『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.33┋(P.5)┋16/11/2018  (อ่าน 62702 ครั้ง)

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 508
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 301
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3

ออฟไลน์ MK

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
 รอด้วยคนจ้า   :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ไรท์ ลงวันที่ผิด
『 My Cat Trap 』กับดักนี้มีไว้จับแมวเถื่อน! ─ Ch.26┋(P.4)┋20/05/2018


ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
แมวเถื่อนในคอนโด 6 : ค่ำคืนหายนะ


ตามที่คุยกับพวกทีไว้ เราจะกระจายคนออกเป็นสามกลุ่ม ผมอยู่กลุ่มสอง ทำหน้าที่สังเกตการณ์ร่วมกับเทม พาร์ และเพื่อนในกลุ่มยำอีกคนชื่อกาย และโต๊ะที่นั่งอยู่ใกล้พอถ้าเกิดเรื่องอะไรกับยำหรือที พวกเราสามารถลุกไปช่วยเหลือได้ทันที

ผมนั่งจองโต๊ะคนเดียวจนกระทั่งถึงเวลานัดหมาย ฝ่ายเด็กนั่นโผล่หน้ามาให้เห็นแล้ว มีนัทติดส้อยห้อยตามมาด้วย แต่ฝ่ายผมยังไม่มีมาให้เห็นสักคนเดียว ไม่รู้ตอนนี้ไปอยู่แถวไหนในผับกันหมด

เพราะไม่อยากนึกให้กังวลเกินไป ผมเลยมองอย่างจับสังเกตไปทางโต๊ะเป้าหมายบ่อยๆ เพื่อดูท่าทีของเพื่อนตัวเองที่มีต่อเด็กนั่น ทั้งที่คนข้างๆ ไม่อยากคุยด้วย แต่นัทกลับตื้อเขาน่าดู เห็นแล้วก็รู้สึกว่านัทคงคิดอยากสานสัมพันธ์ต่อ แต่จะจริงจังแค่ไหนนั้น ผมไม่รู้

เลยเวลานัดมาสองนาที เทมก็เดินมานั่งร่วมโต๊ะกับผม เราไม่ได้คุยอะไรกันด้วยหลายๆ สาเหตุ อาจเพราะเสียงเพลงที่เปลี่ยนจังหวะเป็นหนักหน่วงพร้อมให้ผู้คนในผับเริ่มต้นออกไปวาดลวดลายหน้าเวทีของคืนนี้ หรือเพราะเราเพิ่งรู้จักกันเลยไม่รู้จะคุยอะไรกันดี

ความจริงผมมีเรื่องอยากคุยด้วยนะ เรื่องของแมวเถื่อนล้วนๆ คิดว่าเพื่อนตั้งแต่เด็กอย่างเทมน่าจะรู้ดีจนเล่าสู่กันฟังได้ แต่สู้เสียงดังรอบด้านไม่ไหว จะให้แหกปากถามก็ยังไงอยู่

...ไว้โอกาสหน้าแล้วกัน

เลยมาสิบนาทีนิดๆ กลุ่มหนึ่งโผล่มาสักที แต่แทนที่จะไปโต๊ะเป้าหมายก่อน สามใบเถากลับตรงดิ่งมาทางโต๊ะผม รู้เลยว่าจะมาคุยเรื่องที่ผมไปขุดพวกเขาที่เหนื่อยจากการสอบออกมาถึงที่นี่เพียงเพราะคำท้าทาย

‘แต่งเป็นเกย์สาวมาสนุกที่ผับ ถ้ากล้าทำ ค่าใช้จ่ายวันนี้กูออกให้เองทั้งหมด’

ดังนั้นตอนเพื่อนสามคนนี้ปรากฏตัวให้เห็นตรงหน้า ผมถึงแค่ผิวปากชอบใจ เทียบกับตอนที่แต่งสาวครั้งแรก พวกมันใช้เครื่องสำอางได้เก่งขึ้นแล้ว สภาพถึงออกมาโอเคทีเดียว

“เป็นไง?” ช้างยืดอกพูด ท่าทางพอใจในสภาพตอนนี้สุดๆ

“ดีกว่าตอนพวกมึงไปยืนข้างถนนคราวก่อนวะ” ผมตอบกลั้วหัวเราะ “ตรงๆ นะ สภาพกระเทยหัดจับเครื่องสำอางเมื่อตอนนั้นตลกมาก ทำกูขำไปได้ตั้งหลายวัน”

“ดีที่มึงขำ” เพชรยิ้มออกมา “กูได้ยินว่ามีคนหลอนสภาพพวกกูจนเก็บไปฝันร้ายด้วยซ้ำ”

ผมเลิกคิ้วรับรู้ มองทางเต้ที่กำลังทำหน้าง่วงๆ จะซ้าย ขวา หรือหลังว่างเปล่า แล้วคนที่ควรมาด้วยกันหายไปไหน?

“ยำกับทีไปไหน” ถามออกไปทันที   

“เดินตามหลังพวกกูมานี่...อ้าว ไปไหนแล้วเนี่ย”

เพชรหันมองซ้ายขวา เป็นช้างที่เจอตัวพวกเขาก่อนถึงได้ชี้นิ้วบอก “เดินฝ่าคนมาอยู่นั่นไง”

ผมหันตาม กวาดมองอยู่นานไม่เห็นเจอตัวสักที กระทั่งมีเกย์สาวหน้าสวยมากกับอีกคนในลุคดูซนๆ แต่กลับดูน่ารักน่าเอ็นดูพยายามฝ่าผู้คนที่เริ่มคึกคักตรงทางเดินตรงมาทางนี้ กว่าจะทะลุออกมาถึงบริเวณโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ได้คงเหนื่อยไม่ใช่เล่น

ผมมองสองคนนั้นหลุดจากกลุ่มผู้คน เดินมาจับพนักเก้าอี้ใกล้ๆ แล้วยืนหอบอยู่แปบหนึ่งถึงเงยหน้าขึ้นมา ประกอบกับมีแสงไฟวาบผ่านตัวสองคนนั้นไปทำให้เห็นใบหน้าที่ถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางชัดๆ

ฉิบหายล่ะ! นั่นเมียกู!

ขณะที่กำลังตะลึงลุคใหม่ของแมวเถื่อน ผมก็โดนเต้พุ่งมาชนจนพลัดตกจากเก้าอี้ไปนอนเจ็บปนจุกบนพื้น ส่วนตัวการทำผมกับเต้นอนแอ้งเม้งกับพื้นกำลังยกเท้าลง ทั้งส่งเสียงเย้ยใส่อย่างสนุกสนาน

“ตะลึงความน่ารักของน้องเต้จนตกเก้าอี้เลยเหรอภู”

ผมผลักเต้ออกไปจากตัว แต่เหมือนมันง่วงมากจนแทบจะหลับคาอกผมอยู่แล้ว พอจับเขย่าตัวเรียกสติ มันก็มองผมแบบมึนๆ งงๆ

“กูวูบไปเหรอ โทษที”

ผมลอบถอนหายใจ จัดการช่วยพยุงตัวเต้ขึ้นจากพื้น ทั้งหันไปต่อปากต่อคำกับช้างที่กำลังยิ้มขำขัน

“ไอ้เนี่ยอ่ะนะ ยังน่ารักไม่ถึงครึ่งของเมียกูเลยเหอะ”

คนถูกพูดถึงมองคนอื่นด้วยสีหน้าง่วงๆ มึนๆ ตรงข้ามกับแมวเถื่อนที่ยืนเม้มปาก แต่แก้มนี่แดงเชียว ไม่รู้ว่ารอยแดงๆ นั่นเป็นเพราะถูกชม หรืออับอายสภาพในตอนนี้กันแน่…ถ้าเป็นอย่างแรกได้คงดีนะ

ผมมองข้าวยำที่รีบไปร่วมวงแซวทีกับเทม แล้วยิ้มขำ ท่าทางดูออกง่ายมากว่ากำลังเปลี่ยนเรื่อง ถึงอย่างนั้นก็อดกวาดสายตามองยำขึ้นลงไม่ได้อยู่ดี

น่ารัก...

ผมยอมรับ แมวเถื่อนตอนนี้น่ารักมาก แต่ความรู้สึกลึกๆ บอกว่าไม่อยากให้แต่งตัวแบบนี้อีก ว่าไงดีล่ะ คงเหมือนตอนพี่วีจับแมวตัวโปรดสวมเสื้อสัตว์เลี้ยงตัวสวยให้ แล้วตามถ่ายรูปไม่หยุด ถ่ายเสร็จก็รีบถอดออก เพราะแมวตัวโปรดพยายามกำจัดของแปลกปลอมออกจากตัวแล้ว ผมคิดว่ายำในตอนนี้ก็เหมือนกับแมวที่ถูกสวมเสื้อสวยๆ นั่นแหละ 

นึกถึงพี่วีมองเสื้อสำหรับแมว แล้วถอนหายใจ ก่อนพูดยิ้มๆ ว่า

‘ถึงบางครั้งอยากให้ใส่อะไรแบบนี้บ้าง แต่ถ้าแปดไม่ชอบ พี่ก็ไม่อยากบังคับหรอก’

ตอนนั้นไม่ค่อยเข้าใจความคิดพี่ชายเท่าไหร่ มาตอนนี้ผมกลับเห็นด้วยเต็มที่ ยำในเวลาปกติก็น่ารักมากอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสริมเติมแต่งอะไรเพิ่มหรอก

...แต่ไอ้สายตาของคนที่เมียงมองทางเมียผมนั่นเป็นอีกเรื่อง!

ผมที่เริ่มหงุดหงิดใช้โอกาสที่พาร์โผล่มาหาทีดึงตัวยำมาคุยด้วย แอบสงสัยเหมือนกันว่าคู่นี้อาจไม่ใช่แค่เพื่อน แต่นาทีนี้ผมเพ่งความสนใจไปที่แมวเถื่อนมากกว่า

ก่อนที่ผมจะอ้าปากพูด สายตาเหลือบเห็นแววตาวาววับด้วยความอยากรู้อยากเห็นสองคู่เข้าก่อน เลยลากยำออกห่างสามใบเถามาอีกหน่อย พอหันกลับมาก็เจอสายตาที่บ่งบอกว่าแมวเถื่อนกำลังไม่ชอบใจอะไรสักอย่าง

หึ ไม่ชอบที่โดนผมลากออกห่างเพื่อนหรือไง!

ใจคิดอย่าง ปากพูดอีกอย่างด้วยน้ำเสียงไม่พอใจชัดเจน

“แต่งตัวอะไรมาเนี่ย น่าเกลียดมาก”

ผมไม่พอใจน่ะถูกต้องที่สุดแล้ว ใครจะอยากให้เมียแต่งตัวน่ารักๆ มาอวดให้คนอื่นดูกัน!

ข้าวยำขมวดคิ้วใส่ทันทีเช่นกัน “ไปว่าเพื่อนมึงนู้นสิ”

“เพื่อนกูก็พี่รหัสมึง”

“แล้วไง พี่เต้ไม่ได้เป็นคนจับกูแต่งตัวแบบนี้สักหน่อย”

“แล้วใครจับมึงแต่ง?”

“พี่เพชร”

คำตอบที่ออกมาทำผมลอบหมายหัวเพื่อนต่างคณะไว้ในใจ และเริ่มชักชวนแมวเถื่อนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความมั่นใจว่า ยำต้องเห็นด้วย เพราะมันไม่ชอบแต่งตัวแบบนี้เช่นกัน

“ไม่ไป”

ผมนึกไม่ถึงว่าจะเจอกับคำปฏิเสธห้วนๆ จนต้องถามซ้ำ แมวเถื่อนเลยยกแขนมากอดอก มองผมตาขวาง แล้วย้ำคำตอบอีกทีด้วยเสียงห้วนๆ

“เออสิ!”

ผมนิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่นึกว่าจู่ๆ จะเจอแมวดื้อ และเพื่อให้มันรีบเปลี่ยนใจยอมตามผมไปเปลี่ยนชุดดีๆ จึงงัดคำพูดแทงใจออกมาใช้

“อยากไปเจอแฟนเก่าในสภาพนี้ก็ดี เด็กนั่นจะได้รู้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นว่า สถานะรุกของมึงเปลี่ยนไปแล้ว”

แววตาแมวเถื่อนวาววับทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ  “ถ้าไม่ใช่เพราะมึง สถานะกูจะเปลี่ยนเรอะ!”

“อยากโทษกูก็โทษไป แต่อย่าลืมว่ากูไม่ได้เป็นคนเริ่มก่อน”

คนฟังเม้มริมฝีปากทันที จากนั้นเดินหนีกันดื้อๆ จนผมต้องเป็นฝ่ายเดินตามหลังแล้วคว้าแขนดึงตัวมันกลับมาหาเพื่อถามซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

“จะไปเปลี่ยนชุดดีๆ หรือจะให้กูลากมึงไป?”

พอสบกับแววตาที่กำลังโกรธกึ่งน้อยใจเข้าก็ใจอ่อนยวบ เป็นเหตุให้น้ำเสียงที่ใช้พูดอ่อนลงมาก

“แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าเอง”

ฝ่ายคนถูกจับก็สะบัดแขนออกทันที “กูไม่ไป!”

ผมมองแมวดื้ออย่างหงุดหงิด แต่พยายามข่มน้ำเสียงไม่ให้ห้วนเกินไป “ทำไม?”

อีกฝ่ายจ้องหน้าอกผมครู่เดียวก็ตวัดสายตามองแบบเคืองๆ แล้วตวาดใส่หน้า

“มึงมันแย่! ห้ามแต่กู แล้วทีตัวมึงเองล่ะ!!”

ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ทั้งก้าวเท้ายาวๆ ตามไปถาม “หมายความว่าไง?”

“มึงไม่น่าโง่!”

“เออ กูโง่เอง บอกมาได้ล่ะ”

“กูไม่บอก!”

“ยำ!!”

แมวเถื่อนเลือกเมินผม ทั้งยังจ้ำเท้าเดินหนีเร็วขึ้นกว่าเดิมอีก ผมก้าวเท้าตามอย่างหัวเสีย สุดท้ายก็ทนไม่ไหวกระชากแขนมันให้หันกลับมา แล้วตะคอกใส่อย่างเหลืออด

“ถ้าคิดแต่งตัวแบบนี้ก็เก็บไว้แต่งให้กูดูคนเดียวพอ! ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า!”

“กู-ไม่-ไป!” พูดเน้นย้ำทีละคำไม่พอ ยังหันไปส่งเสียงอ้อนเพื่อนอีก “ไอ้ที ไปหาเมียเก่ากูกัน กูมีเรื่องอยากพูดกับมันเยอะแยะ”

อ้อ อยากคุยกับแฟนเก่ามาก

ผมมองยำพยายามลากทีออกไปอย่างโมโห ติดว่าทีโดนพาร์จับแขนไว้ก่อน แล้วกระซิบอะไรบางอย่างข้างหู ผมใช้เวลานี้จับจ้องกดดันให้มันยอม แต่แมวเถื่อนกลับเมินใส่ได้อย่างน่าหงุดหงิดที่สุด พอพาร์ปล่อยแขนที ก็รีบลากตัวเพื่อนออกไปหาแฟนเก่าของมันทันที

ผมหงุดหงิดมากนะ แต่ขณะเดียวกันกลับเห็นว่าดี

รีบไปคุย ไปเคลียร์ให้จบๆ ผมจะได้ลากมันกลับคอนโดสักที!

หึ! แล้วมันรู้ว่าอย่าได้เมินผมแบบในวันนี้อีกเด็ดขาด!

-------------

หลังเจอเรื่องไม่คาดคิดอย่างแมวเถื่อนโดนจับแต่งตัวกับเรื่องที่ทะเลาะกันแล้ว ผมยังเจออีกเรื่องด้วยน้ำมือของสามใบเถา

ผมพอรู้มาบ้างว่าพวกนี้บ้าขนาดไหน แต่ไม่นึกเลยว่าจะบ้าขนาดตอบรับไมตรีคนที่เดินถือแก้วเข้ามาจีบ แล้วยังยิ้มรับเศษกระดาษหน้าระรื่น

พวกมึงเปลี่ยนมามองหนุ่มตั้งแต่เมื่อไหร่?

ผมนึกอย่างสงสัย แต่มองไปมองมาก็รู้สึกว่าคงกำลังเล่นเกมอะไรบางอย่างอยู่มากกว่า ถ้าให้ผมเดาน่าจะสะสมเบอร์โทร ไม่ก็ไอดีไลน์แข่งกันมั้ง

...แล้วทำไมต้องบังคับน้องให้เล่นกับพวกมึงด้วยวะ!

ผมพยายามควบคุมลมหายใจตัวเองไม่ให้ออกอาการมากไปกว่านี้ รู้ตัวดีว่ายามเห็นยำยอมคุยกับคนแปลกหน้า แล้วรับเศษกระดาษพวกนั้นไว้ในมือ ผมทั้งหงุดหงิดทั้งโมโหขนาดไหน

ไม่พอ ไอ้เพื่อนตัวดีที่เรียกมากะให้ช่วยป่วนยำกับเด็กนั่นกลับเอาแต่ชงเหล้าส่งให้น้อง!

พวกมึงจะมอมเหล้าแมวของกูหรือไงวะ!

เรื่องนี้น่าหงุดหงิดเกินพอแล้ว แต่พวกมันยังทำให้ผมแทบจะปรอทแตกด้วยการดึงข้าวยำไปที่ลานกว้างหน้าเวที แล้วสอนน้องเต้นตามเสียงเพลง

เต้นท่าธรรมดาไม่พอหรือไง ทำไมต้องสอนท่าเต้นอ่อยผู้ชายให้ด้วยวะ!

ผมที่ตามมาคุมเชิงห่างๆ แทบถลาไปชกหน้าเพื่อนอย่างช้าง เต้ก็เหลือเกิน น้องรหัสมีแต่ไม่อยู่ดูแล ร่วมเต้นอยู่พักเดียวก็กลับไปชิงหลับคาเก้าอี้โซฟา คาดว่าคงหลับยาวจนถึงพรุ่งนี้แน่ ผมอยากด่าอยู่หรอกว่า

‘เหล้าไม่กี่แก้วแท้ๆ เสียทีที่ได้ชื่อเป็นเด็กวิศวะเป็นบ้า’

แต่เชื่อเถอะ เต้หลับเพราะทนง่วงไม่ไหวมากกว่า เห็นแล้วก็แอบเห็นใจหน่อยๆ แต่เพื่อนมึงสองตัวนั่น กูคิดบัญชีทีหลังแน่!

บางครั้งผมต้องอาศัยจำนวนคนมากมายกระทืบเท้าคนมาแตะข้าวยำบ้าง ศอกไปโดนบ้าง หนักหน่อยก็ทำเป็นเซไปกระแทกแรงๆ ให้ผละออกห่างๆ จากแมวของผม ผลลัพธ์ที่ออกมาก็พอช่วยกั้นคนที่มาทำเป็นเต้นใกล้ยำ แต่หวังนัวเนียออกไปได้บ้าง

แล้วนี่เมื่อไหร่มันจะไปคุยกับแฟนเก่า...ไม่สิ เมาขนาดนี้จะคุยอะไรกับใครรู้เรื่อง

ผมขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด รู้สึกว่ามาเสียเที่ยวที่สุด เพราะสุดท้ายสถานการณ์ของผมกับยำก็ไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่คิด แถมยังเลวร้ายลงอีกต่างหาก!

-------------
(ยังมีต่อ...)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-06-2018 12:51:45 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
แมวเถื่อนในคอนโด 6 : ค่ำคืนหายนะ (ต่อ)


หลังจากช้างพาตัวยำกลับไปนั่งที่โต๊ะ ผมก็กลับมาประจำที่โต๊ะสังเกตการณ์ ทันได้ยินคนร่วมโต๊ะทั้งสามคุยกันว่าจะพาคนเมาเละเทะกลับบ้าน พอเทมหันมาถามความเห็นของผม ผมรีบเห็นด้วยทันที แต่ก่อนที่พวกเราสี่คนจะลุกไปหาคนโต๊ะโน้น ฝ่ายนั้นกลับมีคนแปลกหน้าสามคนมาเยือนซะก่อน

แวบแรกที่ได้เห็นสามคนนั้น ผมรู้สึกไม่ถูกชะตาเอาซะเลย

“ฉิบหาย มาจริงด้วยวะ” เทมอุทานออกมา

“พากลับตอนนี้ไม่ได้แล้วสินะ”

ผมหันไปมองหนึ่งในเพื่อนยำชื่อกายอย่างสงสัย “ทำไมล่ะ”

เป็นเทมที่เอ่ยตอบ “ทีเคยบอกพี่แล้วว่าเจอเด็นคราวนี้อาจเป็นกับดักใช่ไหม”

“ใช่”

“ทีคงไม่ได้บอกว่าเคยเห็นเด็นอยู่กับคนมีประวัติข่มขืนคนเมา และใช้วิธีแบล็กเมลเพื่อเรียกร้องเงิน อีกทั้งอาจสั่งหรือบังคับให้เหยื่อรายเดิมออกหาเหยื่อรายใหม่มาเพิ่มใช่ไหม”

“...ใช่” ผมตอบด้วยความไม่สบายใจ

เทมพยักหน้ารับรู้ “สงสัยเพราะทีไม่แน่ใจว่าเด็นตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่จริงไหม เลยยังไม่ได้บอกให้พี่กังวล”

ผมขมวดคิ้วพูดโต้กลับ “งั้นบอกตอนนี้ซะ!”

เทมไม่ได้โกรธที่โดนผมขึ้นเสียงใส่ แถมยังบอกเล่าเรื่องราวอย่างใจเย็น

“ก่อนอื่นเลยพวกเรามาที่นี่ด้วยความไม่แน่ใจ และต้องการดูคำตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าใช่ และเด็นกำลังตกเป็นเหยื่ออยู่จริง ตัวการสามคนนั้นจะต้องโผล่หัวมาที่นี่แน่”

ผมหันขวับมองคนแปลกหน้าสามคนที่มาร่วมโต๊ะเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

“หมายถึงสามคนนั้น?”

“ผมว่าใช่แน่ เพราะตั้งแต่สามคนนั้นปรากฏตัวขึ้น พาร์ก็ไม่ยอมละสายตาไปไหนอีก ถามอะไรไม่ยอมตอบ เหมือนทุ่มสมาธิทั้งหมดไปกับการจับตาดูความเคลื่อนไหวของโต๊ะเป้าหมาย”

ผมมองคนที่ถูกพูดถึง พาร์นั่งตัวตรง สายตาจับจ้องไปด้านหน้า กระทั่งกระพริบตาก็ไม่ทำ ท่าทางของพาร์ช่วยยืนยันว่านี้ไม่ใช่เรื่องล้อกันเล่น

“แล้วเหยื่อรายใหม่...”

ถามถึงตรงนี้ คำตอบก็โผล่ออกมาในความคิด จะใครล่ะถ้าไม่ใช่คนถูกเรียกตัวออกมาอย่างยำ...

ความตกใจกึ่งหวาดกลัวแล่นวาบเข้ามาในอก อึดใจต่อมาความรู้สึกเป็นห่วง กังวล โกรธ น้อยใจก็ถาโถมเข้าใส่ กว่าผมจะตั้งสติแล้วเค้นเสียงถามออกมาได้ค่อนข้างลำบากเอาการ

“เพื่อเด็กนั่น...ยำถึงกับยอมเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อ?”

“ผมคิดว่ายำอยากช่วยเหลือแฟนเก่า ยังไงก็เป็นคนที่เคยรักเคยชอบมาก่อน และถ้าผมอ่านแววตายำไม่ผิด ยำค่อนข้างรู้สึกผิดต่อแฟนเก่าอยู่มาก”

งั้นเหรอ...ผมถอนหายใจออกมา ถึงทีไม่ได้บอกเรื่องทั้งหมดตามที่รับปากไว้ ทั้งจงใจยกเรื่องของยำมาเบี่ยงเบนความสนใจไปจากผม แต่เรื่องที่พูดออกมายังเป็นเรื่องจริงสินะ

“ส่วนทีทนเห็นยำลุยเดี่ยวไม่ได้ เลยพาตัวเองไปเสี่ยงด้วยอีกคน รวมทั้งลากคนในกลุ่มมาร่วมด้วยช่วยกันวางแผน และเป็นตัวเลือกกรณีที่เกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา จะได้มีคนช่วยเหลือได้ทันท่วงที”

“ทางแก้ปัญหาล่ะ”

“พวกผมเรียกตำรวจมารออยู่หน้าผับแล้ว ถ้าพวกนั้นหิ้วพวกทีออกไปเมื่อไหร่จะโดนจับกุมทันที”

ผมกัดฟันกรอด ฟังแล้วไม่ชอบใจอย่างแรง

“ผมรู้ว่าพี่ไม่ชอบ พาร์ก็ไม่ชอบเหมือนกัน” เทมบุ้ยหน้าไปทางคนถูกเอ่ยชื่อ “พาร์แย้งแผนนี้กับทีแล้ว แต่ทียืนยันว่าดูแลตัวเองได้ ซึ่งความจริง...พี่ก็เห็นแล้วว่ามันเมาหนัก เพราะเพื่อนของพี่”

เหมือนถูกด่ากลายๆ ว่าพาเพื่อนมาทำให้แผนเสียเลยวะ

“ขอโทษด้วย”

เทมกลับยักไหล่ “ไม่เป็นไรครับ ต่อให้ทีเมาจนหลับ ทางเรายังมีบอดี้การ์ดบ้านวินอยู่ พวกเขาแฝงตัวเข้ามาในนี้แล้ว มีบางส่วนอยู่เฝ้าแถวลานจอดรถ ไม่มีทางที่สามคนนั้นจะได้อุ้มที ยำ และเพื่อนพี่คนนั้นออกไปทำมิดีมิร้ายได้แน่”

ฟังแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้างว่าแมวเถื่อนจะไม่เป็นอะไรง่ายๆ

“ว่าแต่เพื่อนของพี่ที่กำลังถูกหมายตานั่นชื่ออะไร”

ผมมองไปทางโต๊ะเป้าหมาย แล้วบอกสั้นๆ “ชื่อเพชร”

“อ้อ แล้วพี่จะไปส่งเพื่อนเอง หรือจะให้ทางผมช่วยไปส่งให้?”

“เดี๋ยวพี่ไปส่งเอง” แล้วรีบพูดเสริมก่อนถูกเข้าใจผิด “ไปส่งสามคนนี้ก่อน ค่อยพายำกลับคอนโด”

คนฟังเผยยิ้มออกมาทันที “ผมไม่พายำไปนอนด้วยหรอก ขี้เกียจกล่อมมันนอนด้วยเพลงจิงเกอเบลน่ะ มึงล่ะกาย อยากเอายำไปนอนด้วยหรือเปล่า”

คนขอบตาดำคล้ำเหมือนแพนด้าเหลือบมองคนถามนิดหน่อย แล้วตอบสั้นๆ

“ไม่”

เทมหันมามองผมด้วยสีหน้าประมาณเห็นไหม พร้อมกับชี้นิ้วไปทางโต๊ะเป้าหมาย

“พี่ควรจะสนใจคนกำลังลวนลามยำมากกว่ามากลัวว่าเพื่อนคนใดคนหนึ่งในกลุ่มจะชิงยำไปจากพี่นะ” 

ผมหันขวับไปมองทันที เพียงแค่เห็นไอ้เวรนั่นซุกไซร้คอแมวเถื่อน ผมก็ลุกพรวดเดินดุ่มๆ เตรียมไปกระทืบคน ติดแต่ว่าโดนเทมรั้งชายเสื้อไว้ก่อน

“ใจเย็นพี่ โดนแทะเล็มนิดๆ หน่อยๆ แค่นั้นเพื่อนผมไม่สึกหรอหรอกน่า”

“ใครใจเย็นได้ก็บ้าแล้ว!”

“พาร์ยังทำได้เลย...เฮ้ย! พาร์ๆ เดี๋ยวก่อน!”

ผมอาศัยจังหวะที่เทมละความสนใจไปทางพาร์ กระชากชายเสื้อคืนมา แล้วเดินกึ่งวิ่งออกไปทันที ได้ชนใครไปบ้างก็ไม่คิดสนใจ กระทั่งเข้าใกล้โต๊ะเป้าหมายก็ต้องชะงักนิ่งมองที ผู้อยู่ๆ ก็สะบัดตัวหลุดจากโดนกอด แล้วปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้โซฟาให้คนงงเล่น

คนที่กอดทีอยู่เมื่อครู่พยายามดึงแขนให้ทีกลับไปนั่ง แต่ชั่ววูบต่อมากลับถูกทีเตะก้านคอกระเด็นตกจากที่นั่งลงไปกองกับพื้น แล้วคนโชคร้ายก็นอนแน่นิ่งให้คนเห็นเหตุการณ์รู้สึกตื่นตะลึง

“ฉิบหายแล้วไง!” เทมที่ตามผมกับพาร์มาติดๆ หลุดอุทานออกมา

ไม่มีใครทันพูดอะไรมากกว่านั้น ทีก็พาตัวเองกระโดดข้ามโต๊ะไปอีกฝั่ง ทั้งยังตวัดขาขึ้นเสยหน้าคนกำลังคล้องแขนรอบคอข้าวยำ ฝ่ายแมวเถื่อนที่ได้อิสระมาทำแค่เงยหน้ามองคนที่กำลังทิ้งน้ำหนักเท้าบนเบาะเก้าอี้ข้างๆ

เพียงแค่ทียื่นมือให้ ข้าวยำก็ยื่นมือไปวาง ทั้งปล่อยตัวให้โดนทีดึงขึ้นไปกอดแน่นๆ แววตาของทีที่มองคนนั่งกุมคางอยู่ บ่งบอกชัดว่ากำลังหงุดหงิดมากขนาดไหน

“ห้ามยุ่งกับคนของกูนะ!”

อ...อะไรนะ!?!

ผมยืนอึ้งกับคำประกาศกร้าวของที แล้วเผลอเลื่อนสายตามองแมวเถื่อน ผู้ดูมีความสุขอยู่ในอ้อมกอดของคนที่ผมไม่แน่ใจแล้วว่าเป็นแค่เพื่อนตั้งแต่เด็กจริงหรือเปล่า

หรือแท้จริงแล้วเป็นศัตรูหัวใจของผมกันแน่!

แต่ไม่ว่าศัตรูหัวใจจะใช่ทีหรือไม่ ผมก็ไม่สนใจทั้งสิ้น!!

คิดพลางเดินหน้าทะมึนตรงไปหน้าคนทั้งคู่ที่ยังยืนกอดกันบนโซฟาอย่างไม่สนใจสายตาประชาชีที่เริ่มหันมามองทางนี้แล้ว เป้าหมายคือชิงเมียกลับคืนมาให้ได้ ต่อให้ต้องถูกเตะลูกชายอีกรอบ ผมก็ไม่คิดกลัว

พลั่ก!

แต่ทีกลับโยนข้าวยำลงมาให้ผมแทน แรงปะทะกะทันหันทำผมเกือบล้ม ตั้งหลักได้ก็รีบกอดยำที่คล้ายตกใจจนขาอ่อนแรงไว้แน่นๆ ระหว่างนั้นก็เลื่อนมองทีอย่างตำหนิ แต่กลับเห็นทีอยู่บนพื้น...บนตัวคนสองคนที่เพิ่งถูกทำร้ายร่างกายไปหมาดๆ จากสีหน้าเขียวๆ ซีดๆ คาดว่าทีคงกระโดดจากโซฟาลงไปกระแทกเต็มๆ

วินาทีที่สบแววตาขวางๆ ของที ผมตัดสินใจอุ้มข้าวยำหนีไปยืนข้างเทม แล้วมองทีบู้กับหนึ่งในสามที่เรียกสติกลับมาได้ และคงกำลังโกรธแค้นแทนเพื่อนที่ลงไปกองกับพื้นอยู่

ผัวะ!

หมัดแรกกระแทกเบ้าตา

ผัวะ!

หมัดสองกระแทกใส่ท้องจนตัวงอ

ผัวะ!

หมัดคราวนี้เสยปลายคางจนตัวเซล้มไปทางด้านหลัง เป็นเหตุให้นัทกับเด็นที่นั่งอึ้งอยู่รีบกุลีกุจรหลบออกห่างแทบไม่ทัน ผมลอบถอนหายใจเบาๆ ถ้าเมื่อครู่ผมได้ไปไฟว์แย่งยำกับที...น่ากลัวว่าคงเป็นอีกหนึ่งรายที่ได้ลงไปกองบนพื้นแหง

ขณะที่ผมไม่รู้ว่าควรโล่งใจดีไหม ทีก็ทำเรื่องน่าตกตะลึงอีกครั้ง

เขา...กำลังกระทืบคนอย่างไร้ความปรานี

เน้นกระทืบแค่จุดเดียวด้วย ประหนึ่งของรักของหวงที่มีติดตัวเพศชายทุกคนเป็นแค่สัตว์น่าแขยง ต้องกระทืบให้ตายติดพื้นก็ไม่ปาน

“ไอ้ทีพอแล้ว เดี๋ยวสูญพันธุ์พอดี พอก่อนๆ”

ผมเพิ่งตั้งสติได้ หันใบหน้าซีดเผือกไปมองเทมที่กำลังป้องปากตะโกนด้วยแววตาเห็นใจ

...ร้องห้ามแค่นั้นจะไปได้ผลที่ไหนล่ะ แต่ไม่เข้าไปห้ามน่ะ ตัดสินใจได้ถูกต้องที่สุดแล้ว ถ้าไม่เชื่อลองฟังเสียงร้องโหยหวนของคนโดนกระทืบสิ

“พาร์ๆ ไปเอาตัวทีออกมาเร็ว”

“ฮะ...” คนถูกเทมเขย่าเหมือนเรียกสติกลับมาได้แล้ว

ผมเข้าใจ ใครได้เห็นภาพกระทืบคนอย่างโหดเหี้ยมขนาดนี้เป็นต้องสติหลุดอยู่แล้ว

“ไปอุ้มทีออกมาเร็ว! ระวังโดนทำร้ายกลับด้วยนะ”

ฟังแล้วผมหน้าเสียแทน จะให้ไปอุ้มสัตว์ร้ายขณะกำลังเมามันกับการไล่กระทืบของรักของหวงคนสามคนสลับไปมาเนี่ยนะ แต่พาร์ก็ยอมเข้าไปอย่างไม่กลัวสูญพันธุ์ได้อย่างน่านับถือมาก

...ขอให้รอดปลอดภัยกลับมานะน้อง

ผมแอบภาวนาให้คนออกไปเสี่ยงภัยอยู่ในใจ พร้อมเฝ้ามองพาร์เข้าไปใกล้ทีอย่างระมัดระวังยิ่ง

“ที” พาร์ร้องเรียกก่อน พอเจ้าตัวหันมามองก็รีบปั้นยิ้มส่งให้ “มาหากูทางนี้ดีกว่า”

ทีมองพาร์นิ่งๆ อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะยอมถอนฝ่าเท้าแล้วเดินมาหาอย่างว่าง่าย พาร์ดูลังเลนิดๆ แต่ก็รวบตัวทีเข้าไปกอด ทั้งยังลูบหลังไปมาคล้ายกำลังปลอบเด็กเสียขวัญ

“กูอยู่นี่ มึงไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้ว”

ผมมองภาพแสนเหลือเชื่อตรงหน้าอย่างพูดอะไรไม่ออก ยิ่งได้ยินเสียงตะโกนของเทมยิ่งไม่รู้จะพูดยังไงดี

“เยี่ยมมากพาร์! ทียอมสงบแล้ว พาตัวมาทางนี้เลย เราต้องรีบออกไปจากที่นี่กันแล้ว”

เทมหันมาทางผม

“พี่ภูด้วยนะ รีบอุ้มยำตามมาเลย”

ผมกำลังจะอุ้มยำขึ้นมา พลันได้ยินคนตะโกนขึ้นมากะทันหัน

“ทุกคนอย่าขยับ นี่คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ”

ผมหันไปมองเทมเพื่อถามว่าเป็นตำรวจที่เรียกมาใช่หรือเปล่า แต่เทมกลับทำหน้าประหลาดใจ แล้วเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดในพริบตาเดียว

“พี่ภูพายำหนีออกไปก่อนเลย ถ้าสวนทางกับกาย ฝากเตือนด้วยนะว่าข้างในมีตำรวจนอกเครื่องแบบอยู่”

ผมขมวดคิ้ว แต่ก็ทำตามที่เทมบอก รีบอุ้มยำหนีออกมาจากด้านในที่เริ่มชุลมุนวุ่นวายไปหมด ผมไหลตามผู้คนจนออกมาหน้าผับ เจอกายกำลังคุยกับคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งอยู่ เลยเดินเข้าไปหา แล้วพูดกระซิบบอก

“เทมฝากบอกว่าข้างในมีตำรวจนอกเครื่องแบบ”

“ตำรวจนอกเครื่องแบบ?” กายทวนคำออกมา แล้วหันไปถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ “มีตำรวจนอกเครื่องแบบอยู่ในผับ เป็นคนของพี่?”

“ไม่ใช่แน่” คนถูกถามส่ายหน้า “เดี๋ยวพี่เข้าไปถามให้ก่อนแล้วกัน แล้วถ้าช่วยพูดอะไรให้ได้ก็จะช่วยพูดให้”

กายพยักหน้า แล้วหันมาชี้นิ้วบอกผม

“วินเอารถมาแล้ว จอดอยู่นู้น”

นู้นที่ว่าคือห่างจากทางเข้าออกผับไม่ไกล ดีกว่ารถของผมที่ยังอยู่ในลานจอด ผมจึงตัดสินใจอุ้มยำไปขึ้นรถคันที่ว่า เข้าไปใกล้ก็เจอวินนั่งประจำที่คนขับ ข้างกันคือไว ฝ่ายหลังรีบลงจากรถมาช่วยผมเปิดประตูยัดยำเข้าไปนั่งก่อน ผมถึงค่อยขึ้นไปนั่งข้างๆ

“ทีล่ะพี่”

“อยู่กับพาร์” ผมบอก แล้วขยายความเพิ่ม “น่าจะกำลังหนีออกมาอยู่ เทมก็อยู่ด้วย”

“งั้นเราต้องรอทีกับพาร์ก่อน”

ไม่ถึงสิบนาที สามคนนั้นก็วิ่งมาที่รถ เทมช่วยเปิดประตูหลังด้านตรงข้ามผมให้ แล้วดันทีเข้ามาก่อน ผมเห็นว่าพื้นที่นั่งอาจไม่พอ เลยดึงยำขึ้นมานั่งบนตัก แล้วกดหัวให้ซบกับไหล่ผมแทน หัวจะได้ไม่ชนหลังคารถ

จากที่คิดว่าคงเบียดเป็นปลากระป๋องกันแน่ๆ ก็กลายเป็นว่าเทมไม่ได้ขึ้นรถมาด้วย

“ไม่ต้องห่วงเพื่อนของพี่นะ เดี๋ยวผมช่วยพากลับไปให้”

เทมบอกผมแค่นั้นก็โบกมือให้รีบไป วินออกรถทันที เพราะถ้าช้ากว่านี้อาจเจอรถที่เริ่มออกจากผับมากขึ้น จนอาจเจอรถติดยาว พวกเราอยู่บนรถด้วยความเครียด กระทั่งหลุดออกมาถึงถนนใหญ่ได้บรรยากาศบนรถถึงค่อยผ่อนคลายขึ้น

“กายบอกว่าทีก่อเรื่อง” ไวหันหน้ามาถาม “อย่าบอกนะว่ามันไปกระทืบคนอีกแล้ว?”

ผมกับพาร์พยักหน้าทันที

“มึงเนี่ยนะ จริงๆ เลย แล้วทำไมนั่งเงียบแบบนั้นล่ะ”

ผมคิดว่าไวคงพูดกับที แต่เจ้าตัวกลับเงียบกริบ ท่าทางคงดูผิดปกติ ทั้งพาร์ทั้งไวถึงได้มีสีหน้าสงสัย

“เป็นอะไรวะ”

เมื่อทีไม่ตอบ พาร์เลยเป็นฝ่ายสะกิดเรียก แต่ทีก็ยังเงียบ

“เมาหลับแบบยำไปแล้วหรือเปล่า”

เจ้าของชื่อขยับตัว พอผมก้มมองคนบนตักพบว่าแมวเถื่อนกำลังมองผมตาหวานเชื่อมเชียว

“ภู”

“ว่าไง” ผมตอบรับเสียงเบาไม่แพ้กัน

“กูอยาก”

อยาก? อยากอะไร...คงไม่ใช่ว่า...

ผมกลืนน้ำลายคงคอ แล้วรีบกระซิบบอกเสียงเบายิ่งกว่าเดิม “ใจเย็นก่อน ไว้ถึงคอนโดค่อยว่ากัน”

“ไม่เอา กูอยาก...ตอนนี้เลย”

ผมทำหน้าพิลึกออกมา ว่าไงดี มันก็ดีใจนะที่เมียต้องการเรา แต่สถานที่ตอนนี้ไม่เหมาะสมอย่างแรง

จู่ๆ ผมเกิดความสงสัยขึ้นมา ปกติยำควรจะอายเพื่อนสิ ใช่ไหม? เพราะต่อให้ยำเมาหนักขนาดไหนก็ไม่น่าจะร้องเรียกทั้งที่มีคนอยู่กันเต็มรถแบบนี้หรอก

...โดนของอะไรมาหรือเปล่าวะ

ผมลองทดสอบด้วยการลูบแผ่นหลังแมวเถื่อนดู มันก็หลุดร้องครางออกมาให้ได้ยินกันทั้งคันรถ ผมทำหน้าไปไม่ถูกเมื่อเจอสายตาหลายคู่จ้องมองมา

“ไม่เป็นไรพี่ ผมเข้าใจ” ไวเป็นคนพูดออกมาก่อน

“ใครมีเพลงจิงเกอเบลบ้าง รีบเปิดกล่อมยำเร็ว” เป็นวินที่พูดออกมาทั้งที่ตายังมองถนนอยู่

“พี่มี”

ผมรีบควักโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเพลงกล่อม แมวเถื่อนเลยดูสงบลง...นิดหน่อย แต่มือนี่ซุกซนจริงๆ

ข่มใจไว้ภู ข่มใจไว้ แมวของมึงกำลังไร้สติ 

“...ร้อน”

คราวนี้สายตาคนอื่นย้ายไปมองทีบ้าง

“ร้อนอะไร กูออกจะเย็นสบาย” ไวถามด้วยความสงสัย

“ไม่รู้” ทีส่ายหน้า แล้วตอบเหมือนลังเล “ร้อนไปทั้งตัว”

“ไม่สบายหรือเปล่า” วินออกความเห็น

พาร์จับหน้าผากที แล้วบอกปฏิเสธ เวลานั้นแมวเถื่อนเริ่มปลดกระดุมเสื้อผมแล้ว อยากห้ามก็ห้ามไม่ได้ เพราะมือหนึ่งจับประคองหลังยำอยู่ อีกมือก็ถือโทรศัพท์เปิดเพลงจิงเกอเบลไว้

“อย่าซน”

ได้แต่ใช้ปากพูดดุ แต่คนฟังกลับเบะปากไม่พอใจ “กูต้องการนะ มากด้วย ช่วยกูหน่อยสิ นะภู”

ลมหายใจของผมสะดุดทันที แทบไม่อยากปฏิเสธ แต่จำต้องหักห้ามใจบอกปัดเสียงเข้ม

“ตอนนี้ไม่ได้!”

ยกเว้นว่ามึงอยากจะฟัดกับกูโชว์เพื่อน

ซึ่งผมมั่นใจว่าถ้ามันรู้เรื่องตอนได้สติแล้ว คงได้โกรธผมไปอีกร้อยชาติแน่นอน

“ดูแปลกๆ นะ” ไวพูดด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “นี่ยำ มึงรู้สึกร้อนหรือเปล่า”

“ร้อนสิ”

ผมฟังแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ ทีบอกร้อน ยำก็บอกว่าร้อน ทั้งที่ในรถออกจะเย็นสบาย...

เดี๋ยวสิ คงไม่ใช่ว่า...

ผมข่มอาการตกใจ แล้วถามบ้าง “ร้อนวูบวาบด้วยไหม”

ยำมองผมอย่างลังเล “ไม่รู้...รู้แต่กูต้องการมึง”

ผมยิ้มเครียดออกมาทันที “ต้องการแบบไหน?”

“แบบไหนก็ได้ นะๆ มึงช่วยกูได้แน่นอน”

ผมถอนหายใจให้กับประโยคที่ไม่มีวันหลุดออกมาจากปากแมวเถื่อนแน่ๆ กระทั่งเมาไร้สติก็ไม่น่าพูดแบบนี้ ทางเดียวที่เป็นไปได้คือถูกกระตุ้นด้วยฤทธิ์ของบางอย่างเท่านั้น

“ยาปลุก”

“อะไรนะพี่” ไวหันมาถาม ผิดกับพาร์ที่เริ่มขมวดคิ้วให้เห็น

“ดูเหมือนยำกับทีจะโดนยาปลุกเซ็กซ์เข้าแล้ว”

“ไม่น่าใช่มั้งพี่” ไวพูดแย้งทันที “ทีไม่เห็นออกอาการอะไร”

ผมปรายตามองคนที่นั่งเงียบ แต่เม็ดเหงื่อผุดออกมาไม่หยุด คล้ายกับกำลังนั่งทนเก็บอาการบางอย่าง ผิดกับยำที่ขยับยุกยิก มือไม้ก็ซุกซนไปทั่วจนทำผมลมหายใจปั่นป่วนไปหลายครั้ง

“พี่คิดว่า...ทีไม่รู้จะระบายออกทางไหนมากกว่า”

ไวยังแย้งต่อ “เป็นไปไม่ได้ เพราะทีชักว่าวเป็น”

“อยากรู้ก็พิสูจน์กับทีเอาเอง” ผมพูดกลับห้วนๆ “แต่ยำน่ะใช่แน่ และพี่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวแบบเร่งด่วน ก่อนที่ยำจะทำเรื่องน่าไม่อายกับพี่บนรถ!”

เน้นย้ำคำท้ายให้รู้ว่าหายนะเกิดขึ้นแล้ว ถ้าไม่อยากรับชมภาพและเสียงแบบสมจริง รีบๆ ปล่อยพวกผมไว้หน้าโรงแรมสักที่ด้วยเถอะ 

############


ณ โต๊ะที่มีคนสามคนนั่งอยู่...

คนเขียน: ตอนหน้าตัดฉากเข้าโคมไฟดีไหมนะ?

ข้าวยำ: ดีๆ (ชูมือสนับสนุน)

คนเขียน: หรือจะใส่ฉาก nc พอกรุบกริบดี?

ข้าวยำ: ไม่ดี! (ไขว้แขนเป็นรูปกากบาททันที)

คนเขียน: ภูล่ะ คิดว่าแบบไหนดี?

ภู: ...ยังไงก็ได้


ป.ล. คราวก่อนเบลอหนักใส่วันที่ผิด วันนี้จะมาแก้วันที่ เอ วันนี้เดือนห้านี่น่า ใช่มะ แวบไปดูปฏิทิน...เอาน่า ถือว่าใส่วันที่ล่วงหน้าแล้วกัน  :hao3:
ป.ล.ล. ขอบคุณ คุณ♥►MAGNOLIA◄♥ที่ช่วยเตือนด้วยนะคะ :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-06-2018 12:56:00 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
แมวเถื่อนในคอนโด 7: Blow up (ระเบิดออก)


เมื่อไหร่ทางคนขับจะยอมแวะโรงแรมให้สักทีวะ

หรือที่ผมพูดไปมันไม่ชัดเจนพอ!

ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่ารถทั้งคันหยุดนิ่ง ตามด้วยเสียงเปิดปิดประตูด้วยความรีบร้อน พอมองผ่านกระจกออกไป ถึงเห็นแผ่นหลังของวินกำลังวิ่งไปใกล้ทางเข้าออกตัวอาคารค่อนข้างดูดีมีระดับแห่งหนึ่ง ความเข้าใจก็ผุดขึ้นมาในทันที

อ้อ...ถึงโรงแรมแล้วสินะ

แต่ที่เกินคาดคือการเลือกโรงแรมของรุ่นน้องนี่แหละ ไม่นึกว่าจะเลือกสถานที่ไม่แคร์กระเป๋าตังค์ขนาดนี้ แต่เมื่อมาถึงแล้ว ผมก็ได้แค่ถอนใจให้เงินในกระเป๋ากำลังจะบินหายไปอีกก้อนแล้วเท่านั้น

“อือ!”

ผมเผลอตัวครางในลำคอออกมาอย่างอดไม่อยู่ ทั้งรีบตวัดสายตากลับมามองคนบนตัก ไม่รู้ว่าจงใจร้องเรียกความสนใจกัน หรือแค่เป็นเรื่องบังเอิญ แต่มันก็ทำให้ผมกลับมาสนใจมันได้สำเร็จอยู่ดี และที่แย่กว่านั้นผมชักจะห้ามมันไม่อยู่แล้ว ไม่ถูก ต้องบอกว่าไม่ค่อยอยากจะห้ามแล้วมากกกว่า

“...พี่ภู กุญแจรถร่วงแล้วครับ”

เสียงของพาร์ช่วยดึงสติที่เกือบเคลิ้มตามแมวเถื่อนกลับคืนมา สองมือรีบกลับมาทำหน้าที่ห้ามปราม ในขณะที่ขยับปากบอกเสียงแหบพร่าปนหอบหายใจไม่น้อย

“ฝากเก็บ...ให้หน่อย”   

พอสติกลับคืนมาแบบนี้ถึงได้เห็นว่าเสื้อผ้าบนตัวหลุดลุ่ยไปมากขนาดไหน มากกว่านี้อีกนิด ยำคงแก้ผ้าผมได้แล้วมั้ง

“ผมเก็บให้ไม่ถึง”

เหมือนพาร์จะชวนคุยเรียกสติ มันพอได้ผลบ้าง ผมเลยคุยตอบไป ระหว่างยุ่งกับการจับสองมือของแมวเถื่อนให้อยู่นิ่งๆ เป็นเด็กดีสักแปบหนึ่งก็ยังดี

“ไว้เก็บให้ทีหลังก็ได้ ฝากเก็บมือถือของพี่ด้วยนะ”

ไม่รู้ว่าโทรศัพท์ไปตกอยู่ตรงไหนแล้ว มีแค่เพลงจิงเกอเบลที่ยังดังออกมาให้ได้ยินว่ามันยังไม่ได้หายไปไหน ผมเดาๆ เอาว่าไม่ตรงบนเบาะรถก็น่าจะหล่นไปที่พื้นรถมั้ง

“แต่ปกติ ต่อให้มันเมาแล้วชอบไปปล้นจูบชาวบ้านก็ไม่ได้ออกอาการหนักหน่วงแบบนี้นะพี่”

ผมฟังไวพูด แล้วคิดตาม ผมเคยเจอข้าวยำในสภาพสติขาดหายมาหลายครั้ง แมวเถื่อนก็ไม่เห็นรุกไล่กันหนักขนาดนี้เหมือนกัน

“ฟาดยำให้มันสลบก่อนดีไหม!” ไวออกความเห็นมาจากด้านหน้าบ้าง ทั้งพูดเสริมด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นี่ถ้าทีมีสตินะ มันคงโดนฟาดสลบไปนานแล้ว”

ปรายตามองคนถูกพูดถึงที่ยังคงนั่งเงียบกริบ พอหันมามองแมวเถื่อนกำลังต่อต้านด้วยท่าทางขัดอกขัดใจ ก็ไม่รู้ว่าเป็นโชคของมันหรือเปล่า ถึงได้รอดพ้นเคราะห์เจ็บตัวมาได้...

“เฮ้ย!”

ผมรีบดึงสองมือของคนที่โผตัวจะไปรุกรานคนข้างๆ พาร์เองก็ตกใจ ถึงได้รีบดึงทีไปกอดกันแมวบางตัวที่เริ่มหันเหเป้าหมายไปหาคนอื่น

“มาสนใจแค่กูนี่!”

พูดดุไปก็แอบนึกข้องใจต่อว่า ฝ่ายทีอาจไม่ได้ชอบยำ แต่ฝ่ายคนของผมนี่สิ...มันได้คิดเกินเลยกับเพื่อนหรือเปล่าวะ

จู่ๆ โทรศัพท์ของใครสักคนก็ดังขึ้นมา ไวรีบกดรับสาย คุยไม่กี่ประโยคก็วางสาย แล้วหันมาบอกพวกผมอย่างเร่งรีบ “ได้ห้องแล้ว ลงๆๆ”

เยี่ยม!

ผมปัดเรื่องที่พยายามคิดออกจากหัว แล้วรีบพาคนเมาบวกโดนยาลงจากรถอย่างทุลักทุเล ออกมาแล้วก็ต้องอุ้มคนที่เกาะแกะกันเป็นลูกลิงขึ้นหลัง แล้วมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวอาคารที่สว่างไสวราวกับตอนนี้เป็นเวลากลางวัน

มาถึงด้านในอาคารก็มีพนักงานรีบเดินมาต้อนรับ แล้วพาพวกผมไปที่ลิฟต์อย่างรวดเร็ว พอไปถึงชั้นเป้าหมายเธอก็พาพวกผมตรงดิ่งไปเคาะประตูที่หน้าห้องพักห้องหนึ่ง สักพักประตูก็เปิดออกด้วยฝีมือของชายวัยกลางคนในชุดสูทภูมิฐาน พอเขาเห็นพวกผมที่ยืนอยู่ด้านหลังก็หันหน้าไปคุยกับวินด้วยน้ำเสียงสุภาพแฝงความนอบน้อม

“ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมอีก คุณวินสามารถติดต่อกับผมได้โดยตรงนะครับ”

“ได้ครับ ขอบคุณมาก”

ชายวัยกลางคนยิ้มรับ ก่อนจะเบี่ยงตัวออกจากประตู แล้วเดินจากไปพร้อมพนักงานหญิงคนนั้น ผมเหลือบมองพวกเขานิดหน่อยอย่างสงสัยอะไรบางอย่าง แต่เพราะแมวบนหลังเริ่มออกลายซนหนักอีกแล้ว ผมเลยรีบพายำเข้าไปก่อน

หลังบานประตูที่ก้าวผ่านไปเป็นพื้นที่ส่วนกลาง ลักษณะคล้ายกับทางเดินคั่นห้องนอนสองห้อง มีพื้นที่มากพอสำหรับวางเฟอร์นิเจอร์เช่นโต๊ะกินข้าวแบบนั่งกับพื้น หรือมุมนั่งเล่นสำหรับวางโซฟากับทีวีที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน ผมเลือกห้องทางซ้ายที่วินช่วยเปิดประตูค้างไว้ให้

“ฝากดูแลเพื่อนผมด้วยนะพี่”

วินบอกระหว่างที่ผมเดินสวนเข้าไป ตอนนี้ผมทำได้แค่พยักหน้าตกลง มองหน้ารุ่นน้องที่อยากพูดอะไรบางอย่างอีก แต่สุดท้ายก็ไม่พูด ทั้งช่วยปิดประตูให้ ผมพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ จัดการหันไปล็อกประตูห้อง

เอาล่ะ ถึงเวลาจัดการกับแมวบางตัวสักที....

ตุบ!

ผมสะดุ้งโหยง รีบหันไปมองด้านหลัง พบข้าวยำหล่นไปกองบนพื้นก็แอบใจหายแวบ ทั้งรีบเข้าไปดูอาการคนที่นอนแน่นิ่งไปเลย ไม่รู้ว่าเมื่อกี้หัวไปกระแทกพื้นเข้าหรือเปล่า ถึงที่พื้นจะปูพรมไว้ก็เถอะ หรือผมต้องหิ้วมันไปโรงพยาบาลแทนวะเนี่ย

ผมเริ่มเครียดระหว่างแตะตัวข้าวยำอย่างระมัดระวัง แตะสำรวจมากๆ เข้า คนเจ็บกลับขมวดคิ้วทั้งที่ยังหลับตา ทั้งยังพลิกตัวหนีด้วยท่าทางรำคาญมาก ผมนี่อึ้งไปเลย

...ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นอะไร

คิดพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด พอสบายใจขึ้นก็เริ่มอยากบ่น

“กูแค่ปล่อยมือล็อกประตูแปบเดียว มึงก็ปล่อยตัวเองหล่นมาได้ยังไง”

ก่อนหน้านี้ออกจะเกาะติดหนึบกันขนาดนั้น บทจะร่วงหล่นจากหลัง ก็เกิดขึ้นง่ายๆ แบบนี้เลย? แล้วไอ้อาการโดนยาก่อนหน้านี้ล่ะ หายแล้วเรอะ? ไม่น่าจะหายง่ายแบบนี้มั้ง หรือเป็นผมที่เข้าใจผิด?

มองคนหลับไปแล้วอย่างสับสนอยู่สักพัก สุดท้ายผมก็ต้องช้อนตัวแมวเถื่อนขึ้นจากพื้น อุ้มไปวางไว้บนเตียง ทั้งช่วยจัดท่านอนให้สบายตัว

“...มาปลุกเร้าอารมณ์กันขนาดนี้ แล้วชิ่งหนีด้วยการหลับก่อนเนี่ยนะ”

ผมขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด แล้วหนีไปจัดการตัวเองในห้องน้ำบ้าง ผ่านไปครึ่งชั่วโมงถึงออกมาจากห้องน้ำด้วยสภาพผ้าขนหนูพันเอว ในมือถือผ้าขนหนูผืนเล็กที่เปียกหมาดๆ มาด้วย จากนั้นก็ช่วยถอดเสื้อออก แล้วเช็ดตัวให้คนหลับเงียบๆ 

ส่วนบนผ่านไปด้วยดี พอมาถึงส่วนล่าง...ผมสะอึกเล็กๆ หลังรูดกางเกงตัวนอกพ่วงตัวในออกก็เจอส่วนนั้นกำลังยืนตรงแน่ว เอาวะ เพื่อความสบายตัวของคนหลับ ผมเลยช่วยรีดพิษออกให้ เรียบร้อยแล้วก็อ่อนตัวอยู่หรอกนะ แต่ครู่เดียวก็กลับมาปึ๋งปั๋งเหมือนเดิมไม่มีผิด

...ตกลงมันโดนยาใช่หรือเปล่า?

ผมมองอย่างสับสน แล้วพึมพำกับตัวเองอย่างข้องใจ

“ปกติมีใครโดนยาแล้วหลับกลางคันด้วยเรอะ?”

เมื่อไม่แน่ใจก็ต้องพิสูจน์ด้วยการรีดพิษออกให้อีกครั้ง และอีกครั้ง...

อืม ยำน่าจะโดนยาจริงๆ ด้วย แต่ยังหลับลงอีก เหลือเชื่อจริงๆ

ผมตัดสินใจปล่อยยำนอนทั้งที่ยังขึงขังอยู่แบบนั้น แล้วกลับเข้าห้องน้ำไปหยิบผ้าขนหนูผืนใหม่มาชุบน้ำเพื่อมาเช็ดพวกเครื่องสำอางบนหน้ามันออกจนสะอาด ถึงได้เลิกยุ่ง แล้วปล่อยแมวเถื่อนหลับเต็มที่เผื่อว่าจะช่วยให้ฤทธิ์ยาหายไปจากร่างกายได้เร็วขึ้น

ส่วนผมเรอะ หลังเอาผ้าขนหนูไปเก็บก็ถือโอกาสมานอนอยู่ข้างๆ นอนไปนอนมาชักเริ่มหนาว ถึงได้ดึงผ้าห่มออกมาคลุมตัวเองและข้าวยำ ทั้งยังเผลอหลับทั้งที่ในห้องยังเปิดไฟสว่าง

มารู้ตัวอีกครั้งเพราะรู้สึกเหมือนถูกผีอำ อึดอัดจนต้องฝืนขยับเปลือกตามาจ้องดู ผมเพ่งสายตามองคนที่นั่งทับท้องด้วยความงัวเงียอยู่สักพัก

...ยำเรอะ

อารมณ์ตอนนี้คือง่วงมาก ต่อให้ถูกจูบก็รู้สึกรำคาญมากกว่ารู้สึกดี พอดันหน้าข้าวยำออกห่างไปได้ก็พลิกตัวหนี จนคนด้านบนหล่นลงมาบนเตียงแทน

“ภู!”

ผมเมินเสียงร้องขัดใจของแมวเถื่อน แล้วปิดเปลือกตาลงเพื่อนอนต่อ แต่อีกฝ่ายเหมือนจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ถึงได้ตามมาขึ้นคร่อมกันอีก สัมผัสจากจูบที่ไล่ไปทั่วทั้งคอทั้งหลังทำผมหลับไม่ลง ได้แต่หันกลับไปสบตาด้วยอย่างนึกกังขาในใจ

“นี่มึงกำลังเมา หรือมึงโดนยา?”

ไม่มีคำตอบใดๆ จากยำ เพราะปากมันมาประกบกับปากผมอยู่นี่ไง เป็นจูบที่เรียกร้องจนผมเผลอตัวจูบตอบกลับ ไปๆ มาๆ ผมก็ตาสว่างจนได้

“มึงเนี่ยนะ เหมือนเดิมเลยจริงๆ”

ชอบมาก่อกวนคนนอนหลับกลางดึก!

คิดอย่างระอาอยู่ในใจ แต่ก็ยอมนอนนิ่งๆ ปล่อยให้แมวเถื่อนทำตามใจชอบไปก่อน ถึงเวลาบุกค่อยพลิกกลับเป็นฝ่ายนำก็ยังไม่สาย แต่ระหว่างนอนปล่อยตัวอยู่นั้น ผมเกิดฉุกคิดขึ้นมาว่า ถ้าปล่อยให้เป็นเหมือนทุกทีอยู่แบบนี้เรื่อยๆ จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างล่ะ

คิดได้อย่างนั้นผมจึงเริ่มลงมือขัดขวาง ข้าวยำคงรำคาญใจถึงได้ส่งเสียงเรียกชื่อกันอีกแล้ว

“ภู!”

แมวเถื่อนปัดมือของผมออกไปให้พ้นทาง แล้วเริ่มปลุกเร้ากันใหม่อีกรอบ

...ดูมันมีสติอยู่นะ แต่ก็เหมือนอยู่ในภาวะไม่รู้ตัวเช่นกัน ว่าไงดี ปกติมันเคยพยายามปลุกเร้ากันแบบนี้ซะที่ไหนล่ะ

ผมตัดสินใจขัดขวางไม่ให้แมวเถื่อนสมใจยากได้ง่ายๆ อีกครั้ง คราวนี้ไม่มีคำประท้วงแล้ว มีแต่ฟันคมๆ ที่กัดลงโทษกันจนเจ็บจี๊ด มองข้อมือตัวเองโดนกัดอย่างไม่อยากเชื่อสายตา และยิ่งกว่าอึ้งเมื่อมันแลบลิ้นออกมาคอยๆ เลียแผลรอยฟันที่มีเลือดซึมออกมาช้าๆ

อ...ไอ้ท่าทางที่โคตรยั่วกันนี้คืออะไร?!

 “ภู...”

“บอกให้เรียกพี่ภูไง!”

ผมทำเป็นพูดดุ แล้วเบือนหน้าหนีภาพที่ชวนให้รู้สึกถึงเลือดลมพลุ่งพล่านอย่างหนัก แต่ทำได้แค่นอนอดทนอดกลั้น ย้ำความคิดเพียงแค่ว่า อย่าไปหลงกลแมวบางตัวง่ายๆ เด็ดขาด

“อยากเป็นพี่เหรอ”

 คำถามกระซิบอยู่ข้างหูให้รู้สึกวาบหวิวไปทั้งตัว แถมใจยังสั่นแบบแปลกๆ ด้วย

“ถ้าอยากเป็นพี่เหมือนพี่ปุ้น...ก็ได้นะ”

คำพูดที่ได้ยินทำเอาอาการใจสั่นหายแวบไปทันที แทนที่ด้วยความโมโหจนเผลอสวนคำกลับไปเสียงดังลั่น “ไม่อยาก!”

ใครจะอยากเป็นแค่พี่ชายกัน!

“งั้นก็อย่าขัดใจกูสิ”

ผมตวัดสายตามองหน้าแมวเจ้าเล่ห์อย่างคาดไม่ถึง

“...อ้อ ที่ยกเรื่องเมื่อกี้มาพูด เพราะมึงแค่ต้องการสินะ กูมีค่าเพียงแค่ไว้ระบายอารมณ์หรือไง!” ผมผลักข้าวยำออกห่างจากตัว แล้วพูดไล่อย่างไม่ไยดี “ถ้าอยากนักก็ไปจัดการตัวเองในห้องน้ำนู้น”

“ภู!”

ผมเมินเสียงร้องเรียกเหมือนกรุ่นโกรธหรือหงุดหงิดนั่นด้วยการกลิ้งตัวออกห่างจนนอนชิดติดขอบเตียง คิดว่าหงุดหงิดเป็นคนเดียวหรือไง ผมก็หงุดหงิดไม่แพ้กันนั่นแหละ!

แม่ง เพิ่งรู้ว่าในสายตาของมัน ผมมีค่าแค่นี้เอง

พอมาลองนึกว่าถ้าผมไม่เป็นฝ่ายพลิกกลับ แล้วจับมันทำเมียซะเองในคืนนั้น สภาพผมตอนนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับเด็กนั่นสินะ นี่ล่ะมั้งสาเหตุที่ทำให้เด็กนั่นรู้สึกโกรธแค้นแฟนเก่าถึงขั้นอยากให้ยำเจอเรื่องเลวร้ายของการถูกย่ำยีบ้าง

ผมคิดด้วยอารมณ์ทั้งโกรธทั้งน้อยใจสุดๆ แต่ครู่ต่อมายามนึกถึงเรื่องของตัวเองกับบรรดาแฟนเก่าทั้งหลายก็ทำเอาจุกในอกอยู่เหมือนกัน เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ายำหรอก เผลอๆ อาจแย่กว่าด้วยซ้ำ

...กรรมตามสนองแล้วสินะ

คิดแล้วก็ได้แต่พ่นลมหายใจออกมา

ผมนอนนิ่งเพื่อปรับสภาพอารมณ์ตัวเอง ผ่านไปพักหนึ่งก็รู้สึกโอเคแล้วถึงได้ยันตัวขึ้นนั่ง พร้อมกับหันไปเผชิญหน้าคนที่ยังนั่งนิ่งอยู่กลางเตียงเหมือนเดิม พอได้สบตาด้วยก็พบว่าแววตาของข้าวยำดูมีหลากหลายอารมณ์ปนเปไปหมด

“นี่”

พอผมร้องเรียก แมวเถื่อนถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการเบะปากใส่ แล้วหันหลังใส่กันดื้อๆ

“มึงน่ะใจร้าย”

ผมเลิกคิ้วกับคำด่า แล้วทวนคำถามด้วยเสียงน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ “กูเนี่ยนะใจร้าย?”

...อืม กับมันก็อาจมีบ้าง

“มึงคิดจะเล่นๆ กับกู ไม่เรียกว่าใจร้ายแล้วจะให้เรียกอะไร”

“กูเนี่ยนะคิดเล่นๆ?” ผมย้อนถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อยิ่งกว่าเดิม “ตรงไหนของกูที่บอกว่าคิดเล่นๆ กับมึง”

“ก็มึงเอากูเป็นของเล่นของมึงนี่!”

“กูเนี่ยนะ?! ตรงไหนวะ!”

นี่ผมจริงจังกับมันที่สุดแล้วนะ กับคนอื่นน่ะอย่าหวังเลยว่าผมจะทำอะไรให้มากมายขนาดนี้!

“พอกูมองมึงเล่นๆ บ้าง มึงก็มาว่ากู นิสัยเสียที่สุด!”

ผมกำลังจะอ้าปากพูดสวนกลับ แต่ไม่ทันแมวเถื่อนที่พ่นคำพูดออกมาอีกประโยค

“ตอนอยู่ในผับก็เหมือนกัน ไม่พอใจเสื้อผ้าของกูก็ต่อว่า หึ กูเองก็ไม่พอใจเสื้อผ้าของมึงเหมือนกันนะ!”

ผมอ้าปากค้างอย่างพูดอะไรไม่ออก สรุปว่าที่ออกอาการพยศตอนนั้นคือไม่พอใจเสื้อผ้าของผมสินะ คิดได้อย่างนั้นอารมณ์โกรธ หงุดหงิด น้อยอกน้อยใจทั้งหลายแหล่ก็จางหายไปไหนหมดไม่รู้ ผมรีบขยับตัวเข้าไปกอดข้าวยำจากทางด้านหลัง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่สุด

“ไม่พอใจทำไมไม่บอกมาตรงๆ ล่ะ”

“ทำไมกูต้องบอก มึงอยากแต่งหล่อมาเรียกความสนใจเก้งกวางที่ไหนก็เรื่องของมึงสิ”

“กูแต่งหล่อมาเพื่อเรียกร้องความสนใจจากมึงต่างหาก ไม่ได้ผลไม่พอ ยังทำมึงเข้าใจผิดอีก วิธีนี้แย่จริงๆ เนอะ”

“ช่าย แย่มาก”

ผมมองคนที่ตอบรับออกมาตรงๆ ด้วยแววตาเปล่งประกาย แล้วลองถามเรื่องที่อยากรู้ที่สุดดู

“มึงคิดว่ากูกับมึงเป็นอะไรกัน?”

“...ไม่รู้”

“ทำไมไม่รู้ล่ะ?”

“ก็มันไม่รู้นี่จะให้พูดยังไงล่ะ?!”

ผมก้มจูบขมับคนที่กำลังอารมณ์ขึ้น แล้วเป็นฝ่ายตอบคำถามนี้เอง

“มึงเป็นแมวเถื่อนของกูไง”

“อ้อ ลืมไปว่ากูต้องเป็นแมวให้มึงเลี้ยง”

“เป็นเมียด้วย”

“กูไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย”

“งั้นเป็นแฟนกันดีไหม?”

คนฟังเงียบไปทันที ทั้งยังหันมามองกันด้วยแววตาประหลาดเกินจนอ่านอารมณ์ไม่ออก

“...มึงกำลังขอกูเป็นแฟน?”

ผมจูบแก้มข้าวยำไปหนึ่งทีแทนคำตอบ

“ขอกูเป็นแฟนเนี่ยนะ? เหลือเชื่อเลย!” พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ข้าวยำก็หัวเราะออกมาด้วยท่าทางขบขันอะไรสักอย่าง

“ขำอะไรหืม?”

“มึงต้องการให้กูเป็นแฟนกี่วันล่ะ”

ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำถาม “ทำไมต้องมีกี่วันด้วย”

“อ้าว ไม่งั้นกูจะรู้ได้ไงว่าต้องเป็นแฟนให้มึงกี่วัน ไหนๆ พูดถึงเรื่องนี้แล้ว มึงควรจะบอกด้วยว่าต้องการให้กูเป็นแมวของมึงอีกกี่วัน กูจะได้เตรียมตัวถูก”

ผมใช้หัวตัวเองโขกหัวอีกฝ่ายทันที ไม่แรงหรอก แต่ก็ทำให้เจ็บจนอีกฝ่ายโวยวายออกมาได้

“เจ็บนะ!”

“กูจงใจทำให้มึงเจ็บนี่แหละ!” ผมพูดออกมาอย่างเหลืออด “ในสายตามึง กูดูเลวร้ายขนาดนั้นเลยเรอะ! มึงถึงได้คิดแต่เรื่องแบบนี้!”

“มึงทำให้กูคิดแบบนี้เองนี่! กูผิดตรงไหนล่ะ!”

ผมขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด และเป็นฝ่ายจับข้าวยำให้หันหน้ามาหาทั้งตัว ก่อนจะใช้สองมือประคองแก้ม บังคับให้ยำเงยหน้าขึ้นมาสบตากันในระยะใกล้ชิด

“ต้องให้กูพูดตรงๆ ใช่ไหม ได้! กูชอบมึง กูเลยต้องการมึงเป็นแฟน กูมองมองมึงเป็นแมวเพราะเอ็นดูหรอกนะ และที่สำคัญตอนนี้มึงเป็นเมียกูแล้ว และจะเป็นแค่คนเดียวด้วย เข้าใจไหม?!”

“...”

“เงียบทำไม ตอบมาสิ เข้าใจหรือเปล่า!”

“...เข้าใจ”

“เข้าใจว่า?”

“มึง...” ข้าวยำหลบสายตาไปอีกทาง “ชอบกู”

พูดไปตั้งยาว แต่เข้าใจแค่นั้น ผมพ่นลมหายใจออกมา เอาเถอะ เข้าใจแค่นั้นก็ยังดี ผมบังคับให้ยำกลับมาสบตาอีกครั้ง

“แล้วมึงล่ะ ชอบกูบ้างหรือเปล่า”

“...ไม่รู้”

“ทำไมถึงไม่รู้?”

“ก็...” ข้าวยำหลบสายตาผม แล้วพูดออกมาอ้อมแอ้ม “กูเคยคิดว่าชอบเด็นนะ แต่พอได้รู้ว่าอีกฝ่ายคิดเป็นกระเทย กูกลับตีตัวออกห่างง่ายๆ”

พูดถึงตรงนั้นยำก็ขมวดคิ้ว แล้วหันมาสบตาด้วยอีกครั้ง

“เพราะเป็นแบบนั้น กูเลยไม่เข้าใจแล้วว่า รักหรือชอบมันคืออะไร”

“เดี๋ยวนะ” ผมขอเวลาเพื่อประมวลผลคำสารภาพที่เพิ่งได้ยินเมื่อชั่วครู่ “...มึงจงใจตีตัวออกห่างแฟนเก่า เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดเป็นกระเทย?”

“อืม”

ผมมองคนยอมรับความผิดที่ก่อไว้ง่ายๆ แล้วรีบถามต่อทั้งที่ยังประหลาดใจไม่หาย

“ทำไมไม่บอกเลิกไปเลยล่ะ”

“...กูไปดื่มเพื่อให้ตัวเองมีความกล้าบอกเลิก แต่ว่า”

ยำหลบสายตาไปทางอื่นอีกครั้ง

“ก่อนจะได้บอก มันก่อนเรื่องขึ้นซะก่อนน่ะสิ กูรู้สึกผิดมาก กูเลยบอกเลิกไม่ลง ทำได้แค่คิดหาวิธีให้เด็นเป็นฝ่ายบอกเลิกกูเอง”

ผมปล่อยมือจากแก้มของยำ สมองเริ่มประมวลผลข้อมูลที่เพิ่งได้มาใหม่ แล้วถามออกไปด้วยความสงสัย “ที่เขาเข้าใจผิดว่ามึงมีคนอื่นล่ะ?”

“ไม่รู้สิ กูแค่จงใจสร้างระยะห่างขึ้นมา แต่ทำไมเด็นถึงเข้าใจผิดไปแบบนั้น กูก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“แล้วที่มึงเข้าหากูในคืนนั้นล่ะ?”

“จำไม่ได้ แต่ตอนตื่นมาและรู้ว่าโดนมึงเสียบไปแล้วน่ะ กูโกรธสุดๆ เลยวะ!”

ผมรีบลูบหัวปลอบคนที่กำลังอารมณ์ขึ้นเพราะเรื่องในอดีต ทั้งรีบซักถามข้อสงสัยต่อ

“มึงจงใจให้กูพัวพันกับมึง เพราะอยากเลิกกับแฟนเก่าหรือเปล่า”

“มึงสิที่มาพัวพันกับกู! อีกอย่างนะต่อให้กูอยากเลิกกับเขาแค่ไหน กูก็ไม่เลวพอใช้ข้ออ้างมีคนอื่นมาเลิกหรอก มันทำร้ายกันเกินไป กูน่ะ...อยากให้เลิกกันด้วยดีมากกว่า”

“จะเป็นไปได้เรอะ”

ผมพึมพำกับตัวเอง แต่แมวเถื่อนคงนึกว่าผมถามถึงได้ตอบออกมา

“...ไมได้หรอก แต่อย่างน้อยขอให้เจ็บน้อยที่สุดก็ยังดี” พูดถึงตรงนี้ข้าวยำก็ส่งสายตาโกรธๆ มาทางผม “แต่เพราะมึงเข้ามายุ่งนั่นแหละ ถึงได้เป็นการจบแบบแย่ที่สุดเลย กูโกรธมากนะ! มึงทำอย่างนี้ลงไปได้ยังไง!!”

ผมถูกข้าวยำรัวกำปั้นใส่อกไม่ยั้งจนเจ็บไปหมด ถ้ามากกว่านี้อาจได้ช้ำในเอาได้ จึงรีบคว้าข้อมือทั้งสองข้างไว้เป็นการห้ามปราม

“โอเค เรื่องนี้กูผิดเอง” ผมยอมรับโดยดี แล้วถามเพิ่มอีก “ทำไมมึงไม่บอกแฟนเก่าไปตรงๆ ล่ะว่ามึงไม่ชอบกระเทย”

“พูดไปก็ต้องมาอธิบายอีกว่าทำไมถึงไม่ชอบ กูไม่อยากมานึกมาเล่าเรื่องแย่ๆ พวกนั้นหรอกนะ”

“แต่ถ้ามึงบอกไปตั้งแต่แรก เด็กนั่นอาจไม่เลือกเส้นทางเป็นกระเทยก็ได้”

“กูไม่อยากเป็นเหมือนพ่อนี่” ยำพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่นมาก “โดนปฏิเสธในสิ่งที่อยากจะเป็นน่ะ มันเจ็บปวดมากนะ ความรู้สึกแย่ๆ แบบนั้นกูไม่อยากให้คนอื่นมาเจอเหมือนกันหรอก”

ผมรีบกอดปลอบข้าวยำที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมา

“โอ๋ๆ กูไม่ถามแล้ว”

จับโยกตัวแมวเถื่อนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ถึงดันให้ตัวลงนอนบนเตียงด้วยกัน

“เรามานอนกันดีกว่าเนอะ” ผมพูดชวนด้วยเสียงนุ่มหู

“ไม่!”

ยำผลักผมให้นอนหงายอย่างไม่ทันตั้งตัว แล้วตามมาขึ้นคร่อมอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แม้แต่แววตาที่จ้องมองมาจากด้านบนยังวาววับอย่างดุร้ายสุดๆ

“กูต้องการขนาดนี้จะให้มานอน บ้าหรือไง!”

“...” ผมมองแมวเถื่อนอึ้งๆ จนอีกฝ่ายตะโกนใส่หน้าอีกรอบ

“ก็บอกว่าต้องการไงล่ะ!”

“เดี๋ยวๆ” ผมรีบขอเวลานอก คือตอนนี้สับสนมาก “คุยกันมาตั้งนานขนาดนี้มึงยังต้องการอะไรอีก!”

“ต้องการมึงไง! แล้วก็ไม่ต้องมาไล่กูไปช่วยตัวเองอีกนะ ก่อนมึงจะตื่นน่ะ กูพยายามช่วยตัวเองแล้ว แต่มันไม่ได้ผล ดังนั้นมึงต้องช่วยกู!”

พูดจบ ข้าวยำก็ก้มหน้ามาประทับจูบกันทันที หลังจากนั้นแมวเถื่อนก็ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดอะไรอีกเลย

############

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ภู  ยำ   พูดคุยกันดีแล้ว..........
จะได้รู้เรื่องกันทั้งสองฝ่าย 
ดีกว่าต่างฝ่ายต่างคิดไปเองอย่างนั้นอย่างนี้
 
ภู  ยำ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ยำยอมรับความรู้สึกของตัวเองแล้วใช่ไหม :hao3:

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
แมวเถื่อนกับปลอกคอ 1 : เผชิญหน้า


จู่ๆ ภายในพื้นที่ส่วนกลางกลับมีแสงสว่างจ้าขึ้นกะทันหัน ปลุกผมให้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา พอลืมตาก็เห็นพาร์ยืนแตะสวิตซ์ไฟบนกำแพงด้วยสีหน้างงงวยปนประหลาดใจ

“...พี่ภู?”

ผมฝืนยกหัวหนักอึ้งขึ้นมามองคนเรียก ทั้งที่ความจริงอยากปล่อยทิ้งตามแรงโน้มถ่วงเพื่อกลับไปหลับต่อมากกว่า

“ทำไมมานอนอยู่นี่ล่ะครับ”

ทำไมน่ะเรอะ...

ผมยกแขนขึ้นมาตั้งค้ำยันไม่ให้ใบหน้ากลับไปซบผิวเรียบเย็นของโต๊ะ ด้วยความที่ความคิดไม่ค่อยแล่นเลยเผลอหลุดปากบอกความจริงออกไป

“หนีมา”

“อะไรนะครับ?”

ผมสะบัดไล่ความง่วงออกจากหัว แล้วเลือกถามกลับไปบ้าง

“จะไปไหนเหรอ?”

“ซื้ออาหารเช้าครับพี่”

คำว่า ‘อาหาร’ ช่วยกระตุ้นความรับผิดชอบเรื่องปากท้องของใครบางคนขึ้นมาทันที ผมสลัดความง่วงที่เหลืออยู่ทิ้ง แล้วยันตัวขึ้นยืนเพื่อออกไปหาของกินไปเติมเต็มท้องให้ผู้หิวโหย...เดี๋ยว ผมย่นคิ้วพร้อมกับขยี้เส้นผมบนหัวเผื่อว่าอาการมึนหัวจะหายไปบ้าง

ที่นี่ไม่ใช่คอนโด และข้าวยำคงไม่ตื่นมาเรียกร้องขออาหารเช้าแบบทุกวันหรอก

“พี่ภู?”

พอได้ยินเสียงเรียก ผมพลันได้สติมากขึ้นกว่าเดิม เห็นพาร์กำลังมองมาด้วยแววตามีคำถามก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนออกไปให้เห็น จะให้บอกว่าเมื่อครู่เป็นโหมดตอบโต้อัตโนมัติก็ยังไงอยู่ เลยแสร้งถามเปลี่ยนเรื่องไป

“พี่จะไปด้วย แต่เรา...จะไปกันยังไง?”

“ไปรถของพี่ครับ”

“รถของพี่?”

พาร์ชี้นิ้วมาทางขาของผม “กุญแจรถกับมือถือของพี่วางอยู่ตรงนั้นไง”

พอก้มมองตามก็พบว่าของที่ว่า รวมไปถึงคีย์การ์ดประตูห้องวางอยู่บนโต๊ะที่ผมใช้นอนเมื่อครู่นี่เอง แต่ผมกลับไม่ได้สังเกตเห็นพวกมันเลย

“แต่รถของพี่น่ะ...”

ไม่ทันพูดจบ พาร์ก็พูดแทรกเหมือนเดาได้ว่ากำลังจะถูกผมพูดแย้งเรื่องอะไร

“เมื่อคืนเพื่อนของทีแวะไปเอารถมาจอดทิ้งไว้ที่นี่แล้วครับ”

“อ้อ”

พอได้คำตอบผมก็ก้มตัวไปหยิบของบนโต๊ะทั้งหมดขึ้นมา แล้วออกเดินนำไปทางประตูห้อง

ออกได้ออกไปด้านนอกอาคารก็เจอเข้าแสงอาทิตย์ยามเกือบเจ็ดโมงเช้า ทำเอาผมตาพร่ายิ่งกว่าเจอแสงจากหลอดไฟ พอปรับสายตาจนสู้แสงได้ก็พบว่าท้องฟ้าวันนี้สีออกเหลืองๆ ยังไงชอบกล

“ไหวไหมพี่?” คนชวนผมออกมาหาซื้ออาหารเช้าถามอย่างกังวล “ให้ผมขับรถแทนดีไหม?”

ผมโบกมือปฏิเสธ ดูจากสีหน้าอ่อนเพลียคล้ายกับอดนอนมาทั้งคืนของพาร์แล้วก็เดาได้ไม่ยากว่าอดนอนมาเหมือนกัน เพราะงั้นจะให้ใครขับก็เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุพอกันนั่นแหละ

ผมไม่กล้าขับไปไหนไกล ส่วนพาร์ไม่อยากออกไปไหนนานๆ พวกผมเลยตกลงกันว่าจะหาซื้อของกินแถวๆ โรงแรม แต่เจ้าของร้านอาหารแถวนี้ขี้เกียจตื่นเช้ากันหรือไงถึงได้แปะป้ายบอกเปิดแปดโมงบ้าง สิบโมงบ้าง สุดท้ายผมต้องขับเลยไปหน่อยตามการบอกทางของคนแถวนี้ ถึงได้เจอพวกร้านขายของข้างทางตั้งเรียงต่อกัน เสมือนเป็นจุดรวมพลของกินยามเช้า

ผมกับพาร์ต่างตกลงกันว่าจะแยกย้ายไปซื้อของกิน ใครซื้อเสร็จแล้วก็กลับมารอที่รถ ผมรู้ตัวว่าต้องช้ากว่าพาร์แน่ จึงใช้วิธีสั่งอาหารกับจ่ายเงินก่อน แล้วค่อยวกกลับมาเอาของทีหลังจะได้ไม่เสียเวลามากเกินไป พอเร่งหิ้วถุงของกินเต็มสองมือกลับมาที่รถก็พบว่าพาร์ยืนพิงรถหลับไปแล้ว

...สามารถดีวะ

ขนาดมีเสียงปลดล็อครถ เสียงประตูหลังเปิดปิด พาร์ก็ยังไม่ตื่น จนต้องมาเขย่าตัวเรียกนี่แหละ ถึงได้ลืมตาขึ้นมองแบบมึนงง

“ขึ้นรถเถอะ”

หลังจากขึ้นรถ ผมก็นึกว่าพาร์จะหลับต่อ ไม่คิดเลยว่าเขาจะชวนผมคุยแก้ง่วงแทน

“พี่ว่ายาหมดฤทธิ์ยัง?”

“หมดแล้วมั้ง”

ตอบเองก็แอบไม่มั่นใจเหมือนกัน แต่ผมหวังอย่างยิ่งให้ยานรกนั่นหายๆ ไปสักที

“แน่นะ?”

ผมเหลือบมองพาร์แวบหนึ่ง รายนี้คงเจอฤทธิ์มาไม่ต่างกันล่ะมั้ง น้ำเสียงถึงได้แฝงความหวาดหวั่นขนาดนี้ คิดแล้วก็รู้สึกเห็นใจคนเจอชะตากรรมคล้ายๆ กันมา เลยพูดติดตลกให้อีกคนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย

“ทำไม? กลัวสองคนนั้นได้กันเองเรอะ พี่ว่าลุกไม่ขึ้นหรอก”

แต่ยิ่งฟังสีหน้าของพาร์กลับเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม จนผมชักไม่แน่ใจว่ามุขมันฝืดหรือเกิดนึกกลัวขึ้นมาจริงๆ กันแน่...กดเท้าเหยียบคันเร่งขึ้นมาอีกหน่อยแล้วกัน

ตลอดทางผมคุยกับพาร์แก้ง่วงไปจนถึงโรงแรม พอลงจากรถพาร์ก็มาช่วยหิ้วถุงของกินทั้งหลายที่วางเรียงไว้บนเบาะหลังโดยไม่ทันได้ร้องขอ

...เพื่อนของยำคนนี้มีน้ำใจดีทีเดียว

พอขึ้นมาถึงห้องพักก็พากันวางถุงของกินทิ้งไว้แถวๆ โต๊ะในพื้นที่ส่วนกลาง แล้วรีบแยกย้ายไปดูคนของตัวเองในห้องนอนด้วยความกังวลปนหวาดระแวงว่าอาจเกิดเรื่องในช่วงที่พวกผมไม่อยู่ห้อง แล้วมันก็ดันเกิดขึ้นจริงๆ

ข้าวยำหาย!

ผมรีบวิ่งผ่านเตียงที่ว่างเปล่า ตรงไปกระชากประตูห้องน้ำออก ด้านในว่างเปล่าไร้เงาคน ระหว่างวกกลับออกจากห้อง ผมก็กวาดมองแถวรอบเตียงเผื่อแมวบางตัวกลิ้งตกมา เห็นแต่หมอนนอนแผ่อยู่ที่พื้น ไร้เงาผ้าห่มคล้ายกับได้อันตรธานไปพร้อมแมวเถื่อน

มันจะเป็นไปได้ยังไง!

ผมรีบเปิดประตูห้องนอนออกไป เจอพาร์เปิดประตูห้องนอนฝั่งตรงข้ามออกมาเช่นกัน จึงรีบถามออกไปก่อนเลย

“ยำหาย ทีล่ะ”

พาร์ไม่ตอบ แต่ดูจากสีหน้ากระวนกระวายใจ ผมว่าทีคงหายไปเหมือนกัน...ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรต่อ พวกเราก็พร้อมใจหันหน้าไปมองสถานที่สุดท้าย ซึ่งคนหายตัวไปน่าจะไปขลุกอยู่ด้วยกันได้

จะที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่โซฟาที่วางอยู่ด้านในสุด!

ผมกับพาร์แข่งกันเดินไปถึงที่นั่น พบว่าคนหายสองคนกำลังนอนกอดกันกลมดิกอยู่ใต้ผ้าห่มบนโซฟาในท่วงท่าที่ทำเอาเลือดในตัวผมเย็นเฉียบแบบฉับพลัน และได้สติขึ้นมาเพราะเสียงอุทานดังลั่นของพาร์

“เฮ้ยยยย!”

“รีบลากทีไปห้องโน้นเลย!” ผมรีบออกคำสั่ง

พาร์รีบทำตามทันที เขาตรงเข้าไปหิ้วปีกทีจากด้านหลัง แล้วลากกึ่งอุ้มตัวออกมาจากโซฟา ระหว่างนั้นก็บ่นกึ่งโวยไปด้วยอย่างหัวเสีย “พี่ก็เหมือนกันปล่อยเมียมานอนแถวนี้ได้ไง!”

“ก่อนไปมันก็นอนอยู่ในห้องดีๆ” ผมแย้งกลับไป ก่อนสบถถึงยานรกนั้นอย่างอดไม่อยู่ “แล้วทำไมยายังไม่หมดฤทธิ์อีกวะเนี่ย!”

พาร์ไม่ตอบ แต่รีบหิ้วปีกทีในชุดคลุมอาบน้ำเดินถอยหลังกลับเข้าห้องนอนฝั่งขวาด้วยสภาพทุลักทุเลน่าดู พอสองคนนั่นห่างจากโซฟามากพอควรแล้ว ผมถึงตรงเข้าไปหาแมวเถื่อนที่ยังนอนนิ่งอยู่บ้าง

มองท่าทางหลับเป็นตายที่ต่างจากเมื่อคืนแล้วก็แอบโล่งใจนิดหน่อย แต่ทันทีที่กระชากผ้าห่มออกจากตัวข้าวยำ ผมก็เผลอหลุดอุทานอย่างห้ามไม่อยู่

“เฮ้ย! เปลือยเรอะ!”

รีบเอาผ้าห่มม้วนปกปิดร่างให้แทบไม่ทัน พอหันไปมองด้านหลังอย่างอึดอัดใจ พบว่าพาร์พาทีเข้าไปในห้องแล้ว ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก คาดว่าพาร์คงไม่ทันได้เห็นแน่ จากนั้นก็หันมายืนแยกเขี้ยวใส่คนกำลังหลับไม่รู้เรื่องอย่างหงุดหงิด

“นี่มึงกำลังยั่วกูใช่ไหม!”

ผมตะคอกถามเสียงดุดัน กล้ายั่วโมโหกันแบบนี้ชักจะมากไปแล้ว!

อาจเพราะผมเสียงดังเกินไป ข้าวยำถึงได้ปรือตาขึ้นมองหน้ากัน แล้วพูดออกมาด้วยเสียงแหบแห้งและอ่อนแรง

“ไม่เอา...ไม่เอาแล้วภู”

พอได้ยินคำปฏิเสธแบบนี้กลับทำให้ผมยิ้มออกมาได้ ดูท่าว่ายานรกนั่นคงหมดฤทธิ์แล้วจริงๆ

ผมจัดการอุ้มแมวเถื่อนพร้อมกับผ้าห่ม เดินตรงกลับเข้าห้องของตัวเองบ้าง ระหว่างนั้นก็ถามอย่างข้องใจไปด้วย “แล้วนี่ออกมาทำบ้าอะไรข้างนอก”

ข้าวยำงึมงำตอบกลับมาใกล้หู “ไม่รู้...ทีพาออกมา”

อ้อ สรุปว่าคนของผมอยู่ในห้องดีๆ แต่คนทางโน้นไปพาออกมาสินะ นาทีนั้นนึกอยากด่าสองคนทางห้องโน้นเป็นที่สุด

นี่ดีนะที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น!

“กูซื้อของกินมาให้เพียบ จะกินเลยไหม?” ถามหลังเหลือบไปเห็นถุงของกินบวกกับกลิ่นอาหารหอมๆ ลอยแตะเข้าจมูก เพียงแต่แมวเห็นแก่กินกลับงึมงำตอบแค่

“ขอนอนก่อนนะ”

...ดูท่าคราวนี้คงเพลียจริง

หลังวางข้าวยำบนเตียงนอน ผมก็ผละไปเอาผ้าขนหนูชุบน้ำกลับมาเช็ดตัวให้อีกครั้ง พร้อมกับช่วยจัดท่านอนให้สบายตัวกว่านี้ แล้วล้มตัวนอนข้างๆ บ้าง ด้วยความทั้งง่วงทั้งเพลียเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยหลับไปทันที

ผมรู้สึกตัวอีกครั้ง เพราะท้องของใครบางคนร้องขออาหารเสียงดังน่าดู พอลืมตาขึ้นมาก็เห็บแวบๆ ว่าเจ้าของท้องร้องรีบหลับตาลงทันที ทั้งแสร้งนอนนิ่งทำเหมือนว่ายังไม่ตื่น แต่ขอโทษเถอะ มึงโดนกระเพาะทรยศเข้าให้แล้ว มันถึงได้ส่งเสียงร้องประท้วงใส่ดังกว่าเดิมอีก

“ตื่นแล้วก็ลุกสิ” ผมว่า แล้วพูดเสริมอีกหน่อย “กูซื้ออาหารมาให้แล้ว วางอยู่ด้านนอก”

ข้าวยำไม่ยอมขยับตัว กระทั่งเสียงลมหายใจยังพยายามเลียนแบบให้เหมือนคนหลับที่สุด

“นี่” ผมจิ้มนิ้วที่แขนก่อน เห็นยังนิ่งก็เริ่มทดลองแตะนิ้วที่จมูก มีสะดุ้งนิดหน่อย แต่ยังคงนอนหลับตานิ่ง เลยเลื่อนนิ้วมาแตะๆ คลึงๆ แถวริมฝีปาก “ถ้าไม่รีบลุก กูจะจูบมึงแล้วนะ”

เท่านั้นแหละคนแสร้งหลับถึงรีบลุกพรวด พอประสานสายตากันปุ๊บ แมวเถื่อนก็หันหน้าหนีปั๊บ ทั้งยังหมุนตัวพาตัวเองลงจากเตียงอย่างเร่งรีบอีก

“ไปล้างหน้าแปรงฟันก่อน ค่อยออกไปกินข้าว!”

ผมพูดเตือนคนที่ตั้งท่าจะวิ่งหนีออกจากห้อง ฝ่ายนั้นถึงได้ชะงักกึก แล้วเปลี่ยนเส้นทางเป็นวิ่งเข้าห้องน้ำแทน ผมนั่งชักเข่าตั้งศอกเท้าคางมองประตูห้องน้ำถูกเลื่อนปิดอย่างแรง

เป็นอะไรอีกล่ะ?

นึกถึงปฏิกิริยาแปลกๆ ของแมวเถื่อน...คล้ายกับจะหลบหน้ากันด้วยความสงสัย

โกรธ? เขิน? หรืออาย?

ผมไม่คิดว่าแมวเถื่อนโกรธใส่หรอกนะ เพราะถ้ายำโกรธจริงคงตะโกนด่าใส่  ไม่ก็ประทุร้ายร่างกายปลุกกันแต่แรกแล้ว แต่นี่เหมือนจะตื่นนานแล้ว

...ถูกแอบมองหน้าตอนหลับหรือเปล่านะ?

รอยยิ้มเผยออกมาทันที ตามด้วยการคาดเดาว่าน่าจะเขินที่ถูกจับได้ ไม่ก็อายเพราะเรื่องเมื่อคืน...

ความคิดในหัวหยุดลงทันทีที่เจ้าตัวโผล่ออกมาจากในห้องน้ำ พอประสานสายตากันอีกครั้ง คราวนี้ถึงได้เห็นชัดว่าอีกคนสะบัดหน้าหนีทั้งที่แก้มขึ้นสีเลือดกว่าทุกที ไหนจะมือที่กำแน่นระหว่างจ้ำเท้าเร็วๆ เพื่อเดินหนีออกจากห้องนั้นอีก

เห็นแล้วอดไม่ได้ต้องรีบขยับตัวลงจากเตียง สาวเท้ากึ่งวิ่งตรงไปประตูที่ข้าวยำกำลังเปิดออก แล้วออกแรงผลักบานประตูปิดกลับไปเหมือนเดิม ส่วนคนเปิดประตูเมื่อครู่ยืนตัวแข็งทื่อไปแล้ว

“ตกใจอะไร” ผมก้มถามคนที่เหมือนตกอยู่ในอ้อมแขนกลายๆ “ทำอย่างกับไม่เคยได้ใกล้ชิดกูอย่างนั้นแหละ”

ไม่มีคำโต้เถียงใดๆ กลับมาอย่างน่าประหลาด

“...เขินหรือไงหืม?”

“ค...ใครเขินกัน!”

“มึงไง” เว้นจังหวะอย่างจงใจ แล้วพูดต่อระหว่างพลิกตัวอีกฝ่ายให้หันกลับมา “ถูกสารภาพรักมาเมื่อคืนนี่น่ะ”

คนฟังขบริมฝีปากเข้าหากันให้เห็นแวบเดียว ก่อนก้มหน้าก้มตาพูดจาตะกุกตะกัก

“นะ นั่น...นั่นน่ะ...”

“คำตอบล่ะ?”

ผมไล่ต้อนอย่างได้ใจ เป็นเหตุให้ใครบางคนถึงกับปากคอสั่น พูดจาติดๆ ขัดๆ ได้น่ารักมาก

“คือกู...กู...”

คนพูดติดอ่าง กรอกตาไปทางนู้นที ทางนี้ที ที่เดียวที่ไม่ยอมมองคือหน้าผมเนี่ยแหละ ผมเลยลองยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ ดูสิจะยังไม่กล้ามองกันอีกไหม กลายเป็นว่าแมวเถื่อนตกใจจนผงะ ก้าวถอยจนหลังแนบติดบานประตู เปิดโอกาสให้ผมก้าวประชิดต้อนอีกฝ่ายให้จนมุม

“เป็นแฟนกันนะ”

“ม...ไม่ดีมั้ง”

“ไม่ดีตรงไหน?”

“ก็...ก็...”

ผมเงียบรอฟังอย่างใจเย็น สุดท้ายก็ได้ยินแมวเถื่อนพึมพำออกมา

“...กูยังไม่รู้เลยว่าชอบมึงหรือเปล่า”

“งั้นมาลองคำถามกูหน่อย” ผมไม่เปิดโอกาสให้ยำปฏิเสธ รีบพูดต่อทันที “อยู่กับกูแล้วมึงมีความสุขไหม? อึดอัดใจหรือสบายใจ? ถูกกูกอดแล้วรู้สึกรังเกียจหรือต่อต้านไหม? แล้วมึงอยากสัมผัสตัวกูบ้างไหม...คำถามนี้ไม่ต้องถามก็ได้เนอะ เห็นชัดๆ ว่าเมื่อคืนมึงเล่นเรียกร้อง ทั้งยังสัมผัสตัวกูซะหนักหน่วงขนาดไหน”

ฉ่า…

คล้ายกับได้เห็นหน้าใครบางคนไหม้ไปแล้ว ผมมองอย่างได้ใจ เพราะมั่นใจแล้วว่าคนตรงหน้าจดจำเรื่องเมื่อคืนนี้ได้แน่ๆ

“กูเพิ่งรู้ว่าถ้าปล่อยให้มึงคุมศึกรักด้วยตัวเอง” เลียริมฝีปากให้อีกคนรู้ว่าผมติดใจรสชาติร้อนแรงนั่นมากแค่ไหน “แถมยังสามารถเล่นงานกูจนเกือบขาดใจคาเตียงได้ด้วย...”

“หะ หุบปากไปเลย!”

คนหน้าร้อนจนไหม้ตวาดใส่ แต่ผมเมินเสียงตวาดนั้น แล้วพูดต่ออย่างจงใจ

“กูชอบมาก แต่ให้หักโหมเหมือนเมื่อคืนนี้ก็มากเกินไปหน่อย”

“บอกให้หุบปากไง!”

“กูขอเป็นนานๆ ทีได้ไหม แต่ถ้ามึงเกิดนึกอยากขึ้นควบจังหวะเองแบบเมื่อคืนอีกก็ตามใจมึง....อื้อ!”

ผมตกใจ ไม่คิดว่าแมวเถื่อนจะกระชากคอเสื้อไปกดจูบให้เงียบแบบนี้ ข้าวยำบดขยี้ที่ริมฝีปากราวกับระบายโทสะและความอับอายจนปากผมเจ็บไปหมด และเหมือนผม...จะได้รสสนิมของเลือดด้วย

พอริมฝีปากของเราผละออกจากกัน แมวเถื่อนก็ซุกหน้ากับอกผมนิ่งไปทันที

“...ยำ”

“อย่าเรียก!”

ไม่เรียกก็ไม่เรียก ยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมของข้าวยำเล่น เห็นเจ้าของไม่ว่าอะไรก็ได้ใจเกลี่ยหนักกว่าเก่า จึงได้เห็นว่าใบหูของแมวเถื่อนแดงก่ำขนาดไหน

อื้อหือ! ระดับความเขินหรืออายของมันคงทะลุปรอทไปแล้วมั้งเนี่ย

“เขินกูเรอะ?” แกล้งถามดูเล่นๆ

“เงียบน่า!”

ผมลองดันข้าวยำออก อีกฝ่ายฝืนตัวเองเต็มที่ แต่สุดท้ายก็สู้แรงผมไม่ได้จนเผยใบหน้าที่เต็มไปสีเลือดฝาด ไหนจะน้ำตาที่คลออยู่กับปากเจ๋อๆ ราวกับถูกรังแกมานั่นอีก เหมือนหัวใจจะถูกศรรักแทงใส่อีกรอบ ทำเอาหัวใจเต้นแรง แถมหน้ายังร้อนๆ

ดีที่แมวเถื่อนรีบซ่อนใบหน้ากับอกผมอีกครั้ง คราวนี้มีสองแขนโอบรัดรอบเอวกันไม่ให้ถูกผมผลักออกง่ายๆ มันเลยไม่ทันได้เห็นสีหน้าตอนนี้ แต่เสียงหัวใจคงไม่อาจรอดพ้นหูอีกฝ่ายไปได้ 

เอาเถอะ สารภาพรักก็ทำไปแล้ว ให้ได้ยินเสียงหัวใจอีกอย่างจะเป็นอะไรไป

แต่แล้วเสียงเคาะประตูกลับดังขัดจังหวะอ่อนหวานที่นานทีจะมีสักหน ทำผมเงยหน้าจ้องบานประตูอย่างหัวเสีย แต่ก็จำใจโอบกอดข้าวยำเดินถอยหลังออกห่าง แล้วกระชากประตูดูว่าใครมาเคาะขัดบรรยากาศที่กำลังไปได้สวย

“รีบมากินข้าวกันเถอะครับ เพราะอีกเดี๋ยวเราต้องเช็คเอาท์...เอ๊ะ”

ทีอ้าปากค้างอยู่ครู่เดียวก็รีบผงกหัวขอโทษที่มาขัดจังหวะ ทั้งยังช่วยดึงประตูปิดให้ทันที

แต่ขอโทษเถอะ บรรยากาศแสนหวานละมุนเมื่อครู่มันจางหายไปแล้วโว้ย!

-------------

ช่วงที่นั่งกินข้าวมื้อเช้าพ่วงมื้อเที่ยงกันอยู่สี่คน...

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมกำลังแผ่ความไม่สบอารมณ์ออกมา หรือเพราะข้าวยำเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาใคร หรือเพราะคนที่รู้ตัวว่าไปขัดจังหวะสำคัญเอายิ้มเหือดแห้งมาทางนี้ ไม่ก็อาจเป็นเพราะพาร์ที่ไม่พูดอะไรขึ้นมาสักแอะเดียว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารถึงได้เงียบกริบขนาดนี้

แต่จู่ๆ ทีก็ชวนยำคุยขึ้นมาดื้อๆ “ยำ มึงได้อ่านไลน์กลุ่มยัง?”

เจ้าของชื่อสะดุ้ง ทั้งรีบส่ายหัวแบบไม่ยอมมองหน้า ทีเลยพูดเล่าให้เพื่อนฟัง

“คนวางยาเราทำงานเป็นบริกรอยู่ที่ผับนั่น เห็นว่าทำมาหลายครั้ง แถมมีคนเกือบตายเพราะยานั่นด้วย อันตรายเป็นบ้าเลยวะ ไม่นึกว่าพวกเราจะพลาดท่าเจอเข้ากับตัว...มึงฟังกูอยู่หรือเปล่าเนี่ย”

ผมเหลือบมองข้าวยำที่นั่งก้มหน้ากินข้าวมากกว่าเดิม ท่าทางเหมือนไม่สนใจฟัง แต่เชื่อเถอะมันแค่ไม่กล้าสู้หน้าเพื่อนมากกว่า พอถูกทีถามซ้ำสอง เจ้าตัวถึงได้ตอบอ้อมแอ้ม

“ฟังอยู่...”

“งั้นก็ตั้งใจฟังดีๆ ไม่งั้นมึงได้เสียใจทีหลังแน่”

คราวนี้แมวเถื่อนยอมเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนตัวเอง “เรื่องอะไร?”

“เด็นไลน์มาหากูวะ”

เพียงแค่ได้ยินชื่อเด็กนั่น ผมก็เริ่มมองทีอย่างระแวงหน่อยๆ ผิดกับยำที่ดูเหมือนจะเริ่มตื่นตัวมากขึ้น

“เด็นไลน์มาทำไม?”

“มาสารภาพว่าจงใจล่อพวกเราไป แต่...” ทีเงียบไปอึดใจหนึ่งค่อยพูดต่อ “กูกับมึงไม่ใช่เหยื่อหรอก เด็นต่างหากที่มาเป็นนกต่อให้ตำรวจรวบจับไอ้สามคนนั้น”

“...” ข้าวยำมองทีเงียบๆ แล้วฟังต่ออย่างใจเย็น

“สรุปคือเด็นไม่ได้คิดจะให้เราตกเป็นเหยื่อเหมือนตัวเอง แต่ก็เลี่ยงความจริงไม่ได้ว่าเขาเลือกให้เราไปยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อแผนการของเขา”

“...งั้นเหรอ” ยำตอบรับเสียงแผ่ว

“ที่จริงแล้ว...” ทีเงียบไปพักหนึ่งถึงพูดออกมา “ตอนบ่ายวันนี้เด็นนัดให้ไปหา มึงจะไปด้วยไหม?”

“ที่ไหน!”

ยำถามทันที ผมเองก็หันไปมองทีเหมือนกัน เพราะไม่คิดว่าจะมีการนัดกระชั้นชิดแบบนี้

“ร้านอาหารห่างจากที่นี่ไม่น้อย เดี๋ยวกูส่งพิกัดให้ทางไลน์แล้วกัน”

“ขอบใจ”

“สรุปคือมึงจะไปสินะ”

พอถูกทีถามซ้ำอีกครั้ง ข้าวยำกลับลังเลอย่างเห็นได้ชัด มีเหลือบมองผมแวบหนึ่งด้วย จากนั้นก็เลือกถามกลับแทน “มึงล่ะจะไปด้วยไหม?”

“ไปสิ” ทีตอบอย่างไม่ลังเล “มึงควรไปด้วย เรื่องค้างคาใจจะได้หมดไปสักที”

ข้าวยำก้มหน้าเงียบมองพื้นอยู่สักพัก ก่อนจะผงกหัวตกลง ทีมองอย่างพอใจ แล้วหันมาทางผมอีกคน

“พี่ภูควรไปด้วยนะครับ”

สีหน้ายำเหมือนไม่อยากให้ผมไปเท่าไหร่ แต่ถ้าจะเคลียร์เรื่องค้างคาใจให้หมด ผมควรโผล่หน้าไปล่ะนะ ดังนั้นจึงตอบตกลงกลับไปสั้นๆ แล้วพูดเสริมอีกประโยค

“ไปรถพี่แล้วกัน”

พอเห็นพวกเราคุยกันจบแล้ว พาร์ก็หันไปพูดเสียงดุใส่ทีทันที “กินข้าว!”

“รู้แล้วน่า”

ผมละสายตาจากคู่นั้น แล้วหันมาสนใจแมวเถื่อนที่นั่งครุ่นคิดอะไรอยู่ไม่รู้ กลายเป็นผมบ้างที่ต้องกระตุ้นให้คนของตัวเองกินข้าวด้วยการ...

“ถ้ามึงไม่กิน กูกินแทนแล้วนะ”

เพียงแค่ยกกล่องข้าวหมูทอดออกจากมือข้าวยำ แมวเถื่อนก็หันขวับมองอย่างข่มขู่ พอผมคืนกล่องข้าวให้ มันก็รีบยกหนี ทั้งยังหันหลังใส่เหมือนกลัวผมจะแย่งข้าวกล่องมันไปอีก

หึ น่ารักขนาดนี้ใครจะไปแย่งลง

ผมมองแผ่นหลังข้าวยำด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หันมาตักข้าวมันไก่ตรงหน้าเข้าปากบ้าง

อย่างที่สำนวนบอกไว้ว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง ผมก็ต้องเตรียมท้องให้อิ่ม จะได้มีแรงไปสู้กับเด็กนั่น!

############

ภู: ยกป้าย 'ขอประท้วงนักเขียน'
ภู: นานๆ ได้หวานกันสักที ส่งทีมาขวางทำไม!
คนเขียน: (เหล่มองที)
ที: ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะพี่!

----------------------------------------------------

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-07-2018 12:41:18 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 422
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 :o8: ข้าวยำทำไมทำตัวน่ารักแบบนี้

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
แมวเถื่อนกับปลอกคอ 2 : สะสาง


สถานที่นัดหมายครั้งนี้ต่างจากคราวก่อนราวฟ้ากับเหว ที่นี่เป็นร้านอาหารเน้นต้นไม้สีเขียวและความร่มรื่นของธรรมชาติเป็นหลัก บรรยากาศจึงค่อนข้างเงียบสงบเหมาะกับการพูดคุยที่สุด

ผมปล่อยให้ยำเดินเข้าร้านอาหารไปพร้อมทีกับพาร์ก่อน ส่วนตัวเองกดโทรออกหาเพื่อนคนหนึ่ง พอเงยหน้าขึ้นมาระหว่างเอาโทรศัพท์แนบหู ก็เห็นข้าวยำหันกลับมามองทางนี้ พอผมจ้องมองกลับ ฝ่ายแมวเถื่อนก็รีบหันหน้าหนี ทั้งจ้ำเท้าไล่ตามหลังเพื่อนไปติดๆ ทันที

หึ ผมยกยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ ขณะเดียวกันคนที่โทรไปหาก็รับสายแล้ว 

[…ไง]

“ฟังจากเสียง มึงทำไม่สำเร็จสินะ” ผมว่า

ปลายสายหัวเราะออกมาแผ่วๆ [ไม่ต้องมาปลอบนะ กูไม่อยากฟัง]

“รู้แล้วน่า ที่โทรมานี่เพื่อจะยืนยันเรื่องมึงหรอก”

[อ้อ...เขาไม่เลือกกู แต่เลือกจะไปเริ่มต้นใหม่แทนวะ ถ้านี่เป็นเรื่องที่มึงอยากรู้นะ]

เสียงของนัทฟังดูราบเรียบเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ผมว่าในใจคงไม่ได้เป็นอย่างในน้ำเสียงหรอก

“ถ้าหัวใจมึงไม่ปิดตายไปซะก่อน สักวันคงได้เจอคนที่เลือกมึงด้วยใจจริงเองนั่นแหละ”

[ถ้าจะปลอบอีกก็วางสายไปเลย]

“วางแน่อยู่แล้ว แต่ถามก่อนว่ามึงได้ให้ข้อมูลนั้นกับเด็กนั่นไปหรือยัง”

[...กูไม่ผิดข้อตกลงกับมึงหรอกน่า]

“กูกลัวมึงใจอ่อนยอมบอกเขาไปฟรีๆ น่ะสิ”

[ก็อยากบอกอยู่หรอก แต่น่าเสียดายกูดันรู้ไม่หมด กังหันโคตรระแวงกูเลย]

ประโยคท้ายเหมือนพูดฟ้องกันมากกว่า ผมหัวเราะออกมานิดหน่อย

“งั้นก็ดีแล้วที่มึงรู้ไม่หมด”

[เหอะ]

หลังนัทส่งเสียงแฝงความหมั่นไส้ในลำคอมาคำเดียว สายก็ถูกตัดไปทันที ผมมองโทรศัพท์ด้วยรอยยิ้มนิดๆ จากนั้นถึงกดเข้าไลน์ พิมพ์ข้อความส่งไปหากังหัน

Phu:  บอกแล้วว่านัทไม่ทรยศกูหรอก

ข้อความถูกอ่านทันที ตามด้วยประโยคตอบกลับ

KangHan: มันไม่บอกไปก่อนก็ดีแล้ว
KangHan: แล้วน้องกูเป็นไงบ้าง
Phu: เดินขัดๆ นิดหน่อย
KangHan: ถนอมน้องกูหน่อย
Phu: มึงต้องไปบอกให้ยำช่วยถนอมกูถึงจะถูก

ผมกดออกจากแอพ เมินถ้อยคำด่าที่ฝ่ายกังหันส่งมา แล้วเริ่มเดินเข้าร้านอาหารบ้าง พอเข้าไปกลับเจอพาร์นั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียว ฝ่ายนั้นสังเกตเห็นผมก็ชี้นิ้วไปทางระเบียง ผมมองตามไปถึงได้เห็นยำ ที และเด็กนั่นกำลังนั่งร่วมโต๊ะเดียวกันผ่านกระจกใสอยู่ด้านนอก

ในช่วงเวลาบ่ายๆ อย่างนี้ แม้พื้นที่ตรงระเบียบนี้อยู่ในเงาร่มไม้ทำให้ไม่ค่อยร้อนมากเท่าที่อื่นก็จริง แต่คงไม่มีใครบ้ามานั่งตากเหงื่อกินข้าวหรอก โต๊ะรอบๆ เลยไร้ผู้คน ผมเลยไม่แปลกใจที่ใครสักคนเลือกมาสะสางปัญหากันแถวระเบียงไม้

หลังผมเดินเข้าไปร่วมวงที่โต๊ะด้วย จากที่เงียบฉี่กันอยู่แล้วก็ยิ่งเงียบเข้าไปอีก บรรยากาศแย่ลงด้วยสิ ผมแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ แล้วทำเป็นหยิบเมนูอาหารมาดูแทน

พอมีพนักงานมารับออเดอร์ ผมจึงเป็นคนเดียวที่สั่งอาหารและเครื่องดื่ม กระทั่งอาหารทานเล่นที่สั่งไปพอเป็นพิธีมาเสิร์ฟพร้อมน้ำผลไม้เย็นๆ คลายร้อน ความเงียบที่แผ่ปกคลุมทั้งโต๊ะก็ยังไม่หายไปไหน

...ถ้าไม่มีใครสักคนเคลื่อนไหวก่อน คงได้นั่งแช่ถึงเย็นแหงๆ

ผมลอบถอนหายใจ มองหน้าแต่ละคนที่ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ในหัว แล้วมองจานอาหารสองสามอย่างตรงหน้า มองอยู่ครู่เดียวก็ตัดสินใจหยิบส้อมไปจิ้มกุ้งชุบแป้งทอดไปวางบนจานตรงหน้ายำก่อน จิ้มอีกตัวไปวางบนจานหน้าที และอีกตัวไปวางตรงหน้าเด็กนั่น ส่งผลให้พวกเขาสามคนหันมองผมเป็นตาเดียว

ผมจิ้มกุ้งอีกตัวเข้าปาก ทำเป็นไม่สนใจแววตาหลากหลายความหมายที่มองมา เป็นทีที่จิ้มกุ้งตรงหน้าเข้าปากก่อนคนแรก ยำเอาแต่ขมวดคิ้วมองกุ้งบนจานทั้งที่ปกติเอาเข้าปากไปแล้ว ส่วนเด็กนั่น...เลือกเมินหน้าหนีเลยแฮะ

ก็ควรอยู่

ผมไม่ได้ติดใจว่าใครจะกินหรือรังเกียจหรอก ที่สำคัญกว่าคือการให้แต่ละคนออกจากความคิดตัวเอง แล้วเริ่มหันหน้าพูดคุยกันสักที ไม่ใช่นั่งแช่นิ่งเงียบแบบนี้ อึดอัดน่ะไม่เท่าไหร่ เพราะผมรู้สึกเสียดายเวลาแทน

ทีกำลังจะกินกุ้งชุบแป้งทอดตัวที่สอง คนนัดหมายมาถึงได้เปิดปากพูด

“ที”

คนถูกเรียกขานรับในลำคอ ใกล้ๆ กันเป็นยำที่พ่นลมหายใจเบาๆ ออกมา ไม่รู้ว่าโล่งใจเพราะไม่ได้ถูกเรียกคนแรกหรือเปล่า ส่วนผมพอเข้าใจว่าเด็กนั่นคงอยากพูดเคลียร์กับคนนอกก่อนจึงทำแค่ฟังเฉยๆ ปล่อยให้ทั้งคู่พูดคุยกันเอาเอง

“กูควรขอโทษมึงนะ แต่กูก็รู้สึกว่าควรได้คำขอโทษจากมึงเหมือนกัน”   

ทีกลืนกุ้งในปาก แล้วพูดอย่างเห็นด้วย “มึงพูดถูกแล้ว ขอโทษด้วยที่ทำให้มึงมีปัญหากับเพื่อนคนอื่นๆ”

“กูด้วย...ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อน”

“อืม”

เด็กนั่นยิ้มออกมาเล็กน้อย “กูไม่ได้รู้สึกแย่กับมึงหรอกนะ แต่จะให้กลับไปเป็นเพื่อนกันอีกคงไม่ไหว”

ทีพยักหน้ารับขรึมๆ “กูเข้าใจ...มีอะไรอยากฝากบอกเพื่อนคนอื่นไหม อย่างลูกหว้าหรือนนท์ สองคนนั้นเป็นห่วงมึงมากนะ เมื่อวานก็ตามไปถึงในผับด้วย”

“งั้นเหรอ”

เด็นก้มหน้ามองมือตัวเองที่ขยับนิ้วไปมาอยู่บนโต๊ะ ผ่านไปนาทีหนึ่งถึงได้เงยหน้าขึ้นมายิ้มเจื่อน

“ฝากขอโทษไปด้วยแล้วกัน”

“ได้...แล้วจากนี้ไปมึงจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเหรอ?”

เด็กนั่นส่ายหน้า “กูไม่คิดกลับบ้านอีกแล้ว”

ทีขมวดคิ้วถาม “งั้นคิดจะไปไหน”

“...ยังไม่รู้” ตอบไปแล้วก็ยิ้มเจื่อนออกมา “อาจหางานพิเศษทำก่อน สะสมเงินกับตั้งตัวใหม่ได้แล้ว กูอาจเริ่มต้นเรียนมหา’ลัยอีกครั้ง”

“งั้นก็อย่าลาออก แต่ทำเรื่องดรอปเรียนไว้ก่อน” ทีแนะนำอย่างจริงจัง

คนฟังกลับส่ายหน้า “ถึงทำอย่างนั้นกูก็หาเงินมาจ่ายค่าเทอมไม่ไหวหรอก จะให้ไปกู้ยืมก็ไม่อยากทำ เพราะงั้นถ้าจะหาที่เรียนใหม่จริงๆ กูคงหาที่ๆ ค่าเทอมถูกกว่านี้”

ยิ่งได้ฟังข้าวยำก็ยิ่งกำชายเสื้อบนตัก ทั้งยังก้มหน้าอยู่อย่างนั้นไม่ยอมสบตาใครทั้งสิ้น

“...ถ้ามึงคิดว่าแบบนั้นดีแล้วก็ตามใจ”

เด็นผงกหัวยืนยันว่าคิดดีแล้วจริงๆ ทั้งคู่มองกันเงียบๆ อยู่อึดใจหนึ่ง เป็นทีที่พูดขึ้นก่อน

“จากนี้ไปขอให้มึงโชคดีนะ”

เด็นคลี่ยิ้มให้เช่นกัน “พวกมึงด้วยนะ”

ใช้คำว่า ‘พวกมึง’ คงหมายถึงเพื่อนคนอื่นๆ ด้วยล่ะมั้ง

ทียันตัวขึ้นยืนก่อน แล้วพูดบอกลาสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงกึ่งเศร้ากึ่งเสียดาย “...ลาก่อน”

“อืม” เด็นผงกหัวอีกครั้ง “ลาก่อน”

ผมมองทีเดินกลับเข้าไปในร้านอาหาร คงไปหาพาร์ที่นั่งรออยู่ด้านใน พอคนนอกไม่อยู่แล้วบรรยากาศบนโต๊ะก็เปลี่ยนไปอีกแบบในทันที เด็กนั่นจ้องผมด้วยแววตาโกรธปนแค้นวูบหนึ่ง แล้วหันไปมองข้าวยำที่ยังก้มหน้าอยู่เหมือนเดิม

“มีอะไรจะบอกกูไหม”

น้ำเสียงเด็นฟังดูเรียบเฉย แต่กลับกดดันมากพอให้คนรู้สึกผิดมานานรีบพูดออกไปทันที

“ขอโทษนะ”

“ขอโทษเรื่องไหนล่ะ”

ข้าวยำเม้มปากครู่หนึ่งก็สบตาพูดด้วยตรงๆ “ทุกๆ เรื่องที่กูทำให้มึงรู้สึกแย่”

เด็นพยักหน้า แล้วพ่นลมหายใจออกมา “มึงเป็นแฟนที่แย่มาก รู้ตัวไหม?”

พอเห็นยำเงียบ เด็กนั่นก็พูดต่อ “ถ้าเรียงลำดับความสำคัญของมึงนะ เพื่อนสมัยเด็กกับพี่ชายมาเป็นอันดับแรก ตามด้วยรุ่นพี่ เพื่อนร่วมคณะ แล้วสุดท้ายถึงเป็นแฟนอย่างกู รู้ไหมว่ามันน่าน้อยใจขนาดไหน”

“...ขอโทษ”

“พอกูมีเรื่องกับที มึงก็เลือกทีอย่างไม่ลังเลใจเลย กูเสียใจมากนะมึงรู้ไหม!”

“...ขอโทษนะ”

“เวลามึงเมาก็นิสัยแย่มาก ทั้งเอาแต่ใจทั้งบีบบังคับ กูเป็นแฟนมึงนะ ไม่ใช่ที่รองรับอารมณ์หื่นของมึง แล้วพอเกิดเรื่องทำกูเจ็บตัวถึงขั้นเลือดตกยางออก มึงก็ยังไม่ยอมเลิกไปดื่มเหล้ากับเพื่อนหรือรุ่นพี่อีก!”

ตัวแทนรุ่นพี่อย่างผมทำเป็นไม่ได้ยิน เพราะปกติคนชอบชวนมันไปกินเหล้าไม่ใช่ผมนี่น่า

 “เรื่องนั้น...ขอโทษด้วยจริงๆ”

“รู้สึกผิดตอนนี้ช้าไปหรือเปล่าวะ! แล้วไหนเรื่องมึงนอกใจก่อนอีกล่ะ กูไม่คิดเลยนะว่าคนนั้นๆ จะเป็นรุ่นพี่คณะเดียวกันกับมึงน่ะ! และดันเป็นคนที่มึงบอกว่าไม่ชอบขี้หน้าแบบนี้ด้วย!”

ผมชะงักเล็กน้อยที่ถูกคนอายุน้อยกว่าชี้นิ้วใส่หน้า

“ไหนบอกไม่มีทางๆ แล้วไหงถึงได้ไปอ้าขาให้เขาวะ!”

ผมขมวดคิ้วกับคำพูดที่ดูรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายข้าวยำก็เอาแต่กำมือแน่น ไม่ยอมพูดโต้กลับอะไรเลย กลายเป็นผมที่ทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายช่วยพูดแทน

“เลิกด่ายำได้แล้ว”

“ไม่เกี่ยวกับชู้อย่างพี่!”

ผมยกมือขึ้นกอดอก “จะพูดจาอะไรช่วยมองตัวเองด้วย”

แววตากราดเกรี้ยวของเด็กนั่นมองมารุนแรงกว่าเดิมอีก และยังมีแมวเถื่อนที่รีบเงยหน้ามาพูดปรามกันอย่างจริงจัง

“ภู! พอ!”

แต่ผมกลับไม่คิดหยุด ทั้งโน้มหน้ามองคนนั่งตรงข้ามด้วยท่าทีท้าทายไม่น้อย “รู้นิสัยตอนเมาของยำดีนักไม่ใช่หรือไง ลองนึกภาพยำเมาหนักอยู่กับพี่ดูสิ คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ”

“อ้อ เพราะเหล้าอีกแล้วสินะ” น้ำเสียงเด็นเยาะเย้ยอย่างเห็นได้ชัด “แต่แทนที่จะไปปล้ำใคร กลับถูกปล้ำซะเอง ดี สมน้ำหน้าดี!”

บอกว่าสมน้ำหน้าด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดแบบนั้นก็ทำคนฟังสะเทือนอารมณ์ตามได้เหมือนกัน…ข้าวยำแทบจะน้ำตาคลอเบ้าอยู่แล้ว แต่ยังอดทนไม่ร้องไห้ออกมาให้เมียเก่าเห็นถึงความอ่อนแอของมัน เป็นผมนี่สิที่ดันรู้สึกเจ็บขึ้นมาอีกคน

ผมอยากทำสงครามกับเด็กนั่นต่อนะ แต่ขืนยำยังอยู่ตรงนี้ผมคงพูดอะไรไปก็คงกระทบใจยำอยู่ดี พอผมไม่พูดก็กลายเป็นเปิดช่องให้อีกฝ่ายพูดแดกดันกลับมา

“ผมเองก็โง่นะ ดันไปถามเรื่องยำกับพี่ สุดท้ายพี่ก็ส่งเพื่อนมาตามตอแยจนผมเผลอใจอ่อน แล้วส่งยำมาเจอฉากผมเล่นชู้เข้า เข้าใจคิดดีนะพี่”

“เคยได้ยินสำนวนตบมือข้างเดียวไม่ดังไหม” ผมถามเรียบๆ สื่อให้รู้ว่าถ้าไม่คิดจะตบมือกับเพื่อนผม แล้วมีเรื่องชู้ได้ยังไง

“อ้อ เหมือนพี่กับยำล่ะสิ”

พอเถียงเรื่องนั้นไม่ได้ก็วกกลับมากล่าวหาเรื่องพวกผมแทนสินะ คิดแล้วก็ยกยิ้มเยาะ

“ถามจริงๆ นะ นายน่ะชอบยำจริงเหรอ?”

เด็กนั่นผงะไปเล็กน้อย แล้วมองกลับมาด้วยสายตาสงสัยกึ่งระแวง “ถามแบบนี้ทำไม”

ผมหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ โดยมีสายตาสองคู่มองมาทางมือผมอย่างสงสัย พอดึงมือกลับมาปล่อยให้สองคนนี้เห็นคนในรูปถ่ายชัดๆ ปฏิกิริยาของทั้งคู่ก็ต่างกันไปทันที

ข้าวยำมองคนในภาพอย่างแปลกใจ “คนนี้...พี่ชายของเด็นใช่ไหม”

ไม่มีคำตอบ มีเพียงมือที่คว้ารูปไปจ้องมองอย่างไม่วางตา เพราะมันไม่ใช่รูปในอดีตแบบที่ยำน่าจะเคยเห็นในห้องพักของแฟนเก่า ยำถึงได้มีเพียงความประหลาดใจ แต่ไม่มีความสงสัย ส่วนคนที่ถือรูปอยู่ในมือที่สั่นนิดๆ นั่นน่าจะรับรู้แล้วว่าของในมือเป็นรูปถ่ายปัจจุบันของผู้ชายคนนั้น ท่าทีหลังลดรูปลงจากหน้าของเด็กนั่นถึงได้ดูหวาดระแวงมากกว่าเก่า

“...ต้องการอะไร”

ผมฟังน้ำเสียงเคร่งเครียดของอีกฝ่ายอย่างพึงพอใจ ทั้งยังแสดงท่าทางเหนือกว่าให้เห็นชัดๆ “ขอถามก่อนแล้วกัน ระหว่างยำกับผู้ชายในรูป ถ้าให้เลือกจะเลือกคนไหน?”

ข้าวยำมองผมอย่างไม่เข้าใจ ยิ่งเด็กนั่นส่งเสียงถามอย่างเยาะเย้ยมา ในแววตาของยำก็แฝงความน้อยใจอยู่หน่อยๆ ไม่รู้ว่าน้อยใจฝั่งไหนมากกว่ากัน

“ถ้าผมเลือกยำ พี่จะคืนยำให้ผมหรือไง?”

“ให้ยืมตัววันหนึ่ง แต่...” ผมยิ้มอย่างเหนือกว่าให้ “ที่อยู่ของผู้ชายคนนั้นคงต้องฉีกทิ้งลงถังขยะซะแล้ว”

ปัง!

ข้าวยำสะดุ้งโหยงกับการที่จู่ๆ อดีตแฟนลุกขึ้นยืนกะทันหัน ทั้งยังโน้มตัวมาตบโต๊ะเสียงดังสนั่นไม่พอ ยังตะโกนสั่งน้ำเสียงแข็งกร้าวน่าดู

“ส่งมันมาเดี๋ยวนี้!”

ปฏิกิริยาของเด็กนั่นรุนแรงกว่าที่คิดไว้ซะอีก ผมจ้องตาด้วยไม่มีหลบ ทั้งถามกลับด้วยน้ำเสียงยียวน

“เลือกยำไปแล้วไม่ใช่หรือไง”

“นั่นแค่ประชด! ผมยังไม่ได้เลือก!”

“พี่ให้ก็ได้ แต่...” ลากเสียงยาวอย่างยั่วโมโหอีกฝ่ายจนสาแก่ถึงค่อยพูดเงื่อนไขแท้จริงออกมา “ช่วยหันไปพูดกับยำชัดๆ หน่อยว่าผู้ชายคนนั้นสำคัญกับนายแค่ไหน”

เด็กนั่นมองผมค้างไปแล้ว พอตั้งสติได้ก็เม้มปากซะแน่น ท่าทางจะลำบากใจมาก แต่ผมน่ะสะใจมาก นี่ถ้านัทบอกไปก่อน ผมคงเอาเรื่องนี้มาต่อรองอย่างนี้ไม่ได้หรอก พอเหลือบมองข้าวยำ พบว่าแมวเถื่อนกำลังทำหน้าเหลอหลาอย่างคนตามเรื่องราวไม่ทัน

แค่มองหน้าแมวเถื่อนในตอนนี้ ผมก็พอเดาได้ว่าคงโดนอดีตแฟนโกหกเรื่องคนในรูปภาพมาก่อนแน่ๆ

คิดแล้วก็หยิบกระดาษแผ่นเล็กออกจากกระเป๋าเสื้อ ทั้งจงใจยกโบกไปมาอย่างยั่วยุ คนที่จ้องกระดาษในมือผมตาไม่กระพริบทำท่าจะมาตะคลุบแย่งไปทันที แต่ขอโทษเถอะ ใครจะยอมให้ง่ายๆ

“พูดสิ ไม่งั้นพี่ฉีกมันทิ้งแล้วนะ”

ตั้งท่าจะฉีกให้เห็นจริงๆ จนเด็กนั่นร้องลั่นเสียงหลง

“อย่า!”

“พูด!”

ผมข่มขู่อย่างได้ใจ เพราะมีตัวประกันชั้นดีอยู่ในมือ ฝ่ายเด็กนั่นไม่เสียเวลาคิดอะไรอีก รีบหันไปมองข้าวยำทันที

“ยำ!”

คนถูกเรียกเสียงดุดัน สะดุ้งเล็กน้อย “ห๊ะ!”

“กูเคยบอกว่ามีมึงเป็นแฟนคนแรก ความจริงแล้วกูโกหก”

คนฟังคำสารภาพผิดอ้าปากค้างให้เห็นแล้ว ส่วนเด็นยังสารภาพต่อ ทั้งชูรูปถ่ายที่ผมเอามาเป็นการประกอบคำพูดด้วย

“คนในรูปไม่ได้เป็นพี่ชายในสายเลือดอย่างที่มึงเข้าใจ เขาเป็นพี่ชายข้างบ้าน”

เด็นสูดลมหายใจลึกๆ เหมือนให้กำลังใจตัวเอง แล้วพูดต่อด้วยเสียงที่ค่อนข้างสั่น

“เขาเป็นแฟนคนแรกของกู เป็นคนที่กูรักมากที่สุด รัก...มากกว่ามึง”

ข้าวยำเผยอสีหน้าสับสนออกมาให้เห็น มีความรู้สึกหลายอย่างผสมปนเปจนแยกไม่ออก แต่ฝ่ายเด็กนั่นกลับไม่คิดเสียเวลามองอดีตแฟนอีก เพราะเขาเล่นหันมาทวงของที่ต้องได้อย่างไม่แคร์ความรู้สึกแฟนเก่าอย่างยำเลย

“ส่งมาได้แล้ว!”

ผมยอมยื่นส่งให้โดยดี ปล่อยให้อีกฝ่ายคว้าไปเปิดดูด้วยสีหน้าเคร่งเครียดปนตื่นเต้น สายตากวาดอ่านตัวอักษรบนกระดาษซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ ดูจนพอใจถึงได้ยอมลดกระดาษในมือลง ทั้งถามด้วยท่าทางจริงจังมาก

“แน่ใจใช่ไหมว่าตามที่อยู่นี้จริงๆ”

“เป็นข้อมูลเมื่อสองเดือนก่อน” ผมตอบตามจริง “ตอนนี้อาจยังอยู่ที่เดิม หรือไปอยู่ที่อื่นแล้วก็ได้ทั้งนั้น”

คนฟังมองกระดาษในมืออีกครั้ง แล้วยิ้มออกมา เป็นยิ้มแรกที่ได้เห็นตั้งแต่เจอหน้ากันในวันนี้

“แค่นั้นก็พอแล้ว”

ผมมองเด็กนั่นหมุนตัวทำท่าจะผละจากไปดื้อๆ แต่จู่ๆ ก็หันตัวกลับมาด้วยสีหน้าเพิ่งนึกได้ว่าลืมของบางอย่าง

“จริงสิ ผมเกือบลืม...”

เพียะ!

หน้าของผมสะบัดตามแรงตบที่มาแบบไม่ทันตั้งตัว กำลังนึกตกใจอยู่ก็ถูกตบอีกครั้งด้วยแรงที่มากกว่าเดิม พอหันไปมองคนตบที่กำลังหอบหายใจจนหน้าแดงก่ำ ฝ่ายนั้นก็รีบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตะคอกใส่หน้าส่งท้าย

“นี่สำหรับที่มึงทำกับกู! หลังจากนี้เราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก!”

ผมยังไม่ทันได้ตอบรับ อีกฝ่ายก็พ่นมาอีกประโยค

“และหวังว่ามึงจะดูแล ‘ของที่เคยเป็นของกู’ อย่างที่รับปากแล้วกัน!”

อาละวาดเสร็จก็หมุนตัวจากไปทันที ผมเห็นแวบหนึ่งว่านอกจากสีหน้าสะใจที่ได้เอาคืน ยังมีอารมณ์ตื่นเต้นปนยินดีกับข่าวที่เพิ่งได้รับปรากฏอยู่ด้วย มองแล้วก็ได้แต่โคลงหัวไปมา

เอาเถอะ ถือว่าชดใช้ให้เด็กนั่นแล้วกัน

“เอ่อ...มึง”

ผมหันไปมองตามเสียงเรียก เห็นข้าวยำส่งก้อนน้ำแข็งมาให้ก็รับมาประคบแก้มตัวเอง พร้อมกับถามไปด้วย “รู้สึกผิดน้อยลงหรือยัง?”

แมวเถื่อนสบตากับผมอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจออกมา

“มึงตั้งใจให้กูรู้เรื่องนี้สินะ...โหดไปนะ นี่ถ้ากูยัง” ข้าวยำรีบงับริมฝีปากปิด กลืนถ้อยคำที่เหลือลงคออย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ผมมองอย่างสงสัยกึ่งเสียดาย

จะว่าพอเดาถ้อยคำที่เหลือออกก็ใช่ แต่ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อย ดังนั้นจึงพูดกระตุ้นถาม 

“พูดต่อสิ”

“ไม่!”

“ถ้าให้กูเดา คงเป็น...ยังรัก ใช่หรือเปล่า หมายความว่าตอนนี้มึงไม่รู้สึกอะไรกับแฟนเก่าแล้วล่ะสิ”

“เดามั่ว!”

“หึ” ผมหัวเราะในลำคอมองคนที่รีบร้อนพูดออกมาเมื่อครู่อย่างรู้ทัน แล้วถามต่อ “มึงยังไม่ได้ตอบคำถาม”

“คำถามอะไร?”

แมวเถื่อนเฉไฉให้ผมหรี่ตามอง ด้วยความหมั่นเขี้ยวจึงเลือกข้ามไปพูดเรื่องอื่นอย่างหน้าด้านๆ ซะเลย

“หมดเรื่องค้างคาใจแล้วก็มาเป็นแฟนของกูซะที”

ผมไม่เคยคิดว่าแมวเถื่อนจะหน้าบาง แต่คราวนี้แมวของผมหน้าแดงแจ๋ ทั้งยังตะโกนใส่หน้าอีกว่า

“มึงมันหน้าไม่อาย!”

จากนั้นก็สะบัดตูดหนีไปเรียกเพื่อนสองคนให้เตรียมตัวกลับ ผมมองตามหลังข้าวยำด้วยความเอ็นดูกึ่งขบขัน ทั้งที่ในใจอยากบอกไปจริงๆ ว่า ถ้าไม่อยากเป็นแฟน แต่ข้ามขั้นเป็นเมียเลย ผมก็ไม่ว่าหรอกนะ

############

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
แมวเถื่อนกับปลอกคอ 3 : สัญญาณ


เนื่องจากพาร์กับทีบอกว่าต้องไปรอรับรถคืนจากเพื่อน ผมเลยไปขับรถไปส่งสองคนนี้ลงระหว่างทางก่อน แล้วค่อยพาแมวเถื่อนไปหาอะไรกินหลังจากนั้น แต่เพียงแขกร่วมทางสองคนจากไป บรรยายการกลับเงียบลงทันควัน หลงเหลือแค่เสียงเพลงจากวิทยุคลอเบาๆ ช่วยไม่ให้ภายในรถเงียบเกินไปเท่านั้น

ผมรู้สึกเหมือนเรากำลังเล่นเกม ‘ใครพูดก่อนเป็นฝ่ายแพ้’ ไม่มีผิด หลังทนเงียบอยู่ได้ห้านาที ผมก็ยอมยกธงขาวประกาศยอมแพ้ด้วยการชวนคุยก่อน

“พรุ่งนี้ว่างไหม?”

“ไม่!”

ได้ยินแล้วผมก็นึกอยากถอนหายใจออกมา…ปฏิเสธเหมือนเมื่อก่อนเลย

“พรุ่งนี้กูต้องไปคุยเรื่องเที่ยวเกาะกับพวกเพื่อนๆ”

คำอธิบายตามมาอย่างคาดไม่ถึง หากเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีหรอก และที่เกิดคาดอีกอย่างคือข้าวยำพูดอธิบายต่ออย่างละเอียดเหมือนกลัวผมไม่เข้าใจ

“จากนั้นคงยุ่งกับการเตรียมของไปเที่ยวต่อ ถึงวันเดินทางก็ไปเลย จะกลับวันไหนยังไม่รู้ กูคิดว่าคงสักอาทิตย์มั้ง มึงคิดชวนกูไปไหนเหรอ?”

มีถามกลับอีกต่างหาก!

ช่างเป็นความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ นี่ทำหัวใจในอกฟู่ฟ่องขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ริมฝีปากไม่รักดีก็อยากจะยิ้มออกมาเหลือเกิน เพื่อไม่ให้หลุดยิ้มเหมือนคนโง่ออกมาจึงแสร้งกระแอมไอ แล้วค่อยตอบคำถาม

“ไปเที่ยวด้วยได้ไหม?”

คนถูกถามเงียบไปนาน นานจนอารมณ์ฟู่ฟ่องก่อนหน้านี้คล้ายถูกเจาะแตกแล้วปล่อยฟีบหดลงอย่างรวดเร็ว แม้จะรู้สึกผิดหวัง แต่เสี้ยวหนึ่งในใจก็ยังแอบหวังหน่อยๆ แต่รอแล้วรอเล่า แมวเถื่อนกลับไม่พูดตอบสักที ผมก็ได้แต่ทำใจยอมรับความผิดหวัง

ถ้าคิดในแง่ดีหน่อย ผมว่าเงียบแบบนี้ดีกว่าบอกปัดกันตรงๆ เหมือนเมื่อก่อนอีกนะ ไม่งั้นคนได้ยินอย่างผมอาจช้ำใจเอาได้ง่ายๆ

พวกผมไม่ได้พูดอะไรกันอีก กระทั่งไปถึงร้านหมูกระทะ ข้าวยำก็เดินแยกไปเลือกของกิน ทิ้งผมเฝ้าโต๊ะ พอได้ของกินมาก็ตั้งหน้าตั้งตาปิ้งกินเอาๆ ราวกับคนหิวโซ ไม่เปิดช่องให้ปากว่างเพื่อคุยกันเลย ฝ่ายผมได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ ยอมปล่อยตามน้ำด้วยการขยับมือช่วยปิ้งเนื้อส่งให้แทน

ผมคิดว่าแมวเถื่อนผู้มีอาหารเต็มพุงจะแสร้งทำเป็นหลับทันทีที่ขึ้นรถ ความจริงกลับไม่ใช่ เพราะหลังออกรถไม่นาน ฝ่ายนั้นกลับเปิดปากพูดขึ้นมาก่อนดื้อๆ

“ไม่ใช่มึงเคยบอกว่าจะไปช่วยงานพี่ชายในช่วงปิดเทอม?”

“ใช่” ผมรับคำทั้งที่ไม่เข้าใจว่าแมวเถื่อนอยากสื่อถึงอะไรกันแน่

“...แบบนี้มึงจะมีเวลาพากูไปเที่ยวเหรอ?”

อ้อ สงสัยเรื่องนี้เองเรอะ

“นั่นสินะ งั้นขอไปเที่ยวกับมึงด้วยคนล่ะกัน ได้ไหม?”

“แต่พวกกูใม่รู้จะกลับกันเมื่อไหร่นะ”

“ไม่เป็นไร ถ้าไปกันนาน กูอาจกลับมาคนเดียวก่อน ส่วนมึงก็อยู่เที่ยวเล่นกับเพื่อนไป”

แมวเถื่อนเงียบอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่นานเท่าไหร่ก็พูดออกมาเหมือนบ่นให้ฟังมากกว่าชวนคุย

“ที่จริง ปิดเทอมนี้กูอยากไปอยู่กับพี่ชาย แต่ติดว่าพี่ชายกับแฟนไม่ค่อยได้เจอกัน เลยไม่อยากไปขัดจังหวะเท่าไหร่ บวกกับมีเรื่องเที่ยวกับเพื่อนเข้ามาเลยยกมาเป็นข้ออ้างบังหน้าได้ ถ้ากูไม่ทำแบบนี้พี่ปุ้นคงมาหิ้วตัวกูไปอยู่ด้วยทันทีที่กูสอบเสร็จแน่นอน”

เพียงแค่ได้ยินประโยคไม่ถูกหู ริมฝีปากก็เผลอกระตุก ผมตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องด้วยการถามถึงอดีต

“เมื่อก่อนมึงอยู่กับพี่ชาย กับกังหัน สามคนมาตลอด?”

ข้าวยำเงียบไปพักใหญ่ กว่าจะเปิดปากพูดเนิบช้า

“มึงเคยบอกว่ากูเหมือนแมวใช่ไหม งั้นหลังจากหนีออกจากบ้าน กูคงคล้ายแมวจรจัด หิ้วเป้ใบใหญ่ย้ายไปค้างบ้านเพื่อนคนนั้นคนนี้สลับหมุนเวียนกันไปเรื่อย บ้างที่อยู่ได้นานหน่อย บ้างทีอยู่ได้แค่แปบเดียว แต่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนกูไม่เคยสบายใจเลย กระทั่งพี่ปุ้นขอพ่อย้ายออกมาอยู่คอนโดได้ กูดีใจมาก คิดว่าคงมีที่อยู่ถาวรแล้ว แต่...”

คนเล่าถอนหายใจออกมา

”เจอเขาอยู่กับแฟนทีไร กูเกรงใจมากทุกที สุดท้ายก็กลับมาเร่ร่อนเหมือนเดิมยังสบายใจกว่าอีก กระทั่งได้มาอยู่หอของมหา’ลัยก็คิดว่าคราวนี้คงได้อยู่ไปยาวๆ จนเขาไล่เมื่อไหร่ค่อยหาที่อยู่ใหม่ แต่นึกไม่ถึงว่ากลับถูกมึงพาตัวออกมาแบบนั้น”

ภายในรถเกิดความเงียบขึ้นมาทันที ผ่านไปครู่ใหญ่ผมถึงอ้าปากถาม

“ตอนนี้มึงรู้สึกเสียใจไหม?”

“เรื่องอะไร?”

“ได้ออกมาอยู่กับกูนี่ไง”

“...คิดว่าไม่ได้เสียใจ”

“งั้นในใจมึงรู้สึกยังไง?”

“คง...เหมือนกลับมาเป็นแมวจรจัดอีกครั้งมั้ง”

ผมขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ “มึงโดนกูเก็บมาเลี้ยงแล้วจะกลับไปจรจัดอีกได้ยังไง!”

คนฟังกลับหัวเราะได้เหือดแห้งมาก

“เอางี้ คิดซะว่าแชร์บ้านกันอยู่เป็นไง ถือเป็นเจ้าของร่วมกันคนละครึ่งแบบนี้มึงน่าจะสบายใจกว่า”

“...ห้องนั่นเช่าเขามาไม่ใช่หรือไง”

“อย่าเรื่องมากน่า ตอนนี้กูมีปัญญาหาให้มึงได้แค่นี้แหละ”

ข้าวยำเงียบไปอีกแล้ว ผ่านไปเกือบนาทีถึงพูดออกมา

“หมายความว่าอนาคตมึงจะหาบ้านให้กูอีกหรือไง?”

“ไม่ แต่เราจะไปหาด้วยกัน ดีไหม?”

เมื่อไม่มีคำตอบกลับมา ผมจึงพูดต่อ

“เพราะงั้นจากนี้ไปมึงไม่ต้องทำตัวเป็นแมวจรจัดหรอก มาอยู่ถาวรกับกูนี่แหละ แค่มึงคนเดียวกูดูแลได้แน่”

พูดไปตั้งยาวกลับยังไม่มีคำตอบกลับมาสักคำ พอได้จังหวะรถติดไฟแดง ผมจึงหันไปมองคนข้างๆ ทันเห็นข้าวยำยกหลังมือปาดคราบน้ำตาออกจากใบหน้า ก็ได้แต่อุทานออกมาอย่างตกใจ

“มึงร้องไห้!”

“ใครร้อง!”

ปฏิเสธทั้งที่เสียงเครือแบบนี้ใครยอมเชื่อก็บ้าแล้ว!

ผมมองอย่างทำอะไรไม่ถูก ถ้าใช้คำพูดปลอบเดี๋ยวจะกลายเป็นศึกโต้เถียงกันซะเปล่าๆ เลยปลดสายเข็มขัดนิรภัยทั้งของตัวเองและข้าวยำ แล้วคว้าตัวมากอดปลอบเงียบๆ

ฝ่ายคนถูกกอดกลับพยายามดันตัวหนี แต่เพียงครู่เดียวกลับยื่นมือมากอดตอบ แล้วซุกหน้านิ่งเงียบอยู่แบบนั้น มีเพียงแถวหัวไหล่ของผมที่รู้สึกถึงความเปียกชื้นซึมผ่านเสื้อลงมาให้รู้ว่าใครบางคนกำลังปล่อยน้ำตาร่วงหล่นอีกรอบ

ปี๊น!!

พวกผมสะดุ้งโหยง รีบผละออกจากกันอย่างลนลาน เพิ่งรู้ตัวตอนนี้เองว่าสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว ทั้งที่ตามความรู้สึกเหมือนเพิ่งกอดกันแปบเดียวเอง

ผมรีบหันกลับมาจับพวงมาลัยขับรถออกมาก่อนจะถูกบีบแตรไล่เป็นครั้งที่สอง พ้นสี่แยกมาได้เพิ่งได้ว่ายังไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย จึงพยายามจับสายคาดเข้าตัวล็อก แต่ทำไม่ถนัด รู้ตัวอีกทีก็มีคนมาช่วยทำแทนให้

“ข...ขอบใจ”

“อืม”

หลังจากนั้นภายในรถกลับมาเงียบอีกครั้ง เป็นความเงียบที่แฝงความกระอักกระอวนกึ่งขัดเขินแปลกๆ

...มันก็ไม่ได้แย่หรอก แค่ทำให้มองหน้าใครอีกคนได้ลำบากกว่าเดิมเท่านั้นเอง 

-------------

กลางดึกในวันเดียวกัน ผมนั่งหัวพิงเตียงจ้องมองคนหลับสนิทเงียบๆ 

คืนนี้ผมนอนไม่หลับ เพราะมีเรื่องเมื่อให้ต้องครุ่นคิด ต่างจากข้าวยำที่หลับลึกมาก มากชนิดที่ว่าผมขยับตัวยุกยิกมาค่อนคืน แมวเถื่อนกลับไม่รู้สึกตัวตื่นตาม…บางทีคงเพราะก่อนนอน คนหลับได้ระบายแบบเปิดอกจนหมดเปลือกเลยสบายใจถึงขั้นหลับลึกแบบนี้ล่ะมั้ง

นึกถึงคำพูดมากมายที่ข้าวยำพูดออกมายิ่งทำให้ผมอยากถอนหายใจยาวๆ

‘กูคิดดูแล้วนะ ที่คบเด็นเป็นแฟน บางทีกูคงต้องการคนเข้าใจล่ะมั้ง’

‘เขาหนีออกจากบ้านมาเหมือนกัน มีปัญหาในครอบครัวคล้ายๆ กัน เพียงแต่ของกูน่ะโดนตัดหางปล่อยวัดไปแล้ว แต่เด็นยังเป็นความหวังของครอบครัวอยู่ มีทางบ้านส่งเงินทองมาให้ใช้ แค่ต้องแลกกลับการโดนกดดันให้เดินไปตามทางที่ครอบครัวอยากให้เป็น ซึ่งเด็นไม่ต้องการ’ 

‘กูน่ะ...แอบอิจฉานะ อย่างน้อยก็ยังได้มีตัวตนอยู่ในสายตาของพ่อแม่ แบบนั้นไม่ดีตรงไหน กูไม่คิดจะเข้าใจ’

‘แต่ที่คาดไม่ถึงมากสุดคงเป็นมึงมั้ง กูไม่คิดว่ามึงจะมาชอบคนอย่างกูได้ แล้วยังเสนอ...ให้กูได้มีบ้านอีก มันเหลือเชื่อจนกูนึกอยู่ว่ากำลังฝันไปหรือเปล่า ถ้าตื่นมาแล้วเรื่องนี้จะหายไปใช่ไหม’

‘ภู มึงต้องการกูจริงๆ ใช่หรือเปล่า...ถ้ามึงไม่มั่นใจอย่าให้ความหวังกูนะ เกิดกูโดนทิ้งอีกครั้งขึ้นมา กูคงทนแบกรับความจริงไม่ไหว ปล่อยให้มัน...เป็นแค่ฝันตื่นหนึ่งของกูคนเดียวก็พอ’

พูดถึงตรงนี้ก็ชิงหลับไปก่อน ทิ้งความว้าวุ่นใจให้คนฟังอย่างไร้ความปรานี

“แล้วคืนนี้กูจะหลับลงได้ยังไงฮึ!”

ผมจิ้มแก้มข้าวยำ แล้วพูดต่อ

“มึงเนี่ยนะ คิดว่าเจอเรื่องแย่ๆ อยู่คนเดียวหรือไง เทียบกันแล้วเต้ยังย่ำแย่กว่ามึงอีกมั้ง รายนั้นนะพี่น้องก็ไม่มี ญาติก็ไม่มี ตัวคนเดียวล้วนๆ แต่จิตใจเข้มแข็งมาก พี่รหัสของมึงยืดหยันได้ด้วยตัวเองเชียวนะ น่านับถือสุดๆ จุดที่น่าห่วงคือสภาพร่างกายที่เจ้าของไม่ค่อยดูแลเท่าไหร่ เพื่อนๆ ถึงได้คอยเป็นห่วง กลัวมันจะล้มป่วยเข้าสักวัน”

คนที่ผมพูดด้วยไม่รู้ว่ารำคาญเสียงรบกวนหรืออะไร ถึงได้พลิกตัวนอนตะแคง ตะแคงได้ท่าที่ต้องการก็นิ่งไป ผมจ้องดูว่าแมวเถื่อนแกล้งหลับหรือเปล่าครู่หนึ่ง ปรากฏว่าหลับจริง หลับแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยได้น่าโมโหมาก

“ที่กูฟังมึงเงียบๆ ไม่ใช่พูดอะไรไม่ออก แต่อยากปล่อยมึงได้ระบายออกมาให้หมดก่อนต่างหาก แล้วนี่อะไร ไหงชิงหลับไปก่อนดื้อๆ แบบนี้วะ”

ยิ่งมองคนหลับสบายก็ยิ่งโมโห รู้เลยว่าพรุ่งนี้เช้าคงต้องเอาคำพูดพวกนี้มาพูดซ้ำอีกรอบ แต่ถ้าไม่พูดระบายออกมาตอนนี้บ้าง ผมคงอึดอัดคับข้องใจจนตาสว่างทั้งคืนแน่!

“ขอบอกตามตรง กูไม่ได้รักแมวอย่างพี่วี แต่กูเคยใจอ่อนเก็บลูกแมวจรจัดตัวหนึ่งเข้าบ้าน และต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูเอง เจ้าแมวนั่นน่ะน่าสงสารกว่ามึงอีก เลี้ยงก็ยาก กูต้องตื่นมาป้อนนมให้มันกินเป็นระยะๆ ช่วงนั้นกูแทบไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ แต่พอมันรอดตายมาได้ กูกลับดีใจมาก”

ผมขยับตัวเข้าใกล้ข้าวยำ ยกมือขึ้นมาวางแปะบนเส้นผมนุ่ม แล้วลูบเบาๆ

“กูน่ะ เป็นพวกตัดสินใจทำอะไรสักอย่างแล้วไม่มีทางทิ้งไปกลางคันหรอกนะ มึงสบายใจได้”

มองหน้าคนหลับอยู่สักพักก็อดโน้มหน้าเข้าใกล้ลอบประทับจูบตรงขมับแทนคำสัญญาอย่างอ่อนหวานครู่หนึ่ง ค่อยละริมฝีปากไปประทับที่แก้มอย่างเอ็นดูบ้าง

“ดังนั้นมาอยู่กูนี่แหละ ไม่จำเป็นต้องไปเร่ร่อนที่ไหนอีกแล้ว”

วันต่อมาข้าวยำรับฟังคำพูดของผมเงียบๆ แล้วไม่พูดอะไรอีกเลย กระทั่งถึงเวลาไปหาเพื่อนตามนัดหมายก็คว้าแค่โทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าตังค์ติดตัวไป ทำให้พอรู้ว่าแมวเถื่อนคงคิดกลับมานอนที่นี่ แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว แต่ดันมีดาเมจส่งท้ายจากคนเปิดประตูค้างไว้ครึ่งหนึ่ง

“...จะกลับมากินข้าวเย็นด้วยนะ”

ข้าวยำหันมาพูดด้วยน้ำเสียงเจือความไม่มั่งคงกึ่งขัดเขินหน่อยๆ พูดจบก็รีบหนีออกไปทันที ทิ้งบานประตูห้องกระแทกปิดเองจนสะเทือนผนังห้องยันห้องในหัวใจ

ผมยกมือขึ้นลูบหน้าให้หายร้อนผ่าว พลางแอบคิดอย่างคาดหวัง

แบบนี้ถือเป็นคำตอบรับ ‘อยู่ด้วยกัน’ ได้ไหมนะ?

-------------

ตั้งแต่เปิดใจคุยกันตรงๆ ผมรู้สึกว่าเรื่องของเราเริ่มส่งสัญญาณคลี่คลายไปในทางที่ดีมากขึ้น

ต่อให้ไม่ได้รับคำยืนยันจากปากชัดๆ แต่การกระทำของเรากลับบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ได้ชัดเจนดีกว่าคำพูดซะอีก

ผมเท้าคางกับรั้วกั้นกันตกทะเล มองแมวเถื่อนอยู่บนเรือขนาดกลางที่กำลังจอดเทียบท่ากับเพื่อนๆ ของเขา ได้เห็นสีหน้าร่าเริงมีความสุขนั่นแล้วก็อดยิ้มตามออกมาไม่ได้จริงๆ

แมวเถื่อนมีความสุข คนมองอย่างผมยิ่งมีความสุข ทั้งยังรู้สึกตัดสินใจถูกแล้วที่ตามข้าวยำมาที่นี่

วูบต่อมาภาพพี่วีนั่งกำปากกากัดฟันกรอดๆ หลังรู้ข่าวน้องชายหนีเที่ยวผุดขึ้นมาในหัวทันที

...ป่านนี้คงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ล่ะมั้ง

เพียงแค่คิดเสียงถอนหายใจก็ตามมาทันที รับรู้ดีว่ากลับไปเมื่อไหร่คงโดนผู้เป็นพี่โยนความโกรธใส่แน่นอน เพียงแต่ยังเดาไม่ออกว่าจะออกมาในรูปแบบไหน

“ภู! ภู! ลงมาได้แล้วจะไปกันแล้วนะ!!”

ผมโบกมือเป็นสัญญาณให้คนตะโกนเรียกกันเสียงดังลั่นรับรู้ แล้วรีบเดินลงบันไดหินไปที่ท่าเทียบเรือ ลงเรือได้ไม่ทัน ลำเรือสีขาวก็ผละออกจากท่าช้าๆ มุ่งหน้าสู่ท้องทะเลที่ระยิบระยับเปล่งประกายด้วยแสงแดดยามสี่โมงเย็น

“เห็นเขาว่าก่อนถึงเกาะ จะได้ดูพระอาทิตย์ตกกลางทะเลด้วย”

ฟังน้ำเสียงตื่นเต้นจากแมวเถื่อน ผมก็ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“อยากให้กูทำเรื่องโรแมนติกยามนั้นก็บอกมาตรงๆ”

คนฟังยิ้มค้างไปแล้ว พอตั้งสติได้ก็เริ่มแยกเขี้ยวใส่กัน

“ถ้ามึงกล้าทำให้กูอายต่อหน้าเพื่อนล่ะก็…”

แมวเถื่อนยกนิ้วปากคอตัวเองสื่อชัดว่ามึงตายแน่ แล้วสะบัดตูดหนีหายไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง ปล่อยให้ผมหัวเราะเบาๆ อยู่คนเดียว ไม่สิ ไม่ใช่คนเดียว เพราะข้างๆ มีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองมาอยู่

“ไม่ไปคุยกับพวกเพื่อนๆ หรือไง”

ผมหันไปถามพาร์ที่แยกจากวงเพื่อนคนอื่นมายืนรับลมทะเลอยู่ใกล้ๆ

“ผมเหมือนพี่นั่นแหละ” พาร์พูดยิ้มๆ “ไม่ใช่ส่วนหนึ่งในกลุ่มนั้นตั้งแต่แรก แถมอีกไม่นานต้องแบ่งเป็นสองทีมอีก”

ผมพูดต่อประโยคทันที “เลยอยากปล่อยให้ทีกับยำได้อยู่กับเพื่อนก่อนล่ะสิ”

พาร์เพียงแค่หัวเราะครู่หนึ่ง ก่อนเปลี่ยนเรื่องพูดกะทันหัน “ดูเหมือนพี่จะจีบน้องเล็กของกลุ่มติดแล้ว”

“พูดเหมือนอิจฉา”

“ถ้าผมบอกว่าอิจฉามาก พี่จะเชื่อไหม?”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย “นึกว่าเป็นแฟนกันแล้วซะอีก”

พาร์ไม่ตอบ ทำเพียงส่งสายตามองตรงไปที่คนๆ หนึ่ง ผมเหลือบมองตามแวบหนึ่ง แล้วหันมามองพาร์อีกครั้ง

...ระหว่างสองคนนี้ผมไม่รู้เลยว่าจะสงสารฝ่ายไหนก่อนดี ระหว่างคนหนึ่งคงได้แฟนโคตรดุ อนาคตถ้าทำผิดอะไรมาคงเสี่ยงสูญพันธุ์ กับอีกคนกำลังตกเป็นเหยื่อแท้ๆ แต่กลับไม่รู้เลยว่ามีภัยซ่อนเร้นใกล้ตัวกำลังจับจ้องด้วยแววตาอยากกลืนลงท้องจะแย่อยู่แล้ว

“ผมน่ะ” พาร์ขยับริมฝีปากทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากเหยื่อ “กำลังรอใครบางคนอนุมัติอยู่ครับ”

ถ้อยคำฟังดูสุภาพมากแท้ๆ แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงอารมณ์อดทนอดกลั้นของคนพูดไม่น้อย แต่ก่อนที่ผมจะทันได้พูดตอบออกมา ฝ่ายคนถูกมองคงรู้สึกตัวถึงได้หันหน้ามามองทางนี้ พริบตานั้นแววตาของพาร์ก็พลิกกลับด้านกะทันหัน หลงเหลือเพียงความอบอุ่น ชื่นชอบ และเอ็นดู

...มิน่า ผู้ตกเป็นเหยื่อถึงได้ไม่รู้ตัวเลย 

มองไปทางข้าวยำที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุขกับผองเพื่อน ก็อดถอนหายใจในความโชคดีของตัวเองไม่ได้ เพราะถ้าอดีตแฟนของแมวเถื่อนเป็นคนแบบพาร์ล่ะก็ ผมคงไม่มีทางได้แมวตัวอุ่นๆ มีครบทุกชิ้นส่วนแบบนี้มาครองแน่นอน

------------------------------------------------------

ขออภัยด้วยค่ะที่เดือนที่แล้วคนเขียนหายเงียบ (โค้งๆ)
เรามีปัญหากับช่วงท้ายของเรื่องน่ะ เกิดสับสนลังเลในประเด็นที่เพิ่มเข้ามาและต้องเคลียร์ให้กระจ่าง หลงทางอยู่สักพักค่อยพบว่าแผนเดิมที่วางไว้ตั้งแต่ต้นดีอยู่แล้ว
สำหรับเรา เขียนนิยายช่วงปิดท้าย ยากกว่าเขียนในช่วงต้นอีกค่ะ (ยิ้มแห้ง)

มาถึงเรื่องกิจกรรมครั้งที่1
ยังเปิดให้ร่วมสนุกอยู่นะ ใครสนใจไปร่วมสนุกกันได้เลยค่ะ
----  สนใจร่วมสนุกคลิกที่นี่ ----
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-09-2018 16:10:50 โดย KatzeP »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คิดถึงแมวเถื่อน......ภู........  :mew1: :mew1: :mew1:
พาร์ ที   :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ภู  ข้าวยำ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ขอบคุณค่าา

 :L1: :pig4:

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
แมวเถื่อนกับปลอกคอ 4 : เพราะมีอดีต ถึงมีวันนี้


ผมขอบอกเลยว่ามาเที่ยวกับแก๊งของแมวเถื่อนนั้นโคตรจะลำบาก

เริ่มต้นมาก็ถูกพาปล่อยเกาะในช่วงใกล้ค่ำ ต้องรีบขนของที่โดนโยนลงทะเลขึ้นเกาะ ไหนต้องรีบกางเต็นท์นอนท่ามกลางแสงน้อยนิดอีก แล้วแทนที่จะได้พักผ่อนสมใจยาวๆ กลับต้องตื่นก่อนเวลา เพียงเพราะถูกแมวเถื่อนตัวโตนอนพาดทับทั้งตัวในขณะที่ผมนอนคว่ำ หน้านี่แทบบี้ไปกับพื้นเต็นท์อยู่แล้ว 

“ยำ” ผมเค้นเสียงเรียกเจ้าของน้ำหนักที่กดทับกันจนหายใจไม่ค่อยออก

คร่อก~

“ข้าวยำ!”

คนถูกเรียกไม่มีท่าทีจะตื่น ผมเลยหยุดปลุกเสียงเข้ม แล้วพยายามหาทางเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์นี้เอาเอง ตะเกียดตะกายจนสลัดคนบนหลังออกไปได้ก็รีบพลิกตัวนอนหงาย หอบอากาศหายใจเข้าปอดทางปากไม่มีหยุด ชดเชยการขาดอากาศหายใจเมื่อครู่ได้เพียงพอแล้วนั่นแหละถึงได้เปลี่ยนกลับมาใช้จมูกหายใจต่อ

ประสบการณ์ที่ประสบพบเจอหมาดๆ ทำให้ผมเรียนรู้ว่าไม่ควรเข้ามานอนในที่แคบๆ กับคนนอนดิ้นอย่างหนัก ยกเว้นว่า...จะกอดเอาไว้แน่นๆ ไม่ให้ดิ้นหนีไปไหนได้

เหลือบมองคนหลับอุตุอย่างหมายมาดว่าคืนนี้จะกอดเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหนถึงเช้าแน่

ซ่า...ซ่า

ผมได้ยินเสียงคลื่นซัดเข้าชายฝั่งชัดเจนสมกับที่ได้มากางเต็นท์นอนริมหาด ฟังอยู่สักพักก็นึกอยากออกไปเดินเล่นแถวชายหาดรับบรรยากาศสักหน่อย ส่วนแมวเถื่อนน่ะเหรอ...ปล่อยให้นอนยึดครองพื้นที่ในเต็นท์ให้เต็มที่ดีกว่า

พอออกมาแล้วก็ยืดตัวบิดขี้เกียจ สูดกลิ่นไอทะเลให้เต็มปอด แล้วยืนหลับตารับลมทะเลอยู่เงียบๆ พักหนึ่ง อากาศด้านนอกดีอย่างที่คาดไว้จริงๆ พอลืมตาขึ้นมาอีกทีท้องฟ้าที่เมื่อครู่ยังดูสลัวๆ ก็เริ่มมีแสงสีส้มทองสาดส่องขับไล่ความมืดบ้างแล้ว

ผมไม่คิดเลยว่าจะมีวันตื่นทันเห็นดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากพื้นน้ำทะเลกับตา...เอ๊ะ

สายตาสะดุดหยุดที่คนคู่หนึ่ง ดูจากที่พวกเขานั่งคุยกันบนพื้นทรายเหนือยอดคลื่นซัดเขาชายฝั่งเล็กน้อย คงจะตื่นกันนานแล้วมั้ง อดนึกประหลาดใจไม่ได้ เพราะไม่คิดว่าจะมีใครตื่นเช้ากว่า สงสัยจะตื่นมารอดูพระอาทิตย์ขึ้น...เฮ้ย!

แทนที่ทั้งคู่จะสนใจพระอาทิตย์ดวงกลมๆ สีออกแดงๆ พวกเขากลับโผล่กอดกันเองซะคนดูอย่างผมสะดุ้งเฮือก สองขารีบพาตัวเองไปหลบซ่อนตัวอยู่ด้านข้างเต็นท์ แล้วชะโงกแค่หน้าออกมาดูบุคคลที่มาพลอดรักกันอย่างอึ้งๆ

อะไรวะ ไหนบอกว่ายังไม่ใช่แฟนไง แล้วไอ้ที่ผมเห็นนี่คืออะไร!

กอดแบบเพื่อนเรอะ! ใครเชื่อก็บ้าไปแล้ว!

ผมคิดล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายเห็บภาพไปให้แมวเถื่อนดู ข้าวยำต้องตื่นเต้นแน่ๆ แต่พอล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงกลับพบความว่างเปล่า จึงนึกได้ว่าโทรศัพท์คงนอนแหมะอยู่ในเต็นท์เป็นเพื่อนแมวเถื่อน

ชิ อดเก็บหลักฐานแบบนี้ แมวเถื่อนจะเชื่อที่ผมเล่าไหมเนี่ย

ระหว่างกำลังนึกอยู่ คู่นั้นกลับแสดงกิริยาที่ทำผมตื่นตัวมากขึ้นจนเผลออุทานออกมารัวๆ ในใจ   

เฮ้ยๆๆๆ ตรงนั้นมันกลางแจ้งนะโว้ย เป็นที่สาธารณะ จะทำอะไรกันก็เก็บไปทำในเต็นท์สิวะ!

ผมรีบเบือนหน้าหนีอย่างทนมองต่อไม่ไหว มองไปทางซ้ายเจอชายหาดว่างโล่งไร้ผู้คน ย้ายสายตาไปทางขวาบ้าง รอบๆ ชายหาดไม่มีใครเลย

...ดูแล้วคงเป็นตัวผมเองนี่แหละที่ดันอยู่ผิดที่ผิดเวลา

คิดได้อย่างนั้นจึงค่อยๆ ย่องออกมาจากหลบซ่อนตัว แล้วมุดกลับเข้าเต็นท์ของตัวเองอย่างเงียบเชียบที่สุด

-------------

“...จริงดิ!”

คนเพิ่งตื่นเต็มตากะทันหันอุทานออกมา ผมรีบยกนิ้วทำสัญญาณให้ลดเสียงลงเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวสองคนที่กำลังเตรียมอาหารเช้าอยู่ข้างนอกจะได้ยินเข้า ความได้แตกหมดว่าผมไปแอบดูเขาพลอดรักมาแบบไม่ตั้งใจ 

“ทำไมมึงไม่ปลุกกูไปดูด้วยเล่า”

ข้าวยำกระซิบกลับมาเสียงเข้ม ผมเผลอส่งเสียงห้วนออกไปอย่างไม่พอใจ

“จะไปดูอะไร!”

อย่าหวังผมจะยอมปล่อยแมวเถื่อนไปเห็นภาพพาร์ดึงชายเสื้อขึ้นสูงจนเห็นกล้ามท้อง กับมีทีโน้มหน้าลงต่ำใกล้จนเกือบชิดผิวแบบนั้นเลย! ส่วนภาพหลังจากนั้นขนาดผมยังไม่กล้าดู แล้วแมวเถื่อนจะยอมเป็นตากุ้งยิงดูต่อหรือไง!

“ไปดูคู่นั้นแสดงความรักต่อกันไงเล่า ถ้าไปจับได้คาหนังคาเขา ทีจะได้ยอมรับว่าเป็นแฟนกันสักที”

ได้ยินเหตุผลจากแมวเถื่อน ใจผมก็เริ่มอ่อนลงกึ่งปลงตกนิดๆ และแอบคิดว่าจิตใจตัวเองคงสกปรกกว่า

ช่วยไม่ได้ไปเห็นภาพเกือบเข้าเรตอาร์แบบนั้น ไม่ให้นึกภาพไปก่อนล่วงหน้าก็ไม่ใช่ผมแล้ว เพื่อให้แมวเถื่อนยังคงมีความคิดบริสุทธิ์ผ่องใสต่อไป ผมควรเปลี่ยนเรื่องพูดดีกว่า   

“อย่างกับกูปลุกแล้วมึงจะยอมตื่น”

ขนาดผมสะบัดมันลงจากตัว มันยังนอนต่อได้อย่างไม่สนใจอะไรเลย นี่ถ้าไม่งัดเรื่องน่าสนใจที่สุดออกมาพูดให้ฟัง ป่านนี้ข้าวยำคงได้ล้มตัวนอนต่อไปแล้ว

ฝ่ายแมวเถื่อนคงพอรู้ตัวอยู่เหมือนกัน ถึงได้ปิดปากเงียบไม่มีเถียงกลับมาอีก ผมจึงได้โอกาสทำหน้าที่ของตัวเองสักที “ไปล้างหน้าแปรงฟันได้แล้ว คนอื่นในทีมรอมึงอยู่คนเดียวแล้วเนี่ย”

ข้าวยำตอบรับคำพูดของผมด้วยการคว้าข้าวของที่ผมเตรียมให้ออกไปจัดการตัวเองทันที

-------------

จากจำนวนคนทั้งหมดแปดคน จึงแบ่งทีมออกมาสอง ทีมละสี่คน ฝ่ายตรงข้ามมีเทมเป็นหัวหน้าทีม ส่วนฝ่ายของผมนั้นกำลังซาวน์เสียงกันอยู่ และสรุปให้ทีเป็นหัวหน้าทีม...

ผมอดมองผ้ายืดที่พันข้อเท้าของทีไม่ได้ เห็นมาตั้งแต่เมื่อวานก่อนลงเรืออีก แต่เห็นยังช่วยพวกผมขนของ กางเต็นท์ได้เลยไม่ได้พูดอะไร คิดว่าคงไม่ได้เจ็บอะไรมาก แต่จากสายตาที่ดูกังวลออกนอกหน้าของพาร์ มันทำให้ผมไม่ค่อยมั่นใจความคิดตัวเองเท่าไหร่

ดังนั้นตอนพาร์เสนอให้หัวหน้าทีมเฝ้าเต็นท์ ปล่อยให้ลูกทีมสามคนออกไปสำรวจพื้นที่กับค้นหาของที่ซ่อนอยู่ตามที่ต่างๆ ภายในเกาะ ผมเลยไม่ได้คัดค้านอะไร มีข้าวยำเห็นชอบด้วยอีกหนึ่งเสียง มติสามต่อหนึ่ง คนไม่เห็นด้วยอย่างทีเลยถอนหายใจ บอกแค่ว่า

“ถ้าเจอที่กางเต็นท์ใหม่ก็มาบอกด้วยจะได้ช่วยกันขนย้ายของ” 

ผมกับพาร์ถือเป็นมือใหม่สำหรับเล่มเกมอะไรพวกนี้ ข้าวยำเลยช่วยชี้แนะให้ฟังจนพอรู้เรื่องราวกับเขาบ้าง

สถานที่กางเต็นท์ใหม่ก็ได้ยำเลือกทำเล มันอยู่ถัดเข้ามาจากชายหาดหน่อย มีร่มไม้คอยบัดแดดอยู่บ้าง และมีเสียงน้ำไหลให้ได้ยินด้วย แสดงว่าแหล่งน้ำคงอยู่ไม่ไกล พาร์เดินไปสำรวจต้นเสียงน้ำมา เห็นว่าเป็นน้ำตกหรือไงเนี่ยแหละ

พวกเราสี่คนใช้เวลาขนย้ายของกับกางเต็นท์ใหม่เกือบสามชั่วโมง เสร็จแล้วลูกทีมทั้งสามถึงออกสำรวจหาของในพื้นที่รอบๆ เต็นท์อย่างจริงจัง 

“ที กูเจอนี่ล่ะ!”

ผมเขม็งมองแมวบางตัววิ่งถือของที่หาได้กลับไปหาคนขาเจ็บ เห็นสองคนนั้นชิดใกล้กันจนหน้าผากชนหน้าผากเพื่อมุงดูขวดแก้วเล็กๆ ในมือของข้าวยำ ในใจก็นึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที

“เป็นเกลือใช่มะ ใช่หรือเปล่า?!” ข้าวยำถามอย่างตื่นเต้น

ผิดกับคนมองอย่างผมที่อยากเข้าไปกระชากจับแยกคนทั้งคู่ออกจากกันจะตายอยู่แล้ว! รู้หรอกว่าแค่เพื่อน แต่ไอ้ความใกล้ชิดเกินพอดีนั่นมันขัดหูขัดตาเป็นบ้า!

ผมส่งเสียงเรียกหาผู้น่าจะเป็นแนวร่วมอย่างพาร์ แล้วพยักเพยิบหน้าให้อีกฝ่ายมองภาพน่าหงุดหงิดที่อยู่ไม่ไกล พาร์มองนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันกลับไปค้นหาของต่อด้วยท่าทางไม่สนใจ ทำผมขัดใจไม่น้อย

“ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง” อดถามออกไปไม่ได้

“แบบไหนครับ?”

“น่าหงุดหงิดไง!”

“ไม่นี่ครับ” พาร์ตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชา ทั้งยังให้เหตุผลอีกว่า “ยำยำไม่ใช่แบบที่ทีชอบหรอก ดูจากสายตาของที คงมองยำเป็นแค่เพื่อนกึ่งน้องซะมากกว่า”

อ้อเรอะ แต่คนของผมน่ะ อีกนิดก็จะมองทีด้วยสายตาเทิดทูนอยู่แล้ว!

แล้วดูนั่น พอวิ่งกลับมาหาพวกผมได้ไม่ทันไร ก็ฉกของที่พาร์หาได้วิ่งกลับไปหาทีอีกรอบ ฝ่ายคนถูกแย่งผลงานก็ไม่สนใจ เดินหน้าสำรวจหาของต่อ ปล่อยผมยืนกัดฟันกรอด มองแมวบางตัวกล้าหลงลืมเจ้าของแท้จริง แล้วไปทำตัวกลายพันธุ์ กระดิกหางวิ่งคาบของน่าสนใจกลับไปส่งให้คนที่ไม่ใช่เจ้าของดูถึงที่!

เป็นลูกแมวของกูดีๆ ไม่ชอบ ใช่ไหม ได้ๆ

“พาร์ ถ้าหาเชือกเจอเมื่อไหร่ บอกพี่ด้วยนะ พี่จำเป็นต้องเอามาใช้งาน!”

ผมพูดประชดระบายโทสะ ส่วนคนถูกเรียกเลิกคิ้วเล็กน้อย ทั้งส่งสายตามองมาอย่างรู้ทันกึ่งขบขัน

“แค่เชือกไม่น่าจะเอาไม่อยู่นะครับ ผมแนะนำให้พี่หาของสักอย่างให้ยำยำใส่ติดตัวดีกว่า คนอื่นจะได้รู้ว่าคนนี้มีเจ้าของแล้ว”

คนพูดเสนอ แถมรอยยิ้มดูไม่น่าวางใจออกมาด้วย จนผมอดนึกไม่ได้ว่าตัวคนพูดคงแอบเตรียมของที่ว่าเอาไว้แล้วแน่ๆ เพราะถ้าทีใส่อะไรสักอย่างติดตัวตอนนี้ไม่พ้นหูตาของแมวเถื่อนที่จ้องจับผิดอยู่หรอก

...แต่ความคิดของพาร์กลับน่าสนใจ 

นั่นสินะ กลับไปคงต้องหาอะไรสักอย่างให้ข้าวยำใส่ติดตัวไว้ดีที่สุด!

เวลาผ่านไป ลูกทีมอย่างพวกผมเริ่มขยับขยายออกห่างจากจุดกางเต็นท์มากขึ้นเรื่อยๆ มีแค่ผมคนเดียวที่ไม่อยากเห็นภาพน่าหงุดหงิด เลยตัดสินใจแยกตัวออกไปสำรวจห่างจากเต็นท์มากกว่าคนอื่นๆ จนพ้นร่มเงาไม้ออกมาเจอชายหาดและน้ำทะเลสีฟ้าคราม แถมแดดยังร้อนระอุจนเริ่มลังเลว่าจะออกไปดีไหม

หืม?

เพ่งมองอะไรสักอย่างสีแดงๆ แสนสะดุดตาบนพื้นทรายสีเหลือง มันใต้เงาต้นมะพร้าวสูงใหญ่ แล้วเหมือนข้างๆ จะมีป้ายอะไรสักอย่างปักอยู่ ด้วยความสงสัยจึงยอมก้าวเท้าออกไปกลางแดด แล้วเดินตรงไปดูให้เห็นกับตา พบว่าเป็นถังน้ำใบหนึ่งกับป้ายทำจากไม้ที่มีข้อความเขียนด้วยหมึกสีดำว่า

[แหล่งของสด]

ของสดอะไรวะ?

มองแผ่นกระดาษแปะสก็อตเทปติดไว้บนเนื้อไม้อีกที ในนั้นมีประโยคเขียนเพิ่มไว้ว่า

[ผู้ชนะเท่านั้นถึงจะได้ไปครอง]

ผู้ชนะไหนฟะ?

ผมย่นคิ้วพลางชะโงกหน้าดูว่ามีอะไรอยู่ในถังหรือเปล่า ปรากฏว่ามีไข่ไก่สี่ฟองนอนแน่นิ่งอยู่บนฟางแห้ง ความรู้สึกบอกผมว่าน่าจะมีแม่ไก่เจ้าของไข่อยู่แถวนี้

งั้นคู่ต่อสู้เพื่อหาผู้ชนะที่ว่าคงเป็นแม่ไก่?

ละสายตาออกจากถังมากวาดมองซ้ายขวาหาคู่ต่อสู้ อย่าว่าแต่เสียงกระต๊ากหรืออะไรพวกนั้นเลย กระทั่งเงาไก่สักตัวก็ไม่มีให้เห็น

...ขโมยไปเลยแล้วกัน

ยังไม่ทันได้ลงมือปฏิบัติ อีกทีมกลับโผล่พรวดเข้ามาซะก่อน

“เฮ้ย นั่นมันไฮไลท์ประจำวันนี่!”

ไฮไลท์อะไร?

ผมปล่อยมือจากถัง กำลังจะอ้าปากถามก็รู้สึกถึงแรงกระแทกที่หน้าอกจังๆ จนเซถอยหลังไปหลายก้าว

เจ็บก็ส่วนเจ็บ แต่เห็นรอยรูปรองเท้าตรงอกเสื้อแล้วมันปี๊ด ตั้งแต่ขึ้นเป็นพี่ปีสองมา ผมยังไม่เคยเจอเด็กปีหนึ่งที่ไหนกล้าทิ้งรอยเท้าให้ดูต่างหน้าขนาดนี้เลยนะ!

ตวัดตามองเคืองใส่เพื่อนของข้าวยำ รู้สึกจะชื่อไว ใช่ ชื่อนี่แหละ!

“กล้ากระโดดถีบพี่เรอะ!”

ฝ่ายเจ้าของร้องเท้าอ้าปากค้างคล้ายทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะ พอดีกับอีกสองคนเพิ่งวิ่งตามมาทัน คนทางซ้ายรู้สึกจะชื่อต่อ ทางขวาชื่อกายมั้ง

“เอ่อ ผมทำตามบทนะพี่ นั่นไง ผู้ชนะจะได้ของสดไปน่ะ”

ผมขมวดคิ้วหันมองป้ายไม้ แล้วตวัดตามองคนอธิบายเลยไปถึงผู้มาสมบทอีกสอง มีกันตั้งสามคน ในขณะที่ฝ่ายผมตัวคนเดียว ยุติธรรมมาก!

“จะแย่งชิงก็ส่งตัวแทนมา” ผมพูดเสียงดุใส่อย่างต้องการข่มขวัญ และถือสิทธิ์ผู้เจอของก่อนเสนอเงื่อนไข

นี่เป็นการเสี่ยงดวงอย่างหนึ่ง ถ้าอีกทีมยอมรับจะเป็นผลดีกว่ายอมถูกรุม

สามคนนั้นหันมองหน้ากันเองคล้ายปรึกษา ผ่านไปแค่ลมหายใจเดียวต่อก็เดินแยกออกไปหาที่นั่งดูคนแรก สื่อชัดว่าไม่ขอเป็นตัวแทน เป็นภาพที่ทำผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย

...เหลืออีกสองคน

กายเดินแยกตัวออกไปแล้ว ทิ้งเจ้าของรอยรองเท้าอย่างไวให้ยืนโวยวายใส่เพื่อน

“พวกมึงจะให้กูไปลุยเองคนเดียวเนี่ยนะ เอาจริงดิ?!”

“มึงถีบพี่เขาไปแล้ว” กายบอก

“มึงเปิดศึกไปแล้ว” ต่อว่า

ส่วนผมเรอะ กำลังคลี่ยิ้มสมใจใส่คู่ต่อสู้ที่ตัวเตี้ยกว่าข้าวยำนิดหนึ่ง เคยได้ยินยำเล่าให้ฟังอยู่บ้างว่าเคยก่อวีรกรรมร่วมกับเพื่อนคนนี้บ่อยๆ จนได้ชื่อคู่หูบะหมี่สำเร็จรูป (ยำยำกับไวไว) มาครอง และดูจากรอยเท้าที่ประทับบนเสื้อตอนนี้ก็ทำให้ผมเดาได้ว่าคนตรงหน้าคงซ่าพอตัวทีเดียว

แต่จากขนาดตัวไม่น่าจะสู้ผมได้หรอกมั้ง คิดพลางกวักมือเรียกให้รีบๆ เข้ามารับฝ่าเท้าของผมซะดีๆ

“เข้ามา!”

-------------
(มีต่อ)

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
แมวเถื่อนกับปลอกคอ 4 : เพราะมีอดีต ถึงมีวันนี้ (ต่อ)


“เข้ามา!”

พี่ขอคืนแค่ลูกถีบเดียวเท่านั้นแหละ

แต่ฝ่ายคนถูกเรียกกลับโชว์รอยยิ้มเหือดแห้งให้ ไม่มีท่าทีจะสู้ด้วยเลยจนผมต้องพูดกระตุ้น

“เป็นอะไร เกิดปอดแหกขึ้นมาหรือไง”

ถามยั่วโมโหเสร็จ ฝ่ายคนฟังคิ้วกระตุกตามคาด ทั้งพูดปฏิเสธทันควัน

“ปอดผมไม่แหกแน่”

“งั้นเข้ามาเลยไอ้น้อง!”

ผมพร้อมจะประทับรอยเท้าเอาคืนแล้ว!

ไวทำหน้าฮึดสู้ขึ้นมาทันที ทั้งตั้งท่าพร้อมสู้อย่างใจกล้า มีกระโดดชกลมไปมาเป็นการขู่ให้ดูด้วย ผมมองหน่วยก้านแล้วรู้สึกว่าไม่เลว บางทีคงไม่จบแค่ลูกถีบเดียวอย่างที่คิด

หึๆ คงได้ออกกำลังกายสนุกแน่

แต่เมื่อเวลาผ่านไปช้าๆ ฝ่ายคู่ต่อสู้ยังกระโดดดึ๋งๆ เป็นกระต่ายอยู่ที่เดิม ไม่ขยับขึ้นหน้าแม้แต่เซนเดียว รอแล้วรอเล่าฝ่ายคนกระโดดกลับเหนื่อยก่อน ตอนนี้เอามือยันเข่าก้มหน้าหอบแฮ่กๆ แล้ว

…อะไรวะ

ผมลดท่าพร้อมสู้ลง มองฝ่ายคนหมดสภาพอย่างพูดอะไรไม่ออก ทำได้แค่ละสายตาไปมองฝ่ายคนดูทั้งสองเพื่อขอคำอธิบาย แต่สองคนนั้นกลับมองมาอย่างเฉยชาประหนึ่งว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ

...เอาจริงดิ?

หันกลับมามองคนที่ยังหอบเหนื่อยอยู่ที่เดิมอีกรอบ แล้วลองก้าวเท้าแสดงถึงการคุกคามเพื่อดูท่าทีอีกรอบ

“ด...เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน!”

ไวทั้งแหกปาก ทั้งยกมือห้ามเป็นพัลวัน ท่าทางอย่างกับ...กระต่ายขี้กลัว 

“อยู่เฉยๆ ให้พี่ถีบสักทีให้รู้ผลแพ้ชนะ แค่นี้น่าจะไม่มีปัญหาอะไรนี่”

ผมแกล้งพูดเสียงเข้ม ฝ่ายคนโดนขู่รีบกระโดดถอยไปหลบหลังต้นมะพร้าวใกล้ๆ มีชะโงกหน้าออกมาดูลาดเลาอย่างแตกตื่น

...ท่าทางใจเสาะขนาดนี้ เป็นกระต่ายแน่นอน กระต่ายที่กำลังตื่นตูมซะด้วย

“อ๊ะ เทม! ไอ้เทม! มาตรงนี้ด่วนเลย!!”

กระต่ายน้อยแหกปากร้องเรียกหัวหน้าทีมที่กำลังเดินผ่านมาทางนี้ ฝ่ายเจ้าของชื่อหันมามองงงๆ เห็นลูกทีมของตัวเองกับผมยืนประจันหน้ากันอยู่ โดยมีต้นมะพร้าวคั่นกลางก็รีบเบี่ยงเส้นทางเดินตรงมาหาทันที พอเข้ามาในระยะหนึ่งคงเห็นลูกทีมอีกสองคนนั่งมองอยู่ห่างๆ ก็ยิ่งขมวดคิ้วมากกว่าเดิม

“มีเรื่องอะไรกัน?” เทมเปิดปากถามทันที

ผมคิดว่าเทมคงถามกาย ไม่ก็ต่อ แต่ฝ่ายคนถูกมองข้ามอย่างไวกลับพูดออกมาคนแรก

“นั่น” ไวชี้นิ้วไปทางป้าย แล้วผายมือมาทางผม “พี่ภูเป็นคนเจอก่อน และยื่นขอเสนอให้ส่งตัวแทนทีมไปแย่งชิงกับเขา กูขอส่งมึงลงสนามล่ะกัน ฝากด้วยนะหัวหน้าทีม” 

ไวรีบออกมาตบไหล่เทม แล้วเผ่นหนีไปนั่งเบียดระหว่างกลางของสองคนดู ทิ้งภาระหน้าที่ให้หัวหน้าทีม ผู้กำลังยืนทำหน้ายับย่น สีหน้าบอกชัดว่าไม่น่าโง่เดินมาหาเลย แต่พอหันมาเห็นผมยืนมองเหตุการณ์อยู่เงียบๆ สีหน้าของเทมกลับถูกปรับเปลี่ยนใหม่ ท่าทางดูขึงขังพึ่งพาได้สมกับตำแหน่งหัวหน้าทีม

“เพื่อทีมผมไม่มีทางเลือก คงต้องขอล่วงเกินพี่แล้ว”

ตกลงจะสู้ใช่ไหม?

มองท่าทางเตรียมพร้อมเข้าประชิดของเทมอย่างไม่ค่อยวางใจ กลัวจะโดนหลอกให้รอเก้อแบบรอบที่แล้ว แต่ไม่ใช่ เพราะเทมพุ่งตัวเข้ามาปะทะด้วยทันที

ผมหลบหมัดที่เหวี่ยงมาด้วยสีหน้าดีขึ้นหน่อย พร้อมกับคิดว่าถึงประทับรอยเท้าใส่ตัวต้นเรื่องไม่ได้ ก็ขอยันอกเทมสักครั้งยังดี อย่างที่พี่วีเคยพูดให้ฟังว่า คิดเป็นหัวหน้าต้องยอมรับผิดแทนลูกน้องได้

พลั่ก!

“เฮ้ย เล่นแรงนี่!”

คนล้มกระแทกพื้นทรายหลุดอุทานออกมา ผมมองรอยเท้าของตัวเองประทับเด่นชัดตรงอกเสื้ออีกฝ่ายอย่างพอใจสุดๆ แค่นี้ก็ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่มีรอยเท้าประดับให้ได้อายแล้ว

เทมลุกขึ้นสู้อีกครั้ง คราวนี้สีหน้าจริงจังกว่าเก่าพาสถานการณ์ของเราดุเดือดเพิ่มขึ้นทันที เมื่อมีใครพลาดท่าเป็นต้องลงไปขลุกพื้นทราย ล้มแล้วลุกจนสภาพเริ่มดูไม่จืด ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อยๆ จากที่เป็นมวยวัดก็เริ่มกลายเป็นมวยปล้ำ

ลมหายใจของพวกผมกระชั้นขึ้นตามการออกแรงที่หนักหน่วง และสิ้นสุดลงเมื่อเทมนอนแผ่หลาไม่ยอมลุกขึ้นมาสู้ต่อแล้ว ผมเองก็อยากทิ้งตัวลงไปนอนแผ่เหมือนกัน แต่ขืนทำอย่างนั้นที่ลงแรงไปคงสูญเปล่า เลยฝืนยันตัวให้ตั้งตรงในฐานะผู้ชนะ 

“บู่ๆ ยอมแพ้ได้ไงวะ”

ไวเดินนำหน้าเพื่อนอีกสองคนเข้ามา คนที่นอนแผ่อยู่ตวัดตาใส่คนบ่นทันที

“มึงมาลองให้พี่ภูถีบเล่นสักทีไหม จะได้รู้ว่ากูแพ้ยังไง”

ไวรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ทั้งยังขยับตัวหนีห่างจากผมและเทมไปตั้งไกล   

ผมที่เริ่มปรับลมหายใจได้ ยื่นมือไปช่วยดึงเทมขึ้นจากพื้นทราย มองจนมั่นใจว่าเทมยืนมั่นคงดีแล้วจึงปล่อยมือออก หันไปรับถังน้ำสีแดงที่ต่อยื่นส่งให้ แล้วต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปคนละทาง

ตัวผมกลับมายังจุดกางเต็นท์ที่เพิ่งย้ายมาใหม่ ตอนกลับไปถึง ผมเจอแค่ทีกับยำสองคน ส่วนพาร์ไม่รู้หายไปไหน ยังไม่ทันได้ถามอะไรก็รู้สึกสายตาสองคู่จดจ้องรอยเท้าบนเสื้อไม่วางตา

...ทีน่ะดีหน่อย รู้จักเก็บอาการรักษามารยาท ทั้งยังทำเป็นเลื่อนสายตาลงมาที่ถังน้ำเป็นเชิงถามถึงของที่หาได้ ผิดกับข้าวยำ รายนี้ถึงกับส่งยิ้มล้อเลียนมาให้ทันที

เหอะ ไม่อยากเข้าไปฟัดต่อหน้าเพื่อนของมันเป็นการเอาคืน เพราะเดี๋ยวจะโดนงอนยาวด้วยข้อหาทำให้อับอายต่อหน้าเพื่อน ผมจึงเลือกวางถังน้ำลง แล้วตอบคำถามของทีแทน

“พี่ไปแย่งของสดกับทีมโน้นมา”

ทีกับยำรีบชะโงกหน้ามองในถังด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าของสดที่ว่าคืออะไร พอเห็นไข่ไก่ในถังไม่มีใครพูดอะไรออกมาอยู่นาน กระทั่งข้าวยำถามทะลุปล้องขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ

“มันจะฟักเป็นตัวไหม?”

ผมเหลือบมองที ทีมองผมกลับ ไม่มีใครตอบคำถามข้าวยำถูกสักคน

แต่ถึงจะสงสัยเหมือนกันแค่ไหน ทีก็จับไข่ไก่สี่ฟองไปต้มในหม้ออยู่ดี ผมมองอย่างนับถือนิดๆ ผิดกับแมวเถื่อนที่มองเพื่อนประหนึ่งอีกฝ่ายเป็นผู้ร้ายคดีฆาตกรรมลูกไก่ไปแล้ว

“ถ้ามึงกลัวแกะเปลือกเจอลูกไก่ขนาดนั้น ก็ให้ทีแกะเปิดดูเป็นคนแรกก็หมดเรื่อง”

ผมกระซิบบอกทางออกข้างหูข้าวยำ ฝ่ายคนฟังกลับทำหน้าแปลกๆ กลับมา

“...กูจะหันหน้าไปทางอื่นก่อน ถ้ามันไม่ใช่ไข่ต้มธรรมดา ไม่ต้องมาสะกิดเรียกให้กูดูนะ”

อ้อ ที่แท้กลัวได้เห็นสิ่งมีชีวิตถูกต้มสุกนี่เอง

ระหว่างรอไข่สุก ผมเห็นพาร์เดินกลับมาเป็นคนสุดท้าย เขายื่นข้าวโพดกระป๋องให้ที คาดว่าเพิ่งหาเจอ

...พอได้เห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกันแบบนี้ ทำให้นึกถึงตอนคู่นี้สวีทกันเมื่อเช้าขึ้นมา คาดว่ายำเองคงคิดเหมือนกันถึงได้จ้องเอาๆ อย่างไม่กลัวโดนจับได้เลย

ในมุมมองของผม บรรยากาศระหว่างพาร์กับทีเป็นอะไรที่ละมุนมาก ทั้งที่ไม่ได้แสดงออกมากมาย แต่กลับทำให้คนมองรู้สึกว่าคู่นี้ต้องไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกันแน่ๆ เพราะแบบนั้นผมถึงไม่เข้าใจว่าจะปากแข็งบอกว่าไม่ใช่แฟนกันไปทำไม

คิดเองปวดหัวเอง ช่างเหอะ ไม่ใช่เรื่องของเรา

เหลือบมองแมวเถื่อน ผู้โฟกัสไปที่จุดเดียวไม่ยอมเลิก ก็ได้แต่แอบปลงอยู่ในใจ

ถ้าผมคิดจะสวีทกับแมวเถื่อนบ้าง คงต้องรอให้ได้อยู่กันตามลำพังสถานเดียว

...ใครใช้ให้แมวของผมหน้าบางกับเพื่อนล่ะ   

ช่วงมื้อเที่ยงผ่านพ้นไปด้วยดี มีฮาหน่อยตรงท่าทางของพาร์ ผู้ไม่ได้เห็นไข่ไก่สดๆ ในถังน้ำ เขาจึงกัดไข่ต้มไปแบบไม่คิดอะไร แต่พอเห็นพวกเราไม่มีใครแตะต้องสักคน ทั้งจ้องเขาตาไม่กระพริบ พาร์ถึงกับคายออกมาเลย ท่าทางตลกมากจนผมต้องรีบซ่อนรอยยิ้มไม่แสดงออกมาให้เห็น

หลังท้องอิ่ม เรามีประชุมทีมอีกครั้งได้ข้อสรุปว่าจะหาที่กางเต็นท์ใหม่ให้อยู่ใกล้กับแหล่งน้ำมากกว่านี้ ผมกับพาร์จึงออกไปสำรวจหาจุดกางเต็นท์ดีๆ อีกครั้ง คิดว่าถ้ามันดีมาก ทีมของเราคงอยู่ตรงจุดยาวจนจบเกมเลยก็ได้

-------------

ทีมของเราได้จุดกางเต็นท์ใหม่แล้ว อยู่ริมลำธาร บรรยากาศค่อนข้างร่มรื่นกว่าที่เก่า ต่อให้เป็นช่วงเวลาแดดร้อนแรงแค่ไหน ที่นี่ก็ไม่ร้อนเท่าที่อื่น แต่ทีกับยำคาดเดาว่า ฟ้ามืดเมื่อไหร่แถวนี้น่าจะมียุงเยอะ พวกผมจึงตกลงกันว่าจะเข้าเต็นท์กันก่อนฟ้ามืด

แต่พอถึงเวลาต้องเข้ามาอยู่ในเต็นท์จริงๆ มันน่าเบื่อมาก จะให้เข้านอนตอนนี้เลยก็ผิดเวลามากไปหน่อย

“มาคุยกัน!”

ข้าวยำพูดชวนขึ้นก่อน ท่าทางคงนอนไม่หลับเหมือนกัน ผมเองเห็นดีด้วยเลยพลิกตัวหันนอนตะแคงข้าง มองแมวเถื่อนพลิกตัวนอนคว่ำ ตีขาเล่นไปมา 

“มึงว่าสองคนเต็นท์ข้างๆ ทำไมไม่ยอมบอกสักทีวะ?”

เปิดประเด็นเรื่องนี้เรอะ คิดพลางส่ายหน้าละเหี่ยใจ

“ไม่รู้สิ”

“คบก็บอกว่าคบ กูยังไม่ปิดบังเรื่องมึงกับเพื่อนเลย แต่ทีกลับบ่ายเบี่ยงบอกว่าไม่ใช่อยู่นั่นแหละ”

ทำไมยิ่งพูด น้ำเสียงถึงดูน้อยอกน้อยใจขนาดนี้ล่ะ

“มึงกำลังน้อยใจเพื่อน?” ผมถามออกไป

“ก็น่าน้อยใจไหมล่ะ เหมือนปิดบังเพราะไม่ไว้ใจกันเลยนี่”

“อาจไม่ใช่ก็ได้ มึงน่าจะเข้าใจว่าแต่ละคู่มักมีปัญหาของเขาเอง ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับเรา เขาอยากบอกเมื่อไหร่คงบอกมึงเองนั่นแหละ”

คนฟังทำหน้ามุ่ยอย่างหนัก แค่มองก็รู้ว่ายำเข้าใจ แต่ในใจกลับไม่อยากยอมรับ ผมจึงยกหัวข้อหนึ่งมาพูดดึงความสนใจแทน

“ก่อนเรามาเที่ยว ปุ้นได้โทรมาคุยเรื่องงานพิเศษกับมึงหรือเปล่า”

“อ้อ โทรๆ พี่ปุ้นบอกว่าจะไปทำงานกับมึงล่ะ จะว่าไปกูอยากถามเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ไม่มีโอกาสได้ถามสักที มันหมายความว่าไงอะ?”

“ปุ้นอยากเรียนรู้งานน่ะ” ผมอธิบายให้ข้าวยำฟัง “กูก็ด้วย ปิดเทอมนี้เลยตกลงกันว่า จะไปฝึกงานพร้อมกันที่บริษัทของพี่ชายกู”

แต่ความจริงคือผมกับปุ้นต้องไปทำงานหาเงินเลี้ยงแมวบางตัวด้วยกันต่างหาก

ผมไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น พี่วีถึงได้รู้เรื่องของปุ้น และอาจรวมถึงเรื่องคนน้องอย่างข้าวยำ ซึ่งจากที่พี่วีคอยสนับสนุนถึงขั้นอนุมัติให้เราทั้งคู่เป็นเด็กฝึกงานพร้อมกันแล้ว เรื่องของผมกับยำคงไม่มีปัญหาในสายตาของพี่ชาย แต่กับพี่ชายของคนข้างตัวผมนั้น...

นึกถึงตัวแทนอย่างปุ้นที่ถูกส่งไปรับหน้าพี่วีด้วยการแจ้งข่าวว่าผมหนีเที่ยวกับน้องชาย แล้วอดยิ้มขำออกมาไม่ได้ ป่านนี้ไม่รู้เป็นไงบ้าง แต่ผมคิดว่าแมวใหญ่อย่างปุ้นไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกับทาสแมวนามวาวีหรอก ถ้าจะมีคงเป็นกับคนคิดแย่งน้องไปจากอ้อมอกอย่างผมมากกว่า

“พี่ปุ้นเรียนบริหารนี่น่ะ จะลองไปทำงานกับบริษัทของพี่มึงก่อน กูก็เข้าใจ แต่มึงน่ะไปเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย?”

เรียนบริหาร?

ผมเลิกคิ้วรับรู้ข้อมูลใหม่ ในใจเริ่มปะติปะต่อได้ว่า ที่พี่วีให้มาเริ่มเรียนรู้งานพร้อมกันแบบแพคคู่ อาจเพราะเล็งปุ้นให้มาเป็นเลขา หรือไม่ก็ผู้ช่วยในอนาคตของน้องชายที่เรียนคณะไม่ตรงกับสายงานล่ะมั้ง

...ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ดี หึๆๆ

“ไม่อยากบอกเหรอ?“

ผมออกจากภวังค์ความชั่วร้าย เห็นแมวเถื่อนจ้องมองรอคำตอบอยู่ก็รีบปฏิเสธ

“เปล่า มันไม่ใช่ความลับอะไรหรอก”

แมวเถื่อนเลยกางหูรอฟังคำอธิบายเงียบๆ

“เพราะอนาคตกูต้องไปเป็นหนึ่งในคณะบริหารของบริษัท กูเลยต้องไปเรียนรู้งานก่อนไง”

“ห๊ะ” คนฟังท่าทางตกใจ ก่อนเปลี่ยนเป็นสงสัยสุดๆ “แล้วมึงมาเรียนวิศวะทำไมวะ”

“ก็แค่ชอบ”

“พี่มึงยอมให้เรียนด้วย?”

“ไม่เห็นว่าอะไรนี่”

รายนั้นยังได้เรียนสัตวแพทย์เลย พ่อแม่ก็ไม่เห็นจะว่าอะไรสักคำ

คนฟังหยุดเตะขาเล่น แล้วหรี่ตาใส่กันแทน “หรือมึงเป็นน้องชังของพี่? เขาเลยไม่สนใจว่ามึงจะเรียนคณะอะไร”

“ตรงข้าม กูเป็นน้องรัก แต่...รักน้อยกว่าแมวที่บ้าน”

โดยเฉพาะลูกรักของพี่วี ต่อให้โดนข่วนมา พี่วีแค่ยื่นพลาสเตอร์ยาให้ แล้วรีบอุ้มตัวการหนีไปทันที แถมมีหน้ากลับมาข่มขู่น้องว่าห้ามไปเอาคืนเด็ดขาดด้วย   

“อ้อ แพ้แมว...ฟังดูน่าสงสารเนอะ”

น้ำเสียงไม่บอกเลยว่าสงสาร ติดจะขำปนสมน้ำหน้าด้วยซ้ำ

“กล้าสมน้ำหน้ากันเหรอ”

ผมตะครุบตัวแมวเถื่อน แล้วเริ่มฟัดแผ่นหลังด้วยความหมั่นเขี้ยวจนข้าวยำหัวเราะไม่หยุด

“ฮ่าๆๆ จั๊กจี้นะ ออกไปเลย”

“ไม่ออก มามะ มารับการลงโทษซะดีๆ รู้ไหมว่าวันนี้ทำกูหงุดหงิดหลายเรื่องมาก”

“หลายเรื่องอะไร ฮ่าๆๆ มะ ไม่เห็นจะรู้เรื่อง โอ๊ย ภู อย่านะ ฮ่าๆๆ”

แต่เล่นไปเล่นมา อารมณ์ความใคร่ดันปะทุขึ้นมาซะได้ และคงไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่รู้สึก เพราะคนที่เมื่อครู่ยังหัวเราะเสียงดังกลับส่งเสียงแผ่วลงเรื่อยๆ กระทั่งลมหายใจยังเริ่มติดๆ ขัดๆ 

“อ๊ะ...ภู ที่นี่...ไม่”

“ชู่ ไม่เสียงดังนะ”

“ภู!”

ดุกันอีก แต่ตัวนี่อ่อนยวบ ขนาดจับพลิกให้นอนหงายอยู่ใต้ร่างยังไม่เห็นขัดขืน มีเพียงแววตาที่สบกันเท่านั้นบ่งบอกว่าแมวเถื่อนกำลังเตือนกันอยู่

...ก็ได้ ผมยอมแถวก้าวหนึ่ง

“ขอแค่ข้างนอกได้ไหม?”

“เอ๊ะ” ข้าวยำมองมาเหมือนไม่เชื่อสายตา

“อะไร คิดว่าจะบังคับหรือไง”

“ปกติเป็นอย่างนั้นนี่”

“นั่นมันเมื่อก่อน ตอนนี้ไม่ใช่สักหน่อย นึกดูดีๆ ช่วงหลังมานี่กูเคยบังคับฝืนใจมึงหรือเปล่า”

ข้าวยำกระพริบตา แล้วนิ่งไปเหมือนกำลังนึกย้อนอยู่ สักพักถึงส่ายหน้าให้เห็น ผมก้มจูบหน้าผากเป็นรางวัลที่ยอมรับกันตามตรง แล้วถามซ้ำในเรื่องเร่งด่วนกว่า

“ตกลงให้ไหม?”

“...แค่ด้านนอกแน่นะ”

“อืม”

คนฟังนิ่งไปพักหนึ่งถึงยกสองมือขึ้นโอบรอบคอของผมแทนคำตอบ ใบหน้าซับด้วยสีเลือด ท่าทางอับอายแต่ดันน่ารักถูกใจจนผมอดไม่ไหว เผลอหอมแก้มไปฟอดหนึ่ง คนถูกหอมตวัดสายตาที่มองไปทางอื่นกลับมาหากลายเป็นตาประสานตา จ้องมองกันเนิ่นนานประดุจถูกสะกด พร้อมๆ กับใบหน้าของเราค่อยๆ เลื่อนเข้าหากันราวกับมีแรงดึงดูด

ริมฝีปากของเราแตะกันอย่างแผ่วเบา เป็นครั้งแรกที่เราเริ่มสัมผัสอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เป็นจูบที่นุ่มนวล อ่อนหวานอย่างคาดไม่ถึงจนใจเต้นกระหน่ำอย่างหนัก ทั้งตื่นเต้นทั้งยินดีอย่างบอกไม่ถูก พอผละริมฝีปากจากกันเพื่อหยุดพักหายใจ ผมกับยำก็สบตากันด้วยความรู้สึกเต็มตื้นจนแน่นในอกไปหมด

“นี่...เมื่อกี้มัน...” 

ข้าวยำพึมพำออกมาคล้ายสติยังไม่กลับเข้าที่เท่าไหร่ ผมเองก็เช่นกัน จึงไม่ได้ตอบออกไปในทันที เราซึมซับความรู้สึกที่ว่ากันเงียบๆ จนความเข้าใจบางอย่างผุดขึ้นมาในใจผมจนเผลอพึมพำออกไป

“คงเป็น...สัมผัสแห่งรัก”

ฉ่า

เหมือนหน้าใครบางคนไหม้ไปแล้ว ผมหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างมีความสุข ทั้งพูดชักชวนอย่างเอาแต่ใจ “มา! มาลองกันอีกครั้ง!”

“เดี๋ยว! อื้ม...”

ผมไม่เคยคิดเลยว่าเพียงแค่คนสองคนรู้สึกเหมือนกัน จะก่อเกิดการสัมผัสที่หอมหวาน ร้อนแรง และความสุขเติมเต็มหัวใจขนาดนี้ เป็นความรู้สึกที่จะมีให้แค่คนๆ เดียว และคนๆ นั้นยอมรับ รวมถึงมอบความรู้สึกแบบเดียวกันกลับคืนมา มันดีซะจนผมคิดว่าคงเสพติดเข้าให้แล้ว

จากนี้ไปก็อยากจะรู้สึกแบบนี้อีกเวลาสัมผัสกันและกัน

ผมกับยำหอบหายใจประสานกันตามจังหวะสัมผัสกันและกัน แม้เพียงภายนอก แต่ความรู้สึกกลับพุ่งทะยานจนสุดทางยิ่งกว่าเมื่อก่อนซะอีก แล้วแตกกระจายอย่างรวดเร็วจนสมองพร่าเลือนไปชั่วขณะ

สุขจนล้น...คงเป็นแบบนี้

“ห...หัวเราะ...อะไร”

แมวเถื่อนพูดท้วงออกมาทันทีที่ผมปล่อยเสียงหัวเราะข้างหูอีกฝ่าย

“กำลังคิดว่า...ไม่น่าเชื่ออยู่”

คนฟังนอนหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง จนลมหายใจเริ่มกลับเป็นปกติถึงพูดด้วยเสียงเลื่อนลอยอย่างเห็นได้ชัด

“นั่นสิ ไม่น่าเชื่อเลย”

“ถ้าคืนแรกของเราเป็นอย่างนี้คงดีนะ”

ผมพูดอย่างเสียดาย เพราะเรื่องของเราดันข้ามขั้นวุ่นวายไปหมด ถึงปัจจุบันจะเหมือนได้เริ่มต้นใหม่ แต่มันก็ยังดูข้ามขั้นบางเรื่องอยู่ดี

“ไม่นี่” ข้าวยำกลับส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ไม่เห็นดี ไม่งั้นคง...ไม่มีเราในวันนี้?”

ผมยิ้มอย่างถูกใจคำตอบ แต่อดแกล้งพูดแซวคนที่พูดอย่างไม่มั่นใจ

“ทำไมท้ายเสียงถึงเป็นคำถามล่ะ”

“ก็ อ๊ะ...มืออย่าซนสิ”

ผมหัวเราะในลำคอ สองมือซุกซนไม่หยุดเพื่อเตรียมเปิดศึกรักรอบสอง 

“มึงพูดถูกแล้ว” กระซิบชิดริมหูคนใต้ร่างที่เริ่มครางในลำคออีกครั้ง “ถ้าไม่มีคืนนั้น คงไม่มีเราในคืนนี้”

“อ๊ะ! ภู!” 

เสียงดังไปแล้ว แต่ขืนเตือนตอนนี้คงอดเดินหน้าต่อแน่...

ได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้สองคนจากเต็นท์ข้างๆ จะเก็บ ‘การแสดงความรักต่อกัน’ ของพวกผมเป็นความลับล่ะนะ

############

ออฟไลน์ KatzeP

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
แมวเถื่อนกับปลอกคอ 5 : บทส่งท้าย


“ดูอะไรอยู่”

ผมส่งเสียงทักคนที่เอาแต่จ้องโทรศัพท์มือถือไม่วางตา ขนาดผมกลับมาถึงห้อง เดินเข้ามาใกล้โซฟาเกือบประชิดตัวขนาดนี้ แมวเถื่อนกลับยังไม่รู้ตัวอีก

“อ้าว กลับมาแล้วเหรอ”

ข้าวยำละสายตาจากโทรศัพท์ในมือ พร้อมกับส่งยิ้มที่ผมชอบที่สุดมาให้ เป็นยิ้มจริงใจและยินดีที่ได้เจอกันจากใจจริง แค่ได้เห็นก็ชื่นใจแล้ว

“ไปทำงานวันแรกเป็นไงบ้าง?”

“เหนื่อย”

บอกได้แค่นี้จริงๆ ตอนนี้ขอชาร์จพลังด้วยการล้มตัวนอนหนุนตักคนบนโซฟาก่อนดีกว่า

“นี่ๆ” คนถูกหนุนตักกะทันหันทำท่าเหมือนจะพูดประท้วงอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่พูด ทั้งยินยอมปล่อยตักให้ผมนอนหนุนโดยดี มีย้ำแค่ว่า “ให้แค่ครั้งเดียวนะ”

แต่เชื่อเถอะ มันต้องมีครั้งที่สอง สาม สี่ ห้า...จนนับไม่ถ้วนแน่ๆ

 “กำลังดูอะไรอยู่” ถามพาเข้าเรื่องชวนสงสัยตั้งแต่ผมกลับมาอีกรอบ

“คลิปที่กูพลาดไปไง”

ข้าวยำหันหน้าจอโทรศัพท์มาให้ผมเห็นภาพที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ เห็นแค่แวบเดียวก็ร้องอ๋ออยู่ในใจ มันเป็นเหตุการณ์ของเช้าวันหนึ่ง ก่อนที่พวกเราทั้งหมดต้องกลับออกจากเกาะกะทันหัน...แค่นึกถึงก็อยากถอนหายใจออกมาสักเฮือก

“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่า แค่ผู้หญิงตัวคนเดียวโผล่มาที่เกาะกะทันหัน จะทำให้เกิดเรื่องเยอะแยะไปหมดแบบนี้”

ผมมองบุคคลที่ถูกแมวเถื่อนพูดถึงผ่านหน้าจอโทรศัพท์ เธอเป็นผู้หญิงชาวต่างชาติที่กำลังยืนข้างๆ พาร์ในคลิปวิดีโอ

“ทำพวกเราเกมล่ม ทำพาร์กับทีทะเลาะกัน ทำเทมกับพาร์ไม่ลงรอยกัน ทำวินตกใจจนหน้าซีด แล้วยังทำให้พวกเราต้องเก็บของกลับจากเกาะก่อนกำหนดด้วย”

นั่นสินะ ถ้ามองจากในมุมของเราล่ะก็นะ

ผมคิดมองพาร์กำลังเป็นล่ามแปลภาษาเอาความจริงมาตีแผ่ให้ทุกคนรู้อยู่ในคลิป จนรู้ว่าสาวเจ้าโดนส่งตัวมาที่นี่เพื่อให้ได้เจอหน้าว่าที่คู่หมั้นอย่างวิน 

...ที่จริงเรื่องพวกนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับผมหรือข้าวยำเลยสักนิดเดียว แถมมันยังเป็นโอกาสดี เพราะใครๆ ก็หันไปสนใจเหตุการณ์พวกนั้นกันหมด ผมถึงได้ทางสะดวกลักพาตัวแมวเถื่อนไปทำเรื่องดีงามกันสองต่อสอง จนกระทั่งแมวบางตัวหอบถุงนอนหนีหายไปตอนไหนไม่รู้ นึกถึงแล้วยังเคืองไม่หายอยู่เลยเนี่ย

ก็ใครจะชอบให้เมียหนีหายไปนอนที่ไหนกับใครไม่รู้ทั้งคืนล่ะ!

“นับรวมกับที่ทำมึงหนีกูไปนอนบ้านเดียวกับทีด้วยหรือเปล่า”

แสร้งถามอย่างจงใจ ฝ่ายแมวเถื่อนก็ตอบกลับมาทันทีเช่นกัน

“ไม่นับ! นั่นนะมึงหื่นเอง กูแค่รับไม่ไหวถึงได้หนีไปนอนอย่างสงบสุขกับเพื่อนหรอก”

“สงบจนพลาดเรื่องสำคัญ ต้องมาดูคลิปย้อนหลังเองสินะ”

คราวนี้ข้าวยำไร้คำโต้เถียงกลับมา มีเพียงทำหน้าบูดบึ้ง เพราะถูกพูดแทงใจดำ แล้วพอสบตากัน เจ้าของตักก็เริ่มยันตัวผมออกจากต้นขา

“ปากดีขนาดนี้ หายเหนื่อยแล้วมั้ง ลุกออกไปเลย!”

มองท่าทางต้องการเอาคืนนั่นแล้วก็ได้แต่หัวเราะออกมา ทั้งยอมผละออกเอง ไม่งั้นคงถูกแฟนผลักกลิ้งตกจากโซฟาแน่

หรือจะเล่นบทเจ็บตัวจากการตกโซฟาอ้อนแฟนดี?

...ไม่ดีกว่า พรุ่งนี้ยังต้องไปทำงานกับพี่วีอีก รายนั้นไม่เห็นผมเป็นน้องในไส้หรอก ดูจากวันนี้ก็ได้ เห็นเป็นเบ๊เฉพาะกิจชัดๆ ดังนั้นผมควรรักษาสภาพร่างกายให้สมบูรณ์เข้าไป จะได้มีแรงไปรับมืองานเบ๊ในวันพรุ่งนี้ต่อได้   

“แล้วข้าวเย็นนี่จะเอายังไง? จะออกไปกินข้างนอกหรือจะสั่งให้มาส่ง?”

“สั่งเอาแล้วกัน” ผมตอบอย่างคนขี้เกียจขับรถออกไปไหนแล้ว “อยากกินอะไรมึงสั่งเลย กูขอไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน”

พูดจบก็ฉวยโอกาสตอนแมวเถื่อนไม่ทันตั้งตัวหอมแก้มไปฟอดหนึ่ง แล้วรีบเผ่นหนีคนตั้งท่าจะเอาเรื่องด้วยการหลบเข้าห้องนอนก่อน หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยค่อยออกมาหาใหม่ ถึงตอนนั้นคนโกรธง่ายหายเร็วคงลืมเรื่องเมื่อครู่ไปแล้วล่ะ

ผ่านไปราวๆ ยี่สิบกว่านาที ผมเปิดประตูห้องนอนออกมา พบแมวเถื่อนยังนั่งแหมะอยู่บนโซฟาที่เดิม ดูท่าคงไม่ได้ขยับไปไหนเลย พอสบตากัน ฝ่ายนั้นก็พูดขึ้นมาก่อน

“กูโทรไปสั่งข้าวเย็นมาให้แล้วนะ”

ผมพยักหน้ารับคำ กลับไปทิ้งตัวนอนตักแฟนอีกรอบ เจ้าของตักเหล่มองกันแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้ว่าอะไรสักคำเดียว คงลืมเรื่องที่ตัวเองบอกว่าให้แค่ครั้งเดียวแล้วแหงๆ คิดพลางกลั้นยิ้มอยู่ในใจ ไม่คิดพูดทักไปหรอก เดี๋ยวอดได้หนุนตักแหนขึ้นมาจะแย่เอา   

“พี่ปุ้นเป็นไงบ้าง” ข้าวยำถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้

“ก่อนกูถูกปล่อยตัวกลับบ้าน มีโอกาสได้เห็นปุ้นทำงานจนหัวฟูอยู่แวบหนึ่ง” 

ผมพูดขำๆ ความจริงสภาพของปุ้นโทรมสุดๆ เพราะรายนั้นต้องไปเป็นเบ๊ให้เลขาของพี่วีที่งานเยอะยิ่งกว่าท่านประธานอย่างพี่วีอีก คาดว่าทางปุ้นคงโดนโขกสับยิ่งกว่าผมอีกมั้ง เชื่อเถอะ อีกสองหรือสามวันจากนี้ เพื่อนผมต้องโทรมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้แฟนอย่างปุ้นแน่

แต่เสียใจด้วยนะ ผมที่เป็นเด็กฝึกงานเหมือนกันไม่มีอำนาจไปช่วยใครได้หรอก

“กูควรไปดูแลพี่” ข้าวยำพึมพำออกมา แล้วกำหมัดพูดออกมากะทันหัน “ตัดสินใจล่ะ พรุ่งนี้กูจะไปค้างคอนโดพี่สักสองสามวัน!”

อะไรนะ!

ผมรีบพูดเบรคทันที “ปล่อยกังหันดูแลไปสิ! มันเป็นแฟนของพี่มึงนี่!”

“ได้ไง นั่นพี่ชายของกูนะ กูเป็นน้องก็ต้องไปดูแลพี่ตัวเองบ้างสิ”

เป็นเรื่องจริงที่พูดแย้งไม่ออก แต่ผมยังไม่ยอมจนมุมง่ายๆ

“หรือมึงอยากไปขัดคอสองคนนั้นล่ะ? โอกาสได้อยู่กับแฟนสองต่อสองแบบนี้ เปิดเทอมเมื่อไหร่สำหรับคู่นั้นคงหาโอกาสได้ยากแล้ว”

คราวนี้แมวเถื่อนเริ่มคล้อยตามให้ผมใจชื้นขึ้นหน่อย ไม่ใช่อะไรหรอก กลัวว่าถ้าปล่อยข้าวยำกลับคืนอ้อมอกพี่ชาย คนของผมคงถูกรั้งตัวไว้ยันใกล้เปิดเทอมนั่นแหละถึงจะได้ตัวคืนมา เพียงแค่คิดก็รู้สึกว่ายอมไม่ได้เด็ดขาด!

“...กูก็อยากไปทำงานพิเศษเหมือนมึงกับพี่ปุ้นบ้าง”

จู่ๆ ข้าวยำพูดออกมาด้วยเสียงหงอยๆ ทำผมที่เพิ่งหายใจหายคอสะดวก เริ่มตื่นตัวขึ้นมาอีกหน เพราะหัวข้อนี้อันตรายพอๆ กับเรื่องเมื่อกี้เลย!

“มึงเพิ่งได้เกมใหม่จากเพื่อนมาเมื่อวานไม่ใช่เรอะ อยากบอกนะว่าเบื่อแล้ว”

“ไม่เกี่ยวกับเกมสักหน่อย! แล้วกูก็ไม่ได้เหงา! แต่กูอยากทำงานหาเงินบ้าง เข้าใจไหม?!”

จะว่าเข้าใจ...ก็พอเข้าใจอยู่หรอก

...แมวเถื่อนไม่อยากแบมือขอตังค์จากพี่ชายเท่าไหร่ แต่ทางผมเองก็ไม่อยากปล่อยแมวเถื่อนไปทำงานที่ไหนไกลหูไกลตา อาจเป็นความเห็นแก่ตัวที่ไม่ต้องการให้แมวเถื่อนไปเจอมิตรภาพใหม่ๆ ในช่วงนี้ก็ได้

บางทีผมอาจจะกลัวว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นระหว่างเราสองคนก็ได้ อย่างน้อยๆ ขอให้ผ่านพ้นสองหรือสามเดือนนี้ไปก่อน ให้ผมได้มั่นใจว่าต่อให้มีปัจจัยภายนอกโผล่เข้ามา สายสัมพันธ์ของเราก็ยังคงเหนี่ยวแน่นอยู่ ถึงเวลานั้นเมื่อไหร่แมวเถื่อนอยากทำอะไรจะไม่ห้าม...

ไม่สิ! ควรพิจารณาเป็นเรื่องๆ ไปจะดีกว่า!

“ภูๆ ฟังอยู่ไหมเนี่ย”

“ฟังสิ”

“แล้วทำไมเงียบ”

“กำลังคิดตามอยู่ไง”

ผมพูดจริงนะ แต่คิดสวนทางกับคนที่กำลังมองหางานอย่างมีคาดหวังว่าผมจะแนะนำงานเหมือนปุ้นให้บ้าง ให้ตายเหอะ! ลำบากใจสัดๆ จนผมต้องแสร้งถามเรื่องอื่นก่อน

“แล้วไอ้ที่บอกว่าจะขอให้เพื่อนๆ มาเล่นเกมที่นี่ในช่วงที่กูไปทำงานล่ะ”

ข้าวยำถอนหายใจออกมาทันที “กูอยากทำอยู่หรอกนะ แต่หลังจากวินทักเรื่องหาคนช่วยแกล้งทำเป็นแฟนแล้ว ตอนนี้ในไลน์กลุ่มก็เงียบมาก ปกติถ้าเงียบแบบนี้แสดงว่าแต่ละคนไม่ว่าง หรือไม่ก็มีเรื่องของตัวเองต้องไปจัดการ แล้วถ้ากูทักชวนเล่นไปตอนนี้ พวกเขาต้องหาเวลามาแบ่งให้กูอีก”

ยิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งหงอยเหงาหนักกว่าเก่า จนผมชักทนฟังไม่ไหว สรุปว่าแมวของผมโดนเพื่อนเทเลยกำลังเหงาอย่างหนัก ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ในคอนโดคนเดียวสินะ

“เอางี้” ผมพูดออกมาในที่สุด “พรุ่งนี้ตามกูไปที่ทำงานก่อน แล้วค่อยดูว่ามีงานอะไรให้มึงทำได้บ้าง แต่ถ้าไม่มีมึงห้ามผิดหวังนะ”

แววตาคนฟังเปล่งประกายขึ้นทันที “ได้เลย!”

“และถ้ามึงตื่นสาย กูจะไม่พาไป”

“ไม่สายๆ” ยืนยันหนักแน่น แต่สักพักก็เริ่มอ้อนต่อ “แต่ถ้ามึงตื่นแล้วปลุกกูด้วยนะ ต้องปลุกให้ได้นะ!”

หึ ผมหัวเราะในลำคอ อยากแกล้งไม่ปลุกอยู่หรอก แต่กลัวว่าถ้าทำจริง แมวบางตัวอาจหอบเสื้อผ้าหนีไปนอนกับพี่ชายก็ได้ เอาวะ พาไปก่อน แล้วคืนนี้ค่อยคิดอีกทีว่าจะทำยังไงดี

-------------

คืนนี้แมวเถื่อนเข้านอนเร็วเป็นพิเศษ ส่วนผมที่นอนคิดอยู่ค่อนคืน ตอนนี้ทำเป็นลุกมาเข้าห้องน้ำ เพื่อแอบแชทกับพี่วีผ่านไลน์เงียบๆ

วาวี: จะพาแมวของมึงมาที่บริษัท? ไม่ดีหรอกมั้ง ขนาดกูยังไม่กล้าเอามาเลย
Phu: มันกำลังเหงา กูไม่อยากให้อยู่ตามลำพัง หรือว่าพาไปอยู่บ้านดี?
วาวี: อ้าว ไม่คิดเลี้ยงต่อแล้วเหรอ
Phu: เลี้ยง! แค่พาไปอยู่ตอนเช้า เย็นก็พากลับ
Phu: หรือบางวันเหนื่อยมาก อาจติดรถมึงกลับไปค้างที่บ้านด้วย
วาวี: ดีๆ แต่แมวของมึงจะเข้ากับแมวที่บ้านได้ไหม หรือแยกไปเลี้ยงในห้องนอนของมึงดี?

ประโยคนี้ของพี่วีทำให้ผมนึกไอเดียดีๆ ออก จึงรีบพิมพ์ตอบไปทันที

Phu: ให้เวลาหน่อย เดี๋ยวก็เข้ากันได้เองแหละ
วาวี: งั้นพามาเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้กูพากลับไปอยู่บ้านให้ หรือจะตามแมวกลับบ้านด้วยก็แล้วแต่มึง
Phu: โอเค แต่มึงเห็นแมวกูแล้วอย่าอึ้งออกนอกหน้านักล่ะ
วาวี: ทำไมกูต้องอึ้งด้วยวะ!
Phu: สติกเกอร์หัวเราะหึๆ อย่างชั่วร้าย

วันต่อมาผมพาแมวเถื่อนที่แต่งตัวเรียบร้อยกว่าปกติไปบริษัทด้วย ข้าวยำดูตื่นเต้นตลอดทาง เข้ามาด้านในตึกก็เอาแต่มองซ้ายมองขวาด้วยท่าทางตื่นตาตื่นใจให้ผมแอบขำ

กระทั่งพาเข้าห้องประธานถึงพากันผงะ เพราะคาดไม่ถึงว่า บริเวณมุมห้องข้างประตูจะกลายเป็นพื้นที่มีรั้วกั้นทำเป็นคอกสัตว์เลี้ยงชั่วคราว ข้างในรั้วมีทั้งของเล่น เบาะนอน ส้วมแมวเตรียมไว้พร้อมสรรพ ส่วนด้านนอกรั้วมีถุงอาหารแมวพร้อมชามใส่น้ำใส่ข้าวเตรียมไว้รอท่า

...ดูก็รู้ว่าพี่วีหวังดีกับแมวเถื่อนสุดๆ แต่ว่านะ

“เอ่อ พี่วี...”

“กูเตรียมที่ให้แมวของมึงตรงมุมห้องแล้ว พาไปไว้ตรงนั้นก่อนแล้วกัน”

เจ้าของห้องพูดสวนกลับมาทั้งที่ก้มหน้าก้มตาดูเอกสารในแฟ้มต่อ โดยไม่รู้เลยว่า ฝ่ายแมวผู้ถูกเอ่ยถึงกำลังมองผมตาขวางเลยล่ะ

ผมรีบส่ายหน้าแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่รู้เรื่องนี้นะ แล้วรีบคว้าข้อมือคนกำลังอารมณ์เสียดึงตัวไปหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของพี่ชาย ยกมือตบโต๊ะเรียกคนสนใจงานให้เงยหน้าขึ้นมามองกันก่อน ก่อกวนจนเจ้าของโต๊ะจำต้องเงยหน้าขึ้นมาอย่างหงุดหงิด

“อะไรอีก...”

น้ำเสียงขุ่นๆ ของท่านประธานหยุดค้างกะทันหัน หลังเห็นว่าไม่ได้มีแค่ผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ และนี่คือโอกาสให้ผมผายมือแนะนำตัวให้คนข้างๆ ให้พี่ชายรู้จักอย่างเป็นทางการ

“นี่ข้าวยำ แฟนกูเอง”

แววตาพี่วีบอกชัดว่า รู้แล้ว แล้วไง? พามาทำไม? ไหนแมวของมึง? 

“และเป็นแมวเถื่อนของกูด้วย”

คนกำลังนั่งอยู่ค่อยๆ เผยปากขึ้นเหมือนคาดไม่ถึงว่า แมวเถื่อนที่คุยกันมาตลอดจะเป็นคน ไม่ใช่แมวอย่างที่คิด ส่วนคนข้างๆ ตอนแรกที่ถูกแนะนำว่าเป็นแฟนก็ทำหน้าไปไม่ค่อยถูก แต่ตอนนี้กลับหันควับทำท่าจะงับหัวกันแล้ว แต่ผมแสร้งทำเป็นไม่เห็น แล้วพูดต่อ

“เห็นมึงกำลังหาคนไว้ใจได้ช่วยดูแลลูกๆ ของมึงอยู่นี่ กูเลยพาแฟนมาสมัครงานพิเศษตามที่บอกไว้เมื่อคืนไง”

บอกเป็นนัยๆ ให้คนเป็นพี่ชายรู้ว่ากำลังหมายถึงงานอะไร แน่นอนว่าต้องเกี่ยวกับบรรดาเหมียวๆ ของที่บ้านอยู่แล้ว พี่วีถึงกับมองค้อนใส่ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหน่ายใจ

“เรื่องงาน...เดี๋ยวกูคุยให้เอง ส่วนมึงน่ะไปทำงานได้แล้วไป๊”

ผมขานรับคำสั่ง ก่อนไปก็ยกมือลูบหัวคนที่ส่งสายตาอยากงับกันใจจะขาดเป็นการให้กำลังใจครั้งสุดท้าย แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี

แมวเถื่อนได้งาน ผมได้คนไว้ใจได้ช่วยดูแลแมวให้อีกที วินๆ กันทั้งสองฝ่าย ว่าไหม?

-------------

หลังจากนั้นมาบ้านแมวที่สร้างไว้รองรับบรรดาเหมียวๆ ที่พี่วีรับมาเลี้ยงที่บ้านก็มีแมวตัวใหม่เข้ามาอยู่ด้วยอีกหนึ่งชีวิต เป็นแมวที่แตกต่างจากตัวอื่นๆ เพราะตัวนี้พี่วีต้องจ่ายเงินค่าจ้างเป็นรายวัน หึๆๆ

วันแรกที่ไปรับตัวกลับคอนโด ผมโดนแมวตัวนั้นทั้งกัดทั้งข่วนซะยับเยิน

“มึงโคตรนิสัยเสีย!”

ผมถูกด่าไปแบบนั้นจนคิดว่าวันต่อมา มันคงไม่ไปทำงานแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าข้าวยำอดทนมากกว่าที่คิด 

ผ่านไปหลายๆ วันก็เห็นข้าวยำเข้ากับทั้งคนทั้งแมวที่บ้านผมได้ดี แลดูได้รับความเอ็นดูจากคนด้วยกันเกินหน้าเกินตาผมที่อยู่ที่นี่มาก่อนด้วยซ้ำ จนใครบางคนแสดงอาการเหนือชั้นกว่าทุกทีที่ได้รับการเอาอกเอาใจ หรือได้รับความเอ็นดูของคนในบ้าน

อิจฉาล่ะสิ อิจฉาให้ตายไปเลย!

ผมทำแค่ยิ้มรับแววตาที่มองมาอย่างสื่อความหมายชัดเจน ในใจน่ะอยากกู่ร้องบอกไปด้วยซ้ำว่า เอาเลย แย่งความรักความเอ็นดูให้เต็มที่ ตอนพาตัวมาอยู่ที่นี่ในอนาคต มึงจะได้กล้าอยู่ด้วยกันไปนานๆ

“คุณภู”

ผมละจากเกมจ้องตาหันไปมองคนเรียก เห็นคนเก่าคนแก่ของบ้านวางถ้วยขนมหวานให้ตรงหน้าพร้อมคำถาม

“คุณวีให้มาถามว่าวันนี้จะอยู่ค้างไหมครับ”

ผมเหลือบมองแมวเถื่อนกำลังตักขนมบัวลอยกะทิใส่ไข่เข้าปากด้วยสีหน้ามีความสุขสุดๆ ไม่รู้ว่าสุขเพราะขนมอร่อย หรือเพราะอวดเรื่องเมื่อกี้ชนะผมกันแน่

“คุณภู”

เมื่อถูกเรียกกระตุ้นให้สนใจอีกครั้ง ก็นึกได้ว่าเมื่อครู่ถูกถามว่าอะไร จึงพยักหน้าให้เห็นว่าจะอยู่ค้าง คนมาถามจึงถามเพิ่ม

“พรุ่งนี้เช้าคุณภูอยากทานอะไรครับ”

“ของผมอะไรก็ได้ ไปตามใจคนนั้นเถอะ”

บุ้ยใบ้ไปทางใครบางคนที่กำลังขอเติมขนมหวานถ้วยที่สอง โดยมีป้าน้อย เจ้าของฝีมือทำขนมกำลังยืนยิ้มปลื้มปริ่มอยู่ใกล้ๆ ทั้งช่วยตักเติมให้อย่างยินดีสุดๆ

...น่ากลัวว่าอีกไม่นานน้ำหนักของแมวเถื่อนคงได้เพิ่มขึ้นแน่ๆ

“น่ารักนะครับ” เหมือนเป็นคำพูดเปรยๆ กับอากาศ “ถ้าเป็นคนนี้ พวกผมจะช่วยดูแลให้เป็นอย่างดี คุณภูวางใจได้”

ผมมองลุงสุข ผู้เป็นเหมือนเป็นพ่อบ้าน และหัวหน้าลูกจ้างของคนที่นี่เดินจากไปด้วยสายตาประหลาดใจ ถึงไม่ได้ปิดบังความสัมพันธ์ของผมกับแมวเถื่อน แต่ก็ไม่นึกว่าเพียงเวลาไม่นาน คนที่นี่จะยอมรับแฟนของผมได้เร็วขนาดนี้

“ทำหน้าประหลาดใจอะไรเล่า พวกเขายอมรับง่ายๆ แบบนี้ก็ดีแล้วนี่”

ผมหันไปมองตามเสียง เห็นพี่วีเดินมานั่งข้างๆ พร้อมกับคว้าถ้วยขนมของผมไปตักกินดื้อๆ พอหยุดคิดตามที่พี่วีบอกก็รู้สึกว่า ‘นั่นสิ’ ทั้งยังเผลอยิ้มออกมา มันดีแล้วจริงๆ นั่นแหละ

“จะเปิดเทอมเมื่อไหร่?” พี่วีถามกะทันหัน

“อาทิตย์หน้า”

“เร็วชะมัด” พี่วีพึมพำเบาๆ แล้วหันมาพูดกับผมใหม่ “ของที่มึงสั่งทำเสร็จแล้วนะ”

ข่าวใหม่ที่เพิ่งได้รับมาทำผมสนใจทันที “จะได้ของเมื่อไหร่?”

“ได้มาแล้วเมื่อกี้ เลขาของกูเพิ่งเอามาให้”

ผมแบมือออกมารอรับของทันที ฝ่ายคนถือถ้วยขนมอยู่ขมวดคิ้วใส่

“วางอยู่บนห้องหนังสือนู้น อยากได้ก็ขึ้นไปเอาเอง ว่าแต่คิดดีแล้วเหรอที่จะให้ของในกล่องกับน้องสะใภ้กูเนี่ย”

“มึงเปิดดูแล้ว?”

“กูเห็นสายตาคนเอามาส่งให้ มันดูน่าสงสัยหรอกถึงได้ลองเปิดดู ป่านนี้เลขาของกูคงนึกว่าความคิดในกล่องนั่นเป็นของกูแหงๆ”

ผมหัวเราะกับคำบ่นนั้นเบาๆ “งั้นกูไปเอาของก่อนนะ”

“เออๆ” พี่วีโบกช้อนไล่

ตอนผมลงมาชั้นล่างอีกครั้งพบแต่ถ้วยขนมว่างเปล่า ตัวพี่วีหายไปแล้ว เดาว่าคงไปหาพวกร้องเหมียวๆ ล่ะมั้ง ส่วนเป้าหมายของผมกำลังวางถ้วยขนมว่างเปล่าลง แล้วเริ่มลูบพุงด้วยท่าทางความอิ่มหนำสำราญใจ

…แต่ดูจากที่ป้าน้อยยกโถขนมออกไปด้วยสีหน้าอารมณ์ดี คาดว่าขนมหวานในนั้นคงหายไปเกินครึ่งแหงๆ คิดแล้วก็ส่ายหน้า ก้าวเท้าเข้าไปหาตัวกินจุ จัดการอุ้มอีกฝ่ายขึ้นจากเก้าอี้ แล้วพาตัวเองลงไปนั่งแทน โดยมีเจ้าของเก้าอี้ก่อนหน้านี้มานั่งตักอีกทอดหนึ่ง

“เก้าอี้ตัวอื่นก็มี จะมาแย่งกูนั่งทำไมเนี่ย!”

แมวเถื่อนโวยวายตามคาด ส่วนผมเริ่มกังวลนิดๆ ว่าต่อไปจะอุ้มใครบางคนไหวหรือเปล่า

“แล้วนั่นอะไร? ของกูใช่มะ”

ผมรีบยกของในมือหลบ “กูยังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้”

“แต่มันมีชื่อกูเขียนไปอยู่นี่!”

ใช่ บนกล่องกระดาษแข็งสีน้ำเงินดูเรียบหรู มีอักษรสีเงินคำว่า Khaoyam อยู่จริงๆ

“อยากรู้ไหมว่าในนี้มีอะไร?”

“มีชื่อกูอยู่บนนั้นก็ต้องอยากรู้สิวะ!”

ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ยอมส่งกล่องขนาดเท่าฝามือให้ แล้วบอกเสียงดังฟังชัด

“เจ้านี่เป็นของขวัญชิ้นแรกจากแฟนอย่างกู”

ข้าวยำอึ้งไปแล้ว มันคงไม่ได้เตรียมใจมาเจอเรื่องเซอร์ไพร์สแบบนี้

“เป็นของที่กูให้ด้วยใจ และอยากให้มึงใส่ติดตัวไปด้วยทุกที่...พอจะทำให้กูได้ไหม?”

คนฟังเริ่มออกอาการเขินให้เห็น แมวเถื่อนนั่งก้มหน้าเม้มปากแน่น ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพยักหน้าหงึกๆ แสดงออกว่าตอบรับ ท่าทางน่ารักซะจนสะกิดต่อมอยากแกล้งขึ้นมา

“พยักหน้านี่หมายความว่ายังไง?” ผมแสร้งถาม

“ม...มึงก็รู้นี่!”

“พอดีว่ากูไม่รู้”

“ภู!” คนถูกแกล้งเงยหน้าขึ้นมามองกันตาวาววับ

“หืม?”

“กูไม่ได้เรียก!”

“คำตอบล่ะ?”

“เออ!”

ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยสื่อว่ายังไม่เข้าใจ ฝ่ายคนที่เขินก่อนหน้านี้สลัดภาพพวกนั้นทิ้งไปนานแล้ว ทั้งยังจ้องมองกันอย่างดุเดือดอีกต่างหาก

“ก็บอกว่าเออไง!”

“เออนี่คือ?”

“ก็ได้ยังไงเล่า!”

“เราได้กันแล้วนี่”

“โว้ย! กูหมายถึงตกลง! ชัดพอไหม!”

ผมคลี่ยิ้มออกมาอย่างพอใจ “โอเค ชัดพอแล้วว่ามึงตกลงจะใส่ติดตัวตลอด แต่ถ้ากูเห็นว่าถอนออกวางทิ้งไว้ล่ะก็...ได้มีคนโดนทำโทษแน่”

“เออน่า!”

คนถือกล่องอยู่ส่งเสียงรำคาญกลับมา แต่แววตานี่จ้องของเพิ่งได้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นสุดๆ

ผมมองข้าวยำค่อยๆ ดึงฝากล่องออก ด้านในกล่องมีสร้อยคอเส้นหนึ่งกับมีการ์ดหนึ่งใบที่เป็นนามบัตรของทางร้าน แมวเถื่อนเห็นการ์ดเข้าก็เริ่มออกอาการตื่นเต้นอย่างหนัก

“ร...ร้านนี้ดังมากเลยนี่”

ผมกระชับกอดรอบเอวแมวเถื่อนมากขึ้น ทั้งยังวางคางลงบนไหล่ มองคนบนตักหยิบนามบัตรใบนั้นออกมา สิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใต้จึงเผยโฉมให้เห็นชัดๆ เป็นครั้งแรก   

“...นี่...นี่มัน...”

ผมหยิบสร้อยคอสีเงินขึ้นจากกล่อง พร้อมกับสวมให้ข้าวยำที่นั่งตัวแข็งทื่อคล้ายตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็นจนพูดมากกว่าสองคำไม่ออก

“สวยใช่ไหมล่ะ กูออกแบบเองเลยนะ”

มือของยำที่ถือกล่องค้างไว้อยู่เริ่มสั่นระริก ก่อนที่กล่องเปล่าใบนั้นจะถูกปาใส่อก

“ภู!! มึงอยากตายคาตีนกูใช่ไหม ถึงได้กล้าเอาไอ้นี่มาให้กูใส่!”

“มึงไม่ชอบ?”

“มึงคิดว่ากูจะชอบปลอกคอแมวไหมล่ะ!”

“นี่ของคนนะ” ผมพูดแย้งทันที “กูสั่งทำจากร้านดีมากด้วยมึงก็เห็น”

“ใครสนใจเรื่องนั้นวะ!”

“งั้นดูนี่ สร้อยบนคอมึงทำจากเงินชุบทองคำขาว รับรองว่าไม่เป็นสนิม ต่อให้ใส่ทุกวันก็ไม่คันแน่นอน”

คนฟังทำหน้าทนไม่ไหวรีบจับสร้อยเป็นคอชูขึ้นบ้าง และนิ้วชี้อีกข้างยกจ่อตรงตัวจี้ที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมแนวตั้งขอบมนทั้งสี่มุมอย่างเฉพาะเจาะจงสุดๆ

“ไอ้นี่น่ะ บ้านกูเรียก dog tag ลายแบบที่สวยๆ หรือเท่ๆ มีให้เห็นตั้งเยอะแยะ แต่ของมึงน่ะ มีรูปแมวหน้าบึ้งไม่พอ ยังกล้าสลักชื่อกูลงไปอีก! และดูนี่มีตัวสะกดอังกฤษไม่พอ มึงยังเอาเส้นประมาคั่น แล้วใส่อักษรภาษาไทยให้กูอีก อย่างกับกลัวใครสะกดชื่ออังกฤษของกูไม่ออกอย่างนั้นแหละ!”

“พูดมีเหตุผล”

“เหตุผลบ้าบออะไร ดีแค่ไหนแล้วที่มึงไม่อุตริใส่เบอร์โทรเจ้าของลงไปด้วยนะ!”

“อ้อ มีนะ” ผมตอบหน้าตาย “พลิกด้านหลังดูสิ”

ข้าวยำรีบพลิกทันที ปรากฏตัวภาษาอังกฤษสลักอย่างประณีตว่า

Call My Husband Phone
081596xxxx

ไม่จบเท่านั้น ด้านล่างยังมี QR Code ด้วย รับรองว่าใครแสกนเจ้านี้จะสามารถติดต่อกับผมผ่านทางไลน์ได้แน่นอน

“ไอ้พี่ภู!!!”

เจ้าของสร้อยตะโกนด่าผมดังลั่นบ้าน ตามด้วยสารพัดคำด่าที่ไม่ได้ยินมานานมาก พอได้ฟังแบบนี้รู้สึกคิดถึงสุดๆ ไม่เพียงแค่วาจา กระทั่งสองมือยังระดมทุบระบายความเครียดแค้นภายในใจไม่มีหยุด จนเหนื่อยแล้วนั่นแหละถึงได้หยุด ทิ้งแค่คำพูดทิ้งท้ายว่า

“โว๊ย! นี่มันเวรกรรมอะไรของกูเนี่ย ถึงได้ต้องมาเจอกับมึง!”

“...แล้วรักไหมล่ะ?”

คนถูกถามตวัดตามองเคืองใส่กันทันที “เพราะรักเนี่ยแหละ กูถึงได้โกรธตัวเองมากกว่ามึงอยู่เนี่ย!”

ผมหัวเราะพรืด พร้อมกับรั้งตัวคนกำลังโกรธจัดจนควันแทบออกหูเข้ามากอดแน่นๆ พลางกระซิบถ้อยคำที่อยากบอกให้คนๆ นี้ได้ยินเพียงคนเดียวเท่านั้นว่า

“รักกูเนี่ย รับรองว่าไม่ผิดหวังหรอกนะ”

“ไม่ผิดหวัง แต่ชอบทำแฟนหัวเสียเนี่ย ไม่ไหวหรอกนะ!”

ผมจูบขมับไปหนึ่งทีอย่างเอ็นดูคนพูดท้วงอย่างที่สุด “สีสันชีวิตดีออก”

“สีสันบ้านมึงสิ! นี่ถ้าไม่รักนะ กูจะไม่ทน!”

“โอ๋ๆ เพราะรักเหมือนกันหรอก ถึงได้ชอบแกล้งชอบแหย่ และยิ่งรักมาก กูก็ยิ่งชอบแกล้งมาก”

“เหรอ...” คนฟังไม่เชื่อเลยสักนิดเดียว “ดูจากระดับความหึงหวงของมึงยังชัดเจนมากกว่าอีก”

“นั่นด้วย”

“นี่ เอาปากของมึงออกไปห่างๆ คอกูหน่อย”

“คงไม่ได้หรอก...รักนะ แมวเถื่อนของกู”

แม้มีคนเถียงกลับมาว่าไม่ใช่แมวโว้ย แต่สำหรับผม ข้าวยำเป็นทั้งคนทั้งแมวที่ผมรักมากที่สุดอยู่ดี 


-------------------  จบบริบูรณ์  -------------------

############
และแล้วสำหรับเรื่องนี้ก็มาถึงปลายทางสุดท้าย...
ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดนะคะ  :pig4:
:กอด1:

นอกจากนี้เรามีเรื่องแจ้งให้ทราบก่อนจากดังนี้ค่ะ
1. ตอนพิเศษของเรื่องนี้จะมีแค่ในหนังสือนะ
2. ถ้าทางสนพ.พบรัก เริ่มเปิดพรีออเดอร์เมื่อไหร่ เราจะมาแจ้งให้ทุกท่านทราบข่าวค่ะ
3. ใครที่รออ่านข้อความลับอยู่ คุณกำลังจะมีข่าวดีค่ะ เพราะคนเขียนใกล้จะเปิดไหแล้วนั่นเอง (ทางเล้าเป็ดเราจะเอามาลงให้หลังเปิดไหดองอย่างเป็นทางการนะ)

มีเพียงเท่านี้ค่ะ ไว้เจอกันใหม่นะ~  :bye2:
KatzeP
-------------------
สามารถติดตามข่าวสารของเราได้ที่https://www.facebook.com/KatzePalm/


ออฟไลน์ มะเหมียว17

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้ยยยยย.... อย่ากกระโดดกัดคอแมว :L2:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
กับดัก......เอ่อ......สร้อยคอของแมวเถื่อนของพี่ภู จริงๆด้วย  :-[
จบอย่างมีความสุข  :impress2:

พี่ภู  ข้าวยำ   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ขอบคุณไรท์มาก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
แมวเถื่อนกลายเป็นแมวมีเจ้าของซะแล้ว 55555

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ sira_nann

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 213
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด