความเงียบที่จะนำพาพวกผมให้หลับสนิท  ก็ถูกรบกวนและทำลายลงโดยเสียงเคาะประตูอย่างแรงของเด็กน้อยพร้อมกับการตะโกนเรียกพ่อแม่ด้วยเสียงกรีดร้องและเคียดแค้นพวกผมอย่างแสนสาหัส

ความสงสัยในเหตุการณ์เมื่อคืน นำผมให้กลับมาพิจารณาตุ๊กตาเด็กทารกที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มนี่อีกครั้ง

ผมพลิกซ้ายพลิกขวาตุ๊กตาบนมือ  ในจังหวะเดียวกันกับไอ้ภพที่ได้ละความสนใจจากเสียงที่ดังโหวกเหวกข้างล่างและหันมาจ้องมองไปยังจุดรวมสายตาเดียวกันกับผม  ตุ๊กตาตัวนั้นแท้จริงแล้วได้ซุกซ่อนซิปล็อกขนาดเล็กไว้ภายใต้กางเกงตัวจิ๋วที่ผู้ผลิตมันใส่มาให้  ผมและไอ้ภพมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง  ก่อนที่จะตัดสินใจเปิดซิปนั่นออกด้วยมืออันสั่นไหวของผมเพื่อพบกับความจริงที่พรางตาพวกผมไว้ตลอดคืน

ภายใต้ตุ๊กตาตัวนั้น  ซ่อนหุ่นปูนปั้นเด็กผู้ชายเอาไว้หนึ่งตัวในสภาพที่เต็มไปด้วยดินโคลน   ช่วงขาของมันถูกประดับประดาไปด้วยสีทองคล้ายกับกระพรวนข้อเท้า  และที่สำคัญคอของมันยังหลุดออกจากตัวคล้ายกับการโดนแรงบางอย่างหักคอจนไม่เหลือชิ้นดี

และนี่อาจเป็นสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไม เปลเด็กและตุ๊กตาถึงได้มาช้ากว่าเครื่องเล่นเทปและเสื่อผืนโต 

“มิว…เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น”ไอ้ภพที่เห็นตุ๊กตาปูนปั้นของเด็ก ร้องถามผมเสียงเครียดแบบเดียวกับใบหน้า

“เมื่อคืน  กูเห็นวิญญาณของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง  มันเรียกกูว่าแม่ในขณะที่เรียกมึงว่าพ่อ  มันพยายามเรียกมึงให้ออกมาเล่นกับมันอยู่นาน แต่มึงคงไม่รู้สึก  เป้าหมายสุดท้ายของมันจึงเปลี่ยนมาที่กู  และเมื่อกูพ่ายให้กับความคิดตนเอง  มันก็ไม่แปลกหรอกที่กูจะถูกบังคับให้เห็นวิญญาณในระยะประชิด”ผมบ่นออกไปโดยที่ปล่อยให้ความรู้สึกอึดอัดและสมเพชตนเองครอบงำอยู่ในอก  แม้จะกลัว  แม้จะทรมาน แต่ในเมื่อผมเลือกที่จะทักเสียงเรียกของวิญญาณออกไป  มันก็ไม่แปลกที่วิญญาณจะทักทายผมกลับมา

“แล้วมึงหลุดออกมาได้ยังไง?”ไอ้ภพถามกลับด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป  มันหวั่นไหว และหลุกหลิกเหมือนกับกำลังซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้อยู่

“ตอนที่กูขยับไม่ได้  วิญญาณปริศนาตนนั้น เขาเดินเข้ามาหากูจากข้างบนบ้าน  เขามาช่วยพวกเราเอาไว้”

“วิญญาณนั่นยังอยู่กับเราอีกเหรอ?”

“อืม  ตั้งแต่วันนั้นที่กูเห็นเขา  วิญญาณก็ไม่เคยไปไหนเลยภพ  เขาอยู่ร่วมกับเรามาสามวันแล้ว  มันแปลกนะ ว่าไหม?  ไม่แน่ว่าสิ่งที่ทีมงานซ่อนไว้  อาจจะเป็นที่มาของวิญญาณตนนี้”

“มึงคิดว่าพวกมันซ่อนอะไรไว้”

“กูแค่คิดนะภพ อย่าพึ่งเชื่อกู  แต่ทีมงานพวกนั้น อาจกำลังซ่อนสิ่งของที่เป็นของคนตาย ไม่ก็ถ้าร้ายแรงมากที่สุด…มันอาจจะเป็นกระดูก

“เราจะโดนกันถึงขั้นนั้นจริงๆใช่ไหม?”

“นี่ยังน้อยไป  ถ้าเรื่องที่พี่สาวของดลยาเล่าเป็นเรื่องจริง  เท่ากับว่าสิ่งที่น้องมึงต้องเจอคือศพคนตายเลยนะภพ…แล้วนี่มึงเป็นอะไร?  ทำไมอยู่ดีๆก็เกิดกังวลขึ้นมา”ผมบอกข้อเท็จจริงให้ไอ้ภพฟัง  ก่อนจะหันไปถามความรู้สึกมัน เนื่องจากน้ำเสียงที่ผมได้ยิน  มันเต็มไปด้วยความกังวลแปลกๆ

“มีสองเรื่องที่กูต้องบอก คือวันนี้เราไม่มีโอกาสออกไปไหนแล้วนะ เพราะลุงมั่นเกณฑ์คนมาลงต้นไม้หลุมที่สอง  อีกอย่าง คือเรื่องเมื่อคืน…”

“มีอะไร?”

“เมื่อคืน กูรู้สึกถึงความรู้สึกบางอย่าง  กูรู้สึกอึดอัดมากตอนอยู่ใต้เสื่อนั่น อย่างกับมีคนนั่งทับกูอยู่  แต่สักพักมันก็หายไป และกลายเป็นมึงแทนที่พูดประโยคแปลกๆออกมา  ก่อนที่กูจะขยับไปไหนไม่ได้เลย”

“อย่างนั้นเหรอ  กู…ขอโทษแล้วกัน  กูพลาดเองจริงๆ”

“ช่างมันเถอะ  ประเด็นที่กูต้องการบอกไม่ได้อยู่ตรงนั้น  ตอนนี้รายการกำลังดักทางเราไว้หมดแล้วนะ  มันเริ่มเอาความเป็นความตายของคนอื่นมายัดเยียดใส่เรา  ขณะที่เวลาหาความจริงของเราก็น้อยลงไปเรื่อยๆ  เราจะเป็นอย่างไรต่อไปกัน  มึงกำลังจะแย่สุดๆแล้วนะมิว  รู้ตัวไหม? อาการของมึงวันนี้  มันดูต่างไปจากทุกวัน” 

“กู…รู้สึกแน่นหน้าอกไปหมดเลย  มันอึดอัด มันทรมาน เมื่อคืนกูก็แทบจะไม่ได้นอน  กูยังไม่หายกลัวว่ะไอ้ภพ  กูยังคงเป็นกูที่ไม่เคยเปลี่ยนตัวเองไปได้เลย  กูหงุดหงิดตัวเองไม่ไหวแล้ว ฮึก”พูดไปก็พาน้ำตาจะไหล  ผมพยายามเก็บทุกอย่างให้กลับเข้าไปแบบเดิม  ไม่อยากกลายเป็นคนอ่อนแอที่ไม่ว่าจะกดดันตัวเองสักกี่ครั้ง  ผมก็ไม่เคยพาตัวเองออกมาจากหลุมลึกแห่งความกลัวได้เลย

“มึงไม่เคยมองเห็นสิ่งพวกนี้  ถึงกูจะอยากให้มึงชิน  แต่กูรู้ว่ายังไงมึงก็ทำไม่ได้  เพราะฉะนั้นร้องไห้ออกมาเหอะ  อย่าเก็บเอาไว้ บ้านหลังนี้มันยังมีกูที่รับฟังมึงอยู่นะ”

“ไม่ไหวแล้วภพ  กูร้องไห้ทุกวันจนรู้สึกทรมานตนเองมากพอแล้ว”

“และการที่มึงคิดจะอัดอั้นความรู้สึกเอาไว้ มันจะไม่ทรมานไปกว่าการปล่อยออกเหรอมิว”

“ในเวลาแบบนี้…ทางไหนมันก็ทรมานเหมือนกันหมด  แต่ทางที่กูควรเลือกไป มันควรจะต้องเป็นทางที่ทำให้กูดูอ่อนแอน้อยที่สุด”

บทสนทนาถูกทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้น  ผมกับมันก็เป็นอันต้องแยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว  เพราะกำหนดการสุดท้ายของการไปวัดถูกนัดหมายกันไว้ประมาณบ่ายสาม  ดังนั้นผมจึงต้องรีบใช้เวลาเกือบครึ่งวันในบ้านหลังนี้อยู่กับการพักผ่อนให้มากที่สุด  เพื่อไม่ให้เกมส์ที่ต้องเล่นคืนนี้พัดพาเอากำลังวังชาที่ผมมีทั้งหมดสูญหายไป

“อ้าวลงกันมาพอดีเลย  เกมส์เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง”

“หนักหน่วงพอควรเลยครับ  ผมไม่ยักรู้ว่าบ้านที่มีประวัติคนตายอยู่แล้ว  จะทำให้รายการลงทุนยัดตุ๊กตาปูนปั้นคอหักแบบนี้เข้ามาด้วยนะครับ”ไอ้ภพตอบลุงมั่นไปด้วยท่าทีเหมือนจะนอบน้อม  แต่ก็แฝงไปด้วยการแขวะรายการอย่างเจ็บแสบ

“หืม?  ตุ๊กตาตัวนั้นมีรูปปั้นพวกนี้ด้วยเหรอ”

“นี่ลุงไม่รู้เหรอครับ  ผมเห็นมากับทางทีมงาน”

“จะรู้อะไรได้หละ  ทีมงานแค่ให้ลุงพามาเฉยๆ”

“อย่างนั้นเหรอ  แล้วทำไมวันนี้ลุงถึงมาลงต้นไม้หละครับ  เห็นขุดหลุมกันไว้นานมากเลย”

“คงเข้าสู่อาทิตย์ที่สองแล้วมั้ง  รายการเลยให้ลุงเอาต้นไม้มาลง”

“แล้วทำไมมันถึงมีแค่สามหลุมเหรอครับ  ผมแข่งกันก็ประมาณ4อาทิตย์นะลุง”

“อาทิตย์สุดท้ายจะปลูกให้ใครดูหละ  พวกเอ็งก็กลับกันหมดแล้วไม่ใช่หรือไง”

ไอ้ภพพยักหน้ารับน้อยๆก่อนจะรีบพาผมเข้าสู่ตัวบ้าน  ปริศนาจดหมายอีกสองฉบับที่ยังคงติดค้างกันไว้เมื่อคืนถูกหยิบยกขึ้นมาโดยไอ้ภพอีกครั้ง  คราวนี้มันสั่งให้ผมนอนหลับตลอดบ่าย  ส่วนประโยคปริศนาที่เหลือมันจะเป็นคนเร่งแก้แข่งกับเวลาไปเอง  มันบอกกับผมว่า ในเมื่อสุดท้ายมันไปไหนไม่ได้  ความจริงหนึ่งเดียวที่พวกเรามีก็ต้องไม่ถูกปล่อยนิ่งไว้แบบนั้น  เพราะเราทั้งคู่ไม่เหลือเวลาต่อลมหายใจอีกแล้ว

ด้วยความง่วงบวกกับอากาศเย็นสบาย  นำพาให้ผมเผลอไผลและคล้อยตามคำสั่งของไอ้ภพไปเสียง่ายๆ  แม้ในตอนแรกผมจะยังคงฝืนตามองดูปริศนาพวกนั้นไปอย่างเงียบๆได้  แต่ในเมื่อแรงดึงดูดผสานกับความง่วงส่วนตัว  ผมจึงไม่สามารถทัดทานอะไรต่อไปได้อีก  หน้าที่สำคัญที่คงเหลือไว้จึงต้องถูกถ่ายโอนไปให้ไอ้ภพแต่เพียงผู้เดียว

ผมไม่รู้ว่าตนเองหลับไปนานเท่าไร…แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งตะวันยามบ่ายคล้อยก็แผดเอาไอความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านพร้อมกับเสียงคนแก่เสียงหนึ่งที่ดังคุ้นหูอยู่ข้างล่างบ้านหลังนี้

“เดี๋ยววันนี้พ่อกลับไปหา  เรารอพ่อแล้วกัน ตอนนี้พ่อต้องทำงานก่อนนะ เดี๋ยวเจอกันลูก”

“สวัสดีครับลุงคำ  นี่กี่โมงแล้วเหรอครับทำไมลุงมาเร็วจัง”

“เอ้อ ไหว้พระเถอะ ตอนนี้พึ่งจะบ่ายสองนิดๆ แล้วอีกคนไปไหนซะหละ”

“ไอ้ภพนอนหลับอยู่บนห้องครับ”

“อืมดีแล้วพักผ่อนไป  แล้วเกมส์เมื่อคืนเป็นไงบ้าง เอ็งโอเคอยู่ใช่ไหม”

“ก็ไม่ค่อยเท่าไรหรอกครับ  ช่วงหลังๆเกมส์ชอบเล่นแต่อะไรที่บีบความรู้สึกผม  มันทรมานมากครับ”

“อยู่มาได้สองสัปดาห์แล้วก็อดทนอีกหน่อยแล้วกัน”

“ครับ  ว่าแต่ลุงยังไม่ตอบคำถามผมเลยนะครับว่าทำไมลุงมาเร็วจัง”

“อ้อ! ลืมเลย  ลุงจะบอกว่าช่วงสามสี่วันนี้อาจไม่เห็นลุงนะ  ลุงจะไปหาลูกที่ต่างจังหวัด  เดี๋ยวเรื่องที่ลุงทำพวกนี้ลุงมั่นจะจัดการแทนให้”

“โห คิดถึงแย่เลยนะครับลุง  ไม่แน่ว่าลุงกลับมาอาจจะเห็นแค่ไอ้ภพแล้วนะ 555”

“อย่าพูดเป็นลางสิ  ลุงยิ่งใจคอไม่ดีอยู่  เอาเป็นว่าลุงอยู่ข้างพวกเอ็งนะ  กลับมาลุงต้องได้เห็นพวกเอ็งครบ  แต่ตอนนี้ลุงต้องรีบไปแล้วนะ  เดี๋ยวจะขับรถไปหาลูกมืดค่ำ”

“ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับลุง แล้วก็เดินทางดีๆนะครับ”

“มานี่เลยไอ้หนุ่ม  วันนี้เอ็งทำหน้าเหมือนจะตายเสียให้ได้เลยนะ  ขอให้เอ็งโชคดี ไม่เป็นอะไรไปก่อนจบเกมส์แล้วกัน  ลุงฝากบอกไอ้หนุ่มอีกคนด้วย  ลุงโคตรจะเป็นห่วงพวกเอ็งเลย”

ลุงคำคงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติทางความรู้สึกผม  แกเลยเดินเข้ามาคว้าคอหยอกล้อผมออกจากบ้าน  สิ่งที่ลุงคำทำ ช่วยเยียวยาความรู้สึกที่ตันแน่นให้คลายลงไปได้บ้าง  แต่ก็ยังคงทิ้งร่องรอยบอบช้ำเอาไว้อยู่ไม่น้อย  อีกทั้งเมื่อเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของลุงคำวิ่งแล่นออกไป  ผมจึงเหมือนถูกทิ้งให้อยู่กับบ้านหลังนี้ด้วยลางสังหรณ์แปลกๆบางอย่างที่ร้องเตือนขึ้นมาว่า เกมส์คืนนี้อาจไม่ปลอดภัยอย่างที่ผู้หญิงคนนั้นว่าจริงๆ

นั่งรออยู่เงียบๆได้ไม่นาน  เสียงรถตู้คันเดิมของทีมงานก็วิ่งแล่นเข้าสู่ตัวบ้าน  พาให้ผมต้องวิ่งแจ้นขึ้นไปปลุกไอ้ภพและลงมาเตรียมตัวเพื่อการเดินทางไปสู่วัดสุดท้ายของโปรเจคนี้

โทรศัพท์มือถือ?

ผมแปลกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อวิ่งเข้ามาในครัวเพื่อจะดื่มน้ำ  สายตาของผมก็ไปกระทบเข้ากับวัตถุสีดำใบเขื่อง ซึ่งถูกวางทิ้งไว้อยู่ข้างตู้เก็บจานในห้องครัว  พาให้ภาพความทรงจำก่อนหน้านำเรื่องราวของลุงคำที่กำลังคุยโทรศัพท์ภายในห้องครัวนี้และด้วยความเร่งรีบหรือถูกรบกวนจากผมก็ตาม  ลุงคำคงลืมมันเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ

“คุณมิว  ทำอะไรครับ?”

“เฮ้ย! อ่อ  มากินน้ำครับ  มีอะไรหรือเปล่า?”เสียงร้องทักของทีมงานคนร้องทักขึ้น  เล่นเอาจิตใจของผมถึงกับหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม  ก่อนจะรีบปฏิเสธออกไปพัลวันพร้อมกับทำการซ่อนสิ่งสำคัญของลุงคำไว้ภายใต้กรอบหลังของตนเอง

“รีบหน่อยนะครับ  เดี๋ยวจะไม่ทันการ  คุณภพหละครับ?”

“ผมอยู่นี่”

“โอเคครับ  คุณพร้อมแล้วใช่ไหม?  ถ้าอย่างนั้นเชิญขึ้นรถได้เลยครับ  วัดที่ผมจะพาไปค่อนข้างจะไกลจากตัวบ้าน”

สิ้นสุดคำสั่ง  ทีมงานก็เดินออกจากบ้านไปรอที่รถ ทิ้งให้ผมกับไอ้ภพยืนงุนงงกับอาการเร่งรีบของวันนี้ก่อนจะเร่งทำทุกอย่างให้เสร็จตามทีมงานไป  โทรศัพท์บนมือผมถูกส่งต่อเรื่องราวไปให้ไอ้ภพรับฟัง เพื่อให้มันชั่งใจด้วยกันว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับอุปกรณ์รุ่นเก่ากึกเครื่องนี้  จนสุดท้ายความคิดที่ผ่านการกลั่นกรองมาอย่างดีที่สุดก็ลงเอยที่การแอบเก็บเอาไว้บนห้อง  เพื่อที่จะได้รอคืนให้กับลุงคำผู้เป็นเจ้าของด้วยตนเอง

สมาชิกบนรถวันนี้ค่อนข้างแตกต่างไปจากทุกวัน  เมื่อทีมงานที่พาผมไปมีเพียงหนึ่งคนเท่านั้น  ทีมงานที่เข้ามาคุยกับผมเมื่อวานไม่ได้มากับรถของรายการด้วย  ผมจึงต้องแอบสอบถามถึงการหายไปของเขาผ่านทีมงานอีกคน และได้รับคำตอบว่าทีมงานคนนั้นขอลากลับบ้านไปเยี่ยมแม่  เพราะฉะนั้นบนรถวันนี้จึงมีแค่เพียงผมกับไอ้ภพ  ทีมงาน และคนขับรถเท่านั้น

วัดสุดท้ายที่ผมจะไปถูกบอกเล่าประวัติและเรื่องราวแปลกๆที่เคยเกิดขึ้นในวัดจากปากของทีมงาน  ไม่ต่างไปจากตอนที่ผมกำลังจะเข้าบ้านร้างหลังนั้นครั้งแรก  ข้อมูลที่ผมและไอ้ภพได้ฟังคือเนื้อความสั้นๆที่พร้อมสั่นประสาทและความอึดอัดในอกผมอย่างรุนแรง  เรื่องราวลี้ลับมากมายถูกกล่าวขานออกมาจนไม่คิดว่าวัดแห่งนั้นจะเป็นที่นิยมของบรรดาสาธุชนเป็นแน่แท้

และผมก็คิดไม่ผิด…

ตลอดเวลากว่าสองชั่วโมงบนถนนเส้นใหญ่  รถตู้ก็มาชะลอตรงชื่อวัดป่าบนไม้ผุพังอันหนึ่ง เปลี่ยนเส้นทางให้พวกผมมุ่งตรงเข้าสู่ถนนดินแดงเส้นแคบแทน  สองข้างทางที่ขนาบข้างถนนรายล้อมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าจำนวนมากมาย  สร้างบรรยากาศชวนให้ขนหัวลุกขึ้นมาเรื่อยๆ  ความพิเศษของวัดประเภทนี้คือความเงียบที่เหล่าผู้ต้องการสมาธิพึงประสงค์  แต่คงไม่ใช่สำหรับพวกผม เพราะรอบๆกายยามรถเคลื่อนผ่าน  มันไม่มีแม้แต่เสียงการใช้ชีวิตของมนุษย์  ไม่มีแม้แต่เสียงของสิงสาราสัตว์ที่ควรจะมีประกอบบรรยากาศเย็นย่ำอยู่บ้าง

“เอาหละครับ  ถึงแล้วนะคุณภพคุณมิว”

“ขอบคุณมากๆครับ”

“คำสั่งแบบเดิมเลยนะครับ  หาน้ำที่ผมเคยบอกและอัดวีดีโอถ่ายทำลงในกล้องนี้ด้วย”

“แล้ววัดนี้…ผมมีเวลาหาน้ำกันได้ถึงกี่โมงครับ?”

“ตลอดคืนครับ”

“หมายความว่าไงครับ”ผมกับไอ้ภพถึงกับตาโตเมื่อได้ฟังคำตอบนั้น ก่อนจะถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจ

“ฟังไม่ผิดหรอครับ  คุณมีเวลาหาน้ำทั้งคืนภายในวัดนี้โดยที่ไม่มีแม้แต่คำใบ้เดียวจากผม  ข้อห้ามหลักภายในวัดนี้มีเพียงอย่าเข้าไปรบกวนกุฏิของหลวงพ่อที่อยู่ท้ายวัด  ทางเราอนุญาตแค่ทางหน้าวัดนี่เท่านั้น”

“แล้วคุณจะนั่งรอผมอยู่ตรงนี้ทั้งคืนเหรอครับ?”

“เปล่าหรอกครับ  จำที่ผมเล่าให้ฟังบนรถได้ไหม  วัดนี้เป็นวัดที่ไม่ค่อยมีคนมาปฏิบัติธรรม  ไม่ใช่เพราะความลำบาก  แต่หลายคนที่มาไม่สามารถทนกับวิญญาณในป่าช้าข้างๆตัววัดนี้ได้  ถึงขนาดที่ว่า  รูปปั้นเปรตตัวสูงที่ตั้งอยู่ตรงนั้น  คนงานที่ทำยังไม่สามารถพักกายภายในวัดนี้ยามค่ำคืนได้เลยนะครับ  และเมื่อมันไม่มีใครเคยพักได้…ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่”

คำตอบชุ่ยๆของทีมงานเล่นเอาคิ้วของผมและไอ้ภพกระตุกไปตามๆกัน  เกมส์คืนนี้กำลังโกงพวกผมอย่างถึงที่สุด  รายการไม่ไว้หน้าพวกผมเลย  มันกำลังจงใจกระทำการบางอย่างภายใต้หน้ากากแห่งความบริสุทธิ์ของวัด  ผมและไอ้ภพไม่สามารถยืนมองหน้าทีมงานคนนั้นนานๆได้  จึงรีบหมุนตัวเดินหนีออกมาก่อนที่ความอดทนจะหมด  แสงสีส้มอ่อนของท้องฟ้า ดึงให้บรรยากาศรอบๆวัดวังเวงจนน่ากลัว  ดังนั้น อุโบสถหลังเก่าคร่ำครึจึงถูกเล็งเป็นที่หมายเอาไว้พักผ่อนคืนนี้

“อ้อแล้วก็ ผมลืมบอกบางอย่างไปนะครับ…พวกคุณจะเริ่มหาเมื่อไรก็ได้ นั่งพักตรงไหนก็ได้ แต่จำเอาไว้นะครับว่าพวกคุณต้องแยกกันหาเพียงคนเดียว  ห้ามไปพร้อมกันเด็ดขาด!!” เสียงร้องเตือนของทีมงานพาให้การก้าวขาของพวกผมหยุดชะงัก  ก่อนที่จะรีบหันมาสบตา  ถามหาที่มาของคำสั่ง

“ผมไม่ได้พูดพล่อยๆออกมาเอง  รายการสั่งผมมา  เอาเป็นว่าผมเห็นแก่คุณภพและคุณมิวนะครับ  ผมแนะนำว่าให้รีบออกตามหาซะตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า  เกรงว่าถ้าดึกกว่านี้พวกคุณจะหัวโกร๋นกันก่อนนะครับ”

รูปปั้นเปรตที่พวกคุณเห็น  มันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเป็นปริศนาธรรมให้กับชีวิตมนุษย์

แต่มันถูกสร้างมาเพื่อให้ผู้ปฏิบัติธรรมเคยชินกับรูปปั้นสูงใหญ่ 

….ก่อนที่จะได้พบกับตัวมันจริงๆ

.
.
.

(ต่อ)

หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 25-04-2017 19:34:32
เสียงอีกาดังโหวกเหวกลั่นลานวัด ขานตอบรับ เสียงทัก ของวิญญาณ 

ถึงจะบอกกับผมว่าป่าช้าอยู่นอกตัววัด  นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมเบาใจขึ้นมาได้เลย  สภาพของวัดป่าแห่งนี้มีเพียงใบไม้แห้งกองใหญ่ๆ หล่นเรียงรายเกลื่อนกลาดคั่นเขตวัดและเขตป่าช้า มีต้นไม้สูงใหญ่ห้อมล้อมตัววัดเอาไว้ทุกทิศทาง  จึงเท่ากับว่าตอนนี้ผมและไอ้ภพกำลังยืนอยู่ท่ามกลางหลุมศพของคนตายและมีรูปปั้นเปรตสูงทัดเทียมต้นตาลเป็นอุปกรณ์ประกอบละครฉากหลอนเรื่องนี้อยู่หนึ่งตัว

ผมกับมันยืนทำใจกันอยู่นานพอสมควรจนไม่ได้สังเกตเลยว่า  รอบๆกายของผมเปลี่ยนจากเวลาเย็นเป็นค่ำมืด   จนเสียงร้องสุดท้ายของอีกาหายไป  สัญญาณของการเริ่มต้นเกมส์จึงได้เริ่มขึ้น  ผมกับมันใช้เวลาช่วงหนึ่งเดินสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างภายในวัดป่าแห่งนี้  ใช้สายตามองผ่านม่านแสงจันทร์เพื่อหาแหล่งน้ำอย่างในวัดที่ผ่านๆมา  วิธีนี้อาจช่วยร่นระยะเวลาการหาน้ำของแต่ละคนให้น้อยลงได้  ยิ่งเวลาน้อยมากเท่าไร  ความปลอดภัยของผมยิ่งมากเท่านั้น

ถ้าเวลานี้ผมอยู่ที่บ้าน  ผู้ชมรายการหลายคนอาจสงสัยว่าทำไมพวกผม  ไม่เดินไปหาพร้อมกันตามปกติ  แต่แค่แกล้งทำเป็นให้อีกคนเดินตามหลังอย่างเบาที่สุด  เท่านี้ พวกผมก็ไม่ต้องเดินแยกกันแล้ว   ประเด็นตรงจุดนี้สามารถขยายให้ดูได้ทันทีว่า  หากมีผู้ชมรายการเห็นผมเล่นเกมส์อยู่จริงๆ  มีหรือที่เกมส์จะไม่เห็น  ดังนั้นพวกผมจึงไม่มีสิทธิ์ใช้กลโกงอะไรได้เลยเพราะเราไม่เคยรู้เลยว่าเกมส์จะเล่นสกปรกซ่อนกล้องไว้ตรงไหนอีกหรือเปล่า

“เปรต คือวิญญาณที่เกิดจากกรรมทำร้าย  ด่าทอ หรือว่าให้พ่อแม่ ผู้มีพระคุณต้องเจ็บช้ำ”

ป้ายขนาดเล็กใต้ฐานรูปปั้นเปรต  ถูกอ่านขึ้นจากปากของผมผ่านแสงไฟที่ส่องสว่างมาจากกุฏิด้านหลัง  ซึ่งถือว่าเป็นเพียงอย่างเดียวที่ยังทำให้ผมอุ่นใจที่จะเล่นเกมส์ต่อ  แสงนั่นให้ความสว่างมาจนถึงจุดที่รูปปั้นเปรตนี้ตั้งอยู่  อาจจะไม่ได้ถึงกับชัดมาก  แต่มันก็ยังพอให้ผมเห็นอะไรต่อมิอะไรมากพอสมควร  ไม่เช่นนั้น  ปากเท่ารูเข็มของเปรตคงไม่ปรากฏแก่สายตาของผม

“ไปที่อุโบสถหน้าวัดกันเถอะ  จะได้เริ่มกันเลย”

หลังจากยืนงมเส้นทางชีวิตอยู่นาน  ไอ้ภพก็เปิดปากชวนผมให้กลับไปยังสถานที่พักกายรอเวลาเริ่มหาน้ำ  รอบๆกายผมตอนนี้รายล้อมไปด้วยความมืดสนิท  เพราะแสงจากหลอดไฟนีออนที่เคยส่องสว่างมาได้ดับสิ้นลงไปหมดแล้ว  เหลือเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาอาบใบหน้าเท่านั้นที่สามารถนำทางให้ผมเดินฝ่าความมืดมิดนี่ออกไปได้บ้าง แต่ก็แค่แบบสลัวๆ  ดังนั้นแสงของธรรมะที่ไอ้ภพนำผมสวดจึงเป็นความหวังเดียวที่จะช่วยนำทางสู่แหล่งน้ำที่ต้องการโดยเร็วที่สุด

“ขอให้ผมหาน้ำที่รายการต้องการเจอโดยเร็วที่สุดด้วยเถิดครับ  สาธุ”

“มิว  เอากล้องมา เดี๋ยวกูจะออกไปหาให้ก่อน  มึงก็นั่งรออยู่ในนี้นะ  ถ้าได้เห็นหรือได้ยินอะไร  ไม่ต้องไปสนใจ”

เมื่อสิ้นสุดการสวดมนตร์ขอกำลังใจ  ไอ้ภพก็ไม่รอเวลาให้เสียไปมากกว่านี้อีก  มันรีบคลานเข่าเข้าไปกราบไหว้พระประธานตรงหน้าอีกครั้ง  ก่อนจะสูดลมหายใจตนเองลึกๆและเดินถือกล้องวีดีโอออกไปเงียบๆ

เมื่อไอ้ภพเดินออกไปจากอุโบสถหลังนี้  ความเงียบเหงาและวังเวงก็คืบคลานเข้ามาหาผมทีละน้อย  เสียงฝีเท้าไอ้ภพที่เดินไกลออกไป  ค่อยๆนำพาเอาความรู้สึกบางอย่างกลับเข้าสู่ตัวผม  ความรู้สึกที่แม้แต่ตัวผมเองก็ยังไม่เข้าใจว่าตนเองกำลังกลัวหรือกังวลอะไรอยู่กันแน่ระหว่างผีกับคน  ลางสังหรณ์บางอย่างย้ำเตือนใจให้ผมดิ้นเร่าอยู่เป็นระยะ  มันเป็นลางสังหรณ์ที่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากสัมผัส  ไม่อยากรู้สึก

ลางสังหรณ์ที่ร้องเตือนขึ้นมาดั่งไซเรนว่า…กำลังจะมีคนตาย

หน้าต่างของอุโบสถที่ติดตั้งไว้รอบๆด้าน  สร้างความระแวงในใจให้ผมอยู่ไม่น้อย  ไม่ว่าจะเป็นภาพใบไม้ไหว  เสียงใบไม้แห้ง  หรือจะแค่เสียงกุกกักของหน้าต่างล้วนทำให้ผมใจหายได้ทั้งสิ้น  วัดที่นี่มีความแปลกอีกหนึ่งอย่างที่ผมไม่เคยเข้าใจ  นั่นคือในยามวิกาลเช่นนี้ ทำไมถึงไม่มีใครเข้ามาปิดอุโบสถ ทำไมถึงกล้าปล่อยให้พระประธานที่หล่อด้วยทองคำอย่างดี  ตั้งเป็นศรีสง่าล่อตาล่อใจมารศาสนาอยู่หน้าวัดแห่งนี้ได้

เวลาแค่กว่ายี่สิบนาทีหลังจากไอ้ภพออกไป  ตะกอนความสงสัยมากมายก็ถูกผมกวนจนขุ่น  ยิ่งไปกว่านั้นเสียงฝีเท้าของไอ้ภพที่เดินกลับมายิ่งทำให้ผมรู้สึกตกใจและไม่คาดคิดว่า  มันจะใช้เวลาเพียงเท่านี้ในการหาสิ่งที่รายการสั่งให้ทำได้  ขนาดในวัดที่ผ่านๆมา  ผมกับมันหากันในช่วงกลางวัน ยังกินเวลาไปไม่น้อย แถมยังต้องคอยถามคนในบริเวณรอบๆอีกด้วย

“ภพ  นั่นมึงจริงๆใช่ไหม?  ทำไมกลับมาเร็วจัง” ความไม่แน่ใจในภาพที่เห็น ก่อเกิดคำถามชวนให้คนฟังคิ้วกระตุกขึ้นมา

“เออดิ  กูเองจะเป็นใครไปได้หละ”

“แล้วทำไมมึงถึง…”ผมอึ้งไปได้สักพัก  ก่อนจะเริ่มเบนสายตาไปจดจ้องอยู่กับถุงน้ำบนมือไอ้ภพ

“น้ำนี่อ่ะนะ  ตอนกูเดินย้อนกลับไปทางด้านหลังวัด  มีพระของวัดนี้นี่แหละ  ท่านออกมาเจริญกรรมฐานข้างนอก  กูเลยเดินเข้าไปถาม  ตอนนี้กูยังรู้สึกบาปอยู่เลยที่เข้าไปขัดท่านขณะเดินจงกรม”

“จริงอ่ะ  มีพระอยู่จริงๆหรอ  โล่งอกไปที  กูก็นึกว่าจะต้องออกไปหาคนเดียวแล้วซะอีก”

“อืม  มึงก็รีบไปสิ  เดี๋ยวพระรูปนั้นจำวัดก่อน  ส่วนบ่อน้ำนี่อยู่แถวพระท่านนั่นแหละมิว  ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด”

ผมรับกล้องมาจากมือไอ้ภพ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินออกไปนอกอุโบสถ  ช่วงก่อนที่จะก้าวขาผ่านธรณีประตู  ผมได้ทำการหันไปหาความมั่นใจจากไอ้ภพอีกรอบ  เพราะสังหรณ์ใจแปลกๆที่ผมรู้สึกว่าเกมส์นี้มันง่ายไป ทำให้ผมไม่มั่นใจเลยว่าไอ้ภพจะถูกควบคุมโดยฝีมือใครหรือเปล่า  และเมื่อเห็นมันทำหน้ายกคิ้วขึ้นเชิงสงสัยตามรูปแบบของมัน  ผมถึงได้ตัดสินใจก้าวผ่านประตูออกไปเพื่อที่จะได้จบเกมส์ตรงนี้เสียที 

ลมเย็นๆของตอนกลางคืน  พัดโชยเอากลิ่นของป่าช้าผ่านเนื้อแขนผมไปจนขนลุกชัน  บรรยากาศวังเวงและกลิ่นอายแห่งความตายในป่ารอบตัวผมกำลังส่งสัญญาณการจับจ้องกลับมาจนผมต้องตั้งสติตนเองให้นิ่ง  ดวงตามรณะของผมมันกำลังรับสัญญาณจากคนตายเหมือนอย่างที่ผ่านมา  ฉะนั้นผมจึงต้องแสร้งเป็นไม่รู้ไม่เห็น และจดจ่อไปที่จีวรสีส้มเหลืองตรงหน้าแต่เพียงอย่างเดียว

“นมัสการครับหลวงพ่อ”ผมนั่งลงบนพื้นกราบพระภิกษุตรงหน้าด้วยท่าทีสำรวม

“อ้าว  ยังมีอีกคนอย่างนั้นหรือ  มาทำอะไรในวัดนี้กันหละ”

“คือ รายการบอกผมให้มาหาน้ำที่ต้องชักรอกขึ้นจากบ่อในวัดนี้ครับ เขาจะมารับผมอีกทีในตอนเช้า  ผมเลยต้องรีบหากันไว้ก่อน”

“รายการปล่อยให้โยมสองคนมากันตอนกลางคืนเหรอ  เขาไม่รู้เลยหรือว่าวัดนี้พระด้วยกันเองก็อยู่แทบไม่ได้เหมือนกันนะ”

“รายการทราบครับ  เพราะเหตุนั้นผมถึงถูกโยนมาที่นี่  ผมอยากรู้ว่าจะหาน้ำแบบนั้นได้จากตรงไหนหรอครับหลวงพ่อ”

“อยู่ตรงนั้นไง”

นิ้วชี้ของพระภิกษุน่าเลื่อมใสตรงหน้า  ชี้ไปยังโอ่งดินรองน้ำฝนขนาดใหญ่ที่อยู่เกือบจะสุดเขตวัด  ในคราแรกผมถึงกับต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าทำไมไอ้ภพถึงกล้าเดินไปเอาน้ำจากในนั้น  แต่เมื่อได้ลองทบทวนดูแล้ว  น้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติยังได้รวมไปถึงน้ำฝนด้วย  ดังนั้นผมจึงไม่รอช้าที่จะลุกเดินออกไปรองน้ำในโอ่ง

“เดี๋ยวโยม”

“ครับ?”

“นั่นโยมจะไปไหน  ที่อาตมาชี้ไปไม่ได้อยู่ตรงโอ่งนั่นนะ  อาตมาหมายถึงโยมต้องเข้าไปในป่าช้า  โยมคนเมื่อกี้ที่เดินมา  อาตมาไม่ทันได้สังเกตเลยบอกเขาไปไม่ทัน” 

“อย่างนั้นเหรอครับ”

เหงื่อจำนวนไม่น้อยไหลซึมออกมาทันทีหลังจากพระรูปนั้นพูดจบ  ผมหันกลับมาจ้องไปยังความมืดมิดในป่าด้วยแววตาที่สั่นไหว  สัมผัสของดวงตาผม มันไม่ได้มองเห็นเพียงพื้นที่โล่งๆและความมืด แต่มันยังจับสัมผัสการเคลื่อนที่บางอย่างภายในนั้นได้  ความกลัวที่เกิดจึงบีบให้ผมก้าวขาเดินต่อไปไม่ได้  และไม่กล้าแม้แต่จะหันไปสบตาพระภิกษุที่เดินเข้ามาหาทางด้านหลัง

“กลัวหรือไงโยม”

“ค…ครับ  ผมกลัว”

“ถ้าอย่างนั้น  ตามอาตมามาก็แล้วกัน  เดี๋ยวอาตมาจะพาโยมไปเอง”

ความใจดีของพระรูปนั้น เปิดกรุความอบอุ่นภายในใจของผมออกมาจนแทบร้องไห้  ผมไม่รู้ว่าท่าทีที่ผมแสดงออกไปจะสร้างภาพขำขันไปมากน้อยเพียงใดหากคนได้เห็น  ผมรู้แค่ว่าผมโล่งใจจนเข่าแทบทรุดลงไปกับพื้น  น้ำหูน้ำตาซึมออกมาอย่างเก็บไว้ไม่มิด  ก่อนจะรีบก้าวขาตามหลวงพ่อเข้าไปในป่าช้าด้านข้างวัด

ในป่าช้าแห่งนี้  พื้นที่ไม่ได้รกชัฏอย่างที่ผมคิด ที่ทางของมันถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นสัดส่วน  ทางเดินโล่งเตียนถูกถางเอาไว้เป็นแนวตรงระหว่างต้นไม้ในป่าทั้งสองข้าง  และไม่น่าเชื่อว่า  ป่าแห่งนี้จะมีพื้นที่มากมายมหาศาลเพราะยิ่งผมตามหลวงพ่อเข้ามามากเท่าไร  เมื่อมองกลับไปผมก็ยิ่งไม่เห็นตัววัด  รอบกายสัมผัสได้แต่ความมืดและการเคลื่อนไหวแปลกๆที่สั่งให้ผมมองแต่เพียงจีวรสีเหลืองอย่างเดียว

“สวัสดีครับ ผู้ชมรายการทุกคน  วันนี้ผมถูกสั่งให้มาหาน้ำในวัดป่าแห่งนี้นะครับ  ผมเชื่อว่าภาพที่ถูกถ่ายไว้ยังไงทุกคนก็มองไม่เห็น  เอาเป็นว่าฟังแต่เสียงนะครับ  ผมกำลังเดินเข้ามาในป่าช้า  เพราะเบาะแสที่ผมได้มา  คาดการณ์เอาไว้ว่าบ่อน้ำแบบนั้นถูกสร้างเอาไว้ในป่านี้นี่เอง  ผมขออนุญาตไม่ถ่ายต่อนะครับ  ไว้พบกันตอนที่ผมออกจากป่าแล้วดีกว่านะ  ฝันดีครับ”

“โยมเคยเข้ามาในป่าช้าตอนกลางคืนไหม?”หลังจากที่ผมอัดวีดีโอเสร็จ หลวงพ่อที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ถามคำถามขึ้นมาทำลายความเงียบและความวังเวงในป่าแห่งนี้

“ไม่เคยหรอกครับ  มันไม่ใช่ที่น่าเข้ามาสักเท่าไรในยามวิกาล” พูดจบเสียงหัวเราะของหลวงพ่อก็ดังก้องกังวานจนผมสะดุ้ง  คำพูดแบบไม่คิดของผมคงไปสะกิดอารมณ์ขันของหลวงพ่อเข้า  ผมเลยต้องหัวเราะแบบแห้งๆตอบรับหลวงพ่อกลับไป

“ไม่หรอก ชีวิตคนเราควรเข้ามาในที่แบบนี้ในตอนกลางคืนนะ  ที่แห่งนี้เป็นสถานที่เรียนรู้ชั้นดี  มันสามารถสอนให้โยมยอมรับความเป็นไปของชีวิตมนุษย์ได้  และไม่ต้องกลัวไปหรอกนะ สิ่งที่โยมเห็น พวกนั้นก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน  เพียงแต่กรรมที่เขายังยึดติด  ไม่สามารถทำให้เขาไปเกิดกันได้”

“หลวงพ่อ…รู้ได้ยังไงครับ”

“ท่าทีแลซ้ายแลขวา ระแวงตลอดเวลาของโยมนั่นไง  ที่บอกอาตมาทุกอย่าง  อาตมาบวชมาหลายพรรษา  สิ่งพวกนี้อาตมาก็รับรู้แต่ไม่สนใจ เพราะนั่นไม่ใช่กิจของสงฆ์  ในป่าแห่งนี้  ไม่ว่าจะเป็นซ้าย ขวา หน้า หลัง หรือจะบนต้นไม้  เขาก็มีอยู่ทุกที่นั่นแหละ ไม่ต้องกลัวไปหรอก  เขาทำอะไรเราไม่ได้แน่ๆ”

คำว่าซ้าย ขวา หน้า หลัง ของหลวงพ่อ  ชักนำให้ผมต้องเพ่งเล็งไปยังทิศทางตามนั้น  การที่หลวงพ่อพร่ำบอกว่าหลวงพ่อก็รับรู้และเห็นในสิ่งที่ผมเห็น  สร้างความมั่นใจบางอย่างในตัวผมขึ้นมาจนกล้าที่จะหันไปเผชิญบรรดาสัมภเวสี  และเป็นอย่างที่หลวงพ่อบอกทุกประการ  เมื่อไม่ว่าผมจะหันไปทางไหน  สายตาของผมก็ต้องเข้าไปปะทะกับรูปร่างของมนุษย์ในความมืดอยู่ทุกครั้ง  และเห็นชัดที่สุดคือบนต้นไม้  เพราะเมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปดู  วิญญาณของผู้หญิงคนหนึ่งก็ก้มลงมาสบตากับผมอยู่ก่อนแล้ว  และสบตาผมไปเรื่อยๆตามต้นไม้ทุกต้น  จนกลายเป็นผมเองที่มองต่อไปไม่ไหว เพราะรู้สึกกลัวกับใบหน้าคนตายขึ้นมา

“เอาหละ  ถึงแล้วนะ  เดี๋ยวอาตมาจะช่วยชักรอกขึ้นมาให้ละกัน โยมไม่ชินพื้นที่เดี๋ยวจะตกลงไปเสียเปล่า”

“ขอบคุณครับหลวงพ่อ”

เสียงเชือกสีกับเหล็กสนิมดังบาดแก้วหูของผม  เสียงนั่นก่อให้เกิดความสนใจในภาพตรงหน้ามากขึ้นจนผมต้องขยับเข้าไปดูใกล้ๆบ่อ  เชือกบนมือหลวงพ่อค่อยๆกองทับกันอยู่บนพื้นมากขึ้นเรื่อยๆตามการดึง  จนเมื่อด้านบนของถังน้ำลอยขึ้นมากระทบสายตา  ตัวถังก็หลุดออกจากเชือกไปเสียดื้อๆ   ตกลงไปยังพื้นน้ำด้านล่างเสียงดังตูมใหญ่จนเกิดความโกลาหล  เพราะบ่อลึกมากขนาดนั้นผมคงไม่มีทางที่จะเอื้อมลงไปเก็บได้แน่นอน

“ทำไงดีครับ หลวงพ่อ  ผมไม่ได้หยิบถังสำรองมาเลย  ตรงแถวๆนี้มีถังสำรองไหมครับ”

“เดี๋ยวอาตมาจัดการให้”

“ตรงนี้มีถังใบใหม่หรอครับ?  อยู่ตรงไหน? เดี๋ยวผมไปหยิบให้น่าจะเหมาะสมกว่าครับ”

ผมใช้ปากถามหลวงพ่อไปพร้อมกับการที่ใช้สายตามองหาถังน้ำใบใหม่ไปเรื่อยๆ  ยอมรับจากความรู้สึกเลยว่าผมไม่ได้ใช้สายตาเปิดกว้างเต็มพิกัด  เพราะเมื่อหันไปมา แน่นอนว่าสิ่งที่ผมเห็นก็ยังคงเป็นวิญญาณที่สร้างความกลัวให้กับผม การกวาดสายตาไปอย่างรวดเร็วจึงไม่ได้ช่วยอะไรผมเท่าไรนัก นอกจากจะช่วยสลัดความกลัวที่มีออกไป 

เพื่อที่จะได้หันกลับมาพบเจออะไรที่น่ากลัวกว่า….

“ไม่ต้องใช้หรอกโยม…”

ตุ้บ

เนื้อเสียงธรรมดาของหลวงพ่อ  ถูกเปลี่ยนเป็นเสียงยานคางเย็นเยียบ  สร้างความน่ากลัวให้ผมเห็นและได้ยินจนตัวเกร็งนิ่ง  น้ำตาของผมไหลออกมาอย่างอัตโนมัติ  มือของผมสั่นจนกล้องที่ถืออยู่ร่วงหล่นไปอยู่บนพื้น  ใจของผมเต้นเร็วแรงไปกับภาพระทึกขวัญ  อาการคัดแน่นหน้าอกกลับมาจนทรมาน พร้อมกับที่สมองพยายามสั่งผมเอาไว้ว่า ผมไม่เห็น

ไม่เห็น…ภาพของหลวงพ่อที่นำเชือกมาคล้องคอ ก่อนจะเงยหน้ามายิ้มให้และกระโดดลงไปในบ่อนั้น

เสียงดังของน้ำในบ่อสะท้อนขึ้นมาดังลั่น  ทำลายความมั่นใจทุกอย่างออกไปสิ้นเชิง  ผมไม่คิดเลยว่าตนเองจะต้องมารับกรรมเจออะไรแบบนี้  หลวงพ่อที่ผมเข้าใจว่าเป็นคนมาโดยตลอด  นำทางผมให้มาลิ้มรสความทรมานและความสยองขวัญในป่านี้  สติที่เหลืออยู่ของผมไม่รอช้าที่จะสั่งให้ขาของตนเองค่อยๆพาร่างกายถอยออกจากบ่อ  ก่อนที่จะต้องหยุดลงไปอีกครั้งเพราะเสียงเหล็กเสียดสีกับเชือกที่กำลังถูกสาวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

หลังจากการตัดสินใจโง่เง่าที่ไม่พาตัวเองวิ่งย้อนออกไปจากตรงนี้  บาดแผลในใจของผมก็ถูกกรีดย้ำๆลงไปจนเหวอะหวะชนิดที่ว่าคงไม่มีครั้งไหนในเกมส์นี้แล้วที่จะทำลายสติที่หลงเหลือของผมไปมากกว่านี้  ผมยืนจ้องมองเชือกที่ถูกสาวขึ้นมาเพื่อที่จะได้พบกับร่างของหลวงพ่อรูปเดิมที่ตาถลนลิ้นจุกปากลอยขึ้นมาจากบ่อ  เนื้อตัวบวมน้ำจนซีดขาว พร้อมกับมือข้างหนึ่งที่ถือหัวของมนุษย์เอาไว้  ก่อนที่หัวนั่นจะถูกกระชากเส้นผมดึงขึ้น  สั่งให้เปิดปากเพื่อให้ผมได้เห็นเงือกแดงๆของหัวนั้นและภายในที่มีน้ำในบ่ออยู่เต็ม

“หลวงพ่อ…เอาน้ำมาให้แล้ว  555”

แค่เพียงเท่านั้นสัญชาตญาณของผมก็รีบสั่งให้วิ่งหนีออกไปอย่างไว  มือของผมถูกยกขึ้นปาดน้ำตาอยู่เป็นระยะ พร้อมกับที่นำมากัดกับปากเพื่อกั้นเสียงสะอื้นที่เตรียมจะหลุด  และสิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง  เมื่อเสียงกระแทกของวัตถุกระทบพื้นดินดังคล้ายกับถูกโยนลงบนพื้น เรียกให้ผมหันกลับไปมองซ้ำ  ผมก็ได้พบกับหัวของผู้ชายคนนั้นที่กำลังกลิ้งตามผมมาติดๆพร้อมกับใบหน้าที่ฉีกยิ้มจนเห็นไปถึงลิ้นไก่  อีกทั้งร่างของหลวงพ่อก็ค่อยๆปลดห่วงออกจากคอและลงวิ่งตามผมมาด้วยใบหน้าเน่าๆตามแบบฉบับของศพที่ผูกคอตาย

อาการภายนอกของผมมีเพียงน้ำตาที่ยังคงไหล  แต่ภายในใจกลับกรีดร้องอย่างทรมาน  ใบหน้าของไอ้ภพค่อยๆผุดขึ้นมาจนเด่นชัด ในเวลาแบบนี้ผมต้องการมันอย่างมากที่สุด  คำสั่งของมันที่พร่ำบอกให้ผมไม่เห็นไม่รู้สึกยังคงสะกดจิตใจของผมอยู่ในหัว  แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำได้  เพราะระหว่างที่วิ่งอยู่  ปอยผมสากๆของผู้หญิงก็ปลิวว่อนเข้ามาตีที่ใบหน้าจนแสบเป็นริ้ว  และเมื่อหันไปทางต้นทางของปอยผมนั้น  ผมก็ได้เห็นผู้หญิงบนต้นไม้คนเดิมที่บัดนี้เธอกำลังใช้ขาเกี่ยวกระหวัดกิ่งไม้พร้อมกับโยนตัวเองไปมาคล้ายกับการไกวชิงช้าเพื่อให้ดวงตาโบ๋ลึกของเธอพุ่งเข้ามาจับจ้องกับดวงตาผมบนต้นไม้ทุกต้นที่ผมวิ่งผ่าน

ผมวิ่งหนีออกไปด้วยความรู้สึกที่ปิดกั้นตนเองแทบไม่ไหว  จนสุดท้ายเมื่อผมได้เห็นลานกว้างๆของตัววัดและรูปปั้นเปรตอีกครั้ง ผมก็ใจชื้นขึ้นมาได้เปราะหนึ่ง แต่ก็แค่เท่านั้น เพราะด้านหลังการวิ่งหนีไม่คิดชีวิตของผม  ยังคงมีวิญญาณคนตายวิ่งตามมาอยู่เหมือนเดิม มิหนำซ้ำ  เสียงกรีดร้องโหยหวนและเสียงหัวเราะเย็นๆยังดังก้องไปทั่วป่าแห่งนี้  ทำลายสติและความรู้สึกนึกคิดของผมไปเรื่อยๆ จนร่างกายเริ่มอ่อนล้าและทรมานไปกับการต่อสู้ระหว่างสมองและจิตใจของตนเอง

“ฮึก  มิว  มึงไม่เห็น  ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น  ไม่มีอะไรตามมึงเลย”

ผมพึมพรำออกมาสร้างกำลังใจให้ตนเองเมื่อสุดท้ายเขตวัดก็อยู่ห่างจากผมไม่ถึงสามก้าว  จังหวะนั้นสายตาของผมก็ต้องหันไปมาระหว่างด้านหน้าและด้านหลังเพื่อคอยดูอยู่ตลอดว่า วิญญาณเหล่านั้นอยู่ใกล้กับผมขนาดไหน ก่อนจะสะกดจิตตัวเองต่อไปอย่างควบคุมไม่ได้แล้ว

“มิว  มึงไม่เห็น  เชื่อกูสิ  มึงวิ่งเล่นเอาความสนุกเฉยๆ  มึงไม่เห็นอะไรเลย 555”

“มิวมึงไม่เห็น  ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น”

ตุ้บ

“ฮึก ไม่เห็น…อะไรเลย”

ไม่เห็นแม้กระทั่งว่าตนเองได้วิ่งชนเข้ากับรูปปั้นเปรตอย่างจังจนล้มลง

…และพบว่าแท้จริงแล้วตรงนี้มีรูปปั้นเปรตยืนขนาบข้างกันอยู่สองตัว  ร้องระงมส่งเสียงหวีดแหลมเล็กก้องวัด


ผมนั่งรอไอ้มิวอยู่ในอุโบสถวัดป่าแห่งนี้ด้วยความเป็นห่วง  เนื่องจากตั้งแต่ที่มันออกไปจนถึงตอนนี้ กินเวลาไปมากกว่าชั่วโมงแล้ว  ใจของผมเต้นแรงเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับไอ้มิว  ผมลุกเดินไปมาอยู่ในวัดนี้หลายรอบด้วยความร้อนรนจนสุดท้ายเมื่อความต้องการทางใจมันมีมากกว่าสมอง  ผมเลยตัดสินใจฝ่าฝืนคำสั่งเกมส์เพื่อออกไปตามหามัน

ผมรีบวิ่งออกไปทางหลังวัด ด้วยไม่รู้เลยว่าชะตากรรมของมันจะเป็นอย่างไร  ใจของผมแกว่งมากจนมือผมสั่น  ความเป็นห่วง  ความกลัว  ตีรวนกันไปหมด เพราะผมไม่อาจยอมรับได้เลยหากเกมส์นี้จะทำให้ผมต้องเสียไอ้มิวไปโดยที่ไม่ได้ช่วยมันตามสัญญา  แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างผม  เมื่อผมวิ่งมาทางรูปปั้นเปรต  ไอ้มิว ก็นั่งนิ่งเงยหน้ามองรูปปั้นอยู่อย่างนั้น  พร้อมกับหูของผมที่ได้ยินมันบ่นอะไรออกมาตลอดเวลา  และค้นพบว่า  มันกำลังบอกตัวเองอยู่ว่า  มันไม่เห็นอะไร  สร้างความไม่เข้าใจให้กับตัวผมนัก

“มิว!!  ไอ้มิว!!  มึงเป็นอะไร  โถ่เว้ย!!!”

ผมวิ่งมากระชากไอ้มิวขึ้น  ก่อนจะพบกับภาพที่ทำให้ผมปวดหนึบไปถึงขั้วหัวใจ  ไอ้มิวที่มีน้ำตาไหลออกมานองหน้า กำลังใช้ใบหน้าเปื้อนยิ้มหลอกตนเองซ้ำๆ  มันกำลังดูเหมือนคนเสียสติ  มันหันมายิ้มเล็กยิ้มน้อยให้กับผม  อีกทั้งปากของมันก็ยังคงบอกกับตัวเองว่ามันไม่เห็นอะไร  มันยังคงมีความสุข  เรียกน้ำตาของผมให้ไหลซึมออกมาเพราะความห่วงและสงสาร

“ภพ  ไอ้ภพ  ฮึก  วันนี้กูเก่งไหม  กูมองไม่เห็นอะไรอย่างที่มึงบอกแล้วนะ”

“ไอ้มิว!!  มึงมีสติดิวะ  อย่าเป็นแบบนี้  มึงบอกกูก่อนว่าเป็นอะไร  บอกกูมา”

“กูไม่เป็นอะไรไอ้ภพ  กูไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรเลย ฮึก”

สัมผัสอุ่นๆของมือมันยามเคลื่อนมาจับหน้าผม  สะกิดเอาความรู้สึกให้พาผมย้อนวันเวลากลับไปยังบ้านร้างหลังนั้น  หลังที่ผมกับมันเคยให้สัญญากันเอาไว้  ว่าถ้ามันเป็นอะไร  ผมจะต้องเป็นคนพามันกลับมา  ดังนั้นผมจึงต้องเคลื่อนย้ายตนเองมาอยู่ตรงหน้ามัน  มองใบหน้าที่ไม่ได้มองตอบผม  สายตาของมันพุ่งไปในสองทิศทางคือป่าช้าด้านหลังและเงยหน้ามองด้านบน  ก่อนจะตัดเอาเหตุผลของสมองออกไปและใช้หัวใจนำพาไอ้มิวกลับมา

“มิวกูขอโทษ…กูอยู่ตรงนี้แล้วไง มึงจะกลัวก็กลัวเถอะ  แต่ได้โปรดมองแค่กูไอ้มิว  มึงมองหน้ากู”ประโยคกึ่งขอร้องของผม  ถูกใช้อ้อนวอนไอ้มิว เพียงเพราะผมไม่อยากให้มันต้องอึดอัดกับการหลอกตัวเองอีกต่อไปแล้ว

“กูไม่เห็นอะไรเลยภพ  ไม่ได้ยินอะไรเลย ฮึก ไม่กลัว กูสบายดี”

แค่คำตอบสุดท้ายของมันก็บอกผมได้หมดทุกอย่าง  ไอ้มิวในตอนนี้ไม่ใช่ไอ้มิวคนเดิมกับที่ผมเคยรู้จักแล้ว  ตัวของมันถูกความน่ากลัวและภาพหลอนของวิญญาณพาออกไปที่ไหนสักแห่ง  ทิ้งให้เหลือไว้แต่เพียงร่างกายอันบอบช้ำ  ผมไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า  ที่ผ่านมาผมไม่เคยได้เตรียมใจยอมรับเรื่องแบบนี้ เพราะคิดไม่ถึงว่าผมจะต้องประสบกับมันจริงๆ  ถึงแม้จะเคยให้สัญญาไว้ดิบดีแค่ไหน แต่เวลาแบบนี้ผมก็ยังอยากภาวนาไม่ให้สัญญานั่นต้องหยิบยกมาใช้

แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ผมก็ต้องรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้ เพื่อที่จะได้พามันกลับมาอีกครั้ง  ด้วยตัวของผมเอง

“ในเมื่อมึงไม่กลับมา  กูก็จะเป็นคนพามึงกลับมาเอง”ผมดันหน้าของมันให้กลับมาจดจ้องที่ผม ก่อนจะเริ่มทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้

ภพ…ถ้ากูเป็นอะไรไป  เป็นมึงได้ไหมที่พากูกลับมา

แค่เพียงเท่านั้น  ใบหน้าของผมก็เคลื่อนตัวลงไปเพื่อซ่อนเรื่องราวสุดสาหัสภายใต้การมองเห็น  พร้อมกับริมฝีปากของผมที่ได้วางแนบกับปากมันของมันอย่างแผ่วเบา  เพื่อหวังให้มันหลับตาลงและคลายทุกความเครียดความกังวลเอาไว้ที่นี่  และดูเหมือนว่ามันจะช่วยผมได้พอสมควร เพราะหลังจากนั้นไอ้มิวก็ปล่อยน้ำตาออกมาอย่างไม่ขาดสายพร้อมกับทรุดตัวลงไปกับพื้นทันที  ก่อนที่ผมจะช้อนตัวมันขึ้นมาและพาเดินกลับไปยังสถานที่แห่งความหวังของผมกับมัน

ผมไม่รู้ว่าผมจะหวังอะไรกับรอยจูบนั่นได้ไหม  แต่ในเมื่อมันเป็นทางเดียวที่หัวใจผมบอก ผมก็อยากที่จะหวัง

หวัง ให้มือของผมได้โอบอุ้มจิตใจของไอ้มิวเอาไว้เพราะมันไม่มั่นคง

หวัง ให้ร่างกายของผมได้สร้างความอบอุ่นให้ไอ้มิวเพราะภายในใจของมันกำลังหนาวเหน็บเจียนจะตาย

และหวัง  ให้รสจูบของผมเป็นดั่งแสงสว่างในชีวิตมันเพราะตอนนี้ไอ้มิวที่ผมรู้จักกำลังหลงทางและหายไปในความมืด

“กลับมาหากูนะ…ไอ้มิว”





**********************************************TBC*******************************************
เอาภพมิวมาส่งให้แล้วนะครับทุกคน  :mew1:
อ่านตอนนี้แล้วเป็นยังไงกันบ้าง  สำหรับคนเขียนเอง  ยอมรับเลยว่าตอนนี้เป็นอีกหนึ่งตอนที่เขียนยากมากๆ
ไม่รู้จะเขียนอย่างไรให้คนอ่านสามารถรับความรู้สึกและอารมณ์ได้หลายแบบ 
ยังไงก็ฝากตอนนี้อีกตอนด้วยนะครับ  ผมถ่ายทอดทุกความรู้สึกของภพและมิวออกมาด้วยความตั้งใจมากๆ 555
ขอบคุณทุกคอมเมนต์และคำติชมต่างๆนะครับ  ถ้ามีอะไรอยากบอกเพิ่มเติมสามารถพิมพ์ได้ในเว็บนะครับหรือจะไปร่วมพูดคุยกับผมก็ได้ในแท็ก #Nightmaregame
ถ้ามีคำผิดหรือประโยคไม่ลื่นไหลบอกผมได้เลยนะครับ
เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ่KEI_jry ที่ 25-04-2017 20:31:33
อ่านไปหายใจไม่ที่วท้อง เฮ้อออออ  :mew5:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 25-04-2017 20:58:31
จนได้สิน่าาาาาาาามิวววววววว
กลับมานะลูกกนะะ  :mew4: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 25-04-2017 21:18:04
มิวววว กลับมานะกลับมาๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 25-04-2017 22:21:20
คนเขียนฮะ คือเห็นคำผิดนะ แต่ไม่อยากย้อนไปอ่าน หนูกลัววววว :mew6:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: karamailpraleen ที่ 25-04-2017 22:36:52
มิวนายมันคนจริง :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 25-04-2017 22:58:49
เกลียดรายการนี้มากๆ ตั้งใจจะให้คนตายทั้งเป็นเลยม :fire:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 26-04-2017 01:25:20
...อ้อก! หายใจไม่ทั่วท้องเลย ฮือๆๆ กลับมานะมิวนะ อย่าปล่อยภพ(กับเรา)ไว้แบบเน้~ :hao5:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 26-04-2017 16:09:11
ไม่กล้าอานเรื่องนี้ตอนกลางวันเพราะบรรยายได้ชัดเจนเห็นภาพจนหลอนมากๆต้องแอบอ่านกลางวันเอาอ่ะขอให้พระคุ้มครองมิวทันมั้ยกะแล้วว่าหลวงพ่อดูแปลกๆมาหยดหยองเลย
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: aurusma ที่ 26-04-2017 17:30:37
กลับมาหาภพนะมิว :o12:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 26-04-2017 22:44:16
มิวต้องกลับมานะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: JACKSON ที่ 27-04-2017 15:47:24
มิวต้องเข้มแข็ง :hao5:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 28-04-2017 16:34:39
หลวงพ่อก็ทำกันได้นะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: TiTeE ที่ 28-04-2017 20:27:35
บอกเลยนะว่าเรื่องนี้อ่ะ อ่านผ่านๆ
เพราะถ้าอ่านทุกตัวอักษรคงต้องบอกลาเรื่องนี้ไปเลย ๕๕๕๕๕
หลงพ่อ!! ทำกันด้ายยยยย :(
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: lazysheep ที่ 28-04-2017 22:49:14
อ่านกลางคืนอีกนะ งูยยย ขนลุก
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 29-04-2017 13:54:49
โอ๊ยยยยยหลอนมาก เอาจริงๆตอนแรกๆยังแบบอ่านแล้วมีขัดๆนิดหน่อย คือมิวนี่แบบ ไม่ฟังคำเตือนเพื่อน แล้วพอได้รับเลือกก็ดันมาเฟลมากลัว แต่อ่านไปอ่านมามันติดมันหยุดไม่ได้ซะนี่ ความจริงก็อ่านตั้งกะเมื่อคืนแล้วล่ะ แต่แบบ ทนอ่านต่อไม่ได้ คืออยู่หอคนเดียว ดึกแล้ว ตอนมีผีนี่ไม่กล้าอ่านละเอียด (กลัวจัด อ่านละเอียดแต่ฉากมุ้งมิ้งตอนกลางวัน) นี่พึ่งมาอ่านตอนกลางวันต่อ สนุกมากๆ

ตอนแรกเรานึกว่าภพเล่นของ ปรากฏว่า ฮีไม่มี ไม่เห็นอะไรด้วย 555555  อันนี้เขาเรียกว่าจิตแข็งไหมอ่ะ คือในขณะที่อกคนแทบจะสติแตก อีกคนดั๊นนนนไม่เห็นไรเฉ๊ย  แล้วคนที่มาเตือน มาช่วย ไม่ใช่ลุงมั่น ไม่ใช่ลุงคำ หรือจะเป็นทีมงานที่ตาย? หรือเจ้าที่? แล้วกระดูกใครหว่า? แต่รู้สึกว่าอุ่นใจขึ้นบ้าง อย่างน้อยภพกับมิวก็มีพวกเป็นวิญญาณมั่งละนะ

ตอนวัดล่าสุดนี่ โหยยยยย โกร๋นอ่ะ เราตั้งป้อมระแวงหลวงพ่อไว้ละ แต่อุตส่าห์เทศน์ซะเราแทบยกมือพนมไปด้วย ท้ายสุดดั๊นนนนนน ฮือออออออ สงสารมิวมาก เป็นเรานี้เป้นบ้าตั้งกะวันแรกละ แต่แบบ *เขาจูบกันล้าวววว*

ปอลิง ชอบตอนน้องภิวมาก คือหลอนก็หลอนนะ แต่ก็ฟิน พ่อ กะ แม่ 5555555555
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 30-04-2017 00:55:53
เวลาอ่านนี่ต้องกลั้นหายใจเป็นพักๆเลยที่เดียววว :katai1:
หลวงพ่อทำกันได้ลงคอ :z6:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-04-2017 21:45:41
เป็นอะไรที่หลอนสุด เพราะอ่านอยู่ในวัด แล้วคือสุดจะบรรยายจิงๆ

รีบมาต่ออีกนะครับ รอติดตามด้วยคน
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่23 คำทักทายแรก (2/05/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 02-05-2017 12:41:31
ตอนที่23

คำทักทายแรก


นั่นคืออะไร?

คำถามชวนลับสมองถูกถามขึ้นในใจไม่ต่ำกว่าสิบรอบ  เมื่อตอนนี้ผมกำลังยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของบ้านหลังนี้  มืดมิดและหม่นหมองชนิดที่ว่าแสงจันทร์ที่เคยสาดส่องเข้ามาเป็นอันดับสูญ  รอบกายอุดมไปด้วยไอเย็นที่รายล้อมตัวผมจนพาให้ผิวกายถูกบาดด้วยความหนาวเหน็บ  แน่นอนว่าตัวผมเองไม่อาจทราบได้เลยว่าตนเองมาอยู่ตรงนี้ได้นานเท่าไรหรือมาอยู่ตรงนี้ด้วยเหตุผลสมควรอันใด ผมรู้แค่ว่าผมยืนนิ่งจ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเคลื่อนไหวได้นานพอสมควรแล้ว

บ้านหลังนี้ทุกอย่างยังคงเป็นปกติ  ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจนชวนให้สงสัย ที่จะแปลกคงเป็นเพียงพื้นที่ว่างกลางบ้านเท่านั้นที่บัดนี้มันถูกวางทับด้วยกระดานดำแผ่นหนึ่ง  ตั้งไว้พร้อมกับชอล์กเขียนกระดานจำนวนไม่น้อย ก่อนที่จะมีร่างของชายหนุ่มรูปร่างคุ้นตาสักคนเดินมาหยิบชอล์กเหล่านั้น และค่อยๆบรรจงขีดเขียนตัวอักษรลงไปทีละคำให้ผมค่อยๆอ่านคำพวกนั้นและจัดการเรียงคำกันให้เป็นประโยค

น่าแปลก...ทั้งๆที่บ้านหลังนี้มืดสนิท แต่ผมกลับมองเห็นภาพตรงหน้าชัดเจนราวกับมีใครฉายสปอร์ตไลท์ไปตรงนั้น

“กักกันอย่างหรรษา หรือ อิสระตลอดกาล”

ผมเริ่มอ่านประโยคแรกของบรรทัดที่ผู้ชายคนนั้นเขียนเอาไว้  หลังจากที่เขาได้ทำการวางมือลงเนื่องจากพื้นที่ของกระดานไม่เหลือความว่างพอให้เขียนเพิ่ม

การเรียงคำอันแสนคุ้นหูและคุ้นตาสะกิดให้ต่อมของความรู้สึกผมทำงานอย่างไม่ลดละ  ยิ่งได้อ่านไล่คำพวกนั้นลงมาเรื่อยๆ  ลางสังหรณ์บางอย่างก็พาให้ผมนึกถึงจดหมายสามฉบับนั่นที่พวกผมพึ่งจะมีโอกาสได้แก้ไปเพียงฉบับเดียวก่อนที่เกมจะบังคับให้พวกผมไปเข้าร่วมกิจกรรมกับตุ๊กตาเด็กทารก

คำคุ้นหูเหล่านั้นสร้างความฉงนใจให้ผมยิ่งนัก  แต่นั่นก็ไม่เท่ากับการวงกลมล้อมรอบเพียงหนึ่งวลีจากสอง  ราวกับว่าชายคนนั้นไม่ได้เขียนขึ้นมาเล่นๆเพียงเพราะเห็นว่าผมเคยเขียน  แต่เขากำลังจะแสดงวิธีการเล่นกับจดหมายนี่ให้ผมดู  และนั่นก็ทำให้ผมได้รู้ว่าสิ่งที่เขาทำไม่ได้ต่างไปจากสิ่งที่ผมคิด  คำในจดหมายนั่นคือสิ่งที่สั่งให้ผู้เข้าแข่งขันเลือกมาเพียงหนึ่งเดียวเพื่อตัดสินจุดจบของเกม

ผู้เข้าแข่งขันเป็นคนเลือก?

ดั่งความคิดผมมีเสียง  ชายคนนั้นเริ่มขยับคว้าเอาชอล์กที่ถูกวางไว้นำขึ้นมาเขียนอีกครั้ง  คราวนี้เป็นการเขียนรูปลูกศรขนาดไม่เล็กไม่น้อย ชี้ไปยังพื้นที่ว่างขนาดเล็กรอบวลีที่เขาเลือก  ก่อนที่คำอธิบายคำตอบจะเริ่มถูกละเลงขึ้นมาขยายความหมายเหล่านั้น

แค่เพียงอึดใจเดียว ชอล์กในมือของเขาก็ถูกวางลงบนร่องกระดานดำอีกครั้ง  คงเหลือทิ้งไว้แต่เพียงตัวอักษรขนาดจิ๋วขนาบข้างวลีในจดหมายทุกบรรทัด  อย่างที่ผมได้เคยบอกไว้ ภายใต้ความมืดของบ้านหลังนี้ ไม่อาจสร้างปัญหาด้านการมองเห็นให้ผมได้เลย  ทุกตัวอักษร ผมเห็นชัดราวกับถูกจับวางไว้ตรงหน้า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมสามารถไล่เรียงไปได้ทุกคำพร้อมกับเหงื่อเม็ดเล็กเม็ดน้อยที่เริ่มไหลซึมออกข้างขมับด้วยความกดดัน

ชายคนนั้น…เคยเข้าร่วมเกมส์นี้

ผมมองสลับเนื้อความที่อยู่บนกระดานดำกับใบหน้าของชายคนนั้นซึ่งกำลังหลบซ่อนความจริงเอาไว้ใต้ม่านความมืดมิด  ผมพยายามที่จะใช้ดวงตาเพ่งเล็งไปที่ใบหน้าโครงคุ้นตานั่นให้ชัดๆ แต่แน่นอนว่าเรื่องที่เกิดในบ้านหลังนี้ ไม่เคยมีเรื่องไหนเลยที่ผมได้มันมาอย่างง่ายดาย ฉะนั้นเรื่องที่คาดว่าการเพ่งเล็งจนรู้สึกปวดเลนส์ตาจึงต้องเป็นอันคว้าน้ำเหลวไป

“อย่าเดินเข้ามา”

คำสั่งธรรมดาแต่แฝงไปด้วยกระแสเสียงไม่ธรรมดาของชายคนนั้นดังขึ้นห้ามปรามขาของผม  การจดจ้องที่มากเกินไปไม่อาจพาความจริงเข้ามาหาผมได้ วินาทีนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายก้าวเท้าเข้าไปหาบุคคลตรงหน้าแทน  สัญชาตญาณในกายร้องกู่ก้องเตือนถึงเรื่องลี้ลับบางอย่างที่ผมสัมผัสได้ แต่อะไรสักอย่างในตัวเขาดึงดูดความสนใจของผมที่มีมากกว่าความกลัว ผมจึงกล้าที่จะเดินเข้าไปแม้จะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า เขาคือวิญญาณ

“เนื้อความบนกระดานนั่น  คุณหมายความว่าอย่างไร?”ผมถามกลับออกไปด้วยความเคร่งเครียดและจริงจัง

“ผมหมายความตามที่เขียนทุกอย่าง  และผมก็มั่นใจว่าคุณรู้ดีว่าผมหมายถึงอะไร”

“ถ้าอย่างนั้น จดหมายฉบับอื่นๆหละ  คุณพอจะรู้บ้างไหมว่าเนื้อความเขียนไว้ว่าอย่างไร”

“ผมไม่รู้ ผมได้เพียงจดหมายสามฉบับนี้เท่านั้น เพราะอะไรคุณก็รู้อยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้ผมเดา จดหมายฉบับที่เหลือคงมีเนื้อความที่ไม่ต่างกันนัก  มันคงแสดงจุดหมายของการหลีกหนี เพื่อลวงให้คนกลัวตายเหล่านั้นไปพบจุดจบ”

ผมยืนจิกเล็บแน่นหลังจากฟังเสียงที่ดังก้องกังวานตัวบ้านหลังนี้  การคาดเดาของชายคนนั้นเป็นไปอย่างแม่นยำจนผมกลัว  คำให้การของพี่สาวดลยาลอยพัดผ่านหัวสมองผมช้าๆจนเห็นภาพ  วันที่ดลยาหายตัวไปคงเป็นเหตุผลนี้ที่ชักชวนให้เธอออกไปพบกับหายนะและเส้นทางที่ไม่มีทางได้หันหลังกลับ

“คุณตามพวกเขามาได้ไหม?  ผมอยากถามในสิ่งที่ติดค้างในใจของผม”

“เขามาไม่ได้หากคุณไม่เชิญมา”

“แล้วทำไมคุณถึง…”

“ผมไม่ได้พึ่งมาหา แต่ ผมอาศัยอยู่ที่นี่

“จะเป็นไปได้ยังไง  บ้านหลังนี้…มันมีคนตายอย่างนั้นเหรอ”

ผมหลุดเสียงที่แผ่วเบาลงไปยามที่ความคิดความเข้าใจแปรเปลี่ยนเป็นความสับสน  คำพูดเสียงเย็นขัดหูแต่หนักแน่นของวิญญาณตรงหน้า เรียกให้มือเท้าของผมเย็นจนแทบชา  ความจริงที่เคยมั่นใจว่าใกล้จะถึงจุดหมายกลับต้องถอยร่นออกไปไกลหากข้อความที่ได้ฟังนั้นเป็นจริง

ชายคนนั้นไม่ตอบผมดังคาด  หากแต่หันกลับไปยังกระดานดำเพื่อจรดปลายชอล์กลงบนพื้นที่ว่างตรงหน้าอีกครั้ง  ผมไม่รู้ว่าเนื้อความก่อนหน้าถูกลบออกไปตอนไหน  สังเกตอีกทีทุกอย่างก็ว่างเปล่าไปหมดแล้ว

เส้นลวดลายตัวอักษรบนกระดานดูใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก  เนื้อหาเขียนเพียงแค่คำว่าบ้านตัวโตๆบนหัวกระดาน ก่อนที่จะมีคำว่าชาตะและมรณะปรากฏขึ้น  ภายใต้ตัวอักษรคุ้นตาทั้งสองคำ ชายคนนั้นค่อยๆบรรจงเขียนตัวเลขแปลกๆบางอย่างออกมา และเมื่อได้ดูทั้งหมด  ผมถึงกับต้องตาโตและหัวใจเต้นแรงไปกับคำยืนยันที่เป็นลายลักษณ์อักษร  บ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นเสร็จก่อนหน้าที่ผมจะเข้าร่วมเกมเพียงสามสัปดาห์  และมีกำหนดทำลายทิ้งหลังจากจบกำหนดเกมนี้ทันที นั่นจึงบอกผมได้แน่นอนแล้วว่า  บ้านร้างที่เกมอุปโลกน์ขึ้นมามันไม่เคยมีอยู่จริง

ถ้าอย่างนั้นผู้ชายตรงหน้าผม…เขาเป็นใคร?

“คุณเป็นใคร”ผมร้องถามออกไปด้วยปลายเสียงที่สั่นไหวเนื่องจากความกังวลเริ่มผูกเรื่องราวในหัวให้เป็นเรื่องเดียวกัน

“รู้แล้วใช่ไหมว่ากักกันอย่างหรรษา  มันเป็นการกักกันแบบไหน”

“คุณเป็นใคร!”ผมใช้เสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมเพื่อเค้นเอาคำตอบที่ติดค้างตรงหน้า

“อย่ากลัววิญญาณอีกต่อไปเลยนะครับ  ร่างกายของคุณไม่พร้อมจะรับอะไรแล้ว ถ้ารับไม่ได้ก็ให้เมินเฉยไปเลย เมินไปแม้กระทั่งตัวผม”

“คุณเป็นใคร!!!”

“กลับไปในที่ของคุณได้แล้วครับ  ที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่รองรับคุณ มันยังไม่ถึงเวลา”

“คุณศตวรรษ!!”

“อย่าตามหาว่าผมเป็นใคร  เชื่อเถอะอีกไม่นานเรื่องราวที่ผสมปนเปมันจะขุดเอาความจริงที่ฝังมานานให้โผล่มา  ปีนี้เกมเลือกที่จะเสี่ยงเอาชีวิตของพวกคุณมาอยู่ใกล้กับความจริงที่มากกว่าผม  เงินรางวัลพิเศษที่ถูกกำหนดมันไม่ได้มีมาเพื่อยกยอเรตติ้งรายการ แต่มันมีเพื่อสรรเสริญพวกคุณ หากจะต้องมาตายอยู่ภายใต้หลุมกัปดักที่ฆาตกรวางเอาไว้”

“ใคร…ฆ่าคุณ”ผมตกใจถึงขั้นหวาดกลัวกับคำตอบที่ได้ยิน  ผู้ชายคนนั้นรู้ทุกอย่างมากเกินกว่าที่จะเป็นเพียงผู้เข้าร่วมรายการ ฉะนั้นโฉมหน้าของฆาตกรเพียงอย่างเดียว ทำไมถึงปล่อยให้เป็นตัวแปรที่แก้ไม่ได้

“ผมไม่รู้ นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เลือนหายไปจากความจำผม ความช่วยเหลือจากคุณจึงสำคัญกับผมมาก  หาฆาตกรให้ผมที ให้ผมเป็นศพสุดท้ายที่เกิดในรายการนี้ด้วยเถอะครับ  ผมขอร้อง”

หลังจากนั้นวิญญาณของชายตรงหน้า ก็สั่งให้ผมเดินกลับไปอยู่ในที่ของตนเองซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนนอกจากบนห้อง  บ้านหลังนี้มันไม่มีที่ไปให้กับผม  แม้กระทั่งแสงสว่างเล็กๆจากพระจันทร์ที่เคยนำทาง  มันก็ไม่ส่องสว่างเหมือนอย่างเคย ผมจึงต้องจำใจเดินจากมาพร้อมกับปริศนาบางเรื่องที่คลายออก  ก่อนจะได้ยินเสียงที่ทำให้เกิดภาพเดจาวูในหัวขึ้น เรียกให้ผมหยุดยืนตัวแข็งทื่อไปพร้อมกับใบหน้าที่แท้จริงของร่างดำมืดหน้ากระดานดำข้างล่างนั่น

เป็นจริงดั่งคำสันนิษฐาน…กาลเวลาเคยนำพาเราทั้งคู่ให้พาลพบ

“Good Luck ครับคุณมิว”



เฮือก!!


ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากเตียงด้วยอารมณ์ที่ยังติดค้างจากความฝัน  เหงื่อไหลออกมาท่วมกายจนผ้าปูที่นอนชื้นอับ สัมผัสของหัวใจที่ยังเต้นรัวแรงยามได้สัมผัส เป็นสิ่งที่ยื่นยันความเหมือนจริงที่เกิดขึ้นได้  ถ้อยคำสุดท้ายที่ผมได้ยินนำพาเรื่องราวเมื่อครั้งแรกเริ่มให้หวนกลับมาอย่างกับน้ำไหล  เปิดหัวใจที่เคยรู้สึกด้านชาและอ่อนล้าให้มีกำลังมากขึ้น ก่อนที่ผมจะเริ่มตั้งสติโดยการเอามือลูบหน้าตนเองและหันไปมองยังพื้นที่ข้างตัวที่ควรจะมีไอ้ภพอยู่อย่างที่เคยเป็น

เรื่องที่ติดค้างจากฝันถูกผมพับเก็บเข้าความทรงจำระยะยาวไปก่อน  ขณะนี้เรื่องราวบนที่ว่างข้างกายของผมต่างหากที่น่าสนใจมากกว่านั้น  ความเป็นจริงที่ถูกเขียนลงบนกระดาษมากมายวางเรียงรายจนเต็มพื้นที่ส่วนของไอ้ภพ  บางแผ่นคือเนื้อหาที่ไอ้ภพเติมเต็มปริศนาที่ยังคลายไม่ได้  คาดว่าช่วงที่ผมหลับไอ้ภพคงเริ่มขีดเขียนอย่างเป็นจริงเป็นจัง  บางแผ่นคือคำพูดที่ดูคล้ายการอ้อนวอนให้ใครสักคนกลับมา  ซึ่งตามความคิดผม  นั่นอาจจะเป็นคำขอร้องที่มันจวนตัว คิดถึงจนล้นจิตใจ และอยากภาวนาให้น้องสาวกลับคืนสู่อ้อมอกของมัน

ระหว่างการแก้ปริศนาไอ้ภพคงเห็นภาพน้องสาวของมัน…ในจดหมายของดลยา

ผมหยิบกระดาษหลายแผ่นบนเตียงขึ้นมาอ่านด้วยความกังวลแปลกๆที่เกิดขึ้น  ความรู้สึกที่ว่าผมเหมือนลืมช่วงเวลาบางอย่างไปตีวนกลับมาจนแทบไม่อยากเชื่อตนเอง  ภาพบางอย่างวูบซ้อนขึ้นมาแต่ไม่ชัดนัก  จนต้องเป็นผมเองที่พยายามเค้นสิ่งที่หายไปให้กลับมาและเมื่ออาการปวดหัวทางกายเริ่มแสดงการประท้วง  ผมเลยต้องหยุดและตัดสินใจเขียนทุกสิ่งที่อยู่ในฝันลงบนที่ว่างบนกระดาษสักแผ่นแทน

เคร้ง

เสียงแก้วน้ำสองใบกระทบกันดังขึ้นที่ด้านหลัง  เรียกให้ผมต้องละจากกระดาษสีขาวบาดตาตรงหน้าแล้วหันมามองผู้เป็นเจ้าของห้องอีกคนทันที

ไอ้ภพยืนนิ่งตาค้างอยู่ตรงนั้น พร้อมกับที่ถาดอาหารในมือของมันเริ่มสั่นเล็กน้อย

“ภพ  ไปไหนมา?”เนื้อเสียงกังวานใสจากผมร้องถามผู้มาใหม่จนมันต้องเดินไปวางถาดและค่อยๆก้าวมาหาผม

“มิว นั่นมึงจริงๆใช่ไหม?”

“อ้าว  ก็กูดิ จะเป็นใครไปได้ยังไงหละ”

“มึง…กลับมาแล้วใช่ไหม?”ปลายเสียงของไอ้ภพเริ่มสั่นและเปลี่ยนไปจนผมใจหาย

“กลับจากไหน?  แล้วมึงเป็นอะไรไอ้ภพ”

เพียงเท่านั้น ไอ้ภพก็วิ่งเข้ามากระชากตัวผมไปกอดเอาไว้  แรงกอดรัดของมันแน่นจนแทบจะบีบกระดูกผมแตก  แต่ผมก็ไม่สามารถจะผละออกมาได้  เนื่องจากเนื้อตัวที่สั่นระริกเบาๆจากมันและหัวใจที่เต้นเร็วไม่ต่างจากผมยามได้รับสัมผัสกำลังบอกว่าไอ้ภพคนนี้คงกำลังกลัวอะไรสักอย่าง มันถึงได้แสดงท่าทีอ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา

“ยินดีต้อนรับกลับมา  คราวหลังอย่าทิ้งกูไปอย่างนี้อีก”เมื่อทุกอย่างสงบลง ไอ้ภพก็เริ่มพ่นคำชวนให้ภาพซ้อนเกิดขึ้นอีกครั้ง

“เดี๋ยวๆ  มึงคิดถึงน้องเกินไปหรือเปล่า  กูไม่ได้หายไปไหนนะภพ นี่กูก็พึ่งจะตื่นนอน  มึงคิดถึงน้องสาวมากไปแล้วไอ้สัส”

“น้องสาวกู เกี่ยวอะไร?”ไอ้ภพผละออกจากผมด้วยปลายจมูกแดงเล็กน้อย  และเริ่มถามในสิ่งที่มันก็น่าจะรู้อยู่

“กระดาษนั่นไงภพ  มึงเขียนอ้อนวอนให้ใครสักคนกลับมาแล้วจะเป็นใครได้อีกหละนอกจากน้องสาวมึง”

“มิว  กูเขียนถึงมึง”

“ถึงกู?  เขียนถึงกูทำไมหละ กูไม่ได้ไปไหนเลยนะ   ว่าแต่มึงเถอะตื่นแล้วไม่รีบแต่งตัวระวังทีมงานจะมาเฉ่งเพราะพาไปวัดสุดท้ายไม่ทัน”ผมพูดไปราวกับว่าแปลกใจในการกระทำไอ้ภพ  ทั้งที่ภายในใจกลับวูบโหวงอย่างรุนแรง ภาพซ้อนและความรู้สึกบางอย่าง  มันร้องทักว่าสิ่งที่ไอ้ภพทำมันมีเหตุผลมาจากตัวผมจริงๆ เพียงแต่ผมจำไม่ได้ชัดเจนว่า มันคือเรื่องอะไร

“มิว  วัดนั่นเราไปกันมาแล้วนะ  มึงจำไม่ได้เหรอ”

เนื้อเสียงแปลกใจแต่ยังคงหนักแน่นของไอ้ภพ กระตุกลมหายใจผมให้ขาดห้วง ความทรงจำบางอย่างเริ่มกลับมาทำให้ภาพซ้อนในหัวชัดเจนขึ้น  เรื่องราวในวัดสุดท้ายค่อยๆโผล่มาทีละเรื่อง  แต่ก็แค่นั้น เพราะเรื่องราวในหัวบางอย่างกลับไม่ปรากฏชัดอย่างที่คิด  จนผมต้องหันกลับไปมองหน้าไอ้ภพอีกครั้ง และเป็นฝ่ายที่ขอให้มันเล่าเรื่องราวทุกอย่างใหม่หมดตั้งแต่ต้นเพื่อเรียกความทรงจำบางอย่างที่หายไปให้กลับมา

“เมื่อวันก่อน เราสองคนต้องไปหาน้ำที่วัดป่า จำได้ไหม?…”

หลังจากนั้นเรื่องราวทั้งหมดก็ถูกถ่ายทอดให้ผมฟังเป็นฉากๆ  ประติดประต่อความทรงจำที่หายไปให้กลับมาตั้งแต่ผมเจอรูปปั้นเปรต จนเลยไปถึงช่วงที่ผมต้องวิ่งหนีตาลีตาเหลือกในป่าช้านั่น  น่าแปลกที่ความรู้สึกตอนนั้นยังติดค้างอยู่ในใจและบอกให้ผมรู้ว่าผมหวาดกลัวและผวากับเหตุการณ์มากแค่ไหน  แต่เมื่อได้ฟังอีกครั้งผมกลับแทบไม่มีความกลัวใดๆหลงเหลืออยู่  อะไรบางอย่างในใจสร้างปราการขนาดใหญ่คุ้มครองผมจนเรื่องผีหรือวิญญาณไม่อาจสร้างบาดแผลให้ผมเพิ่มได้  แม้จะยังไม่แน่ใจว่าแนวป้องกันหัวใจนั้นจะหนาแน่นแค่ไหน  แต่ก็เชื่อได้ว่าหากผมต้องได้เห็นวิญญาณอีกครั้ง อาการผมคงไม่กลับไปเป็นแบบเดิม 

ไม่ใช่เพราะชินชา แต่มันเป็นเพราะอาการของไอ้ภพขณะเล่าต่างหากที่สั่งให้ผมต้องเข้มแข็งจริงๆเสียที

“มึงสลบไปสองวัน  นานจนกูกลัวว่ามึงจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก”

“กูฟื้นขึ้นมาแล้วไง อยู่ตรงนี้ข้างๆมึงเหมือนเดิม”ผมยื่นมือไปบีบมือไอ้ภพเบาๆ  บอกให้มันรู้ว่าผมยังอยู่

“ดีแล้วหละ  กูไม่อยากรู้สึกว่าจะผิดสัญญากับมึงอีกแล้ว”

“ขอบคุณมากนะที่รักษาสัญญาของกู  ว่าแต่มึงทำยังไงให้กูกลับมาเหรอภพ”

“เอาเป็นว่าวิธีนั้นมันช่วยกูคลายความกังวลให้มึงได้แล้วกัน”

“กั๊กหรอมึงอ่ะ…แล้วทำไมอยู่ดีๆกูถึงจำอะไรตอนนั้นไม่ได้เลยวะ  ทั้งๆที่มันแรงขนาดนั้น”ผมโวยวายมันแบบไม่จริงจังนัก แล้วเริ่มหันมาสนใจเรื่องของตนเอง  ความทรงจำที่เคยหายไปไม่ใช่เรื่องเล่น เหตุใดสมองผมถึงเลือกที่จะปฏิเสธมันออกไปทั้งหมด  คงเหลือแต่เพียงเศษเสี้ยวของตะกอนเบาบางในใจ

“มันอาจเป็นเพราะมึงเก็บกดความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ พอนานเข้ากลไกการป้องกันตนเองมันก็สั่งให้มึงลืม”

“อย่างนั้นหรอ”

ไอ้ภพไม่ให้คำตอบเพิ่มเติม  นอกเสียจากการพาผมไปกินข้าวและหาอะไรอย่างอื่นทำด้านนอกเพื่อไม่ให้อุดอู้อยู่กับอากาศภายในห้อง  ยามที่ได้คุยกันเมื่อครู่ผมไม่ทันได้สังเกตว่าไอ้ภพมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป หากแต่เมื่อได้มาเดินอยู่ข้างๆมันผมจึงได้มีโอกาสเห็นว่าท่วงท่าการเดินของมันดูลำบากไปกว่าปกติ  ใบหน้าของมันดูเหมือนไม่ได้แสดงอะไรออกมา  แต่ดวงตากลับซ่อนความเจ็บปวดไว้อย่างชัดเจน  และในเมื่อตอนนี้ไอ้ภพยังไม่คิดจะบอกอะไร ผมจึงไม่อยากคิดคาดคั้นให้มากความ

“ทำไม…ลุงมั่นลงต้นไม้ครบสามต้น”

ช่วงที่ไอ้ภพพาเดินมาส่วนหลังบ้าน  หางตาของผมก็ไปสะดุดกับสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ควรจะมี  ผมจำได้ว่าลุงมั่นเคยบอกกำหนดเวลาการลงต้นไม้เอาไว้  ในทุกๆอาทิตย์บ้านหลังนี้จะต้องลงต้นไม้หนึ่งต้นเพื่อแสดงว่าพวกผมอยู่กันมาครบอาทิตย์ ฉะนั้นต้นไม้ที่ควรปลูกอยู่จึงควรมีเพียงสอง  ไม่ใช่มีครบสามต้นแบบที่ผมกำลังมองอยู่ตอนนี้   เวลาที่ผมเข้าร่วมเกมยังไม่ทันผ่านพ้นอาทิตย์ที่สองเสียด้วยซ้ำ

“กูไม่รู้ ตอนกลับมาที่บ้าน มันก็ถูกปลูกไว้ครบแล้ว ลุงมั่นแกคงไม่อยากให้เสียเวลามั้ง”

“ลอง…ขุดดูกันไหม? กูอยากจะรู้ว่าใต้ต้นไม้นั่นเขาซ่อนอะไรไว้หรือเปล่า”สังหรณ์ใจแปลกๆดลให้ผมโพล่งออกไปแบบนั้น  ความรู้สึกบีบคั้นบางอย่างที่รายล้อมอยู่รอบตัว  มันกำลังจับสังเกตให้ผมว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ปกติ

“คิดว่าเขาซ่อนอะไรไว้หละ”

“ไม่รู้หรอกภพ  รายการมันก็ทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว  ไม่แน่ว่ากระดูกที่ถูกฝังอยู่ใกล้บ่อน้ำในป่า อาจถูกย้ายมาฝังใกล้ตัวเราแทน”

“ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่เราขุดขึ้นมาไม่ได้หรอก  ดูนั่นสิ”

ผมมองตามนิ้วมือของไอ้ภพไปด้านหลัง และได้พบกับกล้องบันทึกที่มีรูปร่างคล้ายกับที่ถูกติดตั้งเอาไว้ในบ้าน  มันถูกนำมาติดตั้งเอาไว้ในพื้นที่ด้านหลังตรงนี้  คาดว่าช่วงที่ผมไม่อยู่ เกมคงนำมาติดเพิ่ม แต่ด้วยเหตุผลอะไรผมไม่มีทางทราบได้  อาจจะเป็นการกันไอ้ภพไม่ให้ปีนออกไปอีก  หรือจะแค่ติดไว้เพื่อป้องกันสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้การหยั่งรากลึกของต้นไม้งามตรงหน้า

“แล้วอย่างนี้ มึงจะออกไปด้านหลังยังไงภพ”ผมหันกลับมาถามมันด้วยความเป็นห่วง และรู้สึกกังวลกับเกมที่เปลี่ยนไป

“ไม่ต้องห่วงหรอก  กูออกไปมาแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ขากลับกูถึงได้เห็นว่ามีกล้องติดไว้  อีกอย่างทีมงานเขาก็รู้แล้วว่ากูออกไป ก็ไม่เห็นใครว่าอะไร”

“นั่นยิ่งทำให้กูสงสัยต้นไม้ตรงหน้านี้แล้วนะภพ”

“อย่าไปสนใจแค่ของพรรค์นั้นเลย  เผลอๆขุดไปก็อาจไม่เจออะไรหรอก ทีมงานเล่นปล่อยไก่วันเวลาปลูกมาขนาดนี้ เขาคงไม่สร้างบ่วงรัดคอตัวเองแน่  ที่สำคัญเมื่อวานตอนกูออกไป กูได้ไม้เด็ดที่มากกว่านั้น

“คือ?”

ไอ้ภพไม่ตอบแต่กลับรีบดึงผมขึ้นไปบนห้อง  สถานที่เดียวของบ้านหลังนี้ที่ผมยังคาดหวังในความปลอดภัยของมันได้อยู่  ไอ้ภพไม่รอช้าที่จะพาผมมายังเตียงกลางห้องและเริ่มควานหาเศษกระดาษที่มันขีดๆเขียนๆเอาไว้  ก่อนจะไปคว้ามาได้ที่ใต้เตียง  ผมไม่รู้ว่าไอ้ภพมันทำหล่นยังไงให้กระดาษปลิวไปลึกขนาดนั้น  แต่พอได้เห็นสิ่งสำคัญที่มันยื่นมา  ผมจึงเข้าใจเลยว่าไอ้ภพมีความจำเป็นที่จะต้องซ่อนกระดาษแผ่นนี้

กระดาษแผ่นที่ทำให้ผมรู้สึกถึงความจริงที่ซุกซ่อนไว้ภายใต้ต้นไม้สูงใหญ่ด้านหลังนั่น

“รูปวาดบ้านที่มึงเห็น  กูตั้งใจวาดเอาไว้รอมึงฟื้น  กูต้องขอโทษที่มันเป็นแค่ภาพร่างกระจอกๆ  แต่เพราะกูต้องรีบบันทึกเอาไว้  มันเลยออกมาดีสุดได้แค่นี้”

“ทำไมต้องรีบบันทึก?”ผมเงยหน้าขึ้นจากรูปวาด ก่อนจะเริ่มถามมันด้วยความสงสัย

“อย่างที่บอกว่ากูกลับมาแล้วเห็นกล้อง  ตอนนั้นก็รู้สึกว่ากูอาจจะต้องออกอย่างจริงจัง เลยรีบวิ่งขึ้นมาบนห้องแล้วเริ่มวาดทุกอย่างที่จำได้เอาไว้ให้หมด ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เราพยายามกันมามันจะล้มเหลว”

ผมพยักหน้ารับไอ้ภพ ก่อนจะเริ่มเพ่งเล็งทุกอย่างด้วยความจริงจังอีกครั้ง  บ้านที่ไอ้ภพลงทุนวาดมันขึ้นมา  ดูเผินๆมันอาจเป็นแค่ภาพร่างตลกๆ ฝีมือไม่ต่างจากเด็กอนุบาล  แต่หากมองลึกไปดีๆ  บ้านหลังนี้กลับทำให้ขนในกายผมลุกขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ  ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดยิบย่อยที่ไอ้ภพพยายามใส่เอาไว้  หรือแม้กระทั่งรายละเอียดที่เกี่ยวกับภายในบ้าน ไอ้ภพก็ใส่เข้ามาได้มากชนิดที่ว่าเห็นแล้วผมสามารถรู้เลยว่าบ้านหลังนี้พิเศษอย่างไร

มันเป็นบ้าน…ที่ปลูกสร้างขึ้นมาเหมือนกับบ้านหลังนี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน

ผมกำกระดาษในมือเอาไว้แน่น  ความน่ากลัวที่ไอ้ภพระบุเอาไว้มันไม่ได้หมดเพียงเท่านั้น  สิ่งที่มันเขียนตัวใหญ่ๆไว้ด้านล่างต่างหากที่สำคัญกว่า  มันบอกเอาไว้ว่า  ที่ด้านหลังของบ้านหลังนั้นมีต้นไม้ปลูกเอาไว้สามต้นเหมือนกับที่บ้านหลังนี้มี  ดังนั้นท่าทีที่ไอ้ภพแสดงออกตอนพูดถึงต้นไม้มันจึงไม่ได้ดูตกใจมากนัก  ที่สำคัญภายในบ้านหลังนั้น  บริเวณกำแพงบ้าน  มีรูปของครอบครัวหนึ่งถูกติดเอาไว้จำนวน 7 รูป แต่มันไม่สามารถมองได้ชัดว่ารูปใครเป็นรูปใคร  หน้าต่างของบ้านมันมีฝุ่นเกาะหนาและเก่าเกินไปจนกระจกมัวไปหมด

ตรงกับคำบอกเล่าของทีมงานที่บอกเอาไว้ว่าบ้านร้าง เคยเกิดคดีฆาตกรรมครอบครัวทั้งหมด7ศพ

“ภพแล้วเรื่องของบ่อน้ำในป่านี่หละ”ผมนึกย้อนไปกับสิ่งที่วิญญาณเคยบอกเอาไว้

“อืม  มันก็อยู่ท้ายป่านั่นแหละ แต่กูสนใจตัวบ้านหลังนี้ที่มันอยู่เยื้องออกไปมากกว่ากูเลยยังไม่ได้ไปมองตรงนั้น”

“ท้ายป่า?  ป่านี่มันไปสิ้นสุดที่ไหน?”

“มิว  ป่าที่เราเห็นกันมันไม่ได้กว้างใหญ่อย่างที่เราคิด  มันเป็นแค่ป่าสูงทึบที่กั้นระหว่างถนนเส้นนี้กับอีกเส้นเท่านั้น  เมื่อมึงเดินทะลุป่าออกไป  มึงจะเจอถนนเล็กๆเป็นซอยเข้ามาแบบของเราเลย  แต่ตรงนั้นไม่ได้เปลี่ยวแบบนี้  มันยังมีบ้านคนตั้งห่างๆกันออกไปอยู่อีก ที่สำคัญนะ เรื่องราวของป่าช้าด้านหลัง แท้จริงมันไม่ใช่ บริเวณนั้นมีวัดของชุมชนเล็กๆตั้งอยู่ กูคิดว่าสิ่งที่เราเชิญมาทั้งหมด  มันจะมาจากตรงนั้น”

“ภพ…ถ้าจริงๆแล้วบ้านหลังที่เกิดเหตุมันคือบ้านหลังนั้น  มันจะหมายความว่าเกมปีนี้ไม่ได้พาเราเข้ามาหาที่เกิดเหตุจริงๆเหรอ”

.
.
.
(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่23 คำทักทายแรก (2/05/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 02-05-2017 12:41:57
“อืม  เกมน่าจะจงใจพาเรากลับมาใกล้กับบ้านที่เป็นเรื่องราว  บ้านหลังนี้มันเป็นบ้านสร้างใหม่อย่างที่มึงว่าจริงๆ  เพราะบ้านหลังนั้นสภาพเก่ากว่านี้มาก”

“แล้วมันจะทำไปเพื่ออะไร?  ทำไมไม่พาเราเข้าไปบ้านที่เกิดเหตุเลยหละ”

“กูไม่รู้  แต่ถ้าจะให้เดา  ฆาตกรอาจจะเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับครอบครัวนั้น  เพราะไม่มีใครหรอกที่อยากจะให้คนอื่นเข้าไปยุ่งกับสิ่งที่มีประวัติกับตนเอง”

“แล้วการพาเรามาที่นี่  มันจะมีประโยชน์อะไร  เกมปีก่อนๆเขาพาไปที่บ้านร้างมีประวัติจริงๆ แต่กับเรามันไม่ใช่”

“มันอาจจะเป็นเหตุผลของการเก็บเราไว้ในเกม  เงินรางวัลที่เดิมพันเรามามันสูงกว่าปีก่อนๆ มันต้องมีเหตุผลบางอย่างที่เกมลงทุนขนาดนี้”

ปีนี้เกมเลือกที่จะเสี่ยงเอาชีวิตของพวกคุณมาอยู่ใกล้กับความจริงที่มากกว่าผม  เงินรางวัลพิเศษที่ถูกกำหนดมันไม่ได้มีมาเพื่อยกยอเรตติ้งรายการ แต่มันมีเพื่อสรรเสริญพวกคุณ หากจะต้องมาตายอยู่ภายใต้หลุมกัปดักที่ฆาตกรวางเอาไว้

คำพูดของไอ้ภพ  ซ้อนทับกับคำพูดของวิญญาณในฝันของผมได้อย่างพอดิบพอดี  ความจริงที่เป็นรูปเป็นร่างมาพร้อมกับฆาตกรที่ใกล้จะปรากฎตัวเต็มทน  ผมยืนเหงื่อซึมนิ่งด้วยความเครียด ก่อนที่จะเดินไปค้นหากระดาษที่ตนเองได้เคยเขียนเอาไว้เมื่อช่วงเที่ยง  เรื่องราวในความฝันของผมจะต้องถูกถ่ายทอดออกไปให้ไอ้ภพฟัง  เค้าลางความฝันกับความจริงที่ผมได้รับรู้มันกำลังจะนำพาเชือกที่ผูกผมไว้ให้คลายลง

“ภพ กูมีอะไรจะบอก  แต่กูคงต้องขอให้มึงเชื่อ  สิ่งต่อไปนี้มันเป็นสิ่งที่กูเห็นด้วยสายตากูเองทั้งหมดเหมือนกับมึง เพียงแต่ว่ามึงเห็นทุกอย่างในโลกของความจริง  แต่กู….เป็นโลกของความฝัน”

“หมายความว่าไง?”

“ลองอ่าน  ถึงมันจะดูเพ้อฝัน  แต่เชื่อสิ  มันช่วยพวกเราได้มากกว่าที่คิดแน่”

ไอ้ภพพยักหน้าแล้วจึงค่อยๆไล่สายตาไปตามบรรทัดที่ผมเขียนเอาไว้  เส้นคิ้วของมันจากที่เรียงตรงก็เริ่มขมวดงอมากขึ้นเรื่อยๆ  ผมไม่แปลกใจเท่าไรนักกับท่าทีที่มันแสดงออกเพราะผมก็เป็นแบบเดียวกับมันตอนที่มีโอกาสได้เห็นครั้งแรก  ไอ้ภพเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมแวบหนึ่ง ก่อนที่มันจะก้มลงไปอ่านอีกครั้ง

จดหมายฉบับที่1 : กักกันอย่างหรรษา หรือ อิสระตลอดกาล

จดหมายฉบับนี้มีเนื้อความหมายถึงการต่อรองที่จะมีชีวิต  สำหรับผมนั้น การกักกันอย่างหรรษาคือสิ่งที่ผมตัดสินใจเลือก  ไม่ใช่เพราะว่ามันดีกว่าอีกอัน  แต่มันหมายถึงโอกาสที่ผมจะได้ต่อรองและหาหนทางเพื่อจะหนีจากเกมนี้  ข้อเสนอกักกันคือสิ่งที่ทำให้ผมต้องก้าวขาเข้ามาอยู่ในอาณัติของเกมโดยที่ไม่รู้เลยว่าผมจะได้อิสระคืนมาเมื่อไร  แต่ถ้าหากผมเลือกอิสระตลอดกาลผมจะได้รับมันทันที อิสระที่หมายถึง  ความตาย

จดหมายฉบับที่2 : ตัวคนเดียว หรือ ครอบครัว

เนื้อความฉบับนี้ ไม่ได้มีทางเลือกให้ผมมากมายนัก  เพราะจุดประสงค์ของมันไม่ได้มีไว้ให้ผมเลือก  แต่มีไว้เพื่อขู่ผมหากเมินเฉยจดหมายก่อนหน้า  คนเดียวหรือครอบครัวค่อนข้างตรงตัวทางความหมาย ฉะนั้น มันก็ไม่มีเหตุผลอื่นเลยที่ผมจะต้องลากบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาพัวพัน

จดหมายฉบับที่3 : Return if it possible

จดหมายวลีเดียวนี้  ผมไม่เคยได้มีโอกาสสังเกตเลยว่ามันมีความหมายแฝงอยู่ในนั้น  ครั้งแรกผมมองว่ามันคือประโยคขอร้องให้ผมกลับไปหาเขา  แต่มันไม่ใช่  ก่อนผมตายคำๆนึงมันก็วิ่งแล่นเข้ามาในหัวซึ่งก็คือ RIP นั่นจึงหมายความว่า  ไม่ว่าผมจะเลือกทางไหน  สุดท้ายปลายทางที่รออยู่ ก็มีเพียงความตาย

“การก้าวขาเข้าไปอยู่ในอาณัติของเกม  มันหมายถึงอะไร?”ไอ้ภพถามเสียงแผ่วด้วยความสงสัยและเครียดจัดจนปิดไม่มิด

ทีมงานไงภพ  เขาต้องกลับเข้ามาในเกมอีกครั้งในฐานะทีมงาน”

“แล้วเขาในที่นี้คือใคร?”

“เขาคือทีมงานที่คอยช่วยเหลือเราอยู่ตลอดตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา  จนกระทั่งเกมช่วงหลังๆ”

“ถ้าอย่างนั้น  เขาคนนั้นคือ…”ไอ้ภพยืนนึกถึงหน้าทีมงานหลายๆคนที่เคยเข้ามามีส่วนพัวพันกับการใช้ชีวิตในบ้านหลังนี้  ก่อนที่สายตามันจะฉายแววตกใจออกมา  แล้วเริ่มถามผมด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน

“อืม  แม้จะไม่อยากให้เป็นจริง  แต่ทีมงานคนนั้นที่ช่วยเราไว้คือ คุณศตวรรษ

หนึ่งในอดีตผู้เข้าแข่งขันเกมนี้…ที่สุดท้ายชะตาชีวิตก็ไม่อาจรอดพ้นสิ่งที่เพรียกหา

สิ่งที่เรียกว่าความตาย



แสงอาทิตย์ทอผืนฟ้าด้วยแสงสีส้มยามเย็น  คลอเคล้าไปกับบรรยากาศแห่งเหมันต์ฤดูชวนให้กายาหนาวเหน็บ

ช่วงเย็นจวนจะค่ำยามนี้  ผมและไอ้ภพต้องเคลื่อนย้ายตัวเองลงมานั่งด้านล่าง เพราะต้องเตรียมตัวจัดแจงกิจวัติประจำให้เรียบร้อย อีกทั้งเสียงรถราและการเคลื่อนย้ายของที่ดังกระทบโสตประสาทก็ได้เรียกให้ผมลงมามองหาต้นเหตุแห่งความรำคาญใจนั่น  ก่อนที่จะต้องหยุดร่างกายตนเองไว้ที่บันไดขั้นสุดท้าย เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้ากำลังสร้างภาพเหมือนกล่อมประสาทผมอีกครั้ง

กระดานดำรูปร่างคุ้นตาถูกยกเข้ามาตั้งเอาไว้ที่กลางบ้าน…ตำแหน่งเดียวกันกับในฝันเมื่อคืน

ไอ้ภพที่ลงมาช้ากว่าเล็กน้อยหยุดยืนตามผมก่อนที่จะมองหน้าถามหาข้อสังเกตที่เกิดขึ้น  ผมจึงส่ายหน้าให้มันเบาๆเป็นสัญญาณว่าไม่มีอะไรพิเศษ มันเลยดึงผมให้ออกจากตัวบันไดเพื่อที่จะได้พากันมานั่งต้อนรับบุคคลที่เป็นแขกของบ้านหลังนี้

“สวัสดีครับ ลุงมั่น” ไอ้ภพเริ่มทักทายแขกคนสำคัญของบ้านเป็นลำดับแรก

“อ้าวไอ้หนุ่ม  เป็นอย่างไรบ้าง  เพื่อนเอ็งฟื้นหรือยัง” ลุงมั่นตอบรับไอ้ภพด้วยอัธยาศัย ก่อนที่ผมจะได้ยินคำถามที่หมายความถึงตนเอง  ตรงนี้ลุงมั่นอาจไม่ได้ทันสังเกตเท่าที่ควรนัก  เพราะผมยืนหลบมุมซ้อนหลังไอ้ภพอยู่

“ฟื้นแล้วครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับลุง”ผมเดินออกมาจากหลังไอ้ภพ  และเลือกที่จะตอบคำถามนั่นแทน

“เฮ้ย หนังเหนียวนี่หว่า  ดีแล้วที่ฟื้น ลุงก็ใจหายใจคว่ำหมด นึกว่าจะต้องโดนบังคับออกจากเกมเสียแล้ว”

“ไม่ต้องห่วงนะครับลุง  ผมไม่ได้เป็นอะไรมากเท่าไรครับ ตอนนี้อาจจะเพลียๆบ้าง แต่โอเคขึ้นเยอะแล้วครับ”

“ดีแล้วเกมคืนนี้จะได้ไม่ลำบาก  เมื่อคืนไอ้หนุ่มนี่มันก็ทำคนเดียว  ฟื้นขึ้นมาจะได้ช่วยกัน”

ผมหันไปมองใบหน้าไอ้ภพด้วยแววตาที่ฉาบไปด้วยความรู้สึกผิดทันที  ไม่รู้ว่าเรื่องราวที่ประเดประดังเข้ามาจนผมไม่ทันตั้งตัวหรือเปล่า  ผมจึงลืมไปเสียสนิทเลยว่า เกมเมื่อคืน ผมนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง ไม่ใช่ไอ้ภพจะได้นอนสบายด้วย  หากแต่มันต้องลงมาท้าทายทุกอย่างอยู่เพียงคนเดียว

ผมเลือกที่จะปล่อยให้ลุงมั่นเข้าไปจัดแจงกับภาระในครัวโดยที่ไม่เข้าไปกวน  ก่อนจะเดินจูงมือไอ้ภพมานั่งที่โซฟาบริเวณตู้หนังสือ  เตรียมคาดคั้นสิ่งที่มันทำเมื่อคืนนี้  แม้จะรู้กันว่าถึงไอ้ภพจะต้องทำคนเดียว มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับไอ้ภพเป็นแน่  แต่การที่เกือบทุกคืนผมได้เห็นวิญญาณมากมายเข้าถึงตัวไอ้ภพจนมันอึดอัด  ผมจึงต้องรีบถามมันเสีย เพื่อให้มันได้ระบายหรือบอกสิ่งที่อยากจะบอกกับผม

“เกมเมื่อคืน  มึงต้องทำอะไร?”

“ไม่ได้หนักหนาอะไรหรอก  ไม่มีอะไรด้วย สบายใจได้”

“ภพ บอกกูมา”

“เฮ้อ เกมเมื่อคืนกูต้องกางร่มในที่มืดพร้อมกับเปิดเพลงงานศพคลอบรรยากาศไปด้วย”

“มีแค่นั้นเหรอภพ  วิธีการเล่นหละ  มันให้เล่นยังไง”

“เกมเมื่อคืนนี้ไม่มีอะไรเลยมิว  ไม่มีอะไรจนกูเองยังแปลกใจเลย  ไม่รู้ด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างดูง่ายไปหมด  ไม่มีเชิญวิญญาณ  ไม่มีจุดธูป  เกมให้กูแค่ยืนกางร่ม พร้อมกับหุบร่มโดยให้หัวกูอยู่ในนั้นและฟังเพลงงานศพ สามสิบนาที”

“มันผ่านไปง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”

“พูดแล้วอย่าโกรธกูนะมิว  แต่ที่มันง่าย มันอาจจะเพราะเกมล่วงรู้อยู่แล้วว่าถ้ามันไม่มีมึง เกมก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องลงทุนอะไรอีก  ฝืนทำกูไปมันก็ไม่ได้ก่อประโยชน์อะไรให้เกมเท่ามันทำกับมึง  เมื่อวานเกมคงเอาหนังสือเข้ามาเปลี่ยนก่อนที่เราจะถึงตัวบ้าน”

“แล้วถ้าวันนี้กูยังไม่ฟื้นขึ้นมาหละ”

“เนื้อหาที่กูจะได้เล่นก็จะต้องเปลี่ยนไป  เชื่อกูสิเผลอๆกระดานดำนั่นเกมก็อาจจะไม่ยกมา”

ผมพยักหน้าเข้าใจในประเด็นที่ไอ้ภพต้องการจะบอก  ไม่โกรธในสิ่งที่มันต้องฝืนใจบอกกับผม  ยอมรับเลยว่าตั้งแต่ที่สลบไป ร่างกายของผมก็ยังไม่ถึงกับฟื้นฟูมีกำลังกายกำลังใจมากมายเท่าไรนัก  แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีกว่าในคืนก่อนๆ  รู้สึกกล้าที่จะยอมรับในคำสั่งของเกม  และรู้สึกพร้อมที่จะเผชิญกับเรื่องราวที่เกมจงใจจะเปลี่ยนมัน

เมื่อลุงมั่นกลับไปผมกับมันก็รีบกินข้าวและรีบวิ่งขึ้นไปอาบน้ำบนห้องนอน  วันนี้ผมให้ไอ้ภพอาบก่อนเพราะต้องการที่จะนั่งนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เคยรับรู้มาตั้งแต่ต้นผ่านปากของคนหรือแม้กระทั่งวิญญาณ  ทบทวนทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจได้ว่าเมื่อผมตัดสินใจขมวดรวมทุกอย่างแล้ว  มันจะต้องเกิดรูปร่างของฆาตกรตัวจริงขึ้นมา

ท่าทีของไอ้ภพยามเปลี่ยนเสื้อผ้า ดูทุลักทุเลจนอดมองตามการเคลื่อนไหวนั่นไม่ได้  ไอ้ภพกำลังซ่อนอะไรบางอย่างภายใต้เนื้อผ้านั่นจากสายตาของผม  ไม่ใช่พึ่งจะสังเกตได้  แต่ตั้งแต่ผมฟื้นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ท่าทีที่ไอ้ภพแสดงออกมันเปลี่ยนไปจริงๆ  ผมจึงต้องแสร้งทำเป็นอ่านกระดาษบนมือไปพลางๆและจดจ่ออยู่กับผิวกายเนื้อละเอียดของไอ้ภพ

“ไอ้ภพ!!  นั่นรอยอะไร?”

ผมเหวลั่นเมื่อช่วงที่ไอ้ภพหันร่างกายด้านหน้ามายังเตียงนอนแบบลืมตัว  รอยช้ำเป็นปื้นก็ปรากฏแก่สายตาผมทันที  หนึ่งรอยประทับเอาไว้ที่หน้าท้องจนเขียวช้ำ  มันเป็นรอยขนาดใหญ่ที่ดูก็รู้ว่าเกิดจากการโดนทำร้าย  อีกหนึ่งรอยเป็นรอยช้ำๆขนาดไม่ใหญ่นักคล้ายรอยฟาดที่หน้าขาของไอ้ภพ ซึ่งทั้งหมดนี่อาจนำไปสู่การเดินที่เปลี่ยนไปของมัน

“ไม่มีอะไรหรอก”

“ขอโทษนะแต่ พ่อมึงดิ!!  ไม่มีอะไรอ่ะ  รอยช้ำขนาดนี้ให้เด็กอนุบาลดูมันยังรู้ว่ามึงโดนซ้อมมาอ่ะ  บอกกูมาใครทำ  ทีมงานใช่ไหม?”

“ช่างมันไปเถอะ  ผ่านไปแล้วก็ผ่านเลย อย่าไปคั้นให้มากนัก”

“ที่มึงบอกทีมงานรู้แล้วว่ามึงออกไปข้างนอก  แต่เขาไม่ทำอะไรนี่มันเพราะไอ้รอยบ้านี่ใช่ไหม?”

“มิวใจเย็นๆก่อน  ทีมงานมันไม่ทำอะไรกูจริงๆเรื่องออกไปข้างนอกนั่น  แต่ที่มันทำเป็นเพราะ…”

“เพราะอะไร  มึงจะหยุดทำไมวะ  คนเป็นห่วงเนี่ย จะหยุดทำไม”

“เฮ้อ  มันเป็นเพราะมึงนั่นแหละ”

“ทำไม?  บอกกูมา  ถึงจะเป็นเพราะกูก็ต้องบอกเหตุผล”

“อืม  จำทีมงานกลุ่มที่เคยจะมาเอากูออกจากเกมได้ไหม  คราวนี้มันกลับมาเพื่อที่จะเอามึงออก  ตามกฎ จริงๆแล้วการที่มึงสลบไปนั่นหมายถึงมึงแพ้เกมนี้ไปแล้ว  แต่ว่ากูกลัว  กูไม่รู้ว่าถ้ามันลากมึงออกไป ตัวของมึงจะถึงบ้านจริงๆหรือเปล่า เราต่างก็รู้ว่าคนที่ออกจากเกมไปก่อนมันมีจุดจบยังไง  กูถึงไม่กล้าปล่อยมึงไป ยิ่งมึงสลบแบบนี้  เกิดมึงต้องตายขึ้นมา  ข้ออ้างจำนวนมากมายมันจะถูกยกขึ้นมากลบความจริง  เรื่องราวนอกเหนือการมองเห็น  มันสามารถปั้นแต่งไปได้หลายแบบนะมิว”

“ล…แล้วมึงทำยังไงต่อไอ้ภพ”

“กูต่อยพวกมันไปเพราะพวกมันพยายามจะลากมึงออก  ทีนี้กูเลยโดนพวกมันรุมซ้อมที่ตัว  ฉลาดดีไหม ไม่ทำกูที่หน้าเพื่อไม่ให้เกิดรอย  รอยที่ขานี่ก็โดนร่มที่กูใช้เมื่อคืนฟาด  กูยอมโดนโดยไม่ตอบโต้ เพื่อที่จะได้เป็นข้ออ้างว่าถ้าพวกมันเอาตัวมึงไป  กูจะฟ้องทุกคนว่าทีมงานทำร้ายกู”

“ฮึก ขอโทษนะ  กูขอโทษจริงๆ  ถ้ากูเข้มแข็งมาตั้งแต่แรกมึงก็ไม่เป็นแบบนี้แล้วไอ้ภพ”ผมปล่อยให้น้ำตาไหลซึมออกมา  ความรู้สึกผิดถาโถมจนอดไม่ได้ที่จะร้องไห้อีกครั้ง

“มึงไม่ได้ผิดอะไรหรอกนะมิว  ที่มันต้องเป็นแบบนี้ มันก็เกิดจากการตัดสินใจกูทั้งนั้น  ที่กูปิดมึงไว้ก็เพราะไม่อยากให้มึงเป็นอย่างนี้ไง  ตอนนั้นกูไม่รู้ว่ามึงจะฟื้นเมื่อไร กูถึงกล้าทำ”

“เจ็บมากไหม?”ผมเอื้อมมือไปสัมผัสรอยช้ำพวกนั้นอย่างเบามือที่สุด  แม้มันจะไม่ได้เกิดกับตัวเอง  แต่ก็พูดได้เต็มปากว่ามันก็สร้างความเจ็บให้ผมได้ไม่แพ้กัน

“หืม รอยพวกนี้เหรอ  ไม่เจ็บหรอก  ไม่เจ็บเลยสักนิด”

“ไม่ต้องโกหกหรอกภพ  เจ็บคือเจ็บ มันก็หนึ่งในความรู้สึกแค่นั้นอยู่กับกูไม่ต้องปกปิดอะไรทั้งสิ้น”

“กูพูดความจริง กูไม่ได้รู้สึกเจ็บ  แต่ถ้ากูต้องตัดสินใจปล่อยมึงไป แล้วมารู้ทีหลังว่าสุดท้ายมึงกลายเป็นศพอีกรายจากเกมนี้ นั่นแหละคือสิ่งที่จะทำให้กูเจ็บที่สุด  รู้ไหม”

“อืม”

“หยุดร้องได้แล้วนะ รายการนี้ไม่มีค่าพอให้เราต้องทิ้งน้ำตาด้วยแล้ว”

หลังจากปรับความเข้าใจกันทั้งหมด  ผมกับไอ้ภพก็รีบไปอาบน้ำอย่างที่ตั้งใจกันไว้ตั้งแต่ทีแรก  แล้วจึงได้พากันเดินลงมายังด้านล่างของบ้านหลังนี้อีกครั้งเพื่อที่จะหยิบหนังสือเล่มที่สิบสองของเกมนี้มาเปิดอ่าน

เมื่อหยิบจับหนังสือมาเปิดดู  วัตถุจำนวนสามชิ้นก็หล่นลงมาจากหนังสือ  โดยที่สองชิ้นแรกเป็นเพียงกระดาษใบเล็กๆในมือที่มีเพียงวันที่เขียนเอาไว้  ซึ่งถ้าดูดีๆจะพบว่า ตัวเลขเหล่านั้นระบุถึงวันที่ในอีกสามวันต่อจากนี้  ส่วนวัตถุชิ้นที่สามที่แนบมาคือแผ่นซีดีหนึ่งแผ่นที่ไม่ได้เขียนอะไรบอกไว้เลย   สร้างความฉงนให้กับพวกผมสองคนนัก  เนื้อความข้างในเลยกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องอ่านต่อ

ตัวเนื้อหาหลักบอกกับผมว่า  เกมคืนนี้ที่ผมต้องทำคือการนำชื่อของบรรดาเหล่าคนตายที่ระบุเอาไว้ในหนังสือ มาเขียนลงบนกระดานดำที่ได้รับ  พร้อมกับเปิดแผ่นเสียงเพลงปี่พาทย์มอญที่ไอ้ภพได้มาเมื่อคืนคลอไปด้วย แต่ก่อนหน้านั้น  สิ่งที่ผมจะทำเป็นอันดับแรกคือการนำแผ่นซีดีที่แนบมาไปเปิดฟัง  แล้วจึงนำน้ำที่ได้จากการไปวัดทั้งเก้ามาทำพิธีปลุกวิญญาณพร้อมกับบทสวดที่ได้เขียนไว้ชัดเจนในหนังสือ

ปลุกวิญญาณ…คือคำสั่งที่ตอบทุกโจทย์ของข้อสงสัยเรื่องน้ำทั้งเก้าวัด

“ไอ้ภพ  เรื่องน้ำของวัดที่9…มึงจัดการยังไง?”ผมตัดสินใจถามไอ้ภพ  เพราะจำได้ว่าคืนนั้นผมไม่ได้น้ำกลับมาอย่างที่เกมสั่ง 

“ก็น้ำของกูไง  ถึงมึงไม่ได้น้ำกลับมาแต่ของกูก็มี  เกมเลยไม่ได้ว่าอะไร”

“อย่างนั้นเหรอ  โชคดีไปเลย”

“มิว…วันนั้นที่ไปหาน้ำ  มึงไปหาที่ไหน  ทำไมกล้องของมึง ถึงไปตกอยู่ในป่าช้า”

“กูไปหาน้ำในป่าช้านั่นไง  แต่รู้ไหม คืนนั้นมึงเจอผีนะภพ  พระที่มึงว่าคือวิญญาณที่นำทางกูไปหาบ่อน้ำในป่า  กูถึงกล้าที่จะเดินเข้าไป”

“แล้วบ่อน้ำอยู่ตรงไหน?”

“ก็ตรงที่ทำกล้องตกนั่นแหละภพ ทำไมอีกหละ  จะบอกว่าตรงนั้นมันไม่มีบ่อน้ำเหรอ”

“เปล่าหรอก  แค่จะถามว่ามึงเข้าไปเอาได้ยังไง  บ่อน้ำที่กูเห็นมันมีแต่อะไรไม่รู้รอบบ่อ  อีกอย่างตรงปากบ่อมันก็ถูกปิดไปแล้วด้วย  เพราะเคยมีพระในวัดนั่นแหละไปฆ่าตัวตายตรงนั้น”

“มึงรู้ได้ไง”ผมหันขวับมองหน้าไอ้ภพอย่างรวดเร็ว  เพราะข้อมูลตรงนี้ไอ้ภพไม่น่าจะรับรู้ขึ้นมาได้

“มิว  นี่คือสิ่งที่กูต้องพูด  แต่คืนนั้นกูไม่ได้เจอผี  ตอนเช้ากูย้อนกลับไปทางนั้นอีกครั้งเพราะไม่เห็นกล้อง  พระที่บอกกูเมื่อคืนท่านกำลังจะไปบิณฑบาตพอดี  ท่านเลยคิดว่ามึงต้องเข้าไปในป่าแล้วนำทางกูเข้าไปหยิบกล้องมาได้”

ความจริงข้อใหม่ที่ได้รับจากไอ้ภพ  ตีแสกหน้าผมจนรู้สึกมึนไปหมด ความเข้าใจที่ฝังหัวผมมาตั้งแต่ตอนนั้นกลายเป็นเรื่องโกหกหมดทุกอย่าง  ผมไม่เคยได้เจอพระรูปนั้นแบบไอ้ภพมาตั้งแต่แรก  วิญญาณที่นั่นนำทางให้ผมเข้าสู่ดินแดนที่คนเป็นไม่มีทางได้เข้าตั้งแต่ผมเดินออกจากอุโบสถวัด

“มิว ปัญหาใหญ่อีกหนึ่งอย่างของมึงตอนนี้  มันคือการที่มึงแยกคนเป็นกับวิญญาณไม่ได้  เรื่องที่เกิดที่อื่นกูจะไม่นำมาพูด  แต่วันสุดท้ายที่เราต้องไปหาน้ำ  ระหว่างทางมึงเอาแต่มองรอบกายมึงตลอด  ปากก็บ่นว่าอยากกินขนมในร้านนั้นบ้าง  อยากออกมาเดินแบบคนอื่นเขาบ้าง  แต่รู้ตัวไหม  ทุกครั้งที่กูมองตามสายตาของมึงออกไป  กูไม่เคยเห็นอะไรอย่างที่มึงว่าเลย”

“อ…อืม  ช่างมันเถอะ คราวหลังกูจะระวัง  แต่คราวนี้มาเล่นเกมก่อน”

ผมทำตัวไม่ถูกทันทีหลังจากที่ไอ้ภพพูด  นอกเสียจากบอกปัดให้ไอ้ภพสบายใจเรื่องนี้แล้วเริ่มเกมที่ต้องดำเนินภายในคืนนี้เสียที   จิตใจของผมตอนนี้รู้สึกจะบอบช้ำขึ้นมาบ้าง  แต่เพราะความกลัวว่าหากไอ้ภพเผยให้ผมรับทราบความจริงข้ออื่นที่อาจจะมากกว่านี้อีก  ตัวผมเองนั้นอาจจะทนรับสภาพไม่ได้และกลับกลายไปเป็นคนแบบเดิม

“ถ้าอย่างนั้น  กูเดินไปปิดไฟกับเตรียมเทียนแล้วกัน  มึงก็ไปเปิดซีดีแผ่นนี้”  ผมพยักหน้ายอมรับคำสั่งไอ้ภพ  ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ 

ไอ้ภพเดินไปจุดเทียนของบ้านในตำแหน่งเดิมๆเหมือนอย่างเคย  หลังจากนั้นมันก็เดินไปปิดไฟก่อนจะเดินไปยืนรอตรงกลางบ้าน  ส่วนผมก็นำแผ่นซีดีที่ได้รับมาไปเปิดกะจะให้ดังลั่นทั่วบ้าน  แต่จนแล้วจนรอดผมก็ได้ยินแต่เสียงการเล่นของเครื่องเล่นเทป  ไม่มีเสียงใดๆออกมาจากตัวซีดีเลย  ไอ้ภพเลยเรียกให้ผมเดินกลับไปยังกลางเทียนและปล่อยให้ซีดีเล่นไปอยู่อย่างนั้น

แต่ทว่า  เพียงแค่หันหลังมาได้ไม่ทันไร  ซีดีที่เล่นก็เริ่มส่งเสียงการสนทนาบางอย่างออกมา

มันเป็นบทสนทนา ที่ทำให้เลือดในกายของผมและไอ้ภพสูบฉีดอย่างรุนแรงด้วยความตระหนกและหวาดผวา

และยังเป็นบทสนทนา  ที่เปรียบดั่งคำทักทายแรกจากผู้กุมชะตาชีวิตของเราทั้งคู่เอาไว้…

“เดี๋ยวครับคุณมิว”

“มีอะไรหรอครับ?”

“ฝากย้ำกับคุณเอกภพอีกทีด้วยนะครับ เรื่องกฎและกติกาให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดนะครับ”

“ได้ครับ”

“ผมขอเตือนอีกอย่างนะครับคุณมิว อะไรที่คุณสงสัยได้โปรดเก็บไว้จนจบเกมด้วยครับ อย่าพยายามหาข้อสงสัย หรือ หาความเป็นไปได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น ยิ่งคุณหาสิ่งที่คุณจะพบคือทางตันของชีวิตคุณเองนะครับ”

“Good Luck ครับคุณมิว”


แปะ แปะ แปะ…

“ทำงานดีเหลือเกินนะ…ศตวรรษ”






*************************************************TBC****************************************
เอาภพมิวมาส่งแล้วครับ!!!  วันนี้มาเร็วกว่าปกติหน่อยเพราะผมต้องออกไปอ่านหนังสือสอบข้างนอกครับเลยไม่แน่ใจเวลากลับ
ตอนนี้คงเป็นอีกคอนที่หลายคนถามหา  และก็เป็นอีกตอนที่ทำให้นิยายเรื่องนี้ดูเป็นสืบสวนขึ้นมาบ้าง555
ขอขอบคุณทุกเสียงตอบรับ คำติชม และการแชร์นิยายผมนะครับ  ผมดีใจมากที่เรื่องนี้สามารถทำให้ใครหลายๆคนมีความสุขและรู้สึกสนุกไปกับการใช้ชีวิตของภพมิว
เอาหละ  ชีวิตของภพมิวก็เริ่มเข้มข้นขึ้นไปทุกที  หลายคนถามผมว่าตอนจบจะดราม่ามั้ย  เอาเป็นว่ารอลุ้นดีกว่าเนอะ :)
เหมือนเดิมนะครับ  ถ้ามีคำผิดหรือประโยคไม่ลื่นไหลใดๆสามารถบอกผมได้นะครับ
เข้ามาทักทายหรือพูดคุยกันได้ทั้งในเว็บนี้และใน #Nightmaregame นะครับ  ผมอ่านทุกคอมเมนต์เลยแล้วเดี๋ยวว่างๆจะนำมาตอบให้นะครับ
เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่23 คำทักทายแรก (2/05/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 02-05-2017 15:42:22
มันมาแหล่วววววว อืออออออออออออออออออออออออออออออออออออ :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่23 คำทักทายแรก (2/05/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: JACKSON ที่ 02-05-2017 17:43:04
สงสารรร :hao5:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่23 คำทักทายแรก (2/05/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 02-05-2017 17:46:17
ใกล้แล้วๆๆๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่23 คำทักทายแรก (2/05/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 02-05-2017 22:08:11
โอยยยย ตอนนี้ไม่น่ากลัว แต่ลุ้นนนนน
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่23 คำทักทายแรก (2/05/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 03-05-2017 06:17:26
สงสาร ศตวรรษ ไม่น่าเลย TT

เด็กคนนั้นกลายเป็นโรคจิต เพราะครอบครัวตัวเอง เลยต้องมาลงกะคนทั่วไปสินะ

ขอให้เปิดโปงได้เร็วๆ รีบมานะครับ รอๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่23 คำทักทายแรก (2/05/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 03-05-2017 08:05:41
ว้าวๆ เริ่มเข้าหมวดสืบสวนสอบสวนแล้วว :katai2-1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่23 คำทักทายแรก (2/05/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 03-05-2017 14:28:43
ผีว่าน่ากลัวแล้ว คนเบื้องหลังน่ากลัวกว่า ฮือๆๆๆ จากนิยายผี กลายเป็นนิยายสืบสวยฆาตรกรโรคจิตไปละ  :ling3:
ทีมงานอีกคนที่ทำท่าเป็นห่วงแต่ไม่ค่อยแสดงออกน่าจะเป็นคนที่สนิทกะศตวรรษ แล้วพอรู้ว่าเพื่อนตัวเองตาย เลยพยายามช่วยมิวกะภพสินะ

เอาจริงๆนะ มิวเห็นผี ดึงดูดผี ถึงขั้นสติแตก แต่เฮียภพเนี่ย ไม่รุ้ทำบุญด้วยอะไรแต่แบบ โชคดีเกิ๊นนนน ไม่เห็นไรเลย
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่23 คำทักทายแรก (2/05/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 03-05-2017 22:48:16
นี่เราเลิกกลัวผีแล้ว กลัวคนที่อยู่เบื้องหลังเกมนี้เนี่ย  :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่23 คำทักทายแรก (2/05/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: TonyPat ที่ 09-05-2017 08:36:26
ผีว่าน่ากลัวแล้ว  คนเราน่ากลัวยิ่งกว่า
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่24 กระดานดำ (10/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 10-05-2017 02:10:58
ตอนที่24

กระดานดำ


เรื่องราวของกระดานดำที่ใช้เขียนหน้าพิธีศพ ถูกกล่าวขานตำนานความเฮี้ยนเอาไว้มากมายนานัปการ  ความพิเศษของกระดานที่นำไปสู่เรื่องหลอนหัวจำนวนมาก  เริ่มต้นมาจากการใช้งานของกระดานดำแผ่นนั้น ที่มีไว้เพื่อเขียนชื่อของคนที่ตายไปแล้ว พร้อมกับการเขียนวันที่มรณะและการจัดพิธีศพ  ฉะนั้นบุคคลทั่วไปจึงรู้กันดีว่าสิ่งของที่ใช้เกี่ยวข้องกับคนตาย คนเป็นไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ว่าด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม

แต่แน่นอน…โลกของคนตายย่อมมีบางคนที่ฝ่าฝืน

หัวเรื่องที่จั่วเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้ บอกเล่าถึงตำนานที่เคยเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นการลองของต่างๆที่อาจจะเกิดจากความตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ หากคิดจะล่วงล้ำเข้าไป  บุคคลที่ท้าทายย่อมไม่เคยมีใครได้พบจุดจบที่สวยงาม  วิญญาณผู้เคยมีชื่อตราตรึงอยู่บนกระดานดำแผ่นนั้นย่อมไม่เป็นที่พอใจนัก  เมื่อสุดท้ายที่ว่างซึ่งมีไว้เพื่อจารึกและสดุดีคนตายต้องถูกรบกวนด้วยความสนุกโดยไม่คิดหน้าคิดหลังของคนเป็น

เกมคืนนี้ก็ต้องดำเนินไปอย่างนั้น…เช่นกัน

รายการนี้อาจเห็นว่าวิธีที่ได้ว่ามานั้นมีผู้คนมากมายได้ลองท้าทายกันไปหมดแล้ว เราทั้งคู่จึงต้องโดนสั่งให้ทำอะไรที่แตกต่างออกไปจากเดิม โดยมีจุดประสงค์ที่คาดหวังจะฝังเราให้ตายทั้งเป็น ด้วยการนำพิธีลองของโบราณเข้ามาผูกกับพิธีกรรมที่ปกติก็น่ากลัวอยู่แล้วให้เพิ่มดีกรีความหลอนมากขึ้นกว่าเดิม

น้ำเก้าวัด…คือคำสั่งที่ผมและไอ้ภพต่างก็สงสัยกันมาตลอดว่ารายการมีความจำเป็นอะไรที่ต้องส่งพวกผมเข้าไปยังสถานที่แสนบริสุทธิ์แห่งนั้น  แต่เมื่อเกมนี้มาถึง คำเฉลยต่างๆนานาก็พรั่งพรูออกมาจนเข้าใจได้เลยว่า รายการไม่ได้มีจุดประสงค์ให้ผมออกไปพักผ่อนกันอย่างที่ผู้ชมรายการคิด แต่เขาได้วางหมากเอาไว้อยู่แล้วว่าเกมคืนนี้จะต้องมีใครสักคนพบกับจุดจบที่ไม่น่าอภัย ภายหลังการจารึกชื่อของตนเองลงบนกระดานดำมรณะดั่งกล่าวกลางบ้านหลังนี้

พิธีปลุกวิญญาณกำลังจะนำมาซึ่งพิธีสรรเสริญคนตายในบ้าน

หลังจากการฟังเทปเสียงนั่น ผมกับไอ้ภพต้องมานั่งจับเข่าคุยกันอยู่นานพอสมควร  ไม่ใช่ว่าไม่กล้าที่จะดำเนินพิธีอันน่ากลัวต่อไป หากแต่เป็นบทสรุปของเทปเสียงสุดท้ายที่ยังคงวนเวียนและหลอนหูให้คนฟังรู้สึกคล้อยตาม จนอดไม่ได้ที่จะสงสารหรือเวทนาบุคคลที่มีชะตากรรมโหดร้ายและทารุณมากกว่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะโดนกระทำ

แปะ แปะ แปะ…

“ทำงานดีเหลือเกินนะ…ศตวรรษ”

“อยากพูดอะไรอย่างนั้นเหรอ?  พูดไม่ได้ใช่ไหม? 5555”

“สมควรแล้วหละ ที่บังอาจปากพล่อยไปเตือนเหยื่ออันโอชะของกูในปีนี้…คิดว่ากูจะไม่ได้ยินอย่างนั้นเหรอ!!!”

“เอาหละ  กูคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วนะ ที่จะได้คืนอิสระที่มึงเรียกร้องมานาน”

“ใจเย็นๆ  ไม่ต้องกลัวไป  ร้องไห้เหรอ?  ร้องไห้ทำไม  อยากได้ไม่ใช่เหรอ  อิสระ  เดี๋ยวกูจะจัดให้”

“บอกลาโลกอันแสนวุ่นวายและโสมมแห่งนี้ไปซะ  แล้วเตรียมไปอยู่ที่โลกหน้าดีกว่านะ  มันทั้งสวย และงดงามกว่านี้”

“อยากพูดอะไรหน่อยไหม?”

“ช…ช่วยด้วย ฮึก  อย่าทำผม  อย่าทำ”

“จุ๊ๆ  อย่าโอดครวญไปเลย ไม่มีทางเสียหรอก 555”

“ลาก่อนนะ…ศตวรรษ”

“อย่า!!!”

ปั้ง!!


เสียงปืนแค่หนึ่งนัด ดังแสกความเงียบที่พวกผมจงใจสร้างมันขึ้นมาจนบ้านหลังนี้เหมือนกับมืดบอดไปชั่วครู่  เสียงปืนนัดนั้นไม่ใช่แค่ทำการปลิดชีวิตของอดีตบุคคลที่คอยมาวนเวียนอยู่รอบตัวผมเมื่อสักสามสี่วันที่ผ่านมา  แต่ยังปลิดหัวใจของผมและไอ้ภพให้ตายลงไปด้วย  เสียงขอร้องทั้งน้ำตา  เสียงอ้อนวอนร้องขอเพื่อให้มีชีวิต  ถูกเสียงหัวเราะอย่างหยาบของฆาตกรใจเหี้ยมกลบเอาไว้เสียมิด  จนท้ายที่สุด แม้กระทั่งเสียงอำลาโลกแห่งนี้ของผู้ตายก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวโหดร้ายและทารุณให้กลับกลายเป็นปาฏิหาริย์ดั่งที่ตนร้องขอเอาไว้ได้เลย

เป็นดังคำกล่าวที่ว่า เสียงร้องของเหยื่อไม่เคยแทรกซึมผ่านจิตใจของฆาตกร

ผมยืนนิ่งไปกับความเครียดที่ได้รับ  หัวตาของผมมีน้ำตาไหลออกมาอย่างที่ควบคุมไม่ได้  ความรู้สึกกดดัน  สงสาร หรือแม้กระทั่งเวทนาต่างวิ่งแล่นเกทับกันเข้ามาจนภายในจิตใจผมไม่ทันได้ตั้งตัว  แผ่นเสียงของการฆาตกรรมถูกส่งมาตั้งแต่เมื่อไรผมไม่เคยรู้  แต่จุดมุ่งหมายของมันคงหนีไม่พ้นการขู่ให้ผมและไอ้ภพยอมรับในชะตาของตนเอง หากเมื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเกมนี้แล้ว  ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง จุดจบที่เราสองคนจะได้รับย่อมมีเพียงความตาย

“อย่าให้เขา ตายเปล่า”


คือคำปลอบโยนของไอ้ภพที่ดังกระซิบอยู่ข้างใบหูผม  เสียงของมันทำการเรียกสติน้อยๆของผมให้กลับเข้ามาสู่ตัว  ก่อนที่จะพยักหน้ารับรู้ว่าหากทุกอย่างยังคงดำเนินชักช้าอยู่แบบนี้  เราทั้งคู่คงไม่มีวันที่จะไล่บี้เกมทัน 

“ทำไม…เหลืออยู่แค่นี้”

ไอ้ภพชายตาขึ้นมามองผมครู่หนึ่ง หลังจากที่เราทั้งคู่เดินตรงกลับมานั่งยังวงล้อมของเปลวเทียนเช่นการทำพิธีกรรมในคืนก่อนๆ  แววตาของมันสะท้อนบางอย่างออกมาให้ผมรับรู้  บางอย่างที่ย้ำเตือนให้ผมเข้าใจว่าตัวมันเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าสิ่งที่ผมถามจะมีคำตอบออกมาในทิศทางไหน

“กู…โดนเกมบังคับให้แบ่งน้ำทั้งหมดเก็บเอาไว้กับตัวครึ่งหนึ่ง”

“แล้วอีกครึ่งหละภพ…มันไปอยู่ไหน”

“ทีมงานเอามันกลับไปด้วย  แต่กูไม่รู้ว่ามันจะเอากลับไปทำไม  หรือเพราะอะไร”

ผมพยักหน้ารับไอ้ภพด้วยรู้สึกหนักอกอยู่ไม่น้อย  การกระทำของทีมงานหลับหลังการสลบไปของผม  สร้างเบื้องหลังที่ไม่มีใครหยั่งถึง  น้ำทั้งเก้าวัด  พวกเราต่างก็ได้รู้กันแล้วว่ามันมีเอาไว้เพื่ออะไร  หากแต่ก็ยังไม่เข้าใจ  ว่าทีมงานจะต้องการมันไปเพื่ออะไรอีก  ในเมื่อทุกการท้าทาย พวกผมคือคนที่ต้องทำมัน และที่สำคัญ มันจะต้องเกิดขึ้น ภายในบ้านหลังนี้

เสียงน้ำกระทบขันสีเงินใบเขื่อง  ดังผ่านหูผมเป็นระลอก หากแต่มันก็แค่เหมือนผ่านไป  ไม่ได้กินเวลาอย่างที่ใครหลายๆคนคิด  ปริมาณที่เรียกว่าครึ่งหนึ่ง เมื่อใช้สายตาเพ่งพินิจไปจริงๆก็ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น  น้ำในขันใบนี้ดูน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับการที่พวกเราต้องเสี่ยงเข้าไปเอามันตามที่ต่างๆ  ตั้งแต่วัดแรกจนวัดสุดท้าย  ผมอดไม่ได้ที่จะต้องขมวดคิ้วตามยามได้นึกถึง  ผมต้องเจอกับสารพัดสัมภเวสีที่ปองร้ายพวกผมจนแทบจะเป็นบ้า  เหตุใดการกระทำของผมถึงได้รับการตอบแทนออกมาเพียงน้ำหนึ่งในสี่ของขัน

และในที่สุดเมื่อน้ำในขันสงบนิ่ง…พิธีกรรมและบทสวดจึงต้องถูกเรียกขึ้นมาร้องหาร่างกายที่หลับใหลอยู่ภายใต้ความตายนั่น

“เทียนเล่มนี้  จะให้กูหรือมึงที่เป็นคนทำพิธี”ไอ้ภพถือเทียนหนึ่งเล่มยื่นมาตรงหน้าผม  ก่อนจะถามหาความสมัครใจของผมหากต้องประสงค์ที่จะทำ

“ภพเกมคืนนี้…ขอเป็นกูที่ได้เริ่มพิธี”

ไอ้ภพดูแปลกใจเล็กน้อยกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของผม  แต่มันก็ยอมยื่นเล่มเทียนที่มันถือมาให้   ไอความร้อนของเทียนกำลังทำให้ใจของผมอุ่นขึ้นมาได้บ้าง  ที่ผมตัดสินใจทำทุกอย่างในวันนี้  ไม่ใช่เพราะกล้าแกร่งหรือมั่นใจในตัวเอง  แต่มันเป็นเพราะผมต้องการที่จะเห็นกับตาว่า ผมจะสามารถทนในสิ่งที่ตนเองเริ่มเอาไว้ได้มากน้อยแค่ไหน  แม้รู้ว่าจะต้องเสี่ยงกับสิ่งที่สายตาตนเองหลีกหนีมาตลอดสองอาทิตย์

“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, อะระหะโต, สัมมาสัมพุทธัสสะ”

ผมกับไอ้ภพเริ่มท่องบทสวดมนตร์บทแรกตามคำสั่งที่เขียนเอาไว้สามจบ  พร้อมกับที่มือของผมก็ค่อยๆวนเล่มเทียนให้เป็นวงกลมเหนือขันใส่น้ำทั้งเก้าวัด  ให้น้ำตาเทียนค่อยๆหยดกระทบลงผิวน้ำจนเกิดการสั่นไหวและเริ่มเคลื่อนตามแรงมือของผม  วงคลื่นน้ำในขันกับบทสวดที่ผมกล่าว  กำลังสร้างความปั่นป่วนให้กับบรรยากาศรอบกายอย่างหนัก  มันทั้งกดดัน  ทั้งอึดอัด  อากาศที่เคยพัดถ่ายเทในตัวบ้านก็พลันหายไปเสียดื้อๆจนเหงื่อไคลไหลย้อยออกมา  แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปเหล่านั้นก็ยังไม่เท่ากับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนที่เกิดขึ้นหลังผมท่องคาถาภาษาแปลกๆดั่งคำเขมรโบราณเรียกวิญญาณตายโหงให้ฟื้นคืน

ต้นไม้ที่เคยไหว…กลับหยุดนิ่งราวกับมีคนยื่นมือไปจับเอาไว้

เสียงแมลงตัวน้อยที่เคยร้องดังระงมเป็นเพื่อนใจ…กลับหายไปราวกับมีคนจงใจซ่อนพวกมัน

และเสียงหายใจของเราทั้งคู่ที่ดังแซมความเงียบ  ก็ถูกทำลายด้วยสัมผัสจากใครอีกคนที่จงใจใช้อากาศร่วมกับพวกเรา


“เหี้ย!!!”

ผมส่งเสียงอุทานที่แสดงออกถึงอาการตกใจ พร้อมๆกับที่ไอ้ภพสะดุ้งจนตัวโยน  เมื่อระหว่างการตั้งจิตให้สงบไปกับคาถาเรียกผีตายห่าตายโหงเหล่านั้น  เสียงของหนูบ้านก็ร้องแหลมขึ้นมาลั่นบริเวณ  จนสามารถเรียกความสนใจของเราทั้งคู่ให้หันกลับไปมองยังประตูด้านหลังซึ่งเป็นแหล่งเกิดเสียง  และเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไร ลมหายใจของเราก็ถูกปล่อยออกมาอย่างโล่งอกหลังจากต้องกลั้นมันไว้ระยะหนึ่งเพราะการระแวง

“เอาเถอะ  เริ่มกันต่อเลย  ไม่มีอะไรแล้วหละ”ไอ้ภพที่คุมเชิงสถานการณ์เอาไว้  ร้องทักผมให้หันมาเผชิญกับคำสั่งที่ยังไม่จบ

“วิญญาณผีตายห่าตายโหงที่ได้ยินเสียงกู หากแม้พวกมึงมีอันต้องตายภายในบ้านหลังนี้ จักต้องฟื้นคืนลมหายใจขึ้นมาให้หมด  หากแม้พวกมึงเคยถูกจารึกชื่อลงบนกระดานแผ่นนี้  จักต้องฟื้นคืนลมหายใจขึ้นมาให้หมด หากแม้พวกมึงเป็นเพียงแค่ลมผ่านมาทางนี้  จักต้องฟื้นคืนลมหายใจขึ้นมาให้หมด และ หากแม้พวกมึงไม่เคยมีใครได้ทิ้งลมหายใจไป…จักต้องเห็นและฟื้นคืนลมหายใจให้กับพวกมัน”

ไอ้ภพนั่งนิ่งเงียบไปทันทีหลังผมเอ่ยคำบัญญัติตายออกมาอย่างช้าๆทีละคำ  ซึ่งพฤติกรรมนั้นไม่ได้ต่างไปจากผม  มือที่ถือสมุดเกมคืนนี้เอาไว้ถูกความเครียดและกดดันรัดมันจนยับยู่ยี่  พลางกายที่รับรู้ได้ถึงความหนาวเหน็บรอบๆก็สั่นสะท้านราวกับถูกคาถาง่อยๆนั่นดึงเอาความรู้สึกเดิมกลับมา  ความเงียบที่เกิดขึ้นในบ้านก่อนหน้า ก็ค่อยๆถูกทำลายลงด้วยเสียงลมหอบใหญ่ที่พัดเข้ามารอบตัวบ้านจนได้ยินเสียงหวีดเบาๆ  ราวกับว่าคาถาปลุกวิญญาณคงทำหน้าที่ของมันจนใกล้จะเสร็จสมบูรณ์

“ไหวอยู่ใช่ไหม?  มึงพึ่งจะฟื้นมากูไม่อยากให้มึงหนีกูไปไหนอีก”

“กูไหว เชื่อใจกูนะภพ  เกมคืนนี้มันจะไม่พรากเอาอะไรจากกูไปได้อีก”

ไม่พราก…แม้เทียนที่ส่องสว่างภายในบ้านจะมอดดับลงไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีแม้แต่ลมไหววูบ

ไม่มีใครคิดที่จะจุดเทียนต่อ  เราทั้งคู่ตัดสินใจเดินถือขันที่ภายในอัดแน่นไปด้วยน้ำตาเทียนลอยเป็นแพปกคลุมน้ำทั้งเก้าวัดคล้ายจอกแหนในบึงใหญ่  ผมเป็นคนถืออยู่บนมือ  ส่วนไอ้ภพเป็นคนใช้ผ้าผืนบางหย่อนลงมาซับเอาน้ำในขันไปเช็ดยังจุดต่างๆของบ้านหลังนี้ ราวกับว่านี่อาจจะเป็นกลลวงที่เกมแอบสั่งให้พวกผมทำความสะอาดบ้านแทนที่จะจริงจังกับวิญญาณที่ผมยังไม่สามารถมองเห็นได้ในขณะนี้

บนชั้นสองคือเป้าหมายแรกที่เราตั้งใจขึ้นมาทำตามคำสั่งของเกม  หากแต่ว่าเราไม่ได้ตั้งใจจะเช็ดมันทุกพื้นที่  อย่างชั้นนี้มีเพียงห้องนอนและห้องน้ำเท่านั้น  เราทั้งสองเลยตัดสินใจกันว่าจะเช็ดเพียงลูกบิดประตูของทั้งสองห้อง  และราวบันไดลงไปยังชั้นหนึ่ง

เสียงการถูไถลูกบิดประตูดังเสนาะแก้วหูไปทั่วบริเวณบ้าน  ลักษณะที่คล้ายจะเปิดออกทำให้ภายในใจของผมหวั่นอยู่ไม่น้อย เพราะเสียงที่ได้ยิน ผมไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่ามันเกิดจากฝีมือการขัดถูของไอ้ภพจริงๆ  หรือเป็นความต้องการของใครสักคนที่หลบกายอยู่ภายใต้บานประตูตรงหน้าพวกเรา  ยิ่งไปกว่านั้น ความผิดปกติที่เกิดขึ้นก็เริ่มแสดงอาการชัดเจนเมื่อเราเคลื่อนตัวมาเช็ดยังประตูห้องน้ำ  เสียงลมหายใจที่ดังฮืดฮาดแปลกๆด้านหลังกำลังดังสวนทางเสียงลูกบิดประตูไอ้ภพออกมาจนผมต้องกำขันในมือเอาไว้แน่น

ไม่ใช่เพราะกลัว…แต่เสียงนั่นมันคุ้นหูของผมมาก คุ้นจนแทบไม่ต่างไปจากเสียงที่ผมได้ยินในคืนแรกยามผมต้องเล่นซ่อนหา

“ไอ้ภพ  มึงเดินไปถูที่บันไดก่อน”ผมสั่งให้ไอ้ภพเคลื่อนตัวออกจากบานประตู ก่อนที่จะรีบแทรกตัวไปยืนอยู่ข้างหน้า

“มีอะไร?”

“ไปยืนตรงนั้นก่อน  ไว้จบทุกอย่างแล้วเดี๋ยวกูจะบอก”

ไอ้ภพเดินออกไปอย่างไม่เข้าใจนัก  แต่ก็ยอมที่จะทำตามผมโดยดี  แววตาของผมจับจ้องไปที่ลูกบิดประตูห้องน้ำด้วยความประหม่าอยู่ไม่น้อย  เสียงที่ได้ยิน ยอมรับว่ามันกำลังจะทำให้ผมกลัว  แต่ว่าความสงสัยและความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากกว่านั้น  ผมจึงเลือกเส้นทางที่จะต้องเผชิญกับสิ่งที่มีผมคนเดียวในบ้านรับรู้ได้

เป็นไปอย่างที่ผมคิด…ประตูห้องน้ำบานนี้ ถูกจับล็อกจากด้านในจนผมไม่สามารถเปิดเข้าไปได้

ผมยืนเหงื่อตกไปพร้อมกับแววตาที่ตื่นตะลึงขึ้นมาอย่างคนกำลังตกใจกลัว  สิ่งที่ไอ้ภพทำเมื่อครู่ยืนยันให้ผมได้เป็นอย่างดีว่าประตูนี้มันยังสามารถเปิดได้  ไม่มีทางเลยที่จะมีใครเอื้อมมือไปปิดมันในระยะเวลาแค่เสี้ยววินาที  นอกเสียจากว่าหลังบานประตูนั่นจะมีใครสักคนที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว  พร้อมกับเสียงลมหายใจที่ปล่อยออกมาอย่างแรงและแทบไม่ขาดห้วง

ก๊อก  ก๊อก  ก๊อก

“คุณศตวรรษ  นั่น…ใช่คุณหรือเปล่า?” ผมเอื้อมมือที่ติดจะสั่นของตนเองไปเคาะประตูเบาๆสามที  ก่อนจะใช้ปลายเสียงที่บางเบาร้องถามถึงอดีตคนที่คาดว่าจะอยู่ข้างใน

“…”

“คุณศตวรรษ  ผมไม่มีเวลาที่จะอยู่ตรงนี้เท่าไรนัก  เอาเป็นว่าถ้าสิ่งที่อยู่ในนั้นเป็นคุณ  ได้โปรดเคาะประตูนี่กลับมาด้วยนะครับ  การกระทำของคุณมันจะพาให้ผมพบตัวฆาตกร”

ผมทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนจะหันหลังหมุนตัวกลับไปหาไอ้ภพ   น่าแปลกที่แม้ผมจะบอกกับความว่างเปล่าตรงหน้าว่าไม่มีเวลาเหลือ แต่ผมก็ยังไม่สามารถละสายตาไปจากประตูบานนั้นได้   การรอคอยบางอย่างมันมีค่ามากกว่าแค่หาตัวฆาตกร  เสียงตอบกลับที่ผมคาดหวังว่าจะได้ยิน  มันจึงสามารถชี้เป็นหรือตายให้กับจิตใจของผม  หากข้างในนั้นไม่ใช่คุณศตวรรษ แสดงว่าคืนนี้  ผมอาจจะต้องเตรียมตัวเริงระบำไปกับเหล่าวิญญาณที่พร้อมจะออกมาวาดลวดลายในบ้านหลังนี้ได้ทุกเมื่อ

แต่ทว่าสุดท้าย  มุมปากของผมก็สามารถยกยิ้มขึ้นมาได้ด้วยความโล่งใจ เพราะเสียงหนึ่งที่สะท้องดังก้องไปทั่วบ้าน

ก๊อก  ก๊อก  ก๊อก


กระดานดำแผ่นหนาตรงหน้า สร้างภาวะตกต่ำทางร่างกายจนมือที่จะเอื้อมไปต้องสั่นด้วยความผวา

ไอ้ภพยืนจดจ้องกระดานดำที่สูงเหนือหัวเราตรงหน้าด้วยแววตาสงบนิ่ง  ไม่มีท่าทีสั่นกลัวใดๆแสดงออกมา  ซึ่งขัดกับผมที่แม้จะถือแค่ขันแต่ก็ไม่สามารถจะระงับความรู้สึกยามได้จ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเอาไว้ได้เลย  ร่องรอยของการใช้งานยังคงถูกเก็บเอาไว้บนนั้นอย่างกับว่า ก่อนที่มันจะเข้ามาสู่บ้านหลังนี้ มันคงถูกใช้ประกอบพิธีทางศาสนาอยู่ที่วัดแห่งใดแห่งหนึ่งใกล้ตัวบ้าน

ไม่รู้ว่ามนตร์สะกดบทใดที่ฝังอยู่ในตัวไอ้ภพ  ท่าทางของมันจึงแสดงต่อกระดานดำแผ่นนั้นด้วยความหยาบกร้านและขัดต่อสิ่งที่เกมบอก  หลังจากการยืนมองด้วยเวลาที่นานพอสมควร  ไอ้ภพก็จัดการแย่งขันไปจากมือผมแล้วทำการสาดน้ำที่เหลือลงไปที่กระดานสีเขียวตรงหน้าอย่างแรง  ก่อนที่มันจะปล่อยขันทิ้งลงพื้นจนเกิดเสียงดังบาดหูทันที

“เดี๋ยว ไอ้ภพ  มึงเป็นอะไร?” ผมที่รับมือกับท่าทีไอ้ภพไม่ทัน  รีบร้องถามถึงเหตุผล  พร้อมกับที่มันก็หันมามองที่ผมด้วยแววตานิ่งๆ  แต่ภายในนั้นซ่อนเอาความโกรธอยู่เสียเต็มไปหมด

“มึงไม่เห็นเหรอ  เกมมันเอากระดานที่เขาใช้ในวัดจริงๆมาให้  ดูตรงนั้น  ชื่อของคนตายและวันที่ล่าสุดมันก็ยังลบไม่หมดเลย  ชอล์กที่วางอยู่มันก็ไปเอาของวัดมา”

“แล้วมึงโกรธอะไรภพ  เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าเกมมันก็เป็นแบบนี้”

“กูโกรธที่มันก็รู้ว่ามึงพึ่งจะฟื้น  แต่กลับหยิบยื่นสิ่งของท้าทายถึงตายพวกนี้มาให้มึงเนี่ยนะ  มันจะเกินไปหน่อยไหม?”

“ไม่เกินไปหรอกภพ  เราทั้งคู่รู้อยู่แก่ใจว่าเป้าหมายที่เกมจะสั่งให้ออกไป  มันคือกู”

ไอ้ภพมองผมด้วยตัวสั่นเทิ้มอย่างปิดไม่มิด  ผมจึงต้องรีบเข้าไปกอบกุมไหล่ทั้งสองข้างที่แข็งเกร็งให้คลายลง ปลอบใจให้มันเชื่อในตัวของผม  ก่อนจะปล่อยให้มันยืนผ่อนคลายอิริยาบถเงียบๆด้านหลัง  และหันกลับมาลงมือเขียนรายชื่อที่อยู่ในหนังสือทั้งหมดลงบนที่ว่างในนั้นทั้งหมด

สายตากวาดไล่ไปทีละบรรทัด  ในนั้นระบุชื่อบุคคลรวมทั้งหมดแปดชื่อ  โดยชื่อคนสุดท้ายที่ผมต้องเขียน เล่นทำเอาหัวใจผมกระตุกและแกว่งไปมาด้วยความสงสาร  รายนามของคุณศตวรรษ ถูกหยิบยื่นให้ผมเขียนสดุดีความตายของเขาให้ด้วยในคืนนี้  ราวกับว่าผมกำลังจะได้จัดงานศพเล็กๆให้เขาภายในบ้านไปพร้อมๆกับรายนามพิเศษของอีกเจ็ดคนข้างต้น

รายนามพิเศษ…ที่ใช้นามสกุลเดียวกันทั้งหมด

ตามประวัติที่รับรู้มา  ครอบครัว “อดุลกรไกรเลิศ” คงถูกฆาตกรรมในบ้านหลังที่ไอ้ภพไปเจอ  จนไม่มีใครที่สามารถเข้าไปจัดพิธีกรรมทางศาสนาให้กับครอบครัวนั้นได้  ความแปลกของมันคงมีเพียงอย่างเดียวที่สะกิดใจผมอยู่ทุกช่วงขณะที่จรดปลายชอล์กลงไป  เหตุใดรายการถึงต้องนำพวกเขามาเขียนจัดพิธีศพตรงนี้  ในเมื่อทางนั้นก็รู้อยู่แก่ใจว่านี่ไม่ใช่บ้านที่เกิดเหตุ  อีกทั้งผู้จัดการเกมไปนำรายชื่อของคนเหล่านี้มาได้อย่างไร หากการฆาตกรรมนี้เกิดขึ้นมานานนับสิบๆปี

“มรณะปี 2519 อย่างนั้นเหรอ”

ช่วงที่ผมก้มๆเงยๆไปมองชื่อคนตาย พร้อมกับวันเดือนปีที่เขาเกิดและเสียชีวิต  ไอ้ภพก็ส่งเสียงที่ทำให้คิ้วของผมกระตุกขึ้นมาด้วยความสงสัยทันที  ผมเงยหน้าขึ้นมองกระดานดำที่พึ่งจะละสายตาไปได้เพียงครู่  ตาของผมก็เบิกกว้างชนิดที่ว่าปวดไปทั้งกรอบตา  อีกทั้งห้วงลมหายใจยังกระตุกขึ้นมาอย่างปิดไม่มิด

จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อผมเขียนตามสิ่งที่หนังสือเล่มนี้บอกทุกอย่าง

และในนั้น  มันก็ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนทุกตัวอักษรว่าครอบครัวนี้มรณะไปเมื่อปี 2539

ผมหันรีหันขวางไปรอบบ้านเพื่อมองสิ่งที่จะสามารถทำให้เนื้อความบนกระดานนี่ผิดปกติไป  บรรยากาศรอบตัวผมตอนนี้ค่อนข้างที่จะแปลก  แม้จะมองไม่เห็นอะไร  แต่ความรู้สึกแออัด  เยือกเย็น  และสัมผัสจากลากสังหรณ์มันก็ได้ย้ำเตือนผมมาได้ครู่ใหญ่ๆแล้วว่าดินแดนแห่งคนเป็นตรงนี้  ถูกลุกล้ำโดยคนตายมาได้ระยะหนึ่งแล้ว

“กูคงเขียนผิดหวะ  ในหนังสือนี่มันปี 2539”

ผมบอกปัดไอ้ภพไปด้วยน้ำเสียงที่สื่อถึงความผิด  ขัดกับใบหน้าที่หันมามองตัวเลขบนกระดานด้วยความกังวลจนเหงื่อไหลซึมออกมา ก่อนที่อาการใจเต้นรัวราวกับตีกลองจะเกิดขึ้น ความเย็นจากปลายเท้าและปลายนิ้วกำลังทำให้ผมไม่มีแรงที่จะตวัดลายเส้นเพิ่มได้อีก  แม้ผมจะจับชอล์กบนมือเอาไว้แน่น  หากแต่ไม่สามารถเขียนตัวเลขได้อย่างใจคิด  จนมือและตัวผมเริ่มสั่นเทิ้มไปด้วยความกลัว

….จากสัมผัสของมือเย็นเยียบ ทั้งยังดำคล้ำที่โผล่ทะลุกระดานดำขึ้นมาบีบรัดข้อมือของผมเอาไว้แน่น

“มิว!!  เป็นอะไร?”

“อ๊ะ!!”

ไอ้ภพตบบ่าผมอย่างแรงจนผมหลุดออกจากภวังค์ที่เห็นตรงหน้า พร้อมกับที่สายตาก็รีบตวัดกลับมามองมือนั้นบนกระดานอีกครั้ง  ซึ่งตอนนี้มันกำลังค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปทางด้านหลัง  และไม่รู้ว่าด้วยความตกใจที่มากเกินไปหรือเปล่าชอล์กบนมือของผมถึงได้หักจนเกือบหมดท่อนร่วงไปบนพื้นและกลิ้งไปด้านหลังกระดานนี้ 

“ทำไมถึงไม่เขียน  นิ่งไปทำไม?  หรือเห็นอะไรขึ้นมาอีก”ไอ้ภพถามเสียงแผ่วด้วยความเป็นห่วงปนสงสัย

“ป…เปล่าหรอก ไม่มีอะไร  เขียนต่อเถอะ”

แม้จะรู้ว่าสายตาที่ไอ้ภพมองตอบมาจะเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ  แต่อะไรสักอย่างในตัวผมก็เลือกที่จะสั่งให้เก็บภาพตรงนั้นเอาไว้ในใจก่อน  ไม่อยากแพร่งพรายทั้งหมดออกไปตอนนี้  เพราะกลัวว่าอารมณ์ที่กำลังครุกรุ่นของไอ้ภพจะกลับมาจนทำให้เกมคืนนี้ล่าช้าไปอีก

ผมรีบก้มลงไปเก็บชอล์กที่กลิ้งไปหลังกระดานด้วยคาดว่าจะเอื้อมจากด้านหน้าแทนการเดินอ้อมไปเก็บ  หลีกหนีสายตาไอ้ภพที่มองมาหาผมอย่างจับผิด ก่อนจะได้พบว่า สิ่งที่ผมพยายามจะปกปิดเป็นอันต้องไร้ประโยชน์ไป  เพราะเรื่องราวที่ปรากฏตรงหน้าได้สร้างคำตอบจากร่างกายผมให้ไอ้ภพทั้งหมดแล้ว  ไม่ใช่เพราะมันรู้ตัว  แต่เป็นเพราะผมที่ชะงักค้างนิ่งไป หลังจากที่สายตาได้มองทะลุขาตั้งกระดานไปพบกับสิ่งๆหนึ่งที่ทำให้ด้ามชอล์กหยุดอยู่กับที่

ช่วงขาของมนุษย์นับสิบ  ยืนเรียงรายกันแน่นอยู่ภายหลังกระดานดำแผ่นนี้   อีกทั้ง ขาของหนึ่งในนั้นยังได้ทำการหยุดชอล์กที่เคลื่อนที่  ด้วยการใช้นิ้วโป้งเท้าเหยียบมันเอาไว้  และที่สำคัญ  ร่องรอยของน้ำทั้งเก้าวัดซึ่งโดนแรงโน้มถ่วงของโลกดูดให้ตกลงมาที่พื้น ยังสะท้อนภาพร่างกายของมนุษย์ที่ทำการนั่งแกว่งตัวอยู่บนกระดาน จนขาตั้งเอนหนีศูนย์กลางไปอย่างช้าๆ พร้อมกับส่งสำเนียงพึมพำไม่เป็นภาษาออกมาตามจังหวะการโยก

ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความนิ่งชนิดที่ว่ามีเพียงใจเท่านั้นที่เต้นรัว  แววตาระส่ำระส่ายแสดงออกถึงการชั่งใจระหว่างการกรีดร้องหรือยอมรับความจริงที่ละความสนใจแล้วเอื้อมไปหยิบชอล์กดั่งความตั้งใจแรก  ภาพที่เห็นเล่นเอาช่วงหน้าอกผมคัดแน่น ลมหายใจไม่มีแรงแม้จะปล่อยออก  มือข้างหนึ่งจำเป็นต้องยกขึ้นมาลูบริมฝีปากที่กำลังจะสั่นเบาๆอย่างปลอบประโลม  แต่เนื่องด้วยช่วงขาที่เห็นกำลังค่อยๆย่อตัวลงมาบนพื้น เวลาตัดสินใจของผมจึงลดลงและแปรเปลี่ยนเป็นการหลับหูหลับตากระชากชอล์กจากปลายเท้ากลับคืนที่เดิม

และเมื่อเงยหน้าขึ้นมา  วิญญาณที่เคยนั่งอยู่บนกระดานก็พลันหายไปคล้ายกับมันไม่เคยเกิดขึ้น

หึ หึ

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ดังระงมมาจากวิญญาณตนใดสักตนที่ยืนอยู่  ก่อนที่เสียงนั่นจะเริ่มเพิ่มจำนวนไล่ไปเรื่อยๆคล้ายกับท่วงทำนองของดนตรีที่ฟังเสนาะหูแต่กลับบาดลึกเข้าไปในความรู้สึก จนสรรพางค์กายสั่นเทิ้มอย่างหนัก  มือที่ยึดติดอยู่บนกระดานไม่มีแรงแม้แต่จะเขียนตัวอักษรของรายนามถัดไป  จนสุดท้ายคำสั่งโง่ๆที่เราทั้งคู่ลืมเสียสนิทก็ผุดขึ้นมา เพราะคิดว่ามันคงเป็นสิ่งเดียวที่จะกลบเสียงทุ้มต่ำพวกนั้นให้เบาลงจนถึงขั้นหายไป

“ภ…ภพ  กูว่าเราลืมเปิดเพลงงานศพคลอบรรยากาศ”

“มึงจะไหวเหรอมิว  ใกล้เสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ รีบทำไปเถอะ”

“ยังไม่เสร็จ  ไปเปิดเถอะ  กูขอร้อง  ตอนนี้…บ้านมันเงียบเกินไป” ไอ้ภพไม่เข้าใจแต่ก็พยักหน้ารับ  ก่อนที่มันจะเดินไปหยิบเครื่องเล่นเทปนั่น พร้อมกับเปิดในสิ่งที่ผมคิดว่ามันจะบรรเทาอาการหวาดผวาของผมให้ลดลง

แทบไม่น่าเชื่อว่าการร้องขอให้ไอ้ภพเปิดเสียงที่สามารถสั่นคลอนความมั่นคงของผมได้ จะกลายเป็นสิ่งเดียวที่ผมคาดหวังกับมัน  จนเมื่อทำนองเพลงปี่พาทย์มอญได้เริ่มขึ้น  ผมจึงไม่รอช้าที่จะบรรเลงรายชื่อถัดไปให้หมดสิ้น  ทว่าเพียงแค่ปลายชอล์กสีขาววางลงบนกระดานเท่านั้น  ความคาดหวังทั้งหลายก็พังทลายลงไปอย่างไม่เหลือชิ้นดี

ผมคงลืมไปว่าเพลงที่ใช้บรรเลงเพื่อวิญญาณ  นอกจากมันจะไม่ได้ช่วยคนเป็นอย่างผมแล้วนั้น

มันยังเหมือนเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีที่ได้ทำให้สัมภเวสีเหล่านั้น มีช่วงเวลาที่จะได้…เริงระบำ

ราวกับภาพหลอนที่ยังคอยตามไม่จบสิ้น  ราวกับความหวาดผวาที่ย้ำเตือนให้ผมยังคงกลัวในสิ่งที่ตนเองกำลังท้าทาย  เมื่อหลังจากเพลงเริ่มบรรเลงทำนองช่วงที่บีบคั้นจิตใจผมมากที่สุด  กระดานดำตั้งพื้นตรงหน้าก็เริ่มที่จะสั่นไปมาจนไม่ใช่แค่ผมที่มองเห็น  หากแต่เป็นไอ้ภพที่ได้เคลื่อนตัวมายืนอยู่ใกล้ๆและมองความผิดปกติตรงหน้าด้วยกัน

ไอ้ภพหันหน้ามองผมโดยใช้สายตาที่ติดจะไม่เข้าใจภาพตรงหน้านัก  มันพยายามถามผมผ่านสีหน้าที่เริ่มแสดงออกถึงความหวั่นใจ  แสงเงาเพียงน้อยนิดที่มองเห็น เริ่มตกกระทบกับเม็ดเหงื่อบนหน้าไอ้ภพ บอกให้รู้ว่ามันก็รู้สึกหวั่นเกรงกับวิญญาณไม่ต่างกัน   ดังนั้น ผมจึงต้องรีบส่ายหัวบอกให้ไอ้ภพรู้ว่านอกจากเสียงที่ได้ยินและกระดานดำที่โยกเอน  ผมก็ไม่ได้เห็นอะไรนอกเหนือจากนี้อีกเลย

ดั่งกับกาลเวลา คือตัวแปรสำคัญที่ทำให้วิญญาณพวกนั้นยังคงซ่อนตัว เพื่อรออะไรที่มากกว่านั้น

“มิว  เกิดปัญหา”

“ม…มีอะไร?”

.
.
.
(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่24 กระดานดำ (10/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 10-05-2017 02:11:18
“รายชื่อของคุณศตวรรษ   ไม่มีวันตายระบุเอาไว้”

เมื่อมาถึงรายชื่อสุดท้าย  ผมได้ตัดสินใจที่จะลบรายชื่อทั้งเจ็ดออกไปจากกระดานทั้งหมด  และปล่อยให้พื้นที่ว่างตรงหน้าได้สรรเสริญรายนามที่ผมตั้งใจจะเขียนออกมาให้ดีที่สุด  รายชื่อของคุณศตวรรษพร้อมนามสกุล  ถูกผมใช้ตัวอักษรขนาดไม่น้อยเขียนสดุดีบนกระดานนั่น  โดยมีไอ้ภพเป็นลูกมือคอยอ่านวันเกิดและวันตายตั้งแต่ต้องเขียนรายชื่อของคนตายชื่อที่สอง  แม้กระดานดำที่โยกเอนจะยังคงเกิดขึ้นแบบเดิม ตามระยะเวลาที่เหล่าวิญญาณเห็นสมควร

“ย…อย่างนั้นเหรอ  งั้นเดี๋ยวกูจะเขียนวันที่ ที่กูคิดว่าใช่แทนแล้วกัน”

ผมตอบไปอย่างไม่ทันคิดเท่าไร  เสียงหัวเราะที่ดังคลอกับเสียงงานศพ กำลังทำลายความรู้สึกรับรู้และการตอบสนองของผมไปทีละนิด  การไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะผมไม่เห็นตัว ยังคงเป็นสิ่งเดียวที่สามารถเหนี่ยวรั้งการกระทำของผมให้ดำเนินต่อไปได้  หลังจากตบปากรับคำไป  สมองของผมจึงต้องเค้นไปถึงเรื่องราวที่ผมได้เห็นชื่อคุณศตวรรษเป็นครั้งแรก  แล้วค่อยๆเขียนวันที่ซึ่งผมได้เคยคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้า

ไม่ใช่…ไม่ใช่วันนั้น

เสียงแหบแห้งแต่ทรงพลังดังคุ้นหูผมจนแทบประชิด  พร้อมกับที่ไอเย็นเริ่มห่อหุ้มร่างกายของผมเอาไว้จนเหน็บหนาว  มือของผมเริ่มถูกมือของวิญญาณที่คาดว่าเป็นคุณศตวรรษจับปลายนิ้วให้ขีดเขียนตัวเลขที่ทำให้ใจของผมแกว่งไปมาอย่างควบคุมไม่อยู่  และดูเหมือนไม่ใช่แค่ผมที่ตกใจ  เพราะไอ้ภพที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันนั้น ก็ได้เริ่มส่งเสียงร้องทักขึ้นมาหลังจากได้เห็น  วันที่ที่เราทั้งคู่เคยเดาเอาไว้มากมายถูกทำลายลงด้วยความจริงที่เราสองต่างก็ไม่ได้คาดคิดและเตรียมใจมากพอที่จะรับรู้

แน่นอนว่าวันที่เหล่านั้นพวกเราทั้งคู่ต่างจดจำกันได้เป็นอย่างดี…เพราะในขณะที่คุณศตวรรษต้องทิ้งร่างฝังลงดินไป  มันกลับเป็นขณะเดียวกัน ที่พวกผมต้องเริ่มต้นใช้ชีวิตในบ้านหลังนี้

“มิว…มึงเขียนอะไรลงไป?” เนื้อความร้อนรนของไอ้ภพ  รีบร้องถามข้อเท็จจริงที่ถูกวาดไว้บนกระดาน

“วันตายของคุณศตวรรษไงภพ  เขาเป็นคนที่เขียนวันที่นี้เอง…ไม่ใช่กู”

ไอ้ภพรีบวิ่งเข้ามาลบเนื้อความทั้งหมดออกเพราะกังวลว่าเกมจะสงสัยในการหยั่งรู้ที่เกินไปของพวกเรา  นั่นจึงเท่ากับว่าบัดนี้เกมทุกอย่างใกล้ที่จะเสร็จสมบูรณ์เต็มทน  เพราะเหลืออีกเพียงสองรายชื่อเท่านั้น  ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็จะกลายเป็นเพียงอดีตที่ทำได้แค่ตามหลอกหลอนต่อไปในความฝัน 

สองรายชื่อสุดท้ายคือสิ่งที่หนังสือเขียนกำกับเอาไว้ชัดเจนว่าต้องเป็นชื่อของพวกเราทั้งสองคน  โดยมีกระดาษสองแผ่นนั้นเป็นตัวกำหนดชะตาสุดท้ายของชีวิต  ภายในสามวันข้างหน้านับจากคืนนี้  วันตายของเราทั้งคู่จะถูกจารึกลงบนกระดานดำผีสิงแผ่นนี้  พร้อมกับที่พวกเราได้รู้สึกตัว ถึงสาเหตุที่เราต้องทำพิธีปลุกวิญญาณในกระดานดำนี่ขึ้นมา

“เอาชอล์กมา  เดี๋ยวตรงนี้กูขอเขียนเอง”ไอ้ภพแย่งชอล์กไปจากมือ  พร้อมกับแสดงวิธีการเล่นเกมที่เหลือโดยการตัดสินใจที่จะเขียนชื่อมันลงไปคนแรก

ทันทีที่ไอ้ภพเขียนชื่อและวันเกิดตนเองจบ  กระดานดำที่เคยโยก ก็หยุดนิ่งไม่ไหวติงแทบจะในทันที  ก่อนที่ทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจทั้งหลายของบรรดาสัมภเวสีที่ร้องดังระงมไปทั่วจนกลบเสียงของดนตรีปี่พาทย์มอญไปหมดสิ้น  สร้างบรรยากาศให้ผมต้องยืนนิ่งค้างไปกับสิ่งแปลกๆที่เกิดขึ้นรายล้อมรอบตัว โดยที่ตัวไอ้ภพเองไม่มีทางรับรู้ได้เลยว่า บางอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากมาย  และยิ่งถึงคราวที่มันต้องเขียนวันมรณะนั้น  เสียงหัวเราะมากมาย ก็กลับกลายเป็นเสียงหายใจอย่างแรงคล้ายกับอาการลุ้นและรอคอยบางอย่างจากมนุษย์ที่กำลังท้าทายพวกมัน

“ภพ!! อย่าพึ่งเขียนวันที่มรณะนั้นได้ไหม”

ปั้ง!!!

ราวกับกดสวิตซ์ความเงียบ… เมื่อผมลั่นวาจาออกไป  เสียงที่เคยดังกึกก้องในบ้านก็ดับสูญไปสิ้น  หลังจากนั้นเสียงทุบสิ่งของบางอย่างก็ดังลั่นแทรกความวังเวงของบ้านขึ้นมาจนผมสะดุ้ง  แรงพยาบาทและความไม่พอใจในตัวของผมถูกสะท้อนกลับขึ้นมาด้วยการกระทำที่แสดงออกถึงความอาฆาตของเหล่าวิญญาณพวกนั้น

“ทำไม?  เกิดอะไรขึ้น?”

“มึง…รู้ไหมว่าทำไมเราต้องปลุกวิญญาณ”

“เพราะ?”

สักขีพยานไงภพ  สักขีพยานที่ถูกเรียกเข้ามายืนยันว่ามึงจงใจจารึกความตายของตนเองลงบนกระดานดำหน้าศพแผ่นนี้  จนอาจทำให้ชีวิตที่เหลือของมึงถูกจองจำอยู่ภายใต้ปลายชอล์กบนมือนั่นก็ได้  ตัวตายตัวแทน  มึงคงเข้าใจคำนี้”

“แล้ว…จะทำยังไง  ในเมื่อสุดท้ายกูก็ต้องย้อนกลับมาเขียนอยู่ดี”

“อย่าเขียนวันตายลงไป พร้อมกับที่ชื่อของมึงก็ต้องถูกเปลี่ยนไปด้วย”

สีหน้าของไอ้ภพติดจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ  แน่นอนว่าหากเป็นผมที่อยู่ดีๆก็ถูกสั่งให้ทำตามในเรื่องที่เราต่างก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้  การแสดงออกของผมก็จะไม่ต่างไปจากไอ้ภพ  ฉะนั้นสิ่งเดียวที่จะบันดาลความจริงให้ไอ้ภพเข้าใจทั้งหมด ผมจะต้องเป็นคนกลับมานำเกมคืนนี้ต่อด้วยตนเอง

“เอกภาพ  วันที่มรณะ  กูจะไม่มีวันตายตามคำสั่งของมึง

กระแสเสียงที่เปล่งตามการขีดเขียนของไอ้ภพ  เริ่มไล่น้ำหนักจากแผ่วเบาไปจนเข้มขึ้นเรื่อยๆ  ปลายเสียงของประโยคบ่งบอกทุกความรู้สึกของผู้เป็นเจ้าของว่า ภาวะตอนนี้ของมันเปี่ยมล้นไปด้วยความตึงเครียด  ผมวางชอล์กลงบนร่องกระดานก่อนจะหันไปสบตาของไอ้ภพ  ที่ยังคงจับจ้องไปบนกระดานนั่นด้วยสีหน้าที่เรียกว่าตื่นตระหนก

“มิว  แน่ใจแล้วใช่ไหม? ว่าจะเขียนคำนี้ลงไปจริงๆ”ไอ้ภพเบนมาถามผมด้วยความรู้สึกที่ถ้าผมเดาไม่ผิด  ตัวมันคงไม่ได้กลัวเท่าไรนัก  แต่ดันห่วงเรื่องราวต่อจากนี้มากกว่า หากผมรั้นที่จะไม่ทำตามคำสั่งเกม

“กูเลือกแล้วภพ  ทางนี้นี่แหละที่จะช่วยพวกเราได้มากที่สุด  ตอนนี้บ้านที่เราอยู่มันไม่ได้มีเพียงเราสอง  มึงคงรู้แล้วใช่ไหม ว่าถ้าเราเลือกวันตายของเราลงไปเมื่อไร  เกม…จะไม่ใช่ฝ่ายที่พรากชะตาสุดท้ายของเราไปนะ”

“อืม ถ้ามึงเลือกแล้ว  กูก็จะไม่ขัด”

“ถ้าอย่างนั้น  กูขอเขียนชื่อตัวเองต่อนะ”

กู…จะไม่มีวันตายตามคำสั่งของมึง


แว่วเสียงพึมพำเล็กๆของผู้หญิง  ลอยมาตกกระทบกับแก้วหูของผมจนการเขียนต้องหยุดนิ่ง เสียงนั่นแม้จะไม่ได้ดังก้องกังวานไปเสียทั่วบ้าน  แต่ก็สามารถทำให้ผมได้ยินชัดในทุกๆคำที่เธอคนนั้นพยายามจะสื่อ ไม่ใช่เพียงแค่นั้น  เสียงพึมพำบางอย่างที่ผมได้ยินมาได้สักพัก ก็ยังลอยตามลมมาด้วย

กูจะไม่มีวันตายตามคำสั่งของมึง…

คราวนี้เสียงที่เกิดขึ้นอีกครั้ง  ดังย้ำชัดอยู่เพียงบริเวณด้านหลังของผมนี่เอง  สัญชาตญาณความต้องการที่จะรู้ จึงค่อยๆนำร่างกายของผมให้หันกลับไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่เข้ามามีชีวิตร่วมกันภายในบ้าน  ไอ้ภพที่คงจับสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าและร่างกายของผมได้ ก็ค่อยๆหันตามโครงหน้าของผม ก่อนที่จะหันกรอบตาไปยังจุดที่ผมถึงกับต้องมองค้างและรู้ได้ทันทีว่า เสียงนั่นมาจากใคร

พิธีปลุกวิญญาณได้นำพาสักขีพยานให้มารับรองความตายของผมหากรายชื่อถูกบัญญัติลงไป

บนหลังตู้เก็บของที่ตั้งอยู่ด้านหลัง  ปรากฏร่างของหญิงสาวผิวกายขาวซีดตนหนึ่ง นั่งดีดขาไปมาพร้อมกับปล่อยเสียงพึมพำออกมาอย่างไม่ได้ศัพท์  แน่นอนว่าระยะห่างระหว่างหลังตู้กับเพดานย่อมมีไม่มากพอที่จะให้คนขึ้นไปนั่ง  วิญญาณที่ผมเห็น  ตั้งแต่ช่วงคอขึ้นไปจึงหายเข้าไปในส่วนของเพดาน  มีเพียงเสียงที่ดังออกมาเท่านั้นที่ยืนยันว่าร่างกายตรงหน้ายังคงมีส่วนหัวอยู่

ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้จ้องมองให้นานกว่านี้นัก วิญญาณของผู้หญิงตนนั้นก็ได้เริ่มขยับส่วนหัวของตัวเองออกมาจากเพดาน จนทำให้ปลายผมห้อยย้อยออกมาเป็นอย่างแรก  ไล่มาเรื่อยๆจนสามารถเห็นดวงตาสีแดงกล่ำยามจับจ้องมาที่พวกเรา  วิญญาณตนนั้นกรอกลูกตาไปมาระหว่างใบหน้าของพวกผมและเนื้อความด้านหลัง ก่อนที่เธอจะเลือกสบตากับผมและใช้มือของตนเองล้วงเข้าไปในปาก และกระทำในสิ่งที่ผมไม่มีทางลืมได้อีกตลอดชีวิต

มือของมันค่อยๆขยับกรามล่างเบาๆ ก่อนที่จะกระตุกจนสุดแรงจนทำให้กระดูกส่วนกรามล่างของใบหน้าหลุดและแกว่งไปมาคล้ายคนโดนของกระแทกจนกรามหัก…พร้อมกับที่เหรียญบาทในปากของมันได้ร่วงหล่นกระทบพื้นเสียงดังใสเพราะส่วนปากของมันถูกเปิดจนอ้ากว้าง

ท่าทางสยดสยองที่ผมเห็น เริ่มดันน้ำตาของผมให้คลอหน่วย  ใจเต้นแรงดั่งกลองชุดและยิ่งแรงมากขึ้นไปอีกเมื่อท่าทีของผู้หญิงคนนั้น เริ่มปีนป่ายลงมาจากตู้คล้ายจะคืบคลานเข้ามาหาผม  วินาทีนั้นไอ้ภพก็ได้ยื่นมือของมันเข้ามากอบกุมมือของผมเอาไว้พร้อมกับที่ค่อยๆลูบให้ผมเย็นลง  แน่นอนว่ามันช่วยอะไรไม่ได้มาก นอกเสียจากการเพิ่มความกล้าให้ผมหันหลังกลับไปเขียนสิ่งที่ติดค้างสิ่งสุดท้ายบนกระดานอีกครั้ง

แต่ทว่าเมื่อหันกลับมา  วิญญาณของผู้หญิงคนนั้นก็เคลื่อนย้ายมานั่งบนกระดานพร้อมจับจ้องลงมาที่ใบหน้าของผม  กอปรกับที่ ใบหน้าของผู้เป็นเจ้าของขาดำคล้ำที่ก่อนหน้าเคยยืนอยู่เพียงหลังกระดานดำ  ก็ค่อยๆเคลื่อนตัวโผล่ออกมาจากทั้งสองข้าง จ้องมองมาที่การกระทำของผมอย่างเฝ้ารอด้วยดวงตาที่มาดร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ

ผมสูดลมหายใจของตนเองเข้าออกอย่างช้าๆ  ทำลายอาการแน่นและปวดไปทั้งหน้าอกของตนเอง  แล้วค่อยๆยื่นมืออันสั่นเทาไปเขียนเนื้อความที่ยังไม่จบให้สมบูรณ์  ผ่านการปัดป่ายของบรรดาขาและมือของเหล่าวิญญาณที่รายล้อมรอบกระดานดำแห่งนี้

จวบจนมาถึงที่ว่างสุดท้ายด้านล่างคำที่เขียนไว้ว่าวันที่มรณะ  กระดานที่โยกไหวเพราะหญิงสาวคนนั้นก็พลันหยุดไปสิ้น หนำซ้ำ วิญญาณจำนวนมากมายที่หลบอยู่หลังกระดาน ก็เริ่มพากันเดินออกมายืนเทียบเคียงผม โดยที่สายตาของทุกคู่ต่างก็จับจ้องมองมาที่ข้อมือ พร้อมกับที่ปากของผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มบรรเลงสำเนียงแปลกขึ้นมาอีกครั้ง  แต่คราวนี้ผมสามารถได้ยินชัดและเข้าใจ ว่าสุดท้ายคำพูดนั้นมันคืออะไร

มันคือบทบัญญัติตาย มันคือบทสวด ที่ผมและไอ้ภพได้ท่องกันไว้ก่อนที่จะเริ่มนำน้ำในขันไปทำพิธีในบ้าน

…มันคือบทสวดปลุกวิญญาณ

เขียนไม่ได้เหรอ  หึหึ วันตายของมึง  กูเขียนให้…เอาไหม?


บทปลุกวิญญาณนั่นไม่ใช่แค่ดังมาจากปากของผู้หญิงคนนั้น  หากแต่วิญญาณที่อยู่รอบตัวผมทุกตนต่างก็ท่องประสานออกมาเป็นเสียงเดียวกันจนทำให้บ้านทั้งหลังไม่ต่างไปจากพิธีศพในวัด  ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อทำนองบทท้าทายจบลง วิญญาณหนึ่งเดียวบนกระดาน ก็เคลื่อนกายของเธอลงมาประชิดหน้าผม พร้อมกับร้องถามในสิ่งที่ผมไม่ต้องการจนกลิ่นเน่าเหม็นโชยตลบอบอวลไปทั่วจมูกของผม

หมับ

สัมผัสอุ่นหนาของฝ่ามือด้านหลัง ดึงรั้งผมให้เข้าไปแนบอบแกร่งของไอ้ภพจนผมถึงกับสะดุ้ง  ท่าทีแปลกๆของผมคงไม่อาจรอดพ้นสายตาของมันได้ วิธีการช่วยเหลือสุดท้ายจึงถูกมันหยิบยกขึ้นมาใช้เพราะคิดว่า เกมคืนนี้ร่างกายของผมไม่อาจทนต่อได้แล้ว

“ปล่อยมือออกเถอะภพ กูไม่สามารถหนีอีกต่อไปได้แล้ว”

ช่วงเสียงที่บอกถึงอาการอ่อนแอแต่ยังยืนหยัดในความคิดของผม  ร้องบอกให้ไอ้ภพปล่อยมือออกจากดวงตา ก่อนที่จะนำมือของตัวเองมาดึงมือไอ้ภพที่ยังคงฝืนปกปิดความจริงตรงหน้าของผมไว้ให้เปิดออก

ภาพที่ผมเห็น  เสียงที่ผมได้ยิน ทุกอย่างยังเป็นแบบเดิม ไม่ต่างไปจากความรู้สึกของผมที่ก็ร่ำร้องออกมาแบบเดิมว่ากลัวแต่ผมหนีต่อไปไม่ได้แล้ว  ดังนั้นมืออันสั่นเทาของผมจึงต้องใช้มันกลับไปสู่กระดานดำผีสิงแล้วเริ่มเขียนเนื้อความสุดท้ายที่เป็นบ่วงรัดคอผมให้หมดสิ้น

กูจะไม่มีวันตาย…ไปพร้อมพวกมึง


บริเวณหน้าต่างห้องนอนของบ้านชั้นสอง ปรากฏกายของชายหนุ่มสองคนยืนพูดคุยเสียงเครียด


หลังจากเสร็จสิ้นเกมมรณะ  ไอ้ภพก็จัดการลบรายชื่อของทั้งผมและมันทิ้งจากกระดาน  เหลือเพียงไว้แต่คำพูดท้าทายที่มันคงจงใจทิ้งให้ทีมงานหรือฆาตกรในเกมนี้มองเห็น ก่อนขึ้นมา ไอ้ภพไม่ยอมปล่อยผมให้มองเห็นได้อีกเลยตั้งแต่ผมเขียนเสร็จ  มือของมันถูกใช้ขึ้นปิดตาผมอีกครั้ง ก่อนที่มันจะพาผมเดินขึ้นมาบนห้อง พร้อมกับชวนคุยเรื่องต่างๆกลบเสียงกรีดร้องของวิญญาณที่ผมยังคงได้ยินอยู่…แม้ในขณะนี้

“มิว  วันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง  เล่าให้กูฟังที เอาตั้งแต่เริ่มเลยนะ”

ผมพยักหน้ารับมันเบาๆด้วยภาวะที่ติดจะหวาดผวาจากเสียงที่ได้ยินอยู่เล็กน้อย   ก่อนจะค่อยๆถ่ายทอดทุกเรื่องราวให้ไอ้ภพฟังอย่างละเอียด พร้อมกับที่มันก็ได้ยื่นมือหยาบหนามาสัมผัสหากผมต้องฝืนเล่าส่วนที่เรียกว่าวิญญาณให้มันฟัง จนอดยิ้มตามไม่ได้

“แล้วมึงไปทำอะไรที่หน้าประตูห้องน้ำ”

“ภพ…จำตอนเกมซ่อนหานั่นได้ไหม ที่กูเคยเล่าให้ฟังว่ากูได้ยินเสียงหายใจในห้องน้ำแล้วคิดว่าเป็นมึง เลยขึ้นไปหาหนะ  วันนี้กูได้ยินมันอีกครั้ง  เสียงแบบเดิม จังหวะเดิมทุกอย่างเลย”

“แล้วมันเป็นเสียงของใคร?  ทำไมมึงถึงต้องสนใจขนาดนั้น”

“มันคือเสียงของคุณศตวรรษ  ที่กูต้องสนใจมันมากเป็นเพราะกูต้องเจอเขาตั้งแต่เกมแรก  เขาคือสิ่งที่พากูออกไปข้างนอกนั่น ซึ่งถ้ากูไม่ได้รับการช่วยเหลือจากเขาในช่วงที่ผ่านมา  กูจะคิดว่าเขาจงใจที่จะเอากูออก”

“แล้วมึงคิดว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไร?”

ผมไม่ตอบไอ้ภพทันที  หากแต่เบนสายตาไปยังกำแพงด้านล่างที่กั้นระหว่างบ้านและป่าไว้  ให้บรรยากาศคืนนี้นำพาเรื่องราวในอดีตหวนคืนสู่หัวสมองผม ก่อนจะเริ่มถ่ายทอดเรื่องราวและตำแหน่งที่ผมเห็นทุกอย่างในเกมแรกให้มันเห็นภาพอีกครั้ง 

เรื่องราวคืนนั้นมันมีบางอย่างที่ผิดปกติไปพอสมควร  จนผมอดคิดไม่ได้เลยว่า เกมซ่อนหานั่นวิญญาณคุณศตวรรษต้องการที่จะบอกอะไรกับผม

“ถ้าคืนนั้น รายการนี้มันไม่มีกฎ กูคงได้ตามวิญญาณเขาออกไปเพราะยังคิดว่าเป็นมึง”

“มึงจะบอกว่า  เขาจะนำทางเราไปดูอะไรอย่างนั้นเหรอ”

“อืม…ไม่แน่ว่าฆาตกรอาจเข้ามาซุ่มดูพวกเราอยู่ในทุกๆคืนตั้งแต่วันแรก  สังเกตไหม ว่าช่วงหลังๆเกมมันเหมือนสร้างมาเพื่อกำจัดคนอย่างกู  มันไม่ใช่เพราะความบังเอิญเป็นแน่ แต่เป็นเพราะรายการรับรู้อยู่แล้วว่าใคร คือคนที่อ่อนแอที่สุด”

“มิว…จำเรื่องที่กูเคยบอกได้ไหมว่าลุงมั่นเล่าเรื่องราวแปลกๆออกมาให้กูฟัง”

“เรื่องไหน?  เรื่องบ้านหลังนี้เหรอ”

“อืม  ครั้งนั้น ลุงมั่นได้เล่าว่าแท้จริงแล้วมีคนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ฆาตกรรม เขามาขอความช่วยเหลือจากลุงมั่น  ตอนนั้นสิ่งที่กูค่อนข้างจะแปลกใจเลยคือ ทำไมคนสุดท้ายที่รอดชีวิต ถึงได้ยอมขายเรื่องราวสุดอนาถของตัวเองให้รายการนี้”

“เขาอาจจะ ไม่ได้คิดอะไรแล้วก็ได้มั้ง”

“เป็นไปไม่ได้หรอก คนที่ถูกไล่ฆ่าโดยไม่มีสาเหตุจะลบความทรงจำพวกนั้นไปได้ยังไง  ที่สำคัญคนในครอบครัวเขาตายกันหมด มึงคิดว่าเขาจะทำใจได้เหรอ  เว้นแต่ว่า…”

“ว่าอะไร?”

“ฆาตกร อาจคือผู้รอดชีวิตของครอบครัวนั้น”

“มึงจะบอกว่าลุงมั่นทำงานให้ฆาตกรเหรอ”

“มีสองอย่างนะมิว คือลุงมั่นไม่รู้จริงๆว่าผู้ว่าจ้างเป็นฆาตกร อาจจะด้วยความใกล้ชิดยามที่เคยช่วยเหลือ  กับ การที่ลุงมั่นเองนั่นแหละที่อาจจะเป็นฆาตกร”

“เพราะอะไร ถึงคิดแบบนั้น?”

“วันที่มรณะนั่นไง  เดิมทีมันถูกกำหนดเอาไว้เมื่อปี 2539  แต่ที่มึงเขียนมันกลับถูกเปลี่ยนไปเป็นปี 2519  กูรู้นะมิวว่ามึงไม่ได้เขียนผิด  ฉะนั้นถ้าเรื่องเกิดเมื่อปี 2539 ลุงมั่นก็จะตรงประเด็นกับในข้อแรก  แต่ถ้าหากเป็นข้อที่สอง  ลุงมั่นก็อาจจะเป็นฆาตกร”

“ไม่คิดบ้างเหรอว่า ลุงมั่นถูกสั่งให้พูดออกมาแบบนั้น  วันนั้นมึงก็บอกกูว่าเขากำลังโดนทีมงานทำร้าย”

“อืม กูถึงใช้คำว่าอาจจะไง  คนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลุงมั่นและสามารถเป็นฆาตกรในเกมนี้ได้ต้องไม่ใช่แค่หลบอยู่เบื้องหลัง หากแต่พวกมันจะต้องคอยจับตาดูเราอยู่ตลอด  ดังนั้นปมที่เราขยายไปกว้าง กูจึงตัดตัวเลือกออกมาเพียงเท่านี้ ไม่ลุงมั่น ก็ต้องเป็นลุงคำ”

“ภพ…ลองเล่าเรื่องที่มึงได้ฟังทุกอย่างจากลุงมั่นมาให้หมดได้ไหม  บางทีมันอาจจะถึงเวลาที่กูต้องรับฟังเรื่องโกหกที่เหลือ”

ไอ้ภพไม่ได้ขัดอะไรเพิ่มเติมอีก หลังจากนั้นมันก็ทำการถ่ายทอดเรื่องราวที่ทำให้ผมคิ้วขมวดเพราะรู้สึกติดขัดในเนื้อหา  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของเด็กชายที่เคยมาขอความช่วยเหลือ  หรือจะเป็นเรื่องราวของเด็กชายในห้องพิมพ์ดีดที่ครั้งหนึ่งลุงมั่นเคยหยิบยกขึ้นมาเตือนไอ้ภพ เนื่องจากการอยากรู้อยากเห็นที่มากเกินไปของมัน

“มึงคิดว่า…ใครกันที่เป็นคนถือความจริงเอาไว้” ผมถามไอ้ภพด้วยเนื้อเสียงเคร่งเครียด

“สักคนแหละมิว  แต่คนๆนั้นต้องไม่ได้ใช้นามสกุล อดุลกรไกรเลิศ”

หลังจากพูดคุยเสร็จแล้วนั้น ไอ้ภพก็ขอแยกออกไปอ่านสิ่งที่ผมเขียนเอาไว้ก่อน แล้วปล่อยให้ผมดื่มด่ำกับความรู้สึกของตนเองผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน  จนกระทั่งความง่วงได้เข้ามาคุกคามความต้องการผม

แค่เสี้ยววินาทีที่ผมจะหันหลังกลับมาที่เตียง  สายตาของผมก็ไปสะดุดกับบุรุษร่างๆหนึ่งเข้า  ด้วยท่าทางที่แสดงออกถึงการพยายามด้อมๆมองๆเข้ามาในบ้าน  ได้ทำการสะกิดหัวใจของผมให้สั่นคลอน 

สิ่งที่มองเห็นอาจเรียกได้ว่า มันน่ากลัวยิ่งกว่าวิญญาณมากมายข้างล่างนั่น

หากแต่มัน ก็ไม่เท่ากับความผิดหวังอย่างแรงที่ได้เข้ามาย่ำยีความเชื่อมั่นสุดท้ายที่ผมมี ยามที่ต้องยอบรับความจริง

ลุงมาทำอะไรในเวลานี้   ในบ้านหลังนี้…ลุงคำ





************************************************TBC*****************************************เอาภพมิวมาส่งแล้วนะครับผมมมม  ยังมีใครรออยู่มั้ยครับ 5555
ต้องขอโทษทีสำหรับการมาลงล่าช้านะครับ  ขออนุญาติเทเวลาไปให้การสอบนิดนึงนะ
ขอบคุณทุกๆการติดตามภพมิวนะครับ  ทุกคอมเมนต์ ทุกการแชร์ ทุกการพูดคุยเป็นกำลังใจให้ผมมาก ปลื้มปริ่ม
เหมือนเดิมนะครับ  สามารถติชมกันได้ทั้งในนี้และใน #Nightmaregame นะครับ ผมรอดูอยู่
ถ้ามีคำผิดหรือประโยคที่ไม่ลื่นไหลบอกผมได้นะครับ
เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่24 กระดานดำ (10/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: nuchhxk ที่ 10-05-2017 03:43:53
อ้าวลุงคำ.. หวังว่าจะไม่หักมุมนะคะ  :sad4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่24 กระดานดำ (10/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 10-05-2017 09:37:13
ลุงคำเรอะ?! ชักจะลึกลับซ้อนเงื่อนเข้าไปทุกทีแล้วสิ :katai1: ติดตามตอนต่อไปค่า :mew1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่24 กระดานดำ (10/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-05-2017 09:52:30
ลุงมั่นก็น่าสงสัย ลุงคำก็น่าสงสัย
แต่น่าจะมีเบื้องหลังอีก ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่24 กระดานดำ (10/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 10-05-2017 10:48:13
ในตอนนี้มิวเข้มแข็งขึ้นมาก ปรบมือรัวๆ

ว่าแต่ไม่ว่าใครก็น่าสงสัยหมด :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่24 กระดานดำ (10/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-05-2017 14:36:45
เห้ออ!! น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่24 กระดานดำ (10/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 10-05-2017 14:38:28
อย่างที่ว่า ใจคนน่ากลัวกว่าผี
 :mew4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่24 กระดานดำ (10/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 10-05-2017 15:20:53
อ้าว ลุง  :katai4: :katai4: ลุงไหนซักลุงเนี่ยแหล่ะต้องเป็นฆาตกร  :ling1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่24 กระดานดำ (10/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 11-05-2017 10:30:46
หรือลุงคำนี่แหละจะเป็นฆาตกร
คนนี้แหละน่ากลัวกว่าผีเยอะจริงๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่24 กระดานดำ (10/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 11-05-2017 17:56:17
 :a5: มายก้อดดด ตอนนี้คนน่ากลัวเกินไปละ ปริศนาเยอะไปไหม โฮกกกกก
ปรบมือรัวๆให้มิว เข้มแข็งมากจีๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่24 กระดานดำ (10/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 13-05-2017 13:42:33
ใกล้เข้ามาอีกนิดแล้ว รออ่านตอนต่อไปน้า
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 17-05-2017 03:01:34
ตอนที่25

กลโกง


ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่ปวดหนึบบริเวณหัวตาเนื่องจากนอนไม่พอ เรื่องของลุงคำเมื่อคืนยังคงติดค้างอยู่แม้ในฝัน ผมไม่อาจจะหาเหตุผลมาปลอบใจตนเองได้เลย ภาพท่าทีของการเคลื่อนไหว มันบอกให้ผมรับรู้ว่านั่นไม่ใช่ภาพลวงตา มันคือเรื่องจริงที่ผมต้องยอมรับ ผมถึงได้นอนคิดมาตลอดคืน จนกระทั่งเมื่อครู่ เสียงคุยกันดังขโมงด้านล่างก็ปลุกผมตื่นโดยพลัน

ผมหันสายตาไปมองไอ้ภพที่ยังคงหลับใหลอยู่บนเตียงด้วยท่าทีอ่อนล้า  เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมเลยตัดสินใจที่จะเดินลงจากห้องเพื่อไปพบกับบุคคลที่ก่อให้เกิดเสียงดังชวนน่ารำคาญข้างล่าง แล้วจัดการถามหาสาเหตุที่นำพาให้พวกเขาเดินทางเข้าสู่ตัวบ้านหลังนี้อีกครั้ง

แปะ แปะ แปะ

“ปรบมือต้อนรับ วีรบุรุษวิญญาณเมื่อคืนหน่อยครับ”


เสียงเอ็ดตะโลของคนกลุ่มหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับประโยคชวนให้คิ้วกระตุก  เนื้อความเหล่านั้นไม่ได้หมายความดั่งที่พวกเขาว่า  หากแต่เป็นการประชดประชันทางเนื้อเสียงและปล่อยให้สีหน้าแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาทั้งหมด  ไม่ว่าจะเป็นแววตาเย้ยหยัน  มุมปากเหยียดยิ้ม หรือจะการขยับมือปรบให้ผมเล็กน้อย ทุกสิ่งอย่างหลอมรวมให้ภาพตรงหน้ากลายเป็นการหาเรื่องมากกว่าจะประสงค์ยินดี

“พวกคุณ…เข้ามาหาผมถึงที่นี่ มีอะไรกันครับ”

ผมตอบกลับด้วยกระแสเสียงที่ไม่เป็นมิตรนัก  หากแต่ยังคงรักษามารยาทที่ยังจำเป็นเอาไว้ ทีมงานที่เข้ามาชุดนี้ไม่ใช่ทีมเดียวกับที่พาผมไปวัด  พวกเขาคือคนที่เข้ามาทำร้ายไอ้ภพตอนผมสิ้นสติไป ฉะนั้นผมจึงไม่อาจทำตัวราวกับว่าบาดแผลไอ้ภพไม่เคยเกิดขึ้นได้

“แหม่ คุณมิวเล่นทำเสียงแข็งแบบนี้ ผมไปต่อไม่เป็นเลยนะครับ”

“แล้วจะไปไหนละครับ? อย่ามาหาเรื่องกันดีกว่า มีอะไรก็รีบๆบอกมา”

“555 หยอกเล่นนิดเดียว ทำจริงจังนะครับ…เอาเป็นว่าคุณรีบไปอาบน้ำ แต่งตัว เตรียมตัวเองให้พร้อมดีกว่าครับ เพราะวันนี้  เราต้องเดินทางไปข้างนอก  อีกครั้ง”

“ไปไหนครับ?  ภารกิจนอกบ้านไม่ยังไม่หมดอีกเหรอ  นี่ผมชักสงสัยจริงๆแล้วนะว่าบ้านนี้มันมีผีจริงไหม  ทำไมพวกคุณถึงรั้งแต่จะพาผมออกไปข้างนอก”

“มีไม่มีผมไม่รู้หรอกครับ  แต่ที่แน่ๆสถานที่ที่ผมจะพาไป มันมีแน่นอน  อีกอย่าง น้ำทั้งเก้าวัดที่เหลือ มันก็ยังไม่ถูกใช้นี่ครับ

ไม่รู้ว่าพวกมันจะเห็นปฏิกิริยาของผมหรือเปล่า  พวกมันถึงได้พากันยิ้มอย่างถูกใจเมื่อพูดจบ  แน่นอนว่าพิธีกรรมของน้ำเก้าวัด  พวกผมทั้งสองคนรู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันมีไว้ทำอะไร  ฉะนั้น สถานที่แห่งใหม่ที่เกมบังคับพาผมไป นั่นจึงต้องไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยอย่างวัดคราวก่อนเป็นแน่  ใบหน้าของผมจึงแสดงออกถึงอาการตกใจจนแทบผวาเพราะไม่อาจตั้งรับกับสิ่งที่พร้อมจะเปลี่ยนชะตาชีวิตของผมไปอีกครั้งได้ทัน

“โกงกันเห็นๆเลยนะครับ รายการนี้”

“ใครที่โกงก่อนครับ?  หลักฐานมันก็ยังคาอยู่บนกระดาน ถ้าจำไม่ได้ก็หันไปมองนะครับ…รีบขึ้นไปปลุกชู้รักของคุณเถอะ  เมื่อคืน กิจกรรมที่ทำกันคงหนักมากใช่ไหม  ถึงได้ไม่รู้เลยว่านี่มันจะบ่ายสองแล้ว”

“นั่นปากหรืออะไรครับ เน่าเหม็นขนาดนี้ ไม่ทราบว่ามีใครไปตายในนั้นหรือไง”

“ตอนนี้ยังไม่มีหรอกครับ  แต่คาดว่าอีกไม่นานคงได้มี  ปากของผมวันนี้ มันพาพวกคุณตายได้เลยนะครับ

“ถ้าอย่างนั้นก็เก็บไว้เตือนตัวเองเถอะครับ มันคงไม่ได้พาผมตายได้อย่างเดียว อย่าลืมสิ ใครที่อยู่ใกล้ปากคุณมากที่สุด คุณหรือผม?”

“เก่งให้ได้ตลอดนะครับเผื่อว่าเกมวันนี้มันจะสนุกขึ้น  อีกอย่าง หากไปถึงสถานที่วันนี้แล้ว ก็ช่วยท้าทายแบบเมื่อคืนด้วยนะครับ  รู้ไหม ว่ามันเป็นกระแสมาก จนผมอดคิดไม่ได้เลยว่า ใครกันที่คิดจะฆ่าคุณ?


ลมยามเย็นโชยเอาใบไม้ที่หล่นร่วงอยู่บนพื้นปลิวว่อน พัดพาเอาความรู้สึกของความทรมานให้หวนกลับมา

“ที่นี่หรือ…คือโรงพยาบาลร้าง”


สองขาของเราทั้งคู่ ก้าวลงจากรถตรงหน้าตึกสูงใหญ่แห่งหนึ่ง  เครื่องหมายบวกเด่นหราติดอยู่บนป้ายผุพังชั้นบนสุด บอกกล่าวให้รู้ว่า สถานที่สำหรับเล่นเกมภายในคืนนี้คือสิ่งที่เคยเป็นสถานที่ปลอบประโลมสุดท้ายของบรรดาเหล่าผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย ก่อนที่มันจะเกิดเหตุการณ์บางอย่าง ซึ่งนำพาให้ที่แห่งนี้มีเพียงความรกร้างและวังเวงเท่านั้นเข้ายึดครอง

หลังจากจบการสนทนากับทีมงาน  ผมก็ได้รีบวิ่งขึ้นไปหาไอ้ภพบนบ้านเพื่อที่จะปลุกให้มันมารับฟังกลโกงของรายการนี้  หากแต่ยังไม่ทันจะได้เปิดประตู ไอ้ภพก็พุ่งถลาออกมาจากห้องด้วยใบหน้าที่ติดจะไม่พอใจบางอย่างอยู่  คาดว่ามันคงตื่นมานานแล้ว และคงได้ยินในสิ่งที่ผมกระทบกระทั่งกับทีมงานพอดี

การห้ามปรามด้วยปราการความอดทนสุดท้ายของผม  ดึงรั้งให้ไอ้ภพกลับเข้าสู่ตัวห้องอีกครั้ง แล้วปล่อยให้เวลาไหลพากิจกรรมต่างๆที่เราจำเป็นต้องทำให้ลุล่วง  การอาบน้ำ  กินข้าว หรือกิจกรรมเล็กๆที่พากันถ่วงเวลาให้ทีมงานรอนานที่สุดกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ระยะเวลาถูกยืดออกอย่างไม่ควรจะเป็น ก่อนที่คำสั่งเดินทางจะถูกเอ่ยขึ้นเป็นจริงเป็นจัง

ระหว่างการเดินทาง ทีมงานพวกนั้นต่างก็พากันพูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนราวกับว่า โลกภายนอกบ้านหลังนี้ได้เกิดปรากฎการณ์ครั้งใหญ่ที่สามารถดึงกระแสของเกมให้ดีขึ้น  แต่เมื่อทุกอย่างหมดประเด็นไป  การหันมาถากถางไอ้ภพเรื่องบาดแผลจึงกลายเป็นเรื่องสนุกปากของคนกลุ่มนั้น จนไอ้ภพต้องนั่งหน้านิ่วไปด้วยความอึดอัด

สุดท้ายเมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัวเข้าสู่ตึกระฟ้ารกร้างตรงหน้า การพูดคุยที่หนาหูเมื่อครู่ก็พากันหายเงียบไปราวกับสิ่งที่เห็นกำลังร่ายมนตร์สะกดพวกเราให้มองความพิศวงจนต้องนิ่ง  โรงพยาบาลแห่งนั้น เดิมทีคงถูกจัดบริเวณให้โล่งเตียนพอสมควร  ยามเมื่อถูกปล่อยให้ร้าง ต้นไม้ใบหญ้าถึงได้ไม่ขึ้นมาระเกะระกะมากมายเท่าไรนัก  แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นที่สนใจเท่ากับบางอย่างที่รายล้อมรอบสถานที่

สายสิญจน์สีขาวเส้นบาง ถูกนำมาห้อมล้อมที่แห่งนี้ไว้ทุกสารทิศ กักขังความน่ากลัวบางอย่างให้หลับใหลอยู่ภายในนั้น

“ทำไม ถึงไม่มีใครบอกกูก่อนวะว่าจะมาท้าทายที่แบบนี้”

“กูจะรู้หรือไงว่ามันจะเป็นโรงพยาบาลร้าง คนขับรถ แม่งไม่บอกอะไรกูสักคำ”

เสียงหวั่นวิตกของทีมงานข้างตัว ดังแผ่วเบาราวกับต้องการที่จะให้บทสนทนาเมื่อครู่ได้ยินแค่ในกลุ่ม  แต่ด้วยความที่สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความเงียบและวังเวง แน่นอนว่าความกลัวที่แผ่ซ่านออกผ่านเนื้อเสียงเหล่านั้นไม่อาจเล็ดลอดแก้วหูของผมไป จนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองท่าทีของทีมงาน

การจับกลุ่มเบียดชิดกันแน่น สร้างภาพที่ทำให้ผมและไอ้ภพสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับทีมงานเหล่านั้น  เหตุใดถึงได้แสดงออกว่ากลัวนักหนาทั้งๆที่เกมวันนี้มันต้องเป็นพวกผมที่เข้าไปท้าทายในนั้น กลับกันไม่รู้ว่าความเคยชินหรือปลงในชะตาชีวิตตนเอง ท่าทางของฝ่ายผมจึงไม่ได้แสดงออกถึงความทุกข์ร้อนใดๆออกมาและยังคงสงวนท่าทีสบายๆเอาไว้ได้

“เอาอย่างนี้  เดี๋ยวพวกมึงดูพวกมันสองคนไว้ แล้วเดี๋ยวที่เหลือกูจะจัดการให้”

กระแสเสียงของบุคคลที่คาดว่าจะเป็นหัวหน้าทีมงาน  ดังขึ้นปลอบขวัญลูกน้องที่ยังทำท่ากลัวอยู่แม้จะในขณะนี้  ก่อนที่เขาจะเดินแยกตัวออกไปที่ไหนสักแห่งเพื่อทำการติดต่อหาใครสักคนที่สามารถจะช่วยบรรเทาเหตุการณ์ตรงหน้าให้ผ่อนคลายลงได้

“ไม่ทราบว่า น้ำเก้าวัดที่ผมต้องใช้อยู่ที่ไหนครับ  เดี๋ยวอีกไม่นานผมคงต้องเข้าไปแล้ว ช่วยเอาออกมาเตรียมให้ด้วยครับ”

ไอ้ภพ เดินเข้าไปส่งเสียงแทรกการพูดคุยของทีมงานตรงหน้าจนคนเหล่านั้นสะดุ้ง  สายตาของผมจับได้ถึงความผิดปกติบางอย่างที่คนกลุ่มนั้นล้วนแสดงออกมาอย่างเกินกว่าเหตุ จนอดไม่ได้ที่จะเพ่งพินิจดูพฤติกรรมของแต่ละคนอย่างช้าๆเพื่อหาทางคลายข้อสงสัยที่ถูกตีจนขุ่นในใจผม 

หนึ่งในนั้นรีบตั้งสติ ก่อนจะเดินแยกเข้าไปในตัวรถเพื่อหยิบถุงๆหนึ่งซึ่งบรรจุน้ำเอาไว้ภายในนั้นแล้วยื่นให้ไอ้ภพ ก่อนที่สายตาพวกเขาจะจับจ้องไปที่โรงพยาบาลตรงหน้าด้วยความหวั่นเกรงอีกครั้ง

“มึงว่า ทีมงานพวกนั้นแปลกๆไหม?”

“อืม กูสังเกตมาได้สักพักละ ไม่รู้ว่าพวกมันจะกลัวอะไรนักหนา ทั้งๆที่คนที่ต้องเข้าไปในนั้นมันคือพวกเรา”

ผมหันไปถามไอ้ภพระหว่างที่มันเดินกลับมา  พร้อมกันนั้นสายตาของพวกเราก็ได้ทำการเบนเข้าไปยังโรงพยาบาลตรงหน้าบอกไม่ถูกเลยว่ายามที่ได้จับจ้องตรงๆแบบนี้ มันจะเกิดความรู้สึกอะไรขึ้นมาได้บ้าง ผมรู้แค่ว่าตึกพวกนั้น อุดมไปด้วยสังหรณ์ใจแปลกๆ  ไม่ว่าจะเป็นความน่ากลัว  ความทรมาน  ความหวาดผวา ทุกอย่างผสมปนเปกันไปจนแม้แค่มองป้าย ใจของผมก็เริ่มเต้นแรงจนห้วงลมหายใจกระตุกขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ภพ เดี๋ยวกูมานะ  ถ้าทีมงานถามให้บอกว่ากูไปฉี่”

“มึงจะไปไหน?”

“ไปหาทีมงานคนนั้น กูว่าเขาต้องซ่อนอะไรบางอย่างที่นอกเหนือจากการท้าทายเอาไว้แน่ๆ  อีกอย่างขอน้ำเก้าวัดนั่นด้วย”

“เอาไปทำอะไร?”

“ขอกูพกไปเถอะ…เผื่อได้ใช้”

หลังจากรับถุงน้ำเก้าวัดจากมือไอ้ภพ ผมก็รีบวิ่งไปยังเส้นทางที่ทีมงานคนนั้นเดินแยกออกไป ซึ่งแน่นอนว่า เส้นทางเหล่านั้นถูกผมจับจ้องไปอย่างไม่ละสายตา เพียงเพื่อจะหาโอกาสเล็กๆที่จะได้เข้าไปค้นหาคำตอบนอกเหนือจากโรงพยาบาลร้างแห่งนี้ด้วยตนเอง

“ช่วยผมหน่อยนะครับ…ที่นี่มันน่ากลัวมาก อย่างน้อยก็ให้แค่สองคนนั้นก็พอ”

เสียงขอร้องอ้อนวอนคนในสายดังเข้ามาแต่ไกล  จนขาของผมต้องเร่งฝีเท้าเข้าไปหาต้นเสียงนั่น  ทีมงานคนนั้นกำลังถือโทรศัพท์คุยกับใครสักคนอยู่ที่บริเวณด้านข้างของตัวโรงพยาบาล ซึ่งในขณะนี้ยังพอมีแสงน้อยๆยามพลบค่ำส่องให้เห็นทางอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้พื้นที่ตรงนี้ดูน่ากลัวขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว

“ถ้าอย่างนั้น เอาตามที่คุณว่าก็ได้ครับ มันน่าจะโอเคสำหรับพวกเรา”

ผมรีบหลบเข้าไปยังส่วนที่คิดว่าจะบังผมได้มิด เมื่อบทสนทนาที่ได้ยินเมื่อครู่จบลงพร้อมน้ำเสียงที่เรียกได้ว่า ปลายสายนั่นคงมีข้อเสนอให้กับทีมงานจนเขาพอใจอยู่ไม่น้อย ก่อนที่เขาจะยืนอยู่นิ่งๆและหันมาสบตาผมที่กำลังแอบมองเขาอยู่อย่างเร็ว

“ไม่ต้องแอบหรอกครับคุณมิว…เรื่องที่ผมคุย ยังไงคุณก็ต้องได้รู้”

“นี่มันอะไรกัน ทำไมต้องทำเป็นมีลับลมคมในมากมายด้วยครับ ทีมงานที่มากับคุณนั่นอีก ทำไมเขาต้องแสดงท่าทีหวาดกลัว ทั้งๆที่ผมต้องเป็นฝ่ายเข้าไป?”

คำถามมากมายพรั่งพรูออกมาแบบไม่คิดว่าคนฟังจะรับข้อมูลได้ทันทั้งหมด  หากแต่คำตอบที่ได้รับกลับมีเพียงเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆพร้อมกับอาการส่ายหน้าเล็กน้อยของทีมงานที่ทำเหมือนว่าสิ่งที่ผมถามไปเป็นเรื่องตลกขบขันเสียเต็มประดา จากนั้นทีมงานหนึ่งเดียวตรงหน้าก็ค่อยๆก้าวมาหาผมอย่างช้าๆแล้วก็เดินผ่านผมไปโดยมีเพียงการกระทำบางอย่างเท่านั้นที่สามารถตอบแทนทุกอย่างให้ผมฟังได้

การกระทำ ที่มีเพียงนิ้วชี้จากมือข้างหนึ่งยกขึ้นมาปาดไปที่บริเวณลำคอจนคล้ายกับว่านั่นคือสิ่งที่ผมจะต้องโดนต่อจากนี้

ผมยืนตัวแข็งทื่อไปด้วยความไม่เข้าใจบวกกับความโมโหในพฤติกรรมของทีมงาน  สิ่งที่ผมจะต้องโดนกระทำไม่ต่างไปจากหมากในกระดาน เหตุใดคำชี้แจงเล็กๆน้อยๆถึงยังไม่มีออกจากปากใครสักคน  ทุกอย่างในนี้ดูเหมือนจะเป็นความลับไปเสียหมด จนอดคิดไม่ได้เลยว่า วันพรุ่งนี้ของผม มันจะมีอยู่จริงตามคำอธิษฐานในทุกๆวันไหม

เมื่อความมืดมิดเริ่มย่างกรายเข้ามาเยือน ผมจึงต้องรีบพาตนเองออกจากความวังเวงตรงนี้   แล้วรีบเดินจนขาพันกันไปหมด เพื่อให้กลับไปหาไอ้ภพโดยเร็วที่สุด  เลยไม่ทันได้สังเกตว่าขาของผมได้ไปสะดุดเข้ากับเส้นสีขาวบางๆเส้นหนึ่งจนล้มแล้วทำให้สายสิญจน์ตรงนั้นขาดออกจากกัน 

เดิมทีความตั้งใจของผมคือการรีบลุกออกไปจากตรงนี้ หากแต่เมื่อลองไล่ตามความยาวของสายสิญจน์ไป  ศาลพระพรหมขนาดใหญ่ก็ปรากฏแก่สายตา  ตามคำบอกเล่าทั้งหลายเคยกล่าวเอาไว้ว่า  ที่ใดที่มีศาลพระพรหมไปตั้งอยู่ ที่นั้นย่อมมีความแรงที่ไม่อาจคาดเดาได้จากภูตผีหรือวิญญาณ ดังนั้นความคิดบางอย่างของผมก็โผล่พ้นความกลัวขึ้นมาจนอดไม่ได้ที่จะต้องนำพาตนเองให้กลับเข้าสู่วังวนของวิญญาณในโรงพยาบาลแห่งนี้อีกครั้ง

“ไปไหนมา?”ไอ้ภพคว้าตัวผมไปถามด้วยความร้อนรนทันทีที่ผมเดินกลับมาถึงจุดที่รถตู้จอดเอาไว้

“ขอโทษที…พอดีไปทำอะไรมานิดหน่อย”ผมตอบไอ้ภพด้วยท่าทีที่พยายามทำตัวให้สบายที่สุด  ทั้งที่ภายในใจกลับปั่นป่วนไปหมด

“แล้วน้ำเก้าวัดไปไหนแล้ว?”

“กู…ก็เอาไปราดๆแถวนี้หมดแล้ว  เชื่อสิ ยังไงทีมงานก็ต้องให้เราทำ”

ไอ้ภพพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนที่มันจะชี้ไปทางทีมงานซึ่งกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่  เห็นได้ชัดว่าหลังจากสายโทรศัพท์บางอย่างนั่น สีหน้าของแต่ละคนก็เปลี่ยนไปราวกับได้น้ำมนตร์จากเกจิอาจารย์ดังมารดหัว  อีกทั้งกระแสเสียงหัวเราะร่วนที่ผมได้ยินอยู่เนืองๆ ยังทำให้ผมรู้ว่านอกจากที่เขาจะพอใจกับการปลอบประโลมนั่นแล้ว  อะไรบางอย่างก็คงไปทำให้เขารู้สึกสนุกกับเกมขึ้นมาด้วย

“อ้าว!! คุณมิว กลับมาแล้วหรอ ไปทำอะไรมานานจังครับ? หรือว่า รู้อยู่แล้วว่าน้ำเก้าวัดต้องเอาไปทำอะไร”คำพูดถากถางของหัวหน้าทีมงาน ดังพร้อมกับการร้องถามถึงสิ่งที่ไอ้ภพพึ่งจะขอมา

“ครับ ผมรู้อยู่แล้ว เลยไปทำเรื่องบางอย่างมา คิดว่า…คงทำให้เกมสนุกขึ้น”

“ดูคุณไม่กลัวเลยนะครับวันนี้  ไม่ทราบว่าไปรับยาดีที่ไหนมาครับ”

“ผมยังคงกลัวครับ แล้วผมก็รู้ด้วยว่าพวกคุณก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่จะให้ทำยังไงได้ครับ ในเมื่อผมก็ต้องเข้าไปอยู่ดี”คำพูดที่แสดงออกถึงความมั่นใจถูกผมตอบกลับออกไปจนทีมงานหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย  หากแต่แวบเดียวเท่านั้น

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอข้ามการอธิบายเรื่องกติกาทั่วไปนะครับ เพราะดูพวกคุณคงรู้อยู่แล้ว”

คำว่าทั่วไปของทีมงาน ทำให้ผมและไอ้ภพรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  ตอนนี้เค้าลางบางอย่างในท่าทีของทีมงานเมื่อพักใหญ่ๆที่ผ่านมาได้สะกิดต่อมความสงสัยและสัญญาณเตือนภายในกายของพวกผมแล้วว่า สิ่งที่พวกผมต้องทำภายในนั้นจะไม่เหมือนดั่งเกมก่อนๆ  มันจะต้องมีอะไรสักอย่างที่ซุกซ่อนเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้มของทีมงานพวกนั้น

“กติกาทั่วไป?  หมายความว่ายังไงครับ  มีอะไรที่ผมต้องรับทราบมากกว่านี้เหรอ”ไอ้ภพพูดตอกกลับด้วยความไม่พอใจ

“ใช่ครับ  เกมวันนี้เรามีกติกาพิเศษมาให้พวกคุณด้วย…ก่อนอื่น คงต้องขอแสดงความยินดีกับพวกคุณด้วยนะครับ ที่ไม่ต้องเข้าไปเพียงสองคน  กติกาที่สร้างมาระบุให้มีทีมงานสองคนเข้าไปร่วมเกมกับพวกคุณด้วยครับ”

“มีแค่นี้เหรอครับ?”ไอ้ภพถามกลับด้วยไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไรนัก  เนื่องด้วยท่าทีหลายๆอย่างของทีมงานมันก็ได้บอกถึงกติกาข้อนี้ไว้อยู่แล้ว

“ไม่ครับ ยังมีอีก กติกาพิเศษที่ถูกสร้างมา  ระบุให้พวกเราสี่คน เดินเข้าไปเล่นเกมในตึกนั้นทีละคน โดยใช้ช่วงการเดินเข้าไปห่างกันคนละ 30 นาที  ทางทีมงานที่เหลือจะจัดเตรียมไฟฉายและนาฬิกาเอาไว้ให้ เนื่องจากถึงแม้จะเข้าไปแล้วพวกคุณก็ต้องเริ่มทำกิจกรรมตามเวลาที่กำหนด  ส่วนหากเข้าไปพวกคุณจะต้องไปที่ไหนนั้น ทางเราจะจัดเตรียมฉลากเอาไว้ให้ครับ”

“แล้วใครคือคนที่ต้องเข้าไปก่อน?”ผมรอฟังกติกาด้วยใจระทึก หลังจากคำถามนั้นทีมงานก็รีบหันมองหน้ากันอย่างปรึกษาแล้วก็หันมาที่ตัวผมพร้อมกันทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัยแล้วว่าผู้โชคร้ายคนนั้นเป็นใคร 

“เขาคือคนที่กำลังถามผมอยู่ครับ”

ผมยืนเงียบไม่พูดไม่จาหลังจากการได้รับคำยืนยันจากปากทีมงาน จากนั้นมุมปากของผมก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อยเพื่อแสดงออกให้เขาเห็นว่า ไม่ต้องรอให้เขาบอกผมก็คาดเดาคำตอบของตนเองไว้ได้อยู่แล้ว  ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างของเกมนี้มันถูกใช้ออกแบบมาเพื่อผม  แม้ส่วนลึกของจิตใจนั้นจะเกิดการสั่นไหวเบาๆอย่างคนคิดไม่ตก หากแต่ว่าในเวลานี้ถ้าผมแสดงด้านอ่อนแอออกไปแม้เพียงนิดเดียว  กติกาที่ต้องทำก็อาจจะเปลี่ยนไปในทันที

“นิ่งไปเลยนะครับ  เกิดรู้สึกกลัวขึ้นมาเหรอ?”

“เปล่าหรอกครับ  แค่กำลังคิดอยู่ว่า ถ้าเกิดผมเข้าไปคนแรก แล้วจะรู้ได้ไงว่าพวกคุณจะไม่โกง  พวกคุณจะไม่ผิดกติกาโดยการไม่ตามผมเข้าไป”

“อ่า  ถ้าอย่างนั้นคุณมิวอยากเสนออะไรให้พวกผมไหมครับ?”

“แน่นอนครับ  สิ่งที่ผมต้องการคือ ถ้าผมต้องเข้าไปเป็นคนแรกตามประสงค์ของรายการนี้  คนสุดท้ายที่จะได้เข้าไป ต้องเป็นไอ้ภพ”

“ผมยอมรับตามนั้นครับ  ไม่เป็นปัญหาอะไร”

“แล้วฉลากอยู่ไหนครับ  ผมคิดว่าเราไม่ควรจะเสียเวลาให้มากความอีก”

แม้จะจับสังเกตได้ถึงท่าทีที่สบายมากเกินความจำเป็น  หากแต่เวลานี้ การดึงเชิงให้ทุกอย่างช้าลงมันคงไม่เป็นผลดีต่อผมเท่าไรนัก ดังนั้น การเร่งเร้าให้ทีมงานดำเนินการเกมพวกนี้ให้ไวที่สุด จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะควรสำหรับผม

“เชิญคุณมิวมาจับตรงนี้นะครับ  ระหว่างนั้น ผมจะบอกบางสิ่งที่พึงระวังกันไว้ด้วย  สถานที่แห่งนี้คือโรงพยาบาลร้างที่ถูกปิดตัวไปเพราะความเฮี้ยนจากวิญญาณหลายๆตน เฮี้ยนชนิดที่ว่าต่อให้พวกคุณไม่เคยเห็นวิญญาณมาก่อน  ที่แห่งนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน  ฉะนั้น ถ้าพวกคุณเห็นหรือได้ยินอะไร ช่วยอยู่กันอย่างเงียบๆด้วยนะครับ  หรือจะยกมือเชิงขอถอนตัวก็ได้ตามใจ  แต่ขอเตือนไว้นะครับ  เกมคืนนี้มันไม่สั่งห้ามให้คุณถอนตัว  แต่ถ้าคุณยกมือขึ้นมาเมื่อไรนั่นหมายความว่า  คุณจะถูกปลดออกจากรายการทันที  ย้ำนะครับว่ารายการไม่ใช่แค่เกม”

“โกงกันจังเลยนะครับ  ทำไมถึงต้องเร่งเร้าให้ผมออกขนาดนั้น นี่พึ่งจะกี่วันเอง”เป็นไอ้ภพ ที่พูดแทรกขึ้นมาระหว่างที่ผมเปิดอ่านฉลากด้วยแววตาที่บอกได้ว่า เนื้อความข้างในไม่เคยปรานีหัวใจของผม

“ใช่ครับไม่กี่วัน  แต่ถ้าเทียบกับปีก่อนๆ เกมปีนี้ก็ถือว่าตกต่ำลงมาก เพราะพวกคุณอยู่กันได้นานเกินไป ฉะนั้นโปรดรับฟังคำสั่งสุดท้ายด้วยครับ”

“คำสั่งสุดท้าย?  ตกลงคำสั่งที่จะโกงพวกผมนี่มีกี่ข้อกันครับ”

“นี่ข้อสุดท้ายแล้วครับ  อย่างที่เกริ่นไว้แล้วว่าถ้าเจออะไรให้เงียบที่สุด  นั่นไม่ใช่ความห่วงใยใดๆจากผมนะครับ  หากแต่มันเป็นกติกาที่พวกผมก็ต้องทำด้วย…”

.
.
.
(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 17-05-2017 03:01:56
คำสั่งสุดท้ายเป็นคำสั่งที่คล้ายกับจะรีดเลือดของพวกผมให้ออกมาก็ไม่ปาน  กลโกงที่พึ่งจะได้ยินนำมาซึ่งความสงสัยและความทรมานในเวลาเดียวกัน  จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเทปบันทึกภาพนี้ถูกเผยแพร่ออกไปโดยไม่มีการตัดต่อ บรรดาแฟนรายการจะยังคงรู้สึกสนุกกับความรู้สึกของคนอยู่ไหม

ผมยืนสูดลมหายใจที่อาจจะเป็นเฮือกสุดท้ายของผมเข้าปอดได้สักพักหนึ่ง  แล้วจึงหันกลับมามองหน้าไอ้ภพที่จ้องกลับมาด้วยแววตาเป็นห่วงปนเปไปพร้อมกับความรู้สึกอีกหลายๆอย่าง 

“เดี๋ยวกูจะเข้าไปแล้วนะ  ไม่ต้องห่วงกู ยังไงค่อยไปเจอกันในนั้น”

“มิว เราถอนตัวกันไหม?  นี่มันเกินกว่าเหตุแล้ว ทีมงานพวกนั้นมันจงใจจะเชือดมึงทั้งเป็น”

“กูรู้อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกนะ  เราอุตส่าห์อยู่กันมาได้ขนาดนี้ วัดดวงไปเลยแล้วกัน  เชื่อกูสิว่าถ้าเราไม่ไปจี้ปมอะไรเข้าสักอย่าง  เกมคงไม่เร่งรัดส่งเรามาในที่แบบนี้หรอก”

“แต่ว่ามึง…”

“ไอ้ภพ มึงกลัวผีไหม?”

“ผี?  ถามทำไม  ผีเกี่ยวอะไร”

“ตอบมาเถอะ  กูอยู่ตรงนี้นานกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

“ไม่กลัว กูไม่เคยกลัวพวกมัน”

“อืม เห็นอะไรก็เงียบๆไว้นะ ถ้ามันจะมีคนที่กลัว ก็ขอให้เป็นกูคนเดียว แล้วก็…ขอโทษนะภพ”

ใบหน้าเปื้อนยิ้มของผมคือสิ่งสุดท้ายที่ไอ้ภพมองตามไปโดยที่ไม่ทันจะได้โต้แย้งอะไรขึ้นมาทั้งสิ้น  ผมรีบพาตัวเองไปหยิบนาฬิกาและไฟฉายจากมือทีมงาน  ก่อนที่จะใช้สายตาของผมกวาดไปทั่วบริเวณโดยรอบ  เก็บเกี่ยวเอาภาพแห่งความทรงจำสุดท้าย ที่อาจจะเลือนหายไปอีกครั้ง และไม่ว่าใครก็ไม่อาจจะนำกลับมาได้เนื่องจากคำสั่งของเกม

หากก้าวเท้าเข้าประตูโรงพยาบาลไปแล้ว ถ้าพวกคุณส่งเสียงร้องออกมาเมื่อไร…พวกเราจะส่งคุณกลับบ้านทันที

ผมก้าวข้ามปราการด่านสุดท้ายที่กั้นระหว่างโลกของคนเป็นและคนตาย  ประตูลูกกรงเหล็กสูงใหญ่ที่อดีตเคยถูกล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนา ถูกผมดันมันเข้าไปอย่างช้าๆ  ด้วยเสียงฝืดของโลหะเกิดสนิมที่ดังบาดจิตใจของผมไปทีละน้อย พร้อมกันนั้นสายตาของผมก็ได้พบกับยันต์สีแดงขนาดใหญ่ที่ถูกติดไว้บนหัวประตู จนอดไม่ได้ที่จะจ้องมองพิจารณาอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะใช้มือของตนเองกระชากมันออกมาจากตรงนั้น

ความมืดมิด  รกร้าง  วังเวง คือสิ่งที่โรงพยาบาลแห่งนี้มอบให้ผม การเดินย่ำเท้าเข้าไปยังด้านในจึงเป็นไปอย่างช้าๆ สายตามุ่งตรงไปข้างหน้าโดยไม่วอกแวก  ความรู้สึกที่ร่ำร้องออกมาว่าตนนั้นไม่ได้อยู่แค่เพียงหนึ่งเดียวในที่แห่งนี้  ย้ำเตือนให้ผมไม่หันไปสนใจ ส่งผลให้แสงหนึ่งเดียวจากไฟฉายสั่นไหวขึ้นลงเนื่องจากความอึดอัดและเครียดหนัก  จนสุดท้ายช่วงขาของผมก็พามาสิ้นสุดตรงบริเวณที่ผมตามหา  บันไดสูงชันที่อยู่ตรงหน้ากำลังจะพาผมลงไปยังดินแดนแห่งการหลับใหลชั่วนิรันด์

ชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลร้างแห่งนี้…ห้องเก็บศพ

ผมสาดแสงไฟบนมือลงไปยังความมืดมิดด้านล่าง พร้อมกับที่ปลายเท้าก็ค่อยๆถูกปล่อยลงให้สัมผัสบันไดที่เต็มไปด้วยหินฝุ่นเล็กๆจำนวนมาก  การก้มๆเงยๆระหว่างมองปลายเท้าและเส้นทางจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงระหว่างการเดินลงเพราะบริเวณนี้คงไม่ได้มีใครใช้การมานานมากแล้ว  หากจะมีสักช่วงบันไดที่ผุพัง มันก็อาจจะเกิดอันตรายถึงตายให้ผมได้

“ห้องเก็บศพ”

ผมอ่านป้ายเหล็กเก่าคร่ำครึตรงหน้าด้วยเสียงที่เบาบางที่สุด  หลังจากลงบันไดมาได้ กลิ่นอับๆและกลิ่นตกค้างของสารเคมีบางอย่างก็โพยพุ่งออกมาจนแสบจมูกไปทั่ว  บริเวณที่สายตาผมรับรู้ได้ขณะนี้ เท่าที่มองนอกจากห้องตรงหน้า ผมก็เห็นเพียงทางเดินโล่งๆลึกเข้าไปในความมืด โดยรายทางเหล่านั้นประกอบไปด้วยเงามืดของเก้าอี้ขนาดเล็กประปราย วางเรียงชิดกำแพงไปตลอดความยาวทางเดินนี้

ห้องเก็บศพที่ผมต้องเข้าไป ไม่มีประตูห้อง จึงสามารถมองเห็นทุกอย่างในนั้นได้ทันทีที่มาถึง  ตรงบริเวณเพดานมีบางส่วนผุพังจนเห็นเป็นช่องว่างโล่งๆด้านบน  ที่พื้นด้านล่าง เตียงผู้ป่วยสองสามเตียงก็วางระเกะระกะดูรก  อีกทั้งด้านในสุดยังปรากฏตู้ล็อกเกอร์ไม่เล็กไม่ใหญ่ซึ่งคาดว่าในอดีตคงถูกใช้เก็บร่างคนตายไว้ในนั้น และสุดท้ายบริเวณพื้นกลางห้อง สิ่งของสะดุดตาอันประกอบด้วยธูป กระดาษ และกระทงอาหารเย็นชืด ก็ถูกวางรวมกองไว้

ผมตัดสินใจเดินไปนั่งลงพร้อมกับการหลับตารอเวลาอย่างช้าๆ ให้เสียงและการเคลื่อนไหวแปลกๆที่ได้ยินภายในนี้เป็นตัวนำเวลาของผมให้ผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว แม้การรับรู้จะพาให้กายและใจทรมาน แต่กระนั้นในทุกๆสามสิบนาที  เสียงฝีเท้าก็เล็ดลอดออกมาให้ผมได้ยินจนใจชื้นขึ้นบ้าง ทีมงานและไอ้ภพคงผลัดเปลี่ยนกันเดินขึ้นไปตามชั้นต่างๆจนครบทั้งสี่คน ในเวลาประมาณสองทุ่มครึ่งพอดิบพอดี

22.00 น.

เสียงเตือนครบชั่วโมงของนาฬิกาข้อมือ ดังปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ความคิด  นับเป็นเวลากว่าสามชั่วโมงที่ผมต้องเฝ้ารอการเริ่มเกมที่จะเกิดขึ้น  อดทนต่อความอบอ้าวและกลิ่นอับบางๆที่ผ่านจมูกไปเป็นระยะ แม้ว่าทีมงานและไอ้ภพจะเข้ามารอในนี้จนครบแล้วก็ตาม  ทุกการท้าทายมีกำหนดเวลาเอาไว้ชัดเจนและจะต้องเกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงเวลานี้  โดยที่แต่ละคนคงได้รับคำสั่งให้ทำแตกต่างกันออกไป ซึ่งก็ไม่ได้สร้างความอุ่นใจอะไรให้กับผมนักเพราะสุดท้าย เกมพวกนั้นผมก็ต้องไปทำอยู่ดี

“เดินไปที่ล็อกเกอร์หมายเลข 13”

ผมลุกขึ้นยืนช้าๆหลังอ่านทวนซ้ำ  ตู้ล็อกเกอร์หมายเลขสิบสามคือจุดหมายที่ผมต้องเข้าไปหาเป็นลำดับแรก  ผมไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่สัมผัสการจับจ้องที่ผมรับรู้มาได้สักพักหรืออาจจะตั้งแต่เดินเข้ามากำลังทำให้ผมไม่กล้าที่จะเดินผ่านเตียงผู้ป่วยไปยังล็อกเกอร์ด้านหลัง  ความมืดมิดกำลังสร้างภาพหลอนต่างๆนานาในหัวผม จนเสียงเคลื่อนที่ของเตียงยามที่ผมต้องดันออกสามารถทำให้ใจของผมเป็นทุกข์ได้ ซึ่งถึงแม้จะกลัวแค่ไหน  สายตาก็ยังต้องเพ่งไปยังตู้เหล็กเบอร์สิบสามตรงหน้าแต่เพียงอย่างเดียว

ปลายนิ้วติดจะสั่นของผมค่อยๆดึงรั้งตู้เก็บศพออกมาทีละนิด พร้อมกับที่ส่วนหัวก็ค่อยๆชะโชกลงไปดูสิ่งที่อยู่ข้างใน  ก่อนจะรีบกระโดดถอยหลังออกมาด้วยอาการตกใจสุดขีด หัวใจผมสั่นแรงจนแทบระเบิด กรามของผมขบกันแบบอัตโนมัติเพื่อกันเสียงร้องเล็ดรอดออกไป  ลมหายใจของผมถูกปล่อยออกมาอย่างไม่เป็นจังหวะ  จนเมื่อคิดว่าทำใจกับสิ่งที่เห็นได้แล้ว ผมก็เริ่มเดินกลับไปมองสิ่งที่สร้างเรื่องราวหลอนหัวให้ผมต้องผงะกลับมาอีกครั้ง

หุ่นเปลือยเปล่าของมนุษย์ฉาบสีแดงสด…นอนนิ่งสบตากับผมอยู่ในนั้น โดยที่ส่วนปากของมันมีกระดาษสีขาววางทาบไว้

“การท้าทายแรกของห้องดับจิต ผู้เข้าแข่งขันจะต้องจุดธูปพร้อมท่องคาถาในกระดาษ แล้วจึงนำถ้วยกระทงอาหาร เดินออกไปวางยังห้องริมซ้ายสุดของทางเดินแห่งนี้ ก่อนจะทำการเคาะเรียกบุคคลที่เคยหลับใหลอยู่ในนั้นให้ออกมารับเครื่องเซ่นไหว้ที่ตนวางไว้”

ผมรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากด้านหลัง แล้วหยิบคำบัญญัติตายของผมอ่านในใจไปอย่างช้าๆ  ผมไม่เคยรู้เลยว่าการที่ต้องทำทุกอย่างภายใต้ความเงียบจะสร้างความกดดันและความหวาดระแวงได้ถึงเพียงนี้  ยามที่อยู่ในบ้านหลังนั้น ผมยังมีไอ้ภพ  ยังสามารถส่งเสียงลดภาวะทางอารมณ์ไปได้  แต่ที่นี่ผมทำอะไรไม่ได้เลย  นอกเสียจากการปิดปากนิ่งแล้วปล่อยให้อาการทางกายแสดงถึงภาวะที่ผมจำยอมต่อความกลัวอย่างถึงที่สุด 

ไฟฉายขนาดเหมาะมือถูกผมตั้งเอาไว้ข้างตัวโดยปล่อยให้แสงของมันส่องสว่างไปยังด้านหลังสุดของห้องแห่งนี้  พร้อมกันนั้นมือของผมก็ได้เริ่มทำหน้าที่อันคุ้นชินทางกายหากแต่ไม่อาจคุ้นทางใจ  นำธูปที่เกมเตรียมไว้ออกมาจุดแล้วจึงเริ่มท่องคาถาบทเดิมที่ตอนนี้สามารถท่องออกมาโดยไม่ต้องดู  ทุกสิ่งอย่างเป็นไปตามธรรมชาติจนน่ากลัว  เสมือนกับว่ามันคือสิ่งที่อาจจะติดตัวผมไปตลอดชีวิตหลังจบเกม

“หากที่แห่งนี้มีวิญญาณอยู่จริง…ขอให้ดวงตาของทุกคนสัมผัสได้ถึงภาพอันน่าสยดสยองไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม”

ประโยคท้าทายที่ทำผมแทบจะสิ้นลมเสียตรงนี้  ถูกผมเอ่ยออกมาด้วยฝืนใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  อะไรหลายๆอย่างในที่นี้ตั้งแต่ผมเดินเข้ามา มันย้ำเตือนผมทุกขณะอยู่แล้วว่า การท้าทายไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป  เสียงโหยหวนของความทรมาน  เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ ดังสั่นประสาทให้ผมรับรู้มาตลอด เพียงแต่ผมเลือกที่จะเมินเฉยไปเท่านั้น

ทันทีที่ผมตัดสินใจปักธูปลงบนร่องหินที่ผมนำมาวางเรียงให้ชิดกัน  ควันธูปทั้งหมดก็พวยพุ่งลงสู่พื้นดินอย่างที่ไม่สามารถเป็นไปได้  สร้างภาพที่ทำให้ผมต้องตกตะลึงขณะก้มหัวลงไหว้จนมือสั่นแทบคุมไม่อยู่  หากจะหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์นั่นยิ่งแล้วใหญ่  เพราะห้องที่เต็มไปด้วยความร้อนและอบอ้าวเช่นนี้ จะมีลมจากหนใดสามารถพัดควันธูปให้ไปตามทางที่ผมเห็น

ผมเงยหน้าขึ้นมาด้วยความรู้สึกหนักๆจนเหมือนกับมีอะไรไปถ่วงที่หัว  ความเงียบจนทุกอย่างวังเวงไม่อาจขวางกั้นเสียงอึกทึกในใจของผมได้  ความรู้สึกที่ว่าคล้ายกับมีคนจับจ้องตอนนี้บางสิ่งบางอย่างได้ให้คำตอบกับผมหมดแล้วตั้งแต่การตัดสินใจปักธูป  เตียงผู้ป่วยด้านหลังยามโดนแสงไฟส่องผ่าน กำลังฉายภาพเงาขนาดใหญ่บนกำแพงท้ายห้องคล้ายจอภาพยนตร์ให้ผมดู พร้อมกันนั้นตาของผมก็ต้องเบิกกว้างขึ้นเพราะความผิดปกติที่ผมรับรู้

เงาบนกำแพง…กำลังเคลื่อนตัวออกด้านข้างไปอย่างช้าๆคล้ายกับมีใครดัน  ขัดแย้งกับเตียงบนพื้นซึ่งยังนิ่งอยู่ที่เดิม

ผมค่อยๆคว้ามือไปหยิบกระทงใบน้อย แล้วจึงลุกขึ้นพาตัวเองหันหลังเดินออกจากห้องไปอย่างช้าๆ  แต่ทว่าแค่พ้นประตูห้องออกมาเท่านั้น  เสียงการเคลื่อนที่ของล้อเตียงก็ดังกระตุ้นให้ผมรีบหันหลัง จนมือที่ถือไฟฉายเอาไว้ถูกสัญชาตญาณสั่งให้ยื่นมือไปส่องบางสิ่งที่ก่อให้เกิดเสียง

มืออีกข้างถูกใช้ปิดปากตนเองอย่างแรง  อีกทั้งมือของผมยังสั่นไหวจนต้องรีบชักกลับมาทาบที่หน้าอก แววตาของผมนั้นร้อนขึ้นคล้ายกับจะมีน้ำตาไหลออกมา เมื่อเตียงผู้ป่วยจำนวนสองสามเตียงตรงนั้นถูกแรงมือของใครสักคนดันเข้าสู่ด้านข้างของกำแพงดั่งเงาที่ผมเห็น  จัดเรียงเป็นระเบียบขัดกับภาพตอนแรกยามที่ผมเข้าห้องแห่งนี้ไปโดยสิ้นเชิง

และแค่เพียงช่วงความรู้สึกเดียวเท่านั้น  ความผิดปกติของบรรยากาศก็ร้องทักปลุกผมจนสะดุ้ง  เสียงการขยับกายหยาบ  เสียงหนูบ้าน เสียงตุ๊กแก ต่างก็ร้องระงมประสานไปทั่ว  เสียงพวกนั้นดังเป็นจังหวะรับการก้าวเท้าอันหนักอึ้งของผมยามที่ต้องรีบเดินฝ่าความหลอนไปยังห้องริมสุดฝั่งซ้ายของทางเดินตามคำสั่งของเกม  ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าท่ามกลางความไม่ปกติแห่งนี้ กำลังจะมีสัมภเวสีออกมาเริงร่าตามคำท้าทายที่ได้เอ่ยขึ้นเอาไว้ 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ผม…เอาข้าวมาให้ครับ”

เสียงเคาะประตูห้องพร้อมคำบอกกล่าว เกิดขึ้นที่ห้องปลายสุดของโถงทางเดิน  กระทงอาหารถูกวางไว้ด้านล่างหน้าประตูซึ่งถูกโซ่ตรวนขนาดใหญ่คล้องเอาไว้คล้ายกับต้องการปกปิดสิ่งที่อยู่ในนั้น จวบจนเมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยในความคิดของผม  การก้าวเดินกลับสู่ห้องที่เคยจากมาจึงกลายเป็นสิ่งล่าสุดที่ทำให้ผมกลัว

“เฮ้ย!! ถอยไป อย่ามาขวางแบบนี้”

ช่วงที่ละสายตาจากประตูห้อง  ตุ๊กแกตัวใหญ่ก็มาหยุดนิ่งตรงช่วงปลายเท้าของผม เดิมทีผมไม่รู้ชัดว่ามีสัตว์ลายจุดมาอยู่ตรงนี้  แต่สัมผัสที่บอกว่าผมไปเตะกับอะไรเข้า ได้ทำให้ผมรีบฉายไฟลงไปแล้วพบกับสัตว์เลื้อยคลานชวนให้ขยะแขยงที่พื้น  โดยที่สายตาของมันกำลังจับจ้องมาที่ผม พร้อมกับอ้าปากตามสัญชาตญาณการต่อสู้ของสัตว์

“ถอยไป”

คำพูดเบาบางแต่หนักแน่น  กำลังขู่เข็ญสัตว์กลางคืนตรงหน้าให้หายไปจากเส้นทางเดิน  แน่นอนว่าผมเป็นคนที่กลัวตุ๊กแกอย่างมาก  ยามที่ขยับกายแล้วมันก็ขยับตามคล้ายจะต่อสู่นั้น จึงเป็นดั่งคำสั่งที่ทำให้ผมหยุดนิ่งอยู่กับที่

แกร๊ก…   

ลูกบิดประตูหนึ่งเดียวด้านหลัง ส่งเสียงบางอย่างออกมาจนทำให้ตัวผมชาวาบ  เสียงนั่นเป็นเสียงเปิดประตูที่ดังมาจากด้านใน ดึงรั้งให้ประตูที่ปิดตายไว้เปิดออก  หากแต่ว่าประตูบานนั้นถูกโซ่อาบสนิมล็อกไว้แน่นหนา  บานประตูจึงไม่สามารถเปิดออกได้จนสุด  เสียงการกระแทกกระทั้นให้โซ่หลุดจึงกลายเป็นสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น

ผมไม่กล้าแม้แต่จะปล่อยเสียงลมหายใจให้ออกไป  ยืนนิ่งให้เสียงประตูดังทำลายความเงียบในชั้นใต้ดินแห่งนี้ แต่ทว่าความน่ากลัวกลับยังไม่หมด  เมื่อใครสักคนกำลังถูกขัดใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น  เสียงกรีดร้องจึงดังขึ้นสมทบให้ขนในกายผมลุกชัน  อากาศรอบตัวที่ร้อนอบอ้าวนั้นไม่สามารถละลายความเย็นชืดและแข็งทื่อของปลายนิ้วมือและนิ้วเท้าของผมได้แม้แต่นิด สัตว์กลางคืนจึงเป็นฝ่ายที่ทำหน้าที่นั้นแทน

ตุ๊กแกที่เคยอยู่ตรงหน้าวิ่งตัดเท้าของผมออกไปยังด้านหลัง สัมผัสเหนียวหนึบปลุกสติของผมให้คืนมา ก่อนที่จะสะดุ้งสุดตัวแล้วล้มลงไปในทันที  ไฟฉายบนมือผมหล่นกระแทกพื้นเตรียมจะกลิ้งหลุดไปยังบานประตูนั้น  แต่ด้วยความที่สัมผัสการรับรู้ยังคงเหลือ ผมจึงเอื้อมมือไปคว้าเอาไว้ทันในตำแหน่งที่แสงนั่น ฉายชัดกลับไปยังช่องว่างระหว่างประตู

ไม่รู้ว่าประตูนั่นหยุดนิ่งไปตั้งแต่เมื่อไร หากแต่ว่าตอนนี้มันกำลังมีมือของคนยืดยาวมาหยิบของเซ่นลากเข้าไปในนั้น

ความกลัวที่วิ่งแล่นเข้าสมอง สั่งให้ผมรีบลุกวิ่งออกไปจากตรงนั้น  โดยมีภาพทิ้งท้ายเป็นบานประตูที่เริ่มถูกดันมาปิดจนเกิดเสียงดังลั่นยามที่ของเซ่นไหว้ถูกกอบโกยเข้าไปในห้องจนหมด  ไม่เหลือเค้าเดิมของพื้นที่ที่เคยมีสิ่งใดไปวางอยู่

จวบจนเมื่อใกล้จะถึงห้องเก็บศพ  ความลังเลในหัวผมจึงตีรวนขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด  หากเป็นเมื่อก่อนที่ผมยังไม่ได้สลบไปนั้น  ผมคงตัดสินใจวิ่งขึ้นบันไดกลับไปด้านบนแล้วถอนตัวออกทันที แต่ผมในตอนนี้ไม่อาจจะทำอย่างนั้นได้  ตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นที่มาถึง ผมต้องทนรับกลโกงที่เกิดขึ้นมาใหม่สารพัดจากผู้ที่ขึ้นชื่อว่ากอบกุมชะตากรรมสุดท้ายของผมอยู่  คำสั่งที่บอกให้ผมเงียบเสียงคงเป็นคำสั่งใหม่ที่พึ่งจะเกิดขึ้นหลังสายโทรศัพท์นั่น  ไม่อย่างนั้นทีมงานคงไม่รู้สึกดีใจได้ถึงเพียงนี้  และที่สำคัญ คนพวกนั้นรู้อยู่แล้วว่าคืนนี้ ใครคือคนที่กำจัดง่ายที่สุด

ตั๊กแก…

ไม่ทันที่ผมจะได้นึกหาทางหนีทีรอดของตนเอง  เสียงของตุ๊กแกก็ดังสะท้อนมาจากโถงทางเดินด้านหลังตัดผ่านผมไปแล้วสิ้นสุดที่โถงทางเดินด้านหน้า เสียงนั่นไม่ใช่เสียงเอคโค่แต่อย่างใด  หากแต่เป็นเสียงร้องระงมรับจังหวะของสัตว์ประเภทเดียวกันที่อยู่ในนี้  จนสุดท้ายเมื่อเสียงทุกอย่างหยุดไป เสียงที่เกิดใหม่ก็ดังสะท้อนขึ้นมาแทน

“หาย…หายไปไหน?”

แว่วเสียงแหบแห้งของชายคนหนึ่งลอยผ่านความมืดมากระทบกับแก้วหูของผม  พร้อมกับที่เงาตะคุ่มของความมืดตรงหน้าก็เริ่มเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ  จังหวะนั้น ผมรีบปิดไฟฉายในมือแล้วค่อยๆดันตัวเองเข้าสู่ห้องเก็บศพอีกครั้งด้วยการย่างกายที่คิดว่าเงียบที่สุด  ผมกลับมานั่งกำมือของตนเองนิ่งตรงจุดที่เคยทำพิธี  รอเวลาให้วิญญาณตนนั้นเคลื่อนตัดหน้าห้องผมไป

หาย  หายไปไหน!!

คำถามแบบเดิม แต่เนื้อเสียงที่สื่อมากลับไม่ใช่  ผมนั่งตัวสั่นไปพร้อมกับบรรยากาศดุดันที่เกิดขึ้นข้างนอก จนส่งผลให้ใบหน้าของผมเริ่มก้มลงต่ำ มองเพียงพื้นสกปรกเบื้องหน้าแทนการจับจ้องไปที่ประตู  แขนและขาของผมตอนนี้คงเต็มไปด้วยดินและความสกปรก แต่นั่นคงไม่ใช่จุดสำคัญเท่ากับว่า บัดนี้ปลายเท้าของชายคนนั้นได้มาหยุดยืนพร้อมส่งเสียงร้องที่หน้าห้องเก็บศพแห่งนี้แล้ว

สองขาของชายคนนั้นกำลังเปลี่ยนเส้นทาง มุ่งตรงมาหาผมที่นั่งนิ่งอยู่ตรงกลางห้อง

“เห็นของของผมไหมครับ?”

เสียงเท้าย่างกรายเข้ามาภายในห้อง สอดประสานพร้อมเสียงถามที่กังวานแก้วหู  เสียงนั่นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของผมตามความรู้สึกเนื่องจากผมได้ตัดสินใจปิดเปลือกตาไม่ให้เห็นภาพอันน่าสยดสยอง  ก่อนที่จะได้ยินการขยับกายให้นั่งทัดเทียมผมแล้วเริ่มถามอีกครั้ง

“เห็น…ของของผมไหมครับ?”

น้ำตาของผมเริ่มไหลซึมผ่านม่านขนตาออกมาทีละหยด  หมดแรงที่จะวิ่งหนี  ไม่รู้ว่าความปั่นป่วนที่มีเมื่อครู่หายไปไหนหมด  เหตุใดจึงเหลือเพียงบรรยากาศเงียบๆแต่คาดคั้นจิตใจให้ทรมาน  ผมนั่งกำมือแน่นจนรู้สึกเกร็งไปทั้งแขน ก่อนที่จะส่ายหน้าของตนเองให้วิญญาณตนนั้นรับรู้ว่าผมไม่อาจเห็นสิ่งที่เขากำลังตามหา

“ไม่เห็นเหรอครับ…ถ้าอย่างนั้น ก็ลืมตามาสิ จะได้เห็น”

ผมค่อนข้างตกใจกับกระแสเสียงที่เปลี่ยนไปอีกครั้ง  มันไม่ใช่ดุดัน  มันไม่ใช่โกรธา หากแต่ความกดดันยามที่ต้องการเค้นผมนั้น ถูกถ่ายทอดออกมาจนหมด  ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาผ่านไปนานเท่าไร  เพราะโลกทั้งใบของผมเป็นอันต้องหยุดลงเมื่อมือของผู้ชายคนนั้น ค่อยๆช้อนคางผมขึ้นและใช้นิ้วของเขาดันเปลือกตาทั้งสองข้างของผมให้เปิดออก

“เห็นดวงตาของผมไหม?”

แค่แวบเดียวที่ผมลืมตา  ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นก็พุ่งพรวดเข้ามาประชิดทันที  ลักษณะของเขามีทุกอย่างเหมือนกับมนุษย์ทั่วๆไป แต่ทว่าตรงส่วนที่เป็นดวงตาทั้งสองข้างกลับยุบเข้าไปคล้ายกับการเกิดอุบัติเหตุใหญ่ที่ทำให้เขาสูญเสียดวงตา  ผมมองภาพนั้นดั่งกับต้องสาป  ไม่มีแรงแม้แต่จะเบือนหน้าหนี  มือทั้งหมดถูกนำไปยึดแน่นไว้บนพื้นที่เริ่มจะสร้างความเจ็บปวดให้ผม จากการถูกเศษหินเก่าๆแทงเข้าไปในฝ่ามือ

“ผม…ผมไม่เห็น”

จากที่น้ำตาไหลทีละหยด มันก็เริ่มไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง  ในความรู้สึก ผมไม่ได้ต้องการที่จะร้องไห้ แต่ด้วยภาวะบางอย่างในตัวมันทำให้ผมไม่สามารถควบคุมความอ่อนแอเอาไว้ได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับอยู่เหนือการควบคุมไปหมด

“ดวงตากู อยู่ไหน?”

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบวิญญาณตนนั้น  เสียงสิ่งของบางอย่างด้านหลังก็ดึงความสนใจของผมไปหมดสิ้น  เสียงการเคลื่อนตัวออกของตู้เก็บศพโลหะหมายเลขสิบสามกำลังค่อยๆดันตัวเองออกมา  ก่อนที่จะพุ่งพรวดตกกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นลั่นห้องคล้ายกับมีคนในนั้นจงในถีบมันออกมา 

ผมสะดุ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่นั่นก็ไม่เท่ากับการที่ผมต้องทนเห็นสิ่งที่เคยเป็นหุ่นในนั้น  ไหลกลิ้งมาจากตู้ล็อกเกอร์ เคลื่อนตรงมากระแทกกับด้านหลังผมอย่างจังจนรู้สึกเจ็บไปทั่ว แน่นอนว่าการที่ผมบอกว่าเคยเป็นหุ่นไม่ใช่สิ่งที่ผมบอกผิดเพี้ยน 

เพราะถ้าสิ่งที่อยู่ด้านหลังผมเป็นหุ่นตัวเดิมจริงๆ…ส่วนหัวของมันจะต้องไม่มีเส้นผมเกรอะกรังเหมือนอย่างตัวนี้

ผมรีบกำมือแน่นและเหยียดเท้าของตัวเองให้ยืนขึ้น สูดอากาศเหม็นแสบจมูกจนทั่วปอด  พร้อมกับที่สองขาของผมก็ถูกสั่งให้วิ่งออกมาโดยเร็วที่สุด  ความผิดปกติที่เกิดขึ้นไม่อาจเหนี่ยวรั้งให้ผมทนอยู่ต่อจนครบเวลาไปได้  ยามที่ต้องวิ่งขึ้นบันได  เสียงตามหาดวงตามันก็ยังไม่เลิกหลอนหูผม  หนำซ้ำมันยังทำท่าเหมือนจะเคลื่อนตามผมมาติดๆ 

“จะไปไหนครับ!!...คุณมิว”

“โอ้ย!”

แรงเหวี่ยงจำนวนมหาศาลของหัวหน้าทีมงานชุดนี้ จับผมที่กำลังวิ่งสั่นผวาเข้ากระแทกตัวกำแพงอย่างจังจนเจ็บไปทั่วทั้งแผ่นหลัง โดยที่ตอนนี้สายตาของผมก็ยังคงไม่เลิกหวั่นกลัว เพราะเนื้อเสียงถามหาดวงตายังคงดังแทรกอากาศขึ้นมาจากพื้นที่ชั้นใต้ดินซึ่งอยู่ใกล้ๆกับบริเวณนี้

“ดูคุณตื่นตกใจนะครับ  555 ไปเจออะไรดีๆมาอย่างนั้นเหรอ”

“เกือบลืม  คุณพูดไม่ได้นี่…เอาเป็นว่าผมอนุญาตให้พูดแล้วกัน เพราะผมก็พูด”

“น…นั่นคุณกำลังจะไปไหน”

“ผมก็ต้องไปเล่นเกมที่ชั้นถัดไปสิ นี่มันจะเที่ยงคืนแล้วนะ ว่าแต่คุณเถอะไปเจออะไรมาอย่างนั้นเหรอครับ ดูกลัวมากเลยแต่ก็ไม่ยักจะร้องออกมาสักแอะ  เก่งดีนี่ครับ ”

“ม…ไม่มีอะไรครับ  ผมกลัวตุ๊กแกด้านล่าง เลยเป็นแบบนี้  ว่าแต่คุณจะไปเล่นชั้นไหน?”

“ชั้นเดียวกับที่คุณพึ่งจะวิ่งขึ้นมานั่นแหละครับ  ห้องเก็บศพข้างล่าง”

“ย…อย่างนั้นเหรอ  งั้นก็เดินไปด้วยกันเลยสิ  เดี๋ยวคุณลงล่างไป  ผมจะขึ้นบน”

ทีมงานยิ้มให้ผมอย่างพึงใจ  ก่อนที่เขาจะลากคอผมให้เดินตามไปยังบันไดที่ผมพึ่งจะจากมา  แน่นอนว่าการกระทำของผมมันไม่ต่างไปจากการย้อนรอยความทรมานของตนเอง แต่นั่นก็คงเป็นทางเดียวที่ผมจะได้ชำระล้างกลโกงของรายการนี้ให้สาสม

“คุณเดินขึ้นไปเลยนะครับ  เดี๋ยวผมจะลงไปแล้ว  อยากดูหน่อยว่าคุณเริ่มอะไรไว้บ้าง”

“ยังครับ  ข้างล่างมันมืดคุณน่าจะเก็บไฟฉายเอาไว้สักหน่อยนะครับ  เดี๋ยวผมจะส่องนำทางให้เอง”

ทีมงานทำหน้าไม่เข้าใจแต่ก็ยอมที่จะเดินตามผมบอก แว่วเสียงของวิญญาณชั้นใต้ดินนั่นสะกิดให้ขนคอของผมลุกชัน กลัวในสิ่งที่ตนเองได้เริ่มไว้ข้างล่าง แต่ก็เพราะเสียงนั้นเลยยังทำให้ผมสามารถยกยิ้มขึ้นมาได้  จนเมื่อเสียงล็อกเกอร์ข้างล่างเริ่มทำงาน  ไฟฉายที่เคยส่องไปยังชั้นใต้ดินจึงถูกเปลี่ยนไปฉายยังบันไดขึ้นไปชั้นบนของโรงพยาบาลแห่งนี้

ผมเดินสลัดความกลัวบางส่วนให้ออกไป  สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นไปตามความต้องการของผมทุกประการ  การท้าทายที่ผมได้เริ่มไว้  แน่นอนว่ามันไม่ได้ถูกท้าทายมาเพื่อผมแต่เพียงคนเดียว  หากแต่เนื้อความและคาถาในชั้นใต้ดินนั้นถูกผมตัดสินใจเปลี่ยนให้เป็นสิ่งที่ผมโดนกระทำในทุกๆคืนทั้งหมด 


แน่นอนว่าไม่มีใคร ยอมอดทนกับกลโกงที่ต้องโดนบังคับทำในทุกๆวัน

...การเอาคืนจึงต้องแฝงตัวเข้ามาในรูปแบบของสิ่งที่เรียกว่า การท้าทาย





************************************************TBC*****************************************
เอาภพมิวมาส่งแล้วครับ  ขอโทษนะครับวันนี้มาดึกเลย 555 ผมไปอ่านหนังสือสอบมาครับ
ตอนนี้หลายๆคนอาจจะรู้สึกหงุดหงิดระคนแปลกใจไปกับน้องมิวเวอร์ชั่นนี้นะครับ :mew1:  หวังว่าจะถูกใจกันเน้อ
ขอบคุณทุกการคอมเมนท์ การแชร์ การติชม ตามเว็บไซต์หรือในเล้าแห่งนี้นะครับ  ผมน้อบรับฟังทุกประการ
***เน้นก่อน  จะบอกว่า คุณศตวรรษกับทีมงานที่พามิวไปวัดไม่ใช่กลุ่มเดียวกันนะครับ  คุณศตวรรษยามเป็นคนออกมาแค่ตอนแรกตอนเดียวครับ
ถ้ามีคำผิดหรือประโยคที่ไม่ลื่นไหลบอกได้นะครับ  ทั้งในนี้และใน #Nightmaregame
เจอกันอาทิตย์หน้าครับ
P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 17-05-2017 08:39:47
หลังจากตอนนี้น่าจะเริ่มมันส์กันละ หลังจากที่หลอนเพียวๆมาตั้งนาน  หึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึหึ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ่KEI_jry ที่ 17-05-2017 09:26:03
มิวบอกว่าให้ดวงตาทุกคนเห็น ใช่มั้ยยยยยย  :katai2-1: มิวถึงถามภพว่ากลัวผีมั้ย
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 17-05-2017 14:04:35
เอาคืนให้สาสม!!  :z6:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 17-05-2017 15:08:32
มิวเก่งมากเลย :กอด1: อย่างนี้ซินะถึงบอกขอโทษภพไว้ก่อน
ขอให้ทีมงานจับไข้หัวโกร๋นบ้าง :katai2-1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-05-2017 15:59:35
มิวเริ่มเอาคืนหรอ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 17-05-2017 16:52:24
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-05-2017 17:08:44
งุ้ยยย!! ทุกคนต้องเจอ เอาให้หนัก สู้ๆเด้อ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 17-05-2017 17:27:57
กรี๊ดดดด เอาคืน เอาคืน! เอาคืน!!
น้องมิวสุดยอดจิตแข็งเข้มแข็งมากเลยลูก  :hao5:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 17-05-2017 18:54:36
ตอนนี้เหมือนเอาคืนทีมงานเล็กๆ หลอนอ่ะ ตอนแรกปิดไฟอ่าน ทนไม่ไหวไปเปิดไฟเลยจ้ะ ระวังหลังหนักมาก
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 17-05-2017 20:15:03
หลอนแต่อยากรู้เรื่องราวที่เหลือตามมิว รออ่านต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 17-05-2017 21:31:16
หัวหน้าทีมงานหน่ะตัวดี ขอให้โดนหนักๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 17-05-2017 21:38:27
เห็นกันให้หมดดดดดดด 55555555555555555555555555555
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 17-05-2017 21:53:09
กลัวภพเสียสติดิ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 18-05-2017 09:51:55
ตอนนี้สนุกมากค่ะ ดูผจญภัยและดูลึกลับน่ากลัวดี รอตอนต่อไปอยู่นะคะ :ling3: :katai4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Momomimo ที่ 18-05-2017 16:44:54
รอตอนต่อไปมากกกกกกกก
คือแบบดีใจจะได้เอาคืนบ้าง
หมั่นไส้ทีมงานกลุ่มนี้ชอบแบบรู้ว่ามิวเห็นเออมึงจะได้เห็นบ้าง(อินๆ) :katai4:

ปล.กลัวเจ้าของเกมจะเป็นคนใกล้ตัวนะสิ อารมณ์แบบsaw แม่งยอมมาเป็นศพเพื่อจะได้ยุในเกม
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Kanyanat ที่ 18-05-2017 17:32:03
ทีมงานจะเห็นจริงมั้ยอ่ะ รอสมน้ำหน้าเลยเนี่ย ฮืออออ ทำมิวเรามามาก โดนเอซะบ้างนะแก :angry2:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 18-05-2017 21:50:25
เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้ หลอนมากเลยยย กลัว 5555
สนุกดีค่ะ รออ่านต่อน้าาา
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง+Fact (20/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 20-05-2017 00:13:01
Fact about Nightmare Game



สวัสดีชาว Nightmare Gamer ทุกคนนะครับ 

เนื่องด้วยว่าผมได้ถ่ายทอด ภพ กับ มิว มาได้ 25 ตอนแล้วนะครับ วันนี้ผมเลยจะมาอธิบายเบื้องหลังให้เข้าใจกันนะครับว่า  เกม Horror House มีอะไรที่หลายคนยังเข้าใจไม่ตรงกับที่ผมเขียนอยู่บ้าง เริ่มเลยนะครับ

1.เรื่องนี้มีผีทั้งหมดกี่ตัว

มิว : เอาไงดีวะ ภพ  กูก็ไม่ได้นับซะด้วยสิ TT ทำไมหลายคนถึงอยากรู้ว่าผมเจอผีกี่ตัวครับ  ตอนเจอผมไม่มีเวลามานับเลย

ภพ: อธิบายอย่างนี้นะครับ  คือหลังจากเกมซ่อนหานั่น มิวมันต้องเห็นผีเพราะคาถาที่มันท่อง ดังนั้น มิวมันจึงเหมือนจะเห็นได้ตลอดเวลาเลยครับ  เพียงแต่ว่า ในบ้านหลังที่เราทำภารกิจ  อย่างที่หลายคนรู้คือมันไม่เคยมีผีมีคนตายมาตั้งแต่แรก  ถ้ามิวไม่ท้าทายมา มันจะไม่เห็นครับ  แต่แทบทุกครั้งที่ออกไปทำภารกิจข้างนอก  ไอ้มิวมันจะไม่รู้ตัวนะครับว่าสิ่งที่มันเห็นเนี่ย เป็นผีหรือคน  หลายครั้งที่ผมต้องเมินไปเพราะไม่อยากให้มันกลัว

2.ทำไมภพถึงไม่เห็นผี?

มิว: เออ นั่นดิ  ทำไมมึงถึงไม่เห็น วันนั้นมึงก็ท่องคาถาแบบเดียวกับกู

ภพ : วนมาที่ผมแล้วเหรอครับ  555 ผมอุตส่าห์จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับนะครับ คือวันที่ผมต้องท่องคาถาเปิดเนตร อย่างที่หลายๆคนรู้นะครับว่าผมเข้ามาเพราะน้องสาว  วันนั้นในหัวผมเลยไม่ได้จดจ่ออยู่กับคาถาเลย  ผมนึกถึงแต่น้องสาวตนเอง  แค่นึกภาพว่าเขาต้องมานั่งทำอะไรแบบนี้ ผมก็แทบจะคุมตนเองไม่อยู่แล้วครับ  แต่ก็อาจจะเพราะผมไม่ค่อยกลัวเรื่องแบบนี้ด้วย  ผมเลยไม่เห็นแบบไอ้มิวครับ

3.เกมนี้เล่นอยู่ที่บ้านหลังเดิมตลอดไหม?

มิว: อ่า เกมนี้ไม่ได้เล่นที่บ้านหลังเดิมทุกปีนะครับ  มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามแต่ความต้องการของผู้จัดการเกมครับ

4.ศตวรรษคือใคร?

มิว: คุณศตวรรษ…ถ้าถามผมจริงๆ ผมก็ยังไม่แน่ชัดเท่าไรหรอกนะครับว่าเขาเป็นใครมาจากไหน  ผมรู้แค่ว่าผมเคยเจอคุณศตวรรษขณะมีชีวิตอยู่แค่ครั้งเดียวคือ ตอนที่ผมต้องเดินทางมาที่แห่งนี้ครับ  คุณศตวรรษคือหนึ่งในทีมงานที่เข้ามาส่งผมที่บ้านหลังนี้  และถ้าสิ่งที่วิญญาณคุณศตวรรษบอกผมไม่ใช่เรื่องโกหก  คุณศตวรรษเคยเป็นอดีตผู้เข้าแข่งขันเกมนี้ด้วยครับ


5.ทีมงานเยอะจนอดไม่ได้ที่จะสงสัย

ภพ: ข้อนี้ผมขออธิบายแทนนะครับ  พูดแล้วยังโมโหไม่หายเลย  ด้วยความที่ว่าเกมปีนี้มันจัดขึ้นในต่างจังหวัด เพราะฉะนั้นตัวทีมงานเองก็จะไม่ได้มีมากมายหรอกครับ  ที่หลายๆคนงง คงเป็นเพราะผมไม่เคยเรียกชื่อคนเหล่านั้น  ทีมงานที่ผมคุ้นเคยจะแบ่งออกเป็นสามกรุ๊ปใหญ่ๆนะครับ  คือ 1. ทีมที่พาผมมาเข้าบ้านหลังนี้ครับหรือก็คือทีมของคุณศตวรรษนั่นเอง  2. ทีมกำจัดออกจากเกมครับ  ทีมนี้จะเป็นทีมที่จะมาหาพวกผมทุกครั้งที่มีการทำผิดกฎหรือแม้กระทั่งการถูกสั่งให้มากำจัดผมออก  แน่นอนว่า ทีมนี้นี่แหละครับ ที่เป็นคนทำร้ายลุงมั่น  ทำร้ายพวกผม  และเป็นคนพาผมไปโรงพยาบาลร้างครับ  3.ทีมนี้คือทีมที่พาผมไปหาน้ำเก้าวัดนะครับ  เขามีกันสองคน  แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ดูสงสัยในการกระทำพวกผมสุด  ตั้งแต่วัดสุดท้ายผมก็ไม่ได้เห็นเขาเลยครับ  ทีมงานอีกคนบอกว่าเขาไปหาแม่

6.ทำไมผีถึงจ้องแต่จะทำร้ายมิว ในขณะที่คุณศตวรรษไม่ทำ ทั้งๆที่ก็เข้ามาขอความช่วยเหลือทั้งคู่

มิว: อ่า คือ ผีที่เข้ามาขอให้ผมช่วยหายไปตั้งแต่ผมฟังเรื่องราวเขาในเกมเล่านิทานแล้วครับ  ผมก็ไม่รู้ว่าเขาพอใจหรืออะไร  เขาถึงหายกันไปเลย  ไม่มาตามคำเชิญใดๆทั้งสิ้น  ส่วนผีที่ผมเจอทั้งหลายนั้น  บางตนไม่ได้จ้องจะทำร้ายครับ  เขาแค่มาตามคำท้าทายของผมเท่านั้น  เอาความจริงผมก็มีส่วนผิดที่เข้าไปยุ่งกับโลกของเขา ผมเลยยอมรับตรงนี้ได้ครับ  แต่ถ้าผีตนไหนจ้องจะเอาชีวิตจริงๆ  พวกนั้นมักมีแรงอาฆาตสูงครับ  เขามักมากับสิ่งของที่ผูกชีวิตเขาไว้

7.ทำไมมิวถึงยังอยู่ในเกมทั้งๆที่มีโอกาสออกไปได้  จะอยู่ให้กลัวทำไม?

มิว: เอ่อคือ…

ภพ: ไม่ใช่แค่มิวหรอกครับที่มีโอกาสหนี  ผมก็มี แต่เพราะเราสองคนรู้เบื้องหลังพวกนี้มากเกินไปแล้ว  เราถึงหนีไปไหนไม่ได้  เกมนี้ตามคำบอกเล่าของวิญญาณผ่านปากไอ้มิว  ส่วนมากใครที่ขอถอนตัวออกไปก่อน แทบไม่เคยมีใครรอดเลยครับ เพราะฉะนั้น  ผมกับมันเลยยังดึงดันที่จะอยู่ต่อ อย่างน้อยผู้ชมรายการเขาก็ยังเห็นว่าผมมีชีวิต  ส่วนเรื่องที่มิวกลัว  อันนี้เป็นเรื่องที่ถ้าเกิดกับผม  ผมก็คงไม่ต่างจากมิวหรอกครับ ไม่มีใครที่สามารถชินในสิ่งที่ตนเองพึ่งจะเคยรับรู้ได้ภายในเวลาไม่ถึงเดือนครับ  อีกอย่างถึงมันจะกลัวมากแค่ไหน มันก็ยังมีผมที่อยู่ข้างๆมันครับ

8.ทำไมพวกเอ็งไม่หวานกันบ้าง เจอกันทีมีแต่เรื่องเครียดๆ

ภพ: อ้าว เราจำเป็นต้องหวานออกอากาศด้วยหรอครับ

มิว: สัส  เงียบไปเลยมึงอ่ะ  อยากให้มีคนดูอยู่ไหม?  มึงอยากตายเร็วหรือไง? คืออย่างนี้ครับ  ยิ่งอยู่ในบ้านหลังนี้สถานการณ์หลายๆอย่างมันชวนให้ตึงเครียดมากๆครับ  พอจะแสดงอารมณ์หวานมันเลยเหมือนจะไม่สุด (คนอ่าน:: อ้างทำไมฮะ นักเขียน!!!)

ภพ: งั้นเดี๋ยวกูแสดงให้ดูสักหนึ่งอย่างดีไหม  เอาแบบตอนวัดสุดท้ายเลย

มิว:  วัดสุดท้าย?  หมายความว่าไง ตอนกูสลบไปมึงทำอะไรกู

ภพ: พูดต่อไปเถอะ  กูไม่บอก หึหึ

9.คิดว่าทางรายการรู้ไหมว่า ตนเองเห็นผี

มิว/ภพ :  รู้ครับ  คือพวกผมไม่รู้หรอกนะครับว่าเขารู้กันตั้งแต่เมื่อไร  แต่ว่าตอนที่เขาพาไปโรงพยาบาลนั่นค่อนข้างชัดเจนมากครับ ว่าเขารู้ทุกการเคลื่อนไหว

10.คุณคิดว่าใครเป็น ฆาตกร

ภพ/มิว : Coming Soon…




**************************************************TBC***************************************
สวัสดีนักอ่านทุกคนเลยนะครับ  ก่อนจะขึ้นบทถัดๆไปผมมีอะไรมาให้อ่านคั่นก่อนครับ :impress2:
ความจริงพวกนี้คือสิ่งที่ผมไม่ได้เขียนตรงตัวเท่าไรนักนะครับ  เลยอาจทำให้มีหลายคนติดค้างและสงสัย
ผมเลยนำข้อมูลที่รวบรวมมาได้  มาตอบให้นะครับ หลักๆก็จะมีอยู่ประมาณเท่านี้ครับ  แต่ถ้าตกหล่นตรงไหนไปขอโทษนะครับ

ขอบคุณทุกๆการติดตามนะครับ  ส่วนเรื่องทีมงานเป็นความผิดพลาดของผมเองที่ไม่ได้ระบุชื่อรายคนไว้  ขอโทษด้วยครับ

เจอกันอังคารนะครับ
P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง+Fact (20/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 20-05-2017 10:20:10
เกลียด coming soon คนเขียนน่าจะใบ้นิดนึง เราเครียดมากกกก  :hao5:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง+Fact (20/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-05-2017 13:39:53
ข้อสิบนี่แหละที่อยากรู้สุดๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง+Fact (20/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: MissMay ที่ 23-05-2017 17:22:13
อ่านแล้วลุ้น หลอน กดดัน เครียดมากๆ 555
แต่ที่อยากรู้รองจากว่าใครเป็นฆาตรกรคือ ใครเมะ ใครเคะ
ตอนแรกคิดว่าภพเมะ แต่ฉากวัดสุดท้ายที่มิวบรรยายว่าภพเดินแปลกๆ  :serius2:
และทำหน้าเหมือนเจ็บ แต่มิวไม่เจ็บ เลยเริ่มลังเล  :hao5:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง+Fact (20/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 23-05-2017 22:20:37
ฮืออออออ coming soooooooon  :hao5:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง+Fact (20/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Momomimo ที่ 23-05-2017 22:26:54
ร๊อรออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง+Fact (20/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: AkaneSama ที่ 23-05-2017 23:20:45
สู้ๆนะนักเขียน  :mew1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 24-05-2017 01:18:05
ตอนที่26

เอาคืน


00.10 น.

“อายุรกรรม ชาย”

ป้ายห้องขนาดใหญ่ที่ถูกแสงของดวงจันทร์อาบเอาไว้ให้เห็นชัด  ติดไว้เด่นหราอยู่บนหัวประตูห้องหนึ่งบนชั้นสี่ของตัวโรงพยาบาลแห่งนี้  คลาเคล้าไปด้วยความเย็นของลมกลางคืนที่พัดผ่านเข้ามาบาดผิวหนังให้รู้สึกขนลุกเป็นระยะ แต่ถึงแม้ภาวะรอบกายจะชวนให้ผวาตามไปแค่ไหน  สายตาก็ยังต้องจับจ้องไปยังห้องท้ายสุดของทางเดิน ราวกับว่าบางสิ่งในนั้นกำลังร่ายมนตร์เรียกผมให้เข้าไป

ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นมาจากชั้นหนึ่ง เดินวนอ้อมบันไดสูงชันขึ้นมาเรื่อยๆจนปลายเท้ามาหยุดลงที่ชั้นสี่แห่งนี้  รอบกายขณะขึ้นมา เต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัดและความทรมานจนใจแทบขาด  ผมกลัวไปหมดทุกสิ่งอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องโหยหวน  เสียงเรียกชื่อของผม  เงาดำจำนวนมากมายที่สวนกันลงบันได หรืออะไรก็ตามที่ผมรู้ว่านั่นไม่ใช่คน สิ่งเหล่านั้นล้วนพากันเข้ามาหาผมราวกับรู้ว่าใครคือคนที่สัมภเวสีเหล่านั้นจะเบียดเบียนได้

จังหวะการก้าวเท้าของผมลดลงเมื่อเห็นแล้วว่าห้องที่ผมต้องเข้าไปเล่นเกมตั้งอยู่ตรงไหน  ดังนั้นวิธีที่จะช่วยลดภาวะตึงเครียดที่ผมไม่อาจสลัดออกไปได้ในขณะนี้ จึงตามมาในรูปแบบของการเดินเหม่อลอยพลางคิดไปถึงการเดิมพันชีวิตของตนเองไว้กับการท้าทายของทีมงานในเกมหลังจากนี้

สิ่งที่ผมวางแผนเอาไว้เป็นไปตามความต้องการของผมทุกอย่าง แม้ว่ามันจะเชือดเฉือนหัวใจของผมไปไม่น้อย ทีมงานคนนั้นเดินเข้ามาติดบ่วงที่ผมวางไว้จนทำให้จิตใจของผมรู้สึกชื้นขึ้นมาได้บ้าง ทว่ามันก็แค่นั้น เพราะสิ่งที่ผมต้องแลกไป มันคือการที่ผมต้องยอมวางชีวิตตนเองทิ้งไว้ในที่แห่งนี้  เสี่ยงทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่ามันจะคุ้มหรือจะก่อให้เกิดผลสำเร็จดังใจคิด  ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปเพียงเพราะสัญชาตญาณมันบอกให้ผมทำและผมก็เชื่อ

ช่วงขาพาเดินมาหยุดที่หน้าห้องท้ายสุดของทางเดิน  จับจ้องไปที่ประตูบานเก่าซึ่งนอนขวางทางผมเอาไว้ไม่ให้เข้าไปในนั้น ความรู้สึกตื่นกลัวและไม่ปลอดภัย ส่งสัญญาณเตือนขึ้นมาจนเลือดในกายผมสูบฉีดด้วยความเร็ว  ตามหลักความเป็นจริงประตูบานนี้มันจะนอนขวางอยู่แบบนี้ไม่ได้ เพราะผมไม่ใช่คนแรกที่ต้องเข้ามาท้าทาย  และถึงจะบอกว่าคนที่พึ่งออกไปเป็นคนนำมาวางไว้  มันก็ต้องทิ้งร่องรอยมือไว้ที่ประตูบ้าง ไม่ใช่ฝุ่นที่เกาะติดหนายังคงวางตัวเรียบบนประตูอยู่แบบนี้

ผมดันประตูที่ขวางทางออกแล้วก้าวขาเข้ามาสัมผัสยังห้องที่คาดว่าจะเป็นห้องผู้ป่วยรวม  เตียงนอนเก่าคร่ำครึด้านในถูกตั้งเรียงกันไว้จนสุดมุมห้อง  ด้านขวามือก็เป็นห้องผู้ป่วยขนาดย่อมที่กั้นแยกไว้จากเตียงผู้ป่วยอื่นๆ เดาว่าคงถูกสร้างมาเพื่อป้องกันคนติดเชื้อรุนแรงและคนป่วยปกติ เมื่อเดินมาอีกหน่อยก็จะพบกับห้องน้ำคนไข้ที่สร้างเอาไว้เทียบเคียงกับห้องผู้ป่วยติดเชื้อ  ตั้งเด่นขนานกับตัวทางเดินที่ลาดยาวมาในนี้

“อยู่ไหนวะ?”

ผมบ่นออกมาไม่ดังนัก เมื่อต้องเป็นฝ่ายตามหาสิ่งที่เตรียมไว้เพื่อเชือดผม  ห้องกว้างแห่งนี้ไม่มีกระดาษหรืออะไรก็ตามที่พอจะเป็นคำสั่งวางไว้เลย  ผมซึ่งเป็นผู้ที่ต้องท้าทายจึงต้องจำยอมเดินเปิดไฟฉายหามันไปทีละจุด โดยเริ่มวนจากเตียงรวมในห้องก่อน แล้วค่อยวนซ้ำเข้าไปหาในอีกห้องที่แยกไว้

ความแปลกอีกหนึ่งอย่างของห้องนี้คือตั้งแต่ที่ผมเดินเข้ามา  เสียงร้องโหยหวน หรือเสียงเรียกชื่อผมที่เคยได้ยินหนาหูข้างนอกนั่นก็พากันหายไปหมด  ไม่มีแม้แต่เงาดำตะคุ่มที่บ่งบอกการมีชีวิตของวิญญาณ  ห้องแห่งนี้ดูเผินๆจะเป็นห้องที่ง่ายที่สุดเลยก็ว่าได้เพราะผมสัมผัสอะไรไม่ได้เลย  ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างเงียบเชียบและเรียบจนอดแปลกใจไม่ได้ว่าสิ่งที่ผมพยายามมาตลอดข้างล่างนั่นจะเป็นโมฆะหรือสูญหายไปหรือเปล่า

การเดินหาคำสั่งที่พอจะชี้นำผมได้ เริ่มต้นตั้งแต่เตียงแรกริมทางเดิน มาเรื่อยๆจนใกล้จะถึงเตียงสุดท้ายริมหน้าต่าง ช่วงนั้นเสียงกระทบพื้นของวัตถุโลหะทรงหนาบางอย่างก็หยุดฝีเท้าและห้วงลมหายใจผมไว้  มือที่จับไฟฉายอยู่ค่อยๆกดปิดมันอย่างเร่งรีบ สายตาก็จับจ้องแค่เสาน้ำเกลือที่ถูกตั้งทิ้งไว้ใกล้เตียงสุดท้าย ก่อนที่จะหันกลับมาเผชิญเสียงเหล่านั้นด้วยใจกล้าๆกลัวๆ

ห้องน้ำอีกฝั่งจากที่ผมยืน คือต้นกำเนิดเสียงบาดหูเสียงนั้น  วัตถุที่ตกลงมายังคงกลิ้งอยู่บนพื้นเสียงดังก้อง รับกับการเคลื่อนกายเข้าไปหาของตัวผม ก่อนที่มันจะเงียบไปหลังจากที่ผมเดินกลับมาจนเกือบถึงประตูห้องน้ำพอดี

“นำน้ำที่อยู่ในกะละมังนี้ขึ้นมาลูบหน้า พร้อมกับท่องคาถาที่ให้ไว้ในกระดาษ”

เมื่อเดินเข้ามายังด้านในห้องน้ำ  บริเวณหน้ากระจกเงาก็ปรากฏกะละมังน้ำขนาดเล็กตั้งไว้เคียงคู่กับกระดาษสีขาว ซึ่งในนั้นได้บอกถึงคำสั่งที่ผมจะต้องทำทันทีที่เห็นและคำสั่งที่ต้องทำถัดไปหลังจากคำสั่งแรก 

บอกไม่ถูกเลยว่าตอนนี้ความรู้สึกของผมเป็นแบบไหน เพราะเมื่อได้จ้องเงาตัวเองบนน้ำในกะละมัง ความหลอนหัวก็ตีตื้นขึ้นมาจนร่างกายแทบจะชะงัก  คาถาที่เกมสั่งให้ผมท่อง ผมรู้ได้ทันทีตั้งแต่เห็นอักขระตัวแรกว่ามันคือคาถาอะไร เนื่องจากว่าเมื่อคืนวิญญาณที่อยู่บนกระดานดำได้ท่องวนซ้ำให้ผมฟังพร้อมเสียงกรีดร้องลั่นบ้าน กล่อมผมให้หลับใหลไปพร้อมกับบทสวดปลุกวิญญาณราวกับเพลงกล่อมเด็กก็ไม่ปาน

และในเมื่ออักขระคาถาปลุกวิญญาณได้ถูกหยิบยกขึ้นมาใช้อีกครั้ง…น้ำที่อยู่ในกะละมังจึงอาจเป็นน้ำเก้าวัดส่วนสุดท้าย

ผมยื่นมือไปวักน้ำขึ้นมาลูบหน้าตามจำนวนครั้งที่ได้ระบุไว้พร้อมกับที่ปากก็ท่องคาถาไปด้วย  ความเย็นที่ผ่านหน้าทำเอาผมแทบไม่กล้าลืมตาขึ้น ประสบการณ์ที่ผ่านมา มันสอนผมมาตลอดว่าเกือบทุกครั้งที่ผมทำอะไรเช่นนี้ วิญญาณมักจะออกมารอต้อนรับผมอยู่เสมอ  ฉะนั้นผมจึงใช้เวลาอยู่นานในการทำใจให้กล้าพอ ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วพบเพียงใบหน้าของตนเองท่ามกลางภาวะวังเวงรอบกาย

ผมรีบสลัดความคิดและเดินออกมาบริเวณข้างนอกห้องน้ำพลางจับสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้น  ณ ที่แห่งนี้ความน่ากลัวเป็นอย่างไรผมรู้อยู่แก่ใจ ห้องใต้ดินข้างล่างนั่นตอบโจทย์ในทุกคำถามที่ไม่เคยมีใครให้คำตอบ  ทว่าห้องรวมชายตรงนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อทุกสัมผัสที่ผมจับได้ยังคงบอกว่าภายในห้องผู้ป่วยรวมยังเป็นปกติ ไม่มีวิญญาณแสดงตัวตนออกมาเลยแม้แต่ร่างเดียว  ทุกอย่างที่เห็นยังคงเป็นเช่นเดิมดั่งแรกเริ่มที่เข้ามา ราวกับวิญญาณกำลังเฝ้ารอการกระทำเพื่อฟื้นคืนสภาพของตนเอง

“เคาะใต้เตียงไปเป็นจำนวนครั้งตามวันเกิด และสมมติตนเองให้เป็นพยาบาล ร้องเรียกให้ผู้ป่วยฟื้นคืนรอพบหมอ”

เสียงหยดน้ำที่ไหลกระทบพื้น ดังคลอไปพร้อมกับเสียงพูดยามที่ผมต้องอ่านภารกิจถัดไป  เนื้อหาในนั้นสร้างความปั่นป่วนให้บรรยากาศรอบๆไปโดยสิ้นเชิง ความรู้สึกที่ว่าเกมนี้มันมากกว่าการท้าทายบอกให้ผมระวังตัวในทุกขณะ  การเล่นเกมที่จะต้องเกิดต่อจากนี้ไม่อาจปลอดภัยได้ เพราะนี่ไม่ใช่แค่ปลุกวิญญาณขึ้นมาเท่านั้น หากแต่มันยังคล้ายกับการให้ความหวังและเหยียบย่ำทำลายมันลงในเวลาเดียวกัน

ผมยืนกำกระดาษบนมือเอาไว้แน่น  สอดส่องสายตาไปทั่วบริเวณเพื่อตรวจสอบความแน่ใจว่าการมองของผมไม่มีอะไรผิดพลาด  การกระทำที่ผมจะต้องโดนบังคับ ยอมรับเลยว่าผมไม่กล้าทำมันอย่างแน่นอนหากแม้วิญญาณโผล่ออกมาแค่กลิ่นความตาย  การท้าทายที่ไม่เหมาะไม่ควรในนี้ กำลังเล่นกับห้วงลมหายใจของผมหนักยิ่งกว่าห้องเก็บศพข้างล่างเสียอีก

“เตียงเบอร์หนึ่งครับ…ฟื้นได้แล้ว  คุณหมอจะมาตรวจแล้วครับ”

หลังจากที่ผมยืนสูดเอากลิ่นอับและฝุ่นควันในห้องแห่งนี้ไปแทบท่วมปอด  ผมก็ต้องจำยอมมุดร่างกายของตัวเองให้เข้าไปยังใต้เตียงตามคำสั่งที่ระบุไว้ โดยคำที่บอกว่าให้ผมเคาะใต้เตียงนั้นไม่ใช่เพียงการเอื้อมมือไปเคาะ  หากแต่ต้องพาตัวเองเข้าสู่ด้านล่างเตียงแล้วนำมือไปเคาะแผ่นกระดานแตกๆที่อยู่ใต้นั้นแทน

เสียงพูดของผมดังกังวานก้องไกลไปแทบทั้งชั้น  สะกิดให้ส่วนขาและแขนของผมรู้สึกหดเกร็งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ความวังเวงของโรงพยาบาลร้างแห่งนี้ ยังคงเป็นหนึ่งเดียวที่เคลื่อนไหวรอบกายผมอย่างท่วมท้น สร้างความรู้สึกอึดอัดได้ทุกขณะที่ผมเคลื่อนไหวร่างกาย  จนมือที่เอื้อมไปเคาะและปากที่ส่งเสียงท้าทายสั่นไหวไม่ต่างกัน

เมื่อสิ้นสุดเตียงเบอร์หนึ่ง ผมจำเป็นที่จะต้องย้ายร่างกายของตนเองไปที่เตียงสองทันที ในคราแรกผมรู้สึกลังเลที่จะเลือกวิธีพาตนเองออกไป แต่เนื่องด้วยระยะที่ไม่ห่างกันนัก ผมเลยตัดสินใจที่จะเคลื่อนตัวออกโดยใช้การไถลไปที่พื้น ให้ศอกและเท้าดันช่วยพยุงร่างกายของผมไว้จนสามารถเข้าไปยังเตียงถัดๆไปได้

ในทุกๆครั้งที่ผมตะโกนผ่านใต้เตียงมาเรื่อยๆนั้น  ความรู้สึกรอบกายของผมมันก็เปลี่ยนไปด้วย  จากแออัดและร้อนอบอ้าว ก็เริ่มมีลมเย็นๆพัดเข้ามายังพื้นที่ข้างใต้นี้  จากกลิ่นของห้องที่แค่อับๆก็เริ่มมีกลิ่นสาปเหม็นโชยเข้ามาใต้เตียงนี้  มือของผมจึงต้องถูกยกขึ้นมาปิดจมูกกันกลิ่นข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ปล่อยให้ทำหน้าที่เคาะไปเรื่อยๆโดยไม่หยุดพัก

เตียงในแถวแรกทั้งหมดถูกเรียงกันไว้ทั้งหมด 24 เตียง  แน่นอนว่ามันเยอะมากและต้องใช้เวลาจนกว่าจะครบ  ผมรู้สึกอ่อนล้าและเจ็บไปทั้งแผ่นหลังในยามที่ต้องเคลื่อนกายเข้าใกล้เตียงสุดท้ายมากขึ้นเรื่อยๆ  สายตาก็เอาแต่จ้องดูนาฬิกาข้อมือเพื่อหาจุดสิ้นสุดของพิธีกรรมนี้ จนกระทั่งความอดทนผมหมดลง การตัดสินใจที่จะลดความทรมานให้ตนเองจึงสั่งให้ผมท้าทายแค่เตียงแถวแรกเพียงแถวเดียว

“เตียงเบอร์ 24 ครับ  ฟื้นได้แล้ว  เดี๋ยวคุณหมอจะมาแล้วนะครับ!!”

ผมถึงกับวางมือแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่  หลังการท้าทายสุดท้ายของผมสิ้นสุดลง  ใบหน้าของผมยกยิ้มขึ้นมาอย่างรู้สึกยินดี ที่ห้องนี้ไม่มีวิญญาณโผล่มารบกวนผมเลยแม้แต่น้อย  ที่จะสร้างความอึดอัดจนทำให้หัวใจผมเต้นแรงไม่หยุดนั้นคงมีเพียงสถานการณ์แปลกๆที่ไม่ต้องใช้ตามองก็สามารถทำให้ผมรับรู้ได้ว่า บางสิ่งในนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว

ผมเตรียมดันร่างกายของตนเองออกไปจากเตียงเบอร์นี้  แต่ทว่าสิ่งผิดปกติบางอย่างก็ทำให้น้ำตาผมรื้นขึ้นมาจนร้อนไปทั้งกระบอก  ร่างกายของผมจากที่เคลื่อนไหวได้สุดแรงก็แปรเปลี่ยนเป็นนอนแน่นิ่ง  ไม่มีแรงที่จะดันตัวเองให้ลุก  คล้ายกับถูกสะกดให้ค้างท่าทางไว้แบบนั้น  อีกทั้งบางสิ่งบางอย่างที่คิดว่ามันจะไม่เปลี่ยนไปในห้องนี้ก็เริ่มบรรเลงท่าทีออกมาคล้ายกับว่า เวลาที่พวกเขารอ…มาถึงแล้ว

“หมออยู่ไหน?”

เสียงประสานขับกล่อมบรรยากาศของชายหนุ่มน้อยใหญ่ดังขึ้นพร้อมกันแทบจะในทันที่ส่วนหัวผมของผมโผล่พ้นขอบเตียงออกมา  เสียงที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงเสียงที่ดังก้องหูทั่วๆห้อง  ผมจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันมาจากจุดไหน  ที่สังเกตได้จากเนื้อเสียงก็บ่งบอกผมแค่เพียงความรู้สึกของผู้เป็นเจ้าของว่ากำลังโกรธเกรี้ยวกับการกระทำของผมสุดขีด  จนต่อมการรับรู้ของผมบอกให้ผมระวังตัวให้มากขึ้นกว่าเดิม  เพราะการที่พวกเขาเริ่มแสดงตัวตนออกมา ร่างกายของเขาคงจะตามมาให้ผมสัมผัสได้ในอีกไม่ช้านี้

ผมรีบหลับตาผ่อนลมหายใจแล้วคลานเข่าออกมาให้รวดเร็วที่สุดเพื่อลดช่องว่างระหว่างเวลา ที่จะสามารถทำให้เหล่าสัมภเวสีจะใช้น้ำเสียงข่มขู่จิตใจผม   เสียงประสานพวกนั้นยังคงดังหลอนหูผมไม่เลิกในทุกๆช่วงการขยับกายออกมายืนอยู่ข้างเตียง  จนสายตาของผมต้องเริ่มหันไปมองรอบห้องอย่างคนหมดหนทางสู้  เสียงนั่นมันน่ากลัวจนตัวของผมสั่นเทิ้มอย่างหนักไม่ต่างไปจากลูกนกที่กำลังโดนบีบให้ตาย  แววตาเลิกลั่กถูกใช้มองด้านซ้ายทีขวาทีอย่างหวาดระแวง พร้อมกับที่ช่วงขาก็ค่อยๆเริ่มพาตนเองออกห่างจากเตียงพวกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

ความดังของเสียงที่ไม่ได้ลดลง  เริ่มกรีดแก้วหูของผมไปอย่างทรมาน  มือสองข้างของผมนั้นถูกยกขึ้นมาปิดหูพร้อมปล่อยให้น้ำตาหลั่งไหลออกมาชะโลมหัวใจที่เต้นแรงจนเจ็บคัด  สถานการณ์ที่เกิดขึ้นย้ำเตือนเรื่องการมาถึงของวิญญาณที่เริ่มคืบคลานเข้ามาอยู่ทุกขณะ     ห้องน้ำตรงหน้าก็เริ่มส่งเสียงให้ผมสะดุ้งขึ้นอีกครั้งเนื่องจากกระโถนขากเสลดใบเดิมได้ตกลงมาจากอ่างล้างมือ  ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นผมยังไม่ได้หยิบขึ้นไปวาง  จนผมต้องเงยหน้าขึ้นและหยุดยืนตาค้างไปกับสิ่งที่ยืนแน่นขนัดตรงหน้า

ห้องผู้ป่วยติดเชื้อที่ถูกสร้างแยกไว้ ปรากฏร่างกายของชายหนุ่มน้อยใหญ่ ยืนจ้องหน้าผมบนเตียงด้วยสายตาดุดัน…

ไฟฉายบนมือของผมตกลงสู่เบื้องล่างในทันทีที่มือของผมหมดแรงจะยื้อ  แสงไฟที่ถูกเปิดขึ้นราวกับจับวาง  ฉายชัดไปยังใบหน้าโกรธเกรี้ยวและไม่พอใจของคนตรงนั้น  พร้อมๆกับที่มันก็ทำให้ห้องแห่งนี้สว่างขึ้นจนหางตาจับสังเกตได้ถึงสิ่งที่ผมเพิกเฉยมาตั้งแต่แรก

เตียงผู้ป่วยที่ตั้งเรียงกันไว้หลายแถวมีวิญญาณมากมายนอนเบิกตาแน่นิ่งอยู่บนเตียงนั้นและต่างก็จับจ้องมาที่ผมอย่างกับคนทำผิดร้ายแรงก็ไม่ปาน  แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าร่างของวิญญาณที่นอนอยู่  คือเสียงร้องเรียกหาหมอที่ยังคงดังขู่เข็ญผมไม่จางหาย  โดยถ้าได้สังเกตไปรอบๆกายผมขณะนี้จะพบว่าไม่มีวิญญาณตนใดขยับปากพูดให้เกิดเสียงเลย ดังนั้นพื้นที่สุดท้ายที่ผมไม่อยากจะทำใจสาดไฟส่องขึ้นไปจึงเป็นพื้นที่เดียว ที่ผมจะหาแหล่งที่มาของเสียงนั้นได้

“หมออยู่ไหน!!!”

ผมรีบยกมือขึ้นปิดปากนิ่งเพราะตกใจกับแรงเสียงที่เค้นถามลงมาจากด้านบน  วิญญาณมากมายที่ผมสัมผัสไม่ได้ในคราแรก  กำลังนั่งห้อยตัวอยู่บนโคมโฟติดเพดานของโรงพยาบาลร้างแห่งนี้  โดยมีแววตาแดงกล่ำที่บอกชัดถึงแรงอาฆาตจ้องกลับมาหาผมอย่างไม่ลดละ  บางตนใช้นิ้วชี้มาที่หน้าผมอย่างไร้จรรยา หากแต่เวลานี้ผมคงไม่มีเวลามาใส่ใจมากนัก  เพราะท่าทีการเคลื่อนไหวรอบกายกำลังบีบบังคับให้ผมต้องหนี

นิ้วของผมถูกยกขึ้นมาปาดน้ำตาที่ไหลบดบังวิสัยทัศน์ในความมืด  ก่อนจะวิ่งผ่านบรรดาหยากไย่ใยแมงมุมที่ขวางทางจนทิศทางสะเปะสะปะ ไปยังช่องว่างของประตูที่ถูกติดตั้งอยู่ไม่ไกลตรงนี้  จวบจนช่วงขาของผมใกล้พ้นเตียงที่หนึ่งของแถวที่สาม  ผมก็สะดุดวัตถุบางอย่างล้มลงไปบนพื้นอย่างแรง  กระแทกกับเศษหินเศษดินจนรู้สึกแสบคล้ายเข่าแตก  ก่อนจะหันกลับมามองสิ่งที่พุ่งมาขวางทางตนเองไว้

ร่างของผู้ชายคนหนึ่งกลิ้งออกมาจากใต้เตียงด้วยใบหน้าโชกเลือด ก่อนที่เขาจะนอนแน่นิ่งอยู่เพียงปลายเท้าของผม

ผมตกใจจนแทบช็อกเมื่อไฟฉายไม่ได้แสดงภาพอันน่าภิรมย์กลับมา  มือของผมหนึ่งข้างจึงต้องรีบยกขึ้นมากดแผลที่เริ่มแสดงอากาศปวดร้าวไปทั้งช่วงขา  อีกข้างก็ค่อยๆดันร่างกายตนเองให้ถอยห่างจากวิญญาณของผู้ชายคนนั้น 

ผมกัดปากกลั้นเสียงสะอื้นที่พร้อมจะออกมาตลอดเวลาและขบกรามทั้งสองข้างไว้แน่น เมื่อความน่ากลัวที่ผมได้รับไม่ได้สิ้นสุดลงที่วิญญาณของผู้ชายตรงหน้า  แต่บัดนี้  เสาน้ำเกลือที่เคยตั้งทิ้งไว้ใกล้เตียงสุดท้ายของแถวแรกได้เริ่มเคลื่อนไหวมายังทิศทางนี้คล้ายกับมีคนลากมา เสียงโลหะเหล็กที่ขูดไปกับพื้นรับกับเสียงของกระโถนเหล็กที่ยังคงกลิ้งตัวอย่างกับคนไปหมุนเล่น  นำให้ผมต้องรีบถีบขาทั้งสองข้างให้พ้นตัวศพตรงหน้าอย่างไว

“หมออยู่ไหน!!”

ร่างกายของวิญญาณที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้า  เริ่มกระตุกคล้ายกับคนกำลังช็อก วิญญาณของผู้ชายคนนั้นเริ่มแสดงท่าทีเหมือนคราก่อนที่เขาจะสละลมหายใจของตนเองทิ้งไป  ภาพเหล่านั้นเร่งเร้าให้ผมถีบตัวเองลุกขึ้นหนักกว่าเดิม หากแต่บาดแผลที่ยังคงเจ็บปวด กลับทำให้ผมต้องฝืนจนสุดแรง และทำให้ทุกอย่างไม่ทันวิญญาณตนนั้นที่บัดนี้ได้หันคอมาสบตากับผมพร้อมใช้มือสากหนาทั้งสองข้างเกี่ยวรั้งข้อเท้าผมไว้  ก่อนที่เขาจะฉีกยิ้มให้ผมจนกว้างพร้อมกับเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมแทบสิ้นลมหายใจไปตามเขา

หมับ

“มึงจะไปไหน!!! ตามหมอมาให้กู!!!

ผมรีบสลัดข้อเท้าออกจากการกอบกุมของวิญญาณตนนั้น ก่อนจะวิ่งออกมาเนื่องจากภายนอกห้องตอนนี้ได้เกิดเสียงอึกทึกร้องขอความช่วยเหลือจากมนุษย์ชายหนุ่มคนหนึ่ง ดังกังวาลไปทั่วทั้งโรงพยาบาลร้าง ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่ผมเฝ้ารอมานานตั้งแต่ที่เห็นว่าทีมงานได้เริ่มท้าทาย ผมจึงเหมือนคนได้สติและใช้ความกลัวที่มีผลักดันให้ความกล้าสุดท้ายของตนเองพาร่างกายออกจากห้อง

ผมวิ่งแบบขากะเผลกออกมา  โดยที่แว่วเสียงเรียกและเสียงตะโกนแห่งความทรมานยังคงไล่ตามมาจากห้องนั้น  หากแต่มันก็สิ้นสุดลงไปแค่หน้าประตู  ไม่มีวิญญาณติดตามผมมาจากห้อง สร้างความแปลกใจให้หัวของผมคิดถึงแต่คราวที่ตนเองหนีผีในห้องชั้นใต้ดินขึ้นมา  ตอนนั้นวิญญาณก็ไม่ได้ตามติดผมขึ้นมาด้วย คล้ายกับเขาไปไหนไม่ได้นอกจากจุดของตนเอง  ซึ่งนับว่าแปลกมากถ้าเทียบกับประสบการณ์เก่าๆที่ผมเคยเจอ

บาดแผลที่เกิดสร้างความเจ็บปวดให้ผมจนแทบคลั่ง  ณ ตอนนี้ บรรยากาศในโรงพยาบาลกำลังปั่นป่วนจนถึงขีดสุด  เมื่อฝีเท้าของบุคคลที่คาดว่าน่าจะเป็นทีมงานเพราะเสียงร้องไม่คุ้นหู  เริ่มดังเปลี่ยนชั้นขึ้นมาเรื่อยๆ  ทีมงานที่กำลังวิ่งหนีบางอย่างอยู่นั้น  คงมีแต่ความรู้สึกทรมานและกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  ช่วงเสียงที่เขาเปล่งออกมาถึงได้ดูบาดลึกและอึดอัดจนผมอดสงสารไม่ได้

ผมตัดสินใจวิ่งหนีขึ้นไปด้านบนเพราะคิดว่าไอ้ภพน่าจะอยู่ตรงนั้น  การกระทำที่ตอนนี้ดูเหมือนจะกล้าแกร่งแท้จริงแล้วมันยังคงเป็นแค่เปลือกนอกที่ผมต้องบดบังเนื้อแท้ผมเอาไว้  ผมรู้สึกกลัวมากจนไม่รู้จะอธิบายออกมาอย่างไร  อาการทางร่างกายของผมเป็นเสมือนสิ่งยืนยันสิ่งเดียวที่ย้ำให้ผมเข้าใจอยู่ตลอดว่าผมไม่เคยทิ้งตัวตนได้เลย  ผมยังคงกลัวจนหัวใจเต้นแรงจัด  ใบหน้าของผมมีแต่น้ำตาและร่องรอยของความเครียด  มือของผมข้างหนึ่งต้องจับเสื้อตนเองไว้ เพราะมันสั่นจนคุมไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้ยังมีบาดแผลเพิ่มเข้ามาจนร่างกายแทบจะหาอิสระไม่ได้แล้ว

เสียงขอความช่วยเหลือของทีมงานยังคงดังลั่น  กลบเสียงที่ผมพยายามจะหาที่อยู่ของไอ้ภพไปหมด  ผมจึงใช้วิธีการเดาสุ่มไปตามชั้นต่างๆ โดยที่ตอนนี้ผมได้พาตนเองขึ้นมาถึงชั้นหก และรู้สึกได้ทันทีเลยว่าในชั้นนี้มีการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตปรากฎอยู่หากแต่ไม่รู้ว่ามันจะอยู่ในรูปแบบไหน

จังหวะของการขยับปลายเท้ากระทบพื้นตึกจนเสียงดังก้อง  เรียกให้ตัวผมวิ่งตามสิ่งที่ได้ยินไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งไปสิ้นสุดที่โถงทางเดินรวม  ที่แห่งนี้มีแสงจากข้างนอกสาดเข้ามาบ้างเล็กน้อย  ลดความน่ากลัวที่ผมกำลังเผชิญอยู่ให้เบาลง  พร้อมกันนั้น สายตาของผมก็ได้จับสัมผัสการเคลื่อนไหวที่กำลังตรงมายังจุดที่ผมยืนอยู่ได้  เรียกให้ใบหน้าของผมยกยิ้มขึ้นและร้องทักไปด้วยเสียงที่ไม่ดังมาก แต่กลับกังวานชัดเต็มสองหู

“ภพ  นั่นมึงใช่ไหม?  เรารีบหนีไปข้างนอกกันเถอะ  ทีมงานแม่งผิดกฎไปแล้ว”

ปลายเท้านั่นยังคงเคลื่อนตรงมาด้วยลักษณะท่าทางที่ผิดแปลก หากแต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงตอบผมกลับมาแต่อย่างใด  เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมจึงไม่ละความพยายามที่จะตะโกนซ้ำไปอีกครั้ง ด้วยความคิดที่บอกว่าเสียงเมื่อครู่นี้ไอ้ภพอาจจะไม่ได้ยิน

“ภพ…นั่นมึงหรือเปล่า  ถ้าใช่ก็ส่งเสียงกลับมาด้วย…อย่าเงียบแบบนี้”

ผมร้องถามคำถามนั้นไปตั้งแต่เงาดำของร่างมนุษย์ยังเข้าใกล้ผมไม่มาก  จนกระทั่งตอนนี้ที่ผมเริ่มเห็นความเป็นรูปเป็นร่างชัดขึ้น  สิ่งที่ผมคิดว่าเป็นไอ้ภพ ก็ยังคงไม่ตอบผม  พร้อมกันนั้นท่าทางแปลกๆที่ผมคิดว่าไอ้ภพวิ่งมาก็สร้างความฉงนให้ใจผม  เพราะการย่างเท้าเข้ามาแบบช้าๆ ไม่น่าใช่การวิ่งได้ อีกทั้งท่าทางที่ปัดป่ายไปรอบตัวนั้น ยังทำให้ผมต้องขมวดคิ้วจ้องมองให้ชัด พร้อมกับที่เหงื่อก็ไหลซึมตามข้างขมับออกมา

“ไอ้มิว!! วิ่ง!!”

ไอ้ภพที่วิ่งมาจากตรงไหนผมไม่อาจทราบได้  ส่งเสียงดังให้ผมที่กำลังจดจ่ออยู่กับบางสิ่งบางอย่างสะดุ้งจนตัวโยนแล้วหันไปจ้องหน้ามัน  แค่พริบตาเดียวหลังจากนั้นไอ้ภพก็วิ่งเข้ามาคว้าข้อมือของผมแล้วพากันวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว  โดยที่ใบหน้าของมันตอนที่กระชากผมออกไป  เต็มไปด้วยอารมณ์บางอย่างที่คาดเดาไม่ได้  มันทั้งกังวล  ทั้งเครียด และกลัวในเวลาเดียวกัน  ดังนั้น ผมจึงต้องหันหลังกลับไปมองว่าไอ้ภพกำลังปกป้องผมจากอะไร

แสงที่สะท้อนเข้ามาในโถงทางเดินนั้น ตกกระทบเงาวาววับของชฎาที่สวมหัว พร้อมกับการร่ายรำดั่งคล้ายมนตร์สะกด ดึงดูดให้สายตาผมนั้น จับจ้องแต่เพียงความสวยงามของ…นางรำ

แค่ปรายตาหันไปมอง  ใบหน้าของนางรำตนนั้นก็ตวัดสายตาขึ้นมาที่ผมอย่างแข็งกร้าวก่อนที่ปลายนิ้วชี้จะถูกยกขึ้นมาชี้หน้าผมอย่างอาฆาต  ดังนั้นผมจึงเป็นฝ่ายที่ก้าวเท้าตามแรงดึงไอ้ภพจนเท่าทันมันก่อนจะพากันลงบันไดไปยังชั้นล่างแล้วเข้าไปหลบยังห้องที่ผมคิดว่าปลอดภัยที่สุดห้องหนึ่ง

“ไอ้มิว!! มึงขึ้นไปทำอะไรที่ชั้นนั้น”ยังไม่ทันได้พักจากอาการเหนื่อยหอบ ไอ้ภพก็หันมาคุยกับผมด้วยน้ำเสียงที่ตื่นกลัวพอสมควร

“กูขึ้นไปหามึงนั่นแหละ...ในที่แบบนี้กูเจอแต่ผี พอเสียงทีมงานมันดังขึ้นมากูเลยไม่สนใจกฎแล้วเลือกไปตามมึงแทน”

“หึ  กฎบ้าบออะไรหละ  โรงพยาบาลบ้าๆแบบนี้มึงคิดว่าใครจะมาติดกล้องเอาไว้ได้”

“มึงหมายความว่าไง”

“ตามที่พูด  รายการวันนี้มันไม่ได้บันทึกอะไรพวกเราไว้เลยสักอย่าง”

“แล้วมึงรู้ได้ไง…ที่สำคัญมึงเป็นอะไรไปภพทำไมถึงต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้น ทีมงานโกงอันนี้กูเข้าใจ  แต่ทำไมอาการมึงถึงเหมือนว่ามึงหนีอะไรมาก่อนที่จะเจอกู  มึงเห็นอะไรอย่างนั้นเหรอภพ”

ผมหันกลับมานั่งจ้องหน้ามันตรงๆถึงได้เห็นความเหนื่อยล้าที่ชัดเจนในดวงตาคู่นั้น  ไอ้ภพไม่ใช่พึ่งจะเหนื่อยหอบจากการที่พาผมวิ่งเป็นแน่  ท่าทางของมันราวกับต้องหนีมานานพอสมควร  และยิ่งผมได้ดึงตัวมันมากอดปลอบจนหัวใจของเราสะท้อนถึงกัน ผมถึงได้รู้ว่ามันกำลังเต้นเร็วจัด คล้ายกับตอนที่ผม…เห็นวิญญาณพวกนั้น

“กู…”

ฉิ่ง ฉับ

เสียงของเครื่องดนตรีไทยบางอย่างทำให้ไอ้มิวที่กำลังกอดปลอบผมอยู่ถึงกับสะดุ้ง วงแขนของมันรัดตัวผมแน่นอย่างกับคนที่กลัวอะไรสักอย่าง จนเมื่อผมดันร่างที่แข็งทื่อของมันออกมา ผมถึงได้รู้ว่ามันเอาแต่จ้องมองลอดหน้าต่างบานกว้างไปยังพื้นที่ทางเดินหน้าห้อง พร้อมกับที่น้ำตาของมันก็ไหลลงมาอาบร่องรอยทางน้ำตาเดิมที่ไม่มีทางแห้งเหือดไป

ผมคือผู้ที่ถูกเลือกให้เข้ามาร่วมเกมเป็นคนสุดท้าย ผมจึงมีโอกาสได้สังเกตท่าทีของทีมงานข้างนอกนั่นยามที่พวกเขาจับกลุ่มคุยกันใจจดใจจ่อ พนันกันว่าไอ้มิวจะทนได้นานสักแค่ไหน  ฉะนั้นเมื่อพวกเขาลืมตัวว่ายังคงมีผมที่นั่งอยู่ตรงนี้  การแสดงออกของเขาจึงไม่ทันได้ระแวดระวังคำพูดที่ทำให้ผมรู้สึกหน้าชาขึ้นมาทันที

“มึงว่า หัวหน้ากับไอ้แดงมันจะไหวไหมวะ? แม่งน่ากลัวชิบหายขนาดนี้”

“พวกมึงไม่รู้อะไร  มึงว่าที่แบบนี้มันน่ากลัว แล้วใครจะกล้าเข้าไปติดกล้องติดอะไรวะ  พวกหัวหน้ากับไอ้แดงมันก็แค่เข้าไปสังเกตไอ้สองคนนี้มากกว่า  พวกนั้นไม่เป็นอะไรหรอก”

“อ้าว แล้วจะลากพวกมันมาให้เสียเวลาทำไมวะ”

“ก็ไม่รู้หรอก มันเป็นคำสั่งมา แต่คิดว่านายเราเขาก็คงอยากให้ใครสักคนออก”

“เฮ้ยพวกมึง เบาๆดิวะ ไอ้ห่านั่นมันก็ยังไม่ได้เข้าไปนะ  เดี๋ยวได้ซวยกันหมดหรอก”

ผมนั่งกำมือแน่น พยายามกำกับอารมณ์ที่ผมพึ่งจะได้รับเอาไว้  จนเมื่อถึงเวลาที่ผมต้องเข้าไป ผมจึงได้มีโอกาสตามหาทีมงานอีกสองคนที่เข้ามาก่อนแล้ว และได้เห็นว่าพวกมันสองคนไม่ได้ทำภารกิจหรือเล่นเกมอย่างที่ว่าไว้เลย ทั้งคู่ต่างนั่งจับเข่าคุยกันฆ่าเวลาเฉยๆ  วางแผนกันที่จะส่งไอ้คนที่ชื่อแดงมาดูผมและตัวหัวหน้าจะลงไปดูไอ้มิว  เมื่อผมได้ยินแบบนั้น ผมจึงรีบเดินขึ้นไปยังชั้นที่ตัวเองได้รับมอบหมาย ทำพิธีปลอมๆให้เวลาทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่

.
.
.
(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 24-05-2017 01:19:43
ตอนนั้น ผมถูกสั่งให้ทำพิธีอยู่ที่ชั้น 5 ห้องที่ผมถูกสั่งให้เข้าไปในนั้นคือห้องผ่าตัด  แน่นอนว่าผมไม่สามารถเห็นสิ่งใดแบบที่ไอ้มิวเห็น  ผมจึงไม่รู้สึกกลัวขึ้นมากเท่าไร  หากแต่บรรยากาศที่เปลี่ยนไปกลับทำให้ความมั่นใจผมลดลง  ผมไม่รู้ว่าการขอโทษของไอ้มิวหมายถึงอะไร  แต่เพราะผมวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องนั้นผมจึงไม่ได้สังเกตเลยว่ารอบกายของผมไม่เหมือนเดิม

ช่วงเปลี่ยนผ่านเกมตอนเที่ยงคืนผมต้องขึ้นไปยังห้องคลอดที่ชั้น 6 ซึ่งอยู่แทบจะในสุดของชั้นนั้น  ผมวนหาอยู่หลายรอบกว่าจะเจอห้องที่ผมตามหา  แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้หยิบแตะอะไรผมก็ถึงกับเข่าทรุดเพราะหูของผมสามารถรับสัมผัสของเสียงดนตรีไทยที่แว่วคลอมากับลมเย็นๆให้ขนในกายลุกชัน

ในโรงพยาบาลนี้ ไม่มีทางที่จะมีเสียงดนตรีไทยเกิดขึ้นมาได้ และอาจจะเพราะความที่ผมไม่กลัวเท่าไรนักผมจึงใช้ไฟฉายที่ได้รับมาสาดส่องไปหาต้นกำเนิด จนมาพบกับโถงทางเดินที่ไอ้มิวไปหยุดยืนเมื่อครู่ ผมจึงไม่รอช้าที่จะสาดไฟไปทันทีในจุดที่ผมพบเงาตะคุ่ม และตรงจุดนั้นก็ทำให้ผมรู้ซึ้งถึงความรู้สึกไอ้มิวทุกประการ

ไฟฉายที่ผมสาดไป ไปกระทบกับกำไลข้อเท้าสีทองยามที่กำลังยกขาขึ้นร่ายรำอย่างสวยงาม  มือของเธอคนนั้นวาดลวดลายให้ผมมองตาแทบค้าง แต่ไม่ใช่เพราะชื่นชม  ผมกำไฟฉายในมือเอาไว้แน่นมาก  ข่มอารมณ์ที่มนุษย์ทุกคนล้วนมีกันแล้วหันหลังเดินกลับมา ทิ้งให้นางรำคนนั้นชี้นิ้วตามผมด้วยความคับแค้นอยู่ฝ่ายเดียว

น่าแปลกที่แม้ผมจะเดินเร่งฝีเท้าไปมากเท่าไร  นางรำคนนั้นก็ดูเหมือนจะรำตามผมมาได้แทบทุกฝีก้าว  ผมจึงตัดสินใจมองกลับไปอีกครั้ง  และพบเห็นในสิ่งที่ทำให้ขาของผมก้าวด้วยความเร็วไม่คิดชีวิต  นางรำที่เคยมีใบหน้าสะสวย บัดนี้กลับเละด้วยคาวเลือดและดินโคลน  ท่าทีที่รำอยู่เมื่อครู่ ก็เปลี่ยนเป็นการคลานรำตามมาเรื่อยๆ และสุดท้ายเมื่อผมวิ่ง  เธอก็ลุกชี้นิ้ววิ่งตามผม

จำได้ว่าผมวิ่งหนีอยู่นานมาก  จนไปพบเข้ากับทีมงานที่ชื่อไอ้แดง  มันคงกำลังจะตามผมขึ้นไปยังชั้นบน  ผมเลยรีบหลบเข้าห้องๆหนึ่งไปก่อน  และปล่อยให้เสียงการร่ายรำตัดผ่านหูไปหาทีมงานคนนั้น

ผมนั่งนับช่วงที่เครื่องแต่งกายชุดนางรำเคลื่อนผ่านผมไปอย่างแทบไม่เชื่อหูตนเอง  วิญญาณของนางรำที่ผมเจอ เดิมทีผมเห็นเพียงหนึ่ง  แต่ในขณะที่หลบซ่อนตัวอยู่นั้น  ผมกลับนับได้ถึงสามตนที่เคลื่อนผ่านห้องนี้  จนสุดท้ายเมื่อเสียงกรีดร้องและวิ่งหนีอย่างทรมานของทีมงานก็ดังขึ้น ผมจึงได้ละทิ้งทุกความกังวลและเริ่มออกตามหาไอ้มิวแทน

วิญญาณนางรำตนแรกที่ผมเห็น  ผมเชื่อว่ามันมาจากความผิดของผม เนื่องจากเมื่อช่วงเย็นที่ไอ้มิวหายไปนาน ผมได้ทำการเดินออกตามหามันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเห็นหัวหน้าทีมงานเดินกลับมา ตอนนั้นผมต้องรีบหลบกลับไปที่เดิมจนไม่ได้สังเกตว่า เท้าของผมได้ไปเหยียบเอาตุ๊กตานางรำบนพื้นจนหัก จนอดคิดถึงวิญญาณตนนั้นไม่ได้ ทว่าตั้งแต่ที่วิญญาณนางรำโผล่มามากขึ้น  ความคิดผมก็เกิดการลังเลขึ้นมาและเริ่มเบนไปที่คำขอโทษจากไอ้มิว ว่าแท้จริงแล้วนั้นสิ่งที่มันขอโทษคือเหตุผลที่ทำให้มีนางรำติดตามผมมากกว่าเดิมหรือเปล่า

“ภ…ภพ นางรำนั่นมาได้ยังไง นี่มันในโรงพยาบาล?”ไอ้มิวนั่งหดขาของตนเองก้มลงต่ำ แล้วเอ่ยถามผมด้วยเนื้อเสียงสั่นๆ

“อืม มาได้ยังไง…มึงไปทำอะไรไว้หรือเปล่าหละ”

ไอ้มิวชะงักเหมือนคนคิดอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนที่มันจะพยักหน้ารับผมช้าๆ แต่ผมก็ไม่ทันจะได้เค้นความจริงต่อ  เพราะนางรำที่มาหยุดยืนหน้าห้องได้สักพักหนึ่งแล้ว กำลังเริ่มร่ายรำตามเสียงเพลงไทยเดิมที่ไม่รู้ว่าเกิดมาจากไหน จนพวกผมสองคนต้องนั่งกันตัวลีบกับกำแพงเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต

เงาที่ทอดผ่านเข้ามา ปรากฏร่างของอิสตรีสวมชุดรำสามนาง  ร่ายรำอยู่ภายนอกห้องด้วยท่าทางคล่องแคล่วและดูน่าหลงใหล  หากแต่ว่าแค่ครู่เดียว  เงานั่นก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างที่ผมและไอ้มิวไม่ทันตั้งตัว  ช่วงคอของมันจากตั้งตรงสวยก็เริ่มหักงอลงมาจนชฎาหลุดออกจากหัว  ช่วงแขนของมันจากที่ร่ายรำได้องศาก็บิดเบี้ยวผิดรูปจนไอ้มิวต้องยกมือขึ้นมาปิดปากกลั้นเสียงร้องเอาไว้  แต่กระนั้นทั้งหมดนี่ว่าจะไม่น่ากลัวเลย ถ้าชฎาที่หล่นนั้นไม่กลิ้งตัวเข้ามาในห้องที่ผมหลบอยู่

ผมและไอ้มิวต่างก็ตกใจกับสิ่งที่ตนเองเห็น  ชฎาทรงสูงสีทองได้กลิ้งตัดผ่านหน้าพวกผมไปก่อนที่จะไปหยุดตัวเองอยู่กลางห้อง  พร้อมกันนั้นเสียงดนตรีไทยคุ้นหู ก็เริ่มบรรเลงดังชันเจนตามจังหวะการก้าวเท่าที่เปลี่ยนแปลงของนางรำ  พวกมันสามตนต่างพากันยกแขนยกขา ทยอยร่ายรำกันเข้าสู่ตัวห้องแห่งนี้

ไอ้มิวนั่งตัวสั่นหงกอย่างที่ไม่รู้จะแก้ไขความกลัวตรงหน้าอย่างไร  ผมก็เช่นกันหากแต่อาการที่ผมแสดงออกยังน้อยกว่าไอ้มิวมาก  พวกเราสองคนต่างนั่งนิ่งคล้ายกับไปไหนไม่ได้  ดวงตาทั้งคู่เหมือนโดนสั่งให้จับจ้องแต่เพียงท่วงท่าและอารมณ์เพลงที่พวกเธอเหล่านั้นแสดงออก  ก่อนที่ลักษณะทางกายของเธอจะเปลี่ยนทุกอารมณ์ของผมให้ดำดิ่งสู่จุดที่ลึกที่สุดไปตลอดกาล

ความสวยที่เคยฉายแววบนหน้าถูกบดบังด้วยความผิดปกติที่เกิดขึ้นทั่วร่าง  พวกเธอทั้งสามตนต่างก็ร่ายรำไปอย่างไม่รู้สึกหนาวเหน็บและเจ็บปวด  ทั้งที่ตอนนี้ สองในสามตนนั้นเริ่มมีน้ำไหลซึมออกมาบนเสื้อผ้าจนพวกเธอนั้นเปียกปอนไปทั่วตั้งแต่ยอดชฎาถึงปลายเท้า  อีกตนนั้น ร่างกายก็กำลังจะหักออกมาเป็นส่วนๆคล้ายตุ๊กตานางรำที่ผมเหยียบ  ช่วงคอหัก  ช่วงแขนหัก  ช่วงลำตัวหัก ทุกอย่างบนร่างบิดเบี้ยวไม่เข้ารูป  แต่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่แย่ลงกลับมีบางอย่างที่คงตัวอยู่อย่างเดิม มิหนำซ้ำอาจจะมากขึ้นเรื่อยๆในทุกช่วงที่ผมจ้องตาพวกเธอ

แววตาอาฆาตแรงจนแข็งกร้าว ไม่อาจถูกทำลายด้วยท่วงท่าและทำนองเพลงไทยเดิมหวานหู

“มึงคิดจะลองดีกับกูใช่ไหม??”

เสียงแหลมเล็กและดุดันของผู้หญิงทั้งสามตรงหน้า เปล่งออกมาในช่วงไล่เลี่ยกันตามจังหวะมือที่แปรเปลี่ยนมาชี้หน้าพวกผม ไอ้มิวที่ดูเหมือนได้สติกลับมา รีบหันมามองหน้าอย่างขอความเห็น เนื่องจากตอนนี้การกระทืบเท้าลงพื้นเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายมายังทิศทางตรงหน้าผม

“มึงคิดจะลองดีกับกูใช่ไหม!!”

ผมกับไอ้มิวไม่รอช้าที่จะเมินเฉยท่าทางโมโหตรงหน้าแล้ววิ่งลงด้านล่างเพื่อกลับสู่ทางเข้าของโรงพยาบาลแห่งนี้  ช่วงที่กำลังผ่านชั้นต่างๆอยู่นั้น  เสียงทีมงานคนเดิมก็ร้องดังขึ้นมาอยู่ตลอด  แผดเสียงลั่นไปทั่วทั้งชั้นที่เขากำลังวิ่งหนี จนเมื่อถึงช่วงที่กำลังจะผ่านชั้นสองลงไปชั้นหนึ่งนั้น  ทีมงานที่วิ่งมาจากอีกทางก็เข้าไปคว้าคอเสื้อไอ้มิวเอาไว้แล้วดันมันเข้าตัวกำแพงโดยที่ผมไม่ทันห้ามปรามทัน

“บอกกูมา!!!! มึงทำอะไรฮะ!!”

“ปล่อย!! กูไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น”

“โกหก! มึงไม่ได้ทำแล้วกูจะเห็นได้ไง  กูนั่งอยู่เฉยๆของกูมาเป็นชั่วโมง กูยังไม่เจออะไรเลย”

“สัส  มึงโกงอย่างนั้นเหรอ  ไอ้ควาย  โกงแล้วไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้ ปล่อยดิวะ!!”

“เฮ้ย  มันบอกให้ปล่อยมึงไม่ได้ยินรึไง!!”ผมคว้าเข้าที่แขนของทีมงานอย่างรีบร้อน  เพราะเสียงดนตรีไทยที่ได้ยินเริ่มไล่ตามพวกผมมาทุกขณะ และก็ดูเหมือนว่าทีมงานจะรู้เห็นด้วย  ท่าทีของเขาจึงได้แสดงออกว่าร้อนรนจนควบคุมสติตนเองไม่ได้

“อย่าเสือก!! เดี๋ยวมึงเจอกูแน่  แต่กูขอจัดการไอ้เหี้ยนี่ก่อน  บอกมาเมื่อเย็นมึงไปทำอะไร”

“กูบอกให้ปล่อยไอ้มิว!! มึงอยากจะอยู่ตรงนี้รึไง!!”

ผมใช้เสียงข่มขู่เข้าบังคับให้ทีมงานรู้สึกตัว  เนื่องจากตอนนี้ทีมงานที่ยืนอยู่ดูคล้ายจะเสียสติไปมาก  ความกลัวที่เขาไม่เคยได้รับกำลังหลอนหูให้เขาระแวงไปต่างๆนานา  แน่นอนว่าสิ่งที่เขาระแวงไม่ใช่เรื่องโกหกเพราะผมก็ได้ยิน  แต่ทว่าท่าทีหันซ้ายหันขวาไปมานั่นยังเป็นสิ่งที่ทำให้ผมทิ้งปริศนานี้ไม่ได้  ทีมงานคนนี้เหมือนหนีใครที่ไม่ใช่นางรำแบบผม

หลีกทางด้วยครับ ขอทางให้คนป่วยหน่อย


เสียงตะโกนของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากมุมด้านหลังของผม  ดังพอที่จะทำให้มือของทีมงานที่ชื่อแดงหยุดกระชากไอ้มิวและเปลี่ยนเป็นจับคอเสื้อมันไว้แน่น  มือของไอ้แดงสั่นจนดูน่าสงสาร  ใบหน้าของมันตื่นกลัวจนน้ำตาไหลออกมาเองเรื่อยๆ โดยที่ปากของมันก็เอาแต่พร่ำว่า มันมาแล้ว จนไอ้มิวต้องเบี่ยงวิถีใบหน้าตนเองออกมาแล้วมองไปยังจุดที่ทำให้เกิดเสียง  และทำให้ดวงตาของมันเบิกโพลงขึ้นมาไม่ต่างกับทีมงาน

“ภ…ภพ  อย่าหันหลัง”ไอ้มิวค่อยๆกร่อนเสียงสั่งให้ผมอยู่นิ่งๆ โดยที่แววตาของมันก็ยังจับจ้องไปที่เดิม

หลีกทางให้คนป่วยหน่อยครับ คนป่วยใกล้คลอด

หลีกทางครับ!!! กูบอกให้หลีกทาง!!!  555555


แว่วเสียงของล้อรถเข็นที่เร็วขึ้น ดังเสียดสีกับพื้นขรุขระพร้อมกับเสียงของวิญญาณที่เปลี่ยนไป  ไอ้มิวตาค้างหนักยิ่งกว่าเดิมไม่ต่างกับทีมงานที่กำคอเสื้อของมันอยู่  ผมก็เช่นกัน  สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นสัญญาณบ่งบอกให้ผมทราบอย่างดีว่าวิญญาณของใครสักคนกำลังพุ่งเข้ามาประชิดตัวพวกผมทั้งสามอย่างไม่ลดละ  และตอนนี้ดูเหมือนว่าความคิดที่จะหนีของผมเกิดขึ้นมาช้าไป  เพราะเสียงล้อรถได้วิ่งมาหยุดนิ่งอยู่เพียงเบื้องหลังของผมและทีมงาน โดยมีเพียงไอ้มิวคนเดียวที่เห็นทุกอย่างตั้งแต่มันเข้ามา 

“ภ…ภพ  ไม่ต้องหันหลังกลับไปนะ”ไอ้มิวยื่นมือมารั้งผมไว้แน่น  น้ำตาบนหน้ามันหลั่งรินออกมาจนสงสาร ไม่ต่างไปจากทีมงานที่ยืนอยู่ข้างผม ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนความกลัวและความหลอนกำลังจะฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น

“มิว ถ้ากูไม่หันหลังกลับไป เราจะวิ่งไปที่บันไดไม่ได้”

“ไม่…ไม่ใช่ตอนนี้”

“ทำไม?”

ไม่ทันที่ไอ้มิวจะอ้าปากตอบผม…ใบหน้าของมันก็เบี่ยงหนีภาพที่มันไม่อยากมองกลับไป ฉะนั้น ผมจึงอาสาที่จะรับรู้ทุกอย่างแทนมันโดยการเอี้ยวคอหันกลับมา และพบว่าไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้  มีรถเข็นของบุรุษพยาบาลคนหนึ่งรับเอาร่างของผู้หญิงใกล้คลอดให้นั่งอยู่ตรงนั้น  เสียงโอดโอยและกรีดร้องของเธอกำลังแสดงถึงอาการปวดท้องใกล้คลอดอย่างทรมาน  และภาพที่ทำให้ไอ้มิวทนดูต่อไปไม่ได้  นั่นก็คงเป็นเพราะ ช่วงขาของผู้หญิงคนนั้นกำลังมีเลือดหลั่งไหลออกมาจากช่องคลอดพร้อมกับสายรกที่ตกลงมาเรื่อยๆ ก่อนจะไหลออกมาพรวดเดียวพร้อมกับเด็กทารกตัวน้อย ที่สามารถปีนป่ายร่างกายของผู้เป็นมารดาได้ทันทีหลังคลอด

“มันมาแล้ว  มันมาแล้ว  กูต้องหนีสิ กูต้องหนี”

ทีมงานข้างตัวผมส่งเสียงขึ้นมาดังลั่นปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ภาพตรงหน้า  ก่อนที่เขาจะวิ่งผ่านวิญญาณพวกนั้นลงไปชั้นล่าง คาดว่าคงหนีลงไปหาหัวหน้าของตนเองที่ชั้นใต้ดินอย่างคนกำลังหาที่พึ่ง  ผมและไอ้มิวจึงไม่รอช้าที่จะวิ่งแยกไปอีกทางเพื่อกลับไปที่ประตูทางเข้าชั้นหนึ่งอย่างที่เคยเข้ามา

“ฉิบหาย  ใครล็อกไว้วะ!!”ไอ้มิวสบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อมันมาจับประตูทางออกแล้วพบว่าตอนนี้มีแม่กุญแจคล้องเอาไว้ เสียงของวิญญาณที่ตามมานั้นกำลังให้ท่าทางของเราทั้งคู่ร้อนรนจนต้องรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด

“ทีมงานข้างนอกนั่นแน่เลย เอาไงดีวะ  มีทางออกอื่นไหม?”

“ไม่มีภพ  กูคิดว่าไม่มี”

“แล้วจะเรียกยังไงให้พวกนั้นได้ยิน  รถที่จอดรับพวกเราจอดไว้ห่างจากตรงนี้พอสมควรนะ”

“ไม่ต้องหรอก  กูคิดว่าทีมงานหนึ่งในสองคนนั้นต้องมีลูกกุญแจ”

“งั้นเดี๋ยวกูวิ่งลงไปเอามาเอง  มึงรออยู่ตรงนี้…ได้ใช่ไหม?”

“อย่า!!  ภพ…ข้างล่างนั่นอย่าลงไป  เชื่อกูอีกไม่นานพวกมันต้องขึ้นมา”

ไม่ทันที่ไอ้มิวจะปล่อยแขนผม  เสียงร้องดังของทีมงานคนเดิมก็ตะโกนโหวกเหวกมาดังลั่น  กลบเสียงของวิญญาณที่ไล่ตามลงมาจากชั้นบนจนหมดสิ้น  ทีมงานคนนั้นวิ่งหน้าตาตื่นมาเหมือนกับความอดทนของเขาได้หมดลงแล้ว  ผมเห็นไอ้มิวมองที่ทีมงานคนนั้นด้วยมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย  แต่ก็แค่ครู่เดียว เพราะเสียงที่ดังไล่หลังตามมาคือเสียงที่ทำให้ผมและไอ้มิวไม่มีวันจะยอมให้อภัยตลอดชีวิต

“กลัวอะไรกันครับ !! คุณมิว คุณภพ ถึงกับอยู่ไม่ได้เลยเหรอ  หรือแค่เห็นว่าทีมงานผมมันเป็นบ้าเลยบ้าตามไปด้วย”

ไอ้มิวขมวดคิ้วลงด้วยความไม่เข้าใจ ส่วนผมได้แต่มองจิตใจอันบอบช้ำของทีมงานที่ชื่อแดงแล้วก็ได้แต่เวทนา  หัวหน้าทีมงานที่มันไว้ใจไม่เคยเชื่อคำพูดที่มันบอกหนำซ้ำยังทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องไร้สาระไปเพียงเพราะหัวหน้าทีมงานไม่สามารถเห็นในสิ่งที่พวกเราทั้งสามคนเห็นได้

“จะเป็นไปได้ไงวะ?”ไอ้มิวบ่นพึมพำออกมาขณะที่จดจ้องร่างของหัวหน้าทีมงานที่กำลังเดินฝ่าความมืดออกมาหาพวกผม

“อ้าวคุณมิว  จนป่านนี้แล้วยังไม่เป็นอะไรเหรอครับ  ไม่น่าเชื่อเลยนะ”

“คุณภพนี่ก็ดูแข็งๆ ไม่น่าจะกลัวอะไรแบบนี้นะครับ  5555 ติดโรคอ่อนแอมาจากคุณมิวหรอ”

“เฮ้ย!!! ไอ้แดง มึงเลิกโวยวายเสียทีได้ไหม? ผีเผอมันมีที่ไหนกันวะ”

คำถากถางนับกว่าสิบประโยคที่ดังลอยมาก่อนร่างกายของผู้เป็นเจ้าของเสียง ทำให้เส้นเลือดข้างขมับของผมเต้นแรงไปเพราะความโมโห  หากแต่เมื่อร่างกายนั่นเดินมาปะทะกับแสงเพียงเล็กน้อยที่ลอดเข้ามา  ผมกับไอ้มิวก็เป็นอันถึงกับชะงักจนต้องกอบกุมมือกันนิ่ง  เพราะรอบเอวของผู้ชายคนนั้น  ถูกวิญญาณเกี่ยวกระหวัดคล้องตัวเอาไว้  โดยที่แขนของวิญญาณทั้งสองข้างต่างก็เอื้อมมาปิดหูปิดตาจนหัวหน้าทีมงาน  ไม่ได้ยินเสียงหลอนหูที่เกิดขึ้นมาตลอดตามรายทาง  อีกทั้งเสียงที่เกิดขึ้นข้างหูตนเองเขาก็ไม่ได้ยิน

ดวงตา ดวงตากูอยู่ไหน??

ทีมงานที่ชื่อแดงเกาะประตูกรีดร้องด้วยความทรมานเมื่อหันมามองสภาพของหัวหน้าตนเอง จนไอ้มิวต้องหันไปจับบ่าปลอบใจเขาเอาไว้  ก่อนที่มันจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับหัวหน้าทีมงานด้วยแววตาที่แข็งขึ้นจนน่ากลัว  อีกทั้งลึกๆแล้วนัยน์ตาของมันยังวาววับชนิดที่ผมไม่เคยเห็นมันเป็นมาก่อน  ราวกับมันและหัวหน้าทีมงานคนนี้ได้สร้างเรื่องบาดหมางต่อกันมาเยอะพอที่จะทำให้มันเอาคืน

“ช่วยผมด้วยครับ  ผมทนต่อไม่ไหวแล้ว  เปิดประตูให้ผมออกทีครับ”น้ำเสียงไอ้มิวแปรเปลี่ยนเป็นอ้อนวอนขัดกับสีหน้าของมันที่ดูสะใจไม่น้อย

“อ้าวยอมแพ้แล้วเหรอครับ?”

“ป่าวครับ  แต่ทีมงานของคุณเขาไม่ไหวแล้ว เขาคลั่งมาทำร้ายพวกผม  อย่างนี้ผมมีสิทธิ์จะเปิดประตูกลางคันนี่ครับ”

“เว้ย!! ไอ้แดง มึงนะ  คราวหลังกูจะไม่เอามึงเข้ามาด้วยละ  กระจอกฉิบหาย”

หัวหน้าทีมงานก่นด่าลูกน้องเสียงดังลั่น พร้อมกับค่อยๆล้วงเอากุญแจในกระเป๋าข้างตัวขึ้นมาจะเปิดประตู  ในตอนนั้นเงาตะคุ่มของวิญญาณมากมายได้ย่างกรายแผดเสียงหัวเราะเข้ามาใกล้ตัวพวกผมมากขึ้นเรื่อยๆ  หัวหน้าทีมงานที่ไม่รู้ขาวรู้ดำของเรื่องราว เขาจึงทำเหมือนว่าที่แห่งนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเป็นผมที่ทนไม่ได้และคว้ากุญแจมาเปิดเอง

แกร๊ก

แทบจะในทันทีที่ประตูลูกกรงเหล็กเปิดออก  ทีมงานที่ชื่อแดงก็วิ่งหนีออกไปด้วยความรวดเร็ว  เหลือทิ้งไว้แต่เพียงพวกผมและหัวหน้าทีมงาน  ขณะนั้นไอ้มิวได้ส่งสัญญาณบางอย่างให้ผมออกไปก่อน  แล้วมันจึงเดินติดท้ายผมมาติดๆ  ก่อนที่ประตูบานนั้นจะปิดลงโดยที่กลอนประตูถูกนำกลับไปล็อกไว้แบบเดิม

“เฮ้ย!! พวกมึง  ออกไปแล้วก็เปิดประตูให้กูก่อนสิวะ”

“มึงจะโวยวายทำไม  ก็บอกอยู่ไม่ใช่เหรอว่าไม่มีผี แล้วจะกลัวอะไรนักหนา”ผมมองแววตาไอ้มิวอยู่ครู่หนึ่ง ทดสอบความมั่นใจในการที่มันจะทำแบบนี้  ก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายเดินเกมเองเมื่อเห็นว่ามันพยักหน้า  สิ่งที่ไอ้มิวคิดแน่นอนว่าผมรู้ว่ามันกำลังจะทำอะไร

“เปิดประตูให้กู ไม่อย่างนั้นถ้ากูออกไปได้พวกมึงโดนลากคอกลับบ้านแน่”

“หึ  มึงออกมาให้ได้ก่อนเถอะ  กูได้ข่าวว่านายมึงสั่งให้มาโกงกูอย่างนั้นเหรอ บอกมาใครคือผู้จัดการเกม!!!”

“ใครแม่งปากหมาไปบอกมึง  กูไม่รู้ กูแค่โดนสั่งมาเฉยๆ”

“กูไม่เชื่อ!! กูจะถามอีกครั้ง ใครคือผู้จัดการเกม”

ทีมงานคนนั้นยกยิ้มขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะส่ายหน้าให้ผมเห็นราวกับเป็นเรื่องตลก  จังหวะนั้นผมจึงหันไปให้สัญญาณไอ้มิว และสั่งให้มันเริ่มในสิ่งที่มันต้องการ  แน่นอนว่าพื้นฐานจิตใจไอ้มิวไม่ใช่คนกระด้าง  มือที่มันต้องยื่นไปทำร้ายคนอื่นจึงสั่นเทาจนอดไม่ได้ที่จะสงสาร  แต่กระนั้นมันก็ยังยืนยันที่จะนำมือของวิญญาณที่ปิดตาหัวหน้าทีมงานอยู่ให้เปิดออก  จนทำให้ทีมงานคนนั้นตื่นกลัวไปกับสัมผัสใหม่ทันทีที่โลกของเขากลายเป็นแบบเดียวกับผม

“เฮ้ย!!!  เปิดประตู!!!  เปิดประตูสิวะ”

“บอกมา!! ใครคือผู้จัดการเกม”

“กูไม่รู้ กูไม่รู้ เปิดประตูให้กูสักที!!”

“ใครคือผู้จัดการเกม!!!!”

“เออ  ลุงคำ!! ลุงคำคือคนที่สั่งพวกกูมา!!!”

ผมและไอ้มิวถึงกับยืนจ้องหน้ากันนิ่ง  ความรู้สึกจุกอกวิ่งแล่นขึ้นมาจนกลบความกลัวรอบกายไปโดยสิ้นเชิง  ไม่เหลือเค้าเดิมของบรรยากาศผีหลอกวิญญาณหลอนที่พึ่งจะได้รับ  เมื่อสุดท้ายแล้วคนที่พวกเราไว้ใจมากที่สุด ต้องกลับกลายมาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทุกอย่างในเกมนี้  แต่กระนั้นเสียงทีมงานก็ทำลายทุกห้วงความคิด เรียกให้ไอ้มิวหันกลับไปมอง และก้มลงไปหยิบผ้ายันต์สีแดงบนพื้นไปแปะไว้ที่เดิม  ก่อนที่มันจะทิ้งท้ายด้วยประโยคที่เจ็บปวดที่สุด


“ขอบคุณที่บอกแล้วกัน…แต่มึงบอกเองไม่ใช่หรือไงว่าผีเผอพวกนั้นมันไม่มีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มึงเห็นก็คือไม่มีจริง”





*********************************************TBC********************************************
เอาตอนที่ 26 มาส่งให้แล้วนะครับ  ยังมีใครที่รอผมอยู่ไหม?? :katai4:
ก่อนอื่นต้องขอโทษที่มาลงดึกนะครับ ตอนที่ผ่านมาผมพบคำผิดเยอะมาก ตอนนี้เลยต้องทวนซ้ำอยู่หลายรอบกว่าจะลงได้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ  ผมยังไม่มั่นใจเท่าไรนัก  หากมีใครที่ผมเห็นคำผิดหรือประโยคที่ไม่ลื่นไหลก็บอกกันมาได้เลยเน้อ :mew1:
ตอนนี้เป็นตอนที่มิวต้องรับกับภาวะทางอารมณ์เยอะมาก  นับเป็นตอนที่เขียนยากและทรมานมากที่สุดสำหรับผมเลย
หวังว่าทุกคนจะถูกใจกันนะครับ  ดีไม่ดียังไงมาพูดคุยกันนะ ในเล้าแห่งนี้หรือใน #Nightmaregame ก็ได้
ขอบคุณทุกการติดตามมากๆครับ เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit

*****ที่ถามผมเรื่องการเดินแปลกๆของภพตอนน้ำเก้าวัด  มันเกิดจากการถูกซ้อมนะ อย่าคิดลึกกันครับ ภพยังเป็นพระเอกอยู่นะ

หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Lili405 ที่ 24-05-2017 07:53:52
ตามเข้ามาอ่านเรื่องนี้จากทวิตแนะนำนิยายค่ะ อ่านรวดเดียวเลย ใช้เวลาสามวันเพราะไม่สามารถอ่านตอนดึกมากๆได้
มันหลอนมากกกกกกก และสนุกมากกกกกก ถึงขนาดเราไม่กล้าอยู่บ้านคนเดียว 5555
เหมือนดีกรีความหลอนในแต่ละตอนเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนไหนที่เราว่าหลอนแล้ว คุณยังทำให้เราหลอนขึ้นไปอีกได้
เกมแต่ละเกมที่เล่นนี่แบบ โอ้แม่เจ้าาา ฉันกลัวมาก แต่ฉันหยุดอ่านไม่ด้ายยยย~
ึคือสามารถพูดได้เลยว่าเป็นนิยายที่หลอนที่สุดเท่าที่เคยอ่านมาทั้งหมด ยิ่งตอนไปวัดสุดท้ายนี่แบบ โอยยย TT
สงสารมิวมากๆ ถ้าเป็นคนอื่นนี่เป็นบ้าไปนานแล้วจริงๆ แต่ตั้งแต่ที่ภพพามิวกลับมานางก็ดูจะเข้มแข็งขึ้น เราชอบคู่ภพมิวมากๆเลยอะ ภพเป็นผู้ชายที่แบบ งืออออ อยากได้ ขอให้จบแบบแฮปปี้ๆ ฆาตกรได้รับผลของการกระทำแล้วกันนะคะ กลัวใจคนเขียนจังเลยนิ 5555
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ่KEI_jry ที่ 24-05-2017 09:32:50
หัวหน้าจะตายมั้ย 55555

ทำไมถึงเป็นลุงคำ  :katai4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 24-05-2017 11:25:10
บ้าแน่ๆ หัวหน้าคนนั้น แค่คืนเดียวก็ไม่เหลือแล้ว
มิวจิตแข็งมากเลยขอนับถือ เป็นการแก้แค้นที่สมน้ำสมเนื้อแล้ว
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 24-05-2017 11:58:23
อ่านตอนนี้จบละเราอยากทำตัวเป็นตัวร้ายเลย 55555//เชิดหน้าชูมือขึ้นสองข้าง หัวเราะอย่างบ้าคลั่งแล้วมีเอฟเฟคไฟพุ่งจากด้สนหลัง 5555
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 24-05-2017 12:22:42
หึหึ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆสินะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Poongsuke ที่ 24-05-2017 16:39:06
ถ้าทำเป็นหนังน่าจะมันส์น่ะคับ

หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: MissMay ที่ 24-05-2017 18:06:05
สุดท้ายก็เป็นลุงคำจนได้ อยากรู้เจตนาจังเลยว่าทำเพื่ออะไร?  :z3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-05-2017 19:31:01
อ้าวทำไมลุงคำทำงี้  :a5:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 24-05-2017 19:41:54
สะใจที่ทีมงานโดนบ้างจะได้รู้วคามรู้สึกของมิวซักที
แล้วลุงคำนี่ก็นะ......เสียใจแทนเลยอะ

; ____________________ ;
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 24-05-2017 20:08:54
จะบอกว่าอ่านแล้วหลอนมากตอนนี้ ลุ้นด้วย :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-05-2017 20:51:54
ลุงคำ??????
โอ้ยยย อะไรกันนี่
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Zetnezz ที่ 25-05-2017 16:43:56
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: nugnig7 ที่ 26-05-2017 11:39:26
หลอนนนนนนนนนน เรื่องมันเป็นไงกันแน่ อย่าหักมุมเลยขอร้องงง ฮือ ภพมิวสู้ๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: CIndY59 ที่ 26-05-2017 18:40:18
เปิดเจอเรื่องนี้เมื่อคืนตอนเที่ยงคืน อ่านไม่กี่ตอน เลิกอ่านเลยค้าาา  ไม่สามารถทนได้ คือลุกไปเข้าห้องน้ำในบ้านตัวเองยังไม่ค่อยกล้าไปเลย

เป็นนิยายที่หลอนมาก ตอนนี้เราใกล้จะบ้าแทนมิวล่ะ แล้วก็เป็นเหมือนมิว คืออยากรู้ความจริง วางไม่ลงหยุดอ่านไม่ได้ แม้จะกลัวแทบตาย

ปล.อยากให้ไปทำเป็นซีรี่ยมาก ขนาดเป็นตัวหนังสือยังหลอนกว่าหนังผีหลายๆเรื่อง
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: แม่มดน้อย ที่ 27-05-2017 16:18:21
อืม เอาเป็นว่าสะจายยยยยยยยยยยยยยยยย
:z6:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 27-05-2017 22:48:36
ง่ะ ลุงคำคือ last boss :a5: ตอนแรกนึกว่าร่วมมือด้วยเฉยๆ แต่รู้ขนาดนี้แล้ว แสดงว่าใกล้จบแล้วหรือเปล่าคะ ฮือออ อยากอ่านต่อล้าวววววว

น้องมิวยอดสุดๆเลยตอนนี้ o13
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: ah-chan ที่ 28-05-2017 04:16:37
ช่วงหลังเวลาเปลี่ยนคนเล่าไม่มีบอกก่อนแล้วหรือคะ ช่วงแรกๆยังมีเลย มันขัดน่ะค่ะ ปรับอารมณ์ตามไม่ทัน กรี๊ดกับมิวอยู่ดีๆ บรรทัดต่อไปกลายเป็นมิวกอดผม แบบว่าสตั๊นเลยอะ เงิบไปพักนึง มิวมันเมาเหรอวะ พูดอะไรออกมา ฮ่าๆ

ถ้าเตือนก่อนว่าฉันจะเปลี่ยนคนพูดแล้วนะจะดีมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Pumpkin ที่ 28-05-2017 12:25:21
ระหว่างอ่านจบถึงตอนที่ภพพังตู้พร้อมชี้กล้องด่าตั้งแต่ทีมงานยันคนดู.....ก็ฉุกคิดได้ว่าคนอ่านอย่างเราๆก็ไม่ต่างจากคนดูนะ 555

เดาเรื่องราวไปเรื่อย น่ากลัวว่าทุกอย่างจะเกิดจากการจัดฉากของรายการ แต่เป็นการจัดฉากที่ลงทุนจริงเรื่องผีเรื่องวิญญาณน่ะ หึหึ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Pumpkin ที่ 28-05-2017 15:10:58
อ่านตั้งแต่ต้นจนตอนล่าสุดคือต้องมีการพักช่วงหายใจเข้าเรียกพลังเป็นช่วงๆ เหนื่อยกับกรกลั้นหายใจลุ้นค่ะ

ตอน 26 มาเฉลยว่าลุงคำนี่คือตัวจริง หึหึ นี่รอตอนกลับไปบ้านไม่ได้เลย อยากจะรู้ว่าภารกิจต่อไปคืออะไรกันแน่ เพราะทุกอย่างมันเริ่มไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเกม ผี ทีมงาน ความแกร่งของภพมิว หรือความจริงที่ค่อยๆเปิดเผย เราโคตรกลัวเลยตอนวัดสุดท้าย ผีหลวงพ่อ!! อื้อหืออออ ก็ทำกันลง ไม่ใช่แค่พาไปบ่อน้ำ แต่ไปเอาน้ำให้ถึงที่เลยข่า TT^TT ทุกอย่างมันทวีความน่ากลัวเพราะเป็นคนที่เผลอจินตนาการภาพเวลาอ่านตัวหนังสือตลอด เราตกใจจนมือลั่นกด spacebar รัวๆ ให้มันพ้นจากฉากนั้น 55555555
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 28-05-2017 20:12:25
จะอ่านกลางวันหรือกลางคืนก็กลัวว เหมือนได้เข้าไปอยู่ในเกมส์ด้วยจริงๆ ไม่เคยอ่านนิยายแบบนี้เพราะกลัวแต่พออ่านแล้วมันหยุดไม่ได้!! ตอนที่ทำพิธิหรือเล่นเกมยอมรับว่าอ่านแบบกวาดๆลดความหลอน แต่เพื่อลดความกลัวของตัวเองเราจะไม่อ่านเรื่องนี้คนเดียวส่งลิงค์ให้เพื่อนอ่านเพื่อนจะต้องกลัวไปกับเราด้วย เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ แต่งดีมากๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่27 ฆาตกร (30/05/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 30-05-2017 21:13:13
ตอนที่27

ฆาตกร


รถตู้คันไม่เล็กไม่ใหญ่ของรายการเดินทางกลับเข้าสู่ตัวบ้านหลังเดิมเพื่อมาส่งสองชายหนุ่มผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านราวกับเป็นเจ้าของ  แสงตะวันยามเช้าสาดแสงจ้าจนผู้ที่กำลังลงมาจากรถต้องเอาแขนข้างหนึ่งบังกรอบตาตัวเองเองไว้มั่น พร้อมกันนั้นพวกเขาก็ได้หันหลังกลับไปมองสภาพของบุคคลที่เหลือในรถคล้ายกับเวทนาในโชคชะตา สองคนในนั้นมีสภาพที่เรียกได้ว่าทุลักทุเล แววตาหวาดกลัวอยู่ตลอดแต่ยังสามารถรับรู้และสื่อสารได้ไม่ต่างไปจากคนอื่น เป็นสัญญาณอันดีที่ทำให้สองชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกผิดมากมายนัก  แม้ว่าเมื่อสักสามสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ผู้โดยสารทั้งรถกลุ่มนี้เกือบจะต้องทิ้งชีวิตของตนเองไป

หลังจากที่ผมและไอ้ภพปิดประตูบานนั้นไว้อย่างเดิม  สองช่วงขาของเราทั้งคู่ก็ค่อยๆเยื้องย่างออกมาชนิดที่คิดจะถ่วงเวลากวนหัวหน้าทีมงานคนนั้นไว้ให้นานที่สุด  ทว่าเมื่อเดินกลับมาเกือบจะถึงตัวรถ  ทีมงานที่ไม่ได้เข้าไปท้าทายร่วมกับพวกผมก็วิ่งเข้ามาถามหาหัวหน้าทีมงานซึ่งไม่ได้เดินตามพวกผมมา ก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้าไปในตัวโรงพยาบาลโดยไม่สนใจที่จะฟังคำตอบของผม  ราวกับว่ากำลังมีเรื่องคอขาดบาดตายเกิดขึ้น

เมื่อมาถึงตัวรถ ภาพที่ผมเห็นได้ทำให้เหตุการณ์เมื่อครู่กระจ่างขึ้น  ทีมงานที่วิ่งออกมาก่อนหน้านั้นตอนนี้เขากำลังไม่ต่างไปจากคนควบคุมสติไม่อยู่  ปากก็พร่ำเพ้อแต่คำว่าผีหรือวิญญาณจนทำให้ทีมงานส่วนที่เหลือถึงกับกลืนน้ำลายกันเป็นแถบ  เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมจึงทำได้แค่มองด้วยความสงสารและเลือกที่จะชวนไอ้ภพไปนั่งคู่คนขับ แทนที่จะไปนั่งเบียดให้ทีมงานร้อนรนยิ่งขึ้น

ผมรู้ว่าทีมงานที่เข้าไปท้าทายทุกคนต่างก็ไม่สามารถมองผมด้วยแววตาแบบเดิมได้แล้ว  สิ่งที่ผมพยายามปกปิดมาตลอดถูกเปิดเผยความจริงทั้งหมดในวันนี้  ฉะนั้นทีมงานพวกนั้นจึงดูแคลนผมคล้ายตัวประหลาด เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นในนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนหนึ่งคนจะรับไหว แต่ผมกลับไม่เป็นอะไรเช่นเขา ทั้งๆที่ความจริงเป็นอย่างไรพวกเขาไม่มีทางรู้  และคนเดียวที่ดูออกทุกอย่างก็คือไอ้ภพ  เพราะมือที่ยื่นมากอบกุมเอาไว้ยามที่เสียงตะโกนด่าผมปาวๆจากหลังรถได้ช่วยบรรเทาความเครียดที่เกิดขึ้นยามที่คำพูดพวกนั้นบ่อนทำลายจิตใจผมลงไป

ขณะที่ทั้งรถมีแต่เสียงของทีมงานที่ชื่อแดง  เสียงโหวกเหวกโวยวายของหัวหน้าทีมงานก็เข้ามาสมทบ โดยมีสายตาระคนสงสัยของทีมงานที่ไปช่วยตามมาอย่างไม่เข้าใจ  ภาพนั้นบ่งบอกให้ผมเข้าใจดีว่าทีมงานที่เข้าไปช่วยไม่ได้เห็นหรือรับรู้ในสิ่งที่หัวหน้าทีมงานโดน และเมื่อทุกคนเข้ามาในรถได้จนครบ  เหล่าทีมงานที่เข้าไปท้าทายก็ร่ำร้องให้ออกรถเร็วพลัน

คนขับรถซึ่งดูมีอายุมากกว่าพวกเราทุกคนบนรถ ใช้สายตาตวัดไปที่ทีมงานอย่างเอาเรื่อง  แน่นอนว่าเขากำลังไม่พอใจพฤติกรรมของทีมงานสองคนนั้นแม้ว่าเขาจะเป็นคนขับรถจริงๆก็ตามที  แต่เพราะด้วยคำพูดที่ไม่มีสัมมาคารวะ คนขับรถจึงไม่สนใจเสียงโวยวายเหล่านั้นและค่อยๆเคลื่อนตัวรถออกไป โดยมีเสียงร้องจากความทรมานดังประกอบฉากให้ภายในรถไม่เงียบอยู่เป็นระยะ

ผมกับไอ้ภพจ้องหน้ากันทุกครั้งที่เสียงหวีดร้องของผู้ชายเบาะหลังดังขึ้นมา และดูเหมือนว่าคนขับจะสนใจพฤติกรรมพวกนั้นไปด้วย  เพราะตอนนี้รถที่กำลังเคลื่อนตัวเลียบถนนขรุขระออกมานั้น เริ่มอืดช้าลงไปเรื่อยๆขัดกับช่วงขาคนขับที่เหยียบคันเร่งเสียจนปลายเท้าแทบจะติดพื้นรถ  นำให้สีหน้าของคนทั้งรถเต็มไปด้วยแววตากังวลและไม่เข้าใจในเหตุการณ์ประหลาดตรงหน้านี้

“เฮ้ยๆ  มึงอย่าเป็นอะไรไปนะ  ติดขึ้นมาก่อนสิวะ!”

คนขับรถของเราบ่นด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก เพราะขณะนี้ปัญหาที่รถเร่งไม่ขึ้นได้ทำให้มันขับมาดับตรงบริเวณที่เรียกว่าเปลี่ยวที่สุดในบริเวณรอบนอกโรงพยาบาลร้าง ศาลพระพรหมที่ตั้งรกร้างผุพังอยู่ไม่ห่างจากตัวรถนั้น ชักนำให้บรรยากาศรอบกายตอนนี้เต็มไปด้วยไอเย็นที่บาดผิว  ความกลัวในจิตใต้สำนึกกระตุ้นให้ทุกอย่างในรถเงียบลงไปพลันก่อนที่เสียงสะอึกสะอื้นด้านหลังจะทำให้คนสามคนข้างหน้าหันกลับไปมอง

บริเวณกระจกหลังของรถปรากฏภาพของวิญญาณมากมายที่กำลังยื้อยุดฉุดกระชากรถคันนี้ไม่ให้เคลื่อนตัวออก

“พวกมึงนี่มันยังไง  นั่งเงียบๆกันไม่เป็นหรือไงวะ!!  ถ้าว่างมากก็ลงไปดูรถกับกู”

เสียงตวาดด้วยความรำคาญของคนขับรถดังลั่น จนทำให้แม้แต่ผมกับไอ้ภพต้องรีบหันกลับมาทำตัวให้ลีบที่สุดจนคล้ายจะอยากกลืนหายไปกับเบาะ  เป็นไปอย่างที่ผมคิด สาเหตุที่ทีมงานสองคนนั้นต่างก็โวยวายออกมาเป็นระยะเกิดจากฝีมือของวิญญาณพวกนั้นจริงๆ เสียงกรีดร้องพวกนั้นจึงไม่เคยเงียบลงไปได้เลย  จะมีก็แต่ทีมงานและคนขับรถที่ไม่ได้เข้าไปเท่านั้นที่กำลังมองคนสองคนด้วยแววตาดูแคลนและเบื่อหน่ายไปกับอาการแปลกๆ

คนขับรถหันหน้ากลับมามองอย่างหัวเสียพร้อมกับที่มือก็พยายามสตาร์ทเครื่องไปด้วย  โดยมีสายตาของผมและไอ้ภพที่หันไปให้กำลังใจคนขับรถอย่างสุดกำลัง และหวังให้ทุกอย่างที่เกิดเป็นเพียงความผิดปกติของเครื่องยนต์ โดยแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเกือบ 90% ของสิ่งผิดปกตินี้เกิดขึ้นมาจากความต้องการของวิญญาณรอบตัวรถ

“ไหวไหมครับลุง? เครื่องเป็นอะไรอย่างนั้นหรอครับ?”เมื่อลุงคนขับสตาร์ทอยู่นาน  แววตาของแกก็ดูหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงต้องใช้วาจาที่เป็นดั่งน้ำเย็นเข้าลูบเพื่อลดอารมณ์คนขับ

“ลุงก็ไม่รู้เหมือนกัน  ปกติมันไม่เป็นแบบนี้  ก่อนออกมาลุงก็ตรวจสภาพมันมาแล้ว  ไม่น่าเป็นแบบนี้ได้”

“แล้วลุงมีวิธีแก้ไหมครับ?”ผมพูดออกไปด้วยความเป็นห่วง  ทั้งเป็นห่วงสถานการณ์ตอนนี้และเป็นห่วงตนเอง เมื่อรู้ว่าสัญญาณบางอย่างกำลังร้องเตือนให้ผมรอรับกรรมในสิ่งที่ตนเองได้เริ่มเอาไว้

“ลุงคงต้องลงไปเปิดรถดู  พวกเอ็งสองคนมีใครขับรถได้ไหม? ลองมาสตาร์ทให้ลุงหน่อย”

“ผมขับเป็นครับ  เดี๋ยวผมดูให้” ไอ้ภพไม่รีรอที่จะอาสาทำหน้าที่สำคัญ เมื่อเป็นดังนั้นลุงคนขับรถจึงเปิดประตูลงไปดูด้วยความรวดเร็ว โดยปล่อยให้ที่ว่างคนขับถูกยึดครองโดยไอ้ภพ

การให้สัญญาณติดเครื่องยนต์ดังขึ้นมาเป็นระยะพร้อมๆกับที่ใบหน้าของลุงก็ก้มๆเงยๆอยู่แต่ฝากระโปรงรถ  ทว่าทุกอย่างก็ยังเป็นเช่นเดิม จนลุงเริ่มหัวเสียและโวยวายออกมาให้คนในรถได้ยิน   ไม่ต่างไปจากไอ้ภพที่ก็แนบใบหน้าลงบนพวงมาลัยด้วยความร้อนรน  เพราะในขณะที่ลุงหาทางแก้อยู่ข้างหน้า มันก็พยายามหาทางแก้ภายในรถไปเรื่อยๆ จนเสียงปิดฝากระโปรงรถดังลั่นขึ้นมา สายตาของทุกคนถึงได้พุ่งตรงไปยังกระจกหน้ารถแต่เพียงอย่างเดียว

หลังลุงคนขับที่ยืนนิ่งอยู่ ปรากฎวิญญาณในชุดผู้ป่วยปะปนอยู่กับชุดนางรำยืนชี้หน้ามาด้านในรถด้วยแววตาอาฆาต

เสียงกรีดร้องของคนสองคนที่เบาะหลังดังรับกับใบหน้าของวิญญาณที่ต่างก็ยืนจ้องเขม็งเข้ามาด้วยแรงแค้นมากขึ้นเรื่อยๆ  ไม่ต่างไปจากผมและไอ้ภพที่สะดุ้งถอยหลังแนบกับเบาะ  หัวใจสั่นระทึกไปกับความกลัวที่เกินขีดจำกัด เหงื่อบนใบหน้าของผมไหลซึมออกมาอย่างยั้งไม่ได้ พร้อมกับที่น้ำตาก็เริ่มคลอหน่วยมาจางๆ ดับอารมณ์ให้มือและเท้าของผมคลายจากอาการเกร็งเฉียบพลันเมื่อครู่

“เฮ้อ  หมดหนทางแล้วพวกเอ็ง  ลุงคิดว่าคงต้องรอจนถึงเช้าแล้วให้รถมาลาก”

ประตูรถด้านข้างไอ้ภพเปิดออกมาด้วยความแรงพอตัวจนทำให้ผมและไอ้ภพสะดุ้งขึ้นพร้อมกัน  ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นบริเวณหลังคุณลุงซึ่งเป็นศาลพระพรหมขนาดใหญ่อีกครั้ง  ไม่รู้ว่าผมรู้สึกหรือคิดไปเองหรือเปล่าว่าที่ตรงต้นไม้ข้างศาลนั้นกำลังมีใครสักคนนั่งห้อยขาจ้องมองมาที่พวกผมอย่างเอาเรื่อง อีกทั้งบริเวณหน้าศาลยังปรากฎวิญญาณของนางรำพร้อมกับเด็กน้อยมัดจุกกำลังร่ายมนตร์สะกดสายตาด้วยท่วงท่าชดช้อย หากแต่ใบหน้าเน่าเฟะ

“ล ลุงครับ…ไม่รอจนถึงเช้าได้ไหม?  เราทำอะไรไม่ได้เลยเหรอครับ”

ลุงคนขับส่ายหน้ามาให้เบาๆหลังจากที่แกปิดประตูรถขึ้นมานั่งแล้ว ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ทีมงานสองคนด้านหลังร้อนรนมากขึ้นจนถึงขั้นก่นด่าออกมาด้วยถ้อยคำหยาบคายต่างๆนานาเพราะลุงคนขับหาหนทางแก้ไขเหตุการณ์นี้ไม่ได้  ทั้งๆที่ตอนนี้คิ้วของลุงยังขมวดไม่เลิก คล้ายกับคนกำลังเค้นความคิดอย่างหนักในการหาสาเหตุที่แท้จริง ผมและไอ้ภพจึงต้องหันกลับไปตวาดให้เสียงนั่นเงียบลง  จนเมื่อสมองของแกคงคิดอะไรได้  มือของแกนั้นจึงรีบพุ่งเข้าจับที่ทรวงอกพร้อมกับที่ปากก็ท่องอะไรไปเรื่อย ทำให้ภาวการณ์รอบกายผมตอนนี้กดดันมากขึ้นไปอีกเท่าตัว

“บอกกูมา  พวกมึงทั้งหมดนี่มีใครที่เล่นเกินกว่าที่เกมบอกไหม?”

กระแสเสียงเข้มเปล่งออกมาจนทำให้ทั้งรถเงียบกริบ  ก่อนที่สายตาของทุกคนไม่เว้นแม้แต่ไอ้ภพจะหันมามองที่ผมเป็นจุดหมายเดียวกัน  สายตาของทีมงานนั้นแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจและกำลังสั่งให้ผมรับผิดชอบดั่งกับเดาถูกว่าผมได้ทำการบางอย่างไว้จริงๆ  ส่วนสายตาไอ้ภพที่มองมานั้น เต็มไปด้วยความสงสารและสงสัยว่าผมทำอย่างที่ถูกกล่าวหานั่นจริงๆหรือไม่

“ว่าไงไอ้หนุ่ม เอ็งทำอะไรไว้อย่างนั้นเหรอ?”ลุงคนขับลดเสียงให้เบาลงและพูดกับผมระคนสงสัยไม่ต่างจากไอ้ภพ

“ครับ…ผมทำไว้จริงๆ”ผมพยักหน้ายอมรับออกไป ก่อนที่ลุงจะกุมขมับแน่น ทีมงานทั้งสองคนหลังรถก็ตะโกนว่าผมออกมาดังลั่น จนไอ้ภพต้องหันไปว่าคืนและขู่ไปว่าหากพวกนั้นยังไม่หยุด มันจะถีบทีมงานทุกคนลงจากรถ

“ไม่น่าเลยนะเอ็ง…ลุงว่าไม่น่าเลย คราวนี้ถึงเวลาที่ต้องเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้แล้วหละ”

“ผมต้องทำอะไรหรอครับ?”

“เวลาเอ็งทำอะไรคนอื่น  เอ็งก็ต้องขอโทษใช่ไหม? ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน  ลงจากรถแล้วไปจัดการหน้าที่ของตนเสีย”

แววตาของผมตอนนี้สั่นไหวไปมาพลางจ้องหน้าลุงและไอ้ภพไปด้วย  ก่อนที่ผมจะพยักหน้าตอบรับและสูดหายใจเข้าปอดตนเองให้ลึกที่สุดเพื่อคลายความกังวล แล้วปล่อยให้มือสั่นเทาของตนเองกำที่เปิดประตูไว้แน่นเตรียมจะผละออกไปด้วยความรวดเร็ว

“เดี๋ยว!!”

“ม..มีอะไร หรอครับ”

“นั่นสิลุง  มีอะไร? ให้มันลงจากรถไปสักที จะได้กลับออกไปได้แล้ว!!”

“เอ็งรู้ไหมว่าที่เอ็งจะต้องเจอมันแรงมากชนิดที่อาจทำเอ็งตายได้  ฉะนั้นก็ไปขอขมาเขาดีๆแล้วห้อยพระนี้ไว้ ถ้าลุงให้สัญญาณเมื่อไรก็รีบวิ่งกลับมาโดยไม่ต้องหันกลับไปมองอีก”

“ผมทราบครับ และจะทำตามที่ลุงบอก”

“งั้นก็ดี  ไม่ว่ายังไงก็อย่าถอดพระนี่ออกเด็ดขาด!! และถ้ามันขาดหลุดจากคอเมื่อไรรู้ตัวใช่ไหมว่าเอ็งต้องรีบวิ่งขึ้นรถให้เร็วที่สุด”

“ลุง กฎของรายการ เขาไม่ให้พวกมันใส่พระ”ทีมงานที่ไม่ได้เข้าไปท้าทายร่วมกับผมคนหนึ่งดังขึ้นห้ามปรามลุงคนนั้นลั่น

“หุบปากไปเถอะพวกมึงหนะ…แค่เข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลนั้นให้ได้โดยไม่ปริปาก พวกมึงยังทำกันไม่ได้ นับประสาอะไรกับสิ่งที่กูจะต้องทำ หึ ไอ้พวกที่ขี้ขลาด มันก็เก่งได้แต่ปาก  ไว้พวกมึงกล้าลงไปพร้อมกูเมื่อไร ค่อยลำพองก็แล้วกัน”

ผมพ่นคำพูดออกไปด้วยความโมโหที่สุดในชีวิต  ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่ผมทำทุกอย่างด้วยอารมณ์อย่างแท้จริง เพราะไม่อาจยอมรับในกลโกงที่พวกมันสร้างขึ้นมาได้  และก็นับว่าการที่ทีมงานสองคนนั้นมีสภาพแบบนี้จะทำให้ผมพึงใจอยู่ไม่น้อย  แต่กระนั้นมันก็ยังมีความสงสารยับยั้งไม่ให้ผมพูดประโยคด่าจำพวกนั้นออกไป  จนฝีปากของทีมงานที่ทำให้เส้นอดทนของผมขาด  ผมเลยไม่สามารถทนต่อคำเหยียดที่ผมได้ยินตลอดการขึ้นรถมาได้อีก

สองเท้าของผมเหยียบพื้นดินแห้งยามที่ท้องฟ้าแห่งรัตติกาลมีเพียงแสงจันทร์สาดส่องนำทางเท่านั้น  ลมกลางคืนในฤดูหนาวค่อนข้างเป็นใจที่จะบรรเทาความขุ่นมัวเมื่อครู่ให้เบาลงและแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวที่สุดในชีวิต  ขาของผมสั่นจนคล้ายจะไม่มีแรงก้าวเดิน  เสียงดนตรีไทยที่คลอมากับสายลม ดังประสานเสียงหัวเราะแหบแห้งเบาๆใกล้หูผม  วิญญาณที่ปรากฏตัวเมื่อครู่ก็ยังทำตนให้เป็นนักแสดงประกอบฉาก ยืนจ้องพร้อมด้วยตาแดงกล่ำอาฆาต ก่อนที่เขาเหล่านั้นจะก้าวตามผมเข้าสู่ศาลพระพรหม

“ถ้าสิ่งใดที่ผมล่วงเกินไป ทำให้ท่านทั้งหลายไม่พอใจ ผมขอสมาอาภัยแก่ท่านตรงนี้ด้วยเถิด”

น้ำเสียงสั่นปลายของผม กล่าวขานฉะฉานยามที่ต้องขอขมาเจ้าที่เจ้าทางแห่งนี้ ท่ามกลางท่าทางชดช้อยของนางรำที่เปลี่ยนท่วงท่าและลีลามาห้อมล้อมผมไว้ พร้อมกับใช้ใบหน้าของตนเองในการจ้องมองผมอยู่อย่างนั้น แม้ว่าพวกเธอจะเคลื่อนย้ายลำตัวไปทางอื่นแล้วก็ตาม อีกทั้งเสียงเด็กน้อยยังพากันหัวเราะชอบใจยามที่มือของผมสั่นคล้ายเจ้าเข้า ก่อนที่การตัดสินใจสุดท้ายจะสั่งให้ผมก้มกราบลงจนหน้าผากแนบปลายนิ้วเท้าของนางรำ

“กูไม่เอา!!!”

กลิ่นเหม็นเน่า  กลิ่นควันธูป ลอยโชยตัดผ่านจมูกของผมไปในขณะที่หน้าผากของผมยังแนบกับเล็บเท้าช้ำเลือดช้ำหนองของนางรำสักตนอยู่  ตัวของผมยามก้มกราบรู้ทันทีเลยว่ามันกำลังสั่นไหวจนแทบคลั่ง  ช่วงแขนทั้งสองข้างของผมก็มีสัมผัสเบาๆของมือเด็กมาลูบไล้ด้วยความแรงจนแสบผิว  พระที่ผมห้อยอยู่ดูจะปกป้องไม่ให้ผมเป็นอันตรายไปมากกว่าการทนฟังเสียงหวีดร้องรับการขอขมาของผม  ดังนั้นการเสแสร้งว่าไม่รับรู้จึงสั่งให้ผมไม่สนใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาจ้องที่ศาลอีกครั้ง

นางรำที่ยืนขวางทางอยู่นั้นหายไปในบัดดล ก่อนที่กรอบประตูศาลจะเริ่มมีใบหน้าของผู้ชายแก่คนหนึ่งแนบขึ้นมาพอดีกับประตู  โดยที่สายตาคู่นั้นกลวงโบ๋ หากแต่ปากก็ยิ้มฉีกกว้าง พร่ำประโยคที่ทำให้หูของผมอื้ออึงไปหมด…

กูจะเอาชีวิตพวกมึง!!!

เสียงดนตรีเบาๆที่ได้ยินคล้ายจะถูกเร่งจังหวะเพิ่มมากขึ้นตามความรู้สึก  เพราะท่าทีการรำชดช้อยที่ได้เห็นเริ่มเปลี่ยนเป็นเร่งเร้าพร้อมเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น  ผมนั่งตัวนิ่งค้างแต่มือกลับยังยกขึ้นพนมแนบอกสั่นพร่า  ในใจก็เอาแต่ท่องประโยคขอขมาแบบเดิมเพื่อถ่วงเวลาให้คนขับรถเอื้อนเอ่ยประโยคสุดท้ายที่จะเรียกให้ชีวิตผมกลับไป

“เฮ้ย!!!  ไอ้หนุ่มขึ้นรถ เร็ว!”

คล้ายคำสั่งจากสวรรค์ที่สั่งให้ผมรีบวิ่งลุกออกมาจากพื้นที่แห่งนั้น  ฝ่าความแออัดของวิญญาณที่ต่างก็โผล่มาขวางทางผมเอาไว้ยามที่นางรำกวดฝีเท้าไล่ตามมาเรื่อยๆ  ยอมรับเลยว่าภายในใจตอนนั้นคิดเสมอว่าตนเองอาจจะไม่มีทางได้รอดกลับไป เพราะช่วงที่ผมถูกกักกั้นเอาไว้ มันเต็มไปด้วยความทรมานจนหัวใจแทบจะวาย  หน้าอกผมปวดแน่นหนักที่สุดตั้งแต่เคยรู้สึกมา ภาพตรงหน้าก็เริ่มพร่ามัวคล้ายสติจะเลอะเลือน จนรู้สึกว่าบางอย่างรอบตัวเริ่มคลายก็เมื่อตอนที่ได้ยินไอ้ภพบอกให้ลุงคนนั้นท่องอะไรบางอย่างแบบเดียวกับที่เขาท่องมาก่อนหน้า  และนำพาให้ผมขึ้นรถออกไปได้

รถคันนี้มุ่งตรงสู่ถนนใหญ่ด้วยความรวดเร็ว ต่างจากที่ขับออกมาในคราแรก  ผมนั่งพิงพนักเบาะด้วยความเหนื่อยล้า  หายใจหอบแรงจนไอ้ภพต้องนั่งกอดปลอบเอาไว้  ลำพังเสียงของทีมงานที่เคยกรีดร้องก็ค่อยๆเบาลงจนเหลือแต่เพียงเสียงการระแวงเท่านั้น  เนื่องจากหลังจากที่เดินทางออกมาจากสถานที่ต้องสาปแห่งนั้นได้ ไอ้ภพก็บอกกับผมทันทีว่ามันไม่เห็นอะไรอย่างในนั้นอีกแล้ว

รอบถนนเส้นนี้ แน่นอนว่าสัมภเวสีหรือวิญญาณตายโหงตายห่าได้ยืนเรียงรายกันทั่ว คล้ายกับนั่นก็คือโลกอีกใบของเขา  สิ่งที่ผมเห็นจะไม่สร้างความรู้สึกอะไรให้กับผมเลย ถ้าวิญญาณพวกนั้นไม่คอยมาตัดหน้ารถจนทำให้ลุงคนขับถึงกับแทบถลาเข้าจุดอันตราย  ผมรีบบอกลุงนิ่งๆว่าให้ขับไปเลยเพราะสิ่งที่เข้ามาขวางทางลุงไม่ใช่คนแน่ๆ  จวบจนรถเดินทางผ่านประตูวัดแห่งหนึ่ง ลุงคนขับก็หักเลี้ยวเข้าไปจอดนิ่งในนั้น

“อยู่ในนี้ไปก่อนแล้วกัน  ลุงขับต่อไม่ได้แล้วเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย”ลุงคนขับบ่นเสียงเครียดยามที่รถมาจอดนิ่งหน้าอุโบสถหลังใหญ่

“ลุง…เห็นด้วยเหรอครับ?”

“ถ้าเป็นตัวแบบเอ็งลุงไม่เห็นหรอก  แต่ทุกครั้งที่ลุงเบรคหนะ  มันเกิดจากการที่รถอยู่ดีๆก็เหมือนจะคุมไม่ได้”

“แต่ผมก็เห็นลุงขับมานิ่งได้แล้วนะครับ  มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ”คราวนี้ไอ้ภพถามในสิ่งที่สงสัยขึ้นมาบ้าง

“ลุงก็ท่องคาถาป้องกันภัยไปทั่วไปนั่นแหละ  คนที่เขาต้องขับรถเขาก็มีกันทุกคน มันช่วยชีวิตคนได้นักต่อนักแล้วยามที่เกิดสถานการณ์คาดไม่ถึงแบบนี้”

“มันเป็นเพราะผมหรือเปล่าครับ?”

“ลุงไม่รู้หรอก  ลุงรู้แค่ว่าสิ่งที่เอ็งทำมันค่อนข้างแรงถ้าเมื่อกี้เป็นลุงที่ไม่รู้คาถา พวกเราตายตั้งแต่ในนั้นแน่นอน ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นบนถนนมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว  ยิ่งคนในรถอยู่ในช่วงดวงตกแบบนี้ มันเป็นธรรมดาที่จะเกิดเรื่อง ไม่ต้องคิดมากหรอก”

ลุงคนขับรถบอกปัดไปเสียงเรียบๆและปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทนที่จนแสงแรกของวันเริ่มเกิดขึ้น  ปลุกพวกเราทุกคนบนรถให้ตื่นขึ้นในสภาพที่จิตใจอ่อนแอกันถ้วนหน้า  รถตู้คันนี้จึงได้ถึงคราวออกเดินทางอีกครั้ง โดยยังมีท่าทีหวาดกลัวของสองทีมงานที่เข้าไปท้าทายดังขึ้นประกอบฉากให้ตกใจเล่นเป็นระยะ  แต่กระนั้นรถคันนี้ก็ยังพาพวกผมมาส่งได้โดยปลอดภัย

“นี่ไอ้หนุ่ม  ลุงขอเตือนไว้เลยนะ  ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่อย่าได้คิดไปทำอะไรแบบนี้อีก  ลุงรู้ว่าเอ็งอาจจะทำไปเพราะอารมณ์ แต่ก็นึกถึงชีวิตตนเองไว้ด้วย  มันไม่คุ้มที่จะเสี่ยง  อีกอย่าง  ถ้าไม่อยากตายก่อนอายุขัยอันควร อย่ากลับไปโรงพยาบาลนั่นอีก”

พวกผมก้มหัวขอบคุณลุงคนขับรถแล้วพากันเดินเข้ามาในบ้าน ครานั้นผมเข้าใจทันทีเลยว่าเหตุใดที่รถตู้ของรายการถึงได้เลือกที่จะเปลี่ยนตัวคนขับรถมาเป็นลุงคนนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่ใช่  แม้จะติดสงสัยไปบ้างว่าสาเหตุที่รายการยอมเปลี่ยนมันเกิดขึ้นมาจากอะไร ทั้งๆที่ฆาตกรก็ไม่อยากให้พวกผมมีชีวิตรอดกันอยู่แล้ว  และสุดท้ายเมื่อคิดฟุ้งซ่านไปไม่ทันไร  เสียงไอ้ภพก็ร้องเรียกให้ผมไปช่วยในครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้า

“จะบอกกูได้หรือยัง  ว่ามึงไปทำอะไรมา  แล้วอะไรที่ทำให้มึงกล้าเล่นกับของแบบนั้น”ไอ้ภพจับผักบนมือนิ่ง แล้วก็หยุดถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ติดจะดุและไม่พอใจผมขนาดหนัก

“กู…ขอโทษ  แต่จะให้ทำยังไงได้ ในเมื่อตอนนั้นกูไปได้ยินทีมงานโทรไปให้ผู้จัดการเกมเล่นไม่ซื่อกับเราอีก  คำสั่งที่บอกให้เราเงียบ กูคิดว่าพวกมันพึ่งจะได้รับในตอนนั้น  กูเลยทนต่อไม่ได้”

“แล้วมึงไปทำอะไร…เกี่ยวกับน้ำเก้าวัดที่ขอไปด้วยไหม?”

“อืม ตอนขากลับกูเดินสะดุดสายสิญจน์ล้มแล้วเห็นศาลพระพรหมที่ตั้งตรงนั้น  เลยเดินเข้าไปหาด้วยอารมณ์ล้วนๆ แล้วก็เอ่ยปากท่องคาถาปลุกวิญญาณเมื่อคืน  ก่อนจะสาดน้ำเก้าวัดทั้งหมดเข้าสู่ตัวศาล  ขอให้ทีมงานพวกนั้นเห็นไม่ต่างไปกับกู แล้วพอที่ชั้นใต้ดิน กูก็ขอแบบเดิมอีกเพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันต้องเห็น…ตอนที่กูสาดนั้น กูไม่รู้หรอกว่ามันโดนอะไรบ้าง  จนกูกลับไปขอขมากูถึงได้เห็นว่าแรงสาดกูมันพัดเอาตุ๊กตาบูชามากมายหล่นแตกหักเต็มพื้นเลย”

“มึงจำคาถานั่นได้ด้วยเหรอ?”

“ทำไมจะไม่ได้หละ  วิญญาณบนกระดานแม่งท่องกรอกหูกูตลอดคืน ทำกูนอนแทบไม่ได้”

“เฮ้อ กูโกรธนะมิวที่เห็นมึงทำอะไรไม่คิดแบบนี้  แต่ก็ว่าไม่ได้เพราะกูก็เป็น ถึงอย่างนั้น ลึกๆของกูก็รู้สึกดีใจที่มึงกล้าทำได้ขนาดนี้  กล้ามากกว่าในเกมก่อนๆที่ผ่านมา  ตอนแรกกูห่วงมึงมากนะเพราะไม่รู้ว่ามึงจะเป็นอะไรไปอีกหรือเปล่า  พอเห็นมึงเป็นอย่างนี้ ว่าจะไม่ห่วงแล้วนะ  มึงกลับทำกูห่วงมากกว่าเดิมอีก” 

“ทำไม?”น้ำเสียงของไอ้ภพที่ส่งมา  บอกทุกความรู้สึกจนผมตั้งรับไม่ถูก ใบหน้าของผมอุ่นร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะถามเสียงแผ่วออกไป

“พอเห็นมึงกล้ามากขึ้น  มันยิ่งทำให้กูรู้สึกเหมือนมึงอยู่ไกล  กูคาดเดาความคิดมึงไม่ได้  กูจึงไม่สามารถยับยั้งหรือปกป้องมึงอย่างเคยได้เลย  ไม่รู้สิ  ทั้งๆที่มึงก็เข้มแข็งขึ้นอย่างที่กูคาดหวัง  แต่ทำไมกูถึงได้รู้สึกว่าเหมือนกูกับมึงห่างกันเกินไป มึงคนก่อนหน้ายังทำให้กูรู้สึกใกล้ชิดได้มากกว่านี้อีก” น้ำเสียงเบาบางคล้ายจะไกลออกไป  ทำเอาตาของผมอุ่นร้อนขึ้น ก่อนที่จะขยับเข้าใกล้ตัวมันอีกครั้ง เพื่อย้ำชัดให้แน่ใจว่าคนที่มันร้องเรียกหา ยังคงอยู่กับมันที่เดิม

“พูดมากขึ้นตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย พี่ภพของกู 5555 อย่าห่วงเลยภพ กูคือมิว ยังไงมันก็คือคนเดิมวันยันค่ำ กูยังคงกลัว  กูยังคงผวา กูยังคงโหยหาร้องเรียกแต่มึง ในทุกครั้งที่กูต้องดาหน้าสู้กับสิ่งที่มึงมองไม่เห็น  แต่ในที่แบบนั้น เราสองคนถูกจับแยกกัน  ในหัวของกูนอกเหนือจากความกลัวแล้ว มันต้องเพิ่มความคิดบางอย่างขึ้นมาด้วย”

“ความคิด?  ความคิดอะไร?”

“กูคิดว่า…จะทำยังไงเพื่อเข้มแข็งให้ได้เจอหน้ามึงอีกครั้ง เข้มแข็งเพื่อให้กูได้เห็นว่ามึงจะปลอดภัยและกลับมาหาความจริงในบ้านหลังนี้ได้ นั่นเพราะกูไม่รู้เลย ว่าครั้งสุดท้ายของกูมันจะเป็นเมื่อไร”

“มิว…กูเคยบอกแล้วใช่ไหม? ว่าเมื่อถึงครั้งสุดท้ายของมึงเมื่อไร นั่นก็จะเป็นครั้งสุดท้ายของกูเหมือนกัน บางอย่างนำเราสองคนให้เริ่มเกมนี้มาด้วยกัน เพราะฉะนั้นถ้าจะจบมัน  เราก็ต้องจบไปพร้อมกัน”

ไอ้ภพไม่เงยหน้ามาพูดคุยกับผมสักประโยค แต่ก็เห็นได้ว่าใบหูของมันแดงกล่ำไม่ต่างจากผม สร้างภาพให้ใจของผมสั่นระรัวอีกครั้ง แต่ไม่ใช่เพราะความกลัว  ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านมาจากข้างกายผม เป็นเหมือนยารักษาชั้นดีที่ทำให้ผมมีแรงฮึดสู้ต่อ พร้อมกับหลักฐานทางวาจาที่พึ่งได้ยินมาเต็มสองรูหู

“มิว ในเมื่อตอนนี้เรารู้กันแล้วว่าลุงคำเป็นเบื้องหลังของเกมนี้  เราจะทำยังไงเพื่อที่จะหาหลักฐานมางัดข้อได้”ไอ้ภพพูดขึ้นหลังจากที่ผมกับมันทานข้าวเสร็จและมานั่งบนเตียงในห้องเตรียมจะนอน

“กูคิดว่าบ้านหลังนั้นที่มึงเจอ จะต้องมีหลักฐานสักอย่างที่จะยืนยันตัวบุคคลได้  ที่สำคัญนะภพ กูคิดว่าป่านนี้ผู้จัดการเกมตัวจริงคงรู้แล้วหละ ว่าหัวหน้าทีมงานได้บอกความจริงออกมา  ถ้าลุงคำคือฆาตกรตัวจริง เขาจะต้องมาหาเราในบ้านเย็นนี้แน่ๆ”

“เขาก็ต้องมาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่หรอก คราวนี้ เขาจะต้องมาพร้อมกับสาเหตุที่ยังเก็บมึงไว้ในเกมและพยายามจะเอากูออกไป  เมื่อถึงตอนนั้นกูจะหยิบโทรศัพท์ของแกที่ลืมไว้มาโทรแจ้งตำรวจให้เอง”

“ว่าแต่ทำไมมึงถึงพูดเหมือนรู้อยู่แล้วว่าลุงคำจะมา เขากลับมาแล้วเหรอ?”

“รู้สิ  เมื่อคืนก่อน กูเห็นลุงคำมาด้อมมองๆพวกเราอยู่ตรงหน้าต่างในครัวด้านล่าง  เพียงแต่ตอนนั้นกูยังไม่ได้บอกมึง”

“ทำไมไม่รีบบอก  กูจะได้ลงไปถามให้มันรู้เรื่องตั้งแต่ตอนนั้น”

“เอาตรงๆกูไม่กล้า  เพราะเรื่องของพี่สาวดลยาที่เคยบอกไว้ว่าน้องตนเองเดินไปเปิดประตูตามเสียงเรียก  ก่อนที่จะโดนบีบบังคับให้ออกทันที  ตอนนี้ชีวิตเราสองคนขึ้นอยู่กับความไม่แน่ไม่นอนทั้งสิ้น  จากต้องเล่นเกมในบ้าน ก็ต้องระหกระเหินไปโดนเขาเชือดที่อื่น  จากคนที่ไว้ใจก็กลับกลายมาเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง  กูถึงไม่กล้าจะฟันธง ว่าถ้ามึงออกไปเปิดประตูเจอลุงคำในยามวิกาลอีกครั้ง  มึงจะสามารถอยู่ในบ้านหลังนี้ได้อีก”

.
.
.
(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่27 ฆาตกร (30/05/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 30-05-2017 21:13:42
“มาถึงขั้นนี้แล้ว กูเริ่มจะคิดแล้วนะว่าเงินรางวัลสี่แสนที่เกมเตรียมไว้ให้  มันจะพิเศษยังไงกันแน่”

“อย่างน้อยหนึ่งในความพิเศษนั้น มันก็คือการนำเราสองคนเข้ามาล่าท้าวิญญาณในที่ที่เคยเกิดเรื่องราว โดยมีผู้เป็นเจ้าของคือฆาตกรตัวจริง”

“กูไม่นอนแล้วดีไหม?  มันปั่นป่วนแบบบอกไม่ถูก กูอยากออกไปที่บ้านหลังนั้นใจแทบขาดแล้วเนี่ย”

“อย่าดีกว่าภพ  นอนหลับสักตื่นแล้วกันค่อยออกไปหาความจริง  เราสองคนแทบหมดแรงแล้วนะ”

“อืม แล้วแผลมึงเป็นไงบ้างที่หัวเข่าหนะ?”

“นี่เหรอ  กูอาบน้ำล้างเศษฝุ่นเศษอะไรไปแล้ว  มันไม่ได้ลึกมากหรอก  อีกอย่างก็ทายาแล้วด้วย ไม่ต้องห่วง”

“งั้นมึงก็รีบนอนได้แล้ว  พักผ่อนเยอะๆ มึงเหนื่อยมามากแล้ว”

“มันมีแค่กูรึไงที่เหนื่อย  ไม่ต้องทำตัวเป็นพ่อพระเอก ล้มตัวลงนอนได้ละ เครียดมากๆหน้าแก่ก่อนวัยออกไปหาเมียมีลูกแบบที่มึงต้องการไม่ได้นะ”

การขู่ที่ทำให้ใจผมรู้สึกเจ็บขึ้นมานำให้ไอ้ภพนอนลงได้ แต่สายตาของมันกลับตวัดขึ้นมองผมด้วยความรวดเร็ว  กระนั้นผมกับแสร้งหัวเราะและไม่สนใจที่จะเก็บมาคิด  ก่อนจะหันหน้าเข้าหน้าอกมันด้วยท่านอนท่าประจำอย่างเคย พลางในหัวก็คิดถึงแต่คำพูดตนเองและรู้สึกผิดที่ต้องพูดความจริงออกไป

ยิ่งเกมถูกเปิดโปงมามากขึ้นเรื่อยๆ นั่นเท่ากับว่าระยะเวลาที่ผมจะได้อยู่ในบ้านหลังนี้เริ่มใกล้จะหมดลง หากผมและไอ้ภพมีชีวิตรอดกลับไป  ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะตักตวงความสุขในบ้านนี้ให้เต็มตื้น ก่อนจะปล่อยให้ไอ้ภพไปตามหาทางและอิสระของตนเอง  มันเคยบอกผมว่ามันอยากมีลูก  มันอยากมีครอบครัวทดแทนสิ่งที่มันเคยเสีย  ด้วยใจที่รู้ว่ารักมันมาก  ผมจึงไม่อาจรั้งมันไว้ได้ และเตรียมปล่อยให้เรื่องทั้งหมดขึ้นกับโชคชะตาอีกครั้ง

อากาศร้อนอบอ้าวยามบ่าย สอดแทรกทำลายความฝัน ปลุกชายหนุ่มผู้ง่วงงันให้ตื่นจากนิทรา…

ผมสะลืมสะลือตื่นขึ้นมาทั้งที่หนังตายังคงปิด  อากาศในหน้าหนาวไม่อาจช่วยให้การนอนหลับสบายขึ้นได้เลย ประเทศไทยที่มีแต่ฤดูร้อนเช่นนี้ ทำให้การวาดฝันที่จะนอนยาวๆของผมเป็นอันต้องล้มลง  แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่ทำให้ผมตัดสินใจลืมตา  ที่ว่างอุ่นร้อนข้างตัวนั่นต่างหากที่เป็นดั่งนาฬิกาปลุกชั้นดี สะกิดให้ความรู้สึกตัวของผมกลับมายังโลกแห่งความเป็นจริง

ผมนอนเกลือกกลิ้งอยู่นานสองนานจนเมื่อสติรับรู้ได้ว่าตนไม่ได้นอนอยู่บนเตียงที่หอ ร่างกายก็ดีดพรวดลุกขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว หากแต่แววตายังคงปิดสนิท  ก่อนที่จะรีบเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วหันไปมองหาไอ้ภพทุกที่ในห้องนอนพลางใช้ประสาทสัมผัสทางหูฟังแว่วเสียงที่อาจเกิดขึ้นด้านล่าง และเมื่อพบว่าทุกอย่างในบ้านนิ่งสนิทเกินไป ผมถึงได้รีบวิ่งลงมาดูความว่างเปล่าที่เกิดขึ้น

ไอ้ภพคงรีบลุกออกจากเตียงไปก่อนผมตื่นไม่นานนัก เพราะไออุ่นของมันยังคงรายล้อมอยู่รอบบ้าน  ใจของผมตอนนี้เริ่มเป็นกังวลแบบบอกไม่ถูก แม้จะรู้ว่าไอ้ภพมันเข้าไปในบ้านหลังนั้นได้สองครั้งแล้วโดยไม่มีปัญหาตามมาทั้งๆที่มีกล้องมาติดเพิ่มไว้  หากแต่เรื่องราวที่ผมพึ่งจะได้รับรู้ กลับทำให้พฤติกรรมเดิมๆเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง  สถานการณ์ตอนนี้ไม่อาจจะปลอดภัยได้เลยแม้แต่วินาทีเดียวที่ผมยังหายใจ

โต๊ะตัวยาวหน้าตู้หนังสือกลายเป็นแหล่งพักพิงสุดท้ายที่ดึงผมให้เข้าไปนั่งพัก  ลางสังหรณ์แปลกๆที่ตื่นขึ้นมาพร้อมผมส่งสัญญาณบางอย่างที่ไม่อาจยอมรับได้ขึ้นมาจนใจกระตุกวูบ  มือและเท้าของผมต่างก็อยู่ไม่นิ่ง เดินวนหยิบจับสิ่งของในบ้านไปมาคล้ายกับต้องการให้การกระทำพวกนั้นบรรเทาความคิดในหัวให้เบาลงไปบ้าง จนสุดท้ายเมื่อรู้ว่าตนเองไม่มีทางกลับเป็นปกติได้แน่จนกว่าจะเห็นหน้าไอ้ภพ  หนังสืออ่านเล่นจึงถูกหยิบยกขึ้นมาเปิดฆ่าเวลาไปพลางๆแทน

ไม่รู้ว่าเพราะเสียงนาฬิกาที่ตีบอกเวลาครบชั่วโมงมาได้สามครั้งหรือเป็นเพราะเรื่องราวของลุงคำที่ทำให้สมองของผมตอนนี้ต้องทำงานอย่างหนัก หลังจากที่ผมอ่านหนังสือไปด้วยความทรมานใจจนเสร็จสิ้นไปหลายเล่ม  ภารกิจที่ผมต้องทำในคืนนี้จึงถูกหยิบยกขึ้นมาอ่านแทน  โดยเนื้อความด้านในสามารถทำให้ใจของผมสั่นกลัวไปมากกว่าเดิม ยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผมอ่าน  ไม่ใช่เพราะมันเป็นการท้าทายที่โหดร้ายทารุณ  หากแต่หนังสือเล่มที่อยู่ถัดจากเกมกระดานดำ กลายเป็นหนังสือที่ภายในระบุไว้เพียงเกมๆเดียวทุกเล่ม อย่างกับรู้ว่าเหตุการณ์วันนี้จะเกิดขึ้น  และที่สำคัญนั้น เกมที่พวกผมต้องเล่นกันยังเป็นเกมที่พวกผมเคยทำกันมาแล้วครั้งหนึ่งในบ้านนี้

ผมรีบปิดหนังสือและเหวี่ยงมันกลับเข้าตู้แบบเดิมโดยไม่รีรอ  ใจของผมตอนนี้รู้สึกสั่นระทึกพาลให้น้ำตาจะไหล หางตาของผมก็เอาแต่จับจ้องไปที่นาฬิกาพร้อมความกังวลที่ตีตื้นขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว  อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหลังจากนี้จะเป็นเวลาเดดไลน์ที่บังคับให้พวกผมสองคนอาศัยอยู่แต่เพียงในบ้าน นั่นจึงหมายความว่าหากไอ้ภพกลับมาไม่ทัน มันจะถูกบังคับออกทันทีโดยไม่ต้องใช้ข้อแม้สักข้อเดียวอย่างคราวที่ผ่านๆมา

ไอ้ภพ….มึงหายไปอยู่ไหน
 

ผมเดินวนเวียนในบ้านนี้ด้วยความลังเล  ใจด้านหนึ่งก็สั่งให้ผมวิ่งออกไปหาไอ้ภพ  แต่ใจอีกด้านกลับสั่งให้ผมอยู่นิ่งๆตรงนี้เพราะบางทีไอ้ภพอาจจะกำลังรีบกลับมา  และถ้าช่วงที่ผมตัดสินใจปีนออกไปเป็นช่วงที่แขกคนสำคัญมาที่บ้าน นั่นอาจจะทำให้ทุกอย่างยิ่งแย่ลง  เพราะนอกจากเราจะหลีกเลี่ยงกล้องไม่ได้แล้วนั้น เราอาจจะต้องมานั่งหาเหตุผลเพื่อปกป้องการกระทำลับหลังของพวกเราโดยมีพยานบุคคลรู้เห็นเพิ่มไปด้วย

เสียงรถมอเตอร์ไซต์คันเก่าที่ร้องดังมาแต่ไกล  ยับยั้งทุกความคิดที่กำลังฟุ้ง  ก่อนที่สองขาของผมจะวิ่งตรงเข้าครัวเพื่อเสแสร้งทำเป็นหยิบจับอาหารไปเรื่อย  เสียงเปิดประตูและฝีเท้าที่เกิด กำลังทำให้ผมลุ้นอย่างใจจดใจจ่อว่าวันนี้ลุงคำจะเข้ามาหาผมด้วยไม้ไหน หรือมีอะไรที่แกเตรียมจะเข้ามาสะสาง

“อ้าว? ไอ้หนุ่มวันนี้เอ็งทำกับข้าวเร็วนะ”เสียงแหบแห้งของคนแก่ดังขึ้นเรียกที่ด้านหลัง นำให้ร่างกายของผมหยุดนิ่งคล้ายคนโดนตีจนชาไปทุกสัดส่วน

“ล…ลุงมั่น  วันนี้เวรลุงเข้ามาหรอครับ?”

“เวรอะไร?  เอ็งเพ้อเจ้ออะไรเนี่ย 555 ลุงมาทำแทนลุงคำเฉยๆ  ไม่ได้จัดวงจัดเวรอะไรทั้งนั้นแหละ”

“หมายความว่าไงครับ  ลุงคำยังไม่กลับมาอย่างนั้นเหรอ?”

“หืม  ลุงคำแกกลับมาได้ด้วยเหรอ  เห็นบอกจะไปหาลูก”

“อ…เอ่อ ผมนึกว่าแกกลับมาแล้วเสียอีก”

ลุงมั่นยิ้มบางๆให้ผมพลางส่ายหัว  ก่อนที่แกจะหยิบจับอะไรเข้าตู้เย็นของแกไปอย่างอารมณ์ดี  เสียงฮัมเพลงมากมายเกิดขึ้นเพลงแล้วเพลงเล่าขัดกับใบหน้าผมที่ยังคงเต็มเต็งไปด้วยความเครียด  ในหัวก็เอาแต่ภาวนาให้ไอ้ภพกลับมาเร็วๆ เนื่องด้วยหากมันช้าไปมากกว่านี้ มันอาจจะไม่ได้กลับเข้าบ้านหลังนี้อีก

“เออ  แล้วนี่ไอ้หนุ่มอีกคนไปไหนรึ  ลุงยังไม่เห็นหน้าเลย”

“คือว่ามัน….มันกำลัง”

“มันออกไปข้างนอกอีกแล้วหละสิ” ยังไม่ทันที่ผมจะตอบข้ออ้างออกไป  เสียงลุงมั่นก็ดังแทรกขึ้นมาเรียบๆราวกับรู้ว่าไอ้ภพมันอยู่ที่ไหน  เรียกให้ใบหน้าของผมเงยขึ้นและสบตากับลุงมั่นพร้อมด้วยแววตาสั่นๆ

“ลุงรู้ด้วยเหรอครับ?”

“เขาก้รู้กันหมดนั่นแหละ  กล้องที่ติดไว้ด้านหลังมันก็ถ่ายติดนะ  แล้วที่ลุงถามก็กะจะถามเผื่อมันกลับเข้ามาแล้ว”

“ยัง…ยังเลยครับลุง  ไม่รู้ว่าครั้งนี้มันหายไปไหน  ไปนานกว่าทุกๆครั้งเลย”

“เฮ้อ…เวรกรรม  ลุงก็เตือนแล้ว ป่านนี้โดนทีมงานลากกลับไปแล้วมั้ง”

“ยังหรอกครับ!!!...ผมเชื่ออย่างนั้น ถ้าทีมงานจะเอากลับเขาจะต้องพามันกลับมาเอาเสื้อผ้าของมันด้วย ผมเป็นห่วงกลัวว่ามันจะโดนสัตว์หรืออะไรเลวร้ายในป่านั่นมากกว่า”

“เอาเถอะๆ  เอ็งเอาเวลาไปห่วงเกมคืนนี้ดีกว่า  ยังไงซะเรื่องที่มันออกไปนอกบ้านก็ไม่มีใครคิดจะเอาผิดอยู่แล้ว  ส่วนเรื่องที่เอ็งกังวลลุงจะโทรไปถามทางรายการให้ว่าจะเอาไง เผื่อจะได้ยืดเวลาเดดไลน์ออกไปได้อีก”

ผมยิ้มขอบคุณน้อยๆให้แก่ลุงมั่น แล้วจึงรีบวิ่งขึ้นห้องไปพร้อมกับขอบตาที่เริ่มร้อนผ่าว  หน้าต่างห้องนอนยามนี้ถูกผมยืนนิ่งพลางใช้สายตาสอดส่องไปแต่ป่าด้านหลัง  ในใจก็พะว้าพะวงกลัวไปหมด  ไอ้ภพไม่เคยเหลวไหลหรือกล้าทิ้งให้ผมอยู่บ้านคนเดียวได้นานขนาดนี้  แม้กระทั่งวันแรกที่มันเข้ามา มันก็ยังรีบกลับเข้ามาหาผม  แล้วทำไมวันนี้มันถึงได้ถูกป่ากลืนหายไปเลย  ไม่มีวี่แววที่จะบ่งบอกการกลับมาอย่างที่เคยเป็น

ขอบเตียงนอนคือที่พึ่งพิงของผม  มือทั้งสองข้างกอบกุมกันไว้ด้วยความเครียด  เข็มนาฬิกาเริ่มเดินไปเรื่อยอย่างรวดเร็วไม่ต่างกับใจผมที่รู้สึกถึงความผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ  หางตาของผมนั้นเอาแต่จดจ้องไปที่โทรศัพท์เครื่องหนารุ่นเก่าเก็บ ก่อนจะตัดสินใจเดินไปหยิบมันเอาไว้อย่างชั่ง จวบจนเมื่อท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิท ผมถึงได้ตัดสินใจลงมาข้างล่างและเตรียมหาหนทางหนีออกไปจากบ้านนี้

“ไปทำอะไรมานานสองนานเลยหละ  เป็นห่วงไอ้ภพเหรอ?”

“ก็ครับ…มันยังไม่กลับบ้านเลย  ไม่รู้จะโดนอะไรในป่านั่นหรือเปล่า แล้วนี่ลุงยังไม่กลับอีกเหรอครับ?”

“ฟังดีๆนะ  ตอนนี้ภพเพื่อนเอ็ง มันกำลังถูกทีมงานจับตัวและสอบสวน เรื่องที่มันหนีไปที่บ้านด้านหลัง  ส่วนเรื่องที่ลุงยังไม่กลับก็อยู่รอเพื่อจะบอกเอ็งนั่นแหละ  เห็นเอ็งดูกังวลลุงเลยไม่กล้าเรียก ให้เอ็งลงมาเองดีกว่า”

“บ้านด้านหลัง?  ทีมงานเขารู้ได้ไงครับว่าไอ้ภพไปที่นั่น”

“ลุงก็ไม่รู้หรอก  ลุงรู้แค่เขาบอกว่าไปเจอไอ้ภพกำลังปีนเข้าบ้านพอดีเลยต้องสอบสวน เพราะบ้านหลังนั้นเป็นบ้านคนอื่นด้วย  มันจะเสียมาถึงรายการ”

“แบบนั้นเหรอครับ”ผมยืนหน้าซีดปากสั่น กังวลจนใจหาย  ขอบตาของผมตอนนี้เริ่มกลับมาร้อนอีกครั้งเพราะความเป็นห่วงและความกลัวที่เกิดขึ้นท่วนท้นหัวใจผม

“ระหว่างนี้เอ็งอยากกินข้าวหรือทำอะไรก่อนหรือเปล่า?  อีกไม่นานเอ็งก็ต้องเล่นเกมแล้ว”

“เกมนี้มันเล่นดึกได้นี่ครับ  ผมเคยเล่นกันมาก่อน  ลุง…ไม่ต้องห่วงนะ”

“ลุงรู้  แต่ว่าก็อยากให้เอ็งเตรียมพร้อม  ไม่อยากให้เอ็งเครียด  กลัวจะพาเสียกันหมด”

“เอาอย่างนี้แล้วกันครับ  ผมกินอะไรไม่ลงหรอก  เปลี่ยนมาเป็นให้ลุงเล่าเรื่องที่เคยเล่าให้ไอ้ภพฟังได้ไหมครับ?”

“อะไรกัน นี่มันยังไม่เล่าให้เอ็งฟังรึ”

“ก็…ยังครับ”

หลังจากนั้นเรื่องราวที่ผมเคยฟังมาแล้วรอบหนึ่งก็ถูกถ่ายทอดออกมาซ้ำอีกรอบ  ตั้งแต่เรื่องของบ้านหลังนี้รวมไปถึงเรื่องเด็กชายกับห้องพิมพ์ดีดนั่นด้วย  โดยเรื่องแรกที่เป็นประวัติบ้าน เนื้อหาทั้งหมดเล่าเหมือนกับไอ้ภพอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่ทว่าเรื่องสองกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อทุกอย่างถูกเพิ่มเติมขึ้นมาจนเนื้อกายของผมสั่นพร่า  ขนในกายลุกชันจากความน่ากลัวที่ทวีคูณมากกว่าเดิม อาจจะเพราะผมได้ฟังเนื้อเรื่องเต็มของมันด้วย ผมถึงได้รู้สึกว่าไอ้ภพไม่น่าพลาดเหตุการณ์สำคัญไป ไม่เช่นนั้นผมกับมันอาจจะไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเกมนานถึงเพียงนี้

“น่ากลัวใช่ไหมหละ  จะว่าไปก็ทำให้ลุงนึกถึงคำเพื่อนเอ็งเลยนะ  มันเคยบอกว่าเด็กนี่ตายเพราะความโง่ของตนเองแล้วเอ็งหละ คิดว่าไง?”

“คิดแบบเดียวกับมันครับ  เขาโง่ที่กลัวไปเองทั้งๆที่ผีตนนั้นมันทำอะไรเขาไม่ได้มาตั้งแต่แรก การฆ่าตัวตายไม่น่าใช่คำตอบสุดท้าย”

“นั่นแหละ มันถึงได้มีคำพูดที่ว่า  เรื่องไหนที่ไม่เกิดกับตนเอง เราทุกคนก็กล้าหมด  แล้วนี่…เอ็งจะเริ่มเกมกี่โมงหละ ลุงจะได้กลับ”

“จริงๆลุงกลับเลยก็ได้นะครับ  ผมอยู่เล่นเกมคนเดียวได้  แต่ไหนๆลุงก็รอมาถึงขนาดนี้แล้ว ช่วยอยู่เล่นเกมๆหนึ่งฆ่าเวลากับผมได้ไหม?”

“เกม?  เกมอะไรเหรอ”

ลุงมั่นยืนจ้องหน้าผมด้วยความไม่เข้าใจ  ริมฝีปากบางของผมจึงต้องยิ้มให้กำลังใจลุงมั่น พร้อมกับที่ขาของผมก็เริ่มเดินไปจัดแจงพิธีกรรมทุกอย่าง  ธูปหนึ่งดอกถูกนำขึ้นมาจุดไว้พร้อมเทียนหนึ่งเล่ม  ก่อนที่ผมจะดึงแขนลุงมั่นให้มานั่งหน้าเทียนเล่มนั้น แล้วจึงเดินไปปิดไฟในบ้าน ปล่อยให้ความมืดมิดโอบล้อมชะตาชีวิตสุดท้ายของผมไว้ยามที่พิธีกรรมต่อจากนี้จะเป็นการเปิดโปงฆาตกร

ผมยืนหลับตานึกถึงหน้าไอ้ภพ  ก่อนที่ตนเองจะก้มลงจนสุดเพื่อหยิบสิ่งของที่อยู่ใต้นั้น  กระดานผีถ้วยแก้วคือสิ่งที่ผมนำกลับมาเล่นอีกครั้งเพื่อให้ไม่ผิดสังเกตจนเกินไป  แต่ทว่าระหว่างที่มือกำลังดึงรั้งกระดานออกมานั้น ไอเย็นรอบกายก็ก่อตัวห้อมล้อมผม พร้อมมีมือของใครสักคนยื่นไปดันวัตถุที่วางไว้ด้านในสุดออก  เผยให้เห็นวัตถุแวววับสีเงินอีกอย่างนอนนิ่งอยู่ในนั้น

ปืนพกขนาดเหมาะมือนอนนิ่งอยู่ข้างกายผม…ใต้ชั้นหนังสือ

ตาของผมเบิกโพลงขึ้นมาด้วยความสั่นกลัว  เหงื่อกาฬแตกพล่านออกมาจนเหนอะหนะ  ใจของผมเต้นแรงจนคล้ายว่ามันจะหลุดออกมาจากอก  แต่กระนั้นผมก็เลือกที่จะสลัดอาการพวกนั้นทิ้งแล้วเดินถือกระดานกลับมาตั้งหน้าลุงมั่น  โดยไม่ลืมที่จะท่องคาถาเหมือนอย่างเคยแล้วจึงได้เปิดปากอัญเชิญวิญญาณที่เคยมาเรียกร้องหาความจริงกลับเข้าสู่ตัวบ้านหลังนี้

“วิญญาณที่เคยปรากฏตัวในบ้านหลังนี้ เพื่อเรียกร้องหาความจริงบางอย่าง ได้โปรดกลับเข้ามาในแก้วนี่อีกครั้ง”

ทันทีที่เอ่ยจบ  เทียนในบ้านก็ดับวูบอย่างเร็วพลัน  ลมหอบใหญ่พัดสร้างความปั่นป่วนอยู่รอบนอกบ้านรวมถึงไอเย็นมากมายก็หอบเอาความรู้สึกเก่าๆกลับเข้ามากระทบผม  บอกให้รู้ว่านี่อาจเป็นสัญญาณบางอย่างที่บอกได้ว่าวิญญาณเหล่านั้นได้กลับเข้ามาแล้ว ดังนั้นคำถามที่ต้องเอ่ยกับผีถ้วยแก้วจึงไม่เกิดขึ้น นอกเสียจากการข้ามไปทำพิธีกรรมอย่างอื่น

“ลุงครับ ช่วยผลัดกันเล่าเรื่องผีกับผมนะครับ โดยที่เรื่องแรกที่ลุงเล่าขอเป็นเรื่องเด็กชายกับห้องพิมพ์ดีดนะ  ผมอยากฟังอีกรอบ”

“อีกแล้วเหรอ?  แต่เอาเถอะ ไหนๆเรื่องนี้ลุงก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง จะเล่าให้เอ็งฟังอีกรอบก็ได้ อย่าเบื่อแล้วกัน”

“เบื่อไม่ได้หรอกครับลุง  มัน…ค่อนข้างน่ากลัว  แล้วหลังจากผมให้สัญญาณ ลุงก็เริ่มเล่าเลยนะครับ”

สัญญาณที่ผมว่าเกิดขึ้นทันทีหลังผมบอก  เสียงแก้วกระทบกำแพงดังบาดหูจนผมกับลุงมั่นสะดุ้ง  ผมรีบพยักหน้าหน้าให้ลุงมั่นเล่าเรื่อง  ก่อนที่สายตาอันสั่นไหวจะสังเกตเห็นร่างกายจำนวนมากของมนุษย์ที่ต่างก็ย่างกรายเข้ามานั่งเบียดจ้องหน้าผมด้วยแววตาเรียบๆ  จ้องมอง…เพื่อรอเวลาที่ผมจะได้บอกความจริงแก่พวกเขา

“สาเหตุที่ทำให้เด็กคนนั้นฆ่าตัวตาย  ไม่ใช่แต่เพียงจดหมายที่ระบุวันตายเท่านั้น หากแต่เป็นเพราะจดหมายฉบับสุดท้ายที่เขาได้รับ  อาจจะเพราะเพื่อนแกล้งหรืออะไรก็ตาม  แต่เนื้อความในนั้นมันก็ทำให้เขาจิตตกจนอยู่บนโลกนี้ต่อไปไม่ได้”

“มัน…เขียนว่าอะไรเหรอครับลุง”

“ยินดีต้อนรับสู่นรกภูมิ”

แค่เพียงลุงมั่นเปล่งกระแสเสียงสุดท้ายออกมา  หน้าของวิญญาณที่จ้องผมอยู่ต่างก็หันขวับไปทันที เสียงอื้ออึงของวิญญาณเริ่มแสดงอาการอาฆาตออกมาจนแม้แต่ผมยังนั่งนิ่งติดพื้นไม่ได้  ผมรู้สึกกลัวจนต้องค่อยๆถอยหลังออกมาเตรียมหาทางหนี  และมองเพียงใบหน้าของลุงมั่นที่จ้องมองผมด้วยความแคลงใจ  จนผมเอ่ยประโยคหนึ่งออกมา  ปากของแกถึงได้เริ่มเหยียดยิ้มร้ายชนิดที่ทำให้ลมหายใจผมกระตุก


“ร…รู้แล้วใช่ไหม?  ว่าใครที่เป็นฆาตกร”







******************************************TBC***********************************************
เอาตอนที่27 มาส่งแล้วนะครับ  มาดูกันว่าการคาดเดาที่ผ่านๆมาจะมีใครเดาถูกกันบ้าง :mew3:
สำหรับในตอนนี้  เราคงต้องมานั่งสวดมนตร์ช่วยลุ้นไปกับมิวและภพด้วยกันนะครับ ใกล้จะถึงฝั่งฝันของเขาละ
ขอบคุณทุกการติดตาม การแชร์ หรือคำติชมต่างๆด้วยนะครับ  มันสร้างกำลังใจให้ผมมากๆเลย
เหมือนเดิมครับ ถ้ามีคำผิดหรือประโยคไม่ลื่นไหลบอกผมได้เลยนะครับ
แล้วมาพูดคุนกันได้ทั้งในเล้าแห่งนี้และใน #Nightmaregame นะครับ
เจอกันอาทิตย์หน้า
P-Rawit

*คอมเมนต์ที่บอกผมเรื่องช่วงการเปลี่ยนผ่านตัวละคร  ผมจะขึ้นบอกให้ในตอนถัดไปนะครับ (ถ้ามี) ส่วนตอนที่ผ่านมาคงต้องรอเคลียร์ให้ทุกอย่างเสร็จสิ้นก่อนนะครับ  ผมถึงจะแก้ให้ใหม่ได้
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่27 ฆาตกร (30/05/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-05-2017 21:41:21
ลุงคำก็คงตายไปแล้วสินะ หรือยังไง โอ้ยยยยยยยย สับสน
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่27 ฆาตกร (30/05/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 30-05-2017 22:20:00
โอยย ลุ้นทุกตอนจริงๆค่ะ ภาวนาให้มิวภพปลอดภัย :hao5:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่27 ฆาตกร (30/05/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 30-05-2017 22:30:06
อ่านมา 27 ตอนไม่ช่วยทำให้ชินกับความน่ากลัวได้เลย ภพไม่อยู่ยิ่งน่ากลัวไปใหญ่ จับฆาตรกรให้ได้นะ แค้นนนนน!!
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่27 ฆาตกร (30/05/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 30-05-2017 23:12:34
ลับลวงพลางมาก! ห่วงภพก็ห่วง แต่คาดว่าต้องนี้มิวน่าจะเดือดร้อนกว่า :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่27 ฆาตกร (30/05/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: ่KEI_jry ที่ 30-05-2017 23:51:11
ฮือออ ภพอยู่ไหนนนนนน :mew5:


อย่างน้อยก็รู้ที่เก็ปืนแล้วนะมิว มีสตินะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่27 ฆาตกร (30/05/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 31-05-2017 00:43:27
ขอให้ผีช่วยจัดการด้วย
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่27 ฆาตกร (30/05/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Pumpkin ที่ 31-05-2017 06:51:57
เอ้าเฮ้ย! หลังหักเลยค่ะ โดนหลอก 5555
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่27 ฆาตกร (30/05/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 31-05-2017 09:11:47
ที่จริงเป็นลุงมั่นเหรอออ

ลุงคำกลับมาได้ด้วยเหรอ ประโยคนี้คือแสดงว่าลุงคำ......  :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่27 ฆาตกร (30/05/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Lili405 ที่ 31-05-2017 10:12:53
ว่าแล้วว่าไม่ใช่ลุงคำ (มีแววว่าลุงคำไม่อยู่แล้ว TT)
เหมือนลุงมั่นจะไม่เห็นผีใช่มั้ย? แล้วคนที่เลื่อนปืนมาให้มิวคือคุณศตวรรษรึป่าวถ้าให้เดา
ก่อนที่ลุงมั่นจะทำอะไรมิวอยากให้พวกผีๆช่วยจัดการแทนจัง

โอ๊ย นี่ต้องรอไปอีกอาทิตย์หรอ ม่ายยยยยยย :katai4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่27 ฆาตกร (30/05/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 31-05-2017 10:53:30
Shipหายแล้ว ไอเราก็เข้าใจผิดว่าลุงคำเป็นฆาตกร จุดใต้ตำตอนี่เอง คุณผีทั้งหลายช่วยด้วยยยย
ปล.ลุงคำอาจไปอยู่ใต้รากมะม่วงแล้วแน่แท้ :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่27 ฆาตกร (30/05/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: supernaturalgay ที่ 31-05-2017 11:42:48
ว่าแล้วเชียวต้องเป็นลุงมั่น  ตะหงิดใจตั้งแต่แกโดนทำร้ายให้ภพเห็นแล้ว  แถมยังใจดีแอบบอกที่ซ่อนกล้องให้รู้อีก  จุดตะหงิดใจสำคัญอีกอย่างคือมีแค่ลุงมั่นคนเดียวที่มาเป็นธุระจัดการเรื่องลงต้นไม้ทั้งหมดในบ้าน  (แต่ก็ไม่กล้าเม้นได้แต่รอให้ไรเตอร์เฉลย)
ส่วนตอนที่มิวเห็นปืน  เราเดาว่าตอนที่ภพกับมิวเห็นลุงคำมาค้นบ้านตอนนั้นถ้าไม่มาค้นหาปืนก็ต้องมาซ่อนปืนไว้ 

โอย....อยากให้เอาตอนใหม่มาลงอ่านไว้ๆจังเลย :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่27 ฆาตกร (30/05/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 31-05-2017 16:23:20
จริงๆสงสัยลุงมั่นที่สุดในเรื่อง พอมาเจอลุงคำตอนที่แล้วทำเขวมาก  :hao7:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่27 ฆาตกร (30/05/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: MissMay ที่ 01-06-2017 08:39:34
โอยยยย ลุ้น กลัวก็กลัว ลุ้นก็ลุ้น
ขอให้ภพกับมิวปลอดภัยนะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่27 ฆาตกร (30/05/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 03-06-2017 00:21:57
ที่บอกว่าลุงคำกลับมาได้ด้วยหรอนี่คือแกฆ่าลุงคำไปแล้วใช่มั๊ยยยย :katai1:

เอะใจแต่แรกแล้วว่าลุงมั่นน่าสงสัย :z6:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่27 ฆาตกร (30/05/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: plugie ที่ 04-06-2017 00:01:25
น่ากลัวมาก นี้ยอมรับเลยว่าต้องอ่านข้ามบ้างเพราะอ่านไม่ไหว :ling3:
ลุงมั่นน่าสงสัยจริง น่าสงสัยมานานแล้ว ในขนาดที่ลุงคำเราเฉยๆ แล้วทีมงานคือกวนตีนเสมอต้นเสมอปลายมาก แอบสะใจมากตอนทีมงานเจอดีไปสองคน ตามจริงนี้อยากให้เจอหมด :fire:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่27 ฆาตกร (30/05/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: แม่มดน้อย ที่ 04-06-2017 08:23:49
รีบมาต่อเร็ว อยากรู้แล้ว
 :ling1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 06-06-2017 20:46:07
ตอนที่28

เกมสุดท้าย


ท่ามกลาง…ความมืดมิดของตัวบ้าน  ท่ามกลางไอเย็นของอากาศช่วงเหมันต์ฤดูยามค่ำคืน ท่ามกลางดวงจันทร์ที่ทอแสงพอให้ความสว่างและท่ามกลางวิญญาณซึ่งอัดแน่นไปด้วยความแค้น ทุกอย่างบันดาลให้บรรยากาศในค่ำคืนนี้เป็นใจให้ร่างกายของชายหนุ่มคนหนึ่งสั่นเทิ้มและกดดันไปพร้อมๆกัน  แววตาคู่คมที่จับจ้องมองมาราวกับผู้กุมชะตาชีวิต กำลังฉายแววมรณะให้บุคคลที่ยืนเป็นเหยื่อรู้สึกหมดทางหนี อีกทั้งรอยยิ้มฉาบยาพิษนั่น ยังทำให้ภายในใจร่ำร้องหาหนทางที่จะนำพาชีวิตเขาผ่านพ้นเกมสุดท้ายตรงนี้ไป

“ฆาตกร?...เอ็งกำลังพูดอะไรอย่างนั้นเหรอ”

ประโยคคำถามเหมือนไม่เข้าใจตอบรับคำบอกเล่าผมกลับมาคล้ายเป็นคู่สนทนา  ทั้งที่จริงประโยคที่ผมบอกออกไปนั้นไม่ได้มีจุดมุ่งหมายจะให้ลุงมั่นหรือฆาตกรตัวจริงรับฟัง  แต่ทว่าในเมื่อลุงมั่นไม่ได้มองเห็นในสิ่งเดียวกับผม นั่นจึงทำให้ประโยคเมื่อครู่กลายเป็นประโยคลอยๆที่ดันไปเข้าหูของบุคคลที่เป็นฆาตกรตัวจริงทันที

“ลุง…ลุงทำแบบนี้ทำไม ลุงเอาผมกับไอ้ภพมาในที่แห่งนี้ทำไม  ลุงจะฆ่าพวกเราอีกอย่างนั้นเหรอ?”

“ฆ่า? ฆ่าอะไรเหรอ  เอ็งกังวลถึงไอ้ภพจนจิตตกไปแล้วอย่างนั้นรึ”

น้ำเสียงที่ดูไม่ทุกข์ร้อนยามที่ผมกล่าวหา ทำให้ผมยิ่งมั่นใจว่าลุงมั่นกำลังใช้กลบางอย่างเพื่อหลอกล่อให้ผมตายใจ เกมที่ผมตัดสินใจทำอยู่นี้แน่นอนว่ามันเสี่ยงกับชีวิตผม  แต่ถ้าหากผมไม่ทำ ผมจะหาหลักฐานชิ้นสำคัญมาผูกมัดฆาตกรไม่ได้เลย นั่นจึงหมายความว่า ผมไม่ได้พึ่งจะรู้ตัวตนของลุงมั่นหลังจากตอนฟังนิทานปรัมปรา หากแต่ผมรู้ล่วงหน้ามาตั้งแต่ที่ขาของผมยังไม่ได้สัมผัสพื้นชั้นหนึ่งของบ้านหลังนี้เสียด้วยซ้ำ

ช่วงที่ผมอยู่บนห้องและเฝ้ารอเพียงการปรากฏตัวของไอ้ภพ  เรื่องราวบางอย่างมันได้สะกิดให้ผมระแวดระวังที่จะใช้ชีวิตอยู่ข้างกายลุงมั่น คำพูดที่เอ่ยถึงลุงคำ มันไม่ใช่ประโยคที่คนทั่วไปใช้ยามที่ใครสักคนไม่อยู่  กลับมาได้ด้วยเหรอ มันคือประโยคเพชฌฆาตที่ร้อยทั้งร้อยต้องรู้ว่า บุคคลที่อ้างถึงไม่ได้มีชีวิตเหลืออยู่แล้ว

แน่นอนว่าแค่ประโยคสั้นๆประโยคเดียวไม่อาจตีราคาชีวิตของใครได้  ผมจึงต้องลองมองหาวิธีอื่นเพื่อที่จะระบุตัวตนแฝงของอีกคนแทน  ช่วงที่ลุงมั่นบอกกับผมว่าจะโทรหาทีมงานนั้น ผมต้องแสร้งลงมาจากห้องเงียบๆแล้วเดินเข้าไปแอบฟังบทสนทนานั่น  ก่อนจะพบว่าน้ำเสียงที่ลุงมั่นใช้กับคู่สายได้เปลี่ยนไปเป็นต่ำลง  คุ้นหูผมจนคล้ายจะเป็นคนในคลิปเสียงฆาตรกรรมของคุณศตวรรษ  แต่ทว่าหลักฐานที่ยืนยันตัวตนที่แท้จริงกลับเป็นประโยคคำสั่งสุดท้ายที่ผมได้ฟัง

จับตัวมันไว้ก่อน  ถ้าจัดการทางนี้เสร็จเมื่อไร…จะเข้าไป

ลางสังหรณ์ที่ผมเคยรู้สึกได้ตอนไปวัดสุดท้าย  มันคือลางของความตาย โดยที่ตอนนั้นนอกจากผมจะสลบไปมันก็ไม่ได้มีใครตายอย่างที่ผมสัมผัสได้  วันนั้นเป็นวันที่ลุงคำเดินเข้ามาคุยกับผมว่าจะกลับบ้าน  โทรศัพท์ของลุงคำที่ลืมเอาไว้จึงกลายเป็นหลักฐานชั้นดีที่จะบอกความจริงข้อนี้แก่ผม  หลังจากที่ผมแน่ใจแล้วว่าลุงคำอาจไม่ใช่ฆาตกรดังที่ทีมงานพลั้งปากพูด  ผมจึงตัดสินใจเปิดเครื่อง แล้วปล่อยให้เวลานำพาเสียงโทรศัพท์แผดลั่นไปทั่วห้อง

“พ่อ!!! พ่อไปอยู่ไหน  พ่อหายไปไหน  หนูติดต่อพ่อไม่ได้เลย  ฮึก”

เสียงร่ำร้องของผู้หญิงคนหนึ่งดังตะโกนขึ้นมาทันทีหลังจากผมตอบรับ  วินาทีนั้นใบหน้าของผมซีดเผือดลงทันตาเห็น  มือที่กอบกุมมือถือเครื่องนี้ไว้ก็สั่นแรงจนต้องใช้มืออีกข้างมาดันช่วย  น้ำตาของผมตีรื้นขึ้นมาอย่างคนที่กำลังเสียใจอย่างรุนแรง  จนเมื่อสติคือหนทางสุดท้ายที่ผมต้องมี  การสอบถามจึงกลายเป็นข้อต่อรองชั้นดีที่จะเปิดหนทางการมีชีวิตรอดครั้งนี้ให้แก่ผม

“ผม…ไม่ใช่ลุงคำหรอกครับ ผมชื่อมิวเป็นผู้เข้าแข่งขันในเกมที่ลุงคำเข้ามาทำงานให้ครับ ลุงคำเคยลืมโทรศัพท์เครื่องนี้ไว้ตอนวันที่บอกจะไปหาคุณ”

“แล้วคุณเห็นพ่อฉันไหมคะ  พ่อฉันได้กลับมาเอาโทรศัพท์อีกไหม?”

“ผมไม่เห็นเลยครับ  ลุงคำ…ไม่ได้กลับมาหาผมอีกเลย”

“ฮึก  พ่อฉันไปไหนคุณพอรู้ไหมคะ  ฉันติดต่อพ่อไม่ได้เลย”

“ผมไม่รู้หรอกครับ…แต่สัญญาว่าจะช่วยคุณหา  เพียงแต่ตอนนี้คุณช่วยอะไรผมก่อนได้ไหมครับ  ผมกำลังไม่ปลอดภัย”

หลังจากการคุยโทรศัพท์กับคนที่คิดว่าจะเป็นลูกสาวลุงคำ ผมก็เดินลงมาที่ชั้นล่างแสร้งว่าพึ่งจะลงมาจากห้อง ความไม่มั่นใจต่างๆต้องถูกเก็บเข้ากรุความกลัวไปก่อน เพราะวินาทีที่ผมต้องเผชิญกับลุงมั่นซึ่งกำลังตีสีหน้าว่าเป็นห่วงผม ผมจำเป็นที่จะต้องเดินตามเกมไปอย่างช่วยไม่ได้  และเพื่อไม่ให้ร่างกายผมสั่นกลัวจนผิดสังเกต  ผมจึงลองให้ลุงมั่นเล่าเรื่องราวที่ไอ้ภพเคยฟังอีกครั้ง  โดยไม่คิดเลยว่ามันจะกลายเป็นหลักฐานชิ้นสมบูรณ์ที่สามารถรัดกุมลุงมั่นได้เป็นอย่างดี

“ลุงมั่นครับ  เวลานี้อย่าปกปิดอะไรอีกเลย ยอมรับความจริงและมอบตัวเถอะครับ”ผมพูดกล่อมไปทั้งที่ใจสั่นพร่า  รู้อยู่เต็มอกว่าอย่างไรลุงมั่นก็ไม่ยอมรับในสิ่งที่ตนเองเคยทำหรือพึ่งจะทำมา

“เอ็งเพ้อเจ้อเรื่องอะไรอยู่  ลุงงงไปหมดแล้ว…จะให้ลุงมอบตัว? มอบตัวเรื่องอะไรหรอ?”

“หยุดโกหกเสียที!!! ผม…เคยคิดมาตลอดว่าทำไมถึงไม่เคยมีใครชนะเกมนี้ไปได้  จนตัวเองได้เข้ามาเล่น ผมถึงได้รู้ว่าบุคคลที่เข้ามา ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้จัดการเกมทั้งหมดแม้ว่าเขาจะขอกลับออกไปแล้ว”

“แล้วยังไง?”

“ไม่ยังไงหรอกครับ  แต่เผื่อลุงจะไม่รู้ คลิปเสียงคุณศตวรรษที่ลุงอุตส่าห์ส่งมา คงไม่รู้สินะครับว่าคุณศตวรรษไม่ได้พูดแค่นั้น  เขาบอกความจริงผมทุกอย่างแล้ว

ใบหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็นขึงขัง สามารถกระตุ้นให้ผมมองหาทางรอดออกไปจากตรงนี้  ประตูหน้าและหลังที่พอจะเป็นทางออกให้แก่ผมล้วนต้องวิ่งผ่านลุงมั่นไปทั้งสิ้น  เรื่องโกหกหน้าตายจึงถูกผมหยิบขึ้นมาหลอกใช้เพื่อพรางตาและเบนความสนใจทั้งหมดไปที่เรื่องราวที่ผมกุขึ้นแทน  แน่นอนว่าทุกการกระทำของผมถูกห้อมล้อมด้วยวิญญาณของผู้ที่เคยเข้าร่วมเกมนี้  ซึ่งทำอะไรลุงมั่นไม่ได้ไปกว่าการจดจ้องด้วยความอาฆาต เพราะลุงมั่นสัมผัสอะไรได้ไม่เหมือนผม อีกทั้งสาเหตุที่ลุงมั่นสามารถทำให้วิญญาณพวกนี้จำหน้าฆาตกรไม่ได้ก็คงเป็นอีกอย่างที่ป้องกันแกอยู่

“คิดจะโกหก…อย่างนั้นเหรอ? เครื่องดักฟังที่ติดไว้กับทีมงานทุกคนไม่น่าทำพลาดนะ  หึ  ไอ้ศตวรรษมันโง่ที่ไม่รู้เรื่องราวตรงนั้น  สมควรแล้วหละที่มันจะตายไป”คำพูดช้าๆย้ำให้ผมฟังชัดทุกถ้อยคำ ตระหนักให้ผมรู้ว่าลุงมั่นตอนนี้กำลังโกรธจัดจนลืมที่จะควบคุมความคิดของตนเอง

“แล้วลุงมั่นผู้เป็นแค่คนสวน  ไม่เคยสันทัดด้านคอมพิวเตอร์  ไม่เคยดูรายการของพวกผม  ทำไมคุณลุงถึงรู้ได้หละครับว่าคุณศตวรรษเป็นใคร  แล้วรู้ได้ยังไงว่าเขาตายไปแล้ว”

คล้ายกับเกิดช่องว่างระหว่างผมและลุงมั่นทันที  ความเงียบงันที่ทำให้ได้ยินเสียงของหัวใจสั่นระรัว  นำพาให้ใบหน้าซึ่งหย่อนคล้อยไปตามวัยของลุงมั่นยกยิ้มขึ้นมาอย่างโหดเหี้ยม  ดวงตาของแกนั้นก็จับจ้องมาที่ผมคล้ายกับหมดความอดทนที่จะเก็บตัวตนต่อไปได้อีก  ยิ่งไปกว่านั้นจากที่แกโยกโย้หาเรื่องเบี่ยงประเด็นกับผมไปเรื่อย  ลุงมั่นก็เริ่มขยับกายออกห่างจากผมแล้ววนไปที่ตู้หนังสือคล้ายกับจะไปหยิบของสำคัญซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น

“หยุดอยู่ที่เดิมเลยครับ…ลุงมั่น” ปืนที่เคยถูกซ่อนไว้ถูกผมหยิบติดตัวมาพร้อมกับกระดาน และในเวลานี้มันก็ถูกยกขึ้นจ่อไปที่ร่างกายของลุงมั่นราวกับหาทางป้องกันตนเอง

“รู้ที่ซ่อนมันแล้วเหรอ?  เร็วดีนี่”ลุงมั่นหันตัวกลับมาจ้องปืนบนมือผมนิ่ง แล้วพูดประโยคที่ทำให้คนฟังรู้สึกไม่ไว้ใจ

“ไอ้ภพ  อยู่ไหน?”ผมเค้นเสียงตัวเองออกไปให้เข้มขึ้น ข่มความกลัวทั้งหมด ไม่สนใจแม้ว่าลุงมั่นจะไม่สะทกสะท้านกับการขู่ของผมแม้แต่น้อย

“ก็บอกไปแล้วนี่  มันอยู่ที่บ้านหลังนั้นนั่นแหละ  แต่ไม่รู้หรอกนะว่าตอนนี้…มันจะเป็นหรือตาย”

ร่างกายของผมตอนนี้คงเหมือนโดนหยุดเวลาเอาไว้  น้ำเสียงของลุงมั่นที่เอ่ยออกมาไม่ได้กำลังโกหกผมอยู่แน่  วินาทีที่ผมต้องดิ้นรนหนีตายอยู่ตรงนี้ มันเป็นวินาทีเดียวกับที่ไอ้ภพต้องหนีตายไม่ต่างกัน ปืนที่มือของคุณศตวรรษเผยให้ผมเห็นจึง ถูกใช้เพื่อจ่อไปที่ลุงมั่นอย่างไม่ลดละ พร้อมกับใช้จังหวะนี้เป็นช่องทางที่ทำให้ผมเดินเบี่ยงออกไปยังประตูด้านหลังได้  แต่ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวผ่านพ้นเศษแก้วที่แตกไว้ของตนเอง  กระสุนปืนก็พุ่งออกมาจากปืนอีกกระบอกสกัดกั้นทิศทางที่จะเปิดประตูรอดตายของผม

“อะไรกัน ลุงยังไม่ทันบอกให้เริ่มเกมคืนนี้เลย เอ็งก็เริ่มแล้วอย่างนั้นหรือ”

คำพูดเย็นๆดังคลอมาพร้อมกับร่างกายของลุงมั่นซึ่งค่อยๆก้าวเดินเข้ามาหาผมอย่างไม่รีบนัก  ปลายกระบอกปืนจ่อเข้ามาที่หัวผมชัดเจนจนคล้ายกับว่าถ้าผมขยับออกเพียงนิดเดียว ลูกกระสุนคงไม่รอช้าที่จะฝังเข้าไปในขมับผม  ครานั้นผมเอาแต่มองวิญญาณซึ่งรายล้อมอยู่รอบตัว  พลางในใจก็ร่ำร้องขอความช่วยเหลืออย่างคนสิ้นคิด  แน่นอนว่าวิญญาณพวกนั้นไม่ได้นิ่งเฉยที่จะช่วยผม หากแต่อะไรสักอย่างกลับกั้นพวกเขาไว้ไม่ให้เข้าตัวลุงมั่นได้เลยนอกเสียจากการส่งเสียงโกรธเกรี้ยวเพื่อถามถึงสาเหตุที่ลุงมั่นฆ่าเขาตาย

“คิดเหรอ ว่าปืนบนมือจะมีกระสุน เอ็งน่าจะอ่านเกมคืนนี้แล้วนี่ ทำไมยังไม่รู้หละ ว่ามันเตรียมไว้เพื่อใช้ประกอบฉาก”

“ลุงมั่น  อย่าทำแบบนี้เลยนะครับ ฮึก อย่าทำอย่างนี้อีกเลย  พวกผมไปทำอะไรให้ลุงอย่างนั้นเหรอ”

เรื่องราวที่ดำเนินอย่างกับหนังฆาตกรรม เดินเรื่องมาถึงจุดที่ฆาตกรรั้งตัวผมให้เข้าไปหา  ก่อนที่ปลายกระบอกปืนซึ่งยังมีกลิ่นดินปืนลอยอบอวลอยู่จะถูกใช้มาลูบไปทั่วใบหน้าของผม  แขนข้างหนึ่งของลุงมั่นล็อกคอผมไว้อย่างแน่นจนเกือบจะหายใจไม่ออก  น้ำตาของผมไหลออกมาบางๆเพราะคิดได้ว่าความอ่อนแอไม่คู่ควรกับการร้องขอเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อ

“อะไรกัน  นึกว่าจะเก่งกว่านี้นะ ลุงอุตส่าห์เก็บพวกเอ็งไว้มาจนถึงวันนี้ เอ็งไม่ควรมีสภาพแบบนี้นะ หึ ท่าทางสอดรู้สอดเห็นแบบพวกเอ็งมันน่าจะส่งกลับไปเล่นเกมที่อื่น ว่าไหม?  แต่ไหนๆเกมปีนี้มันก็พิเศษอยู่แล้ว ลุงเลยคิดว่าเก็บพวกเอ็งไว้เล่นที่นี่เลยก็น่าสนุกดี”

“ลุง…อย่าทำแบบนี้อีกเลยนะครับ  มันจะมีประโยชน์อะไร ผมก็แค่คนที่เข้ามาขอเล่นเกมเท่านั้น”แม้น้ำตาจะเริ่มเหือดแห้ง แต่สัญชาตญาณมันก็ยังกระตุ้นให้ผมสั่นไหว  ความกลัวที่มีมากเกินไปไม่อาจอัดแน่นอยู่ภายใต้ความนิ่งเฉยได้อีก

“มีประโยชน์สิ  ลองคิดตามลุงนะ รายการที่มีผู้เข้าร่วมหนึ่งคนต้องเป็นบ้าออกไปเพราะเพ้อเจ้อว่าเห็นผี กับอีกหนึ่งสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยเพราะผิดกติกาเกม  มันน่าจะทำให้รายการสนุกขึ้นนะ แล้วพอตำรวจเข้ามาถามหาเบาะแสมันก็ไม่มีใครตอบได้นอกจากกล้องที่เห็นเพียงไอ้เอกภพหลบหนีออกไป  พยานปากเอกทั้งหลายเช่นเอ็งก็ไม่มีความสามารถพอที่จะตอบ”

“แต่แล้วไง ในเมื่อผมก็ไม่ได้เป็นบ้า ยังไงเสียพยานปากเอกมันก็ยังเป็นผม!!!” เมื่อใช้น้ำเย็นเข้าลูบไม่ได้  อารมณ์ต่างๆในตัวของผมก็ปะทุขึ้นมาอย่างเก็บไม่อยู่ ชนิดที่ว่าสิ้นสุดปลายเสียงความตายอาจเข้ามาทักทายผมทันที

“ลุงถึงต้องลากเอ็งมาเล่นเกมนี้ไง  จะได้เรียนรู้ที่จะสงบปากสงบคำไว้บ้าง”

“เกมนั่นหนะเหรอ  ลุงลืมไปแล้วหรือไงว่าผมเคยเล่นกันมาแล้ว ต่อให้ต้องเล่นอีกกี่ครั้ง ผมก็ยังต้องชนะและมีชีวิตรอดกลับไป”

“อืม งั้นไหนลองแสดงให้เนียนกว่านี้หน่อยสิ  เผื่อการจำลองเหตุการณ์ฆาตกรรมนี่จะเหมือนจริงขึ้น”

ลุงมั่นรัดคอผมแน่นขึ้นกว่าเดิมมาก  ปากกระบอกปืนจากที่เคลื่อนไปรอบๆหัวผมก็มาจ่อแน่นิ่งอยู่ตรงขมับ  ผมซึ่งพยายามดิ้นออกจากการรัดกุมทำได้เพียงแค่กระแทกกระทั้นบางส่วนของลุงมั่นเท่านั้น  จนได้ยินเสียงลุงมั่นเริ่มนับเวลาถอยหลังพร้อมกับเสียงหัวเราะเย็นๆเริ่มปล่อยออกมา  ดวงตาของผมถึงได้เบิกโพลงแล้วเริ่มที่จะดิ้นพล่านหนักขึ้น พลางในใจก็เรียกร้องขอความช่วยเหลือจากวิญญาณตลอดเวลา

“ช่วย….ช่วยผมด้วย  ผมอุตส่าห์ช่วยพวกคุณ  ช่วยผมด้วย!!”

“ช่วย?  เรียกหาใครอย่างนั้นเหรอ?”


การร้องตะโกนของผมนั้นสามารถหยุดช่วงการนับไปได้  แต่นั่นก็ทำให้ผมต้องมารับฟังคำถามคล้ายการกระซิบซึ่งจงใจพูดใกล้หูของผมจนขนลุก  ลุงมั่นตอนนี้เหมือนกับคนหวาดระแวงอย่างหนัก ปืนที่เคยชี้ผมก็เปลี่ยนเป็นหันไปกวาดทั่วบริเวณบ้านทำให้ผมได้เห็นทันทีว่า บริเวณที่เคยเนืองแน่นไปด้วยวิญญาณ บัดนี้กลับไม่มีหลงเหลืออยู่รอบกายผมเลยสักตนเดียว

ผมยืนน้ำตาคลอทุกครั้งที่แรงเหวี่ยงของลุงมั่นจับผมหันไปทั่ว  เหงื่อที่ขมับซึ่งไหลออกมาโดนผมนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตอนนี้แกกำลังเครียดและกดดันไม่ต่างไปจากผม  จนครู่หนึ่งที่แกเริ่มคลายอาการกลัวลง เสียงกดชักโครกบนบ้านชั้นสองก็ดังลั่นขึ้นมา นำให้ร่างกายทั้งของผมและลุงมั่นหยุดนิ่งพลางสายตาก็จับจ้องไปที่บันไดชั้นสองพร้อมกัน หากแต่แววตาที่แสดงออกนั้นสื่อกันไปคนละแบบ

“นั่นเสียงใคร”เสียงทุ้มดุดันดังขึ้นคล้ายจะถามผม หากแต่ปลายเท้าของลุงมั่นกลับค่อยๆเดินดันผมให้มุ่งตรงสู่ชั้นสอง

“กูถามว่านั่นเสียงใคร!!!!”


ลุงมั่นตวาดก้องไปทั้งชั้น ข่มให้บรรยากาศมืดหม่นตามหัวใจของแก  เสียงชักโครกที่เกิด หายไปตั้งแต่ผมยืนอยู่ชั้นล่าง แต่เสียงเคาะประตูห้องนั้นกลับดังขึ้นมาแทน เป็นสัญญาณที่เรียกหาให้ลุงมั่นเดินเข้าไปพบกับสิ่งที่กำลังท้าทายคนเป็นด้านใน

“ล…ลุงมั่นครับ  อย่าเปิด บ้านหลังนี้มันไม่มีใครเลยนะครับ เสียงนั่นอาจจะเป็นผีที่ผมเชิญมาก็ได้”

“เงียบ!! ผีอย่างนั้นเหรอ หึ มันจะไปสู้อะไรใครได้ แค่ห้ามไม่ให้ตัวเองตายมันยังทำไม่ได้เลย”ลุงมั่นหันมาตะคอกผม ก่อนที่ปืนจะกดแน่นเข้าสู่ขมับผมซ้ำๆจนเจ็บรัดไปทั่วหัว

“ลุง…ไม่เห็นอย่างที่ผมเห็น  ใช่ว่าเขาจะทำอะไรลุงไม่ได้นะครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู ว่าผีหรือคนที่แน่จริงกว่ากัน”

สิ้นคำพูดลบคำสบประมาทผม  ลุงมั่นก็คลายมือออกจากคอ แล้วเดินไปเปิดประตูห้องน้ำให้อ้ากว้าง  เผยให้เห็นภายในห้องน้ำที่เคยว่างเปล่าอัดแน่นไปด้วยมวลความแค้นของวิญญาณซึ่งก็จ้องมาที่ลุงมั่นอย่างไม่ลดละ  แน่นอนว่าสิ่งที่เห็นยังทำให้ผมรู้สึกถึงความกลัวและไม่ปรารถนาที่จะมอง  หากแต่ว่าร่างของวิญญาณตนหนึ่งซึ่งกำลังเดินแยกออกมาจากกลุ่มนั้นได้ทำให้ผมจ้องมองเขาดั่งถูกสะกด เพราะเค้าโครงใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น

ใบหน้าของคุณศตวรรษ…

ปั้ง!!!

ประตูห้องน้ำที่ปิดกระแทกอย่างแรงต่อหน้าผมนั้น  กำลังกักขังลุงมั่นซึ่งประมาทเดินเข้าไปตรวจหาคนอยู่ภายในนั้นแล้วทิ้งให้ตัวประกันอย่างผมยืนอยู่ข้างนอก  ไม่ต้องรอให้ผีหรือใครก็ตามมาสั่งให้ผมหนี เพราะทันทีที่เห็นว่าประตูกำลังปิด ขาของผมก็ถอยออกมาอย่างเร็วพลัน  แต่กระนั้นก็ยังคงจ้องมองแต่ใบหน้าของคุณศตวรรษที่ได้ขยับปากอ้าสั่งให้ผมหนีออกไปจากบ้านนี้  แม้ลับหลังไม่กี่วินาที เสียงปืนจะยิงรัวเข้าใส่ประตูบานนั้น

ผมหันระวังหลังอยู่ตลอด  นั่นจึงทำให้ผมเห็นว่าประตูครัวที่ผมพึ่งจะวิ่งผ่านออกมาได้ไม่นาน กำลังมีมือจำนวนไม่น้อยเลื่อนมาปิดมันเอาไว้  ถ่วงเวลาให้ผมสามารถปีนขึ้นกำแพงแล้วเดินย้อนเส้นทางของไอ้ภพเข้าไปในป่า โดยไม่สนใจแม้ว่ามันจะมืดทึบหรือเป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสสัมผัสผืนดินตรงนี้

เสียงปืนนัดสุดท้ายที่ดังขึ้นในบ้านกระตุ้นให้ขาของผมสับเข้าไปในป่าลึกเร็วขึ้น  ใช้ม่านมืดของค่ำคืนบดบังการเคลื่อนไหวของผมจากการเข้าหาของลุงมั่น  เศษกิ่งไม้หรือความชื้นแฉะของดินคืออุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ขวางกั้นการวิ่งหนีของผม  จนความสนใจต้องเบี่ยงไปจับจ้องแต่พื้นต่ำเพื่อเพ่งหาสิ่งของอันตรายรวมถึงสัตว์เล็กๆ  จนไม่ได้ดูรอบกายหรือสำนึกแก่ตัวเองเลยว่า  ก่อนผมออกมาผมได้ท่องคาถาเชิญใครต่อใครเอาไว้

แกร๊บ


ทุกการขยับขาวิ่งไปเรื่อยๆนั้น ปรากฏเสียงการก้าวเท้าของใครสักคนดังขึ้นรอบกาย จังหวะของมันนั้น ไม่ได้เร่งฝีเท้าตามผมเลยสักวินาทีเดียว หากแต่มันก็สามารถก้าวทันตามผมคล้ายกับคนที่วิ่งขนานกันมาตั้งแต่กำแพงบ้านหลังนั้น  จากที่ผมวิ่งอยู่ จึงเริ่มเปลี่ยนมาเดินและก้าวเท้าให้เงียบที่สุด เพราะไม่รู้เลยว่า เสียงเหยียบใบไม้แห้งนั้นเกิดขึ้นจากฝีเท้าของใคร

ความไม่ชำนาญเส้นทางกลายมาเป็นบ่วงผูกคอของผมเอาไว้อีกครั้ง  ความมืดมิดที่ไม่อำนวยต่อการมองเห็น นำให้ผมต้องคลำทางไปเรื่อยๆโดยคิดอยู่เสมอว่าป่าแห่งนี้แท้จริงแล้วมีทางออก  หากผมยังคงก้าวเท้าต่อไปก็อาจจะเจอเส้นทางนั้น แต่กระนั้นดวงตาของผมก็ไม่สามารถอ้าได้จนสุดเพราะจิตสำนึกได้ย้ำเตือนถึงเรื่องราวคราที่ผ่านๆมา มันอาจจะทำให้ผมต้องเจอกับวิญญาณที่ไม่ประสงค์ดีด้วย

“เฮ้ยลูกพี่  มาถูกทางแล้วใช่ไหม? ไม่ใช่ว่าพาผมหลงนะ”

“เออ  ถูกทางสิวะ ป่านี่มันก็แค่ป่ากั้น  มึงเดินตรงไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็เจอบ้านหลังนั้นเอง”

“แหม่พี่ นี่เราก็เดินวนมาสักพักแล้วนะ  อีกอย่างพี่ก็ปล่อยให้ไอ้พวกนั้นคุมตัวไอ้หน้าหล่อนั่นอย่างเดียว  พวกมันจะไหวเหรอ”

“ไหวไม่ไหวก็ช่างมันเถอะ  ไม่ใช่เรื่องของเรา ประเด็นที่กูลากมึงมา ก็เพราะกูต้องการจัดการไอ้ที่อยู่ในบ้านนั่นมากกว่า เกมเมื่อคืนแม่งเล่นกูแสบนัก  อีกอย่างผู้จัดการเกมเขาก็กำลังจะจัดการมัน  กูนี่อยากจะเห็นทั้งหน้าผู้จัดการเกมและไอ้เหี้ยนั่นจังว่าตอนนี้แม่งจะเป็นไง ดีไม่ดี ผู้จัดการเกมเขาจะเพิ่มเงินให้กูกับมึงด้วยเพราะเราไม่ต้องให้เขาออกแรง”

ผมยืนกลั้นหายใจหลับตานิ่งอยู่ข้างต้นไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่ง  เสียงของทีมงานคุ้นหูได้เล็ดลอดเข้ามาตั้งแต่ที่ผมยังไม่เจอตัวของพวกเขา  หัวหน้าทีมงานที่คงจะไปพักฟื้นจิตใจแล้วนั้น  เดินย้อนกลับไปยังบ้านที่ผมพึ่งจะจากมา พร้อมกับที่ปากของเขาก็พูดคุยถึงเรื่องสกปรกที่คิดจะกระทำต่อผม  แต่ว่าในข้อเสียนั่นย่อมบอกข้อดีแก่ผมด้วย เนื่องจากพวกเขาเหล่านั้นได้บอกที่ซ่อนไอ้ภพและยืนยันให้ฟังว่ามันยังมีชีวิตอยู่

เมื่อเสียงหัวเราะเบาๆของคนสองคนกลืนหายไปกับป่า  ผมก็ได้ตัดสินใจวิ่งหนีออกไปอีกครั้ง พร้อมกับเสียงฝีเท้าของคนที่ยังคงตามมาไม่เลิกจนความสนใจถูกดึงให้มองหาไปทีละนิด  แน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นย่อมไม่ใช่คน หากแต่ว่าด้านดีของจิตใจมันก็ยังบอกให้ผมคิดถึงวิญญาณที่เคยขอความช่วยเหลือผมทั้งหลาย  เขาอาจจะเดินตามมาเพื่อคุ้มครองผม

บรรยากาศในป่าตอนนี้เริ่มเย็นขึ้นมาจับขั้วหัวใจ  แว่วเสียงของใบไม้เสียดสีก็สร้างความรู้สึกให้ค่ำคืนในนี้ดูหลอนหัวมากขึ้น ไอ้ภพเคยบอกผมว่าป่าแห่งนี้มันไม่ได้ทึบมากมาย  แต่แล้วทำไมเมื่อผมเป็นฝ่ายที่เริ่มเดินหาเองนั้น ความมืดมิดถึงได้ปกคลุมไปทั่ว จะว่าเป็นเพราะตอนกลางคืนก็ไม่น่าใช่  เพราะก่อนออกมา แสงของพระจันทร์มันก็ยังทำหน้าที่ของมันได้ดีอยู่

จากเสียงการเดินเหยียบใบไม้แห้งที่ได้ยิน เริ่มค่อยๆกลายเป็นเสียงกวดฝีเท้าเพื่อเข้าใกล้ผมยิ่งขึ้น สร้างความไม่แน่ใจว่าท่ามกลางการเคลื่อนไหวของวิญญาณจะมีเสียงของมนุษย์ตัวจริงตามมาหรือไม่  ดังนั้นสัญชาตญาณการป้องกันตัวเองจึง สั่งให้ผมก้าวขาให้เบาที่สุดเข้าไว้เพื่อป้องกันตนเองจากสิ่งเร้าพวกนั้น ความมืดที่บดบังผมจากสิ่งภายนอกคล้ายเป็นดาบสองคมที่ทำให้ผมไม่เป็นจุดสนใจ  แต่นั่นก็หมายถึงว่าผมก็ไม่สามารถมองเห็นใครต่อใครได้เลย แม้บางทีฆาตกรอาจจะอยู่ไม่ห่างผมแล้วก็ตาม

ยิ่งเดินหนีเข้าป่าลึกไปมากเท่าไร ทางออกก็ยิ่งเลือนหายออกไปมากเท่านั้น  ผมยืนหอบตัวโยนอยู่เกือบกลางป่า มองหาแต่เพียงแสงสว่างที่อาจเป็นทางออก แต่นอกจากต้นไม้ขึ้นเรียงรายแล้วนั้น  ผมก็ไม่พบสิ่งอื่นใดเลย  นอกจากการปล่อยให้สัมผัสของผมไหวเอนไปตามเสียงหัวเราะเย็นๆของมนุษย์ เสียงการเคลื่อนตัวรอบกาย  เสียงบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้ยืนอยู่เพียงผู้เดียว ความรู้สึกนึกคิดยามนี้จึงแปรเปลี่ยนเป็นคำสั่งให้ผมยอมรับและทำใจกล้าที่จะเดินต่อโดยไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น

.
.
.
(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 06-06-2017 20:46:39
การเดินคลำทางของผมผ่านไปด้วยความยากลำบาก ยาวนานจนรู้สึกปวดไปทั้งเท้า ความพยายามในการปลอบใจตัวเองถดถอยลงไปเรื่อยๆ ใจของผมเต้นแรงเพราะความกลัวผสมกับความเหนื่อยล้า เนื่องด้วยไม่เคยย่างกรายเข้ามาสัมผัสผืนป่า ผมจึงไม่อาจรู้เลยว่าไอ้ภพต้องใช้เวลานานเท่าไรในการพาตัวเองออกไปที่อื่น ฉะนั้นผมจึงต้องฝืนพาตัวเองหนีต่อไปอย่างไม่มีจุดหมาย  หลบซ่อนตัวจากเสียงหวดใบไม้ใบหญ้าหรือเสียงตะโกนข่มขู่ผมที่แว่วมาตามความมืดในป่าแห่งนี้

เมื่อร่างกายไม่อาจฝืนหนีต่อไปได้ ผมจึงต้องยืนปาดเหงื่อพักการหายใจหอบแรงอยู่นิ่งๆ จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่สามารถหาทางออกจากป่านี้ได้เลย ยิ่งเดินไปมากเท่าไรความวังเวงและความเงียบยิ่งโผล่มาทักทายผมมากเท่านั้น  คล้ายกับว่าถ้ายังไม่เช้า ผมก็ยังจะต้องเผชิญกับบรรดาการหลอกหลอนสารพัดสิ่งที่เกิดขึ้นทุกชั่วขณะลมหายใจผม  แม้ตอนนี้ผมจะมองไม่เห็นมัน แต่สัญชาตญาณมันก็บอกมาตลอดว่าวิญญาณที่ไม่ประสงค์ดีได้ทำการติดตามและบดบังเส้นทางของผมมาได้ครู่ใหญ่แล้ว  จนกระทั่งเสียงหนึ่งที่ปลุกสติผมให้กลับมา ผมถึงได้ละความสนใจจากอันตรายพวกนั้นแล้วจดจ่ออยู่แต่เพียงการสั่นของโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง

“ส..สวัสดีครับ”

“คุณมิว!!! นั่นคุณยังปลอดภัยอยู่ใช่ไหมคะ?”

“ครับ ผมยังปลอดภัยอยู่  ตอนนี้วิ่งหนีออกมาซ่อนตัวแล้วครับ”

“ดีจังเลยค่ะที่คุณยังปลอดภัย  ส่วนเรื่องที่คุณขอไว้ไม่ต้องห่วงนะคะ  ฉันจัดการให้เรียบร้อยแล้ว”

“ขอบคุณมากนะครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ว่าใครก็นิ่งเฉยไม่ได้ยามที่เห็นคนอื่นตกระกำลำบาก  ว่าแต่เรื่องพ่อของฉัน…มันจะเกี่ยวกับฆาตกรคนนั้นไหมคะ  ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีเลย”

“อย่าพึ่งคิดมากนะครับ  ถ้าตราบใดที่เรายังหาลุงคำไม่เจอ เราก็ต้องหวังว่าเขาจะไม่พัวพันกับสิ่งพวกนี้  อะไรที่เรายังมองไม่เห็น ก็ให้คิดไปก่อนนะครับว่ามันไม่มีอยู่จริง”

ผมเดินกำโทรศัพท์เอาไว้แน่น ปิดปากคุยโทรศัพท์อย่างแผ่วเบา พูดคุยกับคู่สายโดยที่สายตาต้องมองผ่านความมืดไปยังที่ต่างๆอย่างร้อนรน  คำพูดที่ใช้ปลอบโยนลูกสาวลุงคำ แน่นอนว่ามันไม่ได้มีไว้เผื่อเธอคนเดียว ผมยังใช้มันเพื่อปลอบใจตัวผมเองด้วย เนื่องจากตอนนี้การแตกหักของใบไม้แห้งได้กรูกันเข้ามาตามหลังผม พร้อมกับการเปล่งเสียงร้องออกมาบาดหู  หลอกหลอนให้ขนในร่างกายผมลุกชัน พร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัวจนเกือบคุมสติของตนไว้ไม่ได้

หลังจากที่ผมรอการติดต่อกลับมาของลูกสาวลุงคำ  ผมได้ทำการขอความช่วยเหลือโดยการให้เธอคนนั้นถือสายแล้วอัดบทสนทนาที่จะได้ยินต่อจากนั้นเอาไว้ให้หมด  เพราะผมในตอนนั้นรู้แล้วว่าใครคือฆาตกรที่แท้จริง  เมื่อได้เจอลุงมั่นผมจึงต้องทำทุกอย่างให้ลุงมั่นส่งเสียงหรือพูดคุยกับผมเพื่อกลบเสียงสัญญาณในสายที่อาจเล็ดลอดออกมาได้ทุกเมื่อ จนกระทั่งเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดที่ผมโดนปืนจ่อหัว สัญญาณจากปลายสายคงถูกตัดไปตอนนั้น ก่อนที่ลูกสาวลุงคำจะโทรแจ้งตำรวจให้ผมทันทีเนื่องจากผมไม่เคยรู้ที่อยู่ของบริเวณนี้ ต่างจากเธอที่ลุงคำอาจเคยบอกเอาไว้

“คุณมิวคะ  ตอนนี้อยู่กับเจ้าหน้าที่แล้วใช่ไหมคะ  เสียงพูดคุยดังลั่นเชียว”

จังหวะที่ผมถือสายพูดคุยกับเธอไปพลางๆอยู่นั้น  ประโยคที่ทำให้ผมต้องหยุดช่วงขาก็เกิดขึ้น  ท่ามกลางป่าปิดรอบตัวผม ไม่อาจมีใครอยู่ใกล้ตัวได้เลยนอกจากฆาตกรซึ่งกำลังไล่ล่า  แน่นอนว่าผมคงไม่โง่พอที่จะไปถือสายโทรศัพท์ข้างฆาตกร  เสียงพูดคุยหนาหูที่ลูกสาวลุงคำได้ยินจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้  จากความสนใจที่อยู่ปลายสาย ผมจึงต้องเบี่ยงเบนทั้งหมดมาที่รอบตัวแทน แล้วพบว่าคำพูดของเธอคนนั้นมีมูลความจริง

ดวงตาของผมค้นพบว่าภายใต้ความมืดมิดรอบตัว  มีเงาของมนุษย์เกิดขึ้นอยู่ทั่ว  บางร่างกำลังยืนจ้องมานิ่งๆ แต่กลับอีกหลายร่างกำลังค่อยๆเดินฝ่าความมืดเข้ามาหาผม  เสียงพึมพำรอบป่าจึงเริ่มกระทบโสตประสาทชัดขึ้นเรื่อยๆ  แต่นั่นอาจจะไม่เท่าความรู้สึกที่ว่าด้านหลังผมตอนนี้มีกลุ่มคนยืนเบียดเสียดกันแน่น  พลางกระซิบประโยคที่ทำให้ผมไม่กล้าหันกลับไปเผชิญ

เดินในป่าคนเดียวแบบนี้  ไม่กลัวผีหรอ


มือของผมตัดสายลูกลุงคำทิ้งไปเสียดื้อๆ  ก่อนจะรีบพาใบหน้าที่กำลังเริ่มมีน้ำตาไหลเอ่อก้มหน้าเดินหนีสัมภเวสีเหล่านั้น แน่นอนว่ามือของผมสั่นจนต้องเกร็งเอาไว้แน่น ขาที่ย่างก้าวไปทีละนิดก็อ่อนแรงลงจนแทบล้ม ความมืดที่เป็นปราการชั้นดีนั้นทำให้ผมมองเห็นความตายไม่ชัดนัก แต่ทว่าเมื่อใดที่ผมต้องผ่านบริเวณที่มีแสงเล็ดลอดมาได้บ้าง  เมื่อนั้นสายตาของผมก็จะพบกับบางอย่างที่เกิดขึ้นทุกครั้งบนต้นไม้โดยไม่ต้องเห็นชัดก็เดาได้ว่ามันเกิดขึ้นบนต้นไม้ทุกต้นที่ผมผ่าน

มันเป็นเงาดำของมนุษย์ที่กำลังปีนป่ายขึ้นไปยังกิ่งไม้สูงชัน  

ความเร็วในการปีนของเงานั่นจี้ปมความกลัวของผมจนต้องเร่งฝีเท้า  ไม่ได้สนใจเลยว่ากิ่งไม้แห้งที่แตกหักจะกลายเป็นต้นกำเนิดเสียงชั้นดีที่อาจล่อเป้าให้ฆาตกรและทีมงานเข้าหา ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง  เพราะหูของผมนอกจากจะรับรู้การเคลื่อนไหวของวิญญาณ ผมยังสามารถจับการพูดคุยด้วยความเร่งรีบของกลุ่มคนซึ่งกำลังวิ่งมายังจุดที่ผมกำลังหนี

ความต้องการมีชีวิตรอดสั่งให้ผมวิ่งหนีให้ไวที่สุด แต่กระนั้นความไม่ชำนาญทางยิ่งทำให้ทุกอย่างดูแย่  เสียงการกวดฝีเท้าพร้อมการตะโกนไล่หลังผม  เกิดขึ้นแทบจะประชิดตัวจนผมไม่สามารถจะเคลื่อนกายต่อไปได้อีก เนื่องจากเสียงฝีเท้าของตนเองจะยิ่งนำความตายเข้าใกล้ผมมากขึ้น เวลาแบบนั้นผมต้องรีบหาที่หลบซ่อนตัว ก่อนจะไปพบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งสามารถบดบังร่างกายของผมได้พอควร

“กูว่ามันอยู่แถวนี้แหละ เสียงวิ่งของมันพึ่งจะเงียบไปนี่เอง”ไม่ใช่เสียงของลุงมั่น  หากแต่เป็นเหนื่อยหอบหัวหน้าทีมงานที่พึ่งจะเดินสวนผมไปบ้านหลังนั้น  คาดว่ามันคงวิ่งย้อนกลับไปจนเจอตัวลุงมั่น ก่อนจะแยกกันตามหาตัวผม

“แล้วจะเอายังไงดีพี่  มืดแบบนี้หาค่อนข้างยากเลยนะ”

“มึงเอามีดมาหรือเปล่า ลองฟันไปให้ทั่วพงหญ้าหรือแม้กระทั่งต้นไม้  มันหาที่หลบอื่นไม่ได้หรอก”

หลังจากการตกลงเสร็จสรรพ  ผมซึ่งยืนหลบอยู่ไม่ห่างจากนั้นมากนัก ต้องรีบยกมือขึ้นมาปกปิดเสียงลมหายใจของตนเอง  หัวใจผมสั่นระทึกเนื่องจากการกลัวตาย  ดวงตาผมหลับแน่น พร้อมกับที่มืออีกข้างก็ยกขึ้นมากอดปลอบตนเองไว้  ไม่นานนักเสียงถางป่าหญ้ารอบบริเวณก็เริ่มขึ้น อีกทั้งก้อนหินจำนวนไม่น้อยก็ถูกหยิบโยนออกไปไม่ระบุตำแหน่งคล้ายกับการเสี่ยงโชคว่ามันจะไปกระทบให้ผมส่งเสียงร้องออกมาตอนไหน

ร่างกายผมสะดุ้งทุกครั้งที่เสียงเหล่านั้นคืบคลานมาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ  ภายในใจได้แต่ขอร้องให้วิญญาณหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในป่าแห่งนี้คุ้มครอง  ผมไม่รู้ว่าการกระทำสิ้นคิดแบบนี้จะช่วยชีวิตผมได้หรือเปล่า  แต่ข้อดีอย่างหนึ่งที่ผมสัมผัสกับวิญญาณได้มันก็ทำให้ผมรู้ว่าการร้องขอของผมไม่ได้เป็นม่าย เนื่องจากจู่ๆในป่าแห่งนี้ก็เกิดลมกรรโชกจนใบไม้ไหว หยุดพฤติกรรมของมนุษย์ทุกคนไว้แค่เท่านั้น

“พี่…มันเกิดอะไรขึ้น”เสียงลูกน้องของหัวหน้าทีมงานถามออกมาเสียงเบา แต่ยังสัมผัสถึงอารมณ์ที่ไหวเอนตามบรรยากาศ

“มึงคิดมากไปหรือเปล่า มัน…ก็แค่ลมพัด”

“จะใช่หรือพี่  จากที่พี่เล่าให้ผมฟัง ไม่ใช่ว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นมันจะทำอะไรอีกนะ”

“มึงหุบปากไปซะ  มันทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้หรอก ครั้งก่อนมันโชคดีที่มีน้ำเก้าวัดต่างหาก”

น้ำเสียงไม่มั่นใจของหัวหน้าทีมงานดังสั่งลูกน้อง ก่อนที่พวกนั้นจะลงมือเร่งค้นหาตัวผมกันจ้าละหวั่น  ตัวของผมต้องค่อยๆก้มลงคลานเลียบพื้นเปลี่ยนที่อยู่ตนเองไปเรื่อยๆ  ไม่ใช่แค่เพราะกลัวทีมงานพวกนั้น แต่เพราะเสียงของวิญญาณที่ไล่ตามผมมาเหมือนกันได้ทำให้ผมไม่กล้าแม้จะอยู่ในจุดเดิม  จนการคลานของผมมาสิ้นสุดอยู่ตรงบริเวณหนึ่ง ผมก็ต้องรีบดันตัวเองให้ลุกขึ้นประชิดต้นไม้ใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว  เพราะสายตาได้เข้าไปกระทบกับเท้าเปล่าของคนซึ่งยืนขวางทางไว้

อยู่นิ่งๆ

คำกล่าวที่หยุดร่างกายของผมไว้ได้ทันที บอกพร้อมกับที่ผมได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตัดหน้าผมออกไปอีกทาง โดยแค่พักเดียวเท่านั้นทีมงานที่ไล่ตามผมอยู่ก็แห่แหนกันวิ่งตามวิญญาณตนนั้นไปในทันที  ผมยืนลูบหน้าอกของตนเองเพราะเกร็งอย่างหมดแรง  ไม่สนใจแม้ว่ารอบกายจะยังคงมีเงาดำของวิญญาณตนอื่นโผล่พ้นสายตา  แต่ทว่าความต้องการพักกายกลับถูกหยุดยั้งไว้แค่นั้น  เพราะเสียงๆหนึ่งที่ตามผมมาทุกครั้งที่ผ่านต้นไม้ได้ทำให้หัวใจของผมกลับมาสั่นไหวด้วยความตกใจอีกครั้ง

เสียงเชือกฟางได้กระตุกพาร่างของมนุษย์ตกลงตรงหน้าผมอย่างแรง ปรากฏใบหน้าของหญิงสาวที่อืดบวดจนส่งกลิ่นเหม็นเน่าแสบจมูก ลิ้นจุกปาก กำลังหมุนวนรอบเชือกนั้นไปมา ก่อนที่ใบหน้าของเธอจะหยุดลงจ้องหน้าผม พร้อมส่งรอยยิ้มหลอนประสาท ทักทายเหยื่อคนแรกของวัน

ผมรีบวิ่งออกจากตรงนั้นพร้อมกัดปากกลั้นเสียงร้องของตนเองเต็มที่ ใจส่วนหนึ่งก็นึกโมโหวิญญาณซึ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือที่ไม่มาปกป้องผมตรงนี้  แต่อีกใจก็กล่าวโทษตนเองที่ไม่คิดเรื่องการอัญเชิญวิญญาณในบ้านนั้นให้ดี  เพราะความเคยชินที่ช่วงหลังๆผมไม่ค่อยได้เจอวิญญาณในบ้านนั้นมากเท่าไรนัก คาดว่าคงเป็นเพราะการช่วยเหลือจากคุณศตวรรษ ผมจึงละเลยที่จะสนใจ จนลืมไปเสียสนิทว่าทุกตารางพื้นที่ของผืนป่าแห่งนี้มันไม่ได้จำกัดกรอบการมาของใคร ฉะนั้นวิญญาณทั้งหลายจึงหลั่งไหลมาตามเสียงเรียกของผมจนแน่นขนัด

ผมต้องดิ้นรนหาทางออกอย่างไม่คิดชีวิต และอาจจะเพราะเสียงโวยวายในใจของผม เส้นทางที่อยู่ตรงหน้าจึงไม่ได้มีเพียงต้นไม้อีกต่อไป  เนื่องจากตอนนี้มันปรากฏร่างกายของใครคนหนึ่งเดินนำอยู่ ซึ่งไม่ว่าผมจะวิ่งไปให้ทันอย่างไรก็ไม่เป็นผล  ผมจึงต้องแอบวิ่งตามไปอย่างเงียบๆและเสี่ยงที่จะเชื่อใจว่าเขามาดี

ไม่นานนักผมก็วิ่งทะลุเขตป่าออกมาได้  พร้อมกับที่วิญญาณซึ่งนำผมมาก็สูญหายไปด้วย  ช่วงหนึ่งก่อนที่ผมจะพ้นตัวป่ามานั้น อะไรบางอย่างได้ดลให้ผมหันไปมองแล้วพบเจอกับบ่อน้ำที่ไอ้ภพเคยบอกไว้  แต่ทว่ามันกลับไม่น่าสนใจเท่าแว่วเสียงๆหนึ่งที่ร่ำร้องหาผมมาตามความมืด จนสะกิดหัวใจของผมให้แกว่งไป 

เมื่อเดินออกมา ผมต้องใช้สายตากวาดไปทั่วบริเวณเพื่อหาที่ตั้งของบ้านที่มีลักษณะเดียวกันกับบ้านที่ผมอยู่  ก่อนจะพบว่าไม่ห่างกับจุดที่ผมยืนเท่าไรนักมีบ้านของคนตั้งไว้ อีกทั้งลักษณะของมันยังคับคล้ายคับคลารูปแบบที่ไอ้ภพเคยบอก  ผมจึงไม่รอช้าที่จะรีบวิ่งตรงไปและเตรียมหาทางเข้าสู่บ้านหลังนั้น

แทบไม่น่าเชื่อว่าเมื่อผมแอบเข้ามา  บริเวณบ้านหลังนี้จะเงียบจนเหมือนไม่มีใครอยู่  ประตูของบ้านเปิดอ้าทิ้งไว้จนไม่คิดว่าทีมงานที่กักตัวไอ้ภพจะประมาทได้ขนาดนั้น  ผมซุ่มแอบมาตลอดทางก่อนที่จะมองเข้าไปยังตัวบ้านเพื่อมองหาความแน่ใจ  จนได้เห็นกรอบรูปจำนวนเจ็ดรูปที่ติดเอาไว้บริเวณกำแพง ผมถึงมั่นใจว่าที่แห่งนี้คือบ้านหลังที่ไอ้ภพบอกจริงๆ ก่อนจะพาตนเองเข้าตัวบ้านไปด้วยความเงียบ โดยไม่แม้แต่จะได้สังเกตเห็นความผิดปกติในนี้

บุคคลในกรอบรูปทั้งเจ็ดที่ติดไว้ กำลังไล่สายตามองตามหลังแขกคนใหม่ซึ่งรุกล้ำเข้ามาในดินแดนของเขา

บ้านหลังนี้ไม่เหลือใครเลยอย่างที่คิด ผมจึงตัดสินใจค่อยๆเดินสำรวจอย่างเบาแรงที่สุดเพราะกลัวว่าทีมงานหรือใครสักคนจะแอบซ่อนตนเองไว้  จนเมื่อเดินมาถึงบริเวณชั้นสอง ห้องที่เปิดอ้าอยู่ห้องหนึ่งก็ดึงดูดให้ผมเดินเข้าไป แล้วพบกับสิ่งของวางระเกะระกะหล่นทั่วพื้นคล้ายกับมีการต่อสู้ก่อนที่ผมจะเข้ามาเพียงไม่กี่นาที แต่ทุกอย่างที่ว่ามามันก็ไม่ได้น่าสนใจไปกว่าร่องรอยบางอย่างที่หยดอยู่ทั่วพื้น นำให้ผมต้องนั่งลงไปสัมผัสพร้อมกับใจที่ร่ำร้องออกมาว่าทรมาน

“ล…เลือด”

ผมยกมืออันสั่นไหวขึ้นมากระทบแสงให้ชัดขึ้น สีแดงสดของมันทำให้น้ำตาของผมเริ่มเอ่อขึ้นมา ก่อนที่จะไล่สายตาตามหยดเลือดไปแล้วเห็นว่ามันสิ้นสุดที่หน้าต่างบ้านชั้นสอง ครานั้นทั้งตัวของผมสั่นไหวและรู้สึกใจหายจนแทบคลั่ง  ชั้นสองของบ้านหลังนี้มันไม่ได้ต่ำพอที่จะให้คนกระโดดลงไปได้ง่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสูงจนหนีออกจากทางหน้าต่างไม่ได้เลย  เลือดที่ผมเห็นยืนยันชัดเจนว่ามันต้องเป็นของไอ้ภพ  แต่ทว่าถ้าไอ้ภพบาดเจ็บอยู่นั้นการโดดลงไปคงทำให้มันเจ็บมากขึ้นไม่น้อย

ผมกำมือของตนเองเอาไว้แน่น โดยมีหยดน้ำอุ่นจากตาไหลตกกระทบฝ่ามือไปเป็นระยะ  ความเป็นความตายที่พรากเอาตัวของผมและไอ้ภพคลาดกันเพียงไม่กี่นาที  สร้างความปวดร้าวให้ผมอย่างสาหัส จนไม่คิดว่าผมจะสามารถดึงเอาแรงกายครั้งสุดท้ายมาใช้เพื่อควานหาในสิ่งที่ไอ้ภพพยายามมาก่อนหน้านั้น

ผมไม่รู้ว่าไอ้ภพจะหยิบอะไรออกไปได้มากน้อยขนาดไหน  แต่ร่องรอยของการรื้อค้นได้ทำให้ผมมุ่งสายตาเข้าไปยังที่เดิมซึ่งไอ้ภพนำทางให้เอาไว้  ท่ามกลางสิ่งของจำนวนไม่น้อยที่ไอ้ภพคงหยิบขึ้นมาป้องกันตนเอง  ได้มีใบนัดเก่าๆตกหล่นอยู่สองถึงสามใบ  ข้างกันนั้นก็มีรูปถ่ายสองใบตกอยู่ด้วย  ความน่าสนใจของมันมีเท่ากันทั้งคู่ แต่ถึงอย่างไรผมก็เลือกที่จะหยิบใบนัดนั้นขึ้นมาอ่านก่อน  และพบว่ามันคือใบนัดรักษาของผู้ป่วยทางจิตที่ระบุชื่อของใครคนหนึ่งไว้ พร้อมกับนามสกุลคุ้นตา

"อดุลกรไกรเลิศ"

ผมอ่านนามสกุลนั่นซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อต้องการให้ตนเองแน่ใจ จนเมื่อมั่นใจแล้วว่ามันเปลี่ยนไปไม่ได้ ผมจึงรีบละสายตามามองรูปถ่ายอีกสองใบบนมือ  ก่อนที่รูปถ่ายนั่นจะไขข้อข้องใจทั้งหมดทันที 

รูปถ่ายใบแรกคือรูปถ่ายของครอบครัวหนึ่งซึ่งมีสมาชิกทั้งหมดแปดคนในรูป  ทุกคนนั้นอยู่ร่วมกันตามประสาพ่อแม่ลูก ยิ้มแย้มให้กล้องคล้ายกับมีความสุขที่สุดในชีวิต  ส่วนรูปใบที่สองนั้น เป็นรูปถ่ายของอีกครอบครัวซึ่งก็ยิ้มแย้มให้กล้องไม่แพ้กัน  แต่ทว่าจุดบอดของรูปนั้นกลับเป็นใบหน้าของชายหนุ่มวัยเกือบยี่สิบคนหนึ่ง ที่นอกจากจะไม่ได้ดูสนิทกับครอบครัวนี้แล้ว  ใบหน้าของเขายังไม่แสดงรอยยิ้มใดๆออกมา  บอกให้ผมรู้ว่าทั้งสองภาพนี้มีจุดร่วมกันอยู่หนึ่งอย่าง คือเด็กผู้ชายคนนั้นที่แม้จะห่างวัยกันพอสมควร แต่ด้วยโครงของใบหน้าได้ยืนยันชัดเจนว่าเขาคือคนเดียวกัน จะต่างก็แค่กาลเวลาที่พรากรอยยิ้มเขาออกไป  และที่สำคัญใบหน้านั้นยังคุ้นตาผมมากจนรูปในมือสั่น เพราะผู้ชายคนนั้นคือคนที่พยายามจะฆ่าผมในบ้านอีกหลังหนึ่ง

เพล้ง!!!

ยังไม่ทันที่ผมจะได้เก็บหลักฐานเข้ากระเป๋า  เสียงวัตถุในบ้านก็ตกลงมาแตกพร้อมๆกับที่ต่อมาประตูด้านล่างก็ปิดตัวเสียงดังลั่น  ใบหน้าของผมรีบหันไปจับจ้องประตูห้องซึ่งยังคงปิดเอาไว้ เหงื่อในกายไหลซึมออกมาเพราะความตื่นตระหนก พลางหูก็เริ่มฟังเสียงฝีเท้าที่วิ่งขึ้นบนตัวบ้านอย่างเร็ว ผมไม่มีเวลาให้ตกใจนานกว่านี้ สมองของผมต้องรีบประมวลหาทางออกอื่น จนหันไปเห็นรอยเลือดบนพื้นนั่น ขาทั้งสองข้างจึงไม่รอช้าที่จะลุกขึ้นแล้วเดินตามไปยังหน้าต่างเตรียมกระโดดหนีเฉกเช่นไอ้ภพเคยทำก่อนหน้า



แต่ทว่า…มันกลับไม่ทัน





*************************************************TBC****************************************
เอาตอนที่ 28 มาส่งแล้วนะครับ  ใกล้เข้ามาเรื่อยๆนะแล้วสำหรับภพมิว  ยังไงฝากลุ้นและติดตามกันต่อนะครับ
ขอบคุณทุกการแชร์ ทุกการติดตาม และทุกคำติชมนะครับ  สร้างกำลังใจให้ผมได้เรื่อยๆเลย อย่าพึ่งเบื่อกันนะครับ
เหมือนเดิมเน้อ  ถ้ามีคำผิดหรือประโยคไม่ลื่นไหล สามารถบอกผมโดยตรงได้ครับ ผมพยายามหาคำผิดอยู่แล้ว แต่อาจเกิดความผิดพลาดได้ ยังไงขออภัยไว้ล่วงหน้านะครับ
รักนักอ่านทุกคนนะครับ
เจอกันอาทิตย์หน้า
P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: ่KEI_jry ที่ 06-06-2017 21:30:07
โอ๊ยยยยยย ลุ้นจนเยี่ยวเหนียวหมดแล๊ววววววววววววววววววววววววว  :ling1:

อย่าเป็นอะไรไปนะ T^T
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 06-06-2017 22:12:04
ลุ้นมากกกกก  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-06-2017 22:29:40
โอ้ยยย อยากให้พรุ่งนี้เป็นวันอังคารอีก
ลุ้นมากกกก
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 06-06-2017 23:16:44
โอ้ยยยยยย อ่านแล้วก็กลั้นหายใจตลอด :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 07-06-2017 02:47:26
ยิ่งอ่านยิ่งเครียด  :hao7:  55555 ลุ้นตัวเกร็งทุกบรรทัดค่ะ  ขอให้ภพมิวปลอดภัยด้วยเถิดดด :mew2:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: ρℓuto ที่ 07-06-2017 03:11:33
ต่อเลยได้ไหมมม ค้างมากๆ ตื่นเต้นไปหมด
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 07-06-2017 08:16:49
เยี่ยวเหนียวแล้วจ้าาาาาาาา ตั้งแต่ตอนแรกยันตอนนี้ยังมีอะไรให้ลุ้นอยู่ตลอด เนื้อเรื่องเข้มข้นจนเริ่มหนืด(ฮา)  และคงเป็น1ในนิยายที่ไม่มีนักอ่านคนไหนอยากจะช่วยตรวจคำผิดเพราะจะอ่านอีกก็กลัวอีก
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 07-06-2017 12:53:15
คุณศตวรรษออกจากบ้านมาช่วยได้ไหมคะ ไม่ใช่มิวไม่ไหวนะ เราเนี่ยไม่ไหวแล้ว อะไรจะโหดร้ายขนาดนี้ ทั้งผีทั้งคนทั้งลุง  :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 07-06-2017 14:06:09
มิวนี่โครตเข้มแข็ง ทำไมทำกับมิวได้ขนาดนี้ สงสารร
คือแบบจิตใจต้องเข้มแข็งมากขนาดไหน ทั้งผีทั้งคน
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: zongpei96 ที่ 07-06-2017 14:55:46
หลังจากทุกอย่างคลี่คลาย มิวควรเดินสายทำบุญอะ
อุปสรรคเยอะเหลือเกินลูก ใจแกร่งมาก ฮือ /กอดดดดด
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 07-06-2017 16:57:45
ค้างงงง ต้องรออีกอังคาร ถึงรู้ว่าจบดีก็เถอะแต่กว่าตำรวจจะมาภพมิวก็น่วมพอดี

ทั้งกองถ่ายนี่มันเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันทั้งนั้นเลย
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: ah-chan ที่ 07-06-2017 18:18:18
 :ling3: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Pumpkin ที่ 07-06-2017 21:24:46
ลุ้นจนน้ำลายเหนียวแล้วเนี่ย จะรอดไหม จะเกิดอะไรขึ้นจะเจออะไร ณ จุดนี้ ผีไม่ใช่ปัญหาหลัก แต่เป็นทีมงานของรายการทั้งหมด
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 08-06-2017 17:01:38
โอ้ยย พึ่งได้เข้ามาอ่าน ถ้าไม่มีเพื่อนแนะนำมาคงไม่รู้ว่ามีเรื่องสนุกๆแบบนี้อยู่
เราที่ไม่ได้เข้าเล้ามานานมากกกก
อ่านจากสี่ทุ่มจนถึงตีสาม แล้วก็ตื่นมาอ่านต่อพึ่งถึงตอนปัจจุบัน
สนุกมากกค่ะ ติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้
ภพนายอย่าพึ่งตายนะ
มิวก็ รีบหนีออกจากที่นั่นไวๆเข้า
รออยู่นะคะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 09-06-2017 14:35:01
เรื่องนี้หลอนมาก อ่านแล้วกลัวมาก
แต่หยุดอ่านไม่ได้เพราะสนุกมากและภาษาสวยมาก
ใช้เวลา3วันถ้วนในการอ่านทั้งหมด เพราะอ่านได้แค่ตอนกลางวัน
มิวคือน่าสงสารมาก เป็นเราคือสติแตกไปนานแล้วอะ
กำลังสงสัยว่าวิญญาณที่ช่วยนำทางมิวในป่าคือใคร
คุณศตวรรษ? วิญญาณที่มิวช่วยไว้? ลุงคำ?
คืนนั้นที่มิวเห็นลุงคำนี่ว่าวิญญาณแน่ๆแล้วอะ
แล้ววิญญาณทั้ง7ในบ้านหลังนั้นจะเลือกช่วยเหลือใคร
ครอบครัวที่ฆ่าตัวเอง หรือคนไม่รู้จักที่กำลังจะเป็นเหยื่อเหมือนตัวเอง
สำคัญสุดตอนนี้คือ ภพหายไปไหนแล้วว
รอค่าาา
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 09-06-2017 22:04:18
กรีดร้องสุดพลังงงงง ทำไมน้องมิวเเกร่งเยี่ยงเน้ :ling1:
เป็นเราคงเอาปืนยิงตัวเองไปละล่ะฮือออออออ โอ๊ยเครียดดดด อยากอ่านต่อแว้ววววว
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 10-06-2017 06:39:28
โอ้ยยยยยยย ลุ้นตลอดเวลาทั้งคนทั้งผี ภพไปอยู่ไหนแล้วนะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 10-06-2017 07:16:52
ลุ้นตัวโก่งตามจริงๆ มิวจะหนีทันไหม นออ่าตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 12-06-2017 22:55:28
ระทึกมากกกกก โคตรลุ้นอะ ฮรือออ รออ่านต่อน้าาา มิวสู้ๆ!!
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่28 เกมสุดท้าย (06/06/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: plugie ที่ 13-06-2017 18:15:01
เป็นเราคงบ้าไปแล้ว มิวเข้มแข็งจริงๆ :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่29 จากลา (13/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 13-06-2017 20:35:40
ตอนที่29

จากลา

                   
คุณเชื่อในเรื่องของโชคชะตาไหม?

โชคชะตาหรือดวงคือสิ่งที่ผูกกับชีวิตประจำวันของมนุษย์มาช้านาน ปลูกฝังถ่ายทอดต่อกันมารุ่นสู่รุ่น มนุษย์หลายต่อหลายคนจึงเลือกที่จะฝากชีวิตของตนเองไว้กับความเชื่อต่างๆ โดยรู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันเป็นเพียงอุบายที่หลอกล่อให้คนหนึ่งคนกล้าที่จะใช้ชีวิต แต่ทว่าเรื่องจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อถึงคราวที่มนุษย์ต้องเผชิญกับความสุขที่เปี่ยมล้น ชีวิตของพวกเขาก็จะเจอแต่เพียงความเรียบง่าย จนบางทีความทุกข์อาจเป็นสิ่งที่เขาโหยหา และเมื่อใดที่ถึงคราวดวงตก ชีวิตของพวกเขาก็จะเจอแต่ความหายนะที่หลั่งไหลกันเข้ามา หนักสุดอาจจะพรากชีวิตของพวกเขาให้ดับสูญ ดั่งเช่นผมในตอนนี้

แค่เพียงเปิดหน้าต่างออกมาเท่านั้น  ลูกบิดของประตูห้องก็ทำหน้าที่โดยการดันประตูให้เปิดออก ผมที่รับรู้ถึงภัยมาตั้งแต่แรกจึงสามารถประเมินได้ว่าการฝืนปีนออกไปอาจจะสร้างเรื่องให้ผมหนักกว่าเก่า พื้นใต้เตียงนอนซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนักจึงกลายเป็นที่พักพิงชั่วคราวให้ผมหลบซ่อนช่วงขาของใครคนหนึ่งได้เป็นอย่างดี

หลังจากที่ใครคนนั้นเดินเข้ามาในห้อง รองเท้าของเขาก็รีบเดินไปหยุดที่หน้าต่างนานนับนาที คาดว่าเพราะยังไม่ทันได้ปิดมันอาจจะทำให้คนนั้นรู้สึกสงสัย ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับมามองตัวห้อง แล้วเดินไปหาร่องรอยการรื้อค้นไม่ต่างจากที่ผมทำตอนเดินเข้ามา

ช่วงหนึ่งที่เขาสำรวจร่องรอยวัตถุ ผมจำเป็นต้องกลั้นลมหายใจของตัวเอง เพราะเมื่อเขานั่งลงมา ยูนิฟอร์มและแผ่นหลังคุ้นตาก็ฉายแววความไม่ปลอดภัยทันที  ผู้ชายคนนั้นเป็นหนึ่งในทีมงานของรายการนี้ เขากำลังนั่งมองไปยังสิ่งของพวกนั้นด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ก่อนที่ร่องรอยของเลือดจะไปสะดุดตาเขา  ทำให้ร่างกายนั้นหยัดยืนขึ้นแล้วรีบเดินออกไปจากห้องโดยไม่ปิดประตูห้องให้สนิท

เผยให้เห็นช่วงขาโชกเลือดของใครคนหนึ่ง ยืนอยู่นิ่งภายใต้กรอบประตูห้องนอนนี้…

ปฏิกิริยาทางกายแสดงออกอย่างเดิมเหมือนทุกๆครั้งที่ผมเห็นวิญญาณ  ตาเบิกกว้าง ปากกัดแน่นจนกรามนูนออก ช่วงขาแขนเกร็งแน่นจนเจ็บปวด ลมหายใจถูกปล่อยออกมาอย่างแรงและแรงมากขึ้นเมื่อเท้าของใครคนนั้นขยับพาเรือนร่างของวิญญาณให้ก้าวเข้ามาในห้องแล้วมาสิ้นสุดอยู่เพียงปลายเตียงนี้ ก่อนที่วิญญาณนั่นจะยกขาขึ้นเตียงนอนที่ผมแอบอยู่แทน

จังหวะยุบยวบของเตียงนอนเริ่มนิ่งจนกลายเป็นเงียบสนิท  ผมเลยตัดสินใจกลิ้งตัวออกไปจากเตียงอย่างไวโดยที่เมื่อลุกยืนขึ้นได้ ด้านหลังของผมก็สัมผัสได้ถึงการจับจ้องมาทันที  ผมไม่แม้แต่จะหันกลับไปดูสิ่งที่ผมกลัว  กระนั้นเสียงอึกอักของวิญญาณก็เริ่มดึงความสนใจผมมากขึ้นไปเรื่อยๆ  จนเมื่อจับลูกบิดประตูได้ ความกล้าของผมจึงมากพอที่จะหันไปสบตากับสิ่งที่นอนอยู่บนเตียง

“มึงมาทำไม!!!”

เสียงตวาดลั่นบ้านทำให้ร่างกายผมกระตุก  บนเตียงนั้นมีร่างกายของผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ ช่วงหัวและตัวปรากฎร่องรอยของกระสุนปืนหลายนัดที่ทำให้ร่างกายนั้นเต็มไปด้วยเลือด  แววตาของเธอดุดันและแฝงไปด้วยความโกรธแค้นไม่น้อย  ฉะนั้นเมื่อเธอประสงค์ที่จะให้ผมเห็นและผมก็ทำตามแล้ว  ผมจึงค่อยๆเดินหนีออกมาทั้งที่ใจยังสั่นกลัว ก่อนจะดึงลูกบิดประตูให้ปิดสนิท โดยมีภาพสุดท้ายเป็นภาพของผู้หญิงคนนั้นลุกขึ้นมาจากเตียงแล้ววิ่งมาหยุดจ้องหน้าผมที่ช่องว่างอันน้อยนิดระหว่างประตู

ผมผวาจนร่างกายรีบผงะออก  หากแต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่ประตูบานนั้นดั่งคนที่กลัวมันจะเปิดขึ้นมาอีก  แต่เมื่อมองอยู่นานแล้วไม่พบการเคลื่อนไหว  ผมจึงเริ่มพาตนเองออกมาจากหน้าห้องนั้นแล้วรีบไปที่บันไดอย่างที่ต้องควบคุมสติตนเองไปด้วย  ใบหน้าสุดท้ายของผู้หญิงคนนั้นคือใบหน้าแบบเดียวกับที่ผมเห็นในรูปถ่ายใบแรก แสดงว่าในบ้านหลังนี้อาจไม่มีที่ว่างสำหรับคนเป็นอย่างผมอีกต่อไป   

การก้าวเท้าลงบันไดในแต่ละขั้นแบกรับทุกอารมณ์ของผมเอาไว้หมด  มือข้างหนึ่งต้องจับราวบันไดเอาไว้ให้มั่น มืออีกข้างก็นำมาลูบบริเวณหน้าอกเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด พื้นที่ชั้นหนึ่งของบ้าน มีคนจำนวน 6 คนนั่งกันอยู่นิ่งๆ สายตาของพวกเขาจ้องมองมาที่ผมเป็นอย่างไม่เป็นมิตรและไม่มีการกระพริบตาอย่างที่มนุษย์ทั่วไปเขาทำกัน 

เสียงดังของวัตถุที่แตกในคราแรกยามทีมงานเข้ามา  มันคือเสียงของกรอบรูปบานหนึ่งที่ตกลงมาแตกละเอียด โดยเมื่อถึงคราวที่ผมจะต้องก้าวผ่านหน้าวิญญาณพวกนั้นไปที่ประตู  ร่องรอยกระจกแตกจึงเบี่ยงเบนให้ผมหันไปมอง และพบว่าบุคคลที่นั่งมองผมอยู่ตรงนี้ทั้งหก  คือบุคคลที่มีใบหน้าประดับประดาไว้ในกรอบรูป  ฉะนั้นผมจึงต้องรีบยกมือขึ้นมาขอขมาแล้วก้าวขาออกจากตัวบ้านไปพร้อมกับบรรยากาศชวนอึดอัดและบีบคั้น

เมื่อวิ่งออกมาได้  ผมก็รีบย้อนกลับไปกำแพงหลังบ้านเพื่อปีนกลับเข้าสู่ป่าอีกครั้ง  ผมเชื่อว่าไอ้ภพจะต้องวิ่งย้อนกลับไปช่วยเหลือผม  อีกไม่นานนักตำรวจคงเดินทางมาถึง ผมจึงกล้าเสี่ยงพาตนเองกลับไปย้อนรอยชะตากรรม ทว่าเมื่อออกมาจากตัวบ้านได้ไม่เท่าไร  หน้าต่างที่ผมเผลอเปิดเอาไว้ก็ปิดตัวเสียงดังลั่น เหลือทิ้งไว้แต่เพียงเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของคนในนั้นก่อนจะเงียบหายไป

พร้อมกับเสียงปืนลั่นที่ดังแทรกอากาศขึ้นมาแทน…

ฝูงนกกลางคืนที่เกาะอยู่ตามกิ่งไม้ ต่างก็พากันบินหนีออกไปเร็วรี่ หลบหนีเสียงปืนไปตามสัญชาตญาณอันตรายของสัตว์ซึ่งแตกต่างกับผม ที่แม้จะรู้สึกกลัวและใจหายไม่ต่างไปจากสัตว์พวกนั้น แต่ช่วงขากลับรีบวิ่งมุ่งหน้าเข้าสู่เขตป่าอย่างไม่คิดชีวิต เพราะไม่รู้เลยว่าลูกกระสุนนัดนั้นมันถูกใช้ยิงเพื่อปลิดชีวิตของใคร

ป่าที่ผมเคยวิ่งหนีออกมานั้น นำเอาบรรยากาศเดิมๆให้กลับมา เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมไม่อาจจะสนใจสิ่งพวกนั้นต่อไปได้อีก เสียงปืนที่เกิดขึ้นยังคงถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องอีกสองถึงสามนัด  เร่งฝีเท้าของผมให้วิ่งเข้าไปหาแหล่งกำเนิดเสียงด้วยการเคลื่อนไหวที่ต้องเงียบจนถึงขีดสุด

ไม่นานนักหลังจากที่ผมวิ่งเข้ามา  เสียงไซเรนรถตำรวจก็ดังคลอมาตามลมสร้างความเบาใจให้อีกเปราะหนึ่ง แต่ผมก็ยังคงไม่หยุดค้นหาเพราะคิดว่าตนเองเดินเข้ามาไกลเกินกว่าจะวิ่งกลับไปขอความช่วยเหลือ  ทั้งผมและไอ้ภพต่างคนต่างกำลังไม่ปลอดภัยและยึดถือความระแวงในใจของตนเองอยู่เสมอ  นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมกล้าวิ่งเข้าไปหากระสุน เพราะถ้าเสียงปืนนั่นไม่ได้มีไว้ใช้กับไอ้ภพ อย่างน้อยมันก็ต้องเรียกตัวไอ้ภพให้เข้าไปหาไม่ต่างจากที่ผมกำลังจะทำ

“ไง เอกภพ…วิ่งไปไหนซะแล้วหละ  ไม่ออกมาอยู่เล่นเกมด้วยกันอีกหน่อยเหรอ 555”

เสียงหัวเราะที่มาพร้อมกับประโยคชักชวนของลุงมั่น ดึงให้ร่างกายของผมที่วิ่งอยู่ต้องหยุดลง แล้วเปลี่ยนเป็นการก้าวย่างเข้าไปใกล้อีกทีละนิด  ผมไม่รู้ว่าเสียงปืนที่เงียบไปก่อนหน้านั้น จะทันถึงหูเจ้าหน้าที่หรือเปล่า  แต่คาดว่าเรื่องราวที่ลูกสาวลุงคำได้แจ้งไว้คงนำให้เจ้าหน้าที่กระจายกำลังกันค้นหาอยู่  อีกทั้งชื่อของไอ้ภพเมื่อครู่ยังได้ทำให้ผมสนใจคำพูดของลุงมั่นมากขึ้น เพราะเห็นได้ชัดเลยว่าไม่ไกลจากนี้นักจะต้องมีไอ้ภพหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งเป็นแน่

“มิว  เอ็งหายไปไหน ลุงยังไม่ได้เล่นเกมกับเอ็งเลยนะ  รีบๆออกมาซะสิ เราจะได้เล่นกันต่อ”

ช่วงที่จับจ้องดูทิศทางของลุงมั่นอยู่นั้น ชื่อของผมที่ปรากฏออกมาก็ทำให้สันหลังลุกวาบ เสียงนั่นมันคือเสียงที่บ่งบอกว่าพร้อมจะฆ่าผมอยู่ตลอดเวลา มือของลุงมั่นข้างหนึ่งถือปืนจ่อไปยังที่ต่างๆอย่างหวาดระแวง ส่วนอีกข้างก็ใช้มันขว้างหินออกไปเพื่อเดาสุ่มถึงแหล่งที่ซ่อนตัวของพวกผม

เมื่อมั่นใจแล้วว่าตรงนี้ไม่มีไอ้ภพอยู่ ผมจึงรีบผละออกมาให้ห่างจากลุงมั่น แล้วเริ่มถอยตัวไปตามต้นไม้ต่างๆให้บดบังผมไว้  จนกระทั่งถึงจุดที่คิดว่าลุงมั่นคงไม่ได้ยิน ขาของผมจึงเริ่มออกวิ่งแล้วเดาทิศทางที่ไอ้ภพจะมุ่งหน้าออกไป  แต่ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะไปไหนไกล เสียงปืนและกระสุนก็พุ่งเข้าเฉียดแขนผมไปเพียงนิด กระทบต้นไม้จนกลิ่นเหม็นไหม้โชยผ่านจมูก และเมื่อหันกลับไป  ผมก็ได้เห็นลุงมั่นที่กำลังวิ่งตามมาพร้อมกับปืนที่ชี้เข้าหาผมอยู่เนืองๆ

“เจอแล้ว  5555 กูเจอมึงแล้ว  มาเล่นเกมกันเสียดีๆ อย่าให้ต้องเหนื่อยไปมากกว่านี้”

คำพูดเย็นเยียบมาพร้อมกับเสียงหัวเราะแผดลั่นน่าขยะแขยง  ดึงดันให้ผมต้องรีบวิ่งเปลี่ยนทิศทางไปอย่างไม่คิดชีวิต กฎเหล็กข้อหนึ่งสำหรับการหนีแบบพลางตัว คือผมจะต้องไม่ส่งเสียงร้องใดๆออกมาแม้ว่าตำรวจจะอยู่ใกล้ แน่นอนว่ามันสามารถบอกตำแหน่งผมได้ แต่ถ้าเทียบกันแล้วนั้น บุคคลที่จะเข้าถึงตัวผมก่อนย่อมเป็นฆาตกร ไม่ใช่ตำรวจอย่างที่ฝัน 

ในใจผมภาวนาให้เสียงปืนเมื่อครู่เรียกตำรวจที่อยู่รายล้อมป่าให้เข้ามาดูสิ่งที่เกิดขึ้น จนเมื่อถึงช่วงหนึ่งที่ลุงมั่นคลาดไปกับผม ทิศทางที่วิ่งจึงเปลี่ยนเป็นการหาทางออกแทน สุดท้ายเมื่อกำลังขาอ่อนแรงลง ผมจึงหยุดเดินนิ่งๆ ก่อนจะต้องตกใจสุดขีด เพราะมือหนาได้เข้ามากระชากร่างผมเข้าไปรัดกุมไว้

“ชู่ว์ อยู่นิ่งๆนี่กูเอง…ไอ้มิว”

เสียงเหนื่อยล้าปนหอบคุ้นหูของชายชื่อภพ  กล่อมให้ความตกใจของผมลดลงจนน้ำตาตีรื้นขึ้นมาด้วยความโล่ง  ไออุ่นของมันทำให้ผมต้องค่อยๆพลิกตัวกลับไปหาเพื่อให้เห็นกับตาว่ามันยังคงมีชีวิตอยู่

“ภ…ภพ  ภพ มึงจริงๆใช่ไหม?  ฮึก  มึงไม่เป็นอะไรใช่ไหม?  ทำไมถึงมาอยู่ในที่แบบนี้”

“ไม่ต้องร้องไห้  กูไม่เป็นอะไร  กูกลับมาตามหามึงนั่นแหละ  มึงไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

“ฮึก  กูไม่เป็นอะไรเลยภพ เราไม่เป็นอะไรแล้วนะ ตอนนี้ด้านนอกมีตำรวจมาล้อมไว้แล้ว เรารีบหนีออกจากป่ากันเถอะ”

ไอ้ภพพยักหน้าซ้ำ  ก่อนที่จะดันตัวผมให้ก้าวตามมันไปติดๆ  ความชำนาญทางของมัน เอื้อประโยชน์ให้กับเราทั้งคู่นัก  แต่ทว่ามันกลับไม่ได้ง่ายอย่างที่ผมคิดเลย  เพราะท่วงท่าการเดินที่ดูลำบากบวกกับสีหน้าเจ็บแสบของมันทำให้ผมต้องประคองช่วยมันเอาไว้  พร้อมกับที่ต้องทนดูความทรมานของมันผ่านใบหน้า

“อดทนอีกนิดนะภพ  ใกล้ถึงตำรวจแล้ว  เดี๋ยวจะได้หาหมอแล้วนะ”พูดไปน้ำตาผมก็พาลจะไหลอีก  ความรู้สึกรักใครสักคนมากเป็นอย่างไร วันนี้ผมเข้าใจหมดทุกอย่าง  มันเจ็บแทนไปหมด แม้กายจะไม่เป็นแผลแต่ใจกลับปวดร้าวจนแทบคลั่ง

“ไม่ต้องห่วงกูหรอก  กูวิ่งมาตั้งนานยังไหวอยู่เลย…มึงรู้เรื่องแผลกูด้วยเหรอ?”

“อืม กูเห็นหยดเลือดที่บ้านหลังนั้น กูไปหามึงมาแล้วรอบหนึ่งแต่ไม่เจอ  ว่าแต่เสียงปืนในป่าตอนแรกมันไม่ได้โดนมึงใช่ไหม?”

“ไม่ทันโดนหรอก กูวิ่งไปเจอลุงมั่นเข้าพอดีเลยไหวตัวออกมาทัน  แต่นัดต่อจากนั้นกูไม่รู้ว่าเขายิงใครเพราะกระสุนไม่ได้พุ่งมาทางกู”

“ทั้งที่เขาก็วิ่งตามมึงมาอย่างนั้นหนะเหรอ?”

ไอ้ภพฉายแววตาไหววูบขึ้นมาทันทีหลังจบคำพูด ไม่ต่างไปจากผม เสียงปืนที่ดังแทบกระชั้นชิดไม่ได้ถูกยิงมาใส่ไอ้ภพอย่างเดียว  นั่นจึงเท่ากับว่าถ้าลุงมั่นไม่ได้เห็นวิญญาณเฉกเช่นผม กระสุนปืนนัดนั้นมันต้องเล็งวิถีไปที่คนอื่น ซึ่งก็ทำให้ผมนึกได้เพียงสองคนเท่านั้นที่ยังคงวนเวียนอยู่ในป่าตามผม  ทีมงานที่เฝ้าไอ้ภพคงไม่ตัดสินใจตามเข้ามาเป็นแน่  ผมจึงต้องรีบเดินออกพร้อมกับที่ภาวนาให้ทีมงานสองคนนั้นรอดตาย  จะได้ไม่ต้องกลายมาเป็นศพให้เกมสกปรกนี่อีกต่อไป

ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งสลับกับหลบหลีกฝีเท้าของคนไปจนเกือบจะถึงทางออกจากป่า  สายตาของผมก็ไปปะทะกับรูปร่างของมนุษย์ซึ่งกำลังเดินอยู่ตรงหน้า  ครานั้นผมรีบดึงตัวไอ้ภพออกไปอย่างเร็วที่สุดเพราะคิดว่าอีกไม่นานหลังจากที่ตามร่างของคนนั้นไป มันจะต้องนำให้ผมไปถึงทางออก

“เดี๋ยวมิว  จะรีบวิ่งไปไหน?”ไอ้ภพร้องถามเสียงเบา แต่สายตากลับจ้องไปที่เส้นทางตรงหน้าด้วยความตึงเครียด

“ตามมาก่อนเถอะ กูเห็นวิญญาณใครสักคนตรงนั้น เขาเคยพากูออกจากป่านี้แล้วรอบหนึ่ง”ผมหยุดเท้าแล้วหันไปตอบไอ้ภพ  ก่อนจะหันไปมองยังร่างกายของคนที่เดิมเพราะกลัวว่าเขาจะหายไป แต่ทว่าร่างนั้นกลับยืนอยู่นิ่งตามเสียงผม มิหนำซ้ำ มันยังเดินย้อนกลับมาทางนี้อีกด้วย

“วิญญาณของใคร?”ไอ้ภพรีบหันมาถามอย่างร้อนรน

“กูไม่รู้ภพ กูเห็นแค่แผ่นหลังเขา”

“นั่นไม่ใช่วิญญาณ มิว…เพราะถ้าใช่ กูจะต้องไม่เห็น”

ปั้ง!!!

ลูกกระสุนพุ่งตรงมาที่พวกผมอย่างไม่ทันตั้งตัว  เฉียดแขนของไอ้ภพไปจนเลือดไหลซึมออกมาชุ่มแขนเสื้อ คราแรกวิถีกระสุนไม่ได้เข้าใกล้ไอ้ภพเลย แต่ด้วยอะไรสักอย่างมันจึงยื่นมือมาผลักผมออกจนกระสุนเฉียดมันแทน หน้าของไอ้ภพตอนนี้เจ็บปวดจนคล้ายจะล้มลง  ผมจึงต้องรีบวิ่งพาร่างกายของมันเดินหายเข้าไปซ่อนตัวอยู่ใกล้ต้นไม้ พลางฟังเสียงของปืนที่ยิงข่มขู่ตามผมมาอีกหลายนัด พร้อมกับเสียงท้าทายของลุงมั่นซึ่งส่งออกมาอย่างมาดร้าย

“จะหนีกันอีกทำไม?  ไม่เหนื่อยกันหรือ  อุตส่าห์วิ่งเข้ามาหาลุงแบบนี้ ไม่น่าอ่อนแอกันนะ”

ไอ้ภพดูอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด  แผลเมื่อครู่ตามจริงคงไม่ได้ทำให้ใครเป็นหนักขนาดนี้  แต่เมื่อไอ้ภพวิ่งหนีมานานอีกทั้งยังมีแผลที่อื่นอีก  มันคงเริ่มใกล้อักเสบแล้วทำให้ไอ้ภพหมดแรงไปเสียดื้อๆ  ผมก้มหน้าพลางบ่นขอโทษมันซ้ำๆ  ความเป็นความตายที่ใกล้เข้ามา ไม่อาจทำให้ผมหนีต่อไปได้อีก สภาวการณ์รอบกายจึงไม่อาจรั้งผมเพื่อนอนรอความตายได้ ความคิดที่จะสู้ก็สั่งให้ผมลุกแยกตัวออกมาจากไอ้ภพ

“ผมไม่หนีแล้วครับ  ไหนๆลุงก็อยากเล่นเกมเต็มที่  ถ้าอย่างนั้นผมจะจัดให้” ผมเดินออกมาจากที่ซ่อนท่ามกลางเสียงร้องห้ามของไอ้ภพ  สายตาของผมตอนนั้นต้องยอมทนมองกับเงาดำรอบตัวที่อยู่ตามต้นไม้ต่างๆ  ก่อนจะกลั้นใจฝืนเดินเข้าใกล้ลุงมั่นให้มากขึ้น

“โอ้โห  คราวนี้กล้าออกมาก่อนหรอ ได้ๆ เดี๋ยวลุงจะจัดเกมนี้ให้ดีที่สุดเองนะ”ลุงมั่นปรบมือให้ผมอย่างคนเสียสติ ก่อนที่ปืนจะชี้มาทางผม

“ลุงคิดว่าการจำลองความตาย มันจะมีตัวละครแค่ผมกับลุงอย่างนั้นเหรอครับ? อย่าลืมสิ ว่าความจริงมันต้องมีตำรวจ”

“ไหนละ ตำรวจอยู่ไหน? ลุงเห็นแค่เอ็งซึ่งกำลังจะตาย 555 อย่าถ่วงเวลาอีกเลย…มาเล่นเกมกับลุงเถอะ”

ผมยืนจ้องหน้าลุงมั่นนิ่ง  แขนทั้งสองข้างก็กำกันจนแน่น  ก่อนที่ดวงตาของผมจะปิดลงพร้อมน้ำตา แล้วปล่อยให้เสียงเหนี่ยวไกปืนทำงานไปด้วยหัวใจสั่นระรัว  ความเป็นความตายที่ผมตัดสินใจเสี่ยงนั้นกำลังจะทำให้ผมได้กลับไปสู่ถิ่นเดิมที่ผมจากมา แม้จะต้องแลกกับเสียงห้ามปรามของไอ้ภพ ที่ตอนนี้ยังคงส่งเสียงออกมาให้ใจผมเจ็บปวด

ปั้ง!!!

สิ้นสุดเสียงปืนนัดนั้น ร่างกายของผมทั้งร่างก็ล้มลงกระแทกพื้น ท่ามกลางการวิ่งกรูเข้ามาจับตัวลุงมั่นของเจ้าหน้าที่ เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นเป็นระยะอย่างทรมาน แต่ทว่านั่นไม่ใช่เสียงผม กระสุนปืนเมื่อครู่พุ่งสวนออกไปจากปืนอีกกระบอก สกัดกั้นเหตุการณ์ร้ายที่จะเกิดขึ้น ชายหนุ่มผู้ใส่ยูนิฟอร์มคุ้นตาของรายการ คือคนที่เข้ามาผลักผมออกจากแนวกระสุนแล้วเป็นฝ่ายคุมเกมนี้แทน

ผมสังเกตเห็นความผิดปกติรอบตัวตรงนี้มาตั้งแต่ที่ดันไอ้ภพเข้ามาหลบ  เงาดำที่ผมว่าไว้ คราแรกผมนึกว่าเป็นวิญญาณอย่างที่ผมเคยเจอก่อนหน้า  แต่เมื่อเงานั้นยกมือให้สัญญาณกันแบบเงียบๆ  ผมถึงได้รู้ว่ารอบตัวผมเต็มไปด้วยตำรวจ การเบี่ยงเบนความสนใจของฆาตกรจึงเป็นการเสี่ยงที่ดีที่สุด เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่จัดการคนร้ายได้ไวขึ้น 

“ตรงนี้มีคนเจ็บครับ!!  ขอใครสักคนประสานงานเรียกรถพยาบาลเข้ามาตรงนี้ด้วย” เสียงตะโกนสั่งใช้อำนาจของผู้ชายที่ใส่ยูนิฟอร์มรายการ  ดังสั่งตำรวจกลุ่มนั้นหลังจากที่เขาวิ่งเข้ามาดูผมแล้วผละออกไปหาไอ้ภพ

“ค….คุณ!!!”

“ผมเองครับ  ไม่เจอกันเสียนานนะคุณมิว  แต่ว่าอย่าพึ่งถามอะไรตอนนี้ครับ  รีบพาคุณภพออกไปก่อน”

ทีมงานของรายการคนนั้น สั่งให้ผมแบกไอ้ภพออกไปยังนอกเขตป่าก่อนที่เขาจะดึงรั้งให้ไอ้ภพไปนั่งบนรถพยาบาลซึ่งน่าจะมีการติดต่อมาเผื่อเอาไว้  ทีมแพทย์ของโรงพยาบาลรีบเข้ามาหาไอ้ภพพร้อมทำการห้ามเลือดโดยทันที  โชคดีที่ว่าบาดแผลไอ้ภพไม่ได้ฉกรรจ์มากหรือมีกระสุนฝัง  ผมจึงโล่งใจไปได้ ก่อนจะปล่อยให้มันอยู่กับหมอแล้วเดินแยกออกมาหากลุ่มความวุ่นวายของตำรวจ

ที่รถของตำรวจตอนนี้  มีทีมงานของรายการอีกสองสามคนนั่งก้มหน้าหวาดกลัวความผิด ลุงมั่นถูกแยกออกไปเพื่อรอทำแผลจากกระสุนเมื่อครู่ สายตาของผมกวาดไปทั่วบริเวณเพราะรู้สึกได้ว่ายังคงเหลือทีมงานอีกสองคนซึ่งหายไปจากตรงนี้ ผมเลยรีบวิ่งเข้าไปถามหาจากทีมงานคนนั้น ก่อนจะได้รับคำตอบที่ทำให้ผมถึงกับชะงัก

“ทีมงานสองคนนั้น  โดนยิงบาดเจ็บสาหัสครับ ตอนนี้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลไปก่อนแล้ว”

“เขาจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”

“อันนี้ผมตอบไม่ได้เลย  ยังไงก็ไปนั่งให้หายเหนื่อยก่อนนะครับ เดี๋ยวหลังจากนี้จะมีเรียกสอบปากคำ แต่ไม่ต้องตกใจไป ชื่อของทีมงานในรายการนี้ทั้งหมดจะต้องโดนสอบด้วยเหมือนกัน  ส่วนลุงมั่นก็จะต้องถูกดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายครับ”

“ทำไมคุณถึง…”

“ทำไมผมถึงรู้หนะเหรอครับ? เอาเป็นว่าก่อนที่ผมจะบอก ผมคงต้องขอให้คุณช่วยเหลือบางอย่างกับผมนะครับ”

“ช่วย? ผมช่วยอะไรได้ด้วยเหรอครับ”

“แน่นอนครับ ฟังอาจดูประหลาดหน่อย แต่ว่า…จำที่ผมเคยบอกได้ไหมครับ ว่าถ้าผมถามคำถามกับคุณอีกครั้งเมื่อไรคุณจะต้องตอบตามความจริงกับผม”

“คำถาม? อะไรเหรอครับ”

“คุณมิวครับ คุณเห็นผีหรือวิญญาณ…ใช่ไหม?”


เสียงดังจอแจของผู้คนเริ่มหลั่งไหลกันเข้ามาจนระแวกบ้านหลังเดิมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

แสงอาทิตย์ที่เริ่มโผล่พ้นของฟ้าขอบวันนี้ ไม่ต่างไปจากในทุกๆวันที่ผมลืมตาขึ้น  หากแต่ว่าบรรยากาศที่ผมได้รับกลับไม่เหมือนเดิม  ทั้งผู้คนที่เนืองแน่นอยู่เต็มบ้าน ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านทั่วไป ลุงมั่น  ตำรวจ หรือแม้กระทั่งนักข่าว  ได้เข้ามาดูการทำแผนรับสารภาพของลุงมั่น  พร้อมกับที่เวลานี้โครงกระดูกของมนุษย์มากมายได้ถูกนำมากองรวมกันไว้ที่พื้นที่หนึ่งด้านหลังบ้าน ตามการร้องขอของทีมงานท่าทางแปลกๆคนนั้น สร้างความผวาให้กับผู้ที่ยืนมุงการขุดค้นซึ่งยังไม่จบสิ้น

ทีมงานคนที่เข้ามาช่วยเหลือผมเมื่อคืน  คือทีมงานที่เคยไปหาน้ำเก้าวัดกับผม  เขาคนนี้คือคนที่พยายามจะถามผมอยู่ตลอดเวลาเรื่องการมองเห็นวิญญาณ ก่อนที่เขาจะหายไปตอนที่ผมต้องไปวัดสุดท้าย  น่าแปลกที่ตอนนั้นผมกลับรู้สึกได้ว่าทีมงานคนนี้แตกต่างกับทีมงานคนอื่นทั้งที่พฤติกรรมของเขาแทบจะไม่ต่างกันเลย  อาจจะเพราะท่าทางที่สุขุม ใบหน้าที่ซ่อนอารมณ์ไว้ หรือจะเพราะการพยายามเค้นข้อมูลที่ดูมีชั้นเชิงจนผมเกือบจะพลั้งปากบอกไปตั้งหลายครั้ง และความจริงที่ผมได้รับก็ทำให้ผมกระจ่างทุกข้อสงสัย

“ผมถามจริงๆนะครับ คุณเป็นใคร”ผู้เป็นเจ้าของข้อสงสัย หันหน้ากลับมามองผมด้วยรอยยิ้ม ขณะที่กำลังพาผมเดินย้อนกลับไปในป่า หลังจากที่ผมตัดสินใจตอบคำถามข้อนั้น

“อยากรู้จริงๆเหรอครับ?”

“ผมถามขนาดนี้ คงไม่อยากรู้เล่นๆหรอกครับ  คุณนี่กวนตีนยังไงก็อย่างนั้นเลยนะ”

“อ๊ะ! คุณด่าเจ้าหน้าที่แบบนี้ เดี๋ยวผมตั้งข้อหาให้คุณดีกว่า 555”

“หมายความว่าไง?”ผมขมวดคิ้วให้กับคำตอบติดตลกของเขา  พลางการรับรู้ก็ร้องบอกให้ผมรู้สึกกลัวผู้ชายตรงหน้า

“ผม ร.ต.อ. ชัยมงคล ดำรงฤกษ์ รับหน้าที่เป็นตำรวจสายสืบให้กับคดีนี้ครับ แต่จะเรียกผมว่า เมฆ ก็ได้ ไหนๆเราก็สนิทกันแล้ว” 

ผมหยุดเดินต่อในทันที ตัวตนแฝงของทีมงานคนนั้นคือนายตำรวจยศสูงที่เข้ามาสืบคดีที่ได้รับมอบหมาย  พอผมได้คิดถึงคำพูดที่ด่าเขาเป็นว่าเล่น มันก็ทำให้รู้สึกขายขี้หน้ามากจนไม่กล้าสบตา  แต่กระนั้นคุณตำรวจคนสำคัญกลับมองว่าเป็นเรื่องตลกก่อนจะเดินมาลากผมให้ก้าวขาตาม พร้อมกับบอกจุดประสงค์ที่เขาต้องปิดบังและสาเหตุที่ทำให้เขาเข้ามาในรายการนี้

นายตำรวจหรือพี่เมฆ กล่าวให้ผมฟังว่า เมื่อหลายปีก่อนเขาได้รับการแจ้งความเรื่องคดีคนสูญหาย โดยไม่มีหลักฐานในการตามหาใดๆเลยนอกจากเวลาที่ผู้ตายออกไปจากบ้าน นั่นจึงเหมือนกับความสามารถที่เขามีถูกจำกัดเอาไว้  จนในปีถัดๆมาเขาก็ได้รับการแจ้งความแบบเดิมในช่วงเวลาเดียวกัน จึงทำให้เขาต้องนำทุกคดีมาตรวจสอบให้ละเอียดและพบว่าทุกคนที่สูญหายมีจุดร่วมอย่างเดียวกันคือเคยเข้าร่วมเกมนี้

เขาตัดสินใจที่จะรับอาสาดูแลคดีนี้แล้วเข้าร่วมกระบวนการสืบหาต้นตอการสูญหายทั้งหมดโดยการมาเป็นสายสืบ แฝงตัวเข้ามาในฐานะทีมงานของรายการเพื่อหาช่องโหว่ที่พอจะตรวจสอบได้  ซึ่งในปีแรกที่เขาเข้ามาทำนั้น ทุกอย่างถูกจำกัดกรอบไว้หมดโดยที่เขาไม่มีทางเลือก แต่กระนั้นเขาก็ยังมีสิทธิ์ที่จะได้ดูรายชื่อของทีมงานทั้งหมดที่อยู่ในรายการรวมถึงผู้ดูแลบ้านในแต่ละปีอีกด้วย และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้สึกถึงทางออกของคดีนี้

รายชื่อของทีมงานที่เขาเฝ้าสังเกตมาเป็นเวลานานนับสามปีทำให้เขาได้พบจุดน่าสงสัยอยู่สองจุด นั่นก็คือรายชื่อทีมงานทั้งหมดนั้น ทางเกมนี้จะเลือกให้ทีมงานชุดเดิมกลับมาทำอยู่เสมอ อาจมีเพิ่มเติมบ้างปีละคนสองคนหรือบางปีก็ไม่มีเลยสอดคล้องกับจำนวนผู้เข้าแข่งขันในปีก่อนที่สูญหายไปอย่างชัดเจน แต่ถึงทีมงานจะเพิ่มมากขึ้น ตัวพี่เมฆก็ไม่ได้เห็นหน้าครบทุกคน เพราะต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ของตนเอง  อีกทั้งรายชื่อของผู้ดูแลบ้าน ตามปกติมันจะต้องเปลี่ยนไปทุกปีเนื่องจากรายการจะจ้างชาวบ้านระแวกนั้นแทนทีมงาน ซึ่งจุดสำคัญตรงนี้นี่เองที่เป็นสาเหตุให้เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เพราะรายชื่อผู้ดูแลบ้านสามคนนั้น  จะมีเพียงหนึ่งชื่อที่ถูกใส่เข้ามาทุกครั้งแม้จะเปลี่ยนที่ท้าทายไปแล้ว

จวบจนปีที่ผมเข้ามา รายชื่อของผู้ดูแลบ้านก็ลดลงเหลือเพียงสอง หนึ่งในสองรายชื่อนั้นคือชื่อที่เคยมีอยู่ในทุกๆปี เขาจึงมั่นใจว่าไม่ลุงคำก็ลุงมั่น จะต้องมีใครสักคนที่เคยอยู่มาก่อนและค่อนข้างจะสำคัญกับเกมพอตัว ไม่เช่นนั้น ผู้จัดการเกมคงไม่ตัดสินใจเก็บเขาไว้และพาเขาเดินทางมากับทีมงานในทุกๆปี  เขาจึงพยายามที่จะจับผิดพฤติกรรมของลุงมั่นและลุงคำเอาไว้เพื่อหาความผิดปกติที่เกิดขึ้น

“แล้วพี่เมฆ รู้สึกได้เมื่อไรครับว่าความผิดปกติมันไปอยู่ที่ลุงมั่น”

“พี่ลองทำเรื่องขอค้นประวัติในรายชื่อที่มีอยู่ในมือทั้งหมด แล้วพบว่ารายชื่อทีมงานบางคนนั้นถูกปลอมแปลงเข้ามา รวมถึงรายชื่อของลุงมั่นด้วย  พี่จึงพยายามจะตามหาทีมงานที่ถูกปลอมชื่อเข้ามาก่อน แต่ตามยังไงก็ไม่พบ ฉะนั้นพี่จึงเปลี่ยนไปเพ่งเล็งที่ผู้จัดการเกมแทน เพราะคิดว่าอำนาจลุงมั่นซึ่งเป็นแค่คนสวนคงไม่น่ามีมากพอ”

“พี่ตรวจสอบยังไงเหรอครับ”

.
.
.
(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่29 จากลา (13/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 13-06-2017 20:36:04
“โปรเจคน้ำเก้าวัดนั่นไง ขอโทษนะ…แต่นั่นคือความคิดของพี่เอง”

หลังจากนั้นพี่เมฆก็บอกต่อว่า ขณะที่กำลังสงสัยลุงมั่นและพยายามหาตัวการหลักอยู่นั้น เขาก็ได้รับสายจากผู้จัดการเกมให้เข้ามาดูพวกผมสองคนในบ้าน  เพราะผู้จัดการเกมรู้สึกสงสัยในพฤติกรรมของผมรวมถึงคำพูดที่ผมหลุดปากออกมาอย่างไม่ตั้งใจ  ครั้งนั้นเขาจึงได้รู้ว่าผมเห็นวิญญาณได้ โดยในตอนแรกเขาก็ไม่ได้เชื่อ แต่พอพอมาแอบฟังบ่อยๆเขาก็ได้ค้นพบความจริงอีกหนึ่งอย่างคือ ผมกำลังตามหาความจริงแบบเดียวกับเขาและก็ดูเหมือนว่าผมจะรู้อะไรที่มากกว่าด้วย โปรเจคเก้าวัดนั่นจึงถูกเสนอขึ้นมา เพื่อให้ผมได้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น อีกอย่างเขาก็ได้ใช้ประโยชน์จากตรงนี้เพื่อเข้าหาตัวผมและติดต่อกับผู้จัดการเกมตลอด

“แล้วพี่หายไปไหนครับ  ในวันสุดท้ายของโปรเจคเก้าวัด”ผมหันไปถามตำรวจที่คิดว่าสนิท ด้วยน้ำเสียงที่ซึมลง  เหตุการณ์ครั้งนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในหัว แม้การสลบจะเคยพรากความทรงจำหายไปแล้วครั้งหนึ่ง

“ก่อนอื่น พี่ขอโทษอีกครั้งนะ พี่ไม่คิดว่าวัดสุดท้ายจะทำให้เราเกือบตาย หลังจากที่พี่กลับมาแล้วพบว่าเรายังคงสลบอยู่  พี่นี่รู้สึกผิดมากเลยนะ  พี่เป็นตำรวจแต่ดันไม่สามารถให้ความคุ้มครองพยานอย่างเราได้  ที่สำคัญเราจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าพี่ไม่คิดโปรเจคนี้ขึ้นมา”

“เอาเถอะครับ  มันผ่านไปแล้ว ที่ผมสนใจตอนนี้คือพี่หายไปไหน? ไม่ได้ไปหาแม่ตามที่บอกไว้ใช่ไหม?”

“ครับ  พี่ไปตามหาผู้หญิงคนนั้น คนที่เรากับภพยืนคุยกันหน้าวัด พี่ได้ยินเขาคุยกับเราเรื่องบางอย่างที่พี่ยังไม่รู้ รวมถึงเรื่องที่มีทีมงานแอบเข้าไปด้วย”

“พี่ไม่แปลกใจเหรอ?  ที่ผมกับไอ้ภพรู้ข้อมูลพวกนั้นแล้วไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือตกใจ”

“ถ้าพี่ไม่ปักใจเชื่อเรื่องที่เราพลั้งปากพูดออกมาเสียก่อน  พี่ก็คงจะแปลกใจนั่นแหละ  ตอนที่พี่ไปสอบปากคำผู้หญิงคนนั้น ยอมรับว่าพี่ตกใจมาก เพราะเกมปีนั้นพี่ก็นั่งดูอยู่ด้วย แต่ไม่รู้เลยว่าตุ๊กตาตัวนั้นเป็นศพ พี่เลยกะว่าพอกลับมาจะเข้ามาคุยกับเราโดยตรงเลยเพื่อขอความช่วยเหลือ  แต่เราก็สลบไปก่อน แล้วพอฟื้นขึ้นมาบรรยากาศในเกมก็เปลี่ยนไป  ทีมงานที่ไม่ได้รับคำสั่งให้เข้ามาในบ้าน  ไม่มีสิทธิ์เข้ามาไม่ว่ากรณีใดก็ตาม”

ขาของผมเดินนำเจ้าหน้าที่และพี่ตำรวจไปยังบ่อน้ำในป่านั่น พลางฟังข้อมูลเพิ่มอีกว่า เกมกระดานดำที่ผมเขียนชื่อสกุลของครอบครัวหนึ่งลงไปตามคำสั่ง ทำให้เขาได้ข้อมูลตัวจริงของลุงมั่นทันทีหลังจากการนำไปสืบค้น เขาจึงเฝ้ามองผมด้วยความระแวงอยู่ตลอด  ในหัวก็หาทางป้องกันผมมาเรื่อยๆ จนกระทั่งวันนี้ที่เขานั่งดูภาพอยู่  สัญญาณภาพในบ้านก็ถูกตัดไปเสียดื้อๆ  พร้อมกับที่มีทีมงานกลุ่มหนึ่งถูกเรียกตัวไป 

ตอนแรกเขาคิดว่าทีมงานจะถูกเรียกไปแก้ปัญหา  แต่เพราะสัญญาณหายไปนานจนค่ำมืด  เขาจึงเริ่มไม่ไว้ใจแล้วรีบขับรถตามออกมา โดยเปลี่ยนสถานที่เป็นบ้านที่เขาคิดว่าน่าจะเก็บความจริงทั้งหมดของลุงมั่นไว้   และเมื่อเข้าไปในนั้นเขาก็พบเพียงร่องรอยการต่อสู้และรอยเลือด เขาเลยต้องรีบวิ่งออกมาประสานงานกับตำรวจ ซึ่งขณะนั้นเจ้าหน้าที่กำลังมาพอดี  เขาจึงพาตนเองเข้าป่ารุดหน้าสำรวจพื้นที่ใกล้เคียงก่อน โดยไม่คิดว่าหลังจากนั้นจะมีเสียงปืนดังขึ้น

“พอพี่เข้าไปตามเสียงปืน  พี่ก็พบร่างทีมงานสองคนนั้นนอนเจ็บอยู่  กำลังตรวจค้นจึงต้องแบ่งมาคุ้มครองสองคนนี้ ส่วนที่เหลือก็แยกไปค้นหาพวกเรา และทีมงานคนอื่นๆที่อาจเกี่ยวข้อง”

“ขอบคุณนะครับพี่  ว่าแต่พี่จะให้ผมพามาที่บ่อน้ำในป่าทำไมครับ?” ผมยืนมองบ่อน้ำตรงหน้า ฟังเรื่องราวการช่วยเหลือของผม ก่อนจะหันไปถามตามความสงสัย

“เรารู้ไม่ใช่เหรอ ว่าอะไรที่นอนรอความช่วยเหลืออยู่ใต้ผืนดินตรงนี้”


ผมมองหน้าตำรวจคนเก่งอย่างไม่เชื่อสายตา ผู้ชายคนนี้รู้ในทุกข้อมูลอยู่ตลอดเวลาแต่ทำอะไรไม่ได้เนื่องจากคำสั่งขุดค้นในที่คนอื่นคงต้องหามูลความจริงที่มากกว่าคำพูดผม  เวลานี้เขาจึงได้โอกาสที่จะทำตามความต้องการตนเอง ก่อนจะยื่นธูปดอกหนึ่งให้ผม พร้อมกับคำสั่งที่ทำให้ผมต้องยุ่งเกี่ยวกับวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง

“วิญญาณผู้เป็นเจ้าของโครงกระดูกใต้ผืนดินนี้ โปรดแสดงตัวตนของพวกคุณอีกครั้ง ผมกำลังจะพาพวกคุณ…กลับบ้าน”

หลังจากเหตุการณ์ความผิดแปลกของธรรมชาติผ่านไป  สายตาของผมก็พบเจอกับร่างของวิญญาณที่ยืนกระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ต่างๆรอบบ่อน้ำแห่งนี้  ไม่นานนักคุณตำรวจก็พุ่งตัวเข้าไปขุดค้นตามคำชี้นำของผม และได้ขุดเอาโครงกระดูกส่วนต่างๆของมนุษย์ขึ้นมา แน่นอนว่ามันมีไม่ครบทั้งร่าง ตำรวจจึงต้องค่อยๆนำมาใส่ห่อผ้าไว้ให้ครบทุกชิ้น ใช้เวลาค้นหาอยู่นาน ผมก็มั่นใจแล้วว่าพื้นที่ตรงนี้ไม่มีกระดูกหลงเหลืออยู่อีก  เส้นทางสุดท้ายจึงถูกผมขอร้องให้เขาพากลับไปที่บ้าน

ห้องน้ำชั้นบนคือเป้าหมายที่ผมและไอ้ภพพากันเดินตรงเข้ามาอย่างไม่รอช้าเพราะเราทั้งคู่ต่างรับรู้กันมาพักหนึ่งแล้วว่า สิ่งที่ถูกนำมาซุกซ่อนไว้ในบ้านหลังนี้คือกระดูกของคุณศตวรรษ และเป็นไปได้สูงว่าเขาจะต้องนอนหลับใหลอยู่เหนือฝ้าเพดานห้องน้ำ เพราะเสียงต่างๆรวมถึงการช่วยเหลือหลักๆแล้ว มันจะเกิดขึ้นมาจากตรงนี้

พี่เมฆ พยักหน้าให้ตำรวจหลายนายเดินไปเปิดฝ้าเพดานออก  แล้วจึงได้พบกับกล่องไม่เล็กไม่ใหญ่อันหนึ่งถูกวางไว้ท่ามกลางฝุ่นที่เกาะหนา  เมื่อกล่องถูกเปิด กลิ่นอับของกระดูกมนุษย์ก็โชยขึ้นไปทั่ว เสียงกรีดร้องตกใจดังระงมทั่วบ้าน ขัดกับใบหน้าของตำรวจที่เริ่มเคร่งเครียดมากขึ้น รวมถึงใบหน้าของฆาตกรที่ดูไม่สนใจ มิหนำซ้ำยังแผดเสียงหัวเราะขึ้นมาลั่นคล้ายกับเป็นเรื่องสนุก

“พลาดซะแล้ว 555 ลองไปขุดตรงพื้นด้านหลังด้วยไหม? เผื่อมีคนไปนอนรอความช่วยเหลือตรงนั้น”

เสียงหัวเราะไม่สลดของลุงมั่นทำเอาผมและไอ้ภพถึงกับต้องกำมือกันแน่น  ก่อนที่ตำรวจบางส่วนจะวิ่งไปยืนคุ้มกันลุงมั่นที่อาจโดนรุมประชาทัณฑ์จากพวกชาวบ้าว  เวลานั้นพี่เมฆและตำรวจก็รีบวิ่งไปกั้นบริเวณด้านหลังด้วยความรวดเร็วก่อนจะเริ่มขุดค้นพื้นดินตรงนั้น 

ชาวบ้านและนักข่าวยืนกันเนืองแน่นรอบเขตกั้น  จนผมและไอ้ภพต้องขอคุณตำรวจเข้าไปยืนด้านใน มองดูหลุมทั้งสามหลุมถูกขุดขึ้นมาพร้อมกระดูก ซึ่งเมื่อกองรวมกันแล้วมันก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากองในป่านั่น  ผมและไอ้ภพหันมาจ้องตากันด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าจะมีกระดูกถูกนำมาฝังไว้จริงๆ ที่สำคัญมันยังอยู่ใกล้ตัวแค่ปลายจมูก  ดังนั้นเมื่อตำรวจส่วนหนึ่งเคลื่อนตัวไปที่หลุมสาม มือของเราจึงจับกันไว้แน่น แววตาก็จับจ้องไปด้วยความสั่นไหว ก่อนที่เสียงร้องตกใจของทั้งตำรวจและชาวบ้านจะกรีดหัวใจของเราทั้งคู่ให้พังลง

ศพของลุงคำในสภาพที่เริ่มเน่าเปื่อยถูกยกขึ้นมาด้วยเสื้อผ้าชุดเดิมกับวันสุดท้าย ก่อนที่ลุงคำจะหายตัวไป


เข่าของผมทรุดลงกระแทกพื้นอย่างแรงพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างทรมานจิตใจ หนำซ้ำความรู้สึกผิดที่ผมเคยคิดว่าลุงคำเป็นฆาตกรยังกลับมาซ้ำเติมให้ผมหมดเรี่ยวแรงมากขึ้น  ผมสะอึกสะอื้นร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายโดยมีไอ้ภพยืนน้ำตาไหลอยู่ข้างกันเงียบๆ  เวลานั้นความวุ่นวายก่อตัวขึ้นแทบทันที เพราะไม่มีใครคิดว่าจะเจอศพคนตายเพิ่ม  จนครู่หนึ่งที่ผมสงบลง แว่วเสียงเล็กๆของลุงคำก็ดังบีบคั้นหัวใจผมทันที

“มานี่เลยไอ้หนุ่ม  วันนี้เอ็งทำหน้าเหมือนจะตายเสียให้ได้เลยนะ  ขอให้เอ็งโชคดี ไม่เป็นอะไรไปก่อนจบเกมแล้วกัน  ลุงฝากบอกไอ้หนุ่มอีกคนด้วย  ลุงโคตรจะเป็นห่วงพวกเอ็งเลย”

แล้วลุงหละครับ? ทำไมถึงไม่อยู่…เพื่อรอจบเกมนี้ไปพร้อมกับพวกผม

สภาพศพของลุงคำที่ถูกขุดขึ้นมาพบว่าโดนฆ่าอย่าโหดเหี้ยม กะโหลกแตกจากการโดนทุบตี ในปากของลุงคำนั้นก็มีตะปูมากมายถูกใส่ลงไป พร้อมกับที่ส่วนหัวก็มีตะปูตอกไว้หนึ่งตัว จากคำสันนิษฐานพบว่านี่อาจเป็นความเชื่อที่ทำเพื่อไม่ให้วิญญาณจำใบหน้าฆาตกรได้หรือพูดชื่อฆาตกรออกไป 

เมื่อติดต่อญาติให้มารับศพลุงคำเสร็จ กองกระดูกทุกกองก็ถูกนำส่งเข้าสู่กระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อนำไปตรวจสอบหาดีเอ็นเอที่จะสามารถระบุอัตลักษณ์ของบุคคลได้  ลุงมั่นถูกตำรวจหลายรายล้อมไว้เพื่อทำแผนรับสารภาพการฆ่าลุงคำ ส่วนพวกผมได้รับการอนุญาตให้ขึ้นไปเก็บเสื้อผ้าเตรียมกลับกรุงเทพ โดยที่พี่เมฆจะรับอาสาพากลับไปส่ง ก่อนจะเรียกตัวมาสอบปากคำในภายหลัง

“พี่เมฆครับ…เราต้องใช้เวลานานแค่ไหนหรอครับ? ถึงจะรู้ว่ากระดูกพวกนั้นเป็นของใครบ้าง” ผมร้องถามออกไปด้วยแววตาที่ทอดไกลไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย  หลังจากที่เราทั้งสามคนขับรถออกมาจากบ้านหลังนั้นได้พักใหญ่

“ถ้าเวลาแน่นอนพี่ตอบไม่ได้หรอก  การตรวจหาตัวตนผ่านดีเอ็นเอในกระดูกถือว่าหาได้ยากกว่าเส้นผมหรือเลือด ทางทีมที่ตรวจสอบจึงต้องใช้เวลานานพอสมควรเลย”

“แล้วกระดูกที่ยังไม่ครบจะดำเนินการยังไงต่อหรอครับ”ไอ้ภพซึ่งนอนอยู่บนตักผมร้องถามขึ้นมาบ้าง

“ทางตำรวจก็ต้องสอบปากคำลุงมั่นนั่นแหละครับ ยังไงก็ต้องตามกลับมาให้มากที่สุด บางทีกระดูกที่อยู่ตรงนี้อาจจะยังไม่ครบตามจำนวนคนที่สูญหายก็ได้นะครับ”

“ครับ…พี่เมฆยังไงผมขอบคุณมากๆนะครับ  แล้วก็ขอโทษด้วยที่เคยพูดจาไม่เข้าหูพี่”แววตาไอ้ภพสื่ออกมาด้วยความรู้สึกผิด หากแต่ว่าคนรับกลับทำเพียงยิ้มให้เล็กน้อยแล้วส่ายหัวปลอบใจ

“ไม่ต้องไปพูดถึงหรอก เวลานั้นเป็นใครก็ต้องคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่  พวกเราทั้งสองคนต้องอยู่กับสถานการณ์ที่ทั้งกดดันและเสี่ยงต่อชีวิต  ร้อยทั้งร้อย ไม่มีทางไว้ใจใครได้หรอก”

การพูดคุยถึงเรื่องคดีความถูกพี่เมฆหยุดไว้เท่านั้น ก่อนที่จะหาเรื่องอื่นมาพูดคุยแทนเพื่อผ่อนคลายความรู้สึกให้ผมและไอ้ภพ  ยอมรับเลยว่าใบหน้าที่ยิ้มออกไปนั้นมันไม่ใช่การยิ้มที่มาจากความรู้สึกทั้งหมด  เรื่องราวตลอดหลายวันที่ผ่านมารวมถึงเมื่อคืนนี้ ได้บั่นทอนกำลังกายและใจของผมลงไปมาก  ทั้งเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า เจ็บปวด และยิ่งก่อนออกมาผมได้เห็นศพของลุงคำด้วยตาของตนเอง  มันยิ่งทำให้ความรู้สึกของผมติดค้างไว้ที่บ้านหลังนั้น

รายทางที่รถของพี่เมฆขับพาผมกลับกรุงเทพ สะท้อนให้ภาพวันแรกของการเดินทางหวนกลับมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพบเจอไอ้ภพ  การได้เห็นใบหน้าของลุงมั่น หรือแม้กระทั่งรอยยิ้มพูดคุยของคุณศตวรรษและลุงคำ ทำให้ตาของผมรื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้  เวลาแค่ไม่กี่อาทิตย์พาเรื่องราวอันแสนสาหัสมาพร้อมกับเรื่องที่ทำให้ผมมีความสุข นั่นจึงทำให้ผมต้องนั่งเกร็งตัวไปเงียบๆ กัดปากที่พร้อมจะสั่นอยู่ตลอด ก่อนจะนั่งลูบหัวไอ้ภพที่นอนบนตักพลางจ้องมองใบหน้า บาดแผล ด้วยใจอันขื่นขม

“แน่ใจนะว่าจะไม่ให้พี่ไปส่ง? เราขับรถได้แน่นะภพ”

“ไม่ต้องห่วงครับพี่  เจ็บแผลอยู่บ้างแต่ยังขับไหวครับ”

เราทั้งสองคนพาร่างกายอันบอบช้ำลงมาจากรถพี่เมฆ โดยไม่ลืมที่จะแลกเบอร์กับพี่เมฆไว้เพื่อใช้ติดต่อเรื่องคดีความหลังจากนี้
สถานที่นัดพบวันแรก ถูกผมยืนจ้องมองแทบไม่ละสายตา ครั้งนั้นมีทีมงานมากมายวิ่งกันให้วุ่น ก่อนที่เขาจะพาผมไปพบกับผู้ชายหน้าตาบูดเบี้ยวซึ่งนั่งไม่พูดไม่จากับคนอื่น  มาวันนี้ทุกอย่างกลับถูกทิ้งไว้ให้เป็นเพียงความทรงจำรสชาติหวานปนขม บาดจิตใจให้ท่วมท้นไปกับความรู้สึกต่างๆนานา แววตาใสซื่อของผมในตอนนั้น ไม่ได้รู้เลยว่าหลังจากที่รายการพาผมออกไปแล้ว สิ่งที่ได้รับกลับมาจะกลายเป็นความสามารถซึ่งผมไม่ได้ร้องขอ

และความผูกพันกับผู้ชายข้างตัวซึ่งผม…ไม่อยากละทิ้ง

“จะให้กูไปส่งที่ไหน? บ้านกูหรือบ้านกู”เมื่อไอ้ภพขับรถออกมา มันก็ทำลายความเงียบและความตึงเครียดของเราทั้งคู่ด้วยคำถามกวนตีน หน้าตาย ตามแบบฉบับของมัน  เรียกรอยยิ้มของผมให้หันกลับไปมอง

“หืม? นั่นคือทางเลือกของกูเหรอ”

“อืม  กูให้มึงเลือกได้เท่านี้แหละ”

“งั้น…ก็บ้านมึง”


ไอ้ภพยิ้มออกมาเหมือนเด็กที่ได้ของเล่น  แล้วรีบขับรถมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนใหญ่ทอดยาวไปถึงบ้านของมัน เมื่อมาถึง ผมรีบจัดแจงเอาข้าวของทั้งหมดของผมและไอ้ภพลงจากรถ พร้อมกับไล่ให้คนป่วยข้างตัวไปชำระล้างร่างกายเท่าที่ทำไหว  เสื้อผ้าเปื้อนฝุ่นของผมกับมัน  ถูกนำไปซักให้สะอาดโดยฝีมือผม ก่อนที่จะเดินขึ้นไปหาไอ้ภพซึ่งกำลังนั่งเช็ดตัวด้วยท่าทีเงอะงะ เป็นเช่นนั้น ผมจึงแย่งผ้าบนมือมันมาเช็ดให้ แล้วจึงลากมันเข้าห้องน้ำเพื่อสระผม

“มิว เกิดอะไรขึ้น? ทำไมอยู่ดีๆถึงมาทำอะไรแบบนี้ให้กู”ไอ้ภพถามขึ้นมาเสียงแผ่วขณะที่ผมกำลังสระผมให้มันอยู่  มือของผมถึงกับชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเริ่มทำต่อไป พร้อมใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม

“กูทำให้ไม่ดีหรือไง?  มึงกำลังเจ็บอยู่ ที่สำคัญเจ็บเพราะกูด้วย ยังไงกูก็ต้องดูแลมึง”

“ถ้าจะดูแลเพราะเหตุผลนั้นก็หยุด  กูช่วยมึงเพราะใจกูบอกให้ช่วย ไม่ได้ต้องการให้มึงมาเหนื่อยเพิ่มแบบนี้”

“เอาหน่า มึงเหนื่อยมาทั้งคืนแล้ว ไหนจะแผล ไหนจะขับรถมา เรื่องแค่นี้กู…ดูแลให้ได้”

“ถ้าจะดูแล ก็อย่าทำเสียงแบบนั้นได้ไหม? มันเหมือนมึงจะจากกูไปตลอดชีวิต”


เสียงอ่อนทุ้มออดอ้อนของมัน ทำให้ภายในใจของผมเต้นรัวเป็นจังหวะ ใบหน้าขับสีแดงระเรื่อ ก่อนจะรีบสระผมให้มันจนเสร็จ แล้วจึงปลีกตัวออกมาทำธุระของตนเองบ้าง เมื่อทุกอย่างเสร็จสรรพ ผมก็ขอเงินไอ้ภพเพื่อไปซื้ออาหารตามสั่งหน้าบ้าน เนื่องจากช่วงเวลาที่ไอ้ภพไม่อยู่ บ้านหลังนี้ก็แทบจะไม่ต่างกับบ้านร้างเลย

ผมตัดสินใจพักฟื้นร่างกายอยู่ที่บ้านของไอ้ภพ ดูแลคนเจ็บให้แผลเริ่มดีขึ้น อาการของไอ้ภพเป็นไปตามอย่างที่ผมคาดเอาไว้ หลังจากที่มันนอนพักไปแล้วนั้น ตื่นขึ้นมาไอ้ภพก็มีไข้เล็กน้อย เพราะแผลมันอักเสบ การป้อนข้าวป้อนยาจึงเป็นหน้าที่ของผม อีกทั้งยังต้องคอยรับโทรศัพท์ของไอ้ภพอีกด้วย เมื่อข่าวของเราทั้งคู่เผยแพร่ออกไป คนรู้จักต่างก็พากันถามหาเพื่อจะมาดูความปลอดภัยของเรา ทั้งนี้ยังไม่รวมไปถึงการปฏิเสธสายของนักข่าวที่พยายามติดต่อเข้ามาสัมภาษณ์อยู่ตลอด จนผมต้องโทรไปขอความช่วยเหลือจากพี่เมฆ

คนมากหน้าหลายตาต่างผลัดเปลี่ยนกันมาดูไอ้ภพเป็นว่าเล่น ช่วงนั้นผมจะแยกตัวไปเก็บของเยี่ยมต่างๆ เพื่อปล่อยเวลาสำคัญให้ไอ้ภพอยู่กับผู้คนเหล่านั้น  อีกแง่มุมของไอ้ภพที่ผมยังไม่เคยรู้ คือ มันมีเพื่อนเยอะมากขัดกับบุคลิกที่เข้าหายาก อีกทั้งดูท่าแล้วว่าจะเนื้อหอมพอตัว ผู้หญิงหลายคนเลยต่างพากันเข้ามาทำคะแนนในบ้าน สร้างความรำคาญใจให้กับผมต้องอดทนอยู่เป็นนิจ จนกระทั่งวันนี้ที่กลุ่มเพื่อนสนิทของไอ้ภพเข้ามา ผมถึงได้รู้ว่าความอดทนของผมมันมีไม่พอ

“ไงไอ้ภพ เป็นไงบ้างวะมึง ไม่บอกอะไรพวกกูเลยนะ เล่นเอาเป็นห่วงกันแทบแย่”เพื่อนคนหนึ่งของไอ้ภพรีบวิ่งเข้ามาถามอาการจนไอ้ภพตกใจ แต่กระนั้นใบหน้าของมันกลับเปื้อนยิ้มเชิงขบขันในพฤติกรรมเพื่อนตัวเอง

“กูไม่เป็นอะไรหรอก แผลนี่ก็แห้งหมดแล้ว จะมีก็แต่คดีความที่ยังไม่จบ”

“ดีแล้ว ค่อยๆจัดการไป มึงอยากออกไปเที่ยวไหม? ไปดูสาวๆให้คลายเครียดแบบที่เคยทำกัน 555”ประโยคชักชวนทั่วไประหว่างเพื่อนก่อให้เกิดเสียงหัวเราะรายล้อมบ้าน แต่กลับสร้างความหดหู่ให้กับผมซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น

“กูไปไม่ได้หรอก มึงก็เห็นว่ากูไม่ได้อยู่คนเดียว”

“เออว่ะ น้องชื่อไรนะ  มิวใช่ไหม?  จะไปกับพวกพี่เปล่า ไปดูไอ้ภพหว่านเสน่ห์กัน เรื่องที่มันเป็นกระแสอยู่ตอนนี้จะได้ซาลงบ้าง  บอกตามตรงพี่เห็นแล้ว…แม่งไม่ชิน”เพื่อนไอ้ภพหันมาถามความเห็นผมด้วยเสียงเป็นมิตร หากแต่แววตาไม่ใช่ สิ่งที่เขาพยายามทำบ่งบอกให้รู้ว่า เขาไม่พอใจที่มีผมอยู่ตรงนี้ เนื่องจากกระแสของผมและไอ้ภพซึ่งเคยมี มันยังคงเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆจนเป็นที่พูดถึงไม่น้อยกว่าคดีความ

“เอ่อ ไม่ดีกว่าครับ จริงๆวันนี้ผมกำลังจะกลับบ้าน เชิญพวกพี่ไปดีกว่า”

ผมไม่รอให้ใครต่อใครพูดอะไรเสียดแทงหัวใจผมได้อีก  ขาของผมจึงรีบยืนขึ้นเพื่อไปเก็บข้าวของเตรียมออกจากบ้านหลังนี้ทันที  ไม่นานนักเสียงเปิดประตูห้องด้วยฝีมือไอ้ภพก็ตามมา พร้อมกับที่มือของมันก็มาจับข้อมือของผม หยุดการกระทำทุกอย่างเอาไว้

“มิว คุยกันให้รู้เรื่อง ไม่เห็นบอกกูว่าจะกลับ”แววตาฉายแววไม่เข้าใจไม่ต่างจากน้ำเสียง ร้องถามเพื่อหยุดความคิดผม

“กูตั้งใจไว้อยู่แล้ว โปรเจคจบกูยังไม่เสร็จ พอเห็นมึงหายดี กูก็ต้องกลับไปทำ”

“มึงก็รู้ว่ากูไปรับส่งมึงได้ เพราะคำพูดเพื่อนกูใช่ไหม? มึงถึงพยายามจะหนี มันไม่มีอะไรอย่างที่เพื่อนกูบอกเลย”

“ไม่เกี่ยวกับเพื่อนมึงหรอก อย่าเสียงดังไปมันจะไม่ดีกับตัวมึงนะ…กูกลับไปทำงานจริงๆ มันถึงเวลาที่ต้องไปแล้ว”

“มิว…มึงจะกลับไปทำงานหรือไปไหนก็ได้ กูไม่ห้าม แต่ช่วยอยู่กับกูต่อได้ไหม? อย่าพยายามหนีกูทั้งที่มึงกำลังจะร้องไห้แบบนี้ กูเจ็บนะมิว  ขอร้องหละ”

“ทำตามที่กูขอเถอะภพ  เราสองคนมีหน้าที่ต้องสะสางให้เสร็จ มึงควรเอาวันลาที่เหลือไปหาโรงพยาบาลที่ดีที่สุดสำหรับน้องมึงตามความตั้งใจแรก  และเอาเวลานี้ไปทบทวนให้ดี ว่าที่อยากอยู่กับกูมันเพราะความรู้สึก หรือแค่ความเคยชิน”

“กูรั้งมึงไม่ได้เลยใช่ไหม? มึงอยากให้กูทำอะไรเพื่อยื้อมึงไว้ บอกมาได้ไหม?...กูจะทำให้”

เพราะน้ำเสียงของมันที่สั่นไหว ผมจึงต้องยื่นมือไปโอบกอดความอบอุ่นเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อปลอบให้มันรู้สึกดีขึ้น น้ำตาของมันเป็นสิ่งที่ยากต่อการทนมอง ผมจึงไม่อาจปล่อยไห้มันต้องร้องไห้ออกมาต่อหน้าผมหรือแม้กระทั่งเพื่อนของมัน ซึ่งตอนนี้ได้ขึ้นมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คาดว่าไอ้ภพคงทำอะไรไว้ข้างล่างก่อนขึ้นมา ผมจึงต้องผละออกจากตัวมันแล้วเดินผ่านใบหน้างุนงงของทุกคนเพื่อกลับไปยังที่เดิมของตัวเอง

“มิว กูไม่ให้ไป!! นี่มันเย็นแล้ว มึงก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าจะต้องเจอกับอะไร”ไอ้ภพวิ่งลงบันไดมาคว้าข้อมือผม ส่งเสียงดังไปทั่วบ้านจนเพื่อนมันทุกคนต้องวิ่งตามลงมา

“ฮึก อย่าวิ่งแบบนี้ดิ เดี๋ยวแผลเปิดขึ้นมาจะทำไง”

“มึงก็ทำแผลให้กูสิ  อยู่ดูแลกูแบบเดิม…ไม่ได้เหรอ”

“ภพ ฮึก ฟังกูนะ…กลับไปทำตามเรื่องที่ติดค้างไว้ให้ดีก่อน อย่าให้ความพยายามที่ทำมามันสูญเปล่า  ถ้าสุดท้ายแล้ว โชคชะตามันพาเรากลับมาเจอกันอีกครั้ง เชื่อสิ ว่ากูจะไปไหนไม่ได้อีก รวมถึงมึงด้วย”

“มิว!!”

ผมยิ้มให้มันเป็นอย่างสุดท้ายก่อนจะกลั้นใจยกใบหน้าไปแนบแก้มของมันท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่จ้องมอง  ประโยคที่ผมทิ้งท้ายไว้ ทำเอาตัวไอ้ภพแข็งทื่อ  ก่อนที่เพื่อนของมันจะวิ่งกรูกันมาพาไอ้ภพกลับเข้าบ้าน ท่ามกลางเสียงต่อว่าเพื่อนคนที่จุดประเด็นทั้งหมด ยามที่ตัวของผมเดินจากบ้านหลังนั้นออกมา


“มิวไปแล้วนะครับ…พี่ภพ”




*********************************************TBC********************************************

เอา ภพมิวตอนที่ทุกคนบอกว่าค้างคามาให้แล้วนะครับบบบบบบบ  55555
มาติดตามเอาใจช่วยกัน  ภพมิวต้องการกำลังใจเยอะๆนะครับ
ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ที่แชร์ ที่ติชมนิยายของผมมาจนถึงทุกวันนี้นะครับ  สำหรับตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายแล้ว ยังไงผมขอขอบคุณทุกคนอีกครั้งจากใจจริงๆครับ
ถ้ามีคำผิดหรือประโบคไม่ลื่นไหลบอกผมได้นะครับ
เจอกันอังคารหน้า
P-Rawit

อ้อ!!! มีข่าวดีมากบอกนะครับ สำหรับใครที่สนใจหนังสืออยากเก็บไว้ ตอนนี้ภพมิว กำลังจะออกเป็นรูปเล่มกับ สำนักพิมพ์เพื่อนใจ แล้วนะครับ ไปติดตามกันได้ในเพจทาง Facebook นะครับ /// ฝากเปเยอะๆนะครับบบบบ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่29 จากลา (13/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 13-06-2017 21:13:06
มิวววว อ่านแล้วใจคอไม่ค่อยจะดี เหมือนจะลาไปไกล
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่29 จากลา (13/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Pumpkin ที่ 13-06-2017 22:26:56
ฉากที่ค่อยๆตามหาเหยื่อแต่ละรายของลุงมั่นนี่คือหดหู่สุดๆ คือลุงแกต้องจิตใจบิดเบี้ยวไปแค่ไหนเนี่ย นึกอยากจะรู้จุดเริ่มต้นเหมือนกันนะ เพราะเหมือนอ่านแล้วไม่ค่อยเคลียร์นักสำหรับที่มาที่ไปและการถือกำเนิดเกมบ้าๆนี่ขึ้นมา หรือเราอ่านตกหล่นหว่า 555


ท้ายตอนนี้นี่คือ อื้อหือ! เพื่อนภพนี่แบบออกตัวแรงมากกกกกก
อีกนิดนึงก็เหมือนจะว่าพูดว่า "เอ้าน้อง! รายการก็จบลงแล้ว ยังจะอยู่อีกเรอะ" ออกมาแล้วนะนั่น
แต่โดยรวมคือใจไม่ดียังไงไม่รู้ เพราะว่ามิวน่ะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
แล้วมิวก็ดู.....แปลกๆ มันเหมือนที่ภพว่าเลย เหมือนมิวกำลังจะหายไป
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่29 จากลา (13/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: เพียงเพื่อน ที่ 13-06-2017 22:30:42
เพื่อนภพ คือ เหรี้ยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก   เป็นเรา เราตบปากแตกละ ยุ่งไม่เข้าเรื่อง
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่29 จากลา (13/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 13-06-2017 22:36:08
มิว อย่าพูดเป็นลางนะ อ่านแล้วรู้สึกไม่ดีเลย  :hao5: เอาใจช่วยมิวภพมาตลอด จนเรื่องคลี่คลายแล้ว เหนื่อยมามากแล้ว อยากเห็นภพมิวมีความสุขบ้าง สงสารสุขภาพจิตน้องมิวเหลือเกิน
อย่า badend นะคะ :katai1:  :hao5:
อ่านถึงตอนพบศพลุงคำคือน้ำตาไหลตามเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่29 จากลา (13/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 13-06-2017 22:48:50
เพื่อนภพปากพล่อย ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้ ปฏิบัติ!!!
มิวจะไปไหนนน พูดแบบนี้ใจไม่ดีนะ สงสารมิววว
เพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆมาแท้ๆ เอาใจช่วยนะคนดี!!!
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่29 จากลา (13/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 13-06-2017 23:45:58
ขอเฉลยและเรื่องราวเบื้องหลังของลุงมั่นด้วยค่ะ คาใจมากกกก  ส่วนมิวหนูจะหนีพี่เขาไปไหนลูกกกก
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่29 จากลา (13/06/60) P.1
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 14-06-2017 00:44:50
นี่ไม่รู้ว่าตัวเองผ่านจุดที่อ่านเรื่องนี้ตอนเที่ยงคืนมาได้ยังไง อะไรดลใจ5555
ไหนๆก้ใกล้จบแล้วว หลังจากทำร้ายมิวมาทั้งเรื่อง และทำคนอ่านหัวใจเกือบวายมาทุกตอน
คนเขียนคงไม่ใจร้ายด้วยการหักมุมจบbad endหรอกมั้งคะ...
ตอนนี้คือในบ้าน7ศพนั่นน่ากลัวมากอะ เหมือนเข้าไปแล้วไม่ได้รับการต้อนรับ
แถมยังไม่ได้อะไรเลยออกมาอีกต่างหาก เจ้าของบ้านก้ไล่ซะแรงเลย
ตอนขุดกระดูกนี่สะพรึงมาก ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าต้องมีแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้อะ
ลุงมั่นคือโรคจิตที่แท้ทรู ทั้งครอบครัวตัวเองยกบ้าน ทั้งสร้างเกมแบบนี้ ทั้งบรรดาคนทั้งหลายที่สังเวยไป
สงสารลุงคำกับคุณศตวรรษมาก ฉากของลุงคำคือสะเทือนใจ ลุงแกเป็นห่วงจริงๆอะ ละช่วยจนตัวเองตาย
พี่เมฆนี่ก้ว่าแล้วว่าแปลกๆดูรู้สึกได้ว่าไม่ได้เลวอะ แต่ก้น่าสงสัย คิดไม่ถึงว่าจะเป็นตำรวจ
สุดท้ายนี้สงสารภพมิวมาก เรื่องแย่ๆจบไปแล้วยังจะมีมารพจญ เพื่อนภพคือปากเสียมากอะ
ไม่รู้ว่าหวงเพื่อนหรือมีเหตุผลอะไรในการพูดกับคนที่พึ่งรู้จักและเจ้าของบ้านอนุญาติให้อยู่ด้วยแบบนี้
แทบจะไล่กันโต้งๆเลยอะ สงสารมิวมาก ทนมาเยอะ พอระเบิดออกมานี่ก้เตลิดเลย
มิวบอกลางี้คือเดาได้เลยว่าเจตนาคืออะไรอะ ตั้งใจจะหายไปเลยแน่ๆ
แต่ผลกระทบจากเกมนี่สิจะทำไง one way ticket ของจริงเลยย
รออีกทีอังคารหน้าา ยาวนานมากกก แต่รอบทส่งท้ายค่าาา
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่29 จากลา (13/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: หัวเเม่มือ ที่ 14-06-2017 01:36:33
สนุกมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่29 จากลา (13/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 14-06-2017 10:06:05
เรื่องเกมจบไปแล้วยังจะต่อเรื่องนี้อีกเร้อออออออ เจ้มจ้นจริง //เอาหัวโขก  :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่29 จากลา (13/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 14-06-2017 13:09:34
เห้ออออ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่29 จากลา (13/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 14-06-2017 16:07:29
ในเรื่องนี้คนที่น่าสงสารที่สุดไม่ใช่วิญญาณ แต่เป็นมิวตั้งแต่เริ่มเกมส์จนจบ
มิวนี่โดนทุกอย่าง จนแยกไม่ออกแล้วไหนคนไหนวิญญาณแล้วที่สำคัญ
มิวจะมองเห็นไปจนตายไหม สงสารรรร ดึงมากอดปลอบบขวัญ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่29 จากลา (13/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: fanglest ที่ 16-06-2017 18:16:21
มิวจะไปหนายยยยย
โอ้ยย ลุ้นจะยังไงต่อ ใกล้จบยังน่อ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่29 จากลา (13/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: nugnig7 ที่ 18-06-2017 12:06:05
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด อย่า Bad end น้องขอ พลีสสสส ให้พี่ภพน้องมิวได้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขแฮปปี้หวานแหววเหมือนตอนพิเศษวาเลนไทน์เถอะเจ้าค่า โฮรรรรรรรร //ฟาดหมอนทองใส่อิเพื่อนพี่ภพ
 :katai4: :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่29 จากลา (13/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 19-06-2017 20:01:57
เครียดมาทั้งเรื่องแล้ว ก็ยังไม่หยุดเครียดอีกหรอ จะแฮปปี้ไหม :ling1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 20-06-2017 20:27:41
ตอนที่30

ฝันร้าย


“มิว มึงช่วยมีสมาธิหน่อยได้ไหม? เดี๋ยวหัวหน้าฝ่ายมาตรวจงานแล้วจะโดนเด้ง”

เสียงกระซิบของเพื่อนสนิทปลุกผมให้ตื่นจากอาการเหม่อลอยพลางส่ายหน้าอย่างระอา เวลานี้ผมได้เปลี่ยนบทบาทจากนักศึกษาธรรมดามาเป็นพนักงานบริษัท แต่ยังคงอยู่ในช่วงทดลองงาน ดังนั้นชีวิตของผมช่วงนี้จึงเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงและค่อนข้างจะต้องใช้ความตั้งใจและสมาธิ ไอ้วุฒิจึงพยายามให้กำลังใจและดึงผมกลับมาทุกครั้ง หลังจากที่ความเคยชินพาผมให้ยึดติดแต่เพียงอดีต ทั้งที่เวลาอยู่กับเพื่อนผมจะสามารถเฮฮาได้เป็นปกติ  แต่เมื่อใดที่อยู่คนเดียวภาพในหัวก็จะพาผมย้อนกลับไปมองเห็นแต่เพียงหน้าของไอ้ภพ

หลังจากที่จบเรื่องราวของรายการนั้นรวมถึงเรื่องราวของไอ้ภพ ผมก็พาตนเองกลับมายังโลกที่ผมเคยอยู่ ใช้ชีวิตอยู่กับการทำโปรเจคจบและความวุ่นวายตามแบบฉบับของนักศึกษาปีสุดท้ายจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน  ยอมรับเลยว่าทุกครั้งที่ผมต้องอยู่คนเดียว ผมจะไม่สามารถยั้งความคิดให้อยู่กับปัจจุบันได้เลย  ผมกลายเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงจนเพื่อนๆหลายคนถึงกลับแปลกใจ  เสียงซุบซิบนินทา จึงเกิดขึ้นหนาหูตลอด ทั้งบอกว่าผมเป็นแบบนี้ก็เพราะผลพวงจากรายการ ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะยังลืมเหตุการณ์ร้ายๆไม่ได้  แต่ไม่มีใครที่รู้ทุกอย่างจริงจังเหมือนเพื่อนสนิทผมหรือก็คือเป็นรูมเมทคนใหม่ของผมเอง

ตั้งแต่ที่ข่าวของคดีลุงมั่นเผยแพร่ออกมานั้น ไอ้วุฒิมันก็รีบมาเฝ้าผมที่หอรอการกลับมาด้วยความเป็นห่วง ยิ่งช่วงแรกผมต้องไปอยู่กับไอ้ภพโดยไม่ได้ติดต่อกลับมา ไอ้วุฒิจึงยิ่งร้อนรนและพยายามเสาะหาที่อยู่ของผม  จนกระทั่งวันที่ผมแยกกับไอ้ภพและเดินเข้าหอ ไอ้วุฒิก็วิ่งเข้ามากอดผมไว้แน่นจนตกใจสติแทบหลุด แต่กระนั้นผมก็เลือกที่จะกอดปลอบมันพร้อมกับที่ปล่อยให้น้ำตาของตนเองไหลออกมาเพราะความรู้สึกบางอย่างที่ยังติดค้างอยู่ในอก  ไอ้วุฒิไม่ถามอะไรผมอีกนอกเสียจากการพาไปเข้าลิฟท์เตรียมขึ้นห้อง หลังจากนั้นไอ้วุฒิก็ได้รู้ทันทีว่าพฤติกรรมของผม แท้จริงแล้วมันเกิดจากอะไร

“คุณจะไปชั้นไหนหรอครับ? หรือไปชั้นเดียวกับพวกผม”เมื่อผมกับไอ้วุฒิเข้ามายืนในลิฟท์ ผมก็หันไปถามกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ก่อนหน้า พร้อมกันนั้นผมก็เห็นว่าไอ้วุฒิรีบกดลิฟท์ขึ้นแล้วยืนนิ่งไปโดยไม่หันไปมองด้านหลังอีก

ผมยกไหล่ขึ้นไม่สนใจ หลังจากที่เธอคนนั้นไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองมาที่ผมนอกจากมองหน้า  ผมจึงหันกลับแล้วได้เห็นเหงื่อไอ้วุฒิซึมออกมาจนผิดปกติ เนื้อตัวมันเกร็งจนแทบสั่น จนกระทั่งมาถึงชั้นของผม ไอ้วุฒิก็รีบก้าวขาออกไปไม่รอช้าพร้อมหันมาสั่งให้ผมเดินตามมันอย่างไว  แต่อาจจะเพราะผมเหนื่อยเกินกว่าจะรีบผมจึงไม่สนใจนักแล้วค่อยๆเดินออกจากลิฟท์ ทว่ายังไม่ทันจะผ่านพ้นประตู เธอคนนั้นก็เงยหน้ามองผม แล้วพูดประโยคที่ทำให้โลกทั้งใบของผมพังลง

“คุณ…เห็นฉันด้วยเหรอคะ?”


ผมเดินกลับห้องตามไอ้วุฒิท่ามกลางคำถามเดิมที่ยังดังก้องตามมาจากลิฟท์ตัวนั้น  ด้วยความที่ไอ้วุฒิมีกุญแจห้องของผมอยู่ มันจึงกลับมาเปิดและนั่งจ้องหน้าผมทันทีที่เดินเข้าไป  ไม่ต้องรอให้เสียเวลา เสียงถากถางของไอ้วุฒิก็ร้องถามถึงเหตุการณ์ที่พึ่งจะเกิดขึ้น รวมถึงชีวิตของผมที่อยู่ในเกมทุกเรื่อง ตั้งแต่ข่าวลือที่บอกว่าผมเห็นผีหรือแม้กระทั่งข่าวซุบซิบที่เป็นต้นเหตุให้ผมต้องแยกตัวออกมาจากไอ้ภพ

“กูไม่เชื่อ!! มึงจะบอกว่ามึงคุยกับวิญญาณในลิฟท์อย่างนั้นเหรอ?”ไอ้วุฒิขึ้นโต้เถียงผมทันทีที่ผมยอมบอกความจริง

“แล้วมึงคิดว่าอยู่ดีๆ กูจะพูดกับลมหรือไง? หรือจะให้กูโกหกว่ากูพูดกับตัวเอง”

“เออๆ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน มาคุยกันเรื่องผู้ชายที่ชื่อภพนี่ดีกว่า”

“มีอะไร?”

“สรุปว่าที่ร้องไห้จะขาดใจให้ได้นี่คือคิดถึงเขาว่างั้น? แล้วทำไมไม่อยู่กับเขาให้รู้แล้วรู้รอดไป จะทรมานตัวเองทำไม”

“ไม่รู้สิ กูก็คงอยากเห็นชีวิตมันเจออะไรที่ดีและเหมาะสมกับมันจริงๆมั้ง ถ้าถามว่าอยากแยกไหม? กูก็ไม่อยาก แต่จะให้มาเห็นแก่ตัวจนชีวิตมันโดนกรอบประเพณีบีบคั้น กูก็คงทำไม่ได้หรอก”

“แล้วทำไมไม่คิดว่าตัวเองคือคนที่เหมาะสมที่สุด”

“ความเหมาะสมบางทีมันก็ต้องมีอะไรหลายอย่างประกอบ สำหรับกูขนาดเพื่อนมัน กูยังไม่ถูกยอมรับ จะให้หน้าด้านอยู่ที่เดิมแล้วเห็นมันแตกหักกับเพื่อน คิดว่ากูจะทนได้เหรอ?…ว่าแต่มึงไม่แปลกใจเลยหรือไงที่เพื่อนมึงชอบผู้ชายไปแล้ว”

“ก็นิดหน่อย แต่กูคิดว่ามึงก็ต้องลำบากมาพอสมควรกว่าจะยอมรับได้ สำหรับกูมันก็แค่เคารพการตัดสินใจของมึงเท่านั้น”

“ขอบใจมึงมากๆนะ”

“อืม ส่วนไอ้เรื่องที่มึงเห็นผีนี่ สรุปจริงใช่ไหม?”

ผมยิ้มให้มันอยากตลกขบขันเพราะใบหน้าที่แสดงออกว่ากลัวจนสุดขีด ผมไม่ค่อยแปลกใจที่ไอ้วุฒิยังมีท่าทีเคลือบแคลงอยู่บ้างเพราะขนาดผมเองก็ยังไม่ค่อยอยากยอมรับ ผมจึงพยายามทำตัวให้เป็นปกติแล้วใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงข้อนี้ ชีวิตของผมหลังจากนั้นจึงผ่านไปอย่างเหนื่อยและทรมาน เพราะวิญญาณที่รายล้อมรอบกายต่างก็แวะเวียนมาหาผมจนทำให้นอนไม่ได้ หลายครั้งที่ผมต้องไปเรียนโดยแบกใต้ตาดำลึกไปด้วย นานเข้าไอ้วุฒิก็เริ่มเชื่อและเป็นฝ่ายเสนอตัวมานอนเป็นเพื่อนผม โดยมีข้อแม้ว่า ถ้าผมเห็นอะไรให้เงียบเข้าไว้

ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากที่ผมเปิดเรียนเทอมสุดท้าย พี่เมฆก็ตามผมเพื่อเข้าไปให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีความของลุงมั่น  นั่นจึงทำให้ผมได้พบเจอไอ้ภพอีกครั้ง ด้วยสภาพที่ทำให้เห็นความต่างชัดเจน ไอ้ภพกลับมาให้ปากคำโดยใส่ชุดทำงานเรียบร้อย ผมที่เคยปล่อยปรกหน้าก็เซตขึ้นไปจนขับให้ใบหน้ามันหล่อขึ้น ดูมีภูมิฐาน ขัดกับผมที่ทุกอย่างยังคงเดิม เพียงแค่ใส่ชุดนักศึกษาเข้าไปเท่านั้น  อีกทั้งคราวนี้ยังเพิ่มไอ้วุฒิติดไปด้วยเพราะมันกลัวว่าผมจะต้องเจอกับอะไรที่คนอื่นไม่เห็นอีก

“นี่เหรอวะ พี่ภพของมึง หล่อฉิบหาย มึงปล่อยไปได้ไงวะ!!”ไอ้วุฒิโน้มตัวมากระซิบข้างหูผมเสียงเบา ต่อหน้าพี่เมฆและไอ้ภพที่หันมาจ้องเป็นสายตาเดียวกัน

“เงียบก่อนเหอะ! สวัสดีครับพี่เมฆ สวัสดีครับ…พี่ภพ”ผมรีบไหว้ทักทายคนทั้งคู่เพื่อไม่ให้เสียเวลา  พี่เมฆรับไหว้ผมด้วยความยิ้มแย้ม ต่างจากไอ้ภพที่เมินหนีแล้วนั่งลงทันที

พวกผมสองคนถูกซักถามถึงเรื่องราวต่างๆที่คาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี  ก่อนที่พี่เมฆจะเริ่มเล่าให้ฟังว่า ครอบครัวของลุงมั่นเคยถูกสั่งฆ่าทั้งครอบครัว เนื่องด้วยปมขัดแย้งทางธุรกิจ ในวันที่เกิดเหตุลุงมั่นคือคนที่หนีออกมาได้แต่ก็โดนไล่ฆ่าชนิดที่แทบไม่น่าเชื่อว่าจะยังรอดตาย  พอตอนเช้ามีชาวบ้านโทรไปแจ้งเรื่องเสียงปืน ตำรวจเลยรีบรุดหน้าเข้าไปดูที่ก่อเหตุ แล้วก็พบเพียงเด็กชายที่ชื่อมั่น นั่งอยู่ท่ามกลางกองเลือดของคนในครอบครัว ใบหน้าเหม่อลอยเปื้อนน้ำตาเหมือนคนเสียสติ  ตำรวจทุกนายถึงกลับสลดในภาพที่เห็น แต่ก็ต้องมาตื่นตกใจเพิ่มเพราะรายงานที่ได้รับหลังจากที่มีคนไปพบศพหนึ่งในฆาตกรนอนตายอยู่ในป่าโดยฝีมือลุงมั่น จากหลักฐานของลายนิ้วมือที่ติดอยู่บนปืน

ลุงมั่นกลายเป็นคนที่มีปัญหาทางจิต ติดค้างอยู่แต่เเรื่องการแก้แค้น ศพที่ลุงมั่นฆ่าตายได้ ไม่มีใครรู้เลยว่าลุงมั่นใช้วิธีใดในการแย่งปืน ลุงมั่นบ่นออกมาเพียงอยากฆ่าคนที่เหลือทั้งน้ำตา คุณหมอเลยต้องใช้การเยียวยารักษาอยู่เป็นสิบปีเพื่อให้ดีขึ้น และอาจจะเป็นเคราะห์ดีที่ลุงมั่นยังมีญาติที่อื่น เขาจึงนำลุงมั่นกลับไปรับเลี้ยงดูอย่างดี ซึ่งอาชีพของคนที่รับเลี้ยงนั้นก็คือการทำรายการโทรทัศน์ในสมัยนั้น ตำรวจคาดว่านี่อาจเป็นต้นแบบที่อาจทำให้ลุงมั่นจดจำวิธีทดแทนเรื่องที่ติดค้างในหัว

“นั่นหมายความว่า เงินที่ลุงมั่นเสนอมาคือมีไว้ใช้หลอกล่อพวกโลภมากให้เข้าเกม แล้วจึงตามไล่ฆ่าเพื่อชดเชยความต้องการในใจของตนเองในอดีตหรอครับ?”

“ถูกต้องแล้วหละ ลุงมั่นเป็นโรคทางจิตก็เพราะฝังใจในเรื่องนี้มาก จนไม่สามารถควบคุมการนึกคิดของตนเองได้เลย”

พอมาที่เรื่องของรางวัลหรือเงินที่เป็นตัวล่อ  พี่เมฆบอกว่า จำนวนเงินปีนี้ค่อนข้างสูง เพราะลุงมั่นใช้สถานที่ตายของครอบครัวตนเองเป็นสถานที่จัดรายการ นั่นจึงเหมือนว่าความต้องการเบื้องลึกของลุงมั่นกำลังจะได้สะสางทั้งหมดในปีนี้  รายการเลยอัดฉีดเงินไม่อั้น หลอกล่อให้คนโลภที่สุดเข้ามา ส่วนเรื่องเงินทั้งหมดนั่น ลุงมั่นได้รับเงินปันส่วนจากกิจการครอบครัวมาตลอดชีวิตโดยที่ไม่มีใครให้ลุงมั่นทำอะไร อีกทั้งมรดกของครอบครัวลุงมั่นยังมากพอที่จะให้มาทำอะไรแบบนี้

“พวกเรารู้ไหม? ว่าจริงๆแล้ว พวกเราทั้งสองคนไม่ได้บังเอิญถูกสุ่มเข้าไปหรอกนะ”

“หมายความว่าไงครับ”ไอ้ภพส่งแววตาตรึงเครียดกลับไปให้พี่เมฆทันทีที่เขาพูดจบ

“สำหรับภพ ทางรายการได้มีการสืบประวัติและพบว่าเป็นพี่ชายของผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งซึ่งออกจากรายการไปเพราะเสียสติ ลุงมั่นเลยตัดสินใจเลือกภพเข้ามาเพราะอยากให้ภพโดนมากกว่าที่น้องสาวโดน  ส่วนมิว ลุงมั่นเลือกเข้ามาเพราะเรามีประวัติการเข้าร่วมเกมโชว์ต่างๆ ไหวพริบที่เรามีจึงกลายเป็นเหยื่อล่อชั้นดีที่ไปถูกใจลุงมั่นเข้า”

“แล้วทีมงานพวกนั้นหละครับ?”

“กว่า 80% ของทีมงานไม่มีใครรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำงานให้ใคร จะมีเข้าทางหน่อยก็เป็นเพียงทีมงานซึ่งถูกปลอมแปลงชื่อเข้ามาพวกนั้น พวกเขาเคยเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมรายการทั้งสิ้น และรู้วิธีหาทางเอาตัวเองรอดจึงเลือกเข้ามาทำงานให้  หัวหน้าทีมงานคนนั้นก็คือหนึ่งในทีมงานกลุ่มนี้”

เราทั้งคู่พยักหน้ารับรู้เรื่องราวทั้งหมด ก่อนที่ผมและไอ้ภพจะรวมเงินของตนเองเพื่อฝากให้พี่เมฆนำไปมอบแก่ครอบครัวลุงคำตามความตั้งใจ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นพวกเราทุกคนก็ขออนุญาตพี่เมฆกลับ โดยที่ผมกับไอ้ภพไม่มีใครได้พูดอะไรกันเลย เนื่องจากเมื่อแยกตัวกันออกมา ไอ้ภพก็กลับไปที่รถและขับออกไปทันที

ภาพที่รถของไอ้ภพเคลื่อนตัวออกไปทำให้ใจของผมรู้สึกสั่นไหว แผ่นหลังที่ไม่เคยเดินหนีผม ได้สร้างความเจ็บปวดจนน้ำตาพร้อมไหลออกมาได้ทุกเมื่อ แต่พอได้คิดถึงสิ่งที่ตนเองเลือกแล้วนั้น ผมก็ไม่มีสาเหตุที่จะต้องโกรธไอ้ภพ สิ่งที่ผมกำลังเผชิญคือสิ่งที่ควรและผมต้องยอมรับ นั่นจึงทำให้ผมได้ปล่อยไอ้ภพและคืนอิสระให้มันตามที่ผมต้องการก่อนจากมา

กาลเวลาพากายและใจของผมให้เดินหน้า เรื่องความคิดถึงไอ้ภพจึงค่อยๆคลายลงไปบ้างตามจำนวนความเครียดที่ถาโถมเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน  ความกวนของไอ้วุฒิและงานที่เพิ่มพูนมากขึ้นได้ทำให้ผมไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่นมากนัก รวมถึงเรื่องคำนินทาหนาหูเกี่ยวกับผมซึ่งกระจายไปทั่ว ข่าวท่าทีที่ผิดแปลกไปของผมทำให้คนใน ม. นำไปวิเคราะห์กันเองอย่างเป็นสนุกสนาน จากแค่คิดว่าผมยังคงติดค้างกับรายการ ก็เริ่มกล่าวถึงเหมือนว่าผมเป็นบ้า คิดไปเองเรื่องผีเรื่องวิญญาณ จนผมต้องสร้างกำแพงป้องกันตนเองมากขึ้น แต่สุดท้ายผมก็ได้เจอบุคคลหนึ่งที่ทำให้กำแพงผมพังลง

ช่วงนั้นผมต้องไปทำงานและค้นคว้าที่หอสมุดของมหาลัย  ด้วยความที่เอาแต่หางาน ผมจึงไม่ได้สังเกตเลยว่าท้องฟ้าภายนอกได้เปลี่ยนสีไปแล้ว กว่าที่จะรู้สึกตัว ทั้งหอสมุดก็มีเพียงเสียงประกาศเตรียมปิดหอสมุดแล้วเท่านั้น ผมจึงรีบเก็บของทั้งหมดแล้วเดินไปยืนรอลิฟท์ซึ่งกำลังลงมาจากชั้นบน เมื่อเปิดเข้าไปร่างกายผมถึงกับต้องชะงัก เพราะในลิฟท์ตัวนั้น มีเพียงนักศึกษาชายสองคนยืนอยู่ แต่ทว่าที่ด้านหลังของนักศึกษาชายคนหน้าสุด กลับมีผู้หญิงอีกคนยืนประชิดหลังด้วยแววตาอาฆาต

ผมหลับหูหลับตาเดินเข้าไปในลิฟท์โดยมีสายตาของผู้หญิงคนนั้นจ้องมาไม่กระพริบ  ด้านในสุดของลิฟท์จึงกลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายที่พลางอาการสั่นกลัวของตัวผมได้ ผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ด้วยกันก็ทำเพียงกดโทรศัพท์เล่นไปมา ไม่ได้รับรู้เลยว่าที่นี่กำลังไม่ปลอดภัย จนลิฟท์ลงมาถึงชั้นล่าง ผู้ชายคนหน้าสุดก็เดินออกไปโดยมีผู้หญิงคนนั้นตามไปด้วย เป็นเช่นนั้น ผมจึงต้องรีบก้าวตามออกไปบ้างเพราะต้องการที่จะเดินทางกลับหอให้ไวที่สุด

“ถ้าไม่อยากเห็นอีก  ก็อย่าพึ่งเดินออกไปจะดีกว่าครับพี่มิว” เสียงเรียกของผู้ชายด้านหลังสุด หยุดช่วงขาของผมในทันที ก่อนจะหันไปสบตาแล้วถามถึงสาเหตุที่เขาห้ามผม

“หมายความว่าไง?  เรารู้จักพี่ด้วยเหรอ”

“ข่าวของพี่ดังไปทั่ว ม. แบบนี้ยังไม่คนไม่รู้จักพี่อีกเหรอครับ 555”

“แล้วเราเชื่อด้วยหรือไง?”

ผู้ชายคนนั้นทำเพียงแค่พยักหน้าแล้วดันให้ผมออกจากลิฟท์ไปพร้อมกัน  ตลอดทางผมได้มีโอกาสพูดคุยกับเขาและพบว่า เราสองคนมีชะตากรรมไม่ต่างกัน เขาเป็นนักศึกษาปีหนึ่งต่างคณะกับผม ที่ต้องทนอยู่กับสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นมาทั้งชีวิต เรื่องราวคำนินทาที่เขาได้ยินจึงกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เขาสนใจผมมากขึ้น แต่ด้วยเพราะไม่มีลู่ทางเข้าหาผม  เหตุการณ์เมื่อครู่จึงกลายเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะทำให้เขาสร้างความมั่นใจให้ผมได้

“ผมรู้ว่ายังไงพี่ก็ไม่มีทางชินได้เร็วแน่ ขนาดผมยังต้องใช้เวลาเป็นสิบปีกว่าจะยอมรับ เรื่องผีเรื่องวิญญาณพวกนั้น ถ้าไม่มีความจำเป็นก็ให้เมินไปเถอะครับ ไม่มีใครที่ช่วยเหลือคนอื่นได้ตลอดเวลา”

จากนั้นไม่นานนักชีวิตของผมก็ละทิ้งจากบทบาทความเป็นนักศึกษาไป  เหลือเพียงแต่ผู้ชายตกงานคนหนึ่งที่ถูกเพื่อนสนิทลากพาไปสมัครงานตามบริษัทต่างๆ จนกระทั่งพวกเราทั้งคู่ถูกเรียกตัวเข้าไปทดลองงานในสถานที่แห่งหนึ่ง ด้วยเงินเดือนที่สูงพอตัว บวกกับเป็นสายงานที่พวกเราจบกันมา ผมและไอ้วุฒิจึงไม่รอช้าที่จะตอบรับและยังคงยืนยันที่จะเช่าห้องอยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง 

ตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตวัยทำงาน รอบกายของผมก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากไอ้วุฒิมักจะมองผมด้วยสายแปลกๆอยู่บ่อยครั้งเวลาที่ผมเผลอ และไม่ใช่แค่มันเท่านั้น คนอื่นในบริษัทรวมถึงผู้คนที่เดินสวนกันอยู่ด้านนอกก็ทำไม่ต่างกัน ผมจึงทำได้แต่เพียงไม่สนใจ เพราะพยายามถามความจริงหลายต่อหลายครั้ง ก็ไม่มีใครสักคนพยายามจะตอบผมนอกจากการเบี่ยงประเด็นชวนพูดคุยเรื่องอื่น จนผมต้องปลงและดำเนินชีวิตเรื่อยมาจนถึงวันนี้

หลังจากผมโดนไอ้วุฒิเรียกสติให้กลับมาทำงานเมื่อตอนบ่าย ผมก็รีบพาตนเองให้กลับมาจดจ่อกับสิ่งที่ได้รับ ไม่นานนักไอ้วุฒิก็ขอตัวออกไปที่อื่นก่อนโดยอ้างว่ามีธุระ ทิ้งให้ผมทำงานต่อและกลับห้องคนเดียว แม้จะทำให้ผมแปลกใจไปบ้างกับอาการรีบร้อนขนาดนั้น แต่ก็ถือว่าเป็นข้อดีที่จะทำให้ผมมีเวลาไปเที่ยว พอตกเย็นผมจึงขอปลีกตัวไปเดินเล่นในห้างคนเดียวตามประสาคนที่ไม่มีอะไรทำหลังเลิกงาน

บรรยากาศรอบตัวผมเปลี่ยนไปทันทีที่เดินเข้าสู่ตัวห้าง หลายคนในนั้นต่างก็จับจ้องมาที่ผมด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน บางคนมองหน้าผมแล้วยิ้มให้ บางคนมองหน้าแล้วทำเพียงสงสัย สร้างความอึดอัดใจให้ผมจนต้องหาทางหนี และเมื่อร้านหนังสือชื่อดังปรากฎตัวอยู่ตรงหน้า ผมจึงรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปเพื่อหาหนังสือที่ทำให้ตนผ่อนคลาย  ทว่าเมื่อเข้ามาได้ สายตาของผมก็ถูกหยุดอยู่ที่หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่ตีแผ่ข่าวของคดีความมาจนถึงตอนนี้ เผยเบื้องลึกที่หนังสือพิมพ์อื่นไม่เคยทำ

ผมมองเนื้อหาข่าวสลับกับรูปในภาพไปด้วยขอบตาร้อนผ่าว เป็นเวลานานแล้วที่ผมไม่ได้กลับมาสนใจเรื่องความรู้สึกตนเองที่ละเลยไป  ภาพแตกๆในหนังสือพิมพ์ ฉายชัดภาพของชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ในที่เกิดเหตุ แม้จะไม่ละเอียดมากแต่ผมก็เดาได้ว่าผู้ชายสองคนนั้นคือผมและไอ้ภพ  ใจของผมตอนนั้นเหมือนโดนบีบเอาไว้จนปวดไปหมด ผมจึงหยิบหนังสือพิมพ์นั่นติดมือมาแล้วเดินไปจ่ายเงิน พลางความคิดก็ได้แต่ภาวนาให้โชคชะตาพาไอ้ภพกลับมาหาผมเสียที 

และมันก็เกิดขึ้นจริง….


“Happy Birthday โว้ย!! ไอ้มิว มีความสุขมากๆนะมึง  ตกใจเลยปะ?”

ไอ้วุฒิกระโจนเข้ามาหาผมทันทีที่เปิดประตูห้อง พร้อมกันนั้นมันก็ดึงพลุกระดาษจนผมถึงร้องออกมา เสียงหัวเราะมากมายดังประสานอาการสติหลุดของผม  ก่อนที่ตัวผมเองจะเริ่มยิ้มและหัวเราะตามไปกับเขาบ้าง เนื่องจากในห้องนอนของผมตอนนี้ถูกประดับประดาไว้ด้วยเครื่องตกแต่งจัดปาร์ตี้เล็กๆ พร้อมไฟสีสวยให้ห้องแปลกตายิ่งขึ้น

“นี่วางแผนกันมานานแค่ไหนเนี่ย 555 ขอบคุณมากๆนะ”

“ก็นานพอที่จะทำให้กูรู้ว่า มึงลืมวันเกิดตัวเอง”

ไอ้วุฒิเล่าให้ฟังว่ามันวางแผนกับพี่ในแผนกรวมถึงเพื่อนสนิทพวกผมหลายวันเพื่อจะจัดงานให้ เนื่องจากทุกคนให้ความเห็นว่าเรื่องราวที่ผมเคยเจอมามันยังไม่เคยถูกบำบัดด้วยความสุขเลยสักครั้ง  งานวันนี้ทุกคนจึงตั้งใจอย่างมากที่จะช่วยเยียวยาให้ผมกลับมาเป็นปกติ ดังนั้นจึงผมยิ้มให้กับทุกคนเชิงขอบคุณ แม้จะรู้ว่าตนเองไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่ว่าไว้

“เอ้า อธิษฐานเร็วเพื่อน อยากได้อะไร อยากขออะไร ก็ทำซะ”

ไอ้วุฒิยื่นเค้กที่มีแสงเทียนประดับมาให้ผม หลังจากการร้องเพลงวันเกิดเสร็จสิ้น สร้างรอยยิ้มให้เกิดขึ้นบนหน้าผมจนแก้มแทบปริ  เมื่อชั่วโมงก่อนผมได้รับสายจากพี่เมฆโทรเข้ามาหาผมเพื่ออวยพรวันเกิด ผมจึงแอบสอบถามความเป็นไปของไอ้ภพเหมือนอย่างทุกครั้งที่ได้คุยกัน แต่คำตอบก็ไม่ต่างจากหลายๆครั้งนัก ผมจึงเลิกสนใจแล้วหันมาจดจ่ออยู่กับงาน โดยที่ตอนนี้ แสงเทียนซึ่งกำลังจะถูกผมเป่าดับในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ได้ทำให้กายของผมหยุดค้างไว้

ความร้อนของเปลวเทียนตรงนี้ได้นำภาพในอดีตหวนคืนสู่ปัจจุบันกาล เวลานั้นผมกับมันก็ต้องนั่งท่ามกลางแสงสว่างแค่เปลวเทียนเหมือนกัน จะต่างก็แค่บรรยากาศที่รายล้อม น่าแปลกที่เมื่อนึกถึง ใจของผมกลับสั่นไหวและรู้สึกอบอุ่นขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมจึงต้องรีบสลัดความคิดตนเองทิ้งแล้วเป่าเทียนทั้งหมดจนห้องแห่งนี้มืดสนิท

“กูว่าห้องมืดแบบนี้ เรามาเล่าเรื่องผีกันดีกว่าไหม? บรรยากาศแม่งได้”

เมื่อเวลาเป่าเค้กจบลง เกมจำนวนมากมายก็ถูกเสนอขึ้นมาเล่น แต่ทว่าเกมที่ทุกคนสนใจมากที่สุดกลับเป็นการเล่าเรื่องผีซึ่งมีเพียงผมคนเดียวคัดค้าน ทุกคนที่อยู่ในห้องต่างรีบพากันนั่งล้อมวงโดยไม่ลืมลากผมให้นั่งลงมาด้วย พร้อมกับที่เพื่อนคนแรกก็เริ่มเล่าเรื่องผีจนขนในกายทุกคนลุกชัน ผมนั่งฟังแต่ละเรื่องไปด้วยตาที่รื้นขึ้นและต้องใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะต้องสะกดน้ำตาตนเองเอาไว้ เพราะไม่อาจบอกใครได้เลยว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำ มันยิ่งทำให้ภาพของไอ้ภพตราตรึงแน่นอนอยู่ในหัว

“มาเลยครับไอ้มิว ตามึงแล้ว กูรู้ว่ามึงมีเรื่องให้เล่าเยอะมาก”ไอ้วุฒิสะกิดผมจนกายสะดุ้งขึ้น ก่อนจะมีสายตาของทุกคนจ้องมาอย่างคาดหวัง

“เรื่อง…เรื่องของกู มีอยู่ว่า คือ มีผู้ชายคนหนึ่ง คือ”

“พอๆ เล่าตะกุกตะกักแบบนี้ใครจะฟังรู้เรื่องวะ เดี๋ยวกูลุกไปเปิดรายการเล่าผีให้ฟังเองดีกว่า”

เพื่อนสนิทของผมรีบบ่ายเบี่ยงเรื่องเล่าทั้งหมดทันทีจนผมถึงกับต้องหันไปมองหน้า ไอ้วุฒิทำแค่ยิ้มให้ผมเล็กๆแล้วเดินไปเปิดคลิปวีดีโอจากเว็บไซต์ ก่อนที่เสียงการพูดคุยกันในนั้นจะทำให้ผมนิ่งค้างไปอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยห้ามไม่ได้อีก

“มาที่สายถัดไปกันนะครับ คาดว่าหลายคนคงรู้จักบุคคลผู้เป็นเจ้าของสายนี้ดี เพราะเขาคือผู้รอดชีวิตมาจากรายการ horror house ซึ่งพึ่งจะจบคดีไปนะครับ วันนี้เขาจะมาบอกเล่าอะไรให้เราฟัง มาฟังพร้อมกันเลยนะครับ…สวัสดีครับ คุณเอกภพ

“ครับ สวัสดีครับ”

“วันนี้คุณจะมาบอกเล่าเรื่องราวอะไรให้พวกเราฟังกันเหรอครับ เกมซ่อนหา? มันหมายถึงอะไรครับ”

“มันเป็นประสบการณ์ที่พวกผมสองคนต้องเจอในเกมแต่คืนครับ วันนี้ผมจะลองเอาเรื่องผีในคืนแรกมาเล่าให้ฟัง”

“งั้นเชิญคุณเอกภพได้เลยครับ”

“ก่อนอื่น ผมคงต้องบอกก่อนนะครับว่านี่ไม่ใช่ประสบการณ์ของผมโดยตรง  มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่เข้าร่วมรายการด้วยกันกับผมครับ  เรื่องทั้งหมดมีอยู่ว่า…”

หลังจากนั้นเสียงเล่าเนื้อความสลับกับเสียงกลัวของดีเจก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง คลิปแรกที่ผมได้ยินเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเกมที่ผมต้องทำพิธีเปิดเนตรรวมถึงต้องเล่นซ่อนหา จนเมื่อคลิปนี้จบลง วีดีโอถัดไปก็เล่นขึ้นอย่างอัตโนมัติ เพลย์ลิสต์ที่ไอ้วุฒิเปิดให้ผมฟัง มันได้เก็บเอาเรื่องราวการเล่าเรื่องผีของไอ้ภพในรายการไว้ทั้งหมด ตั้งแต่เกมแรกจนกระทั่งวันหนีตายซึ่งไอ้ภพพึ่งจะสิ้นสุดการเล่าไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

ผมนั่งฟังไปทั้งน้ำตานองหน้า สะกดห้องแห่งนี้ให้มีแต่เสียงสะอึกสะอื้นของผมจนเพื่อนหลายคนต้องเข้ามาปลอบเอาไว้ เนื้อความที่ไอ้ภพถ่ายทอดนอกจากเรื่องผีที่ผมเจอแล้วนั้น มันยังบอกความรู้สึกที่เกิดขึ้นในแต่ละเกมว่าตอนนั้นมันเป็นอย่างไร  ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นั่น ไอ้ภพไม่ได้รู้สึกแตกต่างไปจากผม มันพยายามย้ำออกมาทุกอย่าง แม้กระทั่งความต้องการที่จะเห็นสิ่งเหล่านั้นแทน บทส่งท้ายที่ผมได้ยินของทุกคลิป จึงมีแต่คำพูดเดิมๆซึ่งสามารถกรีดใจของผมให้เจ็บเจียนตาย

“เอาหละครับคุณภพ  เรื่องของคุณมีผู้ชมส่งมาบอกว่าหลอนสิบกะโหลกเยอะเลยนะครับ  ไม่ทราบว่าเรื่องผีในป่านี่เป็นเรื่องสุดท้ายแล้วหรือเปล่าครับ?”

“ครับ หลังจากนั้นผมก็ถูกช่วยให้รอดออกมาได้”

“น่าเสียดายจังเลยนะครับที่คุณจะไม่มีเรื่องดีๆมาเล่าอีกแล้ว ผมขอถามคุณกลับดีกว่า ถ้าให้โอกาสอีกหนึ่งครั้งในการตัดสินใจเข้าร่วมรายการนั้น คุณจะยังเข้าร่วมไหมครับ?”

คำถามของพิธีกรดึงให้ใบหน้าของทุกคนหันกลับไปจ้องรอลุ้นกับคำตอบ หลังจากที่ไอ้ภพฟัง มันก็หายเงียบไปนานนับครึ่งนาที จนกระทั่งคำตอบของมันได้เริ่มขึ้น ทุกคนในห้องต่างก็ต้องก้มหน้าพลางเช็ดน้ำตาที่ไหลซึมพร้อมกัน

“อย่างที่ผมเคยบอกในทุกๆครั้งนะครับ ว่าสาเหตุที่ผมมาเล่า ก็เพราะผมต้องการระบายความคิดถึงต่อผู้เป็นเจ้าของเรื่อง  ผมกับเขาเราไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว  ครั้งสุดท้ายเขาจากผมไปทั้งน้ำตา ผมก็ได้แต่หวังว่าถ้าเขาได้ฟัง เขาจะกลับมาหาผมด้วยรอยยิ้ม  ฉะนั้นถ้าผมมีโอกาสที่จะเลือกอีกครั้ง  ผมก็ยังจะเข้าร่วมครับ ถ้ามันจะทำให้ผมได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับเขา แม้สุดท้ายตอนจบ…อาจเป็นผมที่ตาย

“งั้น อย่างเคยนะครับ ผมจะให้พื้นที่คุณตรงนี้ในการตามหาเขา”

“มิว กูไม่รู้ว่าตัวกูทำอะไรผิด มึงถึงเดินจากกูไปทั้งแบบนั้น ถ้ามึงได้ฟังรายการนี้อยู่ ได้โปรดรับฟังแล้วเข้าใจกูว่า กูไม่ได้อยากอยู่กับมึงเพราะความเคยชิน กูอยากอยู่กับมึงเพราะกูเลือกแล้วว่าใครคือคนที่กูพร้อมจะอยู่ด้วย กลับมาหากูได้ไหม? ชีวิตกูไม่มีความสุขเลย กูจะนั่งรอมึงอยู่ที่ร้าน XX ใกล้กับสถานที่นัดพบนะ รอ…เหมือนอย่างที่เคยรอมาตลอด”

“น่าเศร้าเลยนะครับ ยังไงผมขอเอาใจช่วยให้คุณเจอกับเขาไวขึ้นนะ แล้ววันนี้ไม่พูดประโยคนั้นแล้วหรอครับ?”

“ผมยังมีเวลาอยู่เหรอครับ?”

“ถือว่าครั้งสุดท้ายแล้วกัน เชิญคุณภพได้เลยครับ”

“ขอโอกาสให้กูอีกสักครั้งได้ไหม? คำสัญญาของกูมันยังมีไว้เพื่อมึงเสมอ กูพร้อมจะรอ พร้อมจะทำทุกอย่างเท่าที่มึงต้องการ ขอเพียงแค่มึงกลับมาหา เว้นแต่ว่า มึง…จะไม่กลัวผีแล้ว”

คล้ายกับความรู้สึกถูกหยุดเอาไว้  สิ่งที่ผมเคยทำต่อมันกลายเป็นความรู้สึกผิดที่ทำให้ผมละอายใจ ใบหน้าของทุกคนในห้องต่างจับจ้องมาที่ผมอย่างสงสาร ไอ้วุฒิจึงเดินกลับมาดึงผมไปกอดปลอบเอาไว้ พร้อมกับการปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเป็นเพื่อนผม

.
.
.
(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 20-06-2017 20:28:04
“มิว เค้กก้อนนี้ไม่ใช่เพียงของขวัญที่กูอยากให้ แต่มันเป็นเหมือนเครื่องยืนยันว่าตอนนี้มึงไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้วนะ  ความคิดความอ่านมึงต้องโตขึ้น  คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาย่อมตัดสินใจได้ว่าอะไรที่ควรจะทำเพื่อตนเอง”

“กูควรทำยังไง ฮึก”

“ปิดสมอง แล้วใช้หัวใจมึงนำทางซะ อย่างน้อย ก็ให้มันได้ตัดสินว่า ใครที่เป็นเจ้าของมันจริงๆ”


2 เดือนถัดมา…


กลิ่นข้าวต้มโชยผ่านจมูกผมไปจนท้องไส้เริ่มส่งสัญญาณประท้วง วันนี้หลังจากที่ตื่นนอนผมก็ลุกขึ้นมาทำอาหารเช้ากันการหิวที่จะเกิดขึ้นระหว่างวัน และเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วนั้น ผมจึงเดินออกจากครัวไปตรวจความเรียบร้อยของถังสังฆทานบนโต๊ะอีกครั้ง จนเห็นแล้วว่าไม่ได้ลืมหรือมีอะไรขาดหาย หน้าที่อย่างสุดท้ายของผมจึงผลักดันให้ผมกลับไปที่ห้องนอนแล้วทำการปลุกบุรุษขี้เซาให้ตื่นขึ้น

“ภพ ไอ้ภพ!! ตื่นได้แล้ว ไปกินข้าว”

ผมนั่งเขย่าตัวมันอยู่ข้างๆเตียง พลางจ้องใบหน้างุ้มงออย่างขัดใจยามโดนรบกวนการนอนหลับ เมื่อคืนไอ้ภพต้องทำงานอยู่ดึกดื่น มันจึงได้นอนไปเมื่อช่วงใกล้เช้าเท่านั้น ตามความจริงผมก็ต้องการให้มันนอนพักผ่อนร่างกายต่อไปอีก แต่ในเมื่อมันอุตส่าห์ขับรถพาผมไปเลือกของสังฆทาน ผมจึงมีความจำเป็นที่จะต้องปลุกมันให้ลุกขึ้นไปตามแผนการที่เราทั้งคู่วางเอาไว้

“ขออีกสิบนาที”เสียงงัวเงียตอบกลับมา ทั้งที่ตายังลืมไม่ขึ้น

“ไม่ได้  ตื่นได้แล้วไอ้ภพ มึงจะไปตอนพระท่านจำวัดหรือไง ลุกได้แล้ว”

“อืม ขออีกนิดเดียวนะ”

“พี่ภพ…ตื่นได้แล้วครับ”

เมื่อทำอย่างไรไอ้ภพก็ไม่มีทางตื่น ผมจึงก้มหน้าไปพูดประโยคนั้นที่ข้างหู ตาของไอ้ภพจึงเปิดขึ้นมาโดยทันที ก่อนที่วงแขนของมันจะเกี่ยวร่างกายของผมให้ลงไปนอนด้วยพร้อมส่งสายตาไม่พอใจมาให้ แต่กระนั้นผมกลับมองว่าเป็นภาพที่น่าตลกเสียมากกว่า มือข้างหนึ่งของผมจึงยื่นขึ้นไปนวดคลายที่หัวคิ้วให้ ก่อนจะนอนรอรับฟังคำบ่น

คำว่าพี่ ถือเป็นคำต้องห้ามสำหรับไอ้ภพ มันบอกกับผมว่าทุกครั้งที่ได้ยิน มันจะพาให้นึกถึงตอนที่ผมเดินจากไป มันจึงแสดงอาการไม่พอใจทุกครั้งที่ผมแหย่หรือแกล้งเล่น  แต่ถึงมันจะโมโหผมมากแค่ไหน มันก็ต้องยอมทนฟังบ้าง เพราะถ้าผมไปในที่สาธารณะกับมันแล้วมีคนรู้จักไอ้ภพอยู่ ผมก็ต้องเรียกมันว่าพี่เพื่อที่จะให้เกียรติมัน ต่อหน้าคนที่มองพวกเราสองคนกลับมาด้วย 

“เรียกอย่างนี้ทำไม? อยากโดนดีหรือไงมิว”

“555 ก็มึงไม่ตื่นเอง ไปอาบน้ำได้แล้ว…เดี๋ยวจะสายนะครับ”

ไม่ทันพูดจบ ไอ้ภพก็ยื่นใบหน้าของตนเองมาจูบที่หน้าผากผมแผ่วเบาอย่างที่มันต้องทำในทุกๆวัน  ผมไม่รู้ว่าการกระทำของมันเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร ตั้งแต่ที่ผมเดินกลับเข้ามาหามันอีกครั้ง ไอ้ภพก็พยายามที่จะดูแลผมทุกอย่างชนิดที่ว่ามันจะไล่ให้ผมไปลาออกจากงาน  ตอนนั้นผมต้องเถียงกับมันบ้านแตกเพราะผมไม่อาจอยู่เฉยๆเพื่อให้มันหาเลี้ยงผมได้แน่

คำพูดที่ไอ้วุฒิกล่าวกับผม มันทำให้วันต่อมาผมต้องนั่งรถฝ่าวิญญาณตามรายทางไปยังสถานที่นัดพบโดยไม่สนว่าตอนนั้นจะเริ่มมืดแล้ว  วีดีโอที่ไอ้วุฒิเปิดให้ฟังครั้งแรก มันระบุเอาไว้ว่าไอ้ภพโทรเข้าไปหารายการ หลังจากที่ผมกับมันแยกย้ายจากการให้ปากคำไปได้เพียงสามวัน เท่ากับว่ามันได้มารอผมอยู่ในร้านนั้นเป็นเดือนๆโดยที่ผมไม่มีทางได้รู้ เนื่องจากตัวผมแทบไม่ได้เปิดอินเทอร์เน็ตเล่นอีกเลยตั้งแต่ได้กลับมา

ผมรีบลงจากรถเดินหาร้านที่ไอ้ภพนัดเอาไว้ ก่อนจะพบว่ามันอยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่ผมยืนอยู่เท่าไรนัก แต่ทว่าไฟในร้านกลับปิดหมดคล้ายกับร้านปิดทำการไปแล้ว ตอนนั้นความรู้สึกผมย่ำแย่จนไม่อยากเดินต่อ แต่เพราะคิดว่าไอ้ภพอาจจะยังรอผมอยู่ ผมจึงตัดสินใจก้าวต่อไป และได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มคุ้นตา ซึ่งกำลังนั่งทอดสายตาออกไปยังถนนอย่างไม่รู้จุดหมาย จนกระทั่งเสียงฝีเท้าของผมดังเข้าไปใกล้ ใบหน้าหล่อเหลานั้นจึงหันกลับมาพร้อมตาที่เบิกกว้างขึ้น

ไม่มีเสียงเรียก ไม่มีการทักทาย ไอ้ภพก็วิ่งตรงเข้ามาหาผมพร้อมกับกระชากเข้าไปกอดเอาไว้แน่น ช่วงหน้าของมันซบลงไปบนไหล่ผม ก่อนที่ความรู้สึกอุ่นชื้นจะเกิดขึ้นลงบนสาบเสื้อ ตัวของไอ้ภพสั่นไหวเพียงเล็กน้อย มือของผมเลยเอื้อมขึ้นไปกอดปลอบมันไว้ แล้วจึงซบหน้าลงบนไออุ่นที่ร่างกายผมปรารถนามาตลอด

“จะนั่งจ้องหน้ากูอีกนานไหม? ทำไมไม่พูดอะไรเลย”ผมหยั่งเชิงถามมัน เนื่องจากตั้งแต่ได้เจอกันจนมันพาผมมาที่ร้านอาหารใกล้บ้าน  ไอ้ภพก็ยังไม่พูดอะไรนอกจากการนั่งจ้องหน้าผม

“คิดถึง”

“คิดถึง? คำเดียวเองเนี่ยนะ…เฮ้อ ตั้งแต่ในบ้านร้างนั่นแล้วนะภพ ที่มึงไม่ยอมพูดอะไรออกมาก่อนถ้ากูไม่พูด เอางี้ ครั้งนี้กูจะยอมเล่านิทานให้มึงฟังก่อนแล้วกัน”ผมก้มหน้าบ่นออกไปทั้งที่หัวใจเต้นรัว คำพูดคำเดียวสั้นๆสะกิดให้ใบหน้าผมร้อนผ่าว อาจจะเพราะสายตาหวานเยิ้มนั่นด้วยที่ทำให้ตัวของผมแทบทรุดลงบนโต๊ะ

“นิทาน?”

“อืม…มีผู้ชายอยู่คนหนึ่ง ต้องเข้าไปร่วมเล่นเกมในรายการที่กะจะฆ่าให้เขาตาย ตลอดการแข่งขันเขาต้องใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างกายผู้ชายอีกคนท่ามกลางความสามารถที่เขาไม่ต้องการ จากแค่เคยชินมันจึงเริ่มกลายเป็นความผูกพันที่ทำยังไงก็ตัดไม่ได้  เมื่อเขารอดชีวิตกลับมาเขาก็เป็นอันต้องแยกจากผู้ชายคนนั้น เพราะต้องการให้อีกฝ่ายได้มีเวลาทบทวนความรู้สึกตนเอง ว่ากล้าพอไหมที่จะใช้ชีวิตอยู่กับเขา นั่นดูเหมือนกล้าหาญใช่ไหม? แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย ชีวิตของเขาแทบไม่มีความสุข เวลาว่างเขาก็ได้แต่นึกถึงช่วงเวลาเก่าๆที่ทำให้เขายิ้ม และที่สำคัญนะ เขาคนนั้นยังคงกลัวผี กลัวสัมผัสแปลกๆเหมือนเดิม รอคอยแต่เพียงให้ชายคนเดิมหวนกลับมา”

“แล้วตอนจบเป็นไง?”

“ตอบไม่ได้หรอก เพราะอีกฝ่ายยังไม่ยอมเล่านิทานให้ฟัง”

“งั้นก็รีบกินข้าว เดี๋ยวกูจะพากลับไปฟังตอนจบของนิทานนั่นเอง”

บรรยากาศเดิมๆระหว่างกินข้าวเริ่มกลับมาจนทำให้ความรู้สึกของผมเหมือนถูกเติมเต็มไปด้วยสิ่งที่ขาดหาย  ไอ้ภพนั่งกินไปพลางลอบมองผมไปด้วยอย่างผิดลักษณะ ต่างจากผมที่มักจะแอบจ้องมองมันเป็นประจำอยู่เสมอ ตั้งแต่ในบ้านร้างหลังนั้น  จนแม้กระทั่งตอนที่เรานั่งข้างกันไปในรถตอนนี้

“แอบมองแบบนี้ไม่เบื่อหรือไง? มันก็มีแต่หน้าเดิมๆ”ไอ้ภพขับรถเลี้ยวเข้าไปจอดในบ้าน ก่อนจะหันใบหน้าของมันให้ผมจ้องมองเต็มๆตา

“แล้วมึงหละ แอบจ้องกูมากๆไม่เบื่อหรือไง?”

“ไม่เบื่อหรอก ไม่เคยเบื่อเลย ต่อให้ต้องจ้องทั้งชีวิต กูก็ไม่เบื่อ”

“เอ่อ…ภพ!! มึงไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า? ทำไมอยู่ดีๆมาพูดอะไรแบบนี้”

ผมอึ้งไปกับแววตาทอดหวานที่สื่อถึงผม ก่อนจะแสร้งถามมันไปเพื่อกลบเกลื่อนใบหน้าและมุมปากที่เริ่มยกยิ้มขึ้นมา แต่ผมยังยืนยันคำเดิมกับที่ถามไปเมื่อครู่ เนื่องจากไอ้ภพค่อนข้างเปลี่ยนไปมากจนผมตั้งตัวไม่ทัน  ไอ้ภพมีนิสัยกวนๆแฝงอยู่ อันนี้ผมเข้าใจและรับรู้มาด้วยตนเอง แต่ไอ้ภพโหมดที่ปากตรงกับใจนี่ผมรับไม่ทัน เพราะถ้ามันไม่โกรธหรือกำลังอ่อนแอ มันไม่มีทางที่จะบอกความรู้สึกออกมาเด็ดขาด

“เขินรึไง? มึงบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าอยากให้พูดความรู้สึกออกมาก่อน”

รอยยิ้มปิดท้ายก่อนลงจากรถแทบจะทำให้ผมละลายหายไปกับเบาะ  อานุภาพการทำลายล้างของไอ้ภพยังคงสูงและพร้อมจะจัดการผมได้ทุกเมื่อที่ได้เห็นมันยิ้มหรือหัวเราะ  มันเดินนำผมเข้าไปในบ้าน เปิดไฟจนสว่าง เผยให้เห็นพื้นที่ซึ่งเคยสะอาด รกไปด้วยเศษกระดาษหรืองานที่มันขนกลับมาทำ

“โห งานยุ่งขนาดนี้ยังมีเวลาไปโทรเล่าเรื่องผีอีกนะ..แล้วนี่อะไร เอาหนังสือพิมพ์มาตัดเล่นทำไมเนี่ย”

ไอ้ภพยิ้มน้อยๆให้กับผมก่อนที่จะแยกตัวไปยังโต๊ะทำงานซึ่งตั้งไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไรนัก  หยิบสมุดเล่มหนาขึ้นมาพร้อมกับลากกีตาร์ที่ผมไม่เคยเห็นติดมือมาด้วย  มันสั่งให้ผมนั่งลงอยู่ตรงโซฟากลางบ้าน แล้วจึงไปลากเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งด้านหน้าผม  ก่อนที่สมุดบนมือไอ้ภพนั้นจะถูกจับยัดลงบนมือผมแทน

“ลองเปิดอ่านดูนะ ตอนจบของนิทาน มันอยู่ในนั้นแหละ”

ไอ้ภพพูดทั้งที่นั่งจับสายกีตาร์ไปเรื่อยๆ นำให้คิ้วของผมเลิกสูงด้วยความสงสัย แล้วจึงตัดสินใจเปิดสมุดพวกนั้นดู  เนื้อความข้างในทำผมตาค้างไปพร้อมใจที่เต้นรัว น้ำตาเริ่มไหลซึมขึ้นมาคลอหน่วย จนมือที่ถือสมุดสั่นไปหมด

ภาพตัดปะรูปผมจากในกระดาษหนังสือพิมพ์รวมทั้งภาพที่แอบถ่ายผมจากระยะไกล ถูกนำมาแปะไว้ในกระดาษทีละหน้าพร้อมคำบรรยายที่กล่าวถึงความรู้สึกของมันที่มีต่อตัวผม  วินาทีนั้นผมต้องพยายามกลั้นเสียงสะอื้นทุกครั้งที่หน้าสมุดค่อยๆพลิกไป  ไอ้ภพพยายามถ่ายทอดทุกอย่างออกมาตั้งแต่วันแรกที่เราสองคนได้พบกัน ผ่านมุมมองทางความรู้สึกที่ผมไม่เคยรู้ ภาพแอบถ่ายรูปของผมคือสิ่งที่บอกว่าไอ้ภพ ไม่เคยห่างไปจากผมเลย  มันพยายามใช้เวลาส่วนหนึ่งติดตามผมโดยไม่แม้แต่จะเข้าหาหรือทักทาย

“ถ้าคิดถึงกู…ทำไมไม่เข้าไปหา ไม่เห็นหน้ากูหรือไงว่ามันไม่มีความสุข”

“เพราะกูไม่เคยรู้เลยว่ามึงเป็นอะไร ทำไมถึงหนีกูไปทั้งอย่างนั้น…กูเลยไม่กล้าพอที่จะเดินเข้าไปหา กูกลัวจะทนไม่ได้ถ้ามึงจะหนีกูไปอีก”

“เลยโทรไประบายในรายการผีอย่างนั้นเหรอ คิดว่าเท่รึไง”ผมเงยหน้ามองมันด้วยอารมณ์ที่รู้สึกผิด เสียงของมันดูเลื่อนลอยและเจ็บปวดมากยามที่กล่าวถึงตอนนั้น ผมจึงต้องหาทางเพื่อแก้ไขความรู้สึกของไอ้ภพตอนนี้

“เท่ไม่เท่ไม่รู้หรอก ความพอใจของกูมีเพียงการรับรู้ว่ามันพามึงกลับมาได้”

ผมยิ้มให้กับความคิดแบบเด็กๆของมัน ก่อนจะเอื้อนเอ่ยคำขอโทษที่กลั่นออกมาจากใจมากที่สุด ไอ้ภพมองหน้าผมแล้วจึงยิ้มขึ้นมาทั้งตาและปาก บ่งบอกให้ผมรับรู้ว่ามันมีความสุขมากที่ได้อยู่ข้างกันกับผม จนครู่หนึ่งที่เราต่างนั่งกุมมือให้อารมณ์ของทั้งคู่สัมผัสกัน ไอ้ภพก็ยื่นมือเข้ามาเปิดไปยังหน้าหนึ่งซึ่งมีเพียงรูปตัดแปะไว้พร้อมแววตาที่หม่นแสง มันเป็นรูป ของผมและไอ้วุฒิที่กำลังเดินกลับออกจากสถานที่นัดสอบปากคำ

“กูเจ็บนะ…ทุกครั้งที่เห็นรูปนี้”

“มันไม่มีอะไรหรอกนะภพ ผู้ชายในรูปเขาคือเพื่อนสนิทของกู เป็นคนที่คอยอยู่ข้างกู ในวันที่กูกลายเป็นตัวประหลาดของมหาลัย”

“กูรู้แล้วหละ แต่รู้ไหม? พอได้ยินมึงพูดแบบนี้ กูยิ่งอิจฉาเขา หน้าที่นั้นกูยังอยากทำมันทุกเวลานะ”

“ไม่ต้องอิจฉาหรอกภพ สิ่งที่เพื่อนกูทำมันเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะในรูปนี้หรือในอดีตที่ผ่านมา พวกกูก็อยู่ข้างกันมาเสมอ แต่สำหรับมึง มันเป็นสิ่งพิเศษ เพราะกูไม่สามารถไปเคียงข้างใครอย่างที่ทำกับมึงได้อีก”

“ไม่ต้องมาพูด แล้วมองกูแบบนั้น  กูเขิน…อยากรู้ไหมว่าทำไมหน้านี้มันถึงไม่มีตัวหนังสือเขียนไว้?”

“อืม  ทำไมถึงเว้นไว้หละ?”

“เพราะที่ว่างตรงนั้นมันมีไว้ให้มึง ได้เขียนความจริงที่จะลบความเจ็บปวดของกู”

ไอ้ภพเลื่อนใบหน้าเข้ามากระซิบข้างหูจนทำให้กายผมร้อนผ่าว วันนี้หัวใจผมต้องเต้นถี่จากการกระทำของไอ้ภพไปไม่รู้กี่ร้อยครั้ง และดูเหมือนว่าไอ้ภพจะจับสัมผัสอาการเขินอายของผมได้ มันจึงไม่รอช้าที่จะคว้าเอากีตาร์ตัวโปรดขึ้นมา แล้วเริ่มบรรเลงเมโลดี้เพลงรักหวานหูหลายต่อหลายเพลงที่สะกดให้ตาของผมจ้องมองเพียงแต่หน้าของมัน

“Would you be my nightmare?”

หลังจากท่วงทำนองสุดท้ายของเพลงหมดไป ไอ้ภพก็ลุกขึ้นมานั่งจ้องหน้าใกล้ๆผม ก่อนที่เสียงนุ่มทุ้มชวนฝันจะถามคำถามให้ผู้ฟังรู้สึกไม่เข้าใจ  ความหมายของมันไม่อาจสร้างภาพชวนเพ้อให้ผมตอบตกลงมันไปโดยไม่ทันได้คิด

“ฝันร้าย? หมายถึงอะไรอย่างนั้นเหรอ”ผมขมวดคิ้วถามเสียงแผ่ว ก่อนที่ริมฝีปากเปื้อนยิ้มของมันจะเริ่มคลายข้อสงสัย

“เวลาที่คนเราฝัน หลายคนก็อยากจะเห็นสิ่งดีๆที่เกิดขณะหลับ แต่พอลืมตาขึ้น เกือบทุกคนมักจะจำไม่ได้ว่าเขาฝันถึงอะไร ซึ่งต่างจากฝันร้ายที่ถึงจะไม่อยากเจอแค่ไหน พอได้ลองฝันไปแล้ว มันก็ต้องติดหัวติดตาไปตลอดแม้กระทั่งเราตื่นขึ้น  ไม่ต่างไปจากมึง ที่แรกเริ่มกูก็ไม่ได้อยากเจอหน้า พอได้มาอยู่ด้วยกัน มึงก็กลายมาเป็นภาพที่ติดหัวอยู่ตลอด แม้ครั้งหนึ่งมึงจะทำให้กูตื่นโดยการเดินจากไป”

“ถ้ามันไม่ดีต่อใจมึงขนาดนั้น จะอยากได้ความฝันนั้นกลับมาอีกทำไม?”

“เพราะกูรู้ว่าอะไรที่กูต้องการ ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นฝันร้ายที่สร้างเรื่องราวให้กูมากมาย แต่กูก็ยังอยากจะฝัน เพื่อสานต่อทุกอย่างให้จบ”

“แน่ใจแล้วใช่ไหม? ว่าปลายทางสุดท้ายจะอยากทิ้งมันไว้กับกู”

“อืม ปลายทางของกู…มันมีแค่มึงมาตั้งนานแล้ว”

คำพูดสุดท้ายของไอ้ภพได้ทำให้โลกของผมกลับมาเป็นปกติ  เหตุการณ์ตอนวันเกิด เป็นเรื่องที่ทุกคนจงใจให้เกิดขึ้น เนื่องจากทุกคนได้ฟังเรื่องราวการตามหาและเริ่มเดาได้ว่าผมเป็นอะไร ไอ้วุฒิจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ถูกนำมาช่วยเหลือผม จนทำให้วันนี้พวกผมสองคนมีโอกาสได้กลับมาทำบุญด้วยกันอีกครั้งหลังจากที่จบรายการนั้นมา

“ร้อนเหรอ มึงอยากกลับเลยไหม?”ผมหันไปถามไอ้ภพที่นั่งทอดสายตาไปเงียบๆ หลังจากที่พากันมานั่งให้อาหารปลา

“หืม? เปล่าหรอก กูแค่นึกถึงตอนที่มึงกับกูไปหาน้ำเก้าวัด จำได้ไหม? มันจะมีอยู่วัดหนึ่งที่มีบึงแบบนี้ ตอนนั้นกูอยากพามึงไปนั่งให้อาหารปลาแบบนี้มากเลย”

“วันนี้ก็พามาแล้วไง ไม่ต้องคิดมากเป็นคนแก่แล้วนะ”

ผมหัวเราะให้กับท่าทีแปลกๆของมัน ก่อนจะหันไปมองหน้าคนที่พึ่งบอกว่าไม่ร้อน เหงื่อมากมายไหลซึมออกมาจนชุ่มใบหน้า   กระดาษทิชชู่ในกระเป๋าจึงถูกผมหยิบขึ้นมาซับเอาน้ำใสๆออกไปจากหน้ามันโดยอัตโนมัติ รั้งให้ใบหน้าของมันหันกลับมามอง พลางขยับเข้ามาใกล้จนปลายจมูกแทบชิดกัน

“หยุดเลย ภพ นี่ในวัดในวามึงจะมาทำอะไรแบบนี้เนี่ยนะ?”ผมขยับใบหน้าถอยห่างออกมาได้เพียงนิด เนื่องจากไอ้ภพใช้มือของตนเองมารั้งเอาไว้

“แล้วไง ตอนกูช่วยมึงกลับมา กูก็ทำในวัดเหมือนกัน”

“มึงทำอะไรกู?”

ไอ้ภพยักไหล่เบาๆอย่างไม่สนใจ ก่อนที่ใบหน้าของมันจะเลื่อนเข้ามากระซิบประโยคบางอย่างที่ข้างหูผม หลังจากนั้นลมหายใจของผมก็ถูกช่วงชิงไปโดยไอ้ภพทันที รสจูบที่ไอ้ภพมอบให้ไม่ได้ดูดดื่มหรือเร่าร้อนอย่างในหนัง หากแต่มันกลับส่งผ่านความรู้สึกมาให้ผมได้ทั้งหมด หวานหอมเสียจนร่างกายผมไม่ต่างกับถูกผนึกให้อยู่ข้างกายไอ้ภพไปชั่วนิรันด์


“ถ้าอยากรู้…ก็คอยดูแล้วกัน”






THE END

เอาตอนสุดท้ายของภพมิว มาให้แล้วนะครับ  ยอมรับเลยว่าผมค่อนข้างใจหายที่ต้องเขียนคำว่า The end แทนคำว่า TBC
แต่ถึงอย่างไร เกมชีวิตของภพมิว ก็ต้องฝ่าฟันกันไปต่อ พวกเขาจะยังคงมีชีวิตอยู่ภายใต้เล้าแห่งนี้ เดินขนานไปกับการใช้ชีวิตของทุกคน  ฉะนั้น หากวันใดที่ทุกคนคิดถึงความทรหดของคู่นี้ ก็ให้เข้ามาเจอกันในนี้นะครับ ไม่ก็ซื้อหนังสือได้ 55555

ก่อนอื่นเลย ต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกคนเป็นอย่างมากนะครับ ที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งให้นิยายเรื่องเเรกในชีวิตของผมเต็มไปด้วยความทรงจำมากขนาดนี้  หลายคนคือนักอ่านที่ผมคุ้นหน้ามาตั้งแต่ลงตอนแรกและอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนสุดท้าย หลายคนคือนักอ่านหน้าใหม่ที่เข้ามาให้กำลังใจผมมากขึ้นเรื่อยๆ  ขอขอบคุณเป็นอย่างมากนะครับ มันเป็นกำลังใจให้ผมมากเลย ส่วนคำชมต่างๆ ผมจะเก็บมาเป็นกำลังใจในการเขียนงานเรื่องต่อๆไปนะครับ  ผมยังมีข้อผิดพลาดอีกมาก  สัญญาเลยว่า ถ้ามีโอกาสได้เขียนเรื่องหน้าอีกครั้ง ผมจะทำให้ดีกว่าเดิม จะพัฒนาภาษาให้แข็งขึ้นกว่าเดิมด้วยครับ

ตอนสุดท้ายนี้ ผมตั้งใจเขียนออกมาให้ดีที่สุด เพื่อตอบแทนคำติชมของทุกคน ถูกใจไม่ถูกใจยังไง ขอโทษนะครับ ผมเชื่อว่าสำหรับตอนจบแบบนี้มันดีสำหรับคนทั้งคู่แล้วครับ 

รักนักอ่านทุกคนมากๆครับ
P-Rawit

ลืมบอกครับ  5555  ผมจะมีตอนพิเศษลงเว็บให้อีกตอนนะครับ  มารอดูกันว่าจะเป็นเรื่องราวของอะไร ส่วนที่เหลือจะอยู่ในหนังสืออีกสามตอนนะครับ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 20-06-2017 20:52:45
ดีมากๆๆ เลย ขอบคุณคนแต่งมากๆ เลยนะคะที่แต่งเรื่องนี้มาให้อ่านกัน
คือชอบมาก ติดมาก แบบ จดจ่อรอให้ถึงวันอังคาร
ลุ้นไปตลอดเรื่อง ขอบคุณจริงๆ สำหรับนิยายเรื่องนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Apinnoolek ที่ 20-06-2017 20:54:25
สนุกมากค่าา รอติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปนะคะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: nugnig7 ที่ 20-06-2017 21:00:39
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
จบแล้ววววว แง ดีใจที่เรื่องราวคลี่คลายและภพมิวไม่ต้องพบความยากลำบากอีก แต่อีกใจก็ใจหายที่
ต่อไปจะไม่ได้อ่านภพมิวแล้ว ในเล่มจะมีตอนพิเศษเพิ่มมั้ยคะ
ก่อนอื่นเลยต้องขอขอบคุณคนเขียนมาก้ลยนะคะที่แต่งเรื่องสนุกๆหลอน(มาก)แบบนี้มาให้อ่าน เรานี่ลุ้นแทบทุกตอน
เป็นนิยายที่ทำให้เราติดตามหนักหน่วง ถึงมันจะหลอนผีจะโหดแค่ไหนเราก็อดใจไม่อ่านไม่ได้จริง
รักภพมิวมากรักคนแต่งด้วย เราจะสนับสนุนต่อไป เรื่องนี้ก็จะตามเก็บเป็นเล่ม แล้วถ้ามีแต่งเรื่องใหม่
เราตามติดแน่นอนค่ะ อย่าลืมแจ้งข่าวด้วยเน้อ //ถวายทุเรียนเป็นของกำนัล

ป.ล ภพมิว ในที่สุดก็มีความสุข นี่สิคำว่าร่วมทุกข์ร่วมสุข ฮือออ ประทับจายยย
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย[END] (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 20-06-2017 21:10:08
โอยย ยินดีกับภพมิวสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังผ่านเรื่องร้ายมาหนักหน่วง   
ขวัญเอ้ยขวัญมานะภพมิว
จะรออุดหนุนหนังสือนะคะ แอบแว๊บเข้าไปเห็นปกมาแล้ว อิอิ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย[END] (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 20-06-2017 22:27:22
เป็นนิยายที่อ่านแล้วหลอนดีมากค่ะ คนเขียนเก่งมากๆที่ทำให้อ่านแล้วรู้สึกกลัวได้ขนาดนี้
ยิ่งกว่าดูหนังผีอีกกก รอติดตามผลงงานเรื่องต่อไปเน้อออ เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย[END] (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 20-06-2017 23:16:08
ไม่น่าเชื่อว่าจบแล้ว 55555
ตอนจบหวานมากด้วย  :mew1:
ดีใจที่จบแบบแฮปปี้นะคะ แต่ยังมีผีโผล่มาให้ตกใจอีกนิดหน่อย :hao7:

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย[END] (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: ่KEI_jry ที่ 20-06-2017 23:24:58
จบแล้วจริงๆหรอเนี่ย ฮือๆๆๆ :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย[END] (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 20-06-2017 23:58:54
นี่มิวต้องแยกคนกับผีไม่ออกไปทั้งชีวิตเลยเหรอ ฮือออ แอบใจหายจบแล้ว แล้วเราจะรออ่านอะไรทุกวันอังคารล่ัะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย[END] (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Pumpkin ที่ 21-06-2017 00:09:58
หวานสุดตั้งแต่อ่านมาก็ยกให้ตอนจบนี่แหละ ตอนพิเศษออกมาเมื่อไรค่อยจัดอันดับอีกที 555
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย[END] (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 21-06-2017 00:34:22
ก้อดีกว่าจากกันจิงๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย[END] (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: nuchhxk ที่ 21-06-2017 03:17:42
เป็นตอนจบที่ดีมากๆเลยค่ะ ประทับใจตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่องเลย รอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ  :katai3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย[END] (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 21-06-2017 10:30:02
โอ้ยยยจบแล้ววว เอาจริงๆคือทั้งรักทั้งเกลียดเรื่องนี้เลย
เกลียดเพราะมันหลอนมาก จนตอนเริ่มอ่านแรกๆต้องปรับเวลานอนกันเลยทีเดียว
แต่รักเพราะมันสนุกมากกกก ครีเอตสุดๆๆด้วย
เป็นเรื่องที่ใช้เวลาอ่านนานมากกค่ะเทียบกับจำนวนตอนแล้ว เพราะอ่านได้แต่ตอนกลางวันเท่านั้น55555
ชอบภพมิวมากก และเกลียดฉากรพ.ที่สุดแล้วว หลอนแบบอ่านๆแล้วก้สะดุ้งเอง
เวลาอ่านเรื่องนี้ถึงจะอ่านตอนกลางวันก้ยังระแวงต้องมองรอบๆไปด้วย
สุดท้ายแล้วภพมิวก้มีฉากหวานกับเค้าซักที สารภาพว่าตอนแรกๆสวสัยว่าภพจะเป็นผีไปแล้ว5555
จะรอติดตามเรื่องต่อๆไปนะคะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
ปล.เรื่องนี้คำผิดน้อยมากกค่ะ อ่านลื่นมาก ชอบจุดนี้มากก
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย[END] (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 21-06-2017 16:53:03
 :sad4:  ต้อง(เกือบจะ)โบกมือลาเรื่องนี้แล้วหรอเนี่ยยยยย ใจหายแฮะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย[END] (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 21-06-2017 23:43:56
 :pig4: ขอบคถณนะค้า ขอบคุณที่จบอย่างมีความสุข ฮือๆๆๆ เสียใจ จบแล้วอ่า คือเราไม่ไเอ่านอะไรหลอนๆมาขนาดนี้นานละ แต่งดีมากจริงๆ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะค้า
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย[END] (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: yoichi21 ที่ 22-06-2017 11:15:11
 :z3: :z3: :z3: :z3:
เสียใจมาก จะจบแล้วเรื่องนี้
ติดตามมาตั้งนาน หลอกหลอนกันมาหลายตอน
ทำใจไม่ได้ถ้าต้องอ่านตอนกลางคืน
เป็นเรื่องโปรดเลยคะ
ขอบคุณมากๆ เลยที่มาเขียนเรื่องๆ ดีๆ และหลอนๆ ให้อ่านกัน
รวมเล่มแล้วบอกด้วยนะคะ หรือมีเรื่องใหม่มาก็จะติดตามอีกเช่นกัน

ปล. เรื่องหน้าเป็นเกี่ยวกับผีอีกมั้ยคะ  :ling3: :call:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย[END] (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: plugie ที่ 23-06-2017 08:43:13
ในที่สุดพี่ภพก็ได้น้องมิวกลับมา :hao7:
ตลกตรงโทรไปเล่าเรื่องผี มิวเจอมาขนาดนี้คิดว่าน้องมันจะไปเปิดรายการผีฟังหรอแค่นี้ก็เห็นทุกวันแล้ว ดีนะคุณเพื่อนน้องมิวช่วยเหลือไม่งั้นพี่ภพอาจนก ฮาาา

จบแล้วแอบใจหาย :mew6: เป็นนิยายวายที่หลอนที่สุดตั้งแต่อ่านมา แล้วคือบรรยายดีมากจนเราเอาไปหลอนตอนกลางคืน :hao5:
แต่เราชอบนะสนุกมากจริงๆ ถ้าใครชอบแนวผีๆกับแบบพวกตามหาฆาตกรคงชอบเพราะเราอ่านไปก็ลุ้นเป็นว่าใครเป็นคนร้าย
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย[END] (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 25-06-2017 05:11:00
รอตอนพิเศษ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย[END] (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: TonyPat ที่ 25-06-2017 16:11:09
ขอบคุณมากๆนะครับ ระทึกทุกตอน ตื่นเต้นทุกตอน สุดยอดแห่งนิยายก้อว่าได้ๆๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย[END] (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Lemon_Tea ที่ 25-06-2017 17:38:15
เวลาอ่านเรื่องนี้ทีไร มักจะเป็นตอนเย็นทุกที
นอนหลับสบายมากเลยแต่ละคืน

เรื่องนี้อ่านไป ก็หันซ้ายขวาไป หลอนจริงๆ
โมเม้นต์หวานภพมิวก็บ้าง นิดๆหน่อยๆ โอเคอยู่นะ

และอยากจะทิ้งท้ายไว้อย่างที่หลายๆคนเคยพูดกัน
"ผีที่ว่าน่ากลัว ยังไม่เลวร้ายเท่ากับจิตใจอันดำมืดของมนุษย์"
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย[END] (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 26-06-2017 06:10:54
ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกัน o13
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่30 ฝันร้าย[END] (20/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 26-06-2017 22:07:50
จบซะแล้วอ่าาาา มีตอนพิเศษมาลงให้อ่านไหมคะ ฮรืออ
อยากอ่านอีกก อัพเตอร์สตรอรี่ไรงี้ สเปเชียลไรงี้ ; A ; !

เรื่องนี้เป้นแนวสยองที่อ่านเรื่องแรกของปีเลยนะ น่าจะ 5555
ตามมาอ่านจากรีวิว เห็นว่าผีเยอะ น่ากลัว เราก็แบบ... จะน่ากลัวขนาดนั้นเหรอ
พอมาอ่าน เค กลัว อ่านตอนสามสี่ทุ่มด้วย สั่นเลย หลอนขนาด 55555
แต่งดีมากเลยค่ะ น่ากลัวมากก ตื่นเต้นระทึกดี อ่านแล้วอินดี มีฟิลลิ่งร่วม โดยเฉพาะความกลัวความหลอนเนี่ยยย
ตอนเรื่องยังดำเนินอยู่ไม่ค่อยได้เม้นต์เท่าไหร่ แอมซอรี่ ; w ; / ขอบคุณที่แต่งนะคะ!
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 30-06-2017 19:55:25
วันครบรอบ

การเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของทุกคน แรกเริ่ม ย่อมมีปัญหาที่ทำให้หลายคนไม่ชินหรือยังปรับตัวไม่ได้ จนแทบไม่น่าเชื่อว่าบางอย่างที่เปลี่ยนไปในชีวิต จะยังคงมีเรื่องที่ถือได้ว่าเป็นข้อยกเว้น นั่นก็คือสถานะทางความรัก สำหรับคู่อื่นเป็นอย่างไรผมไม่อาจทราบได้ แต่สำหรับผมและไอ้ภพนั้น ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่ต่างไปจากการใช้ชีวิตในบ้านร้างหลังนั้น ที่พอจะมองเห็นการเปลี่ยน ก็มีเพียงแค่ โลกของความจริงได้ทำให้เรามองเห็นแต่ละด้านของกันและกันเพิ่มขึ้น

นิสัยไอ้ภพในบ้านร้างหลังนั้นแสดงออกให้เห็นเพียงท่าทีจริงจังและเป็นคนไม่เปิดเผยความรู้สึกมากนัก นอกจากเวลาที่มันจะกวนผม พอได้ออกมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจริงๆ ผมถึงได้เห็นว่า แท้จริงแล้วไอ้ภพก็ยังมีมุมอื่นที่ทำให้ผมตกใจด้วย ทั้งอารมณ์ขันที่ชอบปล่อยมุกประหลาดๆออกมาจนทำผมปวดหัว ทั้งอารมณ์หวานที่ชอบแหย่ผมให้เขินอยู่เล่นๆเป็นประจำ และอีกหลายๆอารมณ์ที่ทำให้คนอย่างผมยอมติดตรึงอยู่กับมันโดยไม่คิดจะไปไหนอีก

ชีวิตของเราทั้งคู่ดำเนินมาเรื่อยๆจนใกล้จะจบปี มีทรหดอยู่บ้างเวลาที่ผมต้องไปเจอวิญญาณคุกคามด้านนอก แล้วไอ้ภพไม่รู้วิธีที่จะจัดการอย่างไรกับเรื่องนี้ นอกจากจะใช้วิธีบอกผมให้เคยชินจนปวดหัว แต่กระนั้นมันก็ยังไม่เท่ากับงานที่เพิ่มมากขึ้นหลังจากผมผ่านพ้นช่วงทดลอง  ไอ้ภพหัวเสียอยู่เป็นประจำเพราะผมต้องขนงานกลับมาทำที่บ้าน ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมไม่เข้าใจ เพราะมันก็นั่งทำงานอยู่ข้างๆผมเหมือนกัน 

ความจริงข้อหนึ่งที่ผมรู้ดีอยู่แก่ใจคือไอ้ภพเป็นคนที่มีนิสัยกวนตีนเป็นอย่างมาก เวลาที่ผมทำงานหนักมันจึงมักหงุดหงิดเพราะแกล้งผมไม่ได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นผลดีต่อผม สำหรับการแกล้งของมันก็ไม่ใช่การเล่นแรงๆจนผมเจ็บตัว มันแค่เดินเข้ามากอดผมไว้แน่นๆแล้วขโมยหอมแก้มผมจนช้ำ แม้จะรู้สึกดีแต่มันก็รำคาญเพราะใช้ชีวิตด้านอื่นไม่ได้ จนกระทั่งวันหนึ่งที่ทำให้ผมรู้ว่าความกวนตีนของไอ้ภพ มันไม่เคยมีที่สิ้นสุด บทจะแกล้งเล่นๆมันก็แทบไม่ทำอะไรผมเลย แต่พอมันจะแกล้งผมอย่างหนัก มันก็เล่นเสียผมต้องจดจำเรื่องนั้นไปจนตาย เฉกเช่นเรื่องนี้


“น้องมิวครับ ต้นเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ว่างไหมครับ?”


ระหว่างการนั่งกินข้าวเย็นในร้านอาหารแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ไอ้ภพก็ยื่นมือมาสัมผัสกับข้อมือผม พร้อมกับถามคำถามด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ผมผวา คำพูดเพราะๆหวานหูแบบนั้นไม่ใช่เรื่องที่ไอ้ภพจะทำเป็นปกติ อีกทั้งสายตาแพรวพราวของมันยังทำให้ผมต้องรีบชักมือกลับเพราะรู้สึกไม่ไว้ใจ

“มีอะไร? มึงไม่ต้องมาทำเสียงแบบนั้น กูกลัวนะภพ”

“ทำไมเหรอครับ? ภพก็แค่อยากเอาใจมิวบ้างแค่นั้นเอง”

“ไอ้ภพ!! ถ้าไม่พูดดีๆ กูจะลุกออกไปแล้วนะ”

“เออๆ ก็นึกว่าชอบ เห็นยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เวลาคุยกับพี่ที่บริษัท คิดว่าเมื่อเย็นกูไม่เห็นหรือไง?”

ผมถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ก่อนจะนึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนมาที่นี่ แล้วก็พบกับว่าพิษหึงของไอ้ภพกำลังทำให้มันเป็นแบบนี้ เนื่องจากว่าตอนนั้น ผมกำลังนั่งรอไอ้ภพมารับที่บริษัท พี่ที่อยู่ในแผนกเดียวกันเขาก็เดินมาขอความช่วยเหลือจากผม ด้วยเพราะสนิทกันอยู่แล้ว ผมจึงไม่ถือสาอะไรแล้วลุกขึ้นไปช่วย พอช่วงที่ผมกำลังจะกลับ พี่เขาก็เลยขอเดินออกมาพร้อมผมด้วย ก่อนจะแยกจากไปตรงรถของไอ้ภพพอดิบพอดี

“555 หึงเหรอ?? ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ นั่นพี่ที่แผนก เขามาขอความช่วยเหลือเฉยๆ ที่สำคัญเขาพูดดีกับกูก่อน จะให้มาขึ้นมึงขึ้นกูด้วยรึไง มึงนี่คิดมากเนอะ”ผมยิ้มตอบมันไปในขณะที่หน้ามันเริ่มนิ่ง บอกให้รู้ว่าอาการแบบนี้คือมันกำลังงอนผม

“กูก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่ชอบก็ไปหาพี่คนนั้นดิ”

“ถ้ากูไปจริงๆแล้วอย่ามาร้องโอดโอย ตามหากูในรายการผีอีกนะ”

“เออๆ เอาจริงๆ  ต้นเดือนธันวานี้ว่างไหม?”ไอ้ภพเลิกทำท่าทางชวนปวดประสาท แล้วเริ่มถามคำถามเดิมอย่างจริงจัง

“ว่างนะ ช่วงนั้นไม่ได้มีงานด่วนอะไรเข้ามาเท่าไร ทำไมเหรอ?”

“ก็อยากพาไปที่ที่หนึ่ง  เลยต้องถามความสมัครใจมึงก่อน”

“ที่ไหน? มึงไปทำอะไร  ถ้าทำงานกูไม่ไปนะ เดี๋ยวจะรบกวนเปล่าๆ”

“ไม่เกี่ยวกับทำงานหรอก แค่อยากพามึงไปหาอะไรสนุกๆทำ”

“งั้นก็ไป กูไม่ติดปัญหาอะไรอยู่แล้ว”

ไอ้ภพไม่ตอบอะไรกลับมานอกจากยิ้มหวานให้ผม ตอนนั้นผมไม่เคยได้รู้เลยว่าการตอบตกลงด้วยความสมัครใจจะทำให้ตนเองหลงเป็นเหยื่อรอยยิ้มอาบยาพิษนั่น  เพราะหลังจากนั้นไม่นานก็เข้าสู่เดือนธันวาคม มันจึงถึงเวลาที่ไอ้ภพจะพาผมไปยังสถานที่ที่มันบอกว่าสนุก ให้การรับรองเป็นอย่างดิบดีว่าผมจะต้องรู้สึกเคยชินและอินไปกับมันแน่นอน


นี่คืออะไร?...

ผมมองภาพความวุ่นวายตรงหน้าหลังลงมาจากรถ ไอ้ภพเดินเข้ามาอยู่ข้างตัวพลางยกยิ้มพร้อมแววตาวาววับให้ผมรู้สึกถึงสัญญาณอันตราย  สถานที่ที่มันพาผมมา ไม่ใช่สวนสนุกหรือว่าร้านอาหารใดๆทั้งสิ้น มันเป็นเพียงแค่โรงงานเก่าๆซึ่งตั้งอยู่บริเวณชานเมือง รอบกายก็มีคนที่คาดว่าจะมาจากกองถ่ายวิ่งกันให้ขวักไขว่ ส่งเสียงตะโกนถามหาพิธีกรและผู้เข้าร่วมเกมอยู่เป็นระยะ  รอบๆนั้นก็มีชาวบ้านมากมายเข้ามายืนมุงดูจนแน่นขนัด อากาศยามเย็นโพล้เพล้เช่นนี้จึงสร้างความหวั่นวิตกให้ผมกลัวได้ไม่น้อย

“มึงพากูมาที่นี่ทำไม?”ผมหันขวับไปมองหน้าไอ้ภพอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะเค้นหาความจริงจากมัน

“พามารำลึกความหลัง”

“รำลึกความหลังอะไร?  ไอ้ภพ อย่าแกล้งกูแบบนี้”

“ไม่มีอะไรหรอกมิว แค่พามาดูเฉยๆ”

หลังจากนั้นไอ้ภพก็ดันผมเข้าไปยืนมุงดูกับพวกชาวบ้าน  รายการที่กำลังจะถ่ายทำอยู่นี้เป็นรายการล่าท้าวิญญาณชื่อดังของประเทศ ออกอากาศให้ดูทางช่องฟรีทีวี นั่นจึงทำให้มีผู้คนมายืนเพื่อหวังจะดูพวกพิธีกร หรือพวกดารารับเชิญที่อาจจะเข้ามาเล่น แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามา ผมก็ยังเห็นแค่พิธีกรรายการ ที่กำลังถูกกำชับหน้าที่พลางแต่งหน้าไปด้วย กับคู่รักชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งถูกแยกเข้าไปนั่งในโซนรับรองเตรียมถ่ายทำคืนนี้

“ทีมงาน!! ทีมงาน!!! ช่วยตรวจสอบทีครับ ว่าคู่รักที่จะมาเข้าร่วมรายการอีกคู่มาถึงหรือยัง”

“ถ้าตรวจสอบจากใบรายงานตัวนี่ยังไม่มานะครับ เห็นมารายงานแค่คู่เดียว”

“เขาไม่รู้หรือเปล่า ทั้งคู่ชื่ออะไรครับ เดี๋ยวผมจะลองประกาศเรียกอีกที”

“ชื่อคุณภพ กับ คุณมิวครับ”


แค่เพียงเสียงทีมงานตอบกลับมา ผมก็หันตัวกลับไปมองไอ้ภพที่ยืนกอดผมจากด้านหลัง หน้าของมันเจื่อนลงเล็กน้อย ก่อนจะคว้าข้อมือของผมให้เดินตามกันเข้าไปยังสถานที่รายงานตัว  หลังจากนั้นผมก็ถูกพาไปนั่งที่โซนรับรองไม่ต่างจากตอนไปเข้าร่วมรายการ horror house เมื่อปีที่แล้ว แต่ยังไม่ทันที่จะนั่งพักให้หายหงุดหงิด ทีมงานก็วิ่งเข้ามาตามผมและคู่รักอีกคู่ให้เดินออกมารับฟังประวัติโรงงานแห่งนี้พร้อมกับผู้ดำเนินรายการสองคน 

“นี่คือผู้เข้าร่วมรายการในคืนนี้ครับ ผู้ชายสองคนนั้นชื่อมิวกับภพนะครับ ส่วนชายหญิงคู่นี้ชื่อพีกับอาย”

“อ่า สวัสดีทั้งคู่เลยนะครับ ผมทิมครับ ส่วนข้างๆกันนี่พี่เจนนี่ รู้กันอยู่แล้วใช่ไหมครับ?”

“ครับ/ค่ะ”

“งั้นเดี๋ยวมาฟังประวัติโรงงานแห่งนี้พร้อมกันนะ หลังจากฟังเสร็จ พวกคุณจะได้นั่งรออยู่อีกประมาณครึ่งชั่วโมงนะครับ เพราะพี่เจนนี่จะต้องเข้าไปถ่ายทำทั้งสองที่นั้นก่อน”

ผมยืนห่างออกมาจากไอ้ภพขณะรับฟังการบรีฟคำสั่งของทางรายการเพราะยังคงโกรธอยู่ ถามว่าผมกลัวมากมายขนาดนั้นไหม คำตอบคือไม่ เพราะที่แห่งนี้ด้วยสภาพของมันยังดูน่าเข้ามาเล่นเกมมากกว่าในบ้านร้าง ด้วยความที่มันใหญ่และมีพื้นที่มากมาย ผมจึงไม่รู้สึกว่าตนเองจะโดนคุกคามง่ายขนาดนั้น  อีกทั้งเขายังให้เข้าไปเล่นเป็นคู่ผมจึงไม่ค่อยรู้สึกมากเท่าไรนัก

โรงงานร้างแห่งนี้จะถูกแบ่งเข้าไปทำภารกิจในสองโซน คือโซนแรกนั้นจะให้ทีมคุณพีและคุณอายเข้าไปท้าทายในส่วนการผลิต โซนที่สองที่เป็นโกดังเก็บของจะให้ผมและไอ้ภพเป็นฝ่ายเข้าไป ตามตำนานของมัน ที่แห่งนี้มีประวัติอยู่ทั้งโรงงาน เนื่องจากว่าโซนการผลิตนั้นเคยเกิดเหตุเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ระเบิด จนทำให้คนงานเสียชีวิตกันไปเยอะพอสมควร ส่วนในโกดังเก็บของไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้มีคนตาย แต่ทว่าเรื่องเล่ากลับบอกเอาไว้ว่า ที่แห่งนี้ถ้าใครเดินมาตรวจของหรือเดินผ่านยามวิกาล ทุกคนก็จะได้พบกับวิญญาณของเหล่าผู้เสียชีวิตที่ยังคงวนเวียนทำสิ่งที่เขาติดค้างก่อนตาย

“เดี๋ยวพอคุณเจนนี่เดินกลับมา พวกคุณทุกคนจะต้องไปทำพิธีก่อนนะครับแล้วค่อยแยกย้ายกันเข้าไป”ผมพยักหน้ารับคำสั่งสุดท้าย แล้วจึงเดินแยกออกมาจากกลุ่มทันทีโดยไม่สนเสียงทัดทานของไอ้ภพ

“มิว!! จะไปไหน”ไอ้ภพวิ่งตามมาแล้วจับข้อมือผมไว้ หยุดร่างกายของผมให้นิ่งรับฟังมัน

“ไปนั่งรอสิ จะยืนอยู่ทำไมล่ะ”

“แล้วทำไมไม่รอเดินออกมาพร้อมกัน…โกรธเหรอ?”

“ภพ…เล่นอย่างนี้ เป็นใครก็โกรธ ถ้าอยากมาเข้าร่วมเพราะโปรเจคคู่รักของเขาก็ให้บอกกันตรงๆ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่”

“แล้วถ้ากูพูดแบบนั้นตอนแรก มึงจะมากับกูจริงเหรอ?”

“แน่นอนว่าไม่! แต่มึงก็รู้ไม่ใช่หรือไงว่าทุกครั้งที่กูปฏิเสธมึงไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม สุดท้ายกูก็ยอมตามใจทุกอย่าง”

“กูขอโทษนะ คราวหลังจะไม่ทำอีกแล้ว ดีกันนะ”ผมหัวเสียกับมันได้ไม่นาน ก็ต้องใจอ่อนอีกครั้งเพราะท่าทีสำนึกผิดบวกกับน้ำเสียงออดอ้อน ที่นานๆครั้งมันจะทำให้ผมเห็น

“คราวหลังจะไม่ทำ นี่คือจะไม่พากูมาที่แบบนี้อีกใช่ไหม?”

“เปล่า คราวหลัง…กูจะบอกตรงๆ”

ผมส่ายหน้าระอาให้มันยกใหญ่ ความผิดครั้งนี้นอกจากมันจะไม่ได้สำนึกมันยังพร้อมที่จะแหย่ผมด้วยใบหน้านิ่งๆของมันอีก ยอมรับเลยว่าผมค่อนข้างเหนื่อยใจที่จะเถียงกับไอ้ภพเป็นอย่างมาก จึงยอมให้มันเดินจับมือผมไปนั่ง พลางรับฟังเหตุผลที่มันอยากเข้าร่วมรายการนี้ และพอได้ฟังผมก็ต้องยกยิ้มขึ้นมาเพราะไม่ว่าจะดูยังไง คำตอบของเหตุผลนั้นมันก็บ่งบอกความเป็นตัวตนของไอ้ภพชัดเจน

มันยอมรับกับผมโดยตรงว่า เพราะมันรู้ว่าผมจะโกรธเลยไม่ได้บอกก่อนล่วงหน้า แต่การถ่ายทำรายการวันนี้มันอยากจะเข้าร่วมจริงๆ เนื่องจากว่าโปรเจคของรายการที่เผยออกมาในเดือนนี้ เป็นโปรเจคของคู่รักโดยมีข้อแม้เพียงข้อเดียวคือจะต้องมีใครที่สัมผัสสิ่งพวกนี้ได้ อีกอย่างมันก็อยากรู้ด้วยว่ารายการที่เผยแพร่ออกไปนั้น เบื้องหลังของมันจะมีผีจริงๆหรือเป็นแค่การจัดฉากขึ้นมา

ขนมมากมายที่อยู่ในโซนรับรองถูกผมหยิบขึ้นมากินเป็นว่าเล่น ระหว่างรอการกลับมาของคุณเจนนี่ จนเมื่อเวลานั้นมาถึง ผมก็ได้จับสังเกตบางอย่างได้ว่า สายตาของคุณเจนนี่ตอนนี้เหมือนพยายามจะหลบอะไรสักอย่าง ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับไปทางนั้น ผมก็เป็นอันต้องหันกลับมา เนื่องจากที่โรงงานส่วนการผลิตนั้น กำลังมีกลุ่มคนยืนทอดสายตาลงมาที่พวกเราอย่างไม่เป็นมิตร

สภาวะร่างกายของคุณเจนนี่แสดงออกมาว่ากลัวอย่างหนัก โดยเฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้ากล้องระหว่างการถ่ายทำ นั่นจึงทำให้ผมไม่แน่ใจว่าพฤติกรรมแบบนั้นกำลังแสดงออกเพราะว่ารับรู้ในสิ่งพวกนี้จริงๆ หรือทั้งหมดนั่นเป็นเพียงการแสดงให้รายการโทรทัศน์สนุกขึ้น การถ่ายทำวันนี้ผมจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเพราะกลัวว่า หากเกิดอะไรอันตรายขึ้นมาจะไม่สามารถห้ามไว้ได้ทัน

“เอาละครับคุณเจนนี่เดินกลับมาแล้วนะครับ  มาถามกันดีกว่าว่าข้างในเป็นอย่างไรบ้าง”

“น่ากลัวมากเลยค่ะทิม ข้างในนั้นมีวิญญาณผู้เสียชีวิตมากมายไปหมด เขาไม่ได้ตายดีค่ะทิม พวกเขาทรมานกันมาก พูดแล้วก็ยังรู้สึกขนลุกอยู่เลยค่ะ”

“อ่า น่ากลัวมากๆเลยนะครับ เรามาถามความเห็นของผู้ท้าทายดีกว่า เอาที่คุณพีกับคุณอายก่อนแล้วกันนะครับ กลัวไหม?”

“สำหรับพี่พี อายคิดว่าเขาไม่กลัวนะคะ แต่อายกลัวมาก ยิ่งได้ฟังคุณเจนนี่เล่า อายก็ยิ่งรู้สึกกลัวค่ะ นี่ถ้าอายกรี๊ดออกมาได้ อายก็จะทำแล้วค่ะ ไม่ไหวจริงๆ”

ทั้งผมและไอ้ภพ หันไปมองท่าทางแบบนั้นกันตาค้าง ไม่ใช่เพราะชื่นชมความน่ารักหรือหลงใหลใดๆทั้งสิ้น หากแต่เป็นท่าทางกลัวเกินเหตุที่ทำให้ทุกสายตามองไปอย่างสงสาร พิธีกรรายการตอบรับเธอคนนั้นไปอย่างเอ็นดู ก่อนจะผละออกมาทางผมซึ่งยังคงทำใจไม่ได้หากจะต้องทำแบบนั้นออกหน้ากล้องบ้าง

“แล้วคุณภพมิวล่ะครับ กลัวไหม?”

“ไม่ให้คุณอายเขากรี๊ดเสียหน่อยเหรอครับ เดี๋ยวเข้าไปจะเสียสติกันพอดี”ไม่รู้ว่าไอ้ภพมันตื่นกล้องหรือตกใจแววตาพิธีกรที่สื่อมา มันจึงโพล่งประโยคนั้นออกไปอย่างไม่ทันคิด เรียกเอาบรรยากาศรอบกายเงียบลงไปทันที ก่อนที่จะกลับมาเป็นปกติอีกครั้งหลังจากที่ผมแทรกตัวเข้าไปยืนหน้ากล้องแทน

“เอ่อ…ขอโทษแทนแฟนผมด้วยนะครับ มันค่อนข้างตื่นกล้องและยังไม่ชิน จริงๆมันเป็นห่วงคุณอายนะครับ เพราะว่าเราเห็นเธอเป็นผู้หญิงและที่นี่น่ากลัวมากๆเลยครับ พวกผมขนลุกกันไปหมดแล้ว ยังไงฝากทุกคนเอาใจช่วยคู่เราด้วยนะครับ”

“อ๋อ ก็ว่าแหละครับตอนผมออกกล้องครั้งแรกก็เป็นแบบนี้  น่าชื่นชมคุณภพเสียจริงครับ 555”

ไม่นานหลังจากการให้สัมภาษณ์ผมก็ถูกเรียกตัวให้เดินไปที่ศาลพระพรหมหน้าโรงงาน บรรยากาศแบบนี้เล่นเอาทั้งผมและไอ้ภพเสียวสันหลังวาบ เพราะมันพาลให้นึกถึงตอนไปท้าทายในโรงพยาบาลร้าง อีกทั้งเมื่อคุณเจนนี่นำสวดบทบางอย่าง ความน่ากลัวรอบตัวของผมจึงเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ในตอนนี้จึงหมายถึงผมได้ยอมรับและเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาสิ่งที่พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด

“นี่เราจะต้องทำท่าหวาดกลัวไปจนถึงเมื่อไรเนี่ย? รายการที่มึงเคยไปเล่นปกติต้องทำแบบนี้เหรอ?”

“555 ใช่ มันเป็นกลยุทธ์ไม่รู้หรือไง ยิ่งพวกเรากลัว คนก็ยิ่งอยากดู เหมือนกับไอ้รายการ horror house นั่นแหละ จะต่างกันแค่ที่นั่นไม่มีกล้องมาเดินตามแบบตอนนี้”

“ปกติเขาถ่ายทำกันนานไหม?”

“บางรายการก็นานนะ แต่รายการนี้ไม่นานหรอก กูเคยดู สามพิธีกรรมเขาทำกันจุดละไม่กี่นาทีเอง”

เราทั้งคู่หันหน้าคุยกันด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุดระหว่างพากันเดินไปยังโกดังเก็บของ ทำลายบรรยากาศอันแสนหดหู่ให้มีเพียงการพูดคุยกระหนุงกระหนิงของคนสองคนเท่านั้น ไม่ใช่ว่าพวกผมอยากจะมาทำอะไรแบบนี้ออกกล้องหรอกนะครับ แต่เพราะโดนสั่งมาให้แสดงความรักกันบ้าง ตามโปรเจครายการที่ได้วางเอาไว้  ระหว่างพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงพิธีกรจากวิทยุสื่อสารก็ดังร้องถามเป็นระยะ จนมาถึงจุดแรกที่พวกผมทุกคนต้องทำพิธีกรรม

“คุณภพ คุณมิวคะ เห็นเครื่องเซ่นที่พื้นแล้วใช่ไหมคะ?”

“ครับ ผมเห็นแล้วครับ ต้องทำอะไรต่อ?”

“ลองจุดธูปที่วางอยู่ตรงนั้นนะคะ แล้วเชิญให้วิญญาณโดยรอบนี้เข้ามานั่งรวมวงกับคุณค่ะ”

ทันทีคุณเจนนี่พูดจบ ผมและไอ้ภพซึ่งนั่งมองเครื่องไหว้อยู่นั้นก็หันมามองหน้ากันทันที พิธีจุดธูปเรียกผีนี้พวกเราเคยทำกันมาแล้วรอบหนึ่ง เรื่องการอัญเชิญวิญญาณจึงไม่ใช่ปัญหา แต่ทว่าคำสั่งที่ถัดไปหลังจากนั้นกลับทำให้ผมกลัว เนื่องจากว่าอาหารทั้งหมดนี่ถูกวางอยู่ที่พื้น เพราะฉะนั้นถ้าคำสั่งมาบอกให้ผมกิน ผมก็คงต้องขอยอมแพ้เพราะไม่สามารถกินขนมถ้วยฟูเปื้อนเศษดินเศษหินเข้าไปได้จริงๆ

กลิ่นควันธูปโชยผ่านหน้าผมไปขณะที่ไอ้ภพปักมันตรงบริเวณกระทงอาหารหนึ่งอย่าง  พร้อมกันนั้นผมก็ท่องบทเชิญวิญญาณเหมือนอย่างที่เคยทำแต่ไม่ใช่คาถานั่น จนสภาวการณ์รอบกายค่อยๆเปลี่ยนไป เสียงวัตถุที่ตกลงบนพื้นในโกดังส่งสัญญาณมาให้ร่างกายของคนทั้งสามคนตรงนี้สะดุ้ง อีกทั้งลมเย็นๆยังได้พัดเข้ามาจนขนในกายทุกคนลุกชัน แต่นั่นคงไม่เท่ากับมันได้พัดเอาวิญญาณจากโดยรอบ เข้ามานั่งล้อมวงร่วมกับผม พร้อมแย่งกันกินเครื่องเซ่นบนพื้น

“มาแล้ว…ใช่ไหม?”ไอ้ภพถามขึ้นขณะจดจ้องไปยังการมองของผม การโผล่เข้ามาของวิญญาณเหล่านั้นได้ทำให้แววตาของผมเริ่มสั่นไหวและราวกับถูกสะกด จนไม่สามารถจับจ้องไปที่อื่นได้

“อืม มาแล้ว”ผมพยักหน้ารับไอ้ภพไปอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต ไอ้ภพจึงเริ่มขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วจับให้ใบหน้าของผมซบเข้ากับอกมันกันการมองเห็นที่ผมไม่ต้องการ

“คุณมิวครับ คุณภพครับ ลองเดินไปที่ประตูหน่อยครับ คุณเจนนี่บอกว่าตรงนั้นมีพลังงานอยู่”

ครู่เดียวหลังจากที่ผมหลับตาอยู่กับอกไอ้ภพ เสียงของคุณทิมก็สั่งให้ผมลุกออกไปยังประตูที่อยู่เยื้องออกไป ตอนนั้นไอ้ภพรีบหันกลับมาถามหาความเห็นของผม และเมื่อผมส่ายหน้ามันจึงถอนหายใจออกมาอย่างรำคาญและพากันลุกขึ้นไปตามที่คุณทิมบอก

“เล่นกูแล้วไงอีเจ๊…ไหนบอกว่าเห็นจริงจังไง”ไอ้ภพบ่นออกมาเบาๆป้องกันตากล้องได้ยิน สร้างรอยยิ้มให้ผมคลายความตึงเครียดได้บ้าง

“ไม่ทราบว่าคุณภพและคุณมิวรู้สึกยังไงบ้างครับตอนนี้”

“น่ากลัวมากๆเลยครับ ตอนนี้บรรยากาศอย่างเย็น ผม…รู้สึกขนลุกมากเลยครับ”ไอ้ภพหันหน้าเข้าหากล้องพร้อมยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองไว้ ก่อนจะทำเสียงสั่นๆแกล้งทำเป็นกลัวจนผมต้องหันกลับไปแอบยิ้ม

“อ้าว บรรยากาศเย็นแบบนี้ ไม่ลองขอความอบอุ่นจากแฟนดูล่ะครับ”

“ได้เหรอครับ?”

.
.
.
(ต่อ)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 30-06-2017 19:55:57
“ตามสบายเลยครับ 55 แต่อย่าทำเกินนะครับ พวกผมดูอยู่เดี๋ยวจะสำลักความรักเอาครับ”

ระหว่างที่ผมก้มหน้ากลั้นยิ้มอยู่นั้น เสียงของทีมงานก็ทำให้ผมสะดุ้ง แต่ไม่เท่ากับเสียงของไอ้ภพที่ตอบกลับไปแทบจะในทันที เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ผมก็ต้องยอมทนต่อการมองด้วยใบหน้านิ่งๆแต่แววตาพราวระยับของมันจนรู้สึกเก้อเขินและทำตัวไม่ถูก

“ทำดิ ทีมงานอนุญาติให้ทำแล้ว”น้ำเสียงยียวนของไอ้ภพบอกให้ผมฟัง ก่อนที่มันจะยักคิ้วยั่วโมโห

“กูไม่ทำ!! อย่ามาเล่นมุกนี้ไอ้ภพ เดี๋ยวกูบอกกล้องว่ามึงโกหกนะ”

“ไม่ทำงั้นหรอ ถ้าอย่างนั้น…เดี๋ยวกูทำเอง”

แววตาของผมเบิกโตขึ้นเมื่อสุดท้ายใบหน้าของไอ้ภพก็เป็นฝ่ายที่เลื่อนเข้ามาหาผม ช่วงชิงเอาความอุ่นร้อนของใบหน้าไปเสียหมด เสียงแก่งแย่งอาหารเซ่นไหว้ที่ดังอยู่ด้านหลัง จึงไม่อาจดังพอจะกลบเสียงหัวใจของผมที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เคยชินกับการเข้าหาของไอ้ภพแบบนี้

“หวานกันพอแล้วเนอะ ถ้าอย่างนั้นผมจะให้ทำพิธีกรรมต่อไปเลยนะครับ เดินกลับไปที่เครื่องเซ่นไหว้เมื่อกี้นะครับ แล้วก็เหยียบทุกอย่างให้เละที่สุด”

เมื่อได้รับคำสั่งพวกผมก็ค่อยๆเดินกลับมายังจุดเดิม จ้องมองแต่เพียงการแก่งแย่งด้วยท่าทีหิวโหยก่อนที่จะหยุดนิ่งไป เนื่องจากไอ้ภพได้เดินแทรกตัวเข้าไปกลางวงล้อมแล้วจัดการเตะเครื่องเซ่นไหว้พวกนั้นจนทุกอย่างกระจายไปทั่วบริเวณ แววตาของวิญญาณพวกนั้นต่างจับจ้องมาที่ไอ้ภพอย่างอาฆาต จนใจของผมรู้สึกสั่นกลัว เนื่องจากสัญชาตญาณมันกำลังร้องเตือนถึงความไม่ปลอดภัย

“กลัวมากไหม? ไอ้มิว” หลังจากที่ไอ้ภพสั่งให้ผมยืนดูมันทำเท่านั้น มันก็เดินกลับมากอบกุมมือผมไว้เนื่องจากเห็นสีหน้าของผมไม่สู้ดี

“ไม่เท่าไรหรอก เพียงแต่…กูกลัวว่ามึงจะไม่ปลอดภัย”

ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลจนไอ้ภพต้องส่ายหน้ายิ้มๆปลอบใจ ก่อนจะพาเราทั้งคู่เข้าสู่ตัวโกดัง  คำพูดของผมไม่ได้พูดลอยๆอย่างคนคิดไปเอง เนื่องจากว่าวิญญาณกลุ่มนั้นได้ลุกยืนขึ้นและจับจ้องมาที่ไอ้ภพด้วยแววตาแดงกล่ำ ความโกรธที่ผมรู้สึกได้ กำลังให้พิธีกรรมถัดไปไม่เหมือนเดิม

“ครับ มาที่พิธีกรรมจุดที่สอง จุดนี้คือจุดที่มีคนพบเห็นวิญญาณโผล่ออกมาให้เห็นเป็นประจำนะครับ ผมจึงอยากให้คุณทั้งคู่ลองสัมผัสวิญญาณพวกนั้นโดยมองลอดใต้หว่างขาไปนะครับ”

“พี่ มันจะไม่แรงไปเหรอครับ ผมไม่อยากทำเลย”ผมมองรอบกายตรงนี้อย่างเป็นห่วง วิญญาณที่รายล้อมกำลังจดจ้องมาอย่างไม่ละสายตา

“ยังไงก็ต้องทำครับ ถ้าเห็นอะไรก็อยู่นิ่งๆไว้นะ อย่าวิ่ง”

ไอ้ภพจับมือของผมไว้แน่น คลายความกังวลที่มันคิดว่าผมกลัว ยอมรับเลยว่าวิญญาณที่ผมเห็นอยู่นี้ไม่ได้มีท่าทีคุกคามหรือจ้องจะทำร้ายผม นั่นจึงทำให้ผมไม่ได้รู้สึกมากเท่าไรนัก แต่กับไอ้ภพที่ได้ทำการท้าทายเอาไว้ มันจึงต้องแบกรับความอันตรายเอาไว้บนบ่า โดยที่ไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังจะแย่

ผมและมันตัดสินใจก้มลงมองลอดหว่างขาไปยังด้านหลัง เผยให้เห็นการยืนถ่ายทำของตากล้องซึ่งอยู่ห่างจากพวกผมพอสมควรและสภาพโกดังเก่ารกร้างที่มีแต่เศษฝุ่นเศษดิน จนทำให้ทุกอย่างในนี้สร้างความหลอนได้เป็นเท่าตัว มือของผมข้างหนึ่งถูกมือของไอ้ภพจับเข้าไว้ พลางบีบรัดเพื่อคลายความเครียดซึ่งก่อตัวอยู่ทุกระยะ ยามที่ได้เห็นปลายเท้าพวกนั้นเดินตรงมาเรื่อยๆ

เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามายังพวกผม กลิ่นเหม็นไหม้ปนกลิ่นสาปศพก็ลอยอบอวลมาไม่ต่างกัน ผมจึงต้องบีบมือของไอ้ภพเอาไว้แน่นแล้วปล่อยให้สายตาจดจ้องอยู่แต่ผีพวกนั้น ไม่นานนักปลายเท้าของทุกตนก็มายืนอยู่เลียบหลังผม ก่อนจะนั่งลงมาสบตาแทบจะประชิดหน้า หากแต่ว่าไม่ใช่หน้าผม สายตาของทุกวิญญาณตรงนี้กำลังพุ่งเข้าไปจดจ่ออยู่เพียงใบหน้าของไอ้ภพ ส่งเสียงร้องดังด้วยความโมโหออกมาอย่างอาฆาต

“ลุกขึ้นได้แล้วครับ คุณภพ คุณมิว”เสียงพิธีกรทั้งคู่ ดังแทรกความหลอนหัวเมื่อครู่ จนผมตกใจ

“มาถึงตรงนี้อยากถามทั้งคู่ว่าเป็นไงบ้างครับ?”

“ก็น่ากลัวดีครับ บรรยากาศเย็นๆมันทำให้ผมรู้สึก…เหมือนมีคนจ้องมอง”

น้ำเสียงที่ไอ้ภพสื่อมาไม่ได้แกล้งอย่างครั้งแรก ใบหน้าหวั่นวิตกของมันแสดงออกมาชัดเจน เหงื่อไคลที่ไหลย้อยตามขมับบ่งบอกให้ผมรู้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงได้ไปกระตุ้นสัญชาตญาณบางอย่างในตัวไอ้ภพ จนมันรู้สึกได้ตามที่ผมเห็น

“เป็นไปอย่างที่คุณเจนได้พูดกับผมไว้เลยนะครับ ว่าตอนที่พวกคุณกำลังก้มหน้า วิญญาณมากมายต่างก็โผล่ออกมาจ้องมองคุณตรงบริเวณลังกระดาษเก่าๆด้านข้างครับ”

“จริงเหรอมิว?”ไอ้ภพไม่สนใจเสียงของคุณทิมที่ส่งออกมาด้วยความตื่นเต้น โดยการหันมาถามผมเสียงเบาแทน

“ถ้าพูดไปอย่ากลัวนะ แต่คำตอบคือไม่”

“แล้วพวกนั้นอยู่ตรงไหน?”

คราวนี้ผมไม่ตอบแต่กลับเคลื่อนตัวมายืนอยู่ตรงหน้าไอ้ภพ จ้องมองวิญญาณที่ยืนอยู่ด้านหลังให้ไอ้ภพเข้าใจสิ่งที่ผมสื่อ ตอนนั้นเป็นจังหวะที่พิธีกรรายการสั่งให้พวกผมเดินไปทำพิธีกรรมสุดท้าย ซึ่งต้องแยกกันไป ผมจึงต้องรีบใช้เวลานี้ในการปลอบใจผู้ชายของผมที่กำลังยืนนิ่งจ้องมองมาด้วยแววตาที่ไม่บอกถึงความรู้สึก

“เดี๋ยวกูต้องแยกไปทำพิธีสุดท้ายแล้วนะ  ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น ยังไงเสียมึงก็มองไม่เห็น”

“แล้วมึงล่ะ? กูพามึงมาทรมานหรือเปล่า มึงกลัวหรือเปล่า”

“ไม่ต้องห่วง วิญญาณพวกนั้นยังไม่ได้มีท่าทีคุกคามกูอย่างที่มึงคิด สบายใจได้”

ผมยิ้มสร้างความมั่นใจให้ไอ้ภพอีกครั้ง ก่อนที่ตนเองจะตัดสินใจเลื่อนหน้าเข้าไปหามันและเป็นฝ่ายแลกเปลี่ยนอากาศหายใจของตนเองก่อน ผมยืนจูบกับไอ้ภพเพื่อตัดสินใจปิดสายตาตนเองลงและเก็บเกี่ยวเอาความมั่นใจตรงนี้ไปใช้หลังจากที่ผมถอนจูบออกมา และเลื่อนหน้าเข้าไปที่ใบหูเพื่อบอกอย่างอื่นแทน

“ภพ ถ้าทำทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว ให้วิ่งออกไปด้านหน้า…ไม่ต้องรอกู”


ผมเดินแยกออกมาทันทีก่อนจะมุ่งตรงไปยังห้องที่อยู่ชั้นสองของโกดังโดยที่ไอ้ภพยังคงถูกสั่งให้ทำพิธีกรรมในชั้นแรก  เมื่อผมเดินผ่านความมืดเข้ามา สายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับตุ๊กตามนุษย์ซึ่งนั่งอยู่ที่พื้น จ้องมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มแสนหวานตามปกติ ก่อนที่ทีมงานจะสั่งให้ผมเคลื่อนกายเข้าไปนั่งข้างๆ

“เห็นตุ๊กตาตัวนั้นไหม ผมอยากให้ทั้งคุณมิวคุณภพ มองเป็นเพื่อนนะครับ แล้วดึงพวกเขาคุณมากอดพร้อมพูดคุยไปด้วย”

ผมตัดสินใจที่จะลูบเอาหัวของตุ๊กตาไว้ แล้วก็พูดคุยเรื่องทั่วไปคล้ายจะบ่นเสียมากกว่า  ก่อนที่สายตาจะสอดส่องไปทั่วทั้งบริเวณเพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น แต่ทว่าท่ามกลางความมืดเหล่านั้นกลับไม่มีวิญญาณหรือใครยืนอยู่เลย ทุกอย่างเงียบสนิท ใจของผมเริ่มพะว้าพะวงถึงไอ้ภพ เลยตัดสินใจพูดให้เสียงดังขึ้นอีกจนมันก้องไปทั่ว กระนั้นมันก็ยังไม่มีท่าทีของวิญญาณ

ใช้เวลาไปประมาณสิบนาทีในห้องนั้น เสียงพิธีกรรายการก็สั่งให้ผมหยุดและเดินออกมาจากตรงนั้นได้ ผมวางตุ๊กตาไว้ที่เดิม ก่อนจะค่อยๆเดินลงมาด้านล่างพลางมองหาไอ้ภพไปด้วย  พื้นที่ชั้นหนึ่งตอนนี้นอกจากตากล้องที่ถ่ายผมอยู่นั้นก็ไม่มีเค้าลางของไอ้ภพเดินออกมาด้วย วิทยุสื่อสารที่รายการให้ก็ได้ไปคนละตัว เหตุใดไอ้ภพถึงยังคงไม่ออกมา

ผมตัดสินใจเดินวกกลับเข้าไปที่ห้องชั้นหนึ่ง ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ห้องปลายสุดตรงนั้น ผมก็ยิ่งได้ยินเสียงของผู้ชายคุ้นหูดังผ่านอากาศขึ้นมา ไอ้ภพยังคงพูดคุยกับตุ๊กตาอยู่อย่างนั้น ไม่มีท่าทีว่าจะเลิกหรือเดินออกมาง่ายๆ ผมจึงต้องเดินเข้าไปเพื่อมองหาสาเหตุที่ยังคงรั้งตัวไอ้ภพเอาไว้

“รู้ไหม? ที่กูพาไอ้มิวมาท้าทายวันนี้ ก็เพราะว่ามันเป็นวันครบรอบครั้งแรกที่กูเจอมัน  เมื่อปีที่แล้วกูเจอมันวันนี้แหละตอนไปถ่ายอีกรายการ ตอนนั้นกูใส่อารมณ์กับมันจนรู้สึกผิดอยู่ตลอด วันนี้กูเลยอยากจะแก้ไขสิ่งที่กูทำพลาดโดยการยอมฝืนใจพามันกลับมาทรมานอีกครั้ง เพื่อจะได้สร้างความรู้สึกใหม่ทับลงไป”

“มันอาจดูเห็นแก่ตัวนะ แต่กูก็ตั้งใจทำเพื่อมัน ไม่อยากให้มันรู้เท่าไร เดี๋ยวแม่งก็ร้องไห้อีก กูไม่อยากเห็นมันร้องไห้ จริงๆวันนี้กูอยากจะพามันไปกินข้าวด้วย แต่ดูสิ่งที่รายการทำกับกูดิ ชุดกูเปื้อน หมดหล่อเลย”


ประโยคมากมายที่ไอ้ภพพร่ำอยู่นั้น มีอยู่ประมาณสองสามอย่างที่ทำให้ผมถึงกับชะงัก ผมลืมไปเสียสนิทว่าวันนี้คือวันที่ผมโดนนัดให้ไปเข้าร่วมรายการ horror house เมื่อปีที่แล้ว ต่างจากไอ้ภพที่จำได้และพยายามจะแก้ไขความผิดพลาดที่มันเคยทำ ยอมรับเลยว่าผมไม่อาจโกรธหรือหงุดหงิดมันได้อีก เหตุผมของมันมีค่ามากพอที่จะทำให้ผมเห็นค่าและยกโทษให้ด้วยรอยยิ้มที่คิดว่าดีที่สุด แต่กระนั้นเมื่อผมโผล่หน้าเข้าไปในห้องทุกอย่างที่ว่ามาก็สูญหายไปพลัน

ไอ้ภพ…กำลังนั่งอยู่ท่ามกลางวิญญาณพวกนั้น ที่มือมันก็จับตุ๊กตาขึ้นมาเล่น เพียงแต่ว่าตุ๊กตาตัวนั้นกำลังหันคอมามองผม

“ภ…ภพ กลับกันได้แล้ว ทีมงานปล่อยแล้วนะ”ผมกลั้นใจสะกดเสียงที่สั่นของตนเอง เรียกให้ภพให้หันกลับมา ไม่สนใจแม้ว่าทุกสายตาจะหันกลับมาด้วย

“อ้าว??  ทำไมกูไม่ได้ยิน วิทยุสื่อสารกูเสียเหรอ”

พูดจบไอ้ภพก็วางตุ๊กตาไว้ที่เดิม แล้วหันไปหยิบวิทยุสื่อสารด้านข้างตัวมาตรวจสอบ เผยให้เห็นว่าตรงนั้นมีวิญญาณที่นั่งทับอยู่มันจึงไม่ได้ยินเสียงประกาศให้หยุด วินาทีนั้นผมต้องรีบวิ่งไปคว้าข้อมือของมันออกมา เพราะวิญญาณพวกนั้นทำท่าจะคุกคามพวกผมจนไม่อาจรีรอต่อไปได้

ความโกลาหลเกิดขึ้นทันทีหลังจากที่ผมตัดสินใจวิ่งหนีกันมาหาคุณทิมและคุณเจนนี่อย่างไม่คิดชีวิต  ทิ้งตากล้องให้ต้องวิ่งตามอย่างเหน็ดเหนื่อย เสียงฮือฮาของชาวบ้านที่มุงดูอยู่ ต่างก็หันมาสนใจพวกผมพร้อมกับหันไปกระซิบนินทา เดาเรื่องที่เกิดขึ้นข้างในเป็นตุเป็นตะ

หลังจากการสัมภาษณ์เสร็จสิ้น พวกเราทุกคนก็ถูกคุณเจนนี่พาไปทำพิธีขอขมาลาโทษ แล้วจึงได้แยกย้ายกันกลับ ซึ่งระหว่างขึ้นรถไอ้ภพไม่พูดอะไรทั้งสิ้น นอกจากการขับไปอย่างเงียบๆ แววตาของมันบ่งบอกออกมาหลายความรู้สึก ทั้งรู้สึกผิด ทั้งหงุดหงิดจนผมต้องยื่นมือไปสัมผัสมันไว้ เพื่อคลายความทุกข์ในใจมันตอนนี้

“ทำไมทางมันเหมือนจะกลับบ้านอย่างนั้นล่ะ”ผมหันมาถามเมื่อเห็นว่ามันกำลังจะขับเข้าสู่ถนนเส้นพากลับบ้าน

“มึงอยากไปไหนเหรอ?”

“กูไม่ได้อยากไปไหนหรอก แต่มึงบอกเองไม่ใช่รึไงว่าจะพากูไปกินข้าว”

“ได้ยินด้วยเหรอ?”

“อืม ทั้งหมดนั่นแหละ”

ไอ้ภพเบี่ยงตัวรถเข้าสู่ถนนอีกเส้นเพื่อนำพาผมไปยังร้านอาหารที่มันบ่นว่าอยากพาไปนานแล้ว  เวลาตอนนี้ถือว่ายังไม่ดึกมากนัก มันจึงเลือกที่จะพาผมไปตามแผนที่วางไว้แม้ชุดจะสกปรกไปบ้างแล้วก็ตาม ร้านที่ไอ้ภพพาไป เป็นร้านอาหารที่ติดอยู่กับแม่น้ำ จนไอเย็นและเสียงไหลของธารน้ำได้นำพาเอาความสดชื่นและความสบายใจเข้าสู่เราทั้งคู่

“ขอโทษนะมิว ที่กูทำอะไรตามใจตนเองแบบนี้”

“ไม่เป็นไรหรอก ก็ถือว่าเรื่องในนั้นเป็นบทเรียนแล้วกัน อีกอย่างกูก็ว่าสนุกดี ที่ได้เห็นมึงโดนอะไรแบบนี้บ้าง”

“สาแก่ใจมึงว่างั้น?”

“ไม่ทั้งหมดหรอก ที่บอกว่าสนุกดีก็เพราะได้รู้ว่ามึงไม่ได้ตั้งใจ มึงแค่อยากจะชดเชยความผิด”

“แล้วพอได้กลับมาทำอะไรกับกูแบบนี้อีก รู้สึกยังไงบ้าง?”

“มันก็…คิดถึง ยิ่งพอมาได้ยินเหตุผล กูยิ่งคิดถึงเข้าไปใหญ่ ไม่คิดด้วยซ้ำว่ามึงจะจำมันได้”

“ถ้าอย่างนั้น กูขอสร้างความทรงจำใหม่แล้วกัน ปีนี้มันคือวันครบรอบครั้งแรกที่เราเจอกัน แต่ปีถัดๆไปกูขอให้มึงจำเป็นวันอย่างอื่นแทนนะ” 

“วันอะไรเหรอ?”

“วันที่แหวนวงนี้…สวมอยู่บนนิ้วของมึง”

แหวนทองคำขาวประกายวาววับสะท้อนเข้าตรึงในหัวใจผม บรรเลงบทเพลงของราตรีกาลให้มีเพียงแต่เสียงหัวใจดังก้อง ประสานเป็นท่วงทำนองเดียวกัน ยามที่แหวงวงนั้นถูกสวมเข้ามาในนิ้วมือของเราทั้งคู่  ตีตราจองให้ใจและกายของเราอยู่เคียงข้างกันและพึงสำนึกเอาไว้เสมอว่า เมื่อใดที่มีใครสักคนพยายามจะเข้ามาเล่นเกมชีวิตกับเราจนทำให้ไขว้เขว เมื่อนั้นก็ให้พันธะสัญญาบนมือวงนี้ได้ดึงเอาหัวใจของเราทั้งคู่กลับมาเกี่ยวกันไว้ตลอดกาล



*********************************Special END***************************************

เอาภพมิวมาทักทายให้หายคิดถึงกันนะครับ
สำหรับตอนนี้เป็นตอนที่ผมตั้งใจไม่เขียนออกมาให้น่ากลัวนะครับ  อยากให้สัมผัสมุมหวานๆของทั้งคู่กันบ้าง หวังว่าจะถูกใจนะ
พอได้กลับเข้าเว็บมาลงภพมิวให้ทุกคนได้อ่าน บรรยากาศเก่าๆมันก็กลับมา ยอมรับเลยว่ายังคงคิดถึงภพมิวอยู่ 555
ถ้ามีโอกาสในวันหน้า ผมจะหาเวลามาลงตอนพิเศษเล็กๆน้อยๆให้อ่านนะครับ
ขอบคุณทุกการติดตาม ทุกการแชร์ นักอ่านทุกคนที่อยู่กับผมมาจนถึงจุดที่เรียกว่าสมบูรณ์อย่างนี้
ขอบคุณมากๆนะครับ  รักนักอ่านทุกคนเลย  ถ้ามีโอกาสเราคงได้เจอกันในเว็บนี้อีกครั้งนะ
P-Rawit



***สำหรับหนังสือ  ภพมิวจะไปอยู่ในการดูแลของ สนพ เพื่อนใจนะครับ ฝากทุกคนซื้ออ่านด้วยเน้อ ในเล่มมีตอนพิเศษด้วยครับ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 30-06-2017 21:05:04
 :-[
ปีก่อนเจอเรื่องน่ากลัว ปีนี้ก็ให้เจอเรื่องหวานๆ มองย้อนกลับมาจะได้อบอุ่นหัวใจ งืออ น่ารักกกกกกกกก
รักกันนานๆน้าาาาา
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-06-2017 21:31:01
เค้าฉลองวันครบรอบกันได้หล่อนจริง
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 30-06-2017 21:41:59
 :impress2:  :L1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 30-06-2017 22:37:09
เป็นการฉลองครบรอบที่เหี้ยมโหดมากค่าาา  :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: nuchhxk ที่ 01-07-2017 03:51:30
เกือบแล้วมั้ยอ่ะภพ ดีนะมิวมาดูก่อน55555555555 คิดอะไรแปลกมากๆเลยนะภพพามาครบรอบแบบนี้ คุณพีเอานิสัยจริงๆมาเขียนใช่มั้ยคะ555555555555555
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 01-07-2017 20:45:02
เป็นวันครบรอบที่เหมาะกับคู่นี้สุดๆ :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: นอนกินแรง ที่ 02-07-2017 19:34:32
เหมือนการขอแต่งงานเลย ขอบคุณนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 03-07-2017 02:04:27
เป็นเรื่องที่สนุกมาก  พล็อตดี  ลุ้นดี ตอนอ่านขนลุกเลยบางตอน

เกือบหยุดอ่านเพราะคาแรกเตอร์มิว แปลกตั้งแต่ต้นเรื่อง ตั้งใจมารายการผี แต่มาเฟลโวยวายซะงั้น งงเลย 555

มิวแปลกๆดีในเรื่อง ช่วงกลัวผีคือแอบรำคาญ555 แต่ก็เข้าใจ ละเท่าที่อ่านมา นี่คงเป็นนิยานที่นายเอกร้องไห้เยอะสุด ทุกตอน 555

พี่ภพก็หล่อ เท่ ไม่กลัวไรเกินพ่อคุณ แบ่งหนูมิวบ้าง

โดยรวมสนุกมากครับ พล็อตเจ๋งมาก
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 04-07-2017 15:00:24
อ่อยยย
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: sawapalm ที่ 04-07-2017 17:06:14
ซาหนุกกกกกกกก งื้งงงง อ่านรวดเดียวจบเลย ดีต่อใจค่าาา ตอนจบหวานปานน้ำผึ้ง ฮ่าๆๆๆ  :mew3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 04-07-2017 19:47:17
โหยยยย นี่ขนาดไม่ค่อยหลอน :hao7:
แต่มิวเข้มแข็งขึ้นมากเลย :hao3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: whoami ที่ 04-07-2017 21:38:17
ตามมาจากรีวิวในทวิตค่ะ เคยอ่านตั้งแต่ตอนลงไว้ช่วงแรกแล้วค่ะ แต่ต้องปิดไปก่อน เพราะหลอนเกิน
เห็นรีวิวเลยตัดสินใจกลับมาอ่านรวดเดียวจบเลย เป็นนิยายที่ตอนแรกกะจะไม่อ่านต่อแล้วเพราะกลัว แต่พออ่านไปแล้วก็เสียดายที่ดองไว้ตั้งนาน ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆมาให้อ่านนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: jeje.minburi ที่ 04-07-2017 21:56:58
สนุกมากก ก. ล้านตัว แอบหลอน แต่โคตรชอบ   พี่ภพแมนสุด หนูมิวจะลำไยไปไหน แต่ก็แปลกๆดีนะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Pumpkin ที่ 06-07-2017 20:44:53
ภพชอบคิดอะไรที่ค่อนข้างจะติดความสยอง ช่วยหวานแบบคนทั่วไปได้ไหม 555 ใจงี้เต้นตอนอ่าน กลัวจะมีเหตุการณ์ผีอาละวาด
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: puchi ที่ 06-07-2017 20:54:04
มิวกลัวขนาดนั้น   แล้วสมัครมาเล่นเกมส์ผีทำไมเนี่ย  - -"



-------เพิ่มเติมเพิ่งอ่านจบ------

แต่งได้หลอนสุดๆ ยิ่งนึกภาพตามยิ่งน่ากลัว

แต่ก็สนุกมากๆ ลุ้นไปตลอดใครคือคนเบื้องหลัง

ขอบคุณมากๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 06-07-2017 23:33:32
มิวกลัวขนาดนั้น   แล้วสมัครมาเล่นเกมส์ผีทำไมเนี่ย  - -"

แฮร่ มาตอบให้แล้วนะครับ  รวมถึงเม้นอื่นๆด้วยเด้อ  ที่ถามเข้ามาว่ามิว กลัวผีแล้วเข้ามาเล่นเกมทำไม

>> คำตอบคือ เพราะเงินครับ 5555 คือในตอนแรก มิวค่อนข้างที่จะสนใจเม็ดเงินมากกว่าความน่ากลัว  ด้วยความที่ว่า มิวเป็นนักเล่นเกมโชว์อยู่แล้ว จึงคิดเข้าข้างตนเองไปว่าเกมนี้เหมือนเกมปกติทั่วไป ที่อาจมีการจัดฉากขึ้นมา เลยไม่ได้สนใจคำเตือนเพื่อน หรือเรื่องราวแปลกๆครับ  และด้วยความที่มิวไม่ได้คิดว่าเกมนี้จะโหดร้าย เขาจึงไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อรับมือกับวิญญาณที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะเห็นครับผม  ^^

ขอบคุณทุกๆข้อความที่เขียนถึงผมรวมทั้งการติชมนิยายด้วยนะครับ  อยากจะตอบให้ครบทุกคนเลย  แต่ว่ากลัวจะรกไป 5555 
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Cappello ที่ 07-07-2017 02:29:16
เราใช้เวลาในการอ่านเรื่องนี้นานมาก เพราะต้องทำใจก่อนอ่าน555555เครียดมาก แต่ก็อยากรู้ว่าใครคือคนร้ายตัวจริงกันแน่ สนุกมากๆ เก่งมาก หลอนสะใจชิบ55555
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 07-07-2017 20:13:53
พึ่งเห็นว่ามีตอนใหม่ ยังคงความแอบหลอนเหมือนเดิมเลยค่ะ
ถึงตอนนี้จะหวานกันมากขึ้นก้เถอะ ภพโรแมนติกขึ้นอะ อบอุ่นขึ้นด้วย
ถึงเหตุผลจะดีมากกก้เถอะ แต่ฉลองวันครบรอบแบบนี้ก้หลอนอยู่ดี
รายการนี่ก้อย่างมั่ววววอะ5555
ตอนภพนั่งคุยกับตุ๊กตาแล้วมีวิญญาณนั่งล้อมอยู่นี่ขนลุกเลย
เหมือนจะให้อยู่ด้วยอย่างงี้ไปเรื่อยๆอะ
มิวเริ่มทำใจได้กับการเห็นผีแล้วว ถึงจะไม่มากก้เถอะ
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษค่ะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 07-07-2017 22:00:26
อ่านทีเดียวจบลุ้นสุดๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Acacha ที่ 09-07-2017 06:57:41
สุดยอดดดด  o13
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Map ที่ 13-07-2017 19:16:43
ชอบเรื่องมากกกก ชอบทั้งการบรรยาย ภาษาที่สวยงาม มีการดำเนินเรื่องราว พล็อตเรื่อง ความหลอน บรรยากาศที่ต้องการที่จะสื่อ มีครบรสในเรื่องนี้จริงๆ
ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นนิยายดีๆอีกเรื่องเลยค่ะ จะติดตามผลงานต่อไปนะคะ
แนวนนี้หาอ่านค่อนข้างถูกใจยาก สร้างผลงานใหม่ๆขึ้นมาอีกนะคะ ตอนนี้รออุดหนุนเลยค่ะ  :o8:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 23-07-2017 14:23:22
ขอบคุณมากๆค่ะ คุณคนเขียน สนุกมากๆ แล้วก็หลอนมากด้วยค่าาาา  :sad4: คือแบบต้องอ่านตอนกลางวันจริงๆค่ะ อ่านกลางคืนใจอ่อนแอ ไม่งั้นนอนไม่หลับแน่เพราะมันสยองจริง แต่งได้ดีมากๆเลยค่ะ ฟีลมาเต็มที่ ลุ้นมาก อึดอัดมาก ซับซ้อนมาก หลอนมาก แล้วก็หวานมาก(เท่าที่หวานได้) ด้วย 555 คือแบบเอาเข้าจริงนะคะนอกเหนือจากภพกับมิวที่เป็นพระ-นายแล้ว...กลายเป็นชอบ คุณศตวรรษ ที่สุดค่าาา  :ling1: กรี๊ดดด ผีใจดี แบบทั้งเตือน ทั้งช่วย ทั้งปกป้อง ตอนเป็นคนก็ว่าดี๊ดี...แต่ตอนเป็นผีนี้สิค่ะ...(ดีกว่า?) ทั้งช่วยไล่ผี บอกเบาะแส มีโมเม้นท์จับมือมิวเขียนวันตาย(-_-"?) ดันปืนให้ ช่วยกักลุงมั่นไว้ที่ห้องน้ำ โหยยย แบบ หยังกะองครักษ์พิทักษ์เจ้าหญิง (แม้เพราะท่านมีผลพลอยได้ก็เหอะ) เอาเป็นว่า ชอบค่ะ  o13 แล้วอยากรู้จริงๆค่ะว่า เท้า?  หรือผี ที่นำทางมิวหนีออกจากป่าเนี๊ยสรุปเป็นใคร คุณศตวรรษ หรือ ลุงคำ แต่น่าจะลุงคำนะ เพราะคุณศตวรรษกระดูกอยู่ที่บ้าน แถมตอนนั้นน่าจะกักตัวลุงมั่นไว้ ส่วนลุงคำถูกฝั่งนอกบ้าน ...อืมมม คุณคนเขียนเฉลยหน่อยก็ดีนะคะ  :mew2: อีกอย่างขอตอนพิเศษอีกได้ไหมค่ะ แบบอีกสักตอนสองตอนนะคะ มันสนุกจริง ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: AeRoMoZa ที่ 06-08-2017 11:37:11
ต้องยอมรับว่ามีช่วงอ่านผ่านๆ ด้วยค่ะเพราะกลัว แต่สนุกมากเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกๆ แบบนี้ สงสารมิวมาก แล้วก็ชอบที่มีจุดโมโหมากๆ เอาคืนทีมงานอะไรแบบนี้ คือทนมามากพอแล้ว เป็นเรื่องนึงที่อดใจที่จะไม่เปิดอ่านตอนจบก่อนมากๆ เพราะกลัวจะหมดสนุก แล้วก็ได้ลุ้นสมใจจริงๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: whitelavenders ที่ 07-08-2017 09:25:43
ปกติไม่ใช่คนกลัวอะไรที่เกี่ยวข้องกับผีกับวิญญาณเท่าไหร่ แต่การบรรยายเรื่องนี้ของคุณทำใ้ห้เรากลัวมากกก
ขนลุกเป็นช่วงๆ เกือบปิดตาอ่านงี้ อาจจะด้วยการบรรยายได้เห็นภาพและการนำความเชื่อของไทยมาเล่น
เลยรู้สึกเหมือนจริงมาก ใกล้ตัวมาก (ขนาดตอนตัวละครท่องคาถาหรือคำท้าทายอะไรพวกนั้นเรายังต้องอ่านผ่านๆ เลยกลัว 555)
นอกจากจะน่ากลัวแล้วก็ยังมีเรื่องฆาตกรที่ทำให้เราต้องลุ้นด้วย ตอนแรกคิดไปถึงขั้นว่าภพนี่แหละที่เป็น หรือมิวคิดไปเองทั้งหมด


จะว่าไปน้องจากมิวและภพที่เราชอบแล้ว อีกหนึ่งตัวละครที่ชอบไม่แพ้กันก็คือ ศตวรรษ
นางช่วยทุกสิ่งอย่าง และพยายามเตือนตั้งแต่ก่อนตายด้วยซ้ำ ใจหล่อมาก

ป.ล.ติดนิดนึงเวลาหัวเราะ เราว่าพิม 555 ดูเหมือนพิมคุยกับเพื่อนในไลน์อ่ะ เลยจะสะดุดกึกทุกครั้งที่อ่านเจอ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนพิเศษ วันครบรอบ (30/06/60) P.13
เริ่มหัวข้อโดย: P-Rawit ที่ 07-08-2017 10:48:20
สวัสดีครับทุกคน  ผม P-Rawit นะครับ วันนี้จะมาแจ้งข่าวเรื่องการเปิดจองหนังสือครับผม

สำหรับเริื่อง Nightmaregame นะครับ จะเปิดจองกับสำนักพิมพ์เพื่อนใจครับ

สามารถเข้าไปจับจองพี่ภพน้องมิวกันได้ ที่ : http://www.peunjaibooks.com (http://www.peunjaibooks.com)

***ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 สิงหาคมนี้นะครับ  ย้ำเลย!!!

รายละเอียดหนังสือนะครับ

- หนังสือ 2 เล่มจบ (600+ หน้า)

- ราคา 690 บาท

- Boxset จั่วปังราคา 250 บาท

- ที่คั่นหนังสือ 2 ลาย

- โปสการ์ด 2 ลาย (เฉพาะรอบพิมพ์ครั้งแรก)

แถมพิเศษเฉพาะรอบจอง

- ส่งฟรี!

- โปสการ์ดจิบิ 1 ลาย

- โปสการ์ดลาย xx 1 ลาย

- การ์ด xx 1 ลาย

- กระเป๋าผ้าใส่เหรียญ 1 ใบ

ตอนพิเศษในเล่มนะครับ จะมีเพิ่มให้อีก 4 ตอน  ดังนี้นะครับ

-วันเกิด

-คนสำคัญ

-บันทึกสุดท้าย

-ความรัก

หากใครที่ยังคงอยากติดตามไปกับความรักและเรื่องราวที่ทั้งคู่ยังต้องสานต่อให้จบนะครับ สามารถจับจองกันไปครอบครองได้เลยนะครับผม ตอนนี้พี่ภพและน้องมิว พร้อมตกไปอยู้่ในมือของทุกคนแล้วครับ :mew1:

*** ขออภัยที่ผมไม่สามารถนำรูปหน้าปกและ Box set มาให้ทุกคนดูได้นะครับ เนื่องจากผมลองเอาลงแล้วรูปไม่ขึ้นครับ ขอโทษจริงๆครับ ทุกคนสามารถไปดูรูป และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/book.peunjai/ (https://www.facebook.com/book.peunjai/) ครับ

 
ผมขอขอบคุณทุกการสนับสนุน และการติชมที่ยังคงเกิดขึ้นอยู่ตลอดตั้งแต่ผมลง พี่ภพน้องมิวตอนสุดท้ายจบไป  ผมยังคงยืนยันว่าทุกๆคอมเมนท์ ทุกๆการแชร์ ผมยังคงติดตามอยู่เสมอนะครับ  ขอบคุณทุกคนมากจริงๆ สำหรับเรื่องการพูดคุย ทุกคนสามารถเข้ามาเขียนไว้ได้ทั้งในเล้าแห่งนี้และใน ทวิตเตอร์ของผมนะครับ ผมพร้อมที่จะตอบและพูดคุยไปเรื่อยๆเลยครับ  พี่ภพน้องมิว ไม่เคยจบแค่เพราะผมตัดสินใจจบตัวหนังสือครับ :mew1:

P-Rawit
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: minmin96 ที่ 09-08-2017 15:49:05
เรื่องนี้เป็นการรวมที่สุดของความหลอนไว้ด้วยกัน
อ่านแล้วฝันร้ายเลยทีเดียว...มิว เจอผีตลอดเรื่อง คงทำใจให้ชินกับเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายๆ
ส่วนภพ ทั้งหล่อ ทั้งแมน อิจฉามิวจริงๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 09-08-2017 16:21:49
อ่านไปก็กลัวไปค่ะ โคตรหลอน แต่ก็อดอ่านไม่ได้ มันอยากรู้ว่าจะเป็นไงต่อไป
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: GnA ที่ 12-08-2017 14:59:06
ไม่เคยอ่านนิยายเรื่องใหนใช้เวลานานขนาดนี้มาก่อนเลยค่ะ

หลอนแต่ก็วางไม่ลง
ขอบคุณนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: life_fracture ที่ 14-08-2017 10:32:01
หลอนมาก แต่ก็สนุกมาก ไม่ได้อ่านนิยายที่ลุ้นระทึกจนทำให้ใจสั่นแบบนี้มานานมาก อ่านไปลุ้นไป กระตุกขวัญสมกับชื่อเรื่องจริงๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 01-09-2017 22:23:18
ในที่สุดก็อ่านจบ ใช้เวลา3วันเต็มๆ อ่านทุกเวลายกเว้นตอนกลางคืน555555555 :katai1:
เป็นนิยายสยองขวัญเรื่องแรกที่อ่านเลยค่ะ จัดเต็มมาก
ชอบภาษาและการบรรยายมาก คือบรรยายได้เห็นภาพเหมือนเราเข้าไปเล่นด้วยจริงๆเลย เห็นผีชัดทุกตัว o22
เนื้อเรื่องก็เข้มข้น ทุกอย่างดูมีเหตุมีผล ลุ้นทุกตอน ไม่รู้สึกน่าเบื่อเลยค่ะ
คนเขียนเก่งมากค่ะ 30 ตอนเราว่ายาวมากแล้วแต่ละตอนก็ยาวเช่นกัน
คู่พระนางถึงแม้จะมาหวานกันตอนสุดท้ายแต่ก็น่ารักค่ะ ไม่ขัดใจเลย

ประทับใจค่ะ ขอบคุณคนเขียนที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมานะคะ มันดีมาก
ถ้ามีโอกาสก็อยากจะอ่านนิยายคุณภาพแบบนี้อีกนะคะ อิอิ :mew1:

หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Charmy ที่ 04-09-2017 01:00:42
ชอบเรื่องนี้มาก รักแบบไม่ยัดเยียดอะไรเลย แบบไม่ต้องบรรยายว่าตัวละครแมนมาก คบผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าบลาๆ แต่มิวก็ไม่ได้ดูต่างจากผู้ชายแมนๆทั่วไปเลย เนื้อเรื่องลุ้นมาก รักเลย
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 11-09-2017 23:35:40
เรื่องนี้ดีมากๆเลยค่ะ บรรยายจนเห็นภาพทุกตัวอักษร หลอนทุกตอนกันเลยทีเดียว

ขอบคุณเรื่องราวดีๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Silver Fish ที่ 24-09-2017 12:35:18
หลอนและสนุกมาก คนเขียนแต่งเก่งผูกเรื่องได้สุดยอดจริงๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 24-09-2017 21:17:34
  o13
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 13-10-2017 18:58:44
สนุกมากกกก มากแบบมาก ๆ โอย คนเขียนเก่งมากเลย เขียนออกมาได้ขนาดดีนี้ สุดยอด   o13
ปรกติอ่านเรื่องสยองผี ๆ ก็กลัวอยู่แล้ว แต่ก็ชอบอ่าน แต่เรื่องที่เราไม่ค่อยกล้าอ่านคือเรื่องฆาตกรรมน่ะค่ะ
ยังไงก็รู้สึกว่า คนเนี่ยแหละ น่ากลัวยิ่งกว่าผีเสียอีก เพราะยังไง ผีก็ทำอะไรเราไม่ได้ ไม่เหมือนคน
แต่กรณีนี้ใช้ไม่ได้กับมิว ที่ดันสัมผัสกับผีได้ เลยกลายเป็นโดนจู่โจมทั้งผีทั้งคนเลย มิวแกร่งมากจริง ๆ อ่ะ
ยังดีที่จบแบบภพและมิวได้ใช้ชีวิตด้วยกันมีความสุข แต่จะเรียกแฮปปี้เอ็นดิ้งสำหรับเราทั้งหมดก็ไม่ใช่
เพราะเราสงสารลุงคำกับคุณศตวรรษมากกกก เป็นสองคนที่หวังดีกับภพและมิว ไม่น่าต้องตายเลย ฮือออ  :monkeysad:
นิยายวายที่เป็นเรื่องผีสยองอย่างนี้หายากมากก  ขอบคุณคนเขียน ที่สร้างสรรค์ผลงานดี ๆ เรื่องนี้ออกมามากค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Another Night ที่ 25-10-2017 21:35:41
จบแล้วววว  :hao5: :hao5:
เรื่องนี้สนุกมากค่ะ บรรยายบรรยากาศต่างๆ ได้ชัดเจนมาก ชัดเกินไปด้วยซ้ำ555555555

ตอนหวานนี่ก็หวานน้ำตาลท่วมจอ ตอนหลอนก็หลอนซะขนคอลุกเกลียว
หลอนจนอ่านตอนกลางคืนไม่ได้อ่ะค่ะ ขอสารภาพไว้ ณ ที่นี้เลย :sad4:

ช่วงบรรยายตอนทำพิธีแต่ละพิธีนี่อ่านข้ามเลยค่ะ5555555555 อ่านไม่ไหว กลัวมาก
ไหนจะตอนบรรยายพวกคุณผีๆ แต่ละท่าน อื้อหืออออออออออ  :katai1: :katai1:  เราเป็นมิวนี่คงเป็นบ้าไปแล้ว
ช่วง 2-3 ตอนสุดท้ายเครียดมาก ลุ้นมาก เข้มข้นมากจนวางไม่ลง

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณคนแต่งมากๆ ค่ะที่แต่งนิยายสนุกๆ (ปนหลอน) เรื่องนี้ขึ้นมาให้ทุกคนได้อ่านกัน

Love
Another Night
 :L2: :pig4: :L1: :3123: :กอด1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Cuddlemoon ที่ 13-11-2017 15:06:38
อ่านตอนกลางวันแต่พอเสียงอะไรดังขึ้นมาก็สะดุ้งไม่น้อยเลยนะ ถ้ากลางคืนนี่คงหลอนหนัก
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดเกรด ที่ 01-12-2017 08:55:54
คนแต่งแต่งเก่งมากๆเลยเรานี่หลอนไปผลายวันเลย ขอบคุณที่ทำให้ได้รู้้จักกับ ภพมิิวนะคะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: sm37an2j2 ที่ 05-12-2017 21:11:59
แต่งได้สุดยอดมากครับ สมเป็นนิยายสยองขวัญ  อ่านสองวันรวดเดียวเลย อ่านตัวกลางคืนด้วยหยุดอ่านไม่ได้จริงๆ

ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านนะครับ
ดีใจมากที่ไม่พลาดนิยายเรื่องนี้


 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: lovejinjunno ที่ 08-12-2017 03:13:33
อ่านรวดเดียวจนจบ
กว่าจะจบได้ เล่นเอาเหนื่อยเลยค่ะ
ลุ้นจนเหนื่อย
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 09-12-2017 23:30:49
เขียนมาขนาดนี้ ไม่รู้จะคอมเมนท์อะไรแล้วคร้าาาาาาา หัวใจจะวายตั้งแต่ 5 ตอนแรก ความวาย 2 ตอนท้าย มันชดใช้กันไม่ได้!!!  :katai1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: milimily ที่ 29-12-2017 20:39:14
เพิ่งจะพบนิยายวายสายสยองขวัญระดับนี้เป็นครั้งเเรก  สนุกมากค่ะ ปกติจะดูเดอะช็อตโดยไม่เป็นอะไรเลย แต่เรื่องนี้ทำใหเเห็นภาพเเล้วกลัวได้  เเต่สิ่งที่หน้ากลัวสุดก็มนุษย์ล่ะน้า
ขอบคุณสำหรับเรื่องสนุกสนุกคร้าา :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: CEOGAC ที่ 30-12-2017 22:51:45
 :hao5: :hao5: อ่านจบแล้ว ชอบมากงื้อออออออ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: StarPasO ที่ 12-02-2018 19:31:05
อ่านจบแล้ว เป็นเรื่องที่ใช้เวลาอ่านนานมากครับ เพราะตอนกลางคืนหรืออยู่คนเดียวไม่กล้าอ่าน  :katai1: แต่สงสัยน้องพี่ภพตอนนี้เป็นยังไงหรอครับ คนเขียนไม่ได้บรรยายหรือเราเผลออ่านพลาดหว่า
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 18-03-2018 14:44:27
จะเขียนเรื่องแบบนี้ได้ จะต้องมีความรู้ทางไสยศาสตร์และเรื่องราวผีๆ พอตัวทีเดียว
เกมส์ก็ช่างสรรหาจริงๆ เอามาแต่ละเกมส์นี่สะพรึงขวัญขนหัวลุก 555
ภาษาดีที่เดียวครับ บทก็ออกแหวกแนว
หวังว่าจะมีผลงานดีๆให้อ่านอีกนะครับ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: zysygy ที่ 24-03-2018 08:27:59
 :mew5: อย่างหลอน
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 28-03-2018 14:54:48
ได้อ่านมาครึ่งทางละ สนุกมาก หลอนมาก
ผมนี่เก็บไว้อ่านตอนดึกๆเลย
เมื่อคืนผมอ่านหลอนมาก คือกลัวนะแต่ก็อยากอ่าน ฮ่าๆ
แบบที่ห้องผมมันเงียบๆ
เวลาจะนอนก็จะปิดไฟ แล้วเปิดไฟหรี่สีส้มๆ
แถมหลังบ้านผมเป็นสวนด้วย  เมื่อคืนอ่านได้อารมณ์สุดๆ
ตอนปวดฉี่ ลุกไปห้องน้ำยังแอบระแวง ฮ่าๆๆ

รอคืนนี้จะอ่านต่อ อดใจไม่ไหวเลยมาคอมเม้นก่อน ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 29-03-2018 09:46:19
อ่านจบแล้ว คือสนุกมาก แบบอินมาก
แอบลุ้นตลอดให้มิวเข้มแข็งจัดการในตอนท้ายๆได้
สรุปจิตใจคนนี่น่ากลัวกว่าผีนะ

ชอบตัวละครมิวกับภพมากๆ 
ชอบพี่เมฆด้วยอะ โผล่มานิดๆ แต่มีเคมีอะไรบางอย่าง ฮ่าๆ
ยิ่งตอนท้ายที่คบกันนะ สุดๆ ชอบตอนงอนกัน ที่พี่ภพทำนิ่งๆ
ตอนแรกนึกว่าจะมีแบบ 2 part
แบบ part นี้เป็น horror ไปแล้วใช่ปะ
อีก part เป็นเรื่องความสัมพันของทั้งสอง Romantic drama ไรแบบนี้ แต่จบแบบนี้ก็โอเค

ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะครับ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Sedsawa ที่ 18-06-2018 21:37:58
เป็นเรื่องที่อ่านเรื่อยๆ กลัวก็พักสักพักเปิดมาอ่านต่อ ฮือออออ มันดีมากค่ะะะ เป็นความกลัวที่เรากลัวนะระแวงหลังเลยแต่หยุดอ่านได้จริงๆมีปริศนาให้ติดตามตลอด และ....หลงรักคุณทศวรรษค่ะ......ไม่เห็นหน้าแต่รู้สึกว่าต้องหล่อแน่ๆ คนดีของน๊องงงง :impress2: แต่ความรักของเรามันคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นคุณเมฆค่ะ ชอบนะคะะะ>////////< :-[ ฮือออ หลงรักอ่าาาา ลุงคำก็ใจหล่อมาก โอ๊ยๆๆๆๆ กุมใจ เก็บขึ้นหิ้งไปเลยค่าาาา ยังมีหนังสือให้ตามเก็บมั้ยเหน้อออ อยากได้น้องมาหลอนกับตัว....แอบกลัวเลยแฮะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: neno.jann ที่ 22-06-2018 04:52:56
ช่วงแรกๆอ่านทุกตัวอักษร กลางๆเรื่องเริ่มไถเร็วๆ คือกลัวเกินจะรับไหวจริงๆค่ะ อืออออออออออ แต่งดีมากและหลอนมาก
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: mayyiyi ที่ 18-09-2018 09:22:54
ทั้งสนุกทั้งน่ากลัว อ่านไปก็ระแวงไป555
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 08-10-2018 15:57:11
 :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่2 27/12/2559
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 14-11-2018 04:44:47
เริ่มอ่านไปหลอนไปแล้วค่ะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่7 ความหลัง (13/01/60) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 14-11-2018 06:53:38
คนร้ายคือลุงมั่นใช่ไหม เหมือนๆ จะมีทีมงานร่วมมือด้วยหรือเปล่านะ มันคลับคล้ายคลับคลา
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: cho_co_late ที่ 15-11-2018 02:49:32
อ่านตั้งแต่เช้ายันตีสาม บอกเลยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ขนหัวลุก หลอน เสียวสันหลังได้มากที่สุดเท่าที่เคยอ่านมาเลย
สงสารมิวที่ต้องมาเจออะไรโหดๆแบบนี้แล้วต้องทนอยู่กับมันต่อไปตลอดชีวิต แต่ไม่เป็นไรนะมีพี่ภพอยู่ด้วยแล้ว
ส่วนพี่ภพนี่จิตแข็งอะไรขนาดน้านนน โดนขี่คอยังไม่รู้สึกอะไร ฮ่าๆๆ
ยกให้เป็นนิยายผีอันดับหนึ่งในใจเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่14 9วัด (21/02/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 15-11-2018 05:29:33
สารภาพเลยคือแอบกลัวตรงคาถาที่สวด เราจะข้ามไม่อ่าน

กลัวเป็นการสวดแล้วเรียกพวกนั้น  :hao5: คืออ่านจบแต่ละตอน

ปกติจะคอมเม้นท์ให้นะคะ น้อยมากที่จะไม่ทำ แต่ตอนนี้อดไม่ได้

จริงๆ เรากลัวคาถาจะเป็นของจริง แง้  :o12:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่15 ผีเสื้อ (7/03/60) P.5
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 15-11-2018 05:51:47
คำเตือนหลวงพ่อ น้ำ 8 วัด แถมวัดที่ 9 คืออะไร

ไหนจะตอนต่อไปอีก  :ling3:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่17 คำเตือน (21/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 15-11-2018 07:10:14
นับวันยิ่งหนัก ยิ่งน่ากลัว  :ling3: ไหนจะทีมงานที่เล่นไม่ซื่ออีก
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่18 เลี้ยงผี (28/03/60) P.6
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 15-11-2018 08:01:39
ถอดจิตได้? ลุงคำเหรอ ไม่รู้สิรู้สึกไม่เชื่อในตัวลุงมั่นอะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่19 สายตา (4/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 15-11-2018 08:19:32
 :เฮ้อ: สายตาของใครกัน ลุงมั่น? ลุงคำ? หนือทีมงานสักคนหรือ

เจ้าของรายการ?  :ling3: ยิ่งอ่านยิ่งน่ากลัว
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่20 โทรทักรับตาย (11/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 15-11-2018 08:54:09
เรื่องวิญญาณเราก็เห็นด้วยนะ คิดว่าเป็นคุณศตวรรษ

แล้วน่าจะเป็นคนที่ทักมิวตอนมาแรกๆ เลย ที่ทีมงานอีกคนบอกมิว

ว่าเขาไปช่วยงานเจ้านายอะ แต่ว่านะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่21 กล่อม (18/04/60) P.7
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 15-11-2018 09:21:28
ลุงคำดีจริงๆ ใช่ไหม  :katai2-1: ส่วนภพแหมๆ เริ่มมีหงมีหวงนะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมส์กระตุกขวัญ } :: ตอนที่22 วัดสุดท้าย (25/04/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 15-11-2018 20:03:16
ทีมงานหายไปอีกแล้ว ไม่ใช่โดนทำแบบเดียวกับคุณศตวรรษนะ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่23 คำทักทายแรก (2/05/60) P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 15-11-2018 21:04:53
คุณศตวรรษษษษ  :sad4: :o12: แง้ สงสาร ฮืออออ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่24 กระดานดำ (10/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 15-11-2018 22:08:35
เท่ากับว่าหลังจากที่ศตวรรษทักทายมิววันนั้นเขาก็โดนเลยเหรอ

และเราว่าลุงมั่นไม่ใช่ลุงคำแน่ๆ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่25 กลโกง (17/05/60) P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 16-11-2018 00:42:07
มิวบอกว่าให้ดวงตาทุกคนเห็น ใช่มั้ยยยยยย  :katai2-1: มิวถึงถามภพว่ากลัวผีมั้ย

โหยยย เราแค่เอะใจตอนอ่านแค่นั้นยังไม่คิดอะไร พอเห็นคห.นี้

ถึงคิดออก สุดยอดไปเลยได้เอาคืนแล้ว  :laugh:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่26 เอาคืน (24/05/60) P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 16-11-2018 02:47:43
ลุงคำจริงดิ ไม่ใช่ลุงมั่นเหรอ เราไม่เชื่ออะ แต่ตอนนี้แอบสะใจ  :laugh:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่27 ฆาตกร (30/05/60) P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 16-11-2018 03:18:44
 :laugh: ว่าแล้วว่าไม่ใช่ลุงคำไง  ลุงมั่นดูแปลกๆ เราอธิบายไม่ถูก

รู้แค่ว่าลุงน่าสงสัยทั้งเรื่องทีมงานทำร้าย อาจรู้ว่าภพดูอยู่เลยทำ

ส่วนลุงคำแกดูหาวิธีช่วยหรือคำเตือนมันดูเป็นประโยชน์

ไหนจะตอนที่แกรื้อหาอะไรในตู้หนังสือนั่น แต่ที่แกหาคือปืนใช่มะ

-------------------
ที่จริงเป็นลุงมั่นเหรอออ

ลุงคำกลับมาได้ด้วยเหรอ ประโยคนี้คือแสดงว่าลุงคำ......  :katai1:

เพิ่งสังเกตุ กรี๊ด  :o12: อย่าบอกนะที่มิวเห็นนั่นคือวิญญาณลุงคำ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } :: ตอนที่29 จากลา (13/06/60) P.12
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 16-11-2018 04:21:45
ลุงคำ คุณศตวรรษ :hao5: :o12: การภาวนาไม่เป็นผล

 :sad4: ลุงคำตายไปแล้ว ฮืออออ
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 16-11-2018 04:58:03
 :ling3: เป็นตอนพิเศษที่ไม่ได้ค่อยโอเคเลยค่ะ ฮือออ   :katai1:

อ่านจนจบปวดฉี่ก็ไม่กล้าลุกไปเข้าเลย แง้ กลัววว
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: JanTi ที่ 16-11-2018 16:45:58
อ่านแล้วลุ้นตามตลอด สนุกมาก ขอบคุณนะคะสำหรับผลงานดีๆชิ้นนี้
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Seilong2 ที่ 17-11-2018 20:13:41
ไม่รู้ว่าผ่านจุดนี้มาได้ยังไง จุดที่อ่านมาถึงตอนจบ เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากแต่งได้น่าสนใจและน่าติดตามมาก แค่เห็นชื่อเรื่อง ว่าน่าสนใจแล้วแต่ก็ยังไม่กล้าเข้ามาอ่าน เลยลองอ่านสักตอนนึง พออ่านจบตอนแรกมีความรู้สึกว่าอยากรู้เรื่องราวต่อจากนี้  ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ  ขอบคุณนักเขียนมากค่ะ 
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: TaemyG ที่ 02-04-2019 21:02:28
ยกให้เป็น the best เลยค่ะ ไม่เคยอ่านนิยายแนวนี้เรื่องไหนแล้วหลอนขนาดนี้เลย ครบรส ผูกปมดีมาก  :katai1:  :katai1: รักเลยค่ะ  :pig4: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: pee122 ที่ 11-04-2019 08:35:44
 :katai2-1:
สนุกดีครับ หลอนดี ชอบ 5555
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-04-2019 16:57:59
 โคตรหลอนนนนนนนนนน

:pig4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: fi_ne ที่ 16-05-2019 21:08:40
สนุกมากๆเลยค่ะ หลอนจนอ่านคนเดียวไม่ไหวเลย
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: MarzTer. ที่ 09-05-2020 21:55:17
กว่าจะทำใจอ่านเรื่องนี้จบ ดองไว้จะเป็นปีแล้ว ไรท์เตอร์​เขียนได้ดีมากจนช่วงแรกๆที่อ่านหลอนจนไม่กล้านอนคนเดียวเป็นเดือนเลย ขอบคุณไรท์เตอร์มากเลยครับที่แต่งเรื่องสนุกๆแบบนี้ให้ได้อ่าน  :o8: :impress2:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: เกี๊ยวกงจื่อ ที่ 10-05-2020 19:43:24
สนุกมากครับนักเรียน สนุกจนวางไม่ลงเลย ยิ่งอ่านตอนกลางคืนยิ่งน่ากลัว

ทำให้นึกถึงหนังเรื่องThir13en Ghosts ที่เคยดูตอนเด็กเลยครับ

ขอบคุณนักเขียนมากนะครับ  :-)
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: Bebii123 ที่ 07-06-2020 01:20:46
เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากกก(ในความรู้สึก) แต่ก็หยุดอ่านไม่ได้ มันสนุก ตื่นเต้น ลุ้นไปกับทุกตัวหนังสือ ไรท์เขียนออกมาในภาษาที่เข้าใจง่าย ชอบ!!  :impress2:   :mc4:
หัวข้อ: Re: NIGHTMARE GAME { เกมกระตุกขวัญ } ::*แจ้งเรื่องการเปิดจองหนังสือ (07/08/60) P.14
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 11-06-2020 16:11:31
เป็นนิยายเนื่องแรกที่เราใช้เวลาอ่านนานกว่าที่ควรเพราะเราอ่านเฉพาะตอนกลางวัน​ 555​ ขอบคุณ​นะคะนักเขียน