ก่อนวางกับดัก 2 : ผมจะเลี้ยงแมวเถื่อน
“ช่วงนี้มึงมองยำบ่อยนะ”
ผมหันไปมองคนเดินข้างๆ แล้วหัวเราะเบาๆ “ทันข่าวสารชาวบ้านกับเขาแล้วเรอะ”
“กูสังเกตเห็นเองเหอะ”
ผมเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบเฉย “เห็นชัดขนาดนั้น?”
“เออ! เพราะปกติถ้าไม่ใช่ช่วงไปกินเหล้า มึงแทบไม่ชายตาแลน้องมันเลย”
“เหรอ”
นัทมองผมครู่หนึ่งค่อยพ่นลมหายใจออกมา “แต่มึงสนใจช้าไปหรือเปล่า เด็กมันมีแฟนแล้วไม่ใช่เรอะ หรือมึงเป็นพวกโรคจิต ประมาณรอให้โดนเกลียดก่อนถึงหันไปสนใจเขาได้?”
“กูไม่ใช่คนประเภทหลังแน่” ผมมั่นใจ
“ให้จริงเถอะ แล้วไปก่อวีรกรรมอะไรมาวะ น้องมันถึงได้เหม็นขี้หน้ามึงขึ้นมาเนี่ย ไม่ใช่เกลียดธรรมดานะ ต้องเรียกว่ารังเกียจมากขนาดไม่อยากเฉียดเข้าใกล้ ชัดๆ หน่อยก็ประดุจมึงเป็นแมลงสาบที่พอเจอแล้วต้องวิ่งหนีเป๊ะ"
“มึงกลัวแมลงสาบก็บอก”
“กูแค่เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ มึงน่ะตอบคำถามกูมาซะดีๆ”
“ไม่รู้สิ”
“มึงรู้ แต่ไม่อยากบอกกูต่างหาก”
“ถ้าคิดอย่างนั้นก็อย่าถามแต่แรก”
“เออๆ กูไม่ยุ่งด้วยแล้วก็ได้ มึงจัดการเรื่องนี้เอาเองแล้วกัน และอย่าลืมว่าเด็กมันเป็นน้องรหัสใคร”
“แล้วนั่นมึงจะไปไหน” ผมรีบถาม มองเพื่อนที่จะเดินแยกตัวไปอีกทาง
“กูจะไปกินข้าวกับเด็กกูโว้ย! ส่วนมึงจะไปไหนก็ไป ชิ่วๆ”
ผมส่งเสียงตอบรับในคอ ก้าวเท้าตรงไปยังจุดหมายเดิมคือโรงอาหารประจำถิ่นวิศวะ มีจงใจลดฝีเท้าให้ช้าลงจนเหมือนเดินเอื่อยๆ คล้ายกับมาชมวิวทิวทัศน์รอบตัวมากกว่าไปกินข้าว โชคเข้าข้างผมตรงที่วันนี้ฟ้าค่อนข้างครึ้มเหมือนฝนจะตก แดดไม่ค่อยมี เดินรับลมที่พอมีบ้างก็ถือว่าสบายอยู่
“ภู”
ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครเรียกชื่อ หญิงสาวหน้าตาพอพาควงโชว์เพื่อนได้ไม่อายใครคนนี้เป็นคู่ขาคนล่าสุดของผม ก็ก่อนปิดเทอมล่ะนะ
“เอ่อ ภูพอมีเวลาไหม คือ...เรามีเรื่องจะคุยน่ะ”
ผมชั่งใจเล็กน้อย พอคิดถึงจุดประสงค์ถ่วงเวลาให้ตัวเองไปช้ากว่าปกติก็จำพยักหน้าให้
“...ถ้านิดหน่อยก็พอได้”
“ดีเลย งั้นภูไปนั่งรอตรงร่มไม้ตรงนั้นก่อนนะ เดี๋ยวเราตามไป”
ผมนิ่วหน้ามองคนพูดหมุนตัวเดินห่างออกไปทันที มองตามจนเห็นเธอแวะซื้อน้ำจากร้านค้าริมถนนใกล้ๆ ก็ได้แต่พ่นลมหายใจเดินไปนั่งรอใต้ต้นไม้ก่อน สักพักอีกฝ่ายถึงตามมานั่งข้างๆ พร้อมยื่นขวดน้ำเย็นจัดให้
ผมขมวดคิ้วนิดๆ ยอมรับมาหมุดเปิดฝา แล้วยื่นคืนคนซื้อ แต่อีกฝ่ายกลับรีบโบกมือปฏิเสธ
“ไม่ๆๆ เราซื้อมาให้ภู”
มองขวดน้ำในมืออย่างนึกขัน เมื่อก่อนไม่เห็นจะเคยซื้ออะไรให้ มีแต่ผมที่เป็นคนจ่าย มาตอนนี้ผมไม่นึกอยากได้ของในมือสักนิด เลยปิดฝาวางขวดน้ำไว้ตรงกลางระหว่างเรา ไม่คิดจะแตะขวดน้ำนั่นอีก แล้วนั่งรอเงียบๆ ให้เธอจะพูดเข้าเรื่องสักที
“แล้วก็นะ ตอนนั้นอยู่กับภูสนุกมากเลยล่ะ...”
ผมเริ่มเบื่อหน่ายกับการที่เธอเอาแต่พูดถึงเรื่องในอดีต ในใจจึงเริ่มนับเลขถอยหลังไล่จากเลขสามสิบลงมาเรื่อยๆ ไม่ได้ฟังเลยว่าเธอพูดเท้าความเรื่องอะไรออกมาอีก กระทั่งนับถึงเลขศูนย์ก็ลุกขึ้นเตรียมจากไปทันที
“เดี๋ยวภู!”
อีกคนร้องเรียกดังลั่น แต่ผมไม่สนใจ มาชะงักก็ตอนโดนคนๆ เดิมมายืนกางแขนขวางทางอยู่ด้านหน้า
ผมนิ่วหน้าไม่ค่อยพอใจนัก “สรุปว่ามีธุระอะไร?”
ทั้งที่ผมถามด้วยน้ำเสียงธรรมดาที่ติดรำคาญหน่อยๆ แต่เธอกลับทำหน้าลนลานอย่างหนัก
“คือ...เอ่อ...ระ เรา...ยังกลับเป็นเหมือนเดิมได้ไหม”
คนพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิวเกือบไม่ได้ยิน ทั้งรีบย้ายแขนมาแนบตัวกำกระโปรงนักศึกษาสีดำแน่น แถมเลี่ยงไม่ยอมสบตา ท่าทางที่ผมค่อนข้างคุ้นเคย แต่ยามนี้กลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น ยิ่งกับคนที่หายหัวไปตั้งแต่ปิดเทอม แถมขาดการติดต่อกะทันหัน จนผมมารู้ข่าวเอาเองว่าเธอควงคนใหม่โดยไม่คิดบอกกล่าวกันก่อนด้วยซ้ำ
แล้วนี่อยากกลับมาเป็นเหมือนเดิม?
คิดครู่หนึ่งก็พอจับทางได้ว่าอีกฝ่ายมาขอคุยด้วยทำไม ริมฝีปากจึงขยับรอยยิ้มหยันออกมาอย่างอดไม่อยู่ พอรู้สึกตัวจึงกลับมาทำหน้านิ่งเฉยอีกครั้งทันเวลาอีกฝ่ายยอมเงยหน้ามองกันพอดี
“โดนแฟนทิ้งมาหรือไง?”
เธอทำหน้าเสียใส่ สงสัยผมจะเดาถูกเลยแกล้งถอนหายใจสั้นๆ ให้รู้ว่าผมรำคาญแค่ไหน
“เรียกมาเพื่อคุยเรื่องนี้?”
“เอ่อ ก็...”
ผมตัดบทไม่คิดเสียเวลาอยู่ฟังเรื่องไร้สาระอีก “อยากได้คนควงใหม่ไปเย้ยเขาก็ไปหาคนอื่นเถอะ”
กำลังจะเดินผ่านกลับโดนรั้งแขนไว้ ผมหันไปมองเธออย่างหงุดหงิดเล็กๆ
“อะไรอีก!”
“คือว่า...ช่วงนี้ภูว่างไหม”
“ไม่ว่าง”
ตอบทันทีแบบไม่คิด ตอนนี้ผมกำลังสังเกตพฤติกรรมแมวตัวหนึ่งอยู่จะไป ‘ว่าง’ ได้ยังไง
“งั้น...” แววตาคนพูดสั่นไหว เสียงแผ่วเบาแต่จริงจัง “แค่คืนนี้ล่ะ”
ผมเหยียดยิ้มทันทีที่ได้ยิน พลางโน้มตัวอย่างจงใจเข้าใกล้ร่างคนตัวเล็กกว่า ริมฝีปากขยับเข้าไปใกล้ใบหูขาวสะอาด เอ่ยถ้อยคำด้วยเสียงเบาเท่ากระซิบ
“นี่เธอติดใจลีลาของฉัน หรือกำลังขาดเงินกันล่ะ”
“ภู!”
ผมหัวเราะในลำคอ พลางยันตัวกลับมายืนตรง แล้วรีบส่งรอยยิ้มไปขัดก่อนที่อีกฝ่ายจะโวยวายเสียงดังให้หนวกหู
“ฉันให้เลือกแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง เธอคิดได้เมื่อไหร่ก็โทรมาแล้วกัน ฉันยังใช้เบอร์เดิม นี่ถือว่าฉันให้โอกาสคนอย่างเธอไปคิดทบทวนดู”
“ฉันไม่ได้ขายนะภู!”
“งั้นเรอะ” ผมทอดมองอดีตคู่ขาอย่างเฉยชา “ในเมื่อเธอเลือกเป็นฝ่ายเดินจากไปก่อน ฉันก็ไม่มีอะไรจะให้เธอแล้วเหมือนกัน”
“ขอโทษ...”
“อย่าสักแต่พูด ฉันไม่ชอบ”
ผมปลดมืออีกฝ่ายจากแขน ไม่คิดสนใจคนยืนหน้าซีดเผือก แล้วผละตัวเดินจากมาทันที
เธอคนนี้ก็เหมือนคนเก่าหลายคนที่วกกลับมาหาผมอีกครั้ง ไม่ว่าเพราะติดใจลีลาก็ดี กำลังขาดเงินก็ดี แม้ช่วงควงกันปากจะพยายามสาธยายความดีของผมหรือพยายามบอกรัก แต่เท่าที่ผ่านมาความจริงใจหาได้ยากสิ้นดี รู้ทั้งรู้ผมก็ยังเล่นสนุกไปตามน้ำ รอจนพวกนั้นเบื่อแล้วจากไปเอง หรือไม่ก็รอจนผมเบื่อก่อนก็เท่านั้น
พอเดินมาถึงโรงอาหารประจำถิ่นวิศวะ แค่เห็นใครบางคนกลางดงเพื่อนของตัวเอง รอยยิ้มสมใจก็ผุดขึ้นบนหน้าทันที แถมยังลืมเรื่องชวนขุ่นใจเมื่อครู่ด้วย
แมวบางตัวดูน่าสนใจกว่าของน่าเบื่อเมื่อกี้นี้อีก
ผมเหลือบมองโต๊ะข้างๆ ที่เพิ่งวาง แล้วรีบหยิบมือถือกดส่งข้อความเข้าไลน์ก๊วนเพื่อนร่วมกลุ่มภาควิศวกรรมเคมี
Phu: จองโต๊ะว่างข้างโต๊ะพวกมึงให้กูด้วย
กลมกลิ้ง: ทำไมไม่นั่งด้วยกันวะ
Phu: เด็กคนเดียวในโต๊ะจะลุกหนีน่ะสิ
กลมกลิ้ง: อ้อ
- A- : กังลุกไปจองดิ เพราะโต๊ะอยู่ข้างมึง
KangHan: เออๆ เดี๋ยวจองให้
ได้คำตอบพอใจผมก็เดินไปซื้อข้าวซื้อน้ำแล้วยกมานั่งคนเดียวที่โต๊ะข้างๆ โดยที่เด็กบางคนไม่รู้เลยว่ากำลังโดนผมสังเกตพฤติกรรมไปพร้อมตักข้าวเข้าปากอย่างเพลิดเพลิน
“ช่วงเย็นๆ ห้องน้ำชั้นล่างในตึกคณะจะมืดหน่อยๆ ใช่ไหมล่ะ แถมดันมีข่าวลือสารพัด แต่วันนั้นพวกผมปวดฉี่จนทนรอไปเข้าที่โรงอาหารไม่ไหว เลยเกาะกลุ่มกันไปห้องน้ำ เข้าไปแล้วก็มีอาการหวาดระแวงกันหมด
จู่ๆ ดันมีเสียงร้องพิลึกเหมือนควายกำลังเบ่งออกลูกน่ะพี่ แค่นั้นแหละพวกผมวิ่งหน้าตั้งออกจากห้องน้ำแทบไม่ทัน หลอนจนขนหัวลุก ฉี่ตดหดหาย คืนนั้นกลับบ้านยังแทบนอนไม่หลับ แล้วความจริงมาเฉลยในวันรุ่งขึ้นว่าพวกผมโดนพี่ไก่หลอก!”
คนเด็กสุดเล่าเรื่องแบบใส่อารมณ์เต็มที่ โดยมีเหล่าปีสองส่งเสียงหัวเราะเป็นระยะ
“ฮ่าๆๆ”
ผมเคี้ยวข้าวช้าๆ มองข้าวยำหัวเราะคลอไปกับปีสอง
ก่อนนี้ก็เคยสงสัยว่าทำไมเพื่อนๆ ถึงเอ็นดูเด็กคนนี้นัก ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่าเพราะมันเป็นคนแบบนี้ไง เป็นเหมือนน้องคนเล็กที่มีอะไรก็มาเล่ามาบอกอย่างเป็นกันเอง แถมยังพกความร่าเริงสดใสมาเต็มพิกัด มิน่า นัทถึงพูดว่ามันเหมือนหมา มองดีๆ ก็เหมือนลูกหมาจริงๆ นั่นแหละ
ผิดกับตอนอยู่กับผม...
ยกยิ้มบางๆ อย่างคนไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับการโดนใครบางคนปฏิบัติตัวแตกต่าง ไม่ว่าจะเมื่อก่อนตอนที่ยังนับญาติกันดี หรือตอนนี้ที่ใครๆ ต่างก็พูดว่าเป็นเกลียดขี้หน้ากันได้เต็มปากเต็มคำก็ตาม
เพราะในความแตกต่างแปลอีกอย่างคือความพิเศษ และผมก็ชอบที่มันเป็นแบบนั้น
ผมกินข้าวเสร็จก่อนโต๊ะข้างๆ รอเวลาที่ใครบางคนไม่ทันสังเกตเห็นรีบลุกจากไป เพราะถ้าผมไม่ทำอย่างนี้ คราวหน้าคงใช้วิธีนี้อีกไม่ได้แล้ว
หลบออกมาได้สำเร็จก็โดนเพื่อนไลน์ถามหาตัวตน
Phu: กูออกมาก่อนแล้ว
- A- : อะไรของมึงวะ
กลมกลิ้ง: มึงกับน้องมีเรื่องอะไรกันแน่
KangHan: นั่นดิ หลบหน้ากันไปมาอยู่ได้
Phu: ใครบอกว่ากูหลบ
- A- : พวกกูไม่ได้ตาบอด
Phu: กูกำลังใช้ข้อได้เปรียบอยู่ต่างหาก
KangHan: ข้อได้เปรียบอะไรวะ?
Phu: สังเกตการณ์ระยะไกล
KangHan: พวกมึงเข้าใจมันไหม?
- A- : ไม่!
กลมกลิ้ง: สติกเกอร์ชูป้าย No
ข้อความในไลน์จบแค่นั้น มาเจอหน้าพวกมันอีกทีก็ในห้องเรียนช่วงบ่าย
ในระหว่างรออาจารย์เข้าสอน การสรรหาเรื่องมาคุยกันฆ่าเวลาถือเป็นเรื่องปกติ แต่หัวข้อกลับไม่พ้นเรื่องของน้องรหัสเพื่อน ผมหมุนปากกาฟังเพื่อนๆ คุยกันเงียบๆ ด้วยท่าทางเหมือนไม่ได้สนใจจะฟัง
“ช่วงนี้เหมือนยำจะขยาดของมึนเมา” กังหันเปิดประเด็น
“น่าจะใช่วะ กูชวนไปกินเหล้าก็ไม่ยอมไปเหมือนแต่ก่อน”
เอพูดสมทบจบ กลมก็เอ่ยออกความเห็นบ้าง
“หรือยำไปทำอะไรไม่ดีตอนเมามา”
“ไม่รู้วะ มึงคิดไงวะภู”
ผมหันไปเลิกคิ้วให้กังหันแล้วถามกลับ “ทำไมมาถามกูล่ะ”
“ก็มึงเป็นคนหิ้วน้องกลับตอนเมาประจำ”
“ก็ใช่ว่ากูจะรู้สาเหตุนี่”
ผมบอกหน้าตายทั้งที่ในใจรู้ดียิ่งกว่าใคร และอดขำในใจให้คนมีพฤติกรรม ‘วัวหายแล้วค่อยล้อมคอก’ ไม่ได้ เอาเถอะ ถึงช้าไปหน่อย แต่ยังดีที่รู้จักคิดแก้ไข
“หรือจะเป็นเพราะแฟนขอร้องมา?” เอพูดคาดเดา
กังหันดีดนิ้วทันที “เออวะเป็นไปได้ ช่วงนี้ยำดูอินเลิฟดีเหมือนจะไปกันได้สวยซะด้วยสิ”
ผมนิ่วหน้าเล็กน้อย รู้สึกว่าช่วงนี้ชักได้ยินเรื่องแฟนของข้าวยำบ่อยไปแล้ว
“กูได้ยินว่าแฟนยำเป็นผู้ชาย เรื่องนี้จริงใช่ไหมวะ”
ผมหันไปสนใจหัวข้อนี้ทันที เลยทันได้เห็นสีหน้าไม่แน่ใจของคนถามอย่างกลม มีกังหันช่วยตอบข้อข้องใจให้ด้วยน้ำเสียงมั่นใจในข้อมูล
“จริง กูเคยเห็นตัวจริงมาแล้ว เป็นเด็กซนๆ ผิวขาวๆ สองคนนั้นตัวสูงพอกัน ดูแล้วน่ารักดี”
“ยำของเราเนี่ยนะคบกับเด็กแบบนั้น กูนึกภาพไม่ออกเลยวะ”
เอพูดแทรกกลมด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “คงเหมือนเด็กสองคนคบหากันเองแบบป๊อปปี๊เลิฟล่ะมั้ง ฮ่าๆๆ”
“ผิดแล้วเพื่อน” กังหันพูดแย้ง “ตอนยำอยู่กับแฟนไม่ได้เป็นแบบตอนที่อยู่กับเราหรอกวะ น้องเราเก๊กแมนจะตาย กูยังเคยแอบขำลับหลังด้วยซ้ำ”
ได้ยินแบบนั้นผมกลับโล่งใจขึ้นมาเฉยๆ
หือ?
ชะงักกับความคิดตัวเอง...โล่งใจงั้นเรอะ
เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มรู้สึกสะกิดใจอะไรบางอย่าง…
ผัวะ!
หัวกังหันโดนสมุดฟาดเข้าให้ พวกผมหันมองเจ้าของสมุดที่มายืนหลังกังหันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เป็นตาเดียว พี่รหัสของคนในหัวข้อสนทนาเพียงปรายตามองมาด้วยแววตาดุอย่างเดียวก็ทำให้กังหันยอมพูดลากเสียงได้แล้ว
“ขอโทษครับเพื่อนเต้ ต่อไปผมจะเอาเรื่องยำมาพูดเฉพาะตอนเพื่อนเต้ไม่อยู่ฟังนะครับ”
มันเลยได้สมุดกระแทกหน้าผากไปอีกรอบให้เหล่าคนมองหัวเราะเยาะใส่
“เบาเพื่อนเบา หน้าผากกูแดงแล้วโว้ย ใช่มะ ดูให้หน่อยดิ”
ผมชำเลืองมองตามนิ้วชี้ของคนหันหน้ามาหา แล้วตอบไปตามที่เห็น
“ไม่เห็นมี...แต่ถ้ามึงอยากได้รอยแดงเป็นที่ระลึกก็ควรให้เต้กระแทกสันสมุดเพิ่มอีกสักสองสามทีวะ”
“ไม่อยากได้โว้ย!”
-------------
หมดช่วงเวลาเข้าเรียนผมก็ได้เจอน้องรหัสเพื่อนโดยบังเอิญ มันกำลังเดินคุยโทรศัพท์เสียงอ่อนหวานแปลกรูหูเป็นที่สุด
“เพิ่งเลิกเรียนครับ...กำลังเดินอยู่ครับ...ครับๆ รออยู่ที่หน้าคณะนั่นแหละ เดี๋ยวยำไปหา”
ไม่รู้อะไรดลใจทำให้ผมเดินตามหลังมันเงียบๆ จนกระทั่งข้าวยำวางสาย และเหมือนรู้ตัวถึงได้หันมองมา พวกเราสบตากันเพียงแวบเดียว คนเด็กกว่าก็นิ่วหน้าใส่ ทั้งยังเมินหน้าหนีกันดื้อๆ อย่างเสียมารยาทมาก
ด้วยความหมั่นไส้เลยคว้าไหล่รั้งตัวอีกฝ่ายไว้
“เห็นรุ่นพี่แล้วเมินเรอะ”
ข้าวยำเดาะลิ้น แล้วหันมายกมือไหว้ซะสวย
“สวัสดีครับรุ่นพี่” เน้นย้ำอย่างประชดประชัน “พอดีผมมีธุระ ขอตัวก่อนนะครับ”
อีกครั้งที่ผมคว้าไหล่คนหมุนตัวตั้งท่าจะเดินหนี ดูก็รู้ว่าคงไม่อยากอย่างอยู่เสวนาด้วยอีก
แต่ผมจะรั้งมันไว้ ใครจะทำไม?
“จะรีบไปไหนเล่า” ผมคลี่ยิ้มกวนอารมณ์ให้เห็น “ค่อยๆ เดินออกจากตึกด้วยกันก็ได้ ยังไงก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว”
“เกรงใจครับ
รุ่นพี่”
ผมมองอาการกัดฟันพูดของคนตรงหน้าอย่างรื่นรมย์ ทั้งยังจงใจพูดจาอย่างใจกว้าง
“เกรงใจทำไมครับรุ่นน้อง เดินไปด้วยกันนี่แหละ”
ไม่พูดเปล่ายังจับตัวยำดันให้เดินต่ออย่างบังคับกลายๆ จนคนหัวเสียยิ่งกว่าเดิมอีกหลายเท่ากัดฟันกรอดๆ แต่กลับทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องเดินข้างกันให้ผมรู้ซึ้งถึงการได้เกิดก่อนแม้จะแค่ปีเดียวว่ามันดียังไงสุดๆ
“แล้วนี่จะไปไหน”
เงียบ
“นัดใครไว้หรือไง”
ยังเงียบ
“ไม่ตอบแสดงว่าว่างสินะ งั้น...”
“ไม่ว่าง!” คำตอบมาห้วนๆ เหมือนความอดทนหมดลงแล้ว “จะไปหาแฟน!”
“กล้าพูดนะ”
“พูดความจริง”
ผมยกยิ้มมองคนทำหน้าหงุดหงิด “ต่อหน้าคนที่ได้กินหมดเกลี้ยงนี่น่ะเหรอ หรือได้ใหม่แล้วลืมเก่าแล้ว?”
“หุบปาก! กูไม่เคยมีเก่าหรือใหม่กับมึงทั้งนั้น!!”
“พูดแบบนี้คืออยากให้พาไปทบทวนความจำ?”
ข้าวยำตวัดตาโกรธจัดมาให้ทันที
“หุบปากเน่าๆ ของมึงเดี๋ยวนี้ และทางที่ดีไม่ต้องเจอะเจอกันอีกจะดีมาก!”
ทั้งที่ถูกแมวขู่แฟ่ๆ ใส่ ผมกลับมองอย่างสบายอารมณ์ จนแมวเถื่อนหงุดหงิดยิ่งกว่าเก่า แต่เพราะสถานที่ไม่อำนวยให้รุ่นน้องอาละวาดใส่รุ่นพี่ ข้าวยำเลยต้องเก็บกดอารมณ์ด้วยการจ้ำเท้าเดินหนีไปดื้อๆ ผมก็เร่งเท้าตามมาจนถึงทางออกจากตึกจึงค่อยๆ ลดฝีเท้าลงไม่ตามต่อ จงใจปล่อยให้แมวเถื่อนเดินเร็วในจังหวะเดิมต่อไป
ผมหยุดยืนมองหลังน้องรหัสเพื่อนด้วยความขบขัน
ตั้งแต่ผมจำความได้และรู้เรื่องมากพอก็ไม่เคยคิดชอบแมวเหมือนพี่วี ไม่เคยคิดอยากพาตัวเองใกล้ชิดกับแมวตัวไหนด้วยซ้ำ แต่แมวเถื่อนที่เดินหนีไปนู้นกลับทำให้ชักอยากเปลี่ยนความคิดขึ้นมา
เก็บเอาไปเลี้ยงดีไหมนะ?
มองแผ่นหลังข้าวยำที่เล็กลงเรื่อยๆ ก็โคลงหัวเล็กน้อย
...ท่าทางจะยุ่งยาก ไม่เอาดีกว่า
-------------
คนมักพูดกันว่าหนีอะไรมักเจอแบบนั้น
สำหรับผมไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่จากสีหน้าน้องรหัสเพื่อนอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้
“มึงจงใจสินะ”
ผมเลิกคิ้วมองคนที่ช่วงนี้มักบังเอิญเจอกัน แล้วพูดด้วยเสียงห้วนตอกกลับไปบ้าง
“ใครจงใจกันแน่”
คนฟังกัดปากไม่ยอมโต้กลับมา ท่าทางคงรู้ตัวว่าฝ่ายที่เปลี่ยนเส้นทางใหม่คือตัวมันเอง เรื่องนี้ผมมั่นใจ เพราะคนใช้เส้นทางเดินนี้บ่อยๆ อย่างผม ไม่เคยเห็นมันในเดินทางเดียวกันสักที
“มันเป็นทางลัด!”
ผมเลิกคิ้วฟังคนเถียงกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้ แล้วผงกหัวเป็นเชิงเห็นด้วย
ปกติกว่าปีหนึ่งจะรู้จักทางลัดเลาะภายในมหาวิทยาลัยก็ปาเข้าไปเทอมสองนู้น แต่น้องรหัสเพื่อนกลับรู้เร็วมาก และตามข้อตกลงจะไม่มีรุ่นพี่คนไหนบอกหรือสอนจนกว่าจะจบรับน้อง ดังนั้นมีความเป็นไปได้ว่าอาจมีรุ่นพี่สักคนพามันมาเดินแถวทางลัดจนข้าวยำพอจะจำทางมาเดินเองได้
ผมคิดว่าเดาถูก เพราะหลังจากลองปล่อยน้องรหัสเพื่อนเดินนำสักพัก มันก็เดินผิดทิศทันที
ก้าวเท้าตามข้าวยำเงียบๆ ไม่คิดเตือนเพราะใจอยากรู้ว่ามันจะรู้สึกตัวเมื่อไหร่ แต่ใครจะคิดว่ามันจะพาเดินมาจนถึงคณะศิลปกรรม ผมลอบมองคนหลงทางกำลังจ้องป้ายชื่อคณะเขม็ง
“...โผล่มาตรงนี้ได้ยังไง”
แมวเถื่อนเริ่มงึมงำกับตัวเอง ก่อนจะหันซ้ายขวามองรอบตัวเหมือนไม่รู้จะกลับไปจุดหมายเดิมทางไหน
ดูท่าจะแยกทิศเหนือ ใต้ ออก ตกไม่เป็นด้วย
และยังเป็นแมวหยิ่งที่ไม่คิดขอความช่วยเหลือจากใครไม่พอ ยังเลือกเดินสุ่มเองอย่างสะเปะสะปะสิ้นดี
ผมเดินตามเงียบๆ อยากจะรู้นักว่ามันจะไปถึงจุดหมายปลายทางได้เมื่อไหร่
ผ่านมาเกือบชั่วโมง ทั้งผมทั้งมันเข้าเรียนช่วงบ่ายไม่ทันทั้งคู่ ข้าวกลางวันก็ยังไม่ได้กิน แถมต้องมาเดินทัวร์มหา’ลัยกลางแดดร้อนเปรี้ยง
“พอแล้ว!”
จู่ๆ ข้าวยำก็ตะโกนขึ้นกะทันหัน แล้วหันกลับมามองผมที่กำลังดูดน้ำเปล่าในขวดที่เพิ่งซื้อมา
“ตามมาทำไม!!”
“มาดูคนหลงทาง”
“ดูพอใจแล้วก็ช่วยพากลับไปส่งด้วย!”
ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง ไม่ได้ประหลาดใจที่อีกฝ่ายขอความช่วยเหลือ แต่แปลกใจกับประโยคพูดของคนอารมณ์บูดมากกว่า มองแมวเหงื่อซกท่าทางทั้งร้อนทั้งเหนื่อยอยู่ครู่หนึ่งก็ลากน้องรหัสเพื่อนไปอาศัยเงาร่มไม้ใหญ่ใกล้ๆ หลบแสงแดดช่วงบ่าย แล้วยื่นขวดน้ำในมือให้
คราวนี้แมวเถื่อนไม่มีหยิ่งคว้าขวดน้ำได้ก็เล่นดึงหลอดออก แล้วยกกระดกดื่มจากขวดโดยตรงแทน
ผมมองคนหิวน้ำจัด แต่ไม่ยอมซื้อน้ำกินเองสักทีอย่างสงสัย กวาดตามองสำรวจดีๆ ก็พบว่าข้าวยำไม่ได้พกเป้ติดตัวมา ดูตามกระเป๋ากางเกงก็ไม่เห็นมีอะไรนูนออกมาก็ย่นคิ้ว พร้อมเอ่ยปากถามอย่างอดไม่อยู่
“...กระเป๋าตังค์กับมือถือไปไหน”
คนเพิ่งกินน้ำหมดขวดใช้แขนเสื้อเช็คปากลวกๆ แล้วหันมาตอบ “อยู่ในเป้”
“เป้ไปไหน?”
“อยู่กับเพื่อน”
“แล้วเพื่อน...”
คราวนี้คนฟังคำถามพูดสวนกลับมาทั้งที่ผมยังพูดไม่ทันจบประโยค “เพื่อนรออยู่โรงอาหาร แต่ตอนนี้คงเข้าเรียนกันแล้ว”
ฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ พลางมองเด็กหลงอย่างเวทนาหน่อยๆ
“หายเหนื่อยแล้วก็ตามมานี่”
ผมตัดสินใจโดดเรียน แล้วพาแมวหิวโซมาหาอะไรกินที่โรงอาหารใกล้ๆ แทน ด้วยความที่เป็นโรงอาหารของถิ่นคณะมนุษยศาสตร์ แม้จะเลยเวลาเที่ยงไปแล้วก็ยังมีคนอยู่พอสมควร มองไปเห็นแต่เพศหญิงเป็นส่วนใหญ่ เจริญตากว่าโรงอาหารคณะผมที่มีแต่ผู้ชายเป็นส่วนมาก
เหล่มองคนเดินตามมา ถ้าเป็นคนอื่นคงเหล่สาวไปแล้ว แต่ข้าวยำเอาแต่จ้องมองป้าๆ ร้านข้าว แล้วทำหน้าเครียดประหนึ่งหลงเข้ามาในแดนนรก สังเกตสักพักก็ลองยื่นแบงค์ร้อยไปให้ สีหน้าข้าวยำกลับดีขึ้นทันตาเห็น
“ยืมก่อนนะ”
คว้าเงินได้ก็เดินเริงร่าไปซื้อข้าวซื้อน้ำทันที ผมลอบส่ายหน้าแล้วไปต่อแถวซื้อข้าวบ้าง
ระหว่างทานข้าวก็ลอบสังเกตพฤติกรรมน้องรหัสเพื่อนไปด้วย
...ทั้งที่อยู่กลางดงสตรี แต่ทำไมถึงเอาแต่มองจานข้าววะ
คิดแล้วก็ลองชี้ชวนให้ดูผู้หญิงสวยๆ ข้าวยำเงยหน้ามองตามเพียงครู่เดียวก็กลับมาจ้องจานข้าวของมันต่อ ผมอดถามไม่ได้จริงๆ
“...มึงไม่ชอบผู้หญิง?”
“ไม่ได้ทั้งชอบหรือเกลียด”
“งั้นผู้ชายล่ะ”
“ชอบคนร่าเริง หรือแบบซุกซนก็น่ารักดี”
ฟังคำตอบที่มาทันทีแล้วก็เผลอย่นคิ้ว “...มึงชอบมองผู้ชายมากกว่าผู้หญิง?”
“อือ”
ตอบรับเต็มปากเต็มคำด้วยสีหน้าเฉยสนิท ผมยิ่งไม่เข้าใจหนักกว่าเก่า
“ถ้าชอบผู้ชายอยู่แล้ว วันนั้นจะโวยวายไปเพื่ออะไร”
เหมือนผมไปกดโดนสวิทซ์อะไรสักอย่าง จากท่าทีที่เหมือนเริ่มเป็นมิตรก็เปลี่ยนกลับมาเป็นแบบเดิมทันที
“มึงทำอะไรกูไว้ล่ะ!”
“จะให้พูดสาธยายตรงนี้”
“ไม่ต้อง!”
คราวนี้ข้าวยำเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้าหา แถมยังกระดิกนิ้วส่งสัญญาณให้ผมขยับหัวไปหามันด้วย
“กูเป็นรุก ไม่เคยคิดจะเป็นรับ!”
นั่นเป็นคำกระซิบที่ค่อนข้างจริงจังมาก
“และมึงทำลายศักดิ์ศรีของกูไปแล้ว!”
“แต่คืนนั้นมึงเป็นคนเริ่มต้นก่อน” ผมบอกเสียงเนือง “ถ้ามึงไม่เริ่ม เรื่องนั้นคงไม่เกิดขึ้นแน่”
คนฟังอ้าปากแล้วหุบอยู่หลายรอบ แต่สุดท้ายก็ย่นคิ้วตักข้าวเข้าปากโดยไม่พูดอะไรอีกเลย
หลังเติมอาหารเต็มท้อง ผมก็พาเด็กหลงทางมาส่งถึงจุดหมาย ก็จุดหมายเดียวกับผมนี่แหละ ข้าวยำต้องไปชั้นสี่ ส่วนของผมอยู่ชั้นสอง เข้าไปในห้องเรียนตอนนี้อาจเป็นจุดเด่น แต่ช่างมันเถอะ
“ภู”
ผมหันไปแก้คำเรียกทันที “พี่ภู”
ข้าวยำขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมเรียกตาม “พี่ภู...กระดากปากวะ”
“กระดากยังไงก็ต้องเรียกแบบนี้”
มันทำหน้ายุ่งใส่ แล้วพูดเข้าเรื่องทันที “กูขอให้มึงลืมเรื่องนั้นให้หมด”
“ยาก”
“ยากก็ต้องทำ!”
ผมมองหน้าจริงจังของน้องรหัสเพื่อน แล้วเผลอหลุดปากถามเรื่องอื่นออกไปแทน
“อยากให้กูเลี้ยงมึงไหม”
“ฮะ?”
“ถึงคิดว่าคงยุ่งยาก แต่กูกลับสนใจจะเลี้ยงมึงอยู่ดี”
ผัวะ!
หมัดแมวเหมียวทำแก้มซีกขวาของผมชาไปครู่หนึ่ง ส่วนคนปล่อยหมัดเดินโมโหขึ้นบันไดไปแบบไม่เหลียวกลับมา ผมดุนลิ้นข้างแก้ม สัมผัสรสสนิมของเลือดได้จางๆ
...ไม่อยากให้เลี้ยงก็น่าจะบอกกันดีๆ สิ
############
มีเรื่องจะแจ้งเล็กน้อยค่ะ
สำหรับเรื่องนี้จะใช้ชื่อแท็ก #แมวเถื่อนของพี่ภู กันนะคะ
และอีกไม่กี่วันก็ขึ้นปีใหม่แล้ว เราขอสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ
Happy New Year!
ขอให้ปี 2017 เป็นปีที่ดี
เป็นปีที่มีความสุขความเจริญทั่วหน้าค่ะ ไว้เจอกันใหม่ปีหน้านะ ^_^
03/01/60 - แก้ไขคำผิด