กับดักที่ถูกวางทิ้งไว้ 1 : ทางเลือก
“เอ้านี่”
แขกผู้มาเยือนถึงหน้าห้องพักยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาตรงหน้าผมที่กำลังอ้าปากหาวหวอดใหญ่
“...ขอบใจ”
รับมาแม้ไม่เข้าใจว่ากังหันจะเอามาให้ถึงที่แต่เช้าทำไมก็ตาม...หรือเพราะผมไปพูดเร่งให้มันรีบหาข้อมูล มันเลยแก้เผ็ดกันด้วยการมาปลุกแต่เช้าในวันหยุด?
“ถ้าจะมองกูอย่างนั้นก็พูดด่ามาตรงๆ เถอะว่าถ่อมาหาทำไมแต่เช้า”
“กูมีสิทธิ์ว่ามึงซะที่ไหน...จะเข้ามาก่อนไหม”
“เข้า”
กังหันดันตัวผมเข้ามาในห้อง แล้วช่วยปิดประตูให้ “กูมีเหตุผลที่เอามาส่งให้มึงถึงที่ อย่างแรก...กูไม่อยากให้ใครรู้ว่าที่บ้านทำงานเกี่ยวกับอะไร”
“ไม่เห็นจะดูแย่อะไร” ผมพูดทั้งที่ตามองตราประทับสำนักงานนักสืบบนซองเอกสารไปด้วย “แล้วนี่มึงให้ที่บ้านช่วยหาข้อมูลให้เหรอวะ”
ถามพร้อมกับเปิดซองดูของด้านในว่ามีอะไรบ้าง แต่ยังไม่ทันได้เห็นก็ได้ยินเสียงจานกระทบกันเข้าก่อน เลยหันไปดูต้นเสียง แล้วถามอย่างแปลกใจแทน
“จะกินข้าวที่นี่เรอะ”
กังหันกำลังถือจานกับช้อนเดินตรงมา ในมือมีถุงใส่ห่อข้าวเกี่ยวนิ้วมาด้วย
“เออสิ กูซื้อมาเผื่อมึงด้วยเนี่ย”
ผมจำต้องวางซองสีน้ำตาลทิ้งไว้บนเตียง แล้วก้มตัวไปลากโต๊ะญี่ปุ่นจากใต้เตียงออกมากางบนพื้นห้อง ให้เพื่อนเอาของในมือมาวาง แล้วช่วยมันแกะห่อข้าวเทใส่จาน ดูจากกับข้าว น่าจะเป็นข้าวแกงร้านโปรดของมัน
“...ว่าแต่รูมเมทมึงย้ายออกไปแน่แล้วเหรอวะ”
“แล้วมึงเห็นข้าวของมันยังอยู่ไหมล่ะ”
“มิน่า ห้องมึงถึงดูโล่งๆ...พูดถึงห้อง กูชอบแบบห้องยำมากกว่า ไม่มีเตียงมาวางให้เกะกะพื้นที่ด้วย”
พูดเรื่องนี้ผมจึงนึกเรื่องที่ลืมถามเจ้าของห้องบ่อยๆ ออก คราวนี้มีคนที่น่าจะรู้เรื่องอยู่ตรงหน้าก็ขอถามสักหน่อยแล้วกัน
“เตียงห้องน้องหายไปไหนวะ”
“มึงไม่รู้เรอะ ข่าวออกจะดัง”
“ข่าวไร”
“ข่าวช่วงเปิดเทอมไงที่มีเด็กปีหนึ่งใจกล้าคู่หนึ่งร้องขอให้ผู้ดูแลหอย้ายเตียงออกไปน่ะ”
“อ้อ...สองคนนี้เองเรอะ”
“เออ! ยำกับวินนี่แหละ สองคนนั้นให้เหตุผลสั้นๆ ว่าสภาพเตียงเกินเยียวยาเลยไม่กล้าใช้”
“แย่กว่าห้องอื่นอีกเรอะ”
“ไม่แน่ใจวะ แต่ขนาดน้องมันรับไม่ได้นี่ก็น่าคิดนะ และเพราะเรื่องนี้ กูเลยได้ยินข่าวลือว่าปีหน้าเขาจะเปลี่ยนเตียงใหม่เป็นเตียงสองชั้นแทน แล้วก็อาจเปลี่ยนให้อยู่สี่คนต่อห้องด้วย”
ผมขมวดคิ้วทันที “อึดอัดแย่แน่”
กังหันยักไหล่ “มันก็ไม่เกี่ยวกับเราแล้วปะ”
“ก็จริง” ผมยอมรับ แล้วถือโอกาสบอกเพื่อนไปด้วย “กูว่าจะย้ายออกเทอมหน้า มึงล่ะ”
“อยู่อีกเทอม ใกล้ปิดเทอมใหญ่ค่อยลองถามพวกรุ่นพี่ที่เรียนจบปีนี้ดู ทำแบบนั้นคงได้ห้องง่ายกว่าไปหาเอาเองดาบหน้า”
“มึงพูดถูก แต่กูว่าช่วงเวลานั้นได้เกิดศึกแย่งชิงห้องกันแน่”
กังหันหัวเราะร่วน “ถ้าไม่เลือกทำเลใกล้มหา’ลัยมากนัก อัตราแข่งขันน่าจะน้อยลง ยังไงกูกับเอก็มีมอเตอร์ไซค์ทั้งคู่ เลือกห่างสักหน่อยคงไม่มีปัญหาหรอก”
“พวกมึงจะพักอยู่ด้วยกัน?”
“ก็ประหยัดค่าห้องดี แต่ถ้าหาได้คนละห้องคงแยกกันอยู่น่าจะสะดวกกว่า”
ผมฟังไปตักข้าวเข้าปากไป เรากินบ้างคุยบ้างจนหมดจาน จึงช่วยกันเก็บกวาดโต๊ะกับเอาขยะไปทิ้งถังใหญ่ด้านนอก แล้วมานั่งคุยเรื่องของด้านในซองสีน้ำตาลกันต่อที่โต๊ะญี่ปุ่น
กังหันเทของด้านในซองออกมา มีทั้งเอกสารทั้งพวกรูปถ่าย
“มึงเอาเอกสารสองแผ่นนี้ไปอ่านก่อน”
ผมรับมากวาดตาอ่านคร่าวๆ…สมแล้วที่มืออาชีพหาข้อมูลให้ ทั้งละเอียดทั้งครบถ้วนยิ่งกว่าที่ผมขอเพื่อนไปอีก ดูจากผลงานในมือ ผมว่ากังหันคงวานให้ที่บ้านช่วยจริงๆ นั่นแหละ
เมียของเมียผมเป็นเด็กภาคเหนือ ทั้งที่เลือกเข้ามหาวิทยาลัยใกล้บ้านได้ แต่เจ้าตัวกลับเลือกเรียนไกลบ้าน ถ้าเพื่ออนาคตข้างหน้าคงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กรณีเด็กนี่คงเพราะอยากไปให้พ้นหูตาพ่อแม่มากกว่า
“ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเด็กมีปัญหา...รักแรกเป็นพี่ชายข้างบ้านอายุห่างกันสามปี คบหากันตอนอยู่ม.ต้น พอโดนพ่อแม่จับได้ก็ถูกกีดกันทันที จากนั้นถูกคุมเข้มอย่างหนัก แล้วช่วงโดนกีดกันฝ่ายชายกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยอีก หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย นี่เรื่องจริงหรือละครวะ?”
“แทนที่มึงจะเห็นใจเขา”
“อ้าว กูผิดที่ประหลาดใจกับเรื่องนี้เรอะ”
“โลกความเป็นจริงก็อย่างนี้แหละ ต่อให้ตอนนี้สังคมเปิดกว้างมากขึ้น แต่คนที่ไม่ยอมรับก็ยังมีไม่น้อย แล้วเด็กนี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น...คงเจ็บปวดมาไม่น้อยเลยล่ะ”
“...ก็น่าเห็นใจอยู่”
“แต่เสียงมึงเรียบมาก ฟังไม่เหมือนเห็นใจเขาเลยวะ”
ผมขี้เกียจเถียงเลยถามเรื่องที่อยากรู้แทน “แล้วผู้ชายที่ถูกกล่าวถึงในนี้ ตอนนี้ไปอยู่ไหนแล้วล่ะ”
“มึงอยากรู้ไปทำไม”
“เอาไว้ต่อรอง เพราะเด็กนี่น่าจะอยากเจออดีตพี่ชายข้างบ้านคนนี้ไม่น้อย”
“ก็จริง แต่คราวนี้ไม่ฟรีแล้วนะ”
“แล้วแต่มึง” ผมไม่คิดมากถ้าเพื่อนจะคิดตังค์ค่าสืบ ถือว่าอุดหนุนกิจการบ้านเพื่อนแล้วกัน
อ่านข้อมูลจนครบทั้งสองแผ่นก็เงยหน้าขึ้น เห็นกังหันกำลังมองอยู่เลยยิ้มให้เพื่อนเล็กน้อย
“พอได้อ่านปัญหาคนอื่นแล้ว กูถึงได้เข้าใจว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่พี่วีไม่คิดมาก หากกูจะคบหาผู้ชายสักคนเป็นแฟน”
“ใช่ มึงโชคดี” กังหันพูดอย่างเห็นด้วย “ส่วนเมียของเมียมึงโชคร้าย รายนั้นเลยเลือกหนีห่างจากสภาพแวดล้อมเดิมๆ ด้วยการยกเรื่องเรียนเรื่องอนาคตมาอ้างกับที่บ้าน แล้วเผ่นมาใช้ชีวิตตามลำพังถึงนี่ ส่วนข้าวยำก็ดันเข้าไปจีบในจังหวะที่เขากำลังอยากเปิดเผยรสนิยมตัวเองพอดี”
กังหันถอนหายใจ แล้วยื่นเอกสารแผ่นต่อไปมาให้
“มึงอ่านแผ่นนี้ต่อ”
ผมยื่นมือไปรับมาดู คราวนี้ต้องประหลาดใจพอสมควร เพราะทั้งแผ่นเป็นเรื่องของข้าวยำล้วนๆ หลังตั้งใจอ่านเป็นพิเศษจนจบ กังหันถึงเริ่มพูดต่อ
“เมียของมึงก็เป็นเด็กมีปัญหาทางครอบครัวเหมือนกัน สองคนนี้เลยคลิกกันได้เร็วเป็นพิเศษ เพราะเจอสถานการณ์คล้ายๆ กันมา นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คู่นี้คบกันได้เร็วเป็นพิเศษ”
ผมกลับไม่ติดใจเรื่องนั้นเท่ากับอีกเรื่อง “...แล้วเรื่องแม่ที่พูดถึงในนี้ล่ะ จริงเท็จแค่ไหน?”
“มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่คนเป็นแม่หนีตามผู้ชายอื่นไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ส่วนตรงที่เขียนว่าคนแม่ตายไปแล้วเป็นข่าวลวงที่คนพ่อปล่อยออกมา...ถ้ามึงอยากรู้รายละเอียดเพิ่มพลิกไปด้านหลัง”
ด้านหลังมีข้อความแล้วก็รูปประกอบที่ยืนยันว่าเธอไปสนามบินกับผู้ชายชาวต่างชาติคนหนึ่งจริง
...นี่สินะความหมายของคำว่าคนทรยศที่ยำพูดถึงวันนั้น
“มึงไปหาเรื่องนี้มาได้ไง” ผมถามอย่างสงสัย เพราะเรื่องมันเกิดเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ข้อมูลไม่น่าจะเหลือให้สืบหาได้
“คนพ่อเคยมาขอให้บ้านกูสืบหาเมียที่จู่ๆ ก็หายตัวไปน่ะสิ กูเห็นว่าเกี่ยวข้องเลยก๊อปปี๊มาให้มึงดู”
“เกี่ยวตรงไหนวะ?”
“ตรงที่ทำให้น้องเรามีอคติกับเพศหญิงมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมาเลยเป็นเกย์อย่างทุกวันนี้ไง”
“อ้อ”
“มึงอ่านแผ่นนี้ต่อ”
ผมรับมาดูพบว่าเป็นข่าวที่ตัดจากหน้าหนังสือพิมพ์เก่า แต่กระดาษในมือผมคือซีรอกส์มาอีกที มันเป็นกรอบข่าวเล็กๆ ที่เขียนว่าเด็กม.ต้นขึ้นศาลเยาวชน เหตุเพราะทำเพื่อนร่วมโรงเรียนเป็นหมัน อ่านเนื้อหาจบก็ยังไม่เข้าใจว่ากังหันเอามาให้ผมดูทำไม
“ที่มึงอ่านไปคือจุดเริ่มต้น ไอ้คนโดนกระทืบของรักของหวงจนเป็นหมันสามารถโตขึ้นมาแบบปรับตัวได้ดี อาจเพราะยังเป็นเด็กด้วย แต่ไม่รู้ว่าเพราะไอ้นั่นใช้การไม่ได้หรือเพราะฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง มันถึงได้เบี่ยงไปเป็นกระเทยซะได้ แต่สันดานคนกลับไม่ได้เปลี่ยนด้วย”
กังหันวางรูปใบหนึ่งบนโต๊ะ เป็นรูปข้าวยำหัวเกรียนในชุดรด. มีพลาสเตอร์ยาแปะบนหน้า สภาพคล้ายไปมีเรื่องชกต่อยกับใครมา แล้วดูตาขวางๆ มองกล้องนั่นสิ ฮ่าๆๆ สมฉายาแมวเถื่อนที่ผมตั้งให้เลยวะ
“มึงหัวเราะอะไร น้องมันดูสมชายชาตรีดีออก ไม่เห็นมีอะไรน่าตลก”
ผมโบกมือปฏิเสธ พยายามกลั้นขำเต็มที่ “รูปนี้กูขอได้เปล่า”
“...ถ้ามึงยอมบอกว่าหัวเราะเรื่องอะไร”
“กูเคยพูดว่าเห็นยำเป็นแมวเถื่อน รูปนี้สมฉายากูมาก กูเลยหัวเราะขำไง”
กังหันขมวดคิ้ว หมุนรูปมาจ้องดูสักพักก็หัวเราะออกมา
“กูเห็นแต่ข้าวยำฉบับร่าเริงเป็นลูกหมาจนชินตา ตอนมึงพูดถึงครั้งนั้นเลยนึกภาพไม่ออก เพิ่งจะเข้าใจก็ตอนนี้วะ ฮ่าๆๆ”
ผมแย่งรูปไปจากมือเพื่อนทันที “อย่ามองมาก กูหวงแมวของกู”
“กล้าพูดนะมึง” กังหันทำหน้าหมั่นไส้ใส่ “กลับเข้าเรื่องกันก่อน ข้าวยำเวอร์ชั่นแมวเถื่อนหัวเกรียนของมึงถูกตาต้องใจกระเทยรุ่นเดียวกันไม่น้อย หนึ่งในนั้นก็มีกระเทยที่เป็นหมันนั่นด้วย”
“อย่าบอกนะว่ามันฉุดยำไปปล้ำเหมือนที่เคยทำกับเด็กที่กระทืบมันไปน่ะ!”
“ตามนั้นเลย แต่คราวนี้เปลี่ยนจากฉุดไปทำเมีย เป็นฉุดไปทำผัว”
ผมตบโต๊ะด้วยหงุดหงิด กังหันเล่าต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
“แต่ก่อนจะมีการเสียตัวเกิดขึ้น เพื่อนยำก็ไปช่วยไว้ได้ทัน เลยโดนคนเดิมที่ทำมันเป็นหมันกระทืบเข้าให้จนไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาล พร้อมกับพรรคพวกอีกสองคน”
“ทำได้ดีมาก!” ผมพูดชมอย่างถูกใจ และนึกสนใจขึ้นมาด้วย “เพื่อนยำคนนั้นใครวะ”
“ชื่อที เรียนอยู่คณะเศรษฐศาสตร์”
ผมชะงักไปทันที “คณะนี้มัน...”
“ใช่ คณะเดียวกับเมียของเมียมึง แล้วยังเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันด้วย อีกทั้งยังเป็นสาเหตุให้ยำมาเจอกับเด็น แต่เรื่องนี้ไว้คุยกันทีหลัง กูขอพูดประเด็นเดิมให้จบก่อน” กังหันวางรูปใหม่ลงบนโต๊ะญี่ปุ่น “มึงลองสังเกตรูปพวกนี้ดู”
ที่เห็นมีแต่รูปข้าวยำในชุดนักศึกษาฝั่งเดียว ส่วนอีกฝั่งเป็นทิศที่ยำมองไปกลับถูกตัดแยกออกไปอย่างจงใจ แล้วทุกรูปก็แสดงออกถึงความหวาดระแวงปนระวังตัวของแมวเถื่อนทั้งนั้น
“ยำกำลังกลัวอะไร”
กังหันตอบผมด้วยการหยิบรูปใบใหม่ขึ้นมาวาง แค่เห็นก็ทำผมชะงักไปทันที ยิ่งเห็นใบอื่นๆ ก็ยิ่งรู้สึกพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองเพื่อนจับรูปภาพพวกนั้นมาประกบกับรูปข้าวยำก่อนหน้านี้จนภาพแต่ละใบกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
“นี่คืออีกสาเหตุที่ทำให้กูอยากสืบเรื่องยำ” กังหันพูดออกมาทั้งที่สายตายังไม่ละไปจากรูปแต่ละใบ “กูนึกสงสัยตั้งแต่ได้เห็นยำเขยิบหนีรุ่นพี่ที่เป็นกระเทยแล้ว พอสังเกตมากขึ้นก็เห็นน้องมักหลีกกระเทยทุกวัยเป็นพิเศษ”
“...ผลจากเรื่องโดนฉุด?”
กังหันพยักหน้า “เหมือนจะเป็นแผลฝังใจซะด้วย แล้วที่กูยกเรื่องนี้มาพูดก็เพราะ...”
รูปบนโต๊ะถูกปัดไปกองรวมกันด้านข้าง แล้วแทนที่ด้วยรูปใหม่สองใบ
“มึงลองสังเกตสองรูปนี้ให้ดี”
ผมมองตาม รูปแรกคือเด็กชื่อเด็นอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่มีทั้งชายและหญิง อีกรูปก็เหมือนกันเพียงแต่กลุ่มเปลี่ยนเป็นอีกกลุ่ม
“เพื่อนในมหา’ลัยกับเพื่อนนอกมหา’ลัย?”
“จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ แต่ที่กูอยากให้ดูคือบรรยากาศและการแสดงออกของเด็กนี่ต่างหาก”
ผมมองรูปถ่ายอีกครั้ง หากให้เปรียบเทียบ รูปในฝั่งซ้ายเสมือนคนปกติทั่วไปที่สวมหน้ากากเข้าหาผู้อื่นเพื่อความอยู่รอดในสังคม แต่ในรูปทางฝั่งขวาเหมือนถอดหน้ากากออกกลับคืนสู่ธรรมชาติของตนเอง…
ธรรมชาติงั้นเหรอ
ผมทวนคำอยู่ในใจ และเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ยิ่งกังหันหยิบรูปใหม่ที่เด็นอยู่ร่วมกับเพื่อนนอกมหา’ลัยมาไล่เรียงต่อกันให้ดูก็ยิ่งเห็นสิ่งผิดปกติที่ว่าชัดขึ้นทุกทีๆ
“เด็กนี่เป็นกระเทยเรอะ!”
“กูคาดเดาว่าใช่ แต่เหมือนเจ้าตัวยังสับสนกับตัวเอง”
“สับสนอะไรอีกวะ แสดงออกชัดขนาดนี้!”
“อาจเพราะถูกบีบให้ต้องเก็บซ่อนตัวตนในเปลือกมานานก็ได้ เด็กนี่เลยเกิดความขัดแย้งในใจขึ้น คงต้องใช้เวลาสักพักถึงจะหายสับสน อันนี้กูเดานะ”
“อ้อ แต่ต่อให้สับสนแค่ไหนก็ยังห้ามตัวตนลึกๆ กะเทาะเปลือกออกมาไม่ได้อยู่ดีสินะ”
“มันเลยเป็นปัญหากับยำไง และนี่คืออีกเหตุผลที่กูโผล่มาหามึงถึงที่แต่เช้า”
ผมเคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างครุ่นคิด “...มึงคิดว่าถ้ายำรู้เรื่องนี้จะเกิดอะไรขึ้น”
“ไม่เห็นต้องถาม เป็นอย่างในรูปที่กูให้มึงดูชัวร์”
“แต่นี่คือแฟนมัน”
“ก็เพราะแฟนน่ะสิ” กังหันถอนหายใจ “ถ้าคู่นี้ฝืนคบกันก็มีแต่ปัญหาตามมาเป็นพรวน...กูว่านะทำให้เลิกกันตั้งแต่ตอนนี้ยังดีซะกว่าอีก”
ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยยามเห็นแววตาสื่อนัยบางอย่างของกังหัน
“มึงจะให้กูรับบทตัวร้าย?”
“ถ้าให้พูดตามจริง ตอนแรกกูก็ไม่เห็นด้วยถ้ามึงจะไปทำคู่รักแตกแยก แต่ตอนนี้กูว่ามึงควรทำ”
ผมเคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างใช้ความคิดอยู่นาน กว่าจะพูดขึ้นมา
“...ทำให้เลิกไม่ใช่เรื่องง่าย”
“กูรู้ ดูจากเด็กนี่ตามไปราวีข้าวยำถึงคณะ คงไม่มีทางยอมเลิกง่ายๆ หรอก”
ผมนิ่งใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยพูดออกมา “มึงได้สืบช่วงที่สองคนนี้มีปัญหาหรือเปล่า”
“สืบสิ แต่หาข้อมูลไม่ได้วะ เลยยังเป็นปริศนาคาใจกูอยู่เนี่ยว่าเพราะอะไร”
ผมลอบถอนหายใจ อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องที่เพื่อนสืบหาไม่ได้อยู่ เพราถ้าเล่นสืบได้หมด ผมคงเริ่มกลัวมันขึ้นมาจริงๆ
“ที่กูพอหาได้คือยำเมาหนัก เด็นจึงพามันกลับมา แล้วให้นอนที่หอตัวเอง...”
“อะไรนะ!” ผมทวนคำอย่างไม่เชื่อหู “ยำเมาแล้วไปนอนค้างกับเด็กนี่เรอะ!!”
“ช...ใช่”
กังหันดูอึ้งที่ผมทำเสียงดังใส่กะทันหัน แต่ผมสิอึ้งกว่า!
แต่พอนึกได้ว่าเด็กนี่คงไม่เป็นฝ่ายรุกใครแน่ก็พ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พร้อมกับยกมือมาคลึงขมับหลังเริ่มเดาได้บ้างแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เพื่อความแน่ใจต้องถามเพื่อยืนยันอีกที
“หลังจากคืนนั้นท่าทีของสองคนนี้ก็เปลี่ยนไปสินะ?”
“ใช่...มึงรู้อะไรบางอย่างใช่ไหม!”
ประโยคหลังกังหันใช้น้ำเสียงคาดคั้นใส่กัน
“ไม่เชิง” ผมถอนหายใจอีกเฮือก “…กูเป็นคนพาข้าวยำที่เมาเหล้ากลับไปทุกครั้งก็จริง แต่ไม่เคยพามันไปค้างด้วยเลยจนกระทั่งคืนที่เราไปเปลี่ยนบรรยากาศกินเหล้าไกลจากมหา’ลัยมาก”
“อ้อ กูจำได้ แล้วช่วงนั้นยำก็แสดงออกว่าเกลียดขี้หน้ามึงด้วย”
“เหตุเกิดคืนนั้นแหละ กูไม่อยากขับกลับมานอนหอเลยไปนอนที่คอนโดพี่วีแทน แล้วกูก็พามันไปนอนค้างด้วย...” พูดถึงตรงนี้ผมก็เงียบไปทันที
พลั่ก!
กังหันถีบขาผมจากใต้โต๊ะ “มึงจะหยุดพูดให้กูลุ้นทำไม”
“ก็กูไม่อยากพูดถึงนี่!”
“มึงเล่ามาขนาดนี้แล้วก็เล่าให้หมดสิวะ!”
ผมพ่นลมหายใจ แล้วลดเสียงลง “มันจะปล้ำกูน่ะ กูเลยเป็นฝ่ายพลิกกระดานจับมันทำเมียแทน”
“ยำเนี่ยนะ?!”
“เออ! ส่วนกูมารู้จากวินทีหลังว่าเวลายำเมาหนักถึงเป็นแบบนั้น เป็นมานานแล้ว และวินก็มีวิถีรับมืออยู่ เต้ถึงได้ขอร้องให้กูคอยดูแลและพาตัวน้องรหัสมันไปส่งถึงห้องทุกครั้งที่ไปกินเหล้ากันไง”
“ง...งั้นยำก็ไปปล้ำเด็กนั่นเข้าน่ะสิ!”
“ชัวร์!” ตอบไปแล้วก็พูดต่ออย่างหงุดหงิด “ดีที่เด็กนั่นเป็นชายใจหญิง ถ้าเป็นชายเชิงรุกแบบกู ยำคงได้ตกเป็นเมียเขาไปแล้ว”
“กูล่ะปวดหัว” กังหันบีบขมับบ้าง “...แล้วยำมีมึงเป็นคนแรกหรือเปล่า”
“จากปฏิกิริยา กูเป็นคนแรกแน่นอน”
“...มันรอดพ้นมือคนอื่นมาเสร็จมึงได้ไงวะ”
“เพื่อนมันคงดูแลดีมั้ง กูหมายถึงเพื่อนแบบวิน...เพื่อนที่ไม่ใช่แบบที่เพิ่งรู้จักใหม่ในมหา’ลัยน่ะ”
“อ้อ ยำมีเพื่อนสมัยเด็กอยู่หกคน อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ประถมยันมัธยม ที่จริงพวกนั้นก็อยู่มหา’ลัยเรานะ แต่กระจายกันไปคนละคณะ”
“มึงพูดเรื่องเพื่อนสมัยเด็กที่อยู่คณะเศรษฐศาสตร์ค้างไว้นี่”
“อ้อ คือน้องเราไปหาเพื่อนสมัยเด็กคนนั้น แล้วไปเจอเด็นที่เป็นเพื่อนใหม่ที่อยู่กลุ่มเดียวกับเพื่อนสมัยเด็กเข้าน่ะ แต่ดูเหมือนเพื่อนสมัยเด็กที่ว่าไม่ค่อยเห็นด้วยกับการคบกันเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางอะไร บางครั้งยังยื่นมือเข้าช่วยด้วยซ้ำ ที่สองคนนี้คบกันราบรื่นดี อาจเพราะมีเพื่อนคนนี้คอยช่วยเหลือ”
“…ตอนนี้ไม่ช่วยแล้วหรือไง?”
“ดูเหมือนไม่ค่อยอยากยุ่งด้วยแล้ว”
“งั้นกูก็ไม่ใช้ต้นเหตุสร้างรอยร้าวฉานน่ะสิ”
“เออ! แต่มึงเป็นตัวแปรที่ทำให้รอยร้าวขยายใหญ่ขึ้น” กังหันทำหน้าหนักใจ “คู่นี้กูว่ายังไงก็ไม่น่ารอด...มึงเป็นตัวแปรต่อไปก็ดีเหมือนกัน”
“มึงเป็นเพื่อนกูจริงหรือเปล่า ถึงได้พยายามยัดบทตัวร้ายใส่กูเหลือเกิน!”
“กูเป็นพวกลำเอียงที่เห็นแก่รุ่นน้องหมาน้อยมากกว่าเพื่อนเลวแบบมึง!”
“ยังไงกูก็ไม่เอาด้วย แค่นี้กูก็แทบไม่มีอะไรดีในสายตาเมียอยู่แล้ว”
“แล้วมึงไม่อยากได้เมียคืนหรือไง”
“อยาก แต่กูรอได้”
เพราะยังไงคู่นี้ก็ไปกันไม่รอดแน่อยู่แล้วนี่
“อ้อ มึงคิดจะให้สองคนนี้เลิกกันเองก่อน แล้วมึงค่อยเข้าไปเสียบทีหลัง?”
“เออ”
“นี่มึงชอบน้องกูแน่เหรอวะ”
“ถามทำไม?”
“ก็มึงเห็นแก่ตัวน่ะสิ! แทนที่จะไปเป็นตัวแปรทำให้เรื่องจบลงแบบที่เมียมึงไม่รู้สึกแย่มากนัก”
ผมรู้สะดุดใจกับคำพูดเพื่อนจนเผลอขมวดคิ้ว แต่ปากก็ขยับพูดตอบโต้ไปด้วย
“แล้วให้มันมารู้สึกแย่สุดๆ กับกูแทนน่ะเหรอ? กูคงได้โดนเมียเทน่ะสิ!”
“สภาพมึงตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับถูกเขี่ยทิ้งอยู่แล้วนี่”
หัวใจของผมถูกคำพูดเพื่อนทิ่มแทงอีกแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็เริ่มสงสัยอะไรบางอย่างจนเผลอมองเพื่อนแปลกไปวูบหนึ่ง ก่อนเมินหน้าหนีพร้อมยืนยันคำเดิมสั้นๆ
“ยังไงกูก็ไม่เอาด้วย”
กังหันตบโต๊ะอย่างหงุดหงิด “ตามใจมึง! กูกลับล่ะ!”
ผมหันกลับมาก็เห็นกังหันกวาดของที่ถูกเทออกมาก่อนหน้านี้ลงซองสีน้ำตาลลวกๆ ท่าทางคงอยากจากไปเต็มแก่ ผมเลยถือโอกาสนี้ลองพูดบางอย่างเป็นการลองเชิง
“ความจริงมึงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยนะ แต่ทำไมถึงใส่อารมณ์ยิ่งกว่าคนเกี่ยวข้องอย่างกูอีกวะ”
กังหันเงยหน้ามองผมด้วยแววตาวาวโรจน์ ก่อนกวาดรูปชุดสุดท้ายลงซองสีน้ำตาล แล้วผุดลุกขึ้นยืนเดินจากไปทันที แต่ก่อนประตูห้องจะปิด มันก็หันมาบอกผมสั้นๆ
“เลือกเอาว่ามึงจะ ‘เห็นแก่ตัว’ หรือ ‘เห็นแก่เมีย’ มากกว่ากัน!”
ปัง!
ผมมองประตูที่ถูกปิดไปแล้วอยู่แบบนั้นพักใหญ่ ในใจก็ครุ่นคิดอย่างหนักหลังจากรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่มันแปลกๆ ความรู้สึกที่ว่าไม่ควรมองข้ามพุ่งพรวดเข้ามาในความคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ
...ไม่หรอก อาจไม่ใช่ก็ได้
ถึงพยายามคิดแบบนั้น แต่ความไม่ไว้วางใจกลับไม่มีทีท่าจะลดน้อยลงเลย
-------------
ไม่รู้ว่าเพราะเรื่องเมื่อเช้าหรือเปล่าที่ทำให้ผมมาหยุดยืนหน้าห้องพักรุ่นน้องในตอนเย็น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าวินไม่อยู่แน่ ผมก็ยังเคาะประตูห้องเรียกคนข้างในมาเปิด ละเมิดคำขอร้องของแมวเถื่อนที่พยายามรักษามาตลอดจนได้
“รู้แล้วๆ กูกำลังจะออกไป!”
แว่วเสียงข้าวยำตะโกนจากข้างใน ครู่ต่อมาประตูก็เปิดออก เจ้าของห้องชะงักไปทันทีที่เห็นหน้ากัน ผมเองก็ได้แต่มองมันเงียบๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรดีทั้งที่ในใจมีเรื่องอยากถามอยากพูดให้ฟังตั้งหลายเรื่อง
“...มึงมาทำไม”
ผมหลุดจากภวังค์มามองคนเอ่ยถามขึ้นก่อนอย่างแปลกใจ ทั้งทีนึกว่าคงโดนประตูปิดใส่หน้าซะอีก แต่อีกฝ่ายกลับพูดถามด้วยสีหน้าเรียบสงบจนใจคนมองอย่างผมแกว่งไปมาอย่างไม่มั่นคง
แค่ไม่ถึงอาทิตย์มันก็ตัดผมออกไปจากความรู้สึกมันได้แล้วเรอะ
ได้แต่ข่มความรู้สึกด้านลบที่ตีวนกันอยู่ในใจลงด้วยการทำเป็นกวาดมองดูเสื้อผ้าของคนตรงหน้า แล้วถามคำถามโง่ๆ ออกไป
“เตรียมจะไปงานเฟรชชี่ไนท์แล้วเหรอ?”
“มึงไม่น่าถามอะไรโง่ๆ”
โดนด่าสวนกลับมาทันที แต่ผมกลับยิ้มรับ เพราะอย่างน้อยแมวเถื่อนก็ยังด่าใส่กันอยู่
“มีเวลาให้กูสักหน่อยไหม?”
ข้าวยำหยุดคิดอยู่นานกว่าจะพูดออกมา “...ถ้าแค่ห้านาทีล่ะก็ได้”
คำตอบที่ได้รับทำให้หัวใจชุ่มชื้นขึ้นมาบ้าง และเพื่อไม่ให้เสียเวลาห้านาทีที่ได้มา ผมเลยรีบดันข้าวยำเข้าไปในห้องพร้อมดึงประตูปิดอย่างรวดเร็ว ส่วนอีกมือก็ตวัดโอบเอวแมวเถื่อน ทั้งออกแรงรั้งตัวกะทันหันจนมันเซถลามาชนผม ได้จังหวะก็รีบโอบล้อมตัวกักขังตัวไว้ในอ้อมแขนทันที
“จ...จะทำอะไร”
คนไม่ทั้งตั้งตัวร้องถามเสียงตะกุกตะกัก ทั้งยังพยายามทั้งดิ้นทั้งดันตัวมันเองให้เป็นอิสระ
“ขอกูอยู่อย่างนี้สักห้านาที”
ลองพูดเสียงอ่อนเจือขอร้องดู ก็ไม่คิดว่าจะได้ผลหรอก แต่กลายเป็นว่าคนในอ้อมกอดดิ้นขลุกขลักน้อยลงและยอมหยุดยืนนิ่งให้กอดจนได้ เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ผมก็รีบกระชับแขนดันตัวข้าวยำให้แนบชิดมากกว่าเดิม พลางหลับตาลงรับสัมผัสอุ่นๆ จากตัวแมวเถื่อนอย่างเต็มที่ ให้สมกับที่ห่างหายจากสัมผัสนี้ไปเกือบอาทิตย์
“...เป็นอะไรของมึง”
หืม?
เหมือนผมจะได้ยินเสียงสงสัยกึ่งเป็นกังวลจากแมวเถื่อน...หูฝาดหรือเปล่าวะ?
“กูถามก็ตอบสิวะ!”
เหมือนจะไม่ฝาดนะ ผมลืมตาขึ้นทันที ทั้งยังกลั้นยิ้มน้อยๆ กับเสียงตวาดเมื่อครู่
บางทีผมอาจไม่โดนตัดสัมพันธ์อย่างที่คิดก็ได้ เพียงแต่...สายสัมพันธ์ที่ว่ายังคงเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนแปลงไปเป็นรูปแบบไหนนั้นไม่รู้ ที่รู้คือผมอยากเปลี่ยนจากเส้นด้ายเป็นสายเอ็นตกปลาชะมัด ถึงเล็กบางเหมือนกัน แต่คงไม่ขาดง่ายให้กังวลใจเท่านี้
เหมือนผมจะเงียบนานไป แมวเถื่อนถึงได้เริ่มพยศอีกแล้ว ได้แต่ใช้แรงรั้งตัวคนดิ้นเต็มที่เอาไว้พร้อมปากขยับตอบไปโดยเร็ว
“ความเห็นไม่ลงรอยกับเพื่อนมา”
คนได้คำตอบนิ่งไปอีกครั้ง ก่อนถามกลับมาเสียงสูงกว่าปกติ “มึงทะเลาะกับเพื่อน?”
ผมครางรับในคอ วางคางลงบนหัวแมวเถื่อนที่ยืนนิ่งเงียบไปแล้ว อ่า...อยากอยู่แบบนี้ไปนานๆ ชะมัด
“...ไม่เห็นต้องคิดมาก” คำพูดมาพร้อมแรงตบที่หลังเบาๆ สองที
ผมโดนแมวเถื่อนปลอบใจเข้าให้แล้ว คิดพลางหัวเราะเสียงแผ่วอย่างมีความสุขและเสียดายไปพร้อมกัน เวลาห้านาทีน้อยไปจริงๆ นั่นแหละ แถมต่อไปจะได้มีโอกาสกอดอย่างนี้อีกหรือเปล่าก็ไม่รู้
“...ถ้ากูทำเรื่องชั่วๆ แต่ทำเพื่อคนอื่น มึงจะคิดยังไง?”
ผมถามด้วยความกังวลปะปนกับอยากรู้ความเห็นคิดของแมวเถื่อนบ้าง
คนฟังเงียบไปนานกว่าจะตอบกลับมา “ทางที่ดีมึงควรไปถามเขาก่อนว่าอยากให้มึงทำชั่วเพื่อเขาไหม”
“แล้วมึงอยากให้กูทำให้ไหม”
“...ไม่”
“ถ้ากูทำล่ะ มึงจะเกลียดกูหรือเปล่า”
“...ต้องดูก่อนว่ามึงไปทำชั่วอะไรมา แล้วยังพอให้อภัยได้ไหม”
“งั้นเหรอ”
ผมซึมซับไออุ่นจากแมวเถื่อนจนใกล้ครบห้านาที ถึงเลื่อนใบหน้าไปกดจูบที่ขมับคนในอ้อมแขนเบาๆ หนึ่งหน แล้วผละออกช้าๆ อย่างเสียดาย
“มึง...ดูผิดปกตินะ”
ผมหัวเราะเบาๆ กับสายตากึ่งสงสัยกึ่งจับผิดที่มองมา แล้วพูดตัดบทสั้นๆ
“ครบเวลาที่กูขอมึงแล้ว กูไปก่อนล่ะ”
หมับ! ไม่คาดว่าแค่หมุนตัวทำท่าจะจากไป ชายเสื้อของผมก็ถูกคว้าไว้ด้วยมือของคนทำกำลังหน้านิ่วขมวดคิ้วใส่
“มึงคิดจะทำอะไร?”
“...ไปทำให้มึงเกลียดล่ะมั้ง”
“กูถามดีๆ นะ”
“กูก็ตอบดีแล้ว”
เห็นแมวเถื่อนทำหน้าโมโหใส่ก็อดเอื้อมมือไปดันท้ายทอยให้มันแหงนหน้าขึ้น แล้วกดจูบที่หน้าผากอย่างแผ่วเบาหนึ่งทีไม่ได้ แต่ก่อนจะถูกด่าเรื่องฉวยโอกาส ผมก็พูดสิ่งที่อยากบอกตอนนี้ให้มันฟังก่อน
“กูไม่ใช่คนดี เป็นคนเลวในสายตาของมึงด้วยซ้ำ และในอนาคตก็อาจเลวยิ่งกว่านี้อีก แต่กูอยากให้มึงเข้าใจในความเลวของกูนะ”
ส่งยิ้มให้แมวเถื่อนที่ยืนอึ้งตรงหน้าไปหนึ่งที แล้วปล่อยมือถอยห่างอีกครั้ง แต่กลับโดนอีกฝ่ายกระชากคอเสื้อเข้าให้ก่อน
“แต่ตอนนี้กูไม่เข้าใจ! และกูต้องการจะรู้เดี๋ยวนี้!”
ผมแกะมือข้าวยำออกจากคอเสื้อ แล้วดึงมือข้างนั้นมาแตะกับริมฝีปากตัวเองจนแมวเถื่อนสะดุ้งโหยง กระชากมือกลับคืนกะทันหันไม่พอ ยังกระโดดถอยห่างด้วยสีหน้าตื่นๆ อีกต่างหาก เป็นปฏิกิริยาที่ผมเผลออมยิ้มขำออกมา
“เอาไว้กูค่อยมาเคลียร์กับมึงทีหลังแล้วกัน”
รีบหมุนตัวออกจากห้องก่อนจะทนความน่ารักที่เห็นไม่ไหวจนเผลอจับแมวบางตัวมาจูบปากสักที
ระหว่างดึงประตูห้องปิด ผมทันได้เห็นสีหน้ายังตื่นตระหนกปนมึนงงของคนในห้อง เพียงแต่แววตาที่จ้องมาเริ่มปรากฏความระแวงให้เห็นเล็กน้อย ผมมองหน้าแมวเถื่อนอีกชั่วอึดใจหนึ่งก็จำใจดึงประตูปิดให้สนิท พร้อมพ่นลมหายใจออกมาทันที
เฮ้อ~ ต้องทนห่างมันอีกแล้ว แถมหลังจากนี้อาจโดนโกรธถึงขั้นหมางเมินเสมือนผมเป็นอากาศ
หยุดความคิดด้านลบทันที แล้วคิดใหม่
เฮ้อ~ ถึงผมทำเรื่องไม่ดีลงไปก็ขอให้มันยังยอมกระโจนเข้าหา จะอาละวาดใส่ก็ได้ หรือจะดุร้ายขนาดไหนก็รับไหว
...ผมขอแค่นั้นจะได้ไหมนะ?
############